บทที่ 34 ทางเลือก
เมื่อแผนไม่เป็นตามที่วางไว้จากที่ต้องขนของไปทางเรือผู้กำกับพงษ์จึงต้องเปลี่ยนแผนเป็นทางบกแทนของมูลค่าหลายล้านจึงถูกโยกย้ายมารวมกันอยู่ในรถกะบะคันเดียว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงสั่งให้ลูกน้องลงมือปิดปากยงยุทธกับวิณณ์แล้วค่อยไปส่งของยังจุดหมาย
“จัดการให้เรียบร้อยซะทั้งคนและของ”“นายครับผมขอโทษนะครับนาย”คนที่พูดคือผู้ติดตามที่มากับนายยงยุทธเมื่ออำนาจเปลี่ยนข้างคนก็เปลี่ยนตามจะโทษใครไม่ได้การเอาชีวิตรอดให้ได้มันคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงทำ
เป็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ รวยหรือจน คนดีหรือคนเลว คนที่เป็นเหยื่อสามารถตกเป็นเหยื่อของนักล่าได้เสมอ
“ไม่คิดว่าเราจะได้มาตายวันเดียวกัน”
“.....”
“พวกเราสามคน อา ไอ้พงษ์ ไอ้วุฒิพ่อเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนขาสั้น เคยคิดว่าจะเข้าเรียนตำรวจด้วยกัน แต่กลายเป็นอาคนเดียวที่ไม่ได้เรียนเพราะต้องไปเรียนต่างประเทศ แต่ถึงอย่างนั้นอาก็ไม่เคยเหงาเพราะทั้งพงษ์และวุฒิ ต่างเขียนจดหมายมาหาสม่ำเสมอ แต่กลับเป็นอาเองที่ห่างไปจนขาดการติดต่อ”
“......”
“แล้วพอมาเจอกันอีกครั้งจากเพื่อนรักกลับกลายเป็นว่าเราอยู่กันคนละข้าง เหตุการณ์วันนั้นอารู้สึกผิดมาตลอด ผิดที่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ปล่อยให้มันเกิดขึ้น แต่วันนี้อาจะไม่ยอม”
“ไม่ยอมแล้วคุณจะทำอะไรได้ ยังไงวันนี้คุณกับผมก็คงต้องตายด้วยกันในนี้แหละ” วิณณ์มองดูสภาพที่เขาถูกมัดมือไพร่หลัง แถมปืนของตัวเองยังถูกพวกมันยึดไปอีก
“เฮ้ย ไอ้ชัยมึงรีบจัดการซะ เดี๋ยวพวกตำรวจแม่งแห่กันเข้ามาจะซวยเอา”
“แต่นั่นมันนายกู”
“นายมึงแล้วยังไงวะ มานี่มึงไม่ทำกูทำเอง”
เกิดการยื้อยุดปืนในมือขึ้น สุดท้ายเป็นชัยที่แย่งปินกลับมาได้สำเร็จ
“มึงไม่ต้องเสือก กูเอง” ชัยยกปืนขึ้นหันปลายกระบอกไปที่วิณณ์ ทำใจยิงผู้เป็นนายไม่ลงงั้นก็ขอยิงไอ้ผู้กองก่อนแล้วกัน
ปัง
ปัง
ปัง
ปังเสียงปืนดังขึ้นสี่นัด
“วิณณ์!!ระวัง!!” ผมหงายหลังพร้อมแรงที่โถมเข้ามา แต่ในสายตายังสามารถรับรู้เห็นและจดจำการกระทำของอีกคนได้อย่างชัดเจน
กระสุนนัดแรกพุ่งตรงมายังเขา แต่กลับไม่เฉียดเข้าใกล้เขาสักนิดเดียวมันทะลุผ่านตัวตะวันและตกลงพื้น กระสุนนัดต่อไปถูกเล็งมาที่เขาเหมือนกันแต่ไม่ใช่เขาที่โดน ภาพที่เกิดขึ้นในม่านสายตาคือนายยงยุทธกระโดดเอาตัวเองเข้ามาขวางทางปืนไว้ เสียงปืนสิ้นสุดพร้อมกับร่างที่ล้มตึง
วิณณ์พยายามลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้ อีกทั้งยังรู้สึกจุกแต่แน่ใจว่าไม่ใช่เพราะถูกยิงแน่นอน
“ตะวัน”
“ฮืออออ วิณณ์ อย่าเป็นอะไรนะ ฮือ”“ตะวัน”
“วิณณ์อย่าเป็นอะไรนะ”“ตะวัน” วิณณ์เปล่งเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อให้ตะวันได้ยิน
“วิณณ์....”ตะวันเงยหน้าขึ้นจากอกของวิณณ์ หลังจากที่โผล่เข้ามาช่วงหน้าซิ่วหน้าขวานและพุ่งตัวไปกอดวิณณ์ไว้
“วิณณ์ไม่เป็นอะไรใช่ไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า เป็นแผลไหม เลือดละ มีเลือดออกไหม”“ตอนนี้เหรอ.... จุกอะ หนักด้วย”
“หืม?”“ตะวันอะ ตัวหนัก”
“บ้า ยังจะมาพูดเล่นอีกเหรอ คนอุตส่าห์เป็นห่วง”“ว่าแต่ตะวันไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“เป็นอะไร ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า?”“เอิ่ม ไม่มีอะไรลุกขึ้นเถอะ”
วิณณ์มั่นใจว่าเขาไม่ได้ตาฟาด แสงของวิญญาณตะวันบางเบาอีกแล้ว แล้วจังหวะที่กระสุนทะลุออกจากตัวของตะวันมันเหมือน....
.....จะหายไป.....
ตะวันดันตัวลุกขึ้นนั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่จ่าเติมวิ่งเข้ามา
“ผู้กองเป็นอะไรไหมครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า ขอบคุณ”
จ่าเติมแก้มัดเชือกที่ข้อมือของวิณณ์ พร้อมกับพยุงวิณณ์ให้ลุกขึ้นยืน เขาสังเกตตัวเองให้แน่ใจว่าไม่มีบาดแผลหรือโดนยิงตรงไหน
“คนอื่นละจ่า”
“จ่านัยรายงานว่าพวกที่เราจับไว้ยังอยู่ดีครับ ส่วนจ่าอ๊อดกับจ่าเพิ่มตรวจสอบรอบๆ โกดังอยู่ครับ”
“แล้วจ่าไม่เห็นคนอื่นเข้ามาในนี้เลยเหรอ”
“ไม่เห็นนะครับ”
“หายไปไหนนะ”
“ผู้กองหมายถึงใครเหรอครับ”
“ผู้กำกับพงษ์”
“ผู้กำกับนะเหรอครับ?ไม่เห็นนะครับ”
“....”
“ผู้กำกับทราบเรื่องแล้วเหรอครับ ซวย ซวยแน่ๆ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกจ่า”
“ไม่ใช่? ยังไงครับผู้กอง ผมงงไปหมดแล้วเนี่ย”
จ่าเติมทำหน้าฉงน สงสัยในคำพูดของผู้บังคับบัญชาตัวเอง เพราะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ผู้กองจะพูดถึงผู้กำกับ
“เดี๋ยว อย่าบอกนะว่า.....ท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”
“ไว้ผมค่อยอธิบายให้ฟังแล้วกัน”
จ่าอ๊อดกับจ่าเพิ่มตามมาสมทบด้านในโกดัง
“โห สภาพข้างในเละเทะเอาเรื่องเลยนะครับ ผู้กองเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า แล้วด้านนอกเรียบร้อยไหม”
“เรียบร้อยครับ พวกถูกจับก็ยังอยู่ดี รถที่เตรียมขนย้ายกันก็ยังอยู่ครับ”
วิณณ์มองสำรวจภายในโกดัง ถัดออกไปข้างหน้า
หนึ่งคนนอนนิ่งไม่ไหวติง
เลือดแดงฉานไหลอาบตัว
อีกหนึ่งมีเพียงลมหายใจรวยระริน
มือป่ายสะเปะสะปะ
พร้อมกับเปล่งเสียงแหบพร่า
เพียงเพื่อเรียกหาใครบางคน
“วะ...วิ....วิณณ์...วิ...วิณณ์”
ปัง ปัง บรื้นนนนน
จู่ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงรถที่ออกตัวอย่างแรงดังมาจากด้านนอก
“เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอกวะนะ”
“จ่า”
“เดี๋ยวพวกผมออกไปดูเองครับผู้กอง”
วิณณ์พยักหน้า จ่าเติม จ่าอ๊อดและจ่าเพิ่มวิ่งออกไปด้านนอกโกดัง
“วิณณ์” ตะวันเรียกกระตุกชายเสื้ออีกครั้ง
“ไปดูเขาหน่อยเถอะนะ”
ฮะ.....เฮือกกก....กก
เสียงเฮือกหายใจดังขึ้น ถึงเขาจะรังเกียจผู้ชายคนนี้ขนาดไหนแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจให้ใครตายหรือไม่ตายในเมื่อคนตรงหน้ายังพอมีลมหายใจ เขาก็ควรทำตามหน้าที่ตำรวจให้สมบูรณ์
“คุณยงยุทธ ผมว่าคุณอย่าเพิ่งขยับดีกว่า ถ้าเลือดออกมากกว่านี้คุณได้ตายแน่”
“มะ....ไม่เป็นไร อา.....อา อยากจะ....”
“คุณนอนเฉยๆ เถอะ อยากตายมากนักหรือไง”
“หึหึ ไม่เสียดายหรอกถ้าจะต้องตาย”
“คุณนี่มัน”
“ช่างมันเถอะ.....ขอให้อาได้พูด ฟัง....ฟังอาก่อน เถอะนะ”
ยงยุทธละล่ำละลัก พยายามพูด เสียงขาดช่วงเหมือนกับลมหายใจที่ริบหรี่เต็มที
“วิณ วิณณ์ ฟังอาสักนิดเถอะนะ ขะ....ขอแค่ให้อา.... อึกก....อา อยากจะขอโทษ”
“.....”
“อาขอโทษกับ........ทุก.......เรื่อง....ที่ได้ทำ วิณณ์..........จะ.........จะไม่ยกโทษให้...............อา...........ก็......ไม่ว่าอะไร......ไม่......มี................สิทธิ์.........ว่าอะไรด้วยซ้ำ................แค่.....ขอให้อาได้พูด............แค่นี้............อาก็ตาย....ตาย..ตา.....หลับแล้ว”
“ผมขอบคุณในสิ่งที่คุณทำเมื่อกี้ แต่มันไม่ได้ทดแทนกันได้เลยกับชีวิตพ่อของผมที่ตายไป แม่ผมต้องเป็ยหม้าย ผมและน้องต้องกำพร้า”
“อา.....”
“ถึงผมจะรับคำขอโทษจากคุณ แต่ทางกฎหมายคุณก็ต้องได้รับโทษอยู่ดี”
“หึ อารู้ อารู้ อาแค่อยากขอโทษ ฝะ.....ฝากขอโทษ.......แม่กับน้องเราด้วยนะ”
วี้ หวอวี้ หวอ เสียงรถกู้ชีพดังขึ้นแต่คงสายไปเสียแล้ว
“ผู้กองรถพยาบาลมาแล้วครับ” จ่าเพิ่มรีบเข้ามาบอกวิณณ์
“ไม่ทันแล้วละจ่า”
“อะ...อ้าว”
“วิณณ์สงสารเขาอะ”“เขาเรียกว่าเวรกรรม”
“ผู้กองผู้กองครับ” จ่าเติมและจ่าอ๊อดวิ่งข้าสมทบ
“เป็นยังไงบ้างจ่า”
“ไม่ทันครับ ไม่ทันเห็นด้วยว่ามันเป็นใคร”
“ใช่พวกมันอีกคนหรือเปล่า” วิณณ์มองไปรอบๆ ไม่เห็นลูกน้องของนายยงยุทธอีกคนหนึ่ง
“ไม่ใช่ครับ พวกมันอีกคนโดนยิงตายอยู่ข้างโกดังโน่น ดูแล้วยังไม่ทันได้หนีด้วยซ้ำมั้งครับ”
“ผู้กองคิดว่าเป็นใครครับ”
วิณณ์ชั่งใจคิดก่อนจะนึกได้ว่ายังมีอีกคนที่มาแล้วหายไปตั้งแต่แรก
“ไอ้เอ็ม.....”
“ไอ้เอ็ม เออใช่ มันหายไปตั้งแต่แรกคนเดียวเลย”
“มันหายไป แล้วก็กลับมาเอาของเหรอ?ทำไมละ”
“ผมจะรู้ได้ยังไงจะจ่าเติม ก็อยู่ด้วยกันเนี่ย””
“ไม่ได้ถาม แค่รำพึงรำพันกับตัวเอง”
“ทีนี้เราจะทำยังไงกันดีละครับผู้กอง”
วิณณ์ให้นายตำรวจคนอื่นๆ กลับมารอที่ สน. ทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็แอบกำชับ จ่าเติมให้คอยดูผู้กำกับพงษ์ไว้ หากมีอะไรน่าสงสัยให้รีบรายงานทันที ส่วนตัวเขาเองต้องแยกไปจัดการเรื่องอื่น คนที่เขาต้องจับกุมคือผู้กำกับ ถ้าจะจับคนยศใหญ่ระดับนี้ก็ต้องหาคนที่ใหญ่กว่า
ตัวเขาเองมัวแต่ยุ่งกับเรื่องนี้ทำให้ไม่ได้สนใจเหตุการณ์อื่นรอบข้าง โทรศัพท์ถูกทิ้งไว้ในที่คอนโซลรถ มันแผดเสียงร้องครั้งแล้วครั้งเล่าจนสุดท้ายก็ดับลง
[วายุ]
ขอโทษค่ะไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้“โธ่ ผู้กองทำอะไรอยู่เนี่ย” วายุถอดใจกดตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
“ไม่รับเหรอคุณ”
“อืม ทางนั้นคงแบตหมดไปแล้วด้วย”
“ตาย ตาย เราจะทำยังไงกันดีเนี่ย”
วายุและดารินได้แต่ยืนมองร่างของตะวันที่กำลังถูกถอดอุปกรณ์เก่าและแทนที่ด้วยของใหม่
“วายุ ทำไงกันดีละ ติดต่อผู้กองไม่ได้เลย ถ้า…....ถ้า ตะวันถูกส่งไปเมืองนอกแล้วจะทำยังไง วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายแล้วถ้าอย่างนั้นวิญญาณของตะวันจะสลายไปไหม ฮึก....”
ผู้เป็นแม่พร่างพรูคำพูดด้วยหัวใจระส่ำ ภายในใจวิตกกังวลจนหาคำอธิบายไม่ได้ คิดไปสารพัดถ้าวิญญาณของลูกชายกลับเข้าร่างไม่ได้ ต้องเร่ร่อนไปเรื่อนจนถึงอาจจะแตกสลายในที่สุด
“หนูดาริน ป้า ป้าคิดอะไรไม่ออกแล้วเราจะทำยังไงกันดี ป้าเป็นห่วงตะวัน”
“คุณน้าๆ ใจเย็นนะคะเรายังไม่รู้อะไรอย่าเพิ่งคิดมากเลยค่ะ ตอนนี้เราหาทางติดต่อพี่วิณณ์ให้ได้ก่อนเถอะค่ะ”
ดารินไม่รู้จะปลอบใจยังไง ความรักความห่วงใยที่แม่มีต่อลูกมันห้ามกันไม่ได้เธอทำได้แค่เพียงอยู่เคียงข้างและคอยบีบมือแม่ของตะวันเอาไว้เพื่อให้คลายกังวลไม่มากไม่น้อยก็ยังดี
วายุคิดจนหัวแทบระเบิดก็ยังคิดไม่ออก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจในเมื่อหาวิธีอ้อมไม่ได้ก็เอามันตรงๆ นี่แหละวะ
“คุณอาครับ” นายอาทิตย์มองดูคนที่เดินมาเผชิญหน้า
“ผมมีเรื่องอยากจะพูดด้วยครับ”
“ถ้าเราจะมาพูดเพื่อให้เสียเวลาละก็ ถอยไปเถอะ”
“แต่ผมคิดว่าถึงจะเสียเวลา คุณอาก็น่าจะอยากฟังเรื่องนี้”
“.....”
อาทิตย์มองอย่างชั่งใจก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เป็นเชิงเปิดโอกาสให้วายุได้พูด
“ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมจะพูดมันคงทำให้คุณอาคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผมขอไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะครับ การที่คุณอาจะพาตะวันไปเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง คุณอาจะทำให้ตะวันต้องตายมากกว่าจะฟื้น”
ปึง“นี่แกกล้าดียังไงถึงมาพูดกับฉันแบบนี้!!”
“คุณอาได้โปรดฟังผมก่อน ตอนนี้ตะวันกับผู้กองวิณณ์กำลังพยายามกันอยู่ เขาสองคนทำทุกวิถีทางเพื่อให้วิญญาณของตะวันได้กลับเข้าร่างตัวเอง”
แล้ววายุก็เล่าเรื่องราวให้อาทิตย์ฟัง เขาเลือกที่จะบอกแค่ข้อมูลสำคัญเพราะถ้าจะมาให้เล่าตั้งแต่ต้นวันนี้ก็คงไม่จบ
“บ้า บ้ากันไปใหญ่แล้ว”
“ผมไม่ได้จะไม่เคารพการตัดสินใจของคุณอานะครับ แต่มันคือความจริง ถ้าคุณอาพาตะวันไป มันจะทำให้ดวงวิญญาณของตะวันไม่ได้กลับเข้าร่าง และล่องลอยจนวิญญาณอาจแตกสลายได้ มันไม่เป็นผลดีกับตะวันเลย”
“งั้นการปล่อยให้ตะวันนอนนิ่งๆ ไปวันๆ แบบนี้ มันคือดีงั้นเหรอ นอนโดยไม่รู้ว่าจะฟื้นหรือตื่นเมื่อไหร่คือดีงั้นซินะ”
“แต่ตอนนี้ตะวันกำลังพยายามนะครับ เขากำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับเข้าร่าง ขอแต่คุณอาเชื่อใจตะวันแค่นั้น”
อาทิตย์เงียบไป เป็นช่วงนาทีที่วายุรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เขาไม่หวังให้พ่อของตะวันเข้าใจ แต่ขอแค่เห็นใจแค่นั้นก็พอ
“ถ้าเราจะเอาแต่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ก็ตามใจเรา แต่อาไม่ อาเชื่อในวิทยาศาสตร์เท่านั้น จบเรื่องแล้วก็หลีกไป อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก”
“คุณเป็นยังไงบ้าง” วายุส่ายหน้าสุดท้ายเขาไม่สามารถช่วยอะไรตะวันได้เลย
[วิณณ์]
“จ่าเพิ่ม จ่านัย เดี๋ยวพวกจ่าพาพวกในรถกลับไปที่โรงพักนะ แยกห้องขังกันไม่ให้มันพุดคุยกันและไม่ให้มีการประกันตัวใดๆทั้งสิ้นถ้าผมไม่ได้สั่ง”
“จ่าอ๊อดเรียกกำลังเสริมและตั้งด่านสะกัด ผมคิดว่ามันจะขนออกทางชายแดน ให้ประสานกับตำรวจในท้องที่คอยสังเกตที่สามารถออกไปทางชายแดนได้ ให้ตรวจรถกะบะทุกคัน”
“จ่าเติมไปกับผม”
“ไปไหนครับผู้กอง”
“บ้านผู้กำกับพงษ์”
อ๊อดดดด
วิณณ์ยืนอยู่หน้าบ้านของผู้กำกับพงษ์ เขากดกริ่งหน้าและรออยู่ตรงนั้นเกือบ 10นาที กว่าจะมีคนในบ้านออกมาเปิดประตู
“สวัสดีครับมาหาใครเหรอครับ” ชายสูงวัยเดินงกๆเงิ่นๆมาเปิดประตู
“ผู้กำกับพงษ์อยู่ไหมครับ”
“ท่านยังไม่กลับมาหรอกครับ แล้วนี่คุณเป็นใครครับ”
“นี่ผู้กองวิณณ์ ส่วนผมจ่าเติมพอดีมีธุระกับผู้กำกับนิดหน่อยนะ”
“ท่านออกไปตั้งแต่เช้ายังไม่กลับเข้ามาเลย พวกคุณลองโทรเข้ามือถือท่านดูซิ”
“ขอบคุณนะครับลุง”
วิณณ์กล่าวขอบคุณและถอยออกมา ถ้าไม่กลับมาที่นี่จะไปที่ไหน หรือจะกลับไปที่โรงพัก มั่นใจขนาดนั้นว่าจะไม่มีใครรู้เลยงั้นเหรอ
เขายกโทรศัพท์โทรหาจ่าเพิ่ม แล้วคำตอบที่ได้คือผู้กำกับพงษ์ไม่ได้กลับไปที่ สน. ต่อจากนั้นเขาก็ต่อสายไปหาจ่าอ๊อดต่อ จ่าอ๊อดแจ้งว่ายังไม่พบรถกะบะต้องสงสัย
รถกะบะพร้อมของผิดกฎหมายเต็มคันรถ คนร้ายอีกหนึ่งคนก็หายไป ผู้กำกับพงษ์ก็หายไปด้วยอีก
หรือว่าจะหักหลังกันเอง
หรือว่า สองคนนั้นจะร่วมมือกัน
ก่อนหน้านี้“นายครับ”
“มีอะไร”
“ลูกน้องของนายยงยุทธมาขอพบครับ”
“ให้เข้ามา”
ผู้กำกับพงษ์นั่งอยู่ในห้องทำงานพร้อมกับคิดหาทางจัดการกับเรื่องบางเรื่องอยู่ วิณณ์ตามสืบเรื่องนี้ไม่ปล่อย แล้วดูท่ามันก็คงไม่ปล่อยง่ายๆ ส่วนไอ้ยงยุทธก็เปิดเผยตัวเองกับวิณณ์ไปแล้ว อีกไม่นานเรื่องคงสาวมาถึงตัวเขาอย่างแน่นอน
เขาควรจะกำจัดใครดีระหว่างหุ้นส่วนธุรกิจที่ร่วมงานกันมานาน หรือ ตัวยุ่มย่ามที่เข้ามาวุ่นวายเรื่องนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ก๊อก ก๊อก
“นาย มาแล้วครับ”
“อืมให้เข้ามา”
เอ็มเดินเข้ามาภายในห้อง ของตกแต่งทุกชิ้นบ่งบอกถึงรสนิยมและความอู้ฟู่ของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
หึ ไอ้พวกคนรวย ทรัพย์สมบัติพวกนี้มันก็มาจากพวกคนจน คนโง่ อย่างพวกกูนี่ละ
“มีอะไร”
“ผมมีเรื่องจะมารายงานท่าน”
“....”
“ผมคิดว่านายยงยุทธกำลังจะหักหลังท่าน”
นายอาทิตย์ชันหลังขึ้นจากพนักเก้าอี้ เรื่องเพื่อนสนิทที่เขาคิดถึงก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้กับข้อมูลใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้รับตอนนี้
“มึงรู้ได้ยังไง”
“ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว นายจะคอยกันผมไม่ให้จัดการกับไอ้ผู้กองวิณณ์ ทั้งแม่ทั้งน้องมัน ทั้งๆ ที่มีโอกาส แล้วก่อนหน้านี้ผมยังได้ยินอีกว่า นายยงยุทธจะบอกความจริงและยอมรับผิดหลังจากขนของครั้งนี้จบ”
ความจริงเพียงครึ่งเดียวคือ เรื่องที่นายยงยุทธปกป้องครอบครัวของผู้กองวิณณ์ ส่วนเรื่องอื่นโกหกทั้งนั้น เอ็มพูดใส่เชื้อไฟให้มันรุนแรงขึ้น เพราะเขาเองต้องการแก้แค้นให้กับลูกน้องสองคนของเขาที่ถูกนายยงยุทธปล่อยให้ตายเหมือนหมา
เอ็มจึงเลือกหักหลังนายตัวเองโดยมาร่วมมือกับผู้กำกับพงษ์หรือท่านที่พวกลูกน้องคนอื่นๆ เรียกกัน เอ็มไม่รู้ว่าท่านคนนี้จะเชื่อเขาหรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะเสี่ยง
“แล้วมึงมาบอกกูก็เพื่อ?......”
“ผมอยากจะขอโอกาส ผมรู้ว่าท่านเองก็ไม่ชอบคนทรยศ ผมมีวิธีจัดการทั้งนายยงยุทธและไอ้ผู้กอง”
ผู้กำกับพงษ์ชั่งใจคิดในเมื่อเนื้อร้ายมันกำลังแพร่กระจายเขาก็ควรตัดทิ้ง
ทั้งคู่
เอ็มปลอมเป็นพลเมืองดีแจ้งวันเวลาสำหรับการขนของ เมื่อถึงวัดนัดหมายเอ็มขับรถมาส่งนายงยุทธพร้อมพวกหลังจากนั้นเขาก็ขับรถออกไปรออยู่ด้านนอก ซึ่งผู้กำกับพงษ์รู้อยู่แล้วว่าวิณณ์จะไม่รออยู่เฉยๆ แน่ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น
เมื่อตัวละครมาพร้อมกันที่โกดัง พงษ์จึงโทรบอกเพื่อนรักว่าวิณณ์อยู่ที่นี่ด้วยและทำยังไงก็ได้ที่จะจับตัววิณณ์ให้ได้
พงษ์คาดหวังว่าทั้งสองคนจะฆ่ากันเอง แต่ยงยุทธมันดันเกิดอยากอยากจะเป็นคนดี ไอ้วิณณ์มันก็ยึดถือคุณธรรมของตำรวจสุดใจไม่ยอมแก้แค้นแทนพ่อแต่จะจับตัวไปรับโทษในคุกแทน เขาจึงต้องจัดการให้ทั้งสองคนได้ตายด้วยวิธีเขา และเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน
แต่.....ผิดอย่างดียว ผิดที่ วิณณ์ไม่ตาย
เอ็มต้องขับรถกะบะเพื่อไปยังจุดนัดหมายที่ปั้มร้างแห่งหนึ่งแถบชานเมืองซะก่อน โดยมีผู้กำกับพงษ์รออยู่ที่นั่น ก่อนจะต้องขับต่อไปจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อส่งของออกทางชายแดน
เอ็มขับรถอย่างระมัดระวังและคอยดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา ซึ่งมันไม่ได้ราบรื่นไปอย่างที่คิด
รถมอเตอร์ไซต์สายตรวจคันหนึ่งแล่นเข้ามาประกบข้างรถ ขณะที่เอ็มจอดติดไฟแดง ท่าทางของเอ็มที่ลุกลี้ลุกลน และรถกะบะต้องสงสัยตามที่ได้ข้อมูลมา สายตรวจคนนั้นจึงตัดสินใจลงจากรถเพื่อเรียกให้เอ็มหลบเข้าข้างทาง แต่เอ็มตัดสินใจเร่งเครื่องและขับฝ่าไฟแดงออกไปอย่างไว
“เฮ้ยหยุดนะเว้ย” สายตรวจกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซต์และขับตามไป พร้อมทั้งแจ้งวิทยุไปยังด่านสะกัดด้านหน้า
“เรียกด่านสะกัด 1 พบรถกะบะต้องสงสัยสีขาวได้ขับฝ่าไฟแดง มุ่งไปทางด่านสะกัด 1 แจ้งสะกัดเอาไว้ด้วย เปลี่ยน”
เอ็ม เร่งเครื่องและเหยียบอย่างเร็ว เขาแหกไฟแดงมาอีกสองไฟแดง จนมาถึงด่านสะกัดข้างหน้า
“เอาไงดีวะ เชี้ยเอ้ย” จะหยุดหรือไม่หยุดก็มีแต่ตายเท่านั้นแหละวะ เขาจึงตัดสินใจเหยียบคันเร่งจนมิดและฝ่าด่านไป ตำรวจต่างกระโดดหลบไปคนละทาง
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนยิงรัวกระหน่ำใส่ยางล้อเพื่อให้รถหยุด แต่ก็ไม่เป็นผล เอ็มพยายามขับไปให้ถึงจุดนัด โดยมีเสียงล้อบดกับถนนดังแว่วเข้ามาในรถ เขามั่นใจว่ามันต้องทิ้งรอยมาตลอดทางแน่
บรื้นน เอี๊ยดด
“นาย มันมาแล้วครับ” เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้กำกับพงษ์กับลูกน้องสองคนจึงออกมาจากที่ซ่อน
“สภาพรถเละมาเลยครับนาย”
“ฉิบหายแล้วไหมละ แสดงว่ามันต้องหนีตำรวจมาแน่ๆ อย่างนี้มันจะพาพวกตำรวจมาเจอพวกเราด้วยไหมครับนาย”
“มึงเอารถไปทิ้งไว้ด้านหลังปั้ม”
เอ็มทำตามคำสั่ง เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านหลังปั้ม ความรกร้างและหญ้าที่ขึ้นสูงคงช่วยบดบังรถไว้ได้บ้าง
“โดนมาหนักซิมึง”
“เออ พวกตำรวจมันตั้งด่านสะกัดไว้หมดแล้ว” เอ็มพยักหน้าให้หนึ่งในลูกน้องของผู้กำกับพงศ์
“เอาไงดีครับนาย เราจะรอก่อนหรือว่าไปเลยดีครับ”
“ผมคิดว่าพวกตำรวจน่าจะตั้งด่านสะกัดไปทั่วหมดแล้ว” เอ็มเอ่ยขึ้น
“พวกมันรู้ได้ยังไงวะ”
“ก็ไอ้ลูกน้องที่นายให้มันปิดปากไอ้ผู้กองกับนายยงยุทธทำงานไม่สำเร็จไง”
“พวกมันสองคนยังไม่ตายอีกเหรอ!!!!”
“ตาย แต่ตายแค่คนเดียว ส่วนคนที่รอดก็ไอ้ผู้กองวิณณ์”
“ไอ้วิณณ์ มึงจะตามจองล้างจองผลาญกูไปถึงไหนวะ ........เรารอไม่ได้แล้ว ถ้าขืนยังอยู่ที่นี่ยังไงพวกมันก็ต้องหาเจอ ถ่ายของไปรถอีกคันและขับไปที่ชายแดนให้เร็วที่สุด”
>> มีต่อด้านล่างค่ะ