Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)  (อ่าน 20952 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คดีที่ 1 ปริศนาแขกระจ่างไปแล้ว ยินดีด้วย  :m4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ภารกิจต่อไปจะได้ทำอะไรหนอ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 8 เปิดปม 1

[วิณณ์]

ผมอยู่ในห้องของตัวเองพลิกแฟ้มเอกสารเปิดไปเปิดมา เพื่อทำสรุปคดีการบุกจับกุมโรงงานค้าแรงงานเด็ก ก็คดีของน้องดาวและเพื่อนนะละครับ  ถึงแม้จะยังไม่เคลียร์สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เด็กบางคนยังไม่สามารถติดต่อครอบครัวหรือญาติได้ แต่สวัสดิภาพตอนนี้ของพวกเขาก็น่าจะดีกว่าอยู่ในนั้น


คิดไปคิดมาตั้งแต่เกิดมา 27 ปี นี่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่สุดในชีวิตผม  ทั้งพูดคุย สัมผัส หรือแม้แต่กระทั่งอยู่ร่วมกับวิญญาณ แถมยังได้เจอผีตัวเป็นๆ กับเขาอีก  (เอ่อ.....แต่สำหรับ ตะวัน รายนั้นถือเป็นข้อยกเว้น เพราะมองยังไงก็ไม่มีอะไรให้เชื่อเลยว่าเป็นวิญญาณ  ให้ตายซิ)  เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่น่าเหลือเชื่อสุดๆ  ผมเคยได้แต่คิดว่าคนเราตายไปก็ต้องไปยังที่ใดที่หนึ่ง ทำดีก็ไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก หรืออาจจะไม่ได้ไปไหนเลยก็ได้  ยังวนเวียนอยู่ที่เดิมหรือรอบตัวเรา หรือแม้แต่กระทั่งวิญญาณอาจไม่มีอยู่จริงเพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์   แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่  วิญญาณก็เหมือนคนปกติทั่วไปมีเรื่องที่อยากจะทำ อยากจะแก้ไขในสิ่งที่ผ่านมา อย่างน้องดาวที่เฝ้ารอเพื่อได้เจอกับครอบครัวอีกซักครั้ง   ถ้าวิญญาณที่ตายโดยที่ยังมีเรื่องค้างคาใจ  พวกเขาก็คงยังไม่อยากไปไหนจนกว่าจะได้จัดการจนเสร็จสิ้นซินะ 


ส่วนผมกับตะวัน ครั้งแรกที่เจอพวกเราก็เปรียบเสมือนคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาเจอกัน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกต่างออกไปมันไม่ได้แย่หรือเลวร้ายที่มีตะวันเข้ามาในชีวิต ตรงกันข้ามมันเหมือนกับว่าตั้งแต่มีตะวันเข้ามาในชีวิตผมอยากจะเห็นแต่รอยยิ้มของตะวัน อยากทำให้รอยยิ้มนั้นคงอยู่ตลอดไป เวลาที่ผมเห็นตะวันเศร้าผมไม่ชอบเอาซะเลยมันเหมือนเขาแบกโลกไว้ทั้งโลก ทั้งที่เวลายิ้มมันดูสดใสกว่าตั้งเยอะ


แม่ผมเคยบอกว่าคนเราจะมาเจอกันได้ต้องเคยทำอะไรร่วมกันมาก่อน งั้นการที่ผมกับตะวันได้มาเจอกันมันควรจะเรียกว่าอะไรดีละ  พรหมลิขิตหรือกรรมชักพา  มันก็คงจะอย่างใดอย่างหนึ่งละนะ  แต่ก็ภาวนาว่าขอให้เป็นสิ่งดีๆ ที่นำพาให้เราได้มาเจอกันแล้วกันนะ





ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก

“ขออนุญาติครับ” 

“เชิญครับ”

“ผมเอาสำนวนคำรับสภารภาพของเจ้าของโรงงานกับพวกอีก 4 คนมาให้ครับ”

“ขอบคุณนะจ่า”  จ่าเติมเอาเอกสารมาวางไว้ที่โต๊ะและนั่งลงเก้าอี้ตัวตรงข้าม แต่ผมยังเห็นในมือจ่าเติมมีแฟ้มอีกหนึ่งแฟ้ม

“นั่น แฟ้มอะไรเหรอจ่า คดีใหม่เหรอ”

“อันนี้เหรอครับ ก็คดีรถชนนักศึกษาชาย ที่ตอนนี้ยังไม่ได้สตินะแหละครับ”

“อ่อ.......ยังหาตัวคนชนไม่ได้อีกเหรอ”

“ครับ  ด้วยความมืดไม่มีใครเห็นหรือจดจำรายละเอียดของรถได้ แต่พยานที่เห็นส่วนใหญ่พูดตรงกัน คือ น้องผู้ชาย เดินลงมาให้รถชน เหมือนตั้งใจฆ่าตัวตาย”  ผมนั่งฟังจ่าเติมพูด ทำให้คิดไปถึงคำพูดของตะวัน.......


ใช่........ตะวันตั้งใจฆ่าตัวตาย อย่างที่ทุกคนเข้าใจ  เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของความรักที่ไม่สมหวัง


“นี่คนเป็นแม่ก็ยังเสียใจไม่หาย แต่โชคดีที่มีญาติมาดูแล ไม่งั้นเป็นไรไปอีกคนแย่แน่ๆ  วันก่อนผมได้ยินพยาบาลคุยกันว่าเปอร์เซ็นต์ในการฟื้นน้อยมาก หมอเองก็เริ่มบอกให้ญาติทำใจ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ต้องอยู่ที่ญาติว่าจะพยุงอาการรักษาต่อไปหรือว่าจะถอดเครื่องช่วยหายใจออก ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจออก คนไข้จะค่อยๆ จากไปไม่ทรมาน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องได้รับความยินยอมจากครอบครัวเสียก่อน และดูท่าคนเป็นแม่กำลังคิดหนัก ไม่อยากให้ลูกทรมานแต่ก็ยังทำใจไม่ได้”

หะ!!!.........ถอดเครื่องช่วยหายใจเหรอ

ถ้าถอดออก ก็เท่ากับว่าตะวันก็จะตายจริงๆ นะซิ แล้วภาระกิจที่ทำอยู่ละ ถ้าแม่ของตะวันตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจออก ร่างของตะวันก็จะต้องนำไปทำพิธีทางศาสนา ถึงตอนนั้นแม้จะทำภารกิจสำเร็จ พร 1 ข้อก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์   ต้องรีบบอกตะวัน ต้องหาทางทำอะไรซักอย่างแล้ว

ว่าแต่เจ้าตัวต้นเรื่องไปไหนละเนี่ย บอกไปแปปเดียว นี่หายไปนานแล้วนะ



“ผู้กอง……………ผู้กองครับ”

“ครับ     ว่าไงนะจ่า”

“ผมถามว่า เย็นนี้ผู้กอง ว่างไหม เมียบังเกิดเกล้า กับลูกหัวแก้วหัวแหวนอยากชวนผู้กองไปกินข้าวที่บ้านนะครับ ไอ้จ่อยมันบ่นคิดถึงผู้กองจะแย่แล้ว  มันบอกผู้กองสัญญาว่าจะสอนมันเล่นกีต้าร์ แต่ผู้กองไม่ยอมไปหามันซักที”

“เออจริงซิ ผมเคยบอกว่าจะสอนให้ ไม่คิดว่ายังจำได้อยู่นะ”

“โอ้ยย  เรื่องอะไรที่มันอยากทำนะ มันจำได้หมดละครับ”

“ฮ่าๆๆ  เดี๋ยวผมขอเคลียร์งานก่อนนะจ่า  ยังไงจะบอกอีกที”

“ได้ครับผม”  จ่าเติมบอกพร้อมทำท่าตะเบะใส่ อันที่จริงผมเคยบอกจ่าไปแล้วว่าอยู่กันเองไม่ต้องเคร่งเครียดมากนักหรอก แต่แกก็ไม่ยอมฟังซักที
   
อ้าว  จ่าเติมดันลืมแฟ้มคดีไว้    แฟ้มของตะวัน………ว่าแต่เรื่องของตะวัน?
ผมควรจะบอกตะวันไหม  แต่ถ้าบอกตะวันไปแล้ว  ตะวันจะทำยังไงต่อละ?
ตะวันจะติดต่อหรือสื่อสารกับแม่ได้ไหม?
ถ้าแม่ของตะวันเห็นตะวันก็ดีซิ  แต่บางทีก็มีคนเห็นตะวันนี่หน่า……...แต่ว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงใครจะเห็นหรือไม่เห็น?
เอายังไงดีละ  ทำยังไงดี………อื้มมมม………จะทำยังไงให้ตะวันติดต่อกับแม่ได้?
ถ้าเกิดตะวันติดต่อไม่ได้  ก็ต้องให้คนช่วย 


เอออออออ……ใช่ ก็ผมไง  ผมเองไง


“โอ้ยยยย ไอ้วิณณ์เอ้ย คิดอะไรเยอะแยะวะเนี่ย  ดันมาหัวช้าเอาตอนนี้”


ว่าแต่เจ้าตัว หายไปไหนนะ???









[ตะวัน]


(นายตะวัน)
“ครับ”  ผมขานรับกลับไป พร้อมกับแสงสีขาวที่สว่างวาบเข้ามา และ…………

ลานพบพาน?  นี่ผมกลับมาที่นี่ทำไมกัน มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ผมยังทำภารกิจไม่เสร็จเลยนะ เหลืออีกตั้ง 9 ภารกิจแหนะ หรือว่าครบ 100 วันแล้วเหรอ  ไม่ซิ ไม่น่าจะใช่ ก็มันเพิ่งจะผ่านมาแค่ 1  2  3…….เอ๊ะ กี่วันกันแน่ละ ทำไม? ทำไมผมจำไม่ได้เลย

“โอ๊ยย  อะไรกันวะเนี่ย” ผมดึงทึ้งหัวตัวเอง ทำไมมันดูเลื่อนลอยจำวันจำคืนไม่ได้ เหมือนเวลามันล่องลอยวนรอบๆ ตัว แต่ก็จำไม่ได้


(ตะวัน)
“…………..”


(เจ้ารู้ไหม ทำไมเจ้าถึงต้องกลับมาที่นี่)
“ไม่รู้ครับ ครบกำหนด 100วันแล้วเหรอครับ แต่ผมเพิ่งผ่านภารกิจไปแค่ 1 อย่างเองนะครับ แล้วอย่างนี้พรของผมละครับ ผมไม่สามารถขอพรได้แล้วเหรอครับ”   ผมร้องถามออกไป น้ำตาก็พาลจะไหล หนทางกลับมามีชีวิตมันดูมืดมนอีกครั้ง


(ใจเย็น  เจ้าจะโวยวาย ตีโพยตีพายไปทำไม ทั้งที่ไม่รู้ว่ากลับมาที่นี่ทำไม)
“ก็……….”


(ที่เราเรียกเจ้ากลับมา  มันอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน)
“3 เรื่อง?”


(ใช่)
“เรื่องอะไรเหรอครับ”


(เรื่องแรก เราขอชื่นชมเจ้าที่สามารถทำภารกิจผ่านไปได้ อย่างสวยงามทีเดียว)
“ขอบคุณครับ ^____^”


(เรื่องที่สอง)  ท่านกาลเวลาพูดพร้อมกับชี้มาที่ข้อมือผม   ข้อมือเหรอ
“สร้อย    เหรอครับ”


(ใช่  เจ้าคิดว่า  สร้อยทำอะไรได้บ้าง)
“เอ่อ……...ก็   ผมคิดว่า สร้อยสามารถทำให้ผมมีตัวตนไปไหนมาไหนได้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน และเท่าที่ผ่านมาผมก็สามารถผ่านเข้าออกได้ในทุกสถานที่ และยังมีอำนาจในการช่วยเหลือบางอย่าง ซึ่งผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ”


(ตามที่เจ้าเข้าใจนั้นก็ไม่ผิด  สร้อยแห่งสิทธิ์เส้นนี้มีกฎในการใช้และข้อห้ามอยู่ เราจะมาเตือนเจ้า)
“เตือนหรือครับ”


(ใช่  เราคิดว่า เจ้าก็น่าจะพอรู้ว่าสร้อยเส้นนี้ทำอะไรได้บ้าง  หึหึ   สิ่งที่เจ้าเห็นนะเพียงเล็กน้อย มันยังมีอีกนานัปการจนเจ้าคิดไม่ถึงเลยละ เราถึงอยากจะมาเตือนเจ้า อำนาจแห่งสร้อยจงใช้อย่างเจตนาดีและอย่าพร่ำเพื่อ)
“ผม……ผมไม่เคยคิดจะใช้สร้อยทำสิ่งไม่ดีเลยนะครับ”


(เรายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลย เจ้านี้ชอบคิดไปก่อนอยู่เรื่อยเลยนะ)
“ขอโทษครับ”  หน้าจ๋อยไปเลยผม ไอ้เรื่องตีตนไปก่อนไข้โวยวายได้โล่ห์นิสัยนี้ของผมแก้ไม่หายซักที
“เอ่อ    ว่าแต่สร้อยนี่ทำไมเหรอครับ”


(หึหึ  ถึงแม้อำนาจแห่งสร้อยจะสามารถคุ้มครองเจ้าและพาผ่านไปได้ทุกที่ แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของสถานที่นั้นที่จะยินยอมด้วยหรือไม่ เขาเรียกว่าการคานอำนาจ)
“อ๋อออ  เหมือนที่ท่านเจ้าที่ที่วัดเคยบอกผมไว้ใช่ไหมครับ แต่ละสถานที่มีผู้ดูแลอยู่ถึงแม้สร้อยจะสามารถพาผมผ่านไปได้ แต่ก็ต้องได้รับความยินยอมด้วย”


(ถูกต้อง มันคือการคานอำนาจ และคงไว้ซึ่งอำนาจของผู้ดูแล)
“ครับ”


(และเรื่องที่เจ้าใช้สร้อยในการช่วยเหลือเด็กดาวคนนั้นละ เจ้าคิดว่ายังไง)
“ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับ ตอนนั้นผมแค่คิดว่าอยากจะช่วยน้องให้ได้เจอหน้าพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย ท่านเจ้าที่ที่โรงพักเคยบอกผมว่า สร้อยจะสามารถช่วยผมได้ในยามคับขัน ตอนนั้นน้องดาวมีความปรารถนาอย่างแรงที่จะเจอพ่อกับแม่ครั้งสุดท้าย ผมเลยคิดว่าความปรารถนานั้นจะช่วยให้สร้อยมอบพลังให้ เลยลองเสี่ยงดูครับ”


(ที่เจ้าคิดนั้นก็ถูก แต่การกระทำมันไม่ถูก)
“ทำไมละครับ”


(เจ้าต้องช่วยดวงวิญญาณนั้นก็จริง แต่ควรช่วยให้อยู่ในขอบเขตของเจ้าเท่านั้น การที่เจ้านำสร้อยให้ดวงวิญญาณน้อยนั้นใส่ ถ้าพลังงานวิญญาณต่อต้านกับสร้อยมันอาจจะถึงขั้นทำให้ดวงวิญญาณแตกสลายได้ และถ้าเป็นดวงวิญญาณที่เจตนาดีมันก็ดีไป แต่ถ้าเจอกับดวงวิญญาณที่เจตนาไม่ดี เจ้าคิดว่าเจ้าจะรับผิดชอบผลที่ตามมาได้งั้นรึ)
“ผมขอโทษครับ ผมไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นผมแค่อยากจะช่วยน้องเขาเท่านั้นเอง”


(แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้าไปยุ่ง เจ้าทำแบบนี้เท่ากับว่าเจ้าเข้าไปยุ่งกับกรรมของเขา ต่อแต่นี้ไปเจ้าต้องมีสติและพิจารณาให้รอบคอบมากกว่านี้)
“ครับ”


(งั้นตอนนี้ เจ้าลองสังเกตสร้อย แล้วบอกเราซิว่าเจ้าคิดว่ายังไง)
สร้อย? ตอนนี้เหรอ ดูๆ ไปมันก็ปกติดีนี่นา ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกเลย แต่ถ้าจะแปลกก็คงจะเป็น……สี!!! ใช่ สีแปลกไป  จากสร้อยสีดำเข้ม ตอนนี้รู้สึกเหมือนสีจางลง แม้ไม่เห็นจนสังเกตได้แต่ที่ผมต้องใส่และมองทุกวัน มันก็ทำให้รู้สึกได้ว่าสีเปลี่ยนไป

“ท่านกาลเวลาครับ ทำไม สีมันถึงดู…..”


(จางลงใช่ไหม?)
“ใช่ครับ”


(ทุกครั้งเมื่อเจ้าสามารถทำภารกิจสำเร็จ สีของสร้อยจะเริ่มจางลง จากสีดำ จะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา และสุดท้ายสร้อยขะเปลี่ยนเป็นสีขาว เมื่อเจ้าทำภารกิจครบ 10ข้อ และถ้าเจ้าจะสังเกตให้ดี ลองมองที่พลอยตรงกลางดูซิ)


พลอยรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์นี่นะเหรอ จะว่าไปตอนแรกพระจันทร์ยังคงเป็นแค่เสี้ยวพระจันทร์เท่านั้นนี่น่า แต่ว่าครั้งนี้กลับดูรูปพระจันทร์เปลี่ยนไป


(พอจะรู้ไหม)
“พระจันทร์   พระจันทร์เหรอครับ”


(หึหึ  เจ้านี้ฉลาด และก็ช่างสังเกตเหมือนกันนะ  ใช่  พลังของสร้อยมีไม่จำกัดก็จริง แต่เจ้าจะสามารถใช้ได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น และเจ้าก็ใช้ไปแล้ว 1 ครั้ง ทุกครั้งที่เจ้าใช้พลังของสร้อยไป รูปพระจันทร์จะค่อยๆ เต็มดวงจนแทนที่ดวงอาทิตย์ และตอนนี้เจ้าเหลือเพียงอีก 2 ครั้งเท่านั้น จงระมัดระวัง และเก็บไว้ใช้ในตอนจำเป็นจริงๆ เท่านั้น)


ว้า  นี่ผมไม่รู้เลย เหลืออีกเพียงสองครั้งที่ผมจะใช้ได้ แต่ถ้าถามว่าเสียใจไหมที่ใช้พลังช่วยน้องดาวไป ตอบเลยว่าไม่  ผมได้ใช้พลังช่วยคนอื่นมันควรจะน่ายินดีด้วยซ้ำซิ แต่ต่อไปนี้ผมต้องระวังในการใช้ให้มากที่สุด

“ทำไมพลังถึงถูกจำกัดละครับ”


(เพื่อป้องกันความละโมบของมนุษย์ แม้จะเป็นวิญญาณ ความละโมบเหล่านั้นก็ยังคงอยู่)
“ครับ  แล้วเรื่องที่สามละครับ”


(เรื่องที่ 3  เอาไว้ถึงเวลาเราจะบอกเจ้าเอง  แต่ตอนนี้เจ้าต้องรีบกลับไปแล้วละ  เจ้าตำรวจหนุ่มนั่นกำลังตามหาเจ้าอยู่  ไปได้แล้ว)


“เดี๋ยว…………ดะ เดี๋ยว ซิครับท่านกาลเวลา เรื่องที่ 3 ทำยังบอกไม่ได้ละครับ ท่าน   ท่านกาลเวลา ท่าน…..”   


สิ้นเสียงของท่านกาลเวลา เพียงแค่โบกมือหนึ่งครั้ง ผมก็เหมือนถูกพัดให้ลอยไป แต่กลับไม่ใช่ที่เดิม นี่มัน  ห้องทำงานของวิณณ์นี่







พรึ่บบบบบบบบบบบ

“เฮ้ยยยยยย   ตะวัน ตกใจเลย   เรียกตั้งนาน นี่อะไรอยู่ดีๆ นึกจะโผล่ก็โผล่มา”

“ขอโทดดดดดด    แล้วเรียกตะวัน?  มีอะไรเหรอ” 

“ตะวัน……ไป…………..โรงพยาบาลกันไหม?”


หะ!!!   โรงพยาบาล  ไปโรงพยาบาลเหรอ


“ปะ……….ไป   ไปทำไมเหรอ”   อยากไปไหมก็อยาก แต่ก็กลัว

“ใช่  ไปไหม  ไปดูว่าร่างกายตะวันตอนนี้เป็นยังไง แล้วเผื่อว่าตะวันจะได้เจอแม่ด้วย ไม่อยากเจอเหรอ”

“มัน     มันก็  อยากอะนะ แต่ว่า”

“แต่อะไร   เป็นอะไรไหนบอกวิณณ์ซิ”   แล้ววิณณ์ก็เดินมาใกล้เอามือวางและลูบหัวผม  เป็นการกระทำที่ชวนตกตะลึง แต่ก็อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก   

กลัวเหรอ?   ใช่ผมกลัว  กลัวว่าเจอสภาพตัวเองแล้วจะรับไม่ได้ 
กลัวที่จะเจอและเห็นแม่ที่ต้องเจ็บปวดเพราะการทำของผม
ผมเกลียดการกระทำของตัวเอง  และกลัวว่าผมจะพาลเกลียดตัวเองไปซะ
กลัวไปหมดเลย

“วิณณ์ไม่รู้หรอกนะว่าตะวันคิดอะไรอยู่ แต่วิณณ์อยากบอกว่า ตะวันมีอะไรบอกกับวิณณ์ได้เสมอนะ ร่วมหัวจมท้ายช่วยกันมาขนาดนี้แล้ว ยังไงวิณณ์ก็จะช่วยตะวันให้ถึงที่สุด  วิณณ์จะอยู่ข้างๆ ตะวันนะ”

ผมเงยหน้ามองวิณณ์ แม้คำพูดมันดูแสนจะธรรมดา ไม่เลิศ หรือสวยหรูอะไรมาก  แต่เมื่อฟังแล้วกลับชุ่มชื่นหัวใจอย่างที่สุด  ผมมองวิณณ์ที่ตอนนี้ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าผมและมองลงมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน มือที่ลูบหัวผมอยู่ มันอบอุ่นจัง รู้สึกดี  ไม่รู้ซิ นะ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกแค่ว่า   



ต่อให้ต้องเจอกับอะไร ผมก็จะผ่านมันไปได้เสมอ ขอแค่มีวิณณ์อยู่ข้างๆ

















[ณ ห้องกรณี ดินแดนสำเร็จโทษแห่งความตาย]

“ท่านพระยามัจจุราชขอรับ กระผมไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงได้เมตตาเจ้าหนุ่มคนนั้นนัก”  ชายผู้ที่ถูกถามหันกลับมายังคนตรงหน้าที่ตั้งคำถามนั้น  ท่านกาลเวลา  ท่านพระยามัจจุราช  แท้ที่จริงแล้วก็คือคนคนเดียวกัน

“ทำไมนะเหรอ ทำไมข้าถึงได้เมตตาเจ้าหนุ่มคนนั้นนัก ข้าเองก็ไม่แน่ใจตัวเอง เพียงแต่ข้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นอาจจะเป็นคนแรกที่ทำได้ก็ได้ ตลอดระยะเวลาหลายพันปี ไม่มีดวงวิญญาณใดเลยที่จะทำได้สำเร็จ ทุกอย่างเพียงเพราะแพ้ความละโมบในตัวเอง”



ใช่  ความจริงสร้อยแห่งสิทธิ์นั้นสามารถทำให้ผู้ที่ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง บันดาลทุกอย่างได้ เมื่อดวงวิญญาณต่างรับรู้ถึงพลังนั้นก็คิดที่จะหวังผลทางลัด ทำให้ไม่มีดวงวิญญาณซักดวงที่สามารถสำเร็จภารกิจได้ แต่พระยามัจจุราชกลับคิดว่า ตะวันจะสามารถทำได้  เพียงรู้สึกอย่างนั้น

“ท่านพระยามัจจุราชคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะสามารถผ่านบททดสอบไปได้อย่างนั้นหรือขอรับ”  ท่านพระยามัจจุราชพยักหน้า

“ข้าคิดเช่นนั้น”

“จริงๆ แล้วเจ้าหนุ่มคนนั้นยังไม่ถึงอายุขัยของตัวเอง แต่ด้วยการก่ออัตวิบากกรรมนี้ ทำให้ดวงวิญญาณไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ ท่านพระยามัจจุราชสามารถช่วยให้วิญญาณกลับเข้าร่างได้อย่างง่ายดาย ทำไมท่านต้องลำบากให้เจ้าหนุ่มนั้นรับบททดสอบด้วยละขอรับ”

“สุวรรณ สุวาน เจ้าสองคนนี่ช่างซักช่างถามตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ขอโทษขอรับ”

“เอาเถอะ เจ้าสองคนเองก็รู้ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำภารกิจสำเร็จ จนสวรรค์เองก็คิดว่าคงไม่สามารถหาความดีในดวงวิญญาณมนุษย์เหล่านี้ได้ ข้าเพียงอยากจะพิสูจน์ว่าความดีในมนุษย์นั้นยังคงมีแม้จะเหลือแค่วิญญาณแล้วก็ตาม ก่อนที่ ผู้ถูกเลือก จะไม่มีอีกต่อไป”

“หมายความว่ายังไงหรือขอรับจะไม่มี    ผู้ถูกเลือก  แล้วหรือขอรับ”

“ข้าเดิมพันไว้กับสวรรค์ ถ้า ผู้ถูกเลือก ในครั้งนี้ยังไม่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จ ต่อจากนี้ ผู้ถูกเลือก จะไม่มี และพร 1 ข้อ ใน 100 ปี ก็จะไม่มีเช่นกัน ดวงวิญญาณทุกดวงจะได้รับโทษตัดสินตามความผิดของตัวเอง และจะมีเพียงสวรรค์กับนรกเท่านั้นที่จะได้ไป”

“จริงหรือขอรับ”

“ใช่”

“ท่านพระยามัจจุราชขอรับ สุวรรณมีเรื่องสงสัยอีกเรื่องขอรับ ที่ผ่านมาท่านจะให้ดวงวิญญาณทำภารกิจด้วยตนเอง  แต่ครั้งนี้ทำไมต้องเป็นพ่อหนุ่มตำรวจคนนั้นที่มาช่วยด้วยขอรับ”

“มันคือบุพเพ  ชาตินี้เขาทั้งสองคนต้องมาเจอกันและสุดท้ายก็ต้องจากกัน ไม่จากเป็นก็จากตาย ซึ่งข้าเองก็ยังไม่เข้าใจเพราะเจ้าตะวันทำอัตวิบากกรรมตัวเองซะก่อนทำให้ดวงชะตาทั้งคู่พลิกผัน จากที่ต้องเจอตอนยังมีชีวิต กลับได้มาเจอตอนเป็นวิญญาณแทนซะได้  และเพราะบุพเพเจ้าตำรวจหนุ่มนั่นจึงเป็นเพียงคนเดียวที่รับรู้และสัมผัสกับวิญญาณของตะวันได้ คนอื่นๆ อาจจะรับรู้ถึงพลังวิญญาณ แต่จะมีเจ้าหนุ่มนั่นคนเดียวที่สัมผัสจับต้องได้”

“สุวาณสับสนมากเลยขอรับ เปิดจากสมุดบัญชีตอนนี้ ชะตาชีวิตของทั้งคู่ไม่ได้ถูกขีดเขียนอะไรไว้เลย เหมือนอยู่ดีๆ ก็หายไป บันทึกล่าสุดก็เหมือนจะบันทึกไว้แค่ตอนนี้”

“เจ้าทั้งสองอย่าไปคิดอะไรมากเลย สวรรค์เองก็มีวิถีทางในการจัดการของสวรรค์ นรกเองก็เช่นกัน”

“ขอรับ / ขอรับ”









- ขออนุญาติตอบคุณ เพียงเพื่อน ในนี้นะคะ

ผู้กองวิณณ์อายุ 27 ส่วนตะวันอายุ 20 คะ ห่างกัน 7 ปี แต่ที่ตะวันเรียกผู้กองวิณณ์ ว่าวิณณ์เฉยๆ เพราะเป็นความตั้งใจของผู้เขียนล้วนๆ อยากให้ทั้งคู่สนิทสนมกัน โดยไม่มีเรื่องของอายุหรือตัวเลขมากั้นกลางคะ  >//< 
ส่วนตะวันเองก็ชอบที่จะเรียกวิณณ์ด้วยชื่อเฉยๆ หรือบางครั้งนึกอยากจะแหย่ ก็จะเรียกผู้กองวิณณ์คะ

และขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ กำลังใจอันดับหนึ่งเลยคะ  ซึ่งงงงง  :hao5:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุ้นไปกับตะวัน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปพบแม่เถอะตะวัน ไม่คิดถึงแม่หรอ  :กอด1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 9  รอผมหน่อยนะ



กว่าจะทำใจ ตัดสินใจมาได้นี่ก็นานพอดูครับ แม่ผม ผมก็อยากมาหานะ แต่ที่ทำใจยากคือ ผมต้องบอกคุยกับแม่เนี่ยซิ


หือออออออออ    ผมจะคุยยังไงละครับ ผมเป็นแค่วิญญาณนะ แล้วแม่จะรับผมได้ไหมอีกละ


ก็คุณผู้กองวิณณ์นะซิครับ เล่นมาบอกผมตอนนั่งบนรถมาด้วยกันว่าผมต้องหาทางสื่อสารหรือทำยังไงก็ได้ให้แม่รู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่และต้องรักษาร่างกายของผมไว้รอให้ผมเสร็จภารกิจเพื่อที่วิญญาณจะได้กลับเข้าร่างตัวเองได้  การมาเจอในตอนแรกว่ายากแล้วนี่ต้องทำให้แม่เชื่ออีกยิ่งยากกว่า แต่ผมละไม่เข้าใจจริงๆ คุณหมอคร้าบบ ทำไมคุณหมอไปแนะนำแม่ผมอย่างนั้นละครับ 

ผมพยายามจะหาทางกลับเข้าร่าง คุณหมอก็ดันจะมาทำให้ร่างของผมไม่อยู่อีกซะนี่


อย่าให้เจอนะ พ่อจะจับหักคอ หลอกให้หัวโกรนเลย คอยดู๊ววววววววววววววว


ไม่ใช่ว่าผมไม่เครียดนะ  แต่จะให้มานั่งคิด นั่งเครียดแล้วไม่ทำอะไรเลยมันก็ใช่เรื่อง ตอนนี้ผมต้องคิดว่าจะทำยังไงให้แม่ผมเชื่อก่อนดีกว่า


“นี่ตะวัน  คิดอะไรอยู่”

“ก็คิดว่า จะทำยังไงให้แม่เชื่อดีไง”

“คิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ใช่ซิ จะไม่ให้คิดไงเล่า  ตอนจะทำให้วิณณ์เชื่อนะตะวันก็คิดแทบตาย  แล้วนี่เป็นแม่ของตะวัน ตะวันต้องคิดมากเป็นร้อยเท่า แล้วยิ่งเป็นเรื่องผีๆสางๆนะ แม่ตะวันยิ่งไม่เชื่อใหญ่เลย”

“ไม่ต้องห่วงหรอก  ยังไงวิณณ์ก็ต้องช่วยตะวันอยู่แล้ว วิณณ์จะทำให้แม่ของตะวันเชื่อให้ได้” 

“อะไรเล่า ตะวันไม่ใช่หมานะ ลูบหัวอยู่ได้”   หึ่ยยยยยย  พูดเฉยๆ ก็เขินแล้วนะ ยังมาทำแบบนี้อีก

“ใครบอกตะวันเป็นหมา ตะวันแค่เป็นเด็กขี้โวยวาย แถมยังขี้แยต่างหาก”

ชิส์   --_--  ไม่เถียงด้วยละ ทำไมผมไม่เคยจะเถียงสู้วิณณ์ได้สักทีนะ ไม่เข้าใจ









โรงพยาบาล


วิณณ์ขับรถเข้ามาจอดในโรงพยาบาล  ผมเดินลงจากรถและไปทำสิ่งที่ควรทำอันดับแรก

“ท่านเจ้าที่ครับ ผมขออนุญาติเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อพบแม่ของผม ท่านเจ้าที่อนุญาติด้วยนะครับ”

“ตะวันทำอะไรอยู่”

“ตะวันขออนุญาติท่านเจ้าที่ เพื่อจะเข้าไปหาแม่ไง”

“แล้วท่านว่ายังไง”

“ท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านให้ตะวันเข้าไปได้ ^___^”

“ขอบคุณนะครับ”   ไม่ใช่ผมที่เอ่ยขอบคุณแต่เป็นวิณณ์  ผมหันไปมองวิณณ์ที่เอ่ยขอบคุณและกำลังยกมือไหว้ไปด้วย



ดูไปก็    ‘น่ารักดีนะ’




เราเข้ามาในโรงพยาบาลและหลังจากที่วิณณ์สอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่หน้าเคาเตอร์และพูดคุยกับหมอเจ้าของไข้ โดยใช้ตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์  พวกเราก็มุ่งหน้ามายังห้องที่ผมอยู่  หมอบอกว่าอาการอื่นๆ คงที่ ไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร แต่เพราะผมนอนเป็นเจ้าชายนิทราและยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หมอเลยต้องให้อยู่ที่ห้องนี้  ซึ่งหมอบอกว่า ถ้าร่างกายผมสามารถกลับมาควบคุมระบบหายใจได้เอง ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมจะมีโอกาสที่จะตื่นจากเจ้าชายนิทรา แต่หมอก็ไม่สามารถบอกได้ว่า โอกาสนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะ 1 เดือน   2 เดือน   1 ปี    2 ปี หรือมากกว่านั้นไม่สามารถกำหนดได้

“ตื่นเต้นอะวิณณ์”

“ใจเย็น อย่าเพิ่งคิดอะไรเยอะ รอดูท่าทีไปก่อนน” 










‘ห้องปลอดเชื้อ     นายตะวัน  จันทรเกษม


ป้ายชื่อด้านหน้าที่ติดไว้บ่งบอกว่าพวกเรามาถึงที่หมายแล้ว ผมมองเข้าไปในห้องก็เจอกับผู้หญิงตัวบาง ผมสีดำที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มมีสีขาวแซมอยู่ 


‘แม่’




ก๊อก ก๊อก ก๊อก    แม่เป็นคนมาเปิดประตูให้พวกเรา



“สวัสดีครับ ผมเป็นตำรวจ เป็นหัวหน้าของจ่าเติมที่ดูแลคดีครับ จะเรียกผมผู้กองวิณณ์หรือวิณณ์ก็ได้ครับ”  วิณณ์แนะนำตัวก่อนเพื่อไม่ให้แม่ผมต้องสงสัยมากไปกว่านี้

“สวัสดีคะ  เชิญคะผู้กอง”


ผมเดินตามวิณณ์เข้ามาในห้อง ผมเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงที่มีร่างของตัวเองนอนอยู่ มันก็ดูแปลกดีแหะ ผมกำลังยืนมองดูร่างของตัวเอง  ร่างของตัวเองที่อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ ดูจากสภาพภายนอกเหมือนคนนอนหลับเฉยๆ สิ่งที่บ่งบอกว่าร่างตรงหน้าผิดปกติ ก็ คงเป็นเครื่องช่วยหายใจที่ใส่อยู่ พร้อมกับผ้าพันแผลที่หัว วิณณ์เองก็มาหยุดยืนข้างๆ ผมถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ส่งผ่านจากสายตา

และยิ่งมองเห็นสภาพร่างกายของผู้เป็นแม่ด้วยแล้ว ผมนี่ช่างเป็นลูกที่เลวจริงๆ แม่ผมเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ยิ่งพอมาดูใกล้ๆ แม่กลับยิ่งดูตัวเล็กลงไปอีก ใบหน้าที่ดูอ่อนล้า ซูบเซียว บ่งบอกว่าแม่ต้องอดทนและพยายามผ่านมันมามากแค่ไหน แม่ทั้งรักทั้งห่วงผมขนาดไหนทำไมผมจะไม่รู้ เพราะพ่อผมสียด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ผมยังเล็ก แม่ผมจึงเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคอยทำงานหาเงินมาดูแลผม อยากกินอะไร อยากได้อะไรก็สรรหามาให้ตลอด เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นคนวิ่งพาผมไปหาหมอ อะไรที่ดีอะไรที่จะทำให้ไม่น้อยหน้าคนอื่น แม่ผมยอมทำทุกอย่าง ถึงมันจะไม่ได้ดีเท่ากับลูกของคนอื่น แต่มันก็ดีที่สุดสำหรับผม


 “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”  แม่ผมถามพร้อมกับทำหน้าสงสัยกับคนตรงหน้า

“ผมมีเรื่องอยากจะสอบถามนิดหน่อยนะครับ”

“แต่ก่อนหน้านี้มีตำรวจท่านหนึ่งมาสอบถามไปแล้วนี่คะ”

“ทราบครับ  แต่วันนี้ที่ผมมาผมมีเรื่องอยากจะคุยส่วนตัวกับคุณป้านะครับ”

“คุยส่วนตัว?  กับฉันเหรอคะ?”

“ครับ ผมขอรบกวนเวลาคุณป้าสักครู่นะครับ”

“คะ  งั้นเชิญข้างนอกดีกว่าคะ”

“ครับ”



ผมเดินตามหลังแม่และวิณณ์ออกไปข้างนอกห้อง ไปยังมุมที่อยู่สุดทางเดินที่ตรงนั้นค่อนข้างเงียบไม่มีใครผ่านไปมา แม่กับวิณณ์ต่างเงียบกันไปอยู่หลายนาที แม่เองก็ยังไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา วิณณ์เองก็คงกำลังคิดหาคำพูดอยู่ แต่ในที่สุดแม่ผมก็เป็นฝ่ายที่เอ่ยทำลายความเงียบออกมาก่อน


“ไม่ทราบว่าเรื่องที่ผู้กองจะถามคือเรื่องอะไรเหรอคะ”

“เรียกผมวิณณ์ก็ได้ครับ   เอ่อ……..คือ   ตอนนี้คุณป้าเป็นยังไงบ้างครับ”  แม่ผมเลิกคิ้วสงสัยกับคำถามที่ได้รับ แต่ด้วยมารยาทท่านจึงตอบกลับไป

“ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่คะ ตะวันต้องมาเจ็บนอนไม่รู้สึกตัว ทำไมตะวันถึงได้ทำแบบนี้ ทำไปอะไรเพราะอะไร ป้าเองก็อยากรู้  ป้าได้ยินจากคนอื่นที่เขาก็พูดกันว่าตะวันพยายามจะฆ่าตัวตาย  แต่ป้าไม่เชื่อหรอก ลูกของป้า ป้าเลี้ยงมา ป้ารู้ว่าตะวันจะไม่มีทางทำแบบนั้น แม้แต่ยุงหรือมดตะวันยังไม่เคยคิดทำร้ายเลย แล้วทำไมตะวันถึงคิดจะทำร้ายตัวเอง ป้าไม่เข้าใจ.......”   
แม่ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้น


“ใจเย็นนะครับคุณป้า แล้วอาการของตะวันตอนนี้ เป็นยังไงบ้างครับ”

“หมอบอกว่าตะวันโชคดี จากที่ผู้กองเห็นก็มีแผลที่หัวเพราะกระแทกกับพื้นถนน รอยฟกช้ำตามตัว อาการบาดเจ็บภายในก็ไม่มีอะไรรุนแรง แต่ที่หมอยังบอกไม่ได้คือทำไมตะวันถึงยังไม่ฟื้นซักที”

“ผมขอโทษอีกครั้งนะครับที่ทำให้ต้องนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”

“ไม่เป็นไรคะ ป้าก็พอทำใจได้บ้างแล้วละ บางทีก็มีเหงาบ้าง บางทีคิดถึงเขาก็ร้องไห้ ตอนนี้ป้าแค่อยากให้เขาฟื้นที่สุด ไม่อยากให้เขาต้องมาเจ็บแบบนี้ ตะวันนะเขาเป็นเด็กร่าเริงมากเลยนะคะผู้กอง เขาน่ารัก ใครอยู่ใกล้เขาก็พลอยอารมณ์ดีไปหมด จนไม่มีใครคิดว่าตะวันจะคิดฆ่าตัวตาย”

“..............”

“เห้อ ขอโทษนะคะป้าแก่แล้วก็อย่างนี้ พูดพล่ามไปเรื่อย  ว่าแต่ผู้กองมีเรื่องอะไรเหรอคะ” แม่พูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ซึมอยู่ที่ดวงตา 

“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมก็มีแม่กับน้องสาวการที่ได้คุยหรือฟังคุณป้าพูดผมไม่ได้รำคาญอะไรเลยครับ”



เกิดความเงียบขึ้นชั่วนาที ก่อนที่วิณณ์จะเอ่ยออกมาอีกครั้ง



“ที่ผมมาวันนี้ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับตะวัน แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกว่าผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร  ผมแค่อยากจะพูดแทนตะวันนะครับ”

“พูดแทนตะวัน?”

“ครับ ตะวันรักคุณป้ามากนะครับ และเขาเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแต่เขาแค่อยากจะขอร้องคุณป้า  ขอให้คุณป้าได้โปรดรอเขากลับมาได้ไหมครับ”

“ป้าไม่เข้าใจคะ??”

“ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงไม่ให้ดูงมงาย มันอาจจะฟังดูบ้าไร้สาระ แต่ผมพูดความจริงครับ ผมไม่ใช่คนร้ายและผมเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดไม่ดีกับตะวัน สิ่งที่ผมอยากจะขอคืออย่าเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจของตะวัน ขอเวลาให้ตะวันหน่อยนะครับ”

“ป้าไม่เข้าใจคะ คุณหมายถึงอะไรคะ..........ถอดเครื่องช่วยหายใจทำไมคะ ถ้าถอดแล้วตะวันจะเป็นอะไรเหรอคะ???”






“ป้าดารา มาทำอะไรตรงนี้ครับ”    ยังไม่ทันที่แม่จะตั้งคำถามอะไรเพิ่ม เสียงของบุคคลที่สามก็ดังขึ้น


“พี่วายุ!!!”


“อ้าววายุ”  แม่ผมหันมามองหน้าผู้กองก่อนจะหันกลับไปตอบพี่วายุ 

“เอ่อ………ป้าออกมาคุยธุระกับผู้กองนิดหน่อยนะจ้ะ นี่จ้ะ   นี่ผู้กองวิณณ์ ส่วนนี่วายุเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตะวันนะจ้ะ”  แม่ผมแนะนำตัวให้เสร็จสรรพไม่ต้องปล่อยให้สงสัยนาน

“สวัสดีครับ / เช่นกันครับ”

“วายุไปอยู่เป็นเพื่อนน้องก่อนนะ เดี๋ยวป้าตามเข้าไป”

“ครับ” 

พี่วายุตอบรับแต่ก็ยังไม่วายหันมาสบตากับวิณณ์ ถึงแม้สายตาจะไม่ได้มองว่าเป็นศัตรูแต่ก็ดูไม่ค่อยเป็นมิตรซะทีเดียว พี่วายุก็เป็นแบบนี้แหละครับ ห่วงแม่ห่วงผมเสมอ พี่วายุเป็นลูกของลุงอเนกพี่ชายแม่กับป้าจันทร์ บ้านเราอยู่ติดกัน และเพราะแม่ผมเป็นผู้หญิงต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ทั้งลุงและป้าจึงเป็นห่วงเราสองคนเป็นพิเศษ ซึ่งความห่วงใยนี้ก็ส่งต่อไปยังพี่วายุด้วย


“ผู้กองคะ เรื่อง.............”  ไม่ทันที่แม่ผมจะได้พูด


“คุณป้าครับขอโทษนะครับ สิ่งที่ผมพูดอาจจะทำให้คุณป้าสับสนและลำบากใจ เพราะหมอเองก็ไม่แน่ใจว่าตะวันจะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่า แต่ผมอยากให้คุณป้าเชื่อผมซักนิดอย่าเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจของตะวันนะครับ เพราะผมคิดว่าตอนนี้ตะวันเองก็คงพยายามอย่างมากที่จะฟื้นขึ้นมาให้ได้”

“................”

“นี่นามบัตรผมนะครับ ถ้าคุณป้ามีเรื่องอะไรคุณป้าติดต่อมาได้ตลอดเวลานะครับ ผมยินดี

“จ้ะ”   แม่รับนามบัตรไป ทั้งที่สีหน้าและสายตาของแม่คงมีอะไรอยากจะถามวิณณ์อีกเยอะ แต่แม่เลือกที่จะเงียบ

“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณป้า  อย่าลืมนะครับ มีเรื่องอะไรให้ผมช่วย ผมยินดีเสมอ  สวัสดีครับ”    วิณณ์บอกกับแม่ของผมพร้อมกับกล่าวลา

“เดี๋ยวก่อนคะ  ผู้กองเป็นเพื่อนกับตะวันเหรอคะ?”
.
.
.
.
.
.
.
“ครับ ผมกับตะวันเราเป็นเพื่อนกัน”








ผมเดินตามวิณณ์ออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกันวินาทีที่ได้เจอหน้าแม่ความรู้สึกทุกอย่างมันเหมือนมาจุกอยู่ที่อก ผมรู้ว่าแม่คิดถึงผมและเสียใจต่อการกระทำของผมมากแค่ไหน และผมเองก็อยากจะบอกแม่ว่าผมเองก็เสียใจและคิดถึงมากแค่ไหนเหมือนกัน

ไอ้ตอนมาก็ไม่อยากมา ไอ้ตอนกลับก็ไม่อยากกลับอีก  ก็ผมยังไม่ได้พูดอะไรกับแม่เลยซักคำ อยากกอดก็ไม่ได้กอด อยากพูดอยากขอโทษก็ไม่ได้ทำ   ความรู้สึกที่รับรู้ได้ตอนนี้


คิดถึงมากที่สุด




ผมมองแผ่นหลังของคนตรงหน้า ตอนนี้มีเพียงแค่วิณณ์ที่เป็นทุกอย่างสำหรับผม เป็นทั้งพี่ เพื่อน ครอบครัว เรียกว่าเป็นทุกอย่างสำหรับผม คนที่ไม่เคยเจอหน้ากันตอนที่ยังมีชีวิต แต่กลับมาพบกันและเป็นทุกอย่างสำหรับผมตอนผมเป็นวิญญาณ การได้พบกับวิณณ์มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีค่าอยู่บ้าง ผมไม่รู้ว่าวิณณ์คิดหรือรู้สึกยังไงกับผม อาจจะแค่สงสารเลยยอมช่วยผมก็ได้ แต่ผมก็คาดหวังอยากให้วิณณ์รู้สึกแบบเดียวกัน อยากให้ผมได้เป็นครอบครัวเป็นทุกอย่างสำหรับวิณณ์เหมือนกัน


แต่คำว่า……… ‘เพื่อนกัน’ ………พอได้ยินแล้วทำไมมันหน่วงใจยังไงไม่รู้


เห้อ........เป็นอะไรของผมกันแน่วะเนี่ยยยยยยยยย







“ตะวัน..............นี่ตะวัน เป็นอะไร เรียกตั้งนานแล้วไม่ได้ยินเหรอ”

“หะ.........เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไร”

“คิดอะไรอยู่”

“ป๊าววววววววว”

“คิดมากเรื่องแม่เหรอ”

“ก็บอกว่าเปล่าไง  ชอบทำเหมือนตะวันเป็นเด็กอีกแล้วนะ”    ผมพูดพร้อมกับก้มหัวให้หลุดออกจากมือที่ลูบอยู่

“หึหึ  แล้วคิดอะไร บอกได้หรือยัง”

“ก็.................ไม่รู้ว่าแม่จะคิดยังไง  แม่จะเชื่อไหม แล้วอีกอย่าง ตะวันสงสารแม่ ตะวันแม่งโคตรเป็นลูกที่แย่มากๆ  แล้วก็โคตรบาปเลยทำให้แม่ทั้งเสียใจทั้งร้องไห้”

“ทีหลังจะทำอะไร ก็หัดคิดซะก่อนนะจะได้ไม่ต้องมาเสียใจแบบนี้”

“รู้แล้วน่าๆๆ นี่จะซ้ำเติมตะวันหรือปลอบกันแน่เนี่ย”

“ก้ออออออออ      ทั้งสองอย่าง”    จะลากเสียงยาวเพื่อ

“คร้าบบบบ   คุณผู้กองครับ ทราบแล้วครับว่าผมอะมันโง่ มันไม่คิดก่อนทำ ไม่ต้องย้ำก็ได้คร้าบบ”

“โอ๋......ไม่ร้องนะ อะ ขอมือหน่อย”

“หึ่ยยยย    ไม่ใช่หมานะ   โอ๊ะ........ขอโทษครับ”  เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติผมเอ่ยขอโทษออกไป เพราะมัวแต่เถียงกับตะวันไม่ทันระวังหันไปอีกทีก็ชนเข้ากับคนที่ยืนอยู่........



แต่…………



เอ๋     ผมเดินชนคนเหรอ?    ชนคนเนี่ยนะ!!!



“ตะวันเป็นอะไร”

“ตะวัน…........เดิน............ชน   ลุงคนนี้อะ”  ผมหันไปบอกวิณณ์  แต่ไหงทำหน้าอย่างนั้นละ

“ลุงไหนตะวัน ไม่มีนะ” 

“ก็นี่ไง.......
.
.
ยืน     
.
.
อยู่ 
.
.   
นี่” 



O___O 



หะ  เดี๋ยวนะ  นี่อย่าบอกนะว่า......... ผมหันไปสบตาวิณณ์ ที่ตอนนี้ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ

ชัดครับ............ชัดเลย  ใช่เลย จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก   ..............ผี............... 

ผมนี่รีบกระโดดไปอยู่ข้างหลังวิณณ์




“ตะวัน เป็นอะไรยังไม่ชินอีกเหรอ”   ผมนี่ส่ายหัวแทบปลิวหลุด


ม่ายยยยยยยย   


หืออออออออ 



มานนน....ม่ายยยย....ชินนนน    ตะวันจะไม่ยอมชินกับเรื่องแบบนี้



“ตะวัน      ตะวัน”

“หะ......อะ....อะ..ไร”

“ไม่ลองถามเขาดูเหรอว่าต้องการอะไร”

“เหวอออ!!!  ทำไมต้องเป็นตะวันละ”

“อ้าว  ถ้าไม่ใช่ตะวัน แล้วจะใครละอย่าลืมซิถ้าไม่ใช่ตะวัน วิณณ์ก็สัมผัสไม่ได้นะ อีกอย่างเผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ ภารกิจของตะวันก็จะได้เพิ่มขึ้นด้วยนะ”


เออจริง!!


“เออ   ก็ได้     ก็ได้”   หือออออ ลุงเขาก็ไม่ได้มาร้ายอะไรหรอกนะ ความจริงเป็นผมเองมากกว่าที่มาจ้ะเอ๋กับลุงเข้าเอง แต่ผมไม่ชินอะ   


ผมสูดหายใจก่อนจะก้าวขึ้นมาข้างหน้าแต่ก็ยังจับเสื้อวิณณ์ไว้เพื่อความอุ่นใจ (ว่าแต่ผมหายใจได้เหรอ จะสูดลมหายใจเพื่อ)



“ละ…...ลุงครับ ผมถามอะไรหน่อยได้ครับ”


“ลุง ตะ.........ตายแล้วใช่ไหมครับ”    หือออออ  กูถามอะไรของกูว้าาาาาาา


ลุงมองผมอย่างแปลกใจ เพราะตอนแรกคงไม่ทันสนใจว่าที่พวกผมพูดกันมันคือเรื่องของลุง แต่ลุงก็ตอบคำถามผมแค่การพยักหน้าและหันกลับไปมองทางเดิม ผมเลยตามไปด้วย ตรงนั้นมีคนกำลังพูดคุยกันอยู่ 4-5 คน ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมากแต่จุดที่พวกผมยืนอยู่ก็พอจะได้ยินอยู่บ้าง  เหมือนกำลังเถียงอะไรกันอยู่


“นั่น ครอบครัวของลุงเหรอครับ”   ลุงพยักหน้า


“ทำไมลุงไม่เข้าไปใกล้ๆ ละครับ
.
.
ลุงไม่อยากเจอพวกเขาเหรอครับ
.
.
หรือว่าลุงมีเรื่องอะไรกับพวกเขา”

 
ผมถามอะไรไป ลุงไม่ยอมตอบผมเลยอะ ได้แต่พยักหน้า กับส่ายหน้า หงึกๆ หงักๆ  ถามจนท้อผมเลยหันไปมองหน้าวิณณ์ ซึ่งวิณณ์เองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็แหงหละวิณณ์มองเห็น หรือได้ยินซะที่ไหน   -___- 


เอาวะ ไม้ตายแล้วนะ


“ลุงครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ผมช่วยลุงได้นะ”


เท่านั้นแหละ   ยู้ฮู้…..สนใจผมขึ้นมาแล้วซินะ



“ลุงครับไม่ต้องกลัวพวกผมหรอกนะครับ พวกผมไม่มีพิษมีภัยอะไร  พวกผมช่วยลุงได้นะครับ”  อย่ามองหน้าผมอย่างนั้นแล้วเงียบซิครับ


“นั่นครอบครัวของลุงเอง”  เย้  ลุงยอมพูดกับผมแล้ววว

“ลูกชายของลุงสองคน กำลังเถียงกันเรื่องการจัดการทรัพย์สิน ต่างคนต่างแย่งกันจะเป็นคนจัดการ ส่วนไอ้ลูกสาวคนเล็กก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรไม่กล้าออกคิดความเห็นแย้งกับพี่ชาย ได้แต่ดูพี่สองคนทะเลาะกัน

เห้อ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่รู้พวกมันจะแย่งกันเพื่ออะไร แต่ก็อย่างว่าอะนะ คนที่อยู่มันก็อยากจะใช้ อยากจะได้ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว  ส่วนคนตายก็ตายไปใช้อะไรก็ไม่ได้จะหวงทำไม”

“แล้วคุณลุง จะจัดการยังไงเหรอครับ”

“ลุงรู้อยู่แล้วละ ซักวันถ้าลุงตายว่าปัญหานี้มันต้องเกิดขึ้น แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วแบบนี้”

“………………..”

“ว่าแต่ ไอ้หนุ่มช่วยลุงได้ จริงๆ เหรอ”  ลุงมองผมสลับกับวิณณ์ ลุงก็คง งง คนกับวิญญาณไปไงมาไง มาด้วยกันได้

“ได้ซิครับ พวกผมสองคนช่วยได้แน่นอน”






“ถ้าอย่างนั้น ช่วย………………………….”





----
อ้าว ช่วยอะไรละลุง มาพูดค้างๆ คาๆ ตัดเข้าโฆษณาอะไรเอาตอนนี้

>.<  อย่าเพิ่งฆ่าเค้านะ เค้าจะรีบกลับมาให้นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :z13: นี่.... นี่ หลานคนแต่ง ลุงเขาพูดอะไรอ่ะ คนแก่อยากรู้อยากเห็น

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 10 ตะวันขอสอง


“ถ้าอย่างนั้น ช่วย………………………….”


หะ!!!  นี่ลุงเอาจริงเหรอครับ จะให้ผมทำงั้นจริงเหรอครับ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่ผมที่จะต้องทำ มันก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนตัวสูงข้างๆ ขอให้โชคดีนะ หน้าที่เจรจาเกลี้ยกล่อมเป็นของคุณแล้วครับผู้กอง  ฮาาาาาาาาาา


(ว่าแต่ ทำไมเอ็งถึงมาอยู่กับไอ้หนุ่มนั่นได้ละ)
“เรื่องมันยาววววว     แต่ผมจะสรุปสั้นๆ ก็คือมันเป็นหน้าที่ที่พวกเราสองคนต้องช่วยกันนะครับ”

(เป็นแฟนกันรึ)
“เย้ยยยย  ไม่ใช่ครับ ทำไมลุงคิดอย่างนั้นละ”
 
(หึหึ  อย่ามาหลอกคนแก่เลย ลุงดูแล้วมันยังไงๆ อยู่นา)
“ไม่ยังไงหรอกครับลุง ไม่มีไรทั้งนั้นคร้าบบ  ผมเป็นวิญญาณ นั่นก็เป็นคนจะมาเป็นแฟนกันได้ยังไงละลุงก็”


อะไรของลงุเนี่ย ทักซะผมไปไม่เป็นเลยแหะ อะไรทำให้ลุงคิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน 

แฟนกันเหรอ?  ดูเหมือนเหรอ?  เขินเลยอ่า  >.<

ว่าแต่คง งง กันละซิว่าลุงให้พวกเราช่วยอะไร ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ลุงแกนะทำเอกสารรายละเอียดทรัพย์สินที่มีไว้อยู่แล้ว แบ่งส่วนไหนให้ลูกคนไหนจัดการไว้เรียบร้อยหมด เพียงแต่แกไม่คิดว่าจะมาช๊อคตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตกซะก่อน ทีนี้แกเขียนเอง เก็บเอง ทนายตามกฎหมายอะไรก็ไม่มี ลูกหลานที่อยู่ก็ไม่มีใครรู้ว่าแกทำเอาไว้ ปัญหามันเลยเกิดขึ้นเพราะต่างคนต่างก็แย่งกันเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน


ผมปล่อยให้วิณณ์เข้าไปเจรจาคนเดียว ส่วนตัวเองก็ยืนกับลุงอยู่ที่เดิม จากที่สังเกตยังไม่มีใครแสดงท่าทีอะไรผมเห็นวิณณ์ทำท่าทางไปด้วยพูดไปด้วย จะสำเร็จไหมก็ต้องรอดูกัน  ไม่นานวิณณ์ก็เดินกลับมา


“เป็นยังไง ไปพูดอะไรบ้าง”

“เปล่า ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

“อ้าว อะไรอะ เห็นไปตั้งนานสองนาน สรุปไม่ได้เรื่องเหรอ โธ่เอ้ยยยย”

“ใจเย็นครับคุณตะวัน อยู่ๆ จะให้ผมเดินดุ่มๆ ไปบอกว่า เฮ้ พ่อของพวกคุณฝากผมมาบอกว่าสมบัตินะไม่ต้องแย่งกันนะ แบ่งไว้ให้แล้ว อย่างนั้นเหรอ?” 

“…………………………..”

“ผมนะเข้าไปสอบถามว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือคำแนะนำอะไรไหม จากเท่าที่ฟังลูกๆ ของลุงไม่ได้จะแย่งสมบัติกันหรือยึดครองเป็นของตัวเองฝ่ายเดียว แต่ต่างฝ่ายต่างก็คิดเอาเองว่าคนนั้นจะดูแลไม่ดี คนนี้ไม่เหมาะ มันก็แค่นั้น”

“แค่นั้น?..................”

“อือฮึ  ทีนี้เราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงให้ลูกๆ ของลุงเชื่อว่ามีกระดาษแผ่นนั้นอยู่ และเป็นของลุงจริงๆ” 

เออจริงซิจะทำยังไงละ ทำยังไงให้เชื่อว่ามีกระดาษอยู่จริงและเป็นของลุงจริงๆ

“แล้วเราจะทำยังไงดีละ” 

“ทำยังไงให้พวกเขายอมเชื่อเรื่องนี้นะเหรอ     เห้อออ  งานช้าง”
.
.
.
.
.
.
“ให้หนูช่วยอะไรไหมคะ”  ผมหันไปหาเจ้าของเสียง น้องผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มของลูกๆ ลุงนี่หน่า   ถ้าอย่างนั้น

(ลูกแก้ว  ลูกสาวคนเล็กของลุงเอง)

“น้อง……”

“ลูกแก้วคะ เป็นน้องคนสุดท้องของพี่ๆพวกนั้นคะ”

“ลูกแก้ว หนูรู้เหรอว่าพี่อยากจะทำอะไร”

“หนูอายุ 15 แล้วคะ โตพอที่จะเดาเรื่องได้  ถ้าพี่ไม่ได้เป็นคนบ้าที่พูดคนเดียว พี่ก็คงอาจจะมีอะไรดีๆ  แล้วที่พี่พูดเรื่องกระดาษ  มันคือกระดาษอะไรเหรอคะ แล้วลุงที่ว่าคือใครเกี่ยวอะไรกับพ่อของหนูหรือเปล่าคะ”


O__O  หืมมม นี่มายืนฟังตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยยย 


“เอ่อ  พี่ไม่ได้บ้าหรอกครับ พี่ก็แค่เป็นตำรวจ ถ้าพี่บอกแล้วน้องสัญญาว่าจะไม่หัวเราะ และยอมฟังพี่จนจบไหมละครับ”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเหตุผลมันโอเคไหมคะ” 


อ๋อยยยยยย  ผมขอโทษนะครับลุง  แต่ลูกลุงนี่    โ ค ต ร   ก ว น    ตี น  เลยครับ


“แล้วพี่จะบอกได้หรือยังคะ”

“จ้าๆ   พี่มีเรื่องให้เชื่อว่าพ่อของหนูทำเอกสารแบ่งทรัพย์สินไว้ให้ทุกคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือตัวหนูเองทุกคนได้ครบทุกคน เพราะฉะนั้นมันไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่พวกพี่ๆ หนูจะมาเถียงกันเรื่องจัดการทรัพย์สิน”


“พี่รู้?   ได้ยังไงคะ?”

“พี่มี……………ตาทิพย์”    นี่คุณวิณณ์ยังมีอารมณ์เล่นเนอะ

(ไอ้หนุ่มมันท่าจะบ้าจริงๆ อย่างที่ลูกลุงบอกนะ)  ผมก็เพิ่งรู้นี่ละครับลุง

“นี่วิณณ์ มัวพูดอะไรอยู่ อย่างนี้น้องเขาจะเชื่อเหรอ”  ผมขยับเข้าไปพูดข้างๆ วิณณ์

“เอาน่า รอดูไป”

“ฮาาาาาาาาา  พี่นี่สงสัยจะบ้าจริงๆ อะ ถ้าพี่มีตาทิพย์ หนูคงมีหูทิพย์แล้วละ ฮาาาาาาา”  แล้วน้องลูกแก้วก็หัวเราะไม่หยุด

“อ่าฮะ  พี่ลืมบอกไปนอกจากตาทิพย์แล้ว  พี่ก็ยังมีหูทิพย์ด้วยนะ”

“………………”

“ไม่เชื่อเหรอ ลองถามอะไรพี่มาก็ได้  เอาเลย  อยากถามอะไรก็ได้ พี่ตอบได้หมด”  น้องทำหน้าสงสัย เหล่มองอย่างคิดหนัก อย่าว่าแต่น้องเลยทั้งผมและลุงต่างก็ทำหน้าไม่ต่างกัน

“ได้ทุกเรื่องเหรอ”

“ทุกเรื่อง   แต่ต้องเป็นเรื่องเฉพาะครอบครัวของน้องเท่านั้นนะ”

“ทำไมละ”

“มันเป็นกฎ  เอาละถามมาได้แล้ว”  น้องทำท่าคิดหนัก แต่ตอนนี้ผมเองพอจะเดาความคิดของวิณณ์ออก


“หนูเคยเกือบจมน้ำตอนอายุเท่าไหร่”   
(7ขวบ)
“7ขวบ”
“7 ขวบ”

“แล้วใครเป็นคนช่วยหนู”     
(พี่ชายคนโตชื่อโจ)
“พี่ชายคนโตชื่อโจ”
“พี่ชายคนโตชื่อโจ”

“แล้วพ่อทำยังไงกับหนู”     
(ตี)
“ตี     หะ ตีเหรอ ตกน้ำนะครับลุง แทนที่จะปลอบลุงตีทำไมเนี่ย”
(ลุงเตือนแล้ว แต่ไม่ฟัง ก็ต้องถูกลงโทษ)
“ตี”

น้องลูกแก้วทำหน้าอึ้งกับคำตอบที่ได้แต่ดูท่าจะยังไม่ยอมง่ายๆ วิณณ์เองก็ทำหน้าเชิญชวนให้น้องหาคำถามมาถามต่อ

“ในกลุ่มคนพวกนั้น คนไหนเป็นแม่ของหนู”

“……………….”   

“ไหนลองบอกมาซิคะ”

(ไม่มี   ไม่มีแม่อยู่ไหนนั้น  ลุงกับแม่ของพวกเขาเลิกกันไปนานแล้ว แม่ยายลูกแก้วแกทิ้งลุงไป  ทิ้งพวกเราไป)

“เงียบแบบนี้  แสดงว่าไม่รู้ใช่ไหมคะ ที่แท้พี่ก็เดาเอาจนถูกมากกว่าใช่ม้า”

“วิณณ์” ผมพูดพร้อมส่ายหน้า   

“ไม่มี  คนในกลุ่มนั้นไม่มีแม่ของลูกแก้วอยู่เลยเพราะ ลุงกับแม่ของลูกแก้วแยกทางกันนานแล้ว”

“ไม่มี”

“……………………” 

“พ่อกับแม่ของน้องแยกทางกันแล้ว ในนั้นจึงไม่มีใครเป็นแม่ของน้อง”   


เงียบบบบบบบบบ     เกิดเป็นความเงียบขึ้นเมื่อวิณณ์ได้ตอบคำถามของลูกแก้วออกไป จากนั้นลูกแก้วก็ได้ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงหน้า  ผมไม่รู้ว่าน้องคิดอะไรอยู่ เรื่องครอบครัวเป็นอะไรที่บอบบาง คงต้องให้เวลาน้องเขาสักพัก

 
“หนูเกลียดแม่ เพราะแม่ทิ้งพ่อกับพวกเราไปอยู่กับคนอื่น ทั้งที่พ่อทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวแต่แม่กลับไม่สนใจ เอาแต่ตัวเอง เอาแต่ความสบาย  แม่ทิ้งพวกเรา ทิ้งพ่อ  พ่อที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูพวกเราสามคน แต่แม่กลับไปกับคนอื่น ไม่สนใจใยดี ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง…………..

หนูร้องไห้ขอร้องแม่ว่าอย่าไป  ทั้งวิ่งตามทั้งอ้อนวอนขอร้องแม่ว่าอย่าไป แต่แม่ก็ไป!!!


“เอ่อ  ลูกแก้ว  พี่…….พี่ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกคะ  หนูชินแล้วละ

มีแม่แบบนี้ ไม่มีซะยังดีกว่า”

(อย่า…….อย่าคิดแบบนั้นลูก มันบาป อย่า)  ลุงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พูดไปลูกก็ไม่ได้ยิน ให้ผมพูดน้องเองก็ไม่ได้ยินเหมือนกัน

“วิณณ์  ทำอะไรสักอย่างซิ”  ผมไปพูดข้างๆ วิณณ์อยากให้ช่วยทำอะไรซักอย่าง สงสารน้องก็สงสาร สงสารลุงก็สงสาร วิณณ์หันมาสบตาและพยักหน้าให้

“นี่ลูกแก้วรู้ไหม  คนเรานะเกิดมาไม่มีใครสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ บางคนอาจจะมีครบทุกอย่างพ่อแม่พี่น้องทรัพย์สินเงินทอง   บางคนอาจจะขาดพ่อ หรือ ขาดแม่  หรือเป็นพ่อแม่ที่ไม่มีลูก บางคนอาจจะมีเงินมีทองหรือไม่มี  แต่พวกเขาบางคนสามารถมีความสุขได้หรือทำให้มีความสุขได้ทั้งที่มีไม่ครบ รู้ไหมเพราะอะไร”

“ไม่คะ”

“เพราะพวกเขาเข้าใจในชีวิตที่มีและที่เป็น พอใจกับมันและทำมันให้ดีที่สุด ถึงมันจะไม่สวยหรูแต่ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิตให้ดี อยู่ให้เป็นความสุขมันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน จำไว้นะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา” 

ผมฟังสิ่งที่วิณณ์พูด ฟังแล้วย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องตัวเอง จริงด้วยซินะไม่มีใครสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างมันอยู่ที่เรา วิณณ์เป็นคนที่คิดบวกเสมอ จิตใจดีและอบอุ่นที่สุด อบอุ่นเสมอเมื่ออยู่ใกล้

“ขอบคุณนะคะ  เอาละ ทีนี้พี่อยากให้หนูช่วยอะไรบอกมาเลยคะ”  เปลี่ยนอารมณ์ไวมาก จากที่เศร้าเมื่อกี้หนูคิดอยากจะกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วก็มาพูดเสียงแจ๋วได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“เอาละตะวัน  ที่นี้ ลุงต้องบอกแล้วละว่า กระดาษอยู่ที่ไหน”  ผมรับคำและหันกลับไปคุยกับลุง


(กระดาษอยู่ที่………………………)





“พี่โจ  พี่กาน”

“ลูกแก้วหายไปไหนมา แล้วไปซนอะไรมาอีก   อ้าว  ผู้กองมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“ไม่ได้ซนซักหน่อยพี่กาน”

“ผมมาส่งลูกแก้วนะครับ พอดีเมื่อกี้น้องเดินหลงไปทางโน้นนะครับ ผมเลยเดินกลับมาส่ง”

“ขอบคุณนะครับ ไหนบอกไม่ซนไง ดูซิลำบากผู้กองต้องพากลับมาเลย”

“รู้แล้วน่า พี่โจ บ่นเป็นคนแก่เลยอายุยังไม่ถึง 30เลยนะ”

“แหนะ ยังมาย้อนพี่อีกนะ ขอบคุณอีกครั้งนะครับผู้กอง”

“ไม่เป็นไรครับ”



“ลูกแก้วอย่าลืมนะ  แล้วโทรบอกพี่ด้วยละ”   วิณณ์น้อมตัวลงไปกระซิบกับลูกแก้ว

“โอเคคะ”




“เรียบร้อยดี?”

“อืม  จากนี้ก็ต้องรอฟังผลจากลูกแก้ว”

“ลุงครับ แล้วลุงจะทำยังไงต่อครับ”    ผมหันไปถามคุณลุง

(ลุงจะไปกับพวกเขา  ถ้าพวกเขาหากระดาษเจอลุงก็คงหมดห่วงไป ลุงจะได้ไปตามทางของลุงซะที ต่อจากนี้จะเป็นยังไงก็ให้เป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ต่อไปแล้วกัน)

“ครับ ผมคิดว่าลูกแก้วต้องทำได้ครับ”

(ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม)

“ยินดีมากเลยครับ”

(อ้อ…….ฝากขอบใจแฟนเอ็งด้วยละ)

“มะ………ไม่ใช่   โธ่ลุงครับ”

(หึหึ)



โอ้ยยยย จะมาหึมาแหะ อะไรเล่าลุงเนี่ย




>> ต่อด้านล่างคะ


ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
“คุณลุงไปแล้วเหรอตะวัน”

“ใช่ ลุงบอกว่าแกจะไปพวกลูกๆ ด้วย”

“ปะ  กลับกันเถอะตะวัน”    ระหว่างที่พวกเราเดินมายืนรอลิฟท์





“พี่   พี่คะ”

“วิณณ์  ได้ยินอะไรไหม”

“ได้ยินอะไร?   ไม่นะ”


โอะโอ่  ไม่นะ จะมีอะไรอีก วันนี้ผมไม่ไหวแล้วน้า นึกอยากจะมีเรื่องเข้ามาหาก็ประเดประดังกันเข้ามาไม่ยั้งเลยน้า

(พี่คะ)

โอ้วววววววววว   ไม่นะ    อีกแล้วเหรอเนี่ยยยยยยยยยยยยยย


ร้องโวยวายมันก็แค่นั้น ทำได้ดีที่สุดก็แค่หันไปเผชิญหน้า คราวนี้จะเป็นเรื่องอะไรอีกละเพราะหลังจากที่เพิ่งผ่านเรื่องเมื่อกี้มาทำให้ผมเรียนรู้ได้ว่าการทำภารกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับคนมันละเอียดอ่อน และยากเย็นกว่าการตามแก้คดีของผีซะอีก

“เอ่อ  น้องเรียกพี่หรือเปล่าครับ”

(ใช่คะ เรียกพี่นะแหละคะ)

“น้องมีอะไรหรือเปล่าครับ”

(พี่ช่วยหนูได้ไหมคะ  หนูเห็นพี่กับพี่ผู้ชายอีกคนช่วยลุงคนนั้น พี่ช่วยหนูได้ไหมคะ ขอร้องละคะ)

 “ให้ช่วยอะไรเหรอครับ”

(ช่วยไปบอกพ่อกับแม่หนูให้ที)





พวกเราเดินมากับน้องตามที่น้องเอ่ยชวน และมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง ห้อง ICU  ข้างในมีร่างของเด็กผู้หญิงพร้อมกับสายระโยงระยางรอบตัว ข้างเตียงมีผู้หญิงและผู้ชายคอยอยู่ใกล้ไม่ห่าง


(นั่นคือพ่อกับแม่ของหนู  ส่วนบนเตียงนั่นก็หนูเองคะ ช่วยบอกพ่อกับแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ มันหมดเวลาของหนูแล้ว อย่ารั้งหนูไว้อีกเลย หนูเสียใจถ้าจะต้องตาย แต่ร่างกายหนูไม่ไหวแล้ว และถ้าขืนพ่อกับแม่ยังรั้งหนูไว้แบบนี้ พ่อกับแม่เองก็จะยิ่งเสียใจ)

“ทำไมน้องถึงพูดแบบนั้นละครับ”

(หนูรู้ตัวดีคะ สภาพร่างกายของหนูไม่ตอบสนองต่อการรักษา ยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์)

“น้องเป็นอะไรพอบอกพี่ได้ไหม   เออ..ว่าแต่ชื่ออะไรคะ ยังไม่บอกพี่เลยนะ”

(หนูชื่ออลิซคะ  หนูเป็นมะเร็งเม็ดเลือดตอนนี้เข้าสู่ระยะสุดท้าย ถึงหมอจะบอกว่ายังพอมีโอกาส แต่หนูรู้หนูไม่มีโอกาสนั้นแล้ว โอกาสมันหมดไปตั้งแต่วันที่หมอตัดสินใจทำคีโมครั้งสุดท้ายแล้วคะ)

“…………………..”

(ที่หมอพูดแบบนั้นก็เพื่อปลอบใจแม่ ถึงแม้จะพูดอ้อมๆ ให้เตรียมใจไว้บ้าง แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมฟัง ยังยืนยันให้หมอทำคีโมให้ได้ และผลก็คือหนูไม่ตอบสนองต่อการรักษาและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย

ความจริงหนูต้องตายตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ได้  แต่ที่ร่างกายยังอยู่ได้ก็เพราะเครื่องช่วยหายใจ)


“แล้วอลิซอยากให้พวกพี่ไปบอกพ่อกับแม่ว่าปล่อยให้หนูตายอย่างนั้นเหรอ”

(คะ)

“มันดูโหดร้ายและใจร้ายกับพ่อแม่หนูมากเลยนะ  พี่……พี่ทำไม่ได้หรอก”

(แต่การที่หนูอยู่โดยพ่อกับแม่หวังว่าหนูจะฟื้น แต่แล้วสุดท้ายหนูก็ต้องตาย  มันไม่ทรมานกว่าเหรอคะ พี่คะ   ได้โปรด   ช่วยหนู  ช่วยพ่อกับแม่หนูด้วยนะคะ)


ผมไม่รู้จะทำยังไง เอายังไงดีละ เรื่องนี้มันเกินกำลังวิญญาณอย่างผม แต่เอาเข้าจริงทุกครั้งมันก็ไม่ใช่ผมที่เป็นคนแก้ไขปัญหาอยู่ดีนี่หน่า  ผมหันไปหาวิณณ์และเล่าเรื่องของอลิซให้ฟัง


“วิณณ์ เราจะทำดียังไงละ”

“ตะวัน มันเป็นเรื่องที่เปราะบางมากเลยนะ การที่จะเดินเข้าไปบอกใครว่า ปล่อยให้เขาตายเถอะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

“ตะวันรู้  นี่ไงถึงได้ขอความเห็นของวิณณ์อยู่นี่ไง”

“เห้อออออออ   เอาเถอะคงต้องใช้แผนเดิม  เราต้องเป็นฝ่ายพูดแทน  พูดแทนในนามของน้องเขา”






ก๊อก ก๊อก ก๊อก    ผู้เป็นพ่อเดินมาเปิดประตู


“สวัสดีครับ ผมผู้กองวิณณ์ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณครับ” 

“ครับ?”  คนพ่อเดินออกมาจากห้องและนั่งลงที่เก้าอี้หน้าห้องด้วยท่าทีอิดโรย ผมไม่รู้เลยว่าเขาต้องใช้ความอดทนแค่ไหนที่จะผ่านแต่ละนาที แต่ละชั่วโมง แต่ละวันไป มันยากที่จะต้องอยู่เพื่อทนดูเวลาของคนที่เรารักค่อยๆ เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ


“ผมขอโทษนะครับที่มารบกวนเวลา”

“ครับ ผู้กองมีเรื่องอะไรกับผมเหรอครับ” 

“ผมมีข้อความมาแจ้งครับ จากลูกสาวคุณ   น้องอลิซ”

“……………”   คนพ่อลุกขึ้นมองหน้าวิณณ์ด้วยสีหน้าที่ทั้งโกรธระคนตกใจ

“คุณพูดเรื่องบ้าอะไรของคุณ ผมไม่ตลกด้วยนะ”

“ผมขอโทษนะครับถ้าอะไรที่ผมพูดไปจะทำให้คุณไม่พอใจ แต่ผมไม่มีเจตนาร้ายอะไรกับคุณและกับน้อง ผมแค่ทำหน้าที่นำข้อความมาแจ้งเท่านั้นครับ”





“ข้อความอะไรเหรอคะ”   กลายเป็นผู้เป็นแม่ที่ตามออกมาและเอ่ยถาม

“คุณไม่ต้องสนใจหรอก เรื่องไร้สาระ”  คนพ่อลุกขึ้นและเข้ามาจูงมือคนแม่ให้กลับเข้าห้อง

“คุณคะคุณ  คุณใจเย็นนะ ฟังซักหน่อยเถอะคะ”

“ผมขออนุญาตินะครับ  ผมรู้ว่าน้องอลิซเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย และการทำคีโมครั้งล่าสุดแทนที่น้องจะดีขึ้นมันกลับทำให้น้องไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”

“คุณรู้ได้ยังไง…………..”

“โธ่คุณ ไปฟังทำไม เขาก็คงไปหาข้อมูลมาจากไหน หรือไปถามจากหมอจากพยาบาลมานะซิ คอยดูนะเอาข้อมูลคนไข้มาเปิดเผย ผมจะฟ้องโรงพยาบาล”

“คุณครับ มีเหตุผลและใจเย็นฟังผมซักนิดเถอะครับ”

“ฉันเห็นด้วยนะคะ คุณฟังก่อนเถอะคะ”  คนแม่ท่าทีไม่ได้ดูดีไปกว่าคนพ่อเลย แต่ท่าทีที่แสดงออกมากลับดูสงบและมีสติมากกว่า

“ความจริงผมรู้เรื่องพวกนี้มาจากน้องอลิซ”

“นี่ไง ที่ผมบอก มันไร้สาระพอไหมคุณ ลูกเรายังนอนอยู่บนเตียง แล้วจะไปคุยกับเขาตอนไหน เรานั่งเฝ้าลูกเราตลอด ลูกเรายังไม่แม้แต่จะลืมตา แล้วนี่มาบอกคุยกับลูกเรา ถ้าคุยกันจริง  งั้นก็ต้องเป็น ผี แล้วละมั้ง”


คุณ!!!!   ฮึกกกก”     เมื่อได้ยินประโยคจากปากคนพ่อ คนแม่ก็สะดุ้งพาน้ำตาไหล


“เอ่อ  ผมขอโทษนะคุณ ผมขอโทษ   ส่วนคุณผมให้เวลา 10 นาที อยากพูดอะไรพูดมา เสร็จแล้วผมจะได้เข้าไปอยู่กับลูกผม”   คนพ่อหันมาพูดกับวิณณ์ในประโยคหลัง


“ผมจะพูดแบบสรุปเลยนะครับ  ที่ผมบอกว่าได้คุยกับน้องอลิซเป็นเรื่องจริงครับ น้องอยากให้ผมมาบอกพวกคุณสองคนว่า น้องเขารักพวกคุณมากเหมือนที่พวกคุณรักเขา สิ่งที่พวกคุณทำให้ทุกอย่างน้องเขารับรู้ และดีใจมากที่พวกคุณไม่ทิ้งเขา แต่เขาอยากจะขอร้อง……………..

ขอร้องให้ช่วยหยุด หยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ ร่างกายของน้องไม่ไหวแล้ว น้องไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว
 
ได้โปรด   อย่ายื้อ  เขาอีกเลย”


“คุณ!!!     คุณกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้   กล้าดียังไง  กล้ามาแช่งน้องเขาได้ยังไง   กล้ามาแช่งลูกผมได้ยังไง  ฮึก…ฮึก”


เสียงตะโกนที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความโกรธ


“ผมขอโทษจากใจ  สิ่งที่ผมพูดไปไม่ใช่ไม่หวังดี ไม่ได้แช่งหรือต้องการให้น้องตาย แต่น้องเองก็ทรมาน เห็นพ่อกับแม่เขาเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งทรมาน เขาถึงมาขอร้องผมให้ช่วยพูดแทนเขา”

วิณณ์ต้องใช้สติและไหวพริบอย่างมากในการพูดคุยทุกครั้ง เหมือนกับกำลังเจรจาต่อรองกับคนร้ายก็ไม่ปาน



(พี่คะ ถ้าพูดกับพ่อเรื่องนี้พ่อต้องเชื่อแน่นอนคะ…………………)

ผมตั้งใจฟังวิ่งที่น้องอลิซเล่าให้ฟัง และ       “วิณณ์………………...”



“คุณพ่อคุณแม่ครับ กรุณาฟังผมอีกหน่อยนะครับ เมื่อฟังจบแล้วจะเชื่อหรือไม่แล้วแต่พิจารณาเลยครับ”

“…………………………….”

“ตอนนี้น้องอลิซ 9 ขวบใช่ไหมครับ  ตอนเด็กที่อลิซอายุ 5 ขวบ น้องเคยไปเที่ยวสวนสนุกกับคุณพ่อคุณแม่ ตอนนั้นน้องมัวแต่สนใจกับขบวนพาเหรด ทั้งที่คุณพ่อเตือนแล้วว่าอย่าเดินเข้าไปใกล้มากเพราะจะพลัดหลงได้ แต่น้องก็ไม่ฟัง ยิ่งเดินเข้าไปดูก็ยิ่งใกล้ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งห่างออกไปและด้วยคนที่เยอะทำให้น้องถูกเบียดไปอยู่ในขบวน เลยถูกคนในขบวนพาเหรดชนล้มลงจนหัวกระแทกพื้นเย็บ 3 เข็ม  น้องทั้งกลัว ทั้งเจ็บ แต่ที่กลัวที่สุดคือกลัวคุณพ่อโกรธ แต่สุดท้ายคุณก็ไม่โกรธแก แต่โทษตัวเองที่ปล่อยให้ลูกคลาดสายตา”

“ไม่จริง!!!  คุณรู้ได้ยัง คุณต้องไปสืบมาแน่ๆ”

“เรื่องนี่มี่แต่คุณสองคน และน้องอลิซที่รู้ ถ้าพวกคุณไม่ได้บอกผม แล้วคิดว่าใครบอกผมละครับ อีกอย่างมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปสืบจากใคร นี่คือครั้งแรกที่ผมเจอพวกคุณ เรื่องนี้ผมก็เพิ่งได้ฟังมาวันนี้”


“ไม่จริง  ไม่จริง ใช่ไหม  ก็อลิซยังนอนอยู่ในห้อง  เครื่องช่วยหายใจก็ยังทำงานอยู่  แล้ว………..แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง ฮืออออออ………..ฮึกฮึก”


คุณแม่นั่งลงเอามือปิดหน้าส่งเสียงร้องไห้ ดูแล้วเป็นภาพที่ชวนหดหู่ นี่พวกเราทำถูกแล้วจริงๆ ใช่ไหม การต้องมาทำแบบนี้ รับรู้เรื่องพวกนี้ พวกเราทำถูกแล้วใช่ไหม?


“จะให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังยืนยันว่าข้อความที่ผมถ่ายทอดออกมาผมรับมันมาจากน้องอลิซเขาทุกอย่าง  ทุกคำที่พูดเป็นความสัตย์จริง ผมไม่มีเจตนาร้ายหรือคิดไม่ดีต่อครอบครัวของคุณ และไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะมาหลอกลวงพวกคุณ พวกคุณสามารถตรวจสอบผมก็ได้ว่าผมเป็นตำรวจจริงหรือไม่ ผมยินดี”


“…………………….”

“ตอนนี้ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณแล้วละครับ หมดหน้าที่ผมแล้ว”

“ผู้กองครับ  น้อง………………น้องอลิซ   ลูกผมเขาเป็นยังไงบ้างครับ”

วิณณ์หันมามองหน้าผม



“น้องเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากครับ   และตอนนี้เขาก็กำลังยิ้มให้พวกคุณด้วยรอยยิ้มที่คุณพ่อชอบเรียกเสมอว่า……….ลิงน้อยของพ่อ


“โฮฮฮฮฮฮ” เพียงได้ยินแค่นั้น ผู้เป็นพ่อถึงกับร้องไห้และทรุดขาลงกับพื้น โดยมีคนแม่ที่เคียงข้างไม่ห่าง  แม่เองออกจะดูเข้มแข็งกว่าพ่อมาก หรืออาจจะเพราะเตรียมใจไว้แล้ว


(แม่เข้มแข็งกว่าพ่อมากคะ แม่เตรียมใจยอมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นไว้เสมอ มีแต่พ่อที่ไม่ว่าตอนไหนก็ไม่สามารถยอมหรือปล่อยวางได้เลย หนูขอบคุณพี่สองคนมากนะคะ  แค่ได้บอกพ่อกับแม่ให้เข้าใจหนูก็ดีใจมากแล้วคะ  ขอบคุณจริงๆนะคะ   
ฮึก…ฮึ….กก)





ตี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด




มันเหมือนเสียงสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของผู้เป็นพ่อเพราะทันทีที่เครื่องวัดสัญญาณชีพในห้องส่งเสียงลากยาวขึ้น คนพ่อก็รีบวิ่งเข้าไปในห้อง ร้องไห้ โวยวายไม่หยุด แต่..........


แต่กลับไม่มีการเรียกหมอหรือพยาบาล เลยซักคน


ไม่เรียก และปล่อยให้เวลาผ่านไป   ผ่านไป


พร้อมกับซึบซับช่วงเวลาแต่ละนาทีอย่างทรมาน


ด้วยดวงใจที่แตกสลาย



ผมกับวิณณ์ตัดสินใจเดินออกมาโดยไม่กล่าวคำอำลาใด เพราะแค่นี้พวกเราก็รู้สึกแย่และทรมานใจอย่างที่สุดแล้ว



“ผู้กองคะ” คนแม่วิ่งตามออกมา

“ขอบคุณมากนะคะ ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณทำจะเรียกว่าอะไร  แต่ขอบคุณนะคะ  ขอบคุนมากจริงๆ”

“ครับ  เข้มแข็งและดูแลตัวเองด้วยนะครับ”

“คะ”



“วิณณ์  สิ่งที่เราทำนี่มันดีแล้วจริงเหรอ”

“เราไม่ที่ทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำจะดีหรือไม่ดีกับใคร แค่เราทำสิ่งที่ถูกก็พอ  ตะวันอย่าคิดมากเลยนะ”

“อืมมม”

“ปะ กลับบ้านกัน”

“กลับบ้านกัน”






ตะวันกับวิณณ์พากันเดินออกมาจากโรงพยาบาลโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำเหล่านั้นของวิณณ์ได้อยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งโดยตลอด




ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โห วันเดียวได้สองเคสเลย (ถ้าเรื่องของคุณลุงสำเร็จน่ะนะ)
ว่าแต่ใครเห็นการกระทำของวิณณ์ล่ะ หวังว่าจะไม่ได้มีจุดประสงค์ไม่ดีนะ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
วิญญาณเฮฮาปราตี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2017 16:21:15 โดย t2007 »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รอบนี้มีคนเห็นตะวันได้อีกคนเหรอ ใครนะ เป็นคนดีหรือไม่ดีหว่า  :confuse:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 11 พี่ชาย น้องชาย


[วิณณ์]


ใครว่าเป็นตำรวจจะสบาย ผมนี่เถียงใจขาดดิ้นอย่างน้อยตอนนี้ก็ผมคนนึงละ ว่าคดีมนุษย์โลกยุ่งยากแล้วคดีผียุ่งยากกว่าอีก ฟังไม่ผิดหรอกครับผมกล้าใช้คำว่าคดีมนุษย์ก็เพราะตอนนี้ผมมีวิญญาญมาป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยนี่แหละ

มนุษย์เมื่อกระทำความผิดย่อมต้องมีมูลเหตุและแรงจูงใจ เมื่อมีเหตุของการกระทำ ย่อมมีผลของการกระทำเสมอ และผลผลิตของการกระทำเหล่านั้นย่อมมีเศษซากให้เราค้นเจอและพากลับไปยังต้นเหตุได้เสมอเช่นกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องของผี หรือ วิญญาณ ความต้องการที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ และทุกครั้งผมจะรับรู้ได้ก็ต้องส่งผ่านมาทางบุคคลอีกคน   ‘ตะวัน’

และความต้องของผีหรือวิญญาณเหล่านั้นมันก็ช่างมากมายแตกต่างกันเหลือเกิน ความต้องการพบเจอกับคนอันเป็นที่รัก ความต้องการเรียกร้องความยุติธรรม หรือแม้แต่กระทั่งความห่วงหาที่ยังมีให้กับคนที่อยู่  แต่ผมก็โอเคนะ ถือซะว่ามันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่อีกแบบ และอีกอย่างตอนนี้ผมว่าผมเริ่มชินที่จะมีใครอีกคนเข้ามาในชีวิตซะแล้ว


Rrrrrrrrrrrrr

“ครับแม่” เรียกออกไปโดยไม่ต้องรอให้ปลายสายแนะนำตัว ก็ชื่อมันโชว์ไว้แล้วนี่น่า
(ว่าไงลูกชาย  จะมาหาแม่อีกทีวันไหนจ้ะ)

“เย็นนี้ครับ  เดี๋ยววิณณ์กลับกินข้าวด้วยและค้างด้วยครับ”
(ดีเลย ยายน้องสาวตัวแสบบ่นคิดถึงพี่ชายจะแย่อยู่แล้ว)

“บ่นคิดถึงผมหรือเค้กกันแน่ครับ”
(ฮ่าๆ  แม่ว่าน่าจะอย่างหลังมากกว่านะ – อะไรอะแมมมมมม่    เม้าลูกอีกแล้วน้าๆๆ) 

นั่นไงยายตัวแสบของผม ได้ยินเสียงโวยวายแทรกเข้ามาเลย

“ฮ่าๆ งั้นเดี๋ยวตอนเย็นวิณณ์รีบกลับไปหานะครับแม่”
(จ้า ลูกชายสุดหล่อ เดี๋ยวแม่ทำของชอบของวิณณ์รอเลย)

“คร้าบ  บายครับแม่”
(บายจ้า)



สรุปเย็นนี้ผมก็ต้องพาตะวันมาที่บ้านด้วย เหตุเพราะตะวันไม่อยากอยู่คนเดียวในห้อง ผมไม่รู้แล้วว่าตะวันเป็นวิญญาณจริงหรือเปล่า บางทีก็เหมือนเด็กเล่นซนไปเรื่อย  ความมืดก็กลัว  เจอวิญญาณดวงอื่นตะวันก็ยังจะตกใจ แถมกลัวอีกต่างหาก ไม่ชินซักที ตลอดทางที่นั่งมาก็ถามตลอด ช่างพูดช่างสงสัยทุกเรื่อง ไอ้ผมเองก็บ้า พูดอะไรมาก็ฟัง ถามอะไรมาก็ตอบทุกเรื่องเหมือนกัน ยอมใจในความช่างพูดของเขาซะจริงๆ 

ผมเป็นคนไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวและหวงพื้นที่ส่วนตัวมาก ประเภทห้ามใครเข้ามายุ่งเลยเด็ดขาด ขนาดเพื่อนที่สนิทยังไม่รู้เรื่องเยอะขนาดตะวันเลยนะ แต่ถ้าถามว่ารำคาญไหม  แปลกแหะ ไม่เคยมีความคิดนั้นอยู่ในหัว
แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป ก็ไอ้เสียงแจ๋วๆ ของคนข้างๆที่อยู่ๆ ก็เงียบไป ผมเหลือบมองคนด้านข้าง อ้าวเป็นอะไรไปละ เมื่อกี้ยังเห็นมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสนใจ ตอนนี้กลับนั่งก้มหน้าไปซะงั้น

“ตะวัน เป็นอะไรหรือเปล่า”

“หะ!!!!”

“เป็นอะไร อยู่ดีๆ ก็เงียบไปถ่านหมดหรือไง”

“เปล่า ...... ก็ ...... แค่” 


แล้วก็เงียบไป แค่ อะไรละ แต่เอาเข้าจริงผมก็พอจะรู้สาเหตุนะ ถ้าสังเกตุให้ดีจุดที่รถผมกำลังผ่านมันก็เป็น......

.....จุดที่  ตะวัน....ตาย....


“กลัวเหรอ” ผมถามพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือคนข้างๆ ไว้ เพราะจากเวลาที่ผ่านมาพอทำให้ได้รู้ว่า คนข้างกายไม่ได้เก่งกล้าอะไรเลย ออกจะบอบบาง อ่อนไหวด้วยซ้ำ แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งของตะวันคือ การคิดในแง่บวกเสมอ และรอยยิ้มสดใสนั้น
มันก็ไม่แปลกหรอกที่อยู่ๆ ตะวันจะเงียบไป เป็นผมก็คงหดหู่เหมือนกัน

“มันก็.....”

“หืม”

“นิดนึง แต่จริงๆแล้ว เรารู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่า”  พูดไปก็ก้มมองมือตัวเองไป ซึ่งมันบ่งบอกว่าคนข้างๆ คิดมากและรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ขนาดไหน

“วิณณ์จะไม่บอกว่าสิ่งที่ตะวันทำมันผิดหรือถูกหรอกนะเพราะวิณณ์ไม่สามารถไปตัดสินใครได้ วิณณ์เองก็ไม่รู้ว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบตะวัน ตัวเองจะทำอะไรรับมือกับมันแบบไหน เผลอๆ บางทีมันอาจจะแย่กว่าตะวันก็ได้นะ”

“ไม่หรอก วิณณ์นะทั้งเก่งทั้งฉลาด ไม่มาทำอะไรโง่ๆ แบบตะวันหรอก เชื่อซิ”

“หึหึ”


ขนาดหน้าหงอยขนาดนั้นยังพูดไปยิ้มไปได้อีก ผมถึงยิ่งรู้สึกว่าถ้าอะไรจะเหมาะกับตะวันมากที่สุด ก็คงเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีการเสแสร้งใดๆ จากตรงนั้นไม่นานรถก็เข้ามาถึงชุมชนบ้านสวนของผม



“โห วิณณ์ มีคลองด้วย ต้นไม้เต็มเลย บรรยากาศดีกว่าในเมืองอีกอะ”


คนข้างๆ พูดไปก็ตาโตไป ผมขับรถเข้ามาตามถนนเรื่อยๆ โชคดีที่บ้านผมถนนทางเข้ากว้างพอที่รถสามารถเข้าได้ ถ้าเป็นบ้านอยู่ลึกเข้าไปหมดสิทธิ์จะผ่านได้ก็แค่รถเล็กๆ เท่านั้น อย่างพวกจักรยานหรือมอเตอร์ไซต์ ไม่อยากจะบอกว่า บ้านผมนี่ทำเลดีที่สุดละ นอกจากถนนแล้ว ด้านหลังบ้านยังติดคลองอีกด้วย

รถเข้ามาจอดหน้าประตูรั้วสีขาว ผมลงไปเปิดประตูโดยให้ตะวันนั่งรอบนรถและไม่ลืมที่จะหันไปไหว้ศาลพระภูมิหน้าบ้านเพื่อขออนุญาติให้ตะวันเข้ามาในบ้าน มันกลายเป็นสิ่งอัตโนมัติไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเวลาที่ผมไปไหนมาไหนจะต้องยกมือบอกกล่าวขออนุญาติให้ตะวันเข้าบ้าน เมื่อรถเข้ามาจอดภายในตัวย้าน ผมจัดการหยิบของโดยไม่ลืมที่จะหยิบเค้กที่ซื้อมาฝากยายน้องสาวตัวแสบ

“บ้านสวยจัง อยากมีบ้านแบบนี้บ้างอะ”

“เว่อร์น่า”

“ไม่เว่อร์นะ เราอยากมีบ้านแบบนี้จริงๆ ไม่เล็กหรือไม่ใหญ่มาก มีต้นไม้ มีสวนเล็กๆ คงมีความสุขน่าดูเลยละ”

“หึหึ”




“แมมมม่  พี่วิณณ์มาแล้วค่า……………”   เสียงแจ๋วของน้องสาวตัวแสบดังแทรกขัดการสนทนาของผมกับตะวันพร้อมกับรีบวิ่งมาหา อย่าหวังว่าจะมาด้วยความคิดถึงครับ

“ตัว   ตัวซื้อเค้กมาฝากเขาไหม”    นั่นไงเหตุผล หึหึ เห็นแก่ของกินจริงๆ น้องผม

“อะ เอาไปเลย ถือไปเลย ถือไปให้หมดละ”

“ขอบคุณค่า”  พอได้ขนมก็รีบหันกลับเข้าบ้านจนอดแซวไม่ได้

“กินมากระวังอ้วนนะ ลูกหมู” 

“แบรรรรร่”  นั่นไง  ขอแค่มีเค้กตรงหน้า จะว่าอะไรก็ไม่โกรธทั้งนั้น

“หึหึ” 



“ดูวิณณ์กับน้องสนิทกันดีเนอะ   อิจฉาจัง”   หืม ถึงจะพูดออกมาเบาแต่ผมก็ได้ยินประโยคหลังชัดเจน อิจฉา?  แล้วยิ่งทำหน้าตาแบบนั้นอีก

“ก็ต้องสนิทซิ มีกันแค่สองคนพี่น้อง ว่าแต่ทำไมต้องอิจฉา แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยละ”

“ได้ยินด้วยเหรอ...”

“อืม”

“ก็ เราอะ.... เป็นลูกคนเดียว ถึงจะมีพี่วายุ คอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา แต่เราเองก็อยากจะมีพี่น้องแท้ๆ กับคนอื่นบ้าง”

“พี่วายุของตะวันได้ยินแบบนี้จะเสียใจเอานะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น.....เราก็ดีใจที่พี่วายุเป็นพี่เรา แต่เราเองก็อยากมีพี่น้องแท้ๆ อะ วิณณ์เข้าใจเราไหมอะ”

จริงๆ ผมแค่แกล้งแหย่ไปแค่นั้นแหละ ทำไมผมจะไม่รู้ การที่เรามีพี่น้องที่มีสายสัมพันธ์เดียวกับเรามันก็ดีกว่าอยู่แล้ว

“แต่ว่านะตะวัน เราเลือกไม่ได้หรอกว่าอยากจะมีพี่น้องแบบคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง”

“..............”

“พี่น้องข้างบ้าน พี่น้องร่วมโรงเรียน  ร่วมมหา’ลัย  พี่น้องในที่ทำงาน หรือแม้แค่บังเอิญมาเจอกันก็อาจจะเป็นพี่น้องกันได้  วิณณ์ว่ามันสำคัญตรงไหนรู้ไหม  สำคัญที่คำว่าพี่น้องที่เรายินดีใช้กับใครมากกว่า”

“งั้น อย่างตะวันเป็นน้องวิณณ์ได้ไหมอะ”

“ได้ซิ แต่คง…..”

“คงอะไร?”

“คงเป็นน้องที่ตัวโต ที่ทั้งดื้อ ทั้งซน แถมยังขี้แยอีกด้วย”

“วิณณ์!!!”

“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นคร้าบบ  เป็นได้ซิ ตะวันเป็นน้องวิณณ์ได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็อยู่ด้วยกันจนตัวติดกันอยู่แล้ว”

คนฟังได้ยินก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ซึ่งจริงๆ ผมก็คิดแบบนั้น ผมเหมือนมีน้องชายคนกลางเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ตะวันอายุ 20ปี ห่างจากผม 7ปี และห่างจากดาริน1ปี ถึงแม้ตะวันจะอายุมากกว่าดาริน แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าตะวันนิสัยเด็กมากกว่าดารินซะอีก



“พิ่วิณณ์ ยืนทำอะไรนะ ไม่เข้าบ้านเหรอ”

“ครับคุณผู้หญิง ไปเดี๋ยวนี้แล้วครับ”

“แปลกคนจริงเลย  ทำไมเหมือนยืนคุยกับใครอยู่”  ผมหันไปมองหน้ากับตะวันแล้วก็ต้องแอบอมยิ้ม ผมไม่ได้แอบคุยนะ แค่คนที่ผมคุยด้วยคนอื่นไม่เห็นเท่านั้นเอง

“สวัสดีครับแม่ คิดถึงจัง”   ผมทักพร้อมเดินเข้าไปกอด

“เอาหน้าอีกแล้วนะ”

“จะกินไหมเค้กนะ”

“พี่วิณณ์!!!   แม่ดูดิ พี่วิณณ์แกล้งน้อง”

“หึหึ  พอเลยทั้งคู่ วิณณ์กินอะไรมาหรือยังลูก”

“ยังเลยครับ มารอกินฝีมือแม่นี่ละ”

“งั้นไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วค่อยมากิน”

“ครับ”

วิณณ์พูดจบก็เดินขึ้นบ้านพร้อมตะวันที่เดินตาม โดยไม่รู้เลยว่าคนร่างบางที่เดินตามมาจิตใจห่อเหี่ยวไปถึงไหนแล้ว











[ตะวัน]


ถึงแม้จะพูดว่าอยากเป็นน้องของวิณณ์  แต่หากรู้สึกว่าเป็นได้แค่นั้นมันก็รู้สึกหน่วงขึ้นมันเจ็บจี๊ดแบบไม่รู้ตัว  ยิ่งเห็นความอบอุ่นใจดีของวิณณ์เมื่ออยู่กับแม่และน้องสาว เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็อิจฉา อิจฉาที่อยากจะเก็บเอาไว้คนเดียว

“โอ้ยยยย  เป็นอะไรของนายเนี่ยตะวัน ไปอิจฉาพวกเขาได้ยังไงกัน นั่นแม่กับน้องสาวของวิณณ์นะ”  คิดได้แค่นั้นแต่สุดท้ายก็......


“เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออ”


“เป็นอะไรตะวัน ถอนหายใจซะยาวเลย”

วิณณ์เข้ามาหลังจากที่ตะวันยืนยันว่าจะรออยู่บนห้องและปล่อยให้วิณณ์ได้ใช้เวลากับครอบครัว เขาไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอ แสดงความอิจฉาออกหน้าออกตาให้วิณณ์เห็น อีกอย่างถ้าวิณณ์เกิดคุยกับเขาขึ้นมา แม่กับน้องสาววิณณ์ได้สงสัยแน่ๆ เขาเลยตัดสินใจนั่งรอบนห้องดีกว่า

“ว่ายังไงเป็นอะไร ถอนหายใจยาวเชียว”

“คิดอะไรนิดหน่อย”

“เป็นผีมีเรื่องคิดมากกับเขาด้วยเหรอ”

“.........” เออ ใช่ซิ เขามันก็แค่ผีตัวเล็กๆ วิญญาณดวงน้อยๆ ไม่มีสมองให้คิดมากอะไรหรอก ไม่น่าสนใจ แถมยังทำตัวน่ารำคาญอีก หึ่ยยยย ว่าแล้วก็ทำหน้าบึ้งต่อไป

“เอ้า  เป็นอะไรอยู่ดีๆ ก็ทำหน้าบูดบึ้งขนาดนั้น โกรธอะไร?  หรือว่าโกรธที่ให้อยู่คนเดียว”


กึกกกกกกกก


ไม่ได้โกรธเว้ยยยย  มันก็แค่.......

อิจฉา

แล้วก็น้อยใจ 


เห้อแต่จะให้พูดได้ยังไงละ อิจฉาทำไมยังไม่รู้รู้แต่อิจฉา น้อยใจทำไมก็ยังไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำ

“หรือว่าเหงาที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว”

“.................”

“ตะวัน........”

“.................”

“ตะวันเป็นอะไร อย่าเงียบซิ พี่ถามก็ต้องตอบรู้ไหม”

“!!!!!!!”   คนพูดไม่พูดเปล่า จูงมือผมพามานั่งบนเตียงข้างๆ ด้วยกัน  แต่มัน ......... เขิน......

เขินที่วิณณ์เรียกตัวเองว่าพี่ 

เขินที่วิณณ์จูงมือเขามานั่งด้วยแล้วยังถามต่อด้วยความห่วงใย


ก็จริงนะวิณณ์ห่วงใยเขาเสมอ แล้วเขามัวมาอิจฉาแม่กับน้องสาววิณณ์เป็นเด็กๆ ไปได้ยังไง

“เรา.....”

“...................”

“เราอยากให้เราเป็นคนหนึ่งที่วิณณ์ใส่ใจห่วงใยแบบนั้นบ้าง ‘อาจจะอยากให้มากกว่าด้วยซ้ำ’ดูเราเป็นเด็กขี้อิจฉาเนอะ”

“...................”

“แม่กับน้องสาววิณณ์แท้ๆ เรายังไปอิจฉาได้อีก เฮ้อออออออออออ  สงสัยเราต้องเป็นเด็กขาดความอบอุ่นแน่ๆ”

ถึงจะบอกออกไปแบบนั้น

แต่...........มันก็อิจฉาอยู่ดี!!!



คนพูดก็พูดไป คนฟังก็ได้แค่ฟัง แต่ตะวันเองก็คงไม่ทันได้คิด ว่าวิณณ์เองก็รู้สึกไม่ต่างกันเลย วิณณ์อยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตะวันเช่นกัน อดีตผ่านมาแบบไหนไม่รู้วิณณ์รู้แค่ว่า เขาอยากให้มีตะวันอยู่ข้างๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ


มันคืออะไร?


สงสัยเขาก็คงจะขาดความอบอุ่นเหมือนกันมั้ง......







[วิณณ์]


หลังจากผมตื่นมาในตอนเช้า พวกเรา 4 คน (ก็ต้องนับ 4 อะนะ ก็ผมมีตะวันมาด้วยอีกคนนี่นา) พากันมาตลาดตอนเช้า สมัยก่อนผมชอบมากับแม่ช่วยหิ้วตะกร้าถือของ แถมยังต้องทั้งลากทั้งจูงยายดาริน ไม่งั้นยายตัวแสบก็จะแวะร้านขนมกับของเล่นตลอดทาง มันเป็นภาพที่ชินตาของคนในชุมชน จึงไม่แปลกที่พวกเราจะสนิทกับคนในชุมชน นึกแล้วก็ตลกมือผมเหมือนมือปลาหมึกเลยตอนนั้น แต่หลังจากที่ผมสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ จนเรียนจบและเข้ารับราชการ ผมก็ยุ่งจนไม่มีเวลา

จากบ้านมาตลาดเดินไม่ถึง 10นาทีก็ถึง พวกเราเดินบนถนนเลียบคลอง ข้างทางที่มีต้นไม้ก็ไม่ได้ทำให้ร้อนแถมอากาศยังเย็นสบายอีกต่างหาก แต่ดูท่าตอนนี้ผมคงต้องเปลี่ยนความคิดวะใหม่แล้วละเพราะนางสาวดารินไม่ได้เป็นเด็กหญิงดารินที่จะวิ่งเข้าออกเหมือนตอนเด็กอีกแล้ว ตรงกันข้ามกลับเป็นเด็กชายตะวันที่ดูจะตื่นเต้นกับการมาตลาดซะมากกว่า  ผมชักสงสัยเวลาอยู่บ้านตะวันจะเป็นยังไง ทุกครั้งที่ตะวันได้ไปสถานที่ข้างนอกทั้งที่มันก็เป็นสถานที่ปกติที่พวกเราต้องเคยไปอยู่แล้ว ตะวันจะตื้นเต้นและดีใจทุกครั้ง

ยิ่งเห็นแบบนี่ยิ่งห่วง

ซื่อจนน่าห่วง

ห่วงว่าจะถูกหลอกอีก

...................ตอนที่ตะวันกลับเข้าร่างได้ 



ตอนนี้ผมทำได้แค่ส่งสายตาให้เขารู้ว่าอย่าซนจนเกินเหตุและอย่าเดินไปไกลจากผม หลงกันไปยังไม่ลำบากเท่ากับตอนนี้ถ้าใครจะสังเกตุซักนิดว่าผ้าที่ปลิวอยู่นั้นมันออกจะ....แปลก......ไปซักหน่อย   เพราะมันปลิวได้ทั้งที่ไม่มีลม!!!

จะคุยจะเรียกก็ทำไม่ได้ คนอื่นได้ยินก็คงคิดว่าผมบ้าพูดคนเดียว แถมยายน้องสาวตัวแสบก็ยังลากให้ผมเดินตามไปทุกทาง

“พี่วิณณ์  พี่วิณณ์ว่า.....”

“ว่า???”

“พี่วิณณ์ว่า.......ผ้ามัน..........ปลิวแปลกๆ ไหมอะ ลมก็ไม่เห็นมี”

“!!!!”  นั่นไงละ ว่าแล้ว น้องสาวผมนอกจากช่างพูด ช่างสงสัย และช่างถามแล้วแล้วยัง เอ่อ.....ช่างอยากรู้

“พี่วิณณ์ เดินไปดูกัน”

“หะ..............ไม่ต้อง”  น้องสาวผมสะดุ้งที่ผมเผลอตะโกนออกมาเสียงดัง

“ไม่  ไม่  เดี๋ยวพี่เดินไปดูให้ อยู่เป็นเพื่อนแม่นี่ละ”


ผมรีบผละออกมาเพื่อเดินไปยังตัวก่อเรื่อง จากหยิบจับผ้า ตอนนี้เริ่มลามมาที่ของชิ้นเล็กๆ ในตะกร้าแล้วผมต้องแกล้งทำเป็นเดินดูนั่น หยิบนี่ แล้วกระซิบกับตะวัน เพื่อไม่ให้คนขายสงสัย


“นี่ตะวัน บอกแล้วไงอย่าซน วางเลยนะ”

“เปล่านะ ตะวันไม่ได้ซน แค่อยากดูอะ”

“ดูได้ แต่ห้ามหยิบหรือจับอะไร”

“ทำไมละ”

“มันจะน่าสงสัยไหมละ ถ้าอยู่ดีๆ ของก็ลอยขึ้นมาอะ”




“ชอบอันนั้นเหรอคะพี่ แต่หนูว่ามันจะดูไม่ค่อยเข้ากับผู้หญิงเท่าไหร่นะคะ อันนี้ดีกว่าไหมคะ”

“ครับ?”  ผมมองตามที่คนขายชี้มาสิ่งที่อยู่ในมือผม

“จะซื้อให้แฟนเหรอคะ หนูว่าอันนั้นดูผู้ชายไปซักหน่อย อันนี้น่าจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่านะคะ”
 
“แฟน?”

“ก็นั่นไงคะ”  แล้วคนขายก็ชี้ไปยัง น้องสาวผม!!!  อ่อออ  ยายดารินกลายเป็นแฟนผมไปซะแล้ว

“แหะๆ ไม่ใช่ครับ นั่นน้องสาว แล้วพี่ก็ยังไม่มีแฟนครับ”

“อ้าวเหรอคะ หนูก็นึกว่าแฟน หล่อๆแบบพี่ยังไม่มีแฟนได้ไงคะเนี่ย”  ผมได้แต่อมยิ้มจะให้ตอบว่ายังไงละครับ วันๆ ก็ทำแต่กับงาน เอาเวลาที่ไหนไปหา ถึงหามาได้ก็คงไม่มีเวลาดูแลเขาอีก ปล่อยผมอยู่อย่างนี้ดีแล้วละ

“พี่ยังไม่มีแฟนและคิดว่าตอนนี้คงยังมีไม่ได้ด้วย เพราะต้องคอยดูแลเด็กคนนึง อายุก็ 21 แล้วนะ ยังซนเป็นเด็กอยู่เลย น้องเชื่อพี่ไหมละ”

“น้องสาวพี่นะเหรอคะ”

“ไม่ใช่ครับ  คนนี้..........พิเศษกว่าน้องสาวอีก

“????”

“งั้นพี่ขอสองเส้นนี่เลยแล้วกันครับ”  ผมยื่นสร้อยที่ตะวันจับอยู่เมื่อกี้ กับสร้อยเส้นที่น้องคนขายแนะนำว่าเหมาะกับผู้หญิงให้พร้อมกับจ่ายเงิน แล้วเดินออกมา


“นี่!!!.......วิณณ์หาว่าตะวันซนเป็นเด็กเหรอ”

“เปล่านะ ไม่ได้เอ่ยชื่อด้วยนะ”

“เหอะ  รู้หรอกว่าว่าเรา”  พูดแบบนั้นแล้วก็เดินหน้าบึ้งไปทางฝั่งที่แม่กับน้องผมยืนรออยู่




“ซื้ออะไรมาพี่วิณณ์”

“อะ”

“ตัวซื้อให้เขาเหรอ โหยยย ใจดีที่สุดเลยคุณพี่ชาย”

“ได้ของฟรี นี่ปากหวานเลยนะ”

“อิอิ แน่นอน.. แม่ขา เราเดินไปดูขนมร้านยายพงกันเถอะคะ”  แม่ผมเองยังอดหัวเราะไม่ได้กับอาการของน้องสาวผม ของอร่อย ของฟรี นี่เอามาใช้ได้ผลกับน้องสาวผมเสมอ  และคนร่างบางก็ยังคงทำหน้าบึ้งใส่ผม อยากจะง้อหรอกนะ แต่ว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ถ้าจะง้อกันตรงนี้


กว่าจะเสร็จจากตลาดเดินกลับบ้านก็ 8โมงครึ่ง ผมช่วยแม่ถือของเข้าไปไว้ในครัวและเก็บของบางส่วนที่ผมพอจะรู้ว่าต้องจัดการยังไง ส่วนตะวันก็งอนเดินขึ้นห้องไปแล้ว  -__-  นี่โกรธจริงจังขนาดนั้นเลย?  แต่ก็เอาเป็นเวลาเดี๋ยวผมค่อยไปง้อนะ


“วิณณ์ เดี๋ยวกินข้าวก่อนค่อยกลับนะลูก”

“ครับแม่”

ผมเดินออกมานั่งกับยายดารินด้านหน้าระเบียง

“ทำอะไรดาริน”

“เขาทำรายงาน ต้องส่งวันศุกร์นี้แล้ว ยังไม่ถึงไหนเลย ตัวช่วยเขาทำหน่อยซิ”

“เรื่องซิ รายงานตัวเองก็ต้องทำเองซิ”

“ชิ แล้งน้ำใจ”  หึหึ  ผมไม่ได้ว่าอะไรน้องสาว เหมือนกับที่รู้ว่าน้องเองก็ไม่ได้ว่าผมอย่างจริงจังอะไร

“นี่ตัว  ตัวรู้ไหมที่มหา’ลัยเขานะ มีข่าวนักศึกษาชายปี 4 ฆ่าตัวตายด้วยละ เห็นว่าพยายามเดินให้รถชน ถึงแม้จะไม่ตายแต่ก็อาการสาหัสยังไม่รู้สึกตัวเลญ  พวกนักศึกษาพูดว่าพี่เขาฆ่าตัวตายเพราะอกหัก ถูกแฟนหลอกแต่ที่ตกใจไปกว่านั้นตัวรู้ไหมอะไร”

“.........................”

“พี่เขาเป็นผู้ชายทั้งคู่”

“ทำไมละ มันไม่ดีเหรอ”

“เปล่าซะหน่อย นี่มันสมัยไหนแล้วตัวไม่รู้เหรอ จะชายชาย  หญิงหญิง หรือชายหญิง ไม่มีใครเขามาคิดเล็กคิดน้อยแล้ว ความรักเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และสวยงามเสมอไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร”

“ทำเป็นรู้ดีนะเรา”

“อิอิ......... เฮ้ออ  แต่น่าสงสารพี่เขาจริงๆนะ คนที่เป็นแฟนพี่เขาก็ช่างใจร้าย”  ผมไม่ได้ตอบอะไรในสิ่งที่น้องสาวพูด แค่ฟังเรื่องนี้ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเป็นเรื่องของใคร


หลังจากจัดการกับข้าวฝีมือแม่เรียบร้อย ผมก็ต้องลาแม่เพื่อกลับมาสะสางงานต่อ บอกแล้วว่าทำงานแบบนี้อย่าว่าแต่มีแฟนเลย เวลาหายังไม่มีเลยครับ


‘ตัวคราวหน้าเอาเค้กร้านเดิมที่ตัวเคยซื้อมานะ เขาอยากกินขอบคุณคะ’


และนี่คำสั่งของน้องสาวตัวแสบของผม จะมีบ่นคิดถึงพี่ชาย หรือแสดงความเป็นห่วงไม่มีซักคำ นอกจากสั่งและห้ามลืมเด็ดขาด ขนม

แต่ผมว่าปัญหาผมตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่น้องสาวผมหรอกครับ อยู่ที่คนนั่งข้างๆ มากกว่า เพราะตั้งแต่กลับจากตลาดจนถึงบ้านและเลยมาถึงบนรถตะวันก็ยังคงเงียบไม่ยอมพูดกับผมซักคำ


“ตะวัน”
--- เงียบ ---


“ตะวันครับ”
--- เงียบ ---


“ตะวันครับ พี่วิณณ์เรียกไม่สนใจกันหน่อยเหรอ”

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาแทนตัวว่าพี่ เพ่อ อะไรทั้งนั้น มีอย่างที่ไหน เป็นพี่ แต่ชอบแกล้งน้อง”

“เดี่ยวซิ  วิณณ์ไปแกล้งอะไรตะวัน”

“ก็ที่ตลาดไง อย่าบอกนะว่าลืม   เออออ...ใช่ซิ  คนไม่สำคัญไง ก็เลยลืมไง”

“........................”

“แล้วก็เห็นอยู่ว่าตะวันจับสร้อยเส้นนั้นอยู่ วิณณ์ก็มาแย่ง”

“ตะวัน”

“จะซื้อไปให้ใครที่ไหนละ”

“ตะวัน.....”

“นิสัยไม่ดี ไม่ ไม่ ไม่ ไม่อยากคุยกับวิณณ์แล้ว”
 

เดี๋ยวนะ ผมว่าชักไปกันใหญ่แล้ว บ่นยาวแบบไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แทรกเลย


“ตะวันเงียบ!!!  ฟังก่อน”  เงียบจริง เงียบเลย แถมยังทำหน้าตกใจที่ผมเสียงดังขึ้นมา


“ตะวันฟังก่อน ถ้าตะวันโกรธเรื่องที่หาว่าตะวันเป็นเด็กดื้อหรือเด็กซนอะไรนั่น วิณณ์ไม่ตั้งใจจะว่าแบบนั้น ขอโทษนะ ส่วนสร้อยนะวิณณ์รู้ว่าตะวันอยากได้ และที่ซื้อมาไม่ได้ให้ใคร แต่เอามาให้ตะวัน”  ผมพูดพร้อมกับหยิบสร้อยเส้นนั้นออกมา

“ยื่นมือมา”

“............”

“ตะวัน”

“ชิ” 

“ไม่ อีกข้างนึง”  ถึงแม้จะทำเสียงสบถไม่พอใจแต่ก็ยอมยื่นมือมาให้  ผมเลือกที่จะสร้อยเส้นนี้ที่ข้อมือข้างขวา

“จะโกรธอะไรวิณณ์ขนาดนั้น ถึงตะวันจะดื้อจะซนขึ้นมากกว่านี้ วิณณ์ก็ไม่ว่าหรอกแต่อยากให้เชื่อกันบ้าง”  คนฟังยอมนั่งเฉยๆ โดยไม่เถียงอะไรออกมา

“ส่วนสร้อยนะตั้งใจว่าจะซื้อให้ตะวันอยู่แล้ว คิดว่าจะซื้อไปให้ใครที่ไหน”

“ไม่รู้เหรอ ก็เห็นบอกว่า คนพิเศษกว่าน้องสาวอีก ก็นึกว่าจะซื้อไปให้ใครที่ไหน”



“พิเศษกว่าน้องสาว ก็.................น้องชายคนนี้ไง  มีแค่ตะวันคนเดียวก็เหนื่อยเกินกว่าจะไปดูแลใครแล้วละ”



“วิณณ์!!!”

“โอ๋ๆๆๆ  ล้อเล่น”




แล้วประเด็นที่ถกเถียงกันวันนี้ก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเล ต่างคนต่างไม่รู้ ว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบต่างออกไป จากตอนแรก จากแค่เป็นคนที่ผ่านมา เริ่มใกล้ชิดจนคุ้นเคย เพิ่มขึ้นคือความห่วงใยใส่ใจซึ่งกันและกัน และมันจะยังเปลี่ยนแปลงไปได้อีก มากขึ้นได้อีก คงต้องรอเวลาให้ทั้งคู่รู้ตัวเท่านั้น



ว่าแต่ว่าทำไมวันนี้ใครๆ ก็ชอบเรียกแต่ชื่อ วิณณ์  ผมทำอะไรผิดเหรอ


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
วันนี้เป็นน้องชาย วันหน้าจะเป็น......................... หรือป่าวนะ  o18

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
น่ารักจ้า สู้ๆ ขอให้ทำภารกิจสำเร็จจ้า
แต่ใครตามดูอ่ะ ชักสงสัยแล้ว
 :L2:  :pig4:  :L2:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 12  แนวร่วม

[ตะวัน]


ออกจากบ้านสวนวิณณ์ก็ตรงมาที่คอนโดเลย กว่าจะถึงก็บ่ายเข้าไปแล้ว ตลอดทางกลับมาพวกเราก็เถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างที่รู้แหละครับ ก็คนมันงอนอะไรก็พาลไปหมด เข้าใจผมเถอะนะครับ

หลังจากจอดรถเรียบร้อยพวกเราก็เดินไปที่ลิฟท์ ผ่านกลุ่มเสวนาของพวกแม่บ้านประจำหอ ไม่ใช่แม่บ้านที่ทำความสะอาดคอนโดนะครับ แม่บ้าน บรรดาเมียๆ ทั้งหลาย ที่ไม่ต้องออกไปทำงานเสร็จจากส่งลูก ส่งสามี ทำงานบ้าน ก็รวมตัวกันตั้งกลุ่มถกปัญหาวาระสามีแห่งชาตินะแหละครับ 



“นี่หล่อน เมื่อคืนนะได้ยินพวก รปภ เขาพูดกันว่ามีคนแปลกหน้ามากด้อมๆ มองๆ แถวคอนโดเราละ”

“จริงเหรอเธอ แล้วพวกมันมาทำไมกัน”

“นั่นซิๆ น่ากลัวนะ เกิดมาปล้นหรือดักจี้คนในคอนโดทำยังไงเนี่ย”

“ไม่รู้เหมือนกันนะเธอ ‘นี่ แต่เขาว่ากันนะว่า วันก่อนก็มีพวกแปลกหน้ามาหาคนในคอนโดเรานี่แหละ”

“ว้ายตายแล้ว จริงเหรอ มาหาใคร”

“นั่นซิมาหาใคร”

“ก็ยายแอนนมโต หุ่นสะบึ้มชั้น 4 ไงละเธอ”

“จริงเหรอ”

“จริงซะยิ่งกว่าจริง เห็นเขาว่าน่าจะเป็นพวกเด็กเสี่ย”
 



เห้อออ  สงสัยจะว่างไม่มีงานทำกัน รู้ลึกรู้จริงไปซะหมดทุกเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับละครับว่าจากสถิติถ้าอยากจะรู้อะไรให้สืบจากคนในพื้นที่ และเปอร์เซ็นต์ความน่าเชื่อถือก็ยังเกินครึ่งอีกด้วย แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอยู่ดี  ผมก็เลยเดินผ่านพวกเธอและตรงไปยังลิฟท์


“อุ้ย ผู้กองสวัสดีคะ วันนี้ไม่เข้าเวรเหรอคะ”

“สวัสดีครับ ไม่ได้เข้าเวรครับวันนี้วันหยุด”

“ช่วงนี้ดูผอมไปไหมคะ กินเยอะๆนะคะ รักษาสุขภาพด้วย ไม่สบายไปจะแย่เอา เดี๋ยวแม่ยกในคอนโดใจสลายกันหมด”

“ครับ ขอบคุณนะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ตามสบายเลยคร้า ผู้กอง”


แต่ยังไม่ทันที่วิณณ์จะพ้นระยะวงสนทนามา สมาคมแม่บ้านก็ยังไม่เลิก ซุบซิบๆๆๆ


“หล่อเนอะเธอ ป่านนี้ยังไม่มีแฟนอีก เสียดายจัง ถ้ายังไม่แต่งงานผู้กองนี่เป็นของฉันไม่มีพลาด”

“ฝันหรือยะเธอ เป็นป้าผู้กองไปก่อนเถอะ”

“ฮ่าาาาาา”




เมื่อลิฟท์มาวิณณ์ก็รีบดันผมให้เข้าไปในลิฟท์อย่างเร็ว  พร้อมกับทำหน้าเหนื่อยเต็มที่

“ดีนะ ไม่สนเหรอ นี่..”

“สนอะไร?”

“ก็มีแฟนรุ่นป้า เก่งไปหมดทุกอย่าง สบายเลยนะ”

“ไม่ตลกนะตะวัน”

“ก็ไม่ได้พูดให้ตลก พูดเรื่องจริง”

“………..”

“น่าสนน้าาาาา”

“น่าสนเหรอ หะ น่าสนเหรอ นี่แน่ๆๆๆ”  วิณณ์จัดการล๊อคคอผม แล้วเอามือมาบีบแก้ม เจ็บก็เจ็บ แถมยังเอามาจั๊กกะจี้ที่เอว ที่ตัวอีกต่างหาก

“ไม่ ไม่ วิณณ์ อย่างแกล้งไม่เอา อย่า………อย่า”

“ฮ่าาาาา”

“ฮ่าา  ไม่ ไม่ พอ……พอแล้ว”

“ยอมหรือยัง หะ  ยอมไหม”

“ยอม ยอม ยอมแล้วคร้าบ ยอมแล้ว”

“โอ้ยย หัวเราะจนปวดกราม ท้องแข็งไปหมดแล้ว เล่นบ้าอะไรเนี่ย”

“ทีหลังห้ามล้อเรื่องแบบนี้อีกนะ วิณณ์ไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าสามีหรือลูกเขามาได้ยินจะเข้าใจผิดเอา”

“นี่วิณณ์ลืมอะไรไปหรือเปล่า………ตะวันเป็นวิญญาณนะครับ เขาไม่ได้ยินตะวันหรอกว่าพูดอะไร”

“เออ แต่ก็เป็นวิญญาณที่แปลกนะ เวลาอยู่กับตะวัน วิณณ์ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเป็นวิญญาณ วิณณ์รู้สึกว่าตะวันเป็นคนมากกว่า”

“ทำไมอะ?”

“ก็วิญญาณที่ไหนให้จับได้แบบนี้...…”   


แล้ววิณณ์ก็เอื้อมมาจับมือ      ตึก     ตึก    เลื่อนมาจับไหล่      ตึก     ตึก



ขยับมาจับหน้า     ตึก  ตึก  ตึก     จับแก้ม…………….จับหัว      ตึก ตึก ตึก ตึก



“แล้วไงวิญญาณแบบไหน ทำได้แบบนี้……”

“เหวออออ   อะไร  ทำอะไร”  เขาทำอะไรนะเหรอครับ ก็วิณณ์เล่นดึงผมเข้าไปกอดหน้าผมจมหายไปที่อกวิณณ์

โอ้ยยย  แย่แล้ว อารมณ์แบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ แย่แล้ว แย่แน่ๆ

“ปล่อยได้แล้วว  ไม่อายหรือไง”

“อายทำไม ก็คนอื่นมองไม่เห็น มีแต่วิณณ์เห็น แล้วตอนนี้ก็เห็นเต็มตาด้วย”

“อะไร เห็นอะไร?”

“ก็…………..วิญญาณหน้าแดงได้ด้วย”




ติ๊งงง 


ดีนะที่สัญญาณลิฟท์ดังขึ้นก่อน ผมเลยรีบวิ่งหนีออกมา ไม่งั้นผมคงถูกแกล้งต่ออีกแน่ หน้าแดงบ้าอะไร วิญญาณหน้าแดงได้ด้วยเหรอ วิญญาณมันควรจะซีดๆ ขาวๆ ดิ วิณณ์ต้องแกล้งอำผมแน่ หนอยย เป็นคนคิดจะมาหลอกผีงั้นเหรอ


ว่าแต่ก็อยากเห็นนะ หน้าแดงเป็นยังไง


เอ๊ะ ว่าแต่ใครกันมายืนอยู่หน้าห้องวิณณ์  หา…..ผู้หญิงคนนั้น!!!

“คุณแอน?” 

“ผู้กองงงงงงงงงงง”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เอ่อ  แอนมีเรื่องจะคุยกับผู้กองนะคะ”

“ครับ?”

“เอ่อ……….”

“คุณแอน………….จะคุยอะไรกับผมนะครับ”

“คะ?”

“เรื่อง?”

“ไม่เป็นไรดีกว่าคะ ไว้วันหลังแอนมาใหม่นะคะ”



ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็รีบเดินไปที่ลิฟท์   เอ…ผู้ชายคนนั้นอยู่ชั้นนี้เหรอ ไม่เคยเห็นแหะ ‘พักนี้มีแปลกหน้ามาด้อมๆมองๆที่คอนโด’ หรือว่าที่สมาคมแม่บ้านพูดกันจะหมายถึงคนนี้ ท่าทางคุณแอนก็แปลกๆนะ เดินก้มหน้าไม่ยอมมองหน้าผู้ชายคนนั้นอีก เขาเดินผ่านพวกผมไป ผมกับวิณณ์ก็ไม่ได้สนใจอยากรู้ว่าห้องอยู่ไหน


ว่าแต่…….ทำไมวิณณ์ไม่เปิดประตูเข้าไปซักทีนะ ยืนหันหน้าเข้าประตูนานแล้วนะ


“นี่ ประตูมันมีอะไรน่าจ้องขนาดนั้น ไม่เข้าห้องเหรอ”  วิณณ์ไม่ได้ตอบแต่ก็เปิดประตูเข้าห้องไป เมื่อผู้ชายคนนั้นเลี้ยวขวาที่สุดทางเดินไป

“วิณณ์  นี่วิณณ์  เป็นอะไร”

“……….”

“มีอะไร เป็นอะไรหรือเปล่า”

“หืมม  เปล่า ไม่เป็นอะไร”  ถึงปากบอกว่าไม่มีอะไร แต่จากที่ดูแล้วผมคิดว่าน่าจะมี แต่ถ้าวิณณ์ไม่อยากบอก ผมไม่เซ้าซี้ก็ได้






ณ สน.


“ผู้กอง สวัสดีครับ กลับบ้านเป็นยังไงบ้างครับ คุณแก้ว กับหนูริน สบายดีไหมครับ”

“สบายดีครับจ่า ขอบคุณนะ”

“วันนี้มีคดีอะไรไหมจ่า”

“สายของเรารายงานมาว่า จะมีการส่งของอีกล๊อตภายในหนึ่งหรือสองอาทิตย์นี้ สายบอกเราว่าพวกมันน่าจะเคลื่อนไหวไม่เกิน 24 ชม. ก่อนส่งยา เพราะกลัวข่าวหลุดมาถึงหูตำรวจ”

“ก็ดี ถ้าได้ข่าวอะไรเพิ่มจ่ามารายงานผมอีกที”

“ผมอยากรู้จริงๆ นายใหญ่มันคือใคร”

“เราอาจจะได้รู้   อีกไม่นานหรอกจ่า”




“วิณณ์ๆ คุยไรกันอะ แล้วส่งของอะไรกันเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่า”

“เด็ก!!!  เด็กอีกแล้ว คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก”

“หึหึ  ไม่ต้องงอนแล้วนะ งอนบ่อยๆ แก่เร็วนะ”

“เออออออ ไม่งอน”


แพ้ แพ้ตลอด ดักทางถูกทุกเรื่อง สุดท้ายผมก็ไม่ได้งอนตามที่เจ้าตัวบอก แถมยังเดินตามเป็นเด็กดีเข้าห้องทำงานไปอีกด้วย



“ผู้กองคะ  ผู้กอง มีเด็กผู้หญิงมาหาผู้กองคะ”

“หาผมหรือครับ”

“คะ รออยู่ในห้องแล้วนะคะ”  เอ๋ ใครหว่า หรือจะเป็นน้องสาวของวิณณ์ และเมื่อพวกเราเปิดประตูเข้ามา





“น้องลูกแก้ว!!!”

“สวัสดีคะผู้กอง”

“มาได้ยังไงเนี่ย  แล้วมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“มารายงานข่าวคะ อิอิ”

“ข่าว?”

“ใช่คะ กว่าจะพูดให้ที่บ้านยอมเชื่อนี่เล่นเอาเหนื่อย พวกพี่เขาหาว่าหนูบ้าไปเลยละคะ”

“ขนาดนั้น?  แล้วทำยังไงเขาถึงเชื่อกันละ”

“หนูก็แค่ทำเป็นบ้า อย่างที่เขาหาว่าบ้า ทำเป็นรื้อของในบ้านไปทั่ว ในเมื่อพวกพี่เขาไม่ยอมฟังหนู หนูก็ทำซะเอง”

“หึหึ  บ้าระห่ำของแท้”

“แล้วก็ไปรื้อเอากล่องที่อยู่ใต้เตียงหัวนอนของพ่อออกมาตามที่ผู้กองบอกเลยคะ แล้วมันก็มีจริงๆ พวกพี่หนูอึ้งเป็นใบ้กันไปหมดเลยคะ ฮ่าๆ”

“ดีแล้ว ก็เท่ากับเรื่องจบด้วยดีนะ”

“คะ  ขอบคุณผู้กองอีกครั้งนะคะ”  วิณณ์ยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกัน เพื่อไปส่งน้องลูกแก้ว

“ผู้กองคะ หนูขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหมคะ”

“……………”

“ไปแล้วใช่ไหมคะ   พ่อไปแล้วใช่ไหมคะ”    วิณณ์พยักหน้ากลับไป

“ที่ที่พ่อไป  ที่นั่นดีไหมคะ”

“…………..ลูกแก้วพี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าที่ที่พ่อของลูกแก้วไปจะดีไหม แต่พ่อของลูกแก้วได้ทำสิ่งที่ต้องการแล้ว พ่อของลูกแก้วสมหวังและก็หมดห่วงแล้ว ส่วนเรื่องหลังจากนี้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามทางของมัน”

“คะ  ขอบคุณอีกครั้งนะคะ  สวัสดีคะ”

“สวัสดีครับ กลับดีๆ นะลูกแก้ว”

“ค่าาาาา”







“วิณณ์  ไปส่งน้องเสร็จ………แล้ว…….เหรอ”   ผมต้องตกใจเมื่อคนที่เดินนำหน้าวิณณ์เข้ามา  ‘พี่วายุ’

“เชิญนั่งก่อนครับ”

“ขอบคุณครับ”

“คุณ…..”

“วายุครับ เราเคยเจอกันแล้วที่ รพ กับคุณป้าดารา”

“สวัสดีครับคุณวายุ  ผมจำได้ว่าเราเคยเจอกันแล้ว แล้ววันนี้คุณวายุมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมมีเรื่องอยากถามผู้กองหน่อยครับ”

“ครับ?”



“ที่วันนั้นผู้กองไปหาป้าดารามีธุระหรือครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมทำตามหน้าที่”

“ทำตามหน้าที่?  แล้วเรื่องที่จะให้คุณป้าดารา ไม่ถอดเครื่องช่วยหายใจตะวันนะเหรอครับ นั่นก็เป็นหน้าที่ด้วยเหรอครับ”

“……………..”

“ผมว่าผู้กองพูดความจริงดีกว่าครับ”

“ความจริง?  ความเรื่องอะไรครับ”

“ผมไม่รู้ว่าผู้กองทำไปเพื่ออะไรที่ไปบอกป้าดาราแบบนั้น แต่ผมเห็นนะครับ”

“………………..”

“เห็นที่ผู้กองทำเหมือนคุยกับใครสักคน ได้ยินสิ่งที่คุยกับน้องคนนั้นและกับอีกครอบครัวหนึ่ง”


หะ!!!  นี่พี่วายุเห็นด้วยเหรอ เห็นว่าวิณณ์คุยกับผม เห็นสิ่งที่วิณณ์ทำที่ รพ นั่นอะนะ


“แล้วคุณเห็นว่าผมคุยกับใคร”

“คุณนี่ก็แปลก ผมบอกว่าเห็นเหมือนคุณคุยกับใคร ถ้าผมเห็นว่าใครผมจะถามคุณไหม”

“แสดงว่าคุณก็ไม่เห็น”  พี่วายุไม่ได้ตอบ แต่มองหน้าวิณณ์ก่อนจะพยักหน้า

“คุณวายุ คุณอยากรู้อะไรจากผมกันแน่ครับ”



“เอาตามจริงนะผู้กอง ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ผมว่าผู้กองมีอะไรแปลกๆ”

“แปลก?  ยังไงครับ?”

“ผมมีความรู้สึกว่า ผู้กองต้องมีอะไรสักอย่างเกี่ยวข้องกับ…………..ตะวัน”

“วิณณ์เอาไงดีอะ พี่วายุต้องรู้อะไรแน่ๆ พี่วายุยิ่งฉลาด จับต้นชนปลายได้เก่งด้วย”  ผมถามกับวิณณ์ที่ตอนนี้ก็คงกำลังอึ้งหรือไม่ก็กำลังคิดว่าจะตอบอะไรดี


“คุณวายุ อยากได้ยินว่าอะไรละครับ”

“ความจริง”

“ความจริง?”

“ใช่ครับ  คุณไม่จำเป็นต้องโกหกหรือกุเรื่องอะไรมาหลอกผม แค่คุณพูดความจริง มันก็แค่นั้น”




ผมมองหน้าวิณณ์ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าพี่วายุอยากได้ยินว่าอะไร อยากได้ยินว่าวิณณ์พูดคุยกับตะวัน ซึ่งเป็นวิญญาณอย่างนั้นเหรอ ถามว่าผมอยากให้วิณณ์บอกพี่วายุไหม ก็อยาก แต่ก็กลัว กลัวว่าพี่วายุจะเชื่อไหม ยอมรับได้ไหม ผมรู้ว่าวิณณ์เองก็กำลังคิดหนัก แต่จากที่มองดูแล้วผมคิดว่า………บอกแน่นอน



“หะ!!  เดี๋ยวนะ  วิญญาณ?  นี่ผู้กองจะบอกว่าสื่อสารกับวิญญาณของตะวันอย่างนั้นเหรอครับ”  พี่วายุพูดออกมาอย่างตกใจ พลางส่ายหน้า “บ้า  บ้าไปแล้ว”

“ตอนแรกผมเอง ก็คิดว่าผมบ้า แต่มันคือเรื่องจริงครับ และผมก็บอกไปหมดแล้ว มันก็อยู่ที่คุณจะเชื่อผมไหม”

“ร่างของตะวันยังนอนอยู่ที่ รพ แล้วคุณจะมาบอกว่าสื่อสารกับวิญญาณของตะวันได้ยังไง มันไม่เมคเซ้นต์เลย”

“ก็อย่างที่ผมเล่าให้คุณฟัง ตะวันเองพยายามอย่างมากที่จะให้วิญญาณตัวเองกลับเข้าร่างได้ ผมเพียงทำได้แค่คอยช่วยเท่านั้น”

“คุณจะให้ผมเชื่อยังไง เรื่องมันเหลือเชื่อ เหนือธรรมชาติมากเลยนะครับ”



“วิณณ์…..”   ผมกระซิบบางอย่างให้วิณณ์รู้




“คุณวายุ  เชื่อเถอะครับ  ตะวันอยากให้คุณเชื่อ  เชื่อ ‘ลิงน้อย’ คนนี้ซักครั้งหนึ่ง”

“คุณ……คุณพูดว่าอะไรนะ ลิงน้อย คุณรู้ได้ยังไง”

“ผมคิดว่าคุณควรจะรู้ว่าผมรู้ได้ยังไง”



พี่วายุกลับไปแล้ว ถึงจะทำแบบไม่อยากเชื่อ แต่มันก็ต้องเชื่อเพราะคำว่า ลิงน้อย มันเป็นเชื่อที่วายุตั้งให้ผม เพราะพี่บอกว่าตอนเด็กๆ ผมทั้งดื้อและซน  และชื่อนี้มีแต่พี่วายุเท่านั้นที่ใช้เรียกผม พี่วายุกลับไปโดยสัญญาว่าจะช่วยพูดเรื่องถอดเครื่องช่วยหายใจกับแม่ผม ซึ่งจริงๆ แม่ผมก็ไม่อยากถอดหรอกครับ แต่เพราะความกดดันที่ได้รับข้อมูลจากทั้งหมอและพยาบาลทำให้แม่ผมเริ่มลังเลและไม่อยากให้ผมทรมานต้องยื้อไว้



แต่นาทีนี้ผมอยากจะบอกว่า  ทรมานผมเถอะครับ  ยื้อผมเถอะครับ ได้โปรดดด นะครับแม่




“ผู้กอง  ผู้กองครับ”

“ว่าไงจ่าเติม”

“เกิดเรื่องแล้วครับ  มีเหตุฆ่ากันตายที่คอนโดผู้กองครับ”

“คอนโดผม!!”

“ใช่ครับ…………”







“ผู้ตายเป็นผู้หญิง พักอยู่ชั้น 7 ห้อง 702  ชื่อ แอนครับ”



ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โหยยย ชอบความมุ้งมิ้ง
แต่จบด้วยเหตุฆ่ากันตายแบบนี้ค้างเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
วายุนี่เองที่เป็นคนเห็น โชคดีไปที่เป็นคนดี ส่วนผู้ชายที่เห็นที่คอนโดจะเป็นคนหรือเป็นผีหว่า  :confuse:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
แล้วแต่ดวงใครเนอะ ฝืนไม่ได้

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
มุ้งมิ้ง หยอกเย้ากันไปจ้า น่ารัก
คุณแอนพยายามจะบอกแล้วแน่ๆ แต่เห็นตัวการก่อนเลยหนี เรื่องอะไรน่อ อยากรู้ๆ
 :L2:  :pig4:  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด