Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)  (อ่าน 20950 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กลับมาก็ทำให้ค้างซะงั้น  :katai1:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 33 ละครน้ำเน่า




[ตะวัน]


ผมหันไปตามเสียงคนร้ายมาจากด้านหลังและมันก็กำลังเล็งปืนมาที่วิณณ์

มีพวกมันหลบอยู่ในโกดังอีกคน

“หันมาช้าๆ แล้วโยนปืนทิ้งไปซะ” วิณณ์ทำตามที่มันบอก
“ปืน!!”  มันชี้มาที่ปืน วิณณ์ทำตามที่มันบอกแต่แทนที่จะทิ้งทางที่มันบอกวิณณ์เขวี้ยงปืนไปทางมันแทน


ปึกกกก


“เฮ้ยยยยย”


วิณณ์พุ่งเข้าใส่คนร้ายชุลมุนกันจนฝุ่นตลบแต่เพียงไม่นานคนที่นอนหมอบไปก็คือมันวิณณ์จัดการเอาเสื้อของมันอุดปากมันเอง และจับมัดโยงแขนไว้ที่ด้านหลังโกดังพอมั่นใจว่าจะไม่มีใครโผล่มาอีกเราก็หันกลับมาสนใจเหตุการณ์ด้านนอกต่อ พวกมันถูกจับไปแล้ว 4 คนไอ้เอ็มก็หายไป พวกด้านนอกจึงเหลือแค่นายยงยุทธกับลูกน้องอีก 2 คน

พวกเราค่อยๆ ขยับตัวให้เบาและเงียบที่สุดจุดมุ่งหมายคือประตูหน้าโกดัง ผมไม่รู้ว่าวิณณ์จะเอายังไงต่อจะถามก็คงไม่ใช่เวลาจึงเลือกตามวิณณ์ไปอย่างเงียบๆ ไม่ใช่ว่าลืมว่าตัวเองเป็นวิญญาณนะแต่เพราะไม่อยากให้วิณณ์เป็นห่วงก็ต้องเชื่อฟังเขาละ พวกเรายังไม่ทันถึงประตูดีมันก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนสามคนที่วิ่งเข้ามา วิณณ์จึงรีบดึงผมหลบไปอีกทาง

“วิณณ์”
“ชู่ววว”
“ตะวันเป็นวิญญาณนะ ไม่มีใครเห็นหรอก”

แหนะ ทำเงียบไม่ตอบอีก ผมเลยเลิกเซ้าซี้หันไปดูคนที่เพิ่งเข้ามา นั่นมันนายยงยุทธกับลูกน้อง

“นายครับเอาไงดีครับ พวกตำรวจมันรู้ได้ยังไง”
“นั่นซิครับนาย ไหนนายว่าท่านเปิดทางให้แล้วไงครับ”
“กูก็รู้พอๆ กับที่พวกมึงรู้นั่นแหละ”
“หรือว่าเราจะถูกหักหลัง”

นายยงยุทธเงียบไปเอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากกว่าพวกลูกน้องเท่าไหร่ เขาเองยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเชื่อใจเพื่อนคนนี้ได้แค่ไหน

ความโลภไม่เข้าใครออกใครแม้แต่ตัวเขาเอง


“พวกมึงอย่าเพิ่งมาคิดอะไรตอนนี้หาทางเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน”
“ครับ”


“ตะวันรอตรงนี้นะ”
“จะไปไหน” ผมคว้าแขนวิณณ์ไว้ทันที
“รอตรงนี้”
“ไม่เอา ไปด้วย”
“ตะวัน วิณณ์บอกว่ายังไง อย่าให้ต้องห่วงได้ไหม”
“แต่ตะวันเป็นวิญญาณไม่ตายไปมากกว่านี้หรอก”
“แล้วถ้าเป็นละ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแล้วตะวันกลับข้าร่างไม่ได้”
“.....”
“ใครจะรับผิดชอบ”
“.....”
“แล้ววิณณ์ล่ะ ไม่ห่วงตัวเอง ก็ห่วงความรู้สึกของคนที่ห่วงตะวันด้วย”
“.....??.....”
“.....”
“โอเค โอเค รอนี่ครับ ไม่ไปไหนครับ ไม่ดื้อด้วยครับ”  สุดท้ายผมก็ต้องยอม วิณณ์มองอย่างชั่งใจก่อนจะลุกขึ้น

“แต่...”
“.....”
“ระวังตัวด้วยนะ”


วิณณ์ไม่ได้ตอบเขา แต่กลับเอามือมาวางบนหัวเขาแทนถึงแม้จะไม่ได้พูดแต่เขาก็เข้าใจความหมาย
สัญญาแล้วนะว่าจะดูแลตัวเอง

ผมมองวิณณ์ที่ค่อยเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง จากจุดที่เราอยู่เป็นมุมอับมีกล่องสินค้ากับลังไม้วางระเกะระกะบังสายตา ส่วนอีกฝ่ายเป็นมุมโล่งตรงนั้นมีแค่รถกะบะสองคันที่ใช้ขนของ


Rrrrrrr

เสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายดังขึ้นและทันทีที่นายยงยุทธรับสายเขาก็ใส่อารมณ์กับปลายสายอย่างเต็มที่

“ไหนมึงบอกทางสะดวกไงแล้วทำไมถึงมีพวกตำรวจโผล่มาได้......หะ......ว่าอะไรนะ!!”


ตะวันเฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้าสายที่นายยงยุทธคุยด้วยก็น่าจะเป็นท่านที่พวกนั้นพูดถึง
แต่...เอ๊ะ...

ทำไมนายยงยุทธทำท่าทางแปลกๆ เหมือนมองหาอะไรอยู่ สักพักเขาก็พยักเพยิดหน้าเหมือนให้ลูกน้องไปทำอะไรสักอย่าง
ตะวันมองซ้ายมองขวาตอนนี้เขาไม่เห็นลูกน้องของนายยงยุทธ แต่กลับเห็นวิณณ์ที่ค่อยๆ เดินเข้าไปหานายยงยุทธจากทางด้านหลัง
.
.
.
นั่น!!  พวกลูกน้องของยงยุทธ
เขาเห็นทุกการกระทำของทุกคน แต่คนที่ไม่เห็นไม่รู้อะไรเลยคือวิณณ์เขาควรทำยังไงดีวะเนี่ย วิณณ์สั่งห้ามแล้วแต่ถ้าเขาไม่ไปช่วย วิณณ์ก็แย่นะซิ
เอาไงดีว้าตะวันเอ้ยย.....
เอาวะ เป็นไงเป็นกันเรื่องอะไรจะปล่อยให้วิณณ์เป็นอันตรายละ


“วิณณ์ ระวัง”

แต่ไม่ทันแล้ว ลูกน้องของนายยงยุทธถึงตัววิณณ์ก่อนเขาพวกนั้นใช้ด้ามปืนตีไปด้านหลังทำให้วิณณ์ล้มลงพร้อมกับปืนจ่อเข้าที่หัว


“สวัสดีวิณณ์”
“.....”
“อาคิดว่าเราจะดีกันได้ซะอีก”
“นี่คุณยังกล้านับญาติกับผมอีกเหรอ”เขาไม่เข้าใจทำไมคนตรงหน้าถึงยังทำไม่ทุกข์ร้อนอะไรได้อีก

“ปล่อยไปไม่ได้เหรอ” หลังจากที่เงียบกันไป คนตรงหน้าก็เป็นฝ่ายเริ่ม
“.....”
“ปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้เหรอ”
“แล้วคุณได้ปล่อยพ่อผมไหม”
“อา.....”

“พ่อผมเป็นเพื่อนคุณ!!   ท่านเป็นเพื่อนพวกคุณ!!

แต่คุณก็ยังทำร้ายท่านพวกคุณไม่ปล่อยท่านแล้วคุณกล้าคิดได้ยังไงว่าผมจะปล่อยเรื่องนี้ไป”

“ตอนนั้นกับตอนนี้ มัน....มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไง จะตอนไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้น”
“....”
“เพราะความจริงคือคุณฆ่าพ่อผม แล้วคุณก็กำลังทำกับผมเหมือนที่ทำกับพ่อผม”

หึ ไม่ว่าตอนไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้น เพราะความโลภของคนที่ไม่สิ้นสุด


ยงยุทธเงียบชั่ววินาทีนึงเขาสะอึกกับคำพูดของวิณณ์ ไม่ว่าจะตอนไหนผลของมันก็ไม่ต่างกัน มันเปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่า ผมและพงษ์ได้ฆ่าเพื่อนตัวเอง ต่อให้อยากกลับไปแก้ไขแค่ไหนมันก็เป็นไปไม่ได้

“วิณณ์ อาขอร้องปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะนะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วอาให้สัญญา อาจะเลิกทุกอย่างไม่ทำเรื่องชั่วๆ พวกนี้อีกแล้ว ขอแค่ปล่อยมันไป เลิกตาม เลิกยุ่ง”
“สัญญา?”
“ใช่”
“หึ.....หึ....”
“.....”
“ฮา....ฮา ช่างน่าตลกสิ้นดี ผมคิดว่าตอนนั้นพ่อของผมก็คงเอ่ยข้อร้องคุณแบบนี้เหมือนกัน ขอให้หยุด ขอให้เลิก แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความทรยศจากเพื่อนและความตายแทน อย่ามาขอร้องผมเลยเพราะผมจะไม่หยุดจนกว่าจะเห็นพวกคุณได้ชดใช้กรรม”


หึ หึ พ่อใจเด็ดยังไงลูกก็เป็นเช่นกัน



แปะ

แปะ

แปะ

เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของชายคนหนึ่ง
ชายซึ่งครั้งหนึ่ง เป็นคนที่เขาให้ความเคารพ
ชายซึ่งครั้งหนึ่ง เป็นคนที่เขาให้ความนับถือ
ชายที่เขายกย่องให้เป็นพ่ออีกคน แต่ตอนนี้เหลือเพียงแต่ความเกลียดชังให้เท่านั้น


ผู้กำกับพงศธร


“อาต้องยอมรับในความซื่อตรงต่อหน้าที่ของเรานะ.....วิณณ์”
“.....”
“แต่มันไม่ช่วยให้กินอิ่มนอนหลับหรือมีชีวิตที่ดีได้หรอกคนเรามันต้องดิ้นรน”
“ดิ้นรถบนชีวิตของคนอื่นเนี่ยนะ คุณยังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า”
“โลกนี้ปลาเล็กก็ต้องเป็นอาหารของปลาใหญ่ มันเป็นสัจธรรม อย่าคิดมากไปหน่อยเลย”
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”

หึ เปิดตัวมาก็เผยตัวตนซะขนาดนี้เลยเหรอ ผมไม่เคยคิดว่าอาที่ผมเคารพและนับถือเหมือนพ่ออีกคนก็ว่าได้จะเป็นคนแบบนี้

“พงษ์กูขอละพวกเรายุติเรื่องทั้งหมดไว้แค่นี้เถอวะ ปล่อยวิณณ์ไปเถอะ”
“ทำไม”

“ตั้งแต่เรื่องไอ้วุฒิกูก็รู้สึกผิดมาตลอด แล้วถ้ากูต้องมาทำร้ายลูกของเพื่อนอีกกู....

........กูทนไม่ไหวแล้ววะ”

“ถ้างั้นมึงก็ตายไปพร้อมกับมันเลยดีไหม”  อาพงษ์พูดกร้าวด้วยเสียงดังชัดเจนพร้อมกับยกปืนขึ้นมาจ่อหน้านายยงยุทธ

“มึงจะยิงกูเหรอ ยิงกูเหมือนกับที่ยิงไอ้วุฒิใช่ไหมได้!!!
ถ้ามึงอยากทำมึงทำเลย!!! แต่มึงหนีไปไม่ได้ตลอดหรอก หนีจากความจริงที่ว่ามึงฆ่าเพื่อนของตัวเอง”

“มึงอย่าพูดเหมือนกับกูผิดอยู่คนเดียวหน่อยเลย” พงษ์ลากเสียงเย้ยหยันใส่ยงยุทธ“ถ้ามึงรู้สึกผิดจริง วันนั้นทำไมมึงไม่ห้ามกู ยืนดูอยู่เฉยๆ ทำไม”
“.....”
“ความจริงมึงกับกูมันก็สันดานเลวไม่แพ้กันหรอก”


นี่ผมกำลังดูเรื่องตลกอยู่เหรอวะ แถมยังเป็นตลกร้ายที่โคตรทุเรศเลย





[บ้านตะวัน]


“ลมนี่มันอะไรกัน ทำไมอยู่ๆ..”

แม่ของตะวันต้องตกใจ เมื่อลมปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับผู้ชายอีกสองสามคน

“คุณอาครับ ผมมารับพี่ตะวัน”
“รับตะวัน!ทำไมละลูกก็ไหนบอกว่าจะเลื่อนไปอีกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมปุปปับมาแบบนี้ละ”
“ผมต้องขอโทษนะครับคุณอา แต่ว่าคุณพ่อ.... ผมรั้งไว้ไม่ไหวจริงๆ ครับ ท่านติดต่อเพื่อนทางนั้นเร่งให้การส่งตัวไวขึ้น”
.
.
.
“ใช่ผมเร่งให้การส่งตัวไวขึ้น คุณจะได้เลิกหาข้ออ้างที่จะยื้อลูกไว้ซะที” ผู้เป็นพ่อปรากฎตัวขึ้นทางด้านหลังของลูกชาย
“แต่คุณ…”

นายอาทิตย์ไม่รอให้แม่ของตะวันพูดจบ เขาเดินนำคนอื่นๆ เข้าไปในบ้านตรงไปยังห้องนอนของตะวัน
.
.
“รีบทำตามหน้าที่ของพวกคุณซะ” พ่อของตะวันพูดกับคนเหล่านั้น สภาพของตะวันที่นอนนิ่ง โดยมีสายน้ำเกลือที่เจาะคาแขนเอาไว้ถูกเอาออกไปอย่างว่องไว
“พวกคุณจะทำอะไรอย่าเอาออกนะ คุณอาทิตย์ ฉันขอร้องอย่าเพิ่งพาลูกไปเลยนะคะ นะคุณนะ”
“อะไรของคุณ คุณดารา”
“ก็.....ก็ ตะวันยังไม่แข็งแรงดีเลย ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเดินทาง”
“มีแต่คนมีฝีมือทั้งนั้นคุณจะกลัวอะไร”
“....แต่”
“หลีกไป อย่ามาเกะกะนะคุณ”

นายอาทิตย์ดันตัวดาราออกให้พ้นทาง และให้ทีมเคลื่อนย้ายเข้าไปทำงานใหม่อีกครั้ง

ดารากังวลและร้อนใจอย่างมาก เธอรีบคว้าโทรศัพท์กดหาผู้กองวิณณ์

เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

โธ่...ผู้กองทำไมปิดเครื่องซะละ เธอเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์และกดไปหมายเลขอื่น วายุ



“วายุ....วายุลูก ตะวันกำลังวจะถูกพาตัวไปอเมริกา ลูกมาช่วยน้องเร็วเข้า”






[วิณณ์]


“ถ้างั้นมึงก็ตายไปพร้อมกับมันเลยดีไหม”

“นี่คือคำพูดของคนที่เป็นเพื่อนกันเหรอ คุณนี่มันเลวกว่าที่ผมคิดอีกนะ”
“ก็อาบอกแล้วไง ปลาเล็กย่อมเป็นอาหารของปลาใหญ่เสมอ แล้วถ้าอะไรที่มันเป็นเนื้อร้ายเราจะเก็บมันไว้ทำไม จริงไหม ยุทธ”
“หึ...”
“เฮ้ย พวกมึงขนของที่เหลือลงเรือ”  ผู้กำกับพงษ์หันไปสั่งลูกน้อง

“ทำไงดีละวิณณ์ พวกตำรวจข้างนอกจะรู้ไหมว่าเรากำลังลำบาก”
“ไม่รู้นะดีแล้ว ผมไม่อยากให้พวกเขาเป็นอันตราย”
“แต่วิณณ์ละ วิณณ์กำลังมีอันตรายนะ ตะวัน...ตะวันไปตามพวกเขาดีกว่า”

“ตะวัน”
“อะไร”
“จะบอกพวกเขายังไงละ”
“ไม่รู้อะ เดี๋ยวก็หาวิธีได้เองละ รอนี่นะ”

ยังไม่ทันที่วิณณ์จะห้าม ตะวันก็หายไปแล้ว

“เอ้า ว่ายังไง ใครจะตายก่อนดี”

ผู้กำกับพงษ์ไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว หน้ากากที่เขาสวมใส่ไว้นี่มันช่างดีจริงสามารถปกปิกตัวตนได้จนผมเองก็ไม่เคยเอะใจ
ผมหวังว่าพวกตำรวจด้านนอกจะเริ่มสงสัยบ้างที่ผมหายไปนาน และอาจจะมาตามหาผมในนี้




[ตะวัน]


“คุณตำรวจ
คุณ..... จ่าเติม
จ่า..
จ่าอ๊อด จ่า”


ตะวันหันหาคนนั้นทีคนนี้ที แต่ก็ไม่สามารถสื่อสารกันได้

“โว้ยยยย ทำไงดีวะ”  น้ำตาร่วงผลอยลงอาบแก้ม เขาอยากจะช่วยเขาไม่อยากให้วิณณ์ต้องเป็นอันตรายหรือเจ็บตัวอะไรทั้งนั้น ทำไม....ฮึก

“ขี้แยอีกแล้วนะเด็กน้อย”
“เจ๊ เจ๊ช่วยผมด้วย ทำไงดี วิณณ์อยู่ข้างในถ้าเราไม่รีบเข้าไปช่วย วิณณ์ต้องตายแน่ ตายแน่ๆ”
“ถ้าเขาจะตายมันก็คือกรรมของเขา วิญญาณอย่างเราจะช่วยอะไรได้ละเด็กน้อย”
“ทำไมเจ๊พูดแบบนี้วะ ทั้งที่เขากำลังช่วยเจ๊อยู่นะ”
“อันนั้นก็รู้ แต่ส่วนหนึ่งมันก็คือเรื่องของผู้กองเองด้วยไหมละ”


ตะวันนั่งลงอย่างหมดแรงเขาจะทำยังไงดี เขารู้สึกอับจนหนทางไปหมด เขากำลังสั่นไปทั้งตัว

“โอ๋ๆๆ เด็กน้อยใจเย็นนะ ขอเจ๊คิดก่อนนะเราจะทำยังไงดี....ท่านกาลเวลาไง ตะวันให้ท่านกาลเวลาช่วยซิ”
“ใช่ ใช่ ลืมไปได้ยังไง”
“ท่านกาลเวลา ท่านกาลเวลาครับ ช่วยผมด้วยครับ ช่วยผมด้วย”


น้ำเสียงที่เรียกออกไปติดสั่นและแหบพร่า ใจเขากำลังกรีดร้อง คนที่เขาแคร์และห่วงใยที่สุดกำลังอยู่ในอันตรายทั้งที่เขารู้แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย


“ท่านกาลเวลา ท่านครับ ได้ยินผมไหม ฮึก.....ฮึกกกกก

ช่วยด้วย ช่วยวิณณ์ด้วยครับ”



ตะโกนดังแค่ไหน สุดท้ายมีแต่ความเงียบกลับมา





[นรกภูมิ]


“ท่านพญายมเราจะไม่ช่วยเขาหรือขอรับ”
“เจ้าก็ได้ยินวิญญาณตนนั้นพูดแล้วนี่ วิบากกรรมของใครของมันเราไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้”
“ท่านหมายถึงผู้กองนั่นจะตาย เหรอขอรับ”

“การที่ข้าใช้อำนาจดึงวิญญาณของตะวันมาเป็นผู้ถูกเลือกทำให้ชะตาชีวิตของคนรอบข้างผันเปลี่ยนไปหมด รวมถึงผู้กองและน้องสาว ชีวิตของทั้งสองอาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ ผู้กองอาจจะวางมือจากคดีและลืมเลือนเรื่องของพ่อเขาไป น้องสาวเขาอาจจะได้พบกับคนอื่นที่ไม่ใช่นายวายุ ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งให้วัฎจักรยุ่งเหยิงไปกว่านี้”

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีละขอรับ”
“เจ้าก็รู้แล้วนิ คำตัดสินในห้องยุติธรรมถือเป็นคำขาด”
“ครับ ภารกิจต้องสำเร็จภายใน 3 วันซึ่งเป็นเวลาของโลกมนุษย์ ไม่อย่างนั้นวิญญาณของตะวันจะต้องวนเวียนอยู่ในแดนอาสงขัยจนกว่าจะหมดอายุขัย”
“ใช่”
“.....”


“แล้ววันนี้ก็เป็นวันสุดท้าย ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่กรรมของแต่ละคนแล้วละ”





เหตุการณ์นอกโกดัง


“จ่าเติม ผมว่าท่าไม่ดีแล้วนะ ผู้กองหายเข้าไปนานแล้วนะ”

จ่าเติมเองก็กังวลใจ เพราะผู้กองหายเข้าไปภายในได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาเองยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะมันอาจะทำให้ผู้กองเกิดอันตรายได้

“แล้วกำลังเสริมทำไมยังไม่มาอีก”
“รออีกสักพัก ถ้ายังไม่ออกมาเราค่อยบุกเข้าไป”


แกร๊ก แกร๊ก


เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจตำรวจด้านนอกให้หันไปดู ลูกน้องสองคนค่อยๆ ย่องออกมา มองซ้ายทีขวาทีก่อนจะเดินไปที่รถกะบะอีกคันที่จอดอยู่ด้านนอก

“จ่าพวกมันออกมาโน่นแล้ว”

ออกมากันสองคน แสดงว่าผู้กองยังอยู่ข้างในกับนายยงยุทธ จ่าเติมคิดแบบนั้นโดยที่ไม่ล่วงรู้เลยว่าผู้กำกับพงษ์อยู่ในนั้นด้วย ผู้กำกับเข้าจากประตูโกดังทางด้านหลัง แถมทางเข้าก็มีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกทึบทำให้ไม่มีใครสังเกตุเห็นและยังเหมาะแก่การทำเรื่องที่ผิดกฎหมายเป็นอย่างดี

“ทำไมพวกมันยังออกมาขนของกันได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรกันเลยละจ่า”
“นั่นซิ แล้วผู้กองไปไหน ข้างในก็เงียบเชียบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย”




เหตุการณ์ในโกดัง


พวกเขานั่งเงียบๆ กันอยู่ภายในพวกลูกน้องทยอยกันขนของลงเรือจนเหลืออีกเพียงสองสามลัง พงษ์จึงเป็นฝ่ายพูดก่อน

“กูเสียดายนะที่จะต้องเสียหุ้นส่วนอยางมึงไปยุทธ หุ้นส่วนดีๆ แบบนี้หายาก”
“.....”
“แต่ก็ใช่ว่าจะหาใหม่ไม่ได้ เฮ้ย....พวกมึงใกล้เสร็จหรือยังวะ”
“อีกสองลังครับนาย” ผู้เป็นนายพนักหน้ารับรู้
“จะร่ำลาอะไรกันก็รีบซะนะ เวลาของพวกมึงใกล้หมดแล้ว”
“นายครับเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี พวกมึงสองคนจัดการเอาของไปส่งให้ถึงที่ อย่าให้ถูกจับได้อีกละ”
“ครับนาย แต่ว่านายครับ แล้วพวกเราที่ถูกจับไปละครับ เราจะไปช่วยพวกมันไหม”
“ถ้าไม่อยากเข้าคุกหรือตาย ก็ปล่อยพวกมันไว้อย่างนั้นแหละ”



“คุณนี่มัน….เลวจริงๆ” 

ผู้กำกับพงษ์ก้มลงมาพูดใกล้ๆ วิณณ์ พร้อมกับเอามือแตะบนบ่า

“ไม่ต้องชมกันขนาดนี้ก็ได้” และกระซิบด้วยถ้อยคำที่ได้ยินกันแค่สองคน “ก่อนที่จะยิงไอ้วุฒิมันก็ทำหน้าแบบที่มึงทำอยู่ตอนนี้แหละ คุณธรรมสูงส่งแต่ไม่ช่วยให้รอดตายได้”

วิณณ์สะบัดไหล่ออก พร้อมกับยันตัวลุกขึ้นแต่ไม่ทันได้ทรงตัวเขาก็ถูกผู้กำกับพงษ์ผลักลงไปพร้อมกับเอาปืนจ่อมาที่หน้าผาก

“อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จะยิงก็ยิงอย่ามัวแต่พูด หรือว่าดีแต่ปาก”
“ปากดีนักนะ”


พลั่กกก  ด้ามปืนถูกฟาดลงที่หน้าผากของวิณณ์ เลือดแดงฉานไหลอาบแก้ม


“ไม่ต้องอยากตายขนาดนั้น ยังไงวันนี้ได้ตายแน่นอน แถมยังมีคนตายเป็นเพื่อนอีกด้วย”

ผู้กำกับพงษ์เดินไปคุยกับลูกน้องสองคน ก่อนที่จะออกไป หนึ่งในลูกน้องเดินกลับมาทางพวกเขา อีกหนึ่งดูต้นทางอยู่ด้านหน้าประตูโกดัง





“นาย ผมขอโทษนะนาย”





ปัง

ปัง

ปัง

ปัง





Talk : อ้ากกกกก อารายกานเนี่ยยย มีแต่เสียงปืน ปังๆๆๆๆ
จะฆ่าแกงกันอย่างเดียวเลย
โหดร้ายยยย

_/\_ ขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครคือลูกน้องคนนั้น?

แล้วนายที่ว่าเนี่ยคือใคร?

เดาว่า "นาย" คือ ผู้กำกับฯ ใช่ป่ะ?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โอมมมมม จงรอด จงรอด   :call: :amen:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
บทที่ 34 ทางเลือก




เมื่อแผนไม่เป็นตามที่วางไว้จากที่ต้องขนของไปทางเรือผู้กำกับพงษ์จึงต้องเปลี่ยนแผนเป็นทางบกแทนของมูลค่าหลายล้านจึงถูกโยกย้ายมารวมกันอยู่ในรถกะบะคันเดียว

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงสั่งให้ลูกน้องลงมือปิดปากยงยุทธกับวิณณ์แล้วค่อยไปส่งของยังจุดหมาย



“จัดการให้เรียบร้อยซะทั้งคนและของ”

“นายครับผมขอโทษนะครับนาย”



คนที่พูดคือผู้ติดตามที่มากับนายยงยุทธเมื่ออำนาจเปลี่ยนข้างคนก็เปลี่ยนตามจะโทษใครไม่ได้การเอาชีวิตรอดให้ได้มันคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงทำ

เป็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ รวยหรือจน คนดีหรือคนเลว คนที่เป็นเหยื่อสามารถตกเป็นเหยื่อของนักล่าได้เสมอ

“ไม่คิดว่าเราจะได้มาตายวันเดียวกัน”
“.....”

“พวกเราสามคน อา ไอ้พงษ์ ไอ้วุฒิพ่อเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนขาสั้น เคยคิดว่าจะเข้าเรียนตำรวจด้วยกัน แต่กลายเป็นอาคนเดียวที่ไม่ได้เรียนเพราะต้องไปเรียนต่างประเทศ แต่ถึงอย่างนั้นอาก็ไม่เคยเหงาเพราะทั้งพงษ์และวุฒิ ต่างเขียนจดหมายมาหาสม่ำเสมอ แต่กลับเป็นอาเองที่ห่างไปจนขาดการติดต่อ”
“......”

“แล้วพอมาเจอกันอีกครั้งจากเพื่อนรักกลับกลายเป็นว่าเราอยู่กันคนละข้าง เหตุการณ์วันนั้นอารู้สึกผิดมาตลอด ผิดที่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ปล่อยให้มันเกิดขึ้น แต่วันนี้อาจะไม่ยอม”
“ไม่ยอมแล้วคุณจะทำอะไรได้ ยังไงวันนี้คุณกับผมก็คงต้องตายด้วยกันในนี้แหละ” วิณณ์มองดูสภาพที่เขาถูกมัดมือไพร่หลัง แถมปืนของตัวเองยังถูกพวกมันยึดไปอีก


“เฮ้ย ไอ้ชัยมึงรีบจัดการซะ เดี๋ยวพวกตำรวจแม่งแห่กันเข้ามาจะซวยเอา”
“แต่นั่นมันนายกู”
“นายมึงแล้วยังไงวะ มานี่มึงไม่ทำกูทำเอง”

เกิดการยื้อยุดปืนในมือขึ้น สุดท้ายเป็นชัยที่แย่งปินกลับมาได้สำเร็จ

“มึงไม่ต้องเสือก กูเอง” ชัยยกปืนขึ้นหันปลายกระบอกไปที่วิณณ์ ทำใจยิงผู้เป็นนายไม่ลงงั้นก็ขอยิงไอ้ผู้กองก่อนแล้วกัน



ปัง

ปัง

ปัง

ปัง




เสียงปืนดังขึ้นสี่นัด


“วิณณ์!!ระวัง!!”  ผมหงายหลังพร้อมแรงที่โถมเข้ามา แต่ในสายตายังสามารถรับรู้เห็นและจดจำการกระทำของอีกคนได้อย่างชัดเจน

กระสุนนัดแรกพุ่งตรงมายังเขา แต่กลับไม่เฉียดเข้าใกล้เขาสักนิดเดียวมันทะลุผ่านตัวตะวันและตกลงพื้น กระสุนนัดต่อไปถูกเล็งมาที่เขาเหมือนกันแต่ไม่ใช่เขาที่โดน ภาพที่เกิดขึ้นในม่านสายตาคือนายยงยุทธกระโดดเอาตัวเองเข้ามาขวางทางปืนไว้ เสียงปืนสิ้นสุดพร้อมกับร่างที่ล้มตึง

วิณณ์พยายามลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้ อีกทั้งยังรู้สึกจุกแต่แน่ใจว่าไม่ใช่เพราะถูกยิงแน่นอน


“ตะวัน”
“ฮืออออ วิณณ์ อย่าเป็นอะไรนะ ฮือ”
“ตะวัน”
“วิณณ์อย่าเป็นอะไรนะ”
“ตะวัน”  วิณณ์เปล่งเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อให้ตะวันได้ยิน

“วิณณ์....”


ตะวันเงยหน้าขึ้นจากอกของวิณณ์ หลังจากที่โผล่เข้ามาช่วงหน้าซิ่วหน้าขวานและพุ่งตัวไปกอดวิณณ์ไว้

“วิณณ์ไม่เป็นอะไรใช่ไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า เป็นแผลไหม เลือดละ มีเลือดออกไหม”

“ตอนนี้เหรอ.... จุกอะ หนักด้วย”

“หืม?”
“ตะวันอะ ตัวหนัก”
“บ้า ยังจะมาพูดเล่นอีกเหรอ คนอุตส่าห์เป็นห่วง”
“ว่าแต่ตะวันไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“เป็นอะไร ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า?”
“เอิ่ม ไม่มีอะไรลุกขึ้นเถอะ”


วิณณ์มั่นใจว่าเขาไม่ได้ตาฟาด แสงของวิญญาณตะวันบางเบาอีกแล้ว แล้วจังหวะที่กระสุนทะลุออกจากตัวของตะวันมันเหมือน....

.....จะหายไป.....



ตะวันดันตัวลุกขึ้นนั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่จ่าเติมวิ่งเข้ามา

“ผู้กองเป็นอะไรไหมครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า ขอบคุณ”

จ่าเติมแก้มัดเชือกที่ข้อมือของวิณณ์ พร้อมกับพยุงวิณณ์ให้ลุกขึ้นยืน เขาสังเกตตัวเองให้แน่ใจว่าไม่มีบาดแผลหรือโดนยิงตรงไหน

“คนอื่นละจ่า”
“จ่านัยรายงานว่าพวกที่เราจับไว้ยังอยู่ดีครับ ส่วนจ่าอ๊อดกับจ่าเพิ่มตรวจสอบรอบๆ โกดังอยู่ครับ”
“แล้วจ่าไม่เห็นคนอื่นเข้ามาในนี้เลยเหรอ”
“ไม่เห็นนะครับ”
“หายไปไหนนะ”
“ผู้กองหมายถึงใครเหรอครับ”
“ผู้กำกับพงษ์”
“ผู้กำกับนะเหรอครับ?ไม่เห็นนะครับ”
“....”
“ผู้กำกับทราบเรื่องแล้วเหรอครับ ซวย ซวยแน่ๆ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกจ่า”
“ไม่ใช่? ยังไงครับผู้กอง ผมงงไปหมดแล้วเนี่ย” 

จ่าเติมทำหน้าฉงน สงสัยในคำพูดของผู้บังคับบัญชาตัวเอง เพราะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ผู้กองจะพูดถึงผู้กำกับ

“เดี๋ยว   อย่าบอกนะว่า.....ท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”
“ไว้ผมค่อยอธิบายให้ฟังแล้วกัน”


จ่าอ๊อดกับจ่าเพิ่มตามมาสมทบด้านในโกดัง


“โห สภาพข้างในเละเทะเอาเรื่องเลยนะครับ ผู้กองเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า แล้วด้านนอกเรียบร้อยไหม”
“เรียบร้อยครับ พวกถูกจับก็ยังอยู่ดี รถที่เตรียมขนย้ายกันก็ยังอยู่ครับ”

วิณณ์มองสำรวจภายในโกดัง ถัดออกไปข้างหน้า


หนึ่งคนนอนนิ่งไม่ไหวติง
เลือดแดงฉานไหลอาบตัว

อีกหนึ่งมีเพียงลมหายใจรวยระริน
มือป่ายสะเปะสะปะ
พร้อมกับเปล่งเสียงแหบพร่า
เพียงเพื่อเรียกหาใครบางคน


“วะ...วิ....วิณณ์...วิ...วิณณ์”



ปัง ปัง  บรื้นนนนน


จู่ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงรถที่ออกตัวอย่างแรงดังมาจากด้านนอก


“เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอกวะนะ”
“จ่า”
“เดี๋ยวพวกผมออกไปดูเองครับผู้กอง”
วิณณ์พยักหน้า  จ่าเติม จ่าอ๊อดและจ่าเพิ่มวิ่งออกไปด้านนอกโกดัง

“วิณณ์” ตะวันเรียกกระตุกชายเสื้ออีกครั้ง
“ไปดูเขาหน่อยเถอะนะ”



ฮะ.....เฮือกกก....กก

เสียงเฮือกหายใจดังขึ้น ถึงเขาจะรังเกียจผู้ชายคนนี้ขนาดไหนแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจให้ใครตายหรือไม่ตายในเมื่อคนตรงหน้ายังพอมีลมหายใจ เขาก็ควรทำตามหน้าที่ตำรวจให้สมบูรณ์


“คุณยงยุทธ ผมว่าคุณอย่าเพิ่งขยับดีกว่า ถ้าเลือดออกมากกว่านี้คุณได้ตายแน่”

“มะ....ไม่เป็นไร อา.....อา อยากจะ....”

“คุณนอนเฉยๆ เถอะ อยากตายมากนักหรือไง”
“หึหึ ไม่เสียดายหรอกถ้าจะต้องตาย”
“คุณนี่มัน”
“ช่างมันเถอะ.....ขอให้อาได้พูด ฟัง....ฟังอาก่อน เถอะนะ”

ยงยุทธละล่ำละลัก พยายามพูด เสียงขาดช่วงเหมือนกับลมหายใจที่ริบหรี่เต็มที

“วิณ  วิณณ์ ฟังอาสักนิดเถอะนะ ขะ....ขอแค่ให้อา.... อึกก....อา อยากจะขอโทษ”
“.....”



“อาขอโทษกับ........ทุก.......เรื่อง....ที่ได้ทำ วิณณ์..........จะ.........จะไม่ยกโทษให้...............อา...........ก็......ไม่ว่าอะไร......ไม่......มี................สิทธิ์.........ว่าอะไรด้วยซ้ำ................แค่.....ขอให้อาได้พูด............แค่นี้............อาก็ตาย....ตาย..ตา.....หลับแล้ว”


“ผมขอบคุณในสิ่งที่คุณทำเมื่อกี้ แต่มันไม่ได้ทดแทนกันได้เลยกับชีวิตพ่อของผมที่ตายไป แม่ผมต้องเป็ยหม้าย ผมและน้องต้องกำพร้า”
“อา.....”
“ถึงผมจะรับคำขอโทษจากคุณ แต่ทางกฎหมายคุณก็ต้องได้รับโทษอยู่ดี”

“หึ  อารู้ อารู้ อาแค่อยากขอโทษ  ฝะ.....ฝากขอโทษ.......แม่กับน้องเราด้วยนะ”


วี้ หวอวี้ หวอ  เสียงรถกู้ชีพดังขึ้นแต่คงสายไปเสียแล้ว


“ผู้กองรถพยาบาลมาแล้วครับ” จ่าเพิ่มรีบเข้ามาบอกวิณณ์
“ไม่ทันแล้วละจ่า”
“อะ...อ้าว”


“วิณณ์สงสารเขาอะ”
“เขาเรียกว่าเวรกรรม”


“ผู้กองผู้กองครับ” จ่าเติมและจ่าอ๊อดวิ่งข้าสมทบ
“เป็นยังไงบ้างจ่า”
“ไม่ทันครับ ไม่ทันเห็นด้วยว่ามันเป็นใคร”
“ใช่พวกมันอีกคนหรือเปล่า” วิณณ์มองไปรอบๆ ไม่เห็นลูกน้องของนายยงยุทธอีกคนหนึ่ง
“ไม่ใช่ครับ พวกมันอีกคนโดนยิงตายอยู่ข้างโกดังโน่น ดูแล้วยังไม่ทันได้หนีด้วยซ้ำมั้งครับ”
“ผู้กองคิดว่าเป็นใครครับ”

วิณณ์ชั่งใจคิดก่อนจะนึกได้ว่ายังมีอีกคนที่มาแล้วหายไปตั้งแต่แรก

“ไอ้เอ็ม.....”

“ไอ้เอ็ม เออใช่ มันหายไปตั้งแต่แรกคนเดียวเลย”
“มันหายไป แล้วก็กลับมาเอาของเหรอ?ทำไมละ”
“ผมจะรู้ได้ยังไงจะจ่าเติม ก็อยู่ด้วยกันเนี่ย””
“ไม่ได้ถาม แค่รำพึงรำพันกับตัวเอง”
“ทีนี้เราจะทำยังไงกันดีละครับผู้กอง”


วิณณ์ให้นายตำรวจคนอื่นๆ กลับมารอที่ สน. ทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็แอบกำชับ จ่าเติมให้คอยดูผู้กำกับพงษ์ไว้ หากมีอะไรน่าสงสัยให้รีบรายงานทันที ส่วนตัวเขาเองต้องแยกไปจัดการเรื่องอื่น คนที่เขาต้องจับกุมคือผู้กำกับ ถ้าจะจับคนยศใหญ่ระดับนี้ก็ต้องหาคนที่ใหญ่กว่า 

ตัวเขาเองมัวแต่ยุ่งกับเรื่องนี้ทำให้ไม่ได้สนใจเหตุการณ์อื่นรอบข้าง  โทรศัพท์ถูกทิ้งไว้ในที่คอนโซลรถ มันแผดเสียงร้องครั้งแล้วครั้งเล่าจนสุดท้ายก็ดับลง








[วายุ]


ขอโทษค่ะไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้

“โธ่ ผู้กองทำอะไรอยู่เนี่ย” วายุถอดใจกดตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
“ไม่รับเหรอคุณ”
“อืม ทางนั้นคงแบตหมดไปแล้วด้วย”
“ตาย ตาย เราจะทำยังไงกันดีเนี่ย”


วายุและดารินได้แต่ยืนมองร่างของตะวันที่กำลังถูกถอดอุปกรณ์เก่าและแทนที่ด้วยของใหม่


“วายุ ทำไงกันดีละ ติดต่อผู้กองไม่ได้เลย ถ้า…....ถ้า ตะวันถูกส่งไปเมืองนอกแล้วจะทำยังไง วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายแล้วถ้าอย่างนั้นวิญญาณของตะวันจะสลายไปไหม ฮึก....”


ผู้เป็นแม่พร่างพรูคำพูดด้วยหัวใจระส่ำ ภายในใจวิตกกังวลจนหาคำอธิบายไม่ได้ คิดไปสารพัดถ้าวิญญาณของลูกชายกลับเข้าร่างไม่ได้ ต้องเร่ร่อนไปเรื่อนจนถึงอาจจะแตกสลายในที่สุด


“หนูดาริน ป้า ป้าคิดอะไรไม่ออกแล้วเราจะทำยังไงกันดี ป้าเป็นห่วงตะวัน”
“คุณน้าๆ ใจเย็นนะคะเรายังไม่รู้อะไรอย่าเพิ่งคิดมากเลยค่ะ ตอนนี้เราหาทางติดต่อพี่วิณณ์ให้ได้ก่อนเถอะค่ะ”


ดารินไม่รู้จะปลอบใจยังไง ความรักความห่วงใยที่แม่มีต่อลูกมันห้ามกันไม่ได้เธอทำได้แค่เพียงอยู่เคียงข้างและคอยบีบมือแม่ของตะวันเอาไว้เพื่อให้คลายกังวลไม่มากไม่น้อยก็ยังดี

วายุคิดจนหัวแทบระเบิดก็ยังคิดไม่ออก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจในเมื่อหาวิธีอ้อมไม่ได้ก็เอามันตรงๆ นี่แหละวะ


“คุณอาครับ”  นายอาทิตย์มองดูคนที่เดินมาเผชิญหน้า

“ผมมีเรื่องอยากจะพูดด้วยครับ”
“ถ้าเราจะมาพูดเพื่อให้เสียเวลาละก็ ถอยไปเถอะ”
“แต่ผมคิดว่าถึงจะเสียเวลา คุณอาก็น่าจะอยากฟังเรื่องนี้”
“.....”

อาทิตย์มองอย่างชั่งใจก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เป็นเชิงเปิดโอกาสให้วายุได้พูด


“ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมจะพูดมันคงทำให้คุณอาคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผมขอไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะครับ การที่คุณอาจะพาตะวันไปเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง คุณอาจะทำให้ตะวันต้องตายมากกว่าจะฟื้น”


ปึง


“นี่แกกล้าดียังไงถึงมาพูดกับฉันแบบนี้!!”

“คุณอาได้โปรดฟังผมก่อน ตอนนี้ตะวันกับผู้กองวิณณ์กำลังพยายามกันอยู่ เขาสองคนทำทุกวิถีทางเพื่อให้วิญญาณของตะวันได้กลับเข้าร่างตัวเอง”

แล้ววายุก็เล่าเรื่องราวให้อาทิตย์ฟัง เขาเลือกที่จะบอกแค่ข้อมูลสำคัญเพราะถ้าจะมาให้เล่าตั้งแต่ต้นวันนี้ก็คงไม่จบ

“บ้า บ้ากันไปใหญ่แล้ว”
“ผมไม่ได้จะไม่เคารพการตัดสินใจของคุณอานะครับ แต่มันคือความจริง ถ้าคุณอาพาตะวันไป มันจะทำให้ดวงวิญญาณของตะวันไม่ได้กลับเข้าร่าง และล่องลอยจนวิญญาณอาจแตกสลายได้ มันไม่เป็นผลดีกับตะวันเลย”

“งั้นการปล่อยให้ตะวันนอนนิ่งๆ ไปวันๆ แบบนี้ มันคือดีงั้นเหรอ นอนโดยไม่รู้ว่าจะฟื้นหรือตื่นเมื่อไหร่คือดีงั้นซินะ”
“แต่ตอนนี้ตะวันกำลังพยายามนะครับ เขากำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับเข้าร่าง ขอแต่คุณอาเชื่อใจตะวันแค่นั้น”


อาทิตย์เงียบไป เป็นช่วงนาทีที่วายุรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เขาไม่หวังให้พ่อของตะวันเข้าใจ แต่ขอแค่เห็นใจแค่นั้นก็พอ


“ถ้าเราจะเอาแต่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ก็ตามใจเรา แต่อาไม่ อาเชื่อในวิทยาศาสตร์เท่านั้น จบเรื่องแล้วก็หลีกไป อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก”

“คุณเป็นยังไงบ้าง” วายุส่ายหน้าสุดท้ายเขาไม่สามารถช่วยอะไรตะวันได้เลย








[วิณณ์]



“จ่าเพิ่ม จ่านัย เดี๋ยวพวกจ่าพาพวกในรถกลับไปที่โรงพักนะ แยกห้องขังกันไม่ให้มันพุดคุยกันและไม่ให้มีการประกันตัวใดๆทั้งสิ้นถ้าผมไม่ได้สั่ง”
“จ่าอ๊อดเรียกกำลังเสริมและตั้งด่านสะกัด ผมคิดว่ามันจะขนออกทางชายแดน ให้ประสานกับตำรวจในท้องที่คอยสังเกตที่สามารถออกไปทางชายแดนได้ ให้ตรวจรถกะบะทุกคัน”
“จ่าเติมไปกับผม”
“ไปไหนครับผู้กอง”

“บ้านผู้กำกับพงษ์”




อ๊อดดดด



วิณณ์ยืนอยู่หน้าบ้านของผู้กำกับพงษ์ เขากดกริ่งหน้าและรออยู่ตรงนั้นเกือบ 10นาที กว่าจะมีคนในบ้านออกมาเปิดประตู

“สวัสดีครับมาหาใครเหรอครับ”   ชายสูงวัยเดินงกๆเงิ่นๆมาเปิดประตู

“ผู้กำกับพงษ์อยู่ไหมครับ”
“ท่านยังไม่กลับมาหรอกครับ แล้วนี่คุณเป็นใครครับ”
“นี่ผู้กองวิณณ์ ส่วนผมจ่าเติมพอดีมีธุระกับผู้กำกับนิดหน่อยนะ”
“ท่านออกไปตั้งแต่เช้ายังไม่กลับเข้ามาเลย พวกคุณลองโทรเข้ามือถือท่านดูซิ”
“ขอบคุณนะครับลุง”


วิณณ์กล่าวขอบคุณและถอยออกมา ถ้าไม่กลับมาที่นี่จะไปที่ไหน หรือจะกลับไปที่โรงพัก มั่นใจขนาดนั้นว่าจะไม่มีใครรู้เลยงั้นเหรอ

เขายกโทรศัพท์โทรหาจ่าเพิ่ม แล้วคำตอบที่ได้คือผู้กำกับพงษ์ไม่ได้กลับไปที่ สน. ต่อจากนั้นเขาก็ต่อสายไปหาจ่าอ๊อดต่อ จ่าอ๊อดแจ้งว่ายังไม่พบรถกะบะต้องสงสัย

รถกะบะพร้อมของผิดกฎหมายเต็มคันรถ คนร้ายอีกหนึ่งคนก็หายไป ผู้กำกับพงษ์ก็หายไปด้วยอีก

หรือว่าจะหักหลังกันเอง

หรือว่า สองคนนั้นจะร่วมมือกัน







ก่อนหน้านี้


“นายครับ”
“มีอะไร”
“ลูกน้องของนายยงยุทธมาขอพบครับ”
“ให้เข้ามา”


ผู้กำกับพงษ์นั่งอยู่ในห้องทำงานพร้อมกับคิดหาทางจัดการกับเรื่องบางเรื่องอยู่ วิณณ์ตามสืบเรื่องนี้ไม่ปล่อย แล้วดูท่ามันก็คงไม่ปล่อยง่ายๆ ส่วนไอ้ยงยุทธก็เปิดเผยตัวเองกับวิณณ์ไปแล้ว อีกไม่นานเรื่องคงสาวมาถึงตัวเขาอย่างแน่นอน

เขาควรจะกำจัดใครดีระหว่างหุ้นส่วนธุรกิจที่ร่วมงานกันมานาน หรือ ตัวยุ่มย่ามที่เข้ามาวุ่นวายเรื่องนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น



ก๊อก ก๊อก


“นาย มาแล้วครับ”
“อืมให้เข้ามา”


เอ็มเดินเข้ามาภายในห้อง ของตกแต่งทุกชิ้นบ่งบอกถึงรสนิยมและความอู้ฟู่ของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี

หึ ไอ้พวกคนรวย ทรัพย์สมบัติพวกนี้มันก็มาจากพวกคนจน คนโง่ อย่างพวกกูนี่ละ


“มีอะไร”
“ผมมีเรื่องจะมารายงานท่าน”
“....”
“ผมคิดว่านายยงยุทธกำลังจะหักหลังท่าน”


นายอาทิตย์ชันหลังขึ้นจากพนักเก้าอี้ เรื่องเพื่อนสนิทที่เขาคิดถึงก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้กับข้อมูลใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้รับตอนนี้


“มึงรู้ได้ยังไง”
“ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว นายจะคอยกันผมไม่ให้จัดการกับไอ้ผู้กองวิณณ์ ทั้งแม่ทั้งน้องมัน ทั้งๆ ที่มีโอกาส แล้วก่อนหน้านี้ผมยังได้ยินอีกว่า นายยงยุทธจะบอกความจริงและยอมรับผิดหลังจากขนของครั้งนี้จบ”

ความจริงเพียงครึ่งเดียวคือ เรื่องที่นายยงยุทธปกป้องครอบครัวของผู้กองวิณณ์ ส่วนเรื่องอื่นโกหกทั้งนั้น เอ็มพูดใส่เชื้อไฟให้มันรุนแรงขึ้น เพราะเขาเองต้องการแก้แค้นให้กับลูกน้องสองคนของเขาที่ถูกนายยงยุทธปล่อยให้ตายเหมือนหมา

เอ็มจึงเลือกหักหลังนายตัวเองโดยมาร่วมมือกับผู้กำกับพงษ์หรือท่านที่พวกลูกน้องคนอื่นๆ เรียกกัน เอ็มไม่รู้ว่าท่านคนนี้จะเชื่อเขาหรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะเสี่ยง


“แล้วมึงมาบอกกูก็เพื่อ?......”
“ผมอยากจะขอโอกาส ผมรู้ว่าท่านเองก็ไม่ชอบคนทรยศ ผมมีวิธีจัดการทั้งนายยงยุทธและไอ้ผู้กอง”

ผู้กำกับพงษ์ชั่งใจคิดในเมื่อเนื้อร้ายมันกำลังแพร่กระจายเขาก็ควรตัดทิ้ง

ทั้งคู่



เอ็มปลอมเป็นพลเมืองดีแจ้งวันเวลาสำหรับการขนของ เมื่อถึงวัดนัดหมายเอ็มขับรถมาส่งนายงยุทธพร้อมพวกหลังจากนั้นเขาก็ขับรถออกไปรออยู่ด้านนอก ซึ่งผู้กำกับพงษ์รู้อยู่แล้วว่าวิณณ์จะไม่รออยู่เฉยๆ แน่ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น

เมื่อตัวละครมาพร้อมกันที่โกดัง พงษ์จึงโทรบอกเพื่อนรักว่าวิณณ์อยู่ที่นี่ด้วยและทำยังไงก็ได้ที่จะจับตัววิณณ์ให้ได้

พงษ์คาดหวังว่าทั้งสองคนจะฆ่ากันเอง แต่ยงยุทธมันดันเกิดอยากอยากจะเป็นคนดี ไอ้วิณณ์มันก็ยึดถือคุณธรรมของตำรวจสุดใจไม่ยอมแก้แค้นแทนพ่อแต่จะจับตัวไปรับโทษในคุกแทน เขาจึงต้องจัดการให้ทั้งสองคนได้ตายด้วยวิธีเขา และเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน

แต่.....ผิดอย่างดียว ผิดที่ วิณณ์ไม่ตาย

เอ็มต้องขับรถกะบะเพื่อไปยังจุดนัดหมายที่ปั้มร้างแห่งหนึ่งแถบชานเมืองซะก่อน โดยมีผู้กำกับพงษ์รออยู่ที่นั่น ก่อนจะต้องขับต่อไปจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อส่งของออกทางชายแดน

เอ็มขับรถอย่างระมัดระวังและคอยดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา  ซึ่งมันไม่ได้ราบรื่นไปอย่างที่คิด

รถมอเตอร์ไซต์สายตรวจคันหนึ่งแล่นเข้ามาประกบข้างรถ ขณะที่เอ็มจอดติดไฟแดง ท่าทางของเอ็มที่ลุกลี้ลุกลน และรถกะบะต้องสงสัยตามที่ได้ข้อมูลมา สายตรวจคนนั้นจึงตัดสินใจลงจากรถเพื่อเรียกให้เอ็มหลบเข้าข้างทาง แต่เอ็มตัดสินใจเร่งเครื่องและขับฝ่าไฟแดงออกไปอย่างไว


“เฮ้ยหยุดนะเว้ย”  สายตรวจกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซต์และขับตามไป พร้อมทั้งแจ้งวิทยุไปยังด่านสะกัดด้านหน้า

“เรียกด่านสะกัด 1 พบรถกะบะต้องสงสัยสีขาวได้ขับฝ่าไฟแดง มุ่งไปทางด่านสะกัด 1 แจ้งสะกัดเอาไว้ด้วย  เปลี่ยน”


เอ็ม เร่งเครื่องและเหยียบอย่างเร็ว เขาแหกไฟแดงมาอีกสองไฟแดง จนมาถึงด่านสะกัดข้างหน้า


“เอาไงดีวะ เชี้ยเอ้ย”  จะหยุดหรือไม่หยุดก็มีแต่ตายเท่านั้นแหละวะ เขาจึงตัดสินใจเหยียบคันเร่งจนมิดและฝ่าด่านไป ตำรวจต่างกระโดดหลบไปคนละทาง


ปัง ปัง ปัง


เสียงปืนยิงรัวกระหน่ำใส่ยางล้อเพื่อให้รถหยุด แต่ก็ไม่เป็นผล เอ็มพยายามขับไปให้ถึงจุดนัด โดยมีเสียงล้อบดกับถนนดังแว่วเข้ามาในรถ เขามั่นใจว่ามันต้องทิ้งรอยมาตลอดทางแน่



บรื้นน เอี๊ยดด



“นาย มันมาแล้วครับ”  เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้กำกับพงษ์กับลูกน้องสองคนจึงออกมาจากที่ซ่อน

“สภาพรถเละมาเลยครับนาย”

“ฉิบหายแล้วไหมละ แสดงว่ามันต้องหนีตำรวจมาแน่ๆ อย่างนี้มันจะพาพวกตำรวจมาเจอพวกเราด้วยไหมครับนาย”
“มึงเอารถไปทิ้งไว้ด้านหลังปั้ม”


เอ็มทำตามคำสั่ง เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านหลังปั้ม ความรกร้างและหญ้าที่ขึ้นสูงคงช่วยบดบังรถไว้ได้บ้าง


“โดนมาหนักซิมึง”
“เออ พวกตำรวจมันตั้งด่านสะกัดไว้หมดแล้ว” เอ็มพยักหน้าให้หนึ่งในลูกน้องของผู้กำกับพงศ์
“เอาไงดีครับนาย เราจะรอก่อนหรือว่าไปเลยดีครับ”
“ผมคิดว่าพวกตำรวจน่าจะตั้งด่านสะกัดไปทั่วหมดแล้ว” เอ็มเอ่ยขึ้น
“พวกมันรู้ได้ยังไงวะ”
“ก็ไอ้ลูกน้องที่นายให้มันปิดปากไอ้ผู้กองกับนายยงยุทธทำงานไม่สำเร็จไง”

“พวกมันสองคนยังไม่ตายอีกเหรอ!!!!”

“ตาย แต่ตายแค่คนเดียว ส่วนคนที่รอดก็ไอ้ผู้กองวิณณ์”


“ไอ้วิณณ์ มึงจะตามจองล้างจองผลาญกูไปถึงไหนวะ  ........เรารอไม่ได้แล้ว ถ้าขืนยังอยู่ที่นี่ยังไงพวกมันก็ต้องหาเจอ ถ่ายของไปรถอีกคันและขับไปที่ชายแดนให้เร็วที่สุด”





>> มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
(ต่อ)





“วิณณ์ แล้วเราจะไปตามจับพวกนั้นที่ไหนละ”
“ยังไม่รู้”


ขณะที่วิณณ์กำลังคิด โทรศัพท์ของจ่าเติมก็ดังขึ้น


“ตอนนี้ผมอยู่หน้าบ้านผู้กำกับ จ่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า .....หะ ที่ไหน โอเค โอเค ผมจะรีบรายงานผู้กอง”


“ว่าไงจ่า”
“จ่าอ๊อดยังแจ้งอีกว่า ได้รับแจ้งจากสายตรวจพื้นที่ สน.xxx พบรถต้องสงสัยแต่ขณะเรียกตรวจ รถกะบะได้ขับฝ่าไฟแดงและด่านตรวจไปครับ ลักษณะคนขับรถคล้ายกับไอ้เอ็มด้วยครับ ดีที่สายตรวจคนนั้นมีกล้องเลยได้สี ลักษณะรถ ทะเบียนที่ชัดเจนมาครับ ตอนนี้จ่าอ๊อดกำลังตามมาสมทบกับพวกเราที่นี่ครับ”

“ถ้าไปทางนั้น แสดงว่ามันต้องหนีออกไปพม่าแน่นอน
จ่าแล้วจุดที่เจอรถที่สงสัยว่าเป็นไอ้เอ็มคือจุดไหน”

“นครปฐมครับผู้กอง”
“ทะเบียนมันอาจจะปลอม แล้วถ้ายิ่งมันรู้ตัวแล้วแผนมันจะต้องเปลี่ยน จ่าประสานกับตำรวจในพื้นที่ให้ช่วยกันสะกัด ตรวจรถทุกคัน และสถานที่ที่คิดพวกมันน่าจะซ่อนตัวได้ อย่าให้มันหนีออกไปได้ไกลกว่านี้ ไม่งั้นเราจะจับมันไม่ได้อีกเลย”
“ครับ ผู้กอง”


วิณณ์ จ่าเติม กำลังจะขึ้นรถเพื่อไปยังจุดเกิดเหตุที่สายตรวจเจอไอ้เอ็ม โดยตะวันก็ตามไปด้วย



“เดี๋ยวๆ คุณน้อง อย่าเพิ่งไป”
“อะไรเจ๊”
“เจ๊ว่าคุณน้องสนใจเรื่องตัวเองก่อนดีกว่า”
“ทำไม เรื่องผมทำไม?”
“ก็ตอนนี้อะ พ่อของคุณน้องกำลังจะพาร่างคุณน้องไปแล้วนะซิ  โอ้ มาย ก๊อด”
“หะ!!! ว่าอะไรนะ”



วิณณ์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงตะวันร้อง


“ตะวัน ตะวันเป็นอะไร”
“วิณณ์ พ่อ.....”
“พ่อทำไม”
“คุณแอนเขาบอกว่าพ่อกำลังจะพาร่างของตะวันไปเมืองนอกแล้ว”


วิณณ์ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ทำไมเรื่องมันถึงได้มาวุ่นพร้อมกันแบบนี้ คดีก็ต้องรีบทำ แต่เขาก็ห่วงตะวัน แต่ถ้าไม่ทำคดีให้เสร็จตะวันก็จะไม่ได้กลับเข้าร่าง แต่ถ้าร่างไม่อยู่คดีเสร็จไปก็ไม่มีประโยชน์

ทำยังไงดีวะ


“โธ่เว้ย” วิณณ์สบทเสียงดัง ตะวันกับเจ๊แอนถึงกับสะดุ้ง แม้แต่จ่าเติมเองยังสะดุ้งตาม
“ผู้กองเป็นอะไรครับ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรจ่าเดี๋ยวจ่ารอจ่าอ๊อดที่นี่ ผมขอไปจัดการธุระก่อน แล้วรายงานสถานการณ์ผมตลอดด้วยนะ”
“ครับ”


วิณณ์ตัดสินใจที่จะไปบ้านตะวัน เขากลับขึ้นรถพรัอมกับตะวัน และวิญญาณของแอน


“คุณน้องผู้กองจะไปไหนอะ”  ตะวันส่ายหน้าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ว่าวิณณ์จะไปไหนเขาก็จะไปกับวิณณ์ด้วย

“วิณณ์ เราจะไปไหนกันเหรอ”
“บ้านตะวัน”



วิณณ์ขึ้นรถได้ก็รีบคว้ามือถือที่อยู่ในรถขึ้นมาดู หน้าจอดับไปแล้ว เขาจึงจัดการสายชาร์จและเปิดเครื่อง30กว่า miss call และข้อความอีกนับไม่ถ้วนเด้งขึ้นมาไม่หยุด ซึ่งทั้งหมดถูกส่งมาจาก

นายวายุและดารินน้องสาวเขา



‘พี่วิณณ์ พี่ตะวันแย่แล้ว พี่อยู่ไหนเนี่ย’
“พี่วิณณ์ ตอบน้องหน่อย”
“ไอ้พี่บ้า จะร้องไห้แล้วนะ”
“ฮือ พี่วิณณ์”

‘ผู้กองอยู่ไหนครับ คุณอาอาทิตย์กำลังจะพาตะวันไปแล้วนะ’
“ผู้กองตอบหน่อยครับ”
“ผู้กอง...”





“ฮึก ฮือ”  เสียงสะอื้นเบาๆของตะวันดังแทรกขึ้นมา

“ไม่เป็นไรนะตะวันไม่เป็นไร วิณณ์จะไม่ยอมให้ใครพาตะวันไปไหนทั้งนั้น”

“แต่ นั่นคุณพ่อ ตะวันกลัว พ่อต้องไม่ยอมแน่ๆ ใครก็ขวางท่านไม่ได้”


วิณณ์ลูบหัวปลอบใจตะวันแล้วก็ดึงให้ตะวันลงมาซบที่ไหล่เขา


“วิณณ์จะพยายาม”

“นี่คุณน้องจะทำอะไรก็รีบทำเถอะนะ มันจะไม่ทันเวลาแล้ว โอ้ย จะพูดยังไงดีวะ”
“อะไรเหรอเจ๊”
“มัน เอิ่ม มัน หึ่ยยย พูดไม่ได้ ห้ามพูด ห้ามพูด”
“เจ๊มีอะไรพูดมาเดี๋ยวนี้นะ”



“มีอะไรเหรอตะวัน”
“ก็วิญญาณคุณแอนนะซิอยู่กับเราด้วย แล้วก็ทำท่าทางจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ยอมบอกซะที”


“ก็มันบอกไม่ไดัอ่า”
“แล้วทำไมถึงบอกไม่ได้ละ”



วิณณ์ไม่เข้าใจว่าตะวันพยายามจะพูดกับกับวิญญาณคุณแอน แต่ดูแล้วเหมือนพยายามคาดคั้นให้คุณแอนพูดมากกว่า


“คุณแอนครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะได้ยินไหม แต่ผมขอร้องเถอะครับ หากว่าคุณอยากบอกอะไร บอกพวกเรามาเถอะ พวกเราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา”


วิญญาณของแอนอึดอัดน้ำท่วมปาก ถ้าบอกไปเธอก็จะมีความผิดด้วย แต่ถ้าคดีไม่สำเร็จ พันธนาการเธอก็จะไม่ได้ถูกปลดปล่อย เธอก็จะไปภพภูมิอื่นไม่ได้อีก

แต่สองคนนี้เป็นคนดี แล้วก็ตั้งใจช่วยเธอ

เออ ช่างมันจะได้เกิดหรือไม่ได้เกิดก็ช่างมัน



“ตะวัน ฟังที่เจ๊บอกดีๆ นะ จำที่เจ๊บอกได้ไหมว่าตะวันได้เป็นผู้ถูกเลือกแบบไม่ถูกต้อง”  ตะวันพยักหน้า
“ที่เจ๊รู้มาคือ ท่านกาลเวลาของตะวันก็คือท่านพญายม ท่านได้วางเดิมพันเรื่องนี้ ว่า จะยังมีมนุษย์ที่พร้อมเสียสละเสมอ ถึงแม้จะเป็นเพียงวิญญาณก็ตาม”
“แล้ว...”
“เมื่อไม่นานมานี้ท่านพญายมถูกตรวจสอบจากคณะยุติธรรม แล้วคณะกรรมการก็มีผลออกมาแล้วว่า....”
“.....”

“ถ้าตะวันยังทำภารกิจสุดท้ายไม่สำเร็จ ดวงวิญญาณของตะวันจะต้องกลับนรกภูมิและวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดอายุขัย”
“อันนั้นผมรู้แล้วนะเจ๊”

“3วัน”

“....”

“ภารกิจต้องสำเร็จภายใน 3 วัน และวันนี้ก็คือวันสุดท้าย”


“หะ!!! ไม่จริงอะ เจ๊โกหก ผม มัน....มันยังไม่ครบ 100วันตามที่ท่านกาลเวลากำหนดให้เลย จะมาผิดสัญญากันแบบนี้ไม่ได้นะ

ฮืออออ ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอา”



“ตะวันเป็นอะไร”
“ฮือออ วิณณ์”


วิณณ์จอดรถหลบบนไหล่ทาง ฟังสิ่งที่ตะวันเล่าให้ฟัง เขามองดูคนนั่งข้างเขาร้องไห้ปริ่มขาดใจ ซึ่งเขาเองก็ใจแทบขาดเหมือนกัน วิณณ์ดึงตะวันเขามากอด ขนาดเป็นวิญญาณยังบอบบางและอ่อนไหวขนาดนี้ แล้วตอนมีชีวิตจะขนาดไหน


“คนดีไม่ต้องร้องนะ วิณณ์สัญญาวิณณ์จะทำให้ดีที่สุด”




Rrrrrrrrrrr

หน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อ วายุ

“คุณวายุ”
[ผู้กองคุณอยู่ไหน ผมกับดารินพยายามติดต่อคุณแต่ก็ติดต่อไม่ได้]
“ผมกำลังทำคดีอยู่” วิณณ์ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า “ผมรู้เรื่องตะวันแล้ว”
[รู้ รู้ได้ยังไง]
“อย่าเพิ่งสนใจเลย แล้วตอนนี้เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง”
[ผมพยายามรั้งถึงที่สุดแล้ว ถึงขนาดยอมเล่าเรื่องของตะวันให้ฟัง แต่พ่อของตะวันก็ไม่ฟัง]
“แล้วตะวันละ”
[กำลังจะถูกพาขึ้นรถไปสนามบินแล้ว]


วิณณ์วางโทรศัพท์ลง


ถ้าตะวันถูกพาตัวไป วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้
ถ้าเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ วิญญาณก็กลับเข้าร่างไม่ได้เหมือนกัน

ไม่ว่าทางไหนก็ไม่เป็นผลดีกับตะวัน



Rrrrrrrrrrrไม่นานสายของจ่าเติมก็ดังตามมา


“ว่าไงจ่า”
[ผู้กองครับเจอที่ซ่อนพวกมันแล้วครับ ตำรวจในพื้นที่รายงานมาว่าเจอร่องรอยของยางล้อครูดไปกับถนนไปหยุดที่ปั้มร้างแห่งหนึ่งครับ]
“โอเคจ่า ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมแจ้งผมอีกที”




“วิณณ์”
“หืม”
“กลับไปทำคดีเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องตะวันหรอก”
“ตะวันนะแหละไม่ต้องห่วงคนอื่น ห่วงตัวเองเถอะ”


วิณณ์เตรียมตัวออกรถ เขาตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องของตะวัน แต่ยังไม่ทันออกตัวตะวันเอามือมาวางบนมือเขา


“วิณณ์ วิณณ์รอที่จะจับคนร้ายที่ฆ่าพ่อของวิณณ์มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้โอกาสแล้วนะ”
“.....”


“ตะวันนะจะกลับเข้าร่างได้จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ต่อให้กลับเข้าร่างได้ตะวันจะเหมือนเดิมไหมก็ไม่รู้อีก แต่วิณณ์ยังมีชีวิตอยู่จัดการเรื่องของคนที่มีชีวิตดีกว่ามาเสียเวลากับผีอย่างตะวันนะ”


“ตะวันพูดแบบนี้ ไม่รักษาน้ำใจกันบ้างเลย ถ้าวิณณ์เห็นว่าตะวันเป็นแค่ผีก็คงไม่ช่วยมาถึงขนาดนี้หรอก”

“ไม่ใช่ ตะวันขอโทษ ตะวันไม่ได้คิดแบบนั้น อย่าโกรธตะวันเลยนะ”


ตะวันใจเสียเพราะคิดว่าวิณณ์โกรธ ความจริงเขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูด เขาก็แค่อยากให้วิณณ์ทำเรื่องของตัวเองบ้าง


“วิณณ์ฟังเหตุผลของตะวันก่อนนะ”
“....”

“ถ้า....ถ้าเรารีบไปจัดการเรื่องคดีให้จบ”
“พอเลยตะวันไม่ต้องพูดแล้ว”

“ไม่วิณณ์ต้องฟังให้จบก่อน ถ้าคดีจบ ภารกิจของตะวันก็จะสำเร็จด้วยไง แล้วตะวันก็จะรีบไปเข้าร่างก่อนที่พ่อจะพาตะวันไปอเมริกา”
“ตะวันคิดว่าเรื่องมันจะง่ายขนาดนั้นเหรอ”
“แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง ตะวันรู้ว่าวิณณ์ก็คิดเหมือนกัน และตะวันเชื่อว่าวิณณ์จะทำได้”


“แล้วถ้าไม่ทัน ทุกอย่างมันสายไปหมด ตะวันก็จะไม่ได้กลับเข้าร่างต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปแบบนี้ แล้วเราก็ไม่จะไม่ได้เจอกันอีกงั้นเหรอ”

“ตะวันก็ทำใจไม่ได้หรอกนะถ้าจะไม่ได้เจอวิณณ์อีก แต่....
แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่สำเร็จ”


“ตะวัน...”



“น้องตะวัน พี่ว่าต้องรีบแล้วเหลือเวลาไม่มากแล้ว”   คุณแอนแทรกขึ้นมา




“ไปเถอะ ไปทำหน้าที่ของคุณตำรวจให้เสร็จ”   





ตะวันกุมมือวิณณ์ไว้ 



ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร เขาก็ไม่กลัว เพราะเขารู้ว่าเจ้าของมือนี้จะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ ไม่ไปไหน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นี่ไงหล่ะ   การเสียสละของผู้ถูกเลือก  อิอิ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คิดๆ แล้ว อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ ตะวัน  :hao4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
*** ต่อ ตอนที่ 34 ***


วิญญาณของแอนอึดอัดน้ำท่วมปาก ถ้าบอกไปเธอก็จะมีความผิดด้วย  แต่ถ้าคดีไม่สำเร็จ พันธนาการเธอก็จะไม่ได้ถูกปลดปล่อย เธอก็จะไปภพภูมิอื่นไม่ได้อีก

แต่สองคนนี้เป็นคนดี แล้วก็ตั้งใจช่วยเธอ

เออ ช่างมันจะได้เกิดหรือไม่ได้เกิดก็ช่างมัน


“ตะวัน ฟังที่เจ๊บอกดีๆ นะ จำที่เจ๊บอกได้ไหมว่าตะวันได้เป็นผู้ถูกเลือกแบบไม่ถูกต้อง”

ตะวันพยักหน้า

“ที่เจ๊รู้มาคือ ท่านกาลเวลาของตะวันก็คือท่านพญายม ท่านได้วางเดิมพันเรื่องนี้ ว่า จะยังมีมนุษย์ที่พร้อมเสียสละเสมอ ถึงแม้จะเป็นเพียงวิญญาณก็ตาม”

“แล้ว...”

“เมื่อไม่นานมานี้ท่านพญายมถูกตรวจสอบจากคณะยุติธรรม แล้วคณะกรรมการก็มีผลออกมาแล้วว่า....”

“.....”

“ถ้าตะวันยังทำภารกิจสุดท้ายไม่สำเร็จ ดวงวิญญาณของตะวันจะต้องกลับนรกภูมิและวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดอายุขัย”

“อันนั้นผมรู้แล้วนะเจ๊”

“3วัน”

“....”

“ภารกิจต้องสำเร็จภายใน 3 วัน และวันนี้ก็คือวันสุดท้าย”

“หะ!!! ไม่จริงอะ เจ๊โกหก ผม มัน....มันยังไม่ครบ 100วันตามที่ท่านกาลเวลากำหนดให้เลย จะมาผิดสัญญากันแบบนี้ไม่ได้นะ

ฮืออออ ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอา”




“ตะวันเป็นอะไร”
“ฮือออ วิณณ์”



วิณณ์จอดรถหลบบนไหล่ทาง ฟังสิ่งที่ตะวันเล่าให้ฟัง เขามองดูคนนั่งข้างเขาร้องไห้ปริ่มขาดใจ ซึ่งเขาเองก็ใจแทบขาดเหมือนกัน วิณณ์ดึงตะวันเข้ามากอด ขนาดเป็นวิญญาณยังบอบบางและอ่อนไหวขนาดนี้ แล้วตอนมีชีวิตจะขนาดไหน


“คนดี ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ วิณณ์สัญญาวิณณ์จะทำให้ดีที่สุด”




Rrrrrrrrrrr

หน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อ วายุ


“คุณวายุ”

[ผู้กองคุณอยู่ไหน ผมกับดารินพยายามติดต่อคุณแต่ก็ติดต่อไม่ได้]

“ผมกำลังทำคดีอยู่” วิณณ์ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า “ผมรู้เรื่องตะวันแล้ว”

[รู้ รู้ได้ยังไง]

“อย่าเพิ่งสนใจเลย แล้วตอนนี้เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง”

[ผมพยายามรั้งถึงที่สุดแล้ว ถึงขนาดยอมเล่าเรื่องของตะวันให้ฟัง แต่พ่อของตะวันก็ไม่ฟัง]

“แล้วตะวันละ”

[กำลังจะถูกพาขึ้นรถไปสนามบินแล้ว]


วิณณ์วางโทรศัพท์ลง


ถ้าตะวันถูกพาตัวไป วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้
ถ้าเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ วิญญาณก็กลับเข้าร่างไม่ได้เหมือนกัน

ไม่ว่าทางไหนก็ไม่เป็นผลดีกับตะวัน



Rrrrrrrrrrr ไม่นานสายของจ่าเติมก็ดังตามมา


“ว่าไงจ่า”

[ผู้กองครับเจอที่ซ่อนพวกมันแล้วครับ ตำรวจในพื้นที่รายงานมาว่าเจอร่องรอยของยางล้อครูดไปกับถนนไปหยุดที่ปั้มร้างแห่งหนึ่งครับ]

“โอเคจ่า ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมแจ้งผมอีกที”




“วิณณ์”

“หืม”

“กลับไปทำคดีเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องตะวันหรอก”

“ตะวันนะแหละไม่ต้องห่วงคนอื่น ห่วงตัวเองเถอะ”


วิณณ์เตรียมตัวออกรถ เขาตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องของตะวัน แต่ยังไม่ทันออกตัวตะวันเอามือมาวางบนมือเขา


“วิณณ์ วิณณ์รอที่จะจับคนร้ายที่ฆ่าพ่อของวิณณ์มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้โอกาสแล้วนะ”

“.....”

“ตะวันนะจะกลับเข้าร่างได้จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ต่อให้กลับเข้าร่างได้ตะวันจะเหมือนเดิมไหมก็ไม่รู้อีก แต่วิณณ์ยังมีชีวิตอยู่จัดการเรื่องของคนที่มีชีวิตดีกว่ามาเสียเวลากับผีอย่างตะวันนะ”


“ตะวันพูดแบบนี้ โคตรจะใจร้ายไม่รักษาน้ำใจกันบ้างเลย ถ้าวิณณ์เห็นว่าตะวันเป็นแค่ผีก็คงไม่ช่วยมาถึงขนาดนี้หรอก”


“ไม่ใช่ ตะวันขอโทษ ตะวันไม่ได้คิดแบบนั้น อย่าโกรธตะวันเลยนะ”


ตะวันใจเสียเพราะคิดว่าวิณณ์โกรธ ความจริงเขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูด เขาก็แค่อยากให้วิณณ์ทำเรื่องของตัวเองบ้าง



“วิณณ์ฟังเหตุผลของตะวันก่อนนะ”

“....”

“ถ้า....ถ้าเรารีบไปจัดการเรื่องคดีให้จบ”

“พอเลยตะวันไม่ต้องพูดแล้ว”

“ไม่วิณณ์ต้องฟังให้จบก่อน ถ้าคดีจบ ภารกิจของตะวันก็จะสำเร็จด้วยไง แล้วตะวันก็จะรีบไปเข้าร่างก่อนที่พ่อจะพาตะวันไปอเมริกา”

“ตะวันคิดว่าเรื่องมันจะง่ายขนาดนั้นเหรอ”

“แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง ตะวันรู้ว่าวิณณ์ก็คิดเหมือนกัน และตะวันเชื่อว่าวิณณ์จะทำได้”


“แล้วถ้าไม่ทัน ทุกอย่างมันสายไปหมด ตะวันก็จะไม่ได้กลับเข้าร่างต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปแบบนี้ แล้วเราก็ไม่จะไม่ได้เจอกันอีกงั้นเหรอ”

“ตะวันก็ทำใจไม่ได้หรอกนะถ้าจะไม่ได้เจอวิณณ์อีก แต่....
แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่สำเร็จ”


“ตะวัน...”


“น้องตะวัน พี่ว่าต้องรีบแล้วเหลือเวลาไม่มากแล้ว”   คุณแอนแทรกขึ้นมา




“ไปเถอะ ไปทำหน้าที่ของพวกเราให้เสร็จ”   พร้อมกุมมือวิณณ์ไว้ 

ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร เขาก็ไม่กลัว ถ้าเจ้าของมือนี้ยังอยู่ข้างๆ เขา







Talk : ต้องขอโทษคนอ่านด้วยค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดความผิดพลาดตอนไหน ทำให้อัพตอนที่ 34 ไม่ครบ

แต่ตอนนี้อัพครบแล้วนะคะ และกำลังจะอัพตอนต่อไปเพิ่มให้พร้อมกันเลยคร่าา 

_/\_


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
บทที่ 35 เวลา




15.00น.


วิณณ์ตามมาสมทบกับจ่าเติมที่ด่านตรวจ สายรายงานว่าพวกของผู้กำกับยังคงกบดานอยู่ที่ปั้มร้าง พร้อมกับถ่ายเทของเปลี่ยนรถเพื่อเตรียมหนี


“ผู้กองครับ” จ่าเติมวิ่งเข้ามาหาทันทีที่รถของวิณณ์จอด
“จ่า เป็นยังไงบ้าง”
“สายเราที่เฝ้าดูอยู่รายงานมาว่า พวกลูกน้องกำลังถ่ายของกันครับ โดยที่มีตำรวจซุ้มดูอยู่ห่างๆ”


จ่าเติมเดินนำวิณณ์เข้าไปยังเต้นท์ที่มีตำรวจประชุมกันอยู่เต็มไปหมด และกำลังตั้งใจฟังคนด้านหน้าสั่งการ ไม่นานตำรวจก็แยกย้ายไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย


“ผู้กองครับ นี่สารวัตรสินธร และนี่ผู้กองวิณณ์ครับ” จ่าเติมทำหน้าที่แนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน


“สวัสดีครับสารวัตร” วิณณ์ยกมือไหว้ผู้ที่สูงวัยกว่า
“สวัสดีครับผู้กอง ไม่คิดว่าผู้กองจะยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้”
“ขอบคุณครับ”
“โอเค ผมอยากรู้เรื่องของพวกคุณ”
“ผู้ร้ายในกลุ่มนี้หลบหนีมาจากการจับกุมเมื่อเช้านี้ ทางเราได้นำกำลังไปจับขณะลับลอบขนยาเสพติดและของผิดกฏหมาย เกิดการปะทะกัน บางส่วนจับได้ บางส่วนตาย และมี สองคนร้ายหนีมาได้ซึ่งขาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับพวกที่ทางสารวัตรกำลังตามอยู่ครับ”
“พวกที่หนีมาได้ พวกคุณรู้ตัวไหม”
“รู้ครับ ลูกน้องชื่อเอ็ม และหัวหน้าใหญ่”
“หัวหน้าใหญ่?”
“ครับ”
“ใคร?”

“ผู้กำกับพงศธร ก้องเกียรติกัมปนาท”


“ผู้กำกับพงศธร?”
“ครับ ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเราครับ”
“ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ”


วิณณ์ไม่ได้ตอบอะไร ใครได้ยินก็ต้องคิดเหมือนกัน


สารวัตรสินธรเรียกทีมประชุมอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้มีไม่กี่คนที่เข้าร่วม โดยมีเขาและจ่าเติมร่วมด้วย พวกเราต้องรีบวางแผนให้ไว และรัดกุม ถ้าขืนปล่อยเวลาไปอีก พวกนั้นหนีไปก็จะพากันยุ่ง

ข้อสรุปของการประชุมคือ เราจะปิดทุกจุดไม่ให้รถผ่านเข้าออก และจะเปลี่ยนชุดตำรวจจากที่คอยสังเกตการณ์เป็นทีมบุก โดยล้อมเอาไว้ด้านหลังและด้านข้าง หลังจากนั้นติดต่อไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อขอความช่วยเหลือตั้งด่านสกัดทุกเส้นทางที่เป็นไปได้หากผู้กำกับและลูกน้องพวกหนี


“ตะวัน” วิณณ์เดินหลบออกมาหลังจากที่การประชุมจบลง
“วิณณ์”
“คิดอะไรอยู่” วิณณ์นั่งลงข้างๆ พร้อมกับเอามือวางบนหัวของตะวัน

“มันจะอันตรายไหม ไม่ซิ มันต้องอันตรายมากๆแน่”
“ไม่หรอก อย่าคิดมากซิ ตะวันดูรอบๆซิ ตำรวจเยอะแยะขนาดนี้ แถมยังเก่งกันทุกคนด้วย”
“แต่มันไม่ได้หมายความว่า มันจะปลอดภัยนี่”
“ทำไมถึงเพิ่งมากังวลตอนนี้ละ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนบอกให้วิณณ์มาทำหน้าที่ของตัวเองเองนะ”
“มันก็ใช่ แต่คนมันห่วงอะ ห่วงนะเข้าใจไหม”
“โอเค โอเคครับ เข้าใจครับ”

“ตะวัน”
“หืม”
“คุณแอนละอยู่ไหม”
“ไม่อยู่แล้วละ เจ้าหล่อนบอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการสองสามเรื่องนะ”
“เรื่องอะไร?”


ตะวันสายหน้า





17.00น.


หน่วยจู่โจมไปสับเปลี่ยนกับหน่วยเฝ้าระวังตามแผนแรกที่ได้วางไว้ โดยจะต้องรายงานความเคลื่อนไหวกับมายังศูนย์กลางเป็นระยะ

อีกหกชั่วโมงก็จะพ้นวันแล้ว คุณแอนบอกว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของการปฏิบัติภารกิจ เท่ากับว่าเวลาของเขาก็จะยุติลงแค่นี้ใช่ไหม

แล้วเขาจะหายไปเลยไหม หรือจะเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่แต่ไม่มีใครเห็นแม้กระทั่งวิณณ์

ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็จะไม่ได้เจอวิณณ์อีกแล้วใช่ไหม ไม่ได้ลา แล้วก็คงไม่ได้เจอแม่ พี่วายุ อีกใช่ไหม

ยิ่งคิดน้ำตาพาลเอ่อล้น แต่เขาไม่อยากให้วิณณ์คิดมาก เขาต้องเก็บและกลืนมันลงไป






18.00น.


“นายครับ ผมว่ามันแปลกๆนะครับนาย”
“แปลกยังไง”
“ผมว่ามันเงียบผิดปกติ เส้นทางนี้เป็นเส้นหลักที่คนทั่วไปใช้กัน แต่ว่ามันเงียบไป ไม่มีรถผ่านมาซักคัน”
มึงคิดไปเองหรือเปล่า”
“ไม่ครับนาย เชื่อผมซิ”
“เฮ้ย” พงศ์หันไปเรียกพวกที่เหลือ
“พวกมึงรีบไปจัดการซะจะได้รีบไป ชักช้าอยู่นั่นแหละ รอพ่อมารับหรือไง”


เอ็มเองก็สงสัยเหมือนกับที่ไอ้ลูกน้องของผู้กำกับพงศ์พูด เห็นทีจะหนีไปได้ยากซะแล้ว เขาต้องเตรียมแผนสำรองไว้ ถ้าพวกมันไม่รอด เขาต้องรอด





ณ บ้านตะวัน


ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วสำหรับเคลื่อนย้าย ทีมแพทย์เช็คร่างกายทุกอย่างทั้งอุณหภูมิ ความดัน การเต้นของหัวใจและการหายใจ ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติดี


“คุณอาทิตย์ คุณทบทวนอีกสักครั้งได้ไหมคะ”
“หลีกไป!”


นายอาทิตย์พูดด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด จนแม่ของตะวันต้องหลบให้ วายุเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ขนาดเขาบอกความจริงไปแล้ว พ่อของตะวันยังไม่ยอมฟังเลย

ส่วนดารินเองก็....



“นี่คุณเป็นอะไรอะ นั่งพึมพำอยู่ตั้งนานละ”
“.....”
“คุณ”
“....”
“คุณ!!!”
“เย้ยย จะตะโกนทำไม ตกใจหมดเลย อยู่ใกล้แค่นี้เรียกเบาๆก็ได้”
“ขนาดเมื่อกี้เรียกจนปากผมจะโดนแก้มคุณอยู่ละคุณยังไม่ได้ยินเลย”

“หะ?” ดารินสะดุ้งเอามือจับแก้มตัวเอง พร้อมกับหันขวับไปหาวายุ

“นี่นายแอบหอมแก้มฉันเหรอ”

ดารินพูดเสียงแหว พร้อมกับยกมือเตรียมฟาดลงไปที่แขนของวายุ แต่เขาไวกว่ายกมือขึ้นรับและจับเอาไว้

“ไม่ต้องดิ้นหรอกคุณ”

“ปล่อย”
“ไม่ต้องสะบัดด้วย”
“บอกให้ปล่อยไงละ”
“ไม่มีทาง จับได้แล้วขืนปล่อยไปผมก็โง่ดิ”
“???”

ดารินหยุด เธอกำลังทำความเข้าใจกับคำพูดของวายุ ที่พูดนี่หมายถึงเรื่องที่จับมือเธอใช่ไหม?


บรื้นนนนน


ขบวนรถของพ่อตะวันขับออกไปแล้ว ตามไปด้วยรถพยาบาลที่มีร่างของตะวันอยู่ในนั้น


“คุณ ฉันว่าเรารีบติดต่อพี่วิณณ์กันเถอะ”







18.30น.


กำลังตำรวจกระจายตามจุดที่ได้วางไว้ ถนนทุกเส้นทางถูกปิดไว้ไม่ให้รถผ่านเพื่อกันคนไม่เกี่ยวข้องออกไป

เวลาจู่โจมคือเวลา 19.00 อีกสามสิบนาที วิณณ์ จ่าเติม และทีมของสารวัตรอีก 5นายจะบุกเข้าไปเพื่อจับกุมกลุ่มของผู้กำกับพงศธร


“วิณณ์ระวังตัวด้วยนะ”
“ตะวันรู้ตัวไหมว่าตะวันพูดประโยคนี้กี่ครั้งแล้ว”
“ไม่รู้อะ แต่จะกี่ครั้งตะวันก็จะพูด พูด พูด พูด จนวิณณ์จำขึ้นใจว่าต้องระวังตัวเอง”
“ครับ ครับ รู้แล้วครับไอ้ตัวยุ่ง”
“ตะวันเปล่ายุ่งซักหน่อย ก็แค่เป็นห่วง”
“หึหึ”


วิณณ์อมยิ้มให้ตะวันอย่างเอ็นดู เอามือวางไว้บนหัวของตะวัน ก่อนจะเอ่ยคำพูดอย่างสัญญา


“ตะวันรู้ไหม เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมันเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ว่าวิณณ์จะสัญญา สัญญาจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด”
“ดีมาก”
“แต่.....”

“.....”

“แต่ถ้าอะไรก็ตาม ถ้ามันต้องเกิดขึ้น ตะวันต้องสัญญานะ”
“สัญญาอะไร”
“จะไม่โทษตัวเอง และจะไม่เสียใจ”
“ไม่เอาดิ ไม่พูดแบบนี้ ถ้า....ถ้าวิณณ์เป็นอะไรก็เพราะตะวัน ตะวันดึงวิณณ์เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แถมยังผลักไสให้วิณณ์มาทำเรื่องนี้อีก”

“เหมือนที่ตะวันบอกกับวิณณ์ไง ทำหน้าที่ของตัวเองซะ ตอนนี้วิณณ์กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ตะวันเองก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง”
“....”
“เรามาทำมันไปพร้อมกันเถอะนะ”


วิณณ์ยกนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้า ตะวันเอาแต่จดจ้อง จนวิณณ์ต้องทำเสียงในลำคอเพื่อกระตุ้นตะวัน จนต้องยอมยกมือขึ้น ก่อนบรรจงเกี่ยวนิ้วก้อยกับวิณณ์


“สัญญาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราสองคนจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป”

“สัญญา”






19.00น.



วิณณ์และจ่าเติมพร้อมกำลังตำรวจตามแผนสองขยับล้อมเข้าไปใกล้กับปั้มร้าง สายแจ้งว่าของได้ถูกเปลี่ยนไปที่รถอีกคันเรียบร้อยแล้วและกลุ่มคนร้ายเตรียมหนีกันอีกครั้ง


“คุณน้อง คุณน้องตะวันขา”
“เจ๊ มีอะไรตอนนี้กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน อย่าเพิ่งยุ่ง”
“คุณน้อง เจ๊ เอิ่ม......เจ๊”
“เจ๊!!!”
“รู้แล้วๆ อย่าดุซิ”

“ก็พ่อของคุณน้องนะซิคะ ตอนนี้พาร่างของคุณน้องไปแล้วนะซิคะ”

“หะ!...อุ๊บส์”



ตะวันตกใจแต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเอง ขืนเขาร้องเสียงดังวิณณ์ได้ยินเข้า ก็ต้องมาถามเขาว่าเป็นอะไร แล้วถ้ารู้ว่าพ่อกำลังพาร่างเขาไปวิณณ์ก็จะเสียสมาธิ แล้วก็จะเป็นอันตราย


“นี่คุณน้องจะไม่ทำอะไรเลยเหรอคะ”
“อืม”
“จะอยู่นิ่งๆ แบบนี้เหรอคะ”
“อืม”

“อะ อ้าววว”

“ขอบคุณนะเจ๊ที่มาบอก แต่ผมทำอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอก วิณณ์กำลังทำงานสำคัญถ้าขืนเสียสมาธิ จะแย่เอา”


“จับคนร้าย ถึงคดีจะสำเร็จแต่ถ้าร่างไม่อยู่ก็กลับเข้าร่างไม่ได้ แล้วถ้าคดีไม่สำเร็จคุณน้องก็กลับเข้าร่างไม่ได้ แล้วถ้าเลยเวลาเที่ยงคืนวันนี้คุณน้องก็กลับเข้าร่างไม่ได้อยู่ดี.....
โอ้ยยย ไม่เห็นจะได้อะไรสักทางเลย”

“ช่างมันเถอะเจ๊ ผมตัดสินใจละผมอยากให้วิณณ์ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ส่วนเรื่องของเจ๊นะ ยังไงผมก็จะทำให้เสร็จเหมือนกัน”
“โอ้ยเรื่องของเจ้ ช่างมันเถอะ เจ๊ห่วงคุณน้องมากกว่า”


“ขอบคุณนะครับ”






19.15น.



เกิดเสียงปืนดังขึ้นมาจากทางคนร้ายที่ยิงเข้าใส่กลุ่มตำรวจ ทำให้ตำรวจต้องถอยห่างออกมาก่อน ตะวันลุกลี้ลุกลนเพราะเขามัวแต่คุยอยู่กับคุณแอนเลยไม่รู้ว่าวิณณ์หายไปตอนไหน ถึงจะสัญญาแล้วว่าจะดูแลตัวเองแต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้

ตะวันสอดส่ายตามองหาจนเห็นว่าวิณณ์ไปอยู่ข้างหน้าจุดที่ใกล้กับแนวปะทะ


“วิณณ์......วิณณ์......วิณณ์”
“ตะวันหลบไป”
“ไม่ วิณณ์อยูไหนตะวันก็จะอยู่นั่นด้วย”
“ทำไมดื้ออย่างนี้”


นาทีนี่จะด่าจะว่าอะไรก็ไม่สนหรอก


จุดที่เราอยู่เป็นจุดเปิด ถึงจะพยายามวางแผนอย่างดี แต่ยังคงเสียเปรียบ จนอีกฝ่ายเห็นเราซะก่อน

ความจริงถ้ามอบตัวเรื่องคงไม่ใหญ่บานปลายขนาดนี้ แต่คงเหมือนคำโบราณที่ว่า หมาจนตรอก มันก็ต้องกัด ต้องสู้ คนอย่างผู้กำกับพงษ์ก็คงเป็นแบบนั้น


“ผู้กำกับพงษ์ ยอมมอบตัวซะเถอะ หนักจะได้กลายเป็นเบา” สารวัตรสินธรเอ่ยขึ้น

พงศธร ไม่แปลกใจที่พวกนี้รู้ชื่อเขา แสดงว่าตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ร้ายอย่างเต็มตัวแล้ว

“ผู้กำกับผมว่าคุณมอบตัวเถอะ สู้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก”


“จะสู้หรือไม่สู้ผมก็เป็นผู้ร้ายอยู่แล้ว”
“แต่ถ้าคุณมอบตัว คุณก็ยังจะได้รับโอกาสนะ”

“คุณคิดว่าผมเป็นใครผมก็เป็นตำรวจเหมือนพวกคุณ คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าสิ่งที่พวกคุณพูดมันก็แค่คำหลอกหลวงให้พวกผู้ร้ายโง่ๆ มันยอมมอบตัวเท่านั้น”

“ท่าทางจะยากเอาการนะ” สารวัตรสินธรพูดกับวิณณ์ที่อยู่ข้างๆ


ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างเงียบเหมือนหยั่งเชิงกันอยู่ กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น



“เฮ้ยยย!!!”

“เด็กมาจากไหนวะ!!!”



จ่าเติมร้องขึ้น อยู่ดีๆก็มีเด็กผู้หญิงวิ่งออกมาพงหญ้าด้านข้างปั้มซึ่งใกล้กับจุดที่พวกผู้ร้ายอยู่



“ไอ้หนูออกมา”  แต่ไม่ทันซะแล้ว วิณณ์เห็นหนึ่งในคนร้ายมาถึงตัวเด็กก่อนเขา



ไอ้เอ็ม



“ว้ายยยยย ลูกแม่ ลูก ปล่อยลูกฉันนะ”
“แม่จ๋า แม่ ช่วยหนูด้วย แม่ ฮืออออ”


เกิดการชุลมุนขึ้น เมื่อแม่ของเด็กคนนั้นวิ่งตามมาและจะเข้าไปช่วยลูกจนตำรวจต้องรีบไปดึงตัวออกมา


“ป้า ป้า ป้าใจเย็นก้อน ป้า”
“คุณตำรวจช่วยลูกฉันด้วย ฮือออออ ลูกแม่”


คนเป็นแม่ทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้เสียงปานใจจะขาด


“เวรเอ๋ย แค่ลำพังพวกมันก็ยากพอละ นี่มีตัวประกันอีก”  วิณณ์สบถอย่างหัวเสีย

“ทีนี้เราจะเอายังไงดีละครับผู้กอง”


วิณณ์ไม่ตอบ

ตะวันเองก็ทำได้แค่ยืนข้างๆ อย่างห่วงๆ

คุณแอนก็คอยมองซ้ายทีขวาที


เวลาล่วงเลยมาจนถึง 21.30น.



“คุณน้องเราจะอยู่เฉยๆ แบบนี้เหรอคะ มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ”
“ผมก็ไม่รู้ วิณณ์กำลังเครียดผมไม่กล้าถามหรอก”
“โอ้ยยยย ขัดใจเจ๊จริงๆ”




“ผู้กองวิณณ์”  เสียงเรียกชื่อมาจากฝั่งนั้น ซึ่งคนที่เรียกไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้เอ็ม

“มีอะไร”  วิณณ์ตะโกนตอบโต้ไป

“มึงอยากช่วยเด็กใช่ไหม”

“จะเอายังไงว่ามา”
“เอาตัวมึงมาแลกกับเด็ก”
“มึงอย่ามาลูกเล่นไอ้เอ็ม” เป็นจ่าเติมที่ตอบโต้กลับไป “ผู้กองอย่าไปเชื่อมัน”

“คิดเอาเองนะ มันไม่ได้ยากเลย แค่เอาตัวมึงมาแลกกับเด็ก....แค่นั้นเอง”


“ผู้กอง ผมว่าเรามาคุยกันก่อนดีกว่า” สารวัตรสินธรเดินเข้ามาสมทบ


“คุณชื่ออะไรนะ เอ็มเหรอ ผมขอเวลาคุยกับผู้กองซักแปป”
“พวกมึงจะตุกติกอะไร ขืนมึงตุกติกกันนะกูยิงอีเด็กนี่ไส้แตกแน่”


“ฮืออออ แม่จ๋า หนูเจ็บ แม่ช่วยหนูด้วย  ฮือ ฮือ”

“ลูก ลูกแม่”


“รอกันมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว อีกแค่10นาทีคงไม่นานเกินไปหรอก”
“10นาที ถ้าพวกมึงเล่นตุกติกอะไรละก็ อีเด็กนี่ตายแน่”


วิณณ์เดินตามสารวัตรสินธรมาอีกทาง

“ผมว่ามันเสี่ยงไปถ้าผู้กองจะทำตามข้อเรียกร้องของคนร้าย”
“แต่นั่นเด็กนะครับ ผมไม่อยากเอาชีวิตเด็กมาเสี่ยง ถ้ามันต้องการตัวผม ผมก็จะทำตามที่มันขอ”
“คุณมีแผนแล้วเหรอ”
“ยังครับ”
“เฮ้ออ ผมละไม่เข้าใจพวกคนหนุ่มไฟแรงจริงๆ เอาเถอะตอนนี้ยังมีเวลาเราลองหาทางที่เป็นไปได้เตรียมเอาไว้ก่อน เดินดุ่มๆ เอาตัวเข้าไปแลกมันก็เหมือนกับพาตัวเองไปตาย”


หลังจากหารือกันไม่นาน วิณณ์ตัดสินใจเอาตัวเองแลกกับเด็กที่ถูกจับเป็นตัวประกัน และเขาต้องทำยังไงได้ที่จะเข้าถึงตัวและแยกผู้กำกับออกมาจากกลุ่ม วิณณ์รู้ว่ามันเสี่ยงที่ต้องพาตัวเองกลับไปอยู่ท่ามกลางคนร้ายอีกครั้งแต่เขาเต็มใจทำ เรื่องนี้มันไม่ควรมีใครจะต้องมาเจ็บอีกแล้ว ถ้าจะมีใครที่ต้องเจ็บอีกมันสมควรจะเป็นเขา


ครบเวลา 10 นาทีที่ตกลงกันไว้ วิณณ์เดินมาจุดนัดพบ มีเพียงเด็กผู้หญิงตัวประกันคนเดียวที่ยืนรออยู่ตรงนั้น

“ผู้กองเดินมาช้า”
“ให้เด็กเดินออกมาก่อนซิ”
“มึงไม่ต้องมาสั่งกู! กูจะให้มึงเดินถึงไหนมึงก็ต้องเดิน ให้มึงทำอะไรมึงก็ต้องทำ”


มันจะมาลูกไม้อะไรอีก  วิณณ์คิดในใจ แต่ก็ยอมทำตามที่มันบอกเขาค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างช้าๆ อีกไม่กี่ก้าวเขาก็จะถึงจุดที่เด็กน้อยยืนอยู่ เด็กน้อยยืนสะอึกสะอื้นยืนด้วยความไร้เดียงสาเมื่อเห็นวิณณ์เดินเข้ามาเธอจึงขยับเท้าพร้อมกับก้าวออกไป


ปัง เสียงปืนดังขึ้น วิณณ์ก้มหลบพร้อมกับวิ่งเข้าคว้าร่างของเด็กน้อยเอาไว้ โชคดีที่มันแค่ยิงขู่ วิณณ์มองไปทางเสียงปืนไอ้เอ็มยืนอยู่ตรงนั้น


“เดินเข้ามาอีก” เอ็มออกคำสั่ง
“ให้เด็กเดินไปก่อน”
“มึงไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับกู”
“ปล่อยเด็กไปก่อน”
“มึงนี่มันดื้อด้านฉิบหาย”

วิณณ์ไม่ทันระวังตัวหนึ่งในคนร้ายโผล่มาทางด้านหลังและเอาปืนจ่อหัวเขาไว้

“มึงจะผิดคำพูด?”
“หึ มึงจะยึดถือคำพูดอะไรกับโจรอย่างกู”

“วิณณ์”  วิณณ์ส่ายหน้า พร้อมกับบอกให้ตะวันอยู่แฉยๆ


“เฮ้ย มึงพูดกับใครอะ อย่ามาตุกติกนะเว้ย เดินไป”  ทั้งวิณณ์และเด็กน้อยถูกจับและพาตัวเข้ามาด้านใน

“ทำยังไงดีครับสารวัตรสินธร ทั้งผู้กองทั้งเด็กโดนจับไปทั้งคู่”
“รอดูก่อนว่าพวกมันต้องการอะไร”



“น้องชื่ออะไรครับ บอกพี่ได้ไหม”
“กระต่ายค่ะ”
“กระต่ายไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพวกตำรวจข้างนอกเขาก็มาช่วยพวกเราแล้ว” ทั้งที่น้ำตายังอาบแก้มอยู่เด็กน้อยยังพยักหน้าให้วิณณ์อย่างเชื่อมั่น


“ไหนมึงบอกจะปล่อยเด็กไปไง”
“ปล่อยให้โง่”
“......”
“ขืนกูปล่อยไปพวกมึงก็คงไม่ปล่อยพวกกูไปหรอก”


“ไอ้เอ็ม”
“ครับนาย”
“มึงช่วยให้เกียรติผู้กองเขาด้วย”


ผู้กำกับพงษ์เดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าเขา


“ถ้าเราจะช่วยปล่อยเรื่องนี้ไปตั้งแต่แรกเรื่องมันคงไม่มาไกลถึงขนาดนี้หรอก”
“ปล่อย? แล้วให้พวกคุณทำเรื่องชั่วๆ ต่อไปงั้นเหรอ ไม่มีทาง”

“ยังทำปากเก่งได้อยู่อีกนะมึง” ไอ้เอ็มคอยสมทบคำพูดของนายมันไม่ห่าง

“อาบอกเราแล้วใช่ไหมว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก จะตอนนั้นหรือตอนนี้ วิณณ์ไม่มีทางชนะอาได้หรอก”


“แล้วทำไมเด็กนี่ยังอยู่” ผู้กำกับพงษ์หันไปมองเด็กผู้หญิงที่แอบอยู่ข้างหลังวิณณ์
“นังเด็กนี่มันตุกติกครับนาย”
“แล้วมึงจะพาเด็กมาให้ลำบากทำไมวะ ลำพังแค่หนีกันเองก็ยากพอละมึงยังจะเอาเด็กมาเป็นภาระอีก”
“แต่ผมว่ามีเด็กกันไว้มันดีกว่านะครับนาย”

“.......ปล่อยเด็กไป พวกมึงก็ได้ตัวกูมาแล้วจะเอาเด็กมาเป็นภาระทำไมอีก”

“อย่าให้เดือดร้อนทีหลังละ” ผู้กำกับพงษ์ไม่สนใจคำพูดของวิณณ์




>>  มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
>>  ต่อค่ะ





22.00น.


รถของนายอาทิตย์และลมขับตามถนนมุ่งหน้าไปสนามบินโดยมีรถพยาบาลขับตามไม่ห่าง ลมมองหน้าพ่อของตัวเอง ใจหนึ่งก็อยากถามว่าทำไมพ่อเขาถึงไม่เชื่อในสิ่งที่ทั้งคุณป้าดารินและนายวายุพูด แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าพ่อจะมองเขาเป็นพวกไร้สาระ


“ลม”
“ครับ”
“จะพูดอะไรกับพ่อหรือเปล่า”
“พ่อรู้เหรอครับ”
“เราคอยชำเลืองมองพ่อมาตลอดทาง ท่าทางที่เราแสดงออกลูกพ่อเป็นยังไงทำไมพ่อจะไม่รู้ มีอะไร”
“พ่อเชื่อเรื่องที่ทั้งคุณน้าดารินกับนายวายุนั่นพูดไหม”

 คนเป็นพ่อถอนหายใจ

“พ่อจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันไม่ได้มีผลอะไรเลยนะลม แต่จะให้พ่อเชื่อพวกเขาแล้วพ่อไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้พี่ตะวันเขานอนไปแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ถึงต่อให้พ่อเชื่อพวกเขาก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อมันจะสำเร็จ”
“ครับ”
“พ่อทำใจไม่ได้หรอกที่จะรอแต่ปาฏิหารย์ที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงไหม”
“......”
“แค่นี้พ่อก็ทำผิดกับตะวันมาเยอะแล้ว พ่อหันหลังให้เขาตั้งแต่วันที่เขาเกิด พ่อจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว พ่อจะไม่ยอมเสียตะวันไป”
“.......”
“แต่มันไม่ได้หมายความว่าพ่อรักลมน้อยกว่าพี่เขานะ พ่อรักเราทั้งคู่ ลมเข้าใจพ่อใช่ไหม”

“ผมเข้าใจพ่อครับ”




ทางด้านของผู้กำกับพงษ์เมื่อของทุกอย่างเรียบร้อย ก็เตรียมที่จะย้ายออกจากจุดเดิมแต่เขาต้องใช้รถเพิ่มอีกคัน เอ็มยื่นข้อเสนอให้พวกตำรวจนำรถมาให้อีกคัน และเปิดทางให้พวกเขาหลบหนีถ้าไม่อย่างนั้นจะฆ่าเด็กกับวิณณ์ทิ้งซะ

สารวัตรสินธรเรียกประชุมอีกครั้งถ้าลำพังมีแค่จะจับคนร้ายมันก็ยากพออยู่ละ แต่นี่ดันมีตัวประกันตั้งสองคนแถมหนึ่งในนั้นยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ จะทำอะไรพวกเขาต้องระวังกันมากเป็นสองเท่า

สารวัตรสินธรตัดสินใจเดินเข้าไปเจรจากับผู้ร้ายด้วยตัวเอง


“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ มึงมีอะไร”
“เอ็มใช่ไหม เรียกผู้กำกับพงษ์ออกมาหน่อย”
“มึงมีธุระอะไร”
“ธุระของผู้ใหญ่คุยกัน”
“ไอ้....”


“ไอ้เอ็ม”  ผู้กำกับพงษ์เดินมาออกพร้อมกับปรามเอ็ม


“ว่าไงสารวัตรคุณต้องการอะไร เรื่องที่ผมขอไปไปถึงไหนแล้ว”
“ผมขอเวลาเพิ่มคุณก็รู้ การทำตามข้อเรียกร้องของคนร้ายนะมันยุ่งยาก”
“คุณก็ทำให้มันไม่ยุ่งยากซะซิ มันไม่ยากเกินไปสำหรับคุณหรอก ภายในห้าทุ่มถ้าเรื่องไม่เรียบร้อย อย่าหาว่าผมไม่เตือน”






23.00น.


รถ HUV สีดำแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าปั้มร้างตามที่พวกคนร้ายเรียกร้อง


“กระต่าย หนูเห็นพี่ตำรวจที่ยืนอยู่ตรงนั้นไหม”
“ค่ะ”
“ถ้าพี่บอกให้วิ่งเราก็วิ่งเลยรู้ไหม  ไม่ต้องหยุด ไม่ต้องรอพี่ วิ่งไปแล้วอย่าหันหลังกลับมา”
“แล้วพี่ละคะ”
“เดี๋ยวพี่ตามไป ไม่ต้องรอพี่”
“ไม่เอาค่ะ กระต่ายจะไปกับพี่ กระต่ายกลัว”
“ไม่ต้องกลัว กระต่ายอยากเจอแม่ไหม”
“อยากซิค่ะ”
“ถ้างั้นฟังพี่นะ อย่าดื้อ ทำตามพี่บอก”
“แล้วพี่ผู้ชายกับผู้หญิงสองคนนั้นละค่ะ เขาไปกับเราด้วยไหม”


วิณณ์มองตามที่กระต่ายชี้


“หนูเห็นพี่เหรอค่ะ” คุณแอนก้มลงไปถามเด็กน้อย
“เห็นซิค่ะ ทำไมถึงจะไม่เห็นละ”


“ตั้งแต่ตอนไหนเหรอ”
“ก็ตั้งแต่ที่พี่เข้ามานะคะ หนูก็เห็นพี่สองคนนั้นเขาตามพี่มาแต่แรกแล้ว”


“วิณณ์” 

ตะวันเรียกชื่อวิณณ์ด้วยเสียงเบา ภายในใจมันหน่วงอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนเขาทำให้วิณณ์ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ ถ้าวิณณ์ต้องเป็นอะไรขึ้นมามันคือความผิดของเขา ซึ่งวิณณ์เองก็สังเกตุเห็นอาการของคนตรงหน้าได้


“ตะวัน บอกแล้วไงอย่าคิดมาก เราสัญญากันแล้วนะ”
“แต่มันก็ยังกลัวอยู่ดี ตะวัน...ตะวันทนไม่ได้ ถ้าวิณณ์จะต้องเป็นอะไร”
“มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ อย่าคิดมากซิ”


“โอ้ยยยยยย ฉันละกลุ้มทำไมนะ ทำไมพวกเธอต้องมาเจอกัน ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้” 


“ตะวัน พอออกไปข้างนอกแล้วต้องช่วยกระต่ายไปให้ถึง จ่าเติมได้สำเร็จนะ”
“จะให้ทำยังไงละ ตะวันจะไปทำอะไรได้ น้องเขาแค่เห็นตะวันนะตะวันจับต้องอะไรน้องเขาไม่ได้เลยนะ”
“แค่ไปเป็นก็เพื่อนพอ ส่วนเรื่องอื่น วิณณ์จัดการเอง”
“แต่....”



“พวกมึงจะคุยอะไรกันนักหนาวะ”  เอ็มเดินเข้ามาพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงผมของวิณณ์ให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับตน
“ท่าทางมึงคงจะเกลียดกูมากนะ”

“เออกูเกลียดมึง ทั้งเกลียด ทั้งแค้น เพราะมึงลูกน้องกูสองคนถึงต้องตาย อีกไม่นานกูจะส่งมึงไปอยู่เป็นเพื่อนพวกมัน ไป ลุกขึ้น”   

เอ็มกระชากวิณณ์ให้ลุกขึ้นยืน


“เฮ้ย.... มึงอะ เอาตัวพวกมันไปขึ้นรถ”  เอ็มออกคำสั่งให้พาตัววิณณ์กับเด็กน้อยไปขึ้นรถ

วิณณ์และเด็กผู้หญิงถูกพาออกมาเพื่อจะขึ้นรถ วิณณ์ถูกมัดมือไว้อยู่ส่วนเด็กผู้หญิงเดินเกาะชายเสื้อวิณณ์ไม่ห่าง



“กระต่ายเห็นพี่ตำรวจคนนั้นไหมค่ะ”
“เห็นค่ะ”
“ถ้าพี่บอกวิ่ง หนูวิ่งเลยนะคะ พี่ตะวันจะไปเป็นเพื่อนหนู ไม่ต้องกลัวนะ”


ถึงเด็กน้อยจะไม่อยากไปเท่าไหร่ แต่เธอก็พยักหน้าให้อย่างเชื่อฟัง


“ให้คุณแอนไปแทนได้ไหม”  ตะวันกระซิบบอกวิณณ์
“ตะวัน”
“ก็ได้”


วิณณ์ไม่ได้อยากจะไล่ตะวันไปแต่เขาห่วงตะวันเกินกว่าจะเห็นตะวันเป็นอะไร


“สารวัตรนั่นผู้กองกับเด็กครับ” 
“จ่าจัดการตามแผน”


จ่าเติมเดินออกมาด้านหน้าขยับอย่างช้าๆ ไม่ให้พวกมันสงสัยและเพื่อให้เข้าไปใกล้ได้มากที่สุด


“เดินเร็วๆ ลีลาฉิบหายเลยมึงอะ” เอ็มหันมาตะคอกใส่เด็กน้อย พร้อมกับดึงแขนให้เดินตามไป แต่กระต่ายขืนตัวและจับวิณณ์เอาไว้แน่น
“ปล่อยมือซิวะ” เอ็มตะคอกเสียงดังอีกครั้ง ทำให้ผู้กำกับพงษ์ถึงกับต้องหันหลังกลับมามอง

“กับเด็กมึงให้มันเบาๆ หน่อยก็ได้”


วิณณ์ ดึงมือกระต่ายกลับเข้ามาหาตัวพร้อมกับก้มลงไปกระซิบที่ข้างหู


“วิ่ง!!!”


ทันทีที่กระต่ายวิ่งออกไป เอ็มเตรียมที่จะคว้าแขนไว้ แต่วิณณ์ไวกว่า เขากระโดดชนเอ็มจนเสียหลัก และถีบซ้ำเข้าไปที่กลางหลัง

กระต่ายหันกลับมามองวิณณ์ ถ้าเธอไปพี่ชายก็จะต้องเจ็บตัวแน่ๆ เลย แต่พี่ชายสั่งให้เธอไป
เอายังไงดี


“น้องกระต่ายวิ่ง พี่เขาตั้งใจช่วยเราอย่าทำให้พี่เขาผิดหวัง” ตะวันพูดออกไป
“แต่พี่ชายต้องเจ็บตัว”
“แต่ถ้าหนูไม่ไป พี่ชายก็จะเจ็บตัวและเสียใจมากกว่านี้”

[/i]“น้องกระต่ายจ๋า วิ่งเถอะวิ่ง พี่คนสวยขอร้อง”[/i]


“หนู ไอ้หนูวิ่งมา” จ่าเติมเองก็พยายามเรียกเช่นกัน
“แต่....”


ระหว่างที่มัวแต่ละล้าละลัง เอ็มเอื้อมไปหยิบปืนที่เอว แล้วเล็งมาที่กระต่าย



“สาระแนกันดีนักนะ ตายซะเถอะมึง”

“ตะวัน กระต่าย”

“วิ่งไป!!” ตะวันตะโกนสุดเสียงให้กระต่ายวิ่ง  “เจ๊พาเด็กไป”

“แล้วคุณน้องจะไปไหน”
“ไปหาวิณณ์”



“กระต่ายวิ่ง”  วิณณ์ตะโกน แต่ไม่ทันเอ็มเล็งปืนไปที่กระต่าย


ปัง.....


ตะวันตัดสินใจเอาตัวเองบังไว้ กระสุนแล่นตรงเข้าร่างของตะวัน


“ตะวัน!”

“คุณน้อง!”



สายตาทุกคู่เห็นเหมือนกันกระสุนแล่นตรงเข้าหากระต่ายแต่อยู่ดีๆ ก็หยุดกลางทางและตกลงพื้น แต่มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

วิณณ์ตั้งสติได้จึงหันไปเตะปืนที่อยู่ในมือของเอ็มออก พวกลูกน้องเข้ามาจับตัววิณณ์ไว้



“มึงอยากลองดีนักใช่ไหม”  เอ็มลุกขึ้นมาปรี่เข้าไปหาวิณณ์ ชกเข้าไปทั้งใบหน้าและลำตัว “อยากเป็นพระเอกนักเหรอมึง”


อึก
พั่วะ
ตุบ.....ก่อนจะหันไปหยิบปืนที่พื้นขึ้นมา  “มึงได้ตายสมกับเป็นที่อยากพระเอกแน่”



“วิณณ์” ตะวันไร้เรี่ยวแรงที่จะพาตัวเองไปหาวิณณ์ได้แต่มองและเรียกชื่อวิณณ์ซ้ำๆ อยู่กับที่


ทุกอย่างเงียบสนิท วิณณ์ลืมตาขึ้น เอ็มเล็งปืนมาที่เขาและมีผู้กำกับพงษ์เล็งปืนไปที่เอ็มอีกที


“มึงนี่วุ่นวายไม่จบนะไอ้เอ็ม”
“แต่มัน”
“มึงจะโง่ไปถึงไหนวะ ถ้ามึงยิงมันตอนนี้พวกเราทั้งหมดได้โดนจับตายไม่มีทางได้หนีแน่นอน”
“แต่มันช่วยให้เด็กหนีไป”


ผู้กำกับพงษ์ลดปืนลงและเดินเข้ามาหาวิณณ์  ก่อนจะชกเข้าไปที่หน้าของวิณณ์หนึ่งที


ผัวะ


“มึงก็อีกตัว ทำตัวเป็นเสี้ยนตำตีนกูได้อีกไม่นานหรอก พามันไปขึ้นรถ ส่วนมึงก็อย่าใจร้อนให้มันมากนัก”

ลูกน้องคนอื่นทำตามที่นายสั่งวิณณ์ถูกพาตัวขึ้นไปนั่งด้านหลังของรถ HUV พร้อมกับผู้กำกับพงษ์ ลูกน้องอีกคนเป็นคนขับและเอ็มนั่งด้านหน้าข้างคนขับ ลูกน้องอีกสองคนที่เหลือขับกระบะคันที่บรรทุกของไว้เต็มด้านหลัง


กระต่ายวิ่งกลับไปหาจ่าเติมอย่างปลอดภัย ปากก็พร่ำพูดแต่


พี่เขาถูกยิง
.
พี่เขาถูกยิง
.
ช่วยพี่เขาด้วย


จ่าเติมไม่เข้าใจทำไมเด็กเอาแต่พูดแบบนี้ เขาไม่เห็นว่าใครจะถูกยิงซักคน


“พี่สาว ช่วยพี่เขาด้วย พี่เขาถูกยิง”
“หนู หนูพูดกับใคร” กระต่ายไม่ได้ตอบคำถามจ่าเติม

“พี่เขาไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ หนูไปหาแม่เถอะ” 


ถึงแม้แอนจะพูดแบบนั้นแต่เธอไม่คิดว่าตะวันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ ช่วงจังหวะนั้นเธอเห็นและเธอเชื่อว่าคุณวิณณ์ก็ต้องเห็นเหมือนกัน


พลังวิญญาณของตะวันหายไป….








ปี๊ด
.
ปี๊ด
.
.
ปี๊ดดดดดดดด
.
.
ปี๊ด
.
ปี๊ด


เสียงสัญญาณชีพกระตุก ก่อนที่ดังยาว และกลับมาดังตามปกติอีกครั้ง


“เกิดอะไรขึ้น”
“สัญญาณชีพของคนไข้หายไป แต่ตอนนี้กลับมาปกติแล้วครับ คุณอาทิตย์ผมคิดว่ามันเสี่ยงไปครับ”
“.......”
“ตอนนี้ไม่สมควรจะเสี่ยงพาคนไข้ไปครับ มันอันตรายเกินไป”
“ไหนหมอบอกว่าเครื่องมืออุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมไม่ต้องห่วงไง”
“มันก็ใช่ครับ แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่คนไข้ด้วย ต่อให้เครื่องมือพร้อมแค่ไหนถ้าร่างกายของคนไข้ไม่พร้อมผมก็ไม่สามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”


“พ่อครับ”  ลมทักท้วงพ่ออีกคน







“ไปต่อ”









--------------------------

Talk : เนื้อหาตอนจบค่อนข้างเยอะมาก จะตัดหรือทิ้งตรงไหนมันทำไม่ได้จริงๆ จึงต้องตั้งใจอย่างมากเพื่อเก็บรายละเอียดให้ครบ ถ้าช้าอย่าโกรธกันน้า เขาจะพยายามอย่างสุดฝีมือ


ขอบพระคณมากคร่าา ที่ติดตามกัน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอยยยยย  ค้างคา

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ขอ 2-3 ทีที่หัวอิตาคนพ่อ คงไม่เป็นไรนะ  :fcuk:

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ทำไมเป็นพ่อแบบนี้น้อ ทิ้งเขาไปตั้งแต่เกิด แต่บทจะกลับมาแทนที่จะช่วยกลับกลายเป็นช่วยซ้ำให้หนักกว่าเดิม แย่สุดๆ ตะวันดับซะล่ะมั้ง

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 36
ไขว่คว้า



ตั้งแต่ขึ้นรถมาวิณณ์ไม่มีสมาธิสนใจกับอะไรทั้งนั้นเขาเอาแต่จ้องมองไปที่ตะวัน ถึงเขาจะยังเห็นตะวันแต่เขารู้สึกได้ ว่าบางอย่างมันแปลกไป

ตะวันเองก็คงจะรู้ว่าวิณณ์กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงได้พึมพำพูดแต่ประโยคเดิมๆ ให้วิณณ์สบายใจ


“ไม่เป็นไร ตะวันยังสบายดี ไม่ป็นไร”


วิณณ์หันไปมองด้านหลังรถ เขาเห็นรถตำรวจขับตามมาอยู่ห่างๆ เขาพอรู้แผนที่เตรียมไว้ และได้แต่ภาวนาว่าแผนจะไม่เปลี่ยนระหว่างที่เขาถูกจับมาเป็นตัวประกัน

ถ้าแผนไม่เปลี่ยนและถ้าเขาจำไม่ผิดอีก 10กิโลจะถึงด่านสกัดที่เตรียมไว้ พวกเขาต้องจบให้ได้ที่จุดนี้เพื่อไม่ให้เรื่องยืดเยื้อ ถ้าพวกผู้กำกับหลุดไปได้อีก เรื่องมันต้องยุ่งยากกว่าเดิม วิณณ์มองรอบๆ สองข้างทางมันเป็นที่นาของชาวบ้านและที่ดินรกร้างมีต้นไม้ขึ้นสูงเต็มไปหมด เขานึกถึงแผนที่ที่สารวัตรสินธรชี้ให้ดูมันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดเส้นทาง

และจากจุดนี้ไปอีก 5กิโลเมตรจะมีทางแยกที่สามารถลัดเลาะไปยังจังหวัดใกล้เคียงได้ แต่ถนนเส้นนั้นยังเป็นดินแดงอยู่ ถ้าคนร้ายเลือกใช้เส้นนั้นหลบหนีก็จะเพิ่มความลำบากไปอีก


“ตำรวจพวกนี้กัดไม่ปล่อยจริง” ผู้กำกับพงษ์เอ่ยออกมา


วิณณ์ดูนาฬิกาที่ข้อมือ 23.30น. ยิ่งใกล้เที่ยงคืนตะวันยิ่งดูแย่ เขาต้องรีบแล้ว


“นายครับข้างหน้ามีด่านครับ”
“น่ารำคาญจริง ฝ่าไป ใครขวางก็ชนมัน”


ด่านสกัดมีกำลังตำรวจอยู่หลายสิบนาย อาวุธครบมือ สิ่งกีดขวางเต็มพื้นที่ คำสั่งคือจับเป็นเพราะในรถมีตัวประกัน


“นาย ผมว่าโยนมันทิ้งนอกรถไปเถอะครับ ผมรู้ทางลัด ผมพานายไปได้ แต่ถ้าเราเอามันไปด้วยมันจะเป็นตัวถ่วงนะครับ”

ลูกน้องที่ทำหน้าที่ขับรถเสนอความคิดเห็น

“ถ้ามึงแน่ใจว่าจะพาพวกกูไปรอดได้มึงก็พาไป แต่กูไม่ทิ้งตัวประกันมันต้องไปด้วย”
“ได้ครับ จับดีๆ ละนาย”


รถ HUV ขับนำหน้าตามด้วยรถกะบะ คันเร่งถูกเหยียบจนมิดก่อนจะพุ่งตรงเข้าชนด่าน

แท่นพลาสติก
กรวย
ลวดหนาม
และตะปูยาง

ถูกชนถูกเหยียบกระจาย

ปึก ปัก ปุ๊ ฟฟฟฟี่  เสียงลมจากล้อ


“ไม่ต้องห่วงนาย ผมพานายไปรอดได้แน่นอน”


ปัง ปัง ปัง

ตำรวจยิงกระสุนใส่ล้อของรถกะบะที่ตามมาอย่างจัง วิณณ์เห็นรถส่ายก่อนจะแฉลบเข้าข้างทาง ชนเข้ากับแท่งแบริเออร์และพลิกคว่ำ


“ไปต่อ” ผู้กำกับพงษ์ทิ้งทั้งของทั้งลูกน้อง
“คุณจะทิ้งพวกลูกน้องคุณเหรอ”
“คนเราก็ต้องเลือกตัวเองก่อนทั้งนั้น”
“ผมสงสารลูกน้องคุณจริงๆ ที่ไว้ใจคุณ”

วิณณ์จงใจพูดเน้นคำ ไม่มากก็น้อยพวกข้างหน้าต้องรู้สึกบ้าง ภายในรถเงียบมีแต่เพียงเสียงลมหายใจที่ดังลอดมา


หนึ่งคนมองคนข้างหลังผ่านกระจก
อีกคนกำมือแน่น คิดถึงลูกน้องของตัวเองสองคนที่ต้องตายเพราะนายเหนือหัวมองเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง จะเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้


“นายข้างหน้ามีรถ ผมว่าเราเปลี่ยนรถดีกว่า มึงปาดหน้าเข้าไปเลย”  เอ็มออกความคิด


พวงมาลัยรถหักเข้าข้างทางจอดตัดหน้ารถ ไอ้เอ็มกระโดดลงจากรถใช้ปืนจี้บังคับเอากุญแจรถจากเจ้าของ ด้วยความตกใจเจ้าของจึงลนลาน กุญแจถูกยื่นให้มือไม้สั่นก่อนจะล่วงลงพื้น เอ็มโมโหเขาตรงไปผลักเจ้าของรถให้หลีกไป และคว้ากุญแจที่พื้นขึ้นมา


“พี่ผมไหว้ละ อย่าเอารถผมไปเลยนะ ผะ....ผมต้องเอาไว้ทำมาหากิน”
“ถ้างั้นก็ตายซะมึงจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเครื่องมือทำมาหากิน”


“ไอ้เอ็มมึงนี่จะฆ่าคนอย่างเดียวเลใช่ไหม ไป!” ผู้กำกับพงษ์ออกคำสั่ง “แล้วก็ไปพาไอ้ผู้กองลงมาด้วย”


วิณณ์ถูกดึงออกมาจากรถเขาอาศัยจังหวะที่เอ็มเผลอ กระทืบลงไปบนเท้าของเอ็มและศอกไปที่ท้อง เอ็มเจ็บคนจ้องปล่อยมือจากวิณณ์ หลังจากนั้นเขาพุ่งตัวกระแทกผู้กำกับพงศ์จนล้มลง ก่อนนะวิ่งหนีข้ามมาอีกฝั่งถนน



เอ็มคว้าปืนขึ้นมายิงไล่หลังวิณณ์ไป

ปัง
ปัง



“ไอ้เอ็มไม่ทันแล้ว ตำรวจแห่กันมาแล้ว ไปเร็ว”

คนขับรถตะโกนเรียกมาจากในรถ ผู้กำกับพงษ์ขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ และเอ็มกระโดดขึ้นหลังรถกะบะ วิณณ์หลบอยู่ตรงไหล่ทาง พอมั่นใจว่าพวกของเอ็มไปแล้วเขาจึงออกมา ประกอบกับจ่าเติม และรถตำรวจมาถึงพอดี


“ผู้กองเป็นยังไงบ้างครับ”  จ่าเติมรีบวิ่งเข้ามาดึงผู้กองขึ้นจากข้างทาง
“ไม่เป็นไร จ่าแก้มัดผมก่อน”

เชือกถูกตัดออก รอบข้อมือของวิณณ์เป็นรอยแดงจากเชือกบาดอย่างเห็นได้ชัด

“ผู้กองเอายังไงต่อดีครับ”

นายตำรวจคนหนึ่งเอ่ยถามเขา วิณณ์เห็นรถมอเตอร์ไซต์สายตรวจขับมาจอด

“จ่าเติมกับพวกคุณขับรถตามพวกมันไป”
“แล้วผู้กองละครับ”

วิณณ์ไม่ตอบแต่เดินที่รถมอเตอร์ไซต์สายตรวจคันนั้นแทน

“ผมไปคันนี้”
“ผู้กองเดี๋ยวครับ” จ่าเติมวิ่งมาพร้อมกับยื่นปืนมาให้เขา
“ของสำคัญลืมไม่ได้นะครับ”
“ขอบใจจ่า”


ตะวันยังคงตามวิณณ์ไปตลอด


“ตะวันจับแน่นๆ นะ”

วิณณ์จับมือตะวันให้มากอดที่เอวเขา เขาไม่ได้กลัวว่าตะวันจะตกหรืออะไร แต่สิ่งที่กลัวมันมากกว่านั้น กลัวว่าตะวันจะหายไป


บรื้นนนนน


ตอนนี้ทั่วทั้งถนนมีแต่เสียงเครื่องยนต์ขับไล่ตามกัน ทั้งบิดทั้งเหยียบกันจนสุดไม่มีใครยอมใคร  รถกะบะขับอยู่ข้างหน้าเขา เขาพยายามเร่งเครื่องให้ทัน


“ไอ้เอ็ม จัดการมันซะ”
“จัดไปครับนาย”


ปัง
ปัง


กระสุนปืนถูกยิงเข้าใส่วิณณ์ เขาพยายามขับหลบฉวัดเฉวียนไปมา วิณณ์ค่อนข้างเสียเปรียบเพราะเขาทั้งขับรถ ไหนจะต้องหลบกระสุน จะยิงตอบโต้ก็ลำบากน่าดู


“วิณณ์มันอันตรายนะ รอกำลังเสริมก่อนดีกว่าไหม”
“ไม่เป็นไร เชื่อใจวิณณ์”


ปัง


เพราะมัวแต่สนใจคนข้างหลัง กระสุนหนึ่งนัดถูกยิงมาและเฉียดแขนซ้ายของวิณณ์ไป


“อุ๊บ.....”

“วิณณ์”
“ไม่เป็นไร”
“แต่เลือด”
“แค่ถากๆ นะ ....เกาะดีๆนะ”


วิณณ์ฝืนขับรถไปต่อ แต่เขาทิ้งระยะห่างไว้ให้พอที่มองเห็นล้อรถ เขาใช้แขนข้างที่เจ็บ หยิบปืนขึ้นมาเล็งไปที่ล้อหลังรถกะบะ


ปัง
ปัง


กระสุนสามนัดถูกยิงออกไปเข้าล้อหลังอย่างจัง ทำให้รถสะดุดแต่คนรัายยังพยายามประคองรถ และเอ็มตอบโต้กลับเช่นกัน

วิณณ์พยายามขับเบี่ยงไปทางขวาเพื่อมองให้เห็นล้อหน้า ก่อนจะเล็งอีกครั้ง เขายิงออกไปหนึ่งนัดกระสุนเข้าที่ล้อหน้าอย่างตรงเป้า โดนไปทั้งล้อหน้าล้อหลังทำห้รถเซและเสียการทรงตัวพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง

วิณณ์จอดรถ


“ตะวันรอนี่นะ”

“วิณณ์ วะ................วิณณ์” ตะวันเอ่ยเสียงอย่างแผ่วเบา ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัว


ภายในรถผู้กำกับพงษ์ตัวกระแทกกับคอนโซลหน้ารถจนสลบ คนขับสลบอยู่ข้างกัน เลือดไหลเลอะเต็มไปทั้งตัว

จ่าเติมพร้อมด้วยกำลังตำรวจตามมาทัน

“หูย แบบนี้ไม่น่าจะรอดนะผู้กอง”
“เรียกรถพยาบาลด้วยจ่า”
“รับทราบครับ”

“ผู้กองผู้ร้ายมันมีกี่คนนะครับ”  จ่าเติมเดินดูรอบรถก่อนจะเอ่ยถามขึ้น เขาถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“สาม ผู้กำกับ คนขับรถ แล้วก็.....ไอ้เอ็ม” วิณณ์เพิ่งนึกออกเขาไม่เห็นมันตั้งแต่วิ่งมาดูแล้ว


“ฉิบหายแล้วไหมละ ไอ้นี่มันแมวเก้าชีวิตจริงๆ”

วิณณ์สังเกตเห็นรอยเลือดที่พื้น

“จ่าให้ตำรวจกระจายกำลังสำรวจ มันน่าจะบาดเจ็บคงยังไปไหนไม่ได้ไกลหรอก”
“แล้วผู้กองจะไปไหนครับ ผู้กอง.....แล้ว.....ปืน  ไม่ทันซะละ”

จ่าเติมมองปืนของผู้กองที่อยู่ในมือเขา ก่อนจะพึมพำเบาๆ

“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”




วิณณ์งหน้าเดินไปยังจุดที่เขาให้ตะวันรอ

“ตะวัน”
“ตะวันอยู่ไหน”


“ตะวัน.....
...ตะวัน....”



ใจของวิณณ์สั่นไหว มันสั่นระรัวราวกับจะหลุดออกมา เขารีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู


00.01น.


“ตะวัน”
.
.
.
“ตะวัน” คำสุดท้ายที่เขาพูดกับตะวันคือให้รอตรงนี้

วิณณ์กระวนกระวายใจ เขาเดินตามหาตะวันไปรอบๆ ถึงจะพยายามตะโกนเรียกแค่ไหน ตะวันก็ไม่ขานรับไม่โผล่หน้ามาให้เขาเห็นเหมือนเคย ในขณะที่คนอื่นๆ สนใจและจัดการกับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่มีใครสังเกตถึงเหตุการณ์ด้านหลัง

วิณณ์เดินออกห่างจากกลุ่มไป


“ตะวันออกมาเถอะ พี่ขอร้อง”

เงียบ....

เขาจนใจไม่รู้จะทำยังไง จนนึกขึ้นมาได้ว่าคนเดียวที่จะให้ตะวันกลับมาหาเขาได้


“ท่านพญายมครับผมขอร้องให้ตะวันกลับมาได้ไหม 
ผม........ผม.....
เรายังไม่ได้ลากันเลย
.....แล้วภารกิจก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว ให้โอกาสตะวันอีกครั้งได้ไหมครับ............ได้ไหม”


เสียงสุดท้ายเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและสั่นเครือ

“ได้โปรด ผมขอร้อง”

น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อคลอ ตอนแรกเขาไม่เข้าใจตัวเองว่าเป็นอะไร เขาคิดว่าเขาคงสงสารตะวันเท่านั้น แต่เขารู้แล้วมันไม่ใช่ ทุกการกระทำและความรู้สึกของเขา เขารู้แล้ว


เขารักตะวัน


ไม่ได้รักแบบพี่น้อง หรือเพื่อนร่วมโลก
ไม่ใช่รักแบบที่รักพ่อแม่พี่น้องหรือครอบครัว

แต่เขารักเหมือนที่ผู้ชายทั่วไปจะรักคนคนหนึ่งได้  เป็นความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะปกป้องคนอีกคน

มันเกิดขึ้นตอนไหนไม่รู้

รู้แค่ว่า แค่คิดว่าตะวันจะไม่อยู่เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว


“ผมขอร้อง ผมรักตะวัน พี่รักตะวันได้ยินไหม”






“มึงนี่ท่าจะบ้าเนอะ พร่ำเพ้อพรรณาห่าเหวอะไรอยู่วะ ท่านพญายมบ้าบออะไร”
“ไอ้เอ็ม”
“อ๋อ มึงอยากตายไปหาพญายมใช่ไหม ไม่ต้องไปร้องหาพญายมที่ไหนหรอก กูนี่แหละจะเป็นมัจจุราชมาเอาชีวิตมึงเอง”


เอ็มยกปืนเล็งไปที่วิณณ์

วิณณ์ควานหาปืนของเขาแต่ก็ผิดหวังเพราะเขาเอามันฝากจ่าเติมไว้เองเมื่อกี้

เอ็มกระชากคอเสื้อวิณณ์ขึ้นมาแล้วต่อยไปที่หน้าวิณณ์


“สำหรับลูกน้องสองคนของกูที่ต้องมาตายเพราะมึง”
“นั่นมันเพราะตัวของมึงเอง”
“สัด


พั่วะ เอ็มต่อยเข้าไปที่หน้าของวิณณ์ พร้อมเอาปืนจ่อไปที่หัวของวิณณ์พร้อมกับระบายคำพูดอย่างโมโห


“ก็ถ้ามึงไม่มาเสือกพวกกูก็คงไม่ต้องมาวุ่นวายกับมึง มันคือความผิดของมึง วันนี้ละกูจะแก้แค้นให้พวกมัน”
“แล้วถ้ากูบอกว่าพวกมันยังไม่ตายละ”
“มึงพูดอะไร”
“ลูกน้องมึงมันยังไม่ตาย”
“มึงอย่ามาหลอกกู กูไม่เชื่อมึงหรอก” เอ็มตะคอกเสียงดัง และต่อยเข้าไปที่วิณณ์อีกครั้ง

หน้าตามีแต่รอยแดงช้ำ เลือดไหลจากคิ้วและปาก แต่เขาก็ยังฝืนที่จะพูดให้เอ็มเปลี่ยนใจ


“มอบตัวซะเถอะ สู้ไปไม่มีประโยชน์หรอก”
“ไม่มีประโยชน์เหรอ หึ ถ้ากูยิงมึงมีประโยชน์แน่”


เอ็มผลักวิณณ์ลงไปกับพื้น ตอนนี้เขาเหมือนคนจิตใจสับสนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่เคียดแค้นจ้องจะแก้แค้นทำให้เขาไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น

สบโอกาสตอนที่เอ็มกำลังเผลอตรงเข้าไปแย่งปืนจากเอ็ม ปืนกระเด็นไปอีกทาง ทั้งคู่สู้กันชุลมุน

หมัดต่อหมัด ตอบโต้กันไปมา


ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แค่ว่าใครจะทนไม่ไหวกว่ากันเท่านั้นเอง
.
.
.
.
ตะวันยืนมองดูด้วยใจวูบไหว น้ำตาพาลไหลร้องไห้โวยวายทุกครั้งที่วิณณ์เสียเปรียบ  เขาทำอะไรไม่ได้ ได้แแต่ตะโกนเรียกชื่อวิณณ์ซ้ำไปซ้ำมา


(วิณณ์......วิณณ์ เจ๊ทำไงดี ช่วยวิณณ์ยังไงดี)
(คุณน้องใจเย็นๆ เจ๊ก็ไม่รู้จะทำยังไงละ)



แต่ก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งหรือบาปกรรมที่ตามมา

“วิณณ์”

เสียงตะวันที่เปล่งออกมาทำให้วิณณ์หันไปสนใจทางอื่น เอ็มได้จังหวะพุ่งไปคว้าปืนที่พื้นก่อนจะ

“วิณณ์ ………………ไม่…………….”



ใจของตะวัน แทบแหลกสลายเมื่อรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยที่ไม่ต้องคิด ตะวันเอาร่างของตัวเองไปกันกระสุนให้วิณณ์


ปัง


เสียงดังราวกับฟ้าผ่ากระสุนพุ่งตรงเข้าร่างของคนทั้งคู่ มันทะลุผ่านร่างของตะวันและไปหยุดค้างอยู่ที่ร่างของวิณณ์
วิณณ์ล้มลงโดยมีตะวันอยู่ในอ้อมกอด
เขามองหน้าเด็กน้อยในอ้อมกอด


“เจอแล้ว....อย่าหายไปไหนอีกนะ”


นี่คือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดและไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น






ก่อนหน้านี้



ตะวันพยายามเปล่งเสียงเรียกวิณณ์แต่มันก็เบามากจนแทบไม่ได้ยิน พลังงานของเขาก็ดูริบหรี่เหลือเกิน

เขารู้สึกได้

“คุณน้อง”

“เจ๊ทำไงดีวิณณ์ไม่เห็นผมแล้ว ไม่ได้ยินผมด้วย”
“ใจเย็นนะ”

.
.
.
.
.
.
.

ปี๊ด

ปี๊ด

ปี๊ด


สัญญาณชีพที่ดังขาดจังหวะไม่สม่ำเสมอยิ่งทำให้คนบนรถร้อนรน

“คุณอาทิตย์ผมว่าเราต้องรีบพาคนไข้ไปโรงพยาบาลที่ใกล้และมีเครื่องมือพร้อมกว่านี้”
“พ่อครับ”

อาทิตย์นิ่งเหมือนกำลังพยายามใช้ความคิด แต่เหตุการณ์ตรงหน้าไม่สามารถรอได้แล้ว ถ้าพ่อเขายังไม่ตัดสินใจ เขาจะตัดสินใจเอง

“เอารถกลับไปที่โรงพยาบาล”
“ที่ไหนครับ”
“รพ xxx”

“หมอชาย ผมลมนะครับ ผมต้องรบกวนคุณหมอมาโรงพยาบาลตอนนี้เลยนะครับ .... ครับ พี่ตะวันอาการทรุดลง”


ลมถือวิสาสะตัดสินใจแทนพ่อของตัวเอง เพราะถ้าขืนยังช้า พี่ตะวันคงไม่รอดแน่ ไม่นานรถตู้ก็แล่นเข้ามาจอดหน้าตึกฉุกเฉิน โดยมีหมอชายรออยู่แล้ว


“หมอครับขอโทษนะครับที่ต้องรบกวนกลางดึกแบบนี้”
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นครับ”
“เรากำลังจะพาพี่ตะวันไปรักษาที่อเมริกา”
“อเมริกา มันเสี่ยงมากเลยนะคุณกับสภาวะของผู้ป่วยที่เป็นแบบนี้”
“ผมทราบครับ แต่ตอนนี้หมอช่วยพี่ตะวันก่อนเถอะครับ”
“งั้นพาเข้าด้านในเลยครับ....เจ้าหน้าที่พาคนไข้เข้าห้องฉุกเฉินด่วน”

ป่านนี้คุณน้าดาราคงกระวนกระวายใจว่าลูกตัวเองไปอยู่ที่ไหนแล้ว ลมจึงตัดสินใจโทรบอกแม่ของตะวัน เธอตอบรับอย่างร้อนรนและจะรีบมาโรงพยาบาลให้ไวที่สุด

ห่างกันไม่ถึง 5 นาที

วี้ หว่อ วี้ หว่อ สัญญาณรถกู้ชีพวิ่งมาอย่างไวตรงเข้ามาจอดที่หน้าตึกเช่นกัน


“หมอ หมอครับ”  จ่าเติมตะโกนโวยวายเสียงดัง

“หมอไปไหนกันหมด คนเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“ใจเย็นนะคุณ หลีกทางให้เจ้าหน้าที่พาคนเจ็บเข้าไปข้างในด้วยค่ะ” พยาบาลท่าทางเข้มงวดคนหนึ่งเดินเข้ามาจัดการและยุติเหตุการชุลมุน


“หมอละครับ ตามหมอชายหรือหมอฟิล์มมาก็ได้”
“ตอนนี้หมอชายกำลังติดเคสที่ห้องฉุกฉินอยู่ค่ะ”
“โธ่”
“ใจเย็นค่ะคุณอย่าเพิ่งใจร้อนนะคะคนไข้เป็นใคร และโดนอะไรมาค่ะ”
“พวกเราเป็นตำรวจ คนไข้คือผู้กองวิณณ์ เขาถูกยิงมาครับ โธ่ คุณพยาบาลครับ รีบหน่อยเถอะลือดไหลจะหมดตัวแล้ว”


“เอะอะอะไรกันครับ อ้าว จ่าเติม”
“หมอฟิล์ม หมอช่วยผู้กองด้วย ผู้กองถูกยิงครับ”
“ไอ้วิณณ์? ไอ้วิณณ์นะเหรอจ่า?”
“ก็ใช่นะซิครับ”
“เจ้าหน้าที่พาเข้าห้องฉุกเฉินด่วน พี่พร หมอชายละครับ”

“มีเคสฉุกเฉินเข้ามาก่อนหน้านี้ค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ”
“หมอผมฝากผู้กองด้วยนะครับ”
“มันเกิดอะไรขึ้นครับจ่า”
“ผู้กองถูกคนร้ายที่ตามจับยิงเอานะครับ เรื่องมันยาวครับหมอฟิล์ม หมอฟิล์มช่วยผู้กองก่อนเถอะนะครับ”
“จ่ารอข้างนอกก่อนแล้วกัน”


หมอฟิล์มเดินตามเข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน

ด้านนอกตอนนี้จึงมีนายอาทิตย์ ลม จ่าเติมรออยู่ ไม่นาน ดาราแม่ของตะวัน วายุ และดาริน ก็ตามมาสมทบ โดยที่ดารินไม่ได้รู้มาก่อนว่าพี่ชายตัวเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน


“จ่าเติม.....จ่าเติมมาทำอะไรค่ะ”
“คุณดาริน มาได้ยังครับ หรือว่ารู้เรื่องแล้ว”
“รู้เรื่องอะไรค่ะ”

“ก็ผู้กองถูกยิงนะครับ”

“หะ! พี่วิณณ์ถูกยิง” 

ดารินทรุดนั่งลงกับพื้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังไปทั่วจนตอนนี้เธอสั่นไปทั้งตัว กลัวพี่ชายจะเป็นอะไร กลัวว่าถ้าแม่รู้เรื่องเข้าจะเป็นยังไง น้ำตาไหลอาบแก้มพร้อมกับเสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้

เธอไม่ได้เตรียมใจที่จะมาเจอข่าวร้ายตอนนี้ เพียงแค่จะมาเป็นเพื่อนน้าดาราแต่เธอกับได้รับข่าวร้ายซะเอง


“ใจเย็นนะหนูดา” 

ดารากอดดารินไว้ในอ้อมกอด เธอสงสารดารินสุดหัวใจเธอรู้ว่า การที่คนที่เรารักต้องอยู่ระหว่างความเป็นความตาย แล้วทำได้แค่รอเท่านั้น ความรู้สึกมันเป็นยังไง


วายุเองก็ปลอบใจอยู่ไม่ห่าง


“แล้วผู้กองอยู่ไหนแล้วครับตอนนี้”
“หมอฟิล์มกำลังช่วยอยู่ครับ”


“ตะวันอยู่ในนั้นผู้กองก็อยู่ในนั้นด้วยเหรอ” วายุพึมพำทำไมมันบังเอิญขนาดนี้


“จ่าเติมค่ะ แม่รู้หรือยังค่ะ”
“ยัง จ่ายังไม่กล้าบอกเลย”
“ค่ะ อย่าเพิ่งบอกแม่นะคะ เดี๋ยวหนูบอกแม่เอง”
“ครับ”




>> มีต่อด้านล่าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
>>  ต่อ




เตียงสองเตียงถูกเข็นเข้ามาอยู่เคียงข้างกัน ฝั่งซ้ายคือร่างของตะวันที่นอนหมดสติตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ ฝั่งขวาคือร่างของวิณณ์ กระสุนถูกยิงเข้าที่กลางหน้าอกเฉียดหัวใจไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร เสื้อชุ่มไปด้วยเลือด พยาบาลต้องใช้กรรไกรตัดเสื้อออกเพื่อไม่ให้แผลกระทบกระเทือน

หมอชายและหมอฟิล์มยืนมองเตียงของคนทั้งคู่ตรงหน้าก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ตะวันต้องสอดท่อใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะหัวใจของตะวันอ่อนแอและการหายใจยังไม่เป็นปกติ

ส่วนวิณณ์ต้องทำการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนและระวังที่สุด ถึงกระสุนจะไม่โดนหัวใจ แต่ตำแหน่งที่ถูกยิงอยู่ในจุดเสี่ยง ถ้าพลาดเพียงนิดเดียวอาจทำให้ถึงชีวิตได้


ดารินกลั้นใจกดโทรศัพท์หาผู้เป็นแม่ เพราะเธอไม่อยากให้แม่ต้องเสียใจถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วแม่เป็นคนที่รู้ทีหลังและไม่ทันได้ดูใจพี่ชาย


[ว่าไงยายดาไปเที่ยวไหนอยู่ป่านนี้ยังไม่ยอมกลับบ้านเลยนะ]
“ฮึกก....กก  แม่ค่ะ......”
[…….]
“แม่ พี่วิณณ์”
[พี่วิณณ์ทำไม....ดารินพูดซิ แม่ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าหนูเอาแต่ร้องไห้แบบนี้]
“แม่......พี่วิณณ์ถูกยิงค่ะ”


ปลายสายเงียบไป จนดารินหวั่นใจและกลัวว่าแม่จะเป็นอะไร เธอบอกแม่ว่าให้รอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน แต่สุดท้ายแม่เธอก็เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นว่าจะตามมาที่โรงพยาบาลให้ดารินรออยู่ที่นี่

ทุกคนนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินเป็นเวลานานกว่า สองชั่วโมงที่ไม่มีแม้แต่หมอหรือพยาบาลออกมาส่งข่าวอะไรเลย


แกรกกกก


หมอชายเปิดประตูออกมา และเดินตรงไปพูดคุยกับครอบครัวของตะวัน

ดารินและแม่นั่งรออยู่ไม่ห่าง ผู้เป็นน้องร้องไห้จนตาบวมไปหมด แต่ผู้เป็นแม่กลับเข้มแข็งกว่าที่คิด เหตุการณ์เหล่านี้เธอเตรียมใจมาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึก ที่ต้องเข็มแข็งก็เพื่อลูกอีกคน


“แม่ครับ”
“ฟิล์ม วิณณ์เป็นยังไงบ้างลูก”
“ผมพาเอากระสุนออกให้แล้วครับ แต่วิณณ์เสียเลือดมากต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อเพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด”
“โธ่ วิณณ์”
“พี่วิณณ์” แม้จะผ่าเอากระสุนออกแล้วแต่อาการก็ยังไม่พ้นขีดอันตรายแต่แค่นี้ทั้งเธอและแม่ก็ใจชื้นขึ้นมาได้หน่อยแล้ว
“หมอค่ะ แล้วพี่ตะวัน”
“หมอครับ”

วายุเดินเข้ามาพอดี

“ครับ”
“ผมกับคุณน้าดาราเราจะขอให้คุณหมอช่วยให้ตะวันและคุณวิณณ์อยู่ห้องเดียวกันครับ”
“ทำไมละครับ?”
“ผมคิดว่าคุณวิณณ์น่าจะต้องการแบบนั้น”
“ค่ะพี่ฟิล์ม ดารินก็ขอร้องด้วยนะคะ อย่าแยกพวกเขาเลยค่ะ ให้เขาอยู่ห้องเดียวกันเถอะนะคะ”


ฟิล์มมองหน้าทั้งสองอย่างชั่งใจ ก่อนที่จะหันไปมองผู้เป็นแม่ของทั้งสองคน

“คุณน้าทั้งสองละครับ”
“น้าคิดว่าตะวันและคุณวิณณ์เองน่าจะต้องการแบบนั้นค่ะ”
“แล้วแม่ละครับ” หมอฟิล์มหันมาแม่ของวิณณ์
“แม่ค่ะ..นะ”
“เอ่อ  แม่ไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่ถ้าทั้งคุณวายุ ยายดาริน และคุณคิดว่านั่นดีกับทั้งสองคน แม่ก็โอเคจ้ะ”

“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะแม่”


ในห้องพักฟื้นปลอดเชื้อ เตียงของตะวันถูกวางเคียงคู่กับวิณณ์ ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่สามารถรับรู้ได้ตอนนี้ แต่นี่น่าจะดีสำหรับทั้งคู่บ้างไม่มากก็น้อย

.

.

.

.

.

.

.

.




ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีคนสองคนนอนกอดกันอยู่ตรงนั้น และดูเหมือนมันจะไม่มีอะไรมาทำลายความสุขนี้ลงได้


“ตะวัน”
“อืม”


คนร่างเล็กนอนซบไหล่ตอบรับอย่างเกียจคร้าน บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะกระชับแขนรัดแน่นขึ้นไปอีก


“ตะวันลืมตาหน่อยครับ”
“ขอนอนอีกนิดได้ไหมอ่า เพิ่งเคยรู้สึกว่าได้นอนเต็มที่ก็วันนี้เอง”
“เดี๋ยวค่อยนอน ตอนนี้ลืมตาก่อน”


ตะวันยังคงหลับตา นั่นทำให้วิณณ์จะต้องหาวิธีปลุกคนขี้เซาคนนี้ให้ได้ เขาเฉยคางตะวันขึ้นก่อนจะจุมพิตลงไปที่ปากบางเบาๆ และย้ำอยู่อย่างนั้น


“ตื่นเถอะครับ”
“อืม”


ตะวันยอมลืมตาขึ้นสายตาที่วิณณ์มองเขาตอนนี้ทำให้ตะวันทั้งอายและเขิน


“เล่นปลุกกันแบบนี้เลยเหรอ”
“ก็ตะวันขี้เซาอะ เรียกไม่ยอมตื่นก็ต้องปลุกแบบนี้แหละ”
“ตื่นแล้วคร้าบบ”


แสงตรงหน้าสว่างจ้าจนตะวันต้องลุกขึ้นและปรับสายตาตัวเองให้ชินกับสถานที่

เอ๊ะ ที่นี่ที่ไหน แล้วทำไมเขามาอยู่ตรงนี้

แต่....ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้น
เหมือนเขาเคยมาแล้ว


“ทำไมเรามาอยู่ที่นี่กันได้ละวิณณ์ ก่อนหน้านี้เราทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไม่รู้ซิ”
“ตะวันคุ้นเหมือนเคยมายังไงไม่รู้”
“อืม”
“วิณณ์ไม่แปลกใจเหรอ”
“ไม่อะ สงบดี ชอบ ให้อยู่ที่นี่เลยก็ได้นะ แต่.......”
“........”
“ต้องมีตะวันอยู่ด้วยนะ”
“ปากหวานเนอะ”
“แล้ว.......ที่ชิมไปเมื่อกี้ หวานไหมละ”
“บ้า”
“ฮึฮึ”


ตะวันยังคงสงสัยก่อนหน้านี้พวกเขาทำอะไรกันอยู่ทำไมนึกไม่ออก แล้วที่นี่มันก็คุ้นมากเขาต้องเคยมาแล้วแน่ๆ แต่ก็จำไม่ได้อีกอยู่ดี


“นี่ยังนึกอยู่อีกเหรอ”
“ใช่”


ตะวันลุกขึ้นเดินไปดูรอบๆ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีต้นไม้ใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่ข้างหน้า  และถ้าลองมองดีๆ ข้างหลังของต้นไม้นั้นมีสะพานด้วย


“วิณณ์ วิณณ์ว่าเราอยู่ที่มีนานแค่ไหนแล้วเหรอ”
“ไม่รู้ซิ ทำไมตะวันเบื่อแล้วเหรอ”
“ไม่อะ มีวิณณ์อยู่ด้วยที่ไหนตะวันก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละ”


วิณณ์สวมกอดตะวันจากทางด้านหลัง

ใช่…..เขาเองก็คิดเหมือนกัน มีตะวันอยู่ด้วยที่ไหนเขาก็อยู่ได้ทั้งนั้น




ตุ๊บบ...



ตัวตะวันกระตุกอย่างแรงจนตัวงอแล้วไอ้ความรู้สึกที่จี๊ดที่หัวใจมันคืออะไร



ตุ๊บบ...



“ตะวัน เป็นอะไร”
“ไม่รู้อะวิณณ์ อยู่ดีๆ เหมือนตัวมันกระตุกขึ้นมาเอง”



ตุ๊บบ....



“โอ๊ะ”


“ตะวัน”  วิณณ์ประคองตะวันแนบกับอก
“วิณณ์ ตะวันกลัว”  ตัวของตะวันสั่นคงเพราะกลัว 

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร วิณณ์อยู่นี่ไม่ต้องกลัวนะ” วิณณ์ลูบหัวตะวันพร้อมกับพูดปลอบใจ “กลัวอะไรไหนบอกวิณณ์หน่อย”

“ไม่รู้อะ มันเจ็บที่หัวใจ มันจี๊ด เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น แล้ว.....แล้วก็เหมือนมีอะไรมากดที่หัวใจตะวันก็กลัว มันเหมือนกับตะวันจะตาย”

“ตาย? วิณณ์กอดตะวันอยู่แบบนี้ไม่มีทางปล่อยให้ตะวันตายหรอก แล้วก็ห้ามพูดแบบนี้อีกรู้หรือเปล่า” 

ตะวันพยักหน้าเข้าใจ วิณณ์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เขากอดตะวันโยกตัวไปมาเหมือนกำลังกล่อมเด็กน้อยคนหนึ่งให้หายตกใจ


“เป็นยังไงดีขึ้นหรือยัง”
“อืม”








1

2

3

.

.

.

.
“เคลียร์”
.

.

พรึ่บบบ

.

.

“อีก”

.

.

“เคลียร์”

.

.

พรึ่บบบ

.

.

.

.

“อุ๊บบบ อ๊าส์”



“ตะวัน!!! ......โอ๊ะ”



“วิณณ์!!!”






Talk : อีกสองตอนก็จะจบแล้ว มาช้า มาสาย ยังไงก็ขออภัยด้วยนะค้า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ภารกิจสำเร็จ  ฟื้นใช่ป่ะ?

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หวังให้ฟื้นทั้งคู่นะ  :call:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
บทที่ 37
พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ




แกร๊กกกก


เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น

หมอชายเดินออกมาจากห้องไอซียู บรรยากาศตรงหน้าตึงเครียด ถึงเขาอยากจะเลี่ยงไม่บอกอาการของคนข้างใน แต่หน้าที่ที่มีมันบอกว่าเขาต้องทำ



“หมอค่ะหมอ ตะวันเป็นยังไงบ้างค่ะ”



“หมอชาย แล้ววิณณ์ละลูก”



 
หมอทั้งสองคนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก เพราะพยายามเค้นคำพูดที่จะพูดออกมา

“แม่ครับ”
“ชาย วิณณ์เป็นยังไงบ้างลูก”
“เอ่อ....”

สถานการณ์ตรงหน้าไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอ แต่กับคนด้านในที่เป็นเพื่อนเขาและผู้หญิงตรงหน้าก็คือแม่ของเพื่อนที่เขาเคารพและรักเหมือนแม่ตัวเองมันยิ่งทำให้เขาลำบากใจ การต้องบอกกับคนใกล้ชิดมันเป็นอะไรที่อ่อนไหวเกินไป ชายมองไปที่ฟิล์มทางนั้นก็ย่ำแย่พอกัน แม่ที่ร้องไห้แทบขาดใจ พ่อที่ทำหน้าชินชาเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ไม่สามารถซ่อนความเศร้าในแววตาได้ ทั้งคู่คงทรมานใจไม่ต่างกัน

“กระสุนถูกยิงเข้าที่หน้าอกเฉียดหัวใจไปไม่กี่เซ็นถึงจะผ่าเอากระสุนออกแล้วแต่จุดที่โดนยิงก็อันตราย กระสุนตัดเส้นเลือดทำให้เลือดไปคั่งที่หัวใจและปอด เราต้องผ่าตัดอีกครั้ง”
“แต่พี่ชายผ่าเอากระสุนออกแล้วนี่ค่ะ ทำไมยังต้องผ่าตัดอีกละค่ะ”
“ถ้าปล่อยทิ้งไว้ เลือดจะไปขวางการทำงานของปอดและหัวใจ วิณณ์จะยิ่งอันตรายกว่านี้”



“โธ่ วิณณ์”


“พี่วิณณ์”




“แม่ใจเย็นก่อนนะครับ ชายจะช่วยไอ้วิณณ์ให้ได้”
“พี่วิณณ์ยังมีโอกาสรอดใช่ไหมค่ะพี่ชาย”
“......” ชายถอนหายใจ แต่ก็พยักหน้าให้กับดาริน
“ทำไมพี่ชายดูไม่มั่นใจเลยละ”
“ดาริน พี่อยากจะพูดออกมาอย่างเต็มปากและมั่นใจแต่ก็ไม่สามารถพูดพร่ำเพรื่อ เพื่อให้ความหวังใครได้ ตอนนี้พี่แค่ภาวนาว่าอาการจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้”




“คุณหมอค่ะตะวันเป็นยังไงบ้างค่ะ”

หมอฟิล์มรวบรวมพลังและคำพูด บางทีเขาก็แอบคิดว่าทำไมต้องเป็นเขาที่ต้องมาแจ้งเหตุร้ายแบบนี้ตลอด

“คุณแม่ คุณพ่อครับ”
“ค่ะ”
“หมอต้องบอกว่า อาการของคุณตะวันแย่กว่าที่คาดไว้ อุณหภูมิร่างกายตก หัวใจเต้นอ่อน และทำงานได้ไม่เต็มที่ ตอนนี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ”


“โธ่ ตะวัน ฮือออ”

“หมอหมายความว่าถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจพี่ตะวันจะ....ตายงั้นเหรอครับ”


หมอฟิล์มพยักหน้า


“ครับ หมอเองก็ไม่เข้าใจว่าสาเหตุคืออะไร อวัยวะภายในร่างกายปกติดี ไม่มีเลือดออกหรือคั่งในส่วนไหน คลื่นสมองก็ปกติ มีเพียงอย่างเดียวคือ หัวใจที่ทำงานช้าลง”

“แล้วต้องทำยังไงหมอพูดมาเลย ผมรับค่าใช้จ่ายได้อยู่แล้ว จะเสียเท่าไหร่ว่ามา”  ถึงจะรู้ว่าเงินไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่มันคืออย่างเดียวที่นายอาทิตย์จะทำได้

“คุณครับหมออยากช่วยคนไข้ทุกคนอยู่แล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณตะวันเข้าโรงพยาบาลมาพวกเราก็ทำกันอย่างเต็มที่จนสามารถพากลับไปดูแลที่บ้านได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งหมอเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นอาการถึงได้ทรุดลง”



“ตะวัน...”



ผู้เป็นแม่ได้แต่เรียกชื่อของลูกและทรุดลงกับพื้น ดีที่ลมอยู่ใกล้และคอยประคองไว้









วิณณ์ลืมตาขึ้น เขาไม่รู้ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกเหมือนกับโดนไฟช๊อต มันทั้งสั่นทั้งชาไปหมด นี่เขาสลบไปเหรอ เขายังคงกอดตะวันไว้อยู่บนตัวเขา


“ตะวัน”
“.....”
“ตะวันเป็นอะไร ลืมตาขึ้นมาซิตะวัน” วิณณ์พยายามปลุกทั้งเขย่า ทั้งเรียก แต่ตะวันก็ยังคงไม่ลืมตา แล้วยังทำหน้าตาพร้อมกับครางเสียงอื้ออึงในลำคอ


“ตะวันลืมตา....
ตะวัน.....
ลืมตาซิ......
......ตะวัน.......”


“สายไปแล้วละ”   วิณณ์เงยหน้าหาต้นตอของเสียงที่ได้ยิน
“ใคร?”

ชายรูปร่างสูงใหญ่ดูน่าเกรงขามปรากฎตัวต่อหน้าเขา

“เรามารับวิญญาณของเด็กหนุ่มคนนี้”
“มารับ?”
“หมดเวลาของวิญญาณตนนี้แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ต้องไปชดใช้กรรมตามทางของตัวเอง”
“ตะวันยังไม่ตายนี่คุณจะบ้าไปแล้วเหรอ”
“ฮึฮึ หมดเวลาแห่งความสุขของพวกเจ้าแล้ว จงกลับไปรับรู้ความจริงซะ”



ภาพหลายภาพ เหตุการณ์หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้อนทับกันและหมุนวนไปรอบตัวเขา
วันที่เขากำลังขับรถกลับบ้านสวน รถวิ่งไปบนถนนอย่างฉลุยแต่ต้องเบรคกระทันหันเพราะอยู่ๆ ก็มีคนตัดหน้า ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าคือใครเพราะมันมืดมาก
จนเมื่อเขาได้เจออีกครั้งที่โรงพัก เขาสนใจเด็กหนุ่มที่นั่งรออยู่ตรงนั้นและเขาเองเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา เด็กหนุ่มคนนั้น
 ...... ซึ่งก็คือตะวัน

นับจากวันนั้น ตะวันกับเขาก็อยู่ด้วยกันตลอด อยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นทุกๆ เหตุการณ์ 

ตะวันมาหาเขาพร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นวิญญาณและมาขอให้เขาช่วยทำภารกิจ ผมตกลงช่วยอาจจะเพราะตอนนั้นผมสงสารละมั้ง เราไปด้วยกันทุกที อยู่ด้วยกันทุกเวลา เราเริ่มสนิทและผูกพันกันมากขึ้น มากจนลืมคิดไปว่าเขาเป็นวิญญาณซึ่งไม่มีทางที่เขาจะเป็นอันตรายไปมากกว่านี้ แต่ผมก็ยังห่วง

ตอนที่ตะวันหายไป ผมโคตรกระวนกระวายใจได้แต่นั่งรอเพราะไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน แถมเคยมีครั้งหนึ่งที่พลังวิญญาณของตะวันอ่อนลง เขาทำทุกวิถีทางที่จะช่วยตะวันเราผ่านเหตุการณ์หลายอย่างมาด้วยกัน มันจึงไม่แปลกเลยที่จะสนิทและผูกพันธ์กัน

แต่กับเขาเอง มันไปไกลเกินกว่าคำว่าสนิทกันมาก เขาจะคอยมองหาและห่วงตะวันเสมอที่อยู่ห่างตัว ตะวันเหมือนลูกนกน้อยๆ ที่เมื่อพลัดหลงจากฝูงก็จะเตลิดไปไกล

และเหตุการณ์ล่าสุด เขาโกรธตะวันที่เอาแต่ห่วงคนอื่นจนเป็นนิสัย จนลืมห่วงตัวเอง  แต่กลายเป็นว่าเขาต้องโกรธตัวเองที่สุด
ภารกิจสุดท้ายที่ต้องทำให้สำเร็จเพื่อพร 1 ข้อ ตะวันเลือกที่จะทิ้งมันไปและยอมให้เขามาทำเรื่องของตัวเองแน และแทนที่เขาจะดึงดันไม่ยอมทำตาม เขากลับใจอ่อนและยอมทำตามที่ตะวันบอก

และมันยิ่งยากขึ้นเมื่อคุณแอนมาพร้อมกับข่าวร้าย ตะวันมีเวลาถึงแค่เที่ยงคืนนี้เท่านั้น ถ้าไม่สำเร็จทุกอย่างที่ทำมาก็เท่ากับศูนย์
ทุกอย่างกระชั้นชิด เขาไม่สามารถล่วงรู้หรือกำหนดเหตุการณ์ตรงหน้าได้เลย 


....แล้วเขาก็พลาด...


เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว ภารกิจก็ไม่สำเร็จ ตะวันก็มาหายไป แล้วเขาก็โง่ โง่จนถูกคนร้ายยิงและตะวันเองก็เหมือนจะโดนลูกหลงไปด้วย


“ตะวัน”


 เขาได้แต่พูดชื่อของตะวันซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนตรงหน้าก็ยังคงหลับตาไม่ตื่นขึ้นมา เขาอยากให้ตะวันฟื้น อยากให้ได้กลับมาอยู่บนโลกใช้ชีวิตที่สดใสตามประสาวัยรุ่น แต่เขากลับทำมันพัง


“วิณณ์ขอโทษ ขอโทษ”  หยดน้ำไหลจากตาเขาลงบนหน้าของตะวัน


“ดูท่าเจ้าคงรักเด็กหนุ่มคนนี้ซินะ”
“.......”

วิณณ์ เงียบเลือกที่จะไม่ตอบ  เขานึกออกหมดทุกอย่างแล้ว รวมถึงทำไมเขาถึงต้องมาอยู่ตรงนี้ เขาคงตายแล้วซินะ

“คุณคงเป็นท่านกาลเวลาที่ตะวันเคยพูดถึงซินะ”
“พอนึกออกก็ฉลาดขึ้นมาทันที แล้วเจ้าจะปล่อยวิญญาณตนนั้นมาให้เราได้หรือยัง”
.

.

.


“เอาผมไป” 


หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันมาสักพัก วิณณ์ก็เอ่ยขึ้น  “เอาวิญญาณผมไป แล้วคืนชีวิตให้ตะวัน”

“นี่เจ้าคิดว่าเราเล่นอะไรกันอยู่”
“ผมพูดจริง เอาวิญญาณผมไปแทนตะวัน .....ตะวันเขาตั้งใจมาก เขาพยายามทำภารกิจทุกอย่างให้สำเร็จ เพื่อจะได้กลับไปมีชีวิต กลับไปอยู่กับแม่เขา”
“แล้วเจ้าไม่คิดจะกลับไปหาแม่เจ้าบ้างรึ”


วิณณ์นิ่งกับคำถามนี้  แม่เขาเหรอ?  อยากซิ เขาก็รักแม่ของเขา รักน้อง เขาต้องอยากอยู่อยู่แล้ว แต่....

“อยากซิ ผมก็อยากกลับไปหาแม่และน้องของผมเหมือนกัน แต่ผมว่าผมใช้ชีวิตมาคุ้มแล้ว ผมไม่ตายตอนนี้ ตอนหน้าผมก็ต้องตายอยู่ดี ผมเป็นตำรวจก็ต้องยอมรับความเสี่ยง ผมจากมาตอนนี้พวกเขาน่าจะทำใจได้ง่ายกว่า”
“นั่นเจ้าคิดเองฝ่ายเดียว เจ้าเคยถามคนอื่นไหม ก่อนจะยัดเยียดอะไรก็ตามที่เจ้าคิดเองเออเองว่าดีให้พวกเขา”

“แต่ถ้าผมได้กลับไปโดยที่ตะวันต้องอยู่เป็นวิญญาณไปแบบนี้ ผม.......”
“ผมทำไม? ไหนเจ้าคิดอะไร เจ้าลองหาเหตุผลมาบอกเราซิเผื่อเราจะยอมใจอ่อนทำตามที่เจ้าขอร้อง”
“ผมทำไม่ได้ ผมไม่สามารถปล่อยให้ตะวันอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้”
“เจ้ารักเจ้าหนุ่มคนนี้งั้นรึ”
“ผม.....”
“เจ้าเพียงตอบคำถามเรามา ว่าเจ้ารักเจ้าหนุ่มคนนี้หรือไม่”

“รัก”

“เจ้าแน่ใจว่ามันคือความรัก?”
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหน มันอาจจะเป็นความสงสารหรือเพราะความใกล้ชิดอะไรก็เถอะ ผมรู้แต่เพียงผมอยากมีเขาอยู่ใกล้ๆ อยากดูแล อยากรักษารอยยิ้มนี้ไปตลอด”

“ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เจ้าสองคนจะได้อยู่ด้วยกันไหมก็ยังไม่รู้นะรึ”
“ผมจะไม่เสียใจ เพราะผมจะทำทุกวันที่อยู่ด้วยกันให้ดีที่สุด”

“ถึงแม้จะรู้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันนะเหรอ”
“ครับ”

“ถึงแม้สิ่งที่ทำไปมันจะไม่มีประโยชน์นะเหรอ”
“ครับ”
.

.

.

.

.



“วิณณ์ วิณณ์ ฟื้นซิ วิณณ์ ฮือออ”
“เจ้านี่มันขี้แยจริงเลยนะ”
“ท่านกาลเวลา ช่วยวิณณ์ด้วย ช่วยด้วย”
“ดูท่าความทรงจำของเจ้าจะกลับมาแล้วซินะ ไวกว่าเจ้าหนุ่มนั่นเยอะ”
“.......ท่านกาลเวลา วิณณ์เป็นอะไรทำไมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น”
“เจ้านี่ก็เอาแต่เรียกข้าด้วยชี่อนี้ตลอดซิน่า เรียกข้าแบบที่คนอื่นเขาเรียกกันซิ”
“ก็....ก็ผมไม่ชิน”
“ช่างมันเถอะเรื่องนั้น ข้าว่าเจ้าสนใจเรื่องของเจ้าก่อนดีกว่า”
“เรื่องผมทำไม”


ผมตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านกาลเวลาบอกถึงแม้ผมจะทำภารกิจไม่ทันเวลาแต่ก็ถือว่าสำเร็จเพราะฉะนั้นท่านจะช่วยให้ผมได้กลับเข้าร่าง แต่...

“หะ!! คนเดียว และ...แล้ววิณณ์ละครับ”
“มันเป็นไปตามอายุขัยและกฏแห่งกรรม”
“ท่านจะบอกว่า วิณณ์ตายเหรอครับ เป็นไปได้ยังไง เขาเป็นคนดี เขาอุตส่าห์ช่วยผมทั้งที่เราไม่รู้จักกันเลย เขาทำทุกอย่างโดยไม่เคยบ่น แล้วเขาต้องมาตายแบบนี้ มันไม่ยุติธรรม ......ไม่ยุติธรรมเลย”

ฮึกกกกก  ตะวันร้องไห้ฟูมฟาย เขารู้ตัวว่ามันไม่มีประโยชน์ที่เอาแต่ทำแบบนี้  แต่จะให้เขาทำยังไง เขาไม่รู้ เขาคิดไม่ออก

“ท่านกาลเวลาได้โปรด ให้วิณณ์กลับไปเถอะนะครับ”

“ไม่ได้ มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่จะได้กลับไปและเราเลือกแล้ว”

“งั้น.....งั้นเอาผมไปแทน ปล่อยวิณณ์ไป”



“ฮ่าๆๆๆๆ” 
“.......”
“พวกเจ้าสองคนนี่มันช่าง....เหมือนกันซะจริงๆ”
“.......”


ท่านพญายมดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว ภาพทุกอย่างก็สลายไป เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน วิณณ์เห็นเพียงตะวันที่นั่งอยู่ตรงหน้า และตะวันเองก็เห็นวิณณ์นั่งอยู่ตรงหน้าเช่นกัน


“ตะวัน”


“วิณณ์”



ต่างฝ่ายต่างโผเข้ากอดกัน มันเป็นความรู้สึกที่ต่างก็อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่ามันคิดถึงและโหยหากันมากขนาดไหน ความรู้สึกมันถาโถมจนหยุดไม่ได้



“ต่างฝ่ายต่างก็โยนชีวิตให้อีกคน ทำไมถึงไม่รักชีวิตของตัวเองและทวงมันคืน เจ้าก็แค่รับมันไปและกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองตามทางซะ”


ท่านพญายมยื่นลูกแก้วที่กำลังเปล่งแสงจากสร้อยข้อมือของตะวันให้วิณณ์ ตะวันก้มมองที่ข้อมือตัวเองมันไปอยู่ที่ท่านกาลเวลาตั้งแต่เมื่อไหร่


“รับมันไปซะ แล้วเดินกลับไปยังที่ที่เจ้าเดินมา”


“ผมไม่ต้องการมัน......

.......ผมแต่ต้องการตะวัน ผมจะพาตะวันกลับไปกับผมด้วย หรือไม่ท่านก็ให้ตะวันได้กลับ ให้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง ผมจะยอมอยู่ที่นี่”


“เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เจ้ามาอยู่ที่นี่เพียงเพราะเป็นวิญญาณที่หลงทางมาเท่านั้น เจ้าต้องกลับไปก่อนที่จะเลยเวลาและไม่สามารถกลับไปได้อีก ”


“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ไป ผมจะอยู่ที่นี่กับตะวัน”
“วิณณ์ ได้โปรด วิณณ์กลับไปเถอะ”


ตะวันร้องไห้อ้อนวอน เขาไม่อยากให้วิณณ์มาเสียเวลากับเขา ถึงยังไงเขาก็ตายอยู่แล้ว ก็แค่ตายจริงๆ อีกครั้ง ก็เท่านั้น


“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ามาอยู่ที่นานเท่าไหร่แล้ว”
“ไม่ครับ” 

ตะวันส่ายหน้า


“1 วันเวลาของนรก แต่มันคือ 7 วันเวลาของโลกมนุษย์ และถ้าภายในเที่ยงคืนนี้เจ้าไม่กลับไปเข้าร่างตัวเอง เจ้าจะไม่ได้กลับอีกเลยและจะต้องเร่ร่อนอยู่ที่นี่จนกว่าจะหมดอายุขัย”


“วิณณ์กลับไปเถอะนะ จริงๆ ตะวันก็ตายอยู่แล้ว วิณณ์ไม่ต้องมาเสียเวลาอะไรแบบนี้กับตะวันเลย”

“ตะวันเลิกพูด”


“คราวนี้ก็แค่ตะวันต้องหลับไปตลอดแค่นั้นเอง”

“ตะวันหยุด”


“วิณณ์ยังมีแม่มีน้องมีครอบครัวรออยู่ ส่วนตะวันมีก็แค่ร่างนอนนิ่งไร้ประโยชน์ กลับไปหาพวกเขาเถอะนะ”

“บอกให้หยุดไง!!”


วิณณ์ตะคอกเสียงดังจนตะวันสะดุ้ง


“ขอโทษ ขอโทษ วิณณ์ขอโทษอย่าร้องนะ”
“ฮึก...ก”


วิณณ์กอดตะวันแน่นแนบอก น้ำตาหยดใสไหลลงมาเปียกเสื้อเขาจนแฉะ


“โอ๋ อย่าร้องนะ ชู่วว”  วิณณ์ยังคงปลอบใจตะวัน
“ขอร้อง ขอร้องนะวิณณ์กลับไปเถอะ กลับไปเถอะนะ ฮึก ฮือออ กลับไปนะ กลับไป”
“ไม่ ถ้าไม่มีตะวัน วิณณ์ก็ไม่ไป”


“ดื้อรั้นจริงๆ”   ท่านพญายมเอ่ยอย่างหน่ายใจ อีกคนก็ใจแข็งเหมือนหินผา อีกคนก็อ่อนไหวเหมือนสายน้ำ



“โอ๊ะ.....” วิณณ์ทรุดลงพร้อมกับมือที่กุมที่หน้าอก เขารู้สึกเจ็บจนจะขาดใจ

“วิณณ์เป็นอะไร บอกตะวันซิวิณณ์ บอกตะวัน”


“ตะวันเอ๋ย ไม่มีเวลาแล้วถ้าเจ้าหนุ่มนี่ไม่รีบกลับไปเขาจะไม่ได้กลับไปอีกเลยและต้องอยู่ในสภาพวิญญาณแบบนี้ไปจนหมดอายุขัย”


“วิณณ์…. ยังไงดีละครับท่านกาลเวลา ทำยังไงดี”


ตะวันร้องไห้ เขาเป็นฝ่ายประคองวิณณ์ไว้กับตัวแทน ปากก็เอาแต่ถามออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน


“ถ้าเจ้าอยากให้เจ้าหนุ่มนี่รอดต้องรีบพาไปเดี๋ยวนี้”


พญายมโบกมือเพียงครั้งเดียวเขาและวิณณ์ก็มาอยู่หน้าไอซียู ด้านในมีเตียงของตะวันและวิณณ์อยู่ใกล้กัน ทุกคนในห้องวิ่งกันแตกตื่นและกำลังวุ่นวายกันเต็มไปหมด

ด้านนอกมีครอบครัวของเราทั้งคู่อยู่ทุกคนต่างเฝ้ารอข่าวจากคนในห้องอย่างใจจดใจจ่อ



“คุณน้าครับใจเย็นนะครับหมอต้องช่วยพี่ตะวันได้แน่นอน”


“แม่ครับ อย่าร้องไห้เลยนะ อย่าร้อง”

ตะวันอยากจะกอดปลอบแม่เหลือเกินแต่ก็ทำไม่ได้

“วิณณ์ ตะวันสงสารแม่ ทำยังไงดี”


อาการของตะวันทรุดลงกลับมาเหมือนช่วงแรกที่ยังรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนตัวเขาเองก็ถูกยิง กระสุนถูกผ่าออกแล้วแต่ดันมีอาการเลือดคั่งที่ปอดและหัวใจ

ไม่ผ่าก็ตาย ผ่าไปก็ไม่รู้จะรอดไหม


“แม่ค่ะพี่วิณณ์ต้องไม่เป็นอะไรนะ แม่อย่ากังวลเลย ฮึก...ก”

เขามองดูแม่และน้องของตัวเอง แม่เข้มแข็งกว่าที่เขาคิดและน้องอ่อนแอกว่าที่เขารู้ ในขณะที่น้องร้องไห้จะเป็นจะตาย แม่กลับเป็นคนที่คอยกอดและปลอบน้องไม่ห่าง

บางทีแม่อาจจะเตรียมใจตั้งแต่เขาเลือกเป็นตำรวจแล้ว ไม่ซิอาจจะตั้งแต่พ่อตาย

ถ้าเขาเลือกที่จะไปตามใจ ผู้หญิงสองคนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ



“หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว ในเมื่อมันเลือกยากนักข้าก็จะตัดสินใจแทนพวกเจ้าเอง”




ฟึ่บบบบบบ


เหมือนมีแรงเหวี่ยงวิ่งเข้ามาปะทะกับร่างของวิณณ์และตะวัน ร่างของทั้งคู่กระเด็นแยกกัน


“ตะวัน”


“วิณณ์”


ตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกดูดออกไปตัวหมุนคว้างภาพสองข้างทางเหมือนกับเขากำลังอยู่ในอวกาศ






แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ







“หมอ หมอค่ะ คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ”
.

.

.

“หมอฟิล์ม ชีพจรคนไข้กลับมาคงที่แล้วค่ะ”

.

.

.

.





ทั้งที่เมื่อกี้เหตุการณ์ทุกอย่างดูเลวร้าย แต่ตอนนี้กลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างกายของตะวันอุณหภูมิกลับมาคงที่ ความดัน การเต้นหัวใจปกติทุกอย่าง ส่วนวิณณ์เองก็รู้สึกตัวแล้วทั้งที่หมอคาดว่าน่าจะอีกสักระยะถึงจะรู้สึกตัว


วิณณ์และตะวันถูกนำตัวออกจากห้องไอซียูก่อนจะถูกพาแยกไปคนละทางเพื่อย้ายไปอยู่ห้องพักฟิ้นชั่วคราว



>> มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
>>  ต่อ




หนึ่งอาทิตย์ต่อมา



“แปลกเนอะวิณณ์ ไม่กี่วันก่อนตะวันยังเป็นวิญญาณและวิณณ์ยังเป็นคนอยู่เลย แถมยังเกือบจะตาย พอมาวันนี้กลับมานั่งคุยกันแบบนี้ได้”
“แล้วไม่ดีเหรอ”
“ดีซิ ดีมากด้วย”

ตะวันเอนซบเอาหัวพิงไหล่ของวิณณ์ พวกเขาอยู่ที่ระเบียงชั้นบนสุดของโรงพยาบาลซึ่งตอนนี้เปรียบเสมือนที่ส่วนตัวของพวกเขาไปแล้ว

“ขี้อ้อนนะเรา”


ตะวันอมยิ้ม ถ้าเขาจะอ้อน ก็อ้อนแต่กับแม่ แต่ตอนนี้มีวิณณ์เพิ่มมาอีกคนแล้ว


“พอออกจากโรงพยาบาลแล้ววิณณ์จะทำอะไรต่อ”
“ก็คงต้องเคลียร์คดีให้จบ”


ถึงตอนนี้เขาจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ไอ้หมอชายยังไม่ยอมปล่อยให้เขาออกจากโรงพยาบาล อาการแทรกซ้อนจากเลือดคั่งหัวใจและปอดอยู่ดีๆ ก็หายไป มันเลยกลัวว่าอาการเหล่านั้นจะกลับมาอีกมันจึงบังคับให้ผมต้องอยู่โรงพยาบาลจนกว่ามันจะแน่ใจ


วิณณ์นึกย้อนไปเมื่อสามวันก่อนที่จ่าเติมมาเยี่ยม
.

.

.

.
“สวัสดีครับผู้กอง สวัสดีครับคุณดาว”
“สวัสดีค่ะจ่าเติม ทานอะไรมาหรือยังค่ะ มีผลไม้นะค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปหยิบมาให้”
“ไม่ต้องลำบากเลยครับ ผมทานมาแล้ว ขอบคุณนะครับ”

“จ่ามีอะไรหรือเปล่า”
“มาเยี่ยมผู้กอง แล้วก็มีเรื่องของ………..ไอ้เอ็ม”

“เจอตัวไอ้เอ็มแล้วเหรอจ่า”
“ครับ แต่ข่าวมาจากหลายทางมากตอนนี้ผมกำลังสืบอยู่ว่าอันไหนจริงไม่จริง แต่ที่ชัวร์ๆ คือ มันยังอยู่ในกรุงเทพ แอบอยู่กับใครซักคน”
“แล้วจ่าลองถามไอ้โจ๊กหรือยัง
“ถามแล้วครับ โจ๊กบอกว่าเอ็มเคยพูดถึงญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่ครับ”
“ผมฝากจ่าด้วยนะ แล้วอย่าให้มันรู้ตัวละ”
“ครับผม”
“จ่า แล้วผู้กำกับเป็นยังไงบ้าง”
“หายดีแล้วครับหมอให้ปล่อยตัวได้พรุ่งนี้ทางตำรวจก็จะทำการย้ายไปฝากขังที่โรงพักครับ”
“ผมอยากไปคุยกับเขา”
“จะดีเหรอครับ ผู้กองเองยังไม่ค่อยหายดี”
“ไม่เป็นไรผมไหว”

จ่าเติมพาวิณณ์นั่งรถเข็นคนไข้ไปที่ห้องพักฟื้นของผู้กำกับพงศ์ หน้าห้องมีตำรวจเฝ้าอยู่สองนาย

“สวัสดีครับจ่า สวัสดีครับผู้กอง หายดีแล้วเหรอครับ”   วิณณ์พยักหน้า
“จ่าผู้กองจะขอเข้าไปคุยกับผู้กำกับนิดหน่อยนะ”
“เชิญครับ”


ผู้กำกับพงษ์นอนอยู่บนเตียงโดยมีกุญแจมือล๊อคไว้ วิณณ์ไม่ได้อยากมาเสวนาหรือเจอหน้าคนคนนึ้เท่าไหร่ แต่ลึกๆ เขาก็ยังอยากฟังความจริงหรือคำพูดอะไรสักอย่างจากปากคนคนนี้


“ฮึฮึ ว่ายังไงหลานชาย มีธุระอะไรกับคนร้ายอย่างฉันอย่างนั้นรึ”
“คุณยังเรียกผมว่าหลานชายได้อีกเหรอ แต่เอาเถอะผมไม่มีเวลามาทะเลาะกับคุณ ที่ผมมานี่ผมอยากจะถามอะไรคุณสักหน่อย”

ผู้กำกับพงษ์เงียบเป็นฝ่ายรอให้วิณณ์ถาม ซึ่งวิณณ์เองก็เข้าใจในท่าที

“คุณอยากพูดอะไรไหม ทำไมคุณถึงหักหลังเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา ทั้งพ่อผมที่เป็นตำรวจเหมือนกับคุณ ทั้งนายยงยุทธที่เป็นพวกคุณ คุณไม่มีสำนึกของความเป็นตำรวจอยู่เลยเหรอ”
“ฉันไม่มีอะไรต้องพูด”
“คุณมันทุเรศจริงๆ”

วิณณ์คิดว่ามันไร้สาระสิ้นดี นี่เขาพยายามมาพูดกับคนคนนี้เพื่ออะไร หวังอะไรอยู่วะไอ้วิณณ์

“พวกเราเคยสัญญากันว่าจะเป็นตำรวจด้วยกัน.......”

ผู้กำกับพงษ์พูดขึ้น

“เรื่องทุกเรื่องเราทำมันด้วยกันไม่ว่าจะเรื่องดีเรื่องร้ายแค่ไหนก็ผ่านกันมาหมด ไอ้ยุทธบ้านมันรวยพ่อมันส่งไปเรียนเมืองนอก เหลือแค่ฉันกับไอ้วุฒิ ใครจะรู้ทั้งที่ไอ้วุฒิบ้านมันไม่ได้รวยกลับมีความสุขโดยไม่ต้องแสวงหา ผิดกับฉันถึงบ้านจะรวยแต่กลับหาความสุขไม่ได้เลย แถมพ่อกับแม่ยังทิ้งปัญหาและหนี้ไว้มากมายเพราะถูกฟ้องล้มละลาย”
“คุณก็เลยคิดทำเรื่องชั่วซินะ”
“ปลาเล็กย่อมเป็นอาหารของปลาใหญ่เสมอ มนุษย์เองย่อมต้องหาทางให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนกัน”
“......”
“ฉันเคยยื่นทางเลือกนี้ให้ไอ้วุฒิ แต่มันเป็นคนดี ดีเกินไป”

“คุณเลยต้องกำจัดทิ้งซินะ”   
ไม่มีคำตอบ ผู้กำกับพงษ์หลับตาลง เงียบไม่พูดต่อ

“ผมหลงศรัทธาคุณไปได้ยังไง”    วิณณ์พูดจบและให้จ่าเติมพาออกไปจากห้อง

“เราเป็นเพื่อนรักกัน ไม่มีวันไหนที่จะไม่นอนฝันร้ายที่ต้องฆ่าเพื่อนตัวเอง ฉันฝากขอโทษพวกเขาแทนฉันด้วย”

“ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ คุณคงต้องไปขอโทษพวกเขาเอง...........ที่หลุมศพ”
.

.

.




“วิณณ์”



“วิณณ์”
“หืม”
“คิดอะไรอยู่ เงียบไปเลย”
“ก็เรื่องคดีนิดหน่อยนะ”
“นี่ คิดมากจนคิ้วผูกโบว์แล้ว แถมตีนกาก็ขึ้นแล้วเนี่ย” 

ตะวันเอานิ้วเกลี่ยรอยย่นตรงกลางคิ้วทั้งสองข้างของวิณณ์ให้คลายออกจากกัน

“พักซะบ้างอย่าเพิ่งคิดเลย ตอนนี้ผู้กำกับก็ถูกจับไปแล้ว นายยงยุทธกับพวกลูกน้องก็ตายไปแล้ว ส่วนเอ็มอีกไม่นานเดี๋ยววิณณ์ก็ต้องจับได้ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าห่วงเลย”
“แล้วที่เราต้องมาติดแหง่กที่โรงพยาบาลเนี่ยลืมแล้วเหรอเพราะใคร ยังจะว่าไม่ห่วงอะไรอีกไหม”

ตะวันยิ้มแหยๆ

“ก็ไม่อยากให้วิณณ์เครียดนิ”
“จะเครียดเพราะคนแถวนี้ดื้อมากกว่า”
“เชอะ”

สองคนนั่งคุยกันปล่อยเวลาให้ไหลผ่าน มีแสงแดดอุ่นๆ มีสายลมพัดเบาๆ ความจริงอยู่แบบนี้ก็ดีนะตะวันคิด

“นี่สรุปคิดได้หรือยังว่า พอออกจากโรงพยาบาลไปจะทำอะไรบ้าง”
“อืม ก็คิดไว้ว่าจะไปทำเรื่องพักเรียน แล้วค่อยเริ่มปีหน้านะ ช้ากว่าเพิ่อนไปปีหนึ่ง แต่ไม่เป็นไรแค่ได้กลับมาตอนนี้อะไรตะวันก็โอเคหมดละ”

วิณณ์หัวเราะพร้อมกับเอื้อมมือไปโยกหัวตะวันอย่างเอ็นดู

ในใจพลางคิดไปถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง ทำไมท่านพญายมถึงยอมให้เขาและตะวันกลับมาพร้อมกันทั้งที่ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะขอร้องอ้อนวอนแค่ไหนก็ไม่ยอม หรือว่าท่านจะมีแผนอะไรอีก







“เจ้าหนุ่มนี่มันช่างสงสัยซะจริง”
“ท่านขอรับกระผมเองก็สงสัยขอรับทำไมต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง มันจะทำให้ท่านยุ่งยากเอานะขอรับ”
“ท่านสุวรรณมันคงไม่มีอะไรยุ่งยากไปกว่านี้แล้วละ อีกอย่างถ้าผลที่ได้มันตรงที่กับข้าคาดไว้ มันก็คุ้มกับที่ข้าจะเสี่ยง”
“มันจะคุ้มยังไงละขอรับ ถึงทั้งสองคนจะได้พรแห่งชีวิตไปสุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี”
“มนุษย์มักมีความหวังและความฝันเล็กๆเสมอ เราเองก็มีเช่นกัน เราหวังว่าจะเจอมนุษย์ที่ห่วงใยผู้อื่นและพร้อมจะเสียสละต่อผู้อื่นมากกว่าตัวเอง”
“แต่มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอขอรับ ท่านให้ชีวิตพวกเขาแต่สุดท้ายก็พรากคืน”

“โหดร้ายงั้นรึ ก็อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า”

“.......”

“ข้าไม่รู้เลยว่าระหว่างการที่ไม่ให้เจ้าหนุ่มสองคนนั้นรู้จักกันเลยกับให้เขาได้รู้จักกันตามพรมลิขิตแล้วต้องพรากกันอีกครั้งอันไหนมันโหดร้ายกว่ากัน”











วิณณ์เดินไปส่งตะวันกลับห้องและเดินกลับห้องของตัวเอง  ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่พวกเขาพักฟื้นอยู่โรงพยาบาล วิณณ์รู้สึกว่าเขาชอบชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่ว่าชอบเป็นคนป่วย หรือเพราะสบายหรอกนะ

แต่ชอบที่มีตะวันอยู่ด้วยต่างหาก

รูปแบบความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงมันจะเกิดจากความใกล้ชิดแต่เขาก็ดีใจที่มันเกิดขึ้นที่ตะวัน เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันจะยืนยาวเท่าไหร่ แต่นับจากนี้ต่อไปเขาอยากให้มีตะวันอยู่ด้วยในทุกๆ ช่วงเวลา


“ไปส่งตะวันแล้วเหรอลูก”
“ครับแม่ โอยยย....”

ผมล้มตัวลงนอนบนตักแม่พร้อมอุทานเบาๆ

“อ้อนอะไรอีกละเรา”
“เปล่าครับ”

ดารามองหน้าลูกตัวเองที่นอนหลับตาอยู่บนตัก ลูบผมอย่างเอ็นดูรักใคร่ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ลูกชายเอาแต่ทำงานตามคดีของพ่อ นานทีถึงจะกลับบ้าน

“แม่ครับ”
“หืม”
“ผมรักแม่นะครับ รักดารินด้วย”
“เหรอจ้ะ แม่ว่าลูกลืมอีกคนนะ”

วิณณ์ลืมตา

“แม่หมายถึงอะไรครับ”

“ตะวัน”

วิณณ์ลุกขึ้นนั่งและหันไปสบตาแม่ตรงๆ

“....”
“แม่รู้นะว่าระหว่างวิณณ์กับตะวันมันมีอะไรพิเศษ ลูกของแม่ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใคร ไม่เคยอ่อนโยนหรือห่วงใยใครมากขนาดนี้”
“.....”
“ยกเว้นแม่กับน้องสาวเรา”
“แม่รู้เหรอครับ”
“คิดว่ารู้นะ ลูกของแม่กำลังมีความรัก”

ในเมื่อแม่ถามเขามาแบบนี้ เขาก็จะไม่ปิดบังอะไรอีก

“แล้วแม่โอเคไหมครับ”
“มันไม่ใช่แม่นะที่จะมาโอเคหรือไม่โอเค มันคือตัวลูกต่างหาก”
“แต่ผมกับตะวันต่างก็เป็นผู้ชาย”
“เด็กน้อยเอ๊ย โลกนี้มันไปไกลขนาดไหนแล้ว ความรักนะไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรือผู้ชาย รักก็คือรักไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน เวลาไหนก็ตาม”
“แม่รู้ไหมผมดีใจแค่ไหนที่แม่เป็นแม่ผม”


วิณณ์สวมกอดแม่


ถ้าร่างกายปกติไม่มีอะไรแทรกซ้อน ไอ้หมอมันบอกว่าผมก็สามารถกลับได้แล้ว ตะวันเองก็เหมือนกัน เขาตั้งใจจะให้แม่ของตะวันมาอยู่กับแม่และน้องสาวเขาที่บ้านสวน เพราะมีแต่ผู้หญิงอยู่ด้วยกันหลายคนจะได้ไม่เหงา และช่วยดูแลกัน ส่วนตะวันก็จะอยู่กับเขาที่คอนโด แต่ก่อนอื่นเขาต้องเคลียร์คดีให้จบก่อน


“ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”


อุ๊บ    จังหวะที่กำลังลุกขึ้น วิณณ์ต้องชะงักเพราะรู้สึกเจ็บที่หน้าอกขึ้นมา

“เป็นอะไรหรือเปล่าวิณณ์”
“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ”

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นอีกครั้งและเดินเข้าห้องน้ำ ยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก หน้าอกด้านซ้ายมีรอยแผลเป็นจากกระสุนอยู่


อุ๊บ


อีกครั้งที่เขารู้สึก มันไม่ได้เจ็บที่แผลแต่เหมือนมันมาจากข้างในมากกว่า น่าจะแผลอักเสบ


“พรุ่งนี้ค่อยไปขอยาไอ้หมอไว้แล้วกัน”




วิณณ์คิดแบบนั้น เขาออกมาจากห้องน้ำก็เจอจ่าเติมที่มารออยู่แล้ว

“อ้าวจ่า”
“สวัสดีครับผู้กอง....” จ่าเติมเว้นช่วงก่อนที่ตัดสินใจพูดต่อ “ผู้กองเรารู้ที่อยู่ของไอ้เอ็มแล้วนะครับ”
“ที่ไหน”
“มันหลบไปอาศัยกับญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแถวสมุทรปราการครับ”
“ตามดูมันไว้นะจ่าแล้วรายงานผมด้วย”
“ผู้กองจะไปจับมันเองเหรอครับ อาการของผู้กองก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ หมอก็ยังไม่ให้กลับ”
“เรื่องนั้นผมเคลียร์เอง”
“ครับ”






อาทิตย์ยืนจดจ้องอยู่หน้าประตูห้องของลูกชาย เขาทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าจะเข้าไปดีไหม ถ้าเข้าไปเข้าควรจะเริ่มพูดหรือทำอะไรก่อน เขายืนครุ่นคิดอยู่แบบนั้นจนเมื่อดารากลับมาจากลงไปซื้อของข้างล่าง


“คุณอาทิตย์ยืนทำอะไรอยู่ค่ะ ทำไมไม่เข้าไปข้างในละ”


ดารากำลังจะเปิดประตูแต่อาทิตย์ได้รั้งมือไว้


“เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ”
“ผมไม่รู้จะเริ่มพูดกับลูกยังไงดี”
“คุณอยากพูดอะไรก็พูดเถอะค่ะ ตะวันแกเป็นเด็กดีและเข้าใจอะไรง่ายค่ะ”


ดาราเปิดประตูเข้ามาก็เจอกับตะวันที่ยืนหน้าซีดจับพนักเตียงอยู่ เธอรีบเข้าไปประคองลูกชาย


“ตะวัน เป็นอะไรหรือเปล่าลูก หน้าซีดเลย”
“รู้สึกเหนื่อยๆ นะครับ”
“นอนพักก่อนนะลูกนะ ให้แม่ตามหมอไหม”
“ไม่เป็นไรครับ อาจจะเจออากาศเย็นเมื่อกี้ นอนพักซักแปปก็คงหายครับ”
“ตะวัน”
“ครับ”
“พ่อมาเยี่ยมนะ”


ดาราเชิญคนที่รออยู่หน้าห้องให้เข้ามา


“พ่อ”
“เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีขึ้นแล้วครับ”
“ดีแล้ว”


พ่อลูกได้เจอหน้ากัน มันออกจะดูประดักประเดื่อเพราะพวกเขาไม่เคยพูดคุยแบบดีๆ ซักครั้ง


“ตะวัน เอ่อ...พ่อ....พ่อขอโทษ ที่ผ่านมาพ่อทำตัวไม่สมกับเป็นพ่อ”
“....”
“แต่ต่อจากนี้ไปพ่อสัญญาพ่อจะดูแลเราให้ดีที่สุด พ่อสัญญา ให้โอกาสพ่อนะ”
“พ่อ...”


ตะวันอึ้งถึงเขาจะเคยโกรธพ่อแต่เขาไม่เคยคิดจะให้คนเป็นพ่อต้องมาขอโทษลูกแบบนี้


“เอ่อ…..ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ตะวันเคารพการตัดสินใจของทุกคน ถึงแม้ตอนเด็กตะวันจะไม่เข้าใจก็ตามว่าทำไม่พ่อถึงทรยศแม่ ทำไมพ่อถึงไม่รักตะวัน ทำไม่พ่อถึงมีลูกอีกคน แต่พอโตแล้วตะวันก็เข้าใจว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเสมอและสามารถทำผิดได้ตลอดเวลา”

“มันคือความไม่พอของพ่อเอง ตะวันจะโกรธพ่อก็ได้ แต่ตะวันอย่าโกรธอย่าเกลียดลมกับแม่ของเขาเลยนะ พ่ออยากให้เราสองคนรัก ดูแลกัน ลมเองเขาเคารพพี่ชายอย่างตะวันมากนะ ”

“ตะวันไม่เคยคิดนะครับ เพราะลมเองเขาก็คงไม่อยากเกิดมาแล้วทำให้ใครต้องเจ็บปวด”


นายอาทิตย์นิ่ง นั่นแหละเพราะฉะนั้นเขาต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำให้ตะวันได้ แต่กลับไม่รู้เลยว่ามันทำให้คนฟังหัวใจแทบหยุดเต้น


“ตะวันเรื่องเรียนนะ”
“ครับ ตะวันกลับไปเรียนต่อแน่นอนครับ อาจจะช้าไปปีหนึ่ง แต่ก็มะ....”
“พ่อจะส่งเราไปเรียนเมืองนอก”

“.....หะ?  ว่าอะไรนะครับ”


“ไหนๆ ก็ต้องเรียนช้ากว่าคนอื่นจบช้ากว่าคนอื่นอยู่แล้ว พ่อเลยคิดว่าเราไปเรียนเมืองนอกดีกว่า ลมก็ไปไปอยู่ด้วยกันจะได้ไม่เหงา”

“ไม่นะครับ ตะวันไม่ไป”

“ทำไม?”


เขาสัญญากับวิณณ์แล้ว เราจะอยู่ด้วยกัน หลังจากออกจากโรงพยาบาลมีเรื่องตั้งมากมายที่เขาจะทำด้วยกัน แต่เขาจะบอกพ่อยังไง พ่อยังไม่รู้ว่าเขาเป็น....


“ทำไมถึงจะไม่ไป”
“เอ่อ...เอ่อ....คือ....”
“มีอะไร”

ดาราเห็นท่าไม่ดี เธอรู้ว่าทำไมตะวันถึงไม่ยอมไป และเธอก็เข้าใจว่าคนเป็นพ่ออยากจะทำทุกอย่างชดเชยอดีตที่ผ่านมา

“คุณอาทิตย์ค่ะเรื่องเรียนของตะวันนะ ใจเย็นๆ ก่อนเถอะค่ะ ตะวันยังไม่หายดี ถ้ารีบร้อนไปตอนนี้เกิดมีอะไรขึ้นมามันจะไม่ดีเอานะคะ”
“มันจะมีอะไรไม่ดีได้ยังไง”
“เถอะค่ะ เชื่อฉันเถอะ ถ้าคุณบังคับแกไปตอนนี้ก็จะทะเลาะกันเปล่าๆ รอให้แกพร้อมก่อนเถอะค่ะ แล้วค่อยคุยกัน”


ผู้เป็นพ่อยอมรามือ ถ้าเขาเซ้าซี้ก็เหมือนเขาบังคับตะวัน จากที่จะเข้าใจกันก็คงเข้าหน้าไม่ติดเหมือนเดิม


“อืม” นายอาทิตย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“พ่ออยากให้รู้ว่าพ่อหวังดีกับตะวันนะ”


นายอาทิตย์หันหลังเตรียมจะเดินกลับถ้าไม่เพราะประโยคที่ตะวันพูดออกมา

“ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ไปเรียนเมืองนอก ผมอยากอยู่ที่นี่ ผมอยากอยู่กับแม่ อยู่กับคนที่ผมรักและผมไม่อาจทิ้งเขาไปได้”

“แม่นะเหรอ ถ้าอยากจะเอาแม่ไปด้วยพ่อก็อนุญาติ”
“........”
“เดี๋ยวนะ คนที่ผมรักเหรอ? เรามีคนรักแล้วเหรอ ยังเรียนอยู่แท้ๆ ทำไมไม่ตั้งใจเรียนก่อนที่จะมาสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ พวกนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ลูกเต้าเหล่าใคร เรียนที่เดียวกันใช่ไหม”
“ไม่ใช่....”
“.......”


“ไม่ใช่......ผู้หญิง เขาเป็นผู้ชาย”


เหมือนฟ้าผ่าแสกหน้า ลูกชายเขาเพิ่งพูดว่าผู้ชาย มีคนรักเป็นผู้ชาย ??


“นี่แก.......คุณ.....คุณเลี้ยงลูกยังไง ให้เกิดมาผิดปกติแบบนี้ ยังไงแกก็ต้องไป”


นายอาทิตย์หันหลังเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูเสียงทิ้งไว้แต่ความอึมครึมของคนในห้อง ดาราตัดสินใจเดินตามอาทิตย์ออกไป

“คุณค่ะ”
“ยังไงตะวันก็ต้องไป ขืนให้อยู่แบบนี้ก็ผิดเพศผิดผู้ผิดคนกันหมด”
“แต่ฉันไม่เห็นว่าการที่ลูกจะรักใครรักแบบไหนมันจะทำให้ผิด”

“นี่คุณ!!!”

“คุณอาทิตย์ฉันเข้าใจถ้าคุณจะโมโหหรือโกรธเขาในฐานะพ่อ แต่อย่าลืมนะคะเราสองคนมีหน้าที่แค่ให้กำเนิดเขสและสอนให้เขาเป็นคนดี แต่ไม่ได้มีหน้าที่ไปบังคับให้เขาเป็นอะไรตามที่เราอยากให้เป็น ฉันว่าแบบนั้นมันจะทำให้เขาไม่มีความสุข และเราก็จะไม่มีความสุข”
“.....”
“เรื่องเรียนให้ลูกตัดสินใจเองเถอะค่ะ ถ้าเขายังไม่พร้อมจะไปก็อย่าไปฝืน”

“แต่ผมเป็นพ่อ”




“และฉันก็เป็นแม่ แม่ที่เลี้ยงเขามาโดยที่ไม่มีพ่อมาตั้งแต่เกิด”







ตะวันไม่คิดโทษพ่อในเรื่องที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะมาจัดการทุกเรื่องของเขาได้ในตอนนี้ ดาราเดินกลับเข้ามาในห้อง เธอมองลูกชายที่นั่งถอนใจบนเตียง


“แม่....ตะวันไม่ไปนะ”
“แม่รู้ อย่าไปโกรธพ่อเขาเลยนะ เขาหวังดีกับตะวัน”
“ตะวันรู้ แต่ว่าพ่อก็น่าจะถามตะวันซักนิด”


ดาราเดินเข้าไปหาและนั่งลงบนเตียงโอบกอดลูกชายอย่างรักใคร่


“ตะวัน เราไม่สามารถไปกำหนดจิตใจใครให้คิดเหมือนกับเราได้ เพียงแต่เราสำนึกไว้เสมอว่าเรื่องที่เราทำต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอันนั้นก็พอแล้ว”
“......”
“แต่สำหรับแม่แล้วต่อให้ลูกของแม่จะเป็นอะไร แบบไหน หรือยังไงแม่ก็จะยืนข้างลูกเสมอ จำไว้นะ”
“ครับ”


ตะวันกอดแม่


“ฮึ เด็กน้อยเอ้ย” ดารากอดลูกชาย ปลอบโยนโดยโยกตัวลูกชายไปมาเหมือนตอนตะวันเด็กๆ มือก็คอยลูบหัวลูกชายให้คลายกังวล








วันนี้เขาทั้งสองคนได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จ่าเติมเอารถตู้มารับทั้งครอบครัวผมและครอบครัววิณณ์กลับพร้อมกัน พ่อไม่ได้มาหาผมอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ผิดกับลมที่มาหาผมแทบทุกวัน ตอนแรกผมคิดว่าพ่อคงเกลียดผมแล้วละมั้งแต่ลมบอกว่าพ่อไม่ได้โกรธแค่ขอตั้งหลักก่อน แม่ผมไม่เคยถามเรื่องคนรักที่ผมพูดถึงแต่ผมคิดว่าแม่ก็คงรู้ว่าหมายถึงใคร



“พี่วิณณ์”




ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ตะวันเรียกวิณณ์ว่าพี่ แต่มันก็คือครั้งแรกที่เรียกในฐานะคนไม่ใช่วิญญาณ


“หืม พอได้ยินใกล้ๆ แล้วมันก็จั๊กกะจี้หูดีนะ”
“แล้วอยากให้เรียกไหมละ”
“แล้วแต่เลย แต่ว่าเรียกก็ดีนะ ฟังแล้ว......น่ารักดี”


แม่ของผม แม่ของวิณณ์นั่งอยู่ด้านหน้า ถัดมาก็พี่วายุและน้องสาว ส่วนผมกับวิณณ์นั่งอยู่หลังสุด


“วันก่อนพ่อของตะวันมาบอกว่าจะส่งตะวันไปเรียนเมืองนอก” ผมพูดแล้วก็เอียงหัวซบไหล่วิณณ์
“แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงตะวันก็ไม่ไป ตะวันบอกพ่อไปแล้วด้วย”
“แล้วพ่อยอมเหรอ”
“ไม่รู้อะ แต่น่าจะยอมนะ แล้วก็คงเกลียดตะวันไปแล้วด้วยละ”
“ทำไมละ”


ตะวันเงยหน้าหันไปสบตากับวิณณ์ตรงๆ


“ตะวันบอกพ่อว่าตะวันไม่ไปเพราะตะวันห่วงแม่และอยากอยู่คนที่ตะวันรัก.....แล้วคนที่ตะวันรักนะก็เป็นผู้ชาย”


วิณณ์อมยิ้ม


“แล้วบอกพ่อไหมว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร”
“ยังไม่ทันบอกหรอกพ่อโกรธและก็กลับไปเลย แต่ว่าวิณณ์อยากรู้ไหม ว่า     คือ    ใคร”  ตะวันเน้นคำ
“อยากรู้ดีไหมนะ”

ตะวันทำหน้าเว้าวอน จือปาก เขาจะรู้ไหมว่ามันน่ารักและเชิญชวนแค่ไหน

“โอเคๆ อยากรู้ อยากรู้ แต่ขออย่างหนึ่งนะ อย่าทำหน้าแบบเมื่อกี้อีกไม่ว่ากับใคร......ทำกับวิณณ์ได้คนเดียว” ประโยคหลังวิณณ์กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“แล้วสรุปคือใครครับ”



“เขาชื่อว่าผู้กองวิณณ์” ตะวันกระซิบใส่หูวิณณ์




“แล้วอยากรู้ความรู้สึกของผู้กองวิณณ์ไหมครับ....”



แทนที่วิณณ์จะกระซิบที่หูของตะวัน แต่กลับเลื่อนหน้าลงมาก่อนจะจุมพิตที่ซอกคอของตะวันพร้อมกับเอ่ยเบาๆ







“รักนะครับ”







Talk : ขออภัยที่นานนนนน นะคะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กลับไปที่เดิมดีกว่านะ คุณพ่อ  :angry2:

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ประโยคเดียวของคุณแม่ จี้ดใจดีไหมล่ะคุณพ่อ แม่เขาเลี้ยงมาคนเดียวโดยไม่มีพ่อ เธอคือฮีโร่เลยตอนนี้ คุณแม่

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิตาอาทิตย์เนี่ยช่างเป็นพ่อที่เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ไม่ฟังเหตุผลใครเลย 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด