Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)  (อ่าน 20976 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
หญิงมีผีตามติด หรือ หญิงโดนผีเข้าสิง  :m28:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 21 พบเพื่อจาก




แค่ก แค่ก

“ควันอะไรเนี่ยลุงเพิ่ม”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ อยู่ดีๆ ควันก็ลอยออกมาตามท่อแอร์เต็มเลยครับ” คนที่อาศัยบนคอนโดเอ่ยถามกับลุงยาม

“เวรละ แล้วนี่แจ้งนิติหรือตามช่างยังเนี่ย”

“ช่างมาแล้วครับ มาทันใจเลยผมยังไม่ทันได้โทร สงสัยคงมีคนในคอนโดแจ้งละครับ”

ตอนนี้คนในคอนโดต่างพากันกรูลงมาอยู่ชั้นล่างกันหมด เพราะเกิดมีควันอะไรไม่รู้ออกมาจากท่อแอร์ส่วนกลางและลอยเข้าห้อง ทุกคนต่างคิดว่าไฟไหม้แต่พอมองดีๆ มันมีแต่ควันสีขาวและไม่มีเปลวไฟอะไรเลย

“อ้าว ช่างเสร็จแล้วเหรอ แล้วมันควันอะไร”  ลุงเพิ่มเอ่ยถามช่างที่เพิ่งขึ้นไปได้ไม่นานก็ลงมา

“เรียบร้อยแล้ว อีกสักพักควันก็หาย”

“แล้วมันเกิดจากอะไร เฮ้...อ้าว อะไรของมัน ไปซะแล้ว” อะไรของมันวะ มาไวเคลมไว







[ตะวัน]


“ออกไป.....อย่ามายุ่งกับคนของกู”


“เฮ้ยยยยย อะไรวะ” พี่วายุตกใจร้องเสียงหลงก่อนจะถอยหลังล้มลงก้นกระแทกพื้น “เสียงใครอะ ทำไมมองไม่เห็นตัว” พี่วายุถามขึ้น

“วิณณ์” ผมกระตุกชายเสื้อวิณณ์ให้หันมามองพร้อมกับว่ายหน้าเป็นเชิงว่า อย่า “กลับเถอะ กลับเถอะวิณณ์”

“ทำไมตะวันมีอะไร”

“กลับเถอะ” ผมพยายามทำหน้า ทำสายตาหวังว่าวิณณ์จะเข้าใจว่าผมอยากจะสื่ออะไรแต่ก็ไม่ *___*

“เอ่อ...คุณครับ คุณผู้หญิงครับ” ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งก้มหน้าโดยไม่สนใจคนตรงหน้า

“คุณให้ผมช่วยนะครับ” วิณณ์ค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้พลางเอื้อมมือออกไป


“ออกไป.....” 



ฟู่ฟฟฟฟฟฟฟ  แต่ก่อนที่จะถึงตัว เสียงเดิมก็ดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด มันดังจนน่ากลัว ตามมาด้วยลมที่พัดแรงจนฝุ่นที่พื้นปลิวไปทั่วบริเวณ

“เฮ้ยอะไรวะ อยู่ๆลมมาจากไหน จะมีพายุหรือไงวะพัดซะขนาดนี้” พี่วายุนี่ก็ขี้โวยวายกว่าปกติ

“วิณณ์เชื่อเรา ไปเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย นะ นะ ไปเถอะ นะ”



วิณณ์หันมามองหน้าผมที่ส่งสายตาเว้าวอนไปให้ และเหมือนจะเข้าใจเพราะวิณณ์หยุดนิ่งไม่เดินเข้าไปต่อและถอยหลังออกมาหาผม แต่...


‘พี่คะ ช่วยด้วย ช่วยหนูทีหนูอยากออกไปจากที่นี่’


แต่ก่อนที่ใครจะคิดหรือตัดสินใจอะไรได้ ผมก็ฉุดกระชากลากวิณณ์ออกมาจากตรงนั้น ส่วนพี่วายุไม่ต้องพูดถึงรายนั้นวิ่งตามติดมาเลยละ

“แฮ่ก แฮ่ก ผู้กองรอด้วย รอผมด้วย โหยวิ่งเร็วเป็นบ้าเลย”  พวกเราวิ่งกลับมาถึงที่หน้าห้องน้ำเมื่อกี้

“ไปไหนมากันมาหะ”

“เหวยยยย”

“เป็นบ้าอะไรเนี่ยคุณ แล้วนี่ไปทำอะไรมา ทำไมหอบแฮ่กกันแบบนี้”

“มาแบบนี้ใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว เฮ้ออออ”

“แล้วจะบอกได้หรือยังว่าไปทำอะไรกันมา ทำไมเหมือนวิ่งหนีอะไรมาซักอย่าง” ดารินถามขึ้นมาทันทีที่พวกเรากลับมานั่งที่โต๊ะภายในร้าน วิณณ์กับวายุมองหน้ากันเลิ่กลัก ผมเองก็พอสบตากับวิณณ์ก็ไม่รู้จะบอกยังไงดี


“สรุป จะไม่มีใครพูดอะไร?”

“ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี ไอ้ที่เจอเมื่อกี้มันคืออะไรยังไม่รู้เลย”

“อ้าว”

“รู้แค่ว่ามันตกใจและก็พากันวิ่งมานี่ละ”

“........” สุดท้ายก็เป็นวิณณ์ที่เล่าให้น้องสาวตัวเองฟัง

“ตัว ตัวแน่ใจนะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคน” ผมชักจะเริ่มกลัวน้องสาววิณณ์จริงๆแล้วซิ คนอะไรฟังเรื่องแบบนี้แล้วทำหน้าได้สยองปนเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนั้น สงสัยจะชอบแนวนี้

“ทำไมถึงคิดว่าไม่ใช่คน นายวายุก็เห็นนะไม่เชื่อลองถามดิ”

“ใช่ มันก็เห็นอะนะ แต่ผมก็ไม่ชัวร์ว่า เป็น คน จริง หรือ เปล่า” แหม ตอนท้ายนี่เสียงเบาเชียวนะ

“นี่ตัวลองคิดดูนะ ผู้หญิงที่ไหน อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย คนที่ไหนจะไปอยู่ที่มืดคนเดียวแบบนั้น แล้วไหนไอ้เสียงที่ตัวบอกได้ยินอีก ได้ยินแต่ไม่เห็นคนพูด มันไม่แปลกเหรอ”

นั่นแหละคือสิ่งที่ผมพยายามจะบอกวิณณ์ตั้งแต่แรก ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอมาอยู่ตรงนั้น ผมรู้แค่เธอไม่สามารถไปไหนได้ และสิ่งที่พันธนาการเธอไว้ก็คงจะเป็นเจ้าของเสียงนั้น เสียงที่แค่ได้ยินก็รู้สึกกลัวไปจนสุดขั้นหัวใจ

ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น ผมไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่เธอเอ่ยขอร้องมาแล้ว เว้าวอนอย่างน่าสงสาร แล้วผมควรทำยังไง จะให้ทิ้งเธอไว้อย่างนั้นเหรอ



เฮ้อออ เรื่องหมายังไม่ทันเคลียร์ ดันมีเรื่องเพลียเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว




ผมกับวิณณ์แยกกับดารินและพี่วายุ โดยพี่วายุเป็นคนส่งดาริน สงสัยพี่ชายผมคงจะเดินหน้าจีบคนนี้อย่างจริงจังแน่นอน ผมว่าดูไปก็เหมาะกันดีนะ เอาใจช่วยแล้วกันนะพี่วายุ

“ใต้คอนโดมีอะไรกัน”  ผมหันไปดูเมื่อวิณณ์พูดขึ้น

“นั่นดิ คนลงมาทำอะไรเต็มไปหมดเลย” วิณณ์ขยับรถจอดเข้าที่เรียบร้อยและพากันเดินไปที่หน้าคอนโด

“นี่มายืนทำอะไรกันเหรอครับ”

“ก็เมื่อกี้ซิคะผู้กอง จู่ๆ ก็มีควันอะไรไม่รู้คะเต็มคอนโดไปหมดเลยพวกเราตกใจนึกว่าไฟไหม้ แต่พอดูอีกทีมันมีแต่ควัน ไม่มีไฟคะ” พี่นิดเจ้าของร้านทำผมใต้ดึงลุงยามออกไปและเบียดตัวเองเข้ามากระแซะเพื่อคุยกับวิณณ์จนผมต้องหลุดขำ “หึหึ” ไม่วายโดนวิณณ์ทำตาดุใส่

“ควัน? ควันอะไรครับ”

“โอ๊ยย ไม่รู้หรอกคะผู้กอง ควันเต็มไปหมด แต่ไม่ต้องห่วงนะคะช่างมาดูให้แล้วคะ เขาบอกว่าเดี๋ยวก็หายไม่มีอะไรน่าห่วง”  ป้าน้อยร้านข้าวแกงพูดแทรกบ้าง

“ช่าง?.. แล้วเขาไม่ได้บอกเหรอครับว่าเกิดจากอะไร”

“ไม่ได้บอกคะ แต่ช่างมาไวมากเลยนะคะ มาถึงปุปจัดการปัปแล้วก็ไปเลยคะ” พี่กิ่งผู้ช่วยพี่นิดก็เอากับเขาด้วย

“หืม ช่างของคอนโดเหรอครับ”

“ไม่ใช่หรอกคะ ช่างที่ไหนก็ไม่รู้คงใครซักคนในคอนโดโทรตามมามั้งคะ”  ป้าจันเจ้าของร้านขายของชำพูดต่อและตบท้ายด้วยพี่กิ่ง “แต่ตอนนี้ไม่ต้องห่วงนะคะผู้กอง ควันจางลงไปมากแล้วคะ ผู้กองขึ้นห้องไปได้เลยคะ” 

“ครับ”

“ฮาาาา”  ผมถึงกับหลุดขำกับท่าทางที่ทุกคนแสดงออกมา

“หัวเราะอะไรหะ”  วิณณ์หันมากระซิบกับผม พวกเราเดินมาหยุดรอหน้าลิฟท์ แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวไป คนในลิฟท์ก็พุ่งออกมาซะก่อน

“เฮ้ยยย”

“ขอโทษครับๆ อ้าว....ผู้กองมาแล้วก็ดีเลย มานี่เลยครับ ผู้กองมานี่ก่อน”

“เดี๋ยวๆ ครับ ใจเย็นๆ มีอะไรครับ”

“ห้อง 702  แฮ่กๆ โอ๊ยเหนื่อยยยย  ห้อง 702 นะครับ  เหอ เหอ  ผมว่า....ว่า.....ผู้กองไปดูเองดีกว่าครับ”


ห้อง 702   702  เฮ้ย... นั่น มัน ห้อง ของ....

“ห้องคุณแอน วิณณ์ห้องคุณแอน” 

พูดแค่นั้นวิณณ์ก็รีบกระโจนเข้าลิฟท์ทันที และทันทีที่พวกเรามาถึงก็ต้องตกใจกับสภาพห้องที่ถูกรื้อมาทุกซอกทุกมุม ต้องบอกว่ารื้อมาหมดจริงๆ โซฟาที่วางอยู่ติดกำแพงก็ถูกลากออกมา และกรีดเบาะจนขาดไม่เหลือสภาพที่จะนั่งได้ รูปภาพที่แขวนก็ถูกรื้อและโยนลงกับพื้ นจนกรอบแตกกระจัดกระจายเกลื่อน และเมื่อเข้าไปในห้องนอนสภาพแทบจำไม่ได้ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน ตู้เสื้อผ้า  เตียง ที่นอน ก็ไม่เว้นถูกทำลายจนหมด เหมือนพยายามจะหาอะไรซักอย่าง

“คนร้ายน่าจะเข้ามาหาอะไรซักอย่าง”

“หรือว่า   หรือว่า ”  วิณณ์ หันมามองหน้าผม   “เมม.....เมมโมรี่การ์ดอันนั้น”

“ก็อาจจะใช่นะ ดูแล้วคนที่เข้ามาในห้องนี้ก็เพื่อต้องการหาอะไรซักอย่าง”

“ใช่คะ คุณผู้กองฉลาดปราดเปรื่องสมเป็นว่าที่ ซะมี ของแอนเลยคะ”

“เฮ้ยยย เจ๊มาไม่ให้สุ่มให้เสียงตกอกตกใจหมด แล้วมานั่งมโนเพ้อพบอะไรไม่ทราบ ว่าแต่เจ๊พูดมาแบบนี้คือรู้ ว่าฝีมือใครงั้นดิ?”

“อะไรตะวัน ใครมา”

“คุณเจ้าของห้องเขามา”

“อ้ออ แล้ว เขาว่าไงบ้างอะ”

“อะ เจ๊ว่าไง เหลามาดิใครเข้าห้องเจ๊? แล้วเข้ามาทำอะไร? แล้วเขาต้องการ? แล้ว...”

“Stopped…..”  แหม ภาษาอังกฤษมาเลยนะ  -___-

“ถามไม่เว้นช่วงเลยนะ คิดว่าฉันจะฟังทันไหม”

“แหะๆ”

“ก็ตามที่นายเข้าใจนะแหละ พวกมันมาหาเมมโมรี่การ์ด มันไม่รู้ว่าตำรวจได้ไปแล้ว และคิดว่าคงยังอยู่ในห้องถึงมาหา แต่ตอนนี้มันคงรู้แล้ว ส่วนไอ้แผนก่อความวุ่นวายก็ฝีมือพวกมัน”

ผมได้แต่ถอนหายใจ พอจะมีเรื่องก็มีกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องเลยนะ แต่อย่างน้อยก็สบายใจไปได้เรื่องหนึ่ง เพราะน้องหมามันนี่ก็ตามหาเจอแล้ว เหลือแค่พาคุณป้าไปรับกลับ ส่วนเรื่องวิญญาณผู้หญิงคนนั้นผมสองจิตสองใจว่าควรเข้าไปยุ่งไหม แต่เธอเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือมาแล้ว ถ้าผมปล่อยไปไม่สนใจ ผมจะผิดกฎไหมอะ ส่วนเรื่องที่สามนี่หนักใจสุด เรื่องยายเจ๊แอน เรื่องเธอดูอุรุงตุงนังมาก และท่าทางจะยืดเยื้อไม่จบง่ายๆ

“นี่หนู  หนนนนนนนนู   หนู คิดอะไรอยู่จ้ะ”  อือหือ ตะโกนเข้าหูมาได้ แล้วไอ้หนูเนี่ย เรียกผมเหรอ ผมเนี่ยนะหนู

“หนูไหนละ เจ๊ ผมชื่อตะวันครับ”

“ก็แหม หน้านายอะยิ่งดูใกล้ยิ่งน่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้ม หน้าขาว เนียน สวยกว่าฉันอีก ไม่เรียกหนูแล้วจะให้เรียกอะไรละยะ”

“เฮ้อออ ว่าแต่เจ๊ แล้วพวกมันไม่ได้อะไรไปก็กลับง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ”

“ก็อย่างนั้นแหละ มันรื้อจนห้องเละซะขนาดนี้แถมไม่เจออีก ฉันว่ากลับไปมันคงโดนหนักอะ”

“ทำไมอะ”

“ก็ฉันได้ยินมันบอกว่า งานนี้นายใหญ่ต้องเล่นงานมันหนักแน่”

“อืมมม”

“นี่หนูตะวัน เจ๊ว่าเรื่องนี้มันต้องใหญ่กว่าระดับพวกไอ้เอ็ม หรือไอ้เสี่ยที่ฉันคั่วอยู่แน่ๆ เพราะดูแล้วไอ้พวกนี้ก็แค่ลูกน้องหางแถวทำตามคำสั่ง ยังไงก็รีบจัดการให้จบเรื่องไวๆ เถอะ ปล่อยยืดเยื้อไว้มันไม่น่าจะโอเค”

“ไม่โอเค? ไม่โอเคยังไง”

“ไม่รู้ซิ แค่สังหรณ์อะ มันเป็นสัญชาตญาณผู้หญิงไง โอเคปะ”

“...............”





หลังจากที่คุยกับยายเจ๊แอนโดยที่ไม่ได้อะไรเลย ผมกับวิณณ์ก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง ส่วนห้องนั้นวิณณ์ก็ได้โทรให้จ่าเติมส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจดูอีกครั้งเพื่อจะเจอร่องรอยของคนร้ายที่เข้ามา

“ตะวัน วิญญาณคุณแอนเขาพูดอะไรบ้างเหรอ” วิณณ์เอ่ยถามทันทีที่เรากลับเข้าห้องมา

“ก็อย่างที่วิณณ์คิดนะแหละ พวกที่เข้าไปรื้อห้องก็คือพวกไอ้เอ็ม ที่ก่อความวุ่นวายก็พวกมันอีก”

“มันคงจะมาหาเมมโมรี่การ์ด”

“ใช่ แต่มันไม่เจอ คราวนี้มันก็คงรู้แล้วละว่าตำรวจน่าจะได้ไปแล้ว แต่คุณแอนบอกว่าเธอสังหรณ์ว่าเรื่องนี้น่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลังมากกว่าพวกไอ้เอ็ม หรือไอ้เสี่ยที่เธอไปยุ่งด้วย”

“อืม”


   วิณณ์หายเข้าไปอาบน้ำได้สักพัก ส่วนผมก็พยายามคิดเรื่องที่เกิดขึ้นให้ได้เรื่องมากที่สุด เฮ้ย ต้องเน้นคำว่าให้ได้เรื่องเลยละก็ผมอะมันเป็นพวกไม่ชอบคิดซับซ้อนอะไร ชอบหรือไม่ชอบก็บอกตามตรง คิดแบบไหนก็บอกแบบนั้น พอมาเจอไอ้เงื่อนงำซ่อนเงื่อนอะไรพวกนี้บอกตรง ตะวันปวดหัว

แกร่ก
 
“นั่งคิดอะไรตะวัน”

“ก็คิดเรื่องวันนี้นะแหละ”

“แล้วคิดออกไหม”

“หึ” ผมตอบพลางส่ายหน้า

“แล้วถ้าคิดออก คิดว่าจะช่วยได้ไหม”

“หึ...” เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนด่างะ  “โหหห ถ้าจะพูดขนาดนี้นะ ด่ากันดีกว่า”

“ฮาา ก็เปล่า แค่ไม่อยากให้เครียดนะ ดูดิคิ้วติดกันเป็นโบว์แล้ว” ว่าแล้ววิณณ์ก็เอามือมาวางคลายคิ้วตรงกลางออกจากกัน

“ก็นี่ไง พยายามช่วยคิดไง เดี๋ยวจะว่ากินแรง”  เอ้า พูดอะไรโดนผลักหัวอีกละ

“เออ วิณณ์บอกยังว่าแม่ของตะวันให้ของวิณณ์มาชิ้นหนึ่งด้วยละ”

“ของ?  ของอะไร”  วิณณ์เปิดลิ้นชักที่หัวเตียงก่อนจะหยิบอะไรซักอย่างแล้วเดินกลับมาที่ริมหน้าเตียงที่ผมนั่งอยู่

“ล๊อคเก็ต ล๊อคเก็ตของตะวันนี่ ทำไมแม่เอามาให้วิณณ์ละ”

“ไม่รู้ซิ แต่แม่ตะวันบอกอยากให้วิณณ์เก็บไว้ แล้วก็คิดว่าตะวันน่าจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน”

“เหรอ”  ตะวันแอบคิดไม่ได้ว่าทำไมแม่ถึงคิดแบบนั้น แต่มันอาจจะดีก็ได้นะ คิดดูแล้วถ้าเกิดเขาทำภารกิจไม่สำเร็จไม่ได้กลับคืนร่าง เขาก็จะไม่ได้เจอกับวิณณ์อีก หรือถ้าเขาทำสำเร็จเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีใครล่วงรู้


แต่อย่างน้อย แค่อย่างน้อยล๊อคเก็ตนี่ก็เหมือนตัวแทนเขา วิณณ์จะได้คิดถึงเขาบ้าง




“ตะวันตอนเด็กๆ นี่น่ารัก หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงเลยนะ มิน่าละทั้งแม่แล้วก็นายวายุถึงได้ทั้งห่วงและหวง”

“ไหนๆ” ตะวันเอาหน้าแทรกเข้าไปอยู่ข้างหน้าวิณณ์ “ก็ไม่ได้เหมือนอะไรขนาดนั้นไหม ออกจะหล่อเนอะ”

“หล่อออออ หล่อมากกกกก”

“โอ๊ะ ผลักหัวไมเล่า แล้วนั่นเป็นอะไรไม่สบายเหรอ หน้าแดงเลยอะ สงสัยเพราะตากแดดเมื่อตอนกลางวันแน่เลยใช่มะ งั้นคืนนี้ก่อนนอนอย่าลืมกินยานะ เดี๋ยวมาสบาย รู้ไหม”

“....................”

“แหนะ ถามว่ารู้ไหม”

“รู้คร้าบบบบบ”  ดุกว่าแม่กว่าน้องสาว ก็คงเป็นตะวันนี่ละ






[วิณณ์]


อยากจะหลับก็ยังหลับไม่ได้ จะให้เขาหลับได้ไงละ ตอนนี้จิตใจมันว้าวุ่นไม่เข้ารูปเข้ารอยแล้ว ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาต้องพยายามบังคับตัวเองอย่างมาก กับความรู้สึกตอนนี้ที่เกิดขึ้น เพราะทุกๆ การกระทำของตะวัน มันมีผลต่อจิตใจและความรู้สึกเขาเหลือเกิน

เขารู้ว่าเขามีหน้าที่ต้องช่วยให้ตะวันทำภาระกิจให้สำเร็จเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกๆวันมันเกินกว่านั้นมาก ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเอง

เขาทั้งห่วงและหวงตะวัน

เขาอยากให้ตะวันทำภารกิจให้สำเร็จ

เขาอยากให้ตะวันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

อยากให้ตะวันได้กลับมาเจอแม่ เจอครอบครัว เจอเพื่อน และที่สำคัญ....

เขาอยากให้ตะวัน กลับมาเจอเขา เจอเขาในแบบที่เราสามารถจับต้องกันได้
 

แล้วดูอย่างตอนนี้ซิ เจ้าตัวเองทำอะไรก็คงไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเหมือนเดิม การที่เอาหน้าเอาตัวเข้ามาสอดแทรกกลางมือเขาทั้งสองข้างโดยที่ตัวเขาเองซ้อนหลังตะวันอยู่แบบนี้

มันเหมือน.....เหมือนเขากำลังกอดตะวันอยู่

วิณณ์ต้องบังคับหัวใจตัวเองอย่างมาก เพราะมันเต้นจนเหมือนจะหลุดออกมานอก อก ยังไงยังงั้นเลย

เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ


สุดท้ายกว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบเช้า  เฮ้ออออออออ



“เย้ยยยยย  เป็นอะไรอะ ตาดำเป็นหมีแพนด้าเลยอะ”

“นอนไม่ค่อยหลับนะ”

“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” ตะวันเข้ามาใกล้แล้วเอามือแตะหน้าผากเหมือนวัดไข้  “แหะๆ ลืมไปเป็นวิญญาณไม่มีความรู้สึกร้อนหนาวนี่น่า”

เขาได้แต่ขำคนตรงหน้า  บิดขี้เกียจอยู่สองสามรอบก่อนจะลุกไปอาบน้ำ  เพราะยังไงวันนี้เขาก็ยังมีงานต้องทำต่อให้จิตใจยังไม่คงที่แต่ภาระหน้าที่ต้องมาก่อน

“วิณณ์ วันนี้เราจะไปกันบ้างเหรอ”  เสียงตะวันตะโกนถามเข้ามา

“ก็ไปหาคุณป้าที่โรงพยาบาลเมื่อวานไอ้หมอมันไลน์มาบอกไว้แล้วว่าคุณป้าสามารถกลับบ้านได้แล้ว แกเลยจะมารับมันนี่ไปพร้อมกัน”

“อ่อออ”


“เออ นี่วิณณ์”

“เฮ้ยยย อะไร เข้ามาทำไม”

“ก็คุยกันแล้วมองไม่เห็นหน้ามันไม่ชินอะ”

“รออาบน้ำเสร็จก่อนก็ได้”

“ทำไม? อาย? ไม่ต้องหรอกน่า กระจกมันขุ่นมองเห็นที่ไหนเล่า”

“เปล๊า ใครอาย ไม่มี๊”

“เหรอออ จะยอมเชื่อก็ได้นะ”



Rrrrrrr

“วิณณ์เสียงโทรศัพท์อะ” เจ้าตัวพูดเสร็จก็เดินออกไปยังไม่วายตะโกนกลับมาอีก “วิณณ์ ชื่อหมอมาร์คอะ”

Rrrrrrr

“รู้แล้วๆ เสร็จแล้วๆ”

“สวัสดีครับ”
[คุณวิณณ์นะครับ ผมมาร์คนะครับที่คลินิครักษาสัตว์ที่เราเจอกันเมื่อวานนี้]

“ครับๆ จำได้ครับ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าครับ”
[คุณวิณณ์จะมารับมันนี่วันนี้หรือเปล่าครับ]

“ใช่ครับ”
[ดีครับ ผมอยากให้มาไวซักหน่อยได้ไหมครับ]

“ผมต้องไปรับคุณป้าที่โรงพยาบาลก่อน แล้วถึงไปที่คลินิกก็น่าจะบ่ายได้นะครับ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าครับ” วิณณ์ถามออกไปเพราะรู้สึกว่า การที่หมอโทรมาหาเขามันน่าจะมากกว่าแค่ถามว่าเขาจะมาหรือไม่มา หรือมาเวลาไหนมากกว่า

[คือ อย่างที่คุณวิณณ์รู้ มันนี่แก่มากแล้ว ประกอบกับร่างกายเขาล้าอย่างมากแล้วไม่ค่อยยอมกินอาหารเท่าไหร่ วันนี้มันนี่ก็ซึมขึ้นอีก หมอจึงค่อนข้างกังวลนะครับ หมอคิดว่าถ้าเขาได้เจอคุณป้าเจ้าของไวๆ เขาอาจจะดีขึ้นนะครับ]

ไม่ต้องให้หมอขยายความวิณณ์ก็พอเข้าใจความหมายนั้น

“ผมจะรีบไปให้ไวที่สุดครับ รบกวนคุณหมอช่วยดูแลมันนี่ด้วยนะครับ”
[ครับ ผมจะดูแลให้ดีที่สุดครับ]



“มีอะไรเหรอวิณณ์”

“เราคงต้องรีบไปรับคุณป้าแล้วละ”




“ไอ้หมอ ไอ้หมอ” ผมตะโกนเรียกไอ้เพื่อนหมอทันทีที่เห็นมันออกมาจากห้องคนไข้

“ว่าไงไอ้ผู้กอง เรียกเสียงดังขนาดนี้คนไข้ตกใจทั้งโรงพยาบาลแล้วมั้ง”

“ขอโทษวะ แต่มึงช่วยอะไรกูหน่อย กูต้องพาป้าที่ห้องพักฟื้นออกไปตอนนี้ก่อนวะ”

“ทำไมวะ รีบอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เออ มึงช่วยจัดการเรื่องตรงนี้ให้ก่อนได้ไหม เสร็จแล้วกูจะรีบพาป้าแกกลับมาจัดการเรื่องอื่นๆต่อ”

“กูเป็นแค่ทายาทเจ้าของโรงพยาบาลนะเว้ย ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ”

“กูรู้ ช่วยกูหน่อยดิวะ”

“เออๆ มึงพาไปเถอะ ยังไงก็รีบกลับมาแล้วกัน แต่กูบอกก่อนนะว่ากูไม่ได้กลัวป้าหรือมึงหนีไปไหนหรอก แต่กูไม่อยากให้พวกหมอ พยาบาลหรือพนักงานคนอื่นมองว่ากูใช้อภิสิทธิ์พ่อเท่านั้น”

“เออ กูรู้นิสัยมึงดีอยู่แล้วละน่า ขอบใจมึงมาก”

“อืมมม”



หมอมองตามหลังเพื่อนตัวเองออกไป ยิ่งนับวันเพื่อนเขาก็ยิ่งมีพฤติกรรมแปลกประหลาด เอาไว้คราวหน้าคงต้องจับมานั่งคุยกันซะหน่อยแล้ว




“ผู้กองเจอมันนี่แล้วเหรอจ้ะ” คุณป้าที่กำลังนั่งบนรถเข็นผู้ป่วยเอ่ยถามวิณณ์

“ครับ เจอแล้วครับ”

“เหรอ ดีใจจัง ดีใจที่สุดเลย”

ป้าแกพูดออกมาเสียงสั่นๆ เขาไม่อยากจะคิดว่าถ้าป้าเจอสภาพมันนี่ตอนนี้ป้าแกจะเป็นยังไง ถ้าคิดอย่างเลวร้ายที่สุด ถ้ามันนี่เกิดเป็นอะไรขึ้นมาป้าแกจะทำยังไงแล้วผมจะทำยังไงวะเนี่ย

“......” 

ผมก้มมองที่มือตัวเอง เมื่อตะวันเอื้อมมาจับมือผมที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่ พร้อมกับตะวันส่งยิ้มมาให้ ผมยิ้มตอบกลับไป หน้าผมดูแย่อย่างนั้นเลยเหรอ ผมเป็นตำรวจต้องพบเจอเรื่องแบบนี้มันธรรมดามาก แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมก็เลือกที่จะเลี่ยง ถ้าเราต้องเดินเข้าไปหาใคซักคนแล้วบอกว่า ‘ผมเสียใจด้วยนะครับ / ญาติของคุณ พ่อแม่ของคุณ หรือ แม้แต่ลูกของคุณเสียชีวิตแล้ว’ ผมไม่อยากเห็นสีหน้าของพวกเขาตอนนั้นเลยบอกตรงๆ  ต่อให้เป็นแค่สัตว์อย่างแมว หมา เขาก็มีชีวิตนะ แล้วถ้ายิ่งเขาเลี้ยงผูกพันกันมาเหมือนครอบครัวแล้ว มันไม่ต่างกันมากนักหรอก

ผมพยักหน้าให้ตะวัน อย่างน้อยตอนนี้ข้างๆ ผมก็ยังมีตะวัน ถ้าจะต้องเจอเรื่องหนักกว่านี้ผมก็โอเค ผมขับรถพาคุณป้ามุ่งหน้าไปร้านของหมอมาร์ค อยากจะบอกใจนี่ร้อนล่วงหน้าไปถึงที่ร้านหมอนานแล้ว และก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันนี่เข้มแข็งรอคุณป้าให้ไปถึงก่อน


ใช้เวลาไม่นานจากโรงพยาบาลผมก็มาถึงร้านหมอหมา มาร์ค (เรียกติดกันแล้วมันแปลกๆ แฮะ)

“หมอครับ สวัสดีครับ”

“คุณวิณณ์สวัสดีครับ นี่คุณป้าเจ้าของน้องหมาที่บอกใช่ไหมครับ”   

“ใช่ครับ”

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีคะ หมอเป็นคนช่วยมันนี่ไว้ใช่ไหมคะ ป้าขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆคะ” คุณป้าเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงสั่น

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ่อ....แต่ว่าหมออยากคุยกับคุณป้าก่อนไปเจอมันนี่ก่อนนะครับ”

“คะ?”

“มันนี่อายุมากแล้วใช่ไหครับ”

“ใช่คะ 10 กว่าปีแล้วคะ ป้ากับลุงเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเด็ก อยู่ด้วยกันมาตลอด ไปไหนก็ไปด้วยกัน กินนอนด้วยกันเลยคะหมอ”

“หมอพอจะสังเกตได้ เพราะมันนี่ติดคนมาก และยิ่งเขาต้องหลงกับเจ้าของ เวลาแค่ 2 วันก็ทำให้มันนี่ยิ่งกลัว”

“เหรอคะ หมอไปเจอมันนี่ยังไงคะ แล้วเขาเป็นอะไรมากไหมคะ เข้าปลอด...ปลอดภัย  ใช่..ไหม..คะ” คุณป้าถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก เป็นผมก็คงไม่ต่างกัน 

“คุณป้ามาทางนี้กับหมอหน่อยนะครับ” หมอประคองป้าไปทางห้องที่ผมไปหามันนี่เมื่อวานนี้

“มันนี่  มันนี่”  ป้ามองเข้าไปและเห็นมันนี่ที่นอนหลับอยู่บนเตียงโดยมีแฟนหมอนั่งอยู่เป็นเพื่อนเพื่อน “หมอคะ มัน...มันนี่....มันนี่ เป็นอะไรเหรอคะ”

“แค่นอนหลับเท่านั้นครับ อย่ากังวลเลยครับ”  ฟู่ ผมกับตะวันลอบถอนหายใจพร้อมกัน “แต่ว่าที่หมออยากคุยกับคุณป้าก่อนให้ไปเจอมันนี่เพราะว่าที่หมอจะบอกคือ มันนี่แก่มากแล้วนะครับ ร่างกายก็แก่ตามสภาพ โรคก็มีตามประสาหมาแก่ แต่จากภาวะที่เขาหลงทางหายไป ทำให้ร่างกายอิดโรยยจากการขาดน้ำขาดอาหาร ร่างกายจึงยังไม่ฟื้นเต็มที่”

“........”

“ใจจริงหมออยากให้มันนี่พักฟื้นกับหมอก่อน ถ้าคุณป้าไม่ว่าอะไร แต่อีกใจหมอก็คิดว่าถ้าเขากลับไปบ้านกับคุณป้าเขาอาจจะดีขึ้นได้ แต่.....”

“แต่อะไรคะ”

“แต่ลึกๆ หมอก็กลัว กลัวว่าถ้ามีอะไรฉุกเฉิน มันนี่จะได้รับการรักษาไม่ทันนะครับ”

“หมอ หมายความว่ายังไงคะ  มันนี่   มันนี่ จะ......จะตายเหรอคะ”

“......”

“มันนี่จะตายเหรอคะ หมอ....หมอบอกป้า มันนี่ ฮึก.....ก”

“ป้าครับใจเย็นๆนะครับ ฟังที่หมอพูดก่อนนะครับ”  ผมไปประคองไหล่ป้าพร้อมกับปลอบ

“ป้าครับนั่นคือสิ่งที่แย่สุดที่หมอบอก แต่หมอไม่ได้หมายความว่ามันนี่จะเป็นอะไรตอนนี้ หมออยากให้มันนี่หายนะครับ อยากให้มันนี่กลับไปอยู่กับป้าเพราะเขาเองก็คงรักป้ามากพอกับที่ป้ารักเขา แต่อายุของหมาต่างจากคนเยอะนะครับ 10ปีของหมาก็เท่ากับคนอายุเกือบ 60 แล้วนะครับ ผมอยากให้คุณป้าเข้าใจ”

“เข้าใจในความหมายของหมอก็คือ วัฎจักรของชีวิตไม่ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทไหนก็ต้องเจอเหมือนกัน ถ้าป้าอยากฝากมันนี่ให้หมอช่วยดูแลก่อนหมอยินดีนะครับ แต่ถ้าคุณป้าอยากรับมันนี่กลับเพื่อให้เขาได้กลับไปในที่คุ้นเคยหมอก็ไม่ว่าอะไร หมอจะแนะนำวิธีการดูแล และให้ยากับอาหารบำรุงกับคุณป้าไปด้วยครับ”

“คะหมอ ขอบคุณนะคะหมอ”

“ป้าเข้าไปหามันนี่เถอะครับ” 

“หมอครับ มันนี่ หมอคิดว่ายังไงครับ” ผมปล่อยให้ป้าเข้าไปในห้องใช้เวลามันนี่ ส่วนตัวเองก็เดินตามหมอมาด้านนอก

“ผู้กอง ผมบอกไม่ได้จริงๆ นะครับ ตอนนี้ขึ้นอยู่กำลังใจของมันนี่เอง ร่างกายเขาไม่ได้มีอะไรบอบช้ำหรือมีแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเลย แต่น่าจะเป็นที่จิตใจของเขา หมอเลยคิดว่าการที่มันนี่กลับไปอยู่บ้าน อยู่ในที่ที่คุ้นเคยเขาอาจจะดีขึ้น มีแรงที่จะมีชีวิตขึ้นมา”

“ผมเข้าใจครับ”

“ตอนนี้ก็ต้องอยู่ที่คุณป้าตัดสินใจแล้วละครับ”







“หมอ  พี่หมอ  มันนี่....มันนี่  พี่หมอมาที่ห้องเร็วๆ ครับ”




-- มาต่อแล้วนะคร้าบ ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อยแต่ก็พยายามรีบมาลงให้แล้วน้า (แอบได้คะแนนติดลบด้วย เค้าเสียใจ 55 ล้อล่นจ้า) มีแก้ไขชื่อหมอคลินิคหมาด้วยนะคะ ตั้งชื่อ หมอมาร์ค เขียนหมออาร์มได้ไง  กำลัง งง แฮร่ --

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
มันนี่จะเป็นอะไรมากไหมเนี่ย  :hao5:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
 :L1: เรื่องคะแนนติดลบ  .. เคยอ่านคำชี้แจงของการกดคะแนน
และ "ถ้า" เข้าใจไม่ผิด ...   
เหมือนว่า ถ้าเคยกด + ให้ครั้งหนึ่งแล้ว และกด "ซ้ำ" อีกครั้ง
มันจะกลายเป็น - นะคะ

แต่จำไม่ได้แล้วว่า คือการกดตรงไหน 555+


ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 22 เพื่อนพ่อ



ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่หมอมาร์คถูกตามตัวไป คุณป้า วิณณ์ต่างก็ตามหมอไปโดยมีผมเดินรั้งท้าย

“ลุง!”

“ลุงมาได้ยังไงครับ เดี๋ยว อย่าบอกนะว่าลุงรู้อยู่แล้วว่ามันนี่อยู่ที่นี่ โธ่ลุง ถ้าลุงรู้ทำไมไม่บอกพวกผมแต่แรกละครับ ปล่อยให้พวกผมตามหาจนเกือบออกทะเลแล้วเนี่ย”

“.....”

“แต่ลุงสบายใจได้ ฝีมือระดับพวกผมแล้ว นี่วันนี้ป้าแกก็มารับมันนี่กลับบ้านด้วยนะครับ”

“.....”

“เออ ว่าแต่ลุงมาทำไมเหรอ อ้อ...หรือว่าจะมาดูเพื่อความสบายใจก่อนจะไปใช่ม้า ไม่ต้องห่วงแล้วละครับ ลุงไปอย่างสบายใจได้เลย”

“.....”

“ลุง?.....เป็นอะไรเหรอครับ ทำไมเงียบ ไม่พูดไม่จาเลยละครับ”

“ลุงขอบคุณพวกคุณมากนะที่ช่วยให้คำขอของลุงเป็นจริงๆ”

^__^

“แต่ลุงขออีกอย่างได้ไหม...”

“อะไรเหรอครับ?”

“ช่วยดูป้าแกให้ลุงหน่อยนะ”

“ดู? ดูทำไม? มีอะไรเหรอครับ?”




“ป้า ป้าครับ ใจเย็นๆนะครับ”

“คุณป้าใจเย็นๆ แล้วฟังหมอก่อนนะครับ” ก่อนที่ลุงจะตอบคำถามผม ผมก็ได้ยินเสียงหมอ เสียงวิณณ์ที่คุยกับคุณป้า

“มันนี่อายุเยอะแล้ว ถึงจะไม่มากเมื่อเทียบกับอายุสุนัขที่จะมีได้ แต่ถ้าเป็นคนก็เป็นคนแก่ที่อายุ 60 แล้วนะครับ ร่างกายเขาเหนื่อยและล้ามาก ที่เขาอดทนมาได้ถึงขนาดนี้ถือว่ากำลังใจดีและเก่งมากนะครับ สิ่งที่หมออยากจะบอกคือ คุณป้าต้องตัดสินใจดีๆ นะครับว่าเราจะยื้อเขาให้อยู่ต่อหรือปล่อยให้เขาไป”

หืม...ยื้อ? ปล่อย? ผมมองไปที่มันนี่ที่อยู่ในห้อง จากที่เมื่อวานมันนี่ยังดูปกติ แต่ตอนนี้กลับต้องใส่ที่ครอบและมีสายต่อจากถังออกซิเย่นเข้าไป

“ลุง ลุงรู้?” ลุงพยักหน้าให้เขาเบาๆ

“ทำไม?”


“จริงๆ ลุงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันนี่มันไม่ไหวแล้ว แต่มันอดทน มันสู้ เพราะมันไม่อยากให้ป้าแกมาเจอและรู้ว่า ผัวก็ตายจากทั้งที่ไม่ได้ลา หมาที่เลี้ยงมารักเหมือนลูกก็ยังจะทิ้งไปอีก มันจึงอดทน อดทนรอ เพื่อบอกลาป้าแก…

…สิ่งที่ลุงทำได้คือ ลุงต้องหาทางทำยังไงก็ได้ให้มีคนพาป้าแกมาเจอมันนี่ จนลุงได้รู้ว่าลุงต้องหาวิญญาณที่มีหน้าที่ช่วยและรับคำขอร้องจากวิญญาณด้วยกัน ซึ่งก็คือคุณ”



ผมมองไปที่ลุง มองไปที่ป้า มองไปที่มันนี่ ความรู้สึกมันแน่น จุก จนพูดไม่ออก

ลุง วิญญาณที่ยังห่วงคนเป็นแม้จะจากไปแล้ว

มันนี่ ถึงจะเป็นแค่หมาแต่ก็มีหัวใจ ลุงกับป้าเลี้ยงและรักดั่งคนในครอบครัว สิ่งที่มันนี่จะตอบแทนได้จึงมีเพียงความซื่อสัตย์

ป้า ภรรยาที่ต้องเสียสามีทั้งที่ยังไม่ได้ลา พอจะเจอหมาที่แกเลี้ยงและรักเหมือนลูกกลับต้องมาร่ำรากันแล้วก็จากไปอีก ครอบครัวที่มีกันแค่นี้สุดท้ายกลับเหลือเพียงแกคนเดียว


“หมอคะ ขอป้าเข้าไปหามันนี่นะคะ”

“ครับ”


ป้านั่งลงข้างเตียงมันนี่ ค่อยๆลูบตัวไล่ไปถึงหลัง มืออีกข้างจับขาหน้าไว้พร้อมกับบีบเบาๆ มันนี่เหมือนพยายามจะลืมตาแต่ก็ลืมได้ไม่เต็มที่นัก แต่ปฏิกิริยาอัตโนมัตของหมาทั่วไปคือ มันกระดิกหาง

มันอาจจะรู้ ใช่...มันต้องรู้ซิ หมามันมีสัมผัสไวอยู่แล้ว กลิ่นของเจ้าของ สัมผัสของเจ้าของ และน้ำเสียงของเจ้าของ


“มันนี่ แม่มารับนะลูก ถ้าหนูเหนื่อยหนูนอนเถอะนะ แม่ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงแม่นะ ฝากหนูดูแลพ่อด้วยนะ พ่อนะชอบดื้อ หนูก็รู้ใช่ไหมลูก......”


คำพูดถูกกลืนหายไปกับเสียงสะอื้น


“ฮึก..ก แม่รักหนูนะลูก ฮึกก แต่แม่อยู่ได้ หนูไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะ เหนื่อยก็นอนนะลูก แม่....ฮึกก แม่…..ขอบ…..ขอบใจ หนูนะ ที่รอ…...ฮึกก แม่”


“นอนนะลูกนะ แม่อยู่ข้างๆ หนูตรงนี้แล้ว”  นั่นคือสิ่งที่ป้าเลือกทำ ปล่อยให้เขาไปในทางของเขา ไม่รั้งไว้เพื่อตัวเอง


ดวงตาของมันนี่ที่ผมเห็นเหมือนเขากำลังยิ้ม ยิ้มเพื่อให้แม่เข้มแข็ง ยิ้มเพื่อบอกแม่ว่าเขารักแม่นะ และยิ้มเพื่อบอกแม่ว่าไม่ต้องห่วงนะเขาจะดูแลพ่อเอง หลังจากนั้นดวงตาคู่นั้นก็ค่อยๆ หลับลง...หลับลง หางที่กระดิกกวัดเก่งตอบรับกับทุกการกระทำของป้า ก็ค่อยๆ เบาลง....เบาลง

และ....
.
.
.
นิ่งสนิทในที่สุด
.
.
.
มันนี่ไปแล้ว ไปในที่ที่เขาเลือกแล้ว
.
.
.
อยู่ข้างๆ พ่อที่เขารัก



“ไม่นานเราคงได้เจอกันและอยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง” คำพูดสุดท้ายของป้า ก่อนจะก้มลงจูบที่หัวของมันนี่



“ขอบใจคุณทั้งสองคนนะที่ช่วยทำตามคำขอของลุง”



ลุงยิ้มให้ผมก่อนจะเดินจากไป ชายสูงวัยที่มีสุนัขสีขาวเดินเคียงข้างไปพร้อมกัน




ผมกับวิณณ์อยู่เป็นเพื่อนคุณป้าจนจัดการเรื่องของมันนี่ที่คลินิกหมอมาร์คจนเสร็จ และอาสาขับรถไปส่งคุณป้าที่บ้านป้าบอกกับพวกเราว่าจะเผามันนี่ที่วัดเดียวกับที่จะจัดงานศพให้ลุง เผาเสร็จก็จะเอากระดูกไปลอยน้ำด้วยกัน ผมก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าวัดก็มีการทำศพและเผาสุนัขด้วย แต่ไม่ได้ถึงขนาดทำแบบคนซะทีเดียว แค่ทำบังสกุล มีพระสวดและก็เผาตามพิธีเท่านั้น วิณณ์จึงขออนุญาตป้าว่าจะขอมางานวันเผาด้วย ซึ่งป้าแกก็ยินดี

บนรถคุณป้าใจดีเล่าเรื่องให้ฟังว่าลุงกับป้ารักกันมานานมีกันอยู่แค่สองคนตั้งแต่หนุ่มๆสาวๆจนแก่ก็อยู่กันมาแบบนี้ ส่วนมันนี่เขาถูกซื้อมาโดยคนข้างบ้านเป็นของขวัญวันเกิดที่แฟนหนุ่มซื้อให้  แต่เพราะเวลาของเจ้าของหมดไปกับการทำงานมากกว่าอยู่บ้าน ระหว่างนั้นก็ได้ลุงกับป้านี่ละที่คอยช่วยดูแลให้

แล้ววันหนึ่งเจ้าของเก่าเขาก็เดินมาหาลุงกับป้าที่บ้าน โดยอุ้มมันนี่มาด้วยพร้อมกับบอกว่าเธออยากจะยกมันนี่ให้ลุงกับป้าเพราะเธอไม่มีเวลา เธอสงสารมันนี่ที่ต้องรออยู่บ้านแบบเหงาและเศร้า ถ้าจะต้องยกให้คนอื่น เธออยากให้คนนั้นเป็นลุงกับป้า ซึ่งลุงกับป้าก็ตอบรับทันทีเพราะดูแลเขามายิ่งนานวันความรักความผูกพันก็เพิ่มมากขึ้น


“เฮ้อออออ เขาคงอดทนมากเลยนะ อดทนรอให้ป้ามาหาเขา มาเพื่อบอกลากัน”

“ป้าครับ แล้วนี่ป้าต้องกลับไปอยู่ที่บ้านคนเดียวแบบนี้จะไม่เหงาแน่เหรอครับ”

“มันก็คงต้องมีบ้างแหละ บ้านหลังนั้นมันมีความทรงจำมากมาย มากเสียจนป้าเสียดายที่จะปล่อยทิ้งไว้ให้มันหายไปตามเวลา”

“ครับ...”  ผมเองก็คิดเหมือนกับป้า บางคนอาจคิดว่ามันแย่ที่เราจะเอาแต่จมกับอดีตจนต้องทิ้งมันไว้ข้างหลัง แต่มันไม่แย่เสมอไปหรอก มันอยู่ที่ว่าเราจะให้อดีตที่ผ่านมาบั่นทอนชีวิตเราลงหรือเอามันมาหล่อเลี้ยงตัวเองให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง เป็นเหมือนกำลังใจยามที่ท้อ หรือเป็นเหมือนบทเรียนที่เราจะนำมาแก้ไขข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


มันก็เหมือนโจทย์ที่เราเคยทำมาแล้ว อยู่ที่ครั้งต่อไปเราจะเลือกคำตอบอะไรให้กับโจทย์นั้น


ไม่นานรถก็มาถึงหน้าบ้านของป้า บ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้

“คุณจะเข้าบ้านมาก่อนไหมคะ”

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ”

“เอาอย่างนั้นเหรอคะ งั้นป้าขอบคุณคุณมากนะคะ ที่ช่วยเป็นธุระเรื่องต่างๆให้”

“ไม่เป็นไรครับป้า ถ้าป้ามีอะไรให้ผมช่วย บอกผมนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

“คะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ป้าไปละคะ”

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ้ะ”







“เฮ้ออออออออ”

“เป็นอะไรอีก ถอนหายใจยาวขนาดนั้น”

“สงสารป้าอะ สงสารลุงด้วย สงสารมันนี่ด้วย สงสารทุกคนเลย วิณณ์ไม่สงสารเหรอ”

“สงสารซิ แต่มันเป็นวัฏจักรของชีวิต คนเรามีเกิดแก่เจ็บตาย แต่ก็ไม่แน่หรอกนะตอนนี้วิณณ์พูดได้ก็เพราะเป็นเรื่องที่ห่างตัววิณณ์ ถ้าถึงวันที่วิณณ์ต้องเสียใครซักคนไปวิณณ์อาจจะทนไม่ได้ก็ได้นะ”

“อืม”

วิณณ์ขับรถกลับมาคอนโดเลยกว่าจะเสร็จเรื่องก็เย็นแล้ว และทันทีที่รถเข้ามาจอดผมก็มองเห็นจ่าเติมลงมาจากรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดรอไว้

“ผู้กอง”

“จ่า มาหาผมเหรอครับ”

“ใช่ซิครับ”

“มีอะไรด่วนหรือเปล่า”

“ความจริงมันก็รอพรุ่งนี้ได้หรอกครับผู้กอง แต่ผมใจร้อนเองเลยรีบมาหาผู้กอง” วิณณ์กับจ่าเติมเดินคุยกันไปจนถึงห้อง

“เรื่องอะไรที่ทำให้จ่าใจร้อนได้ขนาดนี้”

“ก็เรื่องไอ้โจ๊กแหละครับ”

“โจ๊ก?ลูกน้องไอ้เอ็มนะเหรอ”

“ถูกต้องเลยครับ ไอ้โจ๊กถูกจับเมื่อคืนนี้ข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกาย”

“พยายามฆ่า?ทำร้ายร่างกาย? ใคร?”

“พ่อไอ้โจ๊ก”

“หืม เดี๋ยวก่อนนะจ่า อย่าบอกนะไอ้โจ๊กทำร้ายพ่อตัวเอง”

“ก็ใช่นะซิครับผู้กอง เรื่องของเรื่องคือพ่อไอ้โจ๊กมันเสียพนันหมดตัวช้ำใจก็เลยไปกินเหล้า กลับบ้านมาพอแม่ไอ้โจ๊กเห็นสภาพก็เลยเกิดมีปากเสียงกัน พอแม่มันจะโทรไปฟ้องไอ้โจ๊กเท่านั้นแหละครับ ผัวก็ประเคนทั้งมือทั้งเท้าใส่ไม่ยั้งเลย เพราะมันกลัวถ้าไอ้โจ๊กมาไอ้เอ็มก็ต้องมาด้วย มันกลัวว่าครั้งนี้จะไม่ได้แค่หยอดน้ำข้าวต้ม กลัวว่าต้องไปนอนรอกินข้าวเวลาคนมาเคาะเรียกข้างโลงแทนนะครับ”

“...........แต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”

“ใช่ครับ แม่ไอ้โจ๊กต้องนอน รพ. พอมันรู้เท่านั้นแหละครับ ไอ้โจ๊กกลับมาอัดพ่อมันจนเละถ้าคนแถวนั้นไม่ห้ามมันคงได้ฆ่าพ่อแท้ๆ ตายคามือแน่ๆ”

“....”

“เพราะอย่างนี้พ่อมันก็เลยแจ้งความจับลูกตัวเอง แถมไม่ยอมถอนแจ้งความด้วยนะครับ”

“ก็คงจะโกรธน่าดู”

“เรื่องด่วนมีแค่นี้?” ผมถามเป็นเชิงเปิดประเด็นเพราะคิดอยู่แล้วละว่าจ่าเติมคงไม่ได้มาหาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

“แหม ผู้กองถามเหมือนจะรู้ว่าเรื่องไม่หมดแค่นี้”

“หึหึ”

“เรื่องคดีคุณแอนที่ให้สายเราไปสืบนะครับ ท่าทางมันจะใหญ่กว่าที่เราคิด”

“…...???”

“สายเราแจ้งว่าเสี่ยที่คุณแอนเธอไปยุ่งเกี่ยวด้วยชื่อ เสี่ยชัย เป็นหนึ่งในผู้ค้ายารายย่อยของแก็งค์ที่เราตามอยู่ แต่เพราะความโลภมันดันเอายาจากที่อื่นที่ต้นทุนต่ำกว่ามาขายในที่ของนายใหญ่พวกไอ้เอ็มก็เลยถูกสั่งเก็บ”

“แล้วเสี่ยคนนั้นละ”

“ยังไม่รู้เลยครับผู้กอง ที่แน่ๆ เสี่ยชัยก็น่าจะโดนด้วย แค่เรายังไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเท่านั้นเอง”

“อยากรู้จริงๆ นายใหญ่มันคือใครกันแน่”

“ขนาดสายเราที่ปนอยู่กับพวกมันมานานยังไม่รู้เลยครับผู้กอง” จ่าเติมนอนเอกขเนกบนโซฟาพูดอย่างสบายใจ จะชิลไปไหนละเนี่ย “แต่คงต้องใหญ่น่าดูเพราะเห็นว่ารู้จักเส้นสายเยอะนะครับ ที่สำคัญมีแบล็คดีด้วย”

“แบล็ค?”

“พวกมันลือกันว่ามีตำรวจใหญ่หนุนหลังอยู่ เลยรอดมาทุกวันนี้”



บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ พูดคุยเรื่องงาน เรื่องคดี หาข้อมูลแรงจูงใจไปเรื่อย บางทีจ่าเติมก็นินทาเผาเมีย บางทีก็เล่าความซนซ่าของลูกชายให้ผู้กองฟังบ้างจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ชั่วโมงที่สอง จ่าเติมจึงขอตัวกลับก่อนเมื่อเห็นว่าเวลาเหมาะสมแก่การกลับซะที


“ผมกลับก่อนดีกว่าครับผู้กอง ขืนดึกกว่านี้เมียบังเกิดเกล้าจะตัดเงินค่าข้าวผมไปอีก รู้ไหมครับเดือนนี้มันให้ผมมาทำงานวันละ 60บาท วันไหนต้องเติมน้ำมันต้องไปขอมันเพิ่มเท่านั้น แถมยังต้องเอาบิลกลับมาให้มันดูอีก”

“ฮาๆๆ เอาน่าจ่า พี่ดาวเขาก็ห่วงจ่านะแหละ”

“ครับๆ ห่วง ห่วงมากกกก นี่ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามีเมียหรือแม่กันแน่ ผมไปละครับผู้กอง

“กลับดีๆ ละจ่า”

“รับทราบครับผม”

วิณณ์เดินไปส่งจ่าเติมที่หน้าประตูห้อง วิณณ์กำลังจะปิดประตู จ่าที่ยังไม่ทันพ้นประตูดีก็หันกลับมาซะก่อน

“เดี๋ยวครับผู้กอง”

“หืม”

“แหะๆ ลืมครับ ถ้าผมลืมอันนี้ไปจริงๆ พรุ่งนี้ผมตายแน่”

“ลืมอะไร?”

“ผมลืมบอกผู้กองว่า พรุ่งนี้ ผู้กำกับเรียกพบนะครับ 9โมงเช้านะผู้กอง”

“เรียกเรื่องอะไรจ่ารู้ไหม”

“ผมก็ไม่รู้นะผู้กอง....” 


Rrrrrrrr  “โอ้ว นังเมียโทรตามแล้วครับ ผมไปก่อนนะผู้กอง พรุ่งนี้เจอกันที่ สน. แล้วอย่าลืมนัดของผู้กำกับนะครับ”


แล้วจ่าเติมก็วิ่งไปด้วยความไวแสง





วิณณ์มาถึง สน. ตั้งแต่ 8โมงครึ่งเพราะผู้กำกับเรียกให้มาพบแต่เช้าโดยที่ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องด่วนอะไร จะว่าช่วงนี้ผมไปทำอะไรทับเส้นใครเขาก็ไม่น่าใช่ เพราะวันๆ ก็เอาแต่ตามคดีของตะวัน คดีที่ตัวเองรับผิดชอบก็ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง แต่ที่ยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่ก็เพราะหลักฐานยังมีไม่เพียงพอ

ผมยังไม่สามารถสาวถึงตัวการใหญ่เจ้าพ่อค้ายาได้ พอจะได้ตัวพวกหางแถวมา ยังไม่ทันได้ข้อมูลก็เป็นอันต้องถูกตัดตอนไปทุกที แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่าโชคจะเข้าข้างผม เพราะคดีคุณแอนที่เกิดขึ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่ผมตามอยู่ ผมแค่ต้องหาหลักฐานเชื่อมโยงให้ได้เท่านั้น


ก๊อก ก๊อก

“เชิญ”

“ขออนุญาติครับ  …....เอ่อ ท่านมีแขก ไว้ผมมาใหม่”

“ไม่เป็นไรผู้กอง ที่ผมตั้งใจให้คุณมาพบเช้านี้ก็เพราะจะแนะนำแขกคนนี้ให้รู้จัก”

“ครับ”

“เข้ามาก่อนซิ” เมื่อผู้ใหญ่เขื้อเชิญวิณณ์หรือจะกล้าขัด ผู้ชายใส่สูทหรูราคาแพง พร้อมบอดี้การ์ดอีกสองคน ท่าทางจะไม่ธรรมดา

“ผู้กองนี่คือคุณยงยุทธ แต่เพื่อความสนิทสนมเรียกว่าอายงยุทธจะดีกว่า”

“อายงยุทธ?”

“ใช่ เรียกอานะถูกแล้ว” ผมหันไปทางผู้ชายคนนั้นที่แทนตัวเองว่าอาแล้วพูดกับผม

“เอ้า อย่ามัวแต่ทำหน้า งง มานั่งก่อน มาคุยกันก่อนเถอะวิณณ์ตามประสาอาหลาน”


ผมเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวที่เหลือว่างอีกตัว ทั้งชีวิตผมรู้จักเพื่อนสนิทพ่อแค่คนเดียวคืออาพงษ์ ที่เป็นทั้งผู้บังคับบัญชา และเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนพ่อโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้อีกคนหนึ่ง ผมก็งงนะซิครับ


“ผมเพิ่งจะรู้ว่านอกจากอาพงษ์ พ่อยังมีเพื่อนคนอื่นอีก”

“หึหึ วิณณ์ งง ก็ไม่แปลกหรอก อายุทธนะเขาเป็นนักธุรกิจงานการเยอะยุ่งตลอด ขนาดอากับพ่อเราตอนยังมีชีวิตอยู่กว่าจะได้เจอยังยากเลย เดี๋ยวก็บินไปประเทศนั้น ประเทศนี้ อย่างนี้แหละมันถึงได้รวยเอาๆ”

“โอ้ย พงษ์นายก็พูดเกินไป รวยเอาๆ อะไร กำไรบ้างขาดทุนบ้างตามสภาวะเศรษฐกิจ พอมีพอกินนะอย่าไปเชื่ออาพงษ์มันมาก มันพูดโอเว่อร์”

“แต่ดูจากเสื้อผ้าของใช้ของอาแล้วผมว่าอาพงษ์น่าจะพูดถูกนะครับ”

“ฮาๆ ไอ้หลานคนนี้มันพูดถูกใจ”

“ว่าแต่อาเป็นเพื่อนสมัยเรียนของพ่อเหรอครับ”

“ใช่ พวกเราสามคน อา อาพงษ์และพ่อเรานะเป็นเพื่อนเรียนกันมา เรียกว่ารักกันซี้ปึกเลยละ แต่อาไม่ชอบเรียนตำรวจ อาก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอก ก็เลยต้องแยกจากพวกมันสองคนนี่ละ ใช้ชีวิต เรียน ทำงานอยู่โน่นก็หลายปีอยู่ เพื่อนก็ขาดการติดต่อกันไป แต่พอวันหนึ่งอาเริ่มเบื่อชีวิตที่ อาเลยตัดสินใจกลับมาที่นี่สร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา”

“นี่ไงอาถึงได้บอกว่ามันบ้าทำธุรกิจ ขนาดกลับมาอยู่ไทยแล้วนะเจอกันนี่นับครั้งได้เลย งานศพพ่อเรานะมันยังติดงานที่ต่างประเทศกลับมาไม่ได้เลย”

“พงศ์ นายจะพูดให้เรารู้สึกผิดทำไมอีกละเนี่ย อาต้องขอโทษวิณณ์นะที่ไม่ได้มางานศพพ่อเรา”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แต่อากับวิณณ์เราเคยเจอกันนะ แต่ตอนนั้นเรายังเด็กคงจำไม่ได้หรอก”

“ผมต้องขอโทษอา ผมจำไม่ได้จริงๆครับ”

“ไม่เป็นไรๆ ตอนนี้ก็เจอกันแล้ว รู้จักกันแล้ว ถ้าอนาคตอาติดปัญหาไว้จะมาขอความช่วยเหลือจากเราบ้างนะผู้กอง”

“ก็ถ้าเรื่องที่ให้ช่วยมันไม่ได้ผิดหรือลำบากอะไร ผมยินดีช่วยครับ”

“ฮาๆๆ เออมันเหมือนพ่อมันจริงๆเว้ย ท่าทางจะเลือดพ่อแรง”

“อย่าได้แหยมกับมันเลยละไอ้ยุทธ ไอ้หลานชายคนนี้เลือดพ่อมันแรงจริง”


ผมอยู่คุยด้วยอีกสักพักก่อนจะขอตัวออกมาเพื่อทำงานต่อ อีกอย่างก็เพราะผมจำไม่ได้หรือเรียกว่าไม่มีความทรงจำของเพื่อนพ่อคนนี้เลย



นายยงยุทธ อัศวเมฆา เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และมีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศตอนนี้






///////////
-ปริศนาเอ๋ยจงซับซ้อนขึ้นอีก   นั่นคือความคิดของคนเขียน แต่จะทำได้ไหมเราจะพยายามไปด้วยกัน >///<

555 สงสัยจะอ่านคินดะอิจิมากไปหน่อย
/////////

ปล.1 ที่ล่าช้าเค้าไม่ได้ลืมน้า แต่เพราะมีมิชชั่นแต่งนิยายประกวดอยู่ ช่วยอวยพรให้เข้ารอบกับเค้าด้วยนะจ้ะ สาธุ.....
ปล.2 ถ้าสนใจอยากลองอ่านแอบกระซิบให้เค้าชื่นใจหน่อยนะ หรือ ไปที่นี่เลยย http://www.tunwalai.com/story/239533



ขอบพระคุณคร้าาาา

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อาคนนี้เป็นคนดีไหมหนอ  :hao4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อยู่ ๆ ก็มีเพื่อนพ่อมาปรากฏตัว น่าสนใจ ๆ

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 23 วางแผน



“โว้ยย เอาไงดีวะพี่ ไอ้โจ๊กแม่งบ้า ใจร้อน ผมบอกมันแล้วนะพี่ว่าอย่าๆ”

เอ็มกับซีนเริ่มอยู่ไม่สุข เพราะหนึ่งในแก็งค์คือโจ๊กถูกตำรวจจับและตอนนี้ก็เข้าไปนอนในคุกเรียบร้อย คดีที่ก่อไว้ก็ยังค้างคาอยู่ ดันมาถูกจับเพราะคดีอื่นซะก่อน ทำให้พะวงว่าคดีจะถูกโยงมาถึงกันได้ ถึงแม้ตำรวจจะยังสาวมาไม่ถึงตัวตอนนี้ก็ตามเถอะ

“ให้เป็นแม่มึงบ้างคงอยู่เฉยได้หรอกนะ ตอนนี้คิดก่อนดีกว่าว่าจะช่วยมันยังไง”

“ช่วยไงละวะพี่ นายก็โกรธพวกเราอยู่ ไม่รู้ตำรวจแม่งจะเล่นแง่อะไรกับไอ้โจ๊กมันไหม ถ้าเกิดตำรวจมันเค้นสอบ แล้วไอ้โจ๊กเกิดหลุดมาเราจะทำไงวะพี่”

“...กูเชื่อว่ามันไม่หักหลังกูแน่”

“โธ่เว้ยยย เพราะอิผู้หญิงนั่นคนเดียวเลยถ้าไม่เสือกชอบทำตัวเป็นคุณนายเดินเซลฟี่แม่งรอบบ้านไอ้เสี่ยชัย มันก็คงไม่มีรูปพวกเรากับของหรอก”

“....”

“แล้วดูดิพวกเราต้องมานั่งตามล้างตามเช็ดเรื่องของมัน มีคดีติดตัวทั้งค้ายา ฆ่าคนตาย แถมยังซวยเพราะหาไอ้เมมบ้านั่นให้นายไม่ได้อีก ตายแล้ว แม่งยังทิ้งปัญหาไว้อีก”

“มึงบ่นไปแล้วได้อะไร คิดเรื่องช่วยไอ้โจ๊ก แล้วก็จัดการงานที่นายสั่งให้จบดีกว่าไหม ก่อนที่นายจะส่งมึงกับกูไปเป็นเพื่อนไอ้สองคนนั่น”

เอ็มรู้แค่ว่าตอนนี้เขาต้องสู้แบบหัวชนฝา ทำไม่ตาย ไม่ทำก็ตาย แต่ที่เขายอมทำเพราะบางทีมันอาจจะช่วยเป็นเครื่องต่อรองให้เขารอดก็ได้ เอ็มเชื่อว่าตำรวจน่าจะได้เมมนั่นไปแล้ว งั้นที่ต่อไปที่เขาจะต้องไปก็คือ โรงพัก
 
แต่เขาจะทำยังไงที่จะเข้าไปโดยไม่ให้ถูกสงสัย จะให้เดินดุ่มๆ เข้าไปถามหาก็ไม่มีทาง การเข้าไปมันก็เหมือนเอาขาข้างหนึ่งแหย่เข้าไปในกรงขังด้วยตัวเอง



 “พี่ พี่ พี่เอ็ม ผมพามันมาแล้วพี่”

“.......” เอ็มหันไปมองคนที่ลูกน้องเขาพามาด้วย

“ไอ้นี่แหละพี่ มันเป็นคนคอยส่งข้าวที่โรงพักทุกวัน มันรู้ทุกซอกทุกมุม โต๊ะไหนของใคร ตรงไหน”

“เออ พอ กูถามมันเองได้.....เฮ้ย มึงอะ มึงรู้หมดอย่างที่ไอ้ซีนมันพูดจริงไหม”

“ครับพี่ ผมส่งข้าวที่โรงพักทุกวัน ผมต้องรู้ว่าโต๊ะไหนของใครเพราะต้องเอาข้าวไปให้เขาอยู่แล้ว”

“เออดี”

“ว่าแต่พี่จะให้ผมทำอะไรเหรอพี่”

“ช่วยกูป่วนโรงพักนิดหน่อย”

“เฮ้ยพี่ ถ้ามันเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง ผมไม่เอานะพี่ ได้เงินมามันก็ไม่คุ้ม”

“แล้วมึงคิดว่ามึงจะปฏิเสธกูได้ไหมละ?”

คนถูกถามได้แต่มองหน้า ที่ไม่ตอบก็เพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว ถ้าขืนเขาปฏิเสธไปเขาไม่รู้ว่าสภาพกลับออกไปจะเป็นยังไง ที่ทำได้ก็แค่พยักหน้า

“เออดี มันไม่ได้ยากอะไรหรอก มึงแค่ไปทำยังไงก็ได้ให้พวกกูเข้าไปในโรงพักช่วงที่ไม่มีตำรวจ”

“หา......จะทำยังไงละวะพี่”

“มันหน้าที่มึงคิด ไม่ใช่กู”
.

.

.

.
“เร็วไอ้ซีน รีบจัดการให้เสร็จก่อนที่พ่อมึงจะแห่มา” เอ็มกับซีนอยู่ในชุดช่างซ่อม

นกต่อที่ไอ้ซีนหามาก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เวลาแค่วันเดียวหลังจากที่เอ็มให้มันไปจัดการ มันก็ส่งข่าวมาบอกว่าพรุ่งนี้ให้พวกเอ็มกับซีนเตรียมตัว ทำยังไงก็ได้ให้เหมือนช่างซ่อมท่อน้ำ มันจะทำให้ห้องน้ำบนชั้นสองของโรงพักตันจนน้ำล้นออกมา และต้องปิดห้องน้ำชั้นหนึ่งด้วยเพราะต้องดูว่ามีท่อตรงจุดอื่นมีปัญหาไหม

ถือว่าเด็กวิ่งงานคนนี้มันฉลาด เลวพอตัวเหมือนกัน

ถึงมันจะดูน่าสงสัย ที่อยู่ดีๆ ก็มีช่างซ่อมมาไวและมาเช้าซะเหลือเกิน แต่เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า มีคนมาแก้ไขให้แล้วมันก็มีเหตุผลพอที่จะปล่อยผ่านไม่สนใจได้

เอ็มหยุดชะงักพร้อมกับดึงลูกน้องให้กลับเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงคนพูดอยู่ด้านนอก



“อ้าว.....ห้องน้ำเป็นไรวะเนี่ย........ดาบ  นายดาบ”

“ครับ จ่าเติม”

“ห้องน้ำฝั่งห้องผู้กองวิณณ์เป็นอะไร”

“เห็นช่างมาซ่อมแต่เช้าแล้วครับ เหมือนท่อจะตันอะไรซักอย่าง”

“เออมาแต่เช้าเลยเหรอวะ ใครตามมาละ”

“ผมไม่แน่ใจนะจ่า อาจจะเป็นนายสิบที่ออกเวรไปแล้วมั้งครับ”

“เออๆ หึ่ยยย ไม่ไหวแล้วเว้ย ไปเข้าห้องข้างล่างก็ได้วะ”

“ห้องข้างล่างก็เสียครับจ่า”

“หะ!!! มันมาเสียอะไรตอนนี้พร้อมกันวะ”

“เออ เดี๋ยวไปเข้าห้องด้านหลังก่อนก็ได้”

“มันจะเสียอะไรตอนนี้พร้อมกันวะ” จ่าเติมยังไม่วายหันมาบ่นเมื่อเห็นป้ายห้ามเข้าที่ห้องน้ำชั้น1 ส่วนขาก็รีบจั้มเพราะถ้าช้าไปมันจะไม่ทันการ เหตุน่าจะมาจากต้มยำเมื่อคืนที่เมียรักไปซื้อจากตลาดมาให้ทำให้ท้องเขาต้องมาปั่นป่วนแต่เช้า



“แม่งจะมาอะไรแต่เช้าวะ เสือกไม่ขี้ที่บ้านให้เรียบร้อยก่อนวะ แม่งง”

“มึงรีบไปดูต้นทาง”

ซีนรีบทำตามจัดการดูต้นทางตามแผนที่วางไว้ เขาแกล้งทำน้ำล้นออกมาด้านนอก และเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดไว้เพื่อคอยดูต้นทาง ส่วนเอ็มเข้าไปหาของซึ่งเขารู้ดีว่าจะต้องไปหาที่ไหน ‘ห้องผู้กองวิณณ์’

เอ็มค้นทุกตารางนิ้วภายในห้อง โต๊ะทำงาน ลิ้นชัก ตู้เอกสาร แต่ก็ไม่พบ


ปึงงงงงง
 
“แม่งเก็บไว้ไหนวะ” เอ็มทุบโต๊ะด้วยอารมณ์ขุ่นมัว


“เป็นไรพี่?”

“ไม่มีไร มึงไปดูต้นทางต่อไป” เมื่อลูกพี่บอกอย่างนั้นซีนก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ แต่เมื่อหันกลับมาซีนก็ต้องเจอกับแขกไม่ได้รับเชิญ


“เฮ้ยไอ้น้องใกล้เสร็จหรือยัง อ้าว...ทำไมน้ำมันล้นออกมาเลอะไปหมดเลยวะ”

“เมื่อกี้ท่อมันล้นน้ำเลยพุ่งออกมานะพี่ แต่ว่าใกล้เสร็จแล้วละไม่ต้องห่วงครับพี่”

“เออรีบหน่อยก็ดีนะ นายพี่จะมาแล้วเดี๋ยวพี่ซวยไปด้วย”

“ครับ ครับ”



ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าเดินออกไป



“พี่เอ็มไปแล้วพี่ จัดการต่อได้เลย” เมื่อลูกน้องบอกเอ็มก็ไม่รอช้า ตอนนี้เขาต้องแข่งกับเวลาที่กระชั้นเข้ามา ต้องรีบหาก่อนที่จะโดนจับได้ เอ็มใช้เวลาอีกกว่า 20นาทีสุดท้ายก็ต้องถอดใจเพราะหายังไงก็ไม่เจอ เอ็มกับซีนจัดการเคลียร์หลักฐานที่ได้สร้างไว้ ก่อนจะกลับออกมา

“หรือมันจะไม่มีไอ้เมมบ้านั่นวะพี่”

“มึงกับกูก็เห็นด้วยกันว่าอิผู้หญิงนั่นมันเอาไปโชว์ให้เพื่อนมันดู”

“หรือจะอยู่กับเพื่อนมัน”

“มึงบอกกูเองนะไอ้ซีน ว่าอิผู้หญิงนั่นมันเก็บเมมใส่กระเป๋าไปด้วย ก่อนที่พวกเราจะตามไปปิดปากมัน แล้วมันจะเอาเวลาไหนเอาไปให้เพื่อน”

“เออ จริงด้วยวะพี่”

“บางทีกูก็สงสัยนะ ว่ามึงแกล้งหรือเป็นจริง”

“เป็นอะไรพี่?”

“เป็นควาย!! ไงไอ้สัส”

“โห พี่ ด่าผมไมวะ”

เอ็มไม่ได้สนใจกับคำพูดที่ลูกน้องพูดออกมา เพราะถึงต่อให้โดนด่ายังไง มันก็ไม่สำนึก ด่าไปไม่ถึง5นาทีมันก็กลับมาพูดได้ต่อเหมือนเดิม

“ห้องอิผู้หญิงนั่นก็ไม่มี โรงพัก ห้องทำงานไอ้ผู้กองก็ไม่มี แล้วมันจะไปอยู่ไหนวะพี่”

ผมอาจจะพูดผิด ไม่ใช่ 5นาที แค่ 1นาทีเท่านั้น มันเงียบแค่ 1นาทีแล้วก็กลับมาพูดต่อ

ในเมื่อไอ้ซีนยืนยันว่ามันเห็นผู้หญิงคนนั้นเก็บเมมไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ตามไปและปิดปากเธอซะ แน่นอนเธอไม่มีเวลาเอาไปให้ใครแน่ๆ ก็แสดงว่าเมมนั่นต้องอยู่ในห้อง แต่เมื่อพวกเขาไปหาแล้วไม่มี นั่นก็หมายความต้องมีคนอื่นได้ไปแล้ว ซึ่งคนอื่นนั้นเอ็มคิดว่าต้องเป็นพวกตำรวจแน่ๆ


ห้องผู้หญิงคนนั้นไม่มี

ที่โรงพักก็ไม่มี

ก็เหลือที่น่าสงสัยคือ ‘ไอ้ผู้กองวิณณ์’


การเข้าโรงพักว่ายากแล้ว การเข้าใกล้ตัวไอ้วิณณ์ยิ่งยากกว่า
.

.

.

.

.
[วิณณ์]

อาทิตย์นี้ผมต้องกลับบ้านแต่ก่อนกลับผมจะแวะไปหาแม่ตะวันที่บ้านเพราะวายุส่งข่าวมาบอกว่าตะวันถูกย้ายตัวกลับมาบ้านแล้ว ผมไม่ได้รู้ก่อนว่าตะวันจะย้ายเพราะเรื่องทั้งหมดพ่อตะวันเป็นคนจัดการ ประกอบกับแม่ของตะวันเกรงใจเลยไม่ได้บอกผม ส่วนนายวายุที่เพิ่งมาบอกผมก็เพราะเห็นว่าติดธุระอะไรซักอย่างเลยลืม

มันน่าซะจริง

ถึงจะเคยมาแค่ครั้งเดียวแต่ก็ไม่ยากสำหรับผม เพราะผมมันพวกจำแม่นอยู่แล้ว


“ตื่นเต้นเหรอ”

“ตื่นเต้นดิ มากๆ ด้วย....เออ ว่าแต่วิณณ์ไปบ้านเราถูกเหรอ?”

“ถูกซิ เคยมาแล้ว”

“จริงอะ? ตอนไหน”

“ก็ตอนใครบางคนหนีไปเที่ยว ทิ้งให้วิณณ์รอนั่นแหละ”


แหนะ นิ่ง ไม่ตอบ แล้วยังมาทำหน้ามุ่ยอีก เฮ้อออ เด็กหนอเด็ก


“วิณณ์ แกล้งเราอีกแล้วนะ”

“แกล้งอะไร ก็ผมตะวันนุ่มดีอะ ทำไมผมถึงนุ่มได้ละ เป็นวิญญาณสระผมด้วยเหรอ”

“เอ้า นี่ก็ถามแปลกจะไปสระได้ไงละ คราวก่อนฝนตกวิณณ์ก็เห็นเรายังไม่เปียกซักแอะ”

“เออจริง แต่วิณณ์ชอบนะ นุ่มดี อยากจับทั้งวันเลย”

“ถอดหัวเอาไปจับเลยไหมละ”

“ได้จริงอะ”

“โวะ นี่ก็พูดเล่นไหมละ ขืนเราถอดหัวได้วิณณ์คงวิ่งหนีไปแล้วละ”

“ฮาๆ ไม่หรอก ถ้าเป็นตะวันยังไงวิณณ์ก็ไม่กลัว”

“ให้มันจริงเหอะ”


ไม่นานพวกเราก็มาถึง ผมเอารถจอดเทียบที่รั้วบ้านของตะวัน




อ๊อด อ๊อด


“อ้าวผู้กอง สวัสดีคะมาได้ยังไงคะเนี่ย”

“สวัสดีครับ ผมมาเยี่ยมคุณน้ากับตะวัน” แม่ของตะวันเดินมาเปิดประตูและเมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอก็ดีใจยิ้มต้อนรับให้กับผู้มาเยือน

“ดีใจจังคะ นี่แสดงว่ารู้แล้วใช่ไหมคะว่าตะวันกลับมาอยู่บ้านแล้ว น้าว่าจะบอกผู้กองอยู่เหมือนกัน แต่ยุ่งๆ เลยยังไม่ได้บอกนะคะ”

“ครับ”

“เข้ามาก่อนจ้ะ ว่าแต่ใครบอกผู้กองเหรอคะ”

“วายุนะครับ”

“แหม หลานคนนี้มันไวจริง”

“คุณน้าสบายดีไหมครับ

“สบายดีจ้ะ แล้วผู้กองละคะเป็นยังไง งานคงยุ่งน่าดู”

“ก็นิดนหน่อยนะครับ”

“จ้ะ มาเถอะจ้ะเข้าบ้านก่อน ที่มาเนี่ยคงไมได้มาหาน้าอย่างเดียวหรอกใช่ไหม” แม่ของตะวันยิ้มให้ผม ความจริงผมก็ไม่ได้มาหาคุณน้าอย่างเดียวหรอกครับ ผมอยากมาหาตะวันด้วย ผมเดินตามแม่ของตะวันเข้าบ้านไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามประตู

“ตะวันมีอะไร ทำไมไม่เข้ามาละ”

“เข้าไม่ได้อะ”

“ทำไม?”  ตะวันชี้มือไปที่ศาลพระภูมิหน้าบ้าน

“เอ้า บ้านตัวเองแท้ๆ ท่านเจ้าที่ไม่อนุญาติให้เข้าเหรอ”

“บ้านตัวเอง แต่เราเป็นวิญญานนะ วิณณ์ขอให้หน่อยซิ”

“โอเคๆ รอแปปนะ”  ผมเดินเข้าไปที่หน้าศาลพระภูมิและยกมือไหว้ เพื่อบอกกล่าวขอให้ตะวันได้เข้าบ้านได้


“ผู้กอง ทำอะไรอยู่เหรอคะ” แม่ของตะวันเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ไม่เห็นแขกเดินตามเข้ามา แถมยังมีท่าทีแปลกๆ เหมือนกำลังคุยกับใครก่อนที่จะไปไหว้ที่ศาลพระภูมิ

“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ”  ผมหันไปหาตะวันเมื่อเจ้าตัวพยักหน้าและเดินผ่านประตูเข้ามาได้แล้ว เข้าจึงเดินตามแม่ของคนตัวเล็กเข้าไป

แม่ของตะวันเดินนำเข้าไปแต่แทนที่จะให้แขกนั่งที่โซฟาห้องรับแขกเธอกลับเดินนำเข้าไปยังห้องด้านหลังของบ้าน

“ห้องนี้เป็นห้องนอนของตะวันนะจ้ะ ตะวันเขาชอบธรรชาติ เงียบๆ ห้องนี้เลยถูกใจเขาที่สุด ด้านหลังเป็นคลองเล็กๆ กับต้นไม้ ทำให้มีลมพัดเย็นตลอด”

“เย็นดีจริงๆ ด้วยครับ”

“จ้ะ รอน้าก่อนนะ เดี๋ยวน้าไปเอาน้ำมาให้”

“ไม่เป็นไรครับ รบกวนเปล่าๆ”

“ไม่ได้จ้ะ เป็นแขกของน้า ของตะวันจะปล่อยให้หิวน้ำได้ยังไงนั่งรออยู่นี่ คุยกับตะวันไปก่อนนะ”

“ครับ”


แม่ของตะวันเดินออกไป ปล่อยให้ผมและเจ้าของร่างได้อยู่ในห้องตามลำพัง ตะวันเดินเข้าไปใกล้ร่างของตัวเองที่นอนนิ่ง

“เอาแต่นอนนะเราอะ ดูดิอ้วนเป็นหมูแล้ว” ตะวันพูดขึ้นกับร่างของตัวเอง ก่อนจะเอิ้อมมือไปเพื่อจะแตะตัวเอง “โอ๊ย.....”  ตัวของตะวันกระเด็นออกมา และทันทีที่ได้ยินเสียงร้องผมก็คว้าตะวันเข้ามากอดและนั่นก็ทำให้เราทั้งคู่ล้มลงไปนอนกับพื้นโดยที่มีตะวันนอนอยู่บนตัว

“อะไร ตะวันเป็นอะไร”  ผมถามขึ้นทันที

“ไม่รู้อะวิณณ์ ตะ...ตอนที่เรากำลังจะแตะตัวเอง ก็เหมือนถูกดีดออกไปทั้งที่ยังไม่ได้ถูกตัวเลยนะ”

“แล้วเป็นอะไรตรงไหนไหม”

“ไม่อะ วิณณ์อะเจ็บไหม”

“ไม่เท่าไหร่ ก็แค่.....”

“แค่? แค่อะไร ไหนบอกไม่เจ็บไง”

“ก็ไม่เจ็บไง ก็แค่....หนักอะ”

“โว๊ะ คนอุตส่าห์เป็นห่วง แล้วจะปล่อยได้ยังเนี่ยจะได้ลุก”

“เดี๋ยวดิ”

“หืม?”

“ว่าแต่ก็แปลกเนอะ”

“แปลกอะไร”

“แปลกที่......ทำไมวิณณ์กอดตะวันได้แบบนี้ด้วยละ” คนฟังคิดยังไงเขาไม่รู้  แต่เขานะคิด ทั้งตัวทั้งผมของตะวันมันช่างนุ่มนิ่มน่ากอดไปหมด  “ตะวันเป็นอะไรทำไมหน้าแดง” โอเค เขารู้ละว่าคนฟังคิดไหม หึหึ

“พอเลย ลุกได้แล้ว”

“ทำ....มะ..!” 

“ว้าย ผู้กองลงไปนอนทำไมตรงนั้นคะ” ยังไม่ทันทีที่วิณณ์จะพูดจบ แม่ของตะวันก็เปิดประตูเข้ามาซะก่อน วิณณ์คลายมือที่กอดตะวันออกแล้วยันตัวเองลุกขึ้นมายืน

“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ ผมไม่ทันระวังเลยลื่นนะครับ”

“อุ้ย เจ็บไหมคะมานั่งก่อนคะ เดี๋ยวน้าเอายามาทาให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เจ็บอะไรเลย”

“แน่นะคะ”

“แน่ครับ แหะๆ” คนเป็นแม่มองอย่างชั่งใจ เธอแอบสงสัยและคิดว่าผู้กองต้องมีอะไรสักอย่างแน่ แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดจะถูกไหมพูดไปคนอื่นก็ต้องหาว่าเธอบ้าแน่ๆ หลายครั้งที่การกระทำบางอย่างของผู้กองมันแสดงออกจนเธออดคิดไม่ได้ว่า.......ผู้กองไม่ได้อยู่คนเดียว

“ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร นี่น้ำจ้ะ”

“ขอบคุณครับ ว่าแต่ วายุ ไม่อยู่เหรอครับ”

“ไม่อยู่หรอกคะ ช่วงนี้เห็นว่ากำลังทำคะแนนอยู่”

“ทำคะแนน?”

“คะแนนจีบสาวนะคะ”

“อ้อ....”

“แต่ปกติถ้าวายุไม่ได้ไปไหนเขาก็มาอยู่เป็นเพื่อนน้าไม่ต้องห่วงหรอกคะ ถ้าเขาออกไปข้างนอกเขาก็จะมาหาน้าก่อนออกไป พอกลับมาก็จะมาหาอีกที”

“ดูเขารักคุณน้ากับตะวันมากนะครับ”

“คะ วายุเขารักตะวันมาก อยู่ด้วยเล่นด้วยกันมาแต่เด็ก วายุเขาจะคอยดูแลตะวันตลอด”

“ครับ” รู้สึกดีที่ตะวันมีพี่ที่ห่วงและรักแบบนี้ แต่ทำไมความคิดในใจเขามันกลับตรงข้าม ไม่ถูกใจเลยแฮะ


วิณณ์นั่งคุยกับแม่ของตะวัน แม่ของตะวันจึงเล่าให้ฟังว่าพ่อกับน้องชายของตะวันเป็นธุระจัดการเรื่องทั้งหมด รวมถึงพยาบาลพิเศษที่จะมาอาทิตย์หน้าพ่อของตะวันก็เป็นคนจัดการ ผมเคยเจอพ่อตะวันแต่น้องชายผมยังไม่เคยเจอไม่รู้ว่าหน้าตานิสัยใจคอเป็นยังไง แต่จากที่แม่ของตะวันเอ่ยปากชมและยังช่วยเป็นธุระเรื่องตะวันให้ทุกเรื่องผมก็คิดว่าก็คงไม่เลวร้ายเท่าไหร่ แต่กับตะวันเองคงไม่คิดอย่างนั้น


ผมอยู่ต่ออีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับ


“ถ้าผู้กองอยากมาเยี่ยมตะวันก็มาได้ตลอดเลยนะคะ”

“ได้ครับ แต่ถ้าผมมาบ่อยคุณน้าจะเบื่อผมเอานะครับ”

“โอ๊ย ไม่เบื่อเลยคะ น้าชอบซะอีกจะได้ไม่เหงา”

“งั้นผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ้ะ”







“วิณณ์”

“......”

“วิณณ์”

“.......”

“นี่วิณณ์เป็นอะไร ทำไมขับรถแบบนี้อะ”

วิณณ์ขับรถออกจากบ้านของตะวันมา แต่แทนที่เขาจะไปตามเส้นทางปกติเขากลับยอมขับอ้อมมาอีกทางซึ่งใช้เวลานานกว่าปกติและเส้นทางไม่ดีเท่าไหร่

“วิณณ์เป็นอะไร ขับรถเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา ไม่สบายหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”

“เปล่าแล้วทำไมขับแบบนี้ละ”

“ขอเวลาวิณณ์แปปนึงนะ” วิณณ์ตัดสินใจหักพวงมาลับเลี้ยวซ้ายเข้าซ้ายด้านหน้ากระทันหัน และก็เป็นอย่างที่คิดรถคันหลังขับตามเขามาจริงๆ เขาสังเกตตั้งแต่ออกจากบ้านของตะวันว่ามีรถแต่งซิ่งสีดำขับตามเขามา เขาเลยตั้งใจขับออกมาอีกทางซึ่งเป็นทางไปบ้านของจ่าเติม เขาขับไปถึงหน้าบ้านจ่าเติมและลงจากรถด้วยท่าทีปกติเพื่อไม่ให้พวกนั้นรู้ว่าเขารู้ตัวแล้ว

“อ้าว ผู้กองมายังไงครับ ท่าทางฝนจะตกซะละมั้ง ผู้กองมาหาผมถึงบ้าน”

“ผมผ่านมาแถวนี้พอดีเลยแวะมาหาเจ้าจ่อยมันไง ตามที่สัญญาไว้”

“มันต้องดีใจแน่ เข้าบ้านก่อนครับผู้กอง จ่อย....ไอ้จ่อย มาดูเร็วว่าใครมา”

“วิณณ์ไม่ลืมยกมือไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางเพื่อให้ตะวันเข้าบ้านได้ และหันไปหยิบของเล่นหลังรถที่เตรียมไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้ให้ลูกจ่าเติมซักที”

“เย้ๆๆๆๆ ผู้กองมาหา จ่อย แล้ว หูวววว มีของเล่นมาด้วย คริๆ”

“แหม เอ็งนี่นะไอ้จ่อยเห็นของเล่นตาโตเลย ไป ไปเอาน้ำมาให้ผู้กองก่อน”

“ขอรับ..”


ผมเดินตามจ่าเติมเข้าบ้านไป ก็เจอพี่ดาวกำลังทำกับข้าวอยู่ ผมเอ่ยทักทายก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก

 
“ผู้กอง ไม่ได้ผ่านมาเฉยๆ ใช่ไหมครับ” จ่าเติมนั่งลงมากระซิบเบาๆข้างๆ ผมพยักหน้าก่อนจะบอกว่ามีรถขับตามผมมาตั้งแต่บ้านตะวันจนถึงที่นี่ ได้ยินแบบนั้นจ่าเติมจึงเดินออกไปโทรศัพท์ด้านนอกก่อนจะเข้ามาข้างในและทำตัวตามปกติ ถึงแม้พี่ดาวภรรยาของจ่าเติมจะเข้าใจการทำงานของตำรวจแต่ผมก็ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดีและกังวลว่าผมจะพาเรื่องยุ่งยากมาที่นี่
ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของจ่าเติมดังอีกครั้ง

“โอเค ขอบคุณนะจ่า ... เรียบร้อยครับผู้กอง” จ่าเติมกดวางสายและหันมาบอกผมในประโยคหลัง

“ว่าแต่ผู้กองรู้ไหมพวกมันเป็นใครและตามมาทำไม”

“ไม่รู้เหมือนกันจ่า แต่ผมว่าพักนี้เรื่องมักจะเกิดรอบตัวผมอยู่เรื่อยตั้งแต่คดีคุณแอน แล้วไอ้พวกนั้นมันว่ายังไงบ้าง”

“จ่าสมปองเข้าเวรออกตรวจพอดี ผมเลยให้แกขับเลยมาตรวจตรงจุดที่รถคนนั้นจอด พอพวกมันเห็นตำรวจก็ขับรถไปแล้วละครับ ยังไม่ทันได้ถามว่าเป็นใคร หรือมาทำอะไร แต่จ่าสมปองแต่จดทะเบียนรถไว้นะครับ พรุ่งนี้ผมจะไปเช็คเลขทะเบียนให้ครับ ถ้ามันไม่สวมทะเบียนปลอมก็คงจะรู้เรื่องบ้างครับ”

“ขอบคุณนะจ่า”

สุดท้ายวันนี้ผมก็ต้องยกเลิกนัดกับแม่และน้องสาวเหตุเพราะกลัวว่าพวกมันจะไปดักรอผมที่อื่นอีก ผมไม่อยากเป็นคนพาพวกมันไปรู้จักบ้านผมที่มีแค่ผู้หญิงสองคน ผมอยู่กินข้าวและเล่นกับจ่อยจนถึงเวลาเด็กที่ต้องนอนแล้วผมถึงได้กลับซะที

“ไปนะจ่า ขอบคุณนะครับพี่ดาว กับข้าวอร่อยมากเลยครับ”

“คะ ว่างๆ ผู้กองก็มากินข้าวด้วยกันอีกนะ จ่อยมันชอบเล่นกับผู้กองคะมีพ่อกับเขาคนหนึ่งก็ไม่ได้เรื่องเล่นอะไรกับลูกไม่ได้เลย”

“แหนะ แหนะ อยู่เฉยๆ ก็ยังโดนได้อีกผู้กองดูซิครับ”

“ฮ่าๆ ผมไปแล้วนะครับ สวัสดีครับ เจอกันพรุ่งนี้นะจ่า”

“คะ / ครับผม”



ผมขับกลับมาคอนโดตลอดทางก็คิดว่ารถที่ตามผมมันเป็นใครและต้องการอะไร หรือจะเป็นเรื่องตะวัน ไม่หรอกคนอย่างตะวันจะมีเรื่องอะไรได้ จะบอกว่าเรื่องผีๆ สางๆ ก็ไม่ใช่แน่นอน ผีอะไรจะขับรถ คิดไปคิดมามันก็คงเป็นเรื่องของเขานะแหละ แต่แค่เรื่องจากคดีไหนเท่านั้นเอง

.

.

.


Rrrrrrrrr

“นายโทรมาวะพี่”

“ครับนาย........ครับ.....จะไปเดี๋ยวนี้ครับ”  เอ็มกดวางสายไปแล้วแต่ใจยังคงหงุดหงิด สุดท้ายตอนนี้เขาก็ยังทำงานไม่สำเร็จซักอย่าง

“ดวงดีจริงนะมึงไอ้ผู้กองวิณณ์ แต่ไม่ต้องห่วงมึงกับกูได้เจอกันแน่”

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จะบุกถึงห้องวิณณ์ไหมนะ :hao4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
วิณณ์จะเป็นอันตรายไหมเนี่ย
ดูนายคงไม่ปลาอยไว้แน่ๆ
แต่นายเนี่ยคุณอาใช่มะ????

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 24 วิญญาณทุ่งดำ




[วิณณ์]

ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีความรู้สึกว่ามีคนคอยตาม ไม่ต้องเสียเวลาสืบก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร ส่วนไอ้ทะเบียนรถที่จ่าอุตส่าห์ไปเช็คมาให้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะเป็นทะเบียนสวม แต่ที่ผมยังนิ่งอยู่เพราะไม่อยากให้พวกมันรู้ว่าผมรู้ตัวแล้ว

ผมคิดว่าสุดท้ายจะเป็นมันที่เป็นฝ่ายมาหาผมเอง เพราะฉะนั้นผมจะรออยู่เฉยๆ

วันนี้ผมนัดดารินกับนายวายุให้มาเจอกันที่ร้านข้าวที่มาด้วยกันครั้งที่แล้ว เหตุผลก็เพราะผมอยากพิสูจน์ ตอนนี้พวกเราจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ผมกับดาริน และตะวันกับนายวายุ เพราะสองคนนั้นไม่เห็นด้วยและไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่ผมอยากรู้ว่าเธอคือผีหรือคน

เพราะถ้าเป็นผี แล้วเธอต้องการความช่วยเหลือ ก็เท่ากับตะวันจะได้ภารกิจเพิ่ม โอกาสจะเข้าใกล้การขอพรก็เพิ่มขึ้นอีก น่าลองจะตายว่าไหม

“คุณวิณณ์ แน่ใจเหรอว่าจะเข้าไปอะ”

“แน่นอน”

“นี่นายวายุ อย่าบอกนะว่ากลัวอะ”

“ใช่กลัว แต่ที่กลัวเนี่ยคือทั้งผม ทั้งคุณ ทั้งพี่ชายคุณเราเป็นแค่คนธรรมดากัน สมมตินะถ้าเกิดเป็นผีขึ้นมาพวกคุณจะทำยังไงจัดการยังไง คุณวิณณ์คุณก็เจอมาเหมือนๆกับผมก็น่าจะรู้นะ ตะวันเองก็บอกอยู่ว่ารู้สึกไม่ดี อึดอัด ไม่อยากไปที่นั่น แล้วถ้าเกิดมันมีผลในทางไม่ดีกับตะวันละจะทำยังไง”

“....”

“....”

“กลับกันถ้าไม่ใช่ผี แต่เป็นคนขึ้นมา เป็นใครทำอะไร มีกันกี่คน อันตรายแค่ไหนไม่รู้ พวกเรานะผู้ชาย แต่น้องคุณนะผู้หญิงนะ”

“ถูกของคุณ”

“ดีมาก ไม่เสียแรงที่อธิบายไป”

“เพราะอย่างนั้นผมถึงจะไปกับคุณแค่สองคนไง ส่วนยายดารอที่นี่”

“หะ!!! ไหนว่าเข้าใจ เข้าใจบ้าไรของคุณเนี่ย”

“ไม่เอาอะ ดาจะเข้าไปด้วย”

“รอนี่นะดีแล้ว เพราะถ้ามีอะไรพี่จะได้โทรบอกเรา และจะได้ไม่ต้องห่วงด้วย โอเคนะ ส่วนตะวันไม่ต้องเข้าไปอยู่นี่กับดาริน”


“ไม่เอา จะไปด้วย”

“แล้วไม่กลัวหรือไง”

“กลัว”

“งั้นก็อยู่...”

“แต่เราจะไป มีวิณณ์อยู่ตะวันไม่กลัวหรอก” ยังพูดไม่มันจบ ตะวันก็แทรกขึ้นมาก่อน

“เอ่อ ผู้กองผมก็เข้าใจนะว่าคุณคุยกับตะวันอยู่แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว คุณนี่ดูเหมือนคนบ้าเหมือนกันนะ”

“เห็นด้วย แฮะๆ” น้องสาวผมก็ยกมือเห็นด้วยไปกับเขาด้วย




[ตะวัน]

เอาจริงๆ ผมก็อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ผมนะมั่นใจว่าเธอคือวิญญาณและผมก็มั่นใจว่าวิณณ์คิดเหมือนกัน และเหตุผลที่วิณณ์ทำแบบนี้ก็เพราะช่วยผมแก้ภารกิจ

“วิณณ์จะไปจริงเหรอ อย่าไปเลย ตะวันรู้สึกไม่ดี มันอึดอัด มันน่ากลัว รู้สึกหดหู่ ไม่อยากเข้าไปที่นั่นอีกเลย”
“แต่ถ้าเขาเป็นวิญญาณแล้วต้องการความช่วยเหลือละ ยังไม่ต้องพูดถึงภารกิจ ตะวันจะไม่ช่วยเหรอผู้หญิงคนนั้นดูทรมานมากเลยนะ ตะวันไม่สงสารเหรอ”
“ก็สงสาร”
“เห็นไหมลองดูก่อนไม่เสียหายอะไรนี่”
“อืม”
“แต่เหตุผลจริงๆ คือวิณณ์อยากช่วยให้ตะวันได้พรมาเร็วๆ มากกว่า”



ที่น่ากลัวไม่ใช่วิญญาณของผู้หญิงคนนั้นหรอก แต่เป็นวิญญาณติดที่มากกว่า จากที่ผมลองถามกับท่านเจ้าที่หรือจะบรรดาวิญญาณที่อยู่มานานเพราะยังไม่พ้นวาระกรรม พวกเขาบอกว่า ที่นั่นถูกเรียกว่า ทุ่งดำ มีวิญญาณดวงหนึ่งที่อาศัยอยู่ เรียกว่าวิญญาณติดที่ เขายึดติดอยู่กับสถานที่นี้ไม่ยอมไปไหน คอยดักและจับวิญญาณที่หลงเข้ามา คอยสูบพลังวิญญาณจนวิญญาณเหล่านั้นแตกสลายไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้

และวิญญาณที่พวกเราเจอก็น่าจะเป็นหนึ่งในเหยื่อเช่นกัน


“คุณผู้กอง นี่คุณเอาไฟฉายมาแค่อันเดียวเหรอ”

“ใช่”

“ไม่คิดจะเอามาเผื่อกันบ้างหรือไง”

“ผมให้น้องสาวเอามาอีกอันหนึ่ง”

“เอ้า แล้วทำไมไม่บอก โธ่ จะได้ขอยืมมาด้วย”

วิณณ์ถึงกับสายหัวให้กับพี่ชายผม ผมชินซะแล้วละถึงพี่วายุจะพูดมากไปหน่อยแต่เขาเป็นคนน่ารักนะ

“แล้วมีอันเดียวมันจะไปพออะไรเนี่ย เกิดเดินไปเหยียบงูเงี้ยวเขี้ยวขอขึ้นมาจะทำยังไง เฮ้อออ”

แต่ผมว่าพี่วายุบ่นเยอะขึ้นไปนะ -__-





[เอ็ม]

“พี่เอ็ม พี่ว่าพวกมันมาทำอะไรกันวะ”

“มาร้านข้าวมันคงไม่นอนกันหรอกมั้ง”

“โห่พี่ ผมหมายถึง ทำไมมันปล่อยให้น้องสาวรอในร้านอยู่คนเดียวแล้วพวกมันหายไปไหน”

“เออ กูก็สงสัยอยู่”

“เฮ้ย ผมคิดออกแล้ว เราจับตัวน้องมันมาแล้วให้มันเอา เมม มาแลกดีไหม”

“เริ่มมีความคิดกับเขาบ้างแล้วซินะ”

“ผมอะฉลาดอยู่แล้ว ไปพี่”

“ไปไหน”

“ไปจับตัวน้องมันมาไง”

“....???.... กูว่ากูประเมินมึงผิดไป”

“ทำไมอะ ตอนนี้อะโอกาสดีแล้วน้องมันอยู่คนเดียว”

“คนในร้านมีเป็นสิบมึงมองไม่เห็นหรือไง”

“เออ จริงวะ”

!!! เอ็มถึงกับเอามือกุมขมับตัวเอง ลูกน้องเขาจะมีปกติซักคนไหมวะ บางทีเอ็มก็สงสัยว่าพวกเขาอยู่รอดกันมาได้ไงจนถึงป่านนี้

“รอดูพวกมันไปก่อน” ใช่ เอ็มคิดแบบนั้นถ้าจะให้ผลีผลามเข้าไปหามันหรือไปจับน้องมันมาเขาคิดว่ามันคงไม่สำเร็จแถมเรื่องจะใหญ่เกินไปอีก ฉะนั้นตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่เอ็มทำได้คือ ตามดูไอ้ผู้กองว่ามันทำอะไร ไปไหนยังไงบ้าง เมื่อรู้กิจวัตรประจำวันมันเขาค่อยคิดแผนต่อไป






[ตะวัน]

ตะวันเดินตามวิณณ์และวายุเข้าไปในทุ่งหญ้าหลังร้านอาหาร แต่คราวนี้เขาไม่ได้เข้าทางเดียวกับครั้งที่แล้ว มันมีทางเข้าอีกทางเลยร้านไปซักหน่อย หญ้าขึ้นสูงเลยเอวมานิดนึงถึงจะมองเห็นหลังของคนที่เดินนำหน้า แต่บรรยากาศและสภาพโดยรวมมันชวนให้ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

ตะวันหยุดชะงักเมื่อเขารู้สึกว่าได้ยินเสียงแว่วมาอีกแล้ว และเหมือนวิณณ์จะรู้สึกได้ เขาจึงหันกลับมาตะวันและเอ่ยถามขึ้น

“ตะวันเป็นอะไร”

“ได้ยินเสียงไหม”

“ไม่นะ”

“เอาจริงๆ ดิ ไม่ได้ยินเสียงจริงเหรอ”

“ไม่ได้ยินอะ มันยังอีกตั้งไกล อาจเป็นเสียงลมก็ได้”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่เสียงลม” ตะวันแน่ใจว่าเขาได้ยินและมันไม่ใช่เสียงลมแน่นอน แต่ทั้งวิณณ์และพี่วายุกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยได้ยังไงกัน


วิณณ์ยังคงเดินนำออกไป โดยมีพี่วายุและผมเดินตาม

“โอย”

หืม!!!

“โอย”

“.......”

“โอย ช่วยด้วย”

“...??.....”


“พ่อหนุ่มช่วยยายด้วย ทางนี้ช่วยยายด้วย”

ผมหันซ้ายหันขวา ก่อนสายตาจะไปปะทะกับร่างร่างหนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นดินเป็นผู้หญิงที่มีผมสีขาวเกล้าเป็นมวยรวบไว้และใส่เสื้อสีขาว ผมมองเห็นแค่นั้นเพราะฟ้าที่มืดและแสงจากถนนที่ไม่ได้ช่วยไรเลยเพราะอยู่ไกลลิบ


“วิณณ์”

“.....”

“วิณณ์” วิณณ์หยุดเดินและหันกลับมามอง และเมื่อผมเห็นท่าทีของวิณณ์และพี่วายุก็รู้แล้วละว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน “ยาย ยายครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ช่วยยายด้วย” เมื่อตะวันเดินเข้าไปใกล้เขาก็พบว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่ง

“ยายเป็นอะไรครับ”

“ช่วยยายด้วย”


พวกเราย้ายที่หลบมานั่งใต้ต้นไม้ สภาพยายดูซีดและเบาบางกว่าวิญญาณปกติอย่างน้อยก็เทียบกับตัวเขาเอง วิณณ์เดินตามมาและยืนข้างๆ ผมสงสารก็แต่พี่วายุเดินตามมาแบบงง หน้านี่เอ๋อได้ใจ มองวิณณ์ที มองผมที ทั้งที่มองไม่เห็นหรอกนะ 


“ยายเป็นอะไรเหรอครับ”

“ยาย...ยายหนีมา......”  หลังจากนั้นยายก็เล่าให้ฟังว่า  “ยายตายมานานแล้วแต่เพราะยายหลงมาที่แห่งนี้ ที่นี่มีชื่อว่าทุ่งดำ มีวิญญาณร้ายแอบอาศัยอยู่ เหล่าวิญญาณที่หลงมาที่นี่จะถูกสูบพลังวิญญาณไปจนวิญญาณแตกสลาย และยายก็เป็นหนึ่งในวิญญาณพวกนั้น แต่ที่วิญญาณยายยังอยู่และไม่แตกสลายเพราะยายถูกให้ทำหน้าที่หาวิญญาณ และหลอกให้มาที่นี่ แต่ยายทนไม่ไหวแล้ว ยายไม่อยากทำบาปกรรมอีกแล้ว และดูเหมือนสวรรค์ยังมีตาเพราะไม่กี่วันก่อนมีเหล่าวิญญาณพูดถึง ‘ผู้ถูกเลือก’ ที่มาที่นี่ ผู้ที่จะคอยช่วยให้ความต้องการและคำขอร้องของวิญญาณเป็นจริงและหลุดพ้นได้”

“ยายเลยมารอ ยายไม่อยากทำบาปอีกแล้วช่วยยายและวิญญาณดวงอื่นๆ ด้วยนะพ่อหนุ่มข้างในนั้นยังมีวิญญาณที่ถูกทรมานอีกเยอะ”

“เยอะเลยเหรอยาย แล้วผมจะช่วยยังไงผมเป็นแค่วิญญาณธรรมดาเองนะ”

“ช่วยได้ซิ ต้องช่วยได้”

“ยังไงเหรอครับ” ยายชี้มาที่สร้อย

“สร้อย?”

“ใช่ สร้อยเส้นนี้ สามารถช่วยพวกเราได้ทุกคน”  สร้อยที่ท่านกาลเวลาให้ผมมาอันนี้นะเหรอ ผมก้มดูที่ข้อมือตัวเอง



“เอ่อ จะมีใครว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมอยากจะรู้เรื่องด้วย” พี่วายุ โธ่!!! “อ้าว ทำไมทำหน้างั้นละครับหรือผู้กองไม่อยากรู้เรื่อง?”

ผมเล่าให้วิณณ์ฟังคร่าวๆ ซึ่งวิณณ์ก็ต้องไปเล่าให้พี่วายุฟังต่อ ดังนั้นที่พี่วายุรู้เรื่องจะเป็นฉบับย่อคือจะต้องเข้าไปข้างในเพื่อหาตัวต้นเหตุของสิ่งที่กักขังวิญญาณและปลดปล่อยซะ  ผมชักสงสัยแหะว่าทำไมวิญญาณร้ายตนนี้ถึงไม่ถูกพาตัวไปยังนรกภูมิ เพราะขนาดผมยังไม่ทันรู้ว่าตัวเองตายดียังถูกพาตัวไปแทบจะทันทีเลย ไม่ถูกพาตัวไปแถมยังก่อกรรมเพิ่มอีก


“เดี๋ยวนะผู้กองผมขอจูนแปป เราต้องเข้าไปข้างในเพื่อกำจัด ไล่ หรืออะไรก็แล้วแต่นั่นแหละ กับวิญญาณ?”

“ครับ”

“วิญญาณ? เราเป็นคนนะผู้กองเราจะทำได้ยังไง แค่ตะวันผมยังไม่เห็นไม่ได้ยินเลยจะเอาอะไรไปสู้กับมันกันละ ถ้าเกิดวิญญาณนั่นมันดุโหดร้ายแล้วบีบคอพวกเราตายจะทำยังไง”

“ใช่เราเป็นคนไม่มีทางไปสู้อะไรกับผีหรือวิญญาณพวกนั้นหรอก แต่ผมก็เชื่ออย่างหนึ่งถ้าเรามาดีคิดดีวิญญาณไม่ว่าจะร้ายแค่ไหนก็ทำอะไรคนไม่ได้”

“โธ่ แต่นั่นผีนะคุณ ตะวันเองก็บอกว่าเป็นวิญญาณที่ทำร้ายวิญญาณด้วยกันเอง คุณไม่กลัวบ้างเหรอ”


“ไม่กลัว เพราะถ้ามันช่วยตะวันได้ จะลำบากแค่ไหนผมก็จะทำ


“โอเค๊ พูดมาแบบนี้ผมจะปฏิเสธอะไรได้ ตะวันก็น้องผมเหมือนกัน”


ดันนั้นตอนนี้พวกเรา 4 คนก็พากันเดินเข้าไปด้านในโดยผมกับยายเดินรั้งท้าย ปล่อยให้ผู้ชายแข็งแรงสองคนออกหน้าไป บรรยากาศมืดๆ เย็นๆ สองข้างก็เต็มไปด้วยต้นหญ้า แต่น่าแปลกยิ่งพวกเราเดินเข้าไปลึกหญ้าที่มีตามทางผ่านมาเมื่อกี้มันกลับเหี่ยวแห้งไปหมด ต้นไม้เองก็เฉายืนต้นตายกันหมด

พื้นที่ว่างกลางเมืองใหญ่แบบนี้มีให้เห็นอยู่เยอะ ที่ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยเจ้าของไม่ได้สนใจจะดูแลหรือพัฒนา จนกลายเป็นที่อาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์อันตรายและรวมถึงวิญญาณสัมภเวสีทั้งหลายด้วย

“นั่น ตรงนั้น” ยายชี้ไปที่ต้นไม้ต้นใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ต้นเดียวกลางพื้นที่ว่างตรงนี้

“ตรงนั้นเหรอครับ”  ยายพยักหน้า


ตลอดทางที่เดินมาความรู้สึกเย็นยะเยือกแบบสั่นสะท้านไปทั้งตัวเทียบไม่ได้กับตอนนี้ที่ถ้าผมสามารถทิ้งคนอื่นแล้วหนีไปออกได้ผมจะทำทันที แต่ใครจะไปทำได้ละคนสองคนตรงหน้าอุตส่าห์ทำเพื่อผมขนาดนี้ เพราะฉะนั้นผมก็ต้องสู้เหมือนกัน

พวกเรามาหยุดที่ใต้ต้นไม้ซึ่งเป็นต้นเดียวที่ไม่ยืนต้นตายเหมือนต้นอื่นๆ


“แล้วยังไงต่อละผู้กอง”

“ผมก็ยังไม่รู้” วิณณ์พูดและเดินสำรวจรอบต้นไม้

“ยายรอตรงนี้นะ”

“ตะวันหยุด ไม่ต้องเข้ามาเลย”

“ทำไมอะ”

“ถ้าเกิดถูกจับได้จะทำยังไงละ”

“แต่....”

“ไม่มีแต่”  สุดท้ายผมก็ต้องถอยกลับไปยืนกับยาย


ทำไมถึงรู้สึกว่าตรงที่ผมยืนมันหนาวกว่าตรงนั้นนะ


รอบๆ ข้างไม่มีสัญญาณอะไรซักนิด อย่าว่าแต่ผีหรือวิญญาณเลย แม้แต่สิ่งมีชีวิตอย่างพวกแมลงผมก็ยังไม่เห็น พวกเราอยู่ตรงนี้เกือบ 5 นาทีก่อนที่จะ......


“เฮ้ยยยย” เสียงพี่วายุดังขึ้นพร้อมกับกลิ้งลงไปกับพื้น ผมหันไปตรงนั้นก็พบกับวิญญาณผู้หญิงคนเดียวกับวันนั้นที่เจอ

“เป็นอะไรคุณวายุ”

“ผู้หญิง ผู้หญิงตรงนั้นอยู่ดีๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้”

“ไหน ตรงไหน”

“นั่นไง... นั่นตรงนั้น....”

“ไหน คุณลืมตาก่อน”

“ขะ...ขะ...ข้างต้นไม้อะ”

“ไม่มีอะไรนี่ คุณวายุ คุณลืมตาก่อน”

“มีดิ ก็ผมเห็น”  เหตุการณ์ตอนนี้ยิ่งปั่นป่วนขึ้นอีกเมื่อหญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นและหันมามองพวกเรา และทันทีที่เห็นผม เธอก็....กรีดร้อง


'กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด'


เป็นเสียงที่ดังชวนขนลุกแสบไปถึงแก้วหู และดูเหมือนว่าวิณณ์กับพี่วายุก็น่าจะได้ยินด้วย


“เสียงอะไรผู้กอง”

“ผมก็ไม่รู้ ตะวันเกิดอะไรขึ้น บอกหน่อย”

“ผู้หญิงคนนั้นอยู่ดีเธอกรีดร้องขึ้นมาไม่รู้ทำไม”

“ตอนนี้ไปไหนแล้ว”

“หายไปแล้ว”

“ใช่วิญญาณที่พูดถึงไหมตะวัน”

“ยาย  ยายครับใช่วิญญาณที่ยายบอกไหมครับ อ้าว...ยายหายไปไหนอะ”


ผมงง กับเหตุการณ์ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้นทันทีที่เห็นผมเธอก็กรีดร้องเหมือนกลัวอะไรซักอย่างแล้วตอนนี้ยายก็ยังมาหายตัวไปอีก


“ยายหายไปไหนไม่รู้วิณณ์”


ฟู่ฟฟฟฟฟ ฟู่ฟฟฟฟฟ  ลงกรรโชกแรงขึ้น ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม เหมือนกับจะมีพายุ และ


“นั่นไงยาย ยายไปไหนมาครับ”

“หึหึ ไม่ว่าจะผี หรือ คน ทำไมมันช่างโง่ หลอกง่ายอะไรอย่างนี้”

“ยายพูดอะไร”

“แกเชื่อเรื่องที่ข้าเล่าจริงๆรึ แกคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้พวกวิญญาณทาสมันออกไปเดินเล่นลอยนวลแบบนั้นเหรอ หะ”

“หมายความว่าไง ยายพูดเรื่องอะไร”

“ฮาๆ ข้าคิดว่าแกจะฉลาดกว่านี้ซะอีก นี่นะเหรอผู้ถูกเลือก”

“....”

“ข้าก็แค่อยากจะเห็นว่าผู้ถูกเลือกหน้าตามันเป็นแบบไหน เก่งแค่ไหน ที่ไหนได้มันก็แค่วิญญาณไม่มีร่างกระจอกๆ เท่านั้นเอง เฮ้ออ เสียเวลาจริงๆ”

“นี่ยายหลอกพวกผมเหรอ”

“ใช่ ข้าหลอกพวกแก หลอกง่ายดีด้วย”


ยายที่ท่าทางดูน่าสงสารเมื่อกี้หายไปเปลี่ยนเป็นยายแก่ปากจัด หน้าตาหน้าเกลียดแถมยังเจ้าเล่ห์อีก


“ตอนแรกข้าก็แค่จะเล่นกับแกเฉยๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจละพลังวิญญาณของแกมันคงจะหวานน่าดู.......มานี่!”

“ไม่ วิณณ์ช่วยด้วย” ร่างของผมถูกดูดกระชากไปอย่างแรง คอของผมถูกบีบไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ยิ่งดิ้นยิ่งทรมาน

“ข้าจัดการแกเสร็จเมื่อไหร่ สร้อยนี่ก็จะเป็นของข้า”

“ปะ....ปะ.....” เสียงที่พยายามเปล่งถูกกลืนหายลงคอ เขารู้สึกไร้เรี้ยวแรง เหมือนพลังวิญญาณจะค่อยๆ หายไป


“ตะวันเป็นอะไร ใครทำอะไร” วิณณ์ตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ภาพของตะวันที่ลอยอยู่กลางอากาศกำลังพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นอะไรสักอย่าง แต่ไม่รอช้าเขาวิ่งเข้าไปก่อนที่จะกระโดดคว้าตัวของตะวันลงมา

และนั่นทำให้วิญญาณชั่วร้ายนั้นแปลกใจยิ่งนัก

“นี่เจ้าเห็น พูดคุยและสัมผัสวิญญาณตนนี้ได้อย่างนั้นรึ......ความสัมพันธ์บ้าๆบอๆ แบบนี้.....ไร้สาระสิ้นดี หมดเวลาเล่นแล้ว มาให้ข้าสูบพลังวิญญาณของเจ้าซะ และสร้อยนั่นจะได้เป็นของข้า”


สิ้นคำพูดนั้นวิณณ์ก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปอีกทาง ส่วนพี่วายุก็โดนลูกหลงกระเด็นไปเหมือนกัน ผมถูกดึงเข้าไปหาอีกครั้ง


“ปล่อยนะอิผีบ้า”

“ปากดีนักนะ” มือที่บีบอยู่ที่คอขยับแน่นขึ้น นี่ผมตายแล้วไม่ใช่เหรอทำไมถึงยังรู้สึกทรมานได้ขนาดนี้ ทรมานเหมือนวิญญาณจะสลายอยู่ตรงนี้


ไม่นะ ผมยังทำภารกิจไม่เสร็จเลย
ผมอยากกลับไปหาแม่
อยากกอดแม่
อยากขอโทษแม่
ไหนจะวิณณ์อีกที่อุตส่าห์ช่วยผมมาขนาดนี้
ผมยังไม่ได้ขอบคุณ ไม่ได้ตอบแทนวิณณ์เลย
ผมไม่ยอมหรอก
ผมจะมาแพ้ตอนนี้ไม่ได้


ไม่ได้


ไม่ด้ายยยยยยยยย



........แว่บ.....แสงสีขาวจากสร้อยข้อมือปรากฎขึ้น มันสว่างจนแสบตา ภาพตรงหน้าเหมือนกำลังถูกถ่ายรูปแล้วมีแสงแฟรช

เกิดขึ้นแว่บเดียวแล้วก็หายไป ทุกอย่างกลับมาในสภาวะปกติ นิ่งสนิท นิ่งจนผมเองยังตามไม่ทัน



“เกิดอะไรขึ้นอะผู้กอง” พี่วายุถามขึ้นหลัวที่กระเด็นไปนอนแอ้งแม้งที่พื้นแล้วลุกขึ้นสำรวจร่างกายตัวเอง

“ผมก็ยังไม่แน่ใจ”

“แล้ววิญญาณนั้นไปแล้วเหรอ”

“คิดว่านะ”

“คิดว่า? อะไรคือคิดว่า แค่แปปเดียวเรายังสะบักสะบอมกันขนาดนี้ ถ้ามันยังไม่ไปเราไม่ตายกันจริงๆเหรอผู้กอง โอ๊ยย”

“คุณนี่ขี้บ่นเป็นผู้หญิงไปได้”  พูดจบวิณณ์ก็เดินตรงไปหาตะวัน


“ตะวันเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหม”

“ไม่เป็นไร”

“แล้ววิญญาณนั่นไปแล้วเหรอ”

“น่าจะไปแล้วละ” ตะวันมองสร้อยที่ข้อมือตัวเอง เขาแน่ใจว่าน่าจะเป็นผลมาจากพลังของสร้อยเส้นนี้ ‘เมื่อถึงเวลาขับขันพลังแห่งสร้อยจะสามารถช่วยเจ้าได้’ นั่นคือคำพูดที่ท่านกาลเวลาเคยบอกเขาไว้

ขอบคุณนะคะพี่
มันจบแล้วละพี่ ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณนะที่ช่วยปลดปล่อยวิญญาณพวกเรา
ขอบคุณนะ
ขอบคุณ
ขอบคุณนะ
ขอบคุณ
ขอบคุณ



เหตุการณ์วันนี้มันหนักหนาพอดูสำหรับตะวันแต่พอได้ยินคำขอบคุณมากมายหลายคำที่ถูกกล่าวออกมา มันทำให้ตะวันรู้ว่า เหนื่อยแต่ก็คุ้มค่า


“ไปกันเถอะผู้กอง” 


เราสามคนกลับออกมา พอเจอหน้าดารินน้องสาวของวิณณ์เธอก็ซักไซ้เรื่องทั้งหมดทันที เรารู้สึกเหมือนว่าไปไม่นานแต่เธอบอกว่าที่เธอต้องนั่งรอพวกเราเนี่ยเกือบ 2 ชั่วโมงแหนะ

วิณณ์กับพี่วายุเหนื่อยเกินกว่าจะกินอะไรลงเราเลยตัดสินใจแยกย้ายไปพักผ่อน พี่วายุไปส่งดาริน ผมกับวิณณ์มุ่งหน้ากลับคอนโด

ผมก้มมองสร้อยที่ข้อมือตัวเองอีกครั้ง ครั้งนี้สีของสร้อยเปลี่ยนอีกครั้งแต่ไม่ได้เปลี่ยนแค่ครั้งเดียว แต่เปลี่ยนถึงสามครั้ง สามครั้งด้วยกันที่สร้อยเปลี่ยนสีและมันขาวจนเกือบจะทั้งเส้นเหลืออีกเพียงจุดเดียว

จุดเดียวเท่านั้นก็จะเป็นสีขาวทั้งเส้น   ‘มันหมายความว่ายังไงนะ’



แล้วแถมตอนนี้ตะวันก็ใช้พลังจากสร้อยไปถึงสองครั้งแล้ว เหลืออีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาต้องระวังให้มากกว่านี้แล้วซิ


“เป็นอะไรหรือเปล่าตะวัน ทำไมเงียบจัง”

“ไม่รู้ซิ มันบอกไม่ถูกอะ”

“......”

“เราแค่รู้สึกว่า......มันเหมือนกับเราจะไม่ได้อยู่แล้ว”

“.......”

“มันเหมือนว่าวิญญาณเราจะสลาย จะหายไป ตอนนั้นเราคิดถึงแต่แม่ เราอยากกอดแม่ อยากขอโทษแม่ เรายังทำภารกิจไม่สำเร็จเลย เราจะได้ตายจริงๆ แล้วเหรอ มันน่ากลัวจริงๆ นะวิณณ์ แล้ว......แล้ว....”

“แล้วอะไร”

“แล้วเราก็คิดถึงวิณณ์  เรากลัว....กลัวว่าถ้าหายไปจะเราจะไม่ได้เจอวิณณ์อีก



เรากลัว.....


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตกลงยายตนนั้นเป็นผีจำพวกไหนนะ  :hao4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :mc4: สำเร็จไปอีกภารกิจ ถ้านับไม่ผิด สำเร็จไป5  ค้าง1 และรออีก4 ใช่ป่าวค่ะ รอๆ
 :L2: :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 25 จู่โจม



ครืดดดด

ครืดดดด

ครืดดดด

เสียงคล้ายของหนักที่ถูกลากไปตามพื้น และเมื่อมองดูดีๆ มันคือเสียงโซ่ตรวนที่ติดกับข้อเท้ามันถูกลากไปกับพื้นและผู้ทิ่ติดอยู่ในพันธนาการนั้นก็คือวิญญาณร้ายที่ตะวันจัดการไปนั่นเอง

“นั่งลง”  เสียงดุดัน น่ากลัวของยมฑูตสั่งขึ้น
“เราบอกให้เจ้านั่งลง”

พลั่กกก พร้อมกับเสียงไม้พลองที่กระทบกับขา วิญญาณดวงนั้นทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นมันเหยียดมองหน้ายมฑูตก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมา

“หึหึ”
“เจ้าหัวเราะอะไร”
“เก่งจริงนะ ทำไมเจ้าไม่ลองปล่อยข้าแล้วเรามาสู้กันดูละ”
“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย เจ้าวิญญาณชั่ว”
“หรือเจ้าไม่กล้า”
“เจ้า!!”

“เจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะอสูรดำ”
“ยอมโผล่หัวออกมาแล้วรึ”
“บังอาจ!!!”

“ไม่เป็นไร ท่านสุวรรณ อยากจะพูดอะไรกับข้างั้นรึ เจ้าหลบข้าอยู่เป็น 100ปี แต่กลับต้องมาเสียท่าวิญญาณที่เจ้าเรียกว่าวิญญาณกระจอกงั้นรึ”
“หึหึ ท่านมันเล่นสกปรก ถ้าไม่เพราะพลังของสร้อยเส้นนั้น ข้าคงฆ่าเจ้าเด็กนั่นไปแล้ว”
“เล่นสกปรก? ข้านะหรือสกปรกมันไม่ใช่เพราะเจ้าเองหรอกรึ สร้อยไม่ได้มีพลังตายตัว พลังของสร้อยขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้และเจตนาของผู้ใช้เอง แต่เจ้าเองที่โลภโมโทสัน จิตใจหยาบกระด้าง เจ้าถึงไม่สามารถสัมผัสพลังของสร้อยได้”

อสูรดำ คือมนุษย์ผู้หนึ่งที่ตายลงมาใช้กรรมในนรกภูมิและเคยได้รับโอกาสให้ทำภารกิจ  ภารกิจ เหมือนที่ตะวันทำอยู่ตอนนี้ แต่ความชั่วช้าตามสันดานที่มีมาตั้งแต่ตอนมีชีวิต ทำให้มันตัดสินใจทรยศและหนีไปพร้อมกับสร้อยแห่งสิทธิ์ เพราะพลังของสร้อยมันมากมายไม่สามารถคาดคะเนได้ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนแค่มีพลังจากสร้อยมันก็จะสามารถอยู่ได้อย่างสบาย แต่มีหรือที่เหล่ายมฑูตจะยอมให้วิญญาณทำการหยามหน้าแบบนั้นได้ พวกเขาจึงออกตามล่าอสูรดำ ถึงอสูรดำจะหนีการตามล่าไปได้ แต่ยมฑูตก็สามารถนำสร้อยแห่งสิทธ์กลับคืนมา

เมื่อไม่มีสร้อยพลังวิญญาณของอสูรดำก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในขณะที่วิญญาณกำลังจะสลาย มันจึงเริ่มคิด… คิดว่าถ้าพลังวิญญาณของตัวเองมันไม่สามารถกลับคืนมาได้มันก็ไปขโมยของคนอื่นมาก็หมดเรื่อง ดันนั้นมันจึงออกตามหาอีกครั้ง ตามหาวิญญาณที่หลงทางและยังไม่ไปเกิด และทำการดึงพลังวิญญาณของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง  แค่มีแรงปรารถนาอะไรก็สามารถทำได้ นั่นคือความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ แม้แต่นรกหรือสวรรค์เองก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้

ยิ่งดึงพลังวิญญาณมากขึ้นเท่าไหร่  พลังร้ายก็เพิ่มทวีคูณ สถานที่ที่วิญญาณร้ายตนนี้อาศัยอยู่จึงเต็มไปด้วยพลังด้านมืด จนถูกขนาดนามว่า ทุ่งดำ และเหล่าวิญญาณทั้งหลายก็พากันเรียกวิญญาณชั่วร้ายนี้ว่า อสูรดำ

“ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้กรรมที่ทำมาแล้ว บุญไม่เคยทำ ความดีไม่เคยสร้าง  กว่าเจ้าจะใช้กรรมที่ก่อหมด ก็คงอีกหลายร้อยชาติ ขอให้เจ้าสนุกกับชีวิตในนรกนะ”




[เอ็ม]

เอ็มกับแจ็คยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นสีขาว และป้ายหน้าบ้านที่บ่งบอกถึงผู้ที่เป็นเจ้าของบ้าน อัครเมฆา

และเมื่อเจ้าของบ้านรับรู้ถึงการมาของทั้งสองเขาจึงบอกให้การ์ดพาเข้าพบได้

“นายครับ มากันแล้วครับ”
“ให้เข้ามาได้” การ์ดหลบให้เอ็มกับแจ็คเดินเข้าไปภายในห้อง
“นายครับ”
“นั่งก่อนซิ” นายบอกให้ทั้งสองคนนั่งลงก่อนจะหันไปโบกมือเป็นเชิงให้การ์ดออกไปรอข้างนอก “งานพวกมึงไปถึงไหนแล้ว”
“เอ่อ พวกเราหาเมมโมรี่การ์ดอันนั้นหมดแล้วครับยังไม่เจอ ทั้งที่ห้องไอ้เสี่ย ห้องของผู้หญิงและที่โรงพัก”

ปึงงงงงง   เสียงตบโต๊ะดังฉาดใหญ่

“พวกมึงหาไม่เจอ หรือไม่พยายามหา”
“หาครับนาย พวกผมพยายามแล้วตอนนี้พวกผมกำลังตามดูไอ้วิณณ์อยู่เพราะคิดว่าเมมต้องอยู่ที่มัน”
“ป่านนี้พวกมันไม่ดูข้างในไปหมดแล้วหรือไง หะ!”
“.......”
“กูให้เวลาพวกมึงอีก 3 วัน เอาเมมมาให้กูให้ได้ ไม่อย่างนั้น....พวกมึงคงรู้ว่าจะเป็นยังไง อะไรที่หมดประโยชน์เก็บไว้มันก็รกหูรกตา”
“ครับนาย พวกผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
“ใช่ครับนาย ผมคิดแผนไว้แล้ว คราวนี้ต้องสำเร็จแน่”
“แผนอะไร”
“ที่บ้านเสี่ย บ้านอีผู้หญิงคนนั้น รวมถึงโรงพักก็ไม่มี พวกเราคิดว่ามันจะต้องอยู่กับไอ้ผู้กองวิณณ์แน่”

ไอ้แจ็ครีบบอกแผนการที่คิดไว้ เพราะคิดว่าจะช่วยให้นายใจเย็นลงได้บ้าง

“........”
“ไอ้ผู้กองวิณณ์มันมีน้องสาว การจะเข้าใกล้ไอ้ผู้กองเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นน้องสาวมันนี่ละคือเครื่องต่อรอง”
“พวกมึงสองคนจะทำยังไงก็ได้ให้ได้เมมนั่นมา แต่.......
“......”
“ห้ามทำอะไรทั้งผู้กองวิณณ์น้องสาวเข้าใจไหม”
“ทำไมละครับนาย”

ผู้เป็นนายไม่ตอบ เพียงแต่ส่งสายตาปรามมาให้ เอ็มตบหัวลูกน้องที่ถามไม่รู้กาลเทศะ และกล้าตั้งคำถามกับผู้เป็นนาย

“ผมขอโทษแทนไอ้แจ็คมันครับนาย ปากไม่มีหูรูดเงียบไปเลยมึง ผมสัญญาครับนายผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
“ให้มันได้เรื่องจริงๆ ตามที่มึงพูดแล้วกัน”
“งั้นผมไปก่อนนะครับนาย” 
“อือ” นายตอบรับเพียงแค่นั้น ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่ให้ลูกน้องสองคนออกไป


“พี่ผมไม่เข้าใจเลยวะ ทำไมนายต้องห้ามทำอะไรทั้งไอ้ผู้กองกับน้องสาวมันด้วยวะ”
“กูก็อยากรู้แต่เรื่องนั้นไว้ทีหลัง เวลา 3 วันมึงกับกูต้องรีบจัดการให้เสร็จไม่งั้นได้ไปอยากรู้ต่อที่นรกแน่มึง”

เมื่อระยะเวลามันสั้นและกระชั้นเข้ามาใกล้ เอ็มกับแจ็คจึงไปดักรอน้องสาวของวิณณ์ที่หน้ามหา’ลัย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะหาว่าน้องสาววิณณ์เรียนที่ไหน เพราะครั้งก่อนที่ตามพวกวิณณ์ไปเขาชุดนักศึกษาและเข็มที่เสื้อ พวกเขาใช้เวลาตลอดช่วงเช้าในการมองหา นักศึกษาชายหญิงมากหน้าหลายตาเข้าออกกันเป็นสิบเป็นร้อย ยิ่งรอ ยิ่งนาน ยิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดเพิ่มขึ้น

“แม่งเว้ย ไอ้นักศึกษาเหี้ยพวกนี้จะเดินเข้าออกอะไรกันนักหนาวะ ผมดูจนตาลายไปหมดแล้วเนี่ยพี่ แล้วถ้าไม่ใช่ที่นี่เราจะไปหาที่ไหนวะพี่ ร้อนก็ร้อน เชี้ยเอ้ย”

ป๊าปปปป

“โอ้ยพี่ ตบอีกละ”

เอ็มไม่ตอบแต่ดึงหัวลูกน้องแล้วชี้ไปที่กลุ่มนักศึกษาที่กำลังเดินออกมาจากมหา’ลัย  “อะไรเล่าพี่ ผมเสียทรงหมด”

“มึงดู จะให้กูตบอีกรอบไหม” แจ็คมองไปทางที่ลูกพี่บอก
“เฮ้ย น้องสาวไอ้วิณณ์ ไม่เสียเที่ยวแล้วเว้ยพี่แม่งโคตรเก่งวะ”
“ไม่ต้องมาเสือกชมกู ถ้ามึงจะเงียบ เลิกโวยวายแล้วใช้หัวสมองคิดอะไรบ้างมันคงไม่มีแต่ขี้เลื้อยแบบนี้หรอก”
“แหะๆ”
“ไป ตามไป” เอ็มบอกลูกน้องให้ขับรถตามไป น้องสาววิณณ์แยกกับกลุ่มเพื่อนและเดินไปอีกทาง ที่เป็นซอยเล็กๆ
“มันมาทำอะไรที่นี่วะพี่”
“กูจะรู้มันไหมวะ”

เอ็มกับแจ็คจอดรถทิ้งไว้และเดินตามไปอย่างเบาเสียงที่สุด ถึงจะเป็นซอยเล็กๆ แต่สองข้างทางมีแต่บ้านคนทั้งนั้นการจะทำอะไรตอนนี้ไม่เป็นผลดีแน่นอน

“มานี่ เด็กๆ อยู่ไหนกัน ออกมาหาพี่ดารินหน่อย จิ๊ดๆๆ”

(มันเรียกใครวะ)

โฮ่ง แฮ่ก แฮ่ก โฮ่ง โฮ่ง

“ฮาๆๆ มากินหนมเร็ว พี่ซื้อมาฝากเยอะเลย”

(โธ่เอ้ย หมา)

“นี่ นี่ ค่อยๆ กินกันซิ อย่าแย่งกัน”
 
โฮ่งงงง

แง่งง

เอ๋ง เอ๋ง เอ๋งงงง

“เฮ้ยอย่าแกล้งน้องดิ เดี๋ยวไม่ให้กินนะ ไปนั่งรอก่อนเลยไป”


สองคนรอดูอยู่ห่างๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีใครมาตอนนี้ เอ็มทำท่าทางให้ลูกน้องเดินย้อนกลับไปแล้วแอบซอยเล็กๆข้างๆ ก่อนที่ตัวเองจะเดินขึ้นหน้าและแกล้งเดินผ่านไป เอ็มเดินเลยไปเพื่อดูทางข้างหน้า มองซ้ายมองขวาว่าโล่งสะดวกดีไหม เมื่อเห็นว่าทางโล่ง เอ็มจึงหันหลังกลับมองตรงไปยังเป้าหมายที่นั่งอยู่และไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้ เอ็มเดินตรงเข้าไปหา ส่วนแจ็คก็ยืนดักไว้อีกทาง ในจังหวะที่เอ็มเดินใกล้ถึงตัวดาริน ประตูบ้านหลังหนึ่งเปิดออกและมีชายหญิงสองคนออกมาจากบ้าน เอ็มจึงหันหลังกลับและแกล้งทำเป็นยืนคุยโทรศัพท์

“อ้าว หนูมาให้อาหารเจ้าพวกนี้อีกแล้วเหรอ”
“คะ”
“ดีจ้ะ แต่อย่ามาเย็นกว่านี้ พอมืดแล้วซอยนี้มันมืดมาก เปลี่ยวด้วย อันตราย นี่ก็อย่าอยู่นานนะกลับได้แล้ว ออกไปพร้อมพี่ไหม”
“ไม่เป็นไรคะพี่ เดี๋ยวเสร็จแล้วคะ”
“เอางั้นเหรอ”
“คะ”
“จ้ะ ยังไงก็รีบกลับนะ”
“คะ ขอบคุณนะคะ”

เอ็มยังคงแกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์พร้อมเหลือบมองไปทางนั้นสองคนเดินห่างออกไปแล้ว เอ็มจึงเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ แจ็คมองตรงไปยังลูกพี่เขาที่กำลังเดินเข้าไป ในจังหวะที่เขาสนใจแต่ลูกพี่ทำให้ไม่รู้เลยว่า มีอีกคนตามมาด้วย และจังหวะที่เอ็มกำลังเอื้อมเพื่อไปคว้าตัวผู้หญิงไว้

“ดาริน!”

เสียงเรียกชื่อที่ดังมาจากด้านหลังทำให้เอ็มหดมือนั้นกลับมา และมองไปยังต้นเสียง ไอ้ผู้ชายคนนี้ที่ตามไปไหนมาไหนด้วยตลอดนี่หว่า มันมาทำอะไรที่นี่วะ

“นายวายุ” ดารินเงยหน้าขึ้นมาก็เจอเข้ากับผู้ชายสองคนคนหนึ่งคือนายวายุ แต่อีกคนหนึ่งเป็นใครเธอไม่รู้จัก “นายมากับเพื่อนเหรอ”

“เปล่า” วายุตอบก่อนจะหันไปหาเอ็ม ส่งสายตาเหมือนเป็นเชิงถามกลับมา
“เอ่อ เปล่าครับ พอดีผมมาหาบ้านญาติแถวนี้แต่จำไม่ได้ว่าหลังไหนเลยกำลังจะมาถามคุณนะครับ”
“อ่อ หนูก็ไม่รู้หรอกคะพี่ ไม่ใช่คนแถวนี้พี่ลองไปถามบ้านใกล้ๆ ดูก็ได้นะคะ”

เมื่อเห็นลูกพี่กำลังเจอกับสถานการณ์คับขันแจ็คจึงเดินออกมาจากที่ซ่อนและไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะแต่งเรื่องต่อจากลูกพี่เพราะเขาได้ยินทุกประโยคที่คุยกัน

“เฮ้ย พี่เอ็ม โห ผมรอพี่ตั้งนานเดินหลงไปไหนมาวะพี่”
“อ้าวไอ้แจ็คกูก็หามึงตั้งนาน กูหลงไปท้ายซอยโน่นแหนะ”
“โธ่เอ้ย ไม่ได้มานานก็งี้แหละไปพี่ไปบ้านผม”
“เออ ไปๆ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เอ็มบอกกับวายุและดารินและเดินไปหาแจ็คซึ่งจากสายตาของวายุ เอ็มมั่นใจว่ามันไม่เชื่อเขาแน่ เอ็มกับแจ็คเดินออกมาจากจุดนั้นตรงกลับไปที่รถที่จอดอยู่

“แม่งมาตอนไหน กูสั่งให้มึงดู แล้วทำเหี้ยอะไรอยู่ ไม่บอกกู หะ!”
“ผมดูแล้วพี่ ผมไม่เห็นมันเดินมาจริง แล้วผมก็มัวแต่ดูพี่หันมาอีกทีมันก็มาจากไหนไม่รู้”
“วันนี้มันดวงดีรอดไปได้ แต่ต้องไม่ใช่พรุ่งนี้ คืนนี้มึงตามมันไปมีโอกาสเมื่อไหร่รีบบอกกู”

และก็เป็นจริงอย่างที่เอ็มคิด วายุไม่เชื่อเพราะเขาเดินมาจากทางนั้น ถ้าผู้ชายคนนั้นมาทางเดียวกับเขาเขาต้องเห็นแน่นอน แต่ที่เขาเห็นคือผู้ชายคนนี้เดินวนเวียนอยู่ตรงนี้ ซึ่งตอนนั้นดารินกำลังคุยกับชายหญิงคู่หนึ่งอยู่และผู้ชายคนนี้ก็รอจังหวะให้คนคู่นั้นออกไปและดารินอยู่คนเดียวจึงเดินเข้าไปหา

“นี่คุณคิดอะไรอยู่ แล้วทำธุระให้แม่เสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้ว แล้วก็ตามคุณมา”
“หืม?”
“ไม่ต้องสนใจผมหรอก แต่ผมว่าคุณอย่าไปไหนมาไหนหรือมาในสถานที่อันตรายแบบนี้คนเดียวอีกดีกว่า”
“ทำไมอะ”
“ผู้ชายคนเมื่อกี้บอกว่าเขามาจากซอยอีกทางใช่ไหม ผมมาทางนั้นและผมไม่เห็นเขาเลย แสดงว่าเขาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“แล้ว......?”
“ผมก็ไม่รู้หรอก ข้อสันนิษฐานผมอาจจะผิด แต่เชื่อผมอย่ามาในที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้อีก”
“แต่ฉันต้องมาหาพวกหมาพวกนี้ทุกวันนะ”
“ถ้าจะมา……รอผม….ผมจะมาเป็นเพื่อน”
“คุณจะมาเป็นเพื่อนฉันได้ทุกวันเหรอ”
“ถ้าคุณบอกให้ผมมาผมก็จะมา”
“.............อะ.....อื.....อืม”


วายุพาดารินกลับไปส่งถึงบ้านรอจนแน่ใจว่าเธอเข้าบ้านเรียบร้อยแล้วเขาจึงขับรถออกไป เขาขับมาเรื่อยๆ ตรงไปเส้นที่จะออกถนนใหญ่ระหว่างที่ขับอยู่เขามองซ้ายมองขวาไปเรื่อยๆ ตอนนี้ยังไม่มืดมากคนแถวนี้ส่วนใหญ่ก็ยังนั่งคุยกันอยู่หน้าบ้าน วายุมองตรงไปเห็นรถคันสีขาวจอดอยู่ข้างทาง ตอนขับเข้ามาเขาไม่เห็นว่ามีรถจอดอยู่และเมื่อเขาขับผ่านรถคันนั้นไปเขาก็มั่นใจว่าเป็นรถคันเดียวกับที่ขับตามเขามา

(มันชักแปลกๆ แล้ววะ)

วายุครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ดารินเจอตั้งแต่เย็นจนมาถึงตอนนี้ เขาอาจจะคิดมาก เขาอยากให้ความคิดเขาผิดแต่เขาก็ไม่ควรปล่อยผ่านไป


ตู๊ด ตู๊ด

เขากดโทรศัพท์ออกไปไม่นานคนปลายสายก็รับ

[ว่ายังไงคุณวายุ]

“ผู้กอง ผมว่าตอนนี้เรามีเรื่องยุ่งแล้วละ”

[……..]





วายุขับรถตรงมาหาวิณณ์ที่คอนโดเพราะจะให้คุยกันทางโทรศัพท์มันก็ใช่เรื่องสู้มาเจอกันคุยต่อหน้ากันเลยดีกว่า ง่ายกว่า สะดวกกว่า

ผมขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 9 เพราะผู้กองแจ้ง รปภ. ด้านล่างไว้แล้วว่าจะมีแขกมาเลยไม่ต้องยุ่งยากแลกบัตรเข้าตึก



ก๊อก ก๊อก


“สวัสดีครับผู้กอง”
“สวัสดีครับคุณวายุ ผมแปลกใจตั้งแต่คุณโทรมาหา และยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ตอนคุณบอกจะมาหาผมเนี่ยแหละ”
“แต่ถ้าคุณได้ฟังเรื่องของผม ผมว่าคุณจะยิ่งแปลกใจมากกว่าอีก”

วิณณ์เลิกคิ้ว แต่ก็เปิดทางให้วายุเข้ามาในห้อง

“คุณนั่งรอตรงนั้นก่อนแล้วกัน ผมไปเอาน้ำมาให้”
“ขอบคุณครับ นี่ผู้กอง..”
“....”
“ตะวันอยู่ไหมครับ”
“อยู่”
“อยู่ไหนเหรอ” วายุพูดพร้อมกับมองไปทางนั้นทีทางนี้ที

“อยู่.....ข้างๆ คุณ”
“อ้อ...โอเค” ถึงจะสะดุ้งไปเล็กน้อยแต่วายุก็ไม่ได้ตกใจเหมือนเมื่อก่อน
“ไม่กลัวแล้วเหรอ?”
“จะให้ผมกลัวตลอดเลยเหรอ พอบ้างเถ๊อะ”
“หึหึ ว่าแต่คุณมีเรื่องด่วนอะไรจะคุยกับผมเหรอ” วิณณ์เดินกลับมานั่งที่โซฟาพร้อมแก้วน้ำ
“ขอบคุณครับ”

วายุดื่มน้ำในแก้วก่อนจะเริ่มต้นเล่าให้วิณณ์ฟังถึงเรื่องเจอมา “คืออย่างนี้ วันนี้ผมไปทำธุระแถวมหา’ลัยของน้องสาวผู้กองมาแล้ว.......”

วายุเล่าเหตุการณ์ที่เขาเจอให้วิณณ์ฟัง การที่วายุไปแถวนั้นเพราะเขาไปทำธุระจริงๆ ส่วนการเจอน้องสาววิณณ์มันคือเรื่องบังเอิญ วายุเห็นดารินตั้งแต่แยกกับเพื่อนเขาตั้งใจจะเข้าไปทักแต่เพราะเขายังไม่เสร็จธุระตรงหน้าเลยละไปไม่ได้ และเขายังสังเกตุเห็นอีกว่ามีรถคันหนึ่งขับช้าๆ ตามหลังดารินมา

ซึ่งมันจะไม่แปลกอะไรเลยถ้ารถคันนั้นไม่ขับช้าๆ เหมือนจงใจ

ดังนั้นเขาจึงกดมือถือหาหญิงสาว


Rrrrrrr

“ทำอะไรอยู่ครับคุณหนูดาริน”
[มามหา’ลัยก็มาเรียนหนังสือซิ แต่เรียนเสร็จละกำลังจะกลับบ้าน]

“กลับบ้านทำไมไปทางนั้นละครับ”
[หืม นี่นาย! นายรู้ได้ไง] หญิงสาวพูดจบก็มองซ้ายมองขวาหาคนที่โทรมา

“ไม่ต้องหาขนาดนั้นหรอกครับหันหลังมาแค่ 45 องศาก็เจอผมแล้ว” วายุพูดเสร็จก็โบกมือพร้อมยิ้มกว้างทักทายหญิงสาวที่หันมา
[แอบตามมาเหรอ]

“แอบอะไรละคุณ ผมมาทำธุระให้แม่นะ ว่าแต่คุณจะไปไหน”
[ฉันจะเอาขนมไปให้เด็กๆ ในซอยอะ]

“อ่อออ งั้นเดี๋ยวผมรีบทำธุระเสร็จแล้วไปหานะ”
[เฮ้ย มะ.....]

ผมไม่ปล่อยให้ปลายสายปฏิเสธ เพราะตอนนี้ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่คิดอาจจะเป็นจริง รถคันนั้นตามดารินมา ทางที่วายุมาทำธุระให้แม่เป็นซอยที่ทะลุถึงกันได้ ดังนั้นเมื่อเขาเสร็จธุระแล้วเขาจีงรีบเดินทะลุมาที่กลางซอยและเหมือนโชคจะเข้าข้างเขา เพราะเขาเจอกับดารินที่กำลังเล่นกับลูกหมาอยู่โดยมีผู้ชายท่าทางลับๆล่อๆ ยืนอยู่ไม่ไกล

“เฮ้อ ยายนี่ทำอะไรไม่ระวังตัวเลย” วายุพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินออกมาแล้วเรื่องที่เหลือก็เป็นอย่างที่รู้อยู่แล้ว เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นต้องการ และถ้าเขาไม่เดินออกมาเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้


“คุณวายุ คุณแน่ใจเหรอว่าผู้ชายคนนั้นตั้งใจมาหาดาริน”
“จะให้ผมพูดว่ามั่นใจ 100% ผมก็พูดไม่ได้เต็มปาก จะมาดีมาร้ายผมก็บอกไม่ได้อีก แต่... ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน”
“...........”
“ผู้กองลองคิดดูนะ ผู้ชายคนนั้นบอกหลงทาง จำทางไม่ได้ แล้วทำไมเขาไม่โทรถามละหรือจะบอกว่าไม่มีโทรศัพท์ อะ...มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่นี่มันสมัยไหนแล้วขนาดเด็กอนุบาลยังมีมือถือพกกันเลย แล้วนี่ผู้ใหญ่จะบอกว่าไม่มี มันเชื่อยากเกินไปนะ”
“........”
“อีกอย่าง พอผมแสดงตัวเดินเข้าไปหาน้องสาวผู้กอง เพื่อนนายคนนั้นจู่ๆก็โผล่มาซะงั้น ผู้กองคิดว่ามันแปลกไหมละ”

ใช่ซิ มันต้องแปลกอยู่แล้ว หลายวันมานี้วิณณ์รู้สึกว่าเขาเองก็ถูกตามเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะตั้งแต่เรื่องที่บ้านจ่าเติม นี่บ้านเขากำลังถูกคุมคามงั้นเหรอ?



“คุณ....”

“.......”

“ผู้กอง”

“.......”

“ผู้กองครับ!” วิณณ์ได้สติหันหน้ากลับมาสบตากับวายุ “ผู้กองคิดอะไรอยู่เหรอครับ”
“คุณวายุ ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณ”
“ครับ?”
“ผมไม่สามารถดูแลน้องสาวได้ทุกๆวัน ถ้าไม่ลำบากหรือรบกวนจนเกินไปผมอยากจะให้คุณช่วยไปรับไปส่งดารินที่มหา’ลัย ผมจะรีบเคลียร์เรื่องให้เสร็จโดยเร็วผมคงรบกวนคุณไม่นานครับ”
“ถ้าผมจะถามเหตุผลละ”
“ผมก็อยากจะบอกคุณนะแต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ ตอนนี้ถ้าจะให้คิดผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับคดีที่ผมทำอยู่”
“เรื่องใหญ่เลยเหรอครับ”
“ครับ”
“ตกลง ผู้กองไม่ต้องห่วงผมจะทำให้เต็มที่ ถ้าวันไหนไม่สามารถทำหน้าที่ได้จริงๆ ผมจะบอกผู้กอง”
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่น้องผู้กองเถอะจะยอมให้ผมไปรับไปส่งหรือเปล่า”



“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นผมจัดการเอง”

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอาแล้วๆ ทำไงดีล่ะ  :hao4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
คิดถึงจ้า  :กอด1:
เราสงสัยอะ นายใหญ่คือใครนะ ต้องเป็นคนที่รู้จักผู้กองแน่ๆ  หรืออาจรู้จักพ่อของผู้กอง อยากรู้แล่วว
    :L1:  :pig4:  :3123:

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 26 กัดฟันสู้


“ผู้กองครับไอ้โจ๊กมันขอพบผู้กองครับ”
“พบผม?”
“ครับ มันบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับผู้กองครับ”

ช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ผมมัวแต่วุ่นวายเรื่องของที่บ้าน ผมวานให้นายวายุช่วยดูดาริน ไปรับไปส่งบ้านกับมหา’ลัยเท่าที่ทำได้ แต่ดูแล้วรายนั้นไม่ได้ลำบากอะไรออกจะชอบด้วยซ้ำ ส่วนผมเองก็กลับบ้านไปดูความเรียบร้อยทั้งประตู หน้าต่าง แถมยังฝากฝังบ้านใกล้เรือนเคียงช่วยสอดส่องความผิดปกติ

ถึงจะมีคนสงสัยที่ผมทำแบบนี้ แต่ผมก็แค่บอกว่าเป็นการทดลองความปลอดภัยมาตรฐาน ชุมชนดูแลชุมชน ทุกคนก็เข้าใจและปฏิบัติตามอย่างดี

ผมหาข้อมูลและหลักฐานเพิ่มจากคดีคุณแอน จนพอจะรู้บ้างว่าบุคคลที่คุณแอนไปเกี่ยวข้องด้วยนั้นเป็นผู้มีอิทธิพลและกว้างขวางอย่างมาก มีลูกน้องเยอะแยะซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือไอ้เอ็ม และถึงแม้ผมจะมั่นใจว่าพวกไอ้เอ็มคือคนร้ายที่ฆาตกรรมคุณแอนแต่หลักฐานที่มีไม่พอ ตำรวจจึงไม่สามารถจับกุมได้ แถมตอนนี้มันยังกล้าที่มาวุ่นวายกับผมและครอบครัวของผม



ก๊อก ก๊อก

“ผู้กองพร้อมแล้วครับ” 

ผมเดินมาที่ห้องสอบสวนตามที่ ซึ่งในนั้นนายโจ๊กก็รออยู่แล้ว

“สวัสดีครับผู้กอง”
“ได้ยินว่า คุณต้องการพบผม”
“ครับ”
“เรื่องอะไร”
“ผมจะสารภาพ”
“....”
“ผมจะสารภาพเรื่องคดีผู้หญิงชื่อแอน”
“ทำไม นายถึงอยากจะสารภาพ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่อยากทำดีให้แม่บ้าง”
“นี่มึงเพิ่งคิดได้เหรอวะไอ้โจ๊ก กูละโคตรดีใจแทนแม่มึงเลยวะ”
“จ่า ผมก็มีสมองมีความคิดเป็นนะ”
“แล้วทำไมก่อนหน้านี้มึงคิดไม่ได้วะ”

“เอาละพอก่อน ว่าไงโจ๊กอยากจะบอกอะไรก็ว่ามาเลย”

“ผม ไอ้แจ็ค พี่เอ็มพวกเราได้รับคำสั่งมาจากนายใหญ่ให้ฆ่าปิดปากผู้หญิงที่ชื่อแอนกับไอ้เสี่ยชัย”
“ทำไม?”
“จริงๆ แล้วต้องบอกว่าผู้หญิงคนนั้นดวงซวย เป้าหมายพวกเราคือเสี่ยคนเดียวแต่ผู้หญิงคนนั้นดันมาเห็นตอนพวกลูกน้องนายขนยาและมีหลักฐานรูปถ่าย”
“เมมโมรี่การ์ดที่พวกนายหาอยู่ใช่ไหม”
“ใช่”
“ถึงจะมีรูปแต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าในนั้นมียา”
“พูดแบบนี้แสดงว่าผู้กองเปิดเมมดูแล้วละซิ”
“ใช่ ถึงจะไม่รู้ว่าของข้างในคืออะไร แต่มันก็เหมือนคนมีชนักติดหลังละครับ คนทำผิดย่อมต้องกลัวถูกจับได้”

วิณณ์พยักหน้าเข้าใจ ใช่คนทำผิดย่อมต้องกลัวความคิด กลัวคนอื่นรู้ความผิดของตัวเอง

“แล้วนายต้องการอะไร”
“ผมไม่ต้องการอะไร ผมรู้ผมทำผิดผมก็ต้องรับโทษตามผิด ผมทำใจได้อยู่แล้ว และการที่ผมมาสารภาพก็เท่ากับผมทรยศเพื่อนพ้อง แต่ที่ผมยอมทำก็เพราะ...”
“....”

“ผมอยากจะมีเวลาเหลือและใช้เวลานั้นทดแทนบุญคุณแม่ผมก็เท่านั้นเอง”   

โจ๊กคิดแบบนั้นจริง ถ้าเขายังทำผิดและวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ซักวันหนึ่งถ้าโชคดีเขาอาจจะแค่ติดคุก แต่ถ้าโชคร้ายเขาก็อาจจะถูกยิงตายเข้าซักวัน


โจ๊กแม่ขอได้ไหมลูก หยุดได้ไหมลูก เลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ไหมลูก แม่ยังอยากเห็นชายผ้าเหลืองและอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดีนะลูกนะ 


นั่นคือประโยคที่แม่พูดกับเขาในวันที่มาเยี่ยมล่าสุด ถึงเขาจะถูกจับด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า แต่เขารู้ดีและแม่เขาก็รู้ดีที่ตำรวจยังไม่ทำสำนวนฟ้องและส่งตัวเขาไปเรือนจำเพราะต้องการข้อมูลเรื่องเลวๆ ที่เขาก่อไว้


“แม่นายต้องภูมิใจ”

โจ๊กเองก็หวังเช่นนั้น




“ท่านกาลเวลา”
.
.
“ท่านกาลเวลาครับ ออกมาหน่อยครับ”
.
.
“ท่าน ท่านอยู่ไหนครับ ผมมีเรื่องอยากถาม”

(อยากถามอะไรข้างั้นรึ)
“สวัสดีครับท่านกาลเวลาผมมีเรื่องอยากจะถามนะครับ”
(ว่ามาซิ)
“คือสร้อยนะครับ ผมสงสัยทำไม ทำไมมันเป็นแบบนี้ละครับ”

ตะวันพูดพร้อมกับยกข้อมือข้างที่มีสร้อยขึ้นมา

(ดูท่าเจ้าใกล้จะทำสำเร็จแล้วซินะ)
“แต่ผมยังทำไม่ครบเลยนะครับ”
(เจ้าไม่ดีใจหรอกรึ เจ้าจะได้ขอพรตามที่เจ้าต้องการ จะได้กลับเป็นคนอีกครั้ง กลับไปหาแม่หาครอบครัวของเจ้า)
“ก็ดีใจหรอกครับ แต่มันไม่ถูกต้อง”
(ไม่ถูกต้อง?)
“นับรวมภารกิจครั้งสุดท้ายที่ผมทำมันก็แค่ 6ภารกิจ แถมที่ทำสำเร็จจริงๆก็แค่ 5เองนะครับ แต่สร้อยนี่ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่เลยครับ”
(หึหึ เจ้านี่จิตใจดีกว่าที่ข้าคิดไว้นะ ถ้าไม่นับเรื่องที่ฆ่าตัวตาย)
“โธ่ ท่านกาลเวลา”
(เอาเถอะ เจ้ายังไม่ต้องสนใจเรื่องสร้อยนี่หรอก มันไม่มีอะไรผิดพลาดหรอกไม่ต้องกังวลไป)
“.....”

(สิ่งที่เจ้าควรกังวลตอนนี้ก็คือภาระตรงหน้าที่มันยังค้างคาอยู่...
เราเตือนเจ้าได้แค่ว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและใหญ่กว่าที่เจ้าคิด เพราะฉะนั้นจงรอบคอบ ระวังและมีสติให้มาก จำเอาไว้)


“ยังไงเหรอครับ”



แว่บบบ



“ท่านกาลเวลา ท่านกาลเวลา เฮ้อ ไปซะละ เรื่องที่ค้างคาเหรอ ตอนนี้ก็มีแค่....เรื่องคุณแอน ไม่ว่าจะข้อมูล หรือหลักฐานอะไรก็ยังไม่คืบหน้าถ้าจะมีอะไรที่ยุ่งยากเข้ามาอีกไม่ตายเหรอเนี่ยยย”






[ดาริน-วายุ]


“นี่คุณทำไมพี่วิณณ์ต้องให้คุณตามรับตามส่งฉันด้วยละ”
“.....”
“นี่ ถามไม่ได้ยินหรือไง”
“.....”
“หรือว่าหูตึง”
“.....”

ดารินเริ่มหงุดหงิดถามอะไรไปนายวายุก็ไม่ยอมพูด ทำไมพี่ชายเธอต้องให้นายวายุมาตามรับตามส่งด้วย พอถามเหตุผลไปรายนั้นก็บอกแค่ว่า

ไว้จะบอกทีหลัง ตอนนี้ทำตามที่พี่บอกก็พอ

ส่วนนายวายุที่นั่งเงียบก็เพราะไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าขืนเขาบอกไปว่ามีคนคอยตามอยู่ ได้มีหวังซ่าไปก่อเรื่องอีกแน่ๆ ดูท่าไม่ค่อยกลัวอะไรเลยด้วยซ้ำ เฮ้อออ

“ถอนหายใจทำไม”
“เอ่อ...เอ่อ....หิวน้ำนะ”
“แล้วทำไมไม่กินใครปิดปากไว้หรือไง”
“จ้าาา”

“ถึงแล้วครับคุณหนู”
“ขอบคุณ”

ดารินหันไปหยิบถุงที่เบาะหลังเพราะก่อนกลับเธอแวะร้านขนมร้านโปรดของแม่

“พรุ่งนี้มีเรียน10โมงเช้า ถ้านายไม่สะดวกไม่ต้องมารับก็ได้นะ”
“สะดวกครับ ไม่ต้องห่วง ^____^”
“ยะ”


ดารินหันหลังเดินกลับเข้าบ้านเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ออกมาพอดี


“แม่จ๋าา หิวจังมีอะไรกินไหมคะ”
“มีคะน้าหมูกรอบของโปรดเรานะ“
“เย้”
“อ้าววายุเข้ามาก่อนลูกแม่ทำกับข้าวเผื่อเราด้วย”
“นายวายุเขามีธุระต่อนะแม่ ไม่กินหรอก ปะเข้าบ้านกันเถอะคะ”
“นี่”
“โอ้ย แม่อะรินเจ็บนะ หยิกรินทำไมเนี่ย ดูดิเขียวเลย”
“เรานี่ชอบแกล้งพี่เขาจริงๆเลย แล้วทำไมถึงเรียกพี่เขาว่าแบบนั้น ไม่น่ารักเลยนะ”
“แม่อ่า”
“เข้าบ้านก่อนเถอะ ส่วนเราขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมากินข้าว”
“ค่าาาา คุณนายแม่”
“อย่าช้านะ”
“ค่าาาาา”

ไม่นานทุกคนก็พร้อมที่โต๊ะกินข้าว โดยผู้เป็นแม่เป็นคนตักข้าวให้กับทุกคน

“กินเยอะๆ นะวายุ อุตส่าห์ยอมเสียเวลาไปรับยายตัวแสบให้”
“ไม่ต้องไปรับก็ได้นะ รินไม่ว่าอะไรหรอกแม่”
“เราไม่ว่า คนที่ว่านะพี่ชายเรา”
“เฮ้อ ไม่เข้าใจพี่วิณณ์จริง จริ๊ง กำลังทำอะไรอยู่”

“วายุไม่ต้องไปสนใจจ้ะ เรากินข้าวดีกว่า”
“ครับ”

วายุขอตัวกลับหลังจากที่กินข้าวเสร็จ

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“จ้ะขับรถดีๆ นะจ้ะ ยายดาไปส่งพี่วายุเขาหน่อยไป”
“ค่าาา”

ดารินลากเสียงขายรับคำสั่งแม่ และเดินอิดออดตามวายุออกไป

“ไปได้แล้วคุณดึกแล้ว ฉันง่วงนอนแล้ว”
“ทำไมคุณชอบไล่จัง”
“ไล่ที่ไหน ป๊าวววว ก็แค่บอกง่วงนอน อีกอย่างขับรถดึกๆ มันไม่ดีนะ”
“เหรอออออ”
“ยะ”
“พรุ่งนี้ผมมารับแล้วเจอกันนะครับ อ้อ ห้ามหนีไปคนเดียวและอย่าเดินเล่นไปไหนมั่วซั่วละ”
“รู้แล้วน่า”
“หึหึ”


ดารินเดินกลับเข้าบ้านมาพร้อมกับคิดว่าพี่ชายตัวเองกับนายวายุมีเรื่องอะไรกันแน่ เพราะต่อให้ตัวเธอไปทะเลาะมีเรื่องกับใครขนาดไหนพี่เธอก็ไม่เคยทำถึงขนาดนี้ แล้วแม่เธอละจะรู้เรื่องด้วยหรือเปล่า


Rrrrrrr เสียงโทรศัพท์ข้างเตียงดังขึ้น ดารินหยิบขี้นมาดู “ทราย” เพื่อนที่มหา’ลัยของเธอเอง

“ฮัลโหลทรายมีอะไรหรือเปล่า”
[ริน พรุ่งนี้อาจารย์เลื่อนคลาสขึ้นมาเป็น 8โมงครึ่งละ]

“เฮ้ย จริงดิ นึกว่าจะไปตื่นสายหน่อย โอเคๆ ขอบใจนะที่โทรมาบอก พรุ่งนี้เจอกันนะ”
[จ้า]


ดารินวางสายจากเพื่อนและกำลังจะเลื่อนไปหาของวายุแต่ก็ชะงักซะก่อน

“ไปเองก็ได้มั้ง พรุ่งนี้ค่อยส่งข้อความไปบอกแล้วกัน”
.
.
.
.
.
.
.

ตึก ตึก ตึก

“แม่ขา รินไปมหา’ลัยก่อนนะคะ”
“อ้าวทำไมไปแต่เช้าละลูก แล้วพี่วายุเขามารับแล้วเหรอ”
“เปล่าคะ รินไปเอง แต่ไม่ต้องห่วงคะรินส่งข้อความไปบอกแล้วคะ”
“ได้ยังไงกัน พี่วิณณ์ไม่ให้เราไปไหนมาไหนคนเดียวนะช่วงนี้”
“ไม่มีไรหรอกคะแม่ เดี๋ยวถึงมหา’ลัยแล้วรินรีบโทรบอกนะคะ ไปก่อนนะคะแม่ เดี๋ยวสาย”
“เดี๋ยวยายริน......ยายริน”

ดารินรีบออกจากบ้านและเดินไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย

.
.
.
.

“พี่โอกาสมาแล้วพี่ วันนี้น้องสาวไอ้ผู้กองมันมาคนเดียว......ได้พี่ เดี๋ยวผมขับรถตามมันไปเอง”

อะไรมันช่างประจวบเหมาะซะเหลือเกิน ซีนที่เฝ้าดูอยู่จนคิดว่าจะหมดหวังแล้ว โชคก็ดันมาเข้าข้างซะได้

“ยังไงวันนี้กูต้องเอาตัวมันไปให้ได้”

ดารินเลือกลงป้ายก่อนถึงมหา’ลัยหนึ่งป้ายเพราะเธอตั้งใจจะเดินมาทางท้ายซอยเพื่อมาหาหมาเด็กของเธอ

ทั้งที่พี่วิณณ์กับนายวายุกำชับไว้แล้วว่าไม่ให้ไปไหนคนเดียว หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ไม่ปลอดภัยทแต่นี่มันตอนเช้านี่คงไม่เป็นอะไรหรอก ซอยก็ไม่ใช่ซอยร้างอะไรบ้านสองข้างทางออกจะเยอะแยะ ดารินคิดแบบนั้นก่อนจะเดินเข้าไป


“เห็นมะ คนเข้าออกเยอะแยะจะตายไป ไม่รู้สองคนนั้นจะกลัวอะไร......โม่ โม่.....
.....อยู่ไหนเด็กออกมากินขนมเร็ว
........โม่ โม่”


ดารินได้ยินเสียงมีเท้ามาจากด้านหลัง ทำให้เธอดีใจที่น้องหมายอมออกมาหาเธอแล้ว


“ออกมาแล้วเหรอ! ....เอ่อ ขอโทษคะ”  แต่ไม่ใช่ ตรงหน้าเธอไม่ใช่หมา แต่เป็นคน คนที่เธอพอจะจำได้ลางๆว่าเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอที่นี่เมื่อวันก่อน

“มาให้ข้าวเด็กๆอีกแล้วเหรอครับ”
“คะ”
“มาคนเดียวเหรอครับ”
“เพื่อนกำลังตามมาคะ”

ดารินเองเริ่มรู้สึกแปลกเธอจึงเลือกที่จะโกหกไป แต่ก็คิดผิดเพราะซีนรู้ดีว่าเธอมาคนเดียวและจะไม่มีใครตามมาตอนนี้แน่นอน  ซีนใจร้อนแทนที่จะรอลูกพี่กลับตัดสินใจทำเอง ผู้หญิงคนเดียวมันจะทำอะไรได้

และเมื่อซีนขยับเข้าไปใกล้ ดารินเองก็ขยับถอย



บรื้น บรื้น

มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับออกมาจากซอย ดารินอาศัยจังหวะนี้รีบเดินหนี เช่นเดียวกับซีนที่จะไม่ยอมปล่อยให้เสียโอกาส ทันที่ที่รถคันนั้นผ่านหน้าไป เขารีบเดินตามและ

“จะรีบไปไหน”  ซีนตรงเข้าจับที่แขนของดาริน ก่อนจะกระชากตัวให้เข้ามาใกล้และใช้มีดที่พกมาด้วยจี้ที่ข้างตัวดารินไว้

“อย่าโวยวายเดินไปดีๆ ถ้าไม่อยากโดนเสียบตายตรงนี้”

ดารินพยายามดิ้นและกระชากตัวเองให้หลุด แต่ไม่เป็นผล

“กูบอกอย่าดิ้น ท่าทางมึงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่”

ซีนกดปลายมีดเข้าไปที่ลำตัวดารินรู้สึกเจ็บแปลบทันทีและนั่นทำให้เสื้อนักศึกษาสีขาว กลับมีสีแดงไหลซึมออกมาด้วย ดารินเจ็บแต่ต้องทนฝืนไม่ร้องออกมา เธอไม่รู้ว่าแผลนั้นลึกแค่ไหน แต่มันก็ทำให้เธอน้ำตาซึม

“ถ้านายกูไม่สั่งไว้มึงได้ตายจริงๆ แน่”

มันเรื่องอะไรกัน เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้มีศัตรูที่ไหน แล้วนายที่มันพูดถึงเป็นใครเธอก็ไม่รู้จัก

ซีนดันให้ดารินเดินไปข้างหน้าและตัวเองก็เดินขนาบข้าง ถ้ามองผิวเผินก็เหมือนเพื่อน แฟนหรือคนรู้จักเดินด้วยกันธรรมดา แต่ถ้าใครจะสังเกตซักนิด ว่ารอยสีแดงนั้นเริ่มขยายวงกว้างขึ้น

ดารินคร่ำครวญอยู่ในใจเธอน่าจะเชื่อพี่วิณณ์ ฟังแม่ และรอนายวายุให้มารับ เพราะความดื้อรั้นของเธอแท้ๆ

ซีนพาดารินเดินมาเกือบถึงท้ายซอยที่จอดรถทิ้งไว้ เพราะยังเช้าและบ้านแถวท้ายซอยไม่ค่อยมีนัก มันทำให้ทำงานได้ง่าย ซีนเปิดประตูรถและกำลังผลักดารินให้ไปนั่งข้างคนขับ



“มึงงงงง”


ผั่วะะะะ


วายุที่โผล่มากระโจนเข้าต่อยแจ็คจนล้มไป เขาหันไปหาดารินที่หน้าตาซีดเซียวคงเพราะตกใจแต่ทันทีที่วายุเห็นเลือดที่เลอะที่เสื้อ นั่นยิ่งทำให้เขาโกรธและสติหลุด

“ไอ้เหี้ย มึงทำอะไรดาริน หะ!”

วายุวิ่งเข้าใส่แต่ก่อนจะถึงตัว ซีนก็ถีบเข้าที่ท้องอย่างแรง วายุกระเด็นออกไป ซีนลุกขึ้นโดยมีดยังอยู่ที่มือ

“อยู่ดีไม่ว่าดีนะมึง เสือกจริง” ซีนเดินเข้าหาวายุแขนกำมีดแน่น ดารินพยายามตะโกนแต่ก็ไม่มีเสียง พยายามจะลุกแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง


ใครก็ได้ช่วยด้วย พี่วิณณ์ แม่ ช่วยด้วย


วายุถูกถีบถึงกับจุกแต่เหตุการณ์ตรงหน้ามันร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะมานั่งเจ็บ วายุขยับถอยหลังหนี มือก็ควานไปหาตามพื้นสะเปะสะปะ


พลึ่บบบ


เขากำเศษทรายที่พื้นปาใส่หน้า มันได้ผลมันทำให้ซีนต้องชะงักเพราะมองไม่เห็นและระคายเคืองตา วายุลุกขึ้นและถีบเข้าไปที่ตัวซีนจนล้มลง และวิ่งกลับมาที่รถเพื่อพาดารินหนีก่อน

แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย แผลก็เจ็บ เลือดก็เสียทำให้แม้แต่แรงยืนแทบไม่มี วายุจึงตัดสินใจให้ดารินขี่หลังและวิ่ง จุดหมายเขาคือไปที่ถนนอย่างน้อยก็คนเยอะและพลุกพล่าน


“อดทนนิดนึงนะคุณ” โกรธก็โกรธ โมโหก็โมโห แต่คนตรงหน้าเป็นอย่างนี้จะให้เขามานั่งบ่นนั่งว่าก็ใช่เรื่อง พาออกไปให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน

“อย่าคิดว่ากูจะยอมแพ้” ซีนวิ่งเข้ามาทางด้านหลังมีดก็ยังถืออยู่ในมือ ส่วนตัววายุเองก็ต้องวิ่งพร้อมกับแบกดารินไปด้วย

“ลำบากฉิบ... คุณ...นี่คุณ คุณไหวไหม คุณ”
“อะ....มะ”


ไม่ทันแล้ววายุชำเลืองมองหลัง ซีนใกล้เข้ามาแล้ว และแน่นอนเขาหนีไม่ทันแน่

“ตายซะมึง ไอ้ขี้เสือก”

วายุเอี้ยวตัวหลบมีดที่พุ่งเข้ามา นั่นทำให้เขาเสียหลัก เขาต้องเอนตัวเหวี่ยงดารินกลับมาอุ้มไว้ด้านหน้าก่อนจะล้มกระแทกพื้นโดยมีดารินอยู่บนตัว

วายุเจ็บจนจุกมันทำให้เขาลุกไม่ขึ้นและนั่นคือข้อเสียเปรียบ

“หมดฤทธิ์แล้วซินะมึง นายกูห้ามไม่ให้ทำอะไรไอ้ผู้กองกับน้องสาวมัน แต่ไม่ได้ห้ามฆ่ามึง”
“แฮ่ก แฮ่ก”
“เสือกยุ่งดีนัก งั้นก็เสือกตายไปด้วยเลยแล้วกัน”

วายุกอดดารินไว้กับอกและยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขากระเถิบตัวถอยหลัง สภาพแบบนี้อย่าว่าแต่จะสู้แค่หนียังลำบาก ซีนเดินเข้ามาใกล้ มือกำมีดไว้แน่น ด้วยความโทสะที่ครอบงำคำสั่งใครเขาก็ไม่สนใจ จะลืมให้หมด

“ตายซะ.....”



ปัง ปัง



ซีนก้มหลบพร้อมมองหาต้นเสียง

ไอ้วิณณ์

สายไปแล้วไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้ ซีนยังคงเดินเข้าไปหาวายุและดาริน และนั่นทำให้วิณณ์ตัดสินใจ
.
.
.

ปัง!

กระสุนหนึ่งนัดถูกยิงเข้าที่ไหล่ของซีนทำให้มีดกระเด็นหลุดจากมือและล้มลง มีดกระเด็นไปตกใกล้กับวายุ เขาจึงแต่มันให้ห่างออกไป และเมื่อเห็นคนตรงหน้าที่วิ่งเข้ามา วายุก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ดาริน ริน ยายริน...”
“คุณอย่าเพิ่งถาม ผมว่าพาดารินไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ ว่าแต่..คุณจะไม่จัดการไอ้นั่นก่อนเหรอ”
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมให้จ่าเติมจัดการ”
“....” วายุพยักหน้าเข้าใจ
“จ่าทางนี้”



จ่าเติมพร้อมกับสายตรวจสองนายเข้ามารับช่วงต่อ รถพยาบาลสองคันถูกเรียกมาอย่างไวด้วยความเตรียมพร้อมของจ่าเติม ต่างคนต่างขึ้นคนละคันแต่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือ โรงพยาบาล

“ไอ้หมอ กูกำลังพาดารินไปโรงพยาบาลมึงต้องอยู่รอห้ามไปไหน...”


ดาริน วายุและซีนถูกพาตัวเข้าห้องฉุกเฉินแยกไปคนละห้อง อาการบาดเจ็บจากแผลไม่สาหัสมาก ซีนต้องผ่ากระสุนที่ไหล่ออก และออกมาพักฟื้นห้องพักด้านนอกได้
ดารินมีแผลลึก 2นิ้วจากการถูกแทง และเสียเลือดเยอะเกินไป เธอจึงต้องพักฟื้นที่ห้อง ICU
ส่วนวายุแยกไปทำแผลถลอกตามตัว


วิณณ์รออยู่ด้านนอกห้อง เขาเอาแต่ครุ่นคิดว่าเป็นเพราะเขาที่น้องต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แล้วยังวายุอีกที่ต้องมาซวยเพราะคำขอร้องของเขา

“วิณณ์”
“ตะวัน”
“ใจเย็นๆ นะ ดารินต้องปลอดภัย อย่าคิดมากนะ”
“เพราะวิณณ์ น้องต้องเป็นแบบนี้เพราะวิณณ์”

วิณณ์พยายามกลั้นเสียงที่สั่นไว้ เขาไม่อยากอ่อนแอเขาไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น แต่ที่เขาร้อง ที่เขาเป็นแบบนี้เขาไม่ได้กลัว เขาแค่เจ็บใจ....
เจ็บใจที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้

“ถ้าอยากหลบสายตาคนอื่น ตะวันจะบังให้นะ”


พูดจบตะวันก็เข้าไปยืนตรงหน้าวิณณ์และโอบคอวิณณ์ให้ซบลงมาที่ท้อง


“ขอบคุณนะ”
“อืม”
“แต่ตะวันลืมอะไรไปหรือเปล่า”
“หืม”


“ตะวันเป็นวิญญาณนะ”





“.................!!!”





** แงงง มีเรื่องจะสารภาพเขียนไปเขียนมาเบลอใส่ชื่อลูกน้องเอ็มผิด ความจริงต้องชื่อซีน ไม่ใช่แจ็ค จะรีบทำการแก้ไข้ให้อย่างด่วนนะคร้าา **

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เป็นไงล่ะ ไม่พูดกับน้องไปตรง ๆ ถ้าพูดจะได้ระวังตัวมากกว่านี้  :m16:

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :pig4:  ภาวนาให้ได้บวชนะ กลัวจริงๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ noy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-9
เพิ่งเข้ามาอ่านสนุกมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ลุ้น ๆ

อัศวเมฆา   หรือ   อัครเมฆา

อันนี้คือสกุลเดียวกันที่พิมพ์ผิด  หรือคนละสกุล?

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ตอนที่ 27 เข้าใกล้



อั่ก

ผั่วะ

ตุบ

ตุบ


“นาย นายผมขอโทษ นาย...”

เอ็มอ้อนวอนขอร้องให้นายไว้ชีวิต ถึงแม้เรื่องนี้เขาไม่ได้ก่อแต่ก็เป็นหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของลูกน้อง

“กูบอกมึงแล้วใช่ไหม“
“ผม....ผมขอโทษ ผมใช้ให้มันไปเฝ้าเฉยๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะลงมือเอง”
“มึงจะบอกว่า มึงไม่สามารถคุมลูกน้องได้”
“ปะ....เปล่าครับนาย”
“แล้วมันยังไงวะ!” ผู้เป็นนายขึ้นเสียงจนคนในห้องต่างตกใจ
“......”
“มึงหาทางทำยังไงก็ได้ ไม่ให้ไอ้สองตัวนั้นมันปากโป่ง ถ้า.....มึงทำไม่ได้ กูจะหาคนไปทำให้”





โรงพยาบาล....

“ไอ้วิณณ์ คุยกันหน่อยไหมเพื่อน” ไอ้หมอชายเดินมานั่งข้างผม
“คุยอะไรวะ”
“คุยอะไรก็ได้ที่มึงอยากระบาย”
“ไม่มี”
“มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมากี่ปี อย่ามาโกหกกู”

เฮ้อ ปิดอะไรมึงไม่ได้เลยซินะ

“มึงจะให้กูพูดเรื่องอะไรละ”
“แล้วแต่มึงเลย กูว่าง มีเวลาฟังมึงได้นาน...จนกว่ามนุษย์เมียกูจะเสร็จเคสผ่าคลอด”
“โธ่ ไอ้มนุษย์ผัวผู้กลัวเมีย”
“เกรงใจ มึงเรียกให้ถูก แต่ตอนนี้อย่ามาสนใจเรื่องกู เอาเรื่องมึงก่อน”
“กูไม่รู้จะเริ่มจากไหนก่อนเลยวะ มันวุ่นวายตั้งแต่ที่....”

จะบอกมันไงดีละวะเนี่ย วุ่นวายตั้งแต่มีตะวันเข้ามาในชีวิตนะเหรอ แต่ไม่ใช่ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ตรงกันข้ามชีวิตผมมีสีสันขึ้นตั้งแต่มีตะวันเข้ามามากกว่า

“เอ้า ไงต่อวะกูรอฟังอยู่”
“เออ เออ เอาเป็นว่าชีวิตกูมีเรื่องให้ทำ แล้วก็วุ่นวายขึ้นตั้งแต่ 1 เดือนที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ดารินถูกทำร้ายมันก็เป็นเพราะคดีที่กูทำ แต่ที่กูกังวลอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนี้”
“เดี๋ยวๆ ไอ้ผู้กอง กูงง ก็ไหนว่าดารินถูกพวกที่มึงตามคดีอยู่ทำร้ายไงวะ แล้วทำไมมึงถึงไม่กังวล”
“กังวลซิ น้องกูทั้งคนทั้งห่วงทั้งหวงเลย แต่ความหมายของกูคือมันมีเรื่องที่กูต้องกังวลมากกว่าเรื่องนี้อีก”
“..............”
“คดีที่กูกำลังสืบอยู่ ยิ่งกูสืบลึกเข้าไปเท่าไหร่ ข้อมูลมันยิ่งกลับพาไปหาอีกคดีหนึ่ง”
“คดีอะไรวะ”
.
.
.
“คดีที่เป็นเหตุผลให้กูมาเป็นตำรวจ”
“เฮ้ย..... จริงเหรอวะ?”
“อืม”  ผมตอบพร้อมกับพยักหน้าให้มัน
“มึงแน่ใจ?”

ผมพยักหน้า

“ซักกี่เปอร์เซ็นต์”
“...70”
“ไอ้วิณณ์ เรื่องมันผ่านมานานแล้วนะเว้ย มึงไม่คิดว่าคนพวกนั้นมันตายหรือถูกจับไปบ้างแล้วหรือไง ถึงมันจะใช่ตามที่มึงคิดแต่มึงเองก็ยังไม่มั่นใจเลย ไม่คิดว่ามึงอาจจะคิดผิดบ้างเหรอ”
“กูไม่รู้วะ มึงก็รู้เรื่องนี้มันคาใจกูมานานแค่ไหน”
“.....”
“ลึกๆ ในใจกูอยากให้มันเป็นแบบนั้น”
“.....”
“อยากให้มันเกี่ยวข้องกัน”

“ไอ้ผู้กอง..!!”

“กูอยากรู้ว่าคนที่ทำให้กูกับน้องต้องกำพร้าพ่อหน้าตามันเป็นยังไง”







[วายุ]


พยาบาลจัดการทำแผลพร้อมกับจัดยามาให้เรียบร้อย ผมพาตัวเองกลับบ้านมาก่อน ส่วนดารินหมอให้พักผ่อนงดเยี่ยม และผู้กองเองก็ยังไม่สะดวกคุยกับผม

“คุณวายุผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ตามมาช่วยดารินได้ทัน”
“ผมรับปากคุณไว้แล้วผมต้องรักษาคำพูด แต่ผมก็ต้องขอโทษผู้กองที่ปล่อยให้ดารินออกจากบ้านเองโดยไม่มีผม ถ้าแม่ของผู้กองไม่โทรบอกผม ผมก็คงไม่รู้”

บทสนทนาระหว่างผมกับผู้กองก่อนที่จะแยกย้ายกัน

เฮ้ออออ ผมนั่งคิดถึงเหตุการณ์วันนี้ คนดวงมันจะซวย จะเจ็บตัวอะไรก็ช่วยไม่ได้ เมื่อคืนผมดันปิดโทรศัพท์เพราะแบตหมด มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าเปิดเครื่องมาเจอข้อความของดาริน ยังไม่ทันจะกดโทรศัพท์หาเจ้าตัว แม่ของดารินโทรมาพอดี



“วายุลูก ยายรินดื้อออกไปมหา’ลัยก่อนไม่ยอมรอวายุมารับ”



แค่ประโยคแรกที่แม่ดารินเอ่ยออกมาทำให้ผมรีบเด้งตัวออกจากที่นอน น้ำอะไรก็ยังไม่ได้อาบได้แต่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วพุ่งไปทันที ถามว่าห่วงไหมยอมรับว่าห่วงพี่ชายเขาอุตส่าห์ฝากให้ดูแลน้องสาวถ้าผมปล่อยให้เป็นอะไรไปคิดว่าศพไม่น่าจะสวยแน่นอน

-*-  ล้อเล่นครับ ตรงๆ เลยคือเป็นห่วงนั่นแหละ เพราะสังหรณ์ใจตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจอคนแปลกหน้าเข้ามาหาแล้ว

เอี๊ยดดด ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดในบ้าน บ้านปิดเงียบแบบนี้สงสัยพ่อกับแม่คงไปข้างนอกแล้วละ แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าพ่อกับแม่ผมตอนนี้ก็คือ น้าดารา 

“น้าดาราคุยอยู่กับใคร?”

ผมตัดสินใจเดินไปทางบ้านน้าดารา เพราะปกติน้าจะไม่ค่อยมีแขกหรือใครมาหาเท่าไหร่ มองจากตรงนี้ก็ไม่น่าจะใช่อาอาทิตย์พ่อของตะวัน

“ใครวะ??”
.

.

.

“อ้าววายุ เข้ามาก่อนซิ”

น้าดาราเอ่ยทักผมทันทีที่ผมเดินเข้าไป ผู้ชายคู่สนทนาหันหน้ามาทำให้ผมจำได้ว่าเคยเจอมาก่อน ที่โรงพยาบาล

“ครับ”
“ไปไหนมาจ้ะ แล้วนี่เรามีอะไรกับน้าหรือเปล่า”
“ไปธุระมานะครับ พอดีกำลังจะเข้าบ้านแต่พ่อกับแม่ไม่อยู่เลยแวะมาหาน้ากับตะวันก่อนนะครับ แต่ไม่รู้ว่าน้ามีแขก”
“อ๋อ น้าลืมแนะนำให้รู้จักกัน วายุนี่ลม และลมนี่วายุจ้ะ”
“สวัสดีครับ / สวัสดีครับ”
“อืม วายุต้องเป็นพี่ซินะ เพราะลมเป็นน้องตะวันไม่กี่เดือนเอง”
“น้องตะวัน?”
“ตายจริงน้าก็ลืมไปว่าวายุยังไม่เคยเจอกับลม ลมเขาเป็นน้องชายตะวันจ้ะ ลูกชายอีกคนของคุณอาทิตย์”

ลูกชายอีกคนของอาอาทิตย์ คนนี้ซินะที่แย่งความรักและครอบครัวไปจากน้าดาราและตะวัน

“วายุเป็นอะไรหรือเปล่าจ้ะ”
“อะ..เอ่อ เปล่าครับ น้าดาราไม่ว่าง ผมว่าผมกลับบ้านก่อนดีกว่าครับ”
“ไม่ว่างอะไร ไม่ต้องเกรงใจคนกันเองทั้งนั้นเข้ามาก่อนเถอะ”
“ครับ”

ผมรับคำและเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามนายลม

“กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอครับ ดูซีเรียสกันจัง”
“น้ากับลมกำลังคุยกันเรื่องตะวันนะจ้ะ คุณอาทิตย์เขาอยากส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกา”

“อเมริกา!!”

“ใช่จ้ะ น้าก็ว่าดีนะ เห็นเขาว่าที่นั่นหมอเก่งๆเยอะ เครื่องไม้เครื่องมือก็ทันสมัยกว่ามาก ตะวันอาจจะหายไวขึ้นก็ได้นะ หรือวายุว่ายังไง”
“เอ่อ....”
“ผมว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีนะครับ”
“แต่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าตะวันไปแล้วจะหายแน่นอน”
“ครับ แต่ลองก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ”
“....”
“พี่ตะวันอยู่นี่ก็เหมือนนอนรอเวลา จะนอนแบบนี้ไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดชีวิต ถ้ามีทางไหนที่พอจะมีโอกาส จะแค่ 1 หรือ ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ผมว่าเราน่าจะเสี่ยง”
“แล้ว น้าดาราละครับ”
“น้าก็จะไปด้วยจ้ะ”
“ครับ ถ้าน้าดาราคิดว่ามันดีสำหรับตะวันผมก็คงไม่มีอะไรคัดค้าน”


วายุกลับออกมาโดยหอบเอาความกระวนกระวายใจมาเต็มวิญญาณตะวันติดอยู่ระหว่างความเป็นความตายเพราะต้องทำภารกิจให้เสร็จนั่นคือข้อตกลงของการกลับเข้าร่าง


ถ้าร่างตะวันไปไกลขนาดนั้น จะมีผลอะไรกับวิญญาณไหม หรือวิญญาณต้องตามไปด้วย


แล้วภารกิจละจะทำยังไง


แล้วถ้าตัวกับวิญญาณต้องห่างกันมันจะเป็นยังไง


แล้วผู้กองละจะว่ายังไง






[วิณณ์]

ผมกลับมารอที่คอนโดเพราะไอ้หมอยังไม่ยอมให้ใครเข้าไปเยี่ยมดารินทั้งนั้นจนกว่าจะพรุ่งนี้เช้า ไม่รู้มันจะโหดไปไหน

“วันนี้มึงพาแม่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะผู้กอง ดารินต้องพักก่อนกูคงยังให้เยี่ยมไม่ได้”

ก่อนกลับผมแวะไปที่บ้านสวนเพื่อให้แม่ไปเอาของใช้และมาพักที่คอนโดด้วยกันระหว่างที่ดารินอยู่โรงพยาบาล การเดินทางสะดวกกว่าและผมเองก็สบายใจกว่าที่จะปล่อยให้แม่กลับไปอยู่บ้านคนเดียว

“แม่ครับ เดี๋ยวแม่นอนในห้องวิณณ์นะ เดี่ยววิณณ์ไปนอนที่โซฟาข้างนอก”
“นอนกับแม่ข้างในนี่ก็ได้นี่ลูก”
“ไม่เป็นไรครับ วิณณ์ทำงานดึกๆ นอนไม่เป็นเวลาแม่พาลจะนอนไม่หลับเอา”
“ตามใจ งั้นแม่ไปอาบน้ำก่อนนะเดี๋ยวออกมาคุยด้วย”
“ครับ”
.

.

.

“วิณณ์ไม่นอนกับแม่เหรอ นอนโซฟาเดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก”
“ไม่ปวดหรอกนอนออกจะบ่อย”

“เหมือนกันที่ไหนอันนั้นมันนอนแปปเดียว นี่ต้องนอนทั้งคืนนะ”
“นอนได้ เชื่อวิณณ์ซิ อีกอย่างกลัว....เหงานะ”

“อะไร มากลัวเหงาอะไรตอนนี้”
“เปล่า ไม่ได้กลัวเหงา”

“ก็เพิ่งพูดอยู่ว่ากลัวเหงา”

“วิณณ์บอกว่า ที่ออกมานอนข้างนอกเพราะ กลัวตะวันเหงา เข้าใจยัง

.

.

.

“ยังทำงานอยู่อีกเหรอวิณณ์” แม่อาบน้ำเสร็จก็ออกมานั่งคุยกับผม
“ครับแม่”
“เรื่องดารินเพราะคดีที่วิณณ์ทำเหรอลูก”
“.....ผมขอโทษนะครับแม่”
“ขอโทษแม่ทำไม”
“รินเป็นแบบนี้เพราะวิณณ์”
“แม่ไม่อยากให้วิณณ์โทษตัวเอง รินเองก็คงเหมือนกัน ตั้งแต่ที่วิณณ์ตัดสินใจเป็นตำรวจแม่กับน้องก็ยอมรับและไม่ทักท้วงอะไรตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
“....”
“สิ่งเดียวที่แม่จะขอคือขอให้วิณณ์ดูแลตัวเองให้ดี เพื่อแม่ เพื่อน้อง และเพื่อตัวเอง”
“ครับแม่ ขอบคุณแม่นะครับ”


ผมเข้าไปกอดแม่


“วิณณ์ เล่าให้แม่ฟังได้ไหม”
“ครับ?”
“แม่ได้ยินที่วิณณ์กับชายคุยกัน”


ผมสูดหายใจและผ่อนลมออกมาเป็นจังหวะ


“ลำบากใจเหรอลูก ถ้าไม่อยากเล่าไม่เป็นไรนะ”
“เปล่าครับ ผมอยากเล่าให้แม่ฟังนะครับ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี กลัวทำแม่เครียดไปด้วย”
“เล่ามาเถอะ คงไม่มีอะไรให้แม่เครียดไปกว่าเรื่องดารินตอนนี้หรอกลูก”
.

.
“คดีที่ผมกำลังสืบอยู่ ข้อมูลที่มีมันบ่งชี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับของคดีของพ่อ”
“จริงเหรอลูก”
“ครับ แต่มันก็ยังไม่เต็มร้อยหรอกนะครับ”
“แล้วทำไมวิณณ์ถึงคิดว่าเกี่ยวข้องกันละ”
“จากหลักฐานรูปถ่ายที่ผมได้มา มันชี้ไปที่กระบวนการค้ายาเสพติด ผู้ผลิตหรือเจ้าของยารายใหญ่แต่ละรายจะมียี่ห้อเป็นของตัวเอง”
“......”
“คดีที่ผมกำลังตามอยู่ก็เหมือนกัน ยี่ห้อของยามันเป็นยี่ห้อเดียวกับในรายงานคดีที่พ่อตามอยู่....ก่อนจะเสียชีวิต”
“......”
“......”
“แม่จะไม่ห้ามวิณณ์ เพราะแม่รู้ว่าวิณณ์จริงจังกับเรื่องนี้แค่ไหน.....แต่สัญญากับแม่เรื่องหนึ่งได้ไหม....”
“....ครับ”
“ดูแลตัวเอง อย่าให้เป็นแบบพ่อ”
“ครับแม่”

“เฮ้อ แม่ก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะบังเอิญประจวบเหมาะกันแบบนี้ แม่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้วิณณ์ฟังแต่คิดว่าคงถึงเวลาแล้ว”
“เรื่องอะไรครับ?”

“ตอนที่พ่อเริ่มทำคดีนี้ พ่อมักจะหอบงานกลับมาทำที่บ้านเสมอ เบาะแสคดีหลายๆชิ้นพ่อก็เอากลับมาบ้านหมด พ่อหมกหมุ่นกับมันมาก บางทีจ่าเติมหรือลูกน้องคนอื่นๆ ที่มาหาพ่อยังต้องเตือนพ่อไม่ให้หักโหมเกินไป แต่พ่อก็ไม่ฟังยิ่งพ่อสืบคดีมากเท่าไหร่พ่อก็ยิ่งถลำตัวลึก ตามจับคนในแก๊งค์ในขบวนการค้ายามากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถจับตัวหัวหน้าใหญ่ จนวันสุดท้ายแม่ได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ รู้แต่พ่อโกรธ และโมโหมาก....

‘ทำไม ทำไมแกทำแบบนี้ ไม่คิดเลยตำรวจที่จับคนร้ายมาทั้งชีวิต สุดท้าย....สุดท้ายต้อง...!’


แม่ได้ยินพ่อคุยแค่นั้น แต่แม่คิดว่าพ่อต้องรู้จักกับคนที่พ่อคุยด้วย ไม่งั้นพ่อคงไม่เสียใจขนาดนั้น”


“แล้วแม่ได้ถามพ่อไหมครับ”
“แม่ไม่เคยยุ่งเรื่องงานของพ่อ จนกว่าพ่ออยากจะคุยกับแม่เอง”
“.....”
“คืนนั้นพ่อเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือทั้งคืน ก่อนจะออกไปตอนเช้ามืดและบอกแม่แค่ว่าจะไปหาเพื่อน แล้วสุดท้ายพ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย”
“หาเพื่อน? เพื่อนคนไหนครับ”
“เป็นเพื่อนสมัยเรียนของพ่อนะจ้ะ รู้สึกจะชื่อ……”

“.....ยงยุทธ…..”








[ยมโลก]

“ใกล้แล้วซินะ”

“หมายว่ายังไงหรือขอรับท่านพญายม”

“จุดสิ้นสุดของเรื่องนี้ใกล้จะมาถึงแล้ว”

“และ............”

“แต่เจ้าอย่าถามเราว่ามันจะจบเยี่ยงไร เราไม่มีคำตอบให้กับเจ้าหรอก”

“อ้าว”

“ถึงแม้ชะตาชีวิตของแต่ละคนจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านั้นจะเดินตามเส้นที่กำหนดไว้ ข้อนี้เจ้าเองก็รู้ดี”

“ขอรับ”

“เราถึงบอกว่าเราให้คำตอบเจ้าไม่ได้หรอกว่าจะจบแบบไหน จนกว่าคนพวกนั้นจะเลือกเอง”

“ขอรับ”

.

.

.

“แต่ขออย่าให้เป็นอย่างที่เราคิดเลย”

นั่นคือสิ่งที่ในใจของท่านพญายมคิด ไม่มีใครล่วงรู้ว่าหมายถึงอะไร หรือถึงใคร คงจะมีเพียงแค่ตัวท่านเองเท่านั้นที่รู้





“ทำเหมือนกับท่านไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่องั้นแหละ”

“ท่านคิดว่าเรารู้ หรือไม่รู้อะไรหรือท่านเทว”

“ก็อย่างเรื่องวิญญาณตนนั้นกับมนุษย์ตำรวจผู้นั้น”

“ท่านก็รู้ว่าเราไม่สามารถเข้าไปยุ่งไม่ได้”

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าท่านไม่ยุ่งเลย”



เทว คือ ทูตสวรรค์ที่อยู่ในคณะพิจารณาคัดสรรวิญญาณมาทำภารกิจ ตะวันถูกเลือกเพราะคุณสมบัติตรงกับหลักเกณฑ์ทุกข้อ แต่เหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้ตะวันไม่ถูกเลือก ก็คือ การที่ตะวันฆ่าตัวตาย

แต่ท่านกาลเวลาก็ยังฝืนกฎข้อนี้และเลือกตะวันมาทำภารกิจและเป็นผู้ถูกเลือก และที่ท่านเทว ไม่ขัดหรือห้ามนั้นก็เพราะท่านเองก็อยากจะรู้ว่า ความคิดของท่านกาลเวลานั้นถูกหรือไม่


“เราจะมาเตือนท่านว่า เบื้องบนเริ่มระแคะระคาย ถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านจะทำอะไรก็รีบซะเถอะ ก่อนที่จะไม่ได้ทำ”


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใช่มะ...เพื่อนสนิทพ่อเป็นคนสั่งฆ่าพ่อเอง

ป.ล. เรื่องมันต้องจบ แต่จะจบแบบไหนกัน?


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด