Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)  (อ่าน 20903 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
อ่านมาก็หลายตอนเนอะ ก็ยังคิดว่าตะวันนี่เป็นเด็กที่โคตรจะปีนเกลียว เรียกชื่อผู้กองเขาห้วนๆ เขาแก่กว่าหลายปีนะ อยากจะสนิทยังไงก็ควรมีมารยาทกันสักหน่อย ไม่ใช่ห่างกันปีเดียวไรงี้ (เข้าโหมดขี้บ่น) 555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ว่าแต่สร้อยที่วิณณ์ซื้อให้ตะวันใส่
มันเป็นวัตถุ ที่มีรูปร่าง น้ำหนัก
ตะวัน ใส่แล้วสร้อยไม่ลอยให้คนเห็นหรือ
หรือพอวิญญาณตะวันใส่ จะลบร่องรอยสร้อยได้
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 13  หลักฐาน



พวกเรากลับมาที่คอนโดด้วยสติที่ยังมึนๆ ก็เพราะเมื่อคืนเพิ่งจะเจอกับเจ้าหล่อน และหล่อนก็เป็นฝ่ายมาหาวิณณ์ถึงห้อง แล้วไอ้การที่หล่อนมาหามันเกือบทำให้เป็นปัญหากับวิณณ์ เพราะวิณณ์เป็นคนสุดท้ายที่เจอเจ้าหล่อนตอนยังมีชีวิตซึ่งเวลาตอนนั้นก็ประมาณทุ่มนึง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบหรือเห็นหล่อนอีกเลย จนกระทั่งเป็นศพเช้านี้ เพราะเพื่อนสาวติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน ประกอบกับช่วงนี้เจ้าหล่อนมีเรื่องกลุ้มใจที่ถูกคุกคามจากผู้ไม่ประสงค์ดี  ด้วยอาการร้อนใจจึงมาหาที่ห้อง แล้วก็เป็น........ศพ..........อย่างที่เห็น


“สภาพของผู้ตายมีรอยฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง น่าจะเกิดกจากการต่อสู้หรือไม่ก็ถูกซ้อมครับ แต่สาเหตุการเสียชีวิตน่าจะมาจากการถูกรัดคอจนทำให้ขาดอากาศหายใจจนตาย แต่ยังไงก็คงต้องรอผลจากทางนิติเวชผ่าพิสูจน์อีกทีครับ ข้าวของภายในห้องถูกรื้อค้นจนกระจัดกระจายดูเหมือนคนร้ายน่าจะพยายามหาอะไรบางอย่าง”

“พบหลักฐานอย่างอื่นอีกไหมจ่า”

“คงต้องตรวจหาลายนิ้วมือก่อนครับผู้กอง แต่จากสภาพห้องคงต้องใช้เวลาเก็บหลักฐานพอสมควรครับ”


ผมแยกจากวิณณ์เดินมาดูอีกทาง เพราะผมเป็นวิญญาณจะเดินไปไหนก็ไม่มีใครเห็น แถมไม่ได้ทำให้หลักฐานเสียหายอะไรด้วย  โครงสร้างภายในห้องไม่ได้ต่างจากห้องของวิณณ์ คิดว่าก็คงเหมือนกันหมด ข้าวของเครื่องใช้ก็มีตามประสาผู้หญิง ซึ่งผมไม่เข้าใจเลยอะไรทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งถึงโดนทำโหดร้ายขนาดนี้ ถึงเธอจะดูแรงแต่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง

ของภายในห้องถูกรื้นค้นออกจากที่ ลงมากองที่พื้นเกือบทั้งหมด เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ ไม่เว้นแม้แต่ที่นอนก็ถูกรื้อฉีกขาด ตู้รองเท้าก็ยังโดน  โทรทัศน์ เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้า ถูกทำลายจนพัง คนร้ายพยายามจะหาอะไร?

“วิณณ์............วิณณ์  มานี่  มานี่หน่อย”

เหมือนผมจะเห็นอะไรสักอย่างมันเป็นเส้นบางๆ ที่ถูกเทปใสแปะบนหน้าต่างบานเกล็ดตรงห้องน้ำในห้องนอน ผมจึงเรียกวิณณ์ให้เข้ามาดู ภายในห้องจะมีห้องน้ำแบ่งเป็นสองส่วน ห้องน้ำด้านนอกเป็นส่วนแห้ง ส่วนห้องน้ำในห้องมีทั้งส่วนเปียกและส่วนแห้ง และเพราะห้องของเจ้าหล่อน อยู่ริมสุดทางเดิน ทำให้ห้องน้ำในห้องนอนที่มีบานเกล็ดติดหันออกไปนอกตัวอาคาร

“วิณณ์ดู”  ผมชี้ไปยังสิ่งที่ตรงหน้า ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่เห็น มันเป็นเส็นเอ็น คล้ายเอ็นตกปลา ผูกติดอยู่กับตัวหมุนบานเกล็ด และมีเทปใสแผ่นเล็กๆ แปะเอาไว้อีกที  วิณณ์มองตามที่ผมบอก หลังจากนั้นก็พยายามแกะเทปใสและเชือกอย่างเบามือที่สุด เพราะนี่ชั้น 7 นะครับ ถ้าหลุดมือมาคงได้ล่วงลงไปข้างล่าง แล้วมันก็จะเป็นงานใหญ่กว่าแน่


ซองยา……………



มันเป็นซองยาสีน้ำตาล  ซองถูกปิดอย่างดีและเอาเทปใสปิดทับอีกรอบ ก่อนจะถูกเจาะที่ปลายถุงแล้วเอาเส้นเอ็นยึดติดเพื่อผูกห้อยกับหน้าต่างบานเกล็ด  และเมื่อแกะออกดูของด้านใน


เมมโมรี่การ์ด?


“เมมอะไรอะวิณณ์”

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน คงต้องเอากลับไปดูที่ สน.”   มันจะไม่น่าสนใจอะไรเลยถ้าชื่อหน้าซองไม่ระบุชื่อของวิณณ์ไว้    ‘ผู้กองวิณณ์’



“ผู้กองครับ ทำไมผู้ตายถึงเขียนชื่อผู้กองไว้ละครับ”   เอ้า  จ่าเติมเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ละเนี่ย

“ผมก็ไม่แน่ใจ  แต่เมื่อคืนผู้ตายเหมือนตั้งใจมาหาผม  เหมือนมีอะไรสักอย่าง……….จ่าเติม เดี๋ยวผมกลับไป สน. ก่อนนะ ผมฝากทางนี้ด้วยนะจ่า”

“ครับ  ผู้กอง”




ผมเดินตามวิณณ์ลงมาด้านล่างคอนโด เพื่อจะกลับไปที่ สน. แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายขนาดนั้น


“ผู้กอง…..ผู้กอง”
“ผู้กองแย่เลยนะคะ ดันมีเหตุฆ่ากันตายที่นี่ แล้วอย่างนี้จะจับคนร้ายได้เมื่อไหร่คะ”
“ใช่  ใช่  เด็กๆ พากันกลัวหมดแล้วครับ รีบจับคนร้ายให้ได้ไวๆ นะผู้กอง”
“ตายแล้ว แล้วอย่างนี้ห้องนั้นจะมีใครกล้าไปอยู่”
“โดนฆ่าตายแบบนี้  เขาว่าเฮี้ยนน่าดูเลยนะเธอ”


“เอ่อ  ทุกคนครับ  ใจเย็นๆ นะครับ อย่าเพิ่งกังวลกันไปก่อนนะครับ  ผมจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจดูความเรียบร้อยจนกว่าจะจับคนร้ายได้ ส่วนตอนนี้ผมขอให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องพบเจออะไรหรือใครที่ผิดปกติ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่นะครับ”


“คะ….คะ…..ครับ”




เมื่อพูดจบวิณณ์ก็ขอตัวกลับมาที่ สน. ต่อ เพราะประเด็นหลักคือ เมมโมรี่การ์ด อันนั้น


อะไรอยู่ในนั้น 
มันต้องสำคัญมากๆแน่ ถึงต้องแอบสายตาคนอื่นขนาดนั้น
แล้วทำไมต้องระบุชื่อวิณณ์ไว้


พวกเรากลับถึงที่ สน. วิณณ์ก็ตรงเข้าห้องทำงานไปทันที จัดการเปิดโน้ตบุคและใส่เมมโมรี่การ์ดที่การ์ดรีดเดอร์ ดูแล้วมันน่าจะเป็นเมมโมรี่การ์ดจากมือถือ

“นี่วิณณ์ แล้วอย่างนี้จะไม่มีความผิดเหรอ เอาหลักฐานมาแบบนี้อะ”

“เราไม่ได้ยึดหลักฐานหรือตั้งใจจะขโมยหลักฐานไปไหนนี่ ดูเสร็จแล้วเราก็จะเอาไปรวมกับหลักฐานชิ้นอื่น”

“…………”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกังวล”  ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไง แต่ผมก็เป็นห่วงวิณณ์ ยายนั่นตั้งใจมาหาวิณณ์ถึงห้อง พอกลับไปก็ดันมาตาย ถึงแม้จะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ดูว่าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับการตาย แต่วิณณ์ก็เป็นคนสุดท้ายที่เจอกับหล่อน แถมยังมีหลักฐานที่มีชื่อวิณณ์เข้าไปพัวพันอีก คิดอะไรของเขาอยู่กันแน่ จะบอกอะไรก็ไม่รีบบอก ทำลับๆล่อๆ  สุดท้ายตอนนี้ต่อให้อยากบอกแค่ไหนก็บอกไม่ได้แล้ว


หลังจากเปิดไฟล์ในเมมโมรี่การ์ดดู  ผมไม่เห็นอะไรนอกจากรูปภาพวาบหวิวของเจ้าหล่อน ทั้งทูพีช วันพีช นอกจากจะถ่ายกับบรรดาเพื่อนสาวแล้ว ยังมีภาพเซลฟี่นัวเนียกับผู้ชาย ท่าทางจะรวยน่าดู หรือว่า เป็นเด็กเสี่ยอย่างที่เขาบอกกัน


ไม่เข้าใจเลยแฮะ  แต่เอ๊ะ!!...............นั่นมัน อะไรอะ


พอเลื่อนลงไปดูเรื่อย

เรื่อย

เรื่อย 


มันเป็นรูปกลุ่มผู้ชาย 4-5 คนที่กำลังขนกล่องอะไรสักอย่างไปไว้หลังรถกะบะ หลังจากนั้นก็เอาผ้าใบปิด ดูแล้วหลังรถนั่นน่าจะมีอยู่หลายกล่อง นอกจากภาพแล้วยังมีคลิปวิดิโออีกหลายคลิปเลยทีเดียว  แล้วคลิปเหล่านั้นจะไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ถ้า……..ไม่มีเจ้าของเมมโมนี่การ์ดร่วมอยู่ด้วย


คุณแอน……



เรื่องมันชักซับซ้อนแหะ ถ้าเจ้าตัวเป็นเจ้าของเมมโมรี่การ์ดนี้ เจ้าตัวก็ต้องเป็นคนถือและถ่ายมันไว้เอง รูปถ่ายเซลฟี่ไม่แปลกอะไรหรอก  แต่นี่เจ้าหล่อนมีคลิปวิดิโอออยู่ในเมมโมรี่การ์ดด้วย เป็นคลิปวิดิโอที่ถ่ายจากมุมด้านนอก  มันเหมือน….….มุมแอบถ่ายมากกว่า





ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“ผู้กอง ขออนุญาติครับ”

“เชิญครับจ่า  เป็นยังไงบ้างจ่า”

“จากการสอบถามคนในคอนโด ไม่ค่อยมีใครสนิทกับผู้ตายมากเท่าไหร่ แต่เท่าที่อยู่มาผู้ตายจะมีแต่เพื่อนเท่านั้นที่ไปมาหาสู่ และเพื่อนคนนั้นก็คือคนเดียวกับที่เจอศพ
อ้อ….อีกอย่างหนึ่งครับคนในคอนโดบอกว่าช่วงนี้มักจะมีรถกับคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนแถวคอนโดบ่อยๆ ผู้กองไม่เจออะไรผิดปกติบ้างเหรอครับ”


อะไรผิดปกติเหรอ?? 


เอ๊ะ……………หรือว่าจะเป็นคนนั้น


“วิณณ์ วิณณ์  ผู้ชายคนนั้นไง ที่เราเจอเมื่อคืนนะ ที่เดินสวนกับคุณแอนแล้วก็เดินผ่านพวกเราไปไง  จำได้ไหม”  ผมกระซิบบอกวิณณ์ (ว่าแต่ผมจะกระซิบทำไมละเนี่ย ไม่มีใครได้ยินสักหน่อย)



“จ่าเติม ผมอยากให้เราส่งเจ้าหน้าที่คอยตรวจดูทุกๆ ชั่วโมงในช่วงนี้ ถ้ามีอะไรน่าสงสัยให้รายงานผมทันที”

“ครับ”

“แล้วหลักฐานอื่นละ”

“ตอนนี้ยังไม่มีครับ ดูจากสถานที่เกิดเหตุ เกิดจากการต่อสู้แน่นอน ของมีค่าทุกอย่างอยู่ครบ แต่ก็ดูเหมือนคนร้ายน่าจะพยายามอะไรอยู่ครับ ส่วนผลชันสูตรคงต้องรอทางนิติเวชแจ้งมา”

“อืม”

“ผู้กองมีอะไรอีกไหมครับ ถ้าไม่มีผมขอตัวไปจัดการกับหลักฐานก่อนครับ”

“ตามสบายจ่า ขอบคุณนะ”

“ครับผม”



คนแปลกหน้า 
รถต่างถิ่น
คนตาย
แล้วยังรูปกับคลิปวิดิโอนั่นอีก  ขนอะไรกัน
คุณแอนเข้าไปพัวพันกับอะไรกันแน่?



“เออ  ตะวัน เห็นอะไรบ้างไหม”

“เห็น?    เห็นอะไรเหรอ”

“วิญญาณ”

“วิญญาณ  คุณแอนอะนะ  ไม่นะ”

“……….”

“ทำไมเหรอวิณณ์”

“ไม่มีอะไร แค่คิดว่าเขาอาจจะมาขอความช่วยเหลืออะไรบ้าง”



อืม  แต่ก็แปลกนะ ทำไมกลับไม่เห็นหรือรู้สึกอะไรเลย ถ้าหล่อนถูกฆาตกรรมจริง วิญญาณก็น่าจะต้องมีห่วง อยากได้รับความช่วยเหลือ หรือความยุติธรรมอะไรบ้างซิ แต่ทำไมไม่ยักเห็นแหะ



“วิณณ์ว่า   คุณแอนเขาไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรเหรอ”

“ก็ยังไม่แน่ใจนะ แต่คงไม่ใช่เรื่องดี อีกอย่างวิณณ์คุ้นหน้า 1 ในพวกมันอยู่คนหนึ่ง แต่นึกไม่ออกว่าเห็นที่ไหน”





วันนี้วิณณ์อยู่เคลียร์งานจนดึก กว่าจะได้ออกจาก    สน. แล้วกลับมาถึงคอนโดก็เกือบ 5 ทุ่ม วิณณ์วนรถเข้าคอนโดเป็นจังหวะที่สวนกับสายตรวจที่ออกไปพอดี คงเป็นสวยตรวจที่วิณณ์ให้คอยมาตรวจตราที่คอนโดแน่ๆ


“สวัสดีครับผู้กอง สายตรวจเพิ่งกลับไปเมื่อกี้เองครับ”

“ครับลุง แล้วมีอะไรผิดปกติไหม”

“ก็ไม่มีนะครับ  อาจจะเพราะสวยตรวจมาตรวจเข้มงวดมาก มาทุก ชม เลยละครับ พวกคนร้ายคงไม่กล้ามาแล้วละ”

“ก็ดีครับ แต่อย่าเพิ่งวางใจไปนะครับ ถ้ามีอะไรลุงรีบแจ้งผมหรือสายตรวจและนะครับ”

“ครับผม”

“อ้อ  แล้วอย่าซ่าไปเสี่ยงอันตรายเองนะครับ”

“แหมมม  ผู้กองพูดเหมือนรู้เลยครับ”

“หึหึ”     วิณณ์หัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหน้า 



“นี่วิณณ์ ทำไมพูดกับลุงเขาแบบนั้นละ”

“ก็ถ้าไม่บอกนะ ลุงแกคงห่ามไปลุยเองแน่นอน  ยิ่งซ่าๆ อยู่”

“เหรอ  เหอๆ”





พวกเราเข้ามาในลิฟท์ และวิณณ์กดลิฟท์ไปที่ชั้นของตัวเองคือชั้น  9   ลิฟท์ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปทีละชั้น 

1

2

3

4

5

6

7



ติ๊ง…….    ครืดดดดด   

เสียงลิฟท์ดังขึ้นพร้อมกับหยุดที่ชั้น 7 




ชั้น 7 เหรอ 

คงไม่หรอก…………………..มั้งงงงงงงงงงงง



“โอ้ววว  ไม่นะ ทำไมต้องเวลานี้ด้วยวะ”

“มีอะไรตะวัน”


“ก็…….คะ……..คน……ที่วิณณ์ ถะ…..ถาม ถึงเมื่อบ่ายไง   ยะ……อยากเจอ  มะ…..ไม่ใช่เหรอ”


“พูดจริง??   พูดจริงอะ??”

“จริง    ซะยิ่งกว่าจริง”   




ติ๊ง………… ชั้น 9   

แล้ว………….หายไปแล้ว  หายไปไหนแล้วละ 

นี่แม่คู๊นนนนน จะมาช่วยมาดีๆ หน่อยได้ไหมครับ เล่นซ่อนแอบแบบนี้ ผมสู้ไม่ไหวจริงๆ ครับ


“ตะวัน    ตะวัน เธอยังอยู่ไหม”

“ไม่  ไม่อยู่ในลิฟท์แล้ว  ตะ…..แต่”

“แต่อะไร”

“นู่น…..”    ผมบอกพร้อมทั้งชี้มือไปที่หน้าห้องเบอร์  901   ห้องของวิณณ์    “เธอไปรอที่หน้าห้องแล้ว”



โอ้วก็อดด  เธอเป็นผีล่องหนหรือไงปุปปับไปโผล่นั่นอะ  ว่าแต่ทำไมต้องทำท่าน่ากลัวแบบในหนังด้วยนะ ยืนนิ่งหน้าประตู ผมที่ยาวปล่อยลงมาปิดหน้าปิดตา มันจะหลอนไปไหมเนี่ยแม่คู๊นนนนนนนนน


วิณณ์เดินผ่านเธอไปที่หน้าประตู และไขกุญแจเข้าไปในห้อง



“ตะวัน ถ้าเธออยากจะให้ช่วยอะไรก็บอกให้เธอเข้าห้องมาเถอะ”

คงไม่ต้องบอกแล้วละมั้ง  ก็เจ้าหล่อนเข้าไปยืนรอในห้องซะเรียบร้อยแล้วโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเขาเชิญก่อนด้วย แล้วยังทำตัวจุ้นจ้านเดินตรงนั้นตรงนี้ ดูนั่นดูนี่ มารยาทนะสะกดเป็นไหม ทำตัวได้น่าหมั่นไส้ซะจริง


“คุณผู้หญิงครับ มีธุระอะไรก็รีบบอกมาเลยครับ”  สาบานจริงๆ นะ ผมไม่เคยคิดอยากจะพูดไร้มารยาทแบบนี้กับใครเลยไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ทำไมไม่รู้  ผมไม่ชอบใจจริงๆ นะ  ไม่ชอบหล่อนเอาซะเลย  รีบๆ พูดมา แล้วรีบๆ ออกไปเลย


“แหม แหม แหม  หวงอะไรไม่ทราบเหรอคะ”
“หวงอะไร อยากจะพูดอะไรก็รีบบอกมา ตอนนั้นมาอยากจะพูดก็ไม่รีบพูด แล้วเป็นยังไงละ ต้องมาพูดตอนนี้แทน”


“หือ หือ  หยาบคายจังเลยนะ”   เดี๋ยวๆ ไปกอดแขนฉอเลาะกับวิณณ์ทำไม
“หยุดทำแบบนั้นได้แล้ว มีอะไรรีบพูดมาก่อนจะเปลี่ยนใจ”


“ก็ด่ะ  แต่ว่าถามจริงนะเป็นอะไรกันเหรอ”
“ใครเป็นอะไร”


“ก็นายกับผู้กองไง”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น จะบอกเรื่องของเธอมาได้หรือยัง ว่ายังไง”


“โอเค๊ จะทำเป็นเชื่อก็ได้…….……เอาละเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”      มันควรจะพูดได้ตั้งนานแล้วไหมละ  มัวแต่มาสนใจเรื่องของคนอื่นอยู่ได้


“ที่ฉันมาหาผู้กองวันนั้น ก็เพราะฉันตั้งใจเอาเมมโมรี่การ์ดมาให้   แต่ก็คงไม่ต้องแล้วละ เพราะผู้กองเจอมันแล้ว”
“ภาพกับคลิปวิดิโอพวกนั้นหมายถึงอะไร คุณอยากจะบอกอะไร”


“ถามจริง?  ดูแล้วไม่รู้เลยเหรอ”
“รู้อะไร ไอ้ภาพที่เธอนัวเนียกับไอ้เสี่ยแก่นั่นนะเหรอ อยากจะบอกเรื่องนั้นอะนะ”


“โอ้ยยยย  ไม่ใช่ยะ  ว่าแต่ผู้กองดูแล้วเป็นยังไงบ้าง จะหึงบ้างไหมนะ”
“นี่!!!”


“อะไรก็แค่อยากรู้”
“อยากรู้แล้วทำไมต้องไปกอดแขนเอานมไปชนด้วยละ”


“นี่คือหวง?”


ยิ่งผมเงียบ เจ้าหล่อนก็ยิ่งได้ใจแล้วยังมาทำท่าหัวเราะเยาะผมอีก ผมจะหึงหรือหวงวิณณ์ทำไม ก็แค่ไม่อยากให้ผีเอ็กเซ็กส์แตกบ้าผู้ชายแบบนี้มาวุ่ยวายกับวิณณ์เท่านั้นเอง



มันรำคาญสายตา



“ตะวัน นี่คุยอะไรกัน จากที่ได้ยินตะวันเหมือนมันจะไม่ได้เรื่องอะไรเลยนะ”

“ก็เจ้าหล่อนอะลีลามาก กว่าจะพูดได้ ไม่ต้องช่วยแล้วดีไหมละ”   



“แหม แหม  ใจร้อน ขี้น้อยใจเป็นผู้หญิงไปได้นะคุณ อะ บอกก็ได้  ฉันถูกฆ่าตายโดยหนึ่งในพวกมัน มันชื่อไอ้เอ็มเป็นหัวหน้า”
“แล้วคุณไปเกี่ยวข้องอะไรกับพวกมัน แล้วมีเหตุอะไรพวกมันถึงต้องฆ่าคุณด้วยละ”


“เหตุผลนะเหรอ  ง่ายๆ ก็ฆ่าปิดปาก”
“ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”



“ฉันบังเอิญไปรู้สิ่งที่พวกมันทำ แล้วก็พวกมันจับได้ว่าฉันถ่ายภาพกับวิดิโอไว้ก็แค่นั้น  ….สรุปง่ายๆ เลยนะ ฉันถูกพวกมันฆ่าผิดปาก หลักฐานที่มีก็คือรูปและวิดิโอในเมมโมรี่การ์ดนั่น ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของผู้กองที่จะจับคนร้ายให้ได้ และนายก็ต้องรับคำขอความช่วยเหลือจากฉันเพื่อ….ภารกิจของนาย    จบปึ้ง”



“เฮ้ย  เดี๋ยวดิ จะไปไหน ยังคุยไม่รู้เรื่องเลย”   คิดจะมาก็มา จะไปก็ไป เป็นอะไรมากไหมเนี่ยแม่คุณ แล้วไอ้การขอความช่วยเหลือแบบบังคับเนี่ย มันน่าช่วยตรงไหน แต่หล่อนรู้เรื่องภารกิจด้วยเหรอ หรือว่าพอตายแล้ว วิญญาณจะรู้เรื่องของโลกวิญญาณทุกเรื่อง  แล้วทำไมเราไม่รู้ละ ไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย  งงแหะ



“สรุปได้เรื่องอะไรไหมตะวัน  ฟังดูเหมือนจะเถียงกันมากกว่าคุยกันนะ”

“ก็ได้ แบบมัดมือชกอะ”

“ยังไง มัดมือชก?”

“ตรงประเด็นเลยนะ หล่อนถูกฆาตกรรมโดยหัวหน้าของพวกนั้นชื่อเอ็มเพื่อฆ่าปิดปาก แต่ฆ่าปิดปากเรื่องอะไรหลักฐานอยู่ในรูปภาพกับคลิปพวกนั้น ให้หาเอาเอง นายต้องช่วยเพราะเป็นตำรวจ และเราก็ต้องช่วยเพราะมันเป็นภารกิจ จบนะ”

“แค่นี้?”

“แค่นี้”  ผมพยักหน้า

“ไม่บอกอะไรเพิ่มอีกเหรอ”

“จะให้บอกอะไรเพิ่มละ เจ้าหล่อนบอกมาแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ด้วยเพราะมันคือคำขอร้องให้ช่วย”




“เห้อ  แล้วอย่างงี้จะเริ่มจากตรงไหนละเนี่ย      วิณณณณณณณณ”

“ก็คงต้องเริ่มที่รูปภาพและคลิปวิดิโอนั่นแหละ”




โอ๊ยยยย มันน่าบีบคอให้ตายไปอีกรอบซะจริงๆ เลย






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ทำไมขำคุณแอนหนักมาก 5555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตกลงก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นไผ๋  :hao4:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
น้องตะวันหงุดหงิดเพราะวิญญาณ

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 14 ผีชนผี


วิณณ์หลับไปแล้ว คงเพลียวันนี้มีแต่เรื่องวุ่นทั้งวัน

ถามว่าผมแปลกใจกับชีวิตในโลกวิญญาณไหม บอกตรงๆ เลยครับ ไม่แปลกยังไงไหววะ ผมใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวันที่เป็นคน จะต่างกันแค่ผมไม่ต้องกินหรือนอนก็แค่นั้นเอง ผมอยากรู้ว่า ผมจะทำอะไรแบบวิญญาณหรือผีอื่นๆ ได้ไหม อย่าง หายตัว แวบไปแวบมา หรือแลบลิ้นปลิ้นตาถอดหัวไปหลอกคนอื่น ถามว่าเคยลองไหม ยอมรับเลยว่าเคยลอง แต่มันทำไม่ได้อะ จะให้ถอดท่าไหน ทางไหน ก็ทำไม่ได้ ยิ่งหายตัวยิ่งยากใหญ่
 

เอ่อ ไม่ทราบว่ามีโรงเรียนสอนการเป็นวิญญาณไหมครับ ใครรู้ช่วยบอกที


หลังจากที่ปะฉะดะกับแม่สาวทรงโตมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ผมคิดว่าเจ้าหล่อนคงจะไปลัลล้าแล้วทิ้งปัญหาของตัวเองไว้ให้พวกผมซะอีก


แต่.....



เจ้าหล่อนดันมานั่งห้อยขาหน้าระเบียงห้องคนอื่นเขาอย่างสบายใจ

เนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย นะ



“นี่ เจ๊ๆ มานั่งทำไรตรงนี้”

“ต๊ายยย หยาบคาย เรียกใครเจ๊ยะ”

“ก็เจ๊นะแหละ จะใครละ มานั่งทำอะไรตรงนี้ ยังไม่หมดธุระอีกหรือไง”

“แหม แหม แหมมมมม......”    ถ้าจะแหมยาวขนาดนี้ ละก็นะ  -*-    “ทำไมเหรอคะคุณน้อง หวงอะไร นักหนาาา กับห้องนี้เนี่ยยยย  จุ๊ๆๆๆ หวงห้อง หรือ ว่า หวง...เจ้า....ของ...ห้อง กันแน่น้า”

แล้วไอ้น้ำเสียงจิกกัดเนี่ย มันหมายฟามว่าไงหะเจ๊

“จะให้ช่วยไหม?”

“อุ้ยตายยย อย่าทำหน้าดุแบบนั้นคะคุณน้อง มันดูไม่ดี จะแก่ไวนะ”

“................................................”

“อะ อะ โอเค๊ ยอมจ้ะยอม อย่าทำหน้าแบบนั้นซิ เดี๋ยวแก้มก็แตกหรอก”


O_O



“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เหงานะ ตลกเนอะ ตอนเป็นคนก็เหงาพอมาเป็นผีแล้วความเหงามันก็ยังอยู่ ไม่ยอมหายไป”

“................”

“เห็นแล้วก็อิจฉาคุณน้องกับผู้กองสนิทกันดีจัง ทั้งที่คนหนึ่งเป็นคน อีกคนเป็นวิญญาณ”  ผมไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้จะแทรกคำพูดตัวเองไปดีไหม ดูไปดูมาเธอก็น่าสงสารเหมือนกันแฮะ

“แล้วเจ๊...”

“อย่าเรียก เจ๊!!!  ฟังแล้วมันแก่  มันสะเทือนไต”

“ใจ!!!”   นึกว่าเล่นตลกอยู่หรือไงเนี่ยเจ๊

“ฮ่าาาาาาาาา   เฮ้อออ  คนเราชีวิตมันไม่ยืนยาวจริงๆ เนอะ ว่าไหม เมื่อวานยังสนุกสนานเฮฮาอยู่ดีๆ พอมาวันนี้กลับเหลือแค่วิญญาณเน่าๆ ที่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น”


เฮ้ออออ ผมละยอมใจ เหมือนมีปุ่มปรับอารมณ์ เดี๋ยวก็เศร้า เดี๋ยวก็ร่าเริง  ตะวันตามไม่ทัน ตะวันเพลียยยยย


“ผมก็ไม่รู้จะปลอบเจ๊ยังไง”

“เรียก เจ๊ อีกละ เออ ช่างเถอะ ห้ามยังไงคุณน้องก็คงเรียกอีกอยู่ดี สมองปลาทองแบบนี้”

อิเจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจ๊   หนอยยย มาว่าผมสมองปลาทอง เดี๋ยวพ่อไม่ช่วยซะเลย

“ตัวผมเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเล้ยต่อให้ปลอบใจเจ๊ไปมันก็คงดูไม่จริงใจเท่าไหร่ อีกอย่างผมเองได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตกลับคืน มีโอกาสเหนือวิญญาณตนอื่น
 
แต่ผมก็เตรียมใจไว้นะ ถ้าผมทำภาระกิจสำเร็จก็แสดงว่าผมยังมีกรรมดีอยู่บ้าง แต่ถ้าทำไม่สำเร็จละก็ ผมเองก็คงไม่ต่างอะไรจากวิญญาณอย่างเจ๊หรอก ก็ต้องไปใช้กรรมกันไป”


“แต่ฉันว่ามันก็ยังแปลกอยู่ดีเหตุผลอะไรทำให้นายถูกเลือก นี่รู้ไหมท๊อปปิ๊กนี่นะดังในโลกโซเชียลวิญญาณอย่างมาก”   เอิ่มมม โลกวิญญาณมีโซเชียลด้วยเหรอ ผมเพิ่งรู้  “ต่อให้นายมีเกณฑ์หลายข้อที่ตรงกับกฎของผู้ถูกเลือกก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนก่อนหน้านาย”

ผมจะไปรู้ได้ไงเล่าเจ๊ ท่านกาลเวลาเขาเลือกผม ผมก็ตามนั้น ไม่ปฏิเสธ ไม่หือ ไม่อือ อะไรเล้ยยยย


“นี่ๆ เจ๊ อย่ามาสนใจเรื่องผมเลย เจ๊ช่วยขยายความเรื่องของเจ๊ดีกว่า ให้พวกผมช่วยนะ แต่ข้อมูลที่ให้มามันไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่เลยนะ รู้อะไรมาก็บอกมาให้หมด”

“ถ้าฉันบอกได้ ทำไปแล้วละยะ”

“อ้าวววววว”

“ฉันบอกได้เท่าที่บอกได้ นอกจากนั้น เป็นหน้าที่ของนายกับผู้กอง นายต้องหาและแก้ไขเรื่องทุกอย่างเอง”

“ไหงงั้นละ”

“มันเป็นกฎ  You know”


Nooooooooooooooooooooooooooooo



“ฟ้าจะสว่างละ ฉันไปก่อนดีกว่า ไม่ได้กลัวแสงหรอกนะยะ แต่กลัวแดดเลียผิวแล้วผิวเสียต่างหาก ฮี่ๆๆๆ”

“แน่ใจนั่นเสียงหัวเราะ?  นึกว่าม้าที่ไหนมาร้อง”

“อร้ายยยย ม้าที่ไหนจะสวยขนาดนี้  ไปดีกว่า บั่ยยยยยยยยยยยยย”


มาทำไม?

มาแล้วได้อะไรไหม?

ตอบเลยว่า ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



-----------------------------------------------




เช้านี้กว่าผมกับวิณณ์กำลังจะออกไปที่ สน. ก็เกือบ 10โมง วิณณ์ตื่นสายทั้งที่ปกติจะตื่นเช้า ตื่นมาก็ดูมึนๆ อึนๆ ดูเหมือนจะไม่สบาย พวกเราเดินลงมาข้างล่างคอนโดผ่านหน้าโต๊ะลุงยามผมก็แอบเห็นแม่สาวทรงโตกำลังแกล้งลุงยามอยู่ ลุงยามแกกำลังจดอะไรซักอย่างลงสมุดบันทึก คุณเธอก็แกล้งเปลี่ยนหน้า ลุงแกก็คงงง เพราะผมได้ยินแกพึมพำ “ลมก็ไม่มีปลิวได้ยังไงวะ”   ไม่ใช่ลมครับลุง ลุงกำลังโดนผีอำ แล้วคุณเธอสลดซะที่ไหนละ ยังหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผมซะอีก ท่าทางจะเหงาจริงๆ แหะ


“วิณณ์ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ทำไมเหรอ”

“ตะวันเห็นวิณณ์ทำหน้าเครียดๆ ไม่สบายหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก คิดอะไรนิดหน่อยนะ  หัดเป็นห่วงคนอื่นเหมือนกันเหรอเรา”


อะ.....อะไรเล่า ตะวันก็.....ก็.....แค่


......เป็น


.....ห่วง



อ๋อยยยย   ชอบทำเหมือนตะวันเป็นเด็กอีกแล้วนะ ที่ลูบหัวมาเนี่ย รู้ไหมมัน เขินนนนนนนนนนนนนนน   ^///////^



ผมตามวิณณ์เข้า สน. มาผ่านท่านจ้าที่ก็ยกมือไหว้ท่านตามประสาเด็กมีมารยาท ท่านรับไหว้ทักทายกันสองสามคำก็รีบไปเห็นว่ามีประชุมด่วนที่ทำการเจ้าที่ ว่าแต่ ไอ้ที่ที่การเจ้าที่มันอยู่ที่ไหนเนี่ย เหมือนที่ทำการอำเภอป่าวหว่า


“สวัสดีครับผู้กอง”  จ่าเติมทักทายวิณณ์และเดินตามเข้าห้องทำงาน

“ผู้กองไม่สบายหรือเปล่าครับ หน้าตาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“...................”

“ผู้กอง”

“..................”

“..................”

“ผู้กองครับ”

“หะ จ่าว่าไงนะ”

“ผมถามว่าผู้กองเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ไม่สบายหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมยังเหม่ออีก เมื่อกี้ ผมเรียกไปตั้งหลายครั้ง ผู้กองไม่ได้ยินเหรอครับ”

“เอ่ออ  ช่วงนี้คงคิดงานเยอะ เบลอๆ นิดหน่อยนะ ไม่เป็นไรหรอกจ่า”

“อย่าหักโหมมากนะครับ พักบ้าง”

“ขอบคุณนะจ่า ผมไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าเป็นอะไรผมจะรีบบอกจ่าคนแรกเลย”

“ครับผมลองผู้กองไม่บอกผมแล้วเป็นอะไรขึ้นมาซิ นังเมียที่บ้านมันเล่นผมหัวแตกแน่ๆ ผมขอตัวออกไปก่อนนะครับ ผู้กองต้องการอะไรเรียกผมนะครับ”  เอ่อ จ่าจะเสียงดังทามมาย ผมตกจายยย

“ขอบคุณนะจ่า”  วิณณ์พยักหน้าให้จ่าก่อนจะก้มลงไปทำงานต่อ




“ไม่รู้ไอ้เมมโมรี่กับไอ้แฟ้มบ้านั่นมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา คุณผู้กองวิณณ์ถึงได้จ้องมันอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน”

วิณณ์ไม่ตอบโต้อะไร แต่ยอมเงยหน้าจากงานที่ทำอยู่ขึ้นมาจ้องหน้าผม ก่อนที่จะ  โป๊กกกกกกกกกกกกกกกก

“โอ๊ยยยยย ทำอะไรเนี่ยวิณณ์”

“เป็นวิญญาณนะเรา ยังเจ็บอีกเหรอ?”  เออแฮะ  คลำไปคลำมา ไม่เจ็บนี่หว่า แล้วร้องทำไมวะเรา

“แหะๆ ก็มันชิน โดนเขกหัวมันต้องเจ็บเลยร้องไว้ก่อน แล้วทำอะไรอยู่ละ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาตลอดไม่สนใจคนอื่นเลย”  วิณณ์ไม่ตอบแต่กวักมือเรียกให้ก้มลงไปดู ก่อนจะแจกมามะเหงกมาอีกรอบแต่ผมรู้ทันเลยหลบซะก่อน

“ฮั่นแน่  ไม่ได้แอ้มหรอก เขารู้ทันแล้วจะเขกหัวอีกรอบอะดิ๊”

“หึหึ”  ยังจะมาหัวเราะอีก ตะวันไม่มีโง่ซ้ำสองนะขอรับกระผม

“ว่าแต่ทำอะไรอยู่เหรอ”

“จะทำอะไรละครับคุณตะวัน ทำงานที่เป็นทั้งของผมและของคุณไงครับ”

“อ่อออออออออออออออออออ”  งั้นผมไม่กวนคุณแล้วครับคุณวิณณ์ ตั้งใจทำงานดีๆ นะครับ อิอิ



ผมปล่อยให้วิณณ์นั่งทำงานไปเรื่อยๆ สักพักผมก็ลุกไปช่วยดู  แต่อย่าบอกว่าช่วยดูเลยครับ ช่วยวุ่นวายมากกว่าวิณณ์บอก  -*- แต่วิณณ์สงสัยท่าจะไม่สบายจริงๆแล้วละ เพราะสักพักก็จาม สักพักทำจมูกฮึดฮัด


“วิณณ์ พักก่อนไหม เหมือนวิณณ์จะไม่สบายนะ พักก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหนักกว่านี้”

“ไม่เป็นไรวิณณ์ขอดูตรงนี้ก่อน เดี๋ยวเราค่อยกลับคอนโดนะ”

“อืม”




ผมนั่งรอไป วิณณ์ก็ทำงานไป ไอ้ที่บอกแปปนึงเนี่ย ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้วครับท่านทั้งหลาย แต่ก็เอาเถอะนะจะให้ผมไปโวยวายก็ใช่เรื่อง เพราะส่วนหนึ่งของงานที่วิณณ์ทำ ผมก็ได้รับอานิสงค์ส่วนหนึ่ง อิอิ





ก๊อก ก๊อก




“ผู้กองครับ  มีคนมาขอพบครับ”  วิณณ์เงยหน้ามองแต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร บุคคลปริศนาก็เดินเข้ามาในห้อง “พี่วายุ” พี่วายุมาทำอะไรที่นี่ ต้องมีประเด็นอะไรแน่ๆ ไม่งั้นพี่วายุคงไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก

“สวัสดีครับผู้กอง ขอโทษที่มาช้านะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็เคลียร์งานรอไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร นั่งก่อนครับคุณวายุ”  เอ๋....สองคนนี้นัดกันไว้เหรอ นัดกันตอนไหน ยังไง ทำไมผมไม่เห็นรู้เลยอะ

“..........................”

“..........................”


เอ้าเงียบ จะเงียบอีกนานไหม สรุปคุณทั้งสองนัดมาเจอกัน แล้วมานั่งเงียบๆ แบบนี้ เพื่อออออออออออออออ


“ผู้กองครับ เอ่อ...”

“ครับ?”

“เรื่อง......ตะวัน มันจริง จริงๆเหรอครับ”

“ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับ เพราะโกหกผมก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร”

“ก็ถูกของผู้กอง แต่ไอ้เรื่องผีๆสางๆ เหนือธรรมชาติแบบนี้ เกิดมาในชีวิตผมก็เพิ่งเคยเจอเนี่ยแหละ เอ่อ....แล้วตอนนี้ ตะวันเขา.....เขา.....อยู่.......”

“อยู่นี่หรือเปล่านะเหรอ” พี่วายุพยักหน้า ส่วนวิณณ์ก็หันมามองทางที่ผมอยู่ กลายๆจะบอกว่า มันนั่งหัวโด่อยู่นี่ไงครับ


เดี๋ยวๆๆๆ ไอ้ปฏิกิริยาเมื่อกี้มันคืออาร๊ายยยยยยย เขยิบตัวซ้าย แล้วเบี่ยงเข้าหาวิณณ์ นี่ๆๆๆ อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยน รสนิยมอะ พี่ชายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



“กลัวเหรอคุณ”  ใช่ๆ กลัวเหรอ ตะวันเป็นน้องนะ พี่วายุจะกลัวใครก็ได้แต่ห้ามกลัวน้อง

“เอาตามจริง ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ อออกจะเกรงๆ มากกว่า เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยเจอ แต่ดูผู้กองไม่กลัวเลย มีของดีอะไรบอกผมบ้างดิ”

“ของดี?”

“อ่าฮะ”

“ไม่มีอะ”

“อะ...อ้าว แล้วทำไมผู้กองดูชิลมาเลยละ”

“ถ้าจะให้พูดก็ นอกจากตะวัน ผมก็ยังไม่เคยเห็นผีจริงๆจังๆ หรอก”

“โธ่เอ้ยย ไอ้เราก็นึกว่าพี่ของดีอะไรซะอีก”



เหอๆ ผมไม่คิดว่าพี่ผมจะแสดงความเอ๋อได้ขนาดนี้นะเนี่ย เอาเป็นว่าสรุป ไปๆมาๆ ที่พี่วายุมาก็เพราะอยากรู้ให้แน่ใจเรื่องของผมนั่นแหละ ผู้กองก็ยืนยันหนักแน่นว่ามันคือเรื่องจริง ทั้งเรื่องสภาวะร่างกายของผมที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราเพราะวิญญาณออกมาเร่ร่อนทำภาระกิจสำคัญอยู่ ทั้งที่มีวิณณ์คนเดียวสามารถสื่อสารจับต้องมองตากับผมได้ และยังต้องช่วยผมให้ทำภาะรกิจให้สำเร็จเพื่อวิญญาณจะได้กลับเข้าร่างของตัวเอง มันคงฟังดูพิลึกพิลั่นน่าดูเพราะพี่วายุเอาแต่พูดว่า “บ้าไปแล้ว บ้ากันไปใหญ่แล้ว” แต่ยังไงก็ตามผมก็ไม่ลืมกำชับให้วิณณ์บอกพี่วายุให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

ตอนนี้ผมก็สบายใจไปได้เปราะหนึ่ง เพราะพี่วายุรับปากและยืนยันว่าจะดูแลทั้งแม่ของผม และร่างกายของผมไม่ให้ใครมาทำอะไรได้ และทิ้งท้ายคำสั่งให้ผมไว้ว่า หน้าที่ของผมก็คือต้องรีบทำภาระกิจให้สำเร็จเท่านั้น



ผมก็อยากจิบอกว่า  ผมก็อยากให้มันสำเร็จไวๆ เหมียนกันคร้าบบบบ






พรึ่บ พรั่บ



เสียงวิณณ์เก็บเอกสารเครื่องเขียนบนโต๊ะให้เข้าที่ นั่นก็แสดงถึงเวลากลับแล้วละซิ แล้วตอนนี้พวกเราก็มาอยู่ที่หน้าคอนโดเรียบร้อยแล้ว สมาชิกสภากาแฟก็อยู่กัน ว่าแต่สภากาแฟเขาชอบเปิดกันตอนเช้าไม่ใช่รึ ทำไมเปลี่ยนเวลามาตอนนี้แล้วละ


“ผู้กอง  ผู้กอง ผู้กองคะ”  เสียงพี่สาวหนึ่งในสมาชิกสภากาแฟเรียกผู้กองพร้อมกับกวักมือเรียก ผมรู้นะว่าวิณณ์จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่คงไม่ทันแล้วละ เพราะพี่สาวแกลุกขึ้นมาขวางหน้าไว้ซะก่อน

“เอ่อ มีอะไรกันหรือเปล่า อยู่กันเป็นกลุ่มเลย”

“แหม ผู้กองก็จะอะไรซะอีกละคะ พวกเราก็มารอผู้กองนั่นแหละคะ”

“รอผม?”

“ใช่คะ มารอผู้กองนั่นแหละคะ” 


“โอ๊ะโอ่ ถ้าทางจะสนุกแล้วซิ อิอิ”  วิณณ์หันมาทำตาดุใส่ผม ผมพูดอะไรผิดละ ก็เรื่องจริงทั้งนั้น ป้าๆลุงๆทั้งหลายคงอยากรู้เรื่องคดีของแม่ทรงโตละซิ แต่ก็ว่าเขาไม่ได้หรอกนะ เกิดเหตุฆ่ากันตายในคอนโดที่อยู่กันแท้ๆ คนร้ายก็ยังจับไม่ได้ เป็นใครก็ยังไม่รู้
แต่ผมยอมใจพวกลุงป้าจริงๆ ยุงก็เยอะ ร้อนก็ร้อน ยังอุตส่าห์มานั่งรอกัน ที่เห็นๆ ก็มี

ลุงยามผู้ห้าวหาน ลุงเพิ่ม

ป้าน้อยแม่ค้าข้าวแกงหน้าตึก

ป้าจันร้านขายของชำใต้ตึก

พี่นิดช่างผมใต้ตึก

และพี่กิ่งผู้ช่วยร้านทำผมพี่นิด



“มารอผมทำไมกันเหรอครับ”

“พวกป้าก็อยากรู้ว่าผู้กองรู้ตัวคนร้ายหรือยังคะ”
 
“ใช่คะผู้กอง พวกพี่ๆ ก็กลัวกันเหมือนกันนะ เป็นห่วงไอ้พวกเด็กตัวน้อยๆ ด้วย ถ้าเกิดมันกลับมาทำร้ายคนบนตึกอีกละ”

“ใช่คะๆ ผู้กองพวกป้านะหวาดระแวงกันไปหมดเลย ใครแปลกหน้า รถแปลกหน้ามา นี่อยากจะโทรแจ้งตำรวจวันละหลายรอบ”

“ใจเย็นๆ กันนะครับ พวกตำรวจทำงานกันอย่างเต็มที่ จากที่ดูน่าจะเป็นความแค้นส่วนตัว พวกป้าพวกลุงสบายใจกันได้นะครับ แต่ผมก็จะไม่ละเลยนะครับ สายตรวจจะถูกส่งมาตรวจความเรียบร้อยจนกว่าจะจับคนร้ายได้”

“จริงเหรอคะ/ครับ”

“จริงครับ แต่ผมขออย่างหนึ่ง ว่าอย่าพูดอะไรให้คนอื่นตื่นตกใจไปล่วงหน้านะครับ”

“ได้ซิคะ ผู้กองขอทั้งที่ ป้าจันทำให้ได้อยู่แล้ว”

“แหม ป้า เอาหน้าใหญ่เลยนะ พี่นิดด้วยคะ ไม่ต้องห่วง จะรูดซิบปากปิดให้สนิทเลยคะ”

“พี่กิ่ง ก็เหมือนกันคะ”

“ป้าด้วย ป้าด้วย”

“ครับ ขอบคุณนะครับ ถ้าเห็นอะไรผิดปกติ ก็ขอให้จดจำรานละเอียดไว้ ลักษณะหน้าตา ท่าทาง รถ สี รุ่นทะเบียน แล้วบอกกับสายตรวจที่มา หรือ บอกกับผมนะครับ เข้าใจไหม”

“คะ/คะ/ครับ/คะ”





“แหม ขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่เลยนะผู้กอง  หลงมาติดกับเสน่ห์คุณผู้กองกันหมดเลย”

“หึหึ เพิ่งรู้เหรอ”

“เหอะ หลงตัวเองก็เป็นด้วย”


“ไม่หลงนะ อย่าว่าแต่คนเลย…..”




“………….................”



.

.

.

.

.



“ วิญญาณแถวๆนี้ ก็ดูว่าจะมาหลงด้วยเหมือนกันนะ”




----------------

ข้าน้อยขอกราบอภัยที่หายหัว หายตัว เนื่องจากภารกิจงานการที่กองมากมายเสียเหลือเกิน
แต่ตอนนี้ กลับมาต่อให้แล้วนะ ออเจ้า

ว่ากล่าว ติชม ตักเตือนได้เหมือนนะเจ้าคะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 15  ไม่สบาย


“เหยดดดดดดดดดดดดดด.................แดกควายครับ แดกควาย 5555”

“ไอ้โจ๊ก ไอ้สัส  มึงโกง ไอ้เหี้ยยยย”

“โกงเหี้ยไร มึงควายเอง เล่นกี่ครั้งก็แพ้ตลอด”

“สัสหมานี่ เลิกๆๆๆๆ ไม่จ่ายเว้ย”

“อ้าว ไอ้ซีนโกงกูเหรอ”

“ใครโกง  มึงแหละโกง”

“มึงแหละ”


บลา บลา บลา....................................


“เฮ้ย เงียบ!!!”


--- กริบ ---



“เป็นเหี้ยอะไรนักหนาวะพวกเมิง อยู่กันแค่นี้จะแหกปากกันทำไมวะ”

“ก็พี่ก็ดูไอ้โจ๊กมันดิพี่ แม่งโกงผมอะ”

“กูไปโกงเชี้ยไรมึง เล่นควายๆ เอง มาโทษกู”

“สัส”

“มึงซิสัส”


พลั่ก    พลั่ก


“โอ๊ยย”

“โอ๊ยยย พี่เอ็ม ตบผมทำไมวะพี่”

“ก็ถ้าพวกมึงยังไม่เงียบปากกันอีก มึงจะโดนหนักว่านี้ อย่าให้กูพูดรอบสอง”


เมื่อลูกพี่สั่งด้วยน้ำเสียงเอาจริงลูกน้องทั้งสองก็พากันรูดซิปปากเงียบสนิท พวกมันจะไปกล้ากันได้ไงลองลูกพี่พูดแล้ว อย่าให้พูดรอบสองคือต้องห้ามพูดเด็ดขาดเพราะไม่อย่างนั้นชีวิตพวกมันจะลำบากเอา


“ไอ้โจ๊กที่กูสั่งให้มึงไปทำนะ ได้เรื่องบ้างไหม”

“เอ่อออ.....ไม่ได้ครับ”

โครมมมมมมมมมมมมมมมมม      เสียงดังขึ้นพร้อมกับร่างไอ้โจ๊กที่ล้มไปกับเก้าอี้อย่างไม่เป็นท่า

“โอ๊ยยย เฮีย ใจเย็นดิ ก็ไอ้พวกตำรวจอะดิ มันหมุนเวรกันมาตรวจทุกชั่วโมงเลย แล้วแถมไอ้พวกคนในคอนโดนั่น แม่งก็เหมือนกันคอยสอดส่ายสายตาตลอดเวลาด้วย ผมเข้าไปไม่ได้เลยพี่”

“ใช่พี่ ผมว่านะเพราะมีไอ้ตำรวจนั่นด้วยแหละ มันคงส่งสายตรวจมาคอยดู”


“ไอ้วิณณ์”


“ ผมไม่เข้าใจ ทำไมนายไม่ให้เราเก็บมันเลยวะพี่ ผมแม่งโคตรไม่ถูกชะตา ชอบเต๊ะท่า ทำหน้าหล่อ”

“เขาก็หล่อกว่ามึงจริงๆนะ กูว่า”

“ไอ้ซีน ไอ้สัส เงียบปากไปเลยมึง”  ไอ้ซีนเตรียมอ้าปากจะตอบโต้ แต่ก็ต้องหยุด เมื่อหัวหน้าพวกมันเงยหน้ามามองเท่านั้น ขืนได้เถียงกันต่อพวกมันคงจมตีนหัวหน้าเป็นแน่แท้

“กูก็อยากจะทำแบบที่พวกมึงคิดกันอยู่หรอก แต่ในเมื่อนายยังไม่สั่ง กูจะทำอะไรได้ จำใส่กะโหลกหนาของพวกมึงไว้ถ้ายังอยากมีชีวิตต่อก็ต้องฟังนายไว้  พวกมึงเองรีบจัดการไปเอาของตามที่กูสั่ง กูไม่รู้ว่าป่านนี้พวกตำรวจจะเจอไปหรือยัง”


“รับแซ่บ / คร้าบบ ลวกเพ่”







“ไอ้สามคนนี้มันคงยังไม่รู้ซินะขอรับท่านพญายม ว่านายวิณณ์ ได้หลักฐานไปแล้ว”

“อืม”

“แล้วเราจะไปเตือนนายวิณณ์ กับนายตะวัน หรือไม่ขอรับ”

“กิจของมนุษย์ เจ้าจะเอาตัวเข้าไปยุ่งไม่ได้”

“ขอรับ”   ปากก็ตอบรับนายเหนือหัวอย่างดี แต่ใจเองก็ยังคงมีเรื่องให้กังขาและสงสัย  “แต่.........กระผมก็ยังสงสัยไม่หายนะขอรับ วิญญาณของนายตะวันทำไมถึงไม่เหมือนกันวิญญาณอื่นๆ”

“ยังไงรึ?”

“ก็อย่าง  นอกจากเรื่องนอนหรือเรื่องกินแล้ว เรื่องอื่นๆ นายตะวันดูดีๆ ก็เหมือนคนปกติทั่วไปเลยนะขอรับ ไอ้แว่บๆ หายตัว ตอนแรกก็ทำได้อยู่ แต่หลังๆ มาเอาแต่ตัวติดไปไหนมาไหนกับนายวิณณ์ตลอด เรื่องสร้อยข้อมือก็เหมือนกันนะขอรับ วิญญาณไม่สมควรจะจับต้องวัตถุสสารได้ด้วยซ้ำ นี่กลับใส่ซะเฉย มันไม่แปลกหรือขอรับ แล้วยิ่งเวลานายตะวันอยู่ใกล้กับนายวิณณ์กระผมมีความรู้สึกแปลกๆ มันอธิบายยาก อธิบายไม่ถูก...........

มันดูเหมือน   กับ    คนรักกัน ยังไงก็ไม่รู้”


----กึก----   


“ชะอุ้ยย”
 
หลังจากพล่ามพรรณามาเยอะ เมื่อเงยหน้าสบตากับท่านพญายมก็ทำให้เจ้าของคำถามถึงกับสะดุ้งและหลุบตาลงต่ำ

“กระผมคงจะพูดมากไป ขอโทษขอรับ”

“ไม่ผิดที่เจ้าจะคิดสงสัย ขนาดเจ้ายังสงสัยได้ขนาดนี้ คนอื่นๆ ก็คงสงสัยไม่ต่างจากเจ้า........
ไม่ว่าจะสวรรค์หรือนรกก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุและผลในการกระทำเหล่านั้นทั้งสิ้น มันอยู่ที่ว่าเจ้าจะมีสิทธิ์ได้รู้เมิ่อไหร่ และแค่ไหนเท่านั้นเอง”

“ขอรับ”







ณ บ้านของตะวัน

“ป้าดารา กำลังจะไปหาตะวันเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ วายุมีอะไรหรือเปล่ามาแต่เช้าเลย” 

ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาผู้เป็นป้า ช่วยหยิบข้าวของจัดใส่กระเป๋า ในกระเป๋ามีของกินเต็มไปหมด แต่เท่าที่มองดูในนั้นมีแต่ของชอบของตะวันทั้งนั้นเลยเห็นแล้วก็อดสงสารผู้เป็นป้าไม่ได้ เพราะพ่อของตะวันทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ทำให้เหลือกันอยู่แค่สองคน ด้วยความที่พ่อของเขาเป็นพี่ชายที่รักน้องมากจึงได้ให้ตะวันและแม่มาอยู่ใกล้กัน เพื่อจะได้ดูแลกัน และที่สำคัญตะวันจะได้มีพี่อย่างเขาคอยดูแลด้วย


“นี่ยังไม่ได้บอกป้าเลย ว่ามาทำอะไรแต่เช้า หืม”

“ก็มาดูป้าดาราแหละครับ ว่ามีอะไรให้วายุช่วยไหม.... มาป้า เดี๋ยวผมช่วยยกและไปส่งที่ รพ นะครับ”

“ขอบใจจ้ะ” 

เธอปล่อยให้หลานชายจัดแจงยกของขึ้นรถและเดินตามออกมา เธอมองแผ่นหลังของหลานชายและก็อดคิดไม่ได้ว่า ในอดีตถึงแม้ครอบครัวเธอจะไม่สุขสมหวังเหมือนครอบครัวอื่น แต่เธอยังโชคดีที่มีพี่ชาย พี่สะใภ้ที่แสนดี และหลานชายที่น่ารักเป็นอีกครอบครัวหนึ่ง


เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เรื่องที่ทำให้เธอทุกข์ใจอยู่ตอนนี้ ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ


“ตะวัน”


เธอไม่รู้ว่าจะทนดูลูกเธอที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงได้อีกนานแค่ไหน เธอไม่รู้ว่าทำไมและเพราะอะไรที่ทำให้ลูกของ
เธอตัดสินใจทำเรื่องนี้ได้


ความรักความใส่ใจของเธอที่มีให้ลูกชายนั้นไม่เพียงพออย่างนั้นหรือ?


เธอเป็นแม่ที่ยังไม่ดีพอใช่ไหม?
 

เธอต้องทำอย่างไรถึงจะชดเชยให้ลูกได้?


ผู้เป็นแม่ได้แต่คิดไปต่างๆ นานา โดยไม่รู้เลย เธอไม่ใช่เหตุผลของการกระทำนั้น
 

“น้าดารา...”

“.....”

“น้าดาราครับ”

“อะ!!  เอ่อ ว่ายังไงนะ”

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ นั่งเงียบตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว”

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนะจ้ะ”

“คิดถึงเรื่องตะวันอยู่เหรอครับ”

“.......จ้ะ”

“คุณน้าอย่าคิดมากนะครับ ตะวันจะต้องหายครับ น้องอดทนมาได้ขนาดนี้ ผมเชื่อว่าเขากำลังพยายามต่อสู้อยู่นะครับ”

“จ้ะ.............. บางทีน้าก็อดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะน้าหรือเปล่าที่ทำให้ตะวันเป็นแบบนี้ ตะวันไม่มีครอบครัวที่พร้อมหน้าเหมือนคนอื่นเขา ตั้งแต่เล็กจนโตก็โดนแกล้ง โดนล้อเป็นประจำ ตะวันคงเจ็บปวดทรมานมาก เป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าถึงทำให้ตะวันคิดสั้น  น้าควร......

ควร.........ควร........ปล่อยตะวันไปใช่ไหม”


คนเป็นแม่พูดออกมาแต่ละคำอย่างยากลำบาก เพราะรักลูกสุดหัวใจ อยากจะเหนี่ยวรั้งลูกไว้ให้อยู่ แต่ก็กลัวจะยิ่งทำให้ลูกทรมานแสนสาหัส 


........หัวใจแม่มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน


“คุณน้า อย่าคิดมากนะครับ ตอนนี้ตะวันเองก็กำลังพยายามอยู่ พวกเราก็ต้องพยายามเหมือนตะวันนะครับ”

“จ้ะ”

 “คุณน้าครับ เชื่อผมซักเรื่องนะครับ อย่าเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจของตะวันนะครับ เราสู้ด้วยกันนะครับ สู้ไปกับตะวันด้วยกันนะครับ”

น้าสาวหันมามองหน้าหลานชายและยิ้ม     “จ้ะ”


ถึงแม้เขาจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาก็ยังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงซักที คิดแล้วก็อยากจะตบหัวตัวเองอย่างแรง ตั้งใจไปเพื่อหาความจริงแต่กลับคว้าน้ำเหลว เขาต้องรู้ให้ได้ ทำไมตะวันถึงคิดฆ่าตัวตาย ไหนจะผู้กองวิณณ์นั่นอีกมาเกี่ยวข้องกับตะวันได้ยังไง การที่น้องจะกลับคืนชีวิตมาไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่เรื่องแบบนี้ก็นะ มันทำใจเชื่อลำบากจริงๆ


แต่ในเมื่อรับปากไปแล้ว


ร่างกายของน้องชาย พี่ชายคนนี้จะดูแลให้ถึงที่สุด








“วิณณ์”

--- เงียบ ---

“วิณณ์”

--- เงียบ ---


“วิณณณณณณณณณณณณณณณณณณณณ์”


“นี่ถามจริง เป็นผีจริงป่าวเนี่ย”  วิณณ์เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับสภาพงัวเงียเพิ่งตื่นนอนชัดๆ 

ใช่ซิ ก็เขาเพิ่งตื่นนอนจริงๆ หลังจากนั่งถ่างตาหาข้อมูลจากทรัมไดรฟ์ที่คุณแอนเธอทิ้งเอาไว้ หาความเกี่ยวโยงระหว่างเธอกับคนในภาพเหล่านั้น เขาก็ต้องกุมขมับเพราะข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิดมันไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย  เฮ้อออออออออออ

“อะไร ทำไมต้องว่าตะวันแบบนั้นด้วยละ”

“เอ้า ก็จริงไหมละ วิญญาณอะไรทำตัวเหมือนเด็กไปทุกวัน ทั้งดื้อ ทั้งซน เป็นลิง แถมยังชอบอ้อนเหมือนแมวอีก”

“ชิส์”

“แล้วนี่เรียกซะเสียงดังมีเรื่องอะไร”  ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินไปหาอีกคนที่ยืนอยู่บนระเบียง ฟังไม่ผิดครับ ยืนอยู่บนระเบียงจริงๆ ครับ


พิเรนทร์ขึ้นทุกวัน..... 


“ดูนี่ซิ พวกนั้นมาอีกแล้ว”

“พวกนั้น? พวกไหน?”

“ก็ที่เคยเล่าให้ฟังไง คนที่เคยเดินสวนกันตรงระเบียงวันที่คุณแอนมาหาวิณณ์ แล้วสองสามวันหลังจากที่คุณแอนตายก็มาวนเวียนแถวคอนโดตลอดเลย”

“หืม?”  วิณณ์เดินเข้าไปดู หลังจากที่ตะวันเคยบอกวันนี้เขาเองก็เพิ่งจะได้เห็นเอง มากันสองคน ท่าทางก็เหมือนรอดูลาดเลาอะไรซักอย่าง จะเกี่ยวกับทรัมไดรฟ์อันนั้นหรือเปล่านะ

“ทำไมตะวันถึงคิดว่าเป็นคนเดียวกันละ”

“คนเดียวกันแน่นอน เพราะไอ้เจ้านั่นนะ ไม่คิดจะปิดบังหน้าตาอะไรเลย อย่าบอกนะว่าวิณณ์จำไม่ได้”  จำได้ซิ ทำไมจะจำไม่ได้ วันนั้นเจ้านั่นมันเปิดหน้าชัดเจน แต่วันนี้มุมที่เขาอยู่มันสูง แล้วไอ้เจ้านั่นมันอยู่ที่ต่ำแถมใส่หมวกปิดหน้าปิดตาอีกจำได้ก็แปลกแล้ว

แต่ตอนนี้เขาว่าร่างกายเขามันแปลกๆ รู้สึกมึนหัว เบลอๆ แถมสมองยังประมวลผลช้าอีก อาการแบบนี้อีกไม่นานต้องพาลไม่สบายแน่ๆ วิณณ์คิดในใจ


“วิณณ์”

“หืม?”

“หน้าซีดอะ ไม่สบายเหรอ บอกแล้วว่าอย่าหักโหมมาก กลับเข้าข้างในก่อนเถอะ” ตะวันหันมาเห็นสีหน้าวิณณ์ที่ยืนข้างๆ


“ตัวร้อนด้วย”

“อะ!!!!”   จู่ๆ ตะวันก็จับหน้าเขาไว้ให้อยู่นิ่งแล้วเอาหน้าผากตัวเองมาสัมผัสที่หน้าผากของเขา จ้องหน้า จ้องตา ลมหายใจที่รดาสัมผัสกัน รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในซีรีส์เกาหลีเลยแหะ
 

แล้วทำไมใจเต้นแรงจังวะ  หรือจะเป็นโรคหัวใจ??


เอ๊ะ.....ว่าแต่ วิญญาณนี่รับสัมผัสความร้อนได้ด้วยเหรอ?


แต่เขาไม่มีเวลาให้คิดเยอะ เพราะยิ่งคิดหัวสมองก็ยิ่งปวดแทบจะระเบิด เมื่อกี้ยังไม่หนักเท่านี้ สงสัยเพราะเขามายืนที่ระเบียงทำให้โดนแดดอาการเลยยิ่งกำเริบ เขาเดินกลับเข้าข้างใน


เอออออ  ดูไปก็แปลกแหะ วิญญาณกำลังดูแลคนป่วย?


คิดอีกแล้วไอ้วิณณ์เอ้ย ถ้าไม่หยุดคิดมึงได้หัวระเบิดตายก่อนแน่



“วิณณ์นอนตรงนี้ก่อน ทำไงดีละ วิณณ์ต้องกินยา แต่ต้องกินข้าวก่อนซิ ตะวันจะเอาข้าวที่ไหนให้วิณณ์กินละไปซื้อก็ไม่ได้ ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี”


“เดี๋ยวๆ ตะวัน ใจเย็น นอนพักนิดหน่อยก็หายแล้ว”


ไม่ได้!!!   ต้องกิน ไม่กินจะไปหายได้ยังไง โตจนป่านนี้อย่ามาทำดื้อได้ไหม”    วิณณ์ถึงกับสะดุ้ง อยู่ดีๆ ตะวันก็โพล่งเสียงดังขึ้นมา หลังจากที่เถียงกันเรื่องกินยากินข้าวมาได้เกือบ 5 นาที  วิณณ์ก็ต้องยอมแพ้ ยอมยกสายโทรหาจ่าเติมเพื่อให้ช่วยเอาข้าวเอายามาให้ ไม่อย่างนั้นถ้าเถียงกันไปเรื่อยๆ เขาต้องอาการหนักกว่าเดิมแน่


นอกจากแม่ และน้อง นี่เขาจะมีผู้ปกครองเพิ่มอีกคนใช่ไหม



ผ่านไป 20 นาทีเสียงระฆังก็ช่วยชีวิตเขาไว้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ก็หลังจากเขานอนพักสายตาโดยที่ไม่ได้หลับแต่อย่างใด จะให้หลับลงยังไงละ พยาบาลตะวันที่ดูแลเขาเดี๋ยวก็มาจับหน้า จับตัว จับหน้าผากเช็คความร้อนเกือบจะทุกนาที พอเสร็จก็บ่น ไข้ก็ไม่ขึ้น แต่ทำไมวิณณ์หน้าแดง


ก็ป่วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าเนี่ยย  ไม่ให้แดงยังไงไหว


เฮ้อออออ  สงสัยเขาคงจะบ้าจี้ ละมั้ง??



“ผู้กอง สวัสดีครับ เป็นยังไงบ้าง นี่นังเมียผมลงมือทำกับข้าวมาให้ผู้กองโดยเฉพาะเลยนะครับ”

“โห จ่าไม่ต้องลำบากทำก็ได้นะ ซื้อเอาก็ได้ ผมเกรงใจ”

“จะเกรงใจทำไมกัน เมียผมมัน FC ผู้กองอยู่แล้ว ส่วนผัวมันนะแค่หางแถว”

“หึ หึ”  จ่าเติมเดินเข้าครัวด้วยความคุ้นเคย จัดแจงเทข้าวต้ม เตรียมน้ำและยาให้อย่างเรียบร้อย

“นี่ครับผู้กอง”

“ขอบใจจ่า”

“แล้วนี่ผู้กองไปทำอะไรมา ถึงไม่สบายได้ละครับ ปกติผู้กองเป็นอะไรยากจะตาย”

“ผมคงหมกหมุ่นกับคดีมากไปหน่อยนะ อาจจะนอนไม่พอด้วย กินยา นอนซักหน่อยก็น่าจะดีขึ้น”

จ่าเติมพยักหน้า ฟังไปด้วย แล้วก็ช่วยเก็บข้าวของในห้องไปด้วย ดูไปนี่จ่าเติมอายุก็น่าจะเป็นพี่ชายวิณณ์ได้เลยนะเนี่ย ถึงจะเป็นหัวหน้าลูกน้อง แต่นอกเวลางานดูสนิทกันดีจัง

“ไม่เป็นไรหรอกจ่า ทิ้งไว้อย่างนั้นเถอะ เดี๋ยวผมก็ทำรกอีก”

“ก็อยู่ตัวคนเดียวก็อย่างนี้ละน้า บอกแล้วให้รีบหาสาวๆ มาคอยดูแลได้แล้วผู้กองก็ไม่เชื่อ”

“ก็มี............”

“หะ”

“เอ่อ  คนไม่มีเวลาอย่างผม ใครเขาจะมาสนใจ ถ้ามีไปผมว่าน่าจะมีแต่เรื่องปวดหัวด้วยซ้ำ”  พูดจบก็ชำเลืองมองคนข้างๆ ป่านนี้แอบน้อยใจไปแล้วมั้ง จะให้บอกยังไงว่ามีวิญญาณบางคนแถวนี้ดูอยู่


“ครับ ครับ ผมไม่เถียงผู้กองแล้วครับ กินข้าวกินยาเถอะครับ เดี๋ยวผมรอเก็บแล้วจะให้ผู้กองได้นอนพักผ่อน”

วิณณ์ตักข้าวต้มอีก 2-3 คำ แล้วก็หยิบยามากิน

“อิ่มแล้วเหรอผู้กอง”

“อืม  รบกวนจ่าเยอะล้ว ไปทำงานเถอะ”

“ครับผม ถ้าผู้กองมีอะไรก็โทรหาผมนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ผมเต็มใจครับ”

“ขอบคุณมากนะจ่า”



จ่าเติมกลับไปแล้ว คราวนี้ผมก็ขอนอนพักจริงๆ ซักทีนะ โดยไม่ลืมหันไปบอกพยาบาลส่วนตัว

“ขอวิณณ์นอนพักก่อนนะ เดี๋ยวจะได้หายทันมาดูคดีให้”

“อืม  นอนก่อนเถอะ ยังจะมาห่วงงานอีก”

พูดกันได้แค่นั้น วิณณ์ก็ทำท่าสลืมสลือคงเพราะยาที่กินเข้าไป ส่วนตะวันก็ผุดลุกผุดนั่ง เดี๋ยวก็เดินไปที่ระเบียงเพื่อดูว่าคนแปลกหน้ายังอยู่ไหม แต่ก็ไม่เห็นสงสัยคงจะไปแล้ว สักพักก็เดินกลับมาข้างๆ วิณณ์เพื่อดูว่าคนป่วยสีหน้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง 


ยิ่งมอง ก็ยิ่งเข้าไปใกล้ 


ยิ่งดู หน้าของตะวันก็ยิ่งก้มลง ก้มลง


เพราะมันแต่ห่วงคนตรงหน้า ตะวันจึงไม่ทันรู้ตัวว่า ตอนนี้ตัวเองได้ก้มหน้าลงมาใกล้จนห่างกันแค่เพียงปลายจมูก


“ตอนหลับตายังเห็นเส้นตาคมเข้มเลยแหะ ขนตาก็ดำขลับดำเรียงเป็นแพสวยจัง จมูกก็โด่งเป็นสัน ปากผู้ชายหรือเนี่ย เรียวเป็นสีชมพูเลย”


และไม่ทันได้คิด ตะวันก็โน้มตัวลงไปประทับรอยปากที่หน้าผากของวิณณ์


“หายไวๆ นะครับคุณผู้กอง”





โดยไม่รู้เลยว่า คนข้างใต้เพียงแค่นอนหลับตาเฉยๆ เท่านั้น





/// กลับมาต่อแว้วคร้า ฮึบ ฮึบ เข็นๆๆๆ ตัวเอง ///

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จุ๊บๆ ด้วยคน  :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 16 หายไปไหน

[วิณณ์]


“ฮึ...อื้อออ” ผมบิดตัวขยับไปมาบนที่นอน พลางค่อยๆลืมตาขึ้น แดดที่ส่องเข้ามาถึงจะไม่จ้ามาก แต่ก็ทำให้เคืองตาได้ไม่น้อย
เฮ้ย กี่โมงแล้ววะเนี่ย ผมลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ข้างเตียงมาดู

“ฉิบ..... 9โมงแล้วเหรอวะเนี่ย” ผมรีบดีดตัวออกจากที่นอนคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำ มันไม่ใช่วันหยุดของผมไง แล้วผมก็สายแล้วด้วยไง แล้วนี่คุณตะวันเขาหายไปไหนของเขานะ ปกติจะชอบทำตัวเป็นนาฬิกาปลุกเสมอ สงสัยผมจะเคยตัวแล้วแน่ๆ เฮ้ออ

ใช้เวลาเบ็ดเสร็จ 10นาที ไวเป็นบ้าเลย


“ตะวัน.....ตะวันอยู่ไหม วิณณ์จะไปทำงานแล้วนะ” สงสัยจะไม่อยู่แหะ



“สวัสดีครับผู้กอง วันนี้ไปสายเหรอครับ” ถ้าลุงจะจำชีวิตผมได้ขนาดนี้ละก็นะ

“นอนเพลินนิดหน่อยครับ อย่าบอกใครละ เดี๋ยวเขาจะหาว่าตำรวจไทยขี้เกียจ”

“ฮาาาา ไม่หรอกครับ”

“ผมล้อเล่นนะลุง ไปนะครับ”

“ครับผม”




ผมขับรถเข้ามาจอดที่ประจำของ สน. ว่าแต่วันนี้รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปซักอย่างแหะๆ มันดูโล่งๆ ...ไม่มีใครคอยป่วน


“สวัสดีจ่า”

“ครับผู้กอง มาไหวหรือครับ”

“แค่นี้เอง สบายมาก”


ผมเดินเข้าห้องไปได้สักพัก จ่าเติมก็เดินตามมาพร้อมกับกาแฟหนึ่งแก้ว


“ขออนุญาตครับผู้กอง”

“ขอบคุณนะจ่า วันนี้มีเรื่องอะไรอัพเดทไหม”

“มีครับ จากหลักฐานที่เราได้จากเมมการ์ด หนึ่งในนั้น คือ ไอ้โจ๊ก มันมีประวัติอาชญกรรมกับกรมตำรวจ”

“โจ๊กเหรอ?”

“ครับ เคยต้องโทษคดีปล้นและทำร้ายร่างกายเจ้าทรัพย์เพิ่งถูกปล่อยตัวมาเมื่อสองเดือนก่อน ความจริงมันต้องโทษถึงสองปี แต่มันทำตัวดีเลยได้ลดโทษเหลือหนึ่งปี แต่ยังติดทัณฑ์บนและต้องรายงานตัวอยู่ทุกเดือน”

“แล้วไอ้โจ๊กกับไอ้เอ็ม มันเกี่ยวข้องกันยังไง?”

“สมัยเด็กบ้านมันอยู่ติดกัน พ่อไอ้โจ๊กมันตายตอนนั้นมันก็น่าจะ 10กว่าขวบได้ พ่อมันติดเหล้าแต่อย่าเรียกว่ากินเลยผู้กองเรียกว่าอาบเลยดีกว่า เมาทีหนึ่งไม่ตีเมียตีลูกก็ไปหาเรื่องคนอื่นเขา ชาวบ้านแถวนั้นเขาเอือมกันหมด”

“.........”

“มีครั้งหนึ่งพ่อไอ้โจ๊กมันเมาอาละวาดเกือบจะฆ่าเมียตัวเอง หลอนหนักคิดว่าเมียไปมีชู้ ไอ้โจ๊กเข้าไปห้ามก็โดนไปด้วย ชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้ายุ่ง มีก็แต่ไอ้เอ็มนี่ละที่เข้าไปช่วยไอ้โจ๊กมัน พ่อไอ้โจ๊กต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่โรงบาลเกือบเดือน นับแต่นั้นมาไอ้เอ็มเลยกลายเป็นฮีโร่ไอ้โจ๊ก พ่อไอ้โจ๊กเองก็ไม่กล้าตบตีลูกเมียอีก เพราะไอ้เอ็มมันชี้หน้าคาดโทษไว้”

 
อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง ผมพยักหน้าให้จ่าเมื่อเล่าจบ


“แล้วจ่าพอรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้เอ็มบ้างไหม”

“ยังไม่ได้เรื่องอะไรมากครับผู้กอง ประวัติท้าตีท้าต่อยของมันยาวยิ่งกว่ากรุงเทพไปเชียงใหม่ แต่ประวัติอาชญากรรมกลับไม่มีชื่อมัน สายของเราที่ตามเรื่องนี้อยู่รู้แค่ว่าไอ้เอ็มมันทำงานให้กับนายมัน แต่นายมันเนี่ยคือใครยังไม่ทราบครับ รู้แค่ว่ามันจะเรียกว่า ‘นายใหญ่’

“นายใหญ่?”

“ครับ แต่ผมให้สายของเราตามสืบอยู่คิดว่าไม่นานน่าจะได้ข่าวอะไรมาบ้าง”

“ดีมากจ่า ผมฝากด้วยนะ แล้วสายตรวจเราที่ส่งไปคอยดูแถวๆ คอนโดผมมีข่าวอะไรบ้างไหม”

“ทุกอย่างดูปกติดีครับผู้กอง จะไม่ปกติก็แค่คนในคอนโดแหละครับ”

“............!!!!”

“สายตรวจเราทุกนายที่เข้าไปตรวจพูดเหมือนกันทุกคน”

“......ยังไง?”

“เอ่อ....คือ.....”

“คือ.....?”

“คือ  ถ้า  คนในคอนโดผู้กองจะ.........รู้ กันขนาดนี้ทุกคน ไม่น่าจะมีคนถูกฆ่าตายได้นะครับ”

“หะ!!  อะไรนะ”  ไม่ใช่อะไรนะครับ ที่ถามย้ำเนี่ยมันไม่ยินได้ไง อะไรรู้ รู้อะไร

“จะให้ผมพูดจริงเหรอครับ กระดากปากไงไม่รู้”

“เอ้า ไม่พูดแล้วผมจะรู้ไหมละจ่า”

“ก็พวกสายตรวจเขาพูดกันว่า   ถ้าคนในคอนโดผู้กองจะ สอดรู้ กันขนาดนี้ทุกคน ไม่น่าจะมีคนถูกฆ่าตายได้ครับ”



 


นี่ผมควรจะแปลกใจดีหรือเปล่านะ




ว่าแต่ คู่หู ผมหายไปไหนละเนี่ย ???

สุดท้ายวันนี้ทั้งวันผมก็ไม่ได้เจอกับตะวันเลย ไม่ว่าจะลองเรียกหรือสื่อในใจก็ไม่ได้รับสัญญาณตอบรับซักกะนิด ‘เขาไปไหนของเขานะ’ ผมชักจะเป็นห่วง เพราะตั้งแต่มีตะวันเข้ามาในชีวิตพวกเราก็ตัวติดกันตลอด


ตลอดเหรอ?   เพิ่งจะรู้ตัวเองเหมือนกัน  ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทำอะไรก็จะมีตะวันเป็นหนึ่งในเหตุผลนั้นด้วยเสมอ


1 หรือ 2 หรือ 5  หรือ 10 วัน  ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นที่เจอกับตะวันคือหลังจากที่ผมกลับไปบ้านสวนก็ 21 วัน  ผ่านมาแล้วซินะ ถึงระยะเวลาจะดูไม่นาน  แต่ก็ดูเหมือนนาน

แล้วนี่ผมจะตามตัวตะวันได้ที่ไหนละ จะให้ไปตามหาหรือถามใครก็คงไม่ได้ ก็เพราะมีผมคนเดียวที่เห็นเขา



วันนี้ผมออกจาก สน. เร็วกว่าเวลาขับรถตรงกลับมาที่คอนโดทันที ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็เป็นห่วงคุณผีตัวแสบเขานะแหละ เมื่อวานก็ยังอยู่ด้วยกันปกติ จำได้ว่าตั้งแต่บังคับผมให้กินข้าวกินยาจนถึงตอนเคลิ้มจะหลับก็ยังอยู่ด้วยกัน จน...........


..........ผมเอื้อมมือมาจับหน้าผากตัวเอง

ถึงแม้สัมผัสจะบางเบา แต่ความรู้สึกกลับฝังแน่น

ถึงแม้จะตกใจ แต่ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านกลับมีมากกว่า

มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะเข้าใจ

มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษ ความรู้สึกดีที่มี ‘กัน’


และ


รู้สึก.....คิดถึง ห่วงใย อยากให้อยู่ใกล้ตลอดเวลา


คุณว่า.......มัน.......แปลก.......ไหม


แปลกซิ


ไม่แปลกยังไงไหว ผมยังแปลกใจตัวเองเลยตั้งแต่เกิดจนอายุ 27 เพิ่งจะเคยมีความรู้สึกแบบนี้ครั้งแรก แน่นอนผมต้องเคยแอบชอบแอบปลื้มคนอื่นบ้างอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่กับตะวันมันต่างออกไป


ความรู้สึก.......

                               มัน....

                                                                      ..........พิเศษกว่าคนอื่น..........




ผมไขกุญแจเข้าห้องไปเพื่อหวังว่าจะได้เจอเจ้าตัวป่วน เผื่อบางทีเขาอาจจะแกล้งแอบผมแล้วหลอกให้ตกใจ แต่ก็ว่างเปล่า ‘นี่เขาหายไปไหนนะ’




Rrrrrrr


เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูผมก็ต้องอมยิ้มกับชื่อที่โชว์บนหน้าจอ  ‘ดารินสาวน้อยผู้รัก’ โทรศัพท์ผมเองแต่คนสั่งให้ตั้งก็น้องสาวตัวแสบผมนะแหละครับ ‘หึ’

[ฮาโหลลลล พี่ชายสุดหล่อ สุดที่รัก ทำอะไรอยู่เหรอคะ]
“ทักแบบนี้น่ากลัวนะ”

[whyyy อะไรน่ากลัว อะไรตรงไหน]
“เหมือนว่าเราจะมีอะไรสักอย่าง แล้วพี่จะต้องทำอะไรสักอย่าง”

[คิคิ  เว่อนะ เขาแค่คิดถึงตัวก็เลยโทรหาไม่ได้หรือไง]
“คร้าบบบ โทรได้คร้าบบ ไม่กล้ามีปัญหาอะไรเลยคร้าบบ แล้วอะไรละ?”

[อาทิตย์นี้ตัวจะมาบ้านวันไหนเหรอ]
“ก็น่าจะวันเสาร์นะ”

[โอเค ดีใจสุดๆเลย พี่ชายสุดที่รัก สุดหล่อจะมาหาน้องสาวสุดสวย]
“พี่ว่าเราต้องมีอะไรแน่ๆ”

[ก็แบบว่า.......แบบ ที่มหา’ลัย ของน้อง .....แบบ....เอ่อ]
“1.....2.....”

[โอเค โอเค๊  พาน้องไปงานมหา’ลัย วันเสาร์หน่อยนะคะ ขอบคุณคะ บายยย]
“เฮ้......”


ตรู๊ดดดดด



อะ อ้าว อะไรกันละเนี่ย ร้อยวันพันปีน้องผมไม่เคยจะอยากให้ผมไปมหา’ลัยเขาซักครั้ง แล้วไหงครั้งนี้กลับมาชวนละ

ถ้าผมจำไม่ผิดช่วงนี้จะเป็นช่วงงานกาชาดของมหา’ลัย พวกนักศึกษาก็จะตั้งร้านค้าขายของกิน บูธเล่นเกม แล้วก็กิจกรรมสันทนาการหาเงินเข้าชมรมออกค่ายอาสากัน งานกาชาดเปิดให้คนนอกเข้าร่วมได้เพราะถือโอกาสประชาสัมพันธ์ไปในตัว มหา’ลัยก็ได้กำไร ไม่ต้องเสียเงินโฆษณา

งานนี้ผมชักได้กลิ่นทะแม่งๆ แหะ

วันเสาร์นี้เหรอ ถ้าตะวันรู้คงอยากจะไปเหมือนกัน ก็น้องสาวผมกับตะวันเรียนที่เดียวกัน

ซึ่งตอนนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ว่าอยากไปหรือไม่

แต่มันอยู่ที่ผมจะหาตะวันได้ยังไง







Rrrrrr


“......”
[นี่ตัวอยู่ถึงไหนแล้วอะ สายแล้วนะ] ยังไม่ทันจะพูดอะไร ปลายสายก็แทรกมาทันที

“ใจเย็นครับคุณผู้หญิง หน้าบ้านแล้วครับ”
[อ้าวเหรอ งั้นวางละ]


ตรู๊ดดดดด ตามเคย เห้อออ


“มาแล้ววววว ไปเลยคร้า ไปนะคะแม่”

“จร้า ทำตัวดีๆละ กระโดดกระเดกเกินไปแล้วนะ วิณณ์ดูน้องด้วยนะ”

“ครับแม่ ตอนเย็นเจอกันนะครับ”

ผมไม่ทันได้ลงไปทักทายแม่ ยายตัวแสบก็กระโดดขึ้นรถเร่งให้ผมไปมหา’ลัยทันที แล้วแบบนี้น้องสาวผมจะมีใครกล้ามาจีบไหมเนี่ย พวกเรามาถึงมหา’ลัยเกือบ 10โมง น้องสาวผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มตั้งร้านขายของอะไรทั้งสิ้น แต่กลับเลือกอยู่บูธกิจกรรมเล่นเกมของค่ายอาสา

มองดูคนก็เยอะพอสมควรนะ สงสัยเกมคงจะสนุก ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ทำไมมีนักศึกษาผู้หญิงเยอะจังแหะ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ผมก็ต้องร้อง อ๋ออออออ

ถ้าจะให้อธิบายเกมตรงหน้ามันก็จะประมาณ เกมปิดตาหาของละมั้งครับ แต่ไอ้คนที่ถูกปิดตาแล้วต้องหาของเนี่ย มันเป็นผู้หญิงไง แล้วไอ้เจ้าของที่เอาไปซ่อนเนี่ยมันก็ซ่อนอยู่บนตัวผู้ชายไง ถึงแม้จะไม่ได้ถูกปิดตาแต่มือมันก็ถูกมัดอยู่ จะกันตรงส่วนไหนมันก็ทำได้ยากลำบาก คนควานหาของก็คลำหาไปซิ ดูแล้วมันน่าจะจั๊กจี้

ดูผ่านๆ เกมมันก็ดูน่ารักดี แต่แบบทำไมรู้สึกเหมือนผู้ชายถูกเอาเปรียบอยู่หว่า



“ฟังๆ นักศึกษาสาวน้อย สาวใหญ่ หรือจะสาวแท้ สาวเทียม เร่เข้ามาทางนี้เลยคร่า....” นั่นเสียงน้องสาวผมเอง

อ่า ดูเข้มแข็งถึกบึกบึนเหมาะกับค่ายอาสาอย่างมาก (อย่าไปบอกเจ้าตัวละ ถ้ารู้ว่าผมบอกว่าเขาถึกนะ ผมโดนบ่นหูชาแน่)


“เร่เข้ามา เข้ามาใกล้ๆ กันเลยนะจ้ะ ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่กัด แต่ถ้าไม่เข้ามาฟังชัดๆ บอกเลย จิเสียใจเด้อ..........

ชมรมค่ายอาสาของเรามาจัดกิจกรรมหาเงินสบทบทุนเพื่อนำไปสร้างอาคารเรียนให้น้องๆ ที่ชนบทกัน และวันนี้เราได้รับเกียรติอันแเศษจากชายหนุ่มในเครื่องแบบ”



‘กรี๊ดดดดดดด’


“.....”


“สูง”     
 

‘กรี๊ดดดดด’


“...”


“ยาว”   


‘กรี๊ดดดดดด’


“.....”


“เข่าดี”   


‘กรี๊ดดดดดด’


“.....”


“และที่สำคัญ  หล่อมากกกกกก”


‘กรี๊ดดดดดดดดดดด / อร้ายยยยย ใครคะ  ใคร /  อยากเห็นหน้าจังเลยคร้าาาา’

   

“.....”  อื้อออออหืออออออ    เสียงแมนมากกก



“ที่สำคัญเป็นหนุ่มในเครื่องแบบที่ใครเห็นก็ต้องร้อง กรี๊ดดดดดดดด”


‘อร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด’


“.....”


“ขอเชิญผู้กองวิณณ์เลยคร้าาา”




O____O   นั่นไงผมว่าแล้ว!!!!  ว่ามันทะแม่งๆ




“มาเร็วพี่ชายสุดที่ร้ากก”

“ไม่ๆ พี่เป็นตำรวจนะเฮ้ย จะมาให้ทำอะไรแบบนี้ไม่ได้ ม่ายยยย”  แล้วภาพตรงนั้นก็กลายเป็นการฉุดกระชากลากถูของพี่น้องสองคน แล้วยังไงละ สุดท้ายใครแพ้


วิณณ์เองไง จะใครละ!!!!


ก็ถ้าจะเล่นดราม่าใหญ่ขนาดละก็นะ ‘ใช่ซิ ตัวไม่รักเขา หืออออ เขาเสียใจ พี่ไม่ยอมช่วยน้อง หืออออ’ และอีกมากมาย ผมชักเริ่มไม่แน่ใจว่าน้องผมยังสติดีอยู่?

ระหว่างที่ผมกำลังถูกมัดมือจากน้องสาวตัวเอง แล้วต้องออกมายืนท่ามกลางสายตาแทะโลมของเหล่านักศึกษามันสยิวปนสยองชอบกล ‘เฮ้ๆ อย่ามัดแน่นซิ’ ผมทำปากขมุบขมิบบอกน้องสาว แล้วยายดารินฟังไหมละ ไม่เลย กลับยิ่งมัดแน่นเข้าทำนอง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ



“เอ้าละคร้า  ใครจะเป็นผู้โชคดีรายแรก ได้ มาลูบบบบบ คลำผู้กอง”


‘กรี๊ดดดด อยากจะคลำผู้กองจังเลยค่า’


“เอ้ย ไม่ใช่ๆ คลำหาของคะ ไม่ใช่คลำผู้กอง แหมมมม คนข้างหน้ารู้สึกจะเสียงดังสุดเลยนะคะ”  เอ่อ น้องผู้ชายถึกสาวแบ้วคนนั้นอย่าเข้ามาใกล้พี่นะครับ พี่กลัวววววว ผมส่งสายตาไปหาน้องสาวตัวแสบแบบนั้น


“แหมเสียงดังฟังชัดจังเลยนะคะ งั้น คนแรกขอประเดิมที่พี่เก้งสายหวานของเราก่อนเลยนะคะ”  แต่สงสัยมันจะไปไม่ถึง  -*-


‘กรี๊ดดดด ฉันได้ ฉันได้’ แล้วเธอก็รีบวิ่งออกมาอย่างไว ส่งสายตาที่ใครเห็นก็เป็นอันต้องเสียวสันหลังวาบ ระหว่างที่น้องเก้งคนนั้นกำลังผูกผ้าปิดตา (ว่าแต่ชื่อเก้งจริงเหรอวะเนี่ย อะไรจะเข้ากั๊น เข้ากัน)




“นั่นผู้กองวิณณ์ ใช่หรือเปล่า”  เหมือนเสียงสวรรค์มาโปรด ผมหันไปทางเสียงที่ดังมา นั่นวายุกับแม่ของตะวัน มากับใครนะผู้ชายใส่สูทที่กำลังยืนคุยกับอาจารย์ ถึงจะดูมีอายุแล้วก็ตามแค่มองไกลยังดูดีขนาดนี้ ถ้าไปใกล้ๆ จะขนาดไหน แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจคือ เมื่อโอกาสลอยมาถึงมือเราแล้ว เราต้องรีบคว้า ผมเรียกและพยักหน้าให้น้องสาวเข้ามาใกล้ก่อนที่จะตกลงขอไปคุยธุระก่อน (แต่จะกลับมาเป็นตัวเล่นเกมให้ไหมก็อีกเรื่องนะครับคุณน้องสาว) น้องผมพูดไม่ยากหรอกครับเห็นแสบซนแบบนี้แต่เธอจะให้เกียรติผมกับงานที่ผมทำเสมอ เมื่อหลุดจากการถูกมัด ผมจึงเดินไปยังกลุ่มคนที่ยืนดูอยู่


“สวัสดีครับผู้กอง แหม ไม่ยักกะรู้นะเนี่ย ว่าชอบทำตัวเป็นจิตอาสา”

“มันก็ไม่เชิงหรอกครับ เรียกตกกะไดพลอยโจรมากกว่า / สวัสดีครับคุณป้า”

“สวัสดีคะผู้กอง ป้าก็นึกว่าใครซะอีก มองไปเห็นแต่สาวๆ รุมล้อม เสน่ห์แรงนะคะ”  ผมเกาหัวแก้เก้อ แก้ตัวไปก็เปล่าประโยชน์ก็ภาพมันโชว์ซะเต็มตา

“ผู้กองมาทำอะไรที่นี่ครับ”

“พอดีน้องสาวผมเรียนที่นี่ แล้วผมก็ถูกหลอกให้มาทำอย่างที่เห็นนี่ละครับ”

“ใครไปหลอกตัว พูดจาใส่ร้ายน้องสาวตัวเองไม่ดี ชิส์ / สวัสดีคะ”  อ้าวยายตัวแสบประโยคแรกนะพูดกับผมแต่ประโยคหลังเธอหันไปพูดและสวัสดีคู่สนทนาทั้งสองของผม

“สวัสดีจ้ะ น้องสาวผู้กองนี่น่ารักจังนะคะ”  แหม ถูกชมแค่นี้ยิ้มแก้มปริเลยนะ

“ขอบคุณคะ อิอิ”

“วายุ....วายุ!”

“หะ!!!   คะ...ครับน้าดารา”  แม่ของตะวันไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อผมและแม่ของตะวันสบตากันก็ต้องแอบยิ้มทั้งคู่ จะไม่เห็นได้ไง นายวายุจ้องน้องผมตาค้างซะขนาดนั้น บอกแล้วน้องผมอะน่ารัก เสียอย่างเดียว ดื้อไปหน่อย

“ว่าแต่มาทำอะไรกันเหรอครับ” ผมหันไปถามแม่ของตะวัน

“ทางมหา’ลัย ให้พวกน้ามาทำเรื่องดร๊อป และรักษาสภาพนักศึกษาของตะวันไว้นะคะ”

“อ่อเหรอครับ”  พูดถึงตะวันนี้เขาหายไปไหนของเขานะ เขาหายไป 3 วันแล้ว ตัวเองจะรู้ไหมทำให้คนอื่นเป็นห่วง คุยกันได้ไม่นาน ชายใส่สูทรูปร่างภูมิฐานที่ผมเห็นในตอนแรกก็เดินเข้ามาในกลุ่มสนทนา เมื่อแม่ของตะวันเห็นผมมองผู้ที่เข้ามาใหม่ จึงได้แนะนำขึ้น




“นี่ คุณอาทิตย์......”



“พ่อของตะวันจ้ะ”





--อ้าวตะวัน ทิ้งให้ผู้กองสุดหล่อของเราเจอ เก้งกวางบ่างชะนี รุมแบบนี้ได้อย่างไร / ซับ จะรีบปั่นให้ไวนะ อึบๆๆ---

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตะวันไปเที่ยวเล่นที่ไหนละเนี่ย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตะวันหายไปสืบอะไรที่เกี่ยวกับคดีหรือเปล่านะ แถมไม่บอกคุณตำรวจเขาด้วย  :serius2:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 17 ครอบครัว



“นี่คุณอาทิตย์ เป็นพ่อของตะวันจ้ะ”


“สวัสดีครับ” คนอายุมากกว่ารับไหว้ด้วยท่าทางภูมิฐาน ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งเหมือนตะวัน ดวงตาที่เหมือนกัน ตาสีน้ำตาลที่ขับกับใบหน้าขาวให้ดูโดดเด่น ต่างกันแค่สีผมที่เปลี่ยนไป ผมสีดำของตะวันทำให้สีของดวงตานั้นดูขี้เล่น แต่เมื่อเทียบกับพ่อแล้ว ผมสีดำแซมเทาทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูอบอุ่น

“นี่ผู้กองวิณณ์ที่ดูแลคดีของตะวันคะ”

“ขอบคุณนะครับ” พ่อของตะวันหันมาพูดกับผม

“เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” คุณอาทิตย์พยักหน้าและหันไปคุยกับแม่ตะวันต่อ

“ผมคงต้องกลับก่อนมีประชุมต่อ ส่วนเรื่องของตะวันผมจะให้ นายลมช่วยจัดการให้”

“คะ”


หลังจากจบบทสทนา ผมก็ยกมือไหว้กล่าวลาคนพ่อ ดูจากท่าทาง การแต่งตัวและเมื่อมองไปยังพาหนะแล้ว พ่อของตะวันน่าจะเป็นคนรวยคนหนึ่ง ผมหันกลับมาหาแม่ของตะวันเพราะสะดุดใจกับคำพูดนั้นของคนพ่อ


“คุณน้าครับ จัดการเรื่องตะวัน คือเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“น้าจะพาตะวันกลับมาดูแลที่บ้านนะคะ”

“หะ! ว่าไงนะครับ” ผมถามพร้อมส่งสายตาไปถามนายวายุ ไหนว่าจะช่วยกันไงทำไมกลายเป็นจะพาตะวันกลับบ้านละ แล้วอย่างนี้ร่างตะวันจะปลอดภัยไหม

“ใจเย็นครับผู้กอง ร่างกายตะวันตอนนี้อยู่ในสภาวะคงที่ ไม่มีโรคแทรกซ้อน อวัยวะภายในระบบการทำงานสมบูรณ์เกือบ 100% พูดง่ายก็คือตะวันเหมือนแค่คนนอนหลับเท่านั้น หมอเป็นคนรับรองเองซึ่งตัวหมอเองก็ยัง งง ว่า ทำไมตะวันถึงยังไม่ฟื้นซักที”

 “ครับ แล้วทำไมถึงตัดสินใจจะพาตะวันกลับบ้านละครับ”

“เป็นความต้องการของน้าเองละจ้ะ ถ้าตะวันอยู่บ้าน น้าจะได้ดูแลได้อย่างเต็มที่แล้วพ่อของตะวันเขาก็ต้องการแบบนั้น”

“เหรอครับ”

“แล้วเรื่องเครื่องหายใจละครับ”

“หมอบอกว่าระบบการหายใจของตะวันดีขึ้นมาก น่าจะสามารถหายใจได้เองโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่เพื่อความไม่ประมาทพ่อของตะวันเขาเตรียมไว้ให้แล้วจ้ะ”

“ครับ” ไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจนะที่อาการตะวันขึ้น แต่ถ้าตะวันกลับไปอยู่บ้าน ผมจะเอาข้ออ้างอะไรไปดูตะวันละ

“ไม่ต้องห่วงหรอกผู้กอง บ้านผมเปิดต้อนรับผู้กองเสมอ” คนพูดยักคิ้วหลิ่วตา จนผมต้องหลี่ตามอง เหมือนกำลังโดนแซวทางสายตา

“ใช่จ้ะ ผู้กองมาเยี่ยมตะวันได้ตลอดนะ ถึงแม้น้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมาก แต่วายุบอกให้น้าไว้ใจผู้กอง น้าก็จะไว้ใจ อีกอย่างน้าก็เชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองเหมือนกัน...”

“.....”

“ลางสังหรณ์มันบอกน้าว่า.....ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กองกับตะวันมันมีมากกว่าเรื่องคดี”

“หืม?”

“เอาเถอะจ้ะ อย่าใส่ใจน้าเลย น้าต้องกลับแล้วละจ้ะ ทิ้งตะวันให้นอนเหงานานแล้ว”

“คุณน้ากลับยังไงครับ”

“คงต้องแท็กซี่ละจ้ะ เพราะพ่อของตะวันเป็นคนไปรับพวกเรามาจาก รพ.”

“งั้นผมไปส่งนะครับ”

“ไม่เป็นไร น้าเกรงใจ”

“อย่าเกรงใจเลยครับ ไปเถอะครับ” ผมไม่รอให้แม่ของตะวันพูดปฏิเสธก็เดินนำไปที่รถ ส่วนน้องสาวผมก็ทำหน้าที่ได้ดี ช่วยเข้าไปถือของและเดินมาพร้อมกับแม่ของตะวัน ผมบอกคุณแล้วว่าน้องผมอะน่ารัก แต่ต้องมองข้ามความดื้อไปก่อนนะ



ตอนนี้พวกเราสี่คนขึ้นรถและมุ่งหน้าไปที่ รพ. ที่ตะวันอยู่ เจ้าตัวจะรู้ไหมนะว่าผมมาเจอแม่กับพ่อเขา แต่เอาเข้าจริง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรของตะวันเลย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว พี่น้อง ญาติ เพื่อน หรือเรื่องเรียน

สิ่งที่ผมรู้มีเพียง ตะวันฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรัก ครอบครัวตะวันที่ผมรู้จักมีเพียงแม่และพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง นอกจากนั้นไม่รู้อะไรเลย แม้แต่พ่อผมก็เพิ่งเคยเจอครั้งแรก แต่ถ้าเดาจากมุมคนนอกที่มอง พ่อกับแม่ของตะวันน่าจะเลิกลากันไปแล้ว ทำไมผมรู้นะเหรอ ปฏิกิริยา สรรพนามการเรียกและการพูดคุย

“น้องสาวผู้กองน่ารักจังนะคะ ชื่ออะไรเหรอลูก” ประโยคแรกแม่ของตะวันพูดกับผม ส่วนประโยคหลังหันไปถามน้องสาวผม

“ชื่อดารินคะ”

“ชื่อน่ารักจังเลย ผู้กองมีพี่น้องกี่คนเหรอคะ”

“สองคนครับ ผมกับยายตัวแสบแค่นี้ครับ”

“อะไร ใครตัวแสบ ชิส์”

“โอ๋ๆ” ผมพูดพร้อมเอื้อมมือไปโยกหัวน้องสาวตัวแสบ

“โอ้ยย ตัวอะ ดูซิผมเค้าเสียทรงหมดเลย”

“น่ารักจังเลยคะ ป้าอยากให้ตะวันมีครอบครัวมีพี่น้องกับเขาบ้างเหมือนกัน” แต่ละคนเงียบไม่มีใครกล้าพูดขัดขึ้นมา “ไม่ใช่วายุไม่ใช่ครอบครัวนะลูก” แม่ของตะวันพูดด้วยเสียงแหบพร่าหันไปจับมือหลานชาย

“แต่น้าแค่คิดว่า ถ้าครอบครัวยังเป็นครอบครัวอยู่ ชีวิตตะวันอาจจะดีกว่านี้”

“น้าครับ อย่าคิดแบบนั้นซิ ตะวันไม่เคยพูดถึงปมด้อยเรื่องครอบครัวหรือโทษสิ่งที่น้ากับอาอาทิตย์ได้ตัดสินใจลงไป ตะวันรักน้านะครับ”

“จ้ะ น้ารู้ น้าถึงไม่เคยห้ามหรือรังเกียจอะไรก็ตามที่ตะวันเป็น เพราะน้าก็รักตะวันยิ่งกว่าชีวิตน้าเหมือนกัน ความสุขของตะวันคือความสุขของน้า”


สิ่งที่ผมเห็น....

ครอบครัวของตะวันถึงจะไม่สมบูรณ์แต่ก็อบอุ่นไม่แพ้ครอบครัวอื่น

ความรักที่เป็นพิษของตะวัน มันร้ายแรงขนาดไหนกันนะ ถึงขนาดยอมทิ้งชีวิตตัวเอง


“คุณน้าคะ อย่าคิดมากเลยนะคะ พี่ตะวันต้องหายแน่นอนคะ”

“หนูรู้จักพี่ตะวันด้วยเหรอลูก”

“รู้จักซิคะ แต่พี่ตะวันไม่รู้จักหนูหรอกคะ ถึงหนูจะเรียนคนละคณะ แต่พี่เขาดังมากเลยนะคะ น่ารัก นิสัยดี เพื่อนๆ รุ่นน้องทุกคนชอบพี่ตะวันคะ ที่สำคัญพี่เขายังมีแฟนหล่ออีกด้วย”

“.....”

“อุ๊ย!!!!” ผมหันไปมองน้องสาวตัวเอง ถึงเธอจะเคยพูดถึงตะวันกับผม แต่สิ่งที่พูดออกมาเป็นเรื่องใหม่ที่ผมเพิ่งจะรู้

น้องสาวผมดูจะตกใจกับสิ่งที่พูดไป แต่ก็ไม่ทันแล้ว เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้งบนรถ ไม่ใช่ไม่รู้จะพูดอะไร แต่มันก็ไม่ถูกที่จะพูดเรื่องของคนที่ไม่อยู่ลับหลัง

“ขอโทษคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ น้ารู้ พวกเราทุกคนรู้”

“ตะวันก็คือตะวัน เขาจะเป็นอะไรสุดท้ายเขาก็ยังเป็นลูกน้าอยู่ดี ขอแค่เขามีความสุขน้าก็โอเคแล้ว หนูดารินเคยเจอแฟนของตะวันเขาไหมลูก”

“เอ่อ.....ก็เคยเจอคะ พี่เขาเป็นรุ่นพี่ปี 4 ชื่อ ‘พี่ดิน’

“เหรอจ้ะ แต่น้ายังไม่เคยเจอเลย แม้แต่ตอนนี้ที่ตะวันนอนป่วยอยู่ เขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมซักครั้ง”

“จะไปสนใจคนอื่นทำไมกันครับ วายุอยู่ทั้งคน ตะวันเป็นน้องผม ผมดูแลได้อยู่แล้ว”

“อืมจ้ะ”

ไม่นานผมก็ขับรถเข้ามาจอดที่ รพ. ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะขอตามเข้าไปด้วยดีไหม แม่ของตะวันก็เป็นฝ่ายเอ่ยชวนขึ้นมา

“ถ้าผู้กองไม่ติดธุระอะไร เข้าไปด้วยกันได้นะคะ”

ผมพยักหน้าและยกยิ้มอย่างดีใจ เหมือนคุณน้าจะรู้ความคิดผมซะจริงๆ






ดารินสังเกตพฤติกรรมของพี่ชายตลอดทางที่มาด้วยกัน ทำเหมือนไม่สนใจเรื่องที่คุยกัน แต่จะเหลือบมองทุกครั้งเมื่อคนเป็นแม่พูดถึงลูกตัวเอง

อย่างเมื่อกี้ มองสีหน้าพี่ชายตัวเองแล้วก็รู้เลยว่าอยากจะเข้าไปอย่างมาก ถ้าแม่ของพี่ตะวันไม่เอ่ยชวนก่อนเธอคิดว่าพี่ชายตัวเองคงเป็นฝ่ายขอตามเข้าไปเองอยู่ดี

‘ชักอยากรู้ซะแล้วซิ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ มันจะตรงกับความคิดฉันไหม’







พวกเราเดินกันจนมาถึงหน้าห้องที่ตะวันพักอยู่ แต่ไม่ใช่ห้องเดิมที่ผมเคยมา

เมื่อเราเดินเข้ามาในห้อง ผมก็ต้องแปลกใจ นี่ห้องโรงพยาบาลหรือโรงแรมกันละเนี่ย อุปกรณ์ทุกอย่างมีครบและพร้อม มีห้องครับแบบครัวเบาด้วย แถมยังมีพยาบาลพิเศษคอยเฝ้าอีกต่างหาก เห็นอย่างนี้ค่าห้องน่าจะไม่ใช่ถูกๆ

‘พ่อของตะวันเป็นคนจัดการทั้งหมด’ นายวายุกระซิบบอกผม อืม ท่าทางพ่อตะวันน่าจะรวยมาก

“เชิญผู้กองกับหนูดารินนั่งก่อนคะ”

“ขอบคุณคะ /ครับ”


น้องสาวผมเดินไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับนายวายุ ส่วนผมเดินเข้าไปใกล้เตียงของตะวันที่นอนอยู่ ร่างบางนอนนิ่งบนเตียงสีขาว ประกอบกับเจ้าตัวที่มีผิวขาวด้วยแล้ว มันทำให้ยิ่งเหมือนร่างของตะวันดูบางเบาแปลกๆ

ผมเอื้อมมือไปจับแผลที่หน้าผากของตะวัน ตรงส่วนอื่นของร่างกายดูปกติหมดทุกอย่างยกเว้นก็แต่แผลที่หน้าผากที่ไม่ยอมหาย สงสัยต้องเป็นแผลเป็นแน่ๆ


แผลเป็นที่เหนือคิ้วด้านซ้าย


“ถ้าตะวันตื่นมาเห็นแผลต้องเป็นเรื่องแน่ๆ รายนี้รักหน้าตัวเองมาก มีสิวขึ้นแค่เม็ดเดียวก็โวยวายแล้ว”

แม่ของตะวันเดินลงมานั่งอีกฝากของเตียง มือนึงก็ลูบผมคนนอนหลับอย่างสุดรักสุดห่วง ปากก็พูดเรื่องของลูกตัวเองให้ผมฟัง


‘ตะวัน คุณอยู่ไหนกันนะตอนนี้ รู้ไหมว่ามีหลายคนที่เป็นห่วงและรักคุณ รอคุณอยู่ คุณจะรู้ไหม?’


เหตุการณ์วันนี้ทำให้ผมได้รู้เรื่องของตะวันขึ้นเยอะ ครอบครัวของตะวันมีแค่แม่และตะวัน เพราะพ่อกับแม่แยกทางกันตอนตะวันอยู่ ม.1 หนำซ้ำตะวันยังมีพี่น้องโดยไม่รู้ตัว พี่น้องที่เกิดจากพ่อเดียวกัน เกิดห่างกันเพียงไม่กี่เดือน และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม่ของตะวันไม่ได้จดทะเบียนกับพ่อของตะวัน แต่อีกฝ่ายกลับทำถูกต้องมีสิทธิ์และศักดิ์ตามกฎหมายทุกอย่าง ถึงตะวันจะได้รับการรับรองบุตรจากพ่อ  แต่ความรู้สึกของลูกนอกสมรสมันก็ทิ่มแทงใจตะวันมาตลอด

สุดท้ายฝ่ายที่เลือกจากมาก็คือแม่ของตะวัน แต่บนความโชคร้ายยังมีความโชคดี ตะวันกับแม่มีครอบครัวของวายุที่เปรียบเสมือนครอบครัวที่สองคอยช่วยเหลืออุ้มชูกันมา เพราะพ่อของวายุเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่ตะวัน


เหตุนี้ละมั้งทำให้คุณน้าป็นห่วงตะวันมาก   


ห่วงว่าจะเป็นปมด้อยที่ตัวไม่มีพ่อ


ห่วงกลัวจะให้ความรักและเลี้ยงตะวันได้ไม่ดีพอ


ห่วงถ้าวันหนึ่งแม่ไม่สามารถอยู่ดูแลตะวันได้ ตะวันจะทำยังไง


แต่จริงๆ แล้ว มันทำให้ผมรู้ว่า แม่รักตะวันมาก รักมากเท่ากับชีวิตของแม่คนหนึ่งจะให้ได้


แม้แต่ผมที่เป็นคนนอกยังรับรู้ได้


แต่ติดอยู่อย่างเดียวเจ้าตัวจะเคยรู้ไหม






“คุณน้าครับแล้วตะวันจะกลับไปอยู่บ้านเมื่อไหร่เหรอครับ”

“คาดว่าน่าจะ 2-3วันนี้ละจ้ะ รอให้พ่อของตะวันจัดการเรื่องให้เรียบร้อยก่อน”

“แล้วตะวันกลับไปที่บ้านแบบนี้ จะไม่ลำบากแย่เหรอครับ คุณน้าต้องคอยดูตลอด”

“ไม่หรอกจ้ะ คุณอาทิตย์เขาจัดการจ้างพยาบาลพิเศษเพื่อช่วยน้าดูแลตะวันแล้วละคะ เพราะฉะนั้นเรื่องดูแล ยา หรือสังเกตอาการไม่ต้องห่วงเลย น่าคิดว่าดีซะอีกนะ ตะวันกลับไปอยู่บ้านเผื่อสภาพแวดล้อมที่บ้านจะช่วยให้ตะวันหายไวขึ้น”

“ครับ”






“นี่......นี่คุณ คุณว่ามันแปลกๆ ไหม”

“หืม อะไรแปลก?”

“ก็พี่ชายฉันกับพี่ตะวันเขาไปรู้จักสนิทกันตอนไหนเหรอ”

“ทำไมเหรอ”

“ก็ ดูแบบพี่วิณณ์เป็นห่วงเป็นใยเกินหน้าที่ตำรวจกับประชาชนไงไม่รู้”

“อืม ผมก็ไม่รู้ซินะ คิดมากไปหรือเปล่า ผมว่าพี่ชายคุณอาจจะแค่ทำตามหน้าที่ตำรวจก็ได้นะ” แต่ดารินไม่คิดแบบนั้นนะซิ มองยังไงมันก็มากกว่าหน้าที่ตำรวจ ดารินสัมผัสได้

ส่วนวายุเอง เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปมาก เพราะไม่รู้ดารินรู้เรื่องแค่ไหน แต่จากที่มองน่าจะยังไม่รู้เรื่องอะไรแน่ๆ

“นี่คุณ จ้องขนาดนั้น เดี๋ยวพี่คุณก็รู้ตัวหรอก”

“จะรู้ตัวก็เพราะคุณทักเสียงดังเนี่ยแหละ ชิส์”  คนฟังอมยิ้ม แสดงออกหน้าอย่างปกปิดไม่มิด

“อะไร ยิ้มอะไร”

“ก็เปล่า แค่รู้สึกแบบ คุณกับพี่นี่ไม่ค่อยเหมือนกันเนอะ แต่ก็ดูรักกันดีเนอะ”

“จะพูดอะไรมิทราบยะ”

“อย่าเข้าใจผิดซิ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ที่บอกว่าไม่เหมือน พี่คุณชอบแสดงท่าทางขรึม ส่วนคุณก็ดูขี้เหวี่ยงขี้โวยวายดีจัง”

“นี่ ปากเรอะนั่นอะ”

“ฮาาาาา อย่าเข้าใจผิดซิครับ เอาเป็นว่า หน้าตาดีทั้งพี่ทั้งน้อง จบไหม”

“ดี จบแบบนี้สวยดี” 







วิณณ์มองดูน้องสาวเขากับนายวายุที่กำลังนั่งคุยกันตรงโซฟา สนิทกันไวดีจังแหะ น้องสาวเขาก็แบบนี้ละ ดื้อซนแก่นเซี้ยวไปบ้าง แต่นิสัยที่น่ารักคือเข้ากับคนง่าย หายากมากถ้าจะมีใครไม่ถูกชะตากับน้องสาวผม ถ้ามีก็ถือว่าคนนั้นคงจะดวงซวยอย่างมาก ผิดกับผมที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เพื่อนสนิทก็มีกับเขาไม่กี่คน ไม่ใช่ว่าหยิ่งอะไรหรอกนะครับ ด้วยหน้าที่มันทำให้เวลาผมมีน้อย เพื่อนที่สนิทที่ไม่รู้ใจกันจริงๆ ก็ห่างกันไปหมด ที่เหลืออยู่ก็แค่ 2 คนได้มั้ง ไอ้ฟิล์ม กับ ไอ้ชาย

จะว่าไป ไอ้ฟิล์มกับไอ้ชายเพื่อนผมมันทำงานที่ รพ นี้ นี่หน่า งานมันก็คงจะยุ่งเหมือนกันเพราะผมมาที่ รพ สองครั้งยังไม่เคยเจอมันเลย มันทำอะไรนะเหรอครับ มันเป็นหมอครับ เป็นหมอที่หล่อด้วยนะ ทั้งคนไข้ พยาบาล ก็จับจองหมายตามันไว้เยอะ แต่เสียใจที่หัวใจมันไม่ว่างซะแล้ว เจ้าของคือใครนะเหรอครับ ก็ไอ้ชายนั่นแหละ สงสัยจะงานหนักเกินไปไม่มีเวลาหาสาว เลยหันมากินกันเอง

ใช่ที่ไหนละ ผมก็เล่าให้เพื่อนเสีย พวกมันคบกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ พวกเราสามคนเรียนมัธยมมาด้วยกัน ตั้งแต่ ม.ต้นจนถึง ม.4 ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเบนเข็มไปสอบเข้า รร. นายร้อยตำรวจ ส่วนพวกมันก็สอบหมอทั้งคู่ ถึงจะเรียนคนละพวกเรายังติดต่อกันเสมอ ผมคิดว่าก็คงจะเป็นช่วงที่มาเรียน รร ตำรวจ นี่ละที่พวกมันสองคนสนิทกันเป็นพิเศษเลยตัดสินใจคบกัน ถามว่าผมรู้สึกอะไรไหม ก็ต้องยินดีซิครับเพื่อนผมสองคนมีความสุขผมก็ต้องยินดีอยู่แล้ว จะเป็นยังไงมันก็เพื่อนนะครับ อีกอย่างผมมองโลกตามความเป็นจริงครับ ความรักเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกประเภท ใครไหนที่กำหนดว่ารักได้แค่ พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง หรือ หญิง ชาย เท่านั้น ผมว่ามันล้าสมัยแล้ว  เพราะแบบนี่ผมถึงไม่แปลกใจที่รู้ว่าตะวันมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่จะแปลกใจตรงที่ตะวันไม่เคยบอกผมต่างหาก เขายังไม่ไว้ใจผมเหรอ


“ผู้กองคะ”

“ครับ?”

“น้าให้คะ” เสร็จแล้วแม่ของตะวันก็ยื่นของสิ่งหนึ่งให้เขา มันคือล็อคเกตที่ข้างในมีรูปเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนี่งอยู่

“ตะวันจ้ะ เหมือนเด็กผู้หญิงไหม”

“ครับ แต่ให้ผมทำไมเหรอครับ”

“ตอนเด็กๆ ตะวันจะขี้กลัวมาก กลัวความมืด กลัวฟ้าร้อง กลัวไปซะหมดทุกอย่างตามที่เขาอยากจะจินตนาการ” แม่ของตะวันเล่าไปมือก็ลูบผมร่างบางที่นอนอยู่แล้วก็อมยิ้ม

“น้าก็เลยเอาล็อคเก็ตอันนี้ให้เขาใส่แล้วก็บอกว่าเจ้าสิ่งนี้อะมันมีพลังพิเศษนะ เวลากลัวอะไรก็หยิบขึ้นอธิษฐานขอให้คุ้มครองขอให้ช่วย เขาก็เชื่อนะคะ เขาตามที่น้าบอก หลังจากนั้นเขาก็เลิกกลัวไปเลยตราบที่ล็อคเก็ตอันนี้อยู่กับตัว แต่พอโตขึ้น เรื่องหลอกเด็กเหล่านี้ก็ค่อยๆ เลื่อนหายไป ล็อคเก็ตที่ไม่เคยห่างตัวก็ถูกเก็บไว้จนเจ้าตัวลืมไปในที่สุด”

“แล้วคุณน้าเอามาให้ผมแบบนี้จะดีเหรอครับ”

“ไม่รู้ซิคะ น่าแค่มีความรู้สึกอยากให้ผู้กองเก็บไว้ ตะวันเองก็คงไม่ว่าหรอกคะ”




หลังจากนั้นเราก็คุยกันสักพักก่อนที่จะขอตัวกลับเพราะรบกวนเวลาครอบครัวเขานานเกินไปแล้ว แต่ก่อนกลับผมตัดสินใจยกโทรศัพท์หาเพื่อนรัก ไหนๆ ก็มา รพ ทั้งที ไม่แวะทักทายมันซักหน่อยเดี๋ยวจะน้อยใจเอา พวกมันยิ่งหาว่าผมทำงานจนลืมเพื่อนอยู่







ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“เชิญครับ” เสียงคนในห้องตอบรับ เขากับน้องสาวจึงเปิดประตูเข้าไป คุณหมอในชุดกาวน์สีขาวทั้งสองคนกำลังจ้องหน้ากันอย่างคร่ำเครียด นี่ผมมากวนเวลาทำงานของเพื่อนหรือเปล่านะ

“สวัสดีคะคุณหมอสุดหล่อทั้งสองคน”

“สวัสดีคะน้องดาริน นั่งก่อนมึงไอ้ผู้กอง น้องดารินนั่งก่อนนะคะ”  ไอ้ชายพูดกับพวกผม แล้วก็หันขวับตวัดสายตาไปหาคนตรงข้าม ส่วนไอ้ฟิล์มหันมาพยักหน้าให้ก่อนจะหันกลับไปสบตาอย่างไม่ยอมแพ้กัน

“เอ่อ  ถ้ามึงสองคนไม่สะดวก ให้พวกกูออกไปก่อนไหม”

“ไม่เป็นไร มึงนั่งลงเลยไอ้ผู้กอง กูเคลียร์กันแปปเดียว” ไอ้ชายหันมาตอบผม ก่อนจะหันกลับไปพูดกับไอ้ฟิล์ม “คุณจะไม่ยอมผมใช่ไหม”

“คุณไม่มีเหตุผล”

“ผมไม่มีตรงไหน” 

“นี่ถามจริงไม่รู้?”

“เอ้า คุณไม่พูดผมจะรู้ไหม”

“ไม่พูดโว้ย ไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้” แล้วไอ้ฟิล์มก็โวยวายพร้อมหันหลังให้คู่สนทนาไปซะงั้น ที่มันบอกผมว่าแปปเดียว คงจะไม่ใช่ละมั้ง


“อิอิ น่ารักจัง พี่ชายพี่ฟิล์มชอบงอนกันเรื่อยเลยนะคะ”

“พี่ก็ไม่อยากทะเลาะกันหรอกคะ แต่เจ้าตัวยุ่งเนี่ยไม่มีเหตุผล”

“อย่ามาว่านะ ใครกันแน่ไม่มีเหตุผลไอ้คุณชาย”  ไอ้ฟิล์ม=เจ้าตัวยุ่ง เออ เว้ย เพื่อนผมมีสรรพนามเรียกกันมุ้งมิ้งเชียว

“เดี๋ยวนะพวกมึง ถามจริงทะเลาะกันเรื่อง?”

“คอนโด” ไอ้ชายเป็นคนตอบ

“คอนโด? ทะเลาะเรื่องคอนโด อะไร ทำไม??”

“พวกกูสองคนตกลงจะซื้อคอนโดแล้วมาอยู่ด้วยกัน เอาที่ไม่ไกลจากบ้านพวกกูมากแล้วก็มาทำงานสะดวก พวกกูไปดูมาหลายที่ สุดท้ายก็ไปถูกใจกันที่ คอนโด XX”

“แล้ว...”

“ไอ้ตอนไปเนี่ยก็คิดตรงกัน ชอบเหมือนกันทุกอย่าง ห้องเลขที่ 99 ชั้น 9 ห้องริมสุด มีระเบียงหน้าห้องที่ใหญ่ที่สุด มีอ่างน้ำจากุซซี่ที่ห้องอื่นไม่มี ถือเป็น premium เกรด AAA  กูจึงตัดสินใจจองและวางเงินมัดจำไว้ แต่ติดอยู่อย่างเดียว.........”

“ติดอะไรวะ”

“ติดที่ไอ้ตัวยุ่งเนี่ยมันไม่ชอบ”

“เอ้า ก็ไหนบอกว่าชอบทั้งคู่ แล้วจากที่กูฟังแม่งก็โคตรจะเฟอร์เฟคเลยนะ แล้วมึงจะไม่ชอบอะไรวะไอ้ฟิล์ม ถ้าไม่ชอบทำไมมึงไม่บอกไอ้ชายก่อนจองวะ”

“กูก็ชอบ โคตรชอบเลยแหละ”

“โอ้ย กู งง กับพวกมึงวะ”

“กูชอบห้องนี้ทุกอย่าง แต่แค่ไม่ชอบอย่างเดียว” ไอ้ฟิล์มก็ยังคงยืนยันว่ามันชอบห้องที่เลือกกัน แล้วปัญหามันคืออะไรวะ

“อะไรไอ้อย่างเดียวนั่นอะ ที่ทำให้พวกมึงมานั่งทะเลาะกัน”  เออเว้ย แม่งไม่พูด แต่ไอ้ฟิล์มไมแม่งต้องเขินหน้าแดงด้วยวะ “เอ้า พูดดิมึง”

“ที่กูไม่ชอบอะ ก็..............”

“ก็.......??”

“ก็ที่ห้องตรงข้ามอะ แม่งเป็นผู้หญิงขี้อ่อย แถมโคตรจะสวย วันที่ไปดูพอเห็นไอ้ชายนะก็ทำสายตาก้อร่อก้อติกไอ้ชายใหญ่เลย

กูไม่ชอบ 

ไม่ชอบ

ไม่ชอบ




-___-  สาบานว่านี่คือเหตุผลมึง นี่คือมึงหึงใช่ไหมครับ กูนี่พูดไม่ออกเลยครับ ผมหันไปมองหน้าชายมันก็ส่ายหัวให้ ผมว่ามันคงชินแล้วละ ไม่งั้นมันไม่แอบอมยิ้มหรอก กูรู้ กูเห็น มึงชอบซินะที่มันหึงมึง ไอ้ SM เอ้ยยยย



“เออ งั้นกูไม่ขอยุ่ง กูเชื่อว่าพวกมึงเคลียร์กันเองได้

“ดารินก็งดออกความคิดเห็นคะ เรื่องครอบครัวเราจะไม่ยุ่ง” แหนะมีการยกมือแสดงความคิดเห็นอีกน้องสาวผม

“ว่าแต่ไอ้ผู้กองกูได้ยินว่ามึงมาทำคดีของ นศ. ที่โดนรถชนที่ รพ. กูเหรอครับ”

“ประมาณนั้น”

“แหม มาถึงนี่แต่ไม่มาหาพวกกูนะครับ แต่กูสงสัยร้อยวันพันปีกูไม่เห็นมึงจะลงมาคลุกคลีคดีแบบนี้เท่าไหร่ เห็นแต่จ่าเติมรับคำสั่งตลอด ทำไมคราวนี้มึงถึงมาทำเองวะ”

“ขอโทษนะครับ ไอ้ชายกูเป็นตำรวจคดีอะไรกูก็ทำหมดไหมครับ”

“มึงอย่าทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งที่กูพูด” เออ กูเข้าใจ

“ไม่มีไรหรอกมึง กูก็แค่อยากทำคดีที่ไม่เครียดบ้างแค่นั้นแหละ”  ผมได้แค่ร้องในใจ ผมโกหกครับ คดีนี้หนักกว่าคดีที่ผ่านมาเยอะ

“เหรออ  กูจะเชื่อนะ ฟิล์มมานี่ดิ”  มันตอบผม แล้วก็หันมาวุ่นวายกับแฟนมันต่อ มันสองคนโกรธกันได้ไม่นานหรอกครับ ส่วนใหญ่เรื่องมันก็หยุมหยิมแบบนี้ละ

โอ้ยยย นั่นไงไอ้ฟิล์มก็อะไร แฟนง้อนิดง้อหน่อยก็เดินเข้าไปหาเขา ลงไปนั่งตักอีก ไอ้ชายก็อ้อนซะเอาหน้าเข้าไปซุกคอเมียแล้วนั้นอะ 


“เฮ้ยๆ หัดเกรงใจน้องกูบ้าง น้องกูยังเด็กอยู่”  คิดว่ามันสะทกสะท้านไหม ไม่!! ถามว่ามันไม่กลัวหมอ พยาบาลหรือคนไข้เข้ามาเห็นไหม ก็ไม่อีกนั่นแหละ มันจะกลัวทำไมก็นี่ รพ. ของครอบครัวไอ้ชายมัน ทายาทรุ่นต่อไปก็มันอีกนั่นแหละ ใครละจะไปกล้ายุ่ง ส่วนไอ้ฟิล์มก็บ้านนายธนาคาร ฐานะดี หน้าตาดีทั้งคู่ ได้กันก็เข้าทำนองเรือล่มในหนองทองจะไปไหน


ครอบครัวพวกมันสองตัวก็เปิดใจยอมรับไปนานละ เพราะตั้งแต่เป็นนักเรียนขาสั้น มาขายาว ยันอินเทิร์น และเป็นแพทย์เต็มตัวก็ตัวติดกันอยู่สองคน ดีหน่อยที่บ้านมันสองคนมีลูกหลานเยอะ ไม่ต้องฝากความหวังทายาทของตระกูลไว้กับพวกมันทั้งคู่


“เออไอ้ชาย กูจะถามมึงว่าเรื่องคนไข้ที่ชื่อตะวัน”

“นศ. ที่ถูกรถชน?”

“อืม  มึงอนุญาติให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้วเหรอวะ”

“มันเป็นความต้องการของครอบครัวคนไข้ กูก็ทำตามหน้าที่ตรวจเช็คร่างกายคนไข้ว่าสามารถทำตามที่ญาติรองขอได้ไหม กูต้องขอบอกเลยนะวะว่า ร่างกายของคนไข้ปกติทุกอย่าง ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานสมบูรณ์เกือบ 100% ติดอย่างเดียวคนไข้ไม่รู้สึกตัว เหมือนคนนอนหลับธรรมดาๆ”

“อืม”

“ดูมึงสนใจ คดีนี้เป็นพิเศษนะ มีอะไรวะ” ไอ้ชายมึงจะสงสัยอะไรนักหนาวะเชื่อกูเหอะ

“เปล่า กูก็แค่สงสัยว่าคนนอนหลับไม่รู้สึกตัวแบบนี้ จะสามารถพากลับไปดูแลเองได้เหรอ”

“มันก็ไม่ยากอะไรนะ ควบคุมการกิน การขับถ่าย ดูแลให้คนไข้อยู่ในสภาวะปลอดเชื้อเพื่อกันโรคแทรกซ้อน ถ้าทำได้ก็กลับไปดูแลเองได้ไม่มีปัญหา”

“เหรอ.......”

“นี่ไอ้ผู้กอง มึงมีอะไรพิเศษมึงก็บอกพวกกูมา ไม่ใช่ให้พวกกูมานั่งจับผิดมึงเองแบบนี้” ไอ้มานุดเมียของไอ้หมอชายมันเงยหน้ามาถามผมแล้วครับ หลังจากที่มันนอนซบไหล่แฟนมันอยู่



แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบ จะให้ตอบว่าไรละ ผมกับตะวันเราก็แค่มีเรื่องที่ต้องช่วยเหลือกันเท่านั้น


ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย


ไม่ได้รู้สึกอะไรกันเลย





เหรอ.....?






-- อย่าเพิ่งสงสัยว่าทำไมบรรดา เพื่อนพ้องน้องพี่ของตะวันเพิ่งจะเผยโฉม เพราะพวกคนเขียนเพิ่งหาบทที่เหมาะสมให้ได้นั่นเอง --

แฮรรรรรรรรรร่



ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หนูตะวันยังไม่มาาาา หายไปไหนหว่า

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตะวันหนีไปเที่ยวที่ไหนนะ  :katai3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 18  Come back



หนาวจัง
.
.
.
.
เหงาด้วย
.
.
.
.
มันช่างว้าเหว่
.
.
.
.
โดดเดี่ยว
.
.
.
.

ไม่มี……...ไม่มีใคร…….....ไม่ใครเลย...........


ไม่มีใครเลยเหรอจะมาช่วยตะวันคนนี้


แงงงงงงงงงงงงงง


ทำไมตะวันต้องมาทำอะไรแบบนี้ ฮือออออออออ


ผมทำความผิดอาราย ทำไมต้องลงโทษผม



“ท่านครับ ลงโทษตะวันทำม้ายยย”
[เจ้านี้มันช่างโวยวายซะจริงเลยนะ]

“ท่าน ท่านกาลเวลา ตะวันทำอะไรผิดอ่า ปล่อยตะวันไปเถอะครับ ตะวันจะไปไขคดี๊”
[เจ้ายังจำได้เหรอ ว่ามีหน้าที่อะไร]

“จำได้ซิครับ ทำไมท่านถามแปลกๆ”
[เรานึกว่าเจ้ามัวแต่มีความสุขกับมนุษย์ผู้นั้นจนลืมว่าต้องทำอะไรไปแล้ว]

“ทำ....ทำไมท่านคิดแบบนั้นละครับ”
[เจ้าคิดว่าเราเป็นใคร เรารู้ทุกการกระทำของเจ้า ตะวัน]

“……....”
[เจ้าไม่ผิดหากมีใจหลงเผลอใผลตามอารมณ์แบบมนุษย์ แต่เจ้าก็ห้ามลืมหน้าที่ของตัวเอง เวลามันเดินหน้าเสมอนะตะวัน เจ้าจะปล่อยให้มันผ่านไปโดยไร้ประโยชน์รึ?]

“ผม.....ผมขอโทษครับ ตะ....แต่ผมก็พยายามอยู่นะครับ”
[เจ้าคิดว่าเจ้าพยายามมากพอหรือยังละ เจ้าเอาแต่พึ่งพามนุษย์ผู้นั้นโดยลืมว่ามันคือหน้าที่ของตัวเอง]

“.....”
[เราเชื่อว่าเจ้าจะคิดได้ ถ้าพยายามยังไม่มากพอ ก็จงพยายามมากกว่านี้ โอกาสที่เจ้ามีและได้รับ อย่าเห็นว่าไม่สำคัญ เพราะถ้ามันหลุดลอยไป คนที่จะเสียใจก็คือเจ้าเอง]

“ครับ ผมขอโทษครับ ผมจะพยายามให้มากกว่านี้”
[ดี เจ้าเสียเวลาอยู่ที่นี่มานานละ รีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ]

“ครับ ว่าแต่ผมไม่ต้องคัดลายมือแล้วใช่ไหมครับ”
[ถ้าเจ้าอยากคัดต่อเราก็ไม่ว่าอะไรนะ]

“ไม่ ไม่ครับ ผมขอกลับไปทำหน้าที่ต่อดีกว่าครับ”
[หึหึ]

“เอ่อ ท่านครับว่าแต่ ผมมาที่นี่นานแค่ไหนครับ”
[3วัน ตามเวลาของโลกมนุษย์]



หะ!!! 3วันเลยเหรอ


ตาย  ไอ้ตะวันตายแน่


โดนวิณณ์ ด่าแน่ๆ


ฮือออออออ




ตลอดระยะเวลาที่ผมถูกลงโทษเอาจริงนะมันไม่นานเลย ผมเหมือนเพิ่งมาแค่ไม่กี่นาที กี่ชั่วโมงเอง แต่โลกมนุษย์ดันผ่านไป 3 วันแล้ว  เฮ้อตะวัน เสียเวลาไป 3 วันเหรอ ต้องรีบกลับมาทำตามหน้าที่แล้วละ

ว่าแต่อยากรู้อะดิ ว่าผมโดนให้คัดอะไร ฮาาาาา ไม่อยากจะเซดดดดดด


ก ไก่ ถึง ฮ ฮูก


จัดไปเบาะๆ  100 แผ่น เก่งเว่อร์ไอ้ตะวันเอ้ยยย


คราวนี้ละผมสามารถท่องพยัญชนะไทยโดยไม่ตกหล่นหรือข้ามตัวไหนไปแน่นอน









“นี่.......นี่”
.
.
.
.
“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮ้”

โอ้ยหูจะแตกอะไรคือพลังเสียงล้านแปดเดซิเบล

“อะไรเจ๊    ตะโกนทำไม”

“โอ๊ยยยย ฉันเรียกปากจะฉีกไปถึงรูหูละ นายยังนิ่ง นี่ถ้าไม่ตะโกนนายคงเข้าญานไปเฝ้าเทวดาแล้วมั้ง”

ตอนนี้ผมกลับมาที่ห้องของวิณณ์แล้วครับ อย่าถามว่าไปไง มาไง เพราะผมเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าให้เดาก็คงเป็นกาลเวลานะแหละ อยากเจอใครพบใคร แค่ดีดนิ้วเรียกปุป ก็ไปโผล่ที่นั่นปัป ผมเองก็เช่นกัน ไปแบบไม่มันตั้งตัว ตอนกลับดีหน่อยที่ยังมีรู้ตัวบ้างนะ

“เอ้า  เอ้า  เหม่ออีก หายไปไหนมาคะคุณ รู้ไหมว่าผู้ชายเขาเป็นห่วงนะ”

“ใคร? วิณณ์เหรอ?”

“Yesssssssssser”

^____^

“แหม แค่นี้ไม่ต้องทำหน้าดีใจออกนอกหน้าหรอกยะ”      ‘แล้วก็บอกไม่เป็นไรกัน อย่างนี้ใคร๊ ที่ไหนจะไปเชื่อ อีกคนหาย อีกคนก็ห่วงจนนอนไม่หลับ พออีกคนรู้ก็ทำหน้าระรื่น หมั่นไส้’

ไอ้ประโยคแรกหนะ เจ้แกออกเสียงซะดัง แต่ไอ้ประโยคยาวเหยียด ทำปากขมุบขมิบพึมพำ แต่ถามจริง ผมได้ยินทุกคำ เจ้จะเบาเสียงเพื่ออออ?

อยากพูดไร พูดไป๊ ตะวันจะไม่โต้เถียง เพราะกลัวประเด็นวกเข้าตัวอีก

“นี่เจ๊ แล้วรู้ไหมวิณณ์ไปไหนอะ”

“ฉันต้องรู้…...? อกอิแป้นจะแตก มาขอให้เขาช่วยแล้วไหงฉันต้องมาช่วยเขาแทนเนี่ย”

“โอเว่อร์เกินไปละเจ๊ แค่ถามเอง”  แล้วไอ้ท่าทางมะกี้คือไร?  อินเนอร์มาเต็ม จ้างร้อยเล่นล้าน เอารางวัล สุพรรณโหง ไปเลย เหอะ

“ชิ ผู้กองสุดหล่อของฉัน เขาไปหาน้องสาวเขายะ เย็นๆคงจะกลับ เพราะเป็นห่วงใครแถวนี้ หายไปไม่บอกไม่กล่าวกันซักคำ ผู้กองฉันต้องมารอทุกคืนว่าจะกลับมาไหม จะไม่กลับห้องเลยก็กลัวกลับมาไม่เจอ”    ‘นี่นะเหรอ ไม่เป็นไรกัน พูดให้ตายก็ไม่เชื่อหรอก’

ได้ข่าวว่า เจ้ ตายแล้วปะ!!!

“นี่เจ้ ที่มาเนี่ย คงไม่ได้มีมาพูดแค่นี้ใช่ปะ”

“อ่า”

“มีข่าวใหม่?”

“อืม”

“เกี่ยวกับคดีของเจ๊ใช่ไหม?”

“อ่าฮะ”

-____-    โอ้ยยยยย อิเจ้ จะ อ่า อืม อ่าฮะ อีกนานไหมเนี่ยยยยย

“คิคิ  นายนี่มันน่ารักนะรู้ตัวไหมเนี่ย แล้วยิ่งตอนชอบทำหน้าแบบ หมางง นะ ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่”


มั่นใจว่านั่นชม!!!


“อะ  เลิกเล่น”  เจ้าหล่อนพูดพร้อมยกมือทำท่ายอมแพ้   “ข่าวที่ฉันมีก็ไม่รู้จะช่วยได้เยอะไหมหรอกนะ แต่จากการที่ฉันตามไอ้เอ็มกับลูกน้องมันไป ฉันเลยรู้ว่ามันทำงานให้ใครคนหนึ่ง ฉันยังไม่เคยเห็นหรอกนะ เพราะนายมันคนนี้ไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ใครเห็น แล้วพวกมันเรียกนายคนนี้ว่า นายใหญ่

“นายใหญ่?”

“ใช่ แล้วไอ้นายใหญ่อะไรของมันเนี่ย ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้กองแน่ๆ เพราะได้ยินพวกมันพูดทำนองว่า นายใหญ่สั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับผู้กอง”

เกี่ยวข้องกับวิณณ์งั้นเหรอ ยังไง แบบไหน คงต้องไปถามกับเจ้าตัวแล้ว

“เอาละ มาบอกแค่นี้ละ เดี๋ยวผู้กองแฟนนายก็คงกลับมาแล้วละ ทำตัวดี เป็นแม่ศรีเรือนรอไปนะจ้ะ”

“เฮ้ย………….ใครแฟน แฟนไร”

“คิคิ บั่ยยยยยยย”

รู้ไหม คุยกับเจ๊ที่ไรผมปวดหัวทุกที ถ้าผีกินได้ ผมจะขอพาราซัก 10 เม็ด ไม่ไหว ตะวันปวดเฮดดดด

สุดท้ายผมก็ต้องรอวิณณ์อยู่ที่ห้องคนเดียว นี่ฟ้าจะมืดแล้วนะ วิณณ์ยังไม่มาอีก หรือไม่กลับแล้วนอนบ้านสวน เสียเวลาไปคัดลายมืออยู่ 3วัน วิณณ์เองก็ไม่อยู่อีก ภาระกิจผมก็ไม่กระเตื้องเท่าไหร่เลย ยิ่งคดีของผีเจ๊แอนก็ดูท่าจะยากเอาการ แล้วตะวันจะทำได้ไหมเนี่ย


เฮ้ออออออออออออออออออ


พูดถึงเรื่องที่ผมถูกเรียกตัวไปแบบด่วนจี๋ แถมยังถูกทำโทษให้คัดลายมือ ไหนท่านกาลเวลาจะพูดแบบนั้นอีก ‘ใจหลงเผลอใผลตามอารมณ์แบบมนุษย์’


ผมรู้ตัวเองมาซักพักแล้วละ ว่าผมน่าจะ ชอบวิณณ์ ความเป็นผู้ใหญ่ของวิณณ์ทำให้เวลาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น ไม่อึดอัด ถึงแม้พวกเราเพิ่งจะรู้จักกัน เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ แถมยังไม่ใช่คนปกติกับเขา วิณณ์ ก็ไม่เคยมีท่าทีรังเกียจ

มันทำให้ผมรู้สึกดี ปลอดภัย และอยากอยู่ใกล้ๆ

บางทีการที่ผมเป็นวิญญาณอย่างนี้ มันก็คงดีไปอีกแบบ วิณณ์จะได้ไม่รู้ว่าผมคิดอะไร เพราะผมเองก็ไม่มั่นใจว่าถ้าวิณณ์รู้แล้วจะรังเกียจผมไหม ผมไม่อยากให้วิณณ์เกลียด

ไม่เอา






เวลาผ่านไปไม่นาน เสียงไขกุญแจก็ดังขึ้น

แกร๊กๆ

เจ้าของห้องเดินเข้ามาพร้อมกับวางของที่ถืออยู่บนโต๊ะกินข้าว วิณณ์ยังไม่เห็นผม ทำไมนะเหรอ ก็ผมยังไม่ปรากฎตัวออกไปนะซิ อยากรู้ว่าวิณณ์จะทำยังไงถ้าออกไปจ้ะเอ๋เขา แต่ผมก็ยัง งง อยู่นะ ไอ้การหายตัวแว่บๆ เนี่ย เดี๋ยวผมก็ทำได้ เดี๋ยวก็ทำไม่ได้ แต่จากที่สังเกตุมันจะเป็นช่วงหลังมานี่ที่ผมเริ่มทำได้บ่อยขึ้น คราวหน้าถ้าได้เจอท่านกาลเวลาผมจะถามซักหน่อย


วิณณ์วางของเสร็จก็เดินเข้าไปหยิบขวดน้ำจากตู้เย็น ก่อนจะลงมานั่งที่โซฟา   “ตะวัน”

เอ๋  เรียกผมเหรอ หรือว่าเขารู้ว่าผมมาแล้ว

“ยังไม่มาซินะ ไปไหนของเขากัน รู้ไหมว่าคนเป็นห่วง”    ^___^  ไม่รู้ทำไมแต่แค่ได้ยินประโยคนี้ผมก็ยิ้มแก้มแทบแตกแล้ว

อะ ไม่แอบแล้วก็ได้ คิดได้ดังนั้นผมจึงปรากฎตัวขึ้นทางด้านหลังวิณณ์ แล้วก็

“แบรรรรรรรรรร่”

“เฮ้ยยยยยยย”

“ฮ่าาาาา  กลัวเหรอ ฮ่าาาาาา”  หน้าเหวอไปเลยอะ ผมอยากให้พวกคุณได้เห็นหน้าของวิณณ์มาก หลุดมาดผู้กองสุดหล่อไปเลย

“ตะวัน!!”

“ใช่ ตะวันเอง ทำไม จำไม่ได้เหรอ”

“ยังจะมากวนอีกนะ หายไปไหนมา รู้ไหมคนอื่นเขาเป็นห่วง อยู่ดีๆ ก็หายไป นึกว่าโดนผีที่ไหนจับไป หรือหมดเวลาภารกิจไปแล้ว”

“บ้าน่า ผีที่ไหนจะมาจับตะวัน” 

“ก็จะไปรู้เหรอ เฮ้อ แต่ก็โล่งอกไปที นึกว่าตะวันจะหายไป เพราะถอดเครื่องช่วยหายใจซะแล้ว”

เอ๊ะ เดี๋ยวนะอะไรถอดเครื่องช่วยหายใจ   “วิณณ์พูดว่าไรนะ ใครถอดเครื่องช่วยหายใจ?”

“ก็ ตะวันนะแหละ”

“ทำไมอะ ใครถอด แม่เหรอ ไหนพี่วายุจะช่วยพูดกับแม่ไง แล้วทำไมถอดละ อย่างนี้ร่างตะวันก็จะไม่มีแล้วซิ วิญญานตะวันต้องหายไปด้วย  ทำไงดี  วิณณ์ ทำไงดี”

“เดี๋ยว ตะวัน ใจเย็นนะ ใจเย็น ฟังก่อน”  วิณณ์เล่าให้ฟังทั้งเรื่องที่พ่อผมเข้ามาจัดการทำเรื่องย้ายผมออกจาก รพ จ้างพยาบาลพิเศษมาช่วยแม่ดูแลผม ทั้งเรื่องที่หมอวินิจฉัยอาการและลงความเห็นว่าผมสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ แต่ต้องปฏิบัติตามวิธีที่หมอแจ้งไว้

“พ่อเหรอ”

“ใช่ ดูแล้วพ่อตะวันเขาก็ป็นห่วงตะวันดีนะ”

“เหรอ”

“ทำไมทำเสียงแบบนั้น”

“เปล่า”

“ตะวัน”  ไม่ต้องมาทำน้ำเสียงขู่เลย

“ก็ถ้าพ่อเขารักตะวันกับแม่จริง เขาต้องไม่ทำแบบนั้น แอบไปมีเมียอีกคน แถมยังมีลูกด้วยกันอีก แล้วรู้ไหมลูกกับเมียใหม่ ก็เกิดห่างจากตะวันไม่กี่เดือนด้วยซ้ำ”

“………….”

“แบบนี้เหรอที่เรียกว่ารัก ถ้ารักก็ต้องไม่ทำแบบนี้ซิ”

“บางที มันก็อาจจะเป็นเหตุผลของผู้ใหญ่ที่เขาไม่สามารถบอกเราได้ก็ได้นะ”

“เหตุผลอะไร ที่ถึงขนาดนอกใจเมียตัวเอง ทั้งๆ ที่ท้องอยู่ แล้วยังไปมีลูกด้วยกันอีก  ตะวันเห็นแค่เหตุผลเดียวแหละ……ความไม่รู้จักพอไง”

“ตะวัน ไม่ดีเลยนะ คิดแบบนั้น ยังไงเขาก็เป็นพ่อ”

“……………”

“วิณณ์ว่า เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ ตะวันหายไปไหนมาไหนบอกวิณณ์ซิ”

“ตะวัน………ตะวัน ถูกกักบริเวณ”

“หืม  ใครกักบริเวณตะวัน”

“ท่านกาลเวลา…..”  แล้วผมก็เล่าให้วิณณ์ฟัง แบบกระทัดรัด ข้ามตอนที่ถูกดุเรื่องเผลอใจกับความในใจของผมไป ผมไม่กล้าบอกหรอก กลัวเขาเกลียดเข้า มาขอให้ช่วยแล้วยังมาคิดอกุศลกับเขาอีก เก็บไว้ในใจผมนี่ละดีแล้ว

“ควรจะสมน้ำหน้าดีไหมเนี่ย เพราะตะวันห่วงแต่เล่นอย่างที่ท่านกาลเวลาบอกนี่ละ ภารกิจเลยไม่เดินหน้าต่อซักที” พูดเสร็จคนตัวสูงเอื้อมมือทำท่าจะขยี้หัวผม แต่


วืดดดดดดดดด 


เอ๋ ปกติวิณณ์จะสัมผัสผมได้ แต่ทำไมตอนนี้มันไม่ได้ละ ผมกับวิณณ์มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ








[วิณณ์]


ตะวันกลับมาแล้ว แต่ผมแปลกใจที่วันนี้ผมไม่สามารถจับต้องตะวันได้ ซึ่งปกติไม่เป็นแบบนี้ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ซหาข้อมูลจากอากู๋ ทั้งที่ก็ยังไม่แน่ใจจะเจอไหมแต่ก็ต้องลอง

คิดไปคิดมาผมจะเสิร์ซว่าจะอะไรดีละ ลองอันนี้แล้วกัน  ‘วิญญาณออกจากร่าง’ โอ้วว ขึ้นมาเพียบเลยแหะ แต่ก็ยังไม่เจออันที่ตรง เอาใหม่ ‘ทำไมถึงจับต้องวิญญาณไม่ได้’ อันนี้ก็ไม่เข้าเค้าซักอัน

อะ นี่ มันต้องอันนี้  จิต กับ วิญญาณต่างกันอย่างไร

การถอดจิต กับ การถอดวิญญาณ มีสภาวะที่แตกต่างกันดังนี้
การถอดจิต ไปยังที่ต่างๆ ร่างกายระบบเผาผลาญจะทำงานเป็นปกติ

ส่วนการถอดวิญญาณ หรีอ สภาวะที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง ร่างกายจะหยุดการทำงานทั้งหมด สภาวะนั้นคนทั่วไปเรียกว่า ตาย

โดยทั่วไป ความหมายของจิตและวิญญาณคืออันเดียวกัน แต่ทางธรรมะ วิญญาณคือจิตที่ออกมาทำหน้าที่รับรู้ความรู้สึกทางกายและใจ


อ่านเสร็จ งง หนักกว่าเดิมอีก  ถ้าตะวันเป็นวิญญาณ แล้ววิญญาณออกจากร่าง ตามหมายความนี้ ร่างของตะวันควรจะหยุดการทำงานได้แล้ว แต่นี่ร่างกายตะวันก็ยังคงทำงานเป็นปกติ แล้ววิญญาณก็ยังออกมาลั้นลานอกร่างได้ โดยไม่เป็นอะไร

มันเหมือน ตะวัน อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์เหล่านี้เลยแหะ

ผมเลื่อนมือถืออ่านข้อความไปเรื่อยๆ  เออ ความเห็นนี้ค่อยเข้าใจง่ายหน่อย

   วิญญาณ เป็น รูป
   จิต เป็น นาม

   วิญญาณไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ก็ต้องการการเติมพลังเหมือนกัน เพราะถ้าวิญญาณไม่มีกายหยาบแล้ว ก็เหมือน
   ไม่มีแหล่งพลังงาน ทางพุทธศาสนาเราจึงนิยมทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อได้
   รับผลบุญ วิญญาณก็เหมือนถูกเติมพลังงาน


เข้าท่าแฮะ ผมว่าจะลองวิธีนี้ดู ไม่รู้จะได้ผลไหม แต่ทำไปก็ไม่เสียหายนิ
หลังจากเมื่อคืนหาข้อมูลมาเป็นที่เรียบร้อย เช้านี้ผมจึงชวนตะวันไปใส่บาตร ตะวันเองก็ไม่ได้พูดอะไรเขาคงคิดว่าผมไปใส่บาตรตามปกติ แต่จริงๆ ก็ใส่ให้เขานะแหละ

“ผู้กอง มาใส่บาตรเหรอคะ”

“ครับป้า ผมขอชุดหนึ่งนะครับ”

“จ้า อีกสักพักหลวงพ่อก็น่าจะมาแล้วละ ผู้กองรอก่อนนะคะ”

“ขอบคุณครับ”  ผมหยิบถาดที่มีทั้งอาหารคาวหวานดอกไม้ และเดินไปนังรอที่เก้าอี้ที่ว่าง ตะวันก็เดินมาหยุดและนั่งรอข้างผม

“นี่ วิณณ์ เรื่องคดีเป็นยังไงบ้างแล้วเหรอ”

“ก็พยายามสืบอยู่แหละ จ่าเติมเองก็เร่งให้สายหาข้อมูลของพวก ไอ้เอ็ม ไอ้โจ๊ก ไอ้ซีน”

“เอ็ม โจ๊ก ซีน??  ใครกันอะวิณณ์”  เออ ผมก็ลืมไป ตะวันไม่รู้ว่าผมมีผู้ต้องสงสัย พร้อมชื่อของพวกมันทั้ง 3คนอยู่ในมือแล้ว

“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ใส่บาตรก่อน” ผมเดินไปรอต่อใส่บาตรเพราะข้างหน้ามีคุณยายกับหลานกำลังใส่อยู่ รอหลวงพ่อสวดบทกรวดน้ำและให้พรเสร็จ ผมจึงเดินเอาน้ำไปเทที่โคนต้นไม้และเดินกลับมาคืนถาดที่ร้านป้า โดยตะวันยืนรออยู่ห่างๆ

ผมหันไปมองตะวันและพยักหน้าเรียกให้รู้ว่าจะกลับขึ้นห้อง เพราะเช้านี้ผมมีประชุมเรื่องคดีคุณแอน ผมเดินนำไปไม่กี่ก้าว ก็ต้องหันกลับไปเพราะเสียงที่เรียก

“วิณณ์”  ผมขมวดคิ้วมองตะวัน เจ้าตัวไม่พูดอะไรแต่เอาแต่มองดูตัวเองที่เหมือนสว่างขึ้น

“วิณณ์ดูซิ ตัวตะวันมีแสงด้วย ดูซิๆ”  ตัวตะวันเหมือนเรืองแสงขึ้นมา ไม่ได้มีสีอะไร แค่เหมือนสว่างขึ้น ชัดขึ้น ผมลองเอื้อมมือออกไปจับที่ หน้าตะวัน  เฮ้ย…จับได้แล้ว

“จริงด้วย จับได้แล้ว ท่าทางจะได้ผลจริงด้วยแฮะ”

“ได้ผลอะไรเหรอ?”

“ไว้เดี๋ยวค่อยเล่าได้ไหมอะ ตอนนี้ต้องรีบก่อน เพราะวิณณ์มีประชุมเช้า” ร่างบางพยักหน้าเข้าใจ ผมก็ผินตัวเองเตรียมจะเดินแต่ก็ต้อง


กึกกก 


“ตะวันมีอะไร ดึงทำไม”

“เราว่า คงยังไม่ได้ไปตอนนี้แน่ๆ เลย”

“หืม?”

“งานด่วน งานร้อน งานแทรก ตอนนี้เลย”

“…………..”   เอาจริงดิ ตอนนี้อะนะ





สุดท้ายผมก็ต้องโทรไปเลื่อนประชุมเป็น 10โมงแทน ตอนนี้ก็พาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ใกล้กับที่จอดรถตรงนั้นจะมีมุมเงียบไม่ค่อยมีใครเดินมา สะดวกต่อการพูดคุยโดยไม่เป็นเป้าสายตา

“เอ่อ ลุงครับ ลุงมีอะไรอยากจะพูดกับพวกเราหรือเปล่าครับ……………..ครับ”  ผมไม่ได้ยินสิ่งที่เขาคุยกัน เห็นแต่ตะวันรับฟัง มีตอบรับเออ ออบ้างบางครั้ง จนตะวันหันกลับมารียกผมนั่นแหละ ผมถึงได้รู้ว่า ธุระนั้นเขาคุยกันจบแล้ว

“คุยจบแล้ว?”

“ใช่”

“แล้ว….”

“รีบไปประชุมไม่ใช่เหรอ ไปก่อน เดี๋ยวไปเล่าให้ฟังบนรถ” เอาเว้ย เดี๋ยวนี้ลีลาเยอะขึ้นนะเราอะ ใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นาน จนพาตอนนี้พวกเราขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว

“จะบอกได้หรือยังครับ ไอ้ตัวยุ่งเดี๋ยวนี้ลีลานะ”

“ลีลาไรเล่า ก็กำลังจะเล่านี่ละ คือว่า พี่ชายคนนั้นอะเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปสองวันก่อน วันนั้นเขาขี่มอเตอร์ไซต์เพื่อไปรับเมียจากโรงงาน ขากลับมีรถยนต์ขับออกมาจากซอยอย่างเร็ว แล้วพี่เขาเบรคไม่ทันทำให้ชนอย่างแรงพี่เขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพราะหัวกระแทกอย่างแรงกับขอบถนน ส่วนเมียกระเด็นออกจากรถตกลงไปที่พงหญ้า ทำให้รอดมาได้แต่ก็ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่ รพ”

“วิณณ์ก็ยังไม่เห็นว่าพี่เขาน่าจะมีอะไรให้ช่วยเลยนะ”

“ประด็นคือพี่เขาไม่ได้ติดใจอะไรกับคู่กรณีเพราะคู่กรณีรับผิดชอบทุกอย่าง ส่วนเมียพี่เขาถึงจะยังเจ็บอยู่แต่ก็ปลอดภัยแล้ว”

“แล้ว……”

“แต่สิ่งที่พี่เขาขอร้องอยากให้ช่วยคือ ให้ช่วยตามหา”

“ตามหาอะไร คนเหรอ หรือว่าของ”

“ของหายระหว่างเกิดอุบัติเหตุ หรือ ว่าพี่เขามีอะไรติดค้างถึงให้ตามหาคน”

“เปล่า”

“อ้าว??”

“ตามหา…..”
.
.
.
.
“หมา”




“หะ!!  หมา หมา 4 ขาอะนะ”



“ใช่ หมาตัวนี้ลุงกับป้าแกเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเด็ก เลี้ยงเหมือนลูกตัวเอง แล้ตอนนี้มันก็แก่แล้วด้วย แกเป็นห่วงว่ามันจะนอนไหน กินอะไร แล้วอีกอย่างถ้าป้าแกฟื้นมาแล้วรู้ว่า สามีก็ตาย หมาที่เลี้ยงมาเหมือนลูกมาหายไปอีก ป้าแกต้องเสียใจมากแน่ๆ”

ไอ้ผมนะในไม่มีปัญหาหรอก หน้าที่ตำรวจต้องบริการประชาชนอยู่แล้ว แต่ไอ้ที่หนักใจเนี่ยคือ ประสบการณ์ตามหาหมาเนี่ย ศูนนนนนนนนย์


เอาวะ มันคงไม่ต่างจากการตามหาคนเท่าไหร่  มั้ง….




เมื่อมีงานมารอ ผมจึงต้องรีบมาที่ สน. เพื่อสะสางงานกับจ่าเติมก่อน ก่อนที่จะไปสะสางงานไหว้วานของผีๆ

“จ่า งั้นผมฝากจ่าตามเรื่องของไอ้ 3 คนด้วยนะ ไอ้เอ็มน่าจะตามลำบากเพราะมันต้องระวังตัวอย่างมากช่วงนี้ คงต้องมาตามไอ้โจ๊กกับไอ้ซีน ผมคิดว่าหัวหน้ามันคงจะให้มันออกหน้าแทนช่วงนี้”

“ได้ครับผู้กอง แล้วนี่ผู้กองจะไปไหนครับ”

“เอ่อ ผมมีธุระนิดหน่อยนะ มีอะไรโทรแจ้งผมแล้วกันนะ”

“ครับผม”



ผมขับรถมาที่ รพ เพื่อมาดูอาการป้าแกก่อน มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไงไม่รู้ รพ ที่ป้าแกอยู่ก็ กับหมอเจ้าของไข้ ก็ไอ้ชายเพื่อนผมอีกนั่นแหละครับ ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ นี่แหละข้อดีของตำรวจ เมื่อผมรู้ว่าหมอเข้าของไข้คือใคร ก็ขอใช้เส้นสายนิดหน่อยเพื่อให้ได้เข้าไปคุยกับป้า แต่ไอ้หมอเองมันก็ไม่รับปากว่าจะได้คุยไหม เพราะป้าแกยังไม่ฟื้นดี 100% ยังมีอาการเบลออยู่


“ผู้กอง ไอ้ผู้กอง”

“เออ ไอ้หมอขอบใจวะที่ช่วย”

“ก็ถ้ามันไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ผู้ป่วยอะไร ก็ช่วยได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่มึงมีไรอยากคุยกับคนไข้เหรอวะ”

“เอาไว้เดี๋ยวกูเล่าให้ฟังทีหลังนะ”

“เออ ตามสะดวกเลยมึง กูให้มึงเยี่ยมได้ 20นาทีนะ กูไปก่อนละ”

“ขอบใจมึงมาก”

“เออๆ”  มันเดินมาส่งผมที่หน้าห้องคนไข้พักฟื้นเพื่อรอดูอาการ ก่อนจะผละออกไป พวกเราเดินเข้าห้องไปซึ่งโชคดีที่คุณป้าแกตื่นอยู่และเหมือนกำลังนั่งรออะไรสักอย่าง เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้จนเจ้าตัวรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องจึงหันมายังทางที่ผมอยู่


“สวัสดีคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“สวัสดีครับคุณป้า ผมผู้กองวิณณ์”

“คะ ผู้กองมีอะไรกับป้าหรือคะ”  ผมคงพูดไม่ได้ว่าสามีป้ามาขอร้องให้ผมทำอะไร ผมจึงพูดอ้อมๆ ให้ดูเหมือนตำรวจสอบถามเรื่องคดี

“ป้าครับ ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่า ป้ากับลุงมีลูกหรือญาติไหมครับ”

“ไม่มีหรอกจ้ะ ป้าอยู่กับลุงสองคน กับหมาอีกหนึ่งตัว”

“หมาเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ มันชื่อ มันนี่ เป็นหมาพุดเดิ้ลสีขาว ป้ากับลุงเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กจนตอนนี้ก็ 12 ปีแล้วนะ เลี้ยงกันมารักเหมือนลูก วันที่ลุงไปรับป้าเจ้ามันนี่มันก็มารับป้าด้วยนะ…..”

แล้วอยู่ๆ ป้าแกก็เงียบไป ผมคิดว่าป้าน่าจะนึกได้แล้วว่า วันนั้นนอกจากป้ากับลุงแล้ว ยังมีหมาอีกตัวที่ไปด้วย

“ผู้กอง  ผู้กองคะ มันนี่ หมาป้า มันปลอดภัยไหม”

“เอ่อ  ตอนนี้ยังไม่มีพบหรือเห็นเจ้าหมาเลยครับ”

“ฮะ..ฮึก  ผู้กองช่วยป้าหน่อยได้ไหมคะ ช่วยตามหามันนี่ให้ป้าหน่อย ถ้าไม่มีมันป้าจะทำยังไง ลุงแกก็รักมันมาก ถ้ารู้ว่ามันหายไปแกต้องเสียใจมาก ฮึกก”

“ป้าครับ อย่าร้องเลยนะครับ ผมคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยเพราะไม่มีรายงานพบหมาในที่เกิดเหตุ มันอาจจะตกใจแล้วเตลิดหนีไป ผมจะตามมันกลับมาให้ได้นะครับ แต่ก่อนอื่น ผมอยากรู้ข้อมูลของ มันนี่ อีกซักหน่อยครับ”


ผมกลับออกมาพร้อมข้อมูลที่คุณป้าให้ไว้

มันนี่ หมาพุดเดิ้ลสีขาว เพศผู้ อายุ 12 ปี ใส่ปลอกคอสีฟ้า จุดเด่นไม่มีอะไรเลย แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน มันนี่ ผ่าตัดสะโพกขาเพราะปัญหาของสภาวะหมาอายุเยอะ  งานนี้ผมต้องพึ่งอากู๋อีกแล้ว

“ตะวัน ในนั้นเขาว่าไงบ้าง” ผมอ่านบทความที่เจอให้ตะวันฟัง


   ‘ตามปกติ หมาหรือแมวจะมีประสาทสัมผัสในการกลับบ้านอยู่แล้ว แต่อาจจะมีบางเหตุการณ์ที่ทำให้หมาแมว
   เหล่านั้น กลับบ้านไม่ถูก
   การตกใจจากเสียงดัง พลุ หรือ ประทัด      ‘กรณีของ มันนี่ ก็น่าจะตกใจจากเหตุการณ์รถชน’
   การตามหาควรจะเริ่มจากจุดที่สุนัขหายและสอบถามจากคนที่อยู่ใกล้บริเวณแถวนั้น พร้อมทั้งบอกลักษณะและ
   ข้อมูลของสุนัขเพื่อให้คนที่พบเจอสามารถจดจำได้ ออกตามหาในระยะ 3-5 กิโลเมตรจากจุดที่หายเป็นรัศมีวงกลม’




“ในนี้บอกว่าควรจะหาทันทีที่หาย แต่นี่ผ่านมาสองวันแล้ว ป่านนี้จะไปไกลแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

“นั่นซิ เอาไงดี”

“ยังไงก็ต้องลองดู เอางี้เริ่มจากจุดที่เกิดอุบัติเหตุย้อนกลับไปที่บ้านของลุงกับป้า เผื่อเจ้ามันนี่มันจะกลับบ้านได้ถูก”

ดังนั้นทั้งผมและตะวันจึงต้องช่วยกันมองทั้งด้านซ้ายและขวาของถนน ตอนนี้ผมอยู่เลนส์ซ้ายสุดเพราะต้องเหยียบแค่ 40 ผ่านจุดที่ทางแยกหรือทางถนนที่เข้าไปได้ ผมก็จอดและลงไปเดินตามทางเพื่อหาดูว่าเจ้ามันนี่ไปหลบตรงไหนไหม




ปรี๊น ปรี๊น ปรี๊น

ใครวะมันมาบีบแตร รถก็จอดซ้ายสุด ไม่ได้ขวางทางใครแล้วนะ ผมกันไปตามเสียงรถคันนั้น

“พี่วิณณ์   พี่วิณณ์”  เสียงคุ้นๆ และเมื่อมองดีๆ ยายน้องสาวตัวแสบของผมนี่น่า มากับใครละนั่น 

หืม….นายวายุ  ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“ดาริน คุณวายุ มาด้วยกันได้ไงอะ”   

“สวัสดีครับผู้กอง”

“พอดีเขาไปเจอนายวายุที่ห้างอะ เขาก็เลยอาสามาส่ง แล้วตัวอะ กำลังหาอะไรอยู่เหรอ” น้องสาวผมเดินลงมาจากรถพร้อมกับช่วยชะเง้อมองหา

ถามจริง รู้เหรอครับนั่นว่าหาอะไร

“เอ่อ พอดีมีป้าคนหนึ่งเขาให้พี่ช่วยหาหมาเขานะ”

“หมา?”

“อืมใช่ เขาเกิดอุบัติเหตุแล้วหมาน่าจะตกใจเลยเตลิดหนีไป”

“ลักษณะเป็นยังไงเหรอ”

“พุดเดิ้ลสีขาว เพศผู้ แล้วก็….”

“มีปลอกคอด้วยใช่ไหม”

“ใช่!!”

“ปลอกคอสีฟ้าด้วย”

“ใช่  เรารู้ได้ไง”

“ไม่บอก อยากรู้ก็ตามมา”  แล้วผมกับตะวันก็ขับรถตามนายวายุ ว่าแต่แล้วทำไมยายดารินไม่มานั่งกับผมละ ไปด้วยกันก็จบเรื่องละ สงสัยต้องเค้นหาความจริงซะหน่อย 

ทางที่พวกเราขับตามกันมาเป็นอีกทางที่สามารถกลับบ้านได้ แต่โดยปกติผมไม่ใช้เส้นทางนี้เพราะมีการทำถนนและไกลกว่าอีกเส้นทางประมาณ 1-2 กิโล ที่ยายดารินกลับมาทางนี้คงเพราะจากห้างที่มาใกล้สุดแล้ว

“วิณณ์เราจะไปไหนกันเหรอ”

“ไม่แน่ใจ ขับตามไปก่อนแล้วกัน”


ถ้ามาจากทางนี้เราจะเข้าทางด้านหลังของบ้านสวน และถ้าจำไม่ผิดหน้าบ้านที่รถคันหน้าหยุด มันบ้านลุงเพชรนี่หน่า


“ลุงเพชร  ลุงเพชรขา”

“อ้าวว่ายังไงหนูดาริน”
.
.
.
.
.
.
.
“หนูพาคนมาหาเจ้าปุกปุยอะคะ”





-- ตะวันกลับมาแว้วว 
ก็แค่โดนกักบริเวณ
โดนทำโทษเอ้งงง

ฮืออออ  ตะวันเด็กดื้ออออ


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สงสัยเรื่องนี้จะมีผู้ช่วยเพิ่มอีก 2 คน ดี ๆ จะได้จบแต่ละคดีไว ๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ภาระกิจลุล่วงไปได้ด้วยดีกับการตามหาหมา เย้ๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 19 รุ่งหรือยุ่ง


[ดาริน]


“นี่คุณ จะนั่งเงียบโดยไม่คุยกับผมหน่อยเหรอ?” ดารินหันหน้าไปยังคนตั้งถาม ใช่ ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนรถที่มีนายวายุอะไรนั่นเป็นคนขับ เราสองคนเจอกันด้วยความบังเอิญจริงๆ เธอไปหาข้อมูลทำรายงานกับเพื่อนแล้วก็แวะกินข้าวในห้างใกล้ๆ มหา’ลัย แต่จังหวะที่เธอเดินออกมาจากร้านอาหารก็จ้ะเอ๋เข้ากับคนข้างๆ

“อยากจะคุยอะไรละคุณนะ” แต่เอาเข้าจริง ที่เธอยอมมากับนายวายุด้วยก็เพราะอยากจะถามเรื่องพี่ชายของเธอ อย่างที่รู้ พี่วิณณ์กับนายวายุไม่น่าจะมีเรื่องเกี่ยวขเองกันได้ แต่เพราะพี่เธอทำคดีของพี่ตะวัน แล้วนายวายุก็ดันเป็นญาติของพี่ตะวัน แล้วจากที่เธอสังเกตุพฤติกรรมของพี่ชายที่ รพ. วันนั้น ยังไงมันก็เกินจากเรื่องคดีแน่นอน

“ก็ไม่รู้ซิ ผมก็ถามไปงั้นแหละ ไม่อยากให้รถมันเงียบเกิน มันเหงา” ด้วยความที่อยากรู้ มันอัดอั้นตันใจมาก เอาวะ ลองถามดูก็ไม่เสียหายอะไร ว่าแล้วก็ขยับตัวให้กันไปเผชิญหน้ากับคนด้านข้าง

“เฮ้ยๆ คุณจะทำอะไร ถ้าไม่อยากคุยผมก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่อย่าหันมาแบบนี้ผมกลัว”

“จิ๊… บ้าปะเนี่ย จะมากลัวอะไรฉันมิทราบ”

“เอ้า ก็เผื่อคุณรำคาญผม เกิดอยากบีบคอขึ้นมา ผมก็ตายฟรีเป็นผีเฝ้ารถไปอะดิ”

“เพ้อเจ้อ ฉันก็แค่อยอยากรู้ว่า คุณรู้จักกับพี่วายุนานหรือยัง หรือมารู้จักกันตอนทำคดีนี้เท่านั้น”

“หืม!!”  คนถูกถามทำหน้า งง และเหมือนจะลังเลงว่าจะตอบดีไหม  “แค่ตอนทำคดีนะ”

“เหรอ แล้วทำไมดูสนิทกันจัง สรุปแล้วคดีนี้มันยังไงกันแน่ อุบัติเหตุ? จงใจ? แล้วทำไมพี่ชายฉันถึงสนใจ ห่วงใยพี่ตะวันม้ากมากอะ”

“นี่คุณๆ ใจเย็น ถามมาแบบลืมหายใจเลยนะ”

“ก็อยากรู้ รีบตอบมาเถอะนะ อย่าเล่นตัว”

“ผมเพิ่งมารู้จักพี่ชายคุณตอนคดีตะวันนี่แหละ ส่วนเรื่องคดีทั้งผมและน้าดาราไม่ได้ติดใจอะไร ส่วนทางตำรวจผมไม่รู้พวกเราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป ส่วนที่ว่าสนิทกันก็อาจจะเพราะเราสองคนคงคิดเหมือนกัน”

“คิด?....คิดอะไร”

“คิดว่า อยากช่วยตะวัน คุณจะคิดว่ามันเป็นเพราะห่วงใจ สนใจ หรืออะไรยังไงก็ได้สุดท้ายพวกเราก็ทำเพื่อตะวัน ผมทำด้วยเพราะเราเป็นญาติกัน ผมดูแลตะวันตั้งแต่เขาย้ายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ตะวันเขาเป็นเด็กสดใส ร่าเริง แต่ติดจะหัวอ่อนไปบ้าง ผมจึงเหมือนพี่ที่คอยปกป้องเขาตลอดเวลา ผู้กองเขาก็เหมือนผม เขาเป็นห่วงตะวันเหมือนกัน แต่จะมีอะไรพิเศษมากกว่าคดีไหม คงมีแต่พี่คุณเท่านั้นแหละที่บอกได้”

พี่วิณณ์เหรอ?

เฮ้อออ แล้วจะไปหลอกถามความจริงยังไงดีละเนี่ย พี่วิณณ์นะเหรอ เรื่องปากหนัก ปากแข็งละที่หนึ่ง ถ้าไม่ใช่เรื่องที่จะพูด ง้างให้ตายก็ไม่พูด



“คุณ...”


“คุณ...”


“คุณ...”



“โอ๊ยยยย กินโทรโข่งเข้าไปหรือไงคุณ ตะโกนเพื่อ คนกำลังใช้ความคิด”


“นั่นพี่คุณหรือเปล่า” กำลังจะอารมณ์เสียเพราะถูกขัดจังหวะความคิด แต่พอได้ยินเหตุผลตาก็ลุกวาวรีบหันไปตามที่มือชี้

“ใช่......ใช่............จอด..............จอด.....เร็วซิคุณ..................ชิดซ้ายเลย ชิดซ้าย”

“ใจเย็น  คุณใจเย็น  ก่อนจะได้หาพี่คุณ เดี๋ยวพวกเราจะได้ไปนอน รพ. กันก่อน”




นั่นแหละคะ เหตุการณ์ก่อนหน้าที่บังเอิญให้มาเจอและมากับนายวายุ และก่อนจะมาพี่วิณณ์


ตอนนี้พวกเรายืนรอลุงเพชรอยู่ที่หน้าบ้าน เพราะลุงแกแก่แล้ว ขาก็ไม่ค่อยดีต้องค่อยๆ เดิน ลูกหลานแกมีคะ แต่ไปทำงานกัน เสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับมาที




โฮ่ง....โฮ่ง

“โอ๋ๆ นังด่าง จะเห่าทำไมจำไม่ได้เหรอ เดี๋ยวไม่ให้ไก่กินนะ” พอนังด่างได้ยินก็เงียบกริบทันที เพราะถ้าวันไหนที่เดินกลับบ้านมาทางด้านนี้จะมีไก่หรือขนมติดมือมาฝากนังด่างตลอด นังด่างเป็นหมาตัวเมียที่ลุงเพชรแกช่วยมาจากเจ้าของเก่า เจ้าของเก่ามันก็ช่างใจร้าย เลี้ยงปล่อยทิ้งไปวันๆ ได้กินบ้างไม่ได้กินบ้าง พอหิวมากๆ มันก็ไปรื้อถังขยะบ้านคนอื่น แอบไปขโมยของกินที่ชาวบ้านเขาวางไว้ จนเขาไล่ตีไล่เตะมัน ล่าสุดจะให้เทศบาลมาจับไป ลุงเพชรแกสงสารเลยขอรับมาเลี้ยงและรับเป็นเจ้าของแทน จนตอนนี้ไม่เหลือคราบ นังด่าง อิด่าง หรือ ไอ้ด่างแล้ว  ต้องเปลี่ยนเป็น คุณนายด่างแทน  ด้วยความที่ลุงแกรักและเลี้ยงดีมาก อาบน้ำให้อาทิตย์  ขนนี้มันเงาสวยงาม อาหารก็ให้กินแบบไม่มีกั๊ก จนตอนนี้ไม่รู้เป็นหมาหรือเป็นหมู นอนใต้ถุนบ้านพื้นแข็งๆ ไม่ได้นะคะ ต้องนอนบนที่นอนนิ่มๆ เท่านั้น เป็นไงละ ชีวิตสบายไปอี๊ก

เอ่อ กลับเข้าเรื่องดีกว่า ระหว่างรอให้ลุงเพชรแกเดินมาเปิดประตู ก็เหลือบมองพี่ชายตัวเองไปพลาง สองคนนั้นเขาซุบซิบอะไรกันนะ ได้ยินไม่ถนัดเลยแฮะ งั้นต้องเบี่ยงองศาให้เรดาร์หูรับสัญญาณให้ดีขึ้นก่อน


‘ผู้กองมาตามหาหมาเนี่ยนะครับมันเป็นหน้าที่ตำรวจเหรอครับเนี่ย’
‘อะไรที่ช่วยประชาชนก็หน้าที่ตำรวจทั้งนั้นแหละครับ ว่าแต่คุณมากับน้องสาวผมนี่ บังเอิญหรือจงใจครับ’
‘แหม ผู้กองบังเอิญจริงๆ ครับ ส่วนเรื่องมาส่งอันนั้นตั้งใจ อิอิ’


อะไรตั้งใจนะ ได้ยินไม่ถนัดเลยอะ เอียงตัวพร้อมกระเถิบขาเข้าไปใกล้อีกนิด


‘จีบน้องผม?’
‘ก็ว่าจะขออนุญาตพี่ชายเขาอยู่นี่ละครับ แต่อย่าเพิ่งสนใจเรื่องผมตอนนี้เลยครับ ตอนนี้ตะวันเป็นยังไงบ้างครับ’


อะไรขอพี่ชาย ขอพี่ชายเรื่องอะไร โอ้ย พูดกันดังๆ หน่อยไม่ได้หรือไง


‘เป็นยังไง? คืออะไรเหรอครับ’
‘แหม ผู้กองอย่ามาทำไก๋ ก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร’


อ่า นั่นไงๆ พูดมาซะดีๆพี่วิณณ์เรื่องพี่กับพี่ตะวันมันยังไงกันแน่แล้วหลังจากนั้นการสนทนาก็ถูกขัดจังหวะขึ้นอีกครั้ง เพราะลุงเพชรแกเปิดประตูบ้านมาพอดีสรุปการแอบฟังก็ไม่ได้เรื่อง อะไรขอพี่ชาย แล้วอะไรเกี่ยวกับพี่ตะวัน


“หนูดาริน มีอะไรเหรอ อ้าวแล้วนั่นใครมาด้วย” ลุงแกมองไปยังคนด้านหลังพร้อมกับหรี่ตามอง

“พี่วิณณ์ไงคะลุง”

“อ่ออ ผู้กองวิณณ์ ไม่เจอกันนานหล่อขึ้นเยอะเลยนะ แล้วพ่อหนุ่มนั่นละ ไม่เคยเห็นหน้า”

“สวัสดีครับลุง เพื่อนผมเองครับ ชื่อวายุ”

“สวัสดีครับ”

“เอออ ไหว้พระกันเถอะ แล้วมาหาลุงมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ลุงไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายนะ หรือคุณนายด่างมันไปก่อคดีอะไรไว้”

“ฮาาา ไม่ใช่ลุง แหม เล่นมุขด้วยนะ พอดี พวกเราอยากมาหาเจ้าปุกปุยนะคะ”

“มาหาปุกปุย”

“คะ ก็เจ้าหมาที่ลุงเจอและช่วยไว้เมื่อวันก่อนนะคะ”

“งั้น เดี๋ยวลุงไปอุ้มมันมาให้”

“เอ่อ ลุงเพชร ถ้าลุงไม่ว่าอะไร ให้พวกเราเข้าไปหามันได้ไหมคะลุงจะได้ไม่ต้องอุ้มมันมา”

“ทำไม เห็นลุงแก่แบบนี้ ลุงยังเตะปี๊ปไหวนะ”

“ไม่ใช่คร้า ไม่อยากให้ลุงลำบาก”

“อะๆ งั้นเข้าบ้านกันมาก่อน นั่งตรงนั้นได้เลย”เราสามเดินตามลุงเพชรแล้วไปหยุดนั่งกันที่แคร่ไม้ไผ่ตามที่แกบอก ไม่นานแกก็เดินออกมาพร้อมกับอุ้มอะไรบางอย่างขนฟูๆ สีขาวๆ ออกมา







[วิณณ์]


“เอ้านี่ละ เจ้าปุกปุย”  ลุงแกวางน้องหมาลงตรงหน้าพวกเรา “ว่าแต่มีอะไรกับเจ้าปุกปุยหรือ ลุงคิดว่าคงไม่ได้แค่อยากมาดูเท่านั้นหรอกมั้ง”

“คือ...พวกเรากำลังช่วยเจ้าของตามหาหมาที่หายไปนะครับ”

“เหรอ...”  พอได้ยินแบบนั้น ลุงเพชรก็ทำหน้าเศร้าไปเลย   “แล้ว...แล้วมันใช่ตัวเดียวกันไหม”

“บอกตามตรงผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ผมขออนุญาติถ่ายรูปเจ้าปุกปุยไว้ก่อน แล้วเอาไปให้เจ้าของดูได้ไหมครับ”

‘วิณณ์ ลองเรียกชื่อมันดูไหม’ ตะวันบอกวิณณ์ซึ่งเป็นประโยคที่ได้ยินกันเพียงสองคน วิณณ์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูป พร้อมกับลองเรียกชื่อเจ้าหมาตัวนั้นไปด้วย


แชะ แชะ  “มันนี่”


สายตาก็พยายามสังเกตท่าทางของเจ้าตัวนี้ไปด้วย ‘ตัวผู้ สีขาว มีปลอกคอสีฟ้า ตรงตามลักษณะเบื้องต้น แตะดูการเดินแล้วมันก็ปกติดี’


“สรุปเจ้าคือมันนี่ หรือ ปุกปุย นะ หืม”

วิณณ์ถ่ายรูปมาสี่ ห้ารูป ก่อนจะกดเข้าไปที่แอปสีเขียว ‘คงยังไม่ได้กลับไปให้คุณป้าดูตอนนี้ ส่งให้ไอ้คุณหมอชายช่วยเอาไปให้คุณป้าดูก่อนแล้วกัน’ ส่งไปไม่นาน มือถือของผู้กองก็ดังขึ้น


“ไอ้หมอ…....กูฝากมึงเอาให้คุณป้าดูหน่อย…....อืม ใช่ คุณป้าที่ห้องพักฟื้นนะแหละ…….เออเดี๋ยวกูหนมไปฝาก…..แต่….ไม่ได้ฝากมึงนะ ฝากเมียมึงแทนแล้วกัน…....ฮาาา เออ ขอบใจวะ”

“พี่วิณณ์ คุยกับพี่หมอชายเหรอ” ผมพยักหน้าใหน้องสาวตัวเองก่อนจะหันไปคุยกับลุงเพชร

“ลุงครับไปเจอเจ้าปุกปุยที่ไหนเหรอครับ” หลังจากนั้นลุงแกก็เล่าให้ฟังว่าไปเจอมันเดินหลงทางอยู่บนถนนเขตสิบซึ่งมันห่างจากเขตหมู่บ้านนี้เกือบ 3กิโล ตอนนั้นมันกำลังวิ่งเตลิดหลบรถ ลุงแกเลยรีบจอดรถแล้วพยายามตะล่อมให้มันเข้าริมถนน เพราะถ้าเกิดเข้าไปแบบประเจิดประเจ้อมันจะยิ่งตกใจ อาจจะออกนอกถนนไปอีกได้ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่ามันจะยอมไว้ใจลุง และให้ลุงอุ้มพามันกลับมาบ้านด้วย

การจะหาว่ามันหลงมาจากทางไหนก็เป็นเรื่องไปอีก เพราะเส้นทางบนถนนเขตสิบสามารถทะลุออกได้หลายทางมาก งั้นคงต้องรอฟังข่าวจากไอ้ชาย แม้ความเป็นไปได้ที่จะใช่จะน้อยมาก

พวกเราลาลุงเพชร ตอนนี้ก็คงให้แกช่วยดูเจ้ามันนี่ไว้ก่อน

“นี่ตัว ตัวจะเข้าบ้านไปหาแม่ไหม”

“มาถึงนี่แล้วก็ต้องเข้าแหละ คุณวายุแวะไปบ้านผมก่อนแล้วกันนะครับ” ผมบอกน้องสาว ก่อนจะหันไปพูดกับนายวายุ จากบ้านลุงเพชรเดินตามสันเขื่อนข้างคลองไม่นานพวกเราก็มาถึง

“แม่ขาๆๆๆกลับมาแล้วคะ มาดูเร็วใครมากลับหนูด้วยเอ่ยย” หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้าน ผมสีดำที่ยาวประบ่า ถึงแม้ริ้วรอยบนใบหน้าจะบ่งบอกว่ามีอายุไปบ้างแต่เธอก็ยังสวยในสายตาผมเสมอ

“แม่ครับ”

“ตายแล้วตาวิณณ์ มาได้ยังละลูกไปเจอกับน้องยังไง”  แม่ผมทักทายเสียงเจื้อยแจ้วพลางรีบเดินออกมาจากบ้าน จนผมกลัวเธอจะล้มเอา “เอ้า แล้วนั่นใครละจ้ะ เพื่อนวิณณ์เหรอลูก แม่ขอโทษทีนะ ไม่ทันได้ทัก”

“สวัสดีครับ ผมวายุ เอ่อ…...เป็นเพื่อนผู้กองครับ” นายวายุเหลือบมองผมที่พยักหน้าให้ก่อนจะตอบออกไป

“ไหว้พระเถอะลูก มาเข้าบ้านมาก่อนแม่ทำข้าวเย็นเสร็จพอดี มากินก่อนนะ วายุด้วยนะลูก”


แม่พูดพร้อมเดินนำไป โดยมีน้องสาวผมเดินพันแข้งพันขาไป เอ๊ะ…ผมก็สาธยายซะน้องผมเหมือนตัวอะไรซักอย่าง ผมพานายวายุเข้าไปนั่งรอในบ้านก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระตัวเองในห้อง


ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยมีตะวันเดินตามมาด้วย ตั้งแต่เดินออกมาจากบ้านลุงเพชร ผมก็สังเกตว่าเขาเงียบลงผิดปกติ

“ตะวัน เป็นอะไร หืม” ผมถามตะวันที่ตอนนี้เขานั่งลงที่ปลายเตียงผม

“เปล่า”

“เอาความจริง”

“ตะวัน……..ตะวันคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่” ผมยืนนิ่งมองไปที่ตะวัน ณ เวลานี้เขาแค่เหมือนเด็กคนหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งที่ต้องจากบ้านมาไกล ต้องตัดสินใจและทำอะไรต่อมิอะไรตามลำพัง ผมเดินลงไปนั่งข้างตะวัน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ

มันช่างน่าแปลก ยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไม่ว่าจะเรื่องจิต หรือ วิญญาณ ตะวันแหกกฎทุกกฎที่ผมรู้หรือเคยรู้ แต่ก็อีกนั่นแหละสิ่งที่รู้พวกนั้นมันก็แค่มาจากคำบอกเล่า หนังหรือละคร ที่ดูกันมาตั้งแต่เด็กจนโต

“ตะวัน มีเรื่องหนึ่งที่วิณณ์ยังไม่เล่าให้ตะวันฟัง”

“เรื่อง  อะไรเหรอ”

“ตอนที่ตะวันไม่อยู่ วิณณ์ได้เจอกับแม่ตะวัน”

“………”

“แล้วก็…….พ่อ”

“……..”

“พ่อของตะวัน”


“พ่อเหรอ…” หลังจากนั้นผมก็เล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ตะวันฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจอกับแม่ของตะวัน เราพูดคุยอะไรกันบ้าง แล้วก็มาเจอพ่อตะวันที่ รพ เหตุผลของพ่อตะวันที่มา และการย้ายตะวันออกจาก รพ ด้วย

“ย้ายตะวันออกเหรอ ละ…..แล้วตะวันจะอยู่ยังไงอะ ตะวันต้องใช้เครื่องช่วยหายใจไม่ใช่เหรอ ถ….ถ้าตะวันไม่มี ตะวันก็ต้องตายซิ แม่ละ แม่ยอมหรือเปล่า แม่ไม่ยอมใช่ไหม ใช่ไหม”

ผมไม่รู้จะปลอบยังไง ยิ่งเห็นตะวันลำล่ำละลักพูดออกมายืดยาว ผมรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่อยากให้เขาคิดว่าไม่มีใครหรือไม่เหลือใคร เพราะอย่างน้อยก็ยังมีผมอีกคน


หมับ!!!


ผมดึงตะวันเข้ามากอด แปลกแหะที่มันไม่หนาวหรือเย็นยะเยือกอย่างที่รู้ มันให้ความรู้สึกแบบอบอุ่นบางเบาซะมากกว่า



“ฟังวิณณ์ก่อนนะ วิณณ์คุยกับหมอแล้วตะวันสามารถกลับบ้านได้ไม่ต้องห่วง ระบบการทำงานหรือร่างกายตะวันเองก็แข็งแรงปกติเกือบ 100% แล้ว และตอนที่อยู่บ้านตะวันแม่ก็จะมีพยาบาลคอยช่วย ไม่ดีเหรอจะได้อยู่บ้านกับแม่ไง”

“อืม” 

เรานั่งกันอยู่สักพักก่อนจะพากันลงมาข้างล่าง เพราะเสียงตะโกนของยายน้องสาวตัวแสบเรียกให้ลงมากินข้าว ผมเดินลงมาโดยจูงมือตะวันตามมาด้วย ถึงแม้เขาจะขอรอข้างบน แต่ผมไม่อยากให้เขารู้สึกเหงาอีกแล้ว


เขาบอบบางเกินกว่าจะปล่อยไว้คนเดียว


แปลกไหม ที่ผมจะรู้สึกแบบนี้


แต่ที่แน่แปลกกว่า  ที่ตอนนี้ผมกำลังจับมือกับ………..


……..วิญญาณ..........





พวกเรานั่งล้อมวงกันที่โต๊ะญี่ปุ่นหน้าบ้าน เพราะบ้านเรามีกันแค่สามคนโต๊ะกินข้าวจึงมีที่พอแค่สามที่ ส่วนตะวันตอนนี้ก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ใกล้ๆกัน ผมว่ามันก็ดีไปอีกแบบเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แถมตรงนี้ลมก็เย็นดีด้วย อีกอย่างตะวันจะได้ไม่เหงา

“ขับรถกันดีๆนะจ้ะสองหนุ่ม ถ้าว่างก็มากินข้าวกับแม่บ้างนะ ทั้งวิณณ์แล้วก็วายุนะ”

“ครับ สวัสดีครับคุณป้า กับข้าววันนี้อร่อยมากเลยครับ”

“แหงละ คนอะไรกินเข้าไปได้ยังไงข้าว สามจาน กระเพาะคนหรือเปล่า”

“นี่ยายดา พูดกับพี่เขาได้ยังไง”

“อะไรอ่าแม่” แม่ผมพูดพร้อมกับหยิกไปที่แขนทีนึง ทำเอายายดาหน้ามุ่ยไปเลยทีเดียว

“แม่ วิณณ์ไปก่อนนะครับ ต้องกลับไปทำงานต่อ”

“จ้า เฮ้อ..ไม่รู้ว่าลูกแม่จะมีแฟนกับเขาไหมนะ วันๆ ทำแต่งาน ถ้ามีสาวๆ น่ารัก นิสัยดีก็แนะนำวิณณ์บ้างนะ”

“โธ่ แม่ครับ ไม่ต้องห่วงวิณณ์เรื่องนั้นหรอก”

“ไป ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวมืดจะขับรถกันลำบาก”

“บายย ชิ้วๆ”  ยายดาก็ยังแสบและยังหาเรื่องวายุอยู่ แต่สุดท้ายก็ถูกแม่ดึงหูให้กลับเข้าบ้านไป พวกเราเดินย้อนกลับมาทางเดียวกับขามา เพราะรถเราทั้งสองคนจอดที่นั่น แล้วก็เป็นวายุที่เริ่มพูดกับผมก่อน



“ผู้กอง ผมว่าเรามีเรื่องที่ยังไม่เคลียร์กันอยู่นะ”

“??”

“อย่ามาไก๋น่า เราคุยค้างกันอยู่เรื่องตะวันไง” เฮ้อ สงสัยจะหนีไม่พ้น “ตะวันเหรอ ก็  ยืนอยู่ข้างคุณไง”

“เฮ้ยย”  ไหนบอกว่าไม่กลัวแล้วกระโดดหนีทำไม

“ตะวัน ยะ….อยู่ ตะ….ตรง….นี้  กะ….กับเรา นาน…..ละ…แล้วเหรอ”

“อือฮึ”

“ตะ…ตั้งแต่ตอนไหน”

“ตั้งแต่แรก”

“ทำไมไม่บอกผมละผู้กอง”

“นี่คุณตะวันก็น้องคุณไม่ใช่เหรอ คุณจะกลัวทำไมแล้วที่คุณแสดงอาการแบบนี้ไม่คิดว่าตะวันจะเสียใจบ้างเหรอ”

“ผมไม่ได้กลัว  โอ๊ย กลัวก็ได้ แต่มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัตกับคำว่า ผี เอง แต่ผมไม่ได้กลัวตะวันจริงๆนะ”


โอเค ผมจะพยายามเชื่อคุณแล้วกันนะ


“พูดตามตรง ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี”

“จะเริ่มยังไงก็ว่ามาเถอะ ผมมีเวลาฟัง เพราะถ้าพูดตามจริงนอกจากเรื่องวิญญาณตะวันที่อยู่นอกร่างล่องลอยไปมา กับเรื่องที่คุณให้ผมช่วยดูแลร่างของตะวัน ที่เหลือผมไม่รู้อะไรเลย”

“…..…..”

“คุณมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำ ต้องช่วยตะวัน แต่ผมขอนะไอ้ข้ออ้างเพราะคุณเป็นตำรวจนะไม่เอา

“….......”

“เอาละ ว่ามา…...ผมขอความจริงนะผู้กอง!”

“เฮ้อ คุณจะต้องรู้ให้ได้เลยใช่ไหม”

“แม่น”  ผมหันไปมองหน้าตะวัน ซึ่งเจ้าตัวเองก็คงกังวลไม่แพ้กัน แต่มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดแล้วเพราะวายุเองก็เป็นพี่ชายของตะวัน เขาย่อมต้องรักและเป็นห่วงตะวันมากกว่าใคร

“เอางี้ ถ้าผมจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำ เหตุผลมีอยู่ข้อเดียว แล้วไอ้เหตุผลข้อเดียวที่บอกนั่นอะ คือการที่ตะวันจะสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง คุณจะยังเชื่อผมอยู่ไหม จะคิดว่าผมบ้าไปเองหรือเปล่า”

“!!!”

“ว่าไง คุณจะตอบผมว่ายังไงละ”

“ตรงๆ เลยนะ ถ้าเป็นครั้งแรกผมคงพูดได้เต็มปากว่า ผมไม่เชื่อ  แต่…..จากหลายๆ อย่างตอนนี้ผม 50-50 วะ” ผมไม่ได้เอ่ยขัดอะไร เพราะดูแล้วคนตรงหน้าน่าจะมีอะไรพูดต่อ “แต่เพราะเป็นเรื่องของตะวัน และถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อผมก็จะเชื่อโดยไม่สงสัยอะไร แต่ช่วยให้รายละเอียดหรือบอกอะไรที่มันมากกว่านี้หน่อยได้ไหมผู้กอง”


แล้วผมก็ต้องยกยิ้มกับคำตอบที่ได้รับ เป็นไปตามที่คิดจริงๆ ด้วย ถึงปากจะบอกไม่เชื่อแต่เพราะเป็นเรื่องของตะวัน ยังไงวายุก็จะยอมเชื่อ และถ้าจะให้เชื่อก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล


“เอาแบบย่อๆ แล้วกันนะ เพราะถ้าจะให้เล่าตั้งแต่แรกมันคงยาวน่าดู”

“ตามสบายเลยครับ”

“ผมเจอตะวันโดนบังเอิญ”

“บังเอิญ ยัง…...”

“อย่าเพิ่งขัดผมซิครับคุณ”  แล้วนายวายุก็ทำท่ามือรูดซิปปาก เป็นเชิงว่าจะยอมสงบปากสงบคำ “เราเจอกันโดยบังเอิญ ซึ่งตอนแรกผมไม่รู้เลยว่าเขาเป็นวิญญาณ ผมเจอเขาที่ สน แล้วยังสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่ มีเรื่องหรือปัญหากับใคร แต่พอผมเดินเข้าไปทัก เขากลับบอกว่าคนที่เขาตั้งใจมาหาคือ ผมเอง”

“…….”

“เจอกันครั้งแรกเขาก็แสดงตัวเลยว่าเขาเป็นวิญญาณ และที่มาหาผมเพราะอยากให้ผมช่วย”

“ช่วย?”

“ครับช่วย ช่วยให้เขาทำภารกิจให้สำเร็จ”

“ภารกิจอะไรเหรอครับ”  ผมชั่งใจก่อนจะบอกออกไป

“ภารกิจที่เมื่อสำเร็จแล้ว ตะวันจะได้รับพรวิเศษ”

“หืม!! พรวิเศษ”

“ใช่ พรวิเศษ พรที่ขออะไรก็ได้”

“ขออะไรก็ได้เหรอ” ผมพยักหน้า

“ขอเงิน” ผมพยักหน้า

“ขอทอง” ผมพยักหน้า

“ขอแฟน”  ถึงผมจะไม่อยากพยักหน้า แต่ก็ต้องทำ  -__-

“ขอรถ ขอบ้าน ขอ….ขอ…..ขอ…..”

“พอ!! อันนั้นเขาเรียกว่าว่าโลภละ ขอได้ทุกอย่างนั่นแหละ แม้กระทั้ง….”

“….....”



“ขอให้คนที่ตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”




“หะ!!......ขอให้คนตายกลับมามีชีวิต”



ไม่ใช่ผม ไม่ใช่วายุ แต่เป็น…..เสียงมันคุ้นซะจน

“ดาริน”

“แหะๆ”  น้องสาวผมแอบตามมาตอนไหนไม่รู้ ได้ยินตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

“มานี่เลยไอ้ตัวเสบ มาได้ไง แล้วเดินมาคนเดียวแม่รู้ไหม มันอันตรายนะ”

“โอ้ยยย ตัวเขาเจ็บนะ เบาๆ หน่อยซิ” ไอ้ตัวแสบทำหน้ามุ่ยเอามือลูบแขนป่อยๆ “แต่ตัวไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ทำไมตัวไม่เล่าให้เขาฟังละ เขาเป็นน้องนะ แล้วๆ ผีพี่ตะวันอยู่ตรงนี้เหรอ แถวนี้เหรอ ไหนอะ ไหน”

“นี่ๆๆ เงียบเลย จะตะโกนทำไม มันดึกแล้ว”

“หึหึ”

“ขำอะไร ใช่เรื่องเหรอ”  ไอ้ตัวแสบหันไปแวดนายวายุที่แอบขำ เห็นอย่างนี้แล้วผมละสงสารคุณจริงๆ วายุ จะจีบน้องผมอะ คุณคงไม่ได้เป็นช้างเท้าหน้า ต้องเป็นควานช้างเลยละ

“เอาละตัว พูดต่อเลย”

“หืม นี่แอบฟังมานานแล้วซินะ”

“ตามนั้นแหละ ตัวอย่าเพิ่งขัดซิ สรุปว่าตัวต้องช่วยพี่ตะวันทำภารกิจให้สำเร็จ แล้วจะขอพรอะไรก็ได้เหรอ”

“ใช่”

“หูยย โรแมนติกอะ แต่เอ๊ะ พี่ตะวันอะ ร่างกายยังทำงานตอบสนองตามปกติ แล้วทำไมถึงมาเป็นวิญญาณนอกร่างละ กลับเข้าร่างไปเองก็จบไหมอะ เหมือนคนที่ถอดจิตได้ไง เมื่อสงบนิ่งมากๆ สามารถถอดจิตออกจากร่างได้ แล้วก็กลับเข้าร่างเอง”

“รู้ดีจังนะเรา”  ว่าแต่อะไรคือโรแมนติก

“นี่ใคร ไม่อยากจะบอก นี่ดารินญาณทิพย์เลยนะ”  ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยจัดท่าปั่นหัวไปสองรอบ

“โอ๊ย โอ๊ย เจ็บ เจ็บ”

“เฮ้อออ เรานี่นะ ถ้ากลับเข้าเองได้พี่เขาทำไปแล้วละ แต่เพราะพี่เขาต้องชดใช้กรรมจากการฆ่าตัวตาย…”

“หะ/หะ”

ฆ่าตัวตาย!!! คุณบอกตะวันฆ่าตัวตายเหรอ ทำไม…ทำไมคุณไม่เคยบอกผม แล้วทำไมตะวันต้องทำ”

“คุณไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ผมว่าเราสนใจเรื่องที่จะช่วยตะวันดีกว่า แต่ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ผมขอให้เป็นตะวันเป็นคนมาเล่าให้คุณฟังดีกว่านะ”

“แต่......”

“คุณ ไม่ต้องถามแล้ว อย่างที่พี่วิณณ์บอกนะแหละ เรื่องแบบนี้ฟังจากปากพี่ตะวันดีกว่า”

“แล้วจะได้ฟังตอนไหนละ ตะวันยังเป็นวิญญานอยู่เลยนะ”

“อีก 7 ข้อ ต้องทำภารกิจอีก 7 ข้อ”

“………………”

“ภารกิจ 10 ข้อ ภายใน 100วัน ตะวันต้องรับคำขอความช่วยเหลือจากวิญญาณดวงอื่นๆ เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากโลกนี้ได้ และตอนนี้ผมกับตะวันก็ติดต้างคำขอร้องให้ช่วยอยู่อีก 2 ข้อ”

“คุณบอกว่าต้องทำภารกิจอีก 7ข้อ แสดงว่า ทำสำเร็จไปแล้ว 3 และที่บอกว่าค้างอีก 2 ข้อคือ ถ้าสำเร็จก็จะเป็น 5 ข้อถูกไหม”

“ใช่”

“ถ้าอย่างนั้น คุณเลิกกังวลได้เลยผมอยู่นี่แล้ว ช่วยได้สบาย เนอะ” นายวายุพูดพร้อมเนียนไปกอดคอน้องสาวผม แต่ผมไม่ต้องออกโรงหรอก บอกแล้วน้องผมนะมันแสบ

“อย่ามาเนียน” ปึก

“โอ๊ยยย มือหนักเป็นบ้าเลย”

“ลองอีกทีไหมละ”

“ไม่ครับๆ”



เฮ้ออ ไม่รู้มันจะรุ่งหรือจะยุ่งกันแน่



ว่าแต่ ไอ้หมอ ทำไมยังไม่ติดต่อกลับมานะ




-- ไอ้เราก็ลุ้นตาม ไอ้คุณหมอรีบติดต่อกลับมาไวๆ เสะ ว่าใช่มันนี่หรือเปล่า ว่าแต่สองคนนั้นจะช่วยให้รุ่งหรือยุ่งกันแน่เนี่ย --

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จริง ๆ ด้วย เดาไม่ผิดจริง ๆ ได้ผู้ช่วยมาอีก 2 คน  :katai2-1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ลุ้นต่อไปว่างานที่เหลือจะง่ายเหมือนหาเจ้ามันนี่ไหม
เเต่เอาจริงๆ ยังไม่แน่ใจเลยส่าใช่มันนี่รึเปล่า

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 20 ตัวช่วย



หลังจากจัดการตัววุ่นวายทั้งสองไปได้ โดยผมต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง ห้ามพูดถึง ห้ามถามต่อหน้าคนอื่น ส่วนเรื่องที่สองคนนั้นอยากจะช่วย ผมก็เข้าใจนะ แต่ขอพิจารณาอีกทีแล้วกัน

ตอนนี้ที่ผมกังวลใจคือรอฟังข่าวจากไอ้หมอชาย ว่าจะใช่หมาตัวเดียวกันไหม ถามว่าทำไมไม่โทรไปนะเหรอ เพราะผมรู้นิสัยมันนะซิ ผมไม่อยากรบกวนมัน มันคงทำงานอยู่ ถ้ามันไม่ติดอะไรมันคงโทรมาแล้ว เพราะฉะนั้นทางที่ดีผมรอให้มันติดต่อกลับมาดีกว่า

ผมกำลังขับรถกลับคอนโด เปิดเพลงฟังในรถเบาๆ ไม่ให้เงียบเกินไป เพราะคนข้างๆ ผมที่ไม่รู้เป็นอะไร คิดอะไร เงียบตั้งแต่ขึ้นรถมาละ ถามอะไรก็ไม่ยอมบอก

“ตะวัน คิดอะไร เงียบผิดปกติ”

“เฮ้ออออ”

อ้าว ถอนหายใจใส่อีก ผมจึงเอื้อมมือไปโยกหัวคนข้างๆ

“เป็นอะไรถอนหายใจอีกแล้ว”

“เฮ้ออออ”

“เอ้า ไม่พูดแล้ววิณณ์จะรู้ไหมละครับ”

“ตะวันคิดถึงเรื่องตามหามันนี่   
คิดถึงเรื่องพี่วายุกับน้องสาววิณณ์ ว่าเขาสองคนรู้แล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้นไหม
คิดถึงว่าตะวันจะทำเรื่องนี้สำเร็จไหม ตะวันดีใจนะที่วิณณ์ยอมช่วย แต่ระยะเวลาที่จำกัด กับภารกิจที่ไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่ เจอแล้วจะทำได้ไหม คิดแล้วมันก็ท้อ
แล้วก็คิดถึง....เรื่อง....ที่......พ่อของตะวันเข้ามาจัดการเรื่องนี้ ตะวันกลัว ไม่รู้ซิ พ่อตะวันนะเป็นคนมีเหตุผลนะ แต่ก็เผด็จการไม่แพ้กัน”

“แต่สิ่งที่พ่อตะวันทำก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ กลับดีด้วยซ้ำตะวันจะได้อยู่ที่บ้านตัวเอง ห้องตัวเอง อยู่ใกล้แม่ด้วยไง” ผมพูดโดยที่มือก็ยังลูบผมคนข้างตัวไปด้วย ทำไมผมรู้สึกว่ามันนุ่มละมุนจัง แล้วถ้าผมจับแก้มละ จะเป็นยังไง คิดดังนั้นผมจึงค่อยๆ เลื่อนมือลงไปจับที่หน้าของตะวัน ลูบที่แก้ม นุ่ม นุ่มจริงๆด้วย

“วิณณ์พูดเพราะยังไม่รู้นะซิว่าเวลาพ่อไร้เหตุผลนะ น่ากลัวแค่ไหน”

“แล้วตะวันกลัวเรื่องอะไร”

“กลัวว่า....พ่อจะหาเรื่องแยกตะวันไปจากแม่”

“ทำไมคิดอย่างนั้นละ?”

“พ่อนะอยากให้ตะวันอยู่กับพ่อแต่แรกแล้ว ตอนพ่อกับแม่แยกทางกันตอนนั้นตะวันแค่ 10ขวบแต่รู้เรื่องหมดทุกอย่าง พ่อต้องยอมให้ตะวันอยู่กับแม่เพราะตอนนั้นตะวันเอาแต่งอแง ร้องไห้ทุกวัน อีกอย่างเพราะพ่อเองก็มีลูกอีกคน ที่น่ารักสมเป็นลูกพ่อทุกอย่างพ่อจึงยุ่งเกินกว่าจะมาสนใจตะวัน”

สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดตอนนี้คงมีเพียง อยู่ข้างๆ ซินะ ผมเลื่อนมือลงมากุมมือตะวันพร้อมกับบีบเบาเพื่ออยากจะให้เขารู้ว่า


‘ไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมก็จะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ’



“ขอบคุณนะวิณณ์” เจ้าตัวเอ่ยออกมาเบาเหมือนเสียงกระซิบแต่ผมสามารถได้ยินชัดเจน



Rrrrrrr   เสียงโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามาและเมื่อมองชื่อคนโทรเข้าผมก็กดรับทันที

“ว่าไงไอ้หมอ”
[แหม ไม่คิดจะทักทาย Say Hello ซักคำก่อนเลยเหรอวะ]

“ครับ สวัสดีครับคุณหมอครับ เรื่องที่ผมฝากคุณหมอไปนะครับ ได้เรื่องยังไงบ้างครับ”
[เออ มันต้องอย่างนี้ดิวะ]

ผมละหน่ายกับความชอบเล่นใหญ่ของมันซะจริง ไม่ว่าจะครอบครัวมัน เพื่อนฝูง แม้แต่เมียมันมันก็ไม่เคยละเว้น

[กูเอาไปให้ป้าแกดูแล้ว....แกบอกว่า....]
“ว่า.....ว่าไงละวะ”

[ว่า    ‘อะ ฟิล์ม อย่าแกล้ง’
เออว่าไงวะ อ่อ ป้าแกบอกว่า.......ไม่ใช่วะ]
“จริงเหรอวะ” นี่เท่ากับต้องเริ่มใหม่เหรอเนี่ย “ขอบใจมึงมากนะไอ้หมอ”

[เออ ถ้ามีอะไรให้กูช่วยก็บอกกูได้นะ]
“อืม”

[ว่าแต่ อย่าลืมสัญญาละ]
“เออ กูไม่ลืมหรอกน่า”

[เออ กูต้องวางละ อีนังเมียมันยั่วขอเวลาไปปราบพยศมันก่อน]


ผมวางสายจากไอ้หมอแล้ว ผมต้องวางแผนใหม่ตามหาคนว่ายากแล้ว นี่ตามหาหมายากยิ่งกว่า เพราะไม่รู้ใจมันเลยว่าจะทางไหน

“วิณณ์” ผมหันไปมองคนที่ส่งเสียงเรียก เราสบตากันแล้วผมก็ส่ายหน้าโดยที่ไม่ต้องฟังคำถาม

“เหรอ เราต้องเริ่มกันใหม่ซินะ”

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิ ไม่สำเร็จเราก็แค่เริ่มใหม่ แค่ต้องพยายามมากกว่าเดิม อย่าท้อซิรู้ไหม”

“อืม”

สงสัยงานนี้คงต้องใช้งานผู้ช่วยแล้วละ



Wynn : ตัวแสบช่วยอะไรพี่ซักอย่างซิ

Darinn : อะไรคะคุณพี่ชาย

Wynn : ไอ้หมอมันโทรมาบอกพี่ละ ว่าปุกปุยเป็นคนละตัวกับตัวที่พี่ตามหา

Darinn : อ้าวจริงดิ ว้าาา
ว่าแต่ตัวจะให้ช่วยเรื่องอะไรอะ

Wynn : ตามหาหมา



หลังจากที่เมื่อวานนัดแนะกับยายดารินเรียบร้อย ตอนเช้าผมจึงแวะไปหาคุณป้าที่ รพ. เพื่อไปขอข้อมูลหรือรูปถ่าย หลักฐานอะไรก็ได้เพิ่มเติมในการตามหา ซึ่งคุณป้าก็ให้รูปถ่ายใบเล็กที่พกติดกระเป๋าไว้กับผม รูปถ่ายที่มีคุณลุง คุณป้า และเจ้ามันนี่ ทั้งคู่ยิ้มให้กล้อง และก็แปลกที่เจ้ามันนี่ก็เหมือนรู้งานเพราะมันก็หันหน้ายิ้มให้กล้องเหมือนกัน ดูท่ารูปใบนี้จะสำคัญกับป้ามากผมคงต้องรักษามันยิ่งชีพ ต้องพาเจ้ามันนี่กลับมาหาป้าให้ได้

เสร็จจาก รพ. ตอนนี้ผมจึงมารอน้องสาวกับนายวายุ ณ จุดที่เราเจอกันเมื่อวาน ว่าแต่ทำไมน้องผมต้องมากับนายวายุด้วยเนี่ย

ทำไมผมต้องให้ยายดารินมาช่วยนะเหรอครับ เห็นอย่างนี้น้องผมเป็นอาสาสมัครนะครับ อาสาสมัครเพื่อเพื่อนสี่ขา เป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือสัตว์ แต่หลักๆก็เป็นหมาแมวนะแหละครับ เพราะฉะนั้นให้น้องผมมาช่วยนี่ละดีแล้ว น่าจะมีทักษะในการตามหาแน่นอน เมื่อมากันพร้อมทุกคนแล้ว พวกเราตกลงกันว่าจะแยกกันตามหาโดยเริ่มจากจุดที่หายและจากถนนเส้นนี้สามารถแยกไป เขต4 เขต8 เขต9 และเขต10ได้ เมื่อวานเราไปเขต10แล้ว ผมจึงจะไปเขต4แทน และให้ดารินกับนายวายุไปเขต8 ถ้าไม่เจออะไรเราจะกลับมาเจอกันที่จุดเดิมในอีก 2ชม และไปที่เขต9 พร้อมกัน

จากจุดนั้นผมขับมาได้เกือบ 5กิโลเมตร ผมเอารูปถ่ายที่มีถามจากชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นหรือเจอหมาหลงมาเลย ส่วนน้องผมใช้มือถือถ่ายรูปไปแทน

“ริน เป็นยังไงบ้าง” ผมกดโทรศัพท์หาน้องและเอ่ยถามมันทีที่ฝั่งนั้นกดรับ
[ไม่มีเลยอะพี่วิณณ์ ตัวไปจากจุดเดิมไกลแค่ไหนเหรอ]

“ประมาณ 5กิโลกว่าๆอะ”
[อืม พอๆกับเขาเลย เขาว่าเรากลับมาเจอกันที่จุดนัดเถอะ]

“โอเค” ผมตอบรับและวนรถกลับไปที่จุดนัด


“น้องหมาแก่ขนาดนั้น ขาก็ไม่ค่อยดีจะไปได้ไกลแค่ไหนเหรอวิณณ์” ผมหันไปหาคนข้างตัวที่ถามขึ้นมา

“ไม่รู้  ไม่รู้เลย”  ผมว่า ผมกับตะวันเราน่าจะกังวลพอๆกัน ‘ยากกว่าแก้คดีให้คนอีก’

ผมมาถึงโดยที่อีกฝ่ายมาถึงก่อนแล้ว

“เป็นยังไงบ้างพี่วิณณ์” ผมส่ายหน้า

“เหมือนกันเลย ไม่มีใครเจอหรือเห็นว่ามีหมาต่างถิ่นหลงมา”

“แต่ผมว่าเรายังใจชื้นได้หน่อยนึงนะ”

“ยังไง?”

“ก็การที่เรายังไม่เจอ และชาวบ้านไม่มีใครเห็นหรือเจอ นั่นก็หมายความว่า มันนี่ ยังไม่ตาย”

“จริงของนาย นายนี่ก็มีความคิดดีกับเขาเหมือนกัน”

“ไม่ได้ดีแค่ความคิดนะครับ นิสัยดีแถมยังเป็นคนดีมากๆด้วย”

“อะแฮ่ม” ผมทำเสียงไอดักทางคนที่แสดงว่าจีบน้องผมอย่างโจ่งแจ้ง

“แหวะ น้ำเน่า” ถึงน้องผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่รู้ตัวไหมหน้ากำลังแดงอยู่ไอ้แสบเอ๊ยยย




“คริคริ”

“หัวเราะอะไร” ผมหันไปพูดเบาๆกับคนข้างๆ

“เปล๊า” ตอบซะเสียงสูงผมควรจะเชื่อดีไหมเนี่ย

“ไปกันเถอะ” ผมหันไปพูดตัดบทกับอีกสองคน เพราะถ้าปล่อยไปคงเถียงกันจนลืมว่าวันนี้เรามาทำอะไรกัน

เราตกลงขับตามกันไปคนละคัน เพราะถ้าจากจุดนี้ยังไม่พบอีก ผมคิดว่าจะวนตามหาทั้ง4เส้นทางใหม่ ส่วนดารินผมคงต้องให้นายวายุไปส่งก่อนจะมืดค่ำกว่านี้

ตลอดเส้นทางเราถามชาวบ้านมาเรื่อยๆ ก็ยังไม่ได้อะไรคืบหน้า ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยพลุกพล่านเท่ากับเส้นอื่น บ้านคนก็ทิ้งช่วงกันแต่ไม่ไกลมาก ขับมาได้ซักประมาณ 4กิโล ผมมองเห็นร้านขายของชำอยู่ใกล้ๆ จึงตัดสินใจชิดซ้ายกะว่าจะถามเรื่องหมาด้วย หาน้ำกินด้วย

“ป้าจ๋า ขอน้ำเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็งเย็นๆ ... พี่วิณณ์เอาอะไร นายละเอาอะไร”

“นี่จ้ะเป๊ปซี่เย็นของแม่หนู ส่วนชากลิ่นข้าวของพ่อหนุ่มคนนี้ (ป้าแกชี้ไปที่นายวายุ) และของพ่อหนุ่มนี้คนนี้ น้ำเปล่า”

“นี่ครับเงิน”

“ขอบใจจ้ะ ว่าแต่พวกคุณ ไม่ใช่คนแถวนี้นี่ จะไปไหนกันละ”

“เอ่อ พอดีผมมาตามหาหมานะครับ”

“หมา?”

“ครับ พอดีป้าผมประสบอุบัติเหตุ และหมาของป้าผมหลุดหายไปนะครับ” คำตอบของวิณณ์ที่ตอบออกไป ทำให้สองคนที่กำลังฟังหันมามองตาเดียวกัน


‘นี่ตัว เรามีป้าด้วยเหรอ’
‘ก็จะให้บอกว่าอะไรละ บอกไปแบบนี้แหละจะได้ไม่ต้องมีคำถามเยอะ’
‘อ่อออ’



“ป้าพอจะเห็นไหมครับ”

“อืม ป้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนะพ่อหนุ่ม แต่เดี๋ยวจะถามหลานสาวให้”

“บุ้ง....ผักบุ้งเอ้ย”

“จ๋า ยายยยย”

“มาหายายหน่อยลูก”

“มีอะไรจ้ะยาย” เด็กผู้หญิงอายุประมาณ 13-14ปี วิ่งเข้ามาหายาย “นี่ใครอะจ้ะ”

“พวกพี่ๆเขามาตามหาหมา หมาพี่เขาหาย เราเห็นบ้างไหม”

“หมาเหรอ” แล้วเด็กผู้หญิงก็ทำท่านึก

“เอ้า เห็นไหม ทำท่านึกนานเลย”

“ใจเย็นซิจ้ะยาย บุ้งกำลังใช้ความคิด ว่าแต่หมาของพวกพี่สีอะไรเหรอคะ”

ประโยคหลังน้องบุ้งหันมาถามพวกผม

“สีขาวจ้ะน้องบุ้ง เคยเห็นไหมคะ”

“ถ้าแถวนี้อะบุ้งไม่เคยเห็นหรอกนะจ้ะ แต่เมื่อสองวันก่อนตอนบุ้งกลับจากโรงเรียนเห็นมีคนมุงแล้วก็มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งอุ้มน้องหมาสีขาวขึ้นรถไป บุ้งไม่รู้ว่าจะเป็นตัวเดียวหรือเปล่านะจ้ะ”

“โรงเรียนน้องบุ้งไปทางไหนเหรอ”

“โรงเรียน xxx ใกล้กับตลาดสด xxx อะจ้ะ”

“ผมรู้จักโรงเรียนนี้นะผู้กองผมพาไปได้”

“ขอบคุณนะครับป้า ขอบคุณบุ้งด้วยนะครับ”

“จ้ะๆ ไปกันเถอะ ขอให้หาเจอนะ”




พวกเราลาป้ากับน้องบุ้ง คราวนี้ผมให้นายวายุนำ เพราะเจ้าตัวออกตัวว่ารู้จักโรงเรียนแห่งนี้ จากบ้านน้องบุ้งมาไม่ถึงสองกิโลเราก็เห็นป้ายโรงเรียน xxx พวกเราขับรถเข้าไปจอดในตลาดที่ติดกับโรงเรียน มองซ้ายมองขวาผมก็เห็นเป้าหมาย

ผมเล็งไว้แล้วว่า คราวนี้ถ้าจะถามให้รู้เรื่อง ต้องหาคนที่รู้รายละเอียดในพื้นที่ดีนี้ และก็ต้องเป็นคนนั้นแน่นอน

“ตะวันไป” ผมเรียกตะวันให้เดินตามและเดินนำสองคนนั้นไป

“ลุง....ลุงครับ” ผู้ชายวัยกลางคนในชุดเครื่อง รปภ แบบหันมา

“มีอะไรไอ้หนุ่ม”

“ผมอยากถามลุงหน่อยครับ เมื่อสองวันก่อนลุงเห็นหมาสีขาวหลงมาแถวนี้ไหมครับ”

“เออ เห็นซิ หลงมาจากไหนไม่รู้ วิ่งตื่นๆมา โชคร้ายดันวิ่งไปเจอ ไอ้ขาวในตลาดเข้า มันเลยยิ่งตกใจวิ่งไปนอกถนนโน่น”

“ว้าย จริงเหรอคะลุง แล้วมันเป็นยังไงบ้างคะ”

“โชคดีรถคันที่ขับมาไม่ไว แล้วก็เบรคทัน มันเลยโดนเฉียดๆ”

“แล้วหมาตัวนั้นไปไหนแล้วครับ”

“ก็โชคดีของมันอีกนั่นแหละ เพราะผู้ชายคนที่ขับรถมานะเขาเป็นเจ้าของคลินิกใกล้ตลาดนี่เอง เขากับแฟนเลยพามันไปด้วย คงพาไปตรวจดูนะแหละว่าเป็นอะไรมากไหม ตอนนี้มันก็ยังอยู่ที่คลินิก”

“คลินิกไกลจากที่นี่มากไหมคะลุง พวกหนูเดินไปได้ไหมคะ”

“ไม่ไกลๆ เดินไปก็ซักสองสามร้อยเมตร”

“งั้นพวกลาเลยนะครับ ขอบคุณนะครับลุง”

แค่คิดว่าจะเป็นเจ้ามันนี่ผมก็อยากจะไปให้ถึงคลินิกนั้นไวๆ ผมลาลุง รปภ แล้วก็รีบเดินจ้ำไปทางที่ลุงชี้ให้

‘คลินิคหมออาร์ม’

“น่าจะที่นี่นะ” ผมมองหน้าตะวันก่อนจะเปิดประตูคลินิกเข้าไป

ผู้ชายในชุดเสื้อกราวน์
‘นายสัตวแพทย์ปกรณ์ ฤทธิโรจน์’
เอ่ยทักทายพวกเรา

“สวัสดีครับคุณหมอ ผมวิณณ์ พวกเรารู้มาว่ามีน้องหมาโดนรถชนมารักษาที่นี่เมื่อประมาณสองวันก่อน”

“ครับ?”

“ผมอยากจะขอหมอดูหมาตัวนั้นหน่อยครับ”

“คุณเป็นเจ้าของหรือเปล่าครับ”

“เปล่าหรอกครับ แต่หมาของป้าผมหายไปในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุพอดีนะครับ”

“งั้นเชิญทางนี้ครับ” หมอเดินนำพวกเราไป “แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่ตัวเดียวกันหรือเปล่านะครับ แต่ถ้าตัวที่หลงมาแล้วเกือบโดนรถชนก็มีเจ้าตัวนี้ตัวเดียวครับ”


ก๊อก ก๊อก หมอหนุ่มเคาะประตูก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ‘ห้องพักฟื้น’


“แบม พี่เข้าไปนะ”

“ครับพี่หมอ” มีคนอยู่ในห้องนี่เอง มิน่าทำไมถึงต้องเคาะประตู

“มีคนมาขอดูเจ้าลัคกี้นะ”

“ครับ”

“แต่ผมอยากจะบอกเอาไว้ก่อนนะครับ เจ้าลัคกี้ที่ผมเจอเนี่ยถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แต่เพราะอายุมากแล้ว กว่าผมจะเจอเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง ร่างกายเขาอ่อนแอและอ่อนแรงอย่างมาก ถึงจะนอนพักแล้วก็ยังไม่ฟื้นตัวดี อาหารก็ไม่ยอมกิน ผมจึงต้องสลับให้น้ำเกลือพื่อไม่ร่างกายขาดน้ำ ดูเหมือนเขาตรอมใจอะไรซักอย่าง ถ้าเป็นตัวเดียวกันจริงๆ เมื่อคุณพากลับไปแล้วผมอยากให้คุณดูแลเขาให้ดีที่สุดในช่วงบั้นปลายชีวิต”

“ครับ” หมอพูดซะผมใจแป้วเลย คนชื่อแบมเข็นรถเข็นออกมาพร้อมมีน้องหมาสีขาวขนฟูตัวหนึ่งอยู่บนนั้น ที่บนคอมีปลอกคอสีฟ้าอยู่ด้วย

“นี่ครับ”

“หมอครับเขาเดินไม่ได้เหรอครับ”

“ไม่ใช่เดินไม่ได้หรอกครับ แต่เขาไม่ยอมเดิน นอนแบบนี้ตั้งแต่วันที่ผมเจอ จะลุกบ้างคือตอนขับถ่าย ส่วนเรื่องกินต้องป้อนกันเลยละครับ เขาไม่ยอมกินเอง”

‘มันนี่ มันนี่ครับ ใช่มันนี่ไหม’  เป็นตะวันที่เข้าไปยืนข้างรถเข็นและก้มลงกระซิบข้างหูของมันนี่

“มันนี่ครับ”  พร้อมกับเสียงน้องสาวผมที่เรียกชื่อมันนี่ด้วยเหมือนกัน สองเสียงประสานกันผมคิดว่ามันนี่คงได้ยินเหมือนผมและมันกระดิกหาง

ใช่ มันกระดิกหาง


“พี่วิณณ์ ดูซิมันกระดิกหางด้วย” เขาว่าหมามันมีสัมผัสพิเศษ เจ้ามันนี่คงรู้ซินะว่าพวกผมมาทำไม

“ดูท่าผมคงไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วละ”

“หมอครับ ป้าผมยังไม่ออกจากโรงพยาบาล ผมคงต้องฝากหมอดูแลไว้ก่อนนะครับ แล้วผมจะมารับพร้อมกับป้า”

“ได้ครับไม่มีปัญหา”

“เอ่อ ลุง รปภ ที่ตลาดบอกผมว่าหมอกับแฟนเป็นคนช่วยเจ้ามันนี่ไว้ ผมขอบคุณหมอแล้ว ก็อยากจะขอบคุณแฟนหมอด้วยนะครับ”

“ได้ซิครับ” แล้วหมอก็เดินหายเข้าไปด้านในก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับน้องผู้ช่วยคนนั้น และมาหยุดตรงหน้าพวกเรา

“ครับ?”

“นี่ครับแฟนผม แบม”


O__O


-__-


“หะ เอ่อครับ” ผมได้แต่อึ้ง ชี้มือไปมาระหว่างหมอกับแฟนหมอ

“แปลกเหรอครับ”

“เอ่อ ไม่ได้แปลกใจหรอกครับ ก็แค่ตกใจนิดหน่อยครับ” หมอนิ่งกับปฏิกิริยาของผม จนผมต้องรีบอธิบาย

“อะ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจหรือคิดอะไรไม่ดีนะครับ ผมเปิดกว้าง และเข้าใจครับ เพราะผมเองก็มีเพื่อนที่เป็น เอ่อ...เป็นแฟนกันแบบนี้เหมือนกันครับ”

“ครับ ผมชินแล้วละครับ อย่าว่าแต่คุณเลยตอนแรกผมยังแปลกใจตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่ผมต้องขอบอกว่าเราสองคนไม่ได้เป็นเกย์นะครับ เรารักกันที่เราเป็นเราครับ เพราะถ้าจะให้ผมไปมองและชอบผู้ชายคนอื่นผมก็คงไม่ รักได้ก็แค่คนนี้เท่านั้นละครับ โอ๊ยยย”


ท่าทางแฟนหมอจะเขินแรงไปหน่อย ศอกมะกี้มีจุกนะผมว่า เมื่อขอบคุณและร่ำลากันเสร็จพวกเราก็พากันกลับไปที่รถ ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้วผมอยากจะพาตะวันไปหาคุณป้าที่โรงพยาบาลแต่ก็คิดว่าน่าจะรอพรุ่งนี้ได้ พอคิดว่าจะพาตะวันกลับคอนโดเลย ก็นึกได้ว่าผมยังไม่ได้ตอบแทนสองคนนี้ที่มาช่วยผมเลย ผมว่านายวายุนั่นคงไม่ได้อยากให้ผมเลี้ยงอะไรหรอกและผมว่าผมรู้ว่านายวายุอยากได้อะไร แต่น้องสาวผมซิ แค่ก้าวพ้นจากประตูก็บ่นหิว เมื่อย ร้อน บลาๆ

เอาเป็นว่าผมก็เลยต้องพาคุณเธอไปกินข้าวและขนมเพื่อตอบแทนที่มาช่วยงานผม

ผมให้ยายตัวแสบเลือกร้าน เห็นคลิกๆ เลื่อนๆ หาร้านในมือถืออยู่ซักพักก็เลือกได้ซักที ดูจากพิกัดก็ไกลจากจุดที่เราอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าน้องต้องการผมหรือจะกล้าขัด ผมจึงขับรถตามนายวายุไปเรื่อยๆ

“ดารินนี่โชคดีเนอะ น่าอิจฉาด้วย มีวิณณ์เป็นพี่ชาย ใจดี ตามใจทุกอย่าง แถมยังหล่อด้วย”

“คิดแบบนี้อีกแล้ว” ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปโยกหัวเบาๆ “แม่ตะวัน นายวายุ ก็รักตะวันนะ พูดแบบนี้ถ้าเขาได้ยินขึ้นมาจะเสียใจรู้ไหม แล้วก็อีกอย่างไม่ต้องไปอิจฉาดารินหรอก เพราะวิณณ์แสดงออกกับดารินแบบไหน ก็ทำกับตะวันแบบนั้นเหมือนกัน แถมยังมากกว่าด้วยซ้ำ ต้องเป็นดารินมาอิจฉาตะวันมากกว่านะถึงจะถูกรู้ไหม”

มือที่โยกหัวเบาๆ ตอนนี้เลื่อนมาจับประสานมือกับตะวันไว้ ผมทำแบบนี้ทำไมผมก็ยังไม่รู้ ผมรู้แค่อยากทำ อยากให้ตะวันรู้ว่าผมจะอยู่กับเขา


ผมมองของกินบนโต๊ะแล้วก็หน่ายใจ นี่กะกินให้ล่มจมกันเลยใช่ไหมเนี่ย ไม่ใช่ว่างกนะ แต่กลัวน้องอ้วน


“แน่ใจนะว่ากินหมด”

“หมด ทำไมเลี้ยงน้องแค่นี้บ่นหรา”

“ไม่ได้ว่าอะไรเลย กินหมดก็กินไป แค่กลัวว่าคนบางคนจะมาบ่นอ้วนทีหลัง”

“ไม่ยะ นี่อย่ามาหัวเราะ” น่าน ยังมีอารมณ์ไปพาลนายวายุอีกนะ ผมละสงสารคุณจริงๆ

บรรยากาศร้านนี้เหมาะแก่การ chill out อาหารก็มีทั้งของคาวและขนมหวาน มีมุมนั่งส่วนตัว และมีดนตรีสดเล่นด้วย แต่ต้นไม้มันเยอะไปนะ ถ้ามีงูไปแอบไม่มีทางรู้แน่


“เดี๋ยวพี่มา”

“ไอ ไอ๋”

“กลืนก่อนค่อยพูดไหมไอ้แสบ ไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา” ผมหันไปมองตะวันว่าเขาจะมากับผมด้วยไหม แล้วเขาก็ลุกขึ้นตามผมมา ความจริงเขาไม่ต้องมากับผมก็ได้ แต่ผมไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่โต๊ะ กลัวเขาเหงา


แปลกคนเนอะ


ผมเนี่ยแปลกคนเนอะ




ตะวันรอผมที่หน้าห้องน้ำ จนผมจัดการธุระเสร็จแล้วออกมาล้างมือ

‘ฮือ ฮือ’    เสียงใคร? เงียบไปแล้ว หูคงแว่ว

แต่ระหว่างที่หันไปหยิบกระดาษเช็ดมือ

‘ฮือ ฮือ’   อีกแล้ว ผมหันไปทางตะวัน ซึ่งเจ้าตัวคงได้ยินเหมือนกัน


ชู่ววววว ผมทำท่าเป็นเชิงว่าให้เงียบ หลังจากนั้นก็พยายามเงี่ยหูฟัง ตะวันได้ยิน ผมได้ยินงั้นก็น่าจะเป็นเสียงคน


‘ฮืออออออ ฮึก...ฮืออ’ ผมพยายามจับทิศทางของเสียง ซึ่งมันน่าจะมาจากทางด้านหลังห้องน้ำ แต่ตรงนั้นมีแต่ต้นไม้และหญ้าที่ขึ้นสูงเท่าเข่า ผมก้าวเข้าไปอย่างช้าและเบาที่สุด


“วิณณ์ อย่าไปมันมืดมันอันตราย”

“ไม่เป็นไร” แต่ยังไม่มันที่ผมจะก้าวต่อไป

“ผู้กองทำอะไรครับ กำลังจะไปไหน”

“คุณวายุ     ผมว่าผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องมาจากทางนี้”


ผมกำลังจะก้าวขาต่อไป


“เดี๋ยว”

“....”

“ผู้กองแน่ใจว่าเป็นเสียงคน?”

“ผมไม่รู้ แต่ผมได้ยิน ปกติผมจะไม่ได้ยินเสียงผีหรืออะไรทั้งนั้นนอกจากตะวัน แต่นี่ผมได้ยิน ยังไงก็ต้องไปดู”

‘ฮืออออออ’

“เอิ่มม ผมก็ได้ยินเหมือนกัน”

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผม ตะวัน และนายวายุ พากันเดินอ้อมหลังห้องน้ำไปตามเสียงที่ได้ยิน

‘ฮือออ.....ฮึกกก......ฮืออออ’


“วิณณ์ หลอนยังไงก็ไม่รู้อะ”

“ผู้กอง ผมว่า ระ...เรากลับ...กันดีกว่าไหม”

ผมได้แต่ส่ายหัว สรุปกลายเป็นว่านอกจากตะวันที่ผมดูแล ผมยังต้องพ่วงตัวถ่วงเพิ่มมาอีกหนึ่ง

“ถ้าสองคนกลัว ก็รอตรงนี้ไม่ต้องตามมา”

“สองคน?? สองคนไหน ผู้กองอย่าพูดให้กลัวเพิ่มซิ”

“สองคน ก็คุณกับตะวันไง”

“อ้ออ ชะ..ใช่  ตะวัน แหะๆ ตะวันอยู่ด้วย แฮ่....ผมลืมไป”

“ไม่เอา ตะวันจะไปกับวิณณ์”

“แล้วไม่กลัวแล้วหรือไง”

“ไม่ อยู่กับวิณณ์ไม่กลัวหรอก”

“หึหึ งั้นตามใจ”

“อะไร พูดอะไรกัน ผมไม่ได้ยิน อย่าแอบคุยกันซิ”

“เฮ้อ ตะวันจะไปกับผม ถ้าคุณกลัวก็เดินกลับไปหาดารินซะ หรือจะรอตรงนี้ เลือกเอา”


แล้วไอ้คนขี้กลัวก็ใช้ความคิดอย่างหนัก เดินกลับไปก็เดินคนเดียวถ้าเกิดเจออะไรกลางทางละ ให้รอตรงนี้ก็คนอยู่คนเดียวอีก ไม่ปลอดภัยๆ แต่ถ้าไปกับผู้กองอย่างน้อยก็มีเพื่อนเดินละวะ


“ผมไปกับผู้กอง”

“ตามใจ”

เราเดินตรงเข้าไปยังพุ่มไม้ด้านใน พอหันไปข้างหลังไฟจากห้องน้ำก็ค่อยๆ ห่างไป ห่างไป

“ผู้กองผมว่าเสียงมันหายไปแล้วนะ”

ใช่ อยู่ดีๆ เสียงก็หายไป รอบๆ บริเวณตรงนี้ไม่มีอะไรนอกจากหญ้าที่สูงเลยเข่าขึ้นมา กับต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้า ใหญ่มาก ใหญ่ขนาดหลายคนโอม


‘ฮือออออ......ฮือออออออ’


“เฮ้ย.....เสียง เสียงมาอีกแล้ว ผู้กองงง” นายวายุกระโดดมาเกาะแขนผม ตัวก็เท่ากันแท้ๆ

“คุณ คุณ นี่คุณถ้าจะกลัวขนาดนี้ ผมบอกแล้วให้กลับไปหายายดาริน”

“แฮ่ๆ”


จึกๆ  ผมหันไปตามแรงดึงที่ชายเสื้อ เห็นตะวันทำหน้าตื่นพร้อมกับชี้ไปทางด้านหน้าใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น


“ผู้หญิงนิ”

“ไหนผู้หญิงไหน  อย่าผู้กอง  อย่าไปคนหรือเปล่าก็ไม่รู้” นายวายุออกแรงดึงผมไว้

“คุณมองเห็นไหมละ”

“หะ...เห็น”

“คุณเห็น ผมเห็น งั้นก็ไม่ใช่ผี”

“เดี๋ยวผู้กอง ไม่จำเป็นเสมอไปหรอกนะถ้าเป็นผีแล้วเราจะไม่เห็น มันเอามาวัดไม่ได้”

“แต่คุณยังไม่เห็นตะวันเลยนี่”

“มันไม่เหมือนกัน   โว้ยยย  จะอธิบายยังไงดีวะ เอ้า... ตามใจอยากทำไรทำ เชิญเล้ยยย”

“ตะวันรอนี่ คุณด้วย”



“คุณ
.
.
.
คุณ
.
.
.
คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”


ผู้หญิงคนนั้นยังคงก้มหน้าและร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่


“คุณครับ ผมเป็นตำรวจนะ ให้ผมช่วยนะ” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปเพื่อจับตัวเธอ
.
.
.
.
.
.
.
“อย่ามายุ่งกับคนของกู”

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
กำ ใครอีกล่ะนั่นนนนน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด