Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)  (อ่าน 20955 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
บทที่ 38 (Part1)





.....ปึกกกก.....

“โอ้ย”
“ขอโทษครับ”
“ตะวันเป็นอะไร”วิณณ์ที่เดินนำหน้ารีบวิ่งกลับมาหาตะวัน ที่เดินรั้งท้าย
“ไม่มีอะไร เขาแค่เดินชนนะ” แต่พอตะวันยกแขนขึ้นมาดูกลับต้องตกใจ รอยแผลบาดยาวตั้งแต่ข้อศอกจนมาถึงข้อมือ ถึงจะดูไม่ลึกแต่ก็เลือดไหลจนดูน่ากลัว “เฮ้ย เลือดทำไมตะวันไม่รู้สึกเลยละ สงสัยจะชาแน่เลย”
“ใครเดินชนอะตะวัน”
“ก็คนนั้น อ้าวหายไปไหนแล้วละ”
“แล้วนี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ”
“ไม่รู้ นึกว่าเขาแค่เดินชนเฉยๆ นะ เขาคงไม่ตั้งใจหรอกเห็นถือของเยอะแยะ อาจจะมีของอะไรมาโดนก็ได้”





.....เพล้งงงงงง.....

“ผู้กอง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า”
“เฮ้ยคนข้างบนนะ ใครทำอะไร”
“ขอโทษนะคุณตำรวจ ลุงไม่รู้ว่ามันหล่นลงไปได้ยังไง สงสัยเชือกมันจะเปื่อย แต่…เอ ก็เพิ่งเปลี่ยนนี่หว่า มันขาดได้ยังไง”






…..เอี๊ยดดดด.....

วิณณ์ต้องเหยียบเบรคอย่างแรง เพราะรถด้านขวาที่เบียดมาทำให้เขาต้องหลบลงไหล่ทาง ดีที่เขามีสติพอ ไม่งั้นคงได้ชนกับตอมอสะพานแล้วตกไปข้างล่างแน่ๆรถที่ชนเร่งเครื่องหนีไปไม่สนใจจะหยุดดูกันซักนิด
“ตะวันเป็นอะไรไหม”
“หัวกระแทกนิดหน่อย”
“ไหนดูซิ” ดีที่คาดเบลล์ไว้ เลยไม่เป็นอะไรมาก มีแค่หัวที่โน




“มีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่าครับแม่”
“ไม่มีนะ แม่ก็ยังแปลกใจ ขโมยเข้าบ้านแต่ไม่มีอะไรหาย ดีที่แม่กับดารินไม่อยู่ แล้วลุงสินข้างบ้านแกได้ยินเสียงกระจกแตกเลยออกมาดู แล้วก็โทรบอกแม่ แม่ก็โทรบอกวิณณ์นี่แหละจ้ะ”
“ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วละครับ”


“ตัว พักนี้เขาว่าเขารู้สึกแปลกๆ ละ บางทีก็เหมือนมีคนคอยมอง คอยตามตลอด วันก่อนเขากำลังจะขึ้นรถเมล์ ก็มีมอเตอร์ไซต์ขับมาจากไหนไม่รู้อย่างเร็วเกือบพุ่งเข้ามาชน ดีที่เพื่อนเขาดึงหลบได้ทัน แล้วก็มีสองสามวันพี่วายุมารับเขาที่มหา’ลัย จะไปดูหนังอยู่ดีๆ ก็มีรถกะบะจากไหนไม่รู้เบียดมาจนรถตกข้างทาง แล้วก็ขับหนีไป”  ดาริน หรือแม้แต่วายุเอง ก็เจอเรื่องแปลๆ เหมือนกัน






วิณณ์กลับมาทำงานที่ สน. หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาได้เพียงวันเดียว เขาต้องเคลียร์คดีและสำนวนของผู้กำกับเพื่อนำส่งฟ้อง ส่วนตัวของผู้กำกับพงษ์ตอนนี้ถูกนำตัวฝากขังเพื่อรอพิจารณาคดีต่อไป โจ๊กเองถึงแม้จะถูกกันตัวเป็นพยานแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องรับโทษ ก็แค่โทษหนักอาจจะเบาลง ส่วนเอ็มยังคงเก็บตัวเงียบ ถึงแม้สายข่าวจะรายงานมาตลอดว่าเห็นไอ้เอ็ม ไปโผล่ที่ไหนบ้างก็ตาม แต่พอตำรวจไปตรวจค้นก็จะหายเข้ากลีบเมฆตลอด


“ผู้กองคิดอะไรอยู่ครับ หน้าเครียดเลย”
“ผมกำลังสงสัย เรื่องที่ตัวผมและคนรอบตัวผมตอนนี้เจอแต่เรื่องแปลกๆ”
“ยังไงครับ”
“ตัวผมเอง ตะวัน แม่ ดาริน แม้แต่วายุ เจอกับอุบัติเหตุที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แถมยังเกิดใกล้เคียงกัน ติดๆ กันอีก มันไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่”
“แล้วผู้กองคิดว่ามีคนตั้งใจทำเหรอครับ”  วิณณ์พยักหน้า  “ใครเหรอครับ”
“ใครที่มันยังลอยนวลอยู่ แล้วมันก็แค้นผมเอามากๆ”


จ่าเติมทำท่าครุ่นคิด ผู้กองไม่ได้มีศัตรูที่ไหนมากพวกของนายยงยุทธก็ตายไปซะหมดแล้ว ผู้กำกับเองก็ยังอยู่ในคุกคงไม่สามารถเรียกพวกที่ไหนมาช่วยได้ ถ้าจะมีใครที่ยังรอดจากเรื่องนี้ก็คงเป็น


“ไอ้เอ็ม!  ผู้กองคิดว่าเป็นไอ้เอ็มเหรอครับ”

“มันก็คือข้อสันนิษฐานนะจ่า”
“เอ็มมันเป็นพวกกัดไม่ปล่อย การที่มันยังลอยนวลอยู่และผมยังคงรอดชีวิตอยู่ ผมเดาว่ามันคงจะกลับมาแก้แค้นแน่นอน “

“มันก็มีสิทธิ์นะครับ สายเรายิ่งรายงานอยู่ว่าพักนี้มีคนเห็นไอ้เอ็มวนเวียนแถวบ้านแม่มัน กับที่โรงพักบ่อยขึ้นครับ แต่มันฉลาด พอรู้ตัวว่ามีคนจำมันได้มันก็หายไปตลอด ผู้กองคิดว่ามันจะทำอะไรครับ..... หรือว่ามันจะมาช่วยไอ้โจ๊ก....... แต่มันก็ยังไม่รู้ว่าไอ้โจ๊กยังไม่ตาย แล้วมันจะทำอะไรของมัน”

“ผู้กองว่ายังไงครับ” หลังจากที่คิดเอง พูดเองเสร็จสรรพจ่าก็หันมาถามความเห็นของวิณณ์
“ผมยังไม่มั่นใจ แต่ระหว่างนี้จ่าก็ให้สายของเราจับตาดูไว้”
“ครับ แล้วที่บ้านกับคอนโดของผู้กองละครับ”
“ให้เฝ้าตามเดิม”
“ครับผม”

“เออ ว่าแต่ผมว่าจะถามผู้กองหลายครั้งละ ทำไมผู้กองถึงสนิทกับเด็กตะวันนั่นเหมือนกับรู้จักกันมาก่อน”
“ทำไม จ่าว่ามันแปลกเหรอ”
“หรือผู้กองว่าไม่แปลก” วิณณ์อมยิ้ม ก็สนิทกันตอนเป็นวิญญาณนี่แหละ บอกไปก็คงไม่เชื่อ แล้วก็ไม่แปลกที่จ่าเติมจะสงสัย เพราะเขาเล่นกระเตงมาทำงานกับเขาด้วยทุกวัน แถมยังไปเอ่ยปากขอลูกกับแม่เขามาแล้วด้วย



“คุณน้าครับผมไม่รู้จะเอ่ยปากบอกคุณน้ายังไง แต่ผมจะไม่อ้อมค้อม
........ผมขออนุญาติดูแลตะวันนะครับ.......”



ความจริงตะวันอยู่บ้านอาจจะปลอดภัยและดีกว่า แต่เพราะไม่อยากให้ตะวันห่างจากตัวอีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจไปพูดกับแม่ของตะวัน ซึ่งแม่ตะวันเองก็ไม่ได้ว่าอะไรและยังฝากฝังตะวันไว้กับเขาอีกด้วย


“สนิทตอนที่จ่าไม่รู้นี่แหละ ช่างมันเถอะ”
“อ้าว”
“มาคุยเรื่องคดีต่อเถอะ”


หลังจากทำงานมาทั้งวัน สมองเขาเริ่มเบลอ สายตาก็เริ่มล้า แล้ววันนี้เขายังทิ้งตะวันไว้ที่ห้องคนเดียวอีก วิณณ์เลยตัดสินใจพักงานตรงหน้าทุกงานเพื่อกลับไปหาคนที่รอ


“จ่าผมกลับก่อนนะ”
“ครับผม”


วิณณ์หันหลังเตรียมที่จะเดินแต่ไม่ทันที่เขาจะก้าวเท้าออกไป ความรู้สึกจี๊ดแล่นมาที่หน้าอกก็เกิดขึ้นอีกแล้ว เจ็บจนทนไม่ไหว เขาทิ้งตัวพิงกำแพงไว้


เกิดขึ้นอีกแล้ว....


“ผู้กอง! เป็นอะไรครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า รู้สึกเพลียนิดหน่อย คงนอนดึกนะ”
“แน่ใจนะครับ สีหน้าผู้กองดูไม่ดีเลย”


วิณณ์พยักหน้าเป็นเชิงว่าเขาโอเค เขาฝืนขับรถมาจนถึงใต้คอนโดยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทาบที่หน้าอกถึงมันจะเจ็บไม่เท่าตอนแรก แต่ความรู้สึกหน่วงๆ มันยังอยู่


เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาต้องไปตรวจร่างกายครั้งแรกหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล

     “มีอะไรวะไอ้หมอทำไมต้องทำหน้าเครียด”
     “มึงตรวจสุขภาพกับกูทุกปี แล้วมึงก็ปกติ แข็งแรงมาตลอด”
     “ก็เออไง”
     “ไม่เข้าใจเลยวะ”มันเหมือนจะพึมพำกับตัวเองแต่มันดังพอที่ผมจะได้ยิน
     “อะไร?”
     “ตอนที่กูฟังเสียงหัวใจมึงมันแปลกๆ แถมตอนที่เอ็กซเรย์หัวใจมึงก็ดูไม่ค่อยดีพักนี้มึงรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติบ้างไหม เหนื่อย
     ง่ายไหม หรือหน้ามืด วูบ อะไรประมาณนั้น”
     “ก็มีบ้างนะ แต่น่าจะเพราะกูโหมทำงานมากกว่า ไม่มีอะไรหรอกมึง อย่าคิดมาก”
     “กูเป็นหมอหรือมึงเป็นหมอ”
     “ก็มึงไง”
     “เออ เพราะฉะนั้นกูจะไม่สบายใจจนกว่าจะได้ตรวจมึงจนละเอียด”ชายรู้สึกแปลกใจเพราะเพื่อนเขามันมาตรวจร่างกาย
     สม่ำเสมอไม่เคยมีอาการบ่งชี้ถึงการผิดปกติมาก่อน ถ้าจะมีเขาก็ต้องรู้ เสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ แล้วยังฟิล์ม
     เอ็กซเรย์นั่นอีก
     .
     .
     .
     .
     “ไอ้วิณณ์”
     “มีอะไรวะไอ้หมอทำหน้าเครียดมาอีกละ แล้วนี่ต้องพกมียมาด้วยเหรอวะ”
     “เออ”

     ไอ้หมอฟิล์มนั่งลงที่โซฟาข้างๆ ส่วนไอ้หมอชายก็เอาฟิล์มเอ็กซเรย์ที่มันจับผมไปทำการสแกนอย่างละเอียดแปะไว้ที่ตู้อ่าน
     ฟิล์มด้านหน้า

     “มีอะไรกันวะ”
     “ไอ้วิณณ์.....จากฟิล์มเอ็กซเรย์ มันบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจมึงกำลังมีปัญหา”
     “มีปัญหายังไงวะ”
     “กล้ามเนื้อหัวใจมีภาวะอ่อนแรงซึ่งมันเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้”

     “......มันหมายถึงกูอาจจะหัวใจวายตายเมื่อไหร่ก็ได้งั้นเหรอ พวกมึงอย่ามาล้อกูเล่น”

     “กูก็อยากให้มันเป็นเรื่องล้อเล่น แต่มันไม่ใช่วะ จากฟิล์มมันแสดงภึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจมีปัญหา มันไม่ได้เพิ่งจะเป็น
     มัน....มันเหมือนกับหัวใจที่ผ่านสมรภูมิรบมายังไงยังงั้นเลยวะ”
     “แต่ถ้ากูเป็น มึงก็ต้องรู้”
     “ใช่ กูต้องรู้ แต่...แต่กูไม่รู้วะ มันเป็นไปได้ยังไง”

     สภาวะเดดแอร์เกิดขึ้นภายในห้องเราสามคนต่างมองหน้ากัน

     “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
     “มาก” ไอ้หมอฟิล์มย้ำ
     “มึงต้องดูแล ควบคุมตัวเอง ห้ามตื่นเต้น ดีใจ เครียด หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้หัวใจทำงานหนัก เพราะมันจะทำให้มึงหัวใจ
     วายตายได้”
     “ฟิล์ม” ชายเรียกชื่อแฟนมันเสียงเข้ม
     “ก็เขาพูดความจริง มันคือเพื่อนเรา มีอะไรก็บอกมันตรงๆ ไปเลย จะกั๊กทำไมมันจะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวยังไง” ชายถึงกับส่าย
     หัว
     “ตอนให้พูดกับญาติคนไข้ไม่กล้า พอกับคนใกล้ตัวนี่กล้าขึ้นมาเลยนะ”
     “แล้ววิธีรักษาละ กินยา ผ่าตัดมันก็มีไม่ใช่เหรอ”
     “กูก็อยากจะปลอบใจมึง ปลอบใจตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน ยามันช่วยให้มึงบรรเทาแต่ไม่ได้ให้หาย”
     “.....”
     “ส่วนการผ่าตัด ถ้าหัวใจมันหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปก็ดีซิ  แต่นี่มันคือชีวิตจริง หัวใจไม่ได้จะมีคนมาบริจาคง่ายๆ  มึงรู้ไหม
     คนที่ต้องการหัวใจมากกว่าคนที่บริจาคแค่ไหน”
     “.....”
     “ต่อไปนี้มึงต้องปฏิบัติตัวตามที่กูบอกทุกอย่าง”

     .
     .
     “เฮ้ย.......อย่าเงียบกันดิ ไม่ต้องทำหน้าซีเรียสแบบนั้น กูยังไม่ตายนะเว้ย”

     “แต่กูซีเรียส”






ก๊อกๆๆ


วิณณ์เลื่อนกระจกรถลง


“ว่าไงลุงเพิ่ม”
“ลุงเห็นผู้กองจอดรถตั้งนานแล้วไม่ลงมาซักที ก็เลยเป็นห่วง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีคิดอะไรเพลินนิดหน่อยนะครับ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ ถ้าผู้กองเป็นอะไรไปพวกเราคนในคอนโดต้องเศร้ากันหมดแน่”
“เว่อร์นะลุง” วิณณ์หยิบของลงจากรถลงมายืนคุยกับลุงเพิ่มต่อ
“ไม่เว่อร์นะครับ ก็เพราะว่าผู้กองอยู่ที่คอนโดนี้ แล้วยังมีพวกตำรวจมาคอยตรวจทุกๆชั่วโมงอีก คนแปลกหน้าเลยไม่มีใครกล้าผ่านมา”
“เหรอครับ”
“จริงนะครับ ขนาดวันนี้นะอยู่ดีๆ มีใครก็ไม่รู้มาถามหาเพื่อนจะขึ้นไปบนคอนโดให้ได้ ถามเบอร์ห้องก็ไม่รู้ ชื่อเพื่อนที่บอกมาก็ไม่ใช่คนในคอนโด ผมเลยไม่ยอมให้ขึ้น ตื้ออยู่ตั้งนานแต่พอว่าเขาเห็นมีสายตรวจมานะ รีบเผ่นแน่บไปเลย”
“ลุงจำหน้าได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก ใส่หมวกใส่แว่นมานะครับ”
“อืมครับ ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วละ งั้นผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ”
“ตามสบายครับผม”


วิณณ์กดลิฟท์พร้อมกับทบทวนเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ ตะวันที่เดินอยู่ดีๆ ก็โดนใครไม่รู้มาชนแถมยังเป็นแผลจนเลือดไหล ผมที่ไปตามสืบเรื่องเอ็มตามที่สายรายงาน กระถางต้นไม้หล่นลงมาเฉียดหัวไปนิดเดียวถ้าไม่เพราะจ่าเติมดึงผมไว้ หัวคงแตกแน่ บ้านแม่ที่ถูกขโมยขึ้นทั้งที่ตั้งแต่ผมเกิดมาและจำความได้ ไม่เคยมีขโมยซักครั้งที่ชุมชนนี้ น้องสาวและนายวายุที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างกระทันหัน

หรือจะเป็นไอ้เอ็มจริงๆ

เขาเดินมาหยุดที่หน้าห้องของตัวเองก่อนจะไขกุญแจเข้าไปด้านใน


“ตะวัน”
.
“ตะวัน”
.

“ตะวัน....อยู่ไหน” 

ปกติตะวันจะมารอเขาที่โซฟา แต่วันนี้กลับไม่มี แถมไฟด้านหน้าห้องยังไม่เปิดอีก วิณณ์เดินเอาของไปวางบนโต๊ะข้าว และเดินเข้าไปที่ห้องนอน

....หลับอยู่นี่เอง




“อื้อออ.....ไม่.......อึกกก.......วิณณ์......อื้อ......วิณณ์”

“ตะวัน”

“อื้อออ”

“ตะวัน”

“วิณณ์  ฮึก....อึก....กก”

“ตะวันเป็นอะไร”


ผมทั้งเรียกทั้งเขย่าตัว แต่ตะวันก็ยังไม่รู้สึกตัว เอาแต่ส่งเสียงอื้ออึงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ปากก็พึมพำฟังได้ศัพท์บ้างไม่ได้ศัพท์บ้าง

ที่พอจะฟังรู้เรื่องคือคำว่า ไม่ กับ วิณณ์ ที่เป็นชื่อผม


“ตะวัน....ตะวันตื่นซิ”
.
.
“ตะวัน”


“วิณ......วิณณ์......วิณณ์”


ตะวันสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา พอเห็นหน้าเขาก็โผเข้ากอดทั้งที่น้ำตายังไหลเต็มใบหน้า

“ฮืออออออ”
“เป็นอะไร เป็นอะไร”

เขากอดตะวันปากก็พร่ำคำปลอมประโลมให้คลายกังวล “ใจเย็นนะ ฝันร้ายเหรอ ไม่เป็นไรแล้วก็แค่ฝัน”

“ไม่ มัน มันเหมือนจริงมาก เหมือนมาก ตะวันกลัว วิณณ์ตะวันกลัวจริงๆ นะ”
“กลัวอะไร”
“กลัว....วิณณ์ตาย”


พูดจบคนร่างบางก็เอนซบกับอกพร้อมทั้งยังก้มหน้าก้มตาร้องไห้อย่างจริงจัง


“ก็แค่ความฝันอย่าคิดมากซิ”
“ไม่ ฮืออออ ยังไงตะวันก็กลัว”

วิณณ์กอดตะวันไว้ในอ้อมกอด มือก็คอยลูบหลังเป็นเวลานานที่เขาสองคนยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิม ไม่มีใครพูดอะไร เขารอจนตะวันค่อยๆ เงียบเสียงลง

“ใจเย็นขึ้นแล้วนะ” ตะวันพยักหน้า
“ไหนเล่าให้ฟังได้ไหมว่าฝันเรื่องอะไร” พอถามขึ้นมาน้ำตาก็เอ่อขึ้นทันที  “อย่าเพิ่งร้องซิ งั้นไม่เป็นไรถ้ายังไม่อยากเล่า ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้”

วิณณ์ลูบหัวคนร่างบางอย่างเอ็นดู เขาคลายอ้อมกอดลงดันตัวตะวันให้นั่งดีๆ ก่อนจะดันตัวเองเพื่อลุกขึ้น แต่มือบางคว้าข้อมือเขาไว้


“อย่าไป”
“ไม่ได้ไปไหน แค่จะไปเอาน้ำมาให้”


ตะวันยอมปล่อยมือ วิณณ์เดินออกไปและกลับมาพร้อมแก้วน้ำในมือ


“วิณณ์”
“ครับ”

“ตะวันฝัน ในฝันมันโหดร้ายมาก ตอนแรกๆ ตะวันเองก็ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ตะวันฝันถึงประตูบานนึงใบเดิมซ้ำๆ ทุกๆ ครั้งตะวันจะยืนอยู่หน้าประตูเฉยๆ จ้องมองอยู่อย่างนั้น แต่ วันนี้ ..........
ตะวันเข้าไปใกล้ประตูบานนั้น ใกล้จนสามารถเอื้อมมือไปเปิดประตูได้ แล้ว”

“แล้ว?”

“มันเป็นห้องพยาบาลมีไฟดวงใหญ่ เครื่องมือแพทย์เต็มไปหมด ทั้งหมอทั้งพยาบาลวุ่นวายกันใหญ่ เพราะกำลังช่วยชีวิตคนบนเตียง  ตะวันเห็นวิณณ์……..
วิณณ์อยู่บนนั้นมีสายออกซิเจน สายน้ำเกลือ สายอะไรไม่รู้เยอะแยะห้อยเต็มไปหมด หมอกำลังพยายามปั้มหัวใจ ตะวันเรียกวิณณ์ เรียกเท่าไหร่ วิณณ์ก็ไม่ได้ยิน ฮือออ”


ตะวันเรียกชื่อวิณณ์พร้อมทั้งเขย่าแขน เขารู้สึกกลัวจนบอกไม่ถูก ถึงมันจะเป็นความฝันแล้วเขาตื่นแล้ว แต่ภาพมันยังติดตา เขายังจำเรื่องราวทั้งหมดได้ดี


“แค่ฝันนะตะวัน อย่าคิดมากซิ”
“ไม่ แต่มัน มันเหมือนมาก เหมือนจนตะวันกลัว ตะวันกลัววิณณ์ตาย ได้ยินไหม ว่าตะวันกลัว ฮืออออ”

“โอ๋ๆ รู้ครับ รู้ ไม่ร้องแล้วนะ”


สรุปวันนี้เขากับตะวันก็ไม่ได้ออกไปไหน จากที่ตั้งใจจะพาไปกินข้าวข้างนอก เขาต้องเปลี่ยนแผนสั่งข้าวมากินที่คอนโดแทน ส่วนตะวันถึงจะไม่ร้องไห้แล้ว แต่เขาก็เงียบไปมาก ไม่พูดไม่จา ยังคงกังวลคิดวนเวียนอยู่กับความฝัน

เขาตัดสินใจให้ตะวันกินยานอนหลับโดยไม่ลืมโทรไปปรึกษาไอ้หมอชายก่อน


“เออ มึงให้น้องเขากินยาตัวนี้ได้ มันจะทำให้น้องเขาสงบและหลับได้ เม็ดเดียวพอนะมึง เข้าใจไหม”


“วิณณ์ อย่าไปไหนนะ”
“ครับ”

“อย่าเป็นอะไรด้วย”
“คร้าบ”

“ตะวันรักวิณณ์นะ”
“ครับ”


วิณณ์ลูบหัวปัดผมที่ปรกหน้าผากอยู่ออก ค่อยๆ ก้มลงไปจูบที่หน้าผาก


“พี่ก็รักตะวันนะครับ”


“อุ๊บบบ” อาการเจ็บที่หน้าอกมาอีกแล้ว ช่วงนี้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ วิณณ์ประคองตัวเองพิงลงไปกับเตียง มือซ้ายกอบกุมหน้าอกตัวเอง มือขวากำมือคนร่างบางไว้แน่น










บ้านแม่ตะวัน


อ๊อด.....อ๊อด

ดาราที่กำลังขมักเขม้นทำงานบ้านอยู่ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงกริ๊งหน้าบ้านดังขึ้น  เธอรีบเดินไปเปิดประตูเพราะคิดว่าคนที่มาไม่ใช่ใครที่ไหนน้องจากลูกชายตัวเอง


“ทำไมวันนี้ถึงมาหาแม่ได้ละพ่อลูกชาย”
“.....”
“เอ่อ .......” แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านไม่ใช่ตะวัน “คุณอาทิตย์”


แทนที่จะเป็นลูกกลับเป็นคนพ่อซะแทน ถึงแม้จะยังไม่พร้อมต้อนรับแต่ด้วยมารยาทเธอจึงเชิญผู้มาเยือนเข้าบ้าน
เธอให้นายอาทิตย์นั่งรอที่ห้องรับแขก ส่วนตัวเองก็ไปยกน้ำดื่มมาให้


“ตะวันละ”
“ไม่อยู่หรอกค่ะ”
“ไปไหน”
“คอนโดผู้กองวิณณ์”
“ไปทำไม”
“ตอนนี้ตะวันไปอยู่กับผู้กองวิณณ์ค่ะ”
“......”
“ฉันให้ตะวันไปอยู่ที่คอนโดกับผู้กองวิณณ์ แล้วเสาร์ อาทิตย์ตะวันถึงจะกลับบ้าน” ดาราขยายความ
“ทำไมต้องไปอยู่”


ดาราอึกอักเธอรู้ดีว่าสิ่งที่เธอจะพูดจะทำให้เกิดปัญหาตามมาแต่เพราะการหนีไม่ใช่ทางออกของปัญหา สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะตอบตามตรง เพราะโกหกไปก็ไม่มีประโยชน์ จะช้าหรือเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี


“ผู้กองวิณณ์เขามาขออนุญาติพาตะวันไปอยู่ด้วยนะคะ ฉันเองคิดว่าตะวันอยู่กับผู้กองน่าจะดีและปลอดภัยกว่า”
“ดีกว่าอะไร? ปลอดภัยกว่าอะไร?”
“ฉันแค่คิดว่าผู้กองจะดูแลและปกป้องตะวันอย่างดีที่สุดในฐานะ คนรัก คนหนึ่ง”
“คนรัก??” อาทิตย์งุนงงกับประโยคที่ได้ยินแต่ไม่นานเขาก็ประติดประต่อเรื่องราวได้ 


“เดี๋ยวนะ คุณจะบอกว่า ที่ตะวันเคยบอกว่ารักผู้ชาย แล้วที่ไม่ยอมไปเรียนต่อก็เพราะผู้ชาย ผู้ชายคนนั้นคือผู้กองงั้นเหรอ.......????
แล้วคุณก็ยกลูกใส่พานให้เขาไปอย่างนั้นเหรอ คุณนี่มัน
บ้า....บ้า บ้า บ้า บ้ากันไปใหญ่แล้ว”


ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าไอ้เรื่องบ้าแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับเขามันคงเป็นความผิดเขาที่ยอมให้ลูกมาอยู่กับแม่ ทำให้ติดนิสันจนกลายเป็นพวกเบี่ยงเบนผิดปกติแบบนี้


“ผมไม่น่าปล่อยลูกให้อยู่กันคุณเลย มันถึงได้กลายเป็นแบบนี้”

“ถ้าคุณจะโทษฉัน ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะคะ ทุกคนต่อให้ถูกเลี้ยงมายังไงแต่ภายในจิตใต้สำนึกมันก็คือของเราเสมอ ไม่ว่าจะลูก ฉัน หรือว่าคุณเอง  การที่ลูกรักใคร รักแบบไหน มันก็ไม่หมายความว่าลูกจะเป็นคนเลว โลกสมัยนี้มันกว้างมากนะคะคุณอาทิตย์ แค่เราได้วนมาเจอกับคนที่พร้อมจะรักเราไม่ว่าเราจะเป็นยังไงมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอค่ะ”

“แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ไม่ได้ผิดมนุษย์มนาแบบนี้”
“ผิดมนุษย์เหรอค่ะ? ความรักไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร เวลาไหน เมื่อมันเกิดแล้วมันก็คือความรัก”
“.....”
“เราก็แก่กันมากแล้วนะคะ ฉันก็อยากจะอยู่ดูแลลูกไปตลอด คุณเองก็คงคิดเหมือนกัน แต่ความเป็นความจริงมันเป็นไปไม่ได้ ซักวันหนึ่งคนเป็นพ่อแม่อย่างเราก็ต้องตาย ถ้าวันนี้ลูกได้เจอคนที่ใช่แล้ว ฉันก็ดีใจและยินดีกับลูกด้วยก็เท่านั้น”


นายอาทิตย์เงียบไม่พูดต่อ แต่คำพูดของอดีตภรรยาอย่างดารามันก็คือความจริง เราไม่สามารถไปบังคับใครให้เป็นอย่างใจเรา ต่อให้เขายอมทำแต่ลึกๆ แล้วจิตใต้สำนึกเขาก็อาจจะคัดค้านเราอยู่ก็ได้

คนเราเกิดมาแล้วก็ตาย ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าคนที่เรารักและห่วงใยได้เจอกับสิ่งที่ดีแล้ว เราควรจะยินดีซินะ
ดารารู้ดีว่าคนปากแข็งอย่างอาทิตย์ไม่มีทางพูดหรือยอมรับว่าเห็นด้วยแต่จากท่าทางที่อ่อนลงนั่นก็หมายความว่าเขายอมรับเรื่องนี้ได้บ้างแล้วไม่มากก็น้อย

“คุณอยากจะคิดแบบไหนก็ตามใจคุณ แต่ผมทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี ผมเข้าใจดีว่าตลอดเวลาตะวันอยู่กับคุณและคุณก็ดูแลมาตลอดโดยไม่มีพ่ออย่างผม แต่......ฮึ”
“......”
“ผมกลับก่อนดีกว่า” นายอาทิตย์ถอนหายใ จ เมื่อพูดจบก็เดินหันหลังกลับไป








บ้านนายอาทิตย์



อาทิตย์ครุ่นคิดมาตลอดทาง เขาอาจจะแก่เกินไปที่จะเข้าใจโลกสมัยนี้ เขาไม่ได้รังเกียจลูกตัวเอง แต่แค่คิดว่ามันใช่เรื่องถูกต้องหรือที่ผู้ชายจะใช้ชีวิตกับผู้ชาย รถของนายอาทิตย์แล่นเข้าจอดในบ้าน ภรรยาคนปัจจุบันซึ่งก็คือแม่ของลมออกมารอรับ

“เป็นยังไงบ้างค่ะ ทำไมดูเหนื่อยๆ”
“เฮ้อออ” นายอาทิตย์ถอนหายใจ แล้วก็เดินเข้าบ้านไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา
“มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”  ณดาเดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำดื่มเย็นๆ ยื่นให้สามี

“ผมไม่เข้าใจความรักของเด็กสมัยนี้จริงๆ” นายอาทิตย์ถอนหายใจถอนหายใจอีก เขาไม่รู้จะพูดยังไงดีแต่กับ ณดา ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันเธอเป็นคู่คิดที่ดีให้เสมอ เขาจึงไม่ลังเลที่จะพูด
“ทำไมเหรอค่ะ เกิดอะไรขึ้น”

นายอาทิตย์เล่าเรื่องให้ณดาฟัง คนฟังก็ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อนายอาทิตย์พูดจบเธอก็ถึงกับอมยิ้มขึ้นมาทันที

“คุณยิ้มทำไม”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่ถ้าฉันเป็นคุณดาราฉันก็จะทำแบบเธอค่ะ”
“.....”
“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นซิค่ะ ฟังฉันก่อนคะ......พ่อแม่ทุกคน อย่าว่าแต่พ่อแม่เลยค่ะผู้ใหญ่ทุกคนบางคนก็รับเรื่องพวกนี้ได้ บางคนก็รับไม่ได้ แต่เราคนเป็นพ่อเป็นแม่มีความสำคัญต่อความเป็นไปของพวกเขา ต่อให้เขาทำเรื่องผิดร้ายแรงแค่ไหน หรือทำไม่ถูกใจเราแค่ไหน เขาก็ยังเป็นลูกเรา ถ้าพ่อแม่อย่างเราไม่พยายามแม้แต่จะเข้าใจพวกเขา คิดดูซิค่ะ เขาจะทำยังไง”

“.......”

“สิ่งที่คุณดาราทำก็คือยืนข้างลูกของตัวเอง เมื่อเข้าก้าวไปข้างหน้าไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายแรงแค่ไหนเขาก็จะรับรู้ได้เสมอว่าเขาจะไม่ล้มเพราะแม่ของเขาคอยสนับสนุนเขาอยู่ อีกอย่างความรักนะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอ่อนไหว ถ้าเรากีดกันและขัดขวาง การแก้ปัญหามักจะนำไปสู่เรื่องเศร้าเสมอ เราเปลี่ยนมาเป็นรับฟัง ให้กำลังใจ และคอยช่วยเหลือดีกว่าค่ะ”

“แต่มัน....มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นะคุณ ผู้ชายกับผู้ชายมันจะเป็นไปได้ยังไง”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ละคะ ความรักของคุณคืออะไร ถ้าคุณตอบว่าหญิงชายรักกัน สร้างครอบครัว มีลูก จบ มันก็ใช่แต่ก็ไม่ทั้งหมด บางคนรักแค่อยากจะรัก บางคนรักที่จะให้ บางคนรักพร้อมจะเสียสละ หรือบางคนรักแบบเห็นแก่ตัว อยากครอบครอง ไอ้คำพวกนี้เพราะเราไปจำกัดนิยามให้ต่างหาก จริงๆ แล้ว ความรักไม่จำเป็นต้องมีแบบแผนหรือกฎเกณฑ์อะไรมากำหนดสำหรับฉันแค่ได้รักก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว” เธอพูดจบก็จับมือสามีไว้อย่างแนบแน่น

“แล้วผมควรจะทำยังไง”

“คุณก็แค่วางตัวในฐานะพ่อก็พอค่ะ รักลูก ปกป้องลูก และพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอแค่นั้นเขาก็ดีใจแล้วค่ะ”








มีต่อ >>>>

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
>>>>  ต่อ





ตะวัน



“เลือก”



ตะวันลืมตาตื่นขึ้นมา ไฟสลัวลอดจากผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เขาปรับสายตาอยู่สักพักก็เห็นว่าตัวเองยังนอนอยู่บนเตียงโดยที่ข้างตัวมีวิณณ์นอนกอดอยู่เหมือนเคย


เขาฝันแบบนี้มาตลอดสองอาทิตย์หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล ความฝันที่จะต้องเลือก


ผมไม่รู้ว่าผมต้องเลือกอะไร เลือกทำไม ผมฝันเห็นแต่ประตูบานหนึ่งซ้ำๆ กับเสียงที่วนเวียนอยู่ในหัวว่าให้เลือก มีอะไรอยู่อีกด้านของประตูบานนั้น?

ผมไม่เคยเล่าความฝันให้ใครฟัง แม้แต่กับวิณณ์


จนเมื่อวานนี้ผมฝันเห็นประตูบานเดิมแต่ต่างตรงที่ครั้งนี้ผมสามารถเปิดมันได้ และสิ่งที่อยู่หลังบานประตูนั้นก็ทำให้ผมกลัวแทบเป็นบ้า




ชีวิตหลังจากอออกจากโรงพยาบาลมาต้องยอมรับว่าชีวิตของผมสุขสงบดี ผมสลับไปๆมาๆ ระหว่างบ้านและคอนโดของวิณณ์ ถึงวิณณ์จะเสนอให้ผมไปอยู่กับเขาที่คอนโดเลยและให้แม่ผมไปอยู่กับแม่และน้องสาวของเขาก็ตาม


“ตะวันลูกไปอยู่กับผู้กองได้นะแม่ไม่ว่า แม่อยู่นี่ยังไงก็มีวายุอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้ว”
“แต่ผมกลัวแม่เหงา”
“แม่ไม่เหงาหรอก เราก็แค่กลับมาหาแม่บ้าง”
“แต่มันจะดีเหรอครับ”
“ดีทั้งนั้นแหละ อะไรที่ลูกทำแล้วมีความสุขมันดีกับแม่ทั้งนั้นแหละจ้ะ”



สุดท้ายผมจึงต้องแบ่งเวลา จันทร์ถึงศุกร์ผมจะอยู่คอนโดกับวิณณ์ โดยมีพี่วายุช่วยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนแม่แทน พอเสาร์ อาทิตย์ผมก็กลับมาอยู่ที่บ้านตัวเอง

เรื่องระหว่างผมกับวิณณ์เราไม่ได้พูดอะไรกันมาก แค่รับรู้จากความรู้สึกและการกระทำ คนรอบข้างก็คงรับรู้ได้เช่นกัน
แม่ไม่เคยถามไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาหรือปัจจุบันก็ตาม ส่วนกับพ่อเราไม่ได้คุยกันเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่องที่โรงพยาบาลวันนั้น แม่ของวิณณ์กับน้องสาวอย่างดารินเองก็แสนจะใจดีกับผม จนผมเกรงใจ


ทุกคนเหมือนจะรับรู้และเข้าใจเรื่องของเราโดยอัตโนมัติ


“อึ....อื้ออ” คนข้างตัวขยับพร้อมกับรัดตัวผมแน่นขึ้น
“วิณณ์ หายใจไม่ออก” พูดไปก็เท่านั้นแหละ นอกจากจะไม่ปล่อยยังมาทำตาหวานเยิ้มใส่อีก


“อรุณสวัสดิ์ครับ” เป็นปกติทุกเช้าของการตื่นนอน วิณณ์จะบอกอรุณสวัสดิ์พร้อมกับชอบหอมแก้มหอมหัวเขาทุกครั้ง
“อรุณสวัสดิ์ ไม่เหม็นเหรอ ไม่สระผมมาสองวันแล้วนะ”


ฟุดฟิดๆ วิณณ์ทำจมูกดมวนเวียนแถวผม


“จะว่าไปก็กลิ่น ตุๆ นะ”
“บ้า ไปอาบน้ำเลยไป วันนี้ต้องไปบ้านแม่วิณณ์นะ”
“คร้าบบ”
“ตะวัน”
“หืม”
“นี่”
“......”


วิณณ์เอาสองมือล๊อคหน้าเขาให้อยู่นิ่งก่อนจะระดมจูบไล่จากหน้าผากเลื่อนมาแก้มซ้าย ผ่านไปแก้มขวา จบด้วยริมฝีปาก ก่อนจะรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำไป


โอ้ยยย  เขินนนนนนน







“ตะวันโทรบอกแม่หรือยัง”  วิณณ์ตะโกนออกมา
“อืม”


วันนี้วันเสาร์ความจริงผมต้องกลับบ้าน แต่เพราะว่าแม่ของวิณณ์ชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน วิณณ์กลัวว่าจะดึกเกินไป ผมเลยต้องโทรไปบอกแม่ว่าจะกลับวันอาทิตย์แทน

เราเดินไปที่ลานจอดรถ ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อน รอสักพักวิณณ์ก็ยังไม่ยอมขึ้นรถมาซะที ผมจึงต้องลงไปตาม


“วิณณ์ มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามพร้อมทั้งมองไปรอบๆ
“ไม่มีอะไร”


วันนี้รถค่อนข้างติด เพราะบ้านแม่วิณณ์อยู่ชานเมืองเส้นทางของพวกเราจึงต้องผ่านใจกลางเมืองดงรถติดไปซะก่อน ทำให้เราต้องใช้เวลาอยู่บนรถกันค่อนข้างนาน


“หิวไหมตะวัน”
“ไม่ วิณณ์หิวเหรอ”
“ไม่ครับ แต่ดูจากรถติดแบบนี้แล้ว วิณณ์ว่าเราหาอะไรกินก่อนเถอะ กว่าจะถึงบ้านตะวันต้องหิวแน่”
“โอเค๊”


เราเลือกกินของง่ายๆ รองท้องกันไปก่อนนั่นก็คือ เบอร์เกอร์ที่ชอบไปสิงอยู่ในปั้มน้ำมัน หลังจากได้ของกินมาแล้ว วิณณ์ก็เดินหน้าขับฝ่าการจราจรต่อไป

ผมสังเกตุเห็นวิณณ์ชอบมองกระจกหลังตลอด จนผมต้องมองตาม


“มีอะไรหรือเปล่าเห็นมองไปข้างหลังตลอดเลย”
“รู้สึกเหมือนรถคันนั้นตามเรามา”
“เหรอ เขาอาจจะแค่มาทางเดียวกับเราก็ได้”


“ก็อยากจะให้เป็นแบบนั้นหรอกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะมันขับตามมาตั้งแต่คอนโด” วิณณ์พึมพำ  “วิณณ์อาจจะเข้าใจผิด ไม่ต้องคิดมาก แล้วเรานะคาดเข็มขัดด้วยซิบอกกี่ครั้งแล้ว”

“ครับ ครับ ครับ”


วิณณ์เลือกพูดแบบนั้นเพื่อไม่ให้ตะวันคิดมาก ตะวันเองหันไปคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดตามที่วิณณ์บอก

เราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะหลุดพ้นจากการจราจรมหาโหดออกมาได้ ความจริงเราสามารถขับไปได้อย่างสบาย แต่วิณณ์ยังคงเลือกขับแบบช้าๆ และวิ่งอยู่เลนซ้ายตลอดเวลา

เขาคิดไม่ผิดรถคันนั้นตามเขามาจริงๆ วิณณ์เลือกจะขับช้าอยู่เลนซ้าย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาการปะทะจะได้ไม่รุนแรงมาก จนถึงทางแยกวิณณ์เลี้ยวซ้ายเพื่อตรงไปยังบ้านแม่เขา

เขามองไปทางกระจกหลัง รถคันนั้นเร่งเครื่องตามมาจนชิดท้ายรถเขา ก่อนจะเบี่ยงขวาแซงขึ้นไป


“นี่เขาเข้าใจผิดเหรอ”


วิณณ์ตัดสินใจเปลี่ยนเลน และเร่งเครื่องขับออกไป จังหวะที่เขาทำความเร็วรถอยู่นั้นรถคันหน้าก็เกิดเบรคกระทันหัน




เอี๊ยดดดดด


วิณณ์เหยียบเบรกจนเสียงดังไปทั้งถนน มือข้างหนึ่งพยายามประคองพวงมาลัย อีกข้างหันไปคว้าและกดตัวคนข้างๆ ไว้กับเบาะรถ



ปึงงงงงง



หน้ารถเขาชนเข้าอย่างจังกับรถคันหน้า ก่อนที่รถเขาจะหมุนตกไปที่ไหล่ทางและหยุดนิ่ง

“ตะวันเป็นอะไรไหม”
“เจ็บ”
“ไหนดูซิ หัวคงกระแทกกับกระจกด้านข้าง ไม่เป็นไรแผลไม่ลึกมาก”


วิณณ์พยายามปลดเข็มขัดของตัวเองแต่มันติดเขาจึงหันไปปลดให้ตะวันก่อน สายตามองไปยังรถคู่กรณีคันหน้า ชายสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงิน ใส่หมวกปิดหน้าก้าวลงมาจากรถ

แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เขาก็จำมันได้ทันที



“เอ็ม!!!”


“สวัสดีผู้กอง นึกว่าเราจะไม่มีวันได้เจอกันอีกซะแล้ว”


มันเปิดประตูฝั่งที่ตะวันนั่ง และลากตะวันลงจากรถไป


“ไม่ ปล่อย ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ”
“มึงจะทำอะไร ปล่อยตะวันซะ”
“วิณณ์ ฮืออ ช่วยด้วย วิณณ์”

“หึ ดูท่ามึงจะรักมันมากนะ หน้าตาก็ดีทำไมมึงไม่ไปหาแฟนที่เป็นผู้หญิงวะ มาเอาไอ้หน้าอ่อนนี่อะนะ อ๋ออ.....” เอ็มจับหน้าตะวันพลิกไปพลิกมา

“ดูไปดูมา มันก็น่ารักดีนะ ผิวก็ขาว เนียน มิน่าละมึงถึงได้รักมันมาก”
“อย่ามาแตะตัวกูไอ้เหี้ย”


“อ้าาา” วิณณ์พยายามดึงเข็มขัดที่ติดอยู่ให้หลุด ปากก็สบถด่าไปด้วย


“ไอ้เอ็ม ไอ้เหี้ย ปล่อยมือมึงเดี๋ยวนี้”
“จุ๊ๆ อย่าดิ้นให้เจ็บเลย มึงไม่ต้องกลัวว่าจะตายไปคนเดียวหรอก กูมีเมตตาพอ จะสงเคราะห์มึงสองคนให้ไปอยู่ด้วยกัน ดีไหม”


วิณณ์มองไปรอบๆ ถนนเส้นนี้เป็นเส้นใน ไม่ค่อยมีรถผ่าน ถ้าจะมีก็นานทีจะมาซักคัน


“แต่ก่อนอื่นมึงคงต้องทรมานทนดูคนรักของมึงตายไปก่อน แล้วกูจะช่วยสงเคราะห์ส่งมึงตามไปก็แล้วกันนะ”


เอ็มเหวี่ยงตะวันออกไปด้านหน้า มันยกมือพร้อมเหนี่ยวไกปืนชี้ไปที่ตะวัน


ตะวันตัวสั่นงันงกยืนอยู่กับที่


“กูไม่ยอมให้มีงทำหรอก”   ตะวันเขวี้ยงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงใส่เอ็ม อาศัยจังหวะที่มันหลบวิ่งหนีไป


“มึงหนีไม่พ้นหรอก”



“ไอ้เอ็ม!!!”




ปัง



เสียงกระสุนสองนัดดังซ้อนกัน กระสุนสองนัดจากปากกระบอกปืนคนละกระบอก จุดหมายคนละจุดหมาย พร้อมกับคนสองคนที่ล้มลงพร้อมกัน



เอ็ม

วิณณ์




ตะวันไม่สนใจว่าตัวเองจะเจ็บไหม
ตะวันไม่สนใจว่าเอ็มมันจะตายแล้วหรือยัง
เขาสนใจแต่ผู้ชายตรงหน้า คนที่เป็นเหมือนชีวิต เป็นเหมือนหัวใจของเขา


“วิณณ์ วิณณ์ โดนยิงตรงไหน วิณณ์”


ตะวันพยายามหาบาดแผลตามตัวแต่ก็ไม่มี เลือดซักหยดก็ไม่เห็นแต่ว่าวิณณ์กลับนอนนิ่งไม่รู้สึกตัว ตะวันรีบวิ่งไปเอามือถือของวิณณ์ที่รถ มือสั่นเทาเลื่อนหน้าจอเพื่อหาเบอร์โทรขอความช่วยเหลือ เขานึกถึงใครไม่ออกจริงๆ นอกจาก หมอชาย



“พี่หมอ พี่หมอช่วยวิณณ์ด้วย ช่วยด้วย ช่วยวิณณ์ด้วย”




เขาไม่รู้ว่าเขารออยู่ตรงนี้นานแค่ไหน แต่ทันทีที่รถพยาบาลมา เขาและวิณณ์ถูกพาตัวขึ้นรถฉุกเฉินแยกไปคนละคัน

แล้วหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย







Talk :
1. ต้องขอภัยที่หายไปนาน ความจริงคือ เขียนจบแล้วแต่มันไม่ได้ดั่งใจเลยลบใหม่ตั้งแต่ต้น หืออออ
2. ด้วยเนื้อหาที่เยอะเลยขอแบ่งช่วงจบเป็น สองพาร์ทนะคะ

ปล. พาร์ทที่สองจะรีบตามมาให้ไวเลยคร่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สรุป...ไอ้เอ็มตายไหม? หรือรอดไปได้อีก?

ตะวันต้องเลือก...เลือกว่าใครจะต้องตายสินะ?  ระหว่างตะวันกับวิณณ์

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ขอให้รอด ๆๆๆๆๆๆ  :call:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
บทที่ 38 Part 2 Ending




ตะวันกำลังยืนอยู่ที่หน้าห้องห้องเดิม
ประตูบานเดิม
ถ้ามันเหมือนกับที่เขาฝัน สิ่งที่อยู่หลังบานประตูมันคือสิ่งที่เขากลัวที่สุด

ตะวันยืนจดจ่อเก้ๆ กังๆ  สองมือบีบกันแน่นจนรู้สึกได้ว่ามันทั้งเย็นและสั่น สองขาก้าวถอยหลัง เพราะกลัวตัวเองจะเผลอไปเปิดประตูนั้นเข้า 
ถ้าเปิดประตูมาเจอวิณณ์นอนอยู่บนเตียงแบบในฝันละ เขาจะทำยังไง
เขายังไม่พร้อมที่จะเจอ

“เจ้าต้องตัดสินใจ ชะตาขีวิตทั้งของเจ้าและของผู้กองอยู่ที่มือเจ้าแล้ว จงเลือกซะ”

เสียงดังก้องสะท้อนเหมือนมันพูดอยู่ในหัวของเขา เสียงที่เขาไม่มีทางลืม ท่านพญายม

เลือกอะไร เขาต้องเลือกอะไรอีก
ความกลัวทำให้เขายืนอยู่นิ่งไม่ขยับไปไหน
เอาไงดี
เอาไงดี
เอาไงดี
เอาไงดี

ในใจพร่ำถามทั้งที่รู้ว่าไม่มีใครตอบ
.....สุดท้าย…..เขาก็ตัดสินใจเปิดประตูบานนั้น


“ฮือออออ.... ซีน........ลูกแม่ ฟื้นซิลูกฟื้น ทำไมเป็นแบบนี้........ ฮือออออ  ................ แม่บอกแล้วใช่ไหม แม่บอกแล้ว คบเพื่อนแบบนี้ซักวันมันต้องพากันไปตาย ทำไมไม่เชื่อแม่ ..........ฮืออออออ........... แล้วแม่จะอยู่กับใคร ลูก....ซีน   มาเอาแม่ไปด้วย เอาแม่ไปด้วย...........ฮึก.....ฮือ”

หญิงวัยกลางคนกอดร่างที่ไร้วิญญาณนอนคลุมผ้าบนเตียง เสียงร่ำไห้อ้อนวอนก้องดังไปทั่วทั้งห้อง

.

.

.

“แม่จ๋า พ่อจ๋าอยู่ไหนเหรอค่ะ”  ผู้เป็นแม่ได้แต่มองหน้าลูกน้ำตาคลอ
“แม่ร้องไห้ทำไมเหรอค่ะ”  เด็กน้อยไร้เดียงสาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอคิดเพียงว่ามาที่นี่จะได้เจอพ่อ คนเป็นแม่ได้แต่อ้ำอึ้ง
“คุณพ่อแกล้งคุณแม่เหรอค่ะ อ๋อ ลูกหนูรู้แล้ว คุณพ่อไปแอบแล้วคุณแม่หาไม่เจอเลยเสียใจใช่ไหมค่ะ”
“.....”
“โอ๋…. ไม่ร้องนะคะ เดี๋ยวลูกหนูจะทำโทษคุณพ่อเองค่ะ”  เด็กน้อยมองผ่านกระจกเข้าไปด้านในห้อง ซึ่งในนั้นมีเตียงที่มีผ้าคคลุมปิดอยู่
“คุณแม่ขา ในนั้นมีอะไรเหรอค่ะ”
“.....”
“ลูกหนูรู้แล้ว คุณพ่ออยู่ในนั้นใช่ไหมค่ะ”
“......”
“ลูกหนูจำมือคุณพ่อได้” เด็กน้อยชี้ไปยังเตียงด้านใน “ลูกหนูเก่งไหมค่ะ”

เด็กหนอเด็กไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราว มันยิ่งทำให้คนเป็นแม่กลั้นน้ำตาไม่อยู่ อุ้มลุกน้อยขึ้นมาและกดหน้าไว้กับไหล่ตัวเอง เจ้าหน้าที่ในห้องเหมือนรู้งาน เปิดผ้าคลุมออก ทันทีที่เธอเห็น ขามันอ่อนแรง เข่าทรุดทิ้งตัวเองลงกับพื้น น้ำตาไหลไม่ขาดสาย มือยังคงกดหน้าลูกไว้ ลูกควรจำได้แต่พ่อที่ชื่อ ยงยุทธ ทั้งใจดีและหล่อเหลาได้ เท่านั้น
“คุณแม่เป็นอะไรค่ะ โอ๋เอ๋….โอ๋เอ๋นะคะ ไม่ร้องแล้วค่ะ ลูกหนูรักคุณแม่นะคะ รักคุณพ่อด้วย”

.

.

.

.

“เอ็ม..........เอ็ม ฟื้นซิลูกฟื้น ลุกขึ้นมาคุยกับแม่ก่อนนะลูก”
“พ่อจะไม่ด่าเอ็งแล้ว เอ็งอยากทำอะไรพ่อยอมหมดเลย แค่ลุกขึ้นมาหาพ่อก่อนนะเอ็ม”
ตอนมีชีวิตเพราะความดื้อรั้น เกเร คบแต่เพื่อนอันตพาลทำให้เรียนไม่จบ หลงมัวเมาไปกับสิ่งล่อลวงทางอารมณ์ ทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อลูกต้องห่างเหิน กว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว
“แม่บอกเอ็งแล้วใช่ไหมลูก ให้ตั้งใจเรียนหนังสือโตมาจะได้ทำงานดี เป็นเจ้าคนนายคน ถ้าเอ็งเชิ่อแม่เอ็งก็ไม่ต้องมาตายแบบนี้ เอ็ม ... ฮืออออ........... ใจแม่จะขาดอยู่แล้ว ....โธ่....เอ็ม
....แม่ยอมตายแทนลูก แม่ยอม ขอแค่คืนลูกของแม่มา...... เอาลูกแม่คืน..ฮึก .........เอาลูกแม่คืนมา  ฮืออออ....
.....เอาแม่ไป..... เอาแม่ไปแทน”
ผู้เป็นแม่ได้แต่พูดอยู่แบบนั้นซ้ำ

ต่อแต่นี้ก็เหลือกันแค่สองผัวเมีย แทนที่ลูกจะได้มาเผาพ่อแม่ กลายเป็นพ่อแม่ต้องมาเผาลูกแทน





แล้วทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงกลางทางเดิน โดยด้านซ้ายและด้านขวาของเขาเป็นกระจกและเมื่อเพ่งมองดีๆ ตะวันจึงเห็นว่าภายในห้องทั้งสองห้องนั้นมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ทุกคนดูวุ่นวายและเคร่งเครียด

แม่ 
พ่อ
พี่วายุ

“แม่....พ่อ.....พี่วายุ  มาทำอะไรกัน ตะวันอยู่นี่ได้ยินไหม แม่ครับ  พี่วายุ”

ตะวันพยายามตะโกนเรียกแต่ไม่มีใครได้ยินทุกคนในห้องเอาแต่สนใจหมอที่กำลังพูดอะไรสักอย่าง เขาทั้งเคาะ ทั้งทุบกระจกแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แม่.....พี่วายุ”

ในจังหวะที่เขาทุบมือลงไปอีกครั้ง  ตัวของเขาก็พุ่งเข้าไปในห้องทุกคนในห้องยืนอยู่รอบเตียง แม่ก็เอาแต่ร้องไห้โดยมีพี่วายุคตอยพยุงไว้ พ่อก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดเดาไม่ถูกและข้างๆ พ่อก็มีลมลูกชายอีกคน

“แม่ แม่ได้ยินตะวันไหม ใครก็ได้พูดกับตะวันหน่อย พี่วายุ พ่อ ลม ลมได้ยินไหม มีใครได้ยินตะวันบ้าง พี่หมอ  พี่หมอชาย....โธ่เอ้ย”

เขาตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้และนั่นก็ทำให้เขาต้องตกใจอีกครั้ง นั่นมันตัวเขา...

“แม่ แม่ครับ แม่ได้ยินตะวันไหม แม่ ฮือออ”

ตะวันทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง เขาทั้งสับสนเขาทั้งกลัว นี่เขาจะต้องตายอีกรอบจริงๆ เหรอ

“คุณหมอบอกน้าเถอะค่ะต้องทำยังไง ต้องรักษาตะวันยังไง”
“คุณน้าครับใจเย็นๆ ก่อนนะครับหมอผ่าตัดเอากระสุนออกแล้ว แต่เพราะกระสุนถูกยิงใกล้กับจุดสำคัญมากทำให้มีเลือดไหลภายใน หมอได้ให้ยาห้ามเลือดไปแล้ว ต้องรอดูว่าร่างกายของตะวันตอบรับกับยาได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เราทำได้แค่....ต้อง....รอ”

“ตะวัน ..... ตะวัน”  ดาราได้แต่พึมพำเรียกชื่อลูกซ้ำ

ตะวันยืนดูร่างตัวเองที่กลับมานอนแน่นิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ที่เขาเกือบโดนรถชนตายครั้งหนึ่ง
เขาหันกลับไปอีกด้าน ถ้าเขาอยู่นี่แล้ววิณณ์ละ และเหมือนกับมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่างเพราะทันทีที่เขาคิดมันก็ดูดตัวเขาโผล่มายังห้องอีกฝั่งหนึ่ง และที่นั่น วิณณ์ก็นอนอยู่บนเตียงนั้น

“วิณณ์.....วิณณ์ได้ยินไหม”

เขาพยายามมองหาร่องรอยของบาดแผลบนตัววิณณ์แต่ก็ไม่มี มันเหมือนวิณณ์กำลังหลับ แต่จากสีหน้าของทุกคนในห้อง แม้กระทั่งหมอเองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกเลยว่าวิณณ์โอเค

“วิณณ์....เป็นอะไร  ตื่นมาคุยกับตะวันก่อนซิ วิณณ์”

“พี่หมอฟิล์ม พี่วิณณ์จะหายไหมค่ะ”
หมอฟิล์มนิ่ง ยิ่งเสียงหมอฟิล์มถอนหายใจ นั่นมันยิ่งทำให้ตะวันรู้สึกร้อนรน
“พี่ยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกดาริน พวกเราได้แต่ภาวนาให้วิณณ์รู้สึกตัวและฟื้น  เพราะถ้าวิณณ์ยังนอนไม่รู้สึกตัวแบบนี้เราก็จะรักษากันต่อไม่ได้”
“แต่พี่วิณณ์จะฟื้นใช่ไหมค่ะ”
“พี่ก็บอกไม่ได้อีกเหมือนเดิม ทุกอย่างอยู่ที่วิณณ์คนเดียว”
“พี่ฟิล์มอะ อะไรๆ ก็ไม่รู้ นู่นก็บอกไม่ได้ นี่ก็บอกไม่ได้ พี่ฟิล์มเป็นหมอนะคะ”
“ดาริน!” เสียงของผู้เป็นแม่ปรามขึ้น “ขอโทษพี่เขาซะ”
“ขอโทษค่ะพี่ฟิล์ม ดาไม่ได้จะว่าพี่ฟิล์มนะคะ แต่ดาห่วงพี่วิณณ์”
“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ เพราะถ้าเป็นพี่พี่ก็คงร้อนรนไม่ต่างกัน”
“แล้วนี่พี่ตะวันเป็นยังไงบ้างค่ะ”
“ผ่าเอากระสุนออกแล้ว แต่ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดเพราะแผลจากกระสุนทำให้มีเลือดคลั่งภายใน”
“โธ่ ตะวัน”
“เฮ้ออออ  อีกคนก็ถูกยิง อีกคนก็ดันมานอนเป็นเจ้าชายนิทราแบบนี้ อะไรกันเนี่ย หึ่ยยย”

ดารินบ่นพร้อมกับเอามือเกาหัวตัวเอง จนผมยุ่งไปหมด


ตะวันออกมายืนกุมหัวอยู่หน้าห้อง ทำไมพวกเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ
เขามองสลับไปสลับมาระหว่างสองห้อง หันไปทางซ้ายก็เห็นร่างตัวเองนอน ทางขวาก็มีวิณณ์นอนนิ่งเช่นกัน  ตะวันเดินเข้าไปดูร่างของตัวเองใกล้จนหน้าชิดกระจก


          ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

แกนะไอ้ตะวัน แกมันเหมือนตัวซวยเลยวะ อยู่ใกล้ใครคนนั้นก็ต้องซวยไปด้วย

          ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

สัญญาณ.....นั่น?

          ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

แปลก...

           ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

ตัวเลขมัน…..


ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ร่างของตัวเอง สัญญาณชีพ ความดัน ตัวเลขทุกอย่างบนเครื่องนั่นเพิ่มขึ้น 
มันคืออะไร?
ตะวันกลับเข้าไปในห้องของที่ตัวเองนอนอยู่
สัญญาณชีพ หัวใจ ความดัน ยังคงเพิ่มขึ้นจนระดับปกติ

“หมอชายค่ะ สัญญาณชีพของคนไข้กลับมาเป็นปกติแล้วค่ะ  แต่แปลกเมื่อกี้มันยังขึ้นๆลงๆ ไม่คงที่ เหมัน....เหมือน....มีอะไรกระตุ้นแล้วหายเป็นพักๆ แต่มีครั้งนี้นี่แหละค่ะที่มันสม่ำเสมอ”

เขารู้สึกว่ายิ่งเขาอยู่ใกล้ร่างตัวเองเท่าไหร่ มันยิ่งส่งผลดี เขาอาจจะคิดไปเอง

.

.

.

“หมอชาย!! คุณวิณณ์คลื่นหัวใจตกค่ะ”  เสียงพยาบาลตะโกนมาจากห้องอีกฝั่ง หมอชายวิ่งไปอีกห้องหนึ่ง โดยมีตะวันตามมาด้วย

หะ!!! คลื่นหัวใจตก!!!

“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ทราบค่ะอยู่ดีๆ การเต้นของหัวใจก็ตกลงเรื่อย”  หมอชายเข้าไปจับชีพจรพร้อมฟังเสียงหัวใจ
“ชีพจรยังมีแต่เบามาก เสียงหัวใจก็ไม่ค่อยดี”


          ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด


“หมอค่ะคลื่นหัวใจเพิ่มขึ้นแล้วค่ะ”
“หะ?”

“หมอค่ะ ความดันคุณตะวันตกลงมาเหมือนตอนแรก คลื่นหัวใจก็ลดลงเช่นกันค่ะ”
“อะไรนะ?”

หมอชายวิ่งกลับไปที่ห้องของตะวัน โดยมีทั้งเขาและหมอฟิล์มวิ่งตามเหมือนเงา
.

.

.

“หมอค่ะ คุณวิณณ์ความดันกับชีพจรตกเหมือนกันค่ะ”

หมอชายกับหมอฟิล์มต่างมองหน้ากัน เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนสองคนนี้ หลังจากที่วิ่งวุ่นกันไปมา พร้อมกับตรวจอย่างละเอียดหมอชายให้ยารักษาตามอาการ ทุกอย่างกลับมาคงที่แต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิม

“อะไรกันวะ แม่งเอ๋ย”  หมอชายทิ้งตัวลงนั่งด้านหน้าห้องคนไข้ พร้อมกับสบถอย่างหัวเสีย อาการของคนทั้งคู่เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็แย่มันทำให้เขาตื้อไปหมด
“ใจเย็นซิหมอชาย”  หมอฟิล์มเตือนสติแฟนตัวเอง ด้านนอกมีทั้งพยาบาล ญาติคนไข้และตอนนี้ต่างหันมามองเต็มไปหมด
“เราจะทำยังไงกันดี การจะหาหัวใจใหม่มันไม่ได้ง่ายและไวขนาดนั้น ไอ้วิณณ์นะไอ้วิณณ์ไอ้เพื่อนบ้า บอกแล้วว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี แล้วนี่อะไรพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงแบบนี้”

หมอฟิล์มเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาหลังจากที่เงียบกันมาสักพัก

หาหัวใจ???


“เฮ้อออ”  หมอชายถอนหายใจ “กว่าจะได้คิวรอรับบริจาคหัวใจก็คงอีกนาน”
“เราทำเรื่องยื่นไปที่ศูนย์รับบริจาคก็ได้ ว่าเรา มีความจำเป็นจริงๆ”
“กฎก็ต้อ งเป็นกฎ ใครมาก่อนได้ก่อน ฟิล์มก็น่าจะรู้นะ”
“เรา....เอ่อ เราก็บอกไปซิ ว่าเราจำเป็นจริงๆ มันเป็นเรื่องเร่งด่วน มันขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของคนไข้”
“แล้วเรามีความจำเป็นคนเดียวเหรอ เร่งด่วนฝ่ายเดียวหรือก็เปล่า  ความเป็นความตายของคนไข้มีเราฝ่ายเดียวหรือก็ไม่ใช่”
“......”
“ชายรู้ว่าฟิล์มห่วงวิณณ์  ชายก็ห่วงมันเหมือนกัน แต่เราทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้จริงๆ”

หมอฟิล์มมองหน้าแฟนตัวเองอย่างงอน แต่สิ่งที่ชายพูดมามันคือความจริง คนอื่นก็มีความจำเป็นไม่ต่างกัน

 “งั้นถ้าเราขอรับบริจาคจากภายในโรงพยาบาลเองละ”
“....” 
“ก็ถ้าเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลเราเองที่ยื่นความต้องการว่าจะบริจาคอวัยวะให้กับคนไข้ในความดูแลของโรงพยาบาลเราไง”
“แล้วฟิล์มจะทำยังไง จะเดินเข้าไปหาคนไข้ หรือญาติคนไข้แล้วถามเขาว่าต้องการบริจาคหัวใจไหมอย่างนั้นเหรอ”
“....”
“ชายว่าไม่ถูกไล่ตะเผิดออกมาก็คงโดนตีหัวแตกกลับมา”
“บ้า ไม่ใช่แบบนั้น เราจะทำประชาสัมพันธ์ให้คนที่สนใจเชิญชวนลงชื่อบริจาคอวัยวะเพื่อต่อชีวิตให้คนอื่น เป็นการทำกุศลไง”
“แล้วเราต้องใช้เวลานานแค่ไหนละฟิล์ม”
“ก็ไม่รู้ อาจจะช้า หรือเร็วก็ได้ แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่เหรอ ระหว่างที่รอเรื่องอนุมัติจากศูนย์ฯ ถ้าโรงพยาบาลเรามีผู้บริจาคก่อน เราก็ใช้ของโรงพยาบาลเราไง”
“แต่ถ้าศูนย์ฯ รู้ว่ามีผู้บริจาค บริจาคอวัยวะแล้วเราไม่รายงานกลับศูนย์ฯ โรงพยาบาลเราจะถูกสอบได้นะ”
“ก็อาจจะใช่.....ถ้าอันนั้นผู้บริจาคไม่ระบุผู้รับอะนะ”

ถ้าผู้บริจาคระบุชื่อผู้รับเอาไว้ เราก็สามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งไปที่ศูนย์ฯ แค่ทำหนังสือแจ้งก็พอ

“อืม”  ชายพยักหน้าเข้าใจในเจตนาของแฟนตัวเอง
“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร นะชายนะ”
“อืม งั้นชายฝากฟิล์มดูเรื่องนี้ด้วยนะ แล้วก็บอกให้พวกพยาบาลช่วยด้วยก็ได้นะ เพราะพวกเขาจะสนิทกับคนไข้และญาติมากกว่าหมออย่างเราซะอีก”
“ได้ครับที่รัก”



วิณณ์เป็นโรคหัวใจ และ ต้องเปลี่ยนหัวใจ




มันเกิดอะไรขึ้น??




ตะวันพบว่าตัวเขากลับมาที่ทุ่งหญ้า เขานั่งลงที่ใต้ต้นไม้ต้นเดิมเขานั่งก้มหน้าจ่อมจมอยู่กับความคิดตัวเอง เพราะเขา ถ้าเขาไปคิดโง่ฆ่าตัวตาย ทำให้แม่ต้องเสียใจ จากที่คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้กลับไปเจออหน้าแม่ หรือครอบครัวอีกแล้ว จู่ๆ เขาก็ได้รับโอกาสจากทางกาลเวลานั่นคือชื่อที่เขาเรียกตอนแรก ซึ่งต่อมาใครจะรู้ว่าท่านกาลเวลาก็คือท่านพญายาม เพราะท่านต้องการทดสอบจิตใจของมนุษย์เขาจึงได้รับโอกาสนั้น โอกาสที่กลับมาเป็นคนอีกครั้ง

และนั่นมันทำให้เขาเจอกับวิณณ์ นายตำรวจหนุ่มฝีมือดีผู้รักความยุติธรรมเป็นชีวิตจิตใจ

วิณณ์มนุษย์คนเดียวที่ได้ยินเสียงและเห็นเขา และเพราะเขาเข้าไปวุ่นวายกับวิณณ์ ไปขอร้องให้วิณณ์ช่วยเขาทำภาระกิจเพื่อให้ได้พรอันแสนวิเศษข้อนั้น มันเลยทำให้วิณณ์เป็นแบบนี้ ต้องเข้ามาพัวพันเรื่องอันตรายไม่หยุดหย่อนแล้วก็เจ็บตัว แล้วตอนนี้วิณณ์กำลังจะตาย
วิณณ์กำลังจะตาย
เขาจะทำอะไรได้บ้าง จะทำอะไรเพื่อช่วยวิณณ์ได้บ้าง


เลือก

จงเลือกซะ


แล้วคำพูดในความฝันก็ดังขึ้นในความคิดเขา


เลือกงั้นซินะ









วิณณ์

“เจ้าจะยอมเสียสละตัวเองอย่างนั้นรึ”
“ครับ”
“แต่เจ้ายังไม่ถึงที่ตาย”
“ครับ”
“ถ้าเจ้ายอมตายตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะต้องวนเวียนไปอีกหลายปีเลยนะ”
“ครับ

“นี่เจ้าจะพูดอย่างบ้างได้ไหมนอกจาก ครับ เฮ้อ....แล้วแม่กับน้องสาวละ”


วิณณ์นิ่งไป จะช้าจะเร็วซักวันเขาก็ต้องตาย ทุกคนต้องตาย การที่เขายอมพรากชีวิตตัวเองถึงมันจะเป็นบาป แตมันจะทำให้ตะวันได้ชีวิตกลับคืน ถึงมันจะทำให้แม่ต้องเสียใจ แต่เขาก็คิดว่าแม่เขาจะเข้าใจเขาแน่นอน


“ท่านบอกเองตั้งแต่แรกว่าเราสองคนจะมีเพียงหนึ่งเท่านั้นที่จะได้กลับไป ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้บอกท่านแล้วว่าผมยินดีที่จะอยู่ที่นี่เอง และให้ตะวันได้กลับไป แต่ท่านก็ยังส่งเรากลับไปพร้อมกัน จนมาตอนนี้ผมและตะวันเราทั้งคู่ต้องกลับมาเจอเหตุการณ์นี้อีก ท่านก็ถามผมอีกด้วยคำถามเดิม”
“......”
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอตอบท่านด้วยคำตอบเดิมเช่นกัน ผมขอเลือกตัวเองครับ”

“เฮ้อออ เรานับถือน้ำใจเจ้าจริงๆ แล้วเจ้าละ ....ตะวัน.....  เจ้ายอมรับไหม”


“ไม่ครับ ผมไม่ยอมรับ”


ตะวันโพล่งออกไป เขาตัดสินใจเดินตามทางข้ามสะพานแห่งแม่น้ำมาเรื่อยๆ จนมันพาเขามาถึงที่นี่ ที่ที่เขาเคยเจอกับท่านพญายมในครั้งแรก


“ตะวัน!!!”


“ชีวิตของผมเอง ผมเลือกทางผิดเองตั้งแต่แรก ผมจะไม่ยอมให้ใครต้องมาเสียสละหรือรับผิดชอบเรื่องนี้แทนตัวเองทั้งนั้น”
“ตะวันพูดอะไร” วิณณ์ดึงตะวันไปถอยกลับมา แต่ตะวันก็สะบัดมือทิ้งและเดินแน่วแน่ไปเบื้องหน้าของท่านพญายมต่อ
“วิณณ์ ตะวันขอบคุณที่ดีกับตะวันขนาดนี้ แต่ตะวันทำไม่ได้หรอกที่จะให้วิณณ์มารับผิดชอบเรื่องนี้แทน”
“หมายความว่าไง”
“ตะวันนะ ควรจะตายไปตั้งแต่แรกแล้ว”
“อย่ามาพูดบ้าๆ อะไรแบบนี้นะตะวัน ที่เราอุตส่าห์สู้กันมาตะวันจะยอมให้มันเสียเปล่าเหรอ”
“แล้วจะให้ตะวันกลับไปใช้ชีวิตเป็นคนอย่างมีความสุข แล้ววิณณ์ต้องอยู่แบบนี้นะเหรอ ตะวันทำไม่ได้หรอก ตะวันจะอยู่ได้ยังไงถ้าอยู่โดยไม่มีวิณณ์ ”

คนพูดน้ำตาเอ่อ แต่เขาจะไม่ยอมสะอื้นให้ตรงหน้าเห็น


“แล้วคิดบ้างไหมว่าวิณณ์ก็ไม่ต่างกัน”
“...........”
“มันเป็นกฎมีเพียงหนึ่งที่จะได้กลับไป และมีเพียงหนึ่งที่จะต้องอยู่”
“งั้นตะวันก็ขอเป็นคนอยู่”
“ตะวัน!!! อย่าดื้อซิ”
“…….”
“นี่ฟังนะ ถึงวิณณ์จะกลับไปวิณณ์ก็อยู่ได้ไม่นานหรอก”
“โรคหัวใจใช่ไหม”
“หืม?” วิณณ์ทำหน้าแปลกใจเขาไม่เคยบอกตะวันเรื่องนี้
“ใช่...รู้”
“งั้น...ก็ดี เพราะงั้นตะวันต้องเชื่อวิณณ์ ได้กลับไปอีกไม่นานก็ต้องตายเพราะโรคหัวใจ จะตายตอนไหนมันก็ไม่ต่างกัน ขอวิณณ์เลือกตั้งแต่ตอนนี้แล้วกัน”


“ไม่หรอกวิณณ์จะไม่ตาย”


“ท่านพญายมครับผมขอคุยกับท่านหน่อยได้ไหมครับ….....เป็นการส่วนตัว”   

ตะวันเน้นคำหลังอย่างหนักแน่น ท่านพญายมพยักหน้าเป็นการอนุญาติ


“ตะวัน”
“รอนี่นะ”
“ไม่” 

วิณณ์รั้งข้อมือของตะวันเอาไว้ ตะวันแกะมือวิณณ์ออก สายตาที่จ้องมองกลับมาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แบบที่เขาไม่เคยเห็น

“ไม่มีอะไรหรอก รอนี่นะ” วิณณ์ยอมปล่อยมือ

เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปมันทำให้เขาอึดอัด วิณณ์ลุกขึ้นเดิน นั่งลง และลุกขึ้นวนเวียนแบบนี้ จนในที่สุดเขาก็เห็นท่านพญายมเดินกลับมาโดยมีคนร่างบางเดินตาม


“ตะวัน” วิณณ์เดินเข้าไปประชิดตัวคว้ามือตะวันมาจับไว้พร้อมกับเอ่ยถาม ตะวันไม่ตอบได้แต่มองหน้าและยิ้มตอบกลับมา
“ตะวัน ไปคุยอะไรกันมาอะ”
“.....”
“ตะวัน พูดซิ”


“ท่านครับ…”

“ตามที่เจ้าขอ”







“หมอ หมอค่ะ”
“ว่ายังไงครับ แล้วทำไมต้องวิ่งเสียงดังมาแบบนี้”
“คุณตะวันฟื้นแล้วค่ะ”
“หะ!”


หมอชายและหมอฟิล์ม วิ่งนำหน้าพยาบาลไปที่ห้องพักฟิ้นของตะวัน ในนั้นมีทั้งพ่อแม่น้องชายของตะวัน แม่ของวิณณ์ ดาริน และวายุอยู่กันครบ


“พี่หมอค่ะ พี่ตะวันฟื้นแล้วค่ะ”

“ถอยก่อนนะครับ ขอหมอตรวจคุณตะวันก่อนนะครับ”

“ไม่ต้องหรอกครับ” ตะวันพูดพร้อมกับพยายามลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่แรงแทบจะไม่มีให้ขยับตัวได้เลย
“ตะวันอย่าดื้อซิลูก”
“หมอครับ ช่วยพาผมไปหาวิณณ์ทีครับ”

“หมอเกรงว่า...”
“หมอครับ ผมขอร้อง”


ทุกคนยอมจำใจทำตามที่ตะวันขอร้อง เพราะตะวันไม่ยอมให้ใครรักษเขาทั้งนั้นถ้าไม่ได้เจอวิณณ์ ซึ่งมันอันตรายมากสำหรับคนไข้ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา

ตะวันถูกพานั่งรถเข็นคนไข้มายังห้องของวิณณ์ รอบเตียงรอบตัวของวิณณ์ถูกติดตั้งไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิต มันคือเครื่องมือยื้อชีวิตของวิณณ์


“พาผมเขาไปใกล้ๆ หน่อยได้ไหมครับ”
“แต่...”
“แม่ครับ”
“จ้ะ” ผู้เป็นแม่ยอมทำตามที่ลูกชายขอร้อง เธอรู้ดีถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่เธอก็รู้ว่าทั้งสองคนผูกพันกัน

ตะวันถูกเข็นเข้าไปใกล้เตียงของวิณณ์ เขาเอื้อมมือไปจับมือของวิณณ์ไว้ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อใช้เวลาร่วมกัน แต่ถ้าเขาเลือกแบบนั้นเขาจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด ทำร้ายได้แม้กระทั่งคนที่ตัวเองรัก



“ท่านพญายมครับไม่มีทางเลยเหรอครับ พวกเราไม่สามารถจะอยู่ด้วยกันได้จริงๆ เหรอครับ”
“ตะวันเจ้ารู้ไหมว่าทำไมวิณณ์ที่ร่างกายแข็งแรงมาตลอด อยู่ดีๆ ถึงได้เป็นโรคหัวใจและกำลังจะตาย”

ตะวันส่ายหน้า

“การที่เจ้าทั้งสองคนได้กลับไปบนโลกมนุษย์ไม่ใช่เพราะความบังเอิญหรือเลินเล่อของเรา แต่มันคือความตั้งใจของเรา เจ้าคิดว่าเราไม่อยากให้เจ้าได้สมหวังรึ แต่เจ้าเองก็เห็นแล้วไม่มีอะไรในโลกนี้สมหวังไปซะหมดหรอก การที่เจ้าปรารถนาในการมีชีวิต และการที่เจ้าหนุ่มวิณณ์นั่นปรารถนาจะสละตัวเอง มันทำให้เจ้าหนุ่มนั่นอ่อนแอลง และเจ้าแข็งแกร่งขึ้น”

“หมายความว่ายังไงครับ”    ....ท่านจะบอกว่าเพราะผมวิณณ์ถึงได้เป็นแบบนี้เหรอครับ”

“เมื่อมีอยู่ก็ต้องมีจาก ของทุกอย่างบนโลกไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ นรกกับสวรรค์ก็เช่นกัน เจ้าลองดูตัวเองซิ เจ้าแข็งแรงสุขสบายดี แต่คนที่แย่กลับเป็นเจ้าหนุ่มนั่น”

ท่านพญายมถอนหายใจออกมา  นี่พญายมอย่างข้าต้องมารู้สึกลำบากใจอะไรแบบนี้ด้วยรึ

“ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้าละนะ  เจ้าทั้งสองคนโชคดีที่ได้กลับไปโลกมนุษย์อีกครั้ง แต่มันคือความโชคดีบนความโชคร้าย ทั้งสองไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ หากมีชีวิตหนึ่งอยู่ อีกชีวิตหนึ่งต้องตาย”
“ท่านจะบอกว่าไม่ผมหรือวิณณ์จะต้องมีใครสักคนตายงั้นหรือครับ  เพราะแบบนี้ที่วิณณ์เป็นแบบนี้ก็เพราะผมงั้นหรือครับ”

“โชคชะตาได้เลือกแล้วนับตั้งแต่วันที่พวกเจ้าสองคนได้กลับไป ความมุ่งมั่นของเจ้าที่อยากจะมีชีวิตอยู่
และความมุ่งมั่นของเจ้าหนุ่มนั่นที่ทำทุกอย่างเพื่อให้พรเจ้าสัมฤทธิ์ผล”

“.......”

“ความรักของเจ้าหนุ่มนั่นยิ่งใหญ่จนน่านับถือ”

“ทำไมท่านไม่เคยบอกผม  ทำไมไม่บอกผม ฮือออออ”

ตะวันพร่ำร้อง เพราะเขา ทุกอย่างเกิดขึ้น เพราะเขา เพราะเขา


“เราได้พยายามบอกเจ้าแล้ว ถ้าเจ้ายังจำได้ ...............จงเลือกซะ


จงเลือก




ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความหมายของความฝันนั้นคืออะไร


เขาต้องเลือก



>> มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
>> ต่อ



เขาควรจะพูดตอนนี้เพราะทุกคนอยู่กันครบ เขาจะทำให้เสียเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้


“หมอครับ หัวใจของผม.......ผมขอยกให้วิณณ์”
“อะไรนะ”  หมอฟิล์มร้องเสียงหลง
“ตะวันพูดอะไรออกมาลูก” ดาราเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“คุณตะวัน คุณรู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา”  เป็นหมอชายที่ถามออกมา
“รู้ซิครับ ผมรู้ว่าวิณณ์เป็นอะไรและก็รู้ว่าพวกคุณหมอกำลังพยายามหาหัวใจมาเพื่อผ่าตัดให้กับวิณณ์”
“เดี๋ยวนะครับ คุณรู้เหรอครับ”
“ครับ”
“รู้ได้ยังไง”

ชายมั่นใจว่าเรื่องนี้มีแค่เขา ฟิล์มและวิณณ์เองที่รู้ตอนแรก ส่วนเรื่องที่จะหาหัวใจมาผ่าตัดให้นั้น ทุกคนก็เพิ่งจะรู้พร้อมกันที่นี่และตอนนั้นทั้งวิณณ์และตะวันก็ยังไม่ได้สติด้วยกันทั้งคู่


“ไม่สำคัญหรอกครับ สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือการหาหัวใจไม่ใช่เหรอครับ และผมก็จะเป็นผู้บริจาคให้วิณณ์”
“คุณตะวันมันไม่ง่ายขนาดนั้นนะครับ ผมรู้ว่าคุณอยากช่วยวิณณ์แต่หัวใจที่บริจาคมันต้องมาจากผู้บริจาคที่สมัครใจ และต้องถูกลงความเห็นจากทางแพทย์เท่านั้น”
“ผมสมัครใจ”
“คุณตะวัน” 

หมอชายถึงกับเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ

“คุณตะวันแต่คุณยังไม่ตาย หมอไม่สามารถเอาหัวใจ อย่าว่าแต่หัวใจเลย อวัยวะอะไรก็ตามจากคนที่ปกติได้นะครับ หมอเข้าใจที่คุณอยากช่วยไอ้วิณณ์ แต่หมอว่าตอนนี้เราได้แต่ต้องรอผู้บริจาคอื่นเท่านั้นครับ”
“หมอครับ ผมรู้ผมเข้าใจหมดทุกอย่าง ผมจะเซ็นต์ขอบริจาคอวัยวะและระบุผู้รับอย่างชัดเจนหมอไม่ต้องห่วงนะครับ”
“คุณจะทำอะไรคุณตะวัน อย่าบอกนะว่าคุณจะฆ่าตัวตาย ถ้าคุณฆ่าตัวตายเพื่อมาบริจาคอวัยวะยิ่งยากไปกันใหญ่เลยนะครับ” 
หมอฟิล์ม

“ผมไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ ไม่ต้องห่วง ผมแค่อยากจะบอกให้คุณหมอทราบไว้ก่อนว่าผมจะทำเรื่องบริจาคหัวใจโดยระบุผู้รับคือวิณณ์ ทันทีที่ผมตายหมอต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้ผม”
“คุณตะวันผมไม่เข้าใจ คุณบอกว่าคุณจะไม่ทำอะไรตัวเองแน่นอน แต่คุณกลับพูดเหมือนกับว่าคุณรู้ ว่าคุณจะตาย”
“สัญญาซิครับ”
“......”
“สัญญาซิครับว่าหมอจะทำ จะรีบจัดการทันที สัญญาซิครับหมอ”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หมอชายมองหน้าตะวันเขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่สายตาที่มองกลับมากลับนิ่งและไม่แสดงออกถึงความลังเลซักนิด

“หมอครับ”
“คุณตะวัน หมอสัญญา แต่....”
“.....”
“หมอจะทำก็ต่อเมื่อ การบริจาคดำเนินไปอย่างถูกต้อง”


ตะวันยิ้ม


“แน่นอนครับ การบริจาคจะเป็นไปอย่างถูกต้องทุกอย่าง”



“ตะวันลูกจะทำอะไรนะ” เมื่อตั้งสติได้ ดาราจึงเอ่ยปากถามลูกชายทันที
“แม่ครับ ตะวันขอโทษแต่ตะวันไม่สามารถกลับมาได้แล้วจริงๆ ตะวันต้องไปตามทางของตะวัน” 
“แม่ไม่เข้าใจ ทำไมลูกพูดแบบนี้ นี่ไงลูกกลับมาหาแม่แล้วอยู่กับแม่แล้วนี่ไง”

ตะวันยิ้มเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนๆไปด้วยน้ำตา วันนี้เขาต้องทำร้ายจิตใจคนที่รักเขาอีกครั้งแล้วหรือ

“แม่ พ่อ พี่วายุ คุณน้า ดาริน พี่หมอชาย พี่หมอฟิล์ม ลม”
.
.
.
“นี่คือคำขอครั้งสุดท้ายของผม เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมที่ทำให้เกิดขึ้น วิณณ์ต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะผม ผมไม่สามารถกลับมาเป็นตะวันได้อีกแล้วเพราะฉะนั้นขอให้ผมได้ทำอะไรเพื่อวิณณ์สักครั้งเถอะนะครับ”
“แกจะทำบ้าๆ แบบนี้ไม่ได้นะตะวัน” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้น 
“พ่อครับ ผมไม่ได้มาเพื่อขออนุญาติ แต่ผมมาบอกความต้องการของผมให้ทุกคนช่วยทำตาม”
“ผมนายตะวัน เรืองฤทธิ์ในฐานะของผู้บริจาคเมื่อข้าพเจ้าหมดลมหายใจ ข้าพเจ้าขอบริจาคและมอบหัวใจให้กับนายวิณณ์   ธรรมรัตน์”

“ตะวัน!”
“พี่ตะวัน!”
“คุณตะวันอย่าทำแบบนี้”
“ตะวัน ฮึกกกก” 

เขามองทุกคนตรงหน้า ทุกคนดูไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แม่เขายังคงทำใจไม่ได้ พ่อยังคงไม่ยอมรับ คุณน้าและดารินเองก็เอาแต่ร้องไห้ พี่วายุ ลม หมอชาย หมอฟิล์มเองมองมาที่ผมอย่างสงสัย

“ตะวันรักวิณณ์ใช่ไหมลูก” เขามองหน้าแม่สบตากับแม่อย่างมั่นคง
“ครับ”
“แล้ววิณณ์เองก็รักตะวันใช่ไหม”

เขามองไปด้านหน้าและยิ้มออกมา

“เราสองคนไม่เคยคิดหรือหาเหตุผลกันสักครั้ง เราแค่รู้ว่าเรารู้สึกยังไงแค่ได้อยู่ด้วยกัน ได้พูดคุยหัวเราะไปด้วยกัน มันก็ทำให้มีความสุขแล้วครับ”
“แล้วถ้าตะวันไม่ได้อยู่กับวิณณ์ตะวันจะไม่เสียใจเหรอลูก”
“เสียใจซิครับ แต่ตะวันเห็นแก่ตัวไม่ได้ ถ้าเราดันทุรังที่จะอยู่ด้วยกัน สุดท้ายก็ต้องมีคนหนึ่งที่จากไปอยู่ดี และถ้าตะวันเลือกที่จะอยู่ คนที่จะต้องตายก็คือวิณณ์ ทั้งที่ตะวันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด ตะวันจะให้ใครมารับผิดชอบแทนตะวันไม่ได้ครับ”

ตะวันมองหน้าผู้เป็นแม่ เขาโน้มตัวลงไปกอด ผู้หญิงที่ให้กำเนิดเขา ดูแลฟูมฟักเขามาตั้งแต่เล็กจนโตเพียงคนเดียว

“แม่ครับ ตะวันขอโทษ”

ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู เธอกอดลูกชายพร้อมกับโยกตัวไปมาเหมือนกับตอนเด็กๆ ที่เธอมักจะกล่อมเด็กน้อยตะวันให้หลับไปกับอกของเธอ

“ตะวันเป็นลูกที่ไม่ดีเลยเนอะ เอาแต่ทำให้แม่เสียใจ ถ้าตะวันไม่อยู่แล้วแม่ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”

ผู้เป็นแม่กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ตะวันรับรู้ได้ถึงอกท่าสั่นกระเพื่อมของผู้เป็นแม่

“พี่วายุ ผมฝากแม่ด้วยนะพี่ พ่อผมขอโทษที่ผมเป็นลูกที่ไม่เรื่อง ลมพี่ขอโทษนะความจริงพี่ไม่ได้เกลียดหรือโกรธอะไรลมเลย
คุณน้า ดาริน ผมฝากวิณณ์ด้วยนะครับ ผมอยากจะอยู่ข้างเขา ทำอะไรหลายอย่างกับเขา แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว” ตะวันพยายามฝืนยิ้มออกไป
“พี่หมอชาย หมอฟิล์ม ผมรบกวนด้วยนะครับ”


“แม่ครับ อย่าร้องไห้เลยนะ
ตะวันขอโทษ……ฮึกกกก…..ตะวันขอโทษ...นะ.......ครับแม่.....”


เขาได้แต่พูดขอโทษแม่ซ้ำๆ  เขาเป็นลูกอกตัญญูแทนที่จะอยู่ทดแทนบุญคุณแม่ เขาก็เลือกที่จะฆ่าตัวตายเพียงเพราะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รักไม่เห็นค่า และครั้งนี้เขาก็เลือกที่จะตายเพราะผู้ชายอีกคนเช่นกัน แต่เหตุผลมันต่างกันเเขาไม่สามารถเห็นแก่ตัวเอาชีวิตตัวเองรอดและทิ้งให้อีกคนตายได้

และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือวิณณ์

วิณณ์ ผู้ชายแสนดีที่เข้ามาในช่วงจังหวะชีวิตที่กำลังเคว้งคว้าง เขาได้พบกับคำว่ามิตรภาพ ความจริงใจ วิณณ์ห่วงใยใส่ใจเขาในทุกเรื่อง ทำทุกอย่างเพื่อเขาให้บรรลุภารกิจทั้งที่ไม่จำเป็นและทิ้งไปตอนไหนก็ได้ และสุดท้ายในช่วงเวลาคับขันวิณณ์ก็ยังอยู่ข้างเขาเสมอ

ถ้าจะมีอะไรตอบแทนได้ นั่นก็คือ ชีวิตที่เขาจะคืนให้กับวิณณ์

“ตะวันรักแม่นะครับ รักมาก ตะวันขอโทษที่เป็นเด็กไม่ดี ทำให้แม่ต้องคอยห่วง กังวล และเสียใจ ตะวันขอโทษนะครับ.....ถ้าเลือกได้ตะวันก็อยากจะอยู่กับแม่ แต่ถ้าตะวันทำแบบนั้นมันก็เหมือนตะวันเห็นแก่ตัว วิณณ์อุตส่าห์ช่วยตะวันมาตลอด ทั้งที่เขาจะเลิกช่วยตอนไหนก็ได้แต่เขาก็ไม่ทำ เขาต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะตะวัน แล้วถ้าเขาต้องมาตายเพราะตะวันอีก ตะวันจะอยู่อย่างมีความสุขได้ยังไง”


ตะวันรักแม่นะครับ ตะวันเชื่อว่าแม่จะเข้าใจตะวัน


ว่า......เขาได้ถึงวาระของตัวเองแล้วจริงๆ

   

“ตะวันไม่พูดแบบนี้ลูก มันเป็นลางไม่ดี น้าใจไม่ดี”
“ใช่ค่ะพี่ตะวัน อย่าทำแบบนี้ พี่คิดว่าพวกเราจะดีใจเหรอค่ะที่พี่ตะวันทำแบบนี้”

“อย่าคิดมากกันซิ ตะวันบอกแล้วว่าตะวันไม่ได้จะฆ่าตัวตายหรืออะไรทั้งนั้น......แค่......

.............ตอนนี้.......มันถึงเวลาของตะวันแล้ว”


ตะวันพูดด้วยเสียงสั่นเครือถึงเขาจะเคยตายมาแล้ว แต่มันไม่เหมือนกันตอนนั้นเขาตายแบบทันทีไม่ต้องพูดหรือร่ำลา หรือต้องมามองหน้ากับคนที่รักที่ตอนนี้กำลังมองเขากลับมาด้วยสายตาตัดพ้อ 

หยดน้ำใสๆ ไหลเลอะแก้มจากที่มองทุกคนชัดในสายตา ทว่าเวลานี้กลับพร่าเลือนพยายามเพ่งเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น สมองเบาหวิวเหมือนจะหลุดลอยไปได้ทุกเวลา ขาที่มั่นคงกลับสั่นไหวจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ มือสั่นชื้นเต็มไปด้วยเหงื่อ

เขาต้องไปแล้วจริงๆ เหรอ
ถึงเวลาของเขาแล้วใช่ไหม
เขาจะไม่ได้เจอกับทุกคนแล้วใช่ไหม
แม่
พ่อ
พี่วายุ
ลม
คุณน้า
ดาริน
พี่หมอ

วิณณ์




ดาราสะดุ้งตื่นเธอพบว่าตัวเองยังนอนอยู่ที่โซฟาที่หน้าห้องพักฟื้นของตะวัน และคนอื่นๆ ก็อยู่กันครบแต่ยังไม่มีใครตื่น นี่เธอฝันเหรอ ทำไมมันเหมือนจริงมาก เธอคิดย้อนไปถึงความฝัน

ตะวัน!!!

เธอรีบวิ่งไปที่หน้ากระจกห้องของตะวัน ตะวันยังนอนอยู่ตรงนั้น

ตึกๆ

เสียงฝีเท้าวิ่งมาทางด้านหลัง หมอชาย หมอฟิล์ม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ”
“คุณน้าใจเย็นๆ รอก่อนนะครับ” หมอฟิล์มจับมือเพื่อให้ดาราอุ่นใจก่อนจะเข้าห้องไป

“คุณพยาบาลเกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ”
“คนไข้ความดันตก ตอนนี้ชีพจรต่ำมากค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
“ตะวัน” เธอเกาะกระจกจ้องมองไปด้านใน เธอกำลังจะเสียลูกไปอีกครั้งอย่างงั้นเหรอ
“โธ่ตะวัน ตะวันลูกแม่ ฮืออออ”

ดาราร้องไห้ทรุดนั่งที่เก้าอี้หน้าห้อง เธอกำลังจะเสียลูกไป แม่กำลังจะเสียดวงใจของแม่ไป เธอพร่ำร้อง คร่ำครวญ

“คุณน้า คุณน้าเป็นอะไรค่ะ”

ดารินรู้สึกตัว ทันทีที่เธอได้ยินและเห็นดารากำลังร้องไห้จึงรีบเข้ามาหา และคนอื่นก็ตามมาสมทบทั้ง วายุ ลม แม่ของวิณณ์

“ตะวัน ฮืออ ตะวัน”

ดารินประคองดาราไว้ ในใจก็ตีกันยุ่งเหยิงว่าเธอควรจะพูดหรือไม่ ด้วยความสงสัยใครรู้ที่มีมากเธฮจึงตัดสินใจพูดออกมา

“หนูฝันด้วยค่ะ”
“…..”
“…..”

“ฝันว่าพี่ตะวันฟื้นขึ้นมา มาพูดกับพวกเราทุกคน แล้วก็สุดท้ายพี่ตะวันก็บอกว่า
ว่า ถ้าพี่เขา  ตาย  แล้ว     พี่เขาจะบริจาคหัวใจให้พี่วิณณ์ค่ะ”

ดารินกลั้นใจพูดออกไป มันช่างเป็นคำพูดที่อึดอัด

“ผมก็ฝัน”
“พี่ด้วย”
“แม่เองก็ฝัน”
“หะ นี่ทุกคนฝันพร้อมกันหมดเลยเหรอ”


แกร้กกก


ประตูห้องเปิดออก หมอชายและหมอฟิล์มเดินออกมา ดูจากหน้าตาแล้วคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ

“พี่หมอ เป็นยังไงบ้างค่ะ”
“ใช่ค่ะหมอ ลูกน้าเป็นยังไงบ้างค่ะ”

“ตอนนี้คุณตะวันอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจครับ”
“หมายความว่ายังไงคะหมอ บอกน้าให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยเถอะค่ะ”
“คือ ตอนนี้คุณตะวันอยู่ในสภาวะสมองตาย และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าเราถอดออกคุณตะวันก็จะ…….ตาย”
“ตะวัน  ตะวัน ฮืออออ”

ทุกคนตกอยู่ในสภาวะนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไร เรื่องที่พวกเขาฝันกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ จะบอกว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ ตะวันมาเพื่อบอกทุกคนว่าเขาจะตายและต้องการบริจาคหัวใจให้วิณณ์ แล้วพวกเราควรจะทำยังไงละ ต้องทำตามที่ตะวันขอเอาไว้อย่างนั้นหรือ

“หมอค่ะ ทำตามที่ตะวันต้องการเถอะค่ะ”
“ไม่ ไม่ค่ะคุณดาราอย่าทำแบบนี้ ฉันรับไม่ได้ ไม่ได้จริง”
“ไม่ต้องคิดมากค่ะ นี่คือสิ่งที่ตะวันต้องการและเขาก็มาบอกด้วยตัวเอง คนเป็นแม่อย่างฉันจะไม่ทำตามคำขอครั้งสุดท้ายของลูกได้ยังไงละคะ”
“แต่ฉันรับไม่ได้” ดาราจับมือแม่วิณณ์ไว้
“อย่างน้อยฉันก็ยังรู้ว่าจะมีตะวันอยู่ข้างๆ ถึงแม้จะในร่างคนอื่นก็เถอะ”
“แต่คุณน้าครับ เราจะไม่รออีกสักหน่อยเหรอครับ” หมอชายเอ่ยขึ้น
“หมอค่ะ ถ้าหมอมั่นใจว่าตะวันจะฟื้นและกลับมาเป็นปกติได้ หมอคงไม่มาบอกน้าแบบนี้หรอกใช่ไหมค่ะ อีกอย่างหมอสัญญากับตะวันแล้ว หมอต้องรักษาสัญญา”
“แล้วคุณน้าไม่เสียใจเหรอครับ”

“เสียใจซิ เสียใจมากด้วย”  ดาราตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ตะวันจะยังอยู่กับน้าเสมอในนี้ ในหัวใจของแม่คนนี้”  น้ำตาของผู้เป็นแม่หยดเป็นสาย แต่ทว่าใบหน้ากลับแน่วแน่มั่นคง

“ครับ”

เตียงของคนทั้งคู่ถูกเข็นออกจากห้องพักฟื้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องผ่าตัด รถถูกเข็นผ่านประตูห้องแล้วห้องเล่า ผ่านแสงจ้าจากหลอดไฟไปทีละดวง ทีละดวง ในที่สุดก็ถึงประตูห้องผ่าตัด

“หมอค่ะ ขอน้าคุยกับลูกอีกครั้งนะคะ”
“ครับ”

ดาราเดินเข้าไปที่เตียงของตะวัน

“ลูกชายของแม่ยังน่ารักเหมือนตอนเป็นเด็กไม่ผิด แม่เฝ้าทนุถนอมเลี้ยงดูลูกมาตลอดถึงเวลาที่เราเป็นแม่ลูกกันมันจะสั้น แต่แม่ก็รักลูกเหลือเกิน เกิดชาติหน้าขอให้เราได้เป็นแม่ลูกกันอีกนะ ลูกรักของแม่”

ดาราก้มจูบที่หน้าผากของลูกชาย ต่อให้ทำใจแข็งแค่ไหน แต่น้ำตาของผู้เป็นแม่ก็ไหลอยู่ดี

“ชาตินี้ลูกแม่คงทำบุญมาน้อย เจอคนที่รักก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน” ดาราจับมือของตะวันและวิณณ์มาจับกันไว้  “หากชาติหน้ามีจริง แม่ขอให้ลูกทั้งสองคนเกิดมาคู่กัน รักกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะลูก แม่ขออวยพรให้เราล่วงหน้าเลยนะ”


“คุณดู!!!”  ดารินสะกิดให้วายุดูภาพตรงหน้า


ทั้งที่ทั้งคู่ไม่รู้สึกตัว แต่กลับเหมือนรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ผู้เป็นแม่บอก


น้ำตาหยดใสที่ไหลลงมา







ตะวันจูงมือวิณณ์พาเดินออกไปที่ใต้ต้นไม้กลางทุ่งหญ้า เขามองไปที่ท้องฟ้าตอนนี้สว่างสดใส ผิดกับในใจเขาที่มันห่อเหี่ยวมืดมนจนอยากจะกรีดร้องเพื่อระบายมันออกไป แต่ก็ทำไม่ได้


“วิณณ์”
“......”
“ตะวันขอบคุณนะสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ขอบคุณที่ช่วยกันเคียงข้างกัน ขอบคุณที่ทำให้ตะวันทุกอย่าง”
“.....”
“ตะวันโชคดีมากๆ ที่ได้มาเจอวิณณ์ถึงจะเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นตะวันก็ยังรู้สึกดี ขอบคุณโชคชะตาที่พาให้เรามาเจอกัน”
“เดี๋ยวนะตะวัน มาพูดอะไรแบบนี้ตะวันตัดสินใจอะไรไป วิณณ์ไม่ได้เห็นด้วยหรอกนะ แล้วก็ไม่ยอมรับด้วย”
“.....”
“ยังไงเราก็ต้องกลับไปพร้อมกัน”
“วิณณ์ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นวิณณ์ก็จะอยู่”
“ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ชีวิตวิณณ์ วิณณ์ตัดสินใจเอง”
“แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้”
“งั้นเราก็อยู่ที่นี่ด้วยกัน”
“วิณณ์ อย่างอแงได้ไหม วิณณ์ไม่เคยเป็นแบบนี้ ปกติวิณณ์จะเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลเสมอ แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ดื้อแบบนี้ละ”


วิณณ์ นั่งลงถอนหายใจเสียงดัง ก่อนจะเอนกายลงบนพื้นดินและหลับตา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตะวันคิดคืออะไร ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนที่ต้องอยู่คือตะวันไม่ใช่เขา แต่จะให้เขาทำยังไง ในใจของเขาตอนนี้มันตีรวนกันไปหมด เขาคิดเข้าข้างตัวเองว่าสวรรค์อาจจะหลงลืมปล่อยๆ เรื่องนี้ไปบ้าง นรกอาจจะใจดีทำเป็นไม่รู้ หรืออาจจะมีปาฏิหารย์ซักนิดที่ตะวันจะได้อยู่กับเขา แต่มันก็ไม่ใช่

สุดท้ายเราก็ต้องจากกัน



“เป็นวิณณ์ได้ไหม ให้วิณณ์ได้ทำเพื่อตะวันอีกครั้งนะขอร้อง”



วิณณ์พูดมันออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา เขายกมือขึ้นปิดหน้าไม่รู้น้ำตามาจากไหน นานแค่ไหนที่เขาไม่ร้องไห้ แต่กับครั้งนี้มันแทบทนไม่ไหว แค่คิดว่าจะไม่มีเขาแล้วมันก็ทนไม่ไหวแล้ว

มันเจ็บที่ใจจนพูดไม่ออก ได้แค่ขดตัวลงหวังว่ามันจะช่วยได้แต่ก็ไม่


“วิณณ์ อย่าทำแบบนี้ วิณณ์....วิณณ์”


ตะวันคุกเข่าลงข้างตัว เขาเอื้อมมือไปจับแขนของคนที่นอนออก ดวงตาคู่นั้นมองกลับมาที่เขาถึงมันจะแดงจนแทบไม่เห็นตาขาว แต่ตาของเราก็ยังจ้องกันไม่หนีไปไหน

“ตะวันรักวิณณ์นะ มันเกิดขึ้นตอนไหนไม่รู้ รู้แค่ทุกวันที่มีวิณณ์ ตะวันไม่เคยกลัวอะไรอีกเลย แล้ววิณณ์จะให้ตะวันทำร้ายคนที่ตะวันรักได้ยังไง จะให้ตะวันไปแย่งชีวิตจากวิณณ์มาได้ยังไง ตะวันทำไม่ได้หรอก”

วิณณ์ขยับตัวลุกขึ้นนั่งสองมือยังคงกอบกุมมือขอคนตัวเล็กไว้


“แล้วตะวันคิดว่าวิณณ์จะอยู่ได้ไหม”
“....”
“คำตอบคือ ไม่ แบบนี้แล้วตะวันยังจะทำร้ายวิณณ์ให้อยู่คนเดียวได้ลงเหรอ”
“วิณณ์อย่ามองตะวันแบบนี้ ขอร้อง....อย่าทำให้ตะวันต้องล้มเลิกสิ่งที่ตั้งใจเลย”

ตะวันเอื้อมมือไปจับแก้มทั้งสองข้างของวิณณ์ให้อยู่นิ่งและมองตรงมาที่ตัวเอง ตอนนี้ไม่เหลือตำรวจที่แข็งแกร่งคนนั้น เขาเห็นแค่เพียงผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น


“ตะวันรักวิณณ์นะ รักมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจำไว้ว่าเราไม่เคยห่างไกลกัน ตะวันจะอยู่ในนี้เสมอ” ตะวันชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของวิณณ์


“ใช้ชีวิตที่แหลือเพื่อตะวันด้วยนะ”


วิณณ์กอดตะวันไว้ในอ้อมอก ใจสลายมันเป็นแบบนี้เหรอเป็นแบบที่เขาเป็นอยู่ใช่ไหม มันจุก มันแน่น อึดอัดทำอะไรไม่ได้ เขามองหน้าคนตัวเล็กที่เอาแต่ร้องไห้ บอบบางขนาดนี้ทำไมถึงได้เด็ดเดี่ยวนักนะ


“วิณณ์รักตะวันนะ ตะวันจะอยู่ในนี้เสมอ วิณณ์จะรอวันที่เราได้เจอกันและได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง”  และเขาก็ก้มลงไปจุมพิตที่ปากบาง



“สัญญานะ”


“สัญญา”









ถ้าต้องอยู่โดยปราศจากหัวใจ เขาจะอยู่ได้ยังไง
ถ้าต้องอยู่โดยไร้ชีวิต เขาจะอยู่ไปเพื่อใคร

หนทางที่เลือกอาจดูโหดร้าย แต่คนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งอย่างเขาจะกลัวอะไร ขอเพียงให้ได้เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ก็เพียงพอแล้ว ถึงแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันเขาก็พร้อมยอมรับได้

ดวงตะวัน ถึงจะร้อน

แต่ก็ยังคงให้แสงสว่าง
ทำให้ฝนตกได้ชุ่มฉ่ำ
และให้ความอบอุ่นยามหนาวเหน็บ

“ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อตะวันด้วยนะ มีความสุขกับทุกๆ วันให้มากที่สุด ตะวันไม่ได้จากไปไหน ยังอยู่ในนี้เสมอ”


ตะวันรักวิณณ์นะ

รักที่สุด
.
.
.
สุดที่รัก








จากใจนักเขียน :

ขอบพระคุณคนอ่านที่อดทนติดตาม ถึงจะช้า (ไปมากกก)
ตอนจบของเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้แล้วตามนี้เลยคือ ตะวันตาย  แต่ถึงแม้จะกำหนดไว้แล้ว แต่บอกเลยว่ายากมากที่จะเขียนให้ได้ดั่งใจ (เพราะลบ เขียน รื้อ เขียน อยู่แบบนี้เป็นสิบรอบ)

ตะวันได้พร แต่เพราะต้องช่วยคนที่รักเขาจึงยอมยกพรให้วิณณ์ไป ท่านพญายมก็ยังจะทดสอบจนถึงตอนสุดท้าย (จริงแล้วมนุษย์เรามีความดีในตัวทุกคนอยู่ที่ใครจะหยิบมันออกมาใช้ และใช้เมื่อไหร่)

ขอบพระคุณจริงๆ ค่ะ จบแล้วจริง ขอบคุณนักอ่านที่ติดตามอ่านกันทุกคนนะคะ _/\_

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไงพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอยู่ดี

หัวใจของตะวันในร่างของวิณณ์

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จบแบบไตสะเทือน  :sad4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด