ตอนที่ 20 ตัวช่วย
หลังจากจัดการตัววุ่นวายทั้งสองไปได้ โดยผมต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง ห้ามพูดถึง ห้ามถามต่อหน้าคนอื่น ส่วนเรื่องที่สองคนนั้นอยากจะช่วย ผมก็เข้าใจนะ แต่ขอพิจารณาอีกทีแล้วกัน
ตอนนี้ที่ผมกังวลใจคือรอฟังข่าวจากไอ้หมอชาย ว่าจะใช่หมาตัวเดียวกันไหม ถามว่าทำไมไม่โทรไปนะเหรอ เพราะผมรู้นิสัยมันนะซิ ผมไม่อยากรบกวนมัน มันคงทำงานอยู่ ถ้ามันไม่ติดอะไรมันคงโทรมาแล้ว เพราะฉะนั้นทางที่ดีผมรอให้มันติดต่อกลับมาดีกว่า
ผมกำลังขับรถกลับคอนโด เปิดเพลงฟังในรถเบาๆ ไม่ให้เงียบเกินไป เพราะคนข้างๆ ผมที่ไม่รู้เป็นอะไร คิดอะไร เงียบตั้งแต่ขึ้นรถมาละ ถามอะไรก็ไม่ยอมบอก
“ตะวัน คิดอะไร เงียบผิดปกติ”
“เฮ้ออออ”
อ้าว ถอนหายใจใส่อีก ผมจึงเอื้อมมือไปโยกหัวคนข้างๆ
“เป็นอะไรถอนหายใจอีกแล้ว”
“เฮ้ออออ”
“เอ้า ไม่พูดแล้ววิณณ์จะรู้ไหมละครับ”
“ตะวันคิดถึงเรื่องตามหามันนี่
คิดถึงเรื่องพี่วายุกับน้องสาววิณณ์ ว่าเขาสองคนรู้แล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้นไหม
คิดถึงว่าตะวันจะทำเรื่องนี้สำเร็จไหม ตะวันดีใจนะที่วิณณ์ยอมช่วย แต่ระยะเวลาที่จำกัด กับภารกิจที่ไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่ เจอแล้วจะทำได้ไหม คิดแล้วมันก็ท้อ
แล้วก็คิดถึง....เรื่อง....ที่......พ่อของตะวันเข้ามาจัดการเรื่องนี้ ตะวันกลัว ไม่รู้ซิ พ่อตะวันนะเป็นคนมีเหตุผลนะ แต่ก็เผด็จการไม่แพ้กัน”
“แต่สิ่งที่พ่อตะวันทำก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ กลับดีด้วยซ้ำตะวันจะได้อยู่ที่บ้านตัวเอง ห้องตัวเอง อยู่ใกล้แม่ด้วยไง” ผมพูดโดยที่มือก็ยังลูบผมคนข้างตัวไปด้วย ทำไมผมรู้สึกว่ามันนุ่มละมุนจัง แล้วถ้าผมจับแก้มละ จะเป็นยังไง คิดดังนั้นผมจึงค่อยๆ เลื่อนมือลงไปจับที่หน้าของตะวัน ลูบที่แก้ม นุ่ม นุ่มจริงๆด้วย
“วิณณ์พูดเพราะยังไม่รู้นะซิว่าเวลาพ่อไร้เหตุผลนะ น่ากลัวแค่ไหน”
“แล้วตะวันกลัวเรื่องอะไร”
“กลัวว่า....พ่อจะหาเรื่องแยกตะวันไปจากแม่”
“ทำไมคิดอย่างนั้นละ?”
“พ่อนะอยากให้ตะวันอยู่กับพ่อแต่แรกแล้ว ตอนพ่อกับแม่แยกทางกันตอนนั้นตะวันแค่ 10ขวบแต่รู้เรื่องหมดทุกอย่าง พ่อต้องยอมให้ตะวันอยู่กับแม่เพราะตอนนั้นตะวันเอาแต่งอแง ร้องไห้ทุกวัน อีกอย่างเพราะพ่อเองก็มีลูกอีกคน ที่น่ารักสมเป็นลูกพ่อทุกอย่างพ่อจึงยุ่งเกินกว่าจะมาสนใจตะวัน”
สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดตอนนี้คงมีเพียง อยู่ข้างๆ ซินะ ผมเลื่อนมือลงมากุมมือตะวันพร้อมกับบีบเบาเพื่ออยากจะให้เขารู้ว่า
‘ไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมก็จะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ’“ขอบคุณนะวิณณ์” เจ้าตัวเอ่ยออกมาเบาเหมือนเสียงกระซิบแต่ผมสามารถได้ยินชัดเจน
Rrrrrrr เสียงโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามาและเมื่อมองชื่อคนโทรเข้าผมก็กดรับทันที
“ว่าไงไอ้หมอ”
[แหม ไม่คิดจะทักทาย Say Hello ซักคำก่อนเลยเหรอวะ]
“ครับ สวัสดีครับคุณหมอครับ เรื่องที่ผมฝากคุณหมอไปนะครับ ได้เรื่องยังไงบ้างครับ”
[เออ มันต้องอย่างนี้ดิวะ]
ผมละหน่ายกับความชอบเล่นใหญ่ของมันซะจริง ไม่ว่าจะครอบครัวมัน เพื่อนฝูง แม้แต่เมียมันมันก็ไม่เคยละเว้น
[กูเอาไปให้ป้าแกดูแล้ว....แกบอกว่า....]
“ว่า.....ว่าไงละวะ”
[ว่า
‘อะ ฟิล์ม อย่าแกล้ง’เออว่าไงวะ อ่อ ป้าแกบอกว่า.......ไม่ใช่วะ]
“จริงเหรอวะ” นี่เท่ากับต้องเริ่มใหม่เหรอเนี่ย “ขอบใจมึงมากนะไอ้หมอ”
[เออ ถ้ามีอะไรให้กูช่วยก็บอกกูได้นะ]
“อืม”
[ว่าแต่ อย่าลืมสัญญาละ]
“เออ กูไม่ลืมหรอกน่า”
[เออ กูต้องวางละ อีนังเมียมันยั่วขอเวลาไปปราบพยศมันก่อน]
ผมวางสายจากไอ้หมอแล้ว ผมต้องวางแผนใหม่ตามหาคนว่ายากแล้ว นี่ตามหาหมายากยิ่งกว่า เพราะไม่รู้ใจมันเลยว่าจะทางไหน
“วิณณ์” ผมหันไปมองคนที่ส่งเสียงเรียก เราสบตากันแล้วผมก็ส่ายหน้าโดยที่ไม่ต้องฟังคำถาม
“เหรอ เราต้องเริ่มกันใหม่ซินะ”
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิ ไม่สำเร็จเราก็แค่เริ่มใหม่ แค่ต้องพยายามมากกว่าเดิม อย่าท้อซิรู้ไหม”
“อืม”
สงสัยงานนี้คงต้องใช้งานผู้ช่วยแล้วละ
Wynn : ตัวแสบช่วยอะไรพี่ซักอย่างซิ
Darinn : อะไรคะคุณพี่ชาย
Wynn : ไอ้หมอมันโทรมาบอกพี่ละ ว่าปุกปุยเป็นคนละตัวกับตัวที่พี่ตามหา
Darinn : อ้าวจริงดิ ว้าาา
ว่าแต่ตัวจะให้ช่วยเรื่องอะไรอะ
Wynn : ตามหาหมา
หลังจากที่เมื่อวานนัดแนะกับยายดารินเรียบร้อย ตอนเช้าผมจึงแวะไปหาคุณป้าที่ รพ. เพื่อไปขอข้อมูลหรือรูปถ่าย หลักฐานอะไรก็ได้เพิ่มเติมในการตามหา ซึ่งคุณป้าก็ให้รูปถ่ายใบเล็กที่พกติดกระเป๋าไว้กับผม รูปถ่ายที่มีคุณลุง คุณป้า และเจ้ามันนี่ ทั้งคู่ยิ้มให้กล้อง และก็แปลกที่เจ้ามันนี่ก็เหมือนรู้งานเพราะมันก็หันหน้ายิ้มให้กล้องเหมือนกัน ดูท่ารูปใบนี้จะสำคัญกับป้ามากผมคงต้องรักษามันยิ่งชีพ ต้องพาเจ้ามันนี่กลับมาหาป้าให้ได้
เสร็จจาก รพ. ตอนนี้ผมจึงมารอน้องสาวกับนายวายุ ณ จุดที่เราเจอกันเมื่อวาน ว่าแต่ทำไมน้องผมต้องมากับนายวายุด้วยเนี่ย
ทำไมผมต้องให้ยายดารินมาช่วยนะเหรอครับ เห็นอย่างนี้น้องผมเป็นอาสาสมัครนะครับ อาสาสมัครเพื่อเพื่อนสี่ขา เป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือสัตว์ แต่หลักๆก็เป็นหมาแมวนะแหละครับ เพราะฉะนั้นให้น้องผมมาช่วยนี่ละดีแล้ว น่าจะมีทักษะในการตามหาแน่นอน เมื่อมากันพร้อมทุกคนแล้ว พวกเราตกลงกันว่าจะแยกกันตามหาโดยเริ่มจากจุดที่หายและจากถนนเส้นนี้สามารถแยกไป เขต4 เขต8 เขต9 และเขต10ได้ เมื่อวานเราไปเขต10แล้ว ผมจึงจะไปเขต4แทน และให้ดารินกับนายวายุไปเขต8 ถ้าไม่เจออะไรเราจะกลับมาเจอกันที่จุดเดิมในอีก 2ชม และไปที่เขต9 พร้อมกัน
จากจุดนั้นผมขับมาได้เกือบ 5กิโลเมตร ผมเอารูปถ่ายที่มีถามจากชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นหรือเจอหมาหลงมาเลย ส่วนน้องผมใช้มือถือถ่ายรูปไปแทน
“ริน เป็นยังไงบ้าง” ผมกดโทรศัพท์หาน้องและเอ่ยถามมันทีที่ฝั่งนั้นกดรับ
[ไม่มีเลยอะพี่วิณณ์ ตัวไปจากจุดเดิมไกลแค่ไหนเหรอ]
“ประมาณ 5กิโลกว่าๆอะ”
[อืม พอๆกับเขาเลย เขาว่าเรากลับมาเจอกันที่จุดนัดเถอะ]
“โอเค” ผมตอบรับและวนรถกลับไปที่จุดนัด
“น้องหมาแก่ขนาดนั้น ขาก็ไม่ค่อยดีจะไปได้ไกลแค่ไหนเหรอวิณณ์” ผมหันไปหาคนข้างตัวที่ถามขึ้นมา
“ไม่รู้ ไม่รู้เลย” ผมว่า ผมกับตะวันเราน่าจะกังวลพอๆกัน ‘ยากกว่าแก้คดีให้คนอีก’
ผมมาถึงโดยที่อีกฝ่ายมาถึงก่อนแล้ว
“เป็นยังไงบ้างพี่วิณณ์” ผมส่ายหน้า
“เหมือนกันเลย ไม่มีใครเจอหรือเห็นว่ามีหมาต่างถิ่นหลงมา”
“แต่ผมว่าเรายังใจชื้นได้หน่อยนึงนะ”
“ยังไง?”
“ก็การที่เรายังไม่เจอ และชาวบ้านไม่มีใครเห็นหรือเจอ นั่นก็หมายความว่า มันนี่ ยังไม่ตาย”
“จริงของนาย นายนี่ก็มีความคิดดีกับเขาเหมือนกัน”
“ไม่ได้ดีแค่ความคิดนะครับ นิสัยดีแถมยังเป็นคนดีมากๆด้วย”
“อะแฮ่ม” ผมทำเสียงไอดักทางคนที่แสดงว่าจีบน้องผมอย่างโจ่งแจ้ง
“แหวะ น้ำเน่า” ถึงน้องผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่รู้ตัวไหมหน้ากำลังแดงอยู่ไอ้แสบเอ๊ยยย
“คริคริ”
“หัวเราะอะไร” ผมหันไปพูดเบาๆกับคนข้างๆ
“เปล๊า” ตอบซะเสียงสูงผมควรจะเชื่อดีไหมเนี่ย
“ไปกันเถอะ” ผมหันไปพูดตัดบทกับอีกสองคน เพราะถ้าปล่อยไปคงเถียงกันจนลืมว่าวันนี้เรามาทำอะไรกัน
เราตกลงขับตามกันไปคนละคัน เพราะถ้าจากจุดนี้ยังไม่พบอีก ผมคิดว่าจะวนตามหาทั้ง4เส้นทางใหม่ ส่วนดารินผมคงต้องให้นายวายุไปส่งก่อนจะมืดค่ำกว่านี้
ตลอดเส้นทางเราถามชาวบ้านมาเรื่อยๆ ก็ยังไม่ได้อะไรคืบหน้า ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยพลุกพล่านเท่ากับเส้นอื่น บ้านคนก็ทิ้งช่วงกันแต่ไม่ไกลมาก ขับมาได้ซักประมาณ 4กิโล ผมมองเห็นร้านขายของชำอยู่ใกล้ๆ จึงตัดสินใจชิดซ้ายกะว่าจะถามเรื่องหมาด้วย หาน้ำกินด้วย
“ป้าจ๋า ขอน้ำเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็งเย็นๆ ... พี่วิณณ์เอาอะไร นายละเอาอะไร”
“นี่จ้ะเป๊ปซี่เย็นของแม่หนู ส่วนชากลิ่นข้าวของพ่อหนุ่มคนนี้ (ป้าแกชี้ไปที่นายวายุ) และของพ่อหนุ่มนี้คนนี้ น้ำเปล่า”
“นี่ครับเงิน”
“ขอบใจจ้ะ ว่าแต่พวกคุณ ไม่ใช่คนแถวนี้นี่ จะไปไหนกันละ”
“เอ่อ พอดีผมมาตามหาหมานะครับ”
“หมา?”
“ครับ พอดีป้าผมประสบอุบัติเหตุ และหมาของป้าผมหลุดหายไปนะครับ” คำตอบของวิณณ์ที่ตอบออกไป ทำให้สองคนที่กำลังฟังหันมามองตาเดียวกัน
‘นี่ตัว เรามีป้าด้วยเหรอ’
‘ก็จะให้บอกว่าอะไรละ บอกไปแบบนี้แหละจะได้ไม่ต้องมีคำถามเยอะ’
‘อ่อออ’“ป้าพอจะเห็นไหมครับ”
“อืม ป้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนะพ่อหนุ่ม แต่เดี๋ยวจะถามหลานสาวให้”
“บุ้ง....ผักบุ้งเอ้ย”
“จ๋า ยายยยย”
“มาหายายหน่อยลูก”
“มีอะไรจ้ะยาย” เด็กผู้หญิงอายุประมาณ 13-14ปี วิ่งเข้ามาหายาย “นี่ใครอะจ้ะ”
“พวกพี่ๆเขามาตามหาหมา หมาพี่เขาหาย เราเห็นบ้างไหม”
“หมาเหรอ” แล้วเด็กผู้หญิงก็ทำท่านึก
“เอ้า เห็นไหม ทำท่านึกนานเลย”
“ใจเย็นซิจ้ะยาย บุ้งกำลังใช้ความคิด ว่าแต่หมาของพวกพี่สีอะไรเหรอคะ”
ประโยคหลังน้องบุ้งหันมาถามพวกผม
“สีขาวจ้ะน้องบุ้ง เคยเห็นไหมคะ”
“ถ้าแถวนี้อะบุ้งไม่เคยเห็นหรอกนะจ้ะ แต่เมื่อสองวันก่อนตอนบุ้งกลับจากโรงเรียนเห็นมีคนมุงแล้วก็มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งอุ้มน้องหมาสีขาวขึ้นรถไป บุ้งไม่รู้ว่าจะเป็นตัวเดียวหรือเปล่านะจ้ะ”
“โรงเรียนน้องบุ้งไปทางไหนเหรอ”
“โรงเรียน xxx ใกล้กับตลาดสด xxx อะจ้ะ”
“ผมรู้จักโรงเรียนนี้นะผู้กองผมพาไปได้”
“ขอบคุณนะครับป้า ขอบคุณบุ้งด้วยนะครับ”
“จ้ะๆ ไปกันเถอะ ขอให้หาเจอนะ”
พวกเราลาป้ากับน้องบุ้ง คราวนี้ผมให้นายวายุนำ เพราะเจ้าตัวออกตัวว่ารู้จักโรงเรียนแห่งนี้ จากบ้านน้องบุ้งมาไม่ถึงสองกิโลเราก็เห็นป้ายโรงเรียน xxx พวกเราขับรถเข้าไปจอดในตลาดที่ติดกับโรงเรียน มองซ้ายมองขวาผมก็เห็นเป้าหมาย
ผมเล็งไว้แล้วว่า คราวนี้ถ้าจะถามให้รู้เรื่อง ต้องหาคนที่รู้รายละเอียดในพื้นที่ดีนี้ และก็ต้องเป็นคนนั้นแน่นอน
“ตะวันไป” ผมเรียกตะวันให้เดินตามและเดินนำสองคนนั้นไป
“ลุง....ลุงครับ” ผู้ชายวัยกลางคนในชุดเครื่อง รปภ แบบหันมา
“มีอะไรไอ้หนุ่ม”
“ผมอยากถามลุงหน่อยครับ เมื่อสองวันก่อนลุงเห็นหมาสีขาวหลงมาแถวนี้ไหมครับ”
“เออ เห็นซิ หลงมาจากไหนไม่รู้ วิ่งตื่นๆมา โชคร้ายดันวิ่งไปเจอ ไอ้ขาวในตลาดเข้า มันเลยยิ่งตกใจวิ่งไปนอกถนนโน่น”
“ว้าย จริงเหรอคะลุง แล้วมันเป็นยังไงบ้างคะ”
“โชคดีรถคันที่ขับมาไม่ไว แล้วก็เบรคทัน มันเลยโดนเฉียดๆ”
“แล้วหมาตัวนั้นไปไหนแล้วครับ”
“ก็โชคดีของมันอีกนั่นแหละ เพราะผู้ชายคนที่ขับรถมานะเขาเป็นเจ้าของคลินิกใกล้ตลาดนี่เอง เขากับแฟนเลยพามันไปด้วย คงพาไปตรวจดูนะแหละว่าเป็นอะไรมากไหม ตอนนี้มันก็ยังอยู่ที่คลินิก”
“คลินิกไกลจากที่นี่มากไหมคะลุง พวกหนูเดินไปได้ไหมคะ”
“ไม่ไกลๆ เดินไปก็ซักสองสามร้อยเมตร”
“งั้นพวกลาเลยนะครับ ขอบคุณนะครับลุง”
แค่คิดว่าจะเป็นเจ้ามันนี่ผมก็อยากจะไปให้ถึงคลินิกนั้นไวๆ ผมลาลุง รปภ แล้วก็รีบเดินจ้ำไปทางที่ลุงชี้ให้
‘คลินิคหมออาร์ม’“น่าจะที่นี่นะ” ผมมองหน้าตะวันก่อนจะเปิดประตูคลินิกเข้าไป
ผู้ชายในชุดเสื้อกราวน์
‘นายสัตวแพทย์ปกรณ์ ฤทธิโรจน์’เอ่ยทักทายพวกเรา
“สวัสดีครับคุณหมอ ผมวิณณ์ พวกเรารู้มาว่ามีน้องหมาโดนรถชนมารักษาที่นี่เมื่อประมาณสองวันก่อน”
“ครับ?”
“ผมอยากจะขอหมอดูหมาตัวนั้นหน่อยครับ”
“คุณเป็นเจ้าของหรือเปล่าครับ”
“เปล่าหรอกครับ แต่หมาของป้าผมหายไปในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุพอดีนะครับ”
“งั้นเชิญทางนี้ครับ” หมอเดินนำพวกเราไป “แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่ตัวเดียวกันหรือเปล่านะครับ แต่ถ้าตัวที่หลงมาแล้วเกือบโดนรถชนก็มีเจ้าตัวนี้ตัวเดียวครับ”
ก๊อก ก๊อก หมอหนุ่มเคาะประตูก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
‘ห้องพักฟื้น’“แบม พี่เข้าไปนะ”
“ครับพี่หมอ” มีคนอยู่ในห้องนี่เอง มิน่าทำไมถึงต้องเคาะประตู
“มีคนมาขอดูเจ้าลัคกี้นะ”
“ครับ”
“แต่ผมอยากจะบอกเอาไว้ก่อนนะครับ เจ้าลัคกี้ที่ผมเจอเนี่ยถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แต่เพราะอายุมากแล้ว กว่าผมจะเจอเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง ร่างกายเขาอ่อนแอและอ่อนแรงอย่างมาก ถึงจะนอนพักแล้วก็ยังไม่ฟื้นตัวดี อาหารก็ไม่ยอมกิน ผมจึงต้องสลับให้น้ำเกลือพื่อไม่ร่างกายขาดน้ำ ดูเหมือนเขาตรอมใจอะไรซักอย่าง ถ้าเป็นตัวเดียวกันจริงๆ เมื่อคุณพากลับไปแล้วผมอยากให้คุณดูแลเขาให้ดีที่สุดในช่วงบั้นปลายชีวิต”
“ครับ” หมอพูดซะผมใจแป้วเลย คนชื่อแบมเข็นรถเข็นออกมาพร้อมมีน้องหมาสีขาวขนฟูตัวหนึ่งอยู่บนนั้น ที่บนคอมีปลอกคอสีฟ้าอยู่ด้วย
“นี่ครับ”
“หมอครับเขาเดินไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ใช่เดินไม่ได้หรอกครับ แต่เขาไม่ยอมเดิน นอนแบบนี้ตั้งแต่วันที่ผมเจอ จะลุกบ้างคือตอนขับถ่าย ส่วนเรื่องกินต้องป้อนกันเลยละครับ เขาไม่ยอมกินเอง”
‘มันนี่ มันนี่ครับ ใช่มันนี่ไหม’ เป็นตะวันที่เข้าไปยืนข้างรถเข็นและก้มลงกระซิบข้างหูของมันนี่
“มันนี่ครับ” พร้อมกับเสียงน้องสาวผมที่เรียกชื่อมันนี่ด้วยเหมือนกัน สองเสียงประสานกันผมคิดว่ามันนี่คงได้ยินเหมือนผมและมันกระดิกหาง
ใช่ มันกระดิกหาง
“พี่วิณณ์ ดูซิมันกระดิกหางด้วย” เขาว่าหมามันมีสัมผัสพิเศษ เจ้ามันนี่คงรู้ซินะว่าพวกผมมาทำไม
“ดูท่าผมคงไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วละ”
“หมอครับ ป้าผมยังไม่ออกจากโรงพยาบาล ผมคงต้องฝากหมอดูแลไว้ก่อนนะครับ แล้วผมจะมารับพร้อมกับป้า”
“ได้ครับไม่มีปัญหา”
“เอ่อ ลุง รปภ ที่ตลาดบอกผมว่าหมอกับแฟนเป็นคนช่วยเจ้ามันนี่ไว้ ผมขอบคุณหมอแล้ว ก็อยากจะขอบคุณแฟนหมอด้วยนะครับ”
“ได้ซิครับ” แล้วหมอก็เดินหายเข้าไปด้านในก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับน้องผู้ช่วยคนนั้น และมาหยุดตรงหน้าพวกเรา
“ครับ?”
“นี่ครับแฟนผม แบม”
O__O
-__-
“หะ เอ่อครับ” ผมได้แต่อึ้ง ชี้มือไปมาระหว่างหมอกับแฟนหมอ
“แปลกเหรอครับ”
“เอ่อ ไม่ได้แปลกใจหรอกครับ ก็แค่ตกใจนิดหน่อยครับ” หมอนิ่งกับปฏิกิริยาของผม จนผมต้องรีบอธิบาย
“อะ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจหรือคิดอะไรไม่ดีนะครับ ผมเปิดกว้าง และเข้าใจครับ เพราะผมเองก็มีเพื่อนที่เป็น เอ่อ...เป็นแฟนกันแบบนี้เหมือนกันครับ”
“ครับ ผมชินแล้วละครับ อย่าว่าแต่คุณเลยตอนแรกผมยังแปลกใจตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่ผมต้องขอบอกว่าเราสองคนไม่ได้เป็นเกย์นะครับ เรารักกันที่เราเป็นเราครับ เพราะถ้าจะให้ผมไปมองและชอบผู้ชายคนอื่นผมก็คงไม่ รักได้ก็แค่คนนี้เท่านั้นละครับ โอ๊ยยย”
ท่าทางแฟนหมอจะเขินแรงไปหน่อย ศอกมะกี้มีจุกนะผมว่า เมื่อขอบคุณและร่ำลากันเสร็จพวกเราก็พากันกลับไปที่รถ ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้วผมอยากจะพาตะวันไปหาคุณป้าที่โรงพยาบาลแต่ก็คิดว่าน่าจะรอพรุ่งนี้ได้ พอคิดว่าจะพาตะวันกลับคอนโดเลย ก็นึกได้ว่าผมยังไม่ได้ตอบแทนสองคนนี้ที่มาช่วยผมเลย ผมว่านายวายุนั่นคงไม่ได้อยากให้ผมเลี้ยงอะไรหรอกและผมว่าผมรู้ว่านายวายุอยากได้อะไร แต่น้องสาวผมซิ แค่ก้าวพ้นจากประตูก็บ่นหิว เมื่อย ร้อน บลาๆ
เอาเป็นว่าผมก็เลยต้องพาคุณเธอไปกินข้าวและขนมเพื่อตอบแทนที่มาช่วยงานผม
ผมให้ยายตัวแสบเลือกร้าน เห็นคลิกๆ เลื่อนๆ หาร้านในมือถืออยู่ซักพักก็เลือกได้ซักที ดูจากพิกัดก็ไกลจากจุดที่เราอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าน้องต้องการผมหรือจะกล้าขัด ผมจึงขับรถตามนายวายุไปเรื่อยๆ
“ดารินนี่โชคดีเนอะ น่าอิจฉาด้วย มีวิณณ์เป็นพี่ชาย ใจดี ตามใจทุกอย่าง แถมยังหล่อด้วย”
“คิดแบบนี้อีกแล้ว” ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปโยกหัวเบาๆ “แม่ตะวัน นายวายุ ก็รักตะวันนะ พูดแบบนี้ถ้าเขาได้ยินขึ้นมาจะเสียใจรู้ไหม แล้วก็อีกอย่างไม่ต้องไปอิจฉาดารินหรอก เพราะวิณณ์แสดงออกกับดารินแบบไหน ก็ทำกับตะวันแบบนั้นเหมือนกัน แถมยังมากกว่าด้วยซ้ำ ต้องเป็นดารินมาอิจฉาตะวันมากกว่านะถึงจะถูกรู้ไหม”
มือที่โยกหัวเบาๆ ตอนนี้เลื่อนมาจับประสานมือกับตะวันไว้ ผมทำแบบนี้ทำไมผมก็ยังไม่รู้ ผมรู้แค่อยากทำ อยากให้ตะวันรู้ว่าผมจะอยู่กับเขา
ผมมองของกินบนโต๊ะแล้วก็หน่ายใจ นี่กะกินให้ล่มจมกันเลยใช่ไหมเนี่ย ไม่ใช่ว่างกนะ แต่กลัวน้องอ้วน
“แน่ใจนะว่ากินหมด”
“หมด ทำไมเลี้ยงน้องแค่นี้บ่นหรา”
“ไม่ได้ว่าอะไรเลย กินหมดก็กินไป แค่กลัวว่าคนบางคนจะมาบ่นอ้วนทีหลัง”
“ไม่ยะ นี่อย่ามาหัวเราะ” น่าน ยังมีอารมณ์ไปพาลนายวายุอีกนะ ผมละสงสารคุณจริงๆ
บรรยากาศร้านนี้เหมาะแก่การ chill out อาหารก็มีทั้งของคาวและขนมหวาน มีมุมนั่งส่วนตัว และมีดนตรีสดเล่นด้วย แต่ต้นไม้มันเยอะไปนะ ถ้ามีงูไปแอบไม่มีทางรู้แน่
“เดี๋ยวพี่มา”
“ไอ ไอ๋”
“กลืนก่อนค่อยพูดไหมไอ้แสบ ไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา” ผมหันไปมองตะวันว่าเขาจะมากับผมด้วยไหม แล้วเขาก็ลุกขึ้นตามผมมา ความจริงเขาไม่ต้องมากับผมก็ได้ แต่ผมไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่โต๊ะ กลัวเขาเหงา
แปลกคนเนอะ
ผมเนี่ยแปลกคนเนอะ
ตะวันรอผมที่หน้าห้องน้ำ จนผมจัดการธุระเสร็จแล้วออกมาล้างมือ
‘ฮือ ฮือ’ เสียงใคร? เงียบไปแล้ว หูคงแว่ว
แต่ระหว่างที่หันไปหยิบกระดาษเช็ดมือ
‘ฮือ ฮือ’ อีกแล้ว ผมหันไปทางตะวัน ซึ่งเจ้าตัวคงได้ยินเหมือนกัน
ชู่ววววว ผมทำท่าเป็นเชิงว่าให้เงียบ หลังจากนั้นก็พยายามเงี่ยหูฟัง ตะวันได้ยิน ผมได้ยินงั้นก็น่าจะเป็นเสียงคน
‘ฮืออออออ ฮึก...ฮืออ’ ผมพยายามจับทิศทางของเสียง ซึ่งมันน่าจะมาจากทางด้านหลังห้องน้ำ แต่ตรงนั้นมีแต่ต้นไม้และหญ้าที่ขึ้นสูงเท่าเข่า ผมก้าวเข้าไปอย่างช้าและเบาที่สุด
“วิณณ์ อย่าไปมันมืดมันอันตราย”
“ไม่เป็นไร” แต่ยังไม่มันที่ผมจะก้าวต่อไป
“ผู้กองทำอะไรครับ กำลังจะไปไหน”
“คุณวายุ ผมว่าผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องมาจากทางนี้”
ผมกำลังจะก้าวขาต่อไป
“เดี๋ยว”
“....”
“ผู้กองแน่ใจว่าเป็นเสียงคน?”
“ผมไม่รู้ แต่ผมได้ยิน ปกติผมจะไม่ได้ยินเสียงผีหรืออะไรทั้งนั้นนอกจากตะวัน แต่นี่ผมได้ยิน ยังไงก็ต้องไปดู”
‘ฮืออออออ’“เอิ่มม ผมก็ได้ยินเหมือนกัน”
ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผม ตะวัน และนายวายุ พากันเดินอ้อมหลังห้องน้ำไปตามเสียงที่ได้ยิน
‘ฮือออ.....ฮึกกก......ฮืออออ’“วิณณ์ หลอนยังไงก็ไม่รู้อะ”“ผู้กอง ผมว่า ระ...เรากลับ...กันดีกว่าไหม”
ผมได้แต่ส่ายหัว สรุปกลายเป็นว่านอกจากตะวันที่ผมดูแล ผมยังต้องพ่วงตัวถ่วงเพิ่มมาอีกหนึ่ง
“ถ้าสองคนกลัว ก็รอตรงนี้ไม่ต้องตามมา”
“สองคน?? สองคนไหน ผู้กองอย่าพูดให้กลัวเพิ่มซิ”
“สองคน ก็คุณกับตะวันไง”
“อ้ออ ชะ..ใช่ ตะวัน แหะๆ ตะวันอยู่ด้วย แฮ่....ผมลืมไป”
“ไม่เอา ตะวันจะไปกับวิณณ์”“แล้วไม่กลัวแล้วหรือไง”
“ไม่ อยู่กับวิณณ์ไม่กลัวหรอก”“หึหึ งั้นตามใจ”
“อะไร พูดอะไรกัน ผมไม่ได้ยิน อย่าแอบคุยกันซิ”
“เฮ้อ ตะวันจะไปกับผม ถ้าคุณกลัวก็เดินกลับไปหาดารินซะ หรือจะรอตรงนี้ เลือกเอา”
แล้วไอ้คนขี้กลัวก็ใช้ความคิดอย่างหนัก เดินกลับไปก็เดินคนเดียวถ้าเกิดเจออะไรกลางทางละ ให้รอตรงนี้ก็คนอยู่คนเดียวอีก ไม่ปลอดภัยๆ แต่ถ้าไปกับผู้กองอย่างน้อยก็มีเพื่อนเดินละวะ
“ผมไปกับผู้กอง”
“ตามใจ”
เราเดินตรงเข้าไปยังพุ่มไม้ด้านใน พอหันไปข้างหลังไฟจากห้องน้ำก็ค่อยๆ ห่างไป ห่างไป
“ผู้กองผมว่าเสียงมันหายไปแล้วนะ”
ใช่ อยู่ดีๆ เสียงก็หายไป รอบๆ บริเวณตรงนี้ไม่มีอะไรนอกจากหญ้าที่สูงเลยเข่าขึ้นมา กับต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้า ใหญ่มาก ใหญ่ขนาดหลายคนโอม
‘ฮือออออ......ฮือออออออ’“เฮ้ย.....เสียง เสียงมาอีกแล้ว ผู้กองงง” นายวายุกระโดดมาเกาะแขนผม ตัวก็เท่ากันแท้ๆ
“คุณ คุณ นี่คุณถ้าจะกลัวขนาดนี้ ผมบอกแล้วให้กลับไปหายายดาริน”
“แฮ่ๆ”
จึกๆ ผมหันไปตามแรงดึงที่ชายเสื้อ เห็นตะวันทำหน้าตื่นพร้อมกับชี้ไปทางด้านหน้าใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น
“ผู้หญิงนิ”
“ไหนผู้หญิงไหน อย่าผู้กอง อย่าไปคนหรือเปล่าก็ไม่รู้” นายวายุออกแรงดึงผมไว้
“คุณมองเห็นไหมละ”
“หะ...เห็น”
“คุณเห็น ผมเห็น งั้นก็ไม่ใช่ผี”
“เดี๋ยวผู้กอง ไม่จำเป็นเสมอไปหรอกนะถ้าเป็นผีแล้วเราจะไม่เห็น มันเอามาวัดไม่ได้”
“แต่คุณยังไม่เห็นตะวันเลยนี่”
“มันไม่เหมือนกัน โว้ยยย จะอธิบายยังไงดีวะ เอ้า... ตามใจอยากทำไรทำ เชิญเล้ยยย”
“ตะวันรอนี่ คุณด้วย”
“คุณ
.
.
.
คุณ
.
.
.
คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ผู้หญิงคนนั้นยังคงก้มหน้าและร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
“คุณครับ ผมเป็นตำรวจนะ ให้ผมช่วยนะ” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปเพื่อจับตัวเธอ
.
.
.
.
.
.
.
“อย่ามายุ่งกับคนของกู”