Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)  (อ่าน 20942 ครั้ง)

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 28 ใกล้ความจริง



วิณณ์รู้สึกสับสนกับเรื่องที่ได้รู้จากแม่ นี่คือครั้งแรกที่แม่พูดกับเขาและเขาก็จะไม่รออยู่เฉยๆ ให้เรื่องผ่านไป ถ้าอยากรู้เขาก็ต้องไปหาความกระจ่าง

เช้าวันถัดมาหลังจากที่ส่งแม่ไป รพ. วิณณ์ก็แยกมาโดยบอกแม่เพียงว่าไปทำธุระที่ สน. แต่จุดหมายปลายทางที่มุ่งไปกลับเป็นบ้านเพื่อนของผู้เป็นพ่อ นายยงยุทธ อัศวเมฆา

“มาหาใครครับ”

“ผมมาขอพบคุณยงยุทธครับ”

“ให้บอกว่าใครขอพบครับ”

“ผมวิณณ์ครับ”

“รอสักครู่ครับ”


ยามหน้าประตูหายไปสักพักและในขณะที่ผมกำลังรออยู่ที่ด้านหน้าประตูรถกะบะสามคันก็ขับออกมาจากด้านหลังซอย

บ้านหลังสุดท้ายสุดซอย? งั้นก็แสดงว่าออกมาจากบ้านหลังนี้?

รถค่อยๆแล่นผ่านไปทีละคัน

1

2

และ

3


นั่นมัน......





“เชิญครับ”

วิณณ์ดึงสติกลับมาสนใจกับคนตรงหน้า ยามหน้าประตูเดินมาบอกและเปิดประตูให้เขาขับรถเข้าไปด้านใน

“คุณยงยุทธให้ไปพบที่ห้องรับแขกเรือนเล็กคะ”

“โห เพื่อนของพ่อวิณณ์ท่าทางจะรวยน่าดูเลยเนอะ บ้านหลังเบ้อเริ่มเลย”

“ก็คงอย่างนั้นแต่วิณณ์ก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกัน”

“เชิญทางนี้คะ”


วิณณ์และตะวันเดินลงมาจากรถและมีแม่บ้านเดินมารับและนำพวกเขาสองคนเข้าไปสวนด้านหลัง


“ไอ้หนุ่มเอ็งจะไปไหน”
“ผะ....ผมเหรอครับ”

“เออซิวะ มีเอ็งได้ยินข้าอยู่คนเดียวจะให้ข้าพูดกับใคร พูดกับไอ้หนุ่มนั่นรึ”
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมขออนุญาติท่านเจ้าที่เข้าไปข้างในนะครับ”

“ไม่ได้”
“อะ...อ้าว ไหงงั้นละครับ ผมขอเข้าไปนะครับนะ ผมต้องเข้าไปทำภารกิจ”

“เรื่องของมนุษย์ วิญญาณอย่างเจ้าไม่ควรยุ่ง”
“แต่ว่า ผมต้องทำภารกิจนะครับ แล้วเรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับภารกิจด้วย”

“ต่อให้เกี่ยวกับภารกิจ หรือต่อให้เจ้ามีสร้อยเส้นนั้น ก็ใช่ว่าเจ้าจะเข้าออกสถานที่ใดตามอำเภอใจได้นะ”



“ตะวันเป็นอะไรทำไมไม่เดินตามไป”

“ยุ่งแล้วซิวิณณ์ ท่านเจ้าที่ไม่ยอมให้ตะวันเข้าไปอะ”

“ทำไมอะ”

“จำที่ตะวันเคยบอกได้ไหม สร้อยสามารถพาไปได้ทุกทีแต่ว่าต้องได้รับการอนุญาติจากเจ้าของสถานที่ก่อนเสมอ”

“จำได้ แต่เหตุผลละ ทำไมไม่ให้ตะวันเข้าไป”

“ท่านบอกว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ไม่เกี่ยวกับตะวัน”

“งั้นเหรอ งั้นตะวันรออยู่นี่ละ เดี๋ยววิณณ์รีบออกมา”

“แน่ใจเหรอ ไปได้แน่นะ ไม่ต้องการกำลังเสริมเหรอ”

“นี่ ไม่ได้ไปรบแค่ไปคุยธุระ รอนี่แหละ อย่าทำให้ท่านเจ้าที่เขาลำบากใจ แล้วก็อย่าซนละ”

“คร้าบบบบ พ่อ”

“หึหึ”

“โยกหัวอีกและ”




“เฮ้ออ ข้าละไม่เข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆ”

“หืม? ความสัมพันธ์แบบไหนเหรอครับ”

“ก็แบบที่เจ้าสองคนเป็นอยู่ไง คนหนึ่งก็มนุษย์ อีกคนก็วิญญาณ”

“เราแค่ช่วยกันทำภารกิจนะครับ ท่านเจ้าที่รู้ไหมวิณณ์ใจดีมากเลยนะครับ ยอมช่วยตะวันทั้งที่ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกันมาก่อน แถมตะวันเป็นวิญญาณแบบนี้วิณณ์ยังรับได้เลย”

“ก็นั่นแหละที่ข้าไม่เข้าใจ”

“.....”

“ถ้าเจ้าเป็นญาติเป็นเพื่อนไอ้หนุ่มนั่นข้าก็พอจะเข้าใจ แต่นี่เจ้าไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน กลับสนิทสนมและช่วยเหลือกันเหมือนรู้จักกันมาเป็นชาติอย่างนั้นแหละ”

“ท่านว่ามันแปลกเหรอครับ?”

“หรือเจ้าว่าไม่แปลก”


ฮึ.....พั่บๆ

“ไม่ต้องสั่นหัวแทบหลุดขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเป็นข้านะคงถอดใจไปตั้งแต่แรกแล้วละมั้ง ไม่ใช่เรื่องของตัวเองจะทนทำให้ลำบากทำไม คุยทีหนึ่งก็กลัวใครเห็น เขาจะพาลหาว่าบ้าพูดคนเดียว”

“..............”






[วิณณ์]


แม่บ้านพาผมเดินอ้อมมาทางด้านข้างของตัวบ้าน มองไปซ้ายมือด้านในบ้านเห็นห้องรับแขกขนาดใหญ่ ขวามือฝั่งตรงข้ามเป็นสวนและบ่อปลา เดินมาเรื่อยจนถึงสระว่ายน้ำและด้านหน้าคือเรือนรับรองหลังเล็ก นั่นคงจะเป็นจุดหมายของเรา

“เชิญข้างในคะ” ผมเดินตามแม่บ้านเข้าไป ด้านในคือห้องทำงานที่ผมว่ามันใหญ่มากแต่ของข้างในทำให้เล็กลงได้ถนัดตา

โต๊ะทำงานที่ถ้าแบ่งออกมาคงนั่งทำงานได้สัก 3คน
ตู้โชว์ที่ของด้านในเต็มไปด้วยของมีค่า
ตู้เซฟขนาดที่พอจะเดาได้ว่าข้างในน่าจะมีอะไร
โทรทัศน์ LED ดิจิตอลขนาดน่าจะซัก 50นิ้วได้
ตู้เย็นขนาดใหญ่ที่สามารถใช้กับตำรวจทั้งโรงพักได้
และรูปเจ้าของบ้านด้านหลังโต๊ะทำงานที่ใหญ่กินพื้นที่ไปเกือบทั้งด้าน

นี่แค่ห้องทำงานยังขนาดนี้ วิณณ์ไม่อยากจะเดาเลยว่าข้างในบ้านหลังใหญ่นั่นจะขนาดไหน

ไม่น่าเชื่อว่าแค่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะสามารถร่ำรวยได้ขนาดนี้

“นั่งรอสักครู่นะคะ คุณท่านกำลังมาคะ”

“ครับ”




------------------------------------------------


“ตะวันอยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ มีเงินเยอะๆ แบบนี้จัง”

“บางทีการมีหลังใหญ่โตก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีความสุขเสมอไปนะไอ้หนุ่ม”

“ทำไมละครับ”

“ก็ความสุขนะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีเงินเยอะแค่ไหน มีบ้านหลังใหญ่โตเท่าไหร่ หรือมีรถคันหรูๆขับ แต่ความสุขนะมันอยู่ที่นี่”


ท่านเจ้าที่พูดพร้อมกับชี้ไปที่หน้าอก

“แค่เราอยู่ในที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจ สามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่ มีคนที่เข้าใจจะมีเป็นสิบเป็นร้อยหรือแค่คนเดียว เราก็มีความสุขแล้ว”

“ก็จริงนะครับ”

“ตอนนี้เจ้าเองก็มีความสุขอยู่ซินะ”

“ใช่ครับ ตะวันไปทุกที่กับวิณณ์ ทำโน่นนี่นั่นกับวิณณ์ต่อให้คนอื่นไม่เห็นตะวัน ตะวันก็ไม่สนใจหรอกครับ แค่มีวิณณ์ก็โอเคแล้ว”

“เฮ้อ ข้าบอกแล้วข้าไม่เข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้จริง เฮ้ออออออออออออออ”


อ้าว ท่านเจ้าที่ถอนหายใจทำไมละครับ แล้วไม่เข้าใจอะไรเหรอ งงแฮะ


-----------------------------------------




แกร็กกก.....

วิณณ์หันไปตามเสียงที่ได้ยิน พร้อมกับลุกขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินเข้ามา

“สวัสดีครับ”

“สวัสดี สวัสดี ลมอะไรหอบมาหาอาได้ละ นั่งก่อนเถอะ” ชายสูงวัยตรงหน้าพูดพร้อมกับเดินมานั่งที่โซฟา

“มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาอาได้วันนี้”

“ที่ผมมาหาคุณยงยุทธวันนี้เพราะอยากถามเรื่องเรื่องหนึ่งนะครับ”

“เรียกคุณทำไม ฟังแล้วมันห่างเหินเกินไป เรียกอาเถอะ”

“ครับ อาจจะเพราะผมยังไม่ชินเท่าไหร่”

“เอาเถอะค่อยๆ เรียกไปเดี๋ยวก็ชิน แล้วเรื่องอะไรที่อยากถามอาหรือ?”

“เรื่องของพ่อนะครับ”

“..............”

“ผมรู้มาว่าก่อนที่พ่อจะเสีย พ่อกำลังทำคดีหนึ่งอยู่เป็นคดีค้ายาเสพติด และเหมือนพ่อจะสืบรู้เรี่องสำคัญที่จะสาวถึงตัวการได้แล้ว แต่พ่อก็ดันถูกฆ่าซะก่อน”

“อืม อาเสียใจมาก ทั้งอาและอาพงษ์เราเสียใจกันทั้งคู่ เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนด้วยมาเป็น 10-20 ปี เคยเตือนพ่อเราให้ระวังตัวแต่ก็.....”

“......”

“......”

“แม่ผมบอกว่า พ่อน่าจะรู้จักหรือรู้ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับคดีที่พ่อสืบอยู่ว่าเป็นใคร”

“.....”

“แม่ได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์ หลังจากที่พ่อคุยเสร็จพ่อก็ขังตัวเองอยู่ในห้องทำงาน และออกไปอีกทีตอนเช้ามืด ก่อนที่พ่อจะออกไปพ่อแค่บอกกับแม่ว่าจะไปหาเพื่อน”

“......”

“......”

“เพื่อนเหรอ”

“ครับ เพื่อน”

“......”

“เพื่อนที่ชื่อ.....”

“.......”
.
.
.
.
“ยงยุทธ”


“....!!”

“ผมเลยอยากรู้ว่าเพื่อนที่ชื่อยงยุทธที่พ่อพูดถึง ใช่คุณไหมครับ”

“เอ่อ.....” นายยงยุทธอ้ำอึ้งแล้วก็ถอนหายใจออกมา

“ก็ถ้าเพื่อนตั้งแต่เรียนกันมาและยังคบกันมาตลอดมี ยงยุทธ เดียวก็คืออานี่แหละ แต่อากับพ่อเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ไม่ได้เจอกันเลยจนพ่อเราเสีย”

“เหรอครับ คุณจะบอกว่าพ่ออาจมีเพื่อนคนอื่นอีกที่ชื่อเหมือนกันหรือความจริงแล้วพ่อมาหาคุณแต่มาไม่ถึง...”

“.....วิณณ์!!”  ยงยุทธเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อได้ยินประโยคนั้น




Rrrrrrrrrrrrrrrr

[ผู้กอง ตะวัน.....]

ผมยุติการสนทนากับนายยงยุทธไว้แค่นั้นเพราะสายที่ผมเพิ่งรับมีเรื่องที่สำคัญกว่า แต่ก่อนที่ผมจะออกมา.......

“เหตุผลที่ผมมาเป็นตำรวจก็พราะพ่อ ผมอยากรู้ว่าทำไมพ่อต้องตาย อะไรและใครทำให้พ่อผมตาย ตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจสอบเข้าตำรวจจนถึงตอนนี้ผมก็ยังทำเรื่องนี้มาตลอด ผมจะไม่หยุดและผมต้องสืบให้ได้”

ผมกลับออกมาโดยมีตะวันตามมาติดๆ จุดหมายปลายทางคือ บ้านของตะวัน


ตะวันกำลังจะถูกส่งตัวไปอเมริกา


แค่ประโยคเดียวแต่กลับทำให้คนฟังร้อนรนได้อย่างไม่น่าเชื่อ วิณณ์รีบเร่งออกมาจากบ้านนายยงยุทธเพื่อไปที่บ้านของตะวัน จนตะวันเองสงสัย

“วิณณ์รีบไปไหน”

“ไปบ้านตะวัน”


อ๊อดดดดดด


“อ้าวผู้กองมาได้ยังไงคะ”

“สวัสดีครับคุณน้า”

“สวัสดีจ้ะ ผู้กองมีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาได้”

“ครับ ผมรู้มาว่าตะวันกำลังจะถูกส่งไป อเมริกา


“หะ!! อะไรนะ ทำไม...วิณณ์...แม่ ทำไมถึงส่งผมไปอเมริกาละครับ”


“วายุบอกผมนะครับ”

“แหนะ รู้สึกว่าพักนี้สองคนจะสนิทกันจังเลยนะคะ”

“ครับ”

“คุณอาทิตย์พ่อของตะวันนะคะ เขาอยากส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกาเพราะว่าเพื่อนของคุณอาทิตย์รู้จักหมอเก่งๆ ที่นั่น”


“ไม่ไปนะวิณณ์ ไม่ไปนะแม่ วิณณ์ก็รู้ว่าอาการของตะวันไม่ได้ต้องให้หมอที่ไหนรักษานี่”


“เอ่อ คุณน้าครับจำเป็นต้องส่งไปเหรอครับ”

“น้าก็ไม่รู้จะว่ายังไงดี น้าจำได้นะเรื่องที่ผู้กองบอกตอนแรกแต่ตอนนี้ตะวันก็ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว น้าเองก็อยากให้ตะวันหาย เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีของตะวันนะจ้ะ”

วิณณ์ฟังแม่ของตะวันไม่ใช่เขาไม่ยอมรับเหตุผลของคนเป็นแม่ แต่ก็อย่างที่รู้อาการของตะวันมันไม่เกี่ยวกับการรักษาทางแพทย์

“คุณน้าครับ”

“คะ?”

“ผมมีเรื่องอยากบอกคุณน้าครับ”

“.......”

“ถ้าผมจะบอกว่า......ต่อให้ส่งตะวันไปหรือมีหมอที่เก่งมากแค่ไหน......”

“.......”

“ตะวันก็จะไม่ฟื้นขึ้นมา คุณน้าจะว่ายังไงครับ”

เธอรู้สึกตกใจและโกรธในคราวเดียวกันที่ได้ยินประโยคนี้ของวิณณ์ แต่เธอก็เป็นคนมีเหตุผลพอที่จะไม่โวยวายอะไรออกไป

“งั้นน้าก็อยากฟังเหตุผลว่าทำไมผู้กองถึงคิดแบบนี้”

เอาแล้วไงงานยากสำหรับเขาตอนนี้จะพูดยังไงให้แม่ของตะวันเชื่อ และที่สำคัญไม่คิดว่าเขาบ้า

“เอ่อคือ....มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ และไม่น่าเชื่อ แต่ผมก็อยากบอกให้คุณน้าฟัง จริงๆแล้ว....ตะวันอยู่กับเราที่นี่ตอนนี้”

“ก็ใช่ซิจ้ะ ก็ตะวันนอนอยู่นี่ไง เขาก็ต้องอยู่ที่นี่ซิ”

“ไม่ใช่ครับ แต่ที่ผมหมายถึงไม่ใช่ร่างกาย”

“ยังไงคะผู้กอง น้างง ไปหมดแล้ว”

“คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อตายไปวิญญาณจะหลุดออกจากร่างแล้วไปภพภูมิอื่นๆ กรณีของตะวันก็เป็นเช่นนั้น”

“น้าไม่ตลกด้วยนะคะผู้กอง ตะวันยังนอนอยู่ที่นีี ร่างกายตะวัน หัวใจตะวันยังทำงานเป็นปกติ แล้วผู้กองจะมาบอกว่าตะวันเป็นกรณีเหมือนคนตายทั่วไปได้ยังไง”

“ผมไม่ได้บอกว่าตะวันตาย แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันแค่ใกล้เคียง”

“.....”

“ตะวันอยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย ผลจากอุบัติเหตุทำให้ตะวันเป็นเจ้าชายนิทรา แต่จริงๆแล้วเหตุที่ตะวันยังไม่ฟิ้นเพราะวิญญาณของตะวันหลุดออกจากร่าง และไม่สามารถกลับเข้าร่างได้”


ผู้เป็นแม่มองวิณณ์อย่างสงสัยเธอเข้าใจในสิ่งที่วิณณ์พูด แต่ไม่เข้าใจว่าวิณณ์ต้องการอะไรถึงมาบอกเธอแบบนี้วิญญาณ โลกหลังความตายเธอรู้จักเรื่องพวกนี้ดี แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง


“เดี๋ยวนะคะผู้กองจะบอกว่า ที่ตะวันยังไม่ฟื้นเพราะว่าวิญญาณไม่สามารถกลับเข้าร่างได้งั้นเหรอคะ”

“ครับ”

“ทำไม?”

“เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนนะครับ แต่ผมขอสรุปสั้นคือ การที่ตะวันฆ่าตัวตายทำให้วิญญาณออกจากร่างและกลับเข้าร่างไม่ได้”

“กลับเข้าร่างไม่ได้เหรอคะ”

“ครับ วิญญาณตะวันไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ ตอนแรกผมก็งงกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

“แล้วผู้กองรู้ได้ยังไงคะ แล้ว....แล้วทำไมตะวันถึงไม่เคยมาหา หรือมาบอกอะไรกับน้าเลยละ แทนที่จะมาหาน้ากลับไปหาผู้กองแทน”

“เพราะผมต้องช่วยตะวันทำภารกิจให้สำเร็จเพื่อที่จะได้รับพรให้วิญญาณของตะวันได้กลับเข้าร่าง และอีกอย่างตอนนี้คุณน้าเห็นตะวันไหมละครับ”

“ไม่คะ”

“แต่ผมเห็นครับ ผมเห็นตะวัน ผมได้ยินตะวันและพูดคุยกับตะวันได้เพียงคนเดียว คงเป็นเพราะเหตุผลนี้”

“ไม่ยุติธรรมเลยทำไมน้าเป็นแม่แท้ๆ กลับถึงไม่รู้สึกอะไรเลย ช่วยลูกตัวเองไม่ได้ ฮึก...”


“แม่ แม่ครับอย่าร้องเลยนะ วิณณ์ทำไงดี”


“คุณน้าครับอย่าโทษตัวเองเลย ตะวันเองคงไม่อยากรู้สึกบาปไปมากกว่านี้ ตอนนี้เราต้องมาช่วยกันทำยังไงไม่ให้ตะวันถูกส่งตัวไปดีกว่านะครับ”

“……”

“คุณน้าครับตะวันไม่มีทางฟื้น ต่อให้มีหมอที่เก่งและดีแค่ไหนตะวันก็จะไม่ฟื้นจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ คุณน้าเชื่อผมเถอะนะครับ”

“น้า เอ่อ...น้า”

“แม่ครับเชื่อวิณณ์เถอะนะครับ ถ้าร่างผมต้องไปไกลขนาดนั้นวิญญาณผมจะทำยังไง”

“ผู้กอง น้าเชื่อผู้กองนะคะแต่ว่าน้าจะทำให้พ่อของเขาเชื่อยังไงนี่ซิ ผู้กองเข้าใจน้าใช่ไหม”

“เรื่องนั้นเราจะช่วยกันคิดนะครับ”


แม่ผมพยักหน้าตอบรับ


ผมกับวิณณ์ขึ้นมาบนห้องนอน พยาบาลพิเศษที่พ่อส่งมาดูแลจึงขอตัวลงไปข้างล่างปล่อยให้พวกเราอยู่กันตามลำพัง ร่างของผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ดูซูบผอมลงไปเยอะ แต่เนื้อตัวกลับสะอาดหมดจด เล็บถูกตัดอย่างเรียบร้อยทั้งมือและเท้า ถึงแม้ไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ก็ยังมีสายห้อยอยู่ทั้งสายน้ำเกลือ สายให้อาหาร

“นี่นาย....ตะวัน นายตะวัน....นอนอยู่นั่นแหละ”

“หึหึ เล่นเป็นเด็กอีกแล้ว เดี๋ยวก็โดนดีดเหมือนครั้งก่อนหรอก”

“เปล่าซะหน่อย ก็แค่เตือนตัวเองว่าเลิกนอนได้แล้ว รีบๆทำภารกิจซะจะได้ฟื้นขึ้นมาซะที”


ก๊อก ก๊อก


“น้าได้ยินเสียงผู้กองกำลังพูดอยู่”

“.......”

“....กับตะวันเหรอจ้ะ”

“ครับ”

“น้าอยากเห็นลูกของน้าจัง เขาเป็นยังไงบ้าง ได้กินอะไรบ้างไหม นอนหลับหรือเปล่า ลำบากไหม”


“แม่ครับ ร้องไห้อีกแล้ว อย่าร้องนะครับ”


“คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ รายนั้นครึกครื้นเฮฮาตลอดเวลาเลยครับ”

“เหรอจ้ะ ดีแล้วละ .....เอ๊ะนั่นมันสร้อยที่หน้าให้ไว้คราวก่อนใช่ไหมจ้ะ”

“ครับ”

“พกติดตัวไว้ตลอดเลยเหรอ”

“...….”

“ผู้กองคงสนิทกับตะวันมาก ตะวันต้องดีใจแน่ๆที่ผู้กองเก็บสร้อยเส้นนี้ไว้”


“หืม? สร้อยไรเหรอวิณณ์”

‘ไม่บอก’ วิณณ์ทำปากขมุบขมิบให้ผมเห็นคนเดียว โด่เอ้ยไม่อยากรู้ก็ได้

“ผู้กองจะอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนไหม”

“ไม่ดีกว่าครับ”

“เหรอจ้ะ น้านึกว่าวันนี้จะมีเพื่อนกินข้าวด้วยซะอีก”

“เอ่อ.....”


วิณณ์มองหน้าแม่ของตะวันและหันกลับมามองตะวัน


“งั้นผมขอฝากท้องด้วยแล้วกันนะครับ”

“จ้ะ” คนเป็นแม่ดีใจจนหลุดยิ้มออกมาเต็มที่

“แม่คงจะเหงาใช่ไหมวิณณ์”

“อย่าคิดมาก” วิณณ์พูดปลอบพร้อมกับโอบไหล่คนข้างๆ


กว่าจะเสร็จจากมื้ออาหารและกลับออกมาจากบ้านของตะวันก็เกือบสองทุ่ม วิณณ์รีบขับรถไปที่ รพ. เพราะเขาทิ้งแม่ไว้ที่นั่นตั้งแต่เช้า แต่เมื่อมาถึงเขากลับเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้าอย่างจัง

อาพงศ์กับ…..

นายยงยุทธ


“วิณณ์เข้ามาก่อนซิลูก อาพงศ์กับเพื่อนมาเยี่ยมดารินนะจ้ะ”

“สวัสดีครับ”

“อืม หวัดดีๆ ไปไหนมาไอ้หลานชาย ปล่อยแม่ไว้คนเดียวได้ยังไงหะเรา ไม่ห่วงแม่หรือไง”

“ไปธุระมานิดหน่อยนะครับ”

“ธุระอะไรจะสำคัญกว่าน้องสาวที่นอนเจ็บตรงนี้”

“เรื่องคดีพ่อนะครับ”

“นี่เรายังไม่เลิกล้มความตั้งใจอีกเหรอ”

“ไม่ครับ ผมบอกพ่อไว้แล้วว่าผมจะหาคนที่ทำพ่อมาให้ได้ผมก็ต้องทำ”

“.............”

“อะ..เอ่อ ตาวิณณ์ไม่เอา อย่าคุยเรื่องซีเรียสกันดีกว่านะว่าแต่เมื่อกี้เราคุยค้างกันถึงไหนนะ อ๋อคุณยงยุทธเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับคุณพงศ์และพ่อของวิณณ์เหรอคะ ดิฉันไม่ทราบมาก่อน”

“ครับ เราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมย้ายไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เรียนจบช่วงแรกก็กลับมาบ้าง ปีหนึ่ง 2-3 ครั้งแต่พอเริ่มทำธุรกิจงานมันยุ่งจนหาเวลากลับไม่ได้ พอกลับมาอยู่เมืองไทยก็ยังต้องบินบ่อย งานสังสรรค์ งานแต่งหรือแม้แต่งานศพของเพื่อนผมไม่มีโอกาสได้มาเลย”

“มิน่าละดิฉันถึงไม่คุ้นเลย แต่ก็คนมันมีธุระอะเนอะทำยังไงได้”

“ไม่มีโอกาสหรือว่าไม่หาโอกาสกันแน่ครับ”

“...........”

เพียะ.... “วิณณ์พูดอะไรนะเรา เสียมารยาท” เสียงฝ่ามือของแม่ที่ตีลงมาที่แขนวิณณ์

“ขอโทษนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจความรู้สึก”

“......”

“อาว่าวันนี้อากลับก่อนดีกว่าพอดีอาต้องไปธุระที่อื่นกับอายงยุทธต่อนะ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณวรรณ”

“คะ ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยม ดูซิคนไข้ยังไม่ยอมตื่นมาคุยด้วยเลยมีคนมาเยี่ยมแท้ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ให้พักผ่อนเยอะๆ นะดีแล้วจะได้หายไวๆ ยังไงก็ฝากบอกหลานสาวด้วยนะครับว่าอาพงศ์มาเยี่ยม”

“ได้คะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

“ครับ”

“วิณณ์ไปส่งอาเขาไปลูก”


ผมเดินรั้งท้ายผู้ใหญ่ทั้งสองคนเพื่อไปส่งที่ลานจอดรถ แต่ถึงเพียงแค่หน้าลิฟท์อาพงศ์ก็หันมาบอกกับผม

“วิณณ์ส่งพวกอาแค่นี้ก็พอ”

“ไม่เป็นไรครับอา ผมลงไปส่งถึงข้างล่างได้”

“ไม่ต้องๆ พวกอาสองคนไม่ได้แก่ขนาดต้องมีคนคอยดูคอยเดินตามไปอยู่เป็นเพื่อนแม่กับน้องเถอะ”

“ครับ งั้นสวัสดีครับอาพงศ์ คุณยงยุทธ”

“.....นี่ยังเรียกคุณอยู่อีกเหรอ เรียกอายงยุทธเขาว่าอาได้แล้ว”

“มันยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่นะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหลานชินเมื่อไหร่ก็เรียกเองแหละพวกอาไปก่อนนะ”

“สวัสดีครับ”



ติ๊งงงงง


เสียงลิฟท์ดังขึ้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนเดินเข้าลิฟท์ไปส่วนผมก็หันหลังเพื่อเดินกลับไปหาแม่กับน้องสาว 

“เดี๋ยววิณณ์.....”

“ครับ?”

“เรื่องที่เรากำลังทำอยู่นะ ยังไงก็ระวังตัวนะ บางทีอะไร อะไรมันก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดเสมอไป”

“อาหมายความว่ายังไงครับ??”

อาพงศ์ไม่ตอบเพียงแค่อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะบอกลาอีกครั้งและลิฟท์ก็ปิดตัวลง

“อาไปก่อนละ”







*** เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอนบางทีอะไรๆ มันก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสมอไป
อย่าเชื่อทุกสิ่งที่เห็นและอย่าเชือทุกสิ่งที่ได้ยิน จงยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
.....ไม่มีใครกล่าวไว้ นักเขียนได้กล่าวเอง อิอิ ***

ขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังติดตามกันนะคะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แอบงงกับคำพูดของอาพงศ์ในตอนท้ายอ่ะ

แถมไรทฺ์ก็ยังมาแปะทิ้งท้ายอีก  ยิ่งสับสนไปใหญ่เลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
น่าสงสัยทั้งอาพงศ์และอายุทธเลย  :hao3:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 29 ความไว้ใจเท่ากับศูนย์




[โรงพัก]


“เบื่อเว้ยยยย อย่าให้กูออกไปได้นะ”

“เฮ้ย อย่าส่งเสียง”

“ครับ ครับ” แต่ยังไม่ทันที่ร้อยเวรจะเดินห่างออกไป

“ถุย โด่วไม่กลัวหรอกเว้ย”

“มึงมีปัญหาอะไร”

“ไม่มีครับจ่า ผมจะไปกล้ามีปัญหาอะไรละครับก็แค่บ่นไปตามเรื่องตามราวนะครับ” ร้อยเวรชี้หน้าคาดโทษแต่คนอย่างไอ้ซีนกลัวที่ไหนสุดท้ายมันยังทำหน้าล้อเลียนให้อีก

“ไอ้ซีน หัดเงียบปากบ้างเถอะมึง”

“ใครวะ อยู่ดีๆมาด่ากูเดี๋ยวพ่อจัดหนักให้”

“แค่ไม่กี่วันมึงลืมเพื่อนมึงได้แล้วเหรอ”

“เพื่อน?”  โจ๊กเดินออกมาจากมุมห้องขังด้านใน

“ไอ้โจ๊ก เชี้ยมึงยังอยู่ที่นี่เหรอวะกูนึกว่าเขาย้ายมึงไปที่อื่นแล้ว”

“เออดิ กูยังอยู่ที่นี่ มีแต่มึงกับพี่เอ็มที่ไม่มาหากู”

“กูกับพี่เอ็มก็อยากมาแต่นายสั่งห้ามไว้วะ แล้วไหนพวกกูยังต้องทำงานให้นายให้เสร็จอีก”

“แล้วเสร็จไหม”

“เสร็จเหี้ยไรละ ถ้าเสร็จกูไม่มาอยู่ในนี้หรอก”

“แล้วมึงไปทำอะไรถึงถูกจับได้”

“พวกกูจนปัญญาจะหาเมมมาให้นายแล้วจะตามจากไอ้ผู้กองแม่งก็ยากเย็นกูเลยตัดสินใจในเมื่อเข้าทางพี่ไม่ได้ ก็เข้าทางน้องมันซะ“

“แล้ว?”

“แล้วไงละ อุตส่าห์มีโอกาสตอนที่น้องมันอยู่คนเดียวแต่แม่งฤทธิ์เยอะแถมยังมีไอ้หน้าหล่อตามมาช่วยมันไว้อีก”

“สรุปก็คว้าน้ำเหลว ทำอะไรไม่ได้อีกตามเคย”

“ใครบอกกูทำไม่ได้ ถ้าไอ้หน้าหล่อไม่มาช่วยไว้นะ น้องสาวมันได้ตายไปแล้ว”

“.....นี่มึงใช้สมองคิดแล้ว”

“เออดิวะ กูจะใช้น้องมันต่อรองแต่แม่งเสือกฤทธิ์เยอะ.....
.
.
.
ความจริงกูก็ไม่ได้จะทำรุนแรงอะไรหรอก แต่มือมันหนักไปหน่อย”

“............”

“แล้วมึงเป็นไงบ้างวะโจ๊ก”

“ก็ไม่เป็นไงอะ อย่างที่เห็น”

“ทำไมมึงดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรเลยวะ มึงไม่อยากออกไปเหรอ”

“อยากออกดิ แต่ออกไปตอนนี้ก็มีแต่ต้องหนีอย่างเดียว กูเบื่อแล้ววะกูอยากอยู่แบบไม่ต้องหนี ไม่ต้องหลบซ่อนอีกแล้ว”

“มึงหมายความว่าไง”

“มึงไม่เบื่อเหรอวะ ทำแต่เรื่องเหี้ยๆ แบบเดิมซ้ำๆ ได้เงินมาเยอะแค่ไหน แต่ก็ใช้ได้ไม่เต็มที่”

“ไม่อะ มีเงินเยอะกูชอบ”

โจ๊กปล่อยให้เพื่อนพูดไปส่วนตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟัง เพราะโจ๊กเองก็คิดว่าเขาจะไม่พูดถึงเรื่องที่เขาได้สารภาพกับตำรวจไปแล้ว

“ไอ้โจ๊กแม่มาเยี่ยม”  ร้อยเวรเดินมาเรียกและเปิดประตูห้องขังให้เขามายืนที่หน้าห้องฝั่งรอพบญาติ

“แม่”

“โจ๊ก วันนี้แม่เอาข้าวผัดหมูมาให้ของชอบโจ๊กเลยนะ”

“ผมกินข้าวผัดหมูทุกวันจนหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีข้าวผัดแล้วแม่”

“อ้าว เบื่อแล้วเหรอลูกแล้วอยากกินอะไรละพรุ่งนี้แม่จะได้ซื้อมาให้ใหม่”

“ผมล้อเล่นนะอะไรก็กินได้ทั้งนั้นแหละแต่พรุ่งนี้แม่คงต้องเพิ่มข้าวจากกล่องเดียวเป็นสองกล่องแล้วละ”

“ทำไมละ”

“ก็ผมมีเพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”

“ใครเหรอ?”

“แม่ แม่ครับ ซีนเองคร้าบ ผมหิวอ่าแม่มีอะไรให้ผมกินบ้างไหม” ไอ้ซีนตะโกนออกมาจากด้านในจนร้อยเวรต้องเตือนอีกรอบ

“อ้าวซีนไปทำอะไรมาละเราไปก่อเรื่องไม่ดีเอาไว้อีกแล้วใช่ไหม”

“อย่าไปสนใจมันเลยแม่ พรุ่งนี้แม่มาก็เผื่อข้าวมาให้มันด้วยแล้วกัน”

“อืมๆ เดี๋ยวเย็นนี้แม่มาอีกรอบ”

“ไม่ต้องหรอกแม่มาวันละรอบก็พอแล้ว ตอนเย็นก็กินข้าวแดงกันได้ไม่ต้องซื้อมาเปลืองเงินเก็บเงินไว้ใช้เองบ้างเถอะ”

“ไม่ต้องมาห่วงแม่หรอก ซื้อข้าวให้ลูกกินมันไม่ทำให้จนไปกว่านี้หรอก”

“.......”

“แม่กลับไปทำงานก่อน ตอนเย็นแม่มาอีกทีบอกซีนด้วยละเดี๋ยวแม่เอาข้าวมาเผื่อ”

“ครับ”



“นายครับ แม่ไอ้โจ๊กกลับไปแล้วครับ...ครับ...ได้ครับนาย”





[วิณณ์]


หลังจากส่งแขกกลับไปแล้ว วิณณ์เดินกลับมาที่ห้องอีกครั้ง

“กลับกันไปหมดแล้วเหรอลูก”

“ครับ”

“วิณณ์มีอะไรหรือเปล่าลูก”

“เปล่านี่ครับ ทำไมเหรอครับแม่”

“แม่ว่าดูเรามีท่าทีแปลกๆกับเพื่อนพ่อคนนี้”

“ไม่หรอกครับ อาจจะเพราะไม่ค่อยสนิท”

“เหรอจ้ะ”

“เออ วันนี้หมอว่ายังไงบ้างครับ”  วิณณ์เปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้แม่มาคิดมากกับเรื่องนี้

“ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วละจ้ะ แค่รอให้ฟื้นตัวอีกหน่อย วันสองวันก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว”

“แล้วนี่น้องหลับ ไม่ตื่นบ้างเหรอครับ”

“ตื่นแล้ว แต่คงเพราะยานะเลยหลับไปต่อ”

“ครับ แล้วแม่จะกลับเลยไหมครับ”

“ก็ดีจ้ะ พรุ่งนี้แม่ต้องมาตื่นมาทำข้าวต้มกุ้งตอนเช้า น้องสาวเรานะเขาขอให้แม่ทำให้ บอกว่าข้าวที่ รพ ไม่อร่อย”

“นอนเจ็บยังเรื่องมากอีกนะเรา” วิณณ์พูดพร้อมกับลูบผมน้องสาวอย่างเอ็นดู ชีวิตนี้เขาก็เหลือแม่กับน้องสาวสองคนถ้าใครซักคนต้องเป็นอะไรไปเพราะเขา เขาคงต้องเสียใจมาก


หลังจากที่แม่ต้องทำกับข้าวต้มกุ้งไปส่งน้องสาวผมอยู่สองวัน ไอ้หมอชายก็บอกว่าน้องสาวผมพร้อมที่จะกลับบ้านได้แล้ว

“ดารินกลับบ้านไปครั้งนี้ก็อย่าไปห้าวที่ไหนอีกละ เดี๋ยวไอ้ผู้กองมันจะปวดหัวตายไปซะก่อน”

“โอ๊ะ พี่ชายอะ เดี๋ยวจะฟ้องพี่ฟิล์มว่าว่าน้อง”

“น้อยๆ หน่อยยายริน ไปล้อพี่เขาอีกแล้วนะ เราเถอะผู้ใหญ่เตือนอะไร ห้ามอะไรหัดฟังซะบ้าง”

“รินก็ฟังนะแม่”

“ฟังแล้วทำไมถึงแอบออกไปคนเดียวละ”

“เพราะคดีพี่วิณณ์นะแหละ ไม่เกี่ยวกับรินซักหน่อย”

“......”

“วิณณ์”

“พี่วิณณ์...”

‘ดูซิพูดอะไร พี่เขาหน้าเสียแล้วเนี่ย เห็นไหม’
‘รินไม่ได้ตั้งใจนี่แม่’

“ตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่า ทำไมเขาไม่เห็นเลย”  น้องสาวตัวแสบรีบเปลี่ยนน้ำเสียงแล้ววิ่งเข้าไปหาพี่ชาย

“ก็ตั้งแต่ที่เราบอกว่าเจ็บตัวเพราะพี่นี่แหละ”

“ตัวอะเขาล้อเล่น อย่างอนซิ”

“......”

“พี่วิณณ์น้าา อย่างอนน้องน้า”

“.......”

“อะก็ได้ เขาขอโทษเขาเจ็บตัวเพราะคดีที่พี่ตัวเองทำ แต่เขาไม่โกรธหรือโทษตัวเลยนะ ถ้าย้อนกลับไปเขาก็จะยังช่วยพี่อีกเหมือนเดิม”

“.......”

“อย่าโกรธเลยน้า ดีกันนะ นะ นะ”

“หึหึ”  วิณณ์โยกหัวน้องอย่างเอ็นดู

“เย้ หายโกรธเขาแล้วใช่ม่ะ”

“พี่ไม่ได้โกรธเราหรอก ที่เราเจ็บตัวก็เพราะพี่มันก็เป็นเรื่องจริงแต่พี่เจ็บใจที่น้องสาวตัวเองแท้ๆ กลับช่วยอะไรไม่ได้ แล้วนี่พี่จะวางใจปล่อยให้เรากับแม่ไปอยู่บ้านกันตามลำพังได้ยังไง”

“โหยไม่ต้องห่วงหรอก เขาอยู่ซะอย่างวางใจได้”

“เรานี่ละตัวดีเลย หาเรื่องได้ตลอด”

“อิอิ”

“แม่ครับ แม่จะไม่อยู่คอนโดกับวิณณ์จริงเหรอครับ”

“ไม่เอาละ มันอึดอัดแม่ไม่ชอบอยู่แต่ในห้องกลับบ้านเราสบายใจกว่า แม่เป็นห่วงบ้านด้วย อีกอย่างวายุเขาอาสามาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว วิณณ์ไม่ต้องห่วงหรอก”

“ครับ”

“หะ! เดี๋ยวนะแม่ แม่ว่าอะไรนะคะ นายวายุจะมาอยู่กับเราเหรอ ทำไมละคะแม่ รินไม่เอานะ”

“ไม่ต้องมาไม่เอาเลย ก็เพราะความรั้นของเรานะแหละถึงต้องเจ็บตัวแบบนี้พี่เขาก็เจ็บตัวตามเราไปด้วย”

“นายวายุเป็นอะไรเหรอคะแม่”

“เดี๋ยวพี่เขามาเราก็ดูเอาเอง ถามเอาเองแล้วกัน เฮ้ออ”

“แม่อะ......”



“ไอ้ผู้กอง กูว่าน้องเขยมึงเกิดแล้ววะ”

“กูก็ว่างั้น”




[บ้านอัศวเมฆา]


ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งอยู่ที่ห้องทำงานคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“มึงจะทำแบบนั้นไม่ได้.....กูว่าควรจะพอได้แล้ว......”  ยงยุทธวางสายลงพร้อมถอนหายใจออกมาเสียงดัง จนลูกน้องคนสนิทต้องหันมาสนใจ

“นายครับ”

“คนนี่ไม่รู้จักพอจริงๆ มึงว่าอย่างนั้นไหม”

“ครับนาย”

“เฮ้อออ ว่าแต่มีอะไร”

“ไอ้เอ็ม ไอ้อ๊อดมาครับนาย” ยงยุทธพยักหน้าเป็นเชิงให้พาคนด้านนอกเข้ามา



“นายครับ”

“ว่าไง”

“ไอ้โจ๊กยังอยู่ที่โรงพักยังไม่ถูกย้ายไปที่อื่นส่วนไอ้ซีนก็อยู่ด้วยกันครับ”

“แล้วมันบอกอะไรตำรวจไปบ้าง”

“พวกข้างในมันก็ไม่รู้ครับ ไอ้ซีนเพิ่งเข้าไปคงยังไม่ได้บอกอะไรตำรวจ แต่ไอ้โจ๊กพวกมันสงสัยกันอยู่เพราะมันถูกตำรวจเรียกไปสอบปากคำ 2ครั้งแล้ว และมันก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่ต้องถูกขัง ไอ้ซีนเข้าไปแค่วันเดียวมันก็โวยวายห้องขังแทบแตกแล้วครับนาย”

“แล้วแม่มันละ”

“ผมตามดูแม่มันตามที่นายสั่ง แม่มันก็ดูไม่มีพิรุธอะไรครับนาย ก่อนไปทำงานก็ไปส่งข้าวเช้าให้ไอ้โจ๊ก เย็นเลิกงานก็มาส่งท่าทางแม่มันคงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอกครับ"

“นาย นายครับนายอย่าทำอะไรพวกมันเลยนะครับ”

“แล้วมึงคิดว่ากูควรต้องทำยังไง”

“พวกมันไม่พูดหรอกครับนายเชื่อใจได้”

“แล้วมึงเอาอะไรมาการันตีกู”

“เอ่อ......”

“กูก็ไม่ได้จะใจร้ายกับพวกมันหรอกนะ แต่ถ้าเนื้อตรงไหนที่มันร้ายมันเน่ามันเหม็น มึงคิดว่ากูควรเก็บไว้ไหม”

“......”

“ไอ้อ๊อดมึงรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

“ครับนาย”




[แม่&พ่อตะวัน]


“ไหนคุณพูดใหม่ซิคุณดารา”

“ฉันอยากจะให้คุณเลื่อนการส่งตัวตะวันออกไปก่อนนะคะ”

“.......”

“เพราะฉันคิดว่าต่อให้ส่งตะวันไปรักษาที่ไหนตะวันก็คงจะไม่หาย”

นี่คุณเป็นแม่ประเภทไหนกันเนี่ยหะ!!! ลูกจะได้รักษาจะมีโอกาสหายแต่กลับรั้งลูกเอาไว้กับตัว”

“คุณอาทิตย์คุณฟังเหตุผลของฉันก่อนนะคะ คุณมองที่ลูกซิตะวันดูเหมือนคนป่วยเหรอคะ เหมือนลูกแค่นอนหลับใช่ไหม หมอเองยังบอกว่าตะวันเหมือนคนปกติทุกอย่าง ตะวันสามารถใช้ชีวิตอยู่บ้านได้ตามปกติ ต่างตรงที่ตะวันต้องมีคนคอยดูแลในเรื่องการกินการนอนเท่านั้นเอง”

“.......”

“ฉันจึงคิดว่าไม่ว่าตะวันจะไปหรืออยู่หรือรักษากับหมอที่ไหน ผลก็ไม่ต่างกันตะวันแค่ต้องรอเวลา”

“รอเวลา? เวลาอะไร”

“เวลาที่เขาพร้อมจะตื่นอีกครั้ง”

“ไร้สาระ นี่คุณไปเอาความคิดไร้สาระแบบนี้มาจากไหนกัน รอตื่นหรือ? จะรอไปอีกหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือสิบปี ยี่สิบปี
คุณก็จะรอเหรอ....
ยังไงผมก็จะพาตะวันไปรักษา ถ้าคุณจะดื้อไม่ไปคุณก็ไม่ต้องไป ผมจะให้ลมจัดการเรื่องนี้เอง”

“คุณ....คุณอาทิตย์”

นายอาทิตย์เดินออกมาจากห้องโดยที่ลมนั่งรออยู่ด้านนอก

“พ่อครับ”

“ลม พ่อฝากจัดการเรื่องพี่ตะวันด้วย”

“แต่พ่อครับเราจะไม่ปรึกษาหมอเจ้าของไข้ที่นี่ของพี่ตะวันก่อนเหรอครับ”

พ่อหันมามองลูกชายคนเล็ก

“ให้เร็วที่สุด”

“ครับ”

ในชีวิตเขาทำเรื่องที่ผิดกับตะวันมาครั้งหนึ่งแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เกิดอีกซ้ำสอง ตะวันคือลูกชายคนโตของเขาแทนที่เขาจะรักและดูแลตะวันได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความไม่รู้จักพอของเขาทำให้ตะวันต้องกลายเป็นเด็กบ้านแตกและขาดพ่อ และลมก็รู้เหตุผลข้อนี้ดี

“ลม”

“ครับ”

“ลมรู้ใช่ไหม....เหตุผลของพ่อ”

“รู้ครับ พ่อคือพ่อของพี่ตะวันคือพ่อของผม เป็นพ่อของพวกเรา พ่ออยากชดเชยสิ่งที่ทำพลาดไปในอดีตและผมเองก็อยากทำเพื่อไถ่โทษที่ผมเกิดมาแล้วแย่งทุกอย่างมาจากพี่ตะวัน”

“ลม...”

“พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไร ผมเต็มใจทำ”

“อืม พ่อขอบใจนะ ขอบใจนะลม”




[ตะวัน]


เฮ้อ ทำไมเรื่องมันวุ่นวายกันไปหมดแบบนี้นะ เรื่องตัวเองที่กำลังจะถูกส่งตัวไปอเมริกา น้องสาววิณณ์ที่ถูกทำร้าย พี่วายุอีกคน แล้วไหนจะเรื่องคดีคุณแอน ที่น่าจะมีส่วนไปพัวพันกับคดีของพ่อของวิณณ์อีก ยุ่งอีรุงตุงนังได้อีกแฮะ

“โอ้ยยย ปวดหัว เฮ้อออออ”

“ถอนหายใจดังขนาดนี้ ท่าทางจะกลุ้มหนัก”

“อ้าวเจ๊”

“นี่เรียกเจ๊อีกแล้วเดี๋ยวตีปากแตกเลย”


-_-

“อะ เรียกใหม่ก็ได้ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณพี่ผีวิญญาณสาวสุดสวยหุ่นสะบึมเอ็กเซ๊กส์แตก”

“Great ดีมากจ้ะหนู”

“แล้วนี่เจ๊มีอะไรหรือเปล่า”

“ต้องมีอะไรด้วยเหรอถึงจะมาได้”

“ก็ตั้งแต่เจ๊มาทิ้งเรื่องไว้ให้ผมกับวิณณ์ ก็เห็นโผล่มาแค่สองครั้งเองหลังจากนั้นก็หายต๋อมไปเลยนี่”

“ช่างจิกกัดเหลือเกินนะเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือเรานะ เอ๊ะ...หรือว่าไม่ใช่ อุ๊บบ!”


ตะวันเหล่ตามองบน ยอมใจกับผีตนนี้จริงๆ

“ถึงผมจะชอบผู้ชายแต่ผมก็เป็นผู้ชายนะ แค่เป็นผู้ชายที่รักผู้ชายไม่ได้หมายความไม่ใช่ผู้ชาย”

“โอ๋ๆๆๆๆ งอนเหรอ ขอโทษเจ๊แซวนิดหน่อยเอง”

“ไม่ได้งอน แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมจะรับไม่ได้ด้วยที่ใครพูดแบบนี้กับผม แต่กำลังคิดว่า.....”

“คิดว่า?”

“นี่คือวิธีการมาขอความช่วยเหลือคนอื่นเหรอ”

“อูยยยย แรงส์”

“ช่างมันเถอะ”
  ตะวันตัดจบบทสนทนา เพราะเขาคิดว่าเอาเวลามาคิดหาทางแก้ไขปัญหาดีกว่ามานั่งเถียงกัน


“นี่น้องตะวันผู้น่ารัก กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”  ตะวันได้แต่กรอกตามองบน จะปล่อยให้เขาอยู่เงียบๆ บ้างได้ไหมเนี่ยหะ

“มีอะไรก็บอกเจ๊ได้นะ ช่วยคิดได้นะ มีสมองนะ ฉลาดด้วยนะจะบอกให้”

“หึหึ”

“อะไรหัวเราะอะไร”

“เปล่าผมแค่คิดว่าผมรำคาญเจ๊ แต่เอาจริงๆ มีเจ๊อยู่นี่ก็ดีเหมือนกันนะหายเหงาดี”

“เห็นมะ นี่ละประโยชน์ของเจ๊ละ คริๆ”

.
.
“ว่าแต่คิดอะไรอยู่”

“ก็เรื่องคดีเจ๊นี่แหละ พวกเราต้องตามคดีที่เจ๊ถูกฆ่าแต่ยิ่งตามคดีก็ยิ่งบานปลายพัวพันกันมั่วไปหมด น้องสาววิณณ์ พี่ชายผมต้องมาซวยเพราะยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ แล้วก็มีแนวโน้มว่าคดีนี้จะเกี่ยวข้องคดีของพ่อวิณณ์ที่เสียไป”

“เจ๊ถึงบอกไง ท่าทางเรื่องจะยุ่งกว่าที่เราคิดแต่ตอนนี้เรื่องที่น้องตะวันของเจ๊ต้องสนใจเรื่องของตัวเองก่อนแล้วละ”

“เรื่องของผม? ทำไมเหรอ”

“คดีล่าสุดที่น้องตะวันกับผู้กองจัดการไปนะดังมากเลยนะที่โลกวิญญาณ เพราะวิญญาณตนนั้นเคยเป็นผู้ถูกเลือกมาก่อนแต่ดันหนีจากภารกิจและเร่ร่อนไป จนไปสร้างอาณาจักรวิญญาณของตนเองเป็นการหยามโลกสวรรค์และนรกอย่างมาก”

“อ้าว ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอพวกผมสามารถจัดการได้ก็ต้องเป็นความชอบซิ”

“ก็ใช่”

“แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน ผมไม่เข้าใจ”

“ปัญหามันอยู่ตรงที่ ผู้ถูกเลือกที่กำจัดวิญญาณตนนั้น มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม”

“ไม่เหมาะสม ผมเหรอ? ยังไงอะ”

“อันนี้เจ๊ไม่รู้มากนักหรอก มันมีหลายกระแสนะแต่กระแสที่มาแรงที่สุดคือ จริงๆ แล้วกรรมการทั้งสวรรค์และนรก ได้ยกเลิกภารกิจ ผู้ถูกเลือกและพรไปแล้ว แต่ตัวแทนของสวรรค์และนรกต่างละเมิดกฎและทำเรื่องนี้โดยพละการ”

“จริงเหรอ”



ตะวันอึ้งกับข่าวที่ได้ยินถ้าเรื่องนี้จริงเขาจะทำยังไงละ โดยพละการ ขีดเส้นใต้เน้นๆ มันหมายถึงทำโดยไม่ได้รับความเห็นชอบ เป็นการละเมิดกฎ เป็นการทำโดยไม่ยินยอม มันหมายถึง ทุกอย่างที่เขาทำมาคือโมฆะ คือยกเลิก คือยกเว้น


“ไม่นะ ฮืออออออ”

“ไม่ต้องร้องนะจ้ะหนุ่มน้อย ถ้าไม่ได้กลับเข้าร่างก็อยู่มันเป็นเพื่อนเจ๊นี่แหละ”

“ไม่เอา อยู่เป็นเพื่อนเจ๊ผมว่าชีวิตผมต้องเหี่ยวเฉาแน่ๆ”

“แล้วอยู่กับใครถึงจะไม่เหี่ยวเฉาละ”

“......”

“ผู้กองใช่ไหมละ”

“ใช่”

“ฮั่นแน่..........”

“โอ้ยย ตกใจเสียงดังทำไมเนี่ย”

“ไหนไม่ได้เป็นอะไรกัน ไหนไม่ได้คิดอะไร ทำไมถึงอยู่กับฉันแล้วต้องเหี่ยวเฉา แล้วอยู่กับผู้กองไม่เหี่ยวเฉาละ”

“ก็....ก็”

“บอกมา บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ บอกกกกกก.......มาาาาาา........”

“......”

“บอกกกก......มาาาาาา.......เดี๋ยวววว.....นนนนนนนี้”

“......ลากเสียงทำไมเนี่ย”

“5555 นายนี่มัน……น่ารักจริงๆ”

“โอะ โอ้ยยย เจ๊ดึงแก้มผมทำไมเนี่ย”
ผมได้แค่ลูบแก้มตัวเองป่อยๆ

“ชอบก็บอกว่าชอบจะกั๊กไว้เพื่อ เดี๋ยวนี้มัวแต่กั๊กทำอายอดกินหมดละยะจะบอกให้”

“……ใครชอบใคร โว๊ะ”

“ไม่ชอบใช่มะ งั้นฉันขะ….”

“ไม่!!!”

“รู้แล้วเหรอว่าจะพูดอะไร”

“จะขอใช่ไหมละ รู้หรอก”

“แล้วถ้าขอจริงๆ น้องหนูตะวันมีสิทธิ์อะไรมาไม่ให้ละจ้ะ”

“เอ่อ…..”

“หึหึ เด็กหนอเด็ก ปากแข็งไปเถอะ”


อยากพูดไรพูดไปผมขี้เกียจจะเถียงด้วยละ ใช่ผมมีสิทธิ์อะไรจะให้หรือไม่ให้ใครชอบวิณณ์ หรือห้ามวิณณ์ไม่ให้ชอบใคร แล้วถ้าผมชอบวิณณ์
.
.
.
ชอบวิณณ์? 

ผมมีสิทธิ์ชอบวิณณ์ได้ไหม


“เฮ้อออออ”

“เป็นอะไรถอนหายใจขนาดนั้น”
    ไม่ตอบหรอกเดี๋ยวเถียงกันยาวอีก

“บางทีอะนะเรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องใช้เหตุผลหรือตรรกะอะไรคิดมากหรอก นี่…..ใช้นี่”

วิญญาณหญิงสาวพูดพร้อมกับจิ้มนิ้วมาที่อกซ้าย

“แต่ผมเป็นแค่วิญญาณคงไม่มีสิทธิ์หรอก จะกลับเป็นคนได้อีกไหมก็ยังไม่รู้ ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงของวิณณ์”

“ผิดกับเจ๊นะ จะคนเป็นหรือคนตาย ถ้าลองได้มีโอกาสเจ๊จะเดินหน้าสู้ไม่ถอยเพราะอย่างน้อยแค่ได้มีโอกาสอีกครั้งมันก็ดีแล้ว”

.
.
.
“ฮึบ….ไปดีกว่า แล้วก็อย่าคิดมากละเด็กน้อย รู้สึกอะไรก็แสดงออกไป อยากพูดอะไรก็พูดออกไป อยากทำอะไรก็ทำเล้ย จำไว้นะ โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยแต่ถ้าได้มาแล้วก็อย่าทิ้งมันไป….
.
.
.
อ้อ….อีกอย่าง…..เรื่องคดีรีบหน่อยก็ดีนะ แล้วก็ระวังตัวให้เยอะๆ ด้วย”



วิญญาณผีสาวไปแล้วตอนนี้เหลือเพียงแค่ตะวันที่กำลังนั่งคิดถึงสิ่งที่คุยกันเมื่อกี้ เขาจะไปบอกชอบวิณณ์ได้ยังไงละ ก็เขาไม่รู้นี่ว่าวิณณ์คิดยังไงกับเขา อาจจะคิดกับเขาแค่น้องชายเหมือนที่เคยพูดเอาไว้ก่อนได้ แล้วขืนเขาไปบอกชอบแบบนั้นวิณณ์จะมองเขายังไง ตั้งใจช่วยแท้ๆ กลับมาคิดอกุศลกันได้

ตะวันเดินออกมาที่ระเบียง มองตรงไปด้านหน้าที่มีแสงสีของตึกสว่างไสวไปทั่ว เขาคิดถึงชีวิตของคนเมืองที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ เมืองใหญ่แค่ไหนคนก็ยิ่งต้องพยายามมากกว่าเท่าตัว

“แค่คิดก็เหนื่อยแล้วชีวิตที่ต้องแข่งขันกัน เฮ้อออ”


บรื้นนนนนน


เสียงรถด้านล่างที่ดังแว่วเรียกความสนใจให้ตะวันก้มลงไปมอง รถสองคันที่ขับตามกันมาคันแรกเขาจำได้ไม่ผิดนั่นรถของวิณณ์ แต่อีกคันกลับหยุดจอดนิ่งอยู่ริมถนนด้านหน้าคอนโด ไร้วี่แววของคนที่เดินออกจากรถ ตะวันคิดว่ามันแปลกและน่าสงสัย  ขับมาจอดนิ่งแถมยังไม่มีใครลงจากรถมาอีก เขายืนมองเหตุการณ์เบื้องล่าง วิณณ์ออกมาจากรถแล้ว มีลุงยามเดินไปต้อนรับถึงรถ วิณณ์เดินเข้าตึกและรถด้านหน้าก็ขับออกไป


แกร๊กกก


เสียงประตูเปิดแสดงว่าวิณณ์ขึ้นมาถึงห้องแล้ว

“เป็นไงบ้าง”

“เหนื่อยนิดหน่อย” พูดจบวิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งและเอนหลังที่โซฟาตัวโปรด ตะวันเดินเข้ายืนด้านหลังของวิณณ์ก่อนจะ


หมับบบบ
 

“เดี๋ยวหมอนวดตะวันจะช่วยนวดให้ผ่อนคลายเองนะครับ”

“นวดเป็นเหรอ”

“คอยดูฝีมือ”

“หึหึ”


ตะวันบีบและกดน้ำหนักลงที่ไหล่ของวิณณ์ ไล่จากต้นคอลงที่ไหล่กว้าง เขาไม่รู้หรอกว่าวิณณ์รู้สึกกับสิ่งที่เขาทำไหม ก็เขามันเป็นวิญญาณนี่แต่แค่คิดว่าอยากช่วยอะไรบ้าง มือมันก็นำไปเอง


“นี่ถามจริงที่นวดให้เนี่ย รู้สึกเหรอ”

“อืม”

“จริงอะ วิณณ์รู้สึกถึงน้ำหนักมือเหรอ”

“อือ”

“จับแบบนี้ก็รู้สึกเหรอ”

“อือ”

“บีบแบบนี้เจ็บหรือเปล่า”

“รู้ซิครับ วิณณ์รู้สึกกับตะวันทุกอย่างแหละ”

“………”

“ลืมไปหรือเปล่าวิณณ์เป็นคนเดียวนะที่มองเห็นตะวัน พูดด้วยแบบนี้ จับได้แบบนี้ จะวิณณ์จับหรือตะวันจับ วิณณ์ก็รู้สึกหมดแหละ  เป็นอะไรหรือเปล่าตะวันวันนี้ดูแปลกๆ นะ”

“ฮึ…”


ตะวันตอบพร้อมกับส่ายหัวอย่างแรง แต่ความรู้สึกจริงกลับตรงข้ามกับการกระทำ ตะวันจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าทุกๆ คำพูดของวิณณ์ที่พูดมาไม่มีท่าทางประกอบด้วย

มองเห็นตะวัน พร้อมกับมือที่จับมาที่แก้ม

พูดด้วยแบบนี้ พร้อมกับมือที่จับมาที่ปาก

จับได้แบบนี้ พร้อมกับมือที่เอื้อมมาคว้ามือเขาไปจับและลูบๆคลำ อยู่แบบนั้น

“ไม่เป็นอะไรแน่นะ”

“อืมมมม”


วิณณ์โยกหัวผมแล้วยันตัวลุกขึ้นเดินไปเปิดโน้ตบุคที่โต๊ะทำงาน


“จะทำงานต่อเหรอ”

“อืม ต้องรีบหาหลักฐานให้ได้มากที่สุด”

“แต่เราดูเมมนี่มาหลายรอบแล้วนะ”

“วิณณ์ก็ยังไม่รู้ มันอาจจะมีตรงไหนที่เรายังไม่ได้ดูหรือผ่านตาไปโดยไม่สนใจก็ได้”  วิณณ์เลื่อนดูโฟลเดอร์ในเมม เปิดทุกโฟลเดอร์ดูทุกรูปทุกภาพในนั้น

“พักเถอะวิณณ์เราดูกันมาจะชั่วโมงแล้วนะ”

“ตะวันพักก่อนก็ได้นะ”

“พักได้ไงเล่า มันก็เป็นเรื่องของตะวันด้วยจะปล่อยให้วิณณ์ทำคนเดียวแล้วตัวเองสบายได้ไงละ ไม่พักก็อยู่มันด้วยกันนี่แหละ”

วิณณ์ส่งยิ้มกลับมาให้เขาและหันกลับไปสนใจโน้ตบุคตรงหน้าต่อ ตะวันมองคนตรงหน้าเปิดแล้วก็ปิด เปิดไฟล์นั้นเปิดไฟล์นี่ วนไปมา สักพักก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเอามือมากดไว้ที่หว่างคิ้ว ช่วยอะไรได้มากกว่านั่งดูก็คงจะดี

ตะวันมองทุกการกระทำที่คนตรงหน้าทำ เอ๊ะ….

“วิณณ์นั่นอะไรเหรอ”

มันไม่ใช่ไฟล์ที่อยู่ในเมมที่ตะวันสงสัยแต่ว่าเป็นตัวเมมเองที่ดูแปลก ตะวันเห็นเหมือนรอยเผยออีกด้านหนึ่งของเมมนี้

มันมีสองหัว


ทั้งที่เมมอยู่กับพวกเราแท้ๆ แต่เรากลับไม่ได้ตรวจดูให้ละเอียด วิณณ์เงยหน้ามองผมก่อนจะหันไปเสียบเมมตัวเดิมแต่เป็นอีกด้านเข้าไปที่โน๊ตบุคแทน




[วิณณ์]


“เราควรจะหยุดได้แล้ว เรามีทุกอย่างแล้ว เงิน รถ บ้าน ชื่อเสียง อำนาจ นายจะเอาอะไรอีก”

คนที่กำลังพูดอยู่คือนายยงยุทธเพื่อนของพ่อเขา แต่เขาไม่รู้ว่าคู่สนทนาคือใครเพราะชายคนนั้นหันหลังให้กับกล้อง

“มึงคิดว่าชื่อเสียงและอำนาจที่เรามีอยู่ตอนนี้มันพอแล้วเหรอ ไม่ มันยังไม่พอ”

ทั้งที่หันหลังให้แต่เขากลับจำน้ำเสียงแบบนั้นได้ จำได้อย่างแม่นยำ เพราะมันเป็นน้ำเสียงของคนที่เขาเคารพรักและบูชามาตั้งแต่เด็ก น้ำเสียงที่คอยสั่งสอนเขาในทุกเรื่อง น้ำเสียงที่คอยบอกว่าห่วงใยเขา

“เราต้องเหยียบย้ำและทิ้งชีวิตของเพื่อนที่รักกันมาเป็นสิบปี เมียมันต้องเป็นหม้าย ลูกมันต้องกำพร้า ลูกมันก็คือหลานเรานะเว้ย มันยังมีอะไรไม่พออีกเหรอ”

“ก็เพราะว่ามันคือลูกของเพื่อนกู กูถึงได้ดูแลและสนับสนุนมันอยู่แบบนี้ไง แต่มันยังไม่พอมันต้องมากกว่านี้”

“มึง……”

“แล้วถ้ามึงยังอยากจะมีชีวิตไปจนถึงแก่ ก็ทำตามที่กูบอกมาช่วยกันทำให้มันเสร็จแล้วก็จบเรื่องนี้ไปด้วยกัน”

“มึงต้องการอะไรอีก”

“อีกไม่กี่เดือนจะมีการโยกย้ายและเลื่อนตำแหน่ง เรื่องยามันจะสามารถทำให้กูมีผลงานและได้ขึ้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ยอมเสียของแค่ไม่กี่ส่วน และเมื่อกูได้ตำแหน่งแล้วมึงจะสามารถขายของต่อไปได้โดยไม่มีใครยุ่ง”

“…….มึง”

“มึงคิดว่าโอกาสแบบนี้มีบ่อยงั้นรึ”

“แต่กูอยากเลิก กูไม่อยากทำแล้ว มึงเข้าใจกูไหม”

“กูเข้าใจ แล้วมึงละเข้าใจคำโบราณที่ว่า ในเมื่อขึ้นไปขี่หลังเสือแล้ว จะลงมานะมันยากรู้ไหม



และทันทีที่พูดจบประโยคคนตรงหน้าที่ลุกเดินขึ้นไปก็หันหน้ากลับมาเผชิญกับกล้องที่ได้ถ่ายไว้ อาพงศ์  ไม่ซิตอนนี้เขาต้องเรียกว่า พันตำรวจโทพงศกร



“พงศ์ มึงเคยคิดเสียใจไหมที่เราสองคนต้องฆ่าเพื่อนตัวเอง ฆ่าไอ้วุฒิ”



มันเป็นการจบประโยคบทสนทนาที่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน ประโยคที่ทำให้โลกของวิณณ์ดับวูบลงพริบตา

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไงหล่ะ  โป๊ะเชะ   เลวจริง ๆ เลย

ใครขวางทางจัดการหมด  ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

เฮ้อ...คอยดูจุดจบมัน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แล้วจะทำอย่างไรต่อ อีกฝ่ายใหญ่ไม่เบา  :katai1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
คนที่ไว้ใจร้ายที่สุดจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คนที่ไว้ใจร้ายที่สุด  :katai1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 30 เพื่อนไม่มีจริง


“ไอ้ยุทธ ให้ไวดิวะเดี๋ยวพวกผู้หญิงไปกันหมด”
“ลดความหื่นบ้างเถอะมึง”
“ไม่ได้เว้ย วันนี้ต้องจีบให้ได้สักคนสองคน”
“ถุย หล่ออย่างมึงต้องพยายามด้วยเหรอวะ กูกับไอ้วุฒินี่ที่ต้องรีบมากกว่ามึงไหม”
“555 ช่วยไม่ได้เว้ย”

เพื่อนรักสามคน ยุทธ พงศ์ และวุฒิ เรียนและสนิทกันตั้งแต่ม.1 ทั้งสามคนมีความฝันอยากเป็นตำรวจไปด้วยกัน ดังนั้นพอจบม.3 ก็พากันสอบเข้าเตรียมทหาร เหล่าตำรวจ เรียน2ปี จบจนได้วุฒิม.6 เพื่อเป็นใบผ่านต่อเข้าไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจอีก 4ปี

แต่จาก 3 เหลือแค่ 2 เพราะยุทธถูกที่บ้านส่งไปเรียนต่อต่างประเทศตามพี่ๆ ถึงจะไม่อยากไปแต่ก็ขัดพ่อกับแม่ไม่ได้

“พวกมึงกูต้องเหงาแน่เลยวะ”
“งั้นก็ไม่ต้องไป”
“ได้ก็ดีดิวะ”
“อย่าคิดมากดิวะ คิดถึงมึงก็กลับมาหาพวกกูก็ได้ กูกับไอ้พงศ์ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้หนีมึงไปไหน”
“กูสัญญากับพ่อว่าจะตั้งใจปีแรกกูต้องทำเกรดให้ได้ท๊อป แล้วเขาจะยอมให้กูกลับไทยได้”
“พ่อมึงก็ใจดีนี่หว่า”
“เออ ใจดีมากกกก”
“อย่าทำตัวเป็นลูกแหง่ดิวะ วุฒิมึงก็อย่าไปโอ๋มันมาก ดูดิโตเป็นควายละยังทำตัวติดแต่เพื่อนผู้ชายอยู่เนี่ย มิน่าละผู้หญิงเขาถึงไม่เข้าหามึง หาแต่กับกูกับไอ้วุฒิ”
“เออ ไอ้คนหล่อ หล่อฉิบหายยย”


ฮาาาาาาา


แล้วทั้งสามคนก็กอดคอกันหัวเราะความเป็นเพื่อนที่มีให้กันมา 7ปี กับอีกตลอดไปนั่นคือสัญญาของทั้งสามคน

แต่ทุกอย่างใช่จะเป็นอย่างที่วาดฝัน ยุทธไปเรียนเมืองนอกแล้วไม่กลับมาเลยตลอด 4ปีที่ผ่านมา แรกๆ ก็ยังมีจดหมาย อีเมล์ หากันตลอด จากทุกอาทิตย์ ก็ห่างออกไปเป็นหนึ่ง สองเดือน เราสามคนติดต่อกันแบบนี้อยู่หนึ่งปี และสุดท้ายไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ๆ ยุทธก็เงียบหายไป


“4ปีแล้วเหรอวะ ไวฉิบหายเลยวะ”
“เออ มึงกับกูก็อยู่ด้วยมาได้เนอะ”
“คิดถึงไอ้ยุทธวะ แม่งบอกจะกลับมาเยี่ยม แค่ปีแรกแม่งก็หายต๋อมละ สงสัยมัวแต่ติดแหม่มอยู่จนลืมเพื่อนที่เมืองไทยหมดแล้ว”
“บ่นเป็นผู้หญิงเลยวะไอ้พงษ์ มันอาจจะเรียนหนักก็ได้”
“มันจะเรียนหนักขนาดไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งข่าวติดต่อมาเลยเหรอวะ อีเมล์มาก็ได้ มึงเชื่อกูมันติดหญิงชัวร์”

วุฒิส่ายหัวให้กับเพื่อนที่นั่งบ่นตั้งแต่เช้า แต่ก็เป็นความจริงที่เพื่อนเขา ยงยุทธหายเงียบไม่ติดต่ออะไรมาเลย ปีแรกยังส่งข่าวกันบ้าง แต่ไม่นานก็เงียบหายไป

“ไอ้วุฒิ เราสองคนจะเรียนกันจนจบนายร้อยตำรวจแล้วพากันไปจนถึงผู้บัญชาการตำรวจเลยนะเว้ย”
“เอางั้นเลยเหรอ”
“เออดิวะ เราสองคนต้องเป็นให้ได้”
“ไอ้พงษ์ มึงลืมอะไรไปไหม”
“ไรวะ”
“เขาเป็นได้ทีละคนเว้ย”


โป๊กกก เสียงเพื่อนรักสองคนเถียงกันจบลงที่อีกฝ่ายโดนบ้องหูไปอีกหนึ่งที


พงษ์นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตต่อให้รักกันมากแค่ไหน อนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เหมือนพวกเขาสองคน วุฒิเป็นเพื่อนที่ดี รักและห่วงใยเขาเสมอ ต่างกันกับเขา ถามว่ารักเพื่อนไหมแน่นอนว่ารัก แต่ก็รักตัวเองมากกว่า เขาแข่งกับวุฒิทุกอย่าง

ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เขาได้เกรดดี เกียรตินิยมจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจทั้งที่เกรดเราสูสีกันมาตลอด ผลัดกันนำ แต่สุดท้ายจบที่เขาได้เกรดที่ดีกว่า เพราะการอุดหนุนของครอบครัวที่มีต่อโรงเรียน

เรื่องงาน เข้าเป็นตำรวจพร้อมกัน เริ่มที่ยศเท่ากัน ขยันไม่แพ้กัน แข่งกันทำผลงาน จนผลงานของเขาไปเตะตาผู้บังคับบัญชาเข้า เขาจึงได้เลื่อนตำแหน่งไวกว่า เร็วกว่า เขาควรรู้สึกดีใจกับความสำเร็จแต่ลึกๆ นั้นเขารู้ดีว่าเป็นเพราะไอ้วุฒิมันหลีกทางและยกผลงานให้กับเขา

หรือแม้แต่เรื่องผู้หญิง เราสองคนหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน พงษ์ที่ฐานะทางบ้านและหน้าตาดีกว่าคิดว่ายังไงคราวนี้ก็ต้องเป็นเขาที่ชนะอีกตามเคย แต่กลับไม่ใช่ วุฒิที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพยายามซื้อใจซื้อเวลาก็ได้ใจผู้หญิงคนนั้นไปครอง ‘แก้ว’ และเหตุผลของเธอก็คือเธอต้องการคนที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ไม่ว่าจะตอนไหน และไอ้วุฒิก็เป็นคนนั้น


มันทำให้เขารู้ว่า ไอ้วุฒิไม่ได้แข่งอะไรกับเขาเลย มีแค่เขาคนเดียวที่บ้า

ต่อให้เราแข่งกันมากแค่ไหนความเป็นเพื่อนของเราก็ยังมีอยู่เสมอ จนกระทั่งวันนั้น...


ถ้ามันไม่มารู้เรื่องที่เขาเป็นคนเปิดทางให้มีการค้ายาในพื้นที่ที่ดูแล

และถ้ามันไม่รู้ว่าเพราะเขาเองที่เป็นนายใหญ่ที่พวกมันพูดถึง

และถ้ามันทำตามที่เขาขอ ไม่เข้ามายุ่งคดีนี้ เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น


‘วุฒิ กูขอร้องเลิกทำคดีนี้ซะ’
‘กูไม่คิดเลยว่าทั้งมึง ทั้งไอ้ยุทธ เพื่อนกูเองแท้ๆ จะเป็นคนทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้’
‘มึงไม่เข้าใจ’
‘เออ!!! กูไม่เข้าใจ หน้าที่การงาน ฐานะทางบ้าน ครอบครัว เมียลูก มึงมีพร้อมทุกอย่างแล้ว มึงคาดหวังอะไรอีก’
‘คนเราความอยากได้ไม่สิ้นสุด อยากได้แล้ว ก็ยังอยากได้อีก มึงเข้าใจไหม’
‘ไม่ กูไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเหี้ยไรทั้งนั้นแหละ’
‘.....’
‘กูจะทำคดีนี้ต่อ มันคือคำสัตย์ปฏิญาณของกู และต่อให้คนร้ายคือเพื่อนที่กูรักทั้งสองคนกูก็จะทำ’
‘ไอ้วุฒิ’



ปัง ปัง ปัง



เสียงปืนที่ดังขึ้น พร้อมกับร่างของเพื่อนรักที่ล้มลง

ปืนกระบอกนั้นมันอยู่ในมือพงษ์

ไอ้ยุทธรีบวิ่งเข้าไปดูร่างของวุฒิที่แน่นอนยิ่และเลือดนองพื้นพร้อมกับหันมาก่นด่าเพื่อนอยากบ้าคลั่ง


“ไอ้พงษ์ทำมันทำไม มึงทำมันทำไม ทำไม”


พงษ์ให้ลูกน้องไอ้ยุทธจัดการต่อทำเป็นเหมือนถูกคนร้ายดักระหว่างทางและโยงเรื่องเข้ากับคดีที่มันกำลังทำ ตำรวจจึงสรุปสำนวนที่ว่า วุฒิถูกฆ่าปิดปาก


“พงษ์มึงจะจัดการยังไงต่อ”
“วันนี้กูจะเปิดทางให้ มึงสั่งคนของมึงให้รีบจัดการทำให้เสร็จ ให้เรียบร้อย และที่สำคัญอย่าทิ้งหลักฐานให้สาวมาถึงมึงกับกูได้”
“แล้วเรื่องวิณณ์”
“ทำไม?”
“มึงจะทำอะไรวิณณ์ไหม”
“มึงกลัวกูทำ?”
“เออ ใช่ กูกลัวมึงทำอะไรมัน นั่นมันลูกไอ้วุฒิ หลานพวกเรานะ”
“มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอ ไม่ห่วงมันเหรอ แต่ถ้ามันยังดื้อ ไม่ฟังเหมือนพ่อมัน กูก็ไม่รู้จะช่วยมันยังไง”
“.....”
“มึงไม่ต้องห่วงมันมากนักหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เพราะถ้ามันรู้ว่ามึงกับกูคือคนที่ฆ่าพ่อมัน”
“.....”
“มันเองก็คงไม่ปล่อยพวกเราไปเหมือนกัน”





[โรงพัก : โจ๊ก & ซีน]


“ครับท่าน ครับ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีตำรวจเวรนายอื่นอยู่เลยนะครับ เอางั้นเหรอครับ เอ่อ....คะ ครับ ครับ รับทราบครับผม”

“เฮ้ย พวกมึงอยู่กันดีๆ ละ อย่าส่งเสียงดังละ”
“ไปไหนละครับจ่า ทิ้งพวกผมไว้ไม่กลัวพวกผมหนีเหรอคร้าบบ”
“ปากมึงนี่มันวอนตีนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เลยนะ”
“แหม ผมก็แค่ล้อเล่นนิดหน่อย จ่าอย่าถือสาซิครับ จ่ารีบไปทำธุระของจ่าเถอะ ผมขอสัญญาว่าพวกผมจะดูแลตัวเอง มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยคร้าบบบบบ”
“เล่นลิ้นนักนะมึง”


“ไอ้ซีนมึงก็ชอบไปแกล้งจ่าเขาจังนะ”
“มันเบื่อนี่หว่า หรือมึงไม่เบื่อ อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมขวาก็กำแพงซ้ายก็กำแพงหันหน้ามาเจอลูกกรง เซ็งโว้ยยยย เมื่อไหร่พี่เอ็มแม่งจะมาช่วยวะ”
“แหกปากไปเถอะเดี๋ยวพ่อมึงก็มาเล่นงานหรอก”
“มาก็ไม่กลัวเว้ย”


“พวกมึงคงไม่ต้องอยู่ที่นี่นานแล้วละ”


เสียงที่แทรกบทสนทนาเข้ามาดึงความสนใจของพวกผมไป


“ใครวะ”
“พ่อมึงไง”
“พ่อกูไม่ได้หน้าขี้เหร่แบบมึง”
“ปากดีนักนะ สงสัยจะไม่อยากออกไป”
“หะ!! มึงมาพาพวกกูออกไปหรอ งั้นมาเลย เร็วเลย”


แขกที่มาใหม่เป็นใครทั้งซีนและโจ๊กเองก็ไม่รู้จัก แต่แค่ได้ยินประโยคว่าจะได้ออกไป ซีนก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น อิสรภาพมาอยู่ตรงหน้าไม่คว้าไว้ก็โง่ตายห่า


“ใครส่งมึงมาวะ”


เป็นโจ๊กที่ถามออกไป เพราะสถานการณ์ตรงหน้ามันง่ายและล่อแหลมเกินไป พอตำรวจออกไปก็มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาแทน


“ถามจังไม่อยากออกไปหรือไงวะ”
“อยากซิวะ ไอ้โจ๊กมึงหยุด ไม่ต้องถามแล้ว ใครจะส่งมาก็ช่างแม่งเหอะ รีบออกไปให้เร็วที่สุดดีกว่า”


โจ๊กดึงเพื่อนให้เข้ามาชิดด้านในห้องขัง


“อะไรของมึงอีกวะ”
“มึงไม่สงสัยเหรอ กูอยู่มาตั้งนานไม่เห็นจะมีใครโผล่หัวมา มึงมาได้แต่สองวันมีคนจะมาพาออกละ”
“เพราะมีกูไงเขาถึงได้รีบมา มึงต้องสำนึกบุญคุณกูนะเว้ยไอ้โจ๊ก”
“ไอ้ซีนไอ้ควาย”
“อ้าวมึงด่ากูทำไมวะ”
“หยุด แล้วฟัง แล้วคิดตามที่กูพูดว่าจริงไหม”
“มึงว่ามา พูดไม่เข้าหูกูบ้องหูมึงจริงๆ ด้วย”
“ตั้งแต่กูอยู่มาไม่มีหมาซักตัวโผล่จะมาเยี่ยมกู แม้แต่หัวไอ้พี่เอ็มยังไม่เห็น”
“กูก็บอกแล้วไงว่าพวกกูถูกสั่งห้ามไม่ให้มา”
“นั่นไง แล้วทำไมเขาเพิ่งคิดจะมาช่วยมึงกับกูตอนนี้ กูว่านายต้องกลัวมึงกับกูหลุดปากบอกตำรวจแน่ๆ ที่จะมาช่วยก็ไม่ได้ช่วยพาออกไป แต่จะช่วยปิดปากมึงกับกูสองคนให้เงียบสนิทมากกว่า”


ซีนทำท่าคิด จริงอย่างที่เพื่อนมันพูดตอนไอ้โจ๊กติดคุกคนแรกนายไม่เห็นจะสนใจแถมยังสั่งห้ามเขากับพี่เอ็มไม่ให้มาเยี่ยมอีก

แต่คนโง่ ยังไงมันก็โง่อยู่วันยังค่ำ


“เฮ้ย...ไม่หรอกน่า อาจจะเพราะผลงานของกูที่ทำไว้ นายเขาเลยเมตตามึงควรจะขอบใจกูนะไอ้โจ๊ก”
“เฮ้ย มึงรีบมาดิไขเลยเร็วๆ ก่อนพ่อมึงจะกลับมา”
“ได้เลย”


ยังไงโจ๊กก็ยังไม่เชื่อใจ มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ วันนี้ห้องขังเงียบผิดปกติเพราะนักโทษเหลือแค่เขาสองคน คนอื่นๆถูกปล่อยตัวไปเมื่อเช้าจนหมดทำให้ตำรวจเวรในโรงพักเหลืออยู่คนเดียว แถมยังถูกเรียกให้ออกไปข้างนอกแล้วทิ้งนักโทษสองคนไว้อีก


“นายส่งมึงมาช่วยพวกกูใช่ไหม”
“อืม”
“กูบอกแล้วไอ้โจ๊ก เชื่อกูยังนายไม่ทิ้งพวกเราหรอก”
“ใช่นายไม่ทิ้งพวกมึงหรอก แถมยังจะส่งพวกมึงกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วย”


แขกไม่ได้รับเชิญพูดไปพร้อมกับไขกุญแจด้านหน้าห้องขัง และค่อยๆ เดินมาที่ห้องขังของพวกเรา


“หึ่ยยย เยี่ยมไปเลยโคตรรักนายเลยวะ กลับไปนี่ต้องไปกราบแทบเท้า”


“มึงได้กราบแน่ แต่...”

“....”

“คง ต้อง....”

“.....”

“ชาติหน้า”


สิ้นเสียงแขกแปลกหน้าก็ไขประตูห้องขังของพวกเขาและเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับคว้าคอไอ้ซีนเข้าไปใกล้ ก่อนจะ....


สวบ สวบ สวบ


เสียงมีดด้ามยาวที่ถูกแทงเข้ามาที่ตัวสามครั้ง เลือดไหลนองพื้น ไม่มีแม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาสักนิด

มันเร็วมาก มากจนผมเองทำอะไรไม่ทันเพื่อนก็ช่วยไม่ได้


“ไอ้เหี้ยยยย มึงเป็นใครวะทำอะไรเพื่อนกู”


โจ๊กวิ่งถลาเข้าไปชกที่หน้ามันสองที แต่มันกลับไม่สะทกสะท้าน พร้อมกับเหวี่ยงร่างของซีนออกไป และหันมาเผชิญกับเขาแทน

ร่างของซีนทรุดลงกับพื้น ตาเบิกกว้าง เลือดทะลักออกมาจากตัวไม่หยุดจนกองเต็มพื้น โจ๊กถอยหลังชิดกำแพงจนไม่มีทางไปต่อ แขกแปลกหน้ายังคงสาวเท้าเข้ามาไม่หยุด


“มึงต้องการอะไรวะ”
“กูเหรอ เปล่า กูไม่ต้องการอะไรคนอื่นต่างหากที่ต้องการ”
“ใคร”
“มึงไม่ต้องรู้หรอกว่าใคร มันไม่สำคัญหรอก”
“แล้วต้องการอะไรจากกู”
“จุ๊ๆๆ เราเสียเวลามามากแล้วจบเรื่องนี้กันเถอะ”


ผมเหลียวซ้ายแลขวาไม่มีแม้แต่เงาหมาซักตัว เหลือบมองเพื่อนที่พื้น ไม่รู้ว่ามันตายหรือยัง แต่มันนิ่งแบบนั้นคิดว่าคงไม่รอด เขาเองก็คงไม่รอดเช่นกัน

สภาพตอนนี้เหมือนหมาจนตรอก เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ทางไหนก็ตายเหมือนกัน ในวินาทีนั้นโจ๊กตัดสินใจ...

พุ่งชน


“อ้าาาาา”


เหวี่ยงหมัดอย่างหวังผลแต่ก็วืด ส่งผลให้โจ๊กได้รับหมัดหนักๆ ฮุกเข้าท้องมาอย่างเต็มๆ จุกจนต้องลงไปกุมท้องกับพื้น มันตามมาเตะซ้ำจนโจ๊กกลิ้งไม่เป็นท่า พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นแต่คนตรงหน้าก็ไม่ปล่อยช่องว่างให้เขาได้ทำ


ตุบ
พลั่ก พลั่ว
ปึก ปึก


“เลิกเล่นเป็นเด็กได้แล้ว กูไม่มีเวลาขนาดนั้น”

โจ๊กหมดแรงกองกับพื้น เขากระเถิบถอยหลังไปที่กำแพงเพื่อใช้มันพยุงตัวให้นั่งได้

“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง”


แขกแปลกหน้าเดินปรี่เข้าหาโจ๊ก พร้อมกับมีดในมือที่กำแน่นเตรียมพร้อมจะแทงคนตรงหน้าอย่างเต็มที่ไม่ให้พลาด จะยิงปืนมันก็เสียงดังเกินไป มีดนี่แหละดีที่สุด ในเมื่อโอกาสเปิดรอเต็มที่เขาก็ต้องจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จ


“ไอ้เหี้ย อย่าเข้ามา ออกไป ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!  ตำรวจหายไปไหนหมดวะ”
“หึหึ ไม่เจ็บหรอกน่า แปปเดียวพอกูแทงมึงมิดด้ามมีดแล้ว มึงจะค่อยๆ ตายเพราะเลือดที่มันไหลจนหมดตัว”
“มึงดูหนังมากไปหรือไงไอ้สัส มีที่ไหนไม่เจ็บ ออกไป”
“หึหึ”


โจ๊ก หมดเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวเองขึ้น เพื่อนรักเองก็สิ้นท่าไปแล้ว คิดว่าไม่นานเขาคงตามไปเจอมันแน่ๆ


“ตายเถอะมึง”


สวบ สวบ สวบบบบบ


โจ๊กหลับตาได้ยินแต่เสียงมีดที่เสียบเข้าไปในเนื้อ มันดังเข้าหูของโจ๊ก แทงเข้าไปแล้วก็ดึงออก ทำซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง เขารู้สึกเจ็บจี๊ดกับใบมีดที่กรีดลงไปที่ผิวเนื้อ

เขาลืมตาขึ้นและก้มมองที่ตัวเอง มันเป็นเพียงปลายมีดที่แค่ทำรอยบาดกับเนื้อผิวของเขา ให้เกิดแค่รอยเลือดซึมๆ เท่านั้น

เพราะเพื่อนเขา เพื่อนเขาเอง เพื่อนเขาเป็นคนรับมีดนั้นไว้ทั้งหมด


“ไอ้ซีน ไอ้ซีน”
“แขนก็เดี้ยง ยังทำเก่งอีกเหรอวะ”

“หนะ....หนี.....หนี....หนีไป....ไป.....หนีไป”

“แหม เพื่อนช่วยเพื่อนเหรอวะ โคตรซึ้งเลย”
“ไม่ไป กูไม่ไปหรอกไอ้เหี้ย มึงแม่งโง่เอาตัวมาบังทำไมวะ”
“จุ๊ๆๆ ไม่ต้องห่วงยังไงกูต้องส่งพวกมึงสองตัวไปพร้อมกันแน่นอน”


แขกแปลกหน้าเงื้อมีดขึ้นอีกครั้ง ตำแหน่งที่มีดอยู่ตอนนี้คือหน้าอกด้านซ้ายของทั้งเขาและซีน

โจ๊กได้แต่หลับตายอมรับชะตากรรม เพราะเขาทำชั่วมามาก ตายไปมันก็สมควรแล้ว อย่างน้อยตอนตายก็ยังมีเพื่อนละวะ



ปัง ปัง


เสียงปืนดังขึ้น โจ๊กทิ้งตัวหลบไปด้านข้าง โดยกอดร่างของเพื่อนเอาไว้ด้วย เขาไม่ได้ถูกยิง ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ไอ้ซีน  แต่เป็นคนตรงหน้าที่ล้มลง พร้อมกับมีดในมือที่กระเด็นไปอีกทาง

โจ๊กมองไปทางเสียงปืน  ผู้กอง  หลังจากนั้นโลกของโจ๊กก็ดับลง




[วิณณ์]


เสียงหวอของรถพยาบาลที่ถูกเรียกมาพาคนเจ็บจากสถานีตำรวจออกไป คนที่ถูกยิงนะไม่ต้องห่วงตายสนิทไม่มีทางได้ฟื้น ส่วนโจ๊กกับซีนถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลทั้งคู่

โจ๊กมีแผลฟกช้ำตามร่างกาย ไหล่เคลื่อนเพราะถูกเหวี่ยงอย่างแรงและแผลถูกบาดจากปลายมีด

ส่วนซีนอาการหนักและน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะเอาตัวเองเป็นกำบังให้เพื่อน แผลจากมีด 4-5รอย แผลที่ลึกทำให้มีเลือดไหลออกมามากจนน่ากลัว

โรงพยาบาลของไอ้ชายใกล้ที่สุดแล้วกับโรงพัก ทั้งสองคนจึงถูกส่งตัวไปที่นั่น ถ้าจะให้ไปโรงพยาบาลอื่นมีหวังได้ตายก่อนถึงมือหมอ

“พยาบาลกันคนอื่นออกไปก่อนนะครับ ไอ้วิณณ์..”

ผมพยักหน้ารับ และบอกให้คนอื่นๆ ถอยออกมาเพื่อให้หมอได้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุด



30 นาทีผ่านไป….

ไอ้หมอชายก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน


“เป็นยังไงบ้างวะ”
“เสียใจด้วยวะเพื่อน ช่วยได้แค่คนเดียว อีกคนทนพิษบาดแผลไม่ไหวทั้งเสียเลือดและอวัยวะภายในบอบช้ำจากการโดนกระแทกอย่างแรง ตับกับปอดมีเลือดคลั่ง เสียชีวิตหลังจากมาถึงได้ไม่กี่นาที”


ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิด พร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้


“ไหวไหมวะไอ้ผู้กอง” ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไม่ไหวก็พักบ้างเถอะมึง ไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงแม่กับน้องสาวบ้าง”
“เพราะคิดนี่ไงถึงปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้”
“อะไรวะ”
“ไว้กูค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ... จ่าให้ตำรวจมาเฝ้าซักสองนาย สลับเปลี่ยนกันมาเฝ้า อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ว่าใครเข้าไปทั้งนั้น ถ้าไม่ได้รับคำสั่งผมห้ามใครทั้งนั้น เข้าใจไหม”
“ครับ”
“ไอ้หมอกูกลับก่อนนะ”


พูดจบวิณณ์ก็หันหลังเพื่อเดินต่อ แต่เพื่อนก็คือเพื่อนคบกันมาหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นอะไร


“ไอ้วิณณ์คิดถึงแม่กับน้องมึงให้มากๆ”
“...”
“กูจะไม่ห้ามเรื่องที่มึงกำลังทำหรือคดีที่มึงกำลังตามหรอกนะเพราะกูรู้ว่ามันคือความตั้งใจของมึง แต่ช่วยดูแลตัวเองด้วย”
“...”
“อ้อ แล้วก็เพื่อนนะเขามีไว้ให้พูดให้ระบายให้ช่วย หัดใช้เพื่อนอย่างพวกกูให้เป็นประโยชน์บ้าง เข้าใจไหม”
“ขอบใจ”
“เออ”


วิณณ์กลับออกมาพร้อมกับความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวจนแทบจะระเบิดออกมา คนร้ายบุกเข้าไปถึงโรงพักหนำซ้ำยังเข้าไปถึงห้องขังได้อย่างง่ายดาย ไม่มีร่องรอยการงัดแงะอะไรทั้งสิ้น เหมือนกับมีกุญแจที่เปิดเข้าไปได้

มันอดคิดไม่ได้ว่าสองคนนั้นอาจจะถูกหมายหัวถูกฆ่าปิดปาก ซึ่งก็ทำสำเร็จไปแล้วหนึ่งคน

มันไม่ใช่เพราะเขาเก่งหรือมีลางสังหรณ์อะไรหรอก แต่เพราะวิญญาณคุณแอนที่มาบอกตะวันกับเขาว่าจะมีรื่องร้ายที่โรงพักคืนนี้ ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่าใครจะมาก่อเรื่องอะไรที่โรงพักได้ แต่เพราะตะวันรบเร้าให้เขามาให้ได้ เขาจึงตัดสินใจมา

ถ้าเจ้าตัวรู้ว่ามันคือเรื่องอะไรคงตกใจไม่น้อย


“วิณณ์”

ตะวัน!! บอกให้รอที่คอนโดไง”

“ก็ตะวันเป็นห่วงวิณณ์ อยากรู้ด้วยว่าจะเกิดเรื่องอะไร”
“แล้วรู้หรือยัง”
“รู้แล้ว”
“บอกอะไรไม่เคยเชื่อ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“....ขอโทษ”
“ตะวันห่วงวิณณ์ วิณณ์ก็ห่วงตะวันเหมือนกันรู้ไหม”
“รู้”
“ถ้ารู้ก็หัดเชื่อกันบ้าง ถ้าตะวันเป็นอะไรขึ้นมาวิณณ์จะทำยังไง”
“......”
“......”
“เอ่อ แต่ว่าวิณณ์ ตะวันเป็นวิญญาณนะลืมแล้วเหรอ”
“ไม่ลืม แล้วมันก็ไม่เกี่ยวว่าตะวันเป็นวิญญาณแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำได้ วิณณ์ไม่รู้ถ้าวิญญาณของตะวันเป็นอะไรไป หรือร่างของตะวันเองเป็นอะไรไป จะมีผลต่อการกลับเข้าร่างไหม”
“.....”
“แล้วสิ่งที่พยายามทำกันมามันจะเสียเปล่า”
“ขอโทษ”
“วิณณ์เป็นห่วงตะวันนะ”
“ตะวันขอโทษ”
“......”


วิณณ์รู้สึกว่าเขาอารมณ์เสียเกินไป ความจริงตะวันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เขาก็ดันเอาความหงุดหงิดที่มีไปลงกับตะวัน แต่มันคือเรื่องจริงที่เขาห่วงตะวัน สิ่งที่วิณณ์กังวลมันมีที่มาครั้งก่อนที่อยู่ดีๆ สัมผัสวิญญาณของตะวันก็เบาบางลงถึงแม้เขาจะทำให้พลังกลับมาได้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้เสมอไป และยิ่งระยะห่างของร่างกับวิญญาณที่อยู่คนละที่อีกเขาไม่รู้ว่ามันจะมีผลกระทบอะไรอีกไหม

วิณณ์หาข้อมูลอยู่ตลอดถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ผลของสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากวิญญาณทิ้งกายเนื้อไปนานคือ ความเสื่อมตามสภาพของกายเนื้อ และถ้ายิ่งปล่อยนานไปจิตผูกพันของกายเนื้อกับวิญญาณอาจจะเชื่อมกันไม่ได้ เขาถึงไม่อยากให้ตะวันทำอะไรที่จะเสี่ยงต่อการบั่นทอนพลังงานวิญญาณอีก

ตอนนี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการเต็มไปหมดไม่รู้ควรจะกังวลอะไรก่อน

คดีของคุณแอน

คดีของพ่อ

หรือแม้แต่เรื่องที่ตะวันกำลังจะถูกส่งไปอเมริกา








*****
ต้องขออภัยจริงๆ คะ ไม่รู้ตัวเลยว่าทิ้งระยะไว้ตั้งเดือนหนึ่งจากตอนที่แล้ว เพราะงานมันรัดตัวแน่นจริง ไม่ได้แก้ตัวก็เหมือนแก้เนอะ แหะๆ

กราบงามๆ คะ ^___^
*****


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตะวันจะหายไปไหมน่ะ  :hao4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เวลคัมแบ็ค

เรื่องราวคดีจะคลี่คลายไปทางไหนน้อ?

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ mimirose

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 31 สู้กับโจรต้องเป็นโจร


ตึง ตึง ตึง!!!

เสียงที่เกิดจากวัตถุกระทบกันเรียกให้ผู้คนเบื้องหน้าบัลลังก์สูงหันมามองพร้อมกับเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่เงียบลง

“ขออนุญาติครับท่านเทว ท่านพญายม”

ชายในชุดสูทสีดำคลุมยาวจนถึงเข่านั่งอยู่หน้าบัลลังก์ โดยมีสมาชิก4-5 คนรวมถึง ท่านเทว กับ ท่านพญายม ร่วมอยู่ด้วย ตามบรรดาศักดิ์แล้ว ชายผู้นี้มีบรรดาศักดิ์ต่ำต้อยกว่าคนเบื้องหน้าอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของ ห้องยุติธรรม ทุกยศฐาบรรดาศักดิ์ต้องละทิ้งไปและเคารพต่อคนที่รักษากฎเอาไว้ในมือ

“ท่านเทว” ชายชุดดำเว้นจังหวะก่อนจะเรียกชื่ออีกคน  “ท่านพญายม วันนี้ข้าวิษณุกรมรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบ”

“ตรวจสอบเรื่องอะไรงั้นรึ” ท่านเทวเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

“เรื่องที่ทั้งสองละเมิดกฎการตั้งผู้ถูกเลือก”

“เดี๋ยวก่อนท่านวิษณุกรม เรื่องของผู้ถูกเลือกเป็นกฎที่เรามีกันมานานแล้วในทุก 100 ปี เราต้องคัดเลือกวิญญาณที่จะมารับหน้าที่นี้แล้วมันเป็นการละเมิดกฎยังไงรึ”

“ท่านพญายม ข้าเข้าใจว่าท่านน่าจะรู้ว่าข้าหมายถึงเรื่องอะไร”

“.....”

“กฎการให้มีผู้ถูกเลือกต้องถูกยกเลิกแล้วในครั้งนี้ แต่ท่านทั้งสองกลับเรียกร้องให้มีโดยอ้างว่าต้องการจะทดสอบจิตใจของมนุษย์อีกครั้ง ท่านยังคงดื้อรั้นคิดว่ามนุษย์จะละทิ้งความเห็นแก่ตัวและยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น ซึ่งท่านทั้งสองก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง การที่วิญญาณเหล่านั้นยอมรับทำภารกิจ ซึ่งก็คือเหตุผลเพื่อตัวเองทั้งนั้น ท่านจะยังคงเชื่อแบบนั้นเพื่ออะไร”

“ท่านวิษณุกรม ข้าเข้าใจท่านที่ท่านละทิ้งความเชื่อในตัวมนุษย์ไปแล้ว แต่ถึงท่านจะพูดแบบนั้นข้าก็ยังคงเชื่นมั่นในมนุษย์อยู่ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกล้ำสามารถแสดงการกระทำ คำพูดหรืออะไรก็ตาม โดยที่ท่านไม่คาดคิดมาก่อนได้เสมอ”

“.....”

“ข้าจะเชื่อและจะพิสูจน์ต่อไป”

“ถึงแม้ท่านอาจจะผิดหวังอย่างนั้นรึ”

“ถ้าต้องผิดหวังข้าก็ยอมรับผลของการกระทำนั้น”


ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ถึงกับนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน อาจจะเพราะเขาไม่เคยเชื่อในมนุษย์ผู้ที่มีความโลภโมโทสันในสันดาน แต่ท่านพญายมเจ้าผู้ปกครองนรกภูมิกลับยอมเชื่ออย่างนั้นรึ

“ท่านเทว ท่านก็เชื่อเหมือนท่านพญายมอย่างนั้นใช่หรือไม่”

“ข้าจะไม่พูดว่าข้าเชื่อ เพราะข้าไม่เชื่อ”

“...??...”

“ข้าก็แค่....อยากรอดูผลของการพิสูจน์ก็เท่านั้น”

“ผลของการพิสูจน์?”

“เมื่อนานมาแล้วมนุษย์ล้วนอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ชิงดีชิงเด่น ช่วยเหลือกัน และไม่คิดร้ายต่อกัน แต่ในยุคนี้มันไม่ใช่ มนุษย์ล้วนแต่คิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองทำเพื่อตัวเองโดยไม่สนใจคนอื่น ข้าอยากจะรู้ว่าจะมีมนุษย์สักคนไหมที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น”

“ท่านจึงเลือกวิญญาณตนนี้ทั้งที่มันผิดกฎอย่างนั้นรึ ท่านก็รู้ว่ากฎของผู้ถูกเลือกคือห้ามเลือกวิญญาณที่ตายจากการทำอัตวิบากกรรมตัวเอง”

“แต่ในท้ายที่สุดวิญญาณดวงนี้ก็ไม่ได้ทำท่านเองก็รู้ เสี้ยวเวลาที่คิดกลับใจก็คือกลับใจ”


ท่านพญายมและท่านเทวสบตากันก่อนจะเป็นท่านพญายมที่พูดขึ้น

“ท่านวิษณุกรมอีกไม่นานหรอก ทุกอย่างก็จะเสร็จสิ้นแล้วเรามาคอยดูผลลัพธ์ไปพร้อมกันดีกว่า”




[บ้านพ่อตะวัน]


ก๊อก ก๊อก

“พ่อครับ”

“ลม....เข้ามาก่อนซิ”

ลมเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อที่กำลังสะสางงานกองพะเนินบนโต๊ะ

“งานเยอะเลยเหรอครับพ่อ”

“อืม”

“เอ่อ...ให้ผมมาใหม่ไหมครับ”

“ไม่เป็นไร ลมจะพูดอะไรกับพ่อพูดได้เลย” เพราะผู้เป็นพ่อมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการหา หมอ ดีๆ  รพ.ดีๆ มีชื่อเสียงเพื่อรักษาตะวันทำให้งานตรงหน้าค้างคาและต้องแบกกลับมาทำที่บ้านแทน

“เรื่องที่รักษาพี่ตะวันที่อเมริกานะครับ”

“อืม เป็นยังไงบ้าง ได้เรื่องอะไรไหม”

“ครับ พ่อของเพื่อนผมที่เป็นหมอนะครับ เขาแนะนำมาครับ”

ลมยื่นกระดาษที่มีข้อมูลชื่อ รพ. และหมอ ให้ผู้เป็นพ่อ ซึ่งพ่อก็รับไปอย่างทันทีและเดินไปนั่งที่โซฟา พ่อพิจารณาข้อมูลในกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เขาไม่รู้ว่าการส่งตะวันไปรักษาที่นั่นจะได้ผลมากน้อยแค่ไหม แต่ก็คงดีกว่าปล่อยให้นอนนิ่งๆ รอคอยแค่ปาฏิหารย์ผ่านไปวันๆ

“พ่อจะส่งพี่ตะวันไปเมื่อไหร่เหรอครับ”

“อย่างช้าสุดสองอาทิตย์ แต่ถ้าเตรียมเรื่องได้เสร็จไวกว่านั้นพ่อก็จะพาไปเลย”

ลมมองผู้เป็นพ่อ พ่อดูแก่ลงไปมากตั้งแต่เกิดเรื่องกับพี่ตะวัน เรื่องแรกก็คงเป็นรื่องในอดีตพ่อมีเมียอีกคนในตอนที่แม่ของพี่ตะวันกำลังท้องพี่ตะวัน แถมยังมีลูกด้วยกันอีก

เมียน้อยคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน  แม่เขาเอง และแน่นอนลูกของเมียน้อยคนนั้นก็คือเขา....

แม่ของพี่ตะวันต้องทนอยู่ในสภาพ 3คนผัวเมียมาตลอดและสุดท้ายความอดทนก็สิ้นสุดลง แม่ของพี่ตะวันเลือกที่จะพาพี่ตะวันออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกและตัดขาดความสัมพันธ์ครอบครัวลง แต่ยังดีที่แม่ของพี่ตะวันยังให้พ่อเจอกับพี่ตะวันในฐานะพ่อของลูกได้

เขารับรู้เรื่องนี้มาตลอดแม่เขาเองก็ไม่ได้ดีใจที่ต้องมาตกอยู่ในสถานะเมียน้อยและทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องแตกแยก เขาเองก็ไม่ได้อยากเกิดมาพร้อมกับมีตราประทับอยู่บนหน้าผากว่าเป็นลูกเมียน้อย ถึงไม่มีใครพูดออกมาก็เถอะแต่มันก็คือเรื่องจริง

“พ่ออย่าเครียดมากนะครับ พี่ตะวันต้องรับรู้ว่าพ่อทำเพื่อพี่เขาแค่ไหน”

“หึหึ พ่อรู้ตัวว่าพ่อมันเป็นพ่อที่ไม่ดี พ่อจะไม่เรียกร้องให้ตะวันต้องมารักพ่อแบบนี้หรอก ไม่ต้องมาอภัยให้พ่อก็ได้ ขอแค่ให้พ่อได้ทำให้พี่เขาในฐานะพ่อคนหนึ่งก็พอ”

“พี่ตะวันต้องเข้าใจครับ”

“พ่อก็หวังแบบนั้น”

ผู้เป็นพ่อลุกขึ้น เอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของลม บีบเบาๆ และยิ้มให้กับคำปลอบใจของลูกชายอีกคน ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน




[วิณณ์ & ตะวัน]

พวกเรากลับมาถึงคอนโด ตั้งแต่กลับมาวิณณ์ก็เอาแต่นอนเงียบอยู่บนเตียง

“เฮ้อออออ”

สักพักก็ถอนหายใจออกมาถึงแม้จะไม่เสียงดังอะไรแต่ก็เรียกความสนใจจากตะวันได้ไม่น้อย

“คิดมากเรื่องนั้นเหรอ”

“อืม”

“อย่าคิดเยอะซิ ดูดิคิ้วติดกันจนเอามาผูกเป็นโบว์ได้แล้ว”

ตะวันเดินลงมานั่งขัดสมาธิที่เตียงข้างๆ ผม ก้มหน้าลงมามองจนเกือบจะชนกันก่อนจะเอามือมาแตะที่หว่างคิ้วและคลี่ออก

“ดูดิไม่หล่อเลย ตีนกามาแล้วเนี่ย”

“ไม่หล่อจริงเหรอ”

“อืม ไม่หล่อเลย”

“จริงอะ”

“จะ....จริง วิณณ์จะเอาหน้ามาใกล้ทำไมเนี่ยยย”

“ก็ตะวันบอกไม่หล่อ วิณณ์เลยให้มองใกล้ๆ ใหม่อีกทีไง”

“.....”

“สรุป ไม่หล่อจริงอะ”

“ไม่ ฮะ......เฮ้ยยยยย เล่นอะไรไม่เอา วิณณ์ไม่เอา”

วิณณ์คว้าตัวตะวันเข้ามาแล้วจัดการพลิกให้ตัวเองอยู่ด้านบน ท่าทางตอนนี้มันเลยออกมาประมาณว่าวิณณ์กำลังคล่อมตะวันอยู่

“แปลกเนอะ”

“ปะ....แปลก....อะ....อะไรอีก”

“ทำไมพอเราอยู่ใกล้กันแบบนี้” วิณณ์ย่อตัวเข้าหาตะวันก่อนจะเอาหน้าแนบที่หน้าอกขาวนั่น

“ทะ....ทำ....อะ.....ไร”

“เหมือน”

“เหมือน?”

“เหมือน”

“เหมือน?”

“เหมือน.......ได้ยินเสียงหัวใจของตะวันเลย”

“มั่วแล้ว วิญญาณจะมีเสียงหัวใจได้ไงเล่า”

“ก็ได้ยินจริงนะ นี่ก็อีก”  ฟุดฟิด ฟุดฟิด วิณณ์ทำจมูกฟุดฟิดอยู่แถวๆ หน้าอก เลื่อนขึ้นมาที่คอ ไต่มาจนถึงหน้าและหน้าผาก

“.....อะ.....อะไร ดมอะไร”

“ตัวก็หอม ทำไมวิญญาณถึงมีกลิ่นได้ละ”

“จะ จะไปรู้ได้ไงเล่า น้ำก็ไม่ได้อาบจะมาหอมอะไร จมูกผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย”

“หึหึ ขออยู่แบบนี้สักพักนะ”

“อะ....อืม”

วิณณ์ค้างนิ่งอยู่เหนือตัวตะวันก่อนจะทิ้งตัวลงเอาหน้าซบลงด้านข้างของตะวัน ปลายคางซุกอยู่ที่ซอกคอ แก้มชนแก้ม  ลมหายใจเบาๆ ของวิณณ์ที่สัมผัสเข้ากับผิวเนื้อ

เป็นวิญญาณบ้าอะไรวะ มีความรู้สึกได้ด้วยเหรอวะ

“เหนื่อยใช่ไหม” วิณณ์พยักหน้าตอบรับ

“อืม ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างถึงไหล่จะไม่อบอุ่น แต่ก็พอให้ซุกได้นะ”

“อืม”


ไม่ใช่แค่ตะวันที่รู้สึกวิณณ์เองก็รู้สึก....
เขารู้สึกผูกพัน
เขารู้สึกห่วงใย
เขา รู้สึกคิดถึง
เขารู้สึกทุกอย่างกับตะวัน ไม่รู้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่ตะวันหายไปเขาจะกระวนกระวายใจ คิดไปต่างๆ นานามากมายหลายอย่างจะเป็นอะไรไหม จะเกิดอะไรไม่ดีไหม นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาโมโหและหงุดหงิดถ้าตะวันไม่เชื่อฟังเขา


“ใครบอกไม่อุ่น”

“หืม?”

“ไหล่ตะวันอบอุ่นมากเลยนะ จะบอกให้”

“.....”

“ถ้าวิณณ์จะหลับไปทั้งอย่างนี้ ตะวันจะว่าอะไรไหม”

“ไม่ว่า”

“จริงเหรอ”

“อืม”

“วิณณ์ตัวหนักนะ”

“ตะวันไม่เห็นรู้สึก”

“เหรอ”

“....”


“หึหึ” วิณณ์หัวเราะในลำคอ เอื้อมมือมาลูบหัวคนด้านล่างอย่างเอ็นดู

“ล้อเล่นนะ ขอแค่พักสายตาแปปนึงก็พอ”


สุดท้ายวิณณ์ก็หลับไปทั้งอย่างนั้นหลับทั้งที่มีตะวันเป็นเหมือนที่นอนนุ่มๆ ให้นอน 
มันเป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่ก็ยังไม่เข้าใจ รู้แค่ต่างฝ่ายต่างห่วงและคิดถึงกันเสมอ
มันเป็นความสัมพันธ์ที่ใครรู้ก็ต้องแปลกใจ วิญญาณที่ทำทุกอย่างปกติเหมือนคนทั่วไป....
.....จะต่างก็ตรงที่สิ่งเหล่านี้รับรู้ได้แค่เพียงคนคนเดียวเท่านั้น.....



วิณณ์สลึมสลือค่อยๆ ลืมตาตื่น และกระพริบตาเพื่อให้ชินกับแสง

“ตะวัน!!!”

“อืม ก็ตะวันอะดิ ทำไม..ไม่เคยเห็น”

“มานอนได้ไงอะ” วิณณ์ขยับสายตามองไปรอบตัว ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง นอนเตียงของเขาเองเนี่ยไม่แปลกหรอก แต่ที่แปลกคือ คนที่นอนอยู่ข้างๆ มากกว่า

“จำไม่ได้?”

“จำได้ดิ”

“ว่า...”

“ก็เรานอนคุยกันแล้ววิณณ์ก็ขอพักสายตากับไหล่ตะวันอยู่แปปนึง แล้ว.....ก็....คงเผลอหลับไป แหะๆ”

“ใช่ครับ คุณผู้กองวิณณ์เผลอหลับไปจนถึงเช้าเลยรู้ตัวไหมครับ”

“เอ้า ทำไมไม่ปลุกละ” วิณณ์พูดพร้อมกับขยับตัวเอาหลังพิงกับหัวเตียง

“จะให้ปลุกได้ไงละ เห็นนอนสบายขนาดนั้นใครจะกล้าปลุก”

“ไม่เมื่อยแย่เลยเหรอ”

“ก็อยากจะเมื่อยหรอกนะ แต่เป็นวิญญาณไงมันเลยไม่รู้สึก”

“งั้นไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวไป สน. สาย”

“ครับโผมมม”

วิณณ์ดีดตัวลุกขึ้นแต่ก็ไม่วายจะหันไปแหย่คนข้างๆ ให้หงุดหงิดเล่น

“โอ้ยยยยยยยย ขยี้หัวเล่นอีกแล้วนะ”

“หึหึ”


เมื่อเดินเข้ามาในห้องน้ำและเห็นเงาตัวเองในกระจกก็ต้องแปลกใจ

ยิ้ม!!

เขากำลังยิ้ม!!

ยิ้มทำไมก็งงเหมือนกัน แค่รู้สึกว่าตอนนี้กำลังมีความสุข



วิณณ์ขับรถมาที่โรงพยาบาลเพื่อมาดูอาการของโจ๊ก

“สวัสดีครับผู้กอง” จ่าเวรหน้าประตูทักทายวิณณ์

“ไอ้โจ๊กเป็นยังไงบ้างจ่า”

“รู้สึกตัวแล้วครับ คุณหมอชายเพิ่งจะมาตรวจอาการและกลับออกไปเมื่อกี้ครับ”

“อืม”

“ผู้กองจะเข้าไปไหมครับ”

“ผมจะไปคุยกับไอ้หมอก่อน เดี๋ยวกลับมาอีกที ฝากจ่าดูแลด้วยนะ”

“ครับผม”

วิณณ์เดินไปที่ห้องพักแพทย์ของเพื่อนเขา



ก๊อก ก๊อก

ไม่ต้องรอให้อนุญาติวิณณ์ก็เปิดประตูเข้าไปในห้องเอง

“ไอ้หมอ”

“อ้าวไอ้ผู้กอง มาดูอาการนักโทษเหรอ”

“เออ” วิณณ์ตอบคำถามหมอชาย แต่สายตากำลังมองเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งมุมห้อง สถานการณ์แบบนี้

“ทะเลาะกันอีกแล้วดิมึงสองคน”

“แหม ฉลาดแสนรู้ รับกลิ่นไวจังเลยนะครับผู้กอง”

เอิ่ม...ครับโดนไปหนึ่งดอก เวลาไอ้ฟิล์มมันโมโหต้องแสดงนิสัยจิกกัดกับทุกคนทุกที

“ไอ้ฟิล์มเห็นหน้าคุณผมก็รู้แล้วไหม ไอ้ชายคงไปขัดใจอะไรเข้าให้อีกละซิ แล้วไอ้ชายทำไมชอบทำให้เมียโกรธตลอดด้วยวะ”

“ก็สนุกดี เวลาเมียโกรธแล้วมันน่ารักไง กูชอบ”

“โรคจิตฉิบหาย”

“ไอ้ฟิล์มก็เหมือนกันกูละงงกับมึงจริงๆ ยิ่งนับวันมึงนี่ยิ่งสาวขึ้นนะ”

“สาวบ้านมึงซิไอ้ผู้กอง ปกติกูก็เป็นแบบนี้ไหม”

“หึ ไม่อะ” ผมนี่รีบสายหัวทันที เมื่อก่อนมันสองคนนี่แมนมาก แมนกว่าผมอีก แต่พอได้กันแล้วก็....ก็อย่างนั้นแหละครับ

“เออปล่อยเมียกูไว้แบบนั้นแหละ เดี๋ยวค่อยง้อ”

“มีงมานี่มีอะไรหรือเปล่า”

“กูมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยวะ”

“เรื่องอะไรวะ?”





ต่อด้านล่างนะคะ >>>

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ต่อคะ



“เรื่องผู้ต้องหาที่ถูกยิงเมื่อคืนนี้…..”
.
.
.
“มึงแน่ใจนะว่าจะให้กูทำแบบนั้น”

“อืม แต่มึงไม่ต้องกลัว กูรับผิดชอบเองถ้าเกิดอะไรขึ้น”

“มึงคิดว่าคนอย่างไอ้ชัยเดชกลัวเหรอ”

“กูรู้ว่ามึงไม่กลัว แต่กูก็ไม่อยากให้มึงเดือดร้อน”

“จำไว้นะไอ้วิณณ์ ถ้าสำหรับเพื่อนกูยอม”

“ขอบใจวะ”


ทั้งสองคนเงียบกันไปสักพัก แต่คนอย่างหมอชายมีหรือจะไม่รู้ว่าเพื่อนเขามาหาต้องมีมากกว่าเรื่องนี้แน่นอน


“ไอ้วิณณ์ มีอะไรก็บอกมา”

“เฮ้ออออ เกลียดมึงวะ รู้ดีไปหมด”

“เออ กูนี่ละที่รู้ดีไปหมดว่าเพื่อนอย่างมึงมันต้องมีมากกว่าเรื่องนี้แน่นอน”

“แหม รู้ดีไปหมดยกเว้นเรื่องเมียตัวเองซินะ”

“เมียอะยิ่งรู้ ที่นิ่งไม่ใช่อะไรนะรอจัดการทีเดียว จบไหม”

“ชิส์”


ผัวเมียละเหี่ยใจจริงๆ คู่นี้ แต่คราวนี้ผมว่าไอ้ชายเป็นต่อแน่นอนไม่งั้นมันไม่กล้าหือ และไอ้ฟิล์มหงอขนาดนี้หรอก


“เอ้า ไอ้วิณณ์รีบพูด เดี๋ยวกูต้องเคลียร์กับเมียอีกยาว”

“กูมีเรื่องอยากถามหน่อยวะ”

“.....”

“มึงจำเรื่องของตะวันนักศึกษาที่โดนรถชนแล้วตอนนี้ต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทราได้ไหม”

“เออ ทำไมวะ”

“ตอนนี้พ่อของน้องเขากำลังจะส่งตัวไปรักษาที่อเมริกา ตามความเห็นของหมออย่างมึงควรจะส่งไปไหมวะ แล้วไปรักษาที่นั่นจะมีโอกาสหายได้ไหม”

“ดูมึงเป็นกังวลกับเรื่องของน้องเขาเป็นพิเศษนะ”

“มึงตอบกูมาก่อนเหอะน่า”

“ถามว่าควรส่งไปไหมมันอยู่ที่ครอบครัวของคนไข้ตัดสินใจวะ การที่ส่งไปอาจจะดีหรือไม่ดีกับร่างกายของน้องเขาก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง ถามว่าไปรักษาที่นั่นมีโอกาสหายไหมก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของน้องเองอีกนั่นแหละ ที่นั่นอาจจะมีเครื่องมือพร้อมหรือวิธีการรักษาที่แตกต่างออกไป แต่ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของน้องว่าตอบสนองได้มากน้อยแค่ไหน”

“....”

“คนที่นอนเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทรามีมากที่อยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่รู้สึกตัวช่วยเหลือตัวเองหรือทำอะไรไม่ได้เลยตลอดชีวิตก็มี แต่บางเคสที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาใน 1ปี หรือ 10ปี ก็เคยมีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์อย่างกูก็ไม่ค่อยอยากพูดคำนี้เท่าไหร่หรอกนะ แต่กูคิดว่ามันคือ ปาฏิหารย์

“ปาฏิหารย์?”

“ใช่”

“ปาฏิหารย์จากความหวัง ความรัก ความอดทน หรืออะไรก็แล้วแต่”

“.....”

“คนที่หลับไปนานๆ แล้วอยู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมามันคือปาฏิหารย์ มึงว่าไหม”


ใช่ ปาฏิหารย์....

แต่การที่เขามาเจอกับตะวันคงไม่เรียกว่าปาฏิหารย์ ต้องเรียกว่ากรรมหรือไม่ก็พรหมลิขิต แต่การที่เขาต้องมาช่วยตะวันทำภารกิจเพื่อให้ได้พร 1 ข้อและพรข้อนั้นก็คือการขอให้ตัวเองฟื้นอีกครั้ง มันคือปาฏิหารย์
และเราสองคนก็กำลังช่วยกันทำให้ปาฏิหารย์นั้นเป็นจริง


“เออ ขอบใจวะ งั้นกูไปทำงานต่อละ มึงเองก็...เคลียร์กับเมียดีๆ ละ อย่าลืมว่าที่นี่โรงพยาบาลอย่าทำอะไรประเจิดเจ้อให้หมอหรือพยาบาลคนอื่นเขาช๊อคกันไปละ”

“เออ กูรู้หรอกน่า เดี๋ยวจะล๊อคห้องอย่างดีรับรองไม่มีคนเห็นแน่นอน”

“กูไปนะฟิล์ม” มันหันมาพยักหน้าแล้วก็หันกลับไปทำหน้าบึ้งต่อ ถึงพวกมันสองคนจะทะเลาะแต่สุดท้ายผมก็เห็นว่ามันก็รักกันดี อาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ



ผมเดินกลับมายังห้องพักฟื้นที่โจ๊กอยู่แต่เมื่อมาถึงก็เจอกับแขกที่ไม่คาดคิด

“สวัสดีครับผู้กำกับ ทราบเรื่องที่โรงพักแล้วเหรอครับ”

“อืม พอผมรู้เรื่องก็รีบไปที่โรงพัก แล้วก็รีบมาที่โรงพยาบาลนี่ละ อาการของผู้ต้องหาเป็นยังไงบ้าง ผมว่าจะเข้าไปดูซักหน่อย”

“ตอนนี้หมอสั่งห้ามครับ เพราะอาการยังไม่พ้นขีดอันตรายกลัวว่าถ้ามีคนเข้าไปเยอะคนไข้จะมีอาการแทรกซ้อนหรือติดเชื้อได้ครับ”

“เอ่อ..” จ่าเติมทำท่าจะแย้งแต่เพราะทำงานด้วยกันมานาน แค่มองหน้าของวิณณ์ก็เข้าใจความหมายและเลือกที่จะเงียบ

“แต่จ่าเวรเมื่อกี้บอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว”

“ผมเพิ่งไปคุยกับหมอเจ้าของไข้มานะครับ หมอเจ้าของไข้เพิ่งแจ้งมาเมื่อกี้”

ผู้กำกับพงษ์มองหน้าวิณณ์อย่างหยั่งเชิง เพราะการกระทำและคำพูดเหมือนจะกันท่าเขาแต่เขาเองก็ยังคิดว่าวิณณ์น่าจะยังไม่รู้เรื่องอะไรแน่นอน

ทั้งที่ความจริงไม่ใช่.....วิณณ์รู้แล้ว
รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากความโลภของคน
รู้ว่าเพื่อนที่พ่อรักทั้งสองคนเลือกเดินเส้นทางเป็นโจรมากกว่าเส้นทางของคนธรรมดา
และรู้ว่าเพื่อนที่พ่อฝากฝังอนาคตของเขาไว้ในมือกลับเป็นคนที่จำทำลายอนาคตของเขาซะเอง


“อย่างนั้นเหรอ”

“ครับ”

“ผมว่าผู้กำกับรอฟังข่าวที่โรงพักก็ได้นะครับ เสียเวลามาเองทำไม” เป็นจ่าเติมที่พูดขึ้น

“ก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรมากมายหรอก ให้ผมนั่งโต๊ะทำงานอย่างเดียวชีวิตมันจะน่าเบื่อไป”

“ครับ ครับ ผมก็รู้ว่าเมื่อก่อนผู้กำกับบู๊แค่ไหน แต่ผมแค่เห็นว่าเรื่องธรรมดาๆ ไม่น่าจะต้องทำให้ผู้กำกับเสียเวลาเลย”

“หึหึ ปล่อยเรื่องนั้นไปเถอะ ว่าแต่สรุปผมเข้าไปดูอาการของไอ้โจ๊กไม่ได้จริงซิ”

“ครับ” เป็นวิณณ์ที่พูดขึ้น “ผมว่าเราทำตามที่หมอบอกดีกว่าครับ”

“ถ้างั้นก็คงต้องเป็นแบบนั้น เสียดายผมอยากจะถามเหมือนกันว่ารู้จักคนที่ทำเรื่องนี้ไหม”

“.....”

“แต่ไม่เป็นไร งั้นผมขอตัวกลับก่อน จ่ายังไงก็ดูแลทางนี้ดีๆ ละ”

“ครับผม สวัสดีครับผู้กำกับ”

“สวัสดีครับ” วิณณ์เอ่ยลากับผู้กำกับหรือก็คืออาพงษ์คนที่เขาคิดว่ารู้จักดีแต่กลับไม่ใช่


วิณณ์รู้ว่าคดีของคุณแอนเป็นฝีมือโจ๊กกับเพื่อน ซึ่งนายใหญ่ที่โจ๊กพูดถึงก็คือคนออกคำสั่ง และนายใหญ่คนนั้นก็คือนายยงยุทธเพื่อนของพ่อและคนที่คอยหนุนหลังก็คือผู้กำกับพงษ์


“หึหึ”


วิณณ์หัวเราะให้กับโลกนี้ที่มันช่างไม่ยุติธรรม คนที่เขาคิดว่ารู้จักดี เป็นคนดี กลับเป็นคนที่ร้ายที่สุด เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พ่อเขาต้องตาย น้องสาวเขายังต้องมาเจ็บตัว เขาควรรีบจัดการให้จบ







[บ้านยงยุทธ]


[ยุทธ ลูกน้องมึงนี่มันไม่ได้เรื่องไหนบอกว่าฝีมือดี แล้วดูที่มันทำ]
“อย่างน้อยก็จัดการไปได้คนหนึ่ง”

[แล้วอีกคนที่มันรอดมึงจะจัดการยังไง ไหนพูดซิ]
“ไม่ต้องห่วง มันไม่รอดได้ออกมาพูดแน่นอน”

[ก๊อก ก๊อก ก๊อก……รอก่อน...] เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะเข้ามาในโทรศัพท์ ทำให้พงษ์ต้องบอกให้ปลายสายอีกด้านให้เงียบก่อน

“.....”

[หึหึ คงไม่ต้องถึงมือไอ้พวกลูกน้องกระจอกของมึงแล้วละ]
“ทำไม”

[เพราะไอ้คนที่รอด มันไม่รอดแล้วยังไงละ]
“หืม?”

[ตำรวจเพิ่งรายงานมาเมื่อกี้ว่ามันมีอาการเลือดออกภายใน ทำให้ช็อคและหมอส่งเข้าห้องดับจิตไปเมื่อบ่ายนี้]
“อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น”

[ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ลูกน้องมึงจะได้ไม่ทำเสียเรื่องอีก]
“.....”

[อ่อ เรื่องเมมไม่ต้องหาแล้ว เดี๋ยวกูจัดการต่อเองในเมื่อมันอยู่ในตำรวจก็ปล่อยให้ตำรวจจัดการเอง]


ยงยุทธวางสายจากผู้กำกับพงษ์ เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะขยายบานปลายมาได้ไกลขนาดนี้ ณ ตอนนี้มีแต่ต้องเดินต่อไป ต่อให้อยากหยุดก็ทำไม่ได้ เหมือนคำโบราณที่บอก ขึ้นหลังเสือแล้วลงนะมันยาก




ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“เข้ามา”

“นายมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เรื่องเมมมึงไม่ต้องหาต่อแล้ว แล้วก็กลับไปทำงานของตัวเองให้ดีอย่าให้ผิดพลาดอีก”

“ทำไมละครับ....เอ่อ.....” ยงยุทธมองหน้าลูกน้องเหมือนกับปรามในทีว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรจะรู้ “ขอโทษครับ” แต่ในเมื่อมันอยากจะรู้เขาก็ไม่มีอะไรต้องปิด

“อยากได้ของจากตำรวจก็ต้องอาศัยตำรวจไปเอามา”

“ครับ”

เอ็มหันหลังเตรียมเปิดประตูออกไปเพราะรู้ว่านายหมดธุระกับเขาแล้ว แต่ประโยคที่นายเอ่ยออกมาทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

“ลูกน้องมึงสองคน......  ตายแล้วนะ ไปบอกพ่อแม่พวกมันให้รู้ด้วยแล้วกัน”

ตาย!!! ได้ยังไงครับนาย มันตายได้ยังไง ทำไมครับนาย”

“มึงไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก พวกมันตายก็จะได้ไม่มีใครสาวมาถึงพวกเราได้มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

“พวกมันเป็นลูกน้องผม ลูกน้องนายนะครับ”

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง งานที่ให้ไปทำไม่สำเร็จซักงานแถมเกือบทำให้ตำรวจสาวมาถึงตัวได้อีก และเมื่อเบื้องบนเขาจัดการเองกูจะไปทำอะไรได้”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ ไปทำงานของมึงให้ดีก็พอ ไปได้แล้ว”

“นาย...”

“ออกไป”

“ครับนาย”


เอ็มจำใจเดินออกมา


“ไอ้ซีน ไอ้โจ๊ก มันอะไรกันวะหมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้งเหรอ กูช่วยอะไรพวกมึงไม่ได้เลย”


ปึกกกกก

“โธ่เว้ยยยยยยยย”


เอ็มสบถเสียงดังพร้อมกับทุบกำปั้นลงที่กำแพง นายพูดแบบนี้ก็เหมือนกับรู้เห็นและปล่อยให้ลูกน้องตายเขาสองคนตาย พอหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งเหมือนของไร้ค่า นี่ซินะที่เขาบอก เส้นทางโจรก็ต้องตายแบบโจร


“มึงสองคนไม่ตายฟรีแน่นอน ยังไงเรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ”






อีกด้านหนึ่งทางวิณณ์และตะวัน


“วิณณ์ ทำแบบนี้มันจะดีเหรอ”

“ทำไม?”

“เหมือนวิณณ์แบบจะหาเรื่องคนนั้น แล้วแบบไม่กลัวว่าความจะแตกเหรอ”

”ไม่หรอก ไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเกิดขึ้น”

“อะไร จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”


วิณณ์ไม่ตอบแล้วตะวันก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ให้ตอบ เพราะแค่นี้วิณณ์เองก็มีเรื่องให้คิดมากพอแล้ว





// ความจริงโครงเรื่องของเรื่องนี้มีจุดจบของทุกคนหมดแล้ว แต่จะทำยังไงให้มันพีคสุดๆ นั่นคือที่ยากมาก เลยต้องยอมรับว่ากว่าจะออกมาแต่ละบท ต้องกวนสมองกันเลยทีเดียว กราบขออำภัยเด้อจร้าในความล่าช้า _//\\_ \\

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อ่านตอนนี้แล้วมีความเกรี้ยวกราดเบาๆ 55555

ยงยุทธนี่เป็นตัวละครที่แสดงให้เห็นภาพสะท้อนว่าโลภนะ พอได้มาเยอะๆ ก็พอแล้วนะ
รู้สึกผิดนะ แต่ก็ไม่ทำอะไรนะ สุดท้ายคงจบไม่สวยแน่คนนี้

ส่วนพ่อของตะวัน รับไม่ได้อ่ะเราสองสามคนงี้ แล้วจะมาดูแลอะไรตอนลูกจะตาย
จะมาเจ้ากี้เจ้าการอัลลัย เลือกสิ่งที่ดีให้ลูกนะ แต่แบบ มองย้อนกลับไป มีลูกใหม่ตั้งแต่ลูกยังไม่คลอดนี่มันอัลลัย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะมีอะไรมาเปลี่ยนใจพ่อตะวัน ไม่ให้ส่งตะวันไปเมืองนอกได้ไหมนะ  :hao4:

ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ชอบมากๆค่ะเรื่องนี้  :L2: :L2:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 32 เข้าใกล้


“ผู้กองขออณุญาติครับ”
“ว่าไงจ่า”

วิณณ์เข้ามาที่ สน. แต่เช้าเพื่อเคลียร์งานก่อนที่จะไปหาแม่ตะวันที่บ้าน เหตุเพราะนายวายุโทรมาบอกเขาไว้ว่าแม่ของตะวันมีเรื่องด่วนจะคุยด้วย

“ผู้กองครับ ผู้กำกับให้ผมมาเอาเมมโมรี่การ์ดจากผู้กองนะครับ”
“มาเอาเมมโมรี่การ์ด?”
“ใช่ครับ”
“เมมโมรี่อันไหน”
“ก็อันที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ที่คอนโดผู้กองนะครับ”
“เอาไปทำอะไร”
“ผมไม่ทราบหรอกครับผู้กอง แล้วผมก็ไม่กล้าถามด้วย” จ่าตอบกลับมาแบบเสียงอ่อย มันก็จริงยศแค่จ่าจะเอาอะไรไปกล้าตั้งคำถามกับยศนายพัน

วิณณ์หยิบเมมโมรี่การ์ดออกมาจากลิ้นชัก แกนี่มันตัวปัญหาซะจริง วิณณ์คิดในใจก่อนจะตัดสินใจยื่นให้ไป

“ขอบคุณครับผู้กอง ถ้าเสร็จแล้วผมจะรีบเอามาคืนครับ”

วิณณ์พยักหน้าตอบไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากได้ แต่ขนาดเขายังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะรู้ว่าเมมโมรี่การ์ดมันมีสองหัว คนไม่สันทัดเทคโนโลยีแบบผู้กำกับด้วยแล้วก็ไม่น่าจะรู้เหมือนกัน และถึงแม้จะเห็นไฟล์รูปในนั้นไปก็ไม่มีอะไรผิดสังเกตุ สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ต้องเอามาคืนเขาอยู่ดี การให้ไปจึงง่ายที่สุดจะได้ไม่เป็นที่สงสัย

วิณณ์เคลียร์งานเสร็จเกือบเที่ยงจึงเก็บของและเตรียมออกไปบ้านของตะวัน



“ผู้กอง ผู้กองครับ”
“ว่าไงจ่า”
“นี่ครับ ผู้กำกับให้ผมเอามาคืนให้ครับ”
“ใช้เสร็จแล้วเหรอ”
“ก็น่าจะแบบนั้นนะครับ”

วิณณ์รับคืนมาพลางสำรวจเมมโมรี่ในมือ ก่อนจะ เก็บเมมโมรี่ลงในกระเป๋าเสื้อ ‘อืม...ยังอยู่ปกติ แสดงว่าไม่รู้จริงๆซินะ’

“ขอบใจนะจ่า งั้นผมไปก่อน”
“ผู้กองจะกลับเข้ามาอีกไหมครับ”
“คงไม่แล้วละ มีอะไรด่วนโทรเข้ามือถือผมนะ”
“ครับผม”


ผมกับตะวันเดินต่อเพื่อจะไปที่รถ แต่เมื่อลงมาที่ชั้นหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนโวยวาย เมื่อมองไปที่โต๊ะร้อยเวรก็เห็นคนกำลังมุงอยู่ สองสามคน


“คุณตำรวจมันเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมลูกป้าถึงตาย ฮึก....ฮืออออ อยู่บนโรงพักแท้ๆ ฮืออออ”
“ก็ลูกแกมันเลวไง คนเขาถึงยังตามมาแก้แค้นมาฆ่าได้ถึงที่”
“แกอย่ามาว่าลูกนะ”
“ทำไม ทำไมกูจะว่าไม่ได้ เป็นแม่ภาษาอะไรหะ ถึงเลี้ยงให้ลูกมันเป็นโจรเป็นนักเลงได้ รอดจนมาถึงอายุเท่านี้ก็ถือว่าบุญแล้ว ถ้ารู้ว่ามันจะโตมาแล้วเลวแบบนี้นะกูเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายตั้งแต่เกินแล้ว”
“แก.....”
“ทำไม แกจะทำอะไร”

“ป้าใจเย็นก่อนนะป้า ลุงก็เหมือนกันอย่ามาทะเลาะกันบนนี้ เดี๋ยวก็ได้ถูกจับนอนกินข้าวแดงหรอก”

“ฮืออออออ”
“จะร้องให้ตายตามมันไปเลยหรือไง”
“ฮืออออออ”

“ป้าใจเย็นก่อนนะ ทางตำรวจเองก็เสียใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้บนโรงพัก ไอ้คนก่อเหตุมันก็ดันตายไปแล้ว จะสืบหาอะไรก็ลำบาก แต่ไม่ต้องห่วงยังไงตำรวจก็ต้องตามเรื่องนี้อยู่แล้วละ”
“แต่ลูกป้าตายไปแล้ว ยังไงก็คงไม่ฟื้นอยู่ดี”
“เออ เอ็งก็รู้นี่หว่าว่ามันตายแล้ว ทำยังไงก็ไม่ฟื้นขึ้นหรอก แล้วจะร้องไห้หาสวรรค์หอกง้าวอะไร”
“ลูกทั้งคนแกจะไม่ให้ฉันเสียใจเลยเหรอ”
“ลูกเสือลูกตะเข้ละไม่ว่า เลี้ยงให้มันมาทำร้ายพ่อแท้ๆ ได้”
“แกก็หยุดโทษลูกได้ไหม เพราะแกเองเอาแต่เมาไปวันๆ ถ้าไม่เมาลูกมันก็ไม่โมโหแล้วมาทำร้ายแกเหรอ”
“อีวรรณ!!!”

คนผัวโมโหกับคำพูดเมียถึงกับขึ้นเสียงตะคอกเรียกชื่อพร้อมกับเงื้อมือจะตบ แต่ก็ถูกตำรวจเบรคไว้ซะก่อน

“ลุง ลุง จะทำอะไรคิดดีๆ ก่อนนะ ไม่งั้นผมจับลุงข้อหาก่อเหตุทะเลาะวิวาทบนโรงพัก ไม่เคารพสถานที่เลยนะ”
“แหม คุณตำรวจผมก็ขู่มันไปอย่างนั้นแหละใครจะไปทำจริงๆ กันละ”

แต่ดูจากสายตาแล้วถึงจะรอดจากโรงพักไปได้แต่ถึงบ้านไม่น่าจะรอด วิณณ์จึงเดินเข้าไปที่วงสนทนานั้น

“สวัสดีครับลุงกับป้าเป็นญาติของใครเหรอครับ”
“สวัสดีจ้ะ ป้าเป็นแม่ของโจ๊ก แล้วเอ่อ...คุณ”
“ผมผู้กองวิณณ์ครับ”
“ผู้กอง ลูกป้าตายแล้วจริงๆ เหรอคะ ป้าไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่กี่วันป้าก่อนป้ายังมาเยี่ยมมันอยู่เลย มันยังบอกว่าพอออกมาแล้วจะมาบวชให้ป้าตามที่ป้าขอ แต่.....ฮึกก”

ผู้เป็นแม่ร้องถามเสียงดังทันที

“ไปหวังอะไรกับไอ้ลูกเหลือขอพรรณนั้น รอให้มันมาบวชให้นะเหรอ ต้องรอเอ็งตายก่อนแหละมันจะได้มาบวชหน้าไฟให้นะเสะ”
“เอ่อ ลุงกับป้าอย่าทะเลาะกันเลยนะครับ ลุงก็ใจเย็นก่อนเถอะครับ ลูกตายทั้งคนแม่ก็ต้องเสียใจอยู่แล้วละครับ”
“เหอะ”

คนเป็นผัวตวัดน้ำเสียงไม่พอใจใส่ก่อนจะหันเดินออกไปรอนอกโรงพัก

“ป้าครับ ผมขอโทษนะครับที่เกิดเรื่องแบบนี้ทั้งที่อยู่บนโรงพักแท้ๆ แต่ผมสัญญาว่าจะทวงความยุติธรรมให้โจ๊กแน่นอนครับ ป้าอย่าคิดอะไรมากเลยครับกลับบ้านพักผ่อนเถอะนะครับ ส่วนเรื่องการจัดการศพของโจ๊กทางตำรวจคงต้องขอเก็บไว้ก่อนนะครับเพื่อรูปคดีนะครับ”
“แล้ว....แล้วป้าจะได้ศพลูกไปทำพิธีเมื่อไหร่ละจ้ะ”
“ผมจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดนะครับ ยังไงรบกวนคุณป้ารอก่อนนะครับ”
“เหรอจ้ะ จ้ะ จ้ะ”
“ครับ”
“ป้าฝากคุณตำรวจด้วยนะคะงั้นป้ากลับก่อนนะคะ”
“ครับ สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะ”

ผมมองป้าแกเดินกลับออกไป ถึงแม้ผัวแกจะยังคงบ่นไม่หยุดแต่ทั้งคู่ก็เดินออกไปด้วยกัน

“นี่วิณณ์ จะไม่บอกป้าแกหน่อยเหรอ”
“ไม่”
“ทำไมอะ น่าสงสารเขาออก”

“ที่ไม่บอกก็เพราะความปลอดภัยของโจ๊กและของป้าเอง ตะวันอยากให้ป้าแกเป็นอันตรายเหรอถ้าเกิดพวกคนร้ายรู้ว่าโจ๊กยังไม่ตายแล้วมาทำร้ายแม่ของโจ๊กแทน”

“ไม่อะ ไม่เอาแบบนั้น”
“เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะพูดกับใครไม่ได้ คนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี”
“อืม”





[บ้านวิณณ์ :วายุ &ดาริน]


“นี่คุณพี่วิณณ์กับพี่ตะวันเป็นยังไงบ้างอะ”
“.....”
“แล้วคดีที่พี่วิณณ์ทำอยู่อะไปถึงไหนแล้ว”
“.....”
“พวกเขาจะทำสำเร็จกันไหมนะ”
“.....”
“เอ๊ะ นี่คุณถามอะไรไปทำไมไม่ตอบเลย หะ!”
“.....”
“อุ๊ยยย แหะๆ ก็ว่าอยู่ว่าทำไมถามอะไรไปทำไมไม่ตอบเลย”


ถ้าถามว่าทำไมวายุถึงไม่ตอบนะเหรอ ก็เพราะว่าที่ปากเขานะเล่นมีสก๊อตเทปพันเอาไว้ไม่ใช่แค่พันปากนะพันมันทั้งหัวเลย

“โอ๊ยยยยพรึ่ดดด  ฮาๆ อย่ามองแรงแบบนั้นซิ เอาออกให้ก็ได้ ฮาๆ คนอะไรก็นั่งทนอยู่ได้เนอะ”

ปึด

ปึด

ปื้ดดดดด

น้ำตาไหลซิครับงานนี้ ผมหลุดไปกี่เส้นวะเนี่ยยย

ที่ผมต้องโดนแบบนี้ก็เพราะเล่นเกมแพ้คุณเธอนั่นแหละ คุณเธอเบื่อที่ต้องอยู่แต่บ้านเลยชวนกันเล่นเกมแล้วไอ้ผมเนี่ยเล่นเกมเก่งซะด้วยนะ แค่อิแค่เล่นอิแก่กินน้ำผมยังกลายเป็นอิแก่เลย งานนี้เหรอก็ไม่พลาด แพ้อีกตามเคย

“เบามือหน่อยก็ได้มั้งคุณ ผมหลุดไปกี่เส้นแล้วเนี่ย”
“ดี สม เอาให้หลุดหมดหัวเลย”
“คุณ ได้ติดต่อพี่วิณณ์บ้างไหม”
“ก็มี”

“แล้วพี่วิณณ์เป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้ผู้กองเขายุ่งๆ นะ วันก่อนผมโทรไปหาก็ไม่ได้คุยอะไรกันเพราะต้องรีบเคลียร์งาน”
“เหรอ เป็นห่วงจัง”
“พี่คุณเก่งจะตาย ไม่ต้องห่วงหรอก”
“เก่งยังไงก็ห่วงอยู่ดียะพี่ชายทั้งคน”
“คร้าบบบ”

“อยากไปช่วยพี่วิณณ์จัง”
“หยุด คุณหยุดความคิดเดี๋ยวนี้เลย ไม่เข็ดเหรอผมถามจริง”
“ไม่”
“เหรออออ แล้วดูผลของการที่คุณดื้อกับพี่ชายคุณซิ”
“ชิส์”
“คุณไม่ต้องห่วงไปหรอกถึงผมจะรู้จักพี่คุณไม่นาน แต่ผมรู้ว่าพี่คุณนะเก่งอยู่แล้ว ถ้าเขามีเรื่องอยากจะให้พวกเราช่วยเขาก็บอกเองนะแหละ”
“อืมม”

ดารินไม่ปฏิเสธสิ่งที่วายุพูด ถ้าพี่ชายเธออยากให้ช่วยเขาจะบอกเอง แต่พี่ชายเธอทั้งคนจะไม่ห่วงเลยมันก็ใช่ที่




[บ้านตะวัน : วิณณ์]


“คุณป้าสวัสดีครับ”
“อ้าว ผู้กองมาแล้วเหรอคะ สวัสดีคะเข้ามาก่อนคะ” วิณณ์เอ่ยทักแม่ของตะวันที่กำลังทำงานอยู่ที่สวนหน้าบ้าน
“นายวายุโทรบอกว่าคุณป้าต้องการพบผม”
“ใช่จ้ะ” แม่ของตะวันเดินลงมานั่งกับผู้กองพร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้
“คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เรื่องตะวันนะจ้ะ”

“เรื่องตะวัน?”

“จ้ะ เอ่อ...ตะวัน เขาอยู่แถวนี้ไหม” วิณณ์พยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบ
“เหรอ...ดีจัง ป้าคิดถึงตะวันจัง คิดถึงลูกมากเลยรู้ไหมตะวัน แต่แค่รู้ว่าตะวันสบายดีอยู่กับคนดีแบบผู้กองก็โชคดีแล้ว”
“คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ป้าอยากจะคุยกับผู้กองเรื่องของตะวัน”
“....”
“ผู้กองรู้ใช่ไหมเรื่องที่พ่อของตะวัน คุณอาทิตย์นะจ้ะ เขาจะส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกา”
“ครับ”

“ป้าทัดทานไว้ไม่ไหวจริงๆ ป้าไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาบอกเพื่อไม่ให้ตะวันถูกส่งไป ครั้นจะให้ป้าบอกว่าวิญญานตะวันอยู่ที่นี่รอเวลาเพื่อที่จะกลับเข้าร่างป้าก็ไม่คิดว่าคุณอาทิตย์เขาจะเข้าใจ ขนาดแค่ป้าพูดว่าไม่อยากให้ส่งตะวันไปไกลขนาดนั้น ยังถูกหาว่าไม่รักลูกเป็นคนเห็นแก่ตัว”
“ทำไมคิดแบบนั้นละครับ”
“เขาคงคิดว่าป้ายังโกรธเขาอยู่เลยไม่ยอมให้ตะวันไป แต่มันไม่ใช่เลยป้าไม่เคยคิดแบบนั้นและป้าก็ไม่เคยสอนให้ลูกโกรธหรือเกลียดพ่อตัวเองเลย”
“คุณป้าอย่าคิดมากนะครับ ตะวันเองก็ไม่อยากให้คุณป้าคิดมาก ส่วนเรื่องที่ตะวันจะถูกส่งไปอเมริกา คุณป้าพอจะรู้ระยะเวลาไหมครับ”
“ลม น้องชายของตะวันนะคะ บอกว่าอย่างน้อยก็อีกสองอาทิตย์ แต่ป้าก็มีขอร้องลมเอาไว้นะคะว่าช่วยดึงเวลาให้เท่าที่จะทำได้”
“แล้วเขาไม่สงสัยเหรอครับ”
“สงสัยซิจ้ะ แต่เขาก็ไม่คิดจะถามหรอก ลมนะเห็นแบบนี้แต่เขาเป็นเด็กเจียมตัวมากเลยนะเขารู้สึกผิดมาตลอดกับการที่แม่เขาเป็นต้นเหตุให้ป้ากับคุณอาทิตย์ต้องเลิกกัน และเป็นต้นเหตุให้ตะวันต้องกำพร้าพ่อ แต่ป้าก็บอกเขาว่าไม่ใช่ความผิดของเขาและแม่หรอก มันเป็นความผิดในความไม่พอของมนุษย์และผิดที่ป้าเองอดทนกับมันไม่พอ”

“ไม่หรอกครับคุณป้า คนเราความอดทนมีไม่เท่ากันอย่าโทษว่ามันเป็นความผิดใครหรือแม้แต่โทษตัวเอง เพราะตะวันเองก็คงไม่อยากให้แม่เขาต้องจมอยู่กับความเศร้าแบบนั้น”

วิณณ์คิดแบบนั้นจริงๆ ตลอดระยะเวลาการสนทนาระหว่างเขาสองคนตะวันนั่งเงียบไม่พูดไม่จาไม่โวยวายเหมือนที่เคยจะเป็น ตะวันเอาแต่นั่งเงียบมองไปที่แม่ผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขา เขาไม่รู้หรอกว่าตะวันคิดอะไรอยู่แต่เขารู้อย่างหนึ่งตะวันรักและห่วงแม่เท่าๆกับที่แม่เองก็รักและห่วงตะวัน


“ดูผู้กองเข้าใจตะวันดีจังบางทีอาจจะเข้าใจกว่าป้าที่เป็นแม่ก็ได้”
“ไม่หรอกครับ”


ดาราคิดแบบนั้นจริงๆ เธอไม่ได้อิจฉาวิณณ์แต่เธอมองผู้กองวิณณ์แบบรักและเอ็นดู ลูกชายเธอช่างโชคดีจริงๆ ที่เจอคนดีแบบผู้กองหรือจะเรียกว่าความโชคดีบนความโชคร้ายก็ได้


“ยังไงป้าฝากผู้กองด้วยนะคะป้าจะพยายามช่วยเท่าที่ทำได้”
“ขอบคุณนะครับ”


ดาราเดินออกมาส่งวิณณ์ที่หน้าประตู ในใจอยากจะพูดอยากจะถามถึงตะวันแต่ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกต้องกังวลเธอไม่อยากให้ลูกเห็นว่าเธออ่อนแอ

“ตะวันแม่คิดถึงลูกจัง”

ดาราพึมพำตามหลังวิณณ์ไป โดยที่ไม่รู้ว่าถึงวิณณ์จะเดินไปแล้วแต่ตะวันยังยืนอยู่ข้างๆ และมองอยู่


“ผมก็คิดถึงแม่ครับ”


วิณณ์กลับถึงคอนโดก็คว้าข้อมูลที่มีมาดูอีกครั้งเพื่อหาหลักฐานและความเชื่อมโยงของคนร้ายในคดีของพ่อและของเขา จะจับคนร้ายระดับใหญ่โตขนาดนั้นข้อมูลต้องแน่น

ลักษณะของคดีที่พ่อเขาทำก่อนจะตายมีรายละเอียดที่เหมือนกันแทบทุกอย่างกับคดีของเขา แหล่งที่มาของยาเสพติดต้องเป็นแหล่งเดียวกันแน่นอน ผู้ที่เกี่ยวข้องตามข้อมูลในเมมโมรี่การ์ดกับคำบอกเล่าของโจ๊กคือนายใหญ่ที่มีแบ๊คตำรวจใหญ่หนุนหลังอยู่ และตามที่เขาคาดไว้นายใหญ่ที่พูดถึงก็คือนายยงยุทธ และนายตำรวจหนุนหลังก็คืออาพงษ์ซึ่งทั้งสองคนคือเพื่อนสนิทของพ่อ

และหลักฐานสำคัญอีกชิ้นคือคลิปวีดีโอในเมมโมรี่การ์ดที่เขาหาแทบตายแต่สุดท้ายคนที่เจอคือตะวัน เขาไม่รู้ว่าคุณแอนไปได้คลิปนี้มาได้ยังไงแต่มันทำให้เขารู้ว่าคนที่ทำให้พ่อเขาตายก็คือเพื่อนรักทั้งสองคน

วิณณ์มองตะวันที่ยืนอยู่ที่ระเบียงตั้งแต่กลับมาจากบ้านแม่ก็เอาแต่เงียบพอเข้าห้องมาก็ไปยืนอยู่ที่ระเบียงไม่พูดไม่จาอีก

“ตะวัน”
“หืม”
“อย่าคิดมากซิ”
“รู้เหรอว่าคิดอะไร”
“ทำไมจะไม่รู้ แค่เห็นหน้าก็รู้แล้ว”

ผมพูดพลางเอื้อมมือไปโยกหัวคนตัวเล็ก ทำไมผมจะไม่รู้ละตะวันกังวลเรื่องภารกิจที่จะทำไม่สำเร็จและเมื่อไม่สำเร็จการกลับเข้าร่างก็ยากขึ้น และไหนพ่อจะรีบหาทางส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกาอีก การห่างกันระหว่างกายหยาบกับวิญญาณจะมีผลอะไรไหมไม่มีใครบอกได้ แต่เหนืออื่นใดตะวันเป็นห่วงแม่

“ไม่ต้องห่วงหรอก วิณณ์จะรีบสะสางเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดจะไม่ให้ใครพาตะวันไปไหนได้ เข้าใจไหม”

“สัญญานะ”

“สัญญาครับ”

“ขอบคุณ ขอบคุณนะที่อยู่ข้างๆ กัน คอยช่วยเหลือกัน”


ไม่ต้องขอบคุณหรอกตะวัน ที่ทำไปทุกอย่างเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอตะวัน ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของตะวัน มันก็รู้สึกสั่น หวั่นไหวในใจไปหมดแล้ว

เขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องเป็นแบบนั้น

วิณณ์ได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดออกไป

.
.
.
“นายครับ ของพร้อมแล้วครับ”
“เออดี พวกมึงนัดแนะเวลากันให้ดีละ อย่าให้แผนแตกได้เข้าใจไหม”
“ครับนาย”

หนึ่งในลูกน้องคนสนิทรับปากผู้เป็นนายโดยไม่คิดสงสัย หึ ใครไม่สงสัยแต่คนอย่างไอ้เอ็มสงสัย ไม่รอช้าเอ็มจึงเอ่ยถามขึ้น
“นาย”
“.....”
“นายไม่คิดว่ามันเร็วไปหรือครับ ถ้าเราเริ่มส่งของกันอีกครั้ง”
“ยังไง”
“ก็เรื่องที่ตำรวจกำลังตามเราอยู่ตอนนี้ ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวมันจะไม่ทำให้พวกตำรวจสงสัยเหรอครับ”
“ก็อาจจะรู้”
“....”
“แต่ถ้ากูบอกว่าทำได้ ก็คือทำได้ มึงไม่ต้องกังวลหรอกแค่ทำงานตัวเองให้เรียบร้อยเป็นพอ”
“ครับ”

คิดเหรอว่าคนอย่างไอ้เอ็มจะไม่รู้ แบ็คหลังนายคงเปิดทางให้ซินะนายถึงไม่กลัว หึ.....อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าไอ้วิณณ์รู้มันจะเป็นยังไง

.
.
.


.
.
.
Rrrrrrrr

“ว่ายังไงจ่า”
[ผู้กองครับ สายเรารายงานมาว่าอีกสองวันจะมีการลักลอบขนยาขึ้นเรือไปทางใต้ครับ]
“ที่ไหน”
[โกดังร้างท่าเรือเขต 18 ครับ]

.
.
.



ท่าเรือเขต 18


“ผู้กองแบบนี้มันจะดีเหรอครับ เราไม่ได้รายงานผู้บังคับบัญชาแถมยังพากันมาโดยพลการแบบนี้ มันจะมีความผิดเอานะครับผู้กอง”
“จ่ากลัว?”

“มันก็ต้องมีแหละครับ”
“ผมอนุญาติให้จ่าและคนอื่นๆ กลับได้ ผมเองก็ไม่อยากให้พวกคุณเดือดร้อน”
“ได้ไงละครับผู้กองผมไม่ทิ้งผู้กองไว้คนเดียวหรอกครับ ถ้าผู้กองอยู่ผมก็จะอยู่”
“ใช่ ถ้าผู้กองอยู่ ผมก็อยู่ด้วย”

“ผมด้วย”

“ผมด้วย”


จ่าเติมจ่าอ๊อด จ่านัยและจ่าเพิ่มตัดสินใจอยู่ช่วย วิณณ์เองรู้ดีการพากำลังตำรวจออกมาโดยไม่แจ้งผู้บังคับบัญชามีความผิดทางวินัย แต่เขาก็พร้อมรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว

พวกวิณณ์แอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ข้างโกดังร้างตามที่สายรายงานจนเวลาล่วงเลยมาจนถึง 22.00 รถกะบะสองคันพร้อมคนขับแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูโกดัง


บรื้นน เอี๊ยดด


“พวกมันแค่สองคนอย่างนี้สบายมาก”
“จ่าเติมผมว่าไม่ใช่แล้วละ”
“ทำไมละจ่าอ๊อด?”
“นู่นน”

พวกเราหันไปตามที่จ่าอ๊อดบอก

“ท่าทางงานจะเข้า”


เรือยอร์ชขนาด 7ที่นั่งสีขาวลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาจอดเทียบท่าพร้อมกับคนบนเรืออีกสามคน


“ไม่ใช่ตัวต่อตัวแล้วละจ่า”
“มากกว่าเราแค่คนเดียวจะกลัวทำไมจ่าอ๊อด”
“ไม่ได้กลัวแต่ไม่อยากประมาท ผู้กองเอาไงดีครับ” จ่าอ๊อดหันไปถามวิณณ์
“ดูลาดเลาไปก่อน”


เมื่อกลุ่มคนบนเรือลงมาสมทบกับคนด้านล่างก็พากันเดินเข้าไปภายในโกดัง โดยได้ขับกะบะคันแรกที่จอดอยู่ด้านหน้าเข้าไปด้วย วิณณ์ทำท่าทางให้จ่าอ๊อดกับจ่านัยแยกไปด้านซ้าย จ่าเพิ่มไปด้านขวา ส่วนเขากับจ่าเติมรอดูสถานการณ์อยู่ด้านหน้าโกดัง


“แน่ใจนะ ว่าจะไม่กลับไปรอที่คอนโด”
“หึ”  ตะวันตอบพร้อมกับส่ายหน้าหวือ
“อยากจะอยู่ก็ได้ แต่ห้ามทำอะไรให้เป็นห่วง เข้าใจไหม”
“คร้าบ เข้าใจแล้วครับคุณผู้กอง”


“เอ่อ ผู้กองพูดกับใครเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ่าไปได้แล้ว ระวังตัวไว้ด้วยละ”
“ครับ ครับ”

จ่าเติมที่ยังไม่ทันได้เดินไปไหนถึงกับยืนเกาหัวแกร๊กๆ เพราะตัวจ่าเองมั่นใจว่าได้ยินผู้กองพูดแน่นอน แต่ว่าพูดกับใครนี่ซิ
ภายในโกดังค่อนข้างมืด แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรที่จะเห็นว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง สองคนแยกไปทำอะไรสักอย่างที่ท้ายกะบะน่าจะเป็นของที่จะขนย้ายกันคืนนี้ สองคนแยกกันไปดูลาดเลารอบๆโกดัง

“ผู้กองว่าพวกมันทำอะไรกันอยู่ครับ”
“นั่นน่าจะเป็นของที่เตรียมขนกันคืนนี้”
“แต่พวกมันรออะไรกัน ทำไมยังไม่เคลื่อนย้ายกันอีก”

วิณณ์เองก็สงสัยพวกมันน่าจะรีบขนของไปกันได้แล้วแต่ก็ยังนิ่งอยู่เหมือนกับรออะไรอยู่

“ผู้กองหรือเราจะเข้าไปรวบตัวพวกมันตอนนี้ดี”
“ใจเย็นจ่า เราไม่รู้ว่าพวกมันจะมีเพิ่มอีกไหมรอดูสักพัก”

แล้วก็เป็นอย่างที่วิณณ์คิดพวกที่อยู่โกดังแค่มาเตรียมการณ์รอ เมื่อมีรถเบนซ์ที่ทั้งตัวรถและฟิล์มดำมืดไปทั้งคันแล่นเข้ามาจอด
 

“ทะเบียนมันคุ้นๆ ว่าไหมครับผู้กอง”
“......”

กก-XXXXเลขทะเบียนมันเหมือน....

"ไอ้คนขับหน้ามันคุ้นว่าไหมครับผู้กอง"
"...."
"นั่นมันไอ้เอ็มนี่ครับผู้กอง"
"อืม"


เมื่อรถจอดสนิทคนด้านหน้าข้างคนขับรีบวิ่งลงมาเปิดประตูให้คนด้านหลัง ทันทีที่ประตูเปิดและคนที่ก้าวลงมาก็ทำให้จ่าเติมถึงกับอึ้ง เขาสองคนรู้จักดี เพราะคนที่ลงมาก็คือคนเดียวกับที่เจอที่โรงพยาบาลวันที่น้องสาวเขาถูกทำร้ายและมาเยี่ยมในฐานะเพื่อนของพ่อ

นายยงยุทธ


“ผู้กองนั่นมัน...”
“อืม”
“ผู้กองทำเหมือนรู้อยู่แล้ว” วิณณ์ที่สงสัยมาก่อนหน้านี้แล้วจึงไม่แปลกใจอะไร
“ผมแค่คาดการณ์เอาไว้บ้างแล้ว”
“เพื่อนของผู้กำกับทำเรื่องแบบนี้ ถ้าท่านรู้เข้าคงโกรธแน่ๆ”

“หรืออาจจะรู้เห็นด้วยอยู่แล้ว”

“ผู้กองว่าอะไรนะครับ”จ่าเติมร้องถามเพราะได้ยินไม่ถนัด
“ไม่มีอะไร”
“แล้วนี่เราจะเอายังไงต่อละครับ”
“จับให้ได้ทุกคนและยึดของกลางให้หมด”

วิณณ์กับจ่าเติมเดินไปสมทบกับนายตำรวจที่เหลือด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่าเขาต้องวางแผนและรอบคอบให้มาก เพราะชีวิตของตำรวจทุกคนสำคัญที่สุดคนร้ายแยกเป็นสองกลุ่ม สองคนเฝ้าและสังเกตุการณ์อยู่ด้านนอกรอบโกดัง พวกด้านในแยกกันขนของจากรถกะบะทั้งสองคันลงไปยังเรือ จัดการคนสองคนด้านหน้าไม่น่าจะยากอะไรเขาแค่ต้องดึงความสนใจพวกมันให้ออกมาห่างจากพวกนั้น



ปึกกกกก


วิณณ์ขว้างไม้ไปทางด้านหลังโกดัง


“เฮ้ยยย เสียงอะไรวะ”


คนร้ายสองคนพยักหน้าให้กันก่อนจะพากันเดินตามไปหาที่มาของเสียง


จ่าอ๊อดตามหลังและจัดการคนร้ายที่แยกไปทางซ้าย กลับมาสมทบกับวิณณ์ที่แยกไปจัดการคนทางขวา เมื่อจับตัวได้ก็จัดการโยนขึ้นรถตำรวจไปโดยให้จ่าเพิ่มเป็นคนเฝ้าเอาไว้

“หวานหมู ไอ้พวกนี้ฝีมืออ่อนชะมัด”
“อย่าเพิ่งดีใจไปจ่า พวกข้างในยังมีอีกเพียบ อย่าประมาท”
“รับทราบครับ”


แกร๊กๆ


“เฮ้ย ไอ้พวกข้างนอกนะ หายหัวไปไหนหมดวะ ให้ดูต้นทางเสือกหายไปไหนหมด”
“มีอะไร” เสียงนายยงยุทธ
“ก็ไอ้พวกข้างนอกนะซิครับนายใช้ให้มาเฝ้า มันดันหายหัวไปหมด”

นายยงยุทธกลับลูกน้องอีกสองคน ออกมาดูเหตุการณ์ด้านนอกโกดัง


"แล้วไอ้เอ็มมันไปไหนของมันวะ...มึงไปดูพวกมันซิ มึงก็ไปช่วยมันด้วย”

“ครับนาย”



นายยงยุทธแบ่งลูกน้องสองคนให้ไปตามหาคนที่หายไป และอีกสองคนรออยู่กับเขาที่โกดัง


“คราวนี้เราต้องเงียบกว่าเมื่อกี้ พวกเราไม่ว่าคนใดคนหนึ่งถ้าจับพวกมันได้แล้วให้พาพวกมันไปรวมกันที่ด้านนอก”
“ครับ ว่าแต่ไอ้เอ็มมันหายไปไหนครับผู้กอง”
"นั่นซิ"  วิณณ์เองเพิ่งสังเกตหลังจากที่ส่งนายยงยุทธแล้ว เอ็มก็ขับรถไปและก็ไม่กลับเข้ามา


วิณณ์ให้จ่าอ๊อดและจ่านัยเฝ้าที่ด้านหน้าโกดัง ส่วนเขากับจ่าเติมตามคนร้ายสองคนออกมา เมื่อสบโอกาสจึงอาศัยจังหวะจัดการคนที่เดินรั้งท้ายได้ แต่มัยยังไม่เงียบพอ เมื่อคนที่เดินหน้าหันกลับมาเตรียมพร้อมเหนี่ยวไกปืนในมือ จังหวะนั้นจ่าเติมใช้กิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ฟาดไปที่มือและย้ำลงไปที่ตัวอีกสามสี่ทีจนคนร้ายแน่นิ่ง

"ขอบใจนะจ่า"
"ครับผม"


พวกเขาลากคนร้ายสองคนมารวมกันที่รถโดยไม่ถึงเสี้ยวนาที


ปัง ปัง ปัง


เสียงปืนดังขึ้นสามนัดตามหลัง

“ไปจ่า”

วิณณ์รีบวิ่งไปตามเสียงปืน เสียงดังมาจากทางท่าเรือด้านหน้าของโกดังและเจอเข้ากับจ่าอ๊อดที่วิ่งมาอีกทาง เมื่อมาถึงเหตุการณ์ตรงหน้ากำลังชุลมุนได้ที่พอดี จากมุมที่เห็นจ่านัยหลบอยู่บนเรือที่จอดอยู่โดยมีพวกของนายยงยุทธยิงสกัดและค่อยๆ ถอยร่นเพื่อเข้าไปในโกดัง


“ผู้กองครับ”

จ่าอ๊อดวิ่งมาสมทบกับวิณณ์

"เกิดอะไรขึ้นจ่า"
"ลูกน้องของนายงยุทธคนหนึ่งออกมาจังหวะที่จ่านัยกำลังสำรวจเรืออยู่มันเลยเห็นครับ"

ปัง ปัง

“เอาไงดีครับผู้กอง มันสาดกระสุนมั่วไปหมด”
“ผมจะอ้อมไปด้านหลังเพื่อสกัดไม่ให้พวกมันเข้าไปในโกดังได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มันเข้าไปโกดังได้เราจะเสียเปรียบทันที ส่วนจ่าอ๊อดกันทางนี้อย่าให้พวกมันหนีออกไปข้างนอกได้ จ่าเติมหาทางไปช่วยจ่านัย จ่าเพิ่มผมว่าคุณกลับไปอยู่ที่รถคอยเฝ้าอย่าให้หนีไปได้”

“ครับ"

"ครับ"

"แล้วเราจะไม่เรียกกำลังเสริมเหรอครับ”
“เรียกซิ อีก 10นาทีผมจะเป็นคนโทรแจ้งเองว่าเกิดเหตุยิงกันที่โกดัง 18”

ตำรวจต่างมองหน้ากันเพราะ งง ว่าทำไมไม่เรียกวอเข้าศูนย์ไปซึ่งมันจะเร็วกว่าการโทรแจ้งแน่นอน แต่วิณณ์ก็ไขข้อข้องใจทันที

“ถ้าพวกเราขอกำลังเสริมไป ทางนั้นต้องรู้ว่าเราทำโดยไม่ได้รับอนุญาติ ผมพาพวกคุณมาผมต้องรับผิดชอบ”
“ครับ”


เสียงปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่องซึ่งดังมาจากทางฝั่งของนายงยุทธ ดูท่าจ่านัยจะต้านได้อีกไม่นานผมวิ่งไปทางด้านหลังของโกดัง พร้อมกับกดโทรศัพท์เข้าสถานีตำรวจในนามของพลเมืองดีนิรนามแจ้งว่ามีเหตุยิงกันที่ท่าเรือร้าง

ผมมาถึงด้านหลังโกดัง พยายามสอดส่ายสายตาซ้ายทีขวาทีเผื่อจะมีทางเข้าอื่น



“วิณณ์”
.
.
“วิณณ์”
“ตะวันอย่าเพิ่งเล่น”
“วิณณ์”


พร้อมกับแรงเขย่าที่มากขึ้น


“อะไร?มีอะไรตะวัน”
“นั่น”


ผมหันไปดูตามที่ตะวันชี้ให้ดู


กิ่งไม้หลายกิ่งที่ถูกหักและนำมาวางทับๆ สุมๆ กันเหมือนจะวางมั่วๆ แต่มันดูจงใจเกินไปวิณณ์เดินเข้าไปและจัดการรื้อกิ่งไม้พวกนั้นออกเข้าจึงเห็น

ช่อง

ช่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดมันพอให้คนหุ่นขนาดเขามุดเข้าไปได้ เมื่อดูว่าทางสะดวกดีแล้ววิณณ์จึงมุดเข้าไป จากจุดที่เขาลอดเข้าไป มันไปโผล่ที่ด้านข้างของรถคันที่ไว้ใช้ขนของพอดิบพอดี วิณณ์เปิดผ้าคลุมออกเพื่อดูว่าอะไรที่อยู่ข้างใต้นั่น


ยา
อาวุธ


“ครบเครื่องเรื่องเลวจริงๆ”


วิณณ์พึมพำกับตัวเองไม่แปลกที่พ่อเขาจะไม่ยอมก้มหัวให้กับเรื่องพวกนี้ แต่แปลกที่พ่อเขาเป็นเพื่อนกับคนพวกนี้ได้ยังไง แต่ก็อย่างว่าใครจะรู้ว่าคนเราจะดีไปแค่ไหน และจะเลวได้ถึงไหน


“วิณณ์ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะ”


วิณณ์สลัดความคิดทิ้ง ตอนนี้เขาต้องสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้ามากกว่าเพราะเขาเป็นคนพาคนอื่นมาเดือดร้อนเขาต้องรับผิดชอบ เขาหลบไปทางด้านหลังของรถเพื่อดูตำแหน่งที่เขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เสียงของกระสุนปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง


เพราะมัวแต่สนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เขาลืมระวังตัว






“เฮ้ย.....หยุด”






Talk : ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ...........ขอโทษ และขอโทษ

ขอโทษผู้อ่านนิยายทุกท่านจริงๆ ค่ะ เนื่องจากช่วงที่หายไปมีเหตุขัดข้องประเดประดังเข้ามาจนไม่สามารถมาอัพนิยายต่อได้ แต่ตอนนี้เรากลับมาแล้วพร้อมแล้ว

ได้โปรดอย่าเพิ่งโกรธ อย่าเพิ่งเกลียด อย่าเพิ่งทิ้งกันน้าาาาา  _/\_ กลับมาอ่านกันเถอะจร้าาา

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด