พิมพ์หน้านี้ - Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Sub_yo ที่ 05-09-2017 22:52:22

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 05-09-2017 22:52:22
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


สัมผัสรัก คดีพิศวง
เมื่อวิญญาณอย่างผมต้องกลายเป็นผู้ช่วยจำเป็น เพื่อแลกกับพร 1 ข้อ ภารกิจพิเศษจึงเริ่มขึ้น
by Subyo
เสิร์ฟร้อนก่อนเริ่ม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.msg3700169#msg3700169)
ตอนที่ 1 ผมเป็นผี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.msg3700176#msg3700176)
ตอนที่ 2 พบเจอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 3 help me plsssss (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 4 ช่วยก็ช่วยวะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 5 หนูอยากกลับบ้าน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 6 ใช่หรือไม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 7 จบภารกิจแรก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.msg3730998#msg3730998)
ตอนที่ 8 เปิดปม 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 9 รอผมหน่อยนะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 10 ตะวันขอสอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.msg3739586#msg3739586)
ตอนที่ี 11 พี่ชาย น้องชาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 12 แนวร่วม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 13 หลักฐาน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 14 ผีชนผี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.msg3807834#msg3807834)
ตอนที่ 15 ไม่สบาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 16 หายไปไหน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 17 ครอบครัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 18 Come back (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 19 รุ่งหรือยุ่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 20 ตัวช่วย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 21 พบเพื่อจาก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ี 22 เพื่อนพ่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 23 วางแผน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 24 วิญญาณทุ่งดำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 25 จู่โจม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 26 กัดฟันสู้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 27 เข้าใกล้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 28 ใกล้ความจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 29 ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 30 เพื่อนไม่มีจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 31 สู้กับโจรต้องเป็นโจร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 32 เข้าใกล้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 33 ละครน้ำเน่า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 34 ทางเลือก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 35 เวลา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 36 ไขว่คว้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 37 พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 38 : Part 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
ตอนที่ 38 : Part 2 Ending (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61740.new#new)
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 05-09-2017 22:54:43
วิณณ์ หรือ ผู้กองวิณณ์

นายตำรวจหนุ่มไฟแพงอนาคตไกลของกรมตำรวจ ไม่ว่าจะคดียากแค่ไหน วิณณ์สามารถจัดการได้หมด วิณณ์มีและน้องสาว 1 คน ชื่อ ดาริน พ่อของวิณณ์จากไปตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อของเขาเป็นตำรวจเหมือนกับเขา หรือจะเรียกให้ถูก วิณณ์ตัดสินใจเป็นตำรวจตามพ่อเขานั่นเอง ด้วยเหตุผลลึกๆ ที่วิณณ์ตัดสินใจเป็นตำรวจก็เพราะสืบหาการตายของพ่อ  เพราะแม่รู้เหตุผลในข้อนี้ ถึงได้พยายามคัดค้านไม่อยากให้เขาเป็นตำรวจ  ต้องเสียพ่อไปคนหนึ่งในหน้าที่ แม่ก็ไม่อยากจะเสียลูกไปอีกคนเหมือนกัน แต่ผลสุดท้ายแม่ก็ไม่สามารถห้ามเขาได้ และสิ่งที่แม่ทำได้ก็มีเพียงให้กำลังใจเท่านั้น


ตะวัน

เป็นเด็กหนุ่มที่สดใสร่าเริง ใครอยู่ใกล้ก็มีแต่ความสุข  แต่เมื่อตะวันผิดหวังจากความรัก จากที่คิดว่าเขาโชคดีที่เจอคนที่ดี ที่รักและเข้าใจกันมาตลอดแต่ไม่ใช่  อารมณ์ชั่ววูบทำให้เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แต่เมื่อคิดได้ก็สายไปแล้ว ตะวันไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เขาเหลือเพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณ แม่ผู้เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขาจะต้องเศร้าเสียใจแค่ไหน คนที่จากไปอย่างตะวันได้แค่มองดู

แต่แล้วเหมือนโชคชะตาเล่นตลก มนุษย์โลกยังต้องทำดีเพื่อสะสมบุญ นรกกับสวรรค์ก็เช่นกัน เมื่อเขาได้รับโอากาสอีกครั้ง โอกาสที่เขาจะกลับไปเริ่มใหม่ เป็นมนุษย์อีกครั้ง 


และเมื่อคนกับวิญญาณต้องมาร่วมมือกัน ความหฤหรรษ์จึงบังเกิดขึ้น


ปฏิบัติการ 100วัน กับภาระกิจ 10 ข้อ เพื่อพร 1 ข้อ จึงเริ่มขึ้น
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ up ตอนที่ 1 ผมเป็นผี
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 05-09-2017 23:04:04

เอี๊ยด !!!



โครม !!!



เสียงเบรกที่ลากมายาว พร้อมเสียงล้อรถเบียดบนถนน พร้อมร่างของใครคนหนึ่งลอยละล่องตกลงมา

เขามุงดูอะไรกัน แล้วใครกันนอนอยู่ตรงนั้น คนถูกรถชนเหรอ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ผู้ชายที่ใส่ชุดนักศึกษานอนอยู่บนถนนพร้อมกองเลือดมากมายรอบตัว เมื่อมองดูดีๆ เนคไท เข็มขัดเหมือนชุดนักศึกษามหา’ลัยผม เด็กมหา’ลัยผมเหรอ ใครกันนะผมรู้จักไหม



‘ยังเด็กอยู่แท้ๆ ไม่น่าตายเลย’

‘ฉันเห็นเขาเดินลงมาบนถนน’

‘ฆ่าตัวตายเหรอ’

‘มีใครแจ้งตำรวจหรือยัง’




คนที่มุงดูต่างวิพากษ์วิจารณ์  ไม่นานรถพยาบาล รถอาสาต่างกรูกันเข้ามาพร้อมอุปกรณ์การแพทย์ที่ขนลงมาเพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนั้น ผมยังไม่กล้าเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะผมกลัวเลือดแล้วเหตุการณ์ที่มีคนตายต่อหน้าผมก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก แต่ที่ผมยังยืนอยู่เพราะคิดว่าอาจจะรู้จักถ้าเขาเป็นเด็กมหา’ลัยผม อย่างน้อยผมก็อาจจะแจ้งมหา’ลัยให้ตามหาญาติเขาได้

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ดูชัดๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ผมก็รู้สึกถึงลมแรงๆ ที่พัดผ่านหน้าไปและเหมือนจะพัดตัวผมให้ออกห่างจากตรงนั้นไปด้วย นี่ผมตัวเบาขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วทุกอย่างตรงหน้าก็เปลี่ยนไปจากที่ผมยืนอยู่บนถนนที่มีรถพลุกพล่าน คนมากมายที่ยืนดูอุบัติเหตุเมื่อกี้ก็หายไปหมด สถานที่ที่ปรากฎตรงหน้าตอนนี้เป็นทุ่งหญ้าที่มองไปจนสุดลูกตาก็ไม่สิ้นสุด ดอกหญ้าหลายสี หลายพันธ์ ต้นไม้เล็กใหญ่ เป็นสถานที่ที่พาให้อารมณ์ช่างสงบสุขที่สุด
 

‘นายตะวัน’
 

เสียงใครกันที่เรียกผม ผมไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น แล้วเสียงมาจากไหน ใครกันที่เรียกผม ผมหันซ้ายแลขวา แล้วสายตาต้องมาหยุดอยู่ที่ภาพตรงหน้า ผู้คนมาจากไหนมากมายแล้วเขากำลังจะเดินไปไหน พวกเค้าใส่ชุดที่เหมือนกัน  ชุดสีขาว แล้วผมก็ได้ยินเสียงอีกครั้ง

 
‘นายตะวัน จงตามเรามา’
 

ผมมองเห็นผู้ชายในชุดสีขาวตรงหน้าที่กำลังเรียกชื่อผม ผมเดินไปตามเสียงเรียกนั้น พวกคุณที่เดินอยู่กำลังจะไปไหนเหรอ แล้วผมกำลังจะไปไหน ผมพยายามเปล่งเสียงแต่กลับเหมือนไม่มีใครได้ยินเสียงผม แม้แต่ผมเองก็เหมือนได้ยินเสียงตัวเองอยู่แต่ในความคิด ปากผมไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ผมเดินมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายทางที่เราเดินแล้วก็เจอทางแยกออกเป็นหลายทาง แล้วผมควรจะไปทางไหนละ ซ้าย กลาง หรือขวา
 

‘นายตะวัน เดินมาข้างหน้า’

ใครนะเรียกผมอีกแล้ว ผมพยายามเพ่งมองแต่ก็ยากลำบากเหลือเกิน แสงจ้าสีขาวช่างแสบตา ผมมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ความรู้สึกของผมรับรู้ได้ว่าคนที่อยู่ภายใต้แสงสีขาวนั้นช่างยิ่งใหญ่ น่าเกรงขามเหลือเกิน แต่เขาคือใครกันละ แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ผมจะกลับบ้านยังไงป่านนี้แม่เป็นห่วงผมแย่แล้ว
 

‘หึหึ เจ้าเป็นห่วงแม่งั้นรึ แล้วตอนแรกทำไมไม่คิดให้เยอะก่อนจะทำละ’

 
หะ ผมทำ? ทำอะไร ผมจำได้ว่าผมเดินไปบนถนนกำลังจะกลับบ้านนะ แต่อยู่ๆ ผมกลับมาโผล่ที่นี่

 

‘นี่เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกรึ เจ้าอยากรู้ใช่ไหม เจ้าเป็นอะไร มาที่นี่ได้อย่างไร และที่นี่คือที่ไหน’

 

ผมพยักหน้าและแล้วภาพตรงหน้าก็ปรากฎต่อสายตา  ผมเอง เป็นผมเองที่กำลังเดินอยู่บนนถนนเส้นนั้น ถนนเส้นที่ผมเจอเด็กหนุ่มนอนจมกองเลือดอยู่เพราะถูกรถชน เสื้อผ้า การแต่งกายของผมทำไมดูเหมือนเด็กผู้ชายคนนั้น แล้วผมมาเดินอะไรตรงนี้ละ ไม่ใช่ทางกลับบ้านผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็จำไม่ได้จริงๆ ว่าเพราะอะไรผมถึงมาอยู่ตรงนี้ ทำไมละผมมาทำอะไร และระหว่างที่ผมสงสัยคิดใคร่ครวญ ภาพตรงหน้ายังคงฉายไปเรื่อยๆ

เป็นผมเองที่เดินลงไปบนถนนถึงแม้รถจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ด้วยถนนที่ว่างทำให้แต่ละคันใช้ความเร็วกันเต็มที่ ผมเดินลงไปอย่างตั้งใจ พร้อมรถคันนั้นที่วิ่งเข้ามาอย่างเร็ว แต่เหมือนในเสี้ยววินาทีหนึ่งผมเกิดเปลี่ยนใจพร้อมหันตัวกลับออกจากถนน แต่ด้วยความเร็วของรถที่วิ่งมา เขาคงเบรคไม่ทัน หักหลบไม่ได้ เสียงเบรก เอี๊ยดดดดด และ โครมมมมม

ร่างลอยละลิ่ว และตกลงบนถนนพร้อมกองเลือดที่ไหลเป็นทาง   เด็กผู้ชายคนนั้นที่ผมเห็นคือ   ผมเอง



น้ำตาไหลรินอาบหน้า  นี่ผมทำอะไรลงไป ผมฆ่าตัวตายเหรอ  อ่า ใช่แล้ว สุดท้ายผมก็นึกออก ผมเดินออกมาจากคอนโดสุดหรูที่หนึ่งด้วยจิตใจทื่ท้อแท้และสิ้นหวัง เพราะภาพของคนรักตัวเองที่กำลังอยู่กับใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม พร้อมคำพูดที่ทำให้ชีวิตของผมสิ้นหวังจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่


เราเลิกกันเถอะ เพราะผมไม่ได้เป็นคนที่ใช่สำหรับเขาอีกต่อไป



1 ปีที่รักกันมา จากเด็กมหา’ลัยซนๆ บ๊องๆ คนหนึ่ง เฮฮากับเพื่อนไปตามประสาเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แล้วชีวิตผมก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อพี่เดินเข้ามาในชีวิต คนที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เป็นคนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพี่ ให้สมกับพี่ที่ผมรัก ‘พี่ดิน’

นึกแล้วก็ขำตัวเอง ผมขำทั้งที่น้ำตายังไหลลงมาไม่ขาดสาย ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง อยากจะทำตัวให้ดีให้คู่ควรเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง และก็ยอมทิ้งชีวิตตัวเองให้ตายก็เพื่อผู้ชายคนนั้นคนเดิม

ภาพตรงหน้าตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว แม่ของผม เธอกำลังร้องไห้ปานจะขาดใจ ที่นั่นคงเป็นโรงพยาบาลซินะ ผมตายแล้วใช่ไหม แม่คงมารอรับผมแน่ๆ มารอรับศพลูกชายคนนี้ที่ไม่เอาไหน เอาชีวิตของตัวเองมาทิ้งเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง แม่จะเสียใจไหม เสียใจมากไหม


ที่ลูกชายของแม่ รักผู้ชาย จนยอมทิ้งชีวิตตัวเองไป

 

‘เป็นอย่างไร เจ้าเห็นแม่ของเจ้าแล้วใช่ไหม’
(เห็นแล้วครับ ผมเห็นแล้ว ผมสงสารแม่) ต่อให้ผมร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดแม่ก็ไม่สามารถรับรู้



‘มนุษย์บนโลกนี่ก็แปลกตอนมีชีวิตไม่รู้จักรักชีวิตตัวเองให้มากๆ แต่พอสูญเสียกลับมาเสียดาย ตอนมีชีวิตความดีก็ไม่ทำ มีคนที่รักก็ไม่ดูแล ยอมทำอะไรเพียงเพื่อคนที่ผ่านเข้ามาไม่นานในชีวิต ละทิ้งคนที่ดูแลมาตั้งแต่วันแรกของชีวิต’
(ผมขอโทษ)  นั่นคือคำพูดที่ผมเปล่งออกมาได้เท่านี้ ผมอยากขอโทษแม่ ลูกคนนี้มันเลวจริงๆ



‘หึหึ มาพูดเอาตอนนี้ เจ้าคิดว่าแม่ของเจ้าจะได้ยินงั้นรึ แต่ก็เอาเถอะ อาจจะเป็นคราวโชคดีของตัวเจ้าเองก็ได้ จริงๆ แล้วเจ้าเองยังไม่ถึงที่ตาย ร่างกายก็ยังไม่แหลกสลายแค่อยู่ในสภาวะด่ำดิ่งลงสู่จิตใต้สำนึก ทำให้วิญญาณออกจากร่างและกลับเข้าร่างไม่ได้’
(ผมยังไม่ตาย งั้นผมก็กลับไปหาแม่ได้ใช่ไหมครับ)

 

‘ได้   แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเจ้าทำผิดคิดฆ่าตัวตาย บาปกรรมมันหนักหนานัก ถึงแม้ร่างจะยังอยู่ เป็นวิญญาณรอเพียงเวลากลับเข้าร่าง แต่เจ้าก็ต้องชดใช้ในบาปกรรมนั้น’
(ชดใช้?  ชดใช้ยังไงครับ)

 

‘ในเวลา 100วันนี้ เจ้าต้องช่วยวิญญาณที่ผ่านเข้ามาขอความเป็นธรรม ทำให้วิญญาณเหล่านั้นปลดเปลื้องจากพันธนาการและได้ไปเกิด  เมื่อเจ้าทำครบ 10 ครั้ง เจ้าจะสามารถขอพรได้ 1 ข้อ’
(1 ข้อ)

 

‘ใช่ แม้จะเพียง 1 ข้อ แต่พรข้อนั้นเจ้าจะขออะไรก็ได้ แม้จะขอชีวิตของคนตายให้กลับคืนมา’
(จริงหรือครับ แล้วผมต้องทำยังไงครับ)



‘หึ หึ หึ  แล้วเจ้าจะรู้เอง ไปได้แล้ว’
(เดี๋ยวครับ ท่าน เดี๋ยวครับ ผมต้องทำยังไง ผมเป็นวิญญาณแบบนี้ ผมจะไปทำอะไรยังไงได้ครับ)
 

แล้วแสงสีขาวตรงหน้าค่อยๆ วูบดับลง แล้วผมต้องทำยังไงละ รู้แค่ต้องทำความดี 10 ข้อเพื่อพรเพียง 1 ข้อ แต่เป็น 1 ข้อที่แสนวิเศษมากมาย แม้แต่ชีวิตของคนตายก็ขอให้ฟื้นคืนมาได้ ผมจะขอให้ชีวิตผมฟื้นคืน ผมอยากไปกอดแม่ ทำทุกอย่างให้แม่ทั้งที่ผมไม่เคยทำให้เลย และผมอยากจะรักตัวเองให้มาก ชดเชยกับที่ผมได้ละทิ้งชีวิตของตัวเองไป ผมต้องทำยังไงละครับท่าน ช่วยบอกผมอีกนิดเถอะครับ
 

‘เจ้ามาจากที่ใด จงกลับไปที่นั่นเถิด แล้วจะได้พบคนที่สามารถช่วยเจ้าได้’
 

รู้ตัวอีกทีผมก็กลับมาอยู่ ณ จุดเดินที่ผมจากมาเมื่อกี้ แต่ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะผู้คนมามุงดู คราบเลือดที่แห้ง หรือแม้แต่ร่างของผม เหลือเพียงแต่สีขาวที่ถูกพ่นไว้บนถนน คงเป็นของผมนะแหละ

เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีสิทธิพิเศษถูกจารึกเป็นจิตรกรรมพ่นสีบนถนนกับเขาด้วย

“ตัวจริงดูดีกว่าเป็นไหนๆ” 
หึ หึ เหลือแค่วิญญาณที่ไร้ร่างยังจะมามัวทำตลกอยู่อีกไอ้ตะวันเอ้ย ผมนั่งลงทอดตัว ทอดใจ ทอดความคิด และพลางย้อนให้กลับไปให้คิดถึง  ดช.ตะวัน  นายตะวันหรือไอ้ตะวัน  อะไรก็ช่างเหอะ ตะวันที่เคยสนุกสนาน เฮฮา มีเพื่อนมากมาย เช้าไปเรียน เย็นกลับบ้าน มีเพื่อนที่ดี มีบ้านที่อบอุ่น แต่เมื่อมีพี่เข้ามาในชีวิต ผมกลับยอมทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ข้างหลัง ค่อยๆ ห่างจากเพื่อน ไม่เหลียวแลแม่ปล่อยให้ท่านเหงาอยู่ตามลำพัง ผมมัวแต่สนใจ ใส่ใจ ดูแลคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในชีวิต แล้วไงละ  สุดท้าย ผมก็กลายเป็นหมาถูกทิ้งตัวหนึ่งเหมือนกัน

“ฮ่าาาาา”  ผมหัวเราะเยาะในความโง่ของตัวเอง ผมสัญญากับตัวเองแล้ว นับแต่นี้เมื่อผมปฏิบัติภารกิจเสร็จและขอพรได้ตามที่ต้องการ ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองและครอบครัวของผม ผมจะไม่ยอมให้เกิดความผิดซ้ำสองแน่ๆ
 

ว่าแต่ท่านแสงสีขาวก็ไม่ได้บอกผมด้วยว่าใครจะเป็นคนมาช่วยผม ผมจะหาได้จากที่ไหน แค่บอกว่าผมจะเจอคนที่ช่วยผมได้  ตอนนี้ผมก็กลับมาแล้วไง ทำไมไม่เห็นใครซักคน แล้วจะเจอได้ยังไง แม้แต่เงาหมาซักตัวยังไม่มีเลย
 

“ไม่นะๆ ท่านคงไม่หลอกผมใช่ไหม TT_TT”  จากที่วนๆ เวียนๆ อยู่หลายชั่วโมง วนเวียนเหรอ ผมพูดเหมือนผีเลย แต่ผมก็เป็นผีนี่หว่า แล้วโลกของวิญญาณมีการนับเวลาด้วยหรือเปล่านะ

เออ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าจากการที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ วิญญาณอย่างผมคนมองไม่เห็น มันก็ต้องแบบนั้นป่าวหว่า ผมเป็นผีนี่  คิดไปคิดมาผมคงเป็นผีที่ต๋องชะมัด

ตอนนี้ผมให้ความสนใจกับจิตรกรรมสีสเปรย์บนพื้นอีกครั้ง ผมเลยเข้าไปดูใกล้ๆ รถมากมายหลายคันเล่นผ่านตัวผมไป พวกเขาคงไม่รู้สึกด้วยซ้ำ ผมทะลุผ่านรถพวกนั้น เห็นคุณพ่อขับรถและมีคุณแม่เล่นกับลูก  ผู้หญิงผู้ชายที่เป็นแฟนกัน เพื่อนที่อาจจะเพิ่งกลับปาร์ตี้ และอีกมากมาย

 

“เป็นผีนี่ก็ดีแหะ จะทำยังไงก็ตายได้แค่ครั้งเดียว”
.
.
.
.
.
.
.
ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!





---ทอร์ค---

เป็นนิยายเรื่องใหม่ที่อยากให้ลองอ่าน ติชมกันได้นะคะ อยากให้มีหลายอารมณ์ในเรื่องนี้ รัก เศร้า บู้ (ฮ่าาาาา  จะได้ไหมอีกเรื่อง)
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-09-2017 23:30:29
ติดตามค่ะ มาอัพบ่อยๆนะคะ ชอบแนวนี้ อิอิ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 2 พบเจอ
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 11-09-2017 20:54:05

เสียงดนตรี…………………….


“เฮ้ย!!!!” 


เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด



วิณณ์หักรถหลบเข้าข้างทางเพราะเขาเห็นว่ามีคนยืนอยู่บนถนน เมื่อรถจอดสนิทเขารีบปลดเข็มขัดเพื่อลงมาดูว่าคนนั้นจะเป็นอะไรไหม เพราะคิดว่าต้องโดนชนแน่ๆ แต่ก็ไม่ยักมีเสียงอะไรบ่งบอกว่าเขาชนหรือทับคนคนนั้น หรือว่าเขาจะหลบทันนะ 

“คนบ้าอะไรวะมายืนบนถนนกลางค่ำกลางคืน ซวยจริงๆ เล้ย”

เมื่อวิณณ์ลงมาดูเขาก็ต้องแปลกใจ ไม่มีใครเลย ไม่เห็นแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่แถวนี้ 

“อะไรวะ ก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่”  วิณณ์ยังคงบ่นพึมพำกับตัวเอง วิณณ์ไม่คิดว่าเขาตาฝาด เขาเห็นคนยืนแน่ๆ เด็กหนุ่มผู้ชายผิวขาว ยืนอยู่บนนถนนที่เอาแต่เหม่อมองพื้นถนน แต่เขาก็กลับมาคิดว่าถ้าเขาชนจริงๆ ก็ต้องมีเสียงซิ แต่นี่กลับไม่มีเสียงอะไรที่บ่งบอกว่าเขาชนหรือทับคนคนนั้น หรือว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะหลบทันนะ ถ้าหลบทันแล้วไปอยู่ไหนละ

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”  ผมหันไปตามเสียงที่ได้ยิน

“เอ้า ผู้กอง มาทำอะไรตรงนี้ครับ แล้วนี่กำลังหาอะไรอยู่ครับ”

“จ่าเติม  เออ  ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ลงมาดูอะไรนิดหน่อยนะ ขอบคุณมาก”

“งั้นผมไปนะครับ ผู้กองก็รีบกลับบ้านได้แล้วครับ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน”

“อืม ขอบคุณจ่า จ่าเองก็ไปพักเถอะ” 

พูดเสร็จจ่าเติม ก็ขับรถออกไป ผมลองเดินดูรอบๆอีกที เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตรงนั้นจริงๆ ผมก็ตัดสินใจกลับขึ้นรถและเพื่อขับรถกลับบ้าน วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวันเพราะต้องไปปฏิบัติภารกิจล่อซื้อเพื่อจับเครือข่ายยาบ้า ไอ้พวกยาบ้านี่ก็ไม่หมดไปซักที จับเท่าไหร่ก็ยังไม่สามารถสาวถึงตัวการได้ คิดแล้วก็เหนื่อยจับได้แต่พวกลูกกระจ๊อกทั้งนั้น ผมขับมาเรื่อยๆ วันนี้ผมกลับมาบ้านสวนมาหาแม่และน้องสาว ในหนึ่งอาทิตย์ผมจะมีหนึ่งวันที่ได้หยุดและไม่ต้องเข้า สน. นั่นทำให้ผมสามารถกลับบ้านสวนได้อาทิตย์ละหนึ่งครั้งเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ปกติวันทำงานผมจะนอนที่คอนโด เพราะใกล้ สน. ไม่ต้องเดินทางไกล และที่สำคัญไม่ต้องรีบตื่นเช้า

และเมื่อผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดในรั้วบ้านสีขาว บ้านหลังนี้มีแม่และน้องสาวอยู่ ส่วนผมก็อย่างที่บอกไปๆมาๆ ครอบครัวเรามีกันอยู่สามคน พ่อผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ 15ปี และน้องผมตอนนั้นก็น่าจะประมาณ 9 ขวบ พ่อผมเสียชีวิตในหน้าที่ ใช่ครับพ่อผมเป็นตำรวจและตอนนี้ผมก็เจริญรอยตามพ่อ ผมสอบเข้าโรงเรียนตำรวจและได้เป็นตำรวจอย่างใจคิด  แม้จะถูกคัดค้านจากทั้งแม่และน้องสาวตั้งแต่เริ่ม แต่ผมไม่ยอมหรอก มันคือความฝันของผมและผมมีเหตุผลของผมที่ต้องการเป็นตำรวจ

เมื่อจอดรถนิ่งสนิทดี ผมก็หยิบของโน่น นี่ นั่น ก็ของฝากของคุณผู้หญิงทั้งสองนั่นแหละครับ แล้วก็มีสาวน้อยนางหนึ่งมาทำหน้าที่พนักงานต้อนรับได้เป็นอย่างดี


“พี่วิณณ์มาแล้ววว พี่วิณณ์มาแล้วคะแม่......
สวัสดีคะผู้กอง วันนี้ท่าทางฝนจะตกผู้กองกลับบ้านได้” ดารินน้องสาวผมเองครับ สาวน้อยที่น่ารักน่าชังของผม ตอนนี้เริ่มจะกลายเป็นผู้หญิงขี้บ่น และเป็นแม่คนที่สองของผม

“มานี่เลยยายตัวแสบ มาช่วยพี่ถือของเลย”

“เรื่องซิ ตัวเป็นพี่นะ มาใช้น้องได้ยังไง”

“จะเอาไหมของฝาก” ผมพูดพร้อมยกถุงแกว่งไปมา ดูซิจะทำยังไงของโปรดทั้งนั้นเลยนะนั่น

“เย้……” แล้วน้องผมก็วิ่งมาอย่างไว หึหึ บอกแล้วยังไงเธอไม่พลาดหรอก ของโปรดเธอก็ทุกอย่างที่เป็นเค้กนะแหละครับ

“อ้าว สองพี่น้องยืนทำอะไรกัน วิณณ์เข้าบ้านก่อนลูก ยายดารินด้วยช่วยพี่เขาถือของแล้วก็เข้าบ้านได้แล้ว”

“สวัสดีครับแม่”  ผมเข้าไปกอดแม่ หอมซ้ายหอมขวา “คิดถึงจัง”

“ชิส์  เอาหน้า แหวะ”  ดารินเดินทำเชิดหน้าใส่ผมก่อนจะเข้าบ้านไป ทั้งแม่และผมต่างส่ายหน้าพร้อมกัน ดารินก็แบบนี้แหละครับด้วยความเป็นลูกสาวและน้องคนเล็กเธอได้รับการสปอยพอสมควร แต่ดารินเป็นเด็กดีครับไม่เคยทำให้แม่และผมผิดหวัง ถึงแม้จะแก่นเซี้ยวไปบ้าง เห็นแบบนี้ดารินเรียนอักษรศาสตร์ปีสองแล้วนะครับ เพราะเธออยากเป็นครู ผมก็แอบคิดในใจ จะมีนักเรียนกี่คนที่จะถูกยายดารินฆาตกรรมไหม ผมไม่อยากจับน้องสาวตัวเองนะ ฮ่าาาาาาาา

ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากกินมื้อเย็นกับแม่และน้องสาวเสร็จ และออกมานั่งกับทั้งคู่ที่ห้องนั่งเล่น พวกเราคุยกันไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่ทำงานผมบ้าง เรื่องที่มหา’ลัยของดารินบ้าง เรียนอะไร เป็นยังไง ส่วนแม่ก็คอยฟ้องผมเรื่องความแสบซ่าของน้องสาวตัวแสบ ถึงแม้ครอบครัวเราจะมีกันแค่นี้ แต่ผมก็รักผู้หญิงสองคนนี้ ผมสบายใจทุกครั้งที่ได้กลับมาบ้านสวน ไม่ว่าจะเจองานที่หนักหรือยากแค่ไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมกลับมาที่นี่ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังและเมื่อผมกลับไปเผชิญหน้ามันอีกครั้งดูเหมือนเรื่องพวกนั้นมันขี้เล็บมากๆ

พวกเรานั่งคุยกันอยู่นานจนแม่ผมเริ่มง่วง เลยขอตัวไปนอนก่อน ยายดารินเองก็สัปหงกไปหลายรอบเลยเดินตามแม่เข้าห้องนอนไปเหมือนกัน ตอนนี้เลยเหลือผมอยู่คนเดียว ผมเลยพาตัวเองออกมานั่งที่ระเบียงหน้าบ้าน บ้านผมเป็นบ้านที่ยกใต้ถุนสูงกึ่งทรงไทยกับโมเดิร์นนะครับ คืนนี้ฟ้าสว่างเห็นดวงดาวชัดเจน จริงๆ บ้านสวนก็ไม่ได้ไกลจากความเจริญอะไรมากนัก แต่ด้วยความที่คนในชุมชนนี้พยายามอนุรักษ์พื้นฐานการใช้ชีวิตสมัยรุ่นปู่รุ่นย่าไว้ เพราะฉะนั้นแค่คุณผ่านประตูทางเข้ามาที่ชุมชนนี้ ก็เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งทันที ไม่พลุกพล่าน ไม่ต้องแย่งกันใช้ชีวิต คนในชุมชนนี้ก็มีแต่คนใจดี เป็นมิตร พวกเขาอยู่โดยพึ่งพาอาศัยกัน ผมถึงวางใจได้ระดับหนึ่งที่แม่กับน้องสาวจะอยู่กันตามประสาผู้หญิงสองคน เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คาดว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น คนแถวนี้จะโทรหาผมทันที เรียกว่าน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ผมช่วยเหลือดูแลพวกเขา พวกเขาก็จะช่วยสอดส่องดูแลแม่กับน้องสาวผมไปด้วย

ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น อาจเพราะด้วยต้นไม้ที่ยังคงสมบูรณ์ทุกพื้นที่ บ้านแต่ละหลังยังคงรูปแบบไว้เสมือนก่อนที่คนรุ่นเก่าสร้างกันมา ความมีเสน่ห์ของบ้านไม้ การผสมผสานระหว่างรูปแบบเก่ากับสไตล์โมเดิร์น ผมนอนเอนหลังกับเก้าอี้หวายหน้าระเบียง คิดอะไรไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดกับเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำ...........


ผมยังจำได้ว่าผมขับรถออกจาก สน. ห่างออกมาแค่ไม่กี่กิโลเมตร ถนนตอนนั้นโล่ง ไฟบนถนนที่ทิ้งช่วงติดเสาเว้นเสา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ถนนมืดถึงกับมองอะไรไม่เห็น ผมขับมาเรื่อยๆ เปิดเพลงให้เสียงเพลงเป็นเพื่อน และเมื่อผ่านจุดพื้นที่ที่เป็นถนน 4 เลนขับสวนกัน  ตอนนี้กลายเป็นถนนที่โล่งไม่มีแม้แต่รถสวนกัน

แค่เสี้ยววินาที ที่ละสายตาจากถนนตรงหน้า แค่เสี้ยววินาทีที่หันหน้าออกไปและหันกลับมาทำให้ผมต้องเหยียบเบรคอย่างแรงและหักหลบ
 

เพราะมีคนยืนอยู่บนถนน!!!!


แค่แวบเดียวของไฟหน้ารถที่สาดใส่ แต่ผมกลับจำได้ทุกภาพตรงหน้า เด็กผู้ชาย จะบอกว่าเด็กก็ไม่ถูกเพราะชุดที่ใส่คือชุดนักศึกษา  เด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ หน้าตาไม่ได้แสดงอารมณ์หรืออาการอะไรเลยทั้งที่รถผมกำลังแล่นเข้ามาใกล้ นอกจากยื่นนิ่งอยู่ตรงนั้น ผิวช่างขาวเมื่อกระทบกับแสงไฟ รูปหน้าที่เรียว จมูกโด่ง ปากอวบอิ่มสีชมพู ดวงตาคู่เรียว ทุกอย่างที่ดูบนใบหน้านี้มันช่างลงตัวและเหมาะสมซะเหลือเกิน   แต่ดวงตาคู่นั่นกลับช่างดูเศร้า

ตอนนั้นผมทั้งงงและตกใจ เพราะคิดว่าระยะแค่นั้นไม่น่าจะหลบพ้นแต่กลับไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงเบรคของรถ ผมรีบลงไปดู แต่กลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่ร่องรอยว่าจะมีใครเคยอยู่ตรงนี้  ผมเดินวนดูรอบทั่วบริเวณนั้น


“ไม่มีใครหรือว่า….จะเป็นผี   ไม่ใช่หรอก” 


ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป ผมอาจจะตาฝาดไปเอง ไอ้เรื่องผีเนี่ยไม่ใช่ไม่เชื่อนะ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจอหรือเคยเห็นซักครั้ง ผมไม่กลัว และก็ไม่ลบหลู่  แต่จริงๆ คิดว่าไม่เห็นจะดีกว่า







เช้านี้ผมต้องตื่นเช้าเพราะได้รับข้อความจากจ่าเติมว่า ผู้กำกับเรียกประชุมด่วน จากที่คิดว่าจะนอนตื่นสายๆ ใช้เวลากับแม่กับน้องสาวแล้วค่อยกับไปเผชิญชีวิตการทำงานที่แสนจะวุ่นวาย นี่ผมต้องกลับแล้วหรือเนี่ย เห้ออ

ผมอาบน้ำแต่งตัวและลงมาข้างล่าง

“แม่ครับ”

“วิณณ์ ตื่นแล้วเหรอลูก มากินข้าวแม่ทำไว้ให้แล้ว อ้าวแล้วนี่แต่งตัวจะกลับแล้วเหรอ”

“ครับแม่ วิณณ์ต้องเข้า สน. มีประชุมด่วนครับ”

“แล้วจะกินข้าวไหมลูก แม่อุตส่าทำเลยนะ”

“กินครับ แม่ทำผมต้องกินอยู่แล้วละ”

“ปากหวาน  อะ….รีบกิน จะได้รีบไปทำงาน”   เมื่อจัดการของตรงหน้าเสร็จ ผมก็ช่วยเก็บจานไปไว้ในครัว

“ไปทำงานได้แล้วไป เดี๋ยวตรงนี้แม่จัดการเอง”

“ครับแม่ รักแม่นะ” ผมกอดและหอมสองแก้มของแม่เน้นๆ ยายดารินก็เดินลงมาพอดี

“ตัว อ้อนอะไรแม่อีกละ” 

“พี่ต้องกลับก่อน มีประชุมด่วน ตั้งใจเรียนนะเรา ดูแลแม่ด้วยนะ แล้วก็อย่าดื้อกับแม่”

“โอ๊ยพี่วิณณ์ ผมเค้ายุ่งหมดแล้ว” ฮ่าๆ ผมขยี้หัวยายตัวแสบไปเลยโวยวายใหญ่

“แต่ตัวไม่ต้องบอกเค้าหรอก เค้าทำอยู่แล้วยะ ตัวเถอะวันหยุดหน้าซื้อขนมเค้กมากำนัลเค้าเยอะๆ ด้วย”

“จ้าาาา   ไม่ตะกละเลยน้า” 

“โอ๊ยยย ดึงแก้มเค้าอีกแล้ว แม่ดูพี่วิณณ์แกล้งน้องอีกแล้ว”

“พอเลยทั้งคู่ วิณณ์ไปทำงานได้แล้วลูก ส่วนดารินมาช่วยแม่ในครัวมาลูก”

“ผมไปนะครับแม่ พี่ไปนะยายตัวแสบ” และยายน้องสาวตัวแสบก็ไม่วายหันมาแลบลิ้นปริ้นตาใส่ผมอีก ร่ำลาแม่กับน้องสาวเสร็จ ผมก็ขับรถมุ่งหน้ามาที่ สน.ทันที 

เมื่อผมขับมาถึงจุดเดียวกับที่เมื่อคืนนี้ผ่านมา ผมชิดซ้ายและมองออกไปทางนั้นทางที่ผมเห็นเด็กผู้ชายนักศึกษาบนถนน แต่ ณ ตอนนี้บนเส้นทางนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ มีเพียงต้นไม้ต้นใหญ่ที่ตั้งตะหง่านตรงนั้น

'หรือจะตาฝาดจริงๆ วะ'


ผมพึมพำกับตัวเองและขับรถไปต่อ ไม่นานผมก็มาถึงที่ สน. ขับรถเข้าจอดประจำที่และตรงไปที่ห้องของผู้กำกับ ผมเคาะประตูอยู่ 3 ครั้งและเปิดเข้าไป

“ขออนุญาติครับ”

คนที่อยู่หลังประตูบ้านนั้น ผู้กำกับพงศธร หรือ คุณอาพงศ์ เป็นผู้บังคับบัญชาที่เที่ยงตรง เด็ดขาด น่าเกรงขาม และมีวินัยสูงเมื่ออยู่ในหน้าที่ ลูกน้องทุกคนให้ความเคารพยำเกรง เพราะท่านเป็นตำรวจน้ำดี คนตรงคนหนึ่ง เลยทีเดียว แต่เมื่ออยู่นอกเวลางาน จะเป็นคุณอาที่แสนจะใจดี คุณอาพงศ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนตำรวจกับพ่อของผม และยังเป็นเพื่อนกันมาเสมอถึงแม้พ่อผมจะเสียไป  และยังทำหน้าที่เป็นอาที่ดีให้กับลูกของเพื่อนอีกด้วย

“ผู้กอง เชิญนั่งก่อน”

“ครับผม วันนี้ท่านเรียกผมมามีอะไรด่วนหรือครับ”

“หึหึ ไม่มีอะไรหรอก ท่าน ผบ. ฝากคำชื่นชมมาให้ เรื่องผลงานเมื่อวานนี้ ยอดเยี่ยมมากเลยนะ”

“ขอบคุณครับ แต่ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว ทุกคนก็มีส่วนด้วยครับ”

“อืม แต่ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณอยู่ดี” ผู้กำกับเว้นจังหวะการพูดไว้อย่างตั้งใจ เหมือนท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก่อนที่ผมจะเอ่ยถาม เป็นท่านที่พูดขึ้นมาก่อน

“คราวนี้เราก็ยังจัดการได้แค่พวกลูกน้องหางแถว ผมคิดว่ามันคงกบดานไปอีกสักพัก ผมอยากให้คุณจับตาดู อย่าบุ่มบ่าม ใช้สายของเราให้เป็นประโยชน์ และจนกว่าเราจะสาวถึงตัวการใหญ่ ผมอยากให้คุณระมัดระวังตัวเองด้วย เพราะเราไปขัดขวางเส้นทางการค้ายาของมัน คราวนี้ทำให้มันเสียหายไปเยอะ มันคงจะแค้นตำรวจน่าดู โดยเฉพาะคุณ”

“ครับ ผมจะจัดการอย่างรอบคอบ และระวังตัวเองครับ”

“ดี  คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“ครับผม” ผมลุกขึ้นพร้อมทำความเคารพก่อนออกจากห้อง  คุณอาก็ได้บอกกับผมว่า


“ดูแลตัวเองด้วยนะวิณณ์”


“ครับอา  ขอบคุณครับ” 

ผมออกจากห้องมากะว่าจะกลับคอนโดไปพักอีกสักหน่อย แต่สายตาก็ต้องสะดุดกับใครคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ตรงเก้าอี้จุดบริการประชาชน ‘เด็กผู้ชายนักศึกษาคนนั้น’ ผมยืนมองอยู่สักพัก คนคนนั้นก็ยั่งนั่งอยู่ที่เดิม ไม่สนใจใคร และไม่มีใครสนใจเขา ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจด้วยซ้ำ 

“มีเรื่องเดือดร้อนอะไรหรือเปล่านะ”

ในขณะที่กำลังสงสัย เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ผมพาตัวเองเดินตามออกมา มองตามแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่ข้างหน้า




คุณ……คุณครับ

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 2 : พบเจอ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-09-2017 21:45:18
เรื่องผี ๆ คนแก่ชอบนัก  :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 2 : พบเจอ
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-09-2017 22:25:47
ทักกันสักทีน้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 3 : help me plssss
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 24-09-2017 11:57:42
ตอนที่ 3  help me plsssss

หลังจากที่ผมวนเวียนอยู่บนถนนจุดที่ถูกรถชนและก็คิดว่าใครจะมาช่วยผมตามที่ท่านแสงสีขาวบอก รถคันแล้วคันเล่าขับผ่านผมไป แต่.....อย่าเรียกว่าผ่านเรียกว่าทะลุร่างเลยดีกว่า เหอๆ การเป็นวิญญาณมันเป็นแบบนี้เองเหรอเป็นเพียงพลังงาน  เป็นสสารที่ไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็น ดูไร้ค่า ไร้ตัวตนยิ่งกว่าตอนมีชีวิตอีกแหะ

ไม่ ไม่ ม่ายยยยยยยยยย   เราจะดึงตัวเองเศร้าทำไมเนี่ย ตอนนี้ต้องพยายามหาคนที่จะช่วยผมให้ทำภารกิจ 10 ข้อ ให้สำเร็จให้เจอก่อน  และตอนที่ผมคิดเพลินๆ อยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับพุ่งตรงมา ไอ้ผมก็ไม่คิดจะสนใจอะไรเพราะยังไงเขาก็คงผ่านเลยไปแบบคันอื่นอยู่ดี แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นนะซิ  รถคันนั้นเกิดเบรคกระทันหัน และหักหลบ ทำให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเบรคที่บดกับพื้นถนน และเมื่อรถหยุดสนิท คนที่เปิดประตูรถลงมา…..

เป็นผู้ชายผิวสีแทน รูปร่างสูง หน้าตาที่ดูนิ่งขรึม แต่กลับดูอบอุ่น ลงมาจากรถด้วยท่าทีตกใจ  จากที่เขามายืนอยู่ตรงหน้าผม ระดับความสูงของผมที่อยู่แค่ปลายคาง ทำให้ผมถึงกับต้องยืนเงยหน้ามองนั้นทำให้ผมยิ่งมองเห็นหน้าได้ชัดและใกล้ไปอีก
เขาเดินไปรอบๆ ทำท่ากำลังมองหาอะไรซักอย่าง?
‘คงไม่ใช่หรอกมั้ง’    ผมคิดในใจ เขาคงไม่ได้เห็นผมหรอกใช่ไหม? แต่แล้วผมก็ต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อเขาหยุดและมองตรงมาข้างหน้าที่ที่ผมยืนอยู่เหมือนจะรู้ว่าผมอยู่ตรงนั้น เขายืนนิ่งจ้องอยู่นาน ก่อนที่จะถูกขัดจังหวะด้วยใครคนหนึ่งเข้า......

หรือจะเป็นคนที่มาช่วยเรา คนที่ท่านแสงสีขาวบอก   แต่ยังไม่ทันที่จะรู้เรื่องอะไร เมื่อผู้ชายคนนั้นคุยกับคนที่มาใหม่จบ เขาก็เดินกลับไปที่รถซะก่อน แต่ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถไป เขายังคงหันมามองตรงที่ที่ผมยืนอยู่ ก่อนจะขับออกไป ใช่แน่ๆ ต้องเป็นคนที่จะช่วยเราได้แน่ๆ แต่จะไปหาเจอได้ยังไงละเนี่ย มัวแต่ งง ดูดิไปซะแล้ว
 
“หึหึ  เป็นยังไงตะวัน เจ้าพยายามไปถึงไหนแล้ว”  เสียงหัวเราะที่ดังมาพร้อมกับแสงสว่างที่ปรากฎตรงหน้า
(ท่านแสงสีขาว ผมเจอแล้ว ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นต้องใช่เค้าแน่ๆ)

“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรละ ตะวัน”
(ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่เขาทำเหมือนจะรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ เหมือนจะรับรู้การมีอยู่ของผม)

“งั้นเจ้าก็ต้องพิสูจน์”
(ยังไงครับ)

“เจ้าอยากจะรู้ว่า ชายคนนั้นใช่คนที่เจ้าตามหาไหม เจ้าก็ต้องหาทางพิสูจน์”
(......................) ผมคิดไม่ตกจริงๆนะ ตอนเป็นคนผมก็ไม่ถนัดไปขอความช่วยเหลือใคร แล้วนี่ผมเป็นเพียงวิญญาณจะไปขอให้คนช่วย มันยิ่งดูยากไปใหญ่
 
“แค่นี้ จะท้อแล้วรึ”
(เปล่าครับ)
 
“เราช่วยเจ้าได้เท่าที่ช่วยได้เท่านั้น แต่.......   เราบอกเจ้าได้ว่าคนที่จะมาช่วยเจ้า คือคนที่สัมผัสและรับรู้ถึงพลังงานวิญญาณของเจ้าได้ และที่สำคัญเขาผู้นั้นสามารถเห็น ได้ยินและพูดคุยกับเจ้าได้เพียงคนเดียว และต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วละจงพยายามด้วยตัวเอง”
(แล้ว ผมจะหาเขาเจอได้ยังไงครับ ท่านช่วยผมอีกซักนิดไม่ได้เหรอครับ)     ผมทำสายตาเว้าวอน
 
“หึหึ เจ้าอย่ามาอ้อนข้าซะให้ยากเลย ไปอ้อนหาทางให้พ่อหนุ่มคนนั้นช่วยซะเถอะ และข้าเชื่อว่าเจ้าจะหาคำตอบได้เอง จงทำตามความรู้สึกของเจ้าจะทำยังไงให้พ่อหนุ่มคนนั้นยอมช่วย และเมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการคำแนะนำหรือความช่วยเหลือให้เรียกหาเรา  ชื่อของเราคือ  ‘กาลเวลา’
รับนี่ไปซะและพกติดตัวไว้ ตลอดระยะเวลา 100 วันที่เจ้าต้องปฏิบัติภารกิจ สิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าต่างจากวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป”


และท่านแสดงสีขาว เอ้ย ไม่ใช่ซิ ท่านกาลเวลา ก็หายไป ตอนนี้เลยเหลือเพียงตัวผมและแสงสว่างรำไรจากเสาไฟบนถนน ผมรับของสิ่งนั้นมาและมองดูมันเป็นสร้อยข้อมือที่ถักด้วยเชือกสีดำ ตรงกลางเป็นพลอยสีขาวซึ่งมีสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์และเสี้ยวพระจันทร์ซ้อนในวงกลมนั้นผมใส่สร้อยที่ข้อมือข้างซ้ายของตัวเอง  จากที่ ท่านกาลเวลา บอกผมผู้ชายคนนั้นแน่ๆ ที่จะเป็นคนมาช่วยผม แล้วผมจะหาเขาเจอได้ยังไงละเนี่ยยย หาที่ไหนแล้วจะบอกยังไงให้เค้ายอมช่วยผม

ถ้าจะเดินไปบอกตรงๆ
‘ผมเป็นผี แต่ผมไม่ได้มาหลอกคุณนะครับ ผมแค่อยากให้คุณช่วย’      ไม่เข้าท่าแฮะ เค้าอาจจะหัวใจวายตายหรือเอาพระมาไล่ผมแน่ๆ
หรือว่า
‘ผมเป็นวิญญาณต้องการให้คุณช่วยทำภารกิจเพื่อที่ผมจะได้รับพร 1 ข้อ’     อันนี้ดูเข้าท่าหน่อย แต่จะได้ผลไหมหว่า

เห้อออออออออออ  ยิ่งคิดหนักกว่าเดิมอีก หาให้เจอยังอยาก แต่จะทำให้ยอมช่วยยิ่งยากกว่า

ผมไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียไป หนึ่งคืนกำลังจะผ่านไป หนึ่งคืนที่ผมต้องนั่งคิดและหาคนที่จะมาช่วย แต่เมื่อเจอคนที่จะช่วยผมได้แล้วก็ต้องพยายามหาทางให้เขายอมช่วยผมอีก จนแล้วจนรอดก็ยังคิดไม่ออก
แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างผมอีกครั้งเพราะในตอนเช้าอีกวัน ขณะที่ผมยังคงนั่งคิดหาทางอยู่ที่จุดเดิมนั้น อีกฝากหนึ่งของถนนกลับมีรถคันหนึ่งมาจอดและเปิดกระจกมองมายังจุดที่ผมอยู่ ‘ผู้ชายคนเดียวกับเมื่อคืนจริงๆ ด้วย’ ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะต้องทำยังไง แต่ขามันกลับนำให้ตัวเองเดินตามคนนั้นไป
 
ดังนั้น ตอนนี้ตัวผมเองก็ได้มาโผล่ที่โรงพัก เขามาทำไมที่โรงพักกัน หรือว่าจะมาแจ้งความ เอ…หรือว่าเป็นตำรวจ  และเมื่อความคิดว่าเขาจะเป็นตำรวจเกิดขึ้น  ก็ดีเลยซิ เรื่องภารกิจของผมก็ดูจะง่ายขึ้น  แต่เดี๋ยวนะถ้าเขาเป็นตำรวจ เขาก็ต้องช่วยคน แต่ผมเป็นวิญญาณแล้วยังต้องช่วยแก้ไขคดีให้วิญญาณด้วยอีกจะทำยังไงละที่นี้  ทำไมมันดูซับซ้อนไปอีกเนี่ย แต่ไม่มีเวลาให้สงสัยอะไรมาก ผมรีบเดินตามคนตัวสูงไปทันที แต่ยังไม่ทันได้เข้าประตูก็ต้องหยุดชะงัก
 
“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรจะมา”
(ท่านครับ ผมต้องตามชายคนนั้นไป ท่านอนุญาติให้ผมเข้าไปเถอะนะครับ)
 
"……………" เท่าที่ผมพอจะมีความรู้อยู่บ้าง วัดก็พอเคยผ่าน สวดมนต์ก็พอเคยทำ ท่านคงเป็นเจ้าที่ที่คอยดูแลสถานที่อยู่แน่ๆ ท่านไม่ได้ตอบอะไรผม แต่นิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“หึ หึ เป็นเจ้าเองซินะ    ผู้ถูกเลือก
(ผู้ถูกเลือก?)
 
“เจ้าสวม สร้อยแห่งสิทธิ์ อยู่ ก็แสดงว่าเจ้าคือผู้ถูกเลือกในการปฏิบัติภารกิจของโชคชะตา"
(ท่านรู้ว่าสร้อยนี้คืออะไรเหรอครับ แล้วผู้ถูกเลือกคืออะไรกันแน่ครับ)
 
“ในรอบ 100ปีเวลาของมนุษย์ สวรรค์และนรกจะทำการคัดสรรดวงวิญญาณมาหนึ่งดวง เพื่อทำภารกิจโดยแลกกับพร 1ข้อ  แม้พรที่เจ้าจะได้รับจะเป็นเพียงพรข้อเดียวเท่านั้น แต่อานุภาพของพร มันวิเศษถึงขนาดทำให้คนตายฟื้นคืนได้  พรนี้จึงเป็นที่หมายปองของดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่หวังจะได้รับโอกาสนั้น”
(ถ้าวิญญาณทั้งหลาย ต่างได้รับพรนั้นอย่างนี้มันจะไม่ทำให้วุ่นวายเหรอครับ)

“ถูกต้อง การเลือก ผู้ถูกเลือก จึงต้องมีข้อบัญญัติขึ้น  และ ข้อบัญญัติแรกของการเลือกดวงวิญญาณจึงถูกตั้งขึ้น
‘จะต้องเป็นดวงวิญญาณที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางของความเป็นและความตายเท่านั้น’ ที่ต้องตั้งแบบนี้เพื่อรักษาสมดุลของโลกมนุษย์และไม่ให้เกิดความบิดเบี้ยวของช่วงเวลา และข้อบัญญัติที่สองในแต่ละ 100 ปี
‘จะมีเพียงวิญญาณดวงเดียวที่จะได้รับโอกาสนั้น’ และข้อสุดท้าย ‘เมื่อถึงรอบ 100ปี แล้ว ไม่มีดวงวิญญาณไหนเหมาะสมที่จะเป็น ผู้ถูกเลือก ก็ต้องเว้นว่างไว้ และรอไปอีกจนกว่าจะ 100 ปีข้างหน้า”

(ทำไมทั้งสวรรค์และนรกต้องทำให้วุ่นวายด้วยละครับ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนแล้วแต่เป็นวัฏสงสารของมนุษย์ หนึ่งชีวิตเกิด เพื่อทดแทนหนึ่งชีวิตที่ตาย สมดุลของโลกก็ยังหมุนต่อไปได้)
 
“แล้วเจ้าที่ได้รับโอกาสนี้ละ เจ้าคิดอย่างไร”
(………..)

“เจ้าเองยังดีใจที่ได้รับโอกาสนี้ เพื่อที่เจ้าจะได้กลับไปแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาด มนุษย์ยังให้โอกาสด้วยกันเองได้ สวรรค์และนรกก็สามารถให้โอกาสกับมนุษย์ได้เช่นกัน แต่เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก ทุกการกระทำมีเหตุผลของตัวมันเอง เจ้าคิดว่าสววรค์หรือนรก จะปล่อยให้ใครก็ได้เข้ามาทำภารกิจของผู้ถูกเลือกนี้แล้วก็ขอพรกันได่ง่ายๆ รึ”
(ครับ)

“ข้อบัญญัติ ที่ตั้งขึ้นก็พื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการเลือก ถ้าเราเอาคนที่ตายเมื่อถึงอายุขัยแล้วมาทำภารกิจ เจ้าคิดว่ามันไร้ประโยชน์ไหม หรือเอาคนที่ยังมีชีวิตอยู่เอาทำภารกิจเพื่อขออะไรก็ได้เจ้าคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น"
(เอ่อ.....ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ ถึงแม้พรจะช่วยให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพแต่มันคงดูไม่สมเหตุสมผล ถ้าคนที่ตายไปนั้นหมดอายุขัยด้วยตัวเขาเอง ทกำให้ฟื้นขึ้นมาก็คงมีแต่คนมองเป็นเรื่องแปลก ไม่ก็คงไปแห่ขอหวยกันแน่ แหะๆ แล้วคนที่มีชีวิตละครับ)

“มนุษย์เรามีความโลภโมโทสันเป็นอารมณ์ ถ้าเจ้ามีพรที่จะขอได้ในมือเจ้าจะขออะไร เพื่อใครและทำไม”
(มนุษย์ก็คงไม่พ้นที่จะขอให้กับความปรารถนาของตัวเองที่ไม่สิ้นสุด)

“ถูกต้อง ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พรเหล่านั้นไม่จำเป็นเลย เจ้าสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ที่มนุษย์หวังพึ่งพรวิเศษทั้งหลายหรือเอากราบไหว้ขอนั่นนี่ก็เพราะมนุษย์นั้นอยากได้มากกว่าจะทำด้วยตัวเอง  ทีนี้เจ้าพอจะเข้าใจหรือยัง”
(เข้าใจแล้วครับ   แล้วสร้อยข้อมือนี่ละครับ) ผมถามอีกพร้อมกับยกสร้อยที่ข้อมือขึ้นมาดู
 
“สร้อยข้อมือนี้เป็นเครื่องแสดงให้เหล่าผู้ดูแลอย่างพวกข้าได้รู้ และเปิดทางให้กับผู้ถูกเลือก ที่สำคัญพลังของสร้อยข้อมือนี้จะช่วยเจ้าได้ในยามขับขัน .... เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะขัดขวางเจ้าไม่ให้เข้าไปข้างในอีก”

ท่านเจ้าที่พูดพร้อมกับเอียงตัวเพื่อเป็นการเปิดทางให้ผมเข้าไปด้านใน ผมมาหยุดและรออยู่ตรงเก้าอี้ มองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ผมเห็นพวกเขา แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นผม ไม่แม้แต่จะรู้สึกว่าผมอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ผมยังคงมองหาเจ้าของร่างสูง พร้อมกับคิดไปด้วยว่าจะทำยังไงให้เขายอมช่วย
และผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ทันทีที่ผมเห็นเจ้าของร่างสูงออกมา เขามองมายังที่ที่ผมอยู่ ถ้าผมอยากรู้ว่าเขามองเห็นผมจริงไหม ผมก็ต้องทดสอบ และถ้าจะทดสอบผมก็ต้องหาที่ที่เราจะคุยกันได้ง่าย โดยที่จะไม่ดูแปลกประหลาดสำหรับคนอื่น เพราะมันคงจะไม่ดีหรอกใช่ไหม ถ้าจะมีใครเห็นคนคนหนึ่งยืนพูดอยู่คนเดียว

ผมจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอก และก็เป็นอย่างที่หวังเมื่อเจ้าของร่างสูงนั้นวิ่งตามออกมา

คุณ……คุณครับ   ………………………คุณครับ หยุดก่อนครับ”
 “ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ….มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“…………”
“คือ ผมเป็นตำรวจนะครับ เห็นคุณนั่งอยู่นาน ผมเลยคิดว่าคุณอาจจะต้องการความช่วยเหลือ”
“เป็นห่วงประชาชนซินะครับ”
“ครับ.....ผมผู้กองวิณณ์”
“สวัสดีครับ  ผมชื่อตะวัน  แต่ผมไม่ได้มีธุระอะไรที่นี่หรอกครับ”
“…….??? แล้วคุณมาทำไมเหรอครับ หรือว่ามาหาใคร”
“ก็ไม่เชิงครับ”
“……………..”

“ผมไม่มีธุระอะไรกับที่นี่  แต่ผมมีธุระกับคุณ  และคนที่ผมมาหาก็คือ……คุณ”

“.......??????”
“เอ่อ ผมไม่เข้าใจ เรารู้จักกันหรือเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”
“เราอาจจะเคยพูดคุยกันครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้พบกันหรอกครับ”
“ยิ่งคุณพูด ผมยิ่งงง คุณพูดแบบนี้ก็หมายความว่าเราเคยเจอกันมาก่อนซิครับ”
“ครับ  แต่ตอนนั้นคุณอาจจะไม่ได้ทันสังเกตหรือสนใจผมเท่าไหร่”

“แล้วคุณมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดออกไป ก็มีคนมาขัดจังหวะผมอีกแล้ว


“ผู้กองวิณณ์ครับ ยังไม่กลับอีกเหรอครับ แล้วนี่ผู้กองคุยอยู่กับใครเหรอครับ”  นายตำรวจคนเดียวกับเมื่อคืน ดูเหมือนเค้าจะเห็นว่าผู้กองยืนพูดกับผมอยู่ แต่เขาไม่เห็นผม เลยกลายเป็นผู้กองยืนพูดอยู่คนเดียวซินะ
“ก็ คุยกะ……กับ”  ผู้กองวิณณ์พูดพร้อมกับหันกลับมาที่ผมยืนอยู่  “อ้าว หายไปไหนแล้วละ”
“ใครเหรอครับ”
“ก็เมื่อกี้ ผมคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่”
“แต่ผมไม่เห็นใครเลยนะครับ นี่แอบเมาหรือเปล่าเนี่ย ผู้กอง”   
“ผมจะเอาเวลาไหนไปกินละ จ่าก็รู้ แต่เมื่อกี้……ช่างเถอะ ว่าแต่จ่ากำลังจะไปไหน”
“ผมจะไปโรงพยาบาล ไปดูคดีคนถูกรถชนนะครับ เป็นนักศึกษา ตอนนี้อาการโคม่านอนไม่ได้สติอยู่โรงพยาบาล น่าสงสารครอบครัวเขานะครับ”
“งั้น จ่าไปเถอะ
“ผู้กองเอง ก็กลับไปพักผ่อนเถอะครับ ดูหน้าตายังเพลียๆ อยู่เลยนะครับ หรือว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมาหรือเปล่าครับ”
“หยุดเลยจ่า ผมรู้นะคิดอะไร มีอะไรก็ไปทำซะ เดี๋ยว ผกก เล่นงานเอาผมไม่ช่วยนะ”
“ฮาๆๆๆๆ  ครับผม ไปละครับ”
 

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย   คุณ    คุณมายังไง มาทางไหน แล้วเมื่อกี้คุณหายไปไหนมา”
“ใจเย็นซิครับ คุณนี่ก็เจ้าคำถามเหมือนกันนะ   ผมแค่ไปหยิบของมานะครับ”  คงไม่มีใครมาขัดจังหวะผมแล้วนะ ผมต้องรีบพูดให้รู้เรื่อง และต้องทำให้เขายอมช่วยผมให้ได้  ผมมีเวลาแค่ 100วัน และตอนนี้ก็เหลืออีก 99วันแล้ว แต่ที่จ่าเมื่อกี้พูดคนถูกรถชน จะเป็นผมหรือเปล่านะ ปล่อยไปก่อน ผมขอจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน

“ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วย แต่ถ้าจะให้เล่าคงยาว สะดวกหาที่คุยไหมครับ”  เขาหรี่ตามองผม นี่คุณคิดว่าผมจะชวนคุณไปทำอะไรเหรอ ทำไมต้องมองแปลกๆ  อย่าเพิ่งคิดไกลนะเว้ยเห้ยย
“นี่คุณ อย่าเพิ่งคิดไปไกล ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยจริงๆ แต่ถ้าจะให้พูดตรงนี้ก็ดูจะไม่ค่อยสะดวก”
“ถ้าคุณไม่คิดอะไร คอนโดผมอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้  ใต้คอนโดผมมีร้านกาแฟอยู่ เราไปคุยกันที่นั่นได้ครับ”
“ตกลงครับ” 

ผมขึ้นรถของผู้กอง และผมก็ต้องแปลกใจผมสามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่างเหมือนคนที่ยังมีชีวิต ตอนดูหนังผมก็เห็นแต่ผีที่ร่างโปร่งแสงเดินทะลุนั่นนี่ได้ แต่เมื่อกี้ผมสามารถเอามือเปิดประตูได้ หรือจะเพราะสร้อยเส้นนี้ เราไม่ได้คุยอะไรกัน ผู้กองขับรถและมายังร้านกาแฟที่อยู่ใต้คอนโด  ร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่มีมุมส่วนตัวให้นั่งและคุยกันได้สะดวก ผมเลือกเดินไปโต๊ะมุมสุด เพื่อไม่ให้สะดุดตาใครระหว่างที่คุยกัน ก็อย่างที่บอกแหละครับ นั่งพูดคนเดียวใครเห็นก็จะหาว่าบ้าเอา นี่ผมแคร์ ห่วงใยและใส่ใจจากใจจริงนะเนี่ยบอกเลย

“ตกลงคุณมีเรื่องอะไรจะให้ผมช่วยกันแน่”
“ผู้กองเชื่อเรื่องวิญญาณไหมครับ”
“คุณจะพูดอะไรกันแน่  นี่คุณมีเรื่องจะให้ผมช่วยจริงๆ หรือเปล่า”
“ใจเย็นซิครับ ผมแค่ถาม คุณก็แค่ตอบ มันไม่เสียหายอะไรนี่ครับ” และเหมือนคนร่างสูงจะชั่งใจคิดก่อนตอบออกมา
“ผมไม่เคยเจอ และไม่เคยเห็น แต่ผมก็ไม่เคยคิดลบหลู่”
“จาก 100% คุณเชื่อเท่าไหร่”
“ก็คง 50-50”
“มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ผมว่าผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น คุณช่วยไปสั่งน้ำให้หน่อยได้ไหมครับ ทั้งของคุณและของผม คนละแก้ว”  คนร่างสูงทำท่าทาง งง แต่ก็ยอมลุกขึ้น
“ของผมขอช๊อคโกแลตเย็นนะครับ”  เขาเดินไปยังเคาเตอร์เพื่อจัดการสั่งน้ำตามที่ผมบอกไป และก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ รอไม่นานพนักงานก็นำเมนูที่สั่งไปมาเสิร์ฟ



“คาปูชิโน่เย็นคะ”
“ครับ วางเลยครับ”
“ส่วนช๊อคโกแลตเย็น”
“ตรงนั้นเลยครับ” คนร่างสูงบอกพร้อมชี้มายังฝั่งที่ผมนั่งอยู่
“ของเพื่อนคุณลูกค้าเหรอคะ ยังไม่มาจะให้เราแช่เย็นไว้ก่อนไหมคะ จะได้ไม่ละลายคะ”
“เอ่อ เขาก็นั่งอยู่ตรงนี้นะครับ”  พนักงานยังคงทำหน้า งง มองซ้ายทีขวาที
“ไม่มีนี่คะ หรือว่าเดี๋ยวมาคะ ถ้าอย่างนั้นวางไว้ให้เลยนะคะ”  เมื่อพนักงานวางแก้วลงตรงฝั่งผมเสร็จ ก็รีบเดินกลับไป แต่ก็ไม่วายที่จะหันมามองแบบงงๆ
“ทำไม เหมือนเค้ามองไม่เห็นคุณเลยละ”  ผมยิ้มกลับไป
“แล้ว ผู้กองคิดว่ายังไงละครับ
“นี่คุณ ผมถามคุณนะ คุณมาถามผมกลับเพื่อ”
“ฮาๆๆๆๆ โอเค โอเคครับ ถ้าผมจะบอกผู้กองว่า ผมเป็น…….”
.
.
.
.
“คุณวิณณ์ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ” โวะ อะไรกันวะเนี่ย นึกว่าจะไม่มีคนมาขัดจังหวะแล้วนะ และแม่นี่ใครเนี่ย สูงชลูด ขาวจั๋ว ตูดเป็นตูด นมเป็นนม หรือว่าจะแฟนผู้กองหว่า
“ผมมาคุยธุระกับเพื่อนนะครับ  คุณแอนมาซื้อกาแฟเหรอครับ”
“คะ แอนมาซื้อกาแฟ และก็กำลังจะออกไปข้างนอก แล้วนี่เพื่อนผู้กองยังไม่มาเหรอคะ”  แล้วอิผู้กอง ก็ทำหน้า งง พร้อมกันหันมาทางผม
“เพื่อนผม ก็อยู่ตรงนี้นะครับ”  ยายแอนนั่นก็ทำหน้ามองสลับไปมา เอาไงวะ ผลจะออกมายังไง เธอจะแสดงท่าทีอะไรออกมาวะ
“แหมมม ผู้กองเนี่ย มุขเหรอคะ แอนไม่รบกวนแล้วคะ เชิญผู้กองคุยธุระเถอะคะ”  เห้ยๆ  บอกอย่างเดียวก็ได้ป่าววะ ทำไมต้องเอามือมาลูบแขนไอ้ผู้กองด้วย สยิวแทนนนน  ก่อนเธอจะไปก็ยังไม่สายหันมาส่งสายตายั่วยวนอีก ท่าทางจะจับไอ้ผู้กองชัวร์ป้าป ตะวันฟันธงงงงงง

“เสน่ห์แรงนะครับคุณเนี่ย”
“เดี๋ยวก่อนนะ ผม งง มากตอนนี้ ทำไมเหมือนไม่มีใครเห็นคุณซักคน ทั้งจ่าเติม พนักงานเสิร์ฟ แล้วยังคุณแอนอีก”
ผมไม่อยากเสียเวลาแล้ว ก่อนจะถูกขัดจังหวะไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจบอกอกไปตามจริง จะช่วยไม่ช่วยว่ากันอีกที เวลา100 วันของผม มันไม่ได้เยอะเลย ผมต้องรีบจัดการ
“ที่ผมมาหาผู้กอง เพราะผมมีเรื่องอยากให้ผู้กองช่วย แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ทุกเรื่องที่จะให้ช่วยเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น อยู่ที่ผู้กองจะยอมช่วยไหม……
ที่ผมถามผู้กองเรื่องผีหรือวิญญาณ ผมแค่อยากรู้ ว่าถ้าผู้กองเจอ ผู้กองจะทำยังไง ซึ่งมันล้วนเกี่ยวกับตัวผมทั้งนั้น ผมมีภารกิจต้องทำ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้กอง ผมไม่สามารถทำเองได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะ……………………
.
.
.
ผมเป็นวิญญาณ  หรือจะให้เข้าใจง่ายก็   ผี   นะแหละครับ”





-- ทอร์ค --
ปล.1 หายไปนานนิดนึง เพราะเป็นเรื่องที่ตั้งใจเขียนจริงๆ แต่กลับมาต่อแล้วน้า
ปล.2 ถึงตะวันจะเลือกทางให้ตัวเองต้องตาย แต่จริงๆ แล้วเค้าเป็นคนน่ารัก ขี้เล่น คนนึงเลยทีเดียวนะ
ปล.3 ผู้กองวิณณ์เอง ก็ใช่ว่าจะใจง่ายน้า ดูขรึมไปงั้น แต่อ่อนโยน โรแมนติกเหมือนกัน อิอิ

ปล.4 ฝากติชม คอมเม้น รัวๆ กันเลยคร้าา

                                                                                                                     by นกกระจิบ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 3 : help me plsssssss (24/09/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-09-2017 12:26:17
รอค่าา
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 3 : help me plsssssss (24/09/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-09-2017 22:48:15
คนที่จ่าเติมไปดูแล ต้องเป็นหลานตะวันชัวส์ คนแก่ฟันธง  :a14:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 4 : ช่วยก็ช่วยวะ (10/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 10-10-2017 22:35:17
ตอนที่ 4ช่วยก็ช่วยวะ


[วิณณ์]

“ผมเป็นวิญญาณ   หรือให้เข้าใจง่ายก็   ผี  นั่นแหละครับ”

ใครเป็นผมตอนนี้ ก็ต้องคิดว่าตัวเองบ้าหรือไม่ก็ฝันอยู่แน่  ผี มาขอให้คนช่วย ถึงแม้ผมจะไม่กลัวก็จริง แต่อยู่ๆ ผีมาขอความช่วยเหลือ เป็นคุณ คุณจะทำยังไง

ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ และต้องเป็นคุณเท่านั้น  ผมจะไม่เร่งเอาคำตอบตอนนี้ แต่ช่วยกลับไปคิดก่อนได้ไหมครับ.........ผมจะรอฟังคำตอบจากคุณอีกครั้ง 4 ทุ่มคืนนี้นะครับ”

แล้วผู้ชายคนนั้นก็ออกจากร้านไป เขาไม่ได้หายแว่บนะครับ ถ้าใครจะคิดว่าผี เป็นแบบนั้น เขาก็แค่เดินออกจากร้านไปเฉยๆ เดินผ่านไปเฉยๆ นั่นแหละครับ O_O
 
นี่ผมคุยกับผี จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย!!!
 
นั่นคือ เหตุการณ์ก่อนหน้าที่ผมเจอมา คนบ้าอะไรวะ บอกตัวเองเป็นผี เป็นวิญญาณ ถ้าเป็นจริงจะมาขอความช่วยเหลือจากคนทำไม เป็นผีก็ทำเองไม่ง่ายกว่าเหรอ แล้วยังจะมาเอาคำตอบจากผมคนนี้อีก จะมายังไงวะ เบอร์ก็ไม่มี ห้องก็ไม่รู้จัก หรือจะไปรอผมที่ สน. แต่กว่าผมจะไปก็พรุ่งนี้นี่หว่า   ผมพาตัวเองขึ้นมาห้องที่คอนโด กลับมาถึงผมก็นอนหลับไป นานแค่ไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงคนเคาะประตู
 
 
 
 


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมาตอนนี้ ผมมองนาฬิกายังไม่ 4 ทุ่มนี่หว่า นายผีจะมาเอาคำตอบของผมแล้วเหรอวะ แต่เป็นผีทำไมไม่ทะลุกำแพงมาเลยละ ผีมีเคาะประตูด้วย แต่ผมก็ไม่เก็บความสงสัยเอาไว้นานหรอกครับ เดินไปเปิดประตูให้จบๆ ไป
 
“ผู้กอง”

“อ้าว จ่าเติม มีอะไรหรือเปล่า มาเอาป่านนี้”

“ก็ แม่ทูนหัว   เมียผมนะซิครับ สั่งให้เอาข้าวมาให้ผู้กอง ไม่รู้ว่าผมเป็นผัวมันหรือผู้กองกันแน่ นี่ผมกลับบ้านยังไม่ทันได้กินข้าวเลยนะครับ มันก็สั่งให้ผมเอามาให้ผู้กองซะก่อน”

“ฮ่าาาา  เข้ามาก่อนซิจ่า ฝากขอบคุณพี่ดาวด้วยนะครับ แต่ไม่ต้องเอามาให้ผมบ่อยขนาดนี้ก็ได้ ผมเกรงใจ”  ผมบอกพร้อมกับหลีกทางให้จ่าเติมเดินเข้ามาในห้อง ผมหันกลับไปจะปิดประตู ก็ต้องประหลาดใจ ทั้งที่เมื่อกี้ ก็มีแค่จ่าเติม

แต่.......


“คุณ......??”  ทำไม???  โผล่มาจากไหน???  มาได้ยังไง???


แต่นายผีก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากแค่ทำปากจุ๊ๆ ให้ผมเงียบ และทำท่าทางเหมือนจะถามว่า ‘เข้ามาข้างในได้ไหม’ ผมจึงพยักหน้า และหลบให้นายผีเดินเข้ามาในห้อง ถ้านายผีมาพร้อมกับจ่าเติม จ่าเติมก็ต้องรู้ซิ แต่นี่จ่าทำเหมือนไม่รู้ ไม่เห็น แต่ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่นายผี บอก จะเป็นเรื่องจริงไหม

“เอ่อ แล้วนี่จ่ามาคนเดียวเหรอ”

“คนเดียวซิครับ ผู้กองมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่า ผมถามเฉยๆ  ผมนึกว่าจะพาไอ้แสบมาด้วย”

“ไอ้จ๋อย นะเหรอครับ มันทำการบ้านอยู่ครับ ถ้าไม่เสร็จแม่มันไม่ให้กินข้าว”

“อ้ออออออ”    ตอนนี้นายผีเดินไปนั่งที่โซฟา ตรงหน้าโทรทัศน์ ส่วนจ่าเติมแกก็เดินเอากับข้าวไปวางไว้บนโต๊ะหน้าเคาเตอร์ครัว ระหว่างโซฟาหน้าโทรทัศน์ กับเคาเตอร์ครัว ไม่ได้ห่างกันมากเลยนะครับ และไม่มีอะไรมาบัง สามารถมองเห็นกันได้ไม่ลำบาก แต่จ่าแกก็ทำเหมือนในห้องนี้มีแค่ผมกับจ่าสองคนเท่านั้น ผมเดินตามจ่าแกไปที่เคาเตอร์ครัว เป็นเจ้าของห้องแท้ๆ ปล่อยให้แขกที่อุตส่าห์แบกข้าวมาให้ต้องเตรียมข้าวให้อีก

“วันนี้พี่ดาวทำอะไรมาเหรอจ่า”

“ของโปรดผู้กองเลยครับ น้ำพริกกะปิไข่ชะอม และแกงจืดเต้าหู้หมูสับ”   อ่าหะ ของโปรดผมจริงๆ ด้วย แม่ชอบทำให้กิน ผมก็เลยชอบกิน นอกจากแม่แล้ว ก็มีพี่ดาวเนี่ยแหละครับที่ทำได้ถูกใจผมที่สุด  พี่ดาวแกทั้งสวยทั้งเก่งครับ บุคลิกเนี๊ยบ ดุและเจ้าระเบียบ ก็แหงละ พี่ดาวแกเป็นคุณครูนะครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้สอนแล้วละครับ จ่าเติมแกให้ลาออกมาเป็นแม่บ้านอยู่บ้านเฉยๆ แต่ด้วยความขยันพี่ดาวแกก็มีรับสอนพิเศษให้เด็กตอนเย็นด้วยนะครับ วิญญาณครูของแท้ แต่ผมคิดว่าที่พี่ดาวแกยอมออกจากครูก็เพราะว่าจ่า  และที่ดุๆ เนี่ย ก็เป็นกับจ่า สามีแกแค่คนเดียวอีกแหละครับ จ่าแกชอบออกนอกลู่นอกทาง

อะ อะ ไม่ใช่เรื่องเจ้าชู้อะไรหรอกครับ จ่าแกเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา  ยิ่งเวลาเหล้าเข้าปากแล้วนี่ยิ่งรั่ว พี่ดาวแกเลยต้องคอยคุม

“ของโปรดผมจริงๆ ด้วย วันหลังผมต้องซื้ออะไรไปฝากพี่ดาวบ้างแล้วละ”  ขณะที่ผมกับจ่าคุยกัน นายผี ก็ยังนั่งที่เดิม จ่าก็ยังไม่สนใจเหมือนเดิม นี่จ่าไม่เห็นจริงๆ ใช่ไหม ตอนนี้จ่าแกเตรียมของกินให้ผมอยู่ครับ แกดีกับผมทั้งผัวทั้งเมียเลย อาจจะเพราะพ่อผมที่เคยทำงานร่วมกับจ่ามาก่อน จ่าแกบอกว่าเพราะพ่อผมจ่าแกถึงเป็นผู้เป็นคน เป็นตำรวจที่ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าก่อน  ผมมองจ่าแกที่หยิบโน่นหยิบนี่ และก็ไปเห็นแฟ้มที่จ่าแกถือมาวางอยู่บนโต๊ะ ผมเลยหยิบขึ้นมาดู

สงสัยจะเป็นคดีที่จ่าแกไปทำเมื่อบ่าย ผมเปิดแฟ้มดู แล้วก็ต้องอึ้ง เมื่อรูปของคนในแฟ้มมันคือคนคนเดียวกันกับคนที่อยู่ในห้องผมตอนนี้

ชื่อที่ปรากฎอยู่   “นายตะวัน  จันทรเกษม”  และ     “เฮ้ย!!!”     ในรูปนี้มันคือนายผี นายจริงๆ เหรอวะ

“หืม?  อ่อ นั่นคือคดีที่ผมบอกผู้กองเมื่อบ่ายนะแหละครับ คนโดนรถชน แต่ก็ยังสรุปไม่ได้นะครับว่าตั้งใจฆ่าตัวตายหรืออุบัติเหตุ เพราะคนเจ็บยังไม่ได้สติ โคม่า นอนอยู่ห้องไอซียู”  หูผมฟังสิ่งที่จ่าเติมพูด ถึงแม้จะไม่ได้มองกลับ แต่ก็ได้ยินทุกคำพูด ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่นายผีพูดก็เป็นจริงนะซิ
 
“สงสารก็แต่แม่ของเด็กคนนั้นนะครับ ร้องไห้ เสียใจเป็นลมไปตั้งหลายรอบเลยละครับ เห้ออ ทำไมทำอะไรไม่คิดก่อนนะ ไม่สงสารคนที่อยู่ข้างหลังเลย”

ผมเงยหน้ามองไปยังโซฟา นายผี ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็คงได้ยินสิ่งที่จ่าพูด น้ำตาหยดใสๆ ไหลจากดวงตาเรื่อยมาจนถึงข้างแก้ม หยดลงบนขาของตัวเอง  ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่า เขาไม่ใช่คน เขาเป็นผี แต่แปลกที่ผมไม่กลัว ไม่กลัวเลยซักนิด ผมกลับสงสาร และมองอย่างอยากรู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น จะตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุผมยังไม่รู้ ที่รู้เขาน่าจะเสียใจมากที่ทำลงไป

“จ่า เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ จ่ารีบกลับไปกินข้าวกับพี่ดาวและไอ้แสบเถอะ”

“เอางั้นเหรอครับ”

“อืม ผมทำได้น่า สบายมากไปเถอะ พรุ่งนี้ยังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ”

“ครับผม ผู้กองรีบกินนะครับ กินตอนร้อนๆ เนี่ยแหละ อร่อยอย่าบอกใคร”  ผมเดินไปส่งจ่าที่หน้าประตู และกลับมายังโซฟา ตอนนี้นายผี ก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม นั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ผมนั่งลงข้างๆ นายผี ยิ่งมองใกล้ๆ ทำไมช่างบอบบางและอ่อนแอแบบนี้ หรือเพราะเป็นวิญญาณเลยทำให้เป็นแบบนั้น

“นี่…….นี่ นายผี”

“………”

“ฟังอยู่หรือเปล่า”


“เราชื่อ ตะวัน ไม่ใช่นายผี!!!”    อ่อ ไม่พอใจที่ผมเรียกแบบนั้น


“ขอโทษ   เอ่อ...ตะวัน  เล่าให้ฟังได้ไหม”

“นายไม่กลัวเราเหรอ?”  ตะวันพูดและเงยหน้าขึ้นมามองผม ทำไมช่างบอบบางแบบนี้ เป็นผู้ชายที่บอบบางจริงๆ
“ไม่นี่ ทำไมเราต้องกลัว”

“ไม่กลัวเราหลอก หรือ หักคอนายเหรอ”

“ถ้าทำนายคงทำไปนานแล้วละ   และอีกอย่างคุณอยากให้ผมช่วยมากกว่าไม่ใช่เหรอ”

“อืม คุณยอมช่วยผมแล้วเหรอ”

“ผมจะยอมช่วย แต่คุณต้องเล่าเรื่องให้ผมฟังก่อน”

“…….. จะช่วยยังต้องมีข้อแม้อีกเหรอ”

“มันไม่ใช่ข้อแม้ แต่การที่จะทำอะไรซักอย่าง ผมก็ต้องมีเหตุผลในสิ่งที่ผมจะทำด้วย”   นายผี เอ้ย ตะวัน ถ้าผมเผลอเรียกออกไปจะโดนหักคอไหมละเนี่ย ตะวันทำท่าคิดก่อนจะเล่าให้ผมฟัง

“มันไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก เราตั้งใจ ‘ฆ่าตัวตาย’……… ถึงแม้ในเสี้ยวนาทีที่คิดเปลี่ยนใจ แต่ก็ช้าไป รถที่ขับมาด้วยความเร็ว ไฟถนนที่สว่างไม่พอ เมื่อใกล้ตัว รถก็ชนอย่างจัง”

“ทำไมถึงคิดฆ่าตัวตายละ”

“หึหึ ความรักทำให้คนตาบอด  หึ!ช่างมันเถอะ  ตอนนั้นผมคิดว่าผมตายแล้ว แต่เหมือนโชคชะตายังสงสารอยู่บ้าง ผมได้รับข้อเสนอในการทำภารกิจ 10 ข้อ เพื่อแลกกับพร 1 ข้อ ในระยะเวลา 100วัน”

“ภารกิจ 10 ข้อ ภายใน 100 วัน?ภารกิจอะไรเหรอ?  และพรอะไรที่ทำให้คุณยอมทำ”

“มันอาจจะฟังดูบ้า ตอนแรกผมเองก็คิดอย่างนั้น แต่ถ้ามีโอกาสแค่ 0.01%  ผมก็อยากจะลองทำ  สิ่งที่จะต้องทำคือ ต้องช่วยวิญญาณที่เข้ามาขอความช่วยเหลือให้เขาหมดห่วงและได้ไปเกิด  เมื่อทำครบ 10 ภารกิจ ผมสามารถขอพรได้ 1 ข้อ……..
พรที่สามารถขออะไรก็ได้  แม้กระทั้งขอให้คนตายฟื้นคืนชีพ  และ  ผมก็จะขอชีวิตผมคืน

“……….”

“นายไม่เชื่อเหรอ?”

“เอิ่มมม ก็ไม่……ไม่รู้ซิ มันฟังดูเหลือเชื่อมากเลย”

“แล้วคุณจะยอมช่วยผมไหม  ผมไม่อยากให้เวลาเสียไปเปล่าๆ วันนี้ก็วันที่สองแล้ว ผมเหลือเวลาอีก 98 วัน ที่จะทำให้สำเร็จ”ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไป ผมเดินออกไปที่นอกระเบียง อยากให้อากาศข้างนอกช่วยทำให้สมองผมโปร่ง เผื่อคิดอะไรได้ง่ายขึ้น มันฟังดูเหลือเชื่อ ผมต้องช่วยผี  สืบคดีของผี แล้วผมจะไปคุยกับผีรู้เรื่องได้ยังไง ผมต้องมานั่งเห็นผี สอบปากคำผี อย่างนั้นเหรอ

“ถ้าผมทำให้คุณลำบากใจ ผมขอโทษนะครับ แต่ผมอยากให้คุณช่วยจริงๆ ผม…......”

“ทำไมถึงต้องเป็นผม”
 
“ท่านกาลเวลา บอกไว้ว่า คนที่จะสามารถช่วยผมได้ เขาจะได้ยินผม เห็นผม และสัมผัสผมได้แค่คนเดียว”

“เห็น?ได้ยิน? สัมผัส?  สัมผัสเนี่ยนะ หมายถึงจับตัวเหรอ”

“ใช่ครับ”  คนจับผีได้ด้วยเหรอวะ ที่เคยดูหนังเวลาจะจับมันต้องทะลุออกไปเลยนี่หว่า แต่ถ้าผมอยากรู้ก็ต้องลอง….ผมยกมือขึ้นมาช้าๆ ค่อยๆ เลื่อนมือไปใกล้ๆ ไหล่ และวางลงบนไหล่อย่างช้าๆ

แปะ…. เห้ย!!!  ผมจับได้ ผมจับได้จริงๆ ด้วย ผมมองอย่างอึ้ง มองไปที่หน้าของคนร่างบาง ตัวก็เล็ก ไหล่ก็บางนิดเดียว ทำไมถึงได้ดูบอบบางแบบนี้นะ

“ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าผมจะช่วยอะไรคุณได้มากแค่ไหน แต่โอเค ผมยินดีช่วยคุณ”  แล้วคนตรงหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างกว้าง ยิ่งดูใกล้ๆ ตะวันเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาน่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียว ทำไมถึงได้คิดสั้นได้นะ แต่ก็นะ ความรักของคนหนุ่มสาว เป็นอะไรที่กำหนดได้ยาก บางคนให้ความรักนำชีวิต บางคนเดินคู่ไปกับความรัก แต่บางคนกลับไม่สนใจและทิ้งไว้ข้างหลัง

“ขอบคุณนะครับ  ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ไป ผมขออาศัยอยู่ที่นี่กับคุณเลยนะครับ”

“หะ…..”

“มันสะดวกกว่าถ้าผมจะอยู่กับคุณ เมื่อไหร่ที่มีวิญญาณมาขอความช่วยเหลือ ผมก็จะได้บอกคุณได้เลยไง     อ้อ…..ถึงแม้ผู้กองจะเห็นผม ได้ยินผม สัมผัสผมได้ แต่ว่าก็มีแต่ผู้กองเท่านั้นนะครับที่ทำได้ อย่าเผลอคุยกับผมต่อหน้าคนอื่นละ เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้าเอานะครับ อิอิ”


-_-  ได้ข่าวว่าเมื่อกี้ ยังร้องไห้อยู่เลยนะ   เห้อ ผมทำอะไรออกไปวะ


“ผมไม่กวนผู้กองหรอกครับ ไม่ต้องกลัว ผู้กองทานข้าวเถอะครับ น่าอร่อยเนอะ แต่ผีอย่างผมไม่ต้องกิน ผมไปนั่งรอดีกว่า ตามสบายครับ”

 

“ผมขอเรียกผู้กองว่า วิณณ์ นะครับ  และผู้กองก็ต้องเรียนผมว่า ตะวัน ด้วย ไม่ใช่นายผี”




ผมตัดสินใจช่วยตะวันในการทำภารกิจ เพื่อแลกกับพร 1 ข้อ พรที่จะสามารถทำให้ตะวันกลับเข้าร่างได้ จากรายงานของจ่าเติม ตะวันอยู่ในอาการโอค่าไม่รู้สึกตัว แต่ระบบต่างๆ ในร่างกายยังคงทำงานตามปกติสภาพตอนนี้คงต้องเรียกว่า เจ้าชายนิทรา  ผมชำเลืองมองร่างบาง ตอนมีร่างกายตะวันจะตัวเท่าไหนนะ ขนาดเป็นวิญญาณยังดูตัวเล็ก บอบบางขนาดนี้ ตอนเป็นคนก็คงไม่ต่างกันส่วนหน้าตาเหรอ ต้องบอกว่า น่ารัก น่ารักมากเลยทีเดียว ดูน่าทนุถนอม น่าปกป้อง

‘ความรักทำให้คนตาบอด’ งั้นเหรอ?  อกหักแล้วประชดรักฆ่าตัวตายงั้นเหรอ อยากรู้ก็อยาก แต่ถ้าเจ้าตัวไม่อยากจะเล่าผมก็ไม่ควรละลาบละล้วง เอาไว้เขาอยากเล่า เขาคงบอกเอง
 
คิดไปคิดมาก็ตลกอยู่ดีๆ ผมก็จะมีคู่หูเป็นวิญญาณซะงั้น แถมคดีที่ต้องช่วยกันทำก็ต้องมาเกี่ยวกับผีๆ สางๆ อีก ถามว่ากลัวไหมผีนะ ก็อยากที่รู้ ผมไม่เคยเห็นและก็ไม่กลัว

“มองเรา คิดอะไรอยู่เหรอวิณณ์?”

“หะ....เอ่อ..... อ้อ   เราอยากถามว่า เป็นผีเขาต้องนอนไหม”  คนถูกถามมองหน้าผมอย่างสงสัย นี่ผมไม่เนียนเหรอ เชื่อผมเถอะคร้าบบบ

“เราจะรู้ไหมละ ตะวันเพิ่งจะเคยตายนะตะวันเป็นผีมือใหม่ อิอิ”

เออแฮะ  ใช่นี่หว่า....

“เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าวิญญาณเขาเป็นยังไงกัน ทำอะไรบ้าง แม้แต่นรกหรือสวรรค์ เรายังไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้เลย”

“ทำไมละ”

“ก็พอวิญญาณตะวันหลุดออกจากร่างใช่ม้า เราก็ถูกเรียกให้ไปสถานที่สถานที่หนึ่ง ที่นั่นเป็นลานกว้าง กว้างมากกกกกกกกก
มองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งหญ้าอยู่เต็มไปหมดสถานที่นั้นชื่อว่า ‘ลานพบพาน’ และเราก็ได้พบ ‘ท่านกาลเวลา’ที่นั่นเหมือนเป็นจุดนัดพบของคนตาย คุยกับใครก็ไม่ได้ยิน แต่ละคนต่างเดินแยกไปตามเส้นทางของตัวเอง”

เราเงียบกันไปไม่นาน ผมก็ถามทำลายความเงียบอีกครั้ง

“ตะวัน  มันเป็นยังไงเหรอ”

“หืม?”

“ความรู้สึกมันเป็นยังไงเหรอ ตอน....”

“......”


“ตอนที่.....


ตาย”



ถามออกไปแล้วก็อยากจะตบกระโหลกตัวเองซักที ใครมันจะอยากมาพูดตอนตัวเองตายวะ แม่งเอ้ย ผมนี่โคตรโง่เลย

“เอ่อ   ตะวันขอโทษนะ  มะ.........”  ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ

“เราก็จำไม่ค่อยได้หรอก รู้แค่ว่ามันไวมาก สิ่งที่จำได้ก็มีแต่เสียงเบรคของรถและเสียงโครม แล้วก็มาเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ แต่ถ้าถามว่า รู้สึกเจ็บปวดอะไรไหม ก็ไม่นะ ไม่ทันได้รู้สึกมากกว่า”

“......”

“กายนะไม่เท่าไหร่ แต่มันเจ็บ เจ็บที่ใจ เจ็บมาก”  เจ้าของร่างบางพยายามพูดให้เสียงเป็นปกติ ทั้งที่น้ำเสียงที่ออกมามันสั่นจนเกินจะควบคุม

“มันเจ็บที่เราไม่รักตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ชีวิตที่ผู้หญิงคนหนึ่งให้เรามา เฝ้าอุตส่าห์ดูแล ทนุถนอม แต่เรากลับเลือกจะทิ้งไปเพราะผู้ชายอีกคนแทน”

“ผู้ชาย?”

“ใช่ ผู้ชาย  เขาเป็นแฟนของตะวัน แฟนของตะวันเป็นผู้ชาย”

“......”

“แปลกไหม? น่ารังเกียจไหม?”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นละ”

“ผู้ชายที่รักกับผู้ชายมันคงดูน่ารังเกียจ ผิดธรรมชาติ”

“ก็อาจจะใช่สำหรับบางคน แต่สำหรับวิณณ์ วิณณ์คิดว่าความรักมันสวยงามเสมอไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม แม้ในความสวยงามมันจะมีความเจ็บปวดซ่อนไว้ ถึงอย่างนั้นคนเราก็ยังอยากจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยง จริงไหม?”

“......”

“มันขึ้นอยู่กับว่า เราเลือกที่จะรักในแบบไหน  รักแค่อยากได้ อยากครอบครอง รักแค่สนุก รักที่จะเสียสละ รักที่จะให้ หรือ รักแค่อยากจะรัก”

ยิ่งพูดบรรยากาศยิ่งชวนเศร้า พอเศร้าคนตรงหน้าก็ดูหงอย ทั้งที่ใบหน้านี้เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า

“ตะวัน พักก่อนเถอะ นอนห้องเดียวกับวิณณ์นี่แหละ ถึงจะไม่รู้ว่าวิญญาณต้องนอนไหมก็เถอะนะ”

“ขอบคุณนะ ผู้กองวิณณ์นี่ทั้งหล่อและก็ใจดี ใครได้เป็นแฟนโคตรโชคดีเลย”

“หึหึ  พอๆ ไม่ต้องมาชมเลย เอาเป็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วก็ต้องช่วยกันด้วยนะรู้ไหม”

“ช่วยอะไรอะ?”

“ช่วยอย่าทำเรื่องยุ่ง อย่างเช่น ไปหลอกคนอื่นให้กลัว หรือสุ่มสี่สุ่มห้าพาวิญญาณอะไรใครที่ไหนมาก็ไม่รู้ ถึงวิณณ์จะไม่กลัว แต่ก็แอบเกรงใจบ้าง”

“ฮ่าาาาาาาาาาาา    จริงดิ”

“อือ ไม่ต้องมาหัวเราะด้วย”

“โอเค รับทราบครับ จะแจ้งให้ทราบก่อนล่วงหน้าครับผม” พูดเสร็จก็ทำท่าตะเบะเป็นนายตำรวจซะงั้น
ดูไปก็น่ารักดีนะ

เช้านี้ผมกำลังขับรถไปทำงานโดยมีคู่หูคนใหม่นั่งมาด้วยข้างๆ ถามว่าเมื่อคืนพวกผมนอนกันยังไงนะเหรอ ตะวันจับจองที่บนโซฟา ทั้งที่ผมยืนยันจะให้นอนบนเตียงด้วยกัน แต่ตะวันก็ยังไม่ยอม ไม่รู้จะเกรงใจอะไรกัน แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าวิญญาณเขานอนกันยังไง

“นี่ตะวัน เมื่อคืนนอนยังไงเหรอ ได้นอนไหม?”  ปากผมถามไป มือก็ควานหาเสื้อผ้าใส่ ใช่ครับผมกังลังแต่งตัวจะไป สน.

“มันก็….ไม่เชิงนอนอะนะ เรียกว่าอะไรดีละ  คล้ายๆ”   ตะวันทำท่าคิด

“จำศีล สมาธิ อะไรทำนองนั้นมั้ง”

“อ้อออ”



 ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะตอนนี้ต้องรีบไปทำงานแล้ว ผมขับรถมาถึง สน. และตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ผมมองของที่อยู่บนโต๊ะ พักแค่วันเดียวทำไมเอกสารถึงได้กองเต็มโต๊ะแบบนี้ 

เห้อออออ  เห็นแล้วขอท้อก่อนแล้วกันนะ

“วิณณ์ ห้องทำงานนายนี่รกดีเหมือนกันนะ”

“ก็มันคือห้องทำงานไงครับ เอกสารอะไรก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา”

“ทำไมไม่หาแฟนซักคนไว้คอยช่วยละ”

“ไม่อะ ทำงานไม่เป็นเวลาแบบนี้ สงสารผู้หญิงเขา อีกอย่างอยู่แบบนี้สบายดีอยู่แล้ว”

“อืมๆ”  ตะวันฟัง ทำท่าพยักหน้าแล้วก็ยังเดินไปรอบห้อง



 ก๊อกๆๆๆๆ

“ผู้กองขออนุญาติครับ”  การพูดคุยของผมถูกขัดจังหวะขึ้น

“มีอะไรหรือเปล่าจ่า”

“มีคดีด่วนเข้ามาครับ เมื่อคืนเราสามารถบุกค้นและจับโรงงานค้าแรงงานเด็กได้ ช่วยเด็กที่ถูกหลอกมาได้ทั้งหมด 11คน เป็นผู้หญิง 4คน ผู้ชาย 7คน  อายุก็ราวๆ 8-14 ปีครับ  ไอ้เจ้าของโรงงานมันเลวจริงๆ มันใช้แรงงานเด็กทำงานวันละ 10ชั่วโมง ให้กินข้าววันละ 2 มื้อ  ใครไม่เชื่อฟังหรือดื้อ ก็ถูกทุบตี อดข้าว อดน้ำ”

“…….”

“แต่ที่แย่ไปกว่านั้น เราพบศพในโรงงานนั้น สอบถามจากเด็กๆ รู้เพียงแค่ชื่อว่า ‘ดาว’ เป็นเด็กผู้หญิง เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ เพราะแต่ละคนก็ต่างมาจากคนละที่”

“ศพ?  ศพเด็กผู้หญิง?”

“ครับ ดูจากสภาพแล้ว น่าจะตายมาประมาณ เดือนนึง”

“แล้วเด็กคนอื่นๆ รู้ไหมเกิดอะไรขึ้น”

“เด็กๆ บอกว่า ดาวทำงานตามที่เจ้าของโรงงานสั่งผิด เลยถูกตี และถูกขังไว้ไม่ให้กินข้าว ดาวดูไม่สบายอยู่สองสามวัน  แล้วก็หายไป ไม่มีใครเห็นดาวอีกเลย และไม่มีใครกล้าถามเพราะกลัวจะโดนทำโทษไปด้วย”

“แล้วสอบปากคำเจ้าของโรงงานหรือยัง”

“ครับ แต่มันให้การปฏิเสธ  ตอนนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ ผู้กองจะสอบปากคำเลยไหมครับ”

“ยังดีกว่า ผมอยากไปดูที่เกิดเหตุก่อน”


ผมมองไปยังตะวันที่ตอนนี้ตั้งใจฟังอย่างมาก เดินไปฟังจ่าเติมพูดใกล้ๆ สักพักก็เดินมาดูแฟ้มเอกสารที่ผมกำลังเปิดอยู่ในมือ คิดดูแล้วก็ตลกแหะ เราอยู่กันสามคนในห้อง แต่สำหรับจ่าเติมเขาไม่รู้ไง แล้วถ้าเขารู้ละ ถ้าจ่าเติมรู้ว่าตลอดเวลาที่คุยกันมีอีกคนหนึ่งที่คอยฟังอยู่ด้วยจะเป็นยังไง




ก็แหงละ  ก็จ่าเติมกลัวผีนี่หว่า!!!
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 4 : ช่วยก็ช่วยวะ (10/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-10-2017 22:53:16
ไปช่วยหลานดาวเลย ไปด่วน ๆ  :a11:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 4 : ช่วยก็ช่วยวะ (10/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-10-2017 00:22:18
มารอ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 4 : ช่วยก็ช่วยวะ (10/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-10-2017 01:15:38
 o13

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 4 : ช่วยก็ช่วยวะ (10/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-10-2017 15:26:44
ตาม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
พรที่จะช่วยชีวิต ตัวเองแน่หรือ  :hao3:

ดาว คงเป็นวิญญาณดวงแรกที่จะได้รับการช่วยแน่เลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 4 : ช่วยก็ช่วยวะ (10/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 11-10-2017 15:59:16
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 4 : ช่วยก็ช่วยวะ (10/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 13-10-2017 01:15:25
น้องตะวันน่ารักจัง ตะวันเป็นผีมือใหม่  :-[
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 5 : หนูอยากกลับบ้าน (15/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 15-10-2017 22:00:37
ตอนที่ 5 หนูอยากกลับบ้าน

ผมกับวิณณ์มากันที่โรงงานที่เกิดเหตุ แต่ผมไม่ได้มากับวิณณ์แค่สองคน เราพ่วงจ่าเติมมาด้วย ตัวผมเองนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ จ่าเติมแกนี่เป็นคนตลก ฮาๆ ดีนะครับ ตลอดทางแกยังพูดไม่หยุด เม้าเมีย เม้าลูกไปเรื่อย 

“วันนี้ รถผู้กองแอร์เย็นกว่าปกตินะครับ”  จู่ๆ แกก็พูดขึ้นมา ผมว่าที่เย็นกว่าปกติ อาจไม่ใช่เพราะแอร์    แฮฮฮฮฮฮฮฮ่
วิณณ์ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเงยหน้ามามองที่กระจกหลังและยิ้มให้ผม โอ้ย คนบ้าอะไรวะอยู่เฉยๆ ว่าหล่อแล้ว นี่ยิ้มอีก กะหล่อให้ตายกันไปข้างเลยใช่ไหม

เรามาถึงโรงงาน สภาพโดยรอบทำให้สงสัยว่านี่คือที่ที่เด็กตัวแค่นั้นอยู่กันเหรอ ทั้งแออัด ไม่สะดวกสบาย ไม่มีอะไรที่ถูกสุขลักษณะเลยอะ ทั้งอับ ทั้งชื้น ยังดีที่ร่องรอยสิ่งของรอบๆ ยังพอชี้ให้เห็นว่าที่นี่เป็นโรงงาน ขนม ไม่งั้นผมคงคิดว่าที่นี่เป็นนรกแน่ๆ   โรงงานขนมแห่งนี้เด็กเป็นแรงงาน อยากกินก็ไม่ได้กิน ต้องนั่งทำให้เสร็จเพื่อแลกกับข้าวกินไปวันๆ ดูจากสภาพแล้วเด็กเหล่านี้มีหน้าที่เกือบทุกอย่างของขั้นตอนการทำ คัด แยก จัดเรียง ไปจนถึงบรรจุหีบห่อ

ผมเดินตามวิณณ์และจ่าเติมสำรวจไปรอบๆ จนมาถึงห้องๆ หนึ่ง จ่าเติมบอกว่านี่คือห้องที่พบศพเด็กผู้หญิงที่ชื่อ ดาว ต้องบอกว่าข้างนอกดูไม่ได้แล้ว ข้างในนี่ยิ่งกว่า มันเหมือนห้องขังเดี่ยว เหม็นๆ อับชื้น ไม่มีหน้าต่าง มีแค่ไฟดวงเล็กๆ หนึ่งดวง กับเสื่อหนึ่งผืน หมอนหนึ่งใบ และผ้าห่มบางๆ  นี่คือสิ่งที่เด็กควรจะได้รับเหรอเนี่ย  และระหว่างที่ผมกำลังยืนดูอยู่นั่น มันมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ได้มีแค่เราสามคนในห้อง 

รู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง  และไอ้ความรู้สึกมันยังบอกอีกว่า ผมควรจะหันกลับไปมองทางด้านหลัง……… แต่ผมเดินเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้าย และวิณณ์กับจ่าเติมก็อยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ นั่นหมายความว่าข้างหลังผมจะต้องไม่มีใครซิ แต่ไอ้ความรู้สึกนี้มันคืออะไรวะ หรือว่าจะเป็น…….


ผี!!!!



คิดได้อย่างนั้นผมรีบเดินไปใกล้ๆ วิณณ์ เอาวะอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนเว้ยยยยยย   แต่เอ๊ะ….ผีเหรอ ไอ้ที่ผมเป็นอยู่ก็ไม่ต่างอะไรเท่าไหร่นะ และที่สำคัญที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาหาผีนี่หว่า
 

กล้า กล้า หน่อยตะวัน มึงต้องหันไปมองให้จบๆ ไป ใช่ก็ดี ไม่ใช่ก็โล่งงงงงงง 


“พี่ขา”
คุณเคยเป็นไหมไอ้ตอนที่เราลังเล กำลังตัดสินใจเนี่ย จะทำดี ไม่ทำดี สู้หรือไม่สู้ ถอยหรือไม่ถอย มันมักจะมีอะไรมากระตุ้นเร่งเร้าเราเสมอ


หือ หือ ใคร๊ ใครเรียกตะวันครับ


“พี่ขา หนูอยากกลับบ้าน ช่วยพาหนูกลับบ้านหน่อยได้ไหมคะ”


“อ้ากกกกกกกกกกกกกก  ผผผผผผผผผผผผผผผผผผผี”


“เฮ้ยยยยย”   
 “ผู้กองเป็นอะไรครับ”
“เอ่อ   ป่าวๆ”  วิณณ์พูดไปก็หันมามองหน้าผม   “จ่าไปดูส่วนที่เหลือหน่อยนะ เดี๋ยวห้องนี้ผมดูเอง”
“ครับ ว่าแต่ ผู้กองไม่แป็นอะไรแน่นะครับ”
“แน่  รีบไปเถอะ”
“ครับผม”

หือออ ผมตกใจ ผมเลยตะโกน แล้วไอ้คนที่ได้ยินผมก็มีแค่วิณณ์ ผมโดนด่าแน่เลย ดีนะที่จ่าแกไม่ได้ถามอะไรมาก  และเมื่อจ่าเติมออกจากห้องไปแล้ว วิณณ์ก็เดินหน้านิ่งมาหาผมทันที

“เป็นอะไรตะวัน”
“คือ…….คือ………”
“คืออะไร  แล้วตะโกนทำไม  เห็นผี?”  ผมพยักหน้า แล้วก็ชี้มือไปยังประตูทางออกที่น้องเค้าอยู่
“ไหนอะ  ตะวันพูดซิ  วิณณ์ไม่ได้เห็นด้วย  วิณณ์ไม่รู้หรอก”

โอ้ย ใจเย็นซิพ่อคุณ นี่พ่อคุณจะไม่กลัวอะไรเลยใช่ไหม เก่งเกินไปละ ผมหันไปมองน้องคนนั้นอีกครั้ง ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปหา
 
“เอ่อ   นะ……น้อง ชื่อ ดะ….ดาว ใช่ไหมครับ”   หือ ลิ้นมาพันอะไรตอนนี้  น้องพยักหน้าก่อนจะตอบว่า   “ใช่คะ”
“น้องจำอะไรได้บ้างไหม มาที่นี่ได้ยังไง  แล้ว ……..ตายได้ยังไง”   

“หนูหลงกับพ่อและแม่ มีผู้ชายคนหนึ่งบอกจะพาหนูไปหาพ่อกับแม่ แต่หนูก็ไม่ได้ไป”

“แล้วชื่อ หรือ นามสกุล หนูจำได้ไหม”
“ไม่ได้คะ”

“แล้วบ้านละ บ้านอยู่ไหนจำได้ไหม”   น้องส่ายหน้าตลอด นอกจากจะจำได้แค่ว่าหลงกับพ่อแม่แล้ว นอกนั้นน้องก็จำอะไรไม่ได้เลย
“แต่หนูอยากกลับบ้าน พี่พาหนูกลับบ้านได้ไหมคะ”

น้องพูดไปก็ร้องไห้ไป เด็กตัวเล็กแค่นี้ต้องถูกจับมาพรากพ่อพรากแม่ ถูกใช้แรงงาน ทารุณกรรมและสุดท้ายต้องมาตาย เพราะผู้ใหญ่เลวๆ เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงินแท้ๆ เลย

 “ตะวัน?”  เสียงวิณณ์กระซิบเรียกชื่อผม จริงซิผมลืมไปว่ายังมีวิณณ์อีกคนอยู่ในห้องนี้ด้วย และตอนนี้ก็คงอยากรู้เรื่องมากแน่นอน ผมมองหน้าและพูดเบาให้ได้ยินแค่วิณณ์ว่า     ‘เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ’

“น้องดาว หนูอยากกลับบ้านใช่ไหม”  น้องพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวพี่ตะวันจะช่วยนะ มีทั้งพี่ตะวันและผู้กองวิณณ์ช่วย หนูต้องได้กลับบ้านแน่นอน”   ผมพูดและก็ชี้มาที่ตัวเองกับคนตัวสูงข้างๆ ผม น้องมองและยิ้ม

“เห็นไหม ยิ้มแบบนี้น่ารักกว่าเยอะเลย ไม่ต้องร้องแล้วนะ”


ผมเองก็ยังไม่ได้เล่าอะไรให้วิณณ์ฟัง เพราะจ่าเติมกลับเข้ามาในห้องซะก่อน   แต่ตอนนี้ทางสะดวก เพราะผมกับวิณณ์ออกมาจากโรงงานแห่งนั้น  ส่วนจ่าเติมต้องแยกไปตามอีกคดีหนึ่ง

“นี่ ตะวัน เล่าให้ฟังได้หรือยัง” 
“อ่าฮะ”  ต้องบอกว่าผมพร้อมสุดๆ เลยละ และตอนนี้ผมก็ขยับตัวหันหน้าเข้าหาวิณณ์เพื่อเตรียมเล่าให้ฟังเต็มที่
“เด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตที่โรงงานนั้นอะ น้องดาว เขาอยู่ที่นั่นด้วย”
“จริงอะ!!” 
“อืม……น้องดาวเขาอยู่ที่นั่นด้วย และตอนที่คุยกัน น้องเขาก็ยืนอยู่ข้างๆ วิณณ์อะ”
“ล้อเล่นปะเนี๊ยยยยยย”
“หึหึ  ไม่ล้อเล่น ไม่โกหก  เรื่องจริงล้วนๆ  ……… หืม  เดี๋ยวนะ  ทำไมต้องเสียงสูง ทำไมต้องทำตาโต อย่าบอกนะว่า…….. วิณณ์กลัว?”
“ป๊าววว”
“จริงอะ”
“จริง”
“กลัวก็ยอมรับก็ได้น้า”
“ก็บอกว่าไม่กลัวไง ทำไม อยากให้กลัวนักเหรอ ถ้ากลัวนะจะกลัวตะวันก่อนเลยดีไหม กลัวแล้วจะได้ไม่ต้องช่วยไง    อืม…..ท่าจะดีแหะ”
“เฮ้ย ไม่ดิ ไม่เอา อย่าแกล้งกันดิ ล้อเล่นนิดเดียวเอง”
“หึหึ”  ยังมีหน้ามาขำเดี๋ยวดีดปากแตกเลย 
“แล้วจะเล่าต่อได้หรือยัง”
“น้องเขาอยากให้ช่วยพากลับบ้าน”
“กลับบ้าน?”
“ใช่ น้องเขาอยากกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่”
“แล้วน้องเขามาที่นี่ได้ยังไง”

“ใจเย็นซิคร้าบบบผู้กอง  กระผมก็กำลังจะเล่าอยู่นี่ไง……..  น้องเขาหลงทางกับพ่อแม่ แล้วไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง ก็น่าจะเป็นไอ้พวกลักเด็กนี่ละ มันบอกว่าจะพากลับบ้าน แต่สุดท้ายก็พามาที่นี่แทน น้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ไม่รู้ รู้แค่นานพอที่น้องจะจำไม่ได้ทั้งชื่อพ่อชื่อแม่ ชื่อตัวเอง บ้านอยู่ที่ไหน จังหวัดอะไรก็ไม่รู้”

“เวร  ถ้าจะงานยุ่งเลยทีนี้  เห้อ”
“น่าสงสารน้องเขาเนอะ เป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวต้องมาเจอคนใจร้ายในสังคมสมัยนี้ ไอ้พวกแรงงานทาส แรงงานเด็ก แรงงานเถื่อน นี่นึกว่าจะหมดยุคไปหมดแล้วนะ”
“นี่….”
“หะ!  เรียกเสียงดังทำไมเนี่ย  อยู่ใกล้แค่นี้” 
“ใจเย็นดิ ตั้งแต่ขึ้นรถมาทั้งพูด ทั้งบ่นไม่หยุดเลยนะ เป็นวิญญาณต้องพูดเยอะขนาดนี้ไหม หรือพูดเยอะตั้งแต่ตอนเป็นคน”
“ตะวันก็เป็นแบบนี้แหละ จะเป็นคนหรือวิญญาณก็พูดเยอะแบบนี้  เว้นก็แต่…..”
“แต่?  แต่อะไร”
“มะ……ไม่มีอะไรหรอก   ว่าแต่เราจะช่วยน้องเขายังไงดี  ข้อมูลที่มีก็ตีเป็นศูนย์”
“เฮ้ออ ถ้าจะถามจากเด็กๆ ด้วยกัน ก็ไม่น่าจะรู้ เพราะต่างคนก็ต่างที่มา ไอ้ตัวเจ้าของโรงงานเองคิดว่าก็ไม่น่าจะรู้ แต่วิณณ์จะลองสอบปากคำมันก่อน”
“……”
“แต่ยังมีอีกทางหนึ่ง”
“ทางไหน  วิณณ์รีบบอกดิ อย่าลีลา”
“ใจเย็นซิครับ ทางเดียวคือ เราจะต้องกลับไปที่โรงงานนั้นอีกครั้งและไปหาหลักฐานเพิ่ม เผื่อจะมีข้อมูลของเด็กที่ไอ้เจ้าของโรงงานนั่นเก็บไว้บ้าง  และก็อาจจะถามข้อมูลเพิ่มจากน้องเขาด้วย”





ผมกับวิณณ์ตัดสินใจกลับมาที่โรงงานในตอนกลางคืนอีกครั้ง มาตอนกลางวันก็ไม่ได้ ชิส์ แต่ก็นะอยากคุยกับผี ก็ต้องมาช่วงที่คุยกับผีได้สะดวก และไม่มีใครรบกวน

หึ่ยยย มืดอะ บรรยากาศก็  โคตร  ชวน  คิด  หืออออ น่ากลัวววววววว


ปึก!!!!

เหวอออ    มองอย่างอื่นเพลินจนลืมมองทาง โดนดุอีกแน่เลย

“ตะวัน เป็นอะไร”
“ปะ….เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
“แล้วมองอะไรอยู่  เห็นหันซ้ายหันขวาอยู่นั่นแหละ”
“ก็…….”
“……….”

“ก็    บรรยากาศมัน…….มัน  ชวน ขน ลุก”  ท้ายประโยคผมพูดเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ  อายโว้ยย ต้องมายอมรับว่าเป็นผีที่กลัวผีเนี่ย

“หึหึ  เอาแต่แซวคนอื่น ว่ากลัวผี ที่แท้ตัวเองก็กลัวเอง”
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ เรายังเป็นแค่วิญญาณ เชอะ”  ล้อดีนักนะ  จำไว้เลย

พวกเราเดินเข้ามาด้านในของโรงงาน ตอนกลางวันที่ว่าน่าสะพรึงแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับตอนนี้ น่าสะพรึงกว่าอีก  ทั้งกลิ่น ทั้งบรรยากาศ ข้าวของที่วางระเกะระกะไปทั่ว พวกเราเดินไปที่ห้องทำงานที่คาดว่าน่าจะมีเอกสารอะไรเก็บไว้บ้างอย่างน้อย ก็ประวัติหรือรูป หรือข้อมูลอะไรก็ได้ที่พอจะช่วยได้

“ตะวัน    นี่…..ตะวัน”
“หะ….”
“ลองเรียกน้องเขาออกมาถามซิ”
“เออจริง  ลืมไป”
“น้องดาว  …… น้องดาวครับ”


---------------  เงียบ  ---------------


“น้องดาว นี่พี่เอง ออกมาเถอะครับ”
.
.
.
.
.
“พี่ขา”
“เฮ้ย!!!”  ตกใจอีกแล้วกู คราวนี้ไม่ได้มาแค่เสียง แต่น้องแกเล่นมายืนข้างๆ พร้อมกับจับมือผมไว้
“น้องดาว  โหยย  พี่ตกใจหมดเลย”

“คิกคิก” แหนะ ยังมีการมาหัวเราะอีกนะ นี่สรุปน้องไม่เครียดอยากกลับบ้านแล้วชิปะ

“พี่กับพี่วิณณ์ มีเรื่องอยากจะถามน้องดาวหน่อยคะ …… น้องดาวพอจะจำอะไรได้บ้างไหม อะไรก็ได้ที่พอจะบอกพวกพี่ได้อะคะ  อย่างเช่น….
บ้านอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อะไรที่พอจะสังเกตได้  หรือ พอจะนึกชื่อหรือนามสกุลได้ซักนิดนึง”

น้องทำท่าคิดหนัก ผมรู้ว่ามันยากที่จะนึกออก เพราะเอาเข้าจริงตอนแรกที่วิญญาณผมหลุดออกจากร่าง ผมยังลืมเลยว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไปอยู่ตรงนั้น  น้องเองก็ยังเด็ก น่าจะถูกจับมานานพอสมควรด้วย และที่นี่ก็ยังเป็นที่ๆ ถ้าเราอยู่ไปนานๆ มันคงทำให้เราลืมวันลืมคืน ลืมอะไรต่อมิอะไรได้ง่ายๆ

“หนูไปเที่ยวงานวัด  แล้ว……ที่นั่นก็มี พระ     พระพุทธรูปองค์โตๆ สีทอง นั่งอยู่ในโบสก์ องค์ใหญ่มากเลยคะ   และ……..     และเหมือนยังมี องค์พระที่เหมือนกันอยู่ด้านนอกด้วยคะ แต่ว่า ด้านนอกดูเก่าๆ มีแต่อิฐเก่าๆ ไม่สวยเลยคะ”

‘พระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ๆ สีทอง และมีองค์เก่าๆ อิฐเก่าๆ อีกงั้นเหรอ’ ผมได้ยินวิณณ์พึมพำเหมือนบ่นกับตัวเอง  ว่าจะง่าย  นี่ทำไมคิดว่ายากขึ้นมาอีกแล้วละเนี่ย 

หลังจากที่สอบถามข้อมูลจากน้องดาวมาได้  และถึงแม้ข้อมูลจะน้อยนิดแต่ก็ต้องเริ่มจากตรงนั้นนะแหละ พวกเราเดินดูเพื่อหาข้อมูลเอกสารอะไรเพิ่มเติมอีกซักนิดหน่อย จนไปเจอลิ้นชักข้างโต๊ะทำงาน แต่มันล๊อค วิณณ์เลยจัดการงัดแงะสักพักก็สามารถเปิดออกมาได้  ในนั้นมีประวัติข้อมูลของเด็กทุกคน วิณณ์ดูผ่านๆ ตาและตั้งใจหยิบกลับออกมาด้วย


“นี่วิณณ์ ทำยังไงกันต่อดีอะ มีแค่ข้อมูลพระพุทธรูปแค่นี้ตามที่น้องบอกมา แล้วในเมืองไทยนี่วัดก็โคตรจะเยอะ ไม่ต้องเอาทั้งประเทศก็ได้
แค่ในกรุงเทพนี่ก็หากันตาลายแล้วอะ………….
หืออออออ  งานแรกก็ยากขนาดนี้แล้วเหรออ”

“หึหึ”
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ”
“เปล๊าๆๆ”
“แน่ใจ๊”  ผมหันไปมองหน้า ทำตาขวาง  เดี๋ยวปั๊ดจับหักคอ
“ก็….แค่…..สงสัย”
“…………”
“ยิ่งอยู่ ยิ่งบ่น เหมือนคนแก่เลยเนอะ”
“โว๊ะ  ใครแก่ ไม่คุยด้วยแล้วโว้ยยย”  ผมทำปากบ่นขมุบขมิบ  หันหน้าออกนอกรถ คิดเรื่องวิธีช่วยน้องดาวดีกว่า ขี้เกียจจะเถียงด้วยละ

“แต่…. มัน คุ้นๆ นะ”
“อะไรคุ้น?”  เสียงของวิณณ์ทำให้ผมต้องหันกลับไปถามอย่างอยากรู้
“พระพุทธรูปที่น้องพูดถูก  มัน คุ้น   แต่…..ยัง  นึก  ไม่ออก”   

วิณณ์พูดออกมาช้าๆ พลางคิดไปด้วย ผมก็มองหน้าตามเพราะอยากรู้ว่าจะคิดอะไรได้อีกไหม  แต่พอมองๆ ไป มันก็เพลินดีนะ มองมุมข้างนี่ดูแล้วรู้สึกละมุน อบอุ่นดีแฮะ  ปกติผมมองแต่หน้าตรงๆ ความจริงมุมตรงก็ดูดี ดูหล่อ แต่เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นคนแก่ตลอดเวลา  และมันยิ่งทำให้หน้าดู……ดุ

“มองอะไร”
“ก็มองคนชอบทำหน้าแก่เวลาคิด”

วิณณ์ไม่ได้ตอบอะไร แค่ทำเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ คนบ้าอะไรวะนิสัยขัดกับบุคลิกชะมัด  อยู่ต่อหน้าคนอื่นชอบทำหน้านิ่งๆ ขรึมๆ  จริงจังมากเวลาอยู่ในหน้าที่ และตั้งใจกับการทำงานตลอด  แต่ใครจะรู้ว่ามีมุมกวน ทะเล้น คนอื่นเขาด้วย ซึ่ง….ต่างจากผมที่เมื่อสนิทกับใครแล้ว ก็จะชอบทำตัวบ้าๆ บอๆ ไปวันๆ  จนเพื่อนชอบเรียก  ‘ไอ้ต๋อง’  ผมชอบที่จะทำตัวแบบนี้ ไม่ได้โกรธด้วยที่เพื่อนจะเรียกแบบนั้น เพราะเวลาเห็นคนอื่นหัวเราะและยิ้มในสิ่งที่ผมทำ ผมโคตรมีความสุข  แต่……
ก็มีบางคนที่ไม่ชอบ…. เขาไม่ชอบในสิ่งที่ผมเป็น ไม่ชอบให้ผมแสดงออก ทำท่าทำทางหรือพูดจาตลกอะไรก็ตามเวลาที่อยู่ด้วยกัน  ผมเลยกลายเป็นคนที่เงียบ ไม่พูดมาก ต้องทำตัวให้ดูดีเสมอเวลาอยู่กับเขา เหตุผลก็คือ   

‘สิ่งที่ผมทำมันดูโง่ และไร้สาระ’


ทั้งที่บางทีผมก็อยากจะเป็นตัวของตัวเองมากกว่า  มันเลยกลายเป็นว่าผมต้องฝืนตัวเองเสมอ  จนบางที ก็…..อึดอัด



“ตะวัน ถ้าจะให้บอกลักษณะของน้องดาว ทำได้ไหม”
“ก็ได้นะ”

แทนที่จะกลับคอนโด วิณณ์ขับรถพาผมที่ สน.  ตอนสามทุ่มเนี่ยนะ  มีงานด่วนอะไรหว่า ผมมองดูแฟ้มเอกสารที่เอามาจากโรงงาน ในนั้นมีข้อมูลรายชื่อเด็กเป็นสิบๆชื่อ บางชื่อมีกากบาทสีแดงขีดทับไว้ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องที่ดี  ข้อมูลของแต่ละคนมีแค่ชื่อเล่น วันเวลาที่เจอและพาตัวมาตัวทำงาน ซึ่งในแต่ละแผ่นมีรูปถ่ายของเจ้าของชื่อติดอยู่ด้วย  จากข้อมูลเหล่านี้เด็กแต่ละคนถูกพาตัวมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี  บางคนอยู่นานสุดถึง 10ปีก็มี
 
อะไรกัน นี่เด็กเหล่านี้ต้องมาอยู่ในสภาพนี่กันนานขนาดนี้เลยเหรอ ผมเปิดไปจนเจอข้อมูลของดาว ถ้าให้เดาตอนนั้นน้องน่าจะประมาณ 4-5ขวบ  ดูจากวันที่บันทึกไว้น้องอยู่ที่นี่มา 7 ปีแล้ว งั้นอายุน้องตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 10-15ปี
ให้ตายซิ  จริงเหรอเนี่ย!!!  ถ้าเป็นผมจะทำยังไงวะ จะทนได้ไหม




ก๊อก ก๊อก 

“ผู้กองขออนุญาติครับ”
“เชิญครับ….”   นายตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามา ยังหนุ่มอยู่เลยแฮะ  “จ่ามิ่ง  ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วย…..ผมอยากจะเสก็ตภาพเด็กคนนี้”  วิณณ์พูดพร้อมกับยื่นเอกสารที่มีรูปของน้องดาวให้จ่าคนนั้นดู
“เด็กคนนี้เหรอครับ”
“ใช่  ผมคิดว่าตอนนี้น้องจะอายุอยู่ในช่วง 10-15ปี หน้าตาน่าจะเปลี่ยนไปจากเดิม แต่คงไม่มาก”  พูดเสร็จก็หันมาทางผม  อ๋อออออ ผมเข้าใจละ จะให้ผมบอกหน้าตาน้องดาวให้จ่าคนนี้เสก็ตละซิ
“มันค่อนข้างยากนิดนึงนะครับผู้กอง ภาพไม่ค่อยชัด อาจจะทำให้รูปที่ออกมาไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่  แต่ผมจะพยายามครับ  โปรแกรมจำลองอายุและลักษณะทางกายภาพน่าจะพอช่วยได้อยู่”
“ดีมากจ่า ใช้คอมพิวเตอร์ในห้องผมนี่แหละ”
.
.
.
“อ้อ   แล้ว ก็ เรื่องนี้…. เป็นความลับทางราชการนะจ่า”
“รับทราบครับผม”

จ่ามิ่งนี่เก่งแฮะ ดูจากท่าทาง วิธีการทำงานน่าจะเป็นนักคอมพิวเตอร์มากกว่าตำรวจนะ ที่สำคัญยังหนุ่มและก็หน้าตาน่ารักด้วย
“จ่ามิ่งเป็นผู้ชำนาญการทางด้านระบบสารสนเทศของ สน.”  วิณณ์กระซิบบอกผม  มิน่าละ ถึงได้เก่ง

“วิณณ์ ตาต้องโตกว่านี้”  ผมบอกออกไป
“จ่า ผมขอตาโตกว่านี้หน่อย” พูดเสร็จก็หันมามองผม ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบกลับไป ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าวิณณ์เป็นล่ามรับส่งข้อความระหว่างผมกับจ่ามิ่ง ติดตรงที่ผมรู้  แต่จ่ามิ่งไม่รู้นะซิ
“แบบนี้ได้ไหมครับผู้กอง”

“ใช่ / ใช่จ่า”    ผมพูด วิณณ์ก็พูดตาม

“หน้าเรียวกว่านี้  จมูกโด่งขึ้นอีกนิดนึง  /  หน้าเรียวกว่านี้หน่อย  จมูกโด่งอีกนิดนึงจ่า”

“ผมบ๊อบ สั้นประมาณติ่งหู แล้วก็หน้าม้า  /  ผมบ๊อบ สั้นประมาณติ่งหู  หน้าม้า ด้วยจ่า”

“ครับผู้กอง”  ใช้เวลาไม่นาน รูปที่จ่ามิ่งเสก็ตก็เสร็จ ผมตรวจดูก่อนจะพยักหน้าว่าใช้ได้แล้ว
“เยี่ยมมากจ่า  ช่วยปริ้นให้ผมซักสองสามแผ่นนะ”

จ่ามิ่งรับคำ ก่อนจะถามว่า  “ทำไมผู้กองถึงรู้ละครับว่า  ตาต้องโต หน้าต้องเรียว จมูกต้องโด่ง และผมต้องประมาณนี้”

“ผมแค่เดานะ เด็กเมื่อโตขึ้น พัฒนาการทางร่างกาย โครงสร้างต้องชัดเจนขึ้นอยู่แล้ว ดูจากรูปน้องคนนี้ก็หน้าตาน่ารัก  ผมก็เลยเดาๆ เอานะ ส่วนเรื่องผม  ผมก็แค่อยากให้เหมือนกับตอนที่น้องเขาถูกลักพาตัวมามากที่สุด”

“ครับ  ผู้กองนี่สุดยอดจริงๆ     เอ่อ   ถ้าผู้กองไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ตามสบาย  ขอบคุณมากนะจ่า”
“ครับผม”

“แหมมม ฉลาดจัง เข้าใจตอบคำถามได้ดีนะผู้กอง”  ผมพูดทันทีที่จ่ามิ่งออกไป
“ก็………..ของมันแน่อยู่แล้ว”
“แหวะ  ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยคร้าบบบบ   แล้ว…นี่หาอะไรอยู่เหรอ”   แหนะ หยิ่งนะเรา ถามก็ไม่ตอบ แต่ผมหาได้แคร์ไม่   ไม่ตอบ เสนอหน้าไปดูเองก็ได้ 

อ่อออ   ที่เลื่อนไปเลื่อนมา ที่แท้หารูปพระกับรูปวัดนี่เอง สงสัยจะหาวัดที่น้องดาวบอก  ผมขยับตัวเองให้เห็นได้ถนัด เพื่อจะได้ช่วยดู ช่วยส่องไปด้วย 


พระพุทธรูปนั่ง องค์ใหญ่ๆ สีทอง งั้นเหรอ 


ไหน
.
.
.ไหน
.
.
.
ไหนน้า
.
.
.
อะ…..นั่น  แว่บๆๆๆ


“วิณณ์ๆ   เดี๋ยววิณณ์    หยุดก่อน…………..เลื่อนขึ้นข้างบนหน่อย…………เร็วซิ…………..เลื่อนขึ้นบน   ไปอีก ไปอีก……


หยุดๆ.......….. นี่ๆ อันนี้…….คลิกเข้าไปเลย……….. คลิกเลย……. คลิกเข้าไปเลย…………….เร็ววว........นั่น….นั่นไง…..นั่นอะ


..............ใช่ไหม  วิณณ์ดู……ใช่ไหม”   รูปนั้นเป็นรูปพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่  องค์สีทอง อยู่ตรงกลางโบสก์


“ก็อาจจะนะ  ยังไงคงต้องลองไปดู”

“เยสสส  เป็นไง  ตะวันเก่งป่าวว”


“หึหึ”       O_O  เฮ้ยยย ทำไรอะ อยู่ดีๆ ก็เอามือมาขยี้หัวผมเล่น ดูดิเสียทรงเลย  ว่าแต่ผมจะตื่นเต้นทำไมวะ  แปลกคน






“วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรีเหรอ          ตะวัน..............พรุ่งนี้ ไปกัน”
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 5 : หนูอยากกลับบ้าน (15/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-10-2017 23:56:36
ตาม ๆ ไปด้วยคนนะ  :m7:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 5 : หนูอยากกลับบ้าน (15/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-10-2017 00:07:49
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 5 : หนูอยากกลับบ้าน (15/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-10-2017 05:56:30
 เริ่มสนิทกันละ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 5 : หนูอยากกลับบ้าน (15/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-10-2017 10:37:00
จะใช่วัดนี้ไหมหนอ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 5 : หนูอยากกลับบ้าน (15/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-10-2017 13:59:29
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 6 : ใช่หรือไม่ (28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 28-10-2017 19:47:06
ตอนที่ 6  ใช่หรือไม่

“ยังไม่นอนเหรอ ทำอะไรอยู่อะ” ผมที่เห็นว่าวิณณ์ยังไม่ได้เข้ามาในห้องเลยเดินออกมาดู วิณณ์ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ เปิดเลื่อนๆ เหมือนกำลังหาอะไรอยู่
 
“อืม ดูอะไรนิดหน่อยอะ”  ผมเดินเข้าไปใกล้และชะโงกเข้าไปดูที่หน้าจอคอม อ่ออ ศูนย์รวบรวมข้อมูลเด็กหายอย่างนั้นเหรอ รู้สึกผิดเลยแหะ นี่มันเป็นเรื่องของผมด้วยส่วนหนึ่ง แต่ผมกลับไม่สนใจ ปล่อยให้คนอื่นทำอยู่คนเดียว ถึงวิณณ์รับปากว่าจะช่วยผม  แต่ก็ดูเหมือนผมเห็นแก่ตัวเลยวะ

“วิณณ์…..”

“……….”

“ขอโทษนะ เราโคตรเห็นแก่ตัวเลยวะ ปล่อยให้วิณณ์ทำอยู่คนเดียว”

“เฮ้ย อย่าคิดมากดิ ถึงแม้ตะวันไม่ได้มาขอให้วิณณ์ช่วย หรือมาขอแล้ววิณณ์ไม่ช่วยก็ตามเหอะ มันก็เป็นหน้าที่ของวิณณ์อยู่แล้วที่ต้องทำ”

“โหยยยย กำลังจะซึ้ง ช่วยพูดแบบ ‘วิณณ์ยินดีทำทุกอย่างเพื่อตะวัน’ หรือ ‘เพราะเป็นตะวันวิณณ์ถึงช่วย’ อะไรแบบนี้บ้างดิ”

“หืมมมม นี่เป็นวิญญาณที่ชอบบ่นชอบพูดแล้ว ยังเป็นวิญญาณที่มโนเก่งอีกนะ”

“ฮาาาาา  เพิ่งรู้เหรอ”

“หึหึ” 

“อารมณ์ดีขึ้นแล้วซินะ เมื่อกี้นึกว่าตาลุงที่ไหนเข้าห้องผิดมาซะอีก”

“น้อยๆ หน่อย ลุงเลยเหรอ หะ….”

“โอ้ยยยยยย  คิดว่าเจ็บไหมเนี่ย  นี่เห็นว่าจับตัวได้เลยจะไม่กลัวกันเลยว่างั้น”  อยู่ดีๆ ก็มาดีดหน้าผากทำไมเนี่ย ผมเป็นวิญญาณนะครับ ทำอะไรเกรงใจคำนำหน้าผมด้วย ว่าแต่สิ่งที่วิณณ์กำลังดูอยู่มันกระตุ้นต่อมเผือกมาตะหงิดๆ แหะ
.
.
.
.
.
.
“แล้วนี่หาอะไรได้บ้างแล้วอะ”

“ก็ลองเข้ามาหาข้อมูลเพิ่มเติม เผื่ออาจจะมีพ่อแม่หรือครอบครัวน้องเขาแจ้งข้อมูลคนหายไว้บ้าง แต่ก็….ไม่มี”

ดูจากสถิติย้อนหลังไป 12ปี มีคนหายมากกว่า 3000คน มีทั้งผู้ใหญ่ เด็ก ผู้หญิงและผู้ชาย ข้อมูลการหายที่ติดอันดับต้นคือการหายแบบสมัครใจ รองลงมาคือจากภาวะความเจ็บป่วยของร่างกาย คือ โรคสมองเสื่อม ถัดมาคือการล่อลวงทางเพศ และการค้ามนุษย์ ซึ่งน้องดาวก็เป็นหนึ่งในประเภทของการค้ามนุษย์

“ที่มีข้อมูลการแจ้งคนหายยังเยอะขนาดนี้ แล้วที่ไม่มีละจะเยอะขนาดไหน”

“ก็อาจจะเยอะพอดู เพราะพ่อแม่หรือครอบครัวบางครอบครัวก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง ไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายและก็ยังทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้รักษากฎหมายหรือหน่วยงานของรัฐ”

“ก็จริง แต่ตะวันคิดว่าตำรวจดีก็มี ที่ไม่ดีก็มี อย่างวิณณ์ไงเป็นตำรวจที่ดีสุดๆ แถมยังหล่อด้วย  ^____^”

“ผมก็ยอมช่วยเรื่องที่ขอแล้วไงคร้าบ ไม่ต้องมายกยอ ยกหางผมอีกหรอกคร้าบบบ”

“เปล่า นี่พูดจริงนะ”

“หึหึ  ตะวันไปพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปกันแต่เช้า”

“ครับผม”
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้พวกเราอยู่บนรถและกำลังมุ่งหน้าไปยังจุดหมายคือ สุพรรณบุรี ผมก็ไม่รู้ข้อมูที่เรามีและหาได้มันจะใช่ไหม แต่ก็คงดีกว่าจะมานั่งคิดเฉยๆ ถ้าไม่ใช่เราก็ตัดทิ้งแล้วเริ่มใหม่ แต่ถ้าใช่ก็ดีไป ถือซะว่าโชคเข้าข้าง เราออกเดินทางกันตอน 7โมงเช้าเพราะวิณณ์บอกว่าจะได้ใช้เวลาให้คุ้มค่าไม่เสียไปเปล่าๆ

ผมไม่ค่อยรู้เส้นทางมากหรอกครับ ไปไหนมาไหน ก็รถเมล์ และไปไม่กี่ที่ มหา’ลัย บ้าน และคอนโด แต่จากเท่าที่มองเส้นทางมาตลอด ผมคิดว่าอยู่ในช่วงของจังหวัดนนทบุรี และมีป้ายเขียวบอกเส้นทางสามารถไปสุพรรณบุรีได้อยู่ตลอดทาง

“วิณณ์ อีกไกลไหม”

“ก็อีกประมาณ ชั่วโมงหนึ่งได้นะ เบื่อเหรอ”

“เปล่า แค่อยากรู้”  อีกประมาณชั่วโมงหนึ่งเหรอ งั้นเราก็น่าจะถึงที่หมายประมาณ 9.30 ได้นะซิ ตื้นเต้นจัง ขอให้ใช่ทีเถอะ แต่ถ้าใช่แล้วจะไปหาพ่อกับแม่ของน้องได้ต่อยังไงละ บ้านน้องอยู่ไหนก็ไม่รู้ ที่น้องมาวัดนี้ก็เพราะมาเที่ยว แล้วคนในวัดจะมีใครจำได้ไหมอะ 7ปีที่น้องหายไป จะมีใครจดจำได้บ้างก็ไม่รู้ เหมือนจะง่ายๆ แต่พอคิดขึ้นมา ยากอีกแล้ว  เอาวะ อย่าเพิ่งท้อ เพิ่งงานแรก เพิ่งเริ่มต้น มาท้อตัดกำลังใจตัวเองเพื่อ?   ของอย่างนี้มันต้องลองทำก่อน 

ไม่นาน เราก็เข้าตัวจังหวัดสุพรรณบุรี จาก GPS บอกว่าอีกประมาณ 20นาที เราก็จะถึงที่หมาย กันแล้ว  ผมมองสองข้างทางจนเพลิน เพราะทางที่เราไปวัดต้องบอกว่ามีบ้านเรือน ร้านค้า เยอะแยะไปหมด อะไรก็น่าสนใจไปหมด  วิณณ์จอดรถชิดซ้าย จากตรงนี้ผมมองเห็นซุ้มทางเข้าวัดตั้งตะหง่านอยู่ตรงหน้า

“นี่ตะวัน  เรามีเรื่องอยากถาม”

“ถามว่า…..”

“ตะวันเข้าวัดได้เหรอ”

“ไม่รู้อะ”

“อ้าว…..”

“ไปเหอะ ลองดู เข้าได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที”  ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่หว่า ว่าจะเข้าได้ไหม แล้วสร้อยที่ท่านกาลเวลาให้มาจะทำให้ผมมีสิทธิพิเศษถึงขนาดไหนผมก็ไม่รู้  วิณณ์มองหน้าผมก่อนจะขับรถออกไปอีกครั้ง อารมณ์ตอนนี้เหมือนผมกำลังจะผ่าน ตม เพื่อตรวจว่าผมควรมีสิทธิ์เข้าประเทศเขาหรือไม่


ตึก


ตึก


ตึก


ผมกำลังคิดว่าจะต้องกรีดร้องยังไงให้ไม่ดูทุเรศ  จะต้องร้องโหยหวนท่าไหนให้ดูดีที่สุด มันจะเหมือนในหนังในละครหรือเปล่า เวลาผีหรือวิญญาณเจอน้ำมนต์สาด หรือโดนข้าวสารเสกปาใส่ จะต้องกรี๊ด กรี๊ด แล้วนี่ผมต้องเข้าวัด อาจจะอาการหนักกว่าก็เป็นได้นะ
 
ผมรู้สึกว่าทำไมรถมันแล่นช้าจังวะ 


ตึก………ตึก      ผะ………...ผ่าน แล้วโว้ยยยยยยย   


ผมผ่านประตูเข้ามาโดยที่ไม่มีอาการอะไรผิดปกติซักนิ๊ดดดดเดียว  (เออ คิดไปคิดมา ผมคงดูหนังมากเกินไปจริงๆ)

“สงสัย ทฤษฎีในหนังในละคร คงเชื่อถือไม่ได้ 100%  นี่ผีเข้าวัดมาไม่เห็นร้องสักแอะ”   ผมหันไปค้อนขวับ นั่นปากเหรอที่พูด มันน่าดีดให้ปากแตกนัก  วิณณ์ขับรถมาจอดใกล้กับศาลาริมน้ำ ก่อนที่จะทำการอะไรลงไป ผมหันไปถามความเห็นวิณณ์อีกครั้งนึง

“วิณณ์ แล้วเราจะเริ่มจากตรงไหน”

“ตะวันรออยู่นี่ก่อนนะ” 

“อ้าว จะไปไหนอะ วิณณ์”  วิณณ์ไม่ตอบ แล้วก็เดินไป ทิ้งให้ผมนั่งรอวิณณ์อยู่ที่เดิม นี่ก็ไปนานแล้งนะยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา
.
.
.
.
“ไอ้หนุ่ม” ผมหันไปตามเสียงที่ได้ยิน  ตรงหน้าคือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ใส่ชุดโบราณคล้ายทหาร
“ครับ”


“เจ้าไม่ใช่วิญญาณที่อยู่แถวนี้  เจ้ามีธุระอะไรที่นี่อย่างนั้นรึ”
“ผมมาตามหาคนครับ”


“เป็นวิญญาณแต่มาตามหาคนงั้นรึ”
“เอ่อ คือ จริงๆ ผมช่วยวิญญาณอีกทีนะครับ”


“ดูท่าจะซับซ้อนนะ แล้วเจ้ามาตามหาใครละ”
“ผมมาตามหาญาติของวิญญาณเด็กที่มาขอให้ช่วยนะครับ วิญญาณเด็กคนนั้นถูกลักพาตัวไปและถูกฆ่าตาย เขาจึงมาขอให้ผมช่วยตามหาญาติและพากลับบ้าน....

เอ่อ…..ท่านพอจะช่วยได้ไหมครับ พอจะจำได้ไหมว่ามีเด็กหายที่นี่บ้างไหม หรือพอจะบอกได้ไหมครับ ว่าผมจะหาได้ที่ไหน”


“มันคือเรื่องของเจ้าที่ต้องจัดการเอง เราไม่มีหน้าที่เข้าไปยุ่ง”
“แต่พวกผมมีแค่ข้อมูลน้อยนิดที่วิญญาณเด็กพอจะจำได้เองครับ”


“ลองว่ามา”
“วิญญาณเด็กตนนั้นจำได้แค่ว่า ก่อนที่จะถูกจับไป เขามาเที่ยวกับพ่อแม่ที่มีพระพุทธรูปนั่ง สีทอง องค์ใหญ่”


“พระพุทธรูปแบบที่เจ้าบอกไม่ได้มีที่วัดนี้วัดเดียว เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นที่นี่”
“ผมทราบครับ แต่ผมก็อยากลองทำทุกทางที่พอเป็นไปได้ครับ”


“เราคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้  เราทำได้แค่อนุญาติให้เจ้าเข้าออกที่นี่ได้ เพื่อทำสิ่งที่เจ้าต้องทำ  และเราจะไม่ยุ่งเรื่องของเจ้า  ตราบเท่าที่เจ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นี่…..
อำนาจและสิทธิ์ที่เจ้าได้รับไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถใช้ได้ในทุกสถานที่ แต่ละสถานที่มีเจ้าของ มีผู้ดูแลที่ถืออำนาจและสิทธิ์อยู่แล้ว และก็เจ้าคงไม่ได้โชคดีเสมอไป ที่จะเจอผู้ดูแลแบบเรา เพราะฉะนั้น จงพึงระวังไว้ เราเตือนเจ้าได้เท่านี้”


 
ท่านผู้ดูแลพูดขึ้นมาแล้วก็หายไป  มันหมายความว่ายังไงนะ  ท่านกาลเวลาบอกว่า สร้อยนี้จะทำให้ผมต่างจากวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป ผมคิดทบทวน ผมสามารถออกไปไหนมาไหนได้ไม่ว่าจะเช้าหรือมืด วิณณ์สามารถพูดคุย สัมผัสตัวผมได้  และตอนที่ผมไป สน. ท่านเจ้าที่ที่เห็นสร้อยนี้ยังยอมให้ผมผ่านเข้าไปได้ แล้วจะมีอะไรที่ต้องกังวลอีกเหรอ



“ตะวัน    ตะวัน”
 
“หะ..”

“คิดอะไร เรียกหลายรอบแล้ว ไม่ได้ยินเหรอ”

“เปล่า  ไม่มีไร  แล้วได้เรื่องอะไรไหม”

“วิณณ์ไปถามคนแก่ๆ แถววัดมา มัคทายก หรือพระที่ท่านจำพรรษามานาน ท่านบอกว่า ในช่วง 10ปีที่ผ่านมา มีคนหายอยู่บ่อยมาก แต่ที่สำคัญๆ ก็จะมีอยู่ 5คน สองคนแรกเป็นผู้ชายโกหกครอบครัวว่ามาเที่ยวงานวัด และหนีไปอยู่กับเพื่อน ตามประสาเด็กวัยรุ่นที่คึกคะนอง  แต่ครอบครัวก็ตามเจอแล้ว  คนที่สามเป็นคุณยายที่มีอาการหลงลืม ชอบหายออกจากบ้านบ่อย วันนั้นลูกหลานพามาไหว้พระก็พลัดหลงกัน กว่าจะตามหาเจอก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน ส่วนอีกสองคน เป็นเด็กผู้หญิงทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นหลานสาวของมัคทายกเอง พอดีวันนั้นมีงานวัดและหลานขอตามมาด้วย พอเผลอแปปเดียวก็หายตัวไป ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอ”

“แล้วน้องดาวใช้หลานของเขาไหม”

“เราให้ดูรูปแล้ว ไม่ใช่อะ”

“ว้าาาาาาา  ไม่ใช่เหรอเนี่ย แล้วอีกคนละ”

“อีกคนแกบอกว่า เป็นเด็กจากกรุงเทพที่มาเที่ยวกับพ่อแม่ แต่แกก็ไม่รู้หรอกว่าเจอหรือยัง หรือเป็นยังไงบ้างลุงแกก็จำไม่ได้ว่า  เด็กที่หายกับน้องดาวที่เราตามหาจะเป็นคนเดียวกันไหมแกก็ไม่รู้  เพราะมันนานมากและที่สำคัญช่วงนั้นแกจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเพราะคิดแต่เรื่องหลานตัวเอง”

เห้อออ งานยากของจริง ตัดทางเลือกไป 4 ราย ตอนนี้เหลืออีกหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ เหมือนดูจะง่ายเพราะเหลือแค่หนึ่งทาง แต่ไอ้หนึ่งทางนี่ละที่ยาก จะเริ่มต้นหาจากตรงไหน พ่อแม่เป็นใครอยู่ที่ไหน บ้านช่องห้องหออยู่ส่วนไหนถามไปก็คงไม่มีใครรู้ เรื่องมันผ่านมาทั้ง 7-8 ปีแล้ว


“โอ้ยยยยยยยยย กลุ้มมมมมมมมม”   

“นี่จะเสียงดังทำไม”

“ไม่มีใครได้ยินหรอกน่า”

“แต่วิณณ์ได้ยินอยู่นี่ไง”

“ชิส์”  ผมเบะปากมองบน ก็คนมันกลุ้มนี่หว่า ไอ้พวกหนัง พวกซี่รีส์สืบสวนสอบสวนผมนะโคตรชอบดูเลย แต่พอมาให้ทำจริงมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย นึกว่าจะได้ทำตัวเป็น CSI ซะหน่อย  แต่เป็นได้แค่ โมริ โคโกโร่ ตาหนวดนักสืบผู้ไม่มีอะไรดีเลย ถ้าไม่ถูกโคนันใช้เข็มยาสลบจิ้มก่อนคลี่คลายคดี ก็คงเป็นตาแก่บ้าๆบอๆคนหนึ่ง  แต่นักเขียนก็ยังเขียนให้เปลืองหน้ากระดาษเล่น
เดี๋ยวๆ ผมเวิ่นยาวไป กลับเข้าเรื่องดีกว่า


ผมเดินตามวิณณ์ ที่ดูเหมือนว่าจะเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้หันกลับมาต่อล้อต่อเถียงกับผมอีก พวกเราเดินกลับมาที่รถ ผมมองออกไปที่ศาลาริมน้ำ มีปลาออกมารอกินอาหารจากคนที่โยนลงไป  พอนึกถึงปลา ผมไม่ชอบกินปลาเพราะไม่ชอบกลิ่นคาวและสงสารพวกเขา  ตอนเด็กผมเคยตามแม่ไปตลาดตอนนั้นผมหยุดยืนมองที่แผงขายปลา พวกมันว่ายวนเวียนในกะละมังแคบๆ ผมไม่รู้ว่าพวกมันมาทำอะไรในนี้ แต่แล้วอยู่ๆ แม่ค้าก็หยิบมันขึ้นมา แล้ว โช๊ะ……....…

ผมอึ้ง ยืนร้องไห้จ้า คนผ่านไปผ่านมาก็งง ว่าเด็กอย่างผมเป็นอะไร จนแม่ต้องวิ่งมาโอ๋ แล้วตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ยอมกินปลาอีกเลย ไม่ว่าจะประเภทไหนหรือชนิดไหน  เอ่อ….ออกทะเลอีกละ เอาเป็นว่าถึงผมจะไม่ชอบปลา แต่ก็ไม่เกลียดนะครับ


“วิณณ์ๆ  ตะวันอยากให้อาหารปลาอะ”

“ให้ยังไงละ”

“วิณณ์เป็นคนให้  เดี๋ยวตะวันยืนดูอยู่ข้างๆ”  คนตัวสูงพยักหน้าเป็นเชิงตกลง ผมยืนรอไม่นานวิณณ์เดินกลับมาพร้อมถังเม็ดอาหารปลาหนึ่งถัง และขนมปังปลาอีกหนึ่งถุง ที่จริงมีเด็กๆ หลายคนยืนให้อาหารปลาอยู่พวกมันน่าจะกินอิ่มกันแล้วนะ แต่พอวิณณ์กำอาหารเม็ดโยนลงไป ปลาก็ดีดดิ้นน้ำกระจายเพื่อมากินอาหารเม็ดกันทันที

“เหวยยยยยยย ดิ้นกันใหญ่ น้ำกระจายเลย วิณณ์ดู   ดูดิ”

“หึหึ” 

คนตัวสูงได้แต่หัวเราะในลำคอ และก็ยังโยนอาหารปลาลงไปเป็นระยะๆ  ถามว่าผมร้องทำไม น้ำกระเด็นเปียกเหรอ ป่าวครับ ก็ร้องเพราะตื่นเต้นอะ จบนะ   เด็กๆ ที่ยืนให้อาหารปลาข้างๆ ก็สนุกสนานกันใหญ่ โยนทีปลาก็ตีน้ำทีสนุกเขาละ

เฮ้.........เด็กๆ อย่าเข้าไปใกล้นักซิ เดี๋ยวก็ตกน้ำหรอก ผมยืนมองไปก็ลุ้นไป พอเด็กโยนอาหารไปทีก็พากันกระโดดโลดเต้นทำท่าดีใจ เบียดกันไปเบียดกันมา   

เฮ้ยยย เบาๆ เดี๋ยวตกน้ำจริงขึ้นมาจะยุ่ง


“วิณณ์……วิณณ์…..เฮ้ยยย!!!!”   
 

ตู้ม!!!!!    ผมเรียกวิณณ์ แต่ตายังจ้องมองเด็กๆ อยู่ นั่นไง ไม่ทันสิ้นเสียงผมเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนท่ามกลางพี่ๆ กำลังแย่งให้อาหารปลา จนถูกเบียดจนตกลงน้ำไป แล้ว…..


ตู้ม!!!!!   เสียงน้ำเสียงที่สองดังขึ้น  เห็นเสื้อแว่บๆ นั่นมันเสื้อของวิณณ์นี่นา ผมหันไปดูข้างหลัง วิณณ์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว อาหารก็หกกระจายอยู่บนพื้น เพียงอึดใจเดียววิณณ์ก็ช่วย เด็กผู้หญิงขึ้นมาได้ น้องร้องไห้ไม่หยุด ทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทั้งสำลักน้ำ น่าสงสารที่สุด

คนบนท่าน้ำรีบวิ่งมารับตัวเด็ก พ่อแม่ของเด็กก็วิ่งเข้ามาดูลูกของตัวเอง วิณณ์ตามขึ้นมาโดยมีผมช่วยดึง

“ขอบคุณคะ ขอบคุณมากๆ เลยคะ”  แม่เด็กร้องไห้ ทั้งยกมือไหว้ขอบคุณยกใหญ่ และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ต่างก็พากันแยกย้ายกันไป
 
“พ่อหนุ่ม  เปียกหมดเลยนะเรา ไปนั่งตรงนี้ก่อนไป”  คุณยายท่านหนึ่งเดินมาหาพวกผมและพยักเพยิดไปทางบ้านเล็กๆ ริมน้ำที่มีประตูติดกับรั้ววัด

“ขอบคุณครับ”





พวกเราเดินตามคุณยายมาที่บ้านของท่าน บ้านหลังเล็กสีขาวชั้นเดียวริมน้ำ ดูร่มรื่น คุณยายเดินหายไปในบ้านแล้วออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวกับชุดใหม่

“อะ พ่อหนุ่ม เอาไปเปลี่ยนก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”

“ขอบคุณครับ”

รอไม่นาน วิณณ์เดินออกมาพร้อมกับชุดที่    พรึ…...…ฮาาาาาาา   มันเกิดจากอาการที่ผมพยายามจะกลั้นหัวเราะ มันไม่ได้ตลกอะไรเลยนะครับ แต่มันดู น่ารักดี   แต่ผมหัวเราะได้ไม่นานก็ต้องหุบปาก เพราะวิณณ์จ้องตาเขม็ง

“นี่พ่อหนุ่ม มาจากไหนกันรึ”

“มาจากกรุงเทพครับ”

“แล้วนี่มาเที่ยว หรือว่าอะไรกันละ”

“เอ่ออ  มาสืบคดีนิดหน่อยครับ ผม..…เป็นตำรวจ”   ผมเงียบฟังที่วิณณ์พูดคุยกับคุณยาย  คุณยายพูดคุยด้วยท่าทีที่สบาย แถมยังใจดี เอาน้ำกับขนมมาให้ทานด้วย แต่ผมก็ได้แต่มองเพราะวิญญาณกินได้ที่ไหนละ
 
แต่เอ๊ะ แก้วสองใบ จานสองจาน แล้วไอ้คำถามที่เวลาถามเหมือนกับไม่ได้ถามแค่วิณณ์คนเดียว และยิ่งตอนพูดที่มองหน้าวิณณ์ทีหันมาทางผมทีอีก มันดูแปลกๆ แฮะ


“อ้าว   พ่อหนุ่ม ไม่ชอบกินขนมรึ”



????????????????????



O_____O



หะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!







ตะลึง ตะลึงตะลึงตะลึง
ตึ้งตึงตึงตึง
ตะลึงตึงตึง ตะลึงตึงตึง
ตะลึงตึงตึง ตึ้งตึงตึงตึง
ตะลึงตึงตึง ตะลึงตึงตึง

อึ้ง!!!   อึ้งซิครับอึ้ง  ผมสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่ดีดดิ้นเป็นจังหวะเพลงของอนัน อันวา (ว่าแต่ผมมีหัวใจ?)
คุณยายท่านเห็นผม  เห็นผมเหรอ???

“คุณยายครับ  เอ่อ…..คุณยายเห็นเพื่อนผมด้วยเหรอครับ”

“ถามแปลก ทำไมจะไม่เห็นละ ยายยังไม่แก่ถึงขนาดสายตาฟ่าฟางนะ ยายเห็นเราสองคนตั้งแต่ให้อาหารปลาที่ท่าน้ำโน่น”

เอาละซิ นี่ทำเอาผมถึงกับงงเลยนะ ยายบอกเห็นผม อย่างนั้นยายก็ต้องคิดว่าผมเป็นคน เห็นผมเป็นคนทั้งที่ผมเป็นวิญญาณเหรอ  ยายทำหน้างง มองผมสลับกับวิณณ์ไปมา

“มีอะไรกันหรือเปล่า พ่อหนุ่ม”

“เปล่าครับ ไม่มีครับ”

“นี่ยังไม่ตอบยายเลย มาเที่ยวกันหรือไง”

“พวกผมมาตามหาคนครับ”

“ตามหาคน?”

“ครับ ผมมาตามหาญาติของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัวไป”  ผมสนับสนุนคำพูดของวิณณ์ด้วยการหยิบรูปจากแฟ้มออกมาให้คุณยายดู คุณยายรับรูปไปดู พินิจพิจารณาอยู่นาน พลางขยับมือเข้าออก เหมือนอยากจะดูให้ละเอียด

“เดี๋ยว เดี๋ยว ขอยายหยิบแว่นก่อน”  อ้าว โธ่…คุณยายผมก็นึกว่ากำลังคิด ที่ไหนได้ มองไม่ชัดนี่เอง คุณยายหันไปหยิบแว่นที่โต๊ะด้านข้างมาใส่และกลับมาดูรูปในมืออีกครั้ง พวกผมนั่งรออย่างเงียบๆ เพื่อรอฟังคุณยาย

“ยายก็จำไม่ค่อยได้นะ คนที่มาวัดนี้แต่ละวันก็เยอะแยะ และถ้ายิ่งมีงานประจำปีนะคนยิ่งเยอะทวีคูณ เด็กพลัดหลงจากพ่อแม่ แต่อย่าว่าแต่เด็กเลย คนโตๆ หลงกันก็มีออกบ่อย”

“ผมลองไปถามลุงมัคทายกมา แกบอกว่า  เท่าที่จำได้สำคัญๆ คือมี 5 ราย ตามหาเจอ 3 ราย อีกสองคนยังไม่เจอ และ 1ใน2 คนนั้นเป็นหลานของลุงมัคทายก  ผมให้ลุงแกดูรูปนี้ แต่แกบอกว่า ไม่ใช่หลานของแก ส่วนอีกคนที่ยังหาไม่เจอ แกบอกว่าเป็นคนกรุงเทพ พ่อแม่พามาเที่ยวที่วัดนี้และพลัดหลงกัน แกเองก็ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อแม่เด็กจะหาเจอหรือยัง”

“อืม ยายจำได้ หลานมัคทายกนะ ชื่อ น้องอร เป็นเด็กน่ารัก ช่างพูดเลยละ ตอนนั้นที่พอรู้ว่าหายไป มัคทายกเกณฑ์ทั้งเด็กวัด และพวกญาติๆ แกออกตามหาทั้งในวัด นอกวัด ก็ยังไม่เจอ  ตอนนั้นนะ ยายขายของอยู่หน้าวัด เขาวิ่งตามหากันให้วุ่นทั้งวัดเลยละ นอกจากมัคทายกเองที่ตามหาหลานตัวเอง ยังมีหญิงชายอีกคู่หนึ่งมาถามยายด้วยว่า เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ใส่ชุดสีฟ้าผ่านมาทางนี้ไหม ยายก็ตอบไปว่าไม่เห็น สองคนนั้นก็เดินไปทางอื่น ยายก็ไม่รู้ว่าจะเจอหรือยัง”

“เหรอครับ”

“แต่เท่าที่ยายจำได้นะ หญิงชายที่มาถามหาเด็ก ไม่น่าจะใช่คนจากกรุงเทพ เพราะการแต่งตัวก็ดูเหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป แถวนี้”

“เดี๋ยวนะครับยาย  ถ้ายายบอกว่า หญิงชายที่มาถามหาเด็ก ไม่น่าจะใช่คนกรุงเทพ งั้นก็เท่ากับว่า นอกจาก 5รายที่มัคทายกบอก ก็ยังมีเด็กอีกคนที่หายที่วัดนี้เหมือนกันซิครับ”

“ยายก็ไม่รู้นะ แต่ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้”

“ยายพอจะบอกผมได้ไหมครับ ผมควรจะไปถามจากใครดี”

“อืม  ลองไปถามผู้ใหญ่บ้านดูก่อนไหม แกชื่อผู้ใหญ่คง คนแถวนี้ส่วนใหญ่ถ้ามีอะไรก็จะไปแจ้งเรื่องกับผู้ใหญ่บ้านกันทั้งนั้น”

“จริงซิ ถ้าเด็กคนนั้นหายที่วัดนี้ ก็คงอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ หรืออาจจะมาจากอำเภอใกล้เคียงก็ได้  แล้วบ้านผู้ใหญ่บ้านไปยังไงครับ”

“ไม่ยากเลย บ้านผู้ใหญ่นะติดกับโรงเรียน ชื่อโรงเรียนสว่างอารมณ์ ออกจากวัดไปแล้วเลี้ยวซ้ายไม่ไกลหรอก”

“ขอบคุณนะครับยาย”  พวกผมเตรียมยกมือไหว้ลายายเพื่อไปบ้านผู้ใหญ่ต่อ

“นี่ผมหนุ่ม เรานะไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาบ้างรึ ปล่อยให้เพื่อนพูดอยู่คนเดียว”

“หะ….ผมเหรอครับ”   ผมมองคุณยายแล้วก็ชี้มือมาที่ตัวเอง

“ใช่ ว่าแต่ไม่สบายเหรอ ยายไม่ได้ยินเสียงเราเลย”  เอ๊ะ….ผมว่าผมตอบคุณยายไปนะ แต่ทำไมยายไม่ได้ยินเสียงผมละ

“ขอโทษครับ เพื่อนผมเจ็บคอเลยไม่ค่อยมีเสียงนะครับ แถมมันยังพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เลยชอบปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายพูดมากกว่านะครับ ตะวันขอโทษยายด้วยซิ”

ผมยกมือไหว้คุณยาย คุณยายยิ้มรับและมองอย่างเอ็นดู

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นกันซะก่อน”

“ขอบคุณนะครับยาย”  พวกเราลาคุณยายอีกครั้ง และเดินกลับมาที่รถเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป



‘บ้านผู้ใหญ่คง’
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 6 : ใช่หรือไม่ (28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-10-2017 23:43:13
ลุ้น ๆ รอตอนต่อไป  o11
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 6 : ใช่หรือไม่ (28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-10-2017 01:29:10
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 6 : ใช่หรือไม่ (28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 29-10-2017 06:02:06
 :hao4:  :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 7 : จบภาคกิจแรก (04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 04-11-2017 20:37:03
ตอนที่ 7  สมหวัง

พวกเราออกจากวัดมาตามเส้นทางที่คุณยายบอก ผมมองดูนาฬิกาตอนนี้ก็บ่ายสามแล้ว ถ้าไม่รีบจัดการเรื่องให้เสร็จมีหวังไม่ได้กลับแน่ๆ ผมเห็นเสาธงและอาคารเรียนอยู่ไม่ไกล

‘โรงเรียนสว่างอารมณ์’ 

และถัดไปไม่ไกลจากโรงเรียน

‘ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน’

พวกเราเลี้ยวรถเข้าไปจิด ผมชะเง้อมองหาคน แต่ก็ไม่ยักเห็นวี่แววใคร


“สวัสดีครับ………มีใครอยู่ไหมครับ”

------เงียบ-----

“ขอโทษครับ………มีใครอยู่ไหมครับ”

-----เงียบ-----


พวกเรายืนอยู่หน้าบ้านโดยมีวิณณ์ตะโกนเรียกแต่ก็ไม่มีใครตอบรับ ตอนนี้พวกเราเดินเข้ามาด้านในบ้านผู้ใหญ่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านยกใต้ถุนสูง ด้านล่างตัวบ้านมีแคร่ไม้อยู่ สองสามตัว กระดานที่มีการขีดเขียนจดบันทึกวันที่ และข้อมูลของการประชุม มองดูนี่คงเป็นที่เอาไว้ประชุมลูกบ้าน ส่วนด้านบนก็เป็นบ้านพัก

“มาหาใครกันหรือพ่อหนุ่ม”

“เฮ้ยยยยยย”   ทั้งผมและวิณณ์ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง พวกเราหันกลับมาก็พบกับผู้หญิงวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหลัง

“เอ่อ ขอโทษครับ”  พวกเรายกมือไหว้ขอโทษคุณป้า (ไม่รู้ว่าคุณป้าจะเห็นผมไหม แต่แม่สอนไว้จะผิดจะถูกก็ให้ไหว้ไว้ก่อน) 

“ผมมาหาผู้ใหญ่คงครับ”

“ผู้ใหญ่นะเหรอ โน่นแหนะ อยู่ในส่วนโน่นเวลานี้แกต้องไปดูพืชผักในสวน”  ผมมองตามที่คุณป้าชี้ไป ด้านหลังของบ้านเป็นสวน มีท้องร่องน้ำ แต่ผมกลับมองไม่เห็นคนเพราะเห็นแต่สีเขียวๆ ของต้นไม้เต็มไปหมด

“งั้นผมอนุญาติไปหาผู้ใหญ่ก่อนนะครับ”

“จ้ะ…….เดินดีๆ กันละ ระวังตกลงไปในท้องร่องน้ำนะ สะพานข้ามท้องร่องก็เดินข้ามระวังนะ ไม้บางอันมันก็ผุแล้ว”

“ครับ ขอบคุณครับ”   

พวกเราเดินมาที่สวนหลังบ้าน พลางมองหาเป้าหมาย ก็เจอกับชายใส่หมวกปีกกว้างยืนตักน้ำจากร่องน้ำรดผักอยู่ที่ปลายสวน นั่นน่าจะเป็นผู้ใหญ่คงคนที่เรากำลังตามหา นี่ผู้ใหญ่มาทำสวยตอนบ่ายแดดร้อนๆ แบบนี้เนี่ยนะ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมเป็นแล้งพอดี


เอ๊ะ….....แดดร้อนเหรอ??   ทำไมตอนคุยกับคุณป้าที่ใต้ถุนบ้านผมว่าอากาศมันไม่ได้ร้อน หรืออบขนาดนี้นะ  มันออกจะเย็นๆ เหมือนเปิดแอร์ด้วยซ้ำ แต่มันไม่มีแอร์ไง  หรืออาจจะเพราะอยู่ใต้ถุนบ้านก็ได้มั้ง


ผมเดินตามหลังวิณณ์มาตามท้องร่องสวน ตาก็มองพืชผักที่ปลูกไปด้วยส่วนใหญ่ที่ปลูกก็เป็นพวกพืชผักสวนครัวทั้งนั้น มีทั้ง พริก มะเขือ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ไชโย โฮ่หิ้ววว   -____-   เอ่อ…อันนี้ไม่ใช่ครับ

ก็พวกพืชสวนครัวทั่วไปนะแหละครับ ประเภทปลูกง่าย โตไว ทันใช้ทันกิน  ถัดไปอีกฝั่งก็มีต้นกล้วย แต่อย่าถามนะว่ากล้วยอะไร เพราะผมกินเป็นอย่างเดียว ฮ่าๆๆๆ   และยังมีพืชไม้เลื้อย พวกฟัก ฟักทอง ยังมีอีกเยอะครับ ไอ้ผมก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง

“สวัสดีครับ ผู้ใหญ่คง ใช่ไหมครับ”

ชายวัยกลางคนตรงหน้าหันกลับมา ริ้วรอยบนใบหน้าที่บ่งบอกถึงอายุ ผิวพรรณกรำแดดกรำฝนมานานบ่งบอกถึงประสบการณ์ชีวิตของคนตรงหน้าได้อย่างดี

“มีธุระอะไรกับผู้ใหญ่ละ”

“ผมมีเรื่องอยากสอบถามผู้ใหญ่หน่อยนะครับ” ผู้ใหญ่มองเหมือนชั่งใจอะไรสักอย่าง

“ผมชื่อวิณณ์ เป็นตำรวจครับ มาจากกรุงเทพ”  วิณณ์บอกพร้อมกับหยิบบัตรประจำตัวยื่นให้ผู้ใหญ่ดู ผู้ใหญ่พยักหน้ารับทราบก่อนจะเดินนำกลับไปยังทางที่พวกผมเดินมา ใต้ถุนบ้านที่เดิม

“นั่งก่อนซิผู้กอง”   ผู้ใหญ่คงเดินหายเข้าไปหลังบ้านก่อนจะเดินกลับมาพร้อมน้ำ 1 แก้ว และนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แบบนี้แสดงว่า ผู้ใหญ่ไม่เห็นผมซินะ

“ผู้กองมาสืบคดีคนเดียวไกลขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องที่อยากถามต้องสำคัญมากซินะครับ”

“ครับ  ผมมาตามหาครอบครัวและญาติของเด็กคนหนึ่ง”

“เด็ก?”

“เมื่อสองวันก่อนผมได้เข้าจับกุมโรงงานค้าแรงงานเด็ก และเด็กที่อยู่ในโรงงานนั้นทุกคนเป็นเด็กที่ถูกลักพาตัวมา เราช่วยเด็กออกมาได้รวม 11คน  แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีเด็ก 1 คนที่เสียชีวิตอยู่ในโรงงาน ผมพอจะมีข้อมูลบางส่วนของเด็กแต่ละคน รวมถึงเด็กที่เสียชีวิต ผมจึงอยากจะมาตามหาครอบครัวหรือญาติของเด็กคนนี้เพื่อแจ้งให้เขาทราบ”

“แล้วผู้กองรู้ยังไงว่าจะต้องเริ่มหาจากตรงไหน”

“อย่างที่บอกครับผมมีข้อมูลบางส่วนเท่านั้น ซึ่งผมก็คลำหาจากข้อมูลเท่าที่มีในมือ”

“ข้อมูลชี้หรือครับว่าเป็นที่นี่  แล้วทำไมต้องป็นที่นี่ ต่อให้เด็กคนนั้นเป็นคนพื้นที่นี้จริงๆ  มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีเพราะเด็กเสียชีวิตไปแล้ว มันไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าข้อมูลที่ผู้กองมีมันจะถูกต้อง”

เอาละซิ ผู้ใหญ่แกเป็นคนฉลาดพอตัวเลยแหะ ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอกับคำถามพวกนี้ ผมเคยคิดคำตอบดีๆ ไว้หลายแบบเลยแหละ แต่สุดท้ายผมก็ต้องทิ้งความคิดไป เพราะวิณณ์บอกว่าไม่เห็นจะต้องเตรียมอะไรไว้คอยตอบ ทุกอย่างมันมีคำตอบของมันเอง มันสามารถปรับได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า

“ผมถามจากเด็กคนอื่นๆ ที่ถูกช่วยออกมาจากโรงงานนั้น เรารู้ชื่อว่า น้องคนที่เสียชีวิตชื่อ ดาว ดาวเคยเล่าให้เด็กคนอื่นๆ ฟังว่าตัวเองถูกจับมาตอนที่ไปเที่ยวงานวัดกับพ่อและแม่ ตัวน้องเองก็จำได้แต่เพียงว่าวัดที่มามีพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ๆ สีทองอยู่ในโบสก์ ผมก็สืบหาข้อมูลจากอินเตอร์เนตนี่แหละครับโดยเริ่มจากจังหวัดใกล้ๆ ก่อน เดี๋ยวนี้อินเตอร์เนตไปไกลข้อมูลหาได้ไม่อยาก ผมเลยสืบย้อนกลับไปว่าช่วงที่น้องหายตัวไป วัดที่มีพระพุทธรูปลักษณะนี้และมีงานจำปีของวัดมีที่ไหนได้บ้าง”

“เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีไปไกลอะไรมันก็ง่ายขนาดนี้เลยเนอะ”

“ผมลองไปสอบถามคนที่วัดก็ไม่มีใครจำได้ จนเจอกับคุณยายคนหนึ่งแกแนะนำให้ลองมาหาผู้ใหญ่ เผื่อผู้ใหญ่จะมีข้อมูลหรือมีลูกบ้านแจ้งเรื่องร้องเรียนไว้บ้าง” ผู้ใหญ่แกนั่งฟังพร้อมกับคิดไปด้วย

“นั่นรูปของเด็กคนนั้นใช่ไหม”

“ครับ”   วิณณ์ตอบพร้อมกับหยิบแฟ้มเอกสารที่อยู่ข้างตัวให้ผู้ใหญ่

“ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่ปี 2553 เลยเหรอ   ….. นี่ก็ 7 ปีแล้วซิ ผ่านมานานพอดู”  ขณะที่รอผู้ใหญ่อ่านเอกสารในมือ แกดูไปก็พูดเองตอบเองไป มือก็เปิดเอกสารดูไปทีละหน้า
.
.
.
.
.
“เดี๋ยวนะ”  และเหมือนแกนึกอะไรได้  แล้วก็ลุกไปที่โต๊ะทำงานที่อยู่ในห้องด้านใน ระหว่างที่ผมรอก็เดินดูรอบๆ บ้านไปเรื่อย แล้วสายตาก็มองเลยประตูเข้าไปในห้องทำงานของผู้ใหญ่ นั่นรูปของคุณป้าคนเมื่อกี้นี้

“วิณณ์………….(ผมกวักมือเรียก)………….มานี่” วิณณ์เดินมาและผมชี้ให้ดูรูปบนฝาผนัง

“รอเดี๋ยวนะผู้กอง  เอ๋……ว่าเก็บไว้ตรงนี้นี่หว่า มันอยู่ไหนวะ”

“ครับ  ผู้ใหญ่ครับนั่นรูปใครเหรอครับ”  ผู้ใหญ่เงยหน้าดูก่อนจะก้มลงไปแล้วตอบว่า

“นั่นนะ….เมียฉันเอง”

“อ่อ  แล้วตอนนี้ไปไหนละครับ  ตอนมาถึงผมยัง…”

“ตายแล้วละ  ตายไปเมื่อ 3 เดือนก่อน”

“……………”  วิณณ์ยังไม่พูดจบว่า ‘ผมยังเจอกันอยู่เมื่อกี้เลย’ ผู้ใหญ่แกก็ตัดหน้าตอบมาก่อน แล้วถ้าเมียผู้ใหญ่แกตายไปแล้ว แล้วคนที่เราคุยด้วยเมื่อกี้ก็…………….???

ผมกระโดดเกาะวิณณ์  นี่เราเจอผีโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเนี่ย  O___O   โอ้ยยย ไอ้ตะวันทำไมมึงมันโก๊ะแบบนี้วะ

“ถามจริงเป็นวิญญาณจริงปะเนี่ย เจอพวกเดียวกันยังแยกไม่ออกอีก”   วิณณ์หันมากระซิบเบาๆ ใส่ผม

ครับ ครับ รู้แล้วละครับว่าผมอะมันอ่อน เชอะ  แต่ผมไม่รู้ถือว่าไม่ผิดนะ เพราะผมมันพวกวิญญาณฝึกหัด เสร็จภาระกิจเมื่อไหร่ผมก็ได้กลับไปเป็นคนเหมือนเดิมแล้ว

“อะ  เจอแล้ว ว่าแต่เมื่อกี้ผู้กองจะพูดว่าอะไรนะ”

“เอ่อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร”  ผู้ใหญ่มองหน้าชั่งใจ  ไม่รู้ทำไมผมมีความรู้สึกว่าผู้ใหญ่แกชอบมองแปลกๆ

“งั้นมาดูนี่  นี่เป็นแฟ้มเอกสารที่ฉันเก็บไว้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์จากพวกชาวบ้านนะแหละ”  วิณณ์รับเอกสารมาจากผู้ใหญ่ แฟ้มหนาพอสมควร เปิดดูคร่าวๆ เอกสารที่เก็บไว้ก็ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน แต่การจัดเรียงนี่ซิ มันปนเปกันไม่หมดเหมือนกับถูกจับเข้ามารวมกันไว้แบบลวกๆ

แต่ก็ต้องยอมรับว่า  ผู้ใหญ่นี่สุดยอดจริงๆ

“มันเละเทะไปหน่อยนะผู้กอง ไอ้ตอนเมียอยู่มันบ่นๆ ว่าไม่รู้จักเก็บให้เรียบร้อย ถึงมันจะบ่นมันก็ช่วยเก็บช่วยดูแลให้ แต่พอมันตายไป มันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ ไอ้ฉันมันก็ชอบรื้อ เก็บบ้าง ไม่เก็บบ้าง ไอ้ฉันมันคนไม่มีระเบียบเท่าไหร่ พอจะเอามาเก็บทีมันก็ปนกันมั่วอย่างที่เห็นนี่แหละ”

“เอกสารพวกนี้ผู้ใหญ่เก็บมาตั้งแต่รับหน้าที่หรือว่ารับช่วงมาครับ”

“พวกนี้นะเหรอฉันเก็บเอง ก็ตั้งแต่รับหน้าที่แทนผู้ใหญ่คนเก่าที่เกษียณไปก็ 10 ปีแล้วละ ฉันก็ทำแบบนี้มาตลอด ไอ้ความจริงฉันเองก็ไม่ได้อยากเป็นหรอกนะไอ้ผู้ใหญ่บ้านเนี่ย ทำสวน ทำไร่ ยังมีความสุขกว่าเลย แต่นังเมียตัวดีมันอยากมีผัวโก้ใส่ชุดข้าราชการ แล้วไง สุดท้ายก็มาชิงตายหนีกันไปก่อน  ตอนแรกก็คิดว่าจะต้องเป็นผู้ใหญ่ไปจนแก่รอเกษียณ แต่ทางการเขามีพระราชบัญญัติออกมาใหม่ให้ กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านมีวาระ 5 ปี ไอ้ฉันก็คงอยู่จนครบวาระสมัยนี้ จนมีการเลือกตั้งใหม่นี่แหละ แต่คงไม่สมัครแล้ว ขอทำไร่ ทำสวนอยู่เงียบๆ ดีกว่า สบายใกว่าเยอะ…….  แล้วนี่ผู้กองเจออะไรบ้างหรือยังละ”

“ยังเลยครับ”

“เอ้าๆ งั้นหาไปก่อนเถอะ ฉันไม่กวนละ ขอไปเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนก่อน เดี๋ยวจะลงมาใหม่”

ว่าแล้วลุงผู้ใหญ่ก็ขึ้นบ้านไป พวกผมก็หันมาสนใจเอกสารในแฟ้มต่อ  ดูๆ ไปนี่ก็ไม่คิดว่าชาวบ้านจะมีเรื่องร้องเรียนเยอะขนาดนี้เหมือนกันนะ มีตั้งแต่เรื่องขี้หมูขี้หมาอย่าง  ‘กิ่งไม้ยื่นล้ำเข้าไปในรั้วบ้าน’ , ‘การแย่งกันสูบน้ำเข้านาเข้าสวน’, ‘หมาแอบมากัดไก่’ หรือจะเป็นปัญหา ‘การกู้ยืนเงิน’, ‘แย่งที่ทำมาค้าขาย ใครมาก่อนมาหลัง’ , ‘ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งตีกันหัวแตกเลือดตกยางออกไปจนถึงเข้าโรงพยาบาลหนักสุดก็ถึงกับฆ่ากันตาย’  นี่มันเหมือนศาลไคฟงที่คอยรับฟังเรื่องร้องทุกข์เวลาชาวบ้านมาตีกลองหน้าศาลเลยแหะ

“เจอแล้ว”

“ไหนๆ เจออะไรเหรอ”


“ดูนี่  วันที่ 25 ตค 2553 นายอินและนางจัน แจ้งเรื่องไว้ว่าลูกสาวชื่อ ดญ.สุวิมล จันทร์หอม อายุ 5ปี ได้หายตัวไปที่งานประจำปีหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลย์ โดยในวันที่หายได้ใส่เสื้อสีฟ้ากางเกงขาสั้นสีขาว

………………….      สถานภาพตอนนี้       *** ยังหาไม่พบ ***       ……………………………


“มีลุ้นแหะ ว่าแต่เราจะไปหาสองคนนี้ได้ที่ไหนละ  เออ…หรือเราจะลองขอร้องให้ผู้ใหญ่ช่าวยพาไปดีไหมวิณณ์”

“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะลองถามผู้ใหญ่ดู”

ไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ก๊อกๆ แก๊กๆ จากพื้นไม้ด้านบน ผู้ใหญ่คงแต่งตัวเสร็จและกำลังจะลงมา

“เป็นยังไงได้อะไรไหมผู้กอง”

“คิดว่าน่าจะได้นะครับ”

“เหรอ?”

“เอ่อ  ผู้ใหญ่ครับ  ผู้ใหญ่รู้จักสองคนนี้ไหมครับ”  วิณณ์หยิบเอกสารที่เป็นหน้าของนายอินกับนางจันยื่นให้ผู้ใหญ่ดู

“ไอ้อินกับอิจันนะเหรอรู้จักซิ ยังจำได้ถึงทุกวันนี้ ว่าแล้วก็สงสารมันสองคน ตอนนั้นนะทั้งสองคนวิ่งหน้าตาตื่นมาขอให้ช่วยตามหาลูกสาวที่หลงกันในงานประจำปีของวัด พวกชาวบ้านแถวนี้ก็ช่วยกันหา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ วันนั้นได้ข่าวว่าทั้งหลานของมัคทายกเองก็หายไปเหมือนกัน แถมยังมีเด็กจากกรุงเทพด้วย”

ลุงผู้ใหญ่เว้นจังหวะพูด เหมือนกับกำลังพยายามนึกย้อนไปยังเหตุการณ์วันนั้น

“ตอนนั้นพวกชาวบ้านก็คิดว่าจะตกน้ำตกท่าไป พวกที่อยู่ใกล้ท่าน้ำก็ไม่มีใครพบเห็นอะไร เวลาผ่านเลยไปสามวันก็ยังหากันไม่พบ ศพก็ไม่เจอเพราะถ้าตกน้ำอย่างน้อยก็น่าจะลอยไปติดหรือไปโผล่ที่อื่น แต่ก็ไม่มีใครเห็นอะไร แถมตอนนั้นยังมีข่าวลักเด็ก ชาวบ้านส่วนใหญ่เลยคิดว่าอาจจะถูกพวกรถตู้ที่ตะเวนตามหมู่บ้านแล้วก็จับเด็กไป  ลูกมันยังเล็กแถมยังหน้าตาน่ารัก แต่ต้องมาหายไปป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

“…….…..”

“ตัวพ่อเองช่วงนั้นก็ไม่ทำมาหากินอะไรเลย ออกแต่ตามหาลูก บ้านก็ใช่ว่าจะมีเงินทองพอใช้ซะเมื่อไหร่ พอไม่ได้ทำงานก็ยิ่งแย่ ดีที่ชาวบ้านมีอะไรก็แบ่งปันกันไป นิดๆ หน่อยๆ มันก็พอช่วยกันได้อะนะ  คนเป็นแม่ก็น่าสงสาร มีลูกอยู่แค่คนเดียวกว่าจะมีได้ก็ยากลำบาก ดันต้องมาหายตัวไป ตั้งแต่นั้นมาอิจันมันก็เจ็บออดๆแอดๆ มาตลอด เฮ้ออ”

“ผู้ใหญ่พอจะพาไปบ้านสองคนนี้ได้ไหมครับ”

“ได้ซิ ห่างจากบ้านฉันไปก็ประมาณ 2-3 โลได้นะ เข้าไปด้านในท้ายหมู่บ้านโน่น”

“ขอบคุณครับ”

วิณณ์ให้ผู้ใหญ่ขึ้นรถมาคันเดียวกันจะได้ง่ายและสะดวกกว่าการที่ต้องขับตามกันไป บ้านนายอินและนางจันอยู่ลึกเข้ามาด้านใน ถึงจะมีบ้านคนสองข้างทางเป็นระยะๆ แต่มันก็ทิ้งช่วงห่างกันพอดู เวลากลางคืนก็คงจะเปลี่ยว น่ากลัวอยู่เหมือนกัน จากบ้านผู้ใหญ่ขับรถมาประมาณ 3 กิโลเราก็เจอจุดหมาย บ้านหลังเล็กเป็นไม้ชั้นเดียว สภาพบ้านดูเก่าและทรุดโทรมกว่าที่ควรจะเป็น บ้านหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวและห่างจากบ้านอื่นๆ พอสมควร สองข้างของบ้านเป็นทุ่งนา  ด้านขวาเยื้องตัวบ้านไปมีควายสองตัวถูกผูกอยู่ในคอก เรียกว่าคอกหรือเปล่านะ เอาไม้กั้นสี่ด้านและมีหลังคาเป็นเพิงพอกันแดดกันฝนได้

“นี่ละ ถึงแล้วบ้านไอ้อินกับอิจันมัน”  วิณณ์เดินเข้าไปใกล้ตัวบ้านพร้อมกับมองสำรวจบริเวณรอบๆ

“ผู้กองคิดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของสองคนนี้ไหม”

“ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็ต้องลองดูครับ”  ผู้ใหญ่เดินนำเข้าไป

“อิน…….ไอ้อิน……..นังจัน…….มีใครอยู่ไหม” 

“ลุงอิน ป้าจันครับ”  วิณณ์ก็ช่วยตะโกนเรียกไปด้วย  แต่ยังคงไร้วี่แววการเคลื่อนไหวจากคนในบ้าน

“อินโว้ยยย………..อยู่ไหม” 

ครั้งนี้มีเสียงกุกกักจากภายในทำให้รู้ว่ามีคนอยู่และกำลังเปิดประตูออกมา หญิงวัยกลางคนผิวคล้ำ หน้าตาอิดโรย ผมสีดำแซมด้วยสีขาวที่บ่งบอกถึงวัย เมื่อเปิดประตูมาเจอผู้ใหญ่ก็ทำหน้าตาประหลาดใจ และยิ่งเมื่อเจอกับวิณณ์ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีก

“ผู้ใหญ่มีธุระอะไร  แล้วนั่นใครละ”

“ข้านะไม่มี แต่ผู้กองโน่นเขามี  ผู้กองวิณณ์เขาเป็นตำรวจมาจากกรุงเทพ เขามีอะไรจะถามแกซักหน่อยนะ นังจัน”

“ถามฉัน?.........เรื่องอะไรละ”   ประโยคหลังป้าจันหันมาถามวิณณ์

“ป้าครับ ผมอยากให้ป้าดูรูปนี้หน่อยนะครับ คุณป้าจะจำได้หรือว่ารู้จักไหมครับ”     วิณณ์พูดพร้อมกับยื่นรูปของดาวที่เป็นรูปเก่าที่ได้มาจากโรงงานให้ป้าจันดู ป้าแกดูอึ้งแกมตกใจ แต่เหมือนยังไม่แน่ใจมากนัก ก็เพราะรูปนั้นนะมันเก่าแถมยังถูกน้ำเลอะเทอะไปหมดเหลือแค่เค้าโครงลางๆ วิณณ์ถึงได้ตั้งใจให้จ่ามิ่ง เสก็ตภาพน้องดาวขึ้นมาใหม่โดยทำให้ดูโตขึ้นเหมือนเด็กอายุ 12 ปี
แต่แม่ก็คือแม่วันยังค่ำ ต่อให้ลูกเปลี่ยนไปแค่ไหนมันก็ยังมีสายสัมพันธ์บางๆ เชื่อมอยู่

“ฮึก…......เหมือน เหมือนมาก เหมือนลูกฉันมาก  ผู้กองไปเจอมาเหรอคะ เจอที่ไหน บอกได้ไหม พาฉันไปได้ไหม  ฮืออออออ”

ว่าแล้วจากที่สะอื้นภายในเขื่อนน้ำตาก็แตกโดยไม่คาดคิดป้าแกทรุดตัวลงกับพื้น ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าใช่ลูกตัวเองไหม แต่ความหวังที่มีคนมาจุดประกายให้มันทำให้หัวใจดวงนั้นพองโตอย่างมีหวัง  แต่ถ้าป้าแกรู้ว่าการพบเจอครั้งนี้คือการจากลาตลอดไปจะเป็นยังไง บางทีการจากโดยไม่รู้อาจจะดีกว่าหรือเปล่านะ

“ฮือ……ฮือ  ดาว   ดาวลูกแม่…….เจอดาวแล้วเหรอ  ผู้กองเจอที่ไหน   บอกป้า……บอกป้าหน่อย…..เจอที่ไหน   ฮือ….ฮือ”

ผมที่ตอนนี้ยืนดูอยู่ยังน้ำตาไหลไปกับภาพตรงหน้า นี่ซินะคำว่า    ‘แม่’

“ใครนะ  แล้วนั่นแกเป็นอะไรยายจัน”  ผมหันไปทางเสียงชายคนนั้น ชายวัยกลางคนอายุน่าจะไร่เรี่ยกันกับป้าจัน นี่คงจะเป็นลุงอินสามีของแก

“อ้าวผู้ใหญ่มีอะไรหรือเปล่า มีเอาเย็นป่านนี้ แล้วนี่พาใครมาด้วยละ”  ชายคนนั้นเดินเข้ามาประคองเมียแกให้ลุกขึ้น และหันมาพูดกับผู้ใหญ่และวิณณ์

“พ่อ  ผู้กองเขามาจากกรุงเทพ เขาเจอดาว เขาเจอดาวแล้ว ฮึก......”
 
“จริงเหรอ”  ชายคนนั้นยังคงไม่เชื่อและมองวิณณ์เหมือนไม่ไว้ใจ

“นี่ไง  นี่  นี่  พ่อดูนี่  ดาว  ดาวลูกเรา”

“รูปแค่นี้ แกจะไปเชื่อได้ไง ชัดก็ไม่ชัด เป็นใครก็ไม่รู้ตำรวจจริงหรือเปล่า นี่ถ้าจะมาหลอกเอาเงินตามหาลูกให้นะ ข้าไม่มีหรอกนะ เอ็งรีบกลับไปเลย ผู้ใหญ่ก็อีกคน เชื่อใครไม่เข้าท่า”

“อ้าว ไอ้จัน นี่ผู้กองเขาเป็นตำรวจจริง ไม่เชื่อ ผู้กองเอาบัตรให้มันดู เขามาช่วยแล้วเอ็งจะเชื่ออีกเหรอ”

“ช่วยเหรอ ตอนที่ฉันไปแจ้งความตามหา ขอร้องอ้อนวอนให้พวกตำรวจช่วยนะ มันเคยสนใจไหม แค่ลงบันทึกประจำวันใบเดียว เขียนเสร็จแล้วก็แล้วกัน  ถามซักคำมันยังไม่เคยมาถาม  ฉันไปโรงพักทุกวัน มันก็ได้แต่บอกว่า กำลังสืบ เหอะ  อย่ามาหลอกกันเลย ตอนนี้พวกฉันสองคนก็อยู่กันได้ดีแล้ว นังจันมันเองก็ทำใจได้แล้ว..........

แล้ว  ทำไม………...ทำไม ถึงยังเอาเรื่องนี้กลับมาทำร้ายกันอีก”   


สุดท้ายน้ำตาของสามี ของพ่อคนหนึ่งก็กลั้นไว้ไม่อยู่ คงอดทนเข้มแข้งมานานเพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัวตอนอ่อนแอ นี่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าผมทำผิดหรือถูก ผมกลับมาทำให้พวกเขาสองคนต้องเผชิญกับความเจ็บปวดขมขื่นอีกครั้งทั้งที่ควรจะหายไปแล้วอย่างนั้นเหรอ

“คุณลุงครับ คุณลุงฟังผมนะครับ ผมเป็นตำรวจจริงๆ  ผมไม่ได้ตั้งใจมาหลอกหรือทำให้คุณลุงกับป้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจอะไรอีก ถึงแม้ลึกๆ ลุงกับป้าจะบอกว่าทำใจได้ แต่ก็ยังมีความหวังซักนิดว่าจะได้เจอลูกอีกครั้งถูกไหมครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าการเจอกันครั้งนี้มันจะยิ่งทำให้ลุงกับป้าเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมไหม แต่ถ้าได้เจอและได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วลูกของลุงกับป้าเป็นยังไงจะดีกว่าไหมครับ  ลุงกับป้า ดูดีนะครับ”   วิณณ์หยิบรูปอีกใบให้ทั้งสองคนดู รูปที่จ่ามิ่งเสก็ตไว้ให้ ดาว ดูโตเป็นเด็กอายุ 12

“ลุงกับป้า พอจะคุ้นอีกไหมครับ”

“พ่อ พ่อ  ดาวแน่ๆ ใช่ ดาวแน่ๆ พ่อเราเจอลูกเราแล้ว เจอแล้ว”  คุณลุงไม่ได้พูดอะไรแต่เงยหน้ามามองวิณณ์ด้วยดวงตาแดงกล่ำ

“ผู้กอง ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

“ครับ”

ว่าแล้วลุงแกก็เดินนำไปทางกระท่อมริมนา ไม่ไกลจากตัวบ้านนัก ผมเดินตามมาด้วยเพราะผมเองก็อยากรู้ว่าลุงแกมีเรื่องอะไรจะคุยกับวิณณ์

“ที่ผู้กองมานี่ ไม่ใช่แค่เจอดาวเฉยๆ ใช่ไหม”

“ครับ”

“หึ หึ หึ”  ลุงแกไม่ได้พูดอะไร แต่ทำเสียงในลำคอไม่ได้หัวเราะ แต่มันเหมือนเสียงที่พยายามสะกดกั้นความอ่อนไหวเอาไว้

“ลุงครับ เอ่อ….....”

“ดาว ตายแล้วใช่ไหม”

ผมเบิกตาโตลุงรู้ได้ไง ทั้งที่วิณณ์ไม่ได้บอกอะไร แค่ให้ดูรูปเท่านั้นเอง เป็นไปได้ยังไงกัน

“ครับ  ลุงมั่นใจแล้วใช่ไหมครับ ว่าเด็กในรูปนั่นคือคนเดียวกับลูกสาวลุง  และทำไม  ลุงถึงรู้ละครับ ว่าน้องตายแล้ว”

“ลุงอาจจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แต่ตลอดระยะเวลาลุงพยายามตามหาลูกสาวมาตลอด ตามหาโดยไม่ได้บอกเมียลุง เพราะกว่ามันจะฟื้นกลับเป็นคนปกติได้มันก็นานโข ถ้าจะให้มันมารู้ว่าลุงตามหาลูกอยู่มันคงได้หนักกว่านี้  การตามหาทำให้ลุงได้รู้ว่า สุดท้ายถ้าเราจะเจอ มันมีไม่กี่อย่างหรอก ขึ้นอยู่ที่ว่าจะเจอแบบไหน เจอเป็น หรือ เจอตาย

“แล้วลุงจะบอกป้าแกยังไงครับ”

ลุงได้แต่สายหน้า  “ที่ผู้กองมานี่ตั้งใจว่าจะทำยังไง”

“ผมอยากให้ลุงกับป้าไปกรุงเทพกับผม เพื่อดูให้แน่นอนว่าจะใช่ดาวจริงหรือไม่”

“ได้ ลุงจะไป”

“แล้วลุงจะบอกยังไงกับป้าครับ”

“ลุงคงยังไม่บอกอะไรตอนนี้ ลุงขอผู้กองอย่าเพิ่งบอกอะไรป้าเหมือนกันนะ”

“ครับ”



>>>  ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 6 : ใช่หรือไม่ (28/10/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 04-11-2017 20:40:21

ตอนนี้บนรถมีคน 3 คนกับ 1 วิญญาณ พวกเราออกจากบ้านของลุงอินกับป้าจันมาตอนเกือบทุ่มนึง วิณณ์แวะส่งผู้ใหญ่คงที่บ้านและขับรถพาลุงอินกับป้าจันกลับมากรุงเทพด้วยกัน แต่กว่าจะไปถึงคงดึกแล้ว วิณณ์บอกว่าจะพาทั้งสองคนพักที่คอนโดด้วยกันก่อนแล้วตอนเช้าถึงจะพาไปที่ สน. เพื่อไปดูว่าใช่น้องดาวไหม ถึงแม้จะเหลือแต่โครงกระดูกแต่ของบางส่วนที่หาพบในห้องนั้นก็น่าจะบอกอะไรได้บ้าง แต่ผมกลับมีความคิดแว่บขึ้นมา ดังนั้นตอนวิณณ์แวะปั้มเพื่อให้ลุงกับป้าเข้าห้องน้ำกัน ผมจึงพูดกับวิณณ์ว่า

“เราพาลุงกับป้าไปที่โรงงานกันก่อนเถอะวิณณ์”

“มันดึกแล้วนะตะวัน กว่าจะไปถึงมันมืด มันอันตรายนะ”

“แต่ตะวันคิดว่า น้องดาวน่าจะมีอะไรอยากบอกกับลุงกับป้าก่อนอะ เราสังหรณ์ยังไงไม่รู้ เราอยากให้พาลุงกับป้าไปที่นั่นก่อน นะนะนะ  วิณณ์นะ”

“อืม โอเค”

กว่าพวกเราจะเข้าเขตกรุงเทพ และยังต้องมาที่โรงงานอีก ด้วยการจราจรในกรุงเทพเวลาไหนรถก็ติดได้ทุกเมื่อ กว่าจะมาถึงโรงงานเวลาก็เกือบเที่ยงคืนพอดี

“ผู้กอง พามาที่นี่ทำไมเหรอ”

“ผมมีอะไรอยากให้ลุงกับป้า ดูนิดหน่อยนะครับ”  ผมเดินนำหน้าเข้าไปในโรงงานตามด้วยวิณณ์และลุงกับป้า ผมเองมาที่นี่สองครั้งก็เริ่มชิน ผมเดินนำตรงมายังห้องของดาว

“น้องดาว   น้องดาวคะ  พี่ตะวันกับผู้กองมาแล้วคะ”

(หนูนึกว่าพี่จะทิ้งหนูซะแล้ว)
“ไม่หรอก พี่สัญญาแล้วจะทิ้งดาวได้ยังไง”

(พี่เจอ พ่อกับแม่หนูหรือยังคะ)

ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ยิ้มให้ดาว รอแค่วิณณ์เดินเข้ามาในห้อง พร้อมลุงกับป้านั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด ผมยืนฟังจนแน่ใจว่าได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้ ผมเดินอ้อมไปด้านหลังของดาว และเอามือปิดตาดาวไว้   

(พี่ปิดตาดาวทำไมคะ)
“รอแปปนึงนะ”  ผมหันไปบอกดาว  และทันทีที่วิณณ์เดินเข้าประตูห้องมา ผมจึงเปิดตาดาวออก
(นั่นผู้กองนี่คะ แล้วใครมาด้วยข้างหลังเหรอคะ)

ผมทำมือโบกให้วิณณ์ขยับหลบไป

(ใครเหรอคะพี่ตะวัน……)  ดาวที่เงยหน้าหันมาถามก่อนหน้านี้  เมื่อหันกลับไปและวินาทีที่เห็นชายหญิงสองคนตรงหน้า

(พ่อ………. แม่………….พ่อจ๋าแม่จ๋า หนูคิดถึงเหลือเกิน หืออออออ)

ดาววิ่งเข้าไปพยายามจะกอด แต่ก็ทำไม่ได้ ภาพตรงหน้ามันชวนให้หดหู่ พยายามจะกอดเท่าไหร่ มือก็มีแต่จะทะลุร่างผ่านไป

(พี่ตะวันทำไม ทำไมหนูกอดพ่อกับแม่ไม่ได้ พี่ตะวันช่วยหนูที   หือออออ  ช่วยที)

ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมเองถ้าไม่มีสร้อยเส้นนี้ก็คงไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้

 
สร้อย….สร้อยเหรอ  เฮ้ยยยย  จริงดิ เอาวะ ไม่รู้จะได้ผลไหม ยังไงก็ต้องลองเสี่ยง


ผมเดินเข้าไปหาน้องดาวพร้อมกับถอดสร้อยที่ข้อมือใส่ให้กับน้องดาว และทันทีที่สร้อยไปอยู่ที่ข้อมือดาว


 
“ดาวววววว   พ่อ....ดาวอยู่นี่  ลูกมาอยู่นี่ได้ไงลูก แม่คิดถึงลูกมาก คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงมากที่สุด ฮืออออ”  ผู้เป็นแม่วิ่งเข้ามาสวมกอดเด็กหญิงตรงหน้า พลางลูบหน้าลูบตาด้วยคิดถึงอย่างสุดหัวใจ  โดยที่ผู้เป็นพ่อได้แต่ยืนตะลึง มองหน้าวิณณ์อย่างไม่เชื่อสายตา ซึ่งวิณณ์เองก็ทำหน้าไม่ต่างกัน

(แม่จ๋า  แม่อย่าร้องไห้นะ หนูดีใจมากเลยที่ได้กอดแม่อีกครั้ง แต่หนูคงกลับไปกับแม่ไม่ได้)

“ทำไมลูก ทำไมจะกลับไม่ได้ นี่แม่มากับพี่ผู้กองมาด้วย พี่เขาเป็นตำรวจ เขาช่วยลูกได้แน่นอน ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีใครทำอะไรหนูได้แล้ว”

(พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูรักพ่อกับแม่นะ ฮึก….ฮึก  หนูขอโทษที่ไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ได้ ถ้าหนูเชื่อพ่อกับแม่ไม่เดินเล่นไปไกลวันนั้น หนูก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้)

ลุงอินได้แต่ยืนมองน้ำตาไหล ปากก็พูดพร่ำแค่ว่า   “ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไรลูก”

“ลูกพูดอะไร แม่ไม่เข้าใจ นี่พ่อกับแม่มารับแล้ว เราจะได้กลับบ้านเรากันแล้วนะ”

(แม่จ๋า  หนูคงกลับไปกับแม่ได้แล้วละจ้ะ มันหมดเวลาของหนูแล้ว หนูดีใจเหลือเกิน สิ่งสุดท้ายก่อนที่หนูจะได้ไป หนูยังได้เจอพ่อกับแม่)

“อะไรพูดอะไรกัน พ่อ ลูกพูดอะไร ทำไมลูกจะกลับกับเราไม่ได้ ทำไม ฮืออออ ทำไม”

น้องดาวถอยห่างจากพ่อและแม่ของตัวเอง ตัวป้าจันเองก็พยายามที่ลุงขึ้นมาดึงลูกตัวกลับมากอดอีกครั้ง ลุงอินจึงต้องเข้าไปรั้งและประคองป้าจันไว้

(พ่อจ๋า แม่จ๋า อะไรที่หนูเคยทำไม่ดีกับพ่อแม่ไว้ หนูขอให้พ่อกับแม่ยกโทษให้หนูด้วยนะจ้ะ ถ้าชาติหน้าลูกยังมีบุญได้เกิด ก็ขอให้ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่อีกนะจ้ะ)

“อะไร ทำไม ดาวพูดแบบนั้น ดาวจะไปไหน ฮืออออออ ใจแม่จะขาดอยู่แล้ว   ดาวเป็นอะไร  ฮืออออ ดาวเป็นอะไร ฮือออออ"

น้องดาวก้มลงกราบพ่อกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถอดสร้อยข้อมือคืนให้ผมและเดินจากไป


“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่  ดาวไปไหนลูก ฮืออออออ  หายไปไหน ไม่  ฮืออออออ”


ค่ำคืนนี้จบลงที่พวกเราสามารถทำให้น้องดาวเจอกับพ่อและแม่สำเร็จ วิญญาณของน้องก็หลุดพ้นและไปต่อ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งอันนี้ผมไม่สามารถรู้ได้  ส่วนลุงอินกับป้าจัน หลังจากที่พากลับมาวิณณ์ก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าคนที่สัมผัส พูดคุยกับวิญญาณ คือผมนายตะวัน ลุงกับป้าบอกมันเหลือเชื่อที่จะเชื่อ แต่เมื่อเห็นกับตาก็ไม่มีอะไรให้สงสัย ดังนั้นให้ลุงกับป้าแกเชื่อว่า วิณณ์มีสัมผัสพิเศษสื่อสารได้เป็นการดีกว่า เพราะถ้าต้องมาสาธยายเรื่องวิญญาณช่วยวิญญาณมันคงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ เรื่องนี้ขอเก็บเป็นความลับระหว่างผมกับวิณณ์ดีกว่า


ตอนเช้าพวกเราพาลุงกับป้าไปที่ สน เพื่อยืนยันตัวตนและแจ้งเรื่องรับศพกลับบ้าน พวกเรามาส่งลุงกับป้าขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน วิณณ์อาสาขอไปส่ง พวกแกก็ไม่ยอม บอกแค่ว่าที่วิณณ์ทำให้นี้ก็ดีกับแกเหลือเกินแล้ว ส่วนเรื่องศพน้องดาวทางนิติเวชจะทำเรื่องส่งศพไปอีกไม่เกินสองวัน ส่วนเด็กคนอื่นๆ ทางจ่าเติมทยอยติดต่อครอบครัวให้มาดูตัว มีบางคนที่เจอและได้กลับบ้านแล้ว และก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่พบครอบครัว ตอนนี้จึงต้องส่งไปรักษาเยียวยาจิตใจที่บ้านพักพิงก่อนจนกว่าจะหาครอบครัวพบหรือมีใครมาติดต่อ

“นี่ตะวัน มันเหลือเชื่อมากเลยนะ ตอนที่เราเห็นน้องดาวตอนแรก”

“ตะวันเองก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลหรอกนะ แค่ลองเสี่ยงดู ท่านกาลเวลาบอกว่า สร้อยเส้นนี้จะทำให้ต่างจากวิญญาณเร่ร่อน การที่ตะวันไปไหนมาไหนกับวิณณ์ได้ทุกที่นี่ก็เพราะสร้อย  และท่านเจ้าที่ยังเคยบอกอีกว่าพลังของสร้อยเส้นนี้จะสามารถช่วยได้ในยามคับขัน ถึงแม้เรื่องน้องดาวมันจะดูไม่คับขันเท่าไหร่อะนะ แต่พอตะวันเห็นน้องที่พยายามจะกอดแม่ตัวเองแล้ว มันดูเศร้า ดูทรมานใจมากเลย ตะวันเลยลองเสี่ยง”

“เสี่ยงยังไง”

“ก็ตอนนั้นความต้องการของน้องดาวคืออยากจะกอดแม่ มันคือความต้องการที่แรงกล้าของน้องดาวใช่ไหม แล้วถ้าน้องดาวใส่สร้อยเส้นนี้ไว้ละ”

“ตะวันกำลังจะบอกว่า สร้อยนี้สามารถทำตามความปรารถนา ความต้องการ ณ ตอนนั้นได้งั้นเหรอ”

“ก็เดาเอาอะนะ”

พวกเราคุยกันมาเรื่อย จนวิณณ์ก็ขับรถมาถึง สน.
 
“วิณณ์ขึ้นไปก่อนนะ เดี๋ยวตะวันมา”

“จะไปไหนตะวัน”

“อยากไปเล่าให้ท่านเจ้าที่ฟัง เดี๋ยวตามไปน้า”

“อย่าไปก่อเรื่องอะไรละ”


แบร่ๆๆๆๆๆๆๆๆ  ใครจะไปก่อเรื่องละ แค่อยากมาเล่าให้ท่านเจ้าที่ฟังซักหน่อย ว่าตะวันสำเร็จไป 1 ภารกิจแล้วนะ




(นายตะวัน)




ภารกิจแรกแรกสำเร็จผ่านไป
ต่อไปตะวันและวิณณ์จะเจอคดีแบบไหนอีกนะ
แล้วความสัมพันธ์ืทั้งคู่จะพัฒนาเพิ่มขึ้นไหม

ฝากตะวันและวิณณ์ไว้ในอ้อมใจน้อยๆ ด้วยนะคร้าาา
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 7 : จบภารกิจแรก ~ สมหวัง (04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 05-11-2017 00:13:49
สงสัยนิดหน่อยค่ะ ตะวันกับผู้กอง อายุห่างกันรึเปล่า ? พอดีมันดูขัดๆเวลาคนอายุต่างกันแล้วเรียกชื่อเฉยๆ 5555  แต่โดยรวมสนุกมากๆเลยค่ะ ชอบมากๆ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 7 : จบภารกิจแรก ~ สมหวัง (04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-11-2017 00:44:34
คดีที่ 1 ปริศนาแขกระจ่างไปแล้ว ยินดีด้วย  :m4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 7 : จบภารกิจแรก ~ สมหวัง (04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-11-2017 01:11:08
 :katai2-1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 7 : จบภารกิจแรก ~ สมหวัง (04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-11-2017 07:07:19
ภารกิจต่อไปจะได้ทำอะไรหนอ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 7 : จบภารกิจแรก ~ สมหวัง (04/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-11-2017 11:07:23
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 8 : เปิดปม 1 (11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 11-11-2017 20:13:06
ตอนที่ 8 เปิดปม 1

[วิณณ์]

ผมอยู่ในห้องของตัวเองพลิกแฟ้มเอกสารเปิดไปเปิดมา เพื่อทำสรุปคดีการบุกจับกุมโรงงานค้าแรงงานเด็ก ก็คดีของน้องดาวและเพื่อนนะละครับ  ถึงแม้จะยังไม่เคลียร์สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เด็กบางคนยังไม่สามารถติดต่อครอบครัวหรือญาติได้ แต่สวัสดิภาพตอนนี้ของพวกเขาก็น่าจะดีกว่าอยู่ในนั้น


คิดไปคิดมาตั้งแต่เกิดมา 27 ปี นี่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่สุดในชีวิตผม  ทั้งพูดคุย สัมผัส หรือแม้แต่กระทั่งอยู่ร่วมกับวิญญาณ แถมยังได้เจอผีตัวเป็นๆ กับเขาอีก  (เอ่อ.....แต่สำหรับ ตะวัน รายนั้นถือเป็นข้อยกเว้น เพราะมองยังไงก็ไม่มีอะไรให้เชื่อเลยว่าเป็นวิญญาณ  ให้ตายซิ)  เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่น่าเหลือเชื่อสุดๆ  ผมเคยได้แต่คิดว่าคนเราตายไปก็ต้องไปยังที่ใดที่หนึ่ง ทำดีก็ไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก หรืออาจจะไม่ได้ไปไหนเลยก็ได้  ยังวนเวียนอยู่ที่เดิมหรือรอบตัวเรา หรือแม้แต่กระทั่งวิญญาณอาจไม่มีอยู่จริงเพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์   แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่  วิญญาณก็เหมือนคนปกติทั่วไปมีเรื่องที่อยากจะทำ อยากจะแก้ไขในสิ่งที่ผ่านมา อย่างน้องดาวที่เฝ้ารอเพื่อได้เจอกับครอบครัวอีกซักครั้ง   ถ้าวิญญาณที่ตายโดยที่ยังมีเรื่องค้างคาใจ  พวกเขาก็คงยังไม่อยากไปไหนจนกว่าจะได้จัดการจนเสร็จสิ้นซินะ 


ส่วนผมกับตะวัน ครั้งแรกที่เจอพวกเราก็เปรียบเสมือนคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาเจอกัน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกต่างออกไปมันไม่ได้แย่หรือเลวร้ายที่มีตะวันเข้ามาในชีวิต ตรงกันข้ามมันเหมือนกับว่าตั้งแต่มีตะวันเข้ามาในชีวิตผมอยากจะเห็นแต่รอยยิ้มของตะวัน อยากทำให้รอยยิ้มนั้นคงอยู่ตลอดไป เวลาที่ผมเห็นตะวันเศร้าผมไม่ชอบเอาซะเลยมันเหมือนเขาแบกโลกไว้ทั้งโลก ทั้งที่เวลายิ้มมันดูสดใสกว่าตั้งเยอะ


แม่ผมเคยบอกว่าคนเราจะมาเจอกันได้ต้องเคยทำอะไรร่วมกันมาก่อน งั้นการที่ผมกับตะวันได้มาเจอกันมันควรจะเรียกว่าอะไรดีละ  พรหมลิขิตหรือกรรมชักพา  มันก็คงจะอย่างใดอย่างหนึ่งละนะ  แต่ก็ภาวนาว่าขอให้เป็นสิ่งดีๆ ที่นำพาให้เราได้มาเจอกันแล้วกันนะ





ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก

“ขออนุญาติครับ” 

“เชิญครับ”

“ผมเอาสำนวนคำรับสภารภาพของเจ้าของโรงงานกับพวกอีก 4 คนมาให้ครับ”

“ขอบคุณนะจ่า”  จ่าเติมเอาเอกสารมาวางไว้ที่โต๊ะและนั่งลงเก้าอี้ตัวตรงข้าม แต่ผมยังเห็นในมือจ่าเติมมีแฟ้มอีกหนึ่งแฟ้ม

“นั่น แฟ้มอะไรเหรอจ่า คดีใหม่เหรอ”

“อันนี้เหรอครับ ก็คดีรถชนนักศึกษาชาย ที่ตอนนี้ยังไม่ได้สตินะแหละครับ”

“อ่อ.......ยังหาตัวคนชนไม่ได้อีกเหรอ”

“ครับ  ด้วยความมืดไม่มีใครเห็นหรือจดจำรายละเอียดของรถได้ แต่พยานที่เห็นส่วนใหญ่พูดตรงกัน คือ น้องผู้ชาย เดินลงมาให้รถชน เหมือนตั้งใจฆ่าตัวตาย”  ผมนั่งฟังจ่าเติมพูด ทำให้คิดไปถึงคำพูดของตะวัน.......


ใช่........ตะวันตั้งใจฆ่าตัวตาย อย่างที่ทุกคนเข้าใจ  เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของความรักที่ไม่สมหวัง


“นี่คนเป็นแม่ก็ยังเสียใจไม่หาย แต่โชคดีที่มีญาติมาดูแล ไม่งั้นเป็นไรไปอีกคนแย่แน่ๆ  วันก่อนผมได้ยินพยาบาลคุยกันว่าเปอร์เซ็นต์ในการฟื้นน้อยมาก หมอเองก็เริ่มบอกให้ญาติทำใจ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ต้องอยู่ที่ญาติว่าจะพยุงอาการรักษาต่อไปหรือว่าจะถอดเครื่องช่วยหายใจออก ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจออก คนไข้จะค่อยๆ จากไปไม่ทรมาน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องได้รับความยินยอมจากครอบครัวเสียก่อน และดูท่าคนเป็นแม่กำลังคิดหนัก ไม่อยากให้ลูกทรมานแต่ก็ยังทำใจไม่ได้”

หะ!!!.........ถอดเครื่องช่วยหายใจเหรอ

ถ้าถอดออก ก็เท่ากับว่าตะวันก็จะตายจริงๆ นะซิ แล้วภาระกิจที่ทำอยู่ละ ถ้าแม่ของตะวันตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจออก ร่างของตะวันก็จะต้องนำไปทำพิธีทางศาสนา ถึงตอนนั้นแม้จะทำภารกิจสำเร็จ พร 1 ข้อก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์   ต้องรีบบอกตะวัน ต้องหาทางทำอะไรซักอย่างแล้ว

ว่าแต่เจ้าตัวต้นเรื่องไปไหนละเนี่ย บอกไปแปปเดียว นี่หายไปนานแล้วนะ



“ผู้กอง……………ผู้กองครับ”

“ครับ     ว่าไงนะจ่า”

“ผมถามว่า เย็นนี้ผู้กอง ว่างไหม เมียบังเกิดเกล้า กับลูกหัวแก้วหัวแหวนอยากชวนผู้กองไปกินข้าวที่บ้านนะครับ ไอ้จ่อยมันบ่นคิดถึงผู้กองจะแย่แล้ว  มันบอกผู้กองสัญญาว่าจะสอนมันเล่นกีต้าร์ แต่ผู้กองไม่ยอมไปหามันซักที”

“เออจริงซิ ผมเคยบอกว่าจะสอนให้ ไม่คิดว่ายังจำได้อยู่นะ”

“โอ้ยย  เรื่องอะไรที่มันอยากทำนะ มันจำได้หมดละครับ”

“ฮ่าๆๆ  เดี๋ยวผมขอเคลียร์งานก่อนนะจ่า  ยังไงจะบอกอีกที”

“ได้ครับผม”  จ่าเติมบอกพร้อมทำท่าตะเบะใส่ อันที่จริงผมเคยบอกจ่าไปแล้วว่าอยู่กันเองไม่ต้องเคร่งเครียดมากนักหรอก แต่แกก็ไม่ยอมฟังซักที
   
อ้าว  จ่าเติมดันลืมแฟ้มคดีไว้    แฟ้มของตะวัน………ว่าแต่เรื่องของตะวัน?
ผมควรจะบอกตะวันไหม  แต่ถ้าบอกตะวันไปแล้ว  ตะวันจะทำยังไงต่อละ?
ตะวันจะติดต่อหรือสื่อสารกับแม่ได้ไหม?
ถ้าแม่ของตะวันเห็นตะวันก็ดีซิ  แต่บางทีก็มีคนเห็นตะวันนี่หน่า……...แต่ว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงใครจะเห็นหรือไม่เห็น?
เอายังไงดีละ  ทำยังไงดี………อื้มมมม………จะทำยังไงให้ตะวันติดต่อกับแม่ได้?
ถ้าเกิดตะวันติดต่อไม่ได้  ก็ต้องให้คนช่วย 


เอออออออ……ใช่ ก็ผมไง  ผมเองไง


“โอ้ยยยย ไอ้วิณณ์เอ้ย คิดอะไรเยอะแยะวะเนี่ย  ดันมาหัวช้าเอาตอนนี้”


ว่าแต่เจ้าตัว หายไปไหนนะ???









[ตะวัน]


(นายตะวัน)
“ครับ”  ผมขานรับกลับไป พร้อมกับแสงสีขาวที่สว่างวาบเข้ามา และ…………

ลานพบพาน?  นี่ผมกลับมาที่นี่ทำไมกัน มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ผมยังทำภารกิจไม่เสร็จเลยนะ เหลืออีกตั้ง 9 ภารกิจแหนะ หรือว่าครบ 100 วันแล้วเหรอ  ไม่ซิ ไม่น่าจะใช่ ก็มันเพิ่งจะผ่านมาแค่ 1  2  3…….เอ๊ะ กี่วันกันแน่ละ ทำไม? ทำไมผมจำไม่ได้เลย

“โอ๊ยย  อะไรกันวะเนี่ย” ผมดึงทึ้งหัวตัวเอง ทำไมมันดูเลื่อนลอยจำวันจำคืนไม่ได้ เหมือนเวลามันล่องลอยวนรอบๆ ตัว แต่ก็จำไม่ได้


(ตะวัน)
“…………..”


(เจ้ารู้ไหม ทำไมเจ้าถึงต้องกลับมาที่นี่)
“ไม่รู้ครับ ครบกำหนด 100วันแล้วเหรอครับ แต่ผมเพิ่งผ่านภารกิจไปแค่ 1 อย่างเองนะครับ แล้วอย่างนี้พรของผมละครับ ผมไม่สามารถขอพรได้แล้วเหรอครับ”   ผมร้องถามออกไป น้ำตาก็พาลจะไหล หนทางกลับมามีชีวิตมันดูมืดมนอีกครั้ง


(ใจเย็น  เจ้าจะโวยวาย ตีโพยตีพายไปทำไม ทั้งที่ไม่รู้ว่ากลับมาที่นี่ทำไม)
“ก็……….”


(ที่เราเรียกเจ้ากลับมา  มันอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน)
“3 เรื่อง?”


(ใช่)
“เรื่องอะไรเหรอครับ”


(เรื่องแรก เราขอชื่นชมเจ้าที่สามารถทำภารกิจผ่านไปได้ อย่างสวยงามทีเดียว)
“ขอบคุณครับ ^____^”


(เรื่องที่สอง)  ท่านกาลเวลาพูดพร้อมกับชี้มาที่ข้อมือผม   ข้อมือเหรอ
“สร้อย    เหรอครับ”


(ใช่  เจ้าคิดว่า  สร้อยทำอะไรได้บ้าง)
“เอ่อ……...ก็   ผมคิดว่า สร้อยสามารถทำให้ผมมีตัวตนไปไหนมาไหนได้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน และเท่าที่ผ่านมาผมก็สามารถผ่านเข้าออกได้ในทุกสถานที่ และยังมีอำนาจในการช่วยเหลือบางอย่าง ซึ่งผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ”


(ตามที่เจ้าเข้าใจนั้นก็ไม่ผิด  สร้อยแห่งสิทธิ์เส้นนี้มีกฎในการใช้และข้อห้ามอยู่ เราจะมาเตือนเจ้า)
“เตือนหรือครับ”


(ใช่  เราคิดว่า เจ้าก็น่าจะพอรู้ว่าสร้อยเส้นนี้ทำอะไรได้บ้าง  หึหึ   สิ่งที่เจ้าเห็นนะเพียงเล็กน้อย มันยังมีอีกนานัปการจนเจ้าคิดไม่ถึงเลยละ เราถึงอยากจะมาเตือนเจ้า อำนาจแห่งสร้อยจงใช้อย่างเจตนาดีและอย่าพร่ำเพื่อ)
“ผม……ผมไม่เคยคิดจะใช้สร้อยทำสิ่งไม่ดีเลยนะครับ”


(เรายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าเลย เจ้านี้ชอบคิดไปก่อนอยู่เรื่อยเลยนะ)
“ขอโทษครับ”  หน้าจ๋อยไปเลยผม ไอ้เรื่องตีตนไปก่อนไข้โวยวายได้โล่ห์นิสัยนี้ของผมแก้ไม่หายซักที
“เอ่อ    ว่าแต่สร้อยนี่ทำไมเหรอครับ”


(หึหึ  ถึงแม้อำนาจแห่งสร้อยจะสามารถคุ้มครองเจ้าและพาผ่านไปได้ทุกที่ แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของสถานที่นั้นที่จะยินยอมด้วยหรือไม่ เขาเรียกว่าการคานอำนาจ)
“อ๋อออ  เหมือนที่ท่านเจ้าที่ที่วัดเคยบอกผมไว้ใช่ไหมครับ แต่ละสถานที่มีผู้ดูแลอยู่ถึงแม้สร้อยจะสามารถพาผมผ่านไปได้ แต่ก็ต้องได้รับความยินยอมด้วย”


(ถูกต้อง มันคือการคานอำนาจ และคงไว้ซึ่งอำนาจของผู้ดูแล)
“ครับ”


(และเรื่องที่เจ้าใช้สร้อยในการช่วยเหลือเด็กดาวคนนั้นละ เจ้าคิดว่ายังไง)
“ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับ ตอนนั้นผมแค่คิดว่าอยากจะช่วยน้องให้ได้เจอหน้าพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย ท่านเจ้าที่ที่โรงพักเคยบอกผมว่า สร้อยจะสามารถช่วยผมได้ในยามคับขัน ตอนนั้นน้องดาวมีความปรารถนาอย่างแรงที่จะเจอพ่อกับแม่ครั้งสุดท้าย ผมเลยคิดว่าความปรารถนานั้นจะช่วยให้สร้อยมอบพลังให้ เลยลองเสี่ยงดูครับ”


(ที่เจ้าคิดนั้นก็ถูก แต่การกระทำมันไม่ถูก)
“ทำไมละครับ”


(เจ้าต้องช่วยดวงวิญญาณนั้นก็จริง แต่ควรช่วยให้อยู่ในขอบเขตของเจ้าเท่านั้น การที่เจ้านำสร้อยให้ดวงวิญญาณน้อยนั้นใส่ ถ้าพลังงานวิญญาณต่อต้านกับสร้อยมันอาจจะถึงขั้นทำให้ดวงวิญญาณแตกสลายได้ และถ้าเป็นดวงวิญญาณที่เจตนาดีมันก็ดีไป แต่ถ้าเจอกับดวงวิญญาณที่เจตนาไม่ดี เจ้าคิดว่าเจ้าจะรับผิดชอบผลที่ตามมาได้งั้นรึ)
“ผมขอโทษครับ ผมไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นผมแค่อยากจะช่วยน้องเขาเท่านั้นเอง”


(แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้าไปยุ่ง เจ้าทำแบบนี้เท่ากับว่าเจ้าเข้าไปยุ่งกับกรรมของเขา ต่อแต่นี้ไปเจ้าต้องมีสติและพิจารณาให้รอบคอบมากกว่านี้)
“ครับ”


(งั้นตอนนี้ เจ้าลองสังเกตสร้อย แล้วบอกเราซิว่าเจ้าคิดว่ายังไง)
สร้อย? ตอนนี้เหรอ ดูๆ ไปมันก็ปกติดีนี่นา ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกเลย แต่ถ้าจะแปลกก็คงจะเป็น……สี!!! ใช่ สีแปลกไป  จากสร้อยสีดำเข้ม ตอนนี้รู้สึกเหมือนสีจางลง แม้ไม่เห็นจนสังเกตได้แต่ที่ผมต้องใส่และมองทุกวัน มันก็ทำให้รู้สึกได้ว่าสีเปลี่ยนไป

“ท่านกาลเวลาครับ ทำไม สีมันถึงดู…..”


(จางลงใช่ไหม?)
“ใช่ครับ”


(ทุกครั้งเมื่อเจ้าสามารถทำภารกิจสำเร็จ สีของสร้อยจะเริ่มจางลง จากสีดำ จะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา และสุดท้ายสร้อยขะเปลี่ยนเป็นสีขาว เมื่อเจ้าทำภารกิจครบ 10ข้อ และถ้าเจ้าจะสังเกตให้ดี ลองมองที่พลอยตรงกลางดูซิ)


พลอยรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์นี่นะเหรอ จะว่าไปตอนแรกพระจันทร์ยังคงเป็นแค่เสี้ยวพระจันทร์เท่านั้นนี่น่า แต่ว่าครั้งนี้กลับดูรูปพระจันทร์เปลี่ยนไป


(พอจะรู้ไหม)
“พระจันทร์   พระจันทร์เหรอครับ”


(หึหึ  เจ้านี้ฉลาด และก็ช่างสังเกตเหมือนกันนะ  ใช่  พลังของสร้อยมีไม่จำกัดก็จริง แต่เจ้าจะสามารถใช้ได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น และเจ้าก็ใช้ไปแล้ว 1 ครั้ง ทุกครั้งที่เจ้าใช้พลังของสร้อยไป รูปพระจันทร์จะค่อยๆ เต็มดวงจนแทนที่ดวงอาทิตย์ และตอนนี้เจ้าเหลือเพียงอีก 2 ครั้งเท่านั้น จงระมัดระวัง และเก็บไว้ใช้ในตอนจำเป็นจริงๆ เท่านั้น)


ว้า  นี่ผมไม่รู้เลย เหลืออีกเพียงสองครั้งที่ผมจะใช้ได้ แต่ถ้าถามว่าเสียใจไหมที่ใช้พลังช่วยน้องดาวไป ตอบเลยว่าไม่  ผมได้ใช้พลังช่วยคนอื่นมันควรจะน่ายินดีด้วยซ้ำซิ แต่ต่อไปนี้ผมต้องระวังในการใช้ให้มากที่สุด

“ทำไมพลังถึงถูกจำกัดละครับ”


(เพื่อป้องกันความละโมบของมนุษย์ แม้จะเป็นวิญญาณ ความละโมบเหล่านั้นก็ยังคงอยู่)
“ครับ  แล้วเรื่องที่สามละครับ”


(เรื่องที่ 3  เอาไว้ถึงเวลาเราจะบอกเจ้าเอง  แต่ตอนนี้เจ้าต้องรีบกลับไปแล้วละ  เจ้าตำรวจหนุ่มนั่นกำลังตามหาเจ้าอยู่  ไปได้แล้ว)


“เดี๋ยว…………ดะ เดี๋ยว ซิครับท่านกาลเวลา เรื่องที่ 3 ทำยังบอกไม่ได้ละครับ ท่าน   ท่านกาลเวลา ท่าน…..”   


สิ้นเสียงของท่านกาลเวลา เพียงแค่โบกมือหนึ่งครั้ง ผมก็เหมือนถูกพัดให้ลอยไป แต่กลับไม่ใช่ที่เดิม นี่มัน  ห้องทำงานของวิณณ์นี่







พรึ่บบบบบบบบบบบ

“เฮ้ยยยยยย   ตะวัน ตกใจเลย   เรียกตั้งนาน นี่อะไรอยู่ดีๆ นึกจะโผล่ก็โผล่มา”

“ขอโทดดดดดด    แล้วเรียกตะวัน?  มีอะไรเหรอ” 

“ตะวัน……ไป…………..โรงพยาบาลกันไหม?”


หะ!!!   โรงพยาบาล  ไปโรงพยาบาลเหรอ


“ปะ……….ไป   ไปทำไมเหรอ”   อยากไปไหมก็อยาก แต่ก็กลัว

“ใช่  ไปไหม  ไปดูว่าร่างกายตะวันตอนนี้เป็นยังไง แล้วเผื่อว่าตะวันจะได้เจอแม่ด้วย ไม่อยากเจอเหรอ”

“มัน     มันก็  อยากอะนะ แต่ว่า”

“แต่อะไร   เป็นอะไรไหนบอกวิณณ์ซิ”   แล้ววิณณ์ก็เดินมาใกล้เอามือวางและลูบหัวผม  เป็นการกระทำที่ชวนตกตะลึง แต่ก็อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก   

กลัวเหรอ?   ใช่ผมกลัว  กลัวว่าเจอสภาพตัวเองแล้วจะรับไม่ได้ 
กลัวที่จะเจอและเห็นแม่ที่ต้องเจ็บปวดเพราะการทำของผม
ผมเกลียดการกระทำของตัวเอง  และกลัวว่าผมจะพาลเกลียดตัวเองไปซะ
กลัวไปหมดเลย

“วิณณ์ไม่รู้หรอกนะว่าตะวันคิดอะไรอยู่ แต่วิณณ์อยากบอกว่า ตะวันมีอะไรบอกกับวิณณ์ได้เสมอนะ ร่วมหัวจมท้ายช่วยกันมาขนาดนี้แล้ว ยังไงวิณณ์ก็จะช่วยตะวันให้ถึงที่สุด  วิณณ์จะอยู่ข้างๆ ตะวันนะ”

ผมเงยหน้ามองวิณณ์ แม้คำพูดมันดูแสนจะธรรมดา ไม่เลิศ หรือสวยหรูอะไรมาก  แต่เมื่อฟังแล้วกลับชุ่มชื่นหัวใจอย่างที่สุด  ผมมองวิณณ์ที่ตอนนี้ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าผมและมองลงมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน มือที่ลูบหัวผมอยู่ มันอบอุ่นจัง รู้สึกดี  ไม่รู้ซิ นะ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกแค่ว่า   



ต่อให้ต้องเจอกับอะไร ผมก็จะผ่านมันไปได้เสมอ ขอแค่มีวิณณ์อยู่ข้างๆ

















[ณ ห้องกรณี ดินแดนสำเร็จโทษแห่งความตาย]

“ท่านพระยามัจจุราชขอรับ กระผมไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงได้เมตตาเจ้าหนุ่มคนนั้นนัก”  ชายผู้ที่ถูกถามหันกลับมายังคนตรงหน้าที่ตั้งคำถามนั้น  ท่านกาลเวลา  ท่านพระยามัจจุราช  แท้ที่จริงแล้วก็คือคนคนเดียวกัน

“ทำไมนะเหรอ ทำไมข้าถึงได้เมตตาเจ้าหนุ่มคนนั้นนัก ข้าเองก็ไม่แน่ใจตัวเอง เพียงแต่ข้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นอาจจะเป็นคนแรกที่ทำได้ก็ได้ ตลอดระยะเวลาหลายพันปี ไม่มีดวงวิญญาณใดเลยที่จะทำได้สำเร็จ ทุกอย่างเพียงเพราะแพ้ความละโมบในตัวเอง”



ใช่  ความจริงสร้อยแห่งสิทธิ์นั้นสามารถทำให้ผู้ที่ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง บันดาลทุกอย่างได้ เมื่อดวงวิญญาณต่างรับรู้ถึงพลังนั้นก็คิดที่จะหวังผลทางลัด ทำให้ไม่มีดวงวิญญาณซักดวงที่สามารถสำเร็จภารกิจได้ แต่พระยามัจจุราชกลับคิดว่า ตะวันจะสามารถทำได้  เพียงรู้สึกอย่างนั้น

“ท่านพระยามัจจุราชคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะสามารถผ่านบททดสอบไปได้อย่างนั้นหรือขอรับ”  ท่านพระยามัจจุราชพยักหน้า

“ข้าคิดเช่นนั้น”

“จริงๆ แล้วเจ้าหนุ่มคนนั้นยังไม่ถึงอายุขัยของตัวเอง แต่ด้วยการก่ออัตวิบากกรรมนี้ ทำให้ดวงวิญญาณไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ ท่านพระยามัจจุราชสามารถช่วยให้วิญญาณกลับเข้าร่างได้อย่างง่ายดาย ทำไมท่านต้องลำบากให้เจ้าหนุ่มนั้นรับบททดสอบด้วยละขอรับ”

“สุวรรณ สุวาน เจ้าสองคนนี่ช่างซักช่างถามตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ขอโทษขอรับ”

“เอาเถอะ เจ้าสองคนเองก็รู้ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำภารกิจสำเร็จ จนสวรรค์เองก็คิดว่าคงไม่สามารถหาความดีในดวงวิญญาณมนุษย์เหล่านี้ได้ ข้าเพียงอยากจะพิสูจน์ว่าความดีในมนุษย์นั้นยังคงมีแม้จะเหลือแค่วิญญาณแล้วก็ตาม ก่อนที่ ผู้ถูกเลือก จะไม่มีอีกต่อไป”

“หมายความว่ายังไงหรือขอรับจะไม่มี    ผู้ถูกเลือก  แล้วหรือขอรับ”

“ข้าเดิมพันไว้กับสวรรค์ ถ้า ผู้ถูกเลือก ในครั้งนี้ยังไม่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จ ต่อจากนี้ ผู้ถูกเลือก จะไม่มี และพร 1 ข้อ ใน 100 ปี ก็จะไม่มีเช่นกัน ดวงวิญญาณทุกดวงจะได้รับโทษตัดสินตามความผิดของตัวเอง และจะมีเพียงสวรรค์กับนรกเท่านั้นที่จะได้ไป”

“จริงหรือขอรับ”

“ใช่”

“ท่านพระยามัจจุราชขอรับ สุวรรณมีเรื่องสงสัยอีกเรื่องขอรับ ที่ผ่านมาท่านจะให้ดวงวิญญาณทำภารกิจด้วยตนเอง  แต่ครั้งนี้ทำไมต้องเป็นพ่อหนุ่มตำรวจคนนั้นที่มาช่วยด้วยขอรับ”

“มันคือบุพเพ  ชาตินี้เขาทั้งสองคนต้องมาเจอกันและสุดท้ายก็ต้องจากกัน ไม่จากเป็นก็จากตาย ซึ่งข้าเองก็ยังไม่เข้าใจเพราะเจ้าตะวันทำอัตวิบากกรรมตัวเองซะก่อนทำให้ดวงชะตาทั้งคู่พลิกผัน จากที่ต้องเจอตอนยังมีชีวิต กลับได้มาเจอตอนเป็นวิญญาณแทนซะได้  และเพราะบุพเพเจ้าตำรวจหนุ่มนั่นจึงเป็นเพียงคนเดียวที่รับรู้และสัมผัสกับวิญญาณของตะวันได้ คนอื่นๆ อาจจะรับรู้ถึงพลังวิญญาณ แต่จะมีเจ้าหนุ่มนั่นคนเดียวที่สัมผัสจับต้องได้”

“สุวาณสับสนมากเลยขอรับ เปิดจากสมุดบัญชีตอนนี้ ชะตาชีวิตของทั้งคู่ไม่ได้ถูกขีดเขียนอะไรไว้เลย เหมือนอยู่ดีๆ ก็หายไป บันทึกล่าสุดก็เหมือนจะบันทึกไว้แค่ตอนนี้”

“เจ้าทั้งสองอย่าไปคิดอะไรมากเลย สวรรค์เองก็มีวิถีทางในการจัดการของสวรรค์ นรกเองก็เช่นกัน”

“ขอรับ / ขอรับ”









- ขออนุญาติตอบคุณ เพียงเพื่อน ในนี้นะคะ

ผู้กองวิณณ์อายุ 27 ส่วนตะวันอายุ 20 คะ ห่างกัน 7 ปี แต่ที่ตะวันเรียกผู้กองวิณณ์ ว่าวิณณ์เฉยๆ เพราะเป็นความตั้งใจของผู้เขียนล้วนๆ อยากให้ทั้งคู่สนิทสนมกัน โดยไม่มีเรื่องของอายุหรือตัวเลขมากั้นกลางคะ  >//< 
ส่วนตะวันเองก็ชอบที่จะเรียกวิณณ์ด้วยชื่อเฉยๆ หรือบางครั้งนึกอยากจะแหย่ ก็จะเรียกผู้กองวิณณ์คะ

และขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ กำลังใจอันดับหนึ่งเลยคะ  ซึ่งงงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 8 : เปิดปม 1 (11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-11-2017 20:53:50
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 8 : เปิดปม 1 (11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-11-2017 21:24:17
ลุ้นไปกับตะวัน
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 8 : เปิดปม 1 (11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-11-2017 02:19:06
ไปพบแม่เถอะตะวัน ไม่คิดถึงแม่หรอ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 8 : เปิดปม 1 (11/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2017 03:45:26
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 9 : รอผมหน่อยนะ (17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 17-11-2017 23:04:51
ตอนที่ 9  รอผมหน่อยนะ



กว่าจะทำใจ ตัดสินใจมาได้นี่ก็นานพอดูครับ แม่ผม ผมก็อยากมาหานะ แต่ที่ทำใจยากคือ ผมต้องบอกคุยกับแม่เนี่ยซิ


หือออออออออ    ผมจะคุยยังไงละครับ ผมเป็นแค่วิญญาณนะ แล้วแม่จะรับผมได้ไหมอีกละ


ก็คุณผู้กองวิณณ์นะซิครับ เล่นมาบอกผมตอนนั่งบนรถมาด้วยกันว่าผมต้องหาทางสื่อสารหรือทำยังไงก็ได้ให้แม่รู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่และต้องรักษาร่างกายของผมไว้รอให้ผมเสร็จภารกิจเพื่อที่วิญญาณจะได้กลับเข้าร่างตัวเองได้  การมาเจอในตอนแรกว่ายากแล้วนี่ต้องทำให้แม่เชื่ออีกยิ่งยากกว่า แต่ผมละไม่เข้าใจจริงๆ คุณหมอคร้าบบ ทำไมคุณหมอไปแนะนำแม่ผมอย่างนั้นละครับ 

ผมพยายามจะหาทางกลับเข้าร่าง คุณหมอก็ดันจะมาทำให้ร่างของผมไม่อยู่อีกซะนี่


อย่าให้เจอนะ พ่อจะจับหักคอ หลอกให้หัวโกรนเลย คอยดู๊ววววววววววววววว


ไม่ใช่ว่าผมไม่เครียดนะ  แต่จะให้มานั่งคิด นั่งเครียดแล้วไม่ทำอะไรเลยมันก็ใช่เรื่อง ตอนนี้ผมต้องคิดว่าจะทำยังไงให้แม่ผมเชื่อก่อนดีกว่า


“นี่ตะวัน  คิดอะไรอยู่”

“ก็คิดว่า จะทำยังไงให้แม่เชื่อดีไง”

“คิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ใช่ซิ จะไม่ให้คิดไงเล่า  ตอนจะทำให้วิณณ์เชื่อนะตะวันก็คิดแทบตาย  แล้วนี่เป็นแม่ของตะวัน ตะวันต้องคิดมากเป็นร้อยเท่า แล้วยิ่งเป็นเรื่องผีๆสางๆนะ แม่ตะวันยิ่งไม่เชื่อใหญ่เลย”

“ไม่ต้องห่วงหรอก  ยังไงวิณณ์ก็ต้องช่วยตะวันอยู่แล้ว วิณณ์จะทำให้แม่ของตะวันเชื่อให้ได้” 

“อะไรเล่า ตะวันไม่ใช่หมานะ ลูบหัวอยู่ได้”   หึ่ยยยยยย  พูดเฉยๆ ก็เขินแล้วนะ ยังมาทำแบบนี้อีก

“ใครบอกตะวันเป็นหมา ตะวันแค่เป็นเด็กขี้โวยวาย แถมยังขี้แยต่างหาก”

ชิส์   --_--  ไม่เถียงด้วยละ ทำไมผมไม่เคยจะเถียงสู้วิณณ์ได้สักทีนะ ไม่เข้าใจ









โรงพยาบาล


วิณณ์ขับรถเข้ามาจอดในโรงพยาบาล  ผมเดินลงจากรถและไปทำสิ่งที่ควรทำอันดับแรก

“ท่านเจ้าที่ครับ ผมขออนุญาติเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อพบแม่ของผม ท่านเจ้าที่อนุญาติด้วยนะครับ”

“ตะวันทำอะไรอยู่”

“ตะวันขออนุญาติท่านเจ้าที่ เพื่อจะเข้าไปหาแม่ไง”

“แล้วท่านว่ายังไง”

“ท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านให้ตะวันเข้าไปได้ ^___^”

“ขอบคุณนะครับ”   ไม่ใช่ผมที่เอ่ยขอบคุณแต่เป็นวิณณ์  ผมหันไปมองวิณณ์ที่เอ่ยขอบคุณและกำลังยกมือไหว้ไปด้วย



ดูไปก็    ‘น่ารักดีนะ’




เราเข้ามาในโรงพยาบาลและหลังจากที่วิณณ์สอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่หน้าเคาเตอร์และพูดคุยกับหมอเจ้าของไข้ โดยใช้ตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์  พวกเราก็มุ่งหน้ามายังห้องที่ผมอยู่  หมอบอกว่าอาการอื่นๆ คงที่ ไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร แต่เพราะผมนอนเป็นเจ้าชายนิทราและยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หมอเลยต้องให้อยู่ที่ห้องนี้  ซึ่งหมอบอกว่า ถ้าร่างกายผมสามารถกลับมาควบคุมระบบหายใจได้เอง ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ผมจะมีโอกาสที่จะตื่นจากเจ้าชายนิทรา แต่หมอก็ไม่สามารถบอกได้ว่า โอกาสนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะ 1 เดือน   2 เดือน   1 ปี    2 ปี หรือมากกว่านั้นไม่สามารถกำหนดได้

“ตื่นเต้นอะวิณณ์”

“ใจเย็น อย่าเพิ่งคิดอะไรเยอะ รอดูท่าทีไปก่อนน” 










‘ห้องปลอดเชื้อ     นายตะวัน  จันทรเกษม


ป้ายชื่อด้านหน้าที่ติดไว้บ่งบอกว่าพวกเรามาถึงที่หมายแล้ว ผมมองเข้าไปในห้องก็เจอกับผู้หญิงตัวบาง ผมสีดำที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเริ่มมีสีขาวแซมอยู่ 


‘แม่’




ก๊อก ก๊อก ก๊อก    แม่เป็นคนมาเปิดประตูให้พวกเรา



“สวัสดีครับ ผมเป็นตำรวจ เป็นหัวหน้าของจ่าเติมที่ดูแลคดีครับ จะเรียกผมผู้กองวิณณ์หรือวิณณ์ก็ได้ครับ”  วิณณ์แนะนำตัวก่อนเพื่อไม่ให้แม่ผมต้องสงสัยมากไปกว่านี้

“สวัสดีคะ  เชิญคะผู้กอง”


ผมเดินตามวิณณ์เข้ามาในห้อง ผมเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงที่มีร่างของตัวเองนอนอยู่ มันก็ดูแปลกดีแหะ ผมกำลังยืนมองดูร่างของตัวเอง  ร่างของตัวเองที่อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ ดูจากสภาพภายนอกเหมือนคนนอนหลับเฉยๆ สิ่งที่บ่งบอกว่าร่างตรงหน้าผิดปกติ ก็ คงเป็นเครื่องช่วยหายใจที่ใส่อยู่ พร้อมกับผ้าพันแผลที่หัว วิณณ์เองก็มาหยุดยืนข้างๆ ผมถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ส่งผ่านจากสายตา

และยิ่งมองเห็นสภาพร่างกายของผู้เป็นแม่ด้วยแล้ว ผมนี่ช่างเป็นลูกที่เลวจริงๆ แม่ผมเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ยิ่งพอมาดูใกล้ๆ แม่กลับยิ่งดูตัวเล็กลงไปอีก ใบหน้าที่ดูอ่อนล้า ซูบเซียว บ่งบอกว่าแม่ต้องอดทนและพยายามผ่านมันมามากแค่ไหน แม่ทั้งรักทั้งห่วงผมขนาดไหนทำไมผมจะไม่รู้ เพราะพ่อผมสียด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ผมยังเล็ก แม่ผมจึงเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคอยทำงานหาเงินมาดูแลผม อยากกินอะไร อยากได้อะไรก็สรรหามาให้ตลอด เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นคนวิ่งพาผมไปหาหมอ อะไรที่ดีอะไรที่จะทำให้ไม่น้อยหน้าคนอื่น แม่ผมยอมทำทุกอย่าง ถึงมันจะไม่ได้ดีเท่ากับลูกของคนอื่น แต่มันก็ดีที่สุดสำหรับผม


 “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”  แม่ผมถามพร้อมกับทำหน้าสงสัยกับคนตรงหน้า

“ผมมีเรื่องอยากจะสอบถามนิดหน่อยนะครับ”

“แต่ก่อนหน้านี้มีตำรวจท่านหนึ่งมาสอบถามไปแล้วนี่คะ”

“ทราบครับ  แต่วันนี้ที่ผมมาผมมีเรื่องอยากจะคุยส่วนตัวกับคุณป้านะครับ”

“คุยส่วนตัว?  กับฉันเหรอคะ?”

“ครับ ผมขอรบกวนเวลาคุณป้าสักครู่นะครับ”

“คะ  งั้นเชิญข้างนอกดีกว่าคะ”

“ครับ”



ผมเดินตามหลังแม่และวิณณ์ออกไปข้างนอกห้อง ไปยังมุมที่อยู่สุดทางเดินที่ตรงนั้นค่อนข้างเงียบไม่มีใครผ่านไปมา แม่กับวิณณ์ต่างเงียบกันไปอยู่หลายนาที แม่เองก็ยังไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา วิณณ์เองก็คงกำลังคิดหาคำพูดอยู่ แต่ในที่สุดแม่ผมก็เป็นฝ่ายที่เอ่ยทำลายความเงียบออกมาก่อน


“ไม่ทราบว่าเรื่องที่ผู้กองจะถามคือเรื่องอะไรเหรอคะ”

“เรียกผมวิณณ์ก็ได้ครับ   เอ่อ……..คือ   ตอนนี้คุณป้าเป็นยังไงบ้างครับ”  แม่ผมเลิกคิ้วสงสัยกับคำถามที่ได้รับ แต่ด้วยมารยาทท่านจึงตอบกลับไป

“ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่คะ ตะวันต้องมาเจ็บนอนไม่รู้สึกตัว ทำไมตะวันถึงได้ทำแบบนี้ ทำไปอะไรเพราะอะไร ป้าเองก็อยากรู้  ป้าได้ยินจากคนอื่นที่เขาก็พูดกันว่าตะวันพยายามจะฆ่าตัวตาย  แต่ป้าไม่เชื่อหรอก ลูกของป้า ป้าเลี้ยงมา ป้ารู้ว่าตะวันจะไม่มีทางทำแบบนั้น แม้แต่ยุงหรือมดตะวันยังไม่เคยคิดทำร้ายเลย แล้วทำไมตะวันถึงคิดจะทำร้ายตัวเอง ป้าไม่เข้าใจ.......”   
แม่ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้น


“ใจเย็นนะครับคุณป้า แล้วอาการของตะวันตอนนี้ เป็นยังไงบ้างครับ”

“หมอบอกว่าตะวันโชคดี จากที่ผู้กองเห็นก็มีแผลที่หัวเพราะกระแทกกับพื้นถนน รอยฟกช้ำตามตัว อาการบาดเจ็บภายในก็ไม่มีอะไรรุนแรง แต่ที่หมอยังบอกไม่ได้คือทำไมตะวันถึงยังไม่ฟื้นซักที”

“ผมขอโทษอีกครั้งนะครับที่ทำให้ต้องนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”

“ไม่เป็นไรคะ ป้าก็พอทำใจได้บ้างแล้วละ บางทีก็มีเหงาบ้าง บางทีคิดถึงเขาก็ร้องไห้ ตอนนี้ป้าแค่อยากให้เขาฟื้นที่สุด ไม่อยากให้เขาต้องมาเจ็บแบบนี้ ตะวันนะเขาเป็นเด็กร่าเริงมากเลยนะคะผู้กอง เขาน่ารัก ใครอยู่ใกล้เขาก็พลอยอารมณ์ดีไปหมด จนไม่มีใครคิดว่าตะวันจะคิดฆ่าตัวตาย”

“..............”

“เห้อ ขอโทษนะคะป้าแก่แล้วก็อย่างนี้ พูดพล่ามไปเรื่อย  ว่าแต่ผู้กองมีเรื่องอะไรเหรอคะ” แม่พูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ซึมอยู่ที่ดวงตา 

“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมก็มีแม่กับน้องสาวการที่ได้คุยหรือฟังคุณป้าพูดผมไม่ได้รำคาญอะไรเลยครับ”



เกิดความเงียบขึ้นชั่วนาที ก่อนที่วิณณ์จะเอ่ยออกมาอีกครั้ง



“ที่ผมมาวันนี้ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับตะวัน แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกว่าผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร  ผมแค่อยากจะพูดแทนตะวันนะครับ”

“พูดแทนตะวัน?”

“ครับ ตะวันรักคุณป้ามากนะครับ และเขาเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแต่เขาแค่อยากจะขอร้องคุณป้า  ขอให้คุณป้าได้โปรดรอเขากลับมาได้ไหมครับ”

“ป้าไม่เข้าใจคะ??”

“ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงไม่ให้ดูงมงาย มันอาจจะฟังดูบ้าไร้สาระ แต่ผมพูดความจริงครับ ผมไม่ใช่คนร้ายและผมเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดไม่ดีกับตะวัน สิ่งที่ผมอยากจะขอคืออย่าเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจของตะวัน ขอเวลาให้ตะวันหน่อยนะครับ”

“ป้าไม่เข้าใจคะ คุณหมายถึงอะไรคะ..........ถอดเครื่องช่วยหายใจทำไมคะ ถ้าถอดแล้วตะวันจะเป็นอะไรเหรอคะ???”






“ป้าดารา มาทำอะไรตรงนี้ครับ”    ยังไม่ทันที่แม่จะตั้งคำถามอะไรเพิ่ม เสียงของบุคคลที่สามก็ดังขึ้น


“พี่วายุ!!!”


“อ้าววายุ”  แม่ผมหันมามองหน้าผู้กองก่อนจะหันกลับไปตอบพี่วายุ 

“เอ่อ………ป้าออกมาคุยธุระกับผู้กองนิดหน่อยนะจ้ะ นี่จ้ะ   นี่ผู้กองวิณณ์ ส่วนนี่วายุเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตะวันนะจ้ะ”  แม่ผมแนะนำตัวให้เสร็จสรรพไม่ต้องปล่อยให้สงสัยนาน

“สวัสดีครับ / เช่นกันครับ”

“วายุไปอยู่เป็นเพื่อนน้องก่อนนะ เดี๋ยวป้าตามเข้าไป”

“ครับ” 

พี่วายุตอบรับแต่ก็ยังไม่วายหันมาสบตากับวิณณ์ ถึงแม้สายตาจะไม่ได้มองว่าเป็นศัตรูแต่ก็ดูไม่ค่อยเป็นมิตรซะทีเดียว พี่วายุก็เป็นแบบนี้แหละครับ ห่วงแม่ห่วงผมเสมอ พี่วายุเป็นลูกของลุงอเนกพี่ชายแม่กับป้าจันทร์ บ้านเราอยู่ติดกัน และเพราะแม่ผมเป็นผู้หญิงต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ทั้งลุงและป้าจึงเป็นห่วงเราสองคนเป็นพิเศษ ซึ่งความห่วงใยนี้ก็ส่งต่อไปยังพี่วายุด้วย


“ผู้กองคะ เรื่อง.............”  ไม่ทันที่แม่ผมจะได้พูด


“คุณป้าครับขอโทษนะครับ สิ่งที่ผมพูดอาจจะทำให้คุณป้าสับสนและลำบากใจ เพราะหมอเองก็ไม่แน่ใจว่าตะวันจะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่า แต่ผมอยากให้คุณป้าเชื่อผมซักนิดอย่าเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจของตะวันนะครับ เพราะผมคิดว่าตอนนี้ตะวันเองก็คงพยายามอย่างมากที่จะฟื้นขึ้นมาให้ได้”

“................”

“นี่นามบัตรผมนะครับ ถ้าคุณป้ามีเรื่องอะไรคุณป้าติดต่อมาได้ตลอดเวลานะครับ ผมยินดี

“จ้ะ”   แม่รับนามบัตรไป ทั้งที่สีหน้าและสายตาของแม่คงมีอะไรอยากจะถามวิณณ์อีกเยอะ แต่แม่เลือกที่จะเงียบ

“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณป้า  อย่าลืมนะครับ มีเรื่องอะไรให้ผมช่วย ผมยินดีเสมอ  สวัสดีครับ”    วิณณ์บอกกับแม่ของผมพร้อมกับกล่าวลา

“เดี๋ยวก่อนคะ  ผู้กองเป็นเพื่อนกับตะวันเหรอคะ?”
.
.
.
.
.
.
.
“ครับ ผมกับตะวันเราเป็นเพื่อนกัน”








ผมเดินตามวิณณ์ออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกันวินาทีที่ได้เจอหน้าแม่ความรู้สึกทุกอย่างมันเหมือนมาจุกอยู่ที่อก ผมรู้ว่าแม่คิดถึงผมและเสียใจต่อการกระทำของผมมากแค่ไหน และผมเองก็อยากจะบอกแม่ว่าผมเองก็เสียใจและคิดถึงมากแค่ไหนเหมือนกัน

ไอ้ตอนมาก็ไม่อยากมา ไอ้ตอนกลับก็ไม่อยากกลับอีก  ก็ผมยังไม่ได้พูดอะไรกับแม่เลยซักคำ อยากกอดก็ไม่ได้กอด อยากพูดอยากขอโทษก็ไม่ได้ทำ   ความรู้สึกที่รับรู้ได้ตอนนี้


คิดถึงมากที่สุด




ผมมองแผ่นหลังของคนตรงหน้า ตอนนี้มีเพียงแค่วิณณ์ที่เป็นทุกอย่างสำหรับผม เป็นทั้งพี่ เพื่อน ครอบครัว เรียกว่าเป็นทุกอย่างสำหรับผม คนที่ไม่เคยเจอหน้ากันตอนที่ยังมีชีวิต แต่กลับมาพบกันและเป็นทุกอย่างสำหรับผมตอนผมเป็นวิญญาณ การได้พบกับวิณณ์มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีค่าอยู่บ้าง ผมไม่รู้ว่าวิณณ์คิดหรือรู้สึกยังไงกับผม อาจจะแค่สงสารเลยยอมช่วยผมก็ได้ แต่ผมก็คาดหวังอยากให้วิณณ์รู้สึกแบบเดียวกัน อยากให้ผมได้เป็นครอบครัวเป็นทุกอย่างสำหรับวิณณ์เหมือนกัน


แต่คำว่า……… ‘เพื่อนกัน’ ………พอได้ยินแล้วทำไมมันหน่วงใจยังไงไม่รู้


เห้อ........เป็นอะไรของผมกันแน่วะเนี่ยยยยยยยยย







“ตะวัน..............นี่ตะวัน เป็นอะไร เรียกตั้งนานแล้วไม่ได้ยินเหรอ”

“หะ.........เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไร”

“คิดอะไรอยู่”

“ป๊าววววววววว”

“คิดมากเรื่องแม่เหรอ”

“ก็บอกว่าเปล่าไง  ชอบทำเหมือนตะวันเป็นเด็กอีกแล้วนะ”    ผมพูดพร้อมกับก้มหัวให้หลุดออกจากมือที่ลูบอยู่

“หึหึ  แล้วคิดอะไร บอกได้หรือยัง”

“ก็.................ไม่รู้ว่าแม่จะคิดยังไง  แม่จะเชื่อไหม แล้วอีกอย่าง ตะวันสงสารแม่ ตะวันแม่งโคตรเป็นลูกที่แย่มากๆ  แล้วก็โคตรบาปเลยทำให้แม่ทั้งเสียใจทั้งร้องไห้”

“ทีหลังจะทำอะไร ก็หัดคิดซะก่อนนะจะได้ไม่ต้องมาเสียใจแบบนี้”

“รู้แล้วน่าๆๆ นี่จะซ้ำเติมตะวันหรือปลอบกันแน่เนี่ย”

“ก้ออออออออ      ทั้งสองอย่าง”    จะลากเสียงยาวเพื่อ

“คร้าบบบบ   คุณผู้กองครับ ทราบแล้วครับว่าผมอะมันโง่ มันไม่คิดก่อนทำ ไม่ต้องย้ำก็ได้คร้าบบ”

“โอ๋......ไม่ร้องนะ อะ ขอมือหน่อย”

“หึ่ยยยย    ไม่ใช่หมานะ   โอ๊ะ........ขอโทษครับ”  เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติผมเอ่ยขอโทษออกไป เพราะมัวแต่เถียงกับตะวันไม่ทันระวังหันไปอีกทีก็ชนเข้ากับคนที่ยืนอยู่........



แต่…………



เอ๋     ผมเดินชนคนเหรอ?    ชนคนเนี่ยนะ!!!



“ตะวันเป็นอะไร”

“ตะวัน…........เดิน............ชน   ลุงคนนี้อะ”  ผมหันไปบอกวิณณ์  แต่ไหงทำหน้าอย่างนั้นละ

“ลุงไหนตะวัน ไม่มีนะ” 

“ก็นี่ไง.......
.
.
ยืน     
.
.
อยู่ 
.
.   
นี่” 



O___O 



หะ  เดี๋ยวนะ  นี่อย่าบอกนะว่า......... ผมหันไปสบตาวิณณ์ ที่ตอนนี้ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ

ชัดครับ............ชัดเลย  ใช่เลย จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก   ..............ผี............... 

ผมนี่รีบกระโดดไปอยู่ข้างหลังวิณณ์




“ตะวัน เป็นอะไรยังไม่ชินอีกเหรอ”   ผมนี่ส่ายหัวแทบปลิวหลุด


ม่ายยยยยยยย   


หืออออออออ 



มานนน....ม่ายยยย....ชินนนน    ตะวันจะไม่ยอมชินกับเรื่องแบบนี้



“ตะวัน      ตะวัน”

“หะ......อะ....อะ..ไร”

“ไม่ลองถามเขาดูเหรอว่าต้องการอะไร”

“เหวอออ!!!  ทำไมต้องเป็นตะวันละ”

“อ้าว  ถ้าไม่ใช่ตะวัน แล้วจะใครละอย่าลืมซิถ้าไม่ใช่ตะวัน วิณณ์ก็สัมผัสไม่ได้นะ อีกอย่างเผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ ภารกิจของตะวันก็จะได้เพิ่มขึ้นด้วยนะ”


เออจริง!!


“เออ   ก็ได้     ก็ได้”   หือออออ ลุงเขาก็ไม่ได้มาร้ายอะไรหรอกนะ ความจริงเป็นผมเองมากกว่าที่มาจ้ะเอ๋กับลุงเข้าเอง แต่ผมไม่ชินอะ   


ผมสูดหายใจก่อนจะก้าวขึ้นมาข้างหน้าแต่ก็ยังจับเสื้อวิณณ์ไว้เพื่อความอุ่นใจ (ว่าแต่ผมหายใจได้เหรอ จะสูดลมหายใจเพื่อ)



“ละ…...ลุงครับ ผมถามอะไรหน่อยได้ครับ”


“ลุง ตะ.........ตายแล้วใช่ไหมครับ”    หือออออ  กูถามอะไรของกูว้าาาาาาา


ลุงมองผมอย่างแปลกใจ เพราะตอนแรกคงไม่ทันสนใจว่าที่พวกผมพูดกันมันคือเรื่องของลุง แต่ลุงก็ตอบคำถามผมแค่การพยักหน้าและหันกลับไปมองทางเดิม ผมเลยตามไปด้วย ตรงนั้นมีคนกำลังพูดคุยกันอยู่ 4-5 คน ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมากแต่จุดที่พวกผมยืนอยู่ก็พอจะได้ยินอยู่บ้าง  เหมือนกำลังเถียงอะไรกันอยู่


“นั่น ครอบครัวของลุงเหรอครับ”   ลุงพยักหน้า


“ทำไมลุงไม่เข้าไปใกล้ๆ ละครับ
.
.
ลุงไม่อยากเจอพวกเขาเหรอครับ
.
.
หรือว่าลุงมีเรื่องอะไรกับพวกเขา”

 
ผมถามอะไรไป ลุงไม่ยอมตอบผมเลยอะ ได้แต่พยักหน้า กับส่ายหน้า หงึกๆ หงักๆ  ถามจนท้อผมเลยหันไปมองหน้าวิณณ์ ซึ่งวิณณ์เองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็แหงหละวิณณ์มองเห็น หรือได้ยินซะที่ไหน   -___- 


เอาวะ ไม้ตายแล้วนะ


“ลุงครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ผมช่วยลุงได้นะ”


เท่านั้นแหละ   ยู้ฮู้…..สนใจผมขึ้นมาแล้วซินะ



“ลุงครับไม่ต้องกลัวพวกผมหรอกนะครับ พวกผมไม่มีพิษมีภัยอะไร  พวกผมช่วยลุงได้นะครับ”  อย่ามองหน้าผมอย่างนั้นแล้วเงียบซิครับ


“นั่นครอบครัวของลุงเอง”  เย้  ลุงยอมพูดกับผมแล้ววว

“ลูกชายของลุงสองคน กำลังเถียงกันเรื่องการจัดการทรัพย์สิน ต่างคนต่างแย่งกันจะเป็นคนจัดการ ส่วนไอ้ลูกสาวคนเล็กก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรไม่กล้าออกคิดความเห็นแย้งกับพี่ชาย ได้แต่ดูพี่สองคนทะเลาะกัน

เห้อ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่รู้พวกมันจะแย่งกันเพื่ออะไร แต่ก็อย่างว่าอะนะ คนที่อยู่มันก็อยากจะใช้ อยากจะได้ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว  ส่วนคนตายก็ตายไปใช้อะไรก็ไม่ได้จะหวงทำไม”

“แล้วคุณลุง จะจัดการยังไงเหรอครับ”

“ลุงรู้อยู่แล้วละ ซักวันถ้าลุงตายว่าปัญหานี้มันต้องเกิดขึ้น แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วแบบนี้”

“………………..”

“ว่าแต่ ไอ้หนุ่มช่วยลุงได้ จริงๆ เหรอ”  ลุงมองผมสลับกับวิณณ์ ลุงก็คง งง คนกับวิญญาณไปไงมาไง มาด้วยกันได้

“ได้ซิครับ พวกผมสองคนช่วยได้แน่นอน”






“ถ้าอย่างนั้น ช่วย………………………….”





----
อ้าว ช่วยอะไรละลุง มาพูดค้างๆ คาๆ ตัดเข้าโฆษณาอะไรเอาตอนนี้

>.<  อย่าเพิ่งฆ่าเค้านะ เค้าจะรีบกลับมาให้นะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 9 : รอผมหน่อยนะ (17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-11-2017 01:38:20
 :z13: นี่.... นี่ หลานคนแต่ง ลุงเขาพูดอะไรอ่ะ คนแก่อยากรู้อยากเห็น
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 9 : รอผมหน่อยนะ (17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-11-2017 10:03:01
 :ling1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 10 : ตะวันขอสอง (19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 19-11-2017 15:41:37
ตอนที่ 10 ตะวันขอสอง


“ถ้าอย่างนั้น ช่วย………………………….”


หะ!!!  นี่ลุงเอาจริงเหรอครับ จะให้ผมทำงั้นจริงเหรอครับ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่ผมที่จะต้องทำ มันก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนตัวสูงข้างๆ ขอให้โชคดีนะ หน้าที่เจรจาเกลี้ยกล่อมเป็นของคุณแล้วครับผู้กอง  ฮาาาาาาาาาา


(ว่าแต่ ทำไมเอ็งถึงมาอยู่กับไอ้หนุ่มนั่นได้ละ)
“เรื่องมันยาววววว     แต่ผมจะสรุปสั้นๆ ก็คือมันเป็นหน้าที่ที่พวกเราสองคนต้องช่วยกันนะครับ”

(เป็นแฟนกันรึ)
“เย้ยยยย  ไม่ใช่ครับ ทำไมลุงคิดอย่างนั้นละ”
 
(หึหึ  อย่ามาหลอกคนแก่เลย ลุงดูแล้วมันยังไงๆ อยู่นา)
“ไม่ยังไงหรอกครับลุง ไม่มีไรทั้งนั้นคร้าบบ  ผมเป็นวิญญาณ นั่นก็เป็นคนจะมาเป็นแฟนกันได้ยังไงละลุงก็”


อะไรของลงุเนี่ย ทักซะผมไปไม่เป็นเลยแหะ อะไรทำให้ลุงคิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน 

แฟนกันเหรอ?  ดูเหมือนเหรอ?  เขินเลยอ่า  >.<

ว่าแต่คง งง กันละซิว่าลุงให้พวกเราช่วยอะไร ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ลุงแกนะทำเอกสารรายละเอียดทรัพย์สินที่มีไว้อยู่แล้ว แบ่งส่วนไหนให้ลูกคนไหนจัดการไว้เรียบร้อยหมด เพียงแต่แกไม่คิดว่าจะมาช๊อคตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตกซะก่อน ทีนี้แกเขียนเอง เก็บเอง ทนายตามกฎหมายอะไรก็ไม่มี ลูกหลานที่อยู่ก็ไม่มีใครรู้ว่าแกทำเอาไว้ ปัญหามันเลยเกิดขึ้นเพราะต่างคนต่างก็แย่งกันเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน


ผมปล่อยให้วิณณ์เข้าไปเจรจาคนเดียว ส่วนตัวเองก็ยืนกับลุงอยู่ที่เดิม จากที่สังเกตยังไม่มีใครแสดงท่าทีอะไรผมเห็นวิณณ์ทำท่าทางไปด้วยพูดไปด้วย จะสำเร็จไหมก็ต้องรอดูกัน  ไม่นานวิณณ์ก็เดินกลับมา


“เป็นยังไง ไปพูดอะไรบ้าง”

“เปล่า ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

“อ้าว อะไรอะ เห็นไปตั้งนานสองนาน สรุปไม่ได้เรื่องเหรอ โธ่เอ้ยยยย”

“ใจเย็นครับคุณตะวัน อยู่ๆ จะให้ผมเดินดุ่มๆ ไปบอกว่า เฮ้ พ่อของพวกคุณฝากผมมาบอกว่าสมบัตินะไม่ต้องแย่งกันนะ แบ่งไว้ให้แล้ว อย่างนั้นเหรอ?” 

“…………………………..”

“ผมนะเข้าไปสอบถามว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือคำแนะนำอะไรไหม จากเท่าที่ฟังลูกๆ ของลุงไม่ได้จะแย่งสมบัติกันหรือยึดครองเป็นของตัวเองฝ่ายเดียว แต่ต่างฝ่ายต่างก็คิดเอาเองว่าคนนั้นจะดูแลไม่ดี คนนี้ไม่เหมาะ มันก็แค่นั้น”

“แค่นั้น?..................”

“อือฮึ  ทีนี้เราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงให้ลูกๆ ของลุงเชื่อว่ามีกระดาษแผ่นนั้นอยู่ และเป็นของลุงจริงๆ” 

เออจริงซิจะทำยังไงละ ทำยังไงให้เชื่อว่ามีกระดาษอยู่จริงและเป็นของลุงจริงๆ

“แล้วเราจะทำยังไงดีละ” 

“ทำยังไงให้พวกเขายอมเชื่อเรื่องนี้นะเหรอ     เห้อออ  งานช้าง”
.
.
.
.
.
.
“ให้หนูช่วยอะไรไหมคะ”  ผมหันไปหาเจ้าของเสียง น้องผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มของลูกๆ ลุงนี่หน่า   ถ้าอย่างนั้น

(ลูกแก้ว  ลูกสาวคนเล็กของลุงเอง)

“น้อง……”

“ลูกแก้วคะ เป็นน้องคนสุดท้องของพี่ๆพวกนั้นคะ”

“ลูกแก้ว หนูรู้เหรอว่าพี่อยากจะทำอะไร”

“หนูอายุ 15 แล้วคะ โตพอที่จะเดาเรื่องได้  ถ้าพี่ไม่ได้เป็นคนบ้าที่พูดคนเดียว พี่ก็คงอาจจะมีอะไรดีๆ  แล้วที่พี่พูดเรื่องกระดาษ  มันคือกระดาษอะไรเหรอคะ แล้วลุงที่ว่าคือใครเกี่ยวอะไรกับพ่อของหนูหรือเปล่าคะ”


O__O  หืมมม นี่มายืนฟังตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยยย 


“เอ่อ  พี่ไม่ได้บ้าหรอกครับ พี่ก็แค่เป็นตำรวจ ถ้าพี่บอกแล้วน้องสัญญาว่าจะไม่หัวเราะ และยอมฟังพี่จนจบไหมละครับ”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเหตุผลมันโอเคไหมคะ” 


อ๋อยยยยยย  ผมขอโทษนะครับลุง  แต่ลูกลุงนี่    โ ค ต ร   ก ว น    ตี น  เลยครับ


“แล้วพี่จะบอกได้หรือยังคะ”

“จ้าๆ   พี่มีเรื่องให้เชื่อว่าพ่อของหนูทำเอกสารแบ่งทรัพย์สินไว้ให้ทุกคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือตัวหนูเองทุกคนได้ครบทุกคน เพราะฉะนั้นมันไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่พวกพี่ๆ หนูจะมาเถียงกันเรื่องจัดการทรัพย์สิน”


“พี่รู้?   ได้ยังไงคะ?”

“พี่มี……………ตาทิพย์”    นี่คุณวิณณ์ยังมีอารมณ์เล่นเนอะ

(ไอ้หนุ่มมันท่าจะบ้าจริงๆ อย่างที่ลูกลุงบอกนะ)  ผมก็เพิ่งรู้นี่ละครับลุง

“นี่วิณณ์ มัวพูดอะไรอยู่ อย่างนี้น้องเขาจะเชื่อเหรอ”  ผมขยับเข้าไปพูดข้างๆ วิณณ์

“เอาน่า รอดูไป”

“ฮาาาาาาาาา  พี่นี่สงสัยจะบ้าจริงๆ อะ ถ้าพี่มีตาทิพย์ หนูคงมีหูทิพย์แล้วละ ฮาาาาาาา”  แล้วน้องลูกแก้วก็หัวเราะไม่หยุด

“อ่าฮะ  พี่ลืมบอกไปนอกจากตาทิพย์แล้ว  พี่ก็ยังมีหูทิพย์ด้วยนะ”

“………………”

“ไม่เชื่อเหรอ ลองถามอะไรพี่มาก็ได้  เอาเลย  อยากถามอะไรก็ได้ พี่ตอบได้หมด”  น้องทำหน้าสงสัย เหล่มองอย่างคิดหนัก อย่าว่าแต่น้องเลยทั้งผมและลุงต่างก็ทำหน้าไม่ต่างกัน

“ได้ทุกเรื่องเหรอ”

“ทุกเรื่อง   แต่ต้องเป็นเรื่องเฉพาะครอบครัวของน้องเท่านั้นนะ”

“ทำไมละ”

“มันเป็นกฎ  เอาละถามมาได้แล้ว”  น้องทำท่าคิดหนัก แต่ตอนนี้ผมเองพอจะเดาความคิดของวิณณ์ออก


“หนูเคยเกือบจมน้ำตอนอายุเท่าไหร่”   
(7ขวบ)
“7ขวบ”
“7 ขวบ”

“แล้วใครเป็นคนช่วยหนู”     
(พี่ชายคนโตชื่อโจ)
“พี่ชายคนโตชื่อโจ”
“พี่ชายคนโตชื่อโจ”

“แล้วพ่อทำยังไงกับหนู”     
(ตี)
“ตี     หะ ตีเหรอ ตกน้ำนะครับลุง แทนที่จะปลอบลุงตีทำไมเนี่ย”
(ลุงเตือนแล้ว แต่ไม่ฟัง ก็ต้องถูกลงโทษ)
“ตี”

น้องลูกแก้วทำหน้าอึ้งกับคำตอบที่ได้แต่ดูท่าจะยังไม่ยอมง่ายๆ วิณณ์เองก็ทำหน้าเชิญชวนให้น้องหาคำถามมาถามต่อ

“ในกลุ่มคนพวกนั้น คนไหนเป็นแม่ของหนู”

“……………….”   

“ไหนลองบอกมาซิคะ”

(ไม่มี   ไม่มีแม่อยู่ไหนนั้น  ลุงกับแม่ของพวกเขาเลิกกันไปนานแล้ว แม่ยายลูกแก้วแกทิ้งลุงไป  ทิ้งพวกเราไป)

“เงียบแบบนี้  แสดงว่าไม่รู้ใช่ไหมคะ ที่แท้พี่ก็เดาเอาจนถูกมากกว่าใช่ม้า”

“วิณณ์” ผมพูดพร้อมส่ายหน้า   

“ไม่มี  คนในกลุ่มนั้นไม่มีแม่ของลูกแก้วอยู่เลยเพราะ ลุงกับแม่ของลูกแก้วแยกทางกันนานแล้ว”

“ไม่มี”

“……………………” 

“พ่อกับแม่ของน้องแยกทางกันแล้ว ในนั้นจึงไม่มีใครเป็นแม่ของน้อง”   


เงียบบบบบบบบบ     เกิดเป็นความเงียบขึ้นเมื่อวิณณ์ได้ตอบคำถามของลูกแก้วออกไป จากนั้นลูกแก้วก็ได้ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงหน้า  ผมไม่รู้ว่าน้องคิดอะไรอยู่ เรื่องครอบครัวเป็นอะไรที่บอบบาง คงต้องให้เวลาน้องเขาสักพัก

 
“หนูเกลียดแม่ เพราะแม่ทิ้งพ่อกับพวกเราไปอยู่กับคนอื่น ทั้งที่พ่อทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวแต่แม่กลับไม่สนใจ เอาแต่ตัวเอง เอาแต่ความสบาย  แม่ทิ้งพวกเรา ทิ้งพ่อ  พ่อที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูพวกเราสามคน แต่แม่กลับไปกับคนอื่น ไม่สนใจใยดี ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง…………..

หนูร้องไห้ขอร้องแม่ว่าอย่าไป  ทั้งวิ่งตามทั้งอ้อนวอนขอร้องแม่ว่าอย่าไป แต่แม่ก็ไป!!!


“เอ่อ  ลูกแก้ว  พี่…….พี่ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกคะ  หนูชินแล้วละ

มีแม่แบบนี้ ไม่มีซะยังดีกว่า”

(อย่า…….อย่าคิดแบบนั้นลูก มันบาป อย่า)  ลุงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พูดไปลูกก็ไม่ได้ยิน ให้ผมพูดน้องเองก็ไม่ได้ยินเหมือนกัน

“วิณณ์  ทำอะไรสักอย่างซิ”  ผมไปพูดข้างๆ วิณณ์อยากให้ช่วยทำอะไรซักอย่าง สงสารน้องก็สงสาร สงสารลุงก็สงสาร วิณณ์หันมาสบตาและพยักหน้าให้

“นี่ลูกแก้วรู้ไหม  คนเรานะเกิดมาไม่มีใครสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ บางคนอาจจะมีครบทุกอย่างพ่อแม่พี่น้องทรัพย์สินเงินทอง   บางคนอาจจะขาดพ่อ หรือ ขาดแม่  หรือเป็นพ่อแม่ที่ไม่มีลูก บางคนอาจจะมีเงินมีทองหรือไม่มี  แต่พวกเขาบางคนสามารถมีความสุขได้หรือทำให้มีความสุขได้ทั้งที่มีไม่ครบ รู้ไหมเพราะอะไร”

“ไม่คะ”

“เพราะพวกเขาเข้าใจในชีวิตที่มีและที่เป็น พอใจกับมันและทำมันให้ดีที่สุด ถึงมันจะไม่สวยหรูแต่ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิตให้ดี อยู่ให้เป็นความสุขมันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน จำไว้นะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา” 

ผมฟังสิ่งที่วิณณ์พูด ฟังแล้วย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องตัวเอง จริงด้วยซินะไม่มีใครสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างมันอยู่ที่เรา วิณณ์เป็นคนที่คิดบวกเสมอ จิตใจดีและอบอุ่นที่สุด อบอุ่นเสมอเมื่ออยู่ใกล้

“ขอบคุณนะคะ  เอาละ ทีนี้พี่อยากให้หนูช่วยอะไรบอกมาเลยคะ”  เปลี่ยนอารมณ์ไวมาก จากที่เศร้าเมื่อกี้หนูคิดอยากจะกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วก็มาพูดเสียงแจ๋วได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“เอาละตะวัน  ที่นี้ ลุงต้องบอกแล้วละว่า กระดาษอยู่ที่ไหน”  ผมรับคำและหันกลับไปคุยกับลุง


(กระดาษอยู่ที่………………………)





“พี่โจ  พี่กาน”

“ลูกแก้วหายไปไหนมา แล้วไปซนอะไรมาอีก   อ้าว  ผู้กองมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“ไม่ได้ซนซักหน่อยพี่กาน”

“ผมมาส่งลูกแก้วนะครับ พอดีเมื่อกี้น้องเดินหลงไปทางโน้นนะครับ ผมเลยเดินกลับมาส่ง”

“ขอบคุณนะครับ ไหนบอกไม่ซนไง ดูซิลำบากผู้กองต้องพากลับมาเลย”

“รู้แล้วน่า พี่โจ บ่นเป็นคนแก่เลยอายุยังไม่ถึง 30เลยนะ”

“แหนะ ยังมาย้อนพี่อีกนะ ขอบคุณอีกครั้งนะครับผู้กอง”

“ไม่เป็นไรครับ”



“ลูกแก้วอย่าลืมนะ  แล้วโทรบอกพี่ด้วยละ”   วิณณ์น้อมตัวลงไปกระซิบกับลูกแก้ว

“โอเคคะ”




“เรียบร้อยดี?”

“อืม  จากนี้ก็ต้องรอฟังผลจากลูกแก้ว”

“ลุงครับ แล้วลุงจะทำยังไงต่อครับ”    ผมหันไปถามคุณลุง

(ลุงจะไปกับพวกเขา  ถ้าพวกเขาหากระดาษเจอลุงก็คงหมดห่วงไป ลุงจะได้ไปตามทางของลุงซะที ต่อจากนี้จะเป็นยังไงก็ให้เป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ต่อไปแล้วกัน)

“ครับ ผมคิดว่าลูกแก้วต้องทำได้ครับ”

(ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม)

“ยินดีมากเลยครับ”

(อ้อ…….ฝากขอบใจแฟนเอ็งด้วยละ)

“มะ………ไม่ใช่   โธ่ลุงครับ”

(หึหึ)



โอ้ยยยย จะมาหึมาแหะ อะไรเล่าลุงเนี่ย




>> ต่อด้านล่างคะ

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 9 : รอผมหน่อยนะ (17/11/2017) (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 19-11-2017 15:53:21
“คุณลุงไปแล้วเหรอตะวัน”

“ใช่ ลุงบอกว่าแกจะไปพวกลูกๆ ด้วย”

“ปะ  กลับกันเถอะตะวัน”    ระหว่างที่พวกเราเดินมายืนรอลิฟท์





“พี่   พี่คะ”

“วิณณ์  ได้ยินอะไรไหม”

“ได้ยินอะไร?   ไม่นะ”


โอะโอ่  ไม่นะ จะมีอะไรอีก วันนี้ผมไม่ไหวแล้วน้า นึกอยากจะมีเรื่องเข้ามาหาก็ประเดประดังกันเข้ามาไม่ยั้งเลยน้า

(พี่คะ)

โอ้วววววววววว   ไม่นะ    อีกแล้วเหรอเนี่ยยยยยยยยยยยยยย


ร้องโวยวายมันก็แค่นั้น ทำได้ดีที่สุดก็แค่หันไปเผชิญหน้า คราวนี้จะเป็นเรื่องอะไรอีกละเพราะหลังจากที่เพิ่งผ่านเรื่องเมื่อกี้มาทำให้ผมเรียนรู้ได้ว่าการทำภารกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับคนมันละเอียดอ่อน และยากเย็นกว่าการตามแก้คดีของผีซะอีก

“เอ่อ  น้องเรียกพี่หรือเปล่าครับ”

(ใช่คะ เรียกพี่นะแหละคะ)

“น้องมีอะไรหรือเปล่าครับ”

(พี่ช่วยหนูได้ไหมคะ  หนูเห็นพี่กับพี่ผู้ชายอีกคนช่วยลุงคนนั้น พี่ช่วยหนูได้ไหมคะ ขอร้องละคะ)

 “ให้ช่วยอะไรเหรอครับ”

(ช่วยไปบอกพ่อกับแม่หนูให้ที)





พวกเราเดินมากับน้องตามที่น้องเอ่ยชวน และมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง ห้อง ICU  ข้างในมีร่างของเด็กผู้หญิงพร้อมกับสายระโยงระยางรอบตัว ข้างเตียงมีผู้หญิงและผู้ชายคอยอยู่ใกล้ไม่ห่าง


(นั่นคือพ่อกับแม่ของหนู  ส่วนบนเตียงนั่นก็หนูเองคะ ช่วยบอกพ่อกับแม่ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ มันหมดเวลาของหนูแล้ว อย่ารั้งหนูไว้อีกเลย หนูเสียใจถ้าจะต้องตาย แต่ร่างกายหนูไม่ไหวแล้ว และถ้าขืนพ่อกับแม่ยังรั้งหนูไว้แบบนี้ พ่อกับแม่เองก็จะยิ่งเสียใจ)

“ทำไมน้องถึงพูดแบบนั้นละครับ”

(หนูรู้ตัวดีคะ สภาพร่างกายของหนูไม่ตอบสนองต่อการรักษา ยื้อไว้ก็เปล่าประโยชน์)

“น้องเป็นอะไรพอบอกพี่ได้ไหม   เออ..ว่าแต่ชื่ออะไรคะ ยังไม่บอกพี่เลยนะ”

(หนูชื่ออลิซคะ  หนูเป็นมะเร็งเม็ดเลือดตอนนี้เข้าสู่ระยะสุดท้าย ถึงหมอจะบอกว่ายังพอมีโอกาส แต่หนูรู้หนูไม่มีโอกาสนั้นแล้ว โอกาสมันหมดไปตั้งแต่วันที่หมอตัดสินใจทำคีโมครั้งสุดท้ายแล้วคะ)

“…………………..”

(ที่หมอพูดแบบนั้นก็เพื่อปลอบใจแม่ ถึงแม้จะพูดอ้อมๆ ให้เตรียมใจไว้บ้าง แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมฟัง ยังยืนยันให้หมอทำคีโมให้ได้ และผลก็คือหนูไม่ตอบสนองต่อการรักษาและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย

ความจริงหนูต้องตายตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ได้  แต่ที่ร่างกายยังอยู่ได้ก็เพราะเครื่องช่วยหายใจ)


“แล้วอลิซอยากให้พวกพี่ไปบอกพ่อกับแม่ว่าปล่อยให้หนูตายอย่างนั้นเหรอ”

(คะ)

“มันดูโหดร้ายและใจร้ายกับพ่อแม่หนูมากเลยนะ  พี่……พี่ทำไม่ได้หรอก”

(แต่การที่หนูอยู่โดยพ่อกับแม่หวังว่าหนูจะฟื้น แต่แล้วสุดท้ายหนูก็ต้องตาย  มันไม่ทรมานกว่าเหรอคะ พี่คะ   ได้โปรด   ช่วยหนู  ช่วยพ่อกับแม่หนูด้วยนะคะ)


ผมไม่รู้จะทำยังไง เอายังไงดีละ เรื่องนี้มันเกินกำลังวิญญาณอย่างผม แต่เอาเข้าจริงทุกครั้งมันก็ไม่ใช่ผมที่เป็นคนแก้ไขปัญหาอยู่ดีนี่หน่า  ผมหันไปหาวิณณ์และเล่าเรื่องของอลิซให้ฟัง


“วิณณ์ เราจะทำดียังไงละ”

“ตะวัน มันเป็นเรื่องที่เปราะบางมากเลยนะ การที่จะเดินเข้าไปบอกใครว่า ปล่อยให้เขาตายเถอะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

“ตะวันรู้  นี่ไงถึงได้ขอความเห็นของวิณณ์อยู่นี่ไง”

“เห้อออออออ   เอาเถอะคงต้องใช้แผนเดิม  เราต้องเป็นฝ่ายพูดแทน  พูดแทนในนามของน้องเขา”






ก๊อก ก๊อก ก๊อก    ผู้เป็นพ่อเดินมาเปิดประตู


“สวัสดีครับ ผมผู้กองวิณณ์ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณครับ” 

“ครับ?”  คนพ่อเดินออกมาจากห้องและนั่งลงที่เก้าอี้หน้าห้องด้วยท่าทีอิดโรย ผมไม่รู้เลยว่าเขาต้องใช้ความอดทนแค่ไหนที่จะผ่านแต่ละนาที แต่ละชั่วโมง แต่ละวันไป มันยากที่จะต้องอยู่เพื่อทนดูเวลาของคนที่เรารักค่อยๆ เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ


“ผมขอโทษนะครับที่มารบกวนเวลา”

“ครับ ผู้กองมีเรื่องอะไรกับผมเหรอครับ” 

“ผมมีข้อความมาแจ้งครับ จากลูกสาวคุณ   น้องอลิซ”

“……………”   คนพ่อลุกขึ้นมองหน้าวิณณ์ด้วยสีหน้าที่ทั้งโกรธระคนตกใจ

“คุณพูดเรื่องบ้าอะไรของคุณ ผมไม่ตลกด้วยนะ”

“ผมขอโทษนะครับถ้าอะไรที่ผมพูดไปจะทำให้คุณไม่พอใจ แต่ผมไม่มีเจตนาร้ายอะไรกับคุณและกับน้อง ผมแค่ทำหน้าที่นำข้อความมาแจ้งเท่านั้นครับ”





“ข้อความอะไรเหรอคะ”   กลายเป็นผู้เป็นแม่ที่ตามออกมาและเอ่ยถาม

“คุณไม่ต้องสนใจหรอก เรื่องไร้สาระ”  คนพ่อลุกขึ้นและเข้ามาจูงมือคนแม่ให้กลับเข้าห้อง

“คุณคะคุณ  คุณใจเย็นนะ ฟังซักหน่อยเถอะคะ”

“ผมขออนุญาตินะครับ  ผมรู้ว่าน้องอลิซเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย และการทำคีโมครั้งล่าสุดแทนที่น้องจะดีขึ้นมันกลับทำให้น้องไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”

“คุณรู้ได้ยังไง…………..”

“โธ่คุณ ไปฟังทำไม เขาก็คงไปหาข้อมูลมาจากไหน หรือไปถามจากหมอจากพยาบาลมานะซิ คอยดูนะเอาข้อมูลคนไข้มาเปิดเผย ผมจะฟ้องโรงพยาบาล”

“คุณครับ มีเหตุผลและใจเย็นฟังผมซักนิดเถอะครับ”

“ฉันเห็นด้วยนะคะ คุณฟังก่อนเถอะคะ”  คนแม่ท่าทีไม่ได้ดูดีไปกว่าคนพ่อเลย แต่ท่าทีที่แสดงออกมากลับดูสงบและมีสติมากกว่า

“ความจริงผมรู้เรื่องพวกนี้มาจากน้องอลิซ”

“นี่ไง ที่ผมบอก มันไร้สาระพอไหมคุณ ลูกเรายังนอนอยู่บนเตียง แล้วจะไปคุยกับเขาตอนไหน เรานั่งเฝ้าลูกเราตลอด ลูกเรายังไม่แม้แต่จะลืมตา แล้วนี่มาบอกคุยกับลูกเรา ถ้าคุยกันจริง  งั้นก็ต้องเป็น ผี แล้วละมั้ง”


คุณ!!!!   ฮึกกกก”     เมื่อได้ยินประโยคจากปากคนพ่อ คนแม่ก็สะดุ้งพาน้ำตาไหล


“เอ่อ  ผมขอโทษนะคุณ ผมขอโทษ   ส่วนคุณผมให้เวลา 10 นาที อยากพูดอะไรพูดมา เสร็จแล้วผมจะได้เข้าไปอยู่กับลูกผม”   คนพ่อหันมาพูดกับวิณณ์ในประโยคหลัง


“ผมจะพูดแบบสรุปเลยนะครับ  ที่ผมบอกว่าได้คุยกับน้องอลิซเป็นเรื่องจริงครับ น้องอยากให้ผมมาบอกพวกคุณสองคนว่า น้องเขารักพวกคุณมากเหมือนที่พวกคุณรักเขา สิ่งที่พวกคุณทำให้ทุกอย่างน้องเขารับรู้ และดีใจมากที่พวกคุณไม่ทิ้งเขา แต่เขาอยากจะขอร้อง……………..

ขอร้องให้ช่วยหยุด หยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ ร่างกายของน้องไม่ไหวแล้ว น้องไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว
 
ได้โปรด   อย่ายื้อ  เขาอีกเลย”


“คุณ!!!     คุณกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้   กล้าดียังไง  กล้ามาแช่งน้องเขาได้ยังไง   กล้ามาแช่งลูกผมได้ยังไง  ฮึก…ฮึก”


เสียงตะโกนที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความโกรธ


“ผมขอโทษจากใจ  สิ่งที่ผมพูดไปไม่ใช่ไม่หวังดี ไม่ได้แช่งหรือต้องการให้น้องตาย แต่น้องเองก็ทรมาน เห็นพ่อกับแม่เขาเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งทรมาน เขาถึงมาขอร้องผมให้ช่วยพูดแทนเขา”

วิณณ์ต้องใช้สติและไหวพริบอย่างมากในการพูดคุยทุกครั้ง เหมือนกับกำลังเจรจาต่อรองกับคนร้ายก็ไม่ปาน



(พี่คะ ถ้าพูดกับพ่อเรื่องนี้พ่อต้องเชื่อแน่นอนคะ…………………)

ผมตั้งใจฟังวิ่งที่น้องอลิซเล่าให้ฟัง และ       “วิณณ์………………...”



“คุณพ่อคุณแม่ครับ กรุณาฟังผมอีกหน่อยนะครับ เมื่อฟังจบแล้วจะเชื่อหรือไม่แล้วแต่พิจารณาเลยครับ”

“…………………………….”

“ตอนนี้น้องอลิซ 9 ขวบใช่ไหมครับ  ตอนเด็กที่อลิซอายุ 5 ขวบ น้องเคยไปเที่ยวสวนสนุกกับคุณพ่อคุณแม่ ตอนนั้นน้องมัวแต่สนใจกับขบวนพาเหรด ทั้งที่คุณพ่อเตือนแล้วว่าอย่าเดินเข้าไปใกล้มากเพราะจะพลัดหลงได้ แต่น้องก็ไม่ฟัง ยิ่งเดินเข้าไปดูก็ยิ่งใกล้ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งห่างออกไปและด้วยคนที่เยอะทำให้น้องถูกเบียดไปอยู่ในขบวน เลยถูกคนในขบวนพาเหรดชนล้มลงจนหัวกระแทกพื้นเย็บ 3 เข็ม  น้องทั้งกลัว ทั้งเจ็บ แต่ที่กลัวที่สุดคือกลัวคุณพ่อโกรธ แต่สุดท้ายคุณก็ไม่โกรธแก แต่โทษตัวเองที่ปล่อยให้ลูกคลาดสายตา”

“ไม่จริง!!!  คุณรู้ได้ยัง คุณต้องไปสืบมาแน่ๆ”

“เรื่องนี่มี่แต่คุณสองคน และน้องอลิซที่รู้ ถ้าพวกคุณไม่ได้บอกผม แล้วคิดว่าใครบอกผมละครับ อีกอย่างมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปสืบจากใคร นี่คือครั้งแรกที่ผมเจอพวกคุณ เรื่องนี้ผมก็เพิ่งได้ฟังมาวันนี้”


“ไม่จริง  ไม่จริง ใช่ไหม  ก็อลิซยังนอนอยู่ในห้อง  เครื่องช่วยหายใจก็ยังทำงานอยู่  แล้ว………..แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง ฮืออออออ………..ฮึกฮึก”


คุณแม่นั่งลงเอามือปิดหน้าส่งเสียงร้องไห้ ดูแล้วเป็นภาพที่ชวนหดหู่ นี่พวกเราทำถูกแล้วจริงๆ ใช่ไหม การต้องมาทำแบบนี้ รับรู้เรื่องพวกนี้ พวกเราทำถูกแล้วใช่ไหม?


“จะให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังยืนยันว่าข้อความที่ผมถ่ายทอดออกมาผมรับมันมาจากน้องอลิซเขาทุกอย่าง  ทุกคำที่พูดเป็นความสัตย์จริง ผมไม่มีเจตนาร้ายหรือคิดไม่ดีต่อครอบครัวของคุณ และไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะมาหลอกลวงพวกคุณ พวกคุณสามารถตรวจสอบผมก็ได้ว่าผมเป็นตำรวจจริงหรือไม่ ผมยินดี”


“…………………….”

“ตอนนี้ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณแล้วละครับ หมดหน้าที่ผมแล้ว”

“ผู้กองครับ  น้อง………………น้องอลิซ   ลูกผมเขาเป็นยังไงบ้างครับ”

วิณณ์หันมามองหน้าผม



“น้องเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากครับ   และตอนนี้เขาก็กำลังยิ้มให้พวกคุณด้วยรอยยิ้มที่คุณพ่อชอบเรียกเสมอว่า……….ลิงน้อยของพ่อ


“โฮฮฮฮฮฮ” เพียงได้ยินแค่นั้น ผู้เป็นพ่อถึงกับร้องไห้และทรุดขาลงกับพื้น โดยมีคนแม่ที่เคียงข้างไม่ห่าง  แม่เองออกจะดูเข้มแข็งกว่าพ่อมาก หรืออาจจะเพราะเตรียมใจไว้แล้ว


(แม่เข้มแข็งกว่าพ่อมากคะ แม่เตรียมใจยอมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นไว้เสมอ มีแต่พ่อที่ไม่ว่าตอนไหนก็ไม่สามารถยอมหรือปล่อยวางได้เลย หนูขอบคุณพี่สองคนมากนะคะ  แค่ได้บอกพ่อกับแม่ให้เข้าใจหนูก็ดีใจมากแล้วคะ  ขอบคุณจริงๆนะคะ   
ฮึก…ฮึ….กก)





ตี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด




มันเหมือนเสียงสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของผู้เป็นพ่อเพราะทันทีที่เครื่องวัดสัญญาณชีพในห้องส่งเสียงลากยาวขึ้น คนพ่อก็รีบวิ่งเข้าไปในห้อง ร้องไห้ โวยวายไม่หยุด แต่..........


แต่กลับไม่มีการเรียกหมอหรือพยาบาล เลยซักคน


ไม่เรียก และปล่อยให้เวลาผ่านไป   ผ่านไป


พร้อมกับซึบซับช่วงเวลาแต่ละนาทีอย่างทรมาน


ด้วยดวงใจที่แตกสลาย



ผมกับวิณณ์ตัดสินใจเดินออกมาโดยไม่กล่าวคำอำลาใด เพราะแค่นี้พวกเราก็รู้สึกแย่และทรมานใจอย่างที่สุดแล้ว



“ผู้กองคะ” คนแม่วิ่งตามออกมา

“ขอบคุณมากนะคะ ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณทำจะเรียกว่าอะไร  แต่ขอบคุณนะคะ  ขอบคุนมากจริงๆ”

“ครับ  เข้มแข็งและดูแลตัวเองด้วยนะครับ”

“คะ”



“วิณณ์  สิ่งที่เราทำนี่มันดีแล้วจริงเหรอ”

“เราไม่ที่ทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำจะดีหรือไม่ดีกับใคร แค่เราทำสิ่งที่ถูกก็พอ  ตะวันอย่าคิดมากเลยนะ”

“อืมมม”

“ปะ กลับบ้านกัน”

“กลับบ้านกัน”






ตะวันกับวิณณ์พากันเดินออกมาจากโรงพยาบาลโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำเหล่านั้นของวิณณ์ได้อยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งโดยตลอด



หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 10 : ตะวันของสอง (19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-11-2017 16:00:13
โห วันเดียวได้สองเคสเลย (ถ้าเรื่องของคุณลุงสำเร็จน่ะนะ)
ว่าแต่ใครเห็นการกระทำของวิณณ์ล่ะ หวังว่าจะไม่ได้มีจุดประสงค์ไม่ดีนะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 9 : รอผมหน่อยนะ (17/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 19-11-2017 16:01:37
วิญญาณเฮฮาปราตี้
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 10 : ตะวันของสอง (19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-11-2017 16:15:30
 o13

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 10 : ตะวันของสอง (19/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-11-2017 01:42:25
รอบนี้มีคนเห็นตะวันได้อีกคนเหรอ ใครนะ เป็นคนดีหรือไม่ดีหว่า  :confuse:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 11 : พี่ชาย น้องชาย (30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 30-11-2017 22:21:45
ตอนที่ 11 พี่ชาย น้องชาย


[วิณณ์]


ใครว่าเป็นตำรวจจะสบาย ผมนี่เถียงใจขาดดิ้นอย่างน้อยตอนนี้ก็ผมคนนึงละ ว่าคดีมนุษย์โลกยุ่งยากแล้วคดีผียุ่งยากกว่าอีก ฟังไม่ผิดหรอกครับผมกล้าใช้คำว่าคดีมนุษย์ก็เพราะตอนนี้ผมมีวิญญาญมาป้วนเปี้ยนอยู่ด้วยนี่แหละ

มนุษย์เมื่อกระทำความผิดย่อมต้องมีมูลเหตุและแรงจูงใจ เมื่อมีเหตุของการกระทำ ย่อมมีผลของการกระทำเสมอ และผลผลิตของการกระทำเหล่านั้นย่อมมีเศษซากให้เราค้นเจอและพากลับไปยังต้นเหตุได้เสมอเช่นกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องของผี หรือ วิญญาณ ความต้องการที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ และทุกครั้งผมจะรับรู้ได้ก็ต้องส่งผ่านมาทางบุคคลอีกคน   ‘ตะวัน’

และความต้องของผีหรือวิญญาณเหล่านั้นมันก็ช่างมากมายแตกต่างกันเหลือเกิน ความต้องการพบเจอกับคนอันเป็นที่รัก ความต้องการเรียกร้องความยุติธรรม หรือแม้แต่กระทั่งความห่วงหาที่ยังมีให้กับคนที่อยู่  แต่ผมก็โอเคนะ ถือซะว่ามันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่อีกแบบ และอีกอย่างตอนนี้ผมว่าผมเริ่มชินที่จะมีใครอีกคนเข้ามาในชีวิตซะแล้ว


Rrrrrrrrrrrrr

“ครับแม่” เรียกออกไปโดยไม่ต้องรอให้ปลายสายแนะนำตัว ก็ชื่อมันโชว์ไว้แล้วนี่น่า
(ว่าไงลูกชาย  จะมาหาแม่อีกทีวันไหนจ้ะ)

“เย็นนี้ครับ  เดี๋ยววิณณ์กลับกินข้าวด้วยและค้างด้วยครับ”
(ดีเลย ยายน้องสาวตัวแสบบ่นคิดถึงพี่ชายจะแย่อยู่แล้ว)

“บ่นคิดถึงผมหรือเค้กกันแน่ครับ”
(ฮ่าๆ  แม่ว่าน่าจะอย่างหลังมากกว่านะ – อะไรอะแมมมมมม่    เม้าลูกอีกแล้วน้าๆๆ) 

นั่นไงยายตัวแสบของผม ได้ยินเสียงโวยวายแทรกเข้ามาเลย

“ฮ่าๆ งั้นเดี๋ยวตอนเย็นวิณณ์รีบกลับไปหานะครับแม่”
(จ้า ลูกชายสุดหล่อ เดี๋ยวแม่ทำของชอบของวิณณ์รอเลย)

“คร้าบ  บายครับแม่”
(บายจ้า)



สรุปเย็นนี้ผมก็ต้องพาตะวันมาที่บ้านด้วย เหตุเพราะตะวันไม่อยากอยู่คนเดียวในห้อง ผมไม่รู้แล้วว่าตะวันเป็นวิญญาณจริงหรือเปล่า บางทีก็เหมือนเด็กเล่นซนไปเรื่อย  ความมืดก็กลัว  เจอวิญญาณดวงอื่นตะวันก็ยังจะตกใจ แถมกลัวอีกต่างหาก ไม่ชินซักที ตลอดทางที่นั่งมาก็ถามตลอด ช่างพูดช่างสงสัยทุกเรื่อง ไอ้ผมเองก็บ้า พูดอะไรมาก็ฟัง ถามอะไรมาก็ตอบทุกเรื่องเหมือนกัน ยอมใจในความช่างพูดของเขาซะจริงๆ 

ผมเป็นคนไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวและหวงพื้นที่ส่วนตัวมาก ประเภทห้ามใครเข้ามายุ่งเลยเด็ดขาด ขนาดเพื่อนที่สนิทยังไม่รู้เรื่องเยอะขนาดตะวันเลยนะ แต่ถ้าถามว่ารำคาญไหม  แปลกแหะ ไม่เคยมีความคิดนั้นอยู่ในหัว
แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป ก็ไอ้เสียงแจ๋วๆ ของคนข้างๆที่อยู่ๆ ก็เงียบไป ผมเหลือบมองคนด้านข้าง อ้าวเป็นอะไรไปละ เมื่อกี้ยังเห็นมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสนใจ ตอนนี้กลับนั่งก้มหน้าไปซะงั้น

“ตะวัน เป็นอะไรหรือเปล่า”

“หะ!!!!”

“เป็นอะไร อยู่ดีๆ ก็เงียบไปถ่านหมดหรือไง”

“เปล่า ...... ก็ ...... แค่” 


แล้วก็เงียบไป แค่ อะไรละ แต่เอาเข้าจริงผมก็พอจะรู้สาเหตุนะ ถ้าสังเกตุให้ดีจุดที่รถผมกำลังผ่านมันก็เป็น......

.....จุดที่  ตะวัน....ตาย....


“กลัวเหรอ” ผมถามพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือคนข้างๆ ไว้ เพราะจากเวลาที่ผ่านมาพอทำให้ได้รู้ว่า คนข้างกายไม่ได้เก่งกล้าอะไรเลย ออกจะบอบบาง อ่อนไหวด้วยซ้ำ แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งของตะวันคือ การคิดในแง่บวกเสมอ และรอยยิ้มสดใสนั้น
มันก็ไม่แปลกหรอกที่อยู่ๆ ตะวันจะเงียบไป เป็นผมก็คงหดหู่เหมือนกัน

“มันก็.....”

“หืม”

“นิดนึง แต่จริงๆแล้ว เรารู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่า”  พูดไปก็ก้มมองมือตัวเองไป ซึ่งมันบ่งบอกว่าคนข้างๆ คิดมากและรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ขนาดไหน

“วิณณ์จะไม่บอกว่าสิ่งที่ตะวันทำมันผิดหรือถูกหรอกนะเพราะวิณณ์ไม่สามารถไปตัดสินใครได้ วิณณ์เองก็ไม่รู้ว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบตะวัน ตัวเองจะทำอะไรรับมือกับมันแบบไหน เผลอๆ บางทีมันอาจจะแย่กว่าตะวันก็ได้นะ”

“ไม่หรอก วิณณ์นะทั้งเก่งทั้งฉลาด ไม่มาทำอะไรโง่ๆ แบบตะวันหรอก เชื่อซิ”

“หึหึ”


ขนาดหน้าหงอยขนาดนั้นยังพูดไปยิ้มไปได้อีก ผมถึงยิ่งรู้สึกว่าถ้าอะไรจะเหมาะกับตะวันมากที่สุด ก็คงเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีการเสแสร้งใดๆ จากตรงนั้นไม่นานรถก็เข้ามาถึงชุมชนบ้านสวนของผม



“โห วิณณ์ มีคลองด้วย ต้นไม้เต็มเลย บรรยากาศดีกว่าในเมืองอีกอะ”


คนข้างๆ พูดไปก็ตาโตไป ผมขับรถเข้ามาตามถนนเรื่อยๆ โชคดีที่บ้านผมถนนทางเข้ากว้างพอที่รถสามารถเข้าได้ ถ้าเป็นบ้านอยู่ลึกเข้าไปหมดสิทธิ์จะผ่านได้ก็แค่รถเล็กๆ เท่านั้น อย่างพวกจักรยานหรือมอเตอร์ไซต์ ไม่อยากจะบอกว่า บ้านผมนี่ทำเลดีที่สุดละ นอกจากถนนแล้ว ด้านหลังบ้านยังติดคลองอีกด้วย

รถเข้ามาจอดหน้าประตูรั้วสีขาว ผมลงไปเปิดประตูโดยให้ตะวันนั่งรอบนรถและไม่ลืมที่จะหันไปไหว้ศาลพระภูมิหน้าบ้านเพื่อขออนุญาติให้ตะวันเข้ามาในบ้าน มันกลายเป็นสิ่งอัตโนมัติไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเวลาที่ผมไปไหนมาไหนจะต้องยกมือบอกกล่าวขออนุญาติให้ตะวันเข้าบ้าน เมื่อรถเข้ามาจอดภายในตัวย้าน ผมจัดการหยิบของโดยไม่ลืมที่จะหยิบเค้กที่ซื้อมาฝากยายน้องสาวตัวแสบ

“บ้านสวยจัง อยากมีบ้านแบบนี้บ้างอะ”

“เว่อร์น่า”

“ไม่เว่อร์นะ เราอยากมีบ้านแบบนี้จริงๆ ไม่เล็กหรือไม่ใหญ่มาก มีต้นไม้ มีสวนเล็กๆ คงมีความสุขน่าดูเลยละ”

“หึหึ”




“แมมมม่  พี่วิณณ์มาแล้วค่า……………”   เสียงแจ๋วของน้องสาวตัวแสบดังแทรกขัดการสนทนาของผมกับตะวันพร้อมกับรีบวิ่งมาหา อย่าหวังว่าจะมาด้วยความคิดถึงครับ

“ตัว   ตัวซื้อเค้กมาฝากเขาไหม”    นั่นไงเหตุผล หึหึ เห็นแก่ของกินจริงๆ น้องผม

“อะ เอาไปเลย ถือไปเลย ถือไปให้หมดละ”

“ขอบคุณค่า”  พอได้ขนมก็รีบหันกลับเข้าบ้านจนอดแซวไม่ได้

“กินมากระวังอ้วนนะ ลูกหมู” 

“แบรรรรร่”  นั่นไง  ขอแค่มีเค้กตรงหน้า จะว่าอะไรก็ไม่โกรธทั้งนั้น

“หึหึ” 



“ดูวิณณ์กับน้องสนิทกันดีเนอะ   อิจฉาจัง”   หืม ถึงจะพูดออกมาเบาแต่ผมก็ได้ยินประโยคหลังชัดเจน อิจฉา?  แล้วยิ่งทำหน้าตาแบบนั้นอีก

“ก็ต้องสนิทซิ มีกันแค่สองคนพี่น้อง ว่าแต่ทำไมต้องอิจฉา แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยละ”

“ได้ยินด้วยเหรอ...”

“อืม”

“ก็ เราอะ.... เป็นลูกคนเดียว ถึงจะมีพี่วายุ คอยดูแลอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา แต่เราเองก็อยากจะมีพี่น้องแท้ๆ กับคนอื่นบ้าง”

“พี่วายุของตะวันได้ยินแบบนี้จะเสียใจเอานะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น.....เราก็ดีใจที่พี่วายุเป็นพี่เรา แต่เราเองก็อยากมีพี่น้องแท้ๆ อะ วิณณ์เข้าใจเราไหมอะ”

จริงๆ ผมแค่แกล้งแหย่ไปแค่นั้นแหละ ทำไมผมจะไม่รู้ การที่เรามีพี่น้องที่มีสายสัมพันธ์เดียวกับเรามันก็ดีกว่าอยู่แล้ว

“แต่ว่านะตะวัน เราเลือกไม่ได้หรอกว่าอยากจะมีพี่น้องแบบคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง”

“..............”

“พี่น้องข้างบ้าน พี่น้องร่วมโรงเรียน  ร่วมมหา’ลัย  พี่น้องในที่ทำงาน หรือแม้แค่บังเอิญมาเจอกันก็อาจจะเป็นพี่น้องกันได้  วิณณ์ว่ามันสำคัญตรงไหนรู้ไหม  สำคัญที่คำว่าพี่น้องที่เรายินดีใช้กับใครมากกว่า”

“งั้น อย่างตะวันเป็นน้องวิณณ์ได้ไหมอะ”

“ได้ซิ แต่คง…..”

“คงอะไร?”

“คงเป็นน้องที่ตัวโต ที่ทั้งดื้อ ทั้งซน แถมยังขี้แยอีกด้วย”

“วิณณ์!!!”

“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นคร้าบบ  เป็นได้ซิ ตะวันเป็นน้องวิณณ์ได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็อยู่ด้วยกันจนตัวติดกันอยู่แล้ว”

คนฟังได้ยินก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ซึ่งจริงๆ ผมก็คิดแบบนั้น ผมเหมือนมีน้องชายคนกลางเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ตะวันอายุ 20ปี ห่างจากผม 7ปี และห่างจากดาริน1ปี ถึงแม้ตะวันจะอายุมากกว่าดาริน แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าตะวันนิสัยเด็กมากกว่าดารินซะอีก



“พิ่วิณณ์ ยืนทำอะไรนะ ไม่เข้าบ้านเหรอ”

“ครับคุณผู้หญิง ไปเดี๋ยวนี้แล้วครับ”

“แปลกคนจริงเลย  ทำไมเหมือนยืนคุยกับใครอยู่”  ผมหันไปมองหน้ากับตะวันแล้วก็ต้องแอบอมยิ้ม ผมไม่ได้แอบคุยนะ แค่คนที่ผมคุยด้วยคนอื่นไม่เห็นเท่านั้นเอง

“สวัสดีครับแม่ คิดถึงจัง”   ผมทักพร้อมเดินเข้าไปกอด

“เอาหน้าอีกแล้วนะ”

“จะกินไหมเค้กนะ”

“พี่วิณณ์!!!   แม่ดูดิ พี่วิณณ์แกล้งน้อง”

“หึหึ  พอเลยทั้งคู่ วิณณ์กินอะไรมาหรือยังลูก”

“ยังเลยครับ มารอกินฝีมือแม่นี่ละ”

“งั้นไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วค่อยมากิน”

“ครับ”

วิณณ์พูดจบก็เดินขึ้นบ้านพร้อมตะวันที่เดินตาม โดยไม่รู้เลยว่าคนร่างบางที่เดินตามมาจิตใจห่อเหี่ยวไปถึงไหนแล้ว











[ตะวัน]


ถึงแม้จะพูดว่าอยากเป็นน้องของวิณณ์  แต่หากรู้สึกว่าเป็นได้แค่นั้นมันก็รู้สึกหน่วงขึ้นมันเจ็บจี๊ดแบบไม่รู้ตัว  ยิ่งเห็นความอบอุ่นใจดีของวิณณ์เมื่ออยู่กับแม่และน้องสาว เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็อิจฉา อิจฉาที่อยากจะเก็บเอาไว้คนเดียว

“โอ้ยยยย  เป็นอะไรของนายเนี่ยตะวัน ไปอิจฉาพวกเขาได้ยังไงกัน นั่นแม่กับน้องสาวของวิณณ์นะ”  คิดได้แค่นั้นแต่สุดท้ายก็......


“เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออ”


“เป็นอะไรตะวัน ถอนหายใจซะยาวเลย”

วิณณ์เข้ามาหลังจากที่ตะวันยืนยันว่าจะรออยู่บนห้องและปล่อยให้วิณณ์ได้ใช้เวลากับครอบครัว เขาไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอ แสดงความอิจฉาออกหน้าออกตาให้วิณณ์เห็น อีกอย่างถ้าวิณณ์เกิดคุยกับเขาขึ้นมา แม่กับน้องสาววิณณ์ได้สงสัยแน่ๆ เขาเลยตัดสินใจนั่งรอบนห้องดีกว่า

“ว่ายังไงเป็นอะไร ถอนหายใจยาวเชียว”

“คิดอะไรนิดหน่อย”

“เป็นผีมีเรื่องคิดมากกับเขาด้วยเหรอ”

“.........” เออ ใช่ซิ เขามันก็แค่ผีตัวเล็กๆ วิญญาณดวงน้อยๆ ไม่มีสมองให้คิดมากอะไรหรอก ไม่น่าสนใจ แถมยังทำตัวน่ารำคาญอีก หึ่ยยยย ว่าแล้วก็ทำหน้าบึ้งต่อไป

“เอ้า  เป็นอะไรอยู่ดีๆ ก็ทำหน้าบูดบึ้งขนาดนั้น โกรธอะไร?  หรือว่าโกรธที่ให้อยู่คนเดียว”


กึกกกกกกกก


ไม่ได้โกรธเว้ยยยย  มันก็แค่.......

อิจฉา

แล้วก็น้อยใจ 


เห้อแต่จะให้พูดได้ยังไงละ อิจฉาทำไมยังไม่รู้รู้แต่อิจฉา น้อยใจทำไมก็ยังไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำ

“หรือว่าเหงาที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว”

“.................”

“ตะวัน........”

“.................”

“ตะวันเป็นอะไร อย่าเงียบซิ พี่ถามก็ต้องตอบรู้ไหม”

“!!!!!!!”   คนพูดไม่พูดเปล่า จูงมือผมพามานั่งบนเตียงข้างๆ ด้วยกัน  แต่มัน ......... เขิน......

เขินที่วิณณ์เรียกตัวเองว่าพี่ 

เขินที่วิณณ์จูงมือเขามานั่งด้วยแล้วยังถามต่อด้วยความห่วงใย


ก็จริงนะวิณณ์ห่วงใยเขาเสมอ แล้วเขามัวมาอิจฉาแม่กับน้องสาววิณณ์เป็นเด็กๆ ไปได้ยังไง

“เรา.....”

“...................”

“เราอยากให้เราเป็นคนหนึ่งที่วิณณ์ใส่ใจห่วงใยแบบนั้นบ้าง ‘อาจจะอยากให้มากกว่าด้วยซ้ำ’ดูเราเป็นเด็กขี้อิจฉาเนอะ”

“...................”

“แม่กับน้องสาววิณณ์แท้ๆ เรายังไปอิจฉาได้อีก เฮ้อออออออออออ  สงสัยเราต้องเป็นเด็กขาดความอบอุ่นแน่ๆ”

ถึงจะบอกออกไปแบบนั้น

แต่...........มันก็อิจฉาอยู่ดี!!!



คนพูดก็พูดไป คนฟังก็ได้แค่ฟัง แต่ตะวันเองก็คงไม่ทันได้คิด ว่าวิณณ์เองก็รู้สึกไม่ต่างกันเลย วิณณ์อยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตะวันเช่นกัน อดีตผ่านมาแบบไหนไม่รู้วิณณ์รู้แค่ว่า เขาอยากให้มีตะวันอยู่ข้างๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ


มันคืออะไร?


สงสัยเขาก็คงจะขาดความอบอุ่นเหมือนกันมั้ง......







[วิณณ์]


หลังจากผมตื่นมาในตอนเช้า พวกเรา 4 คน (ก็ต้องนับ 4 อะนะ ก็ผมมีตะวันมาด้วยอีกคนนี่นา) พากันมาตลาดตอนเช้า สมัยก่อนผมชอบมากับแม่ช่วยหิ้วตะกร้าถือของ แถมยังต้องทั้งลากทั้งจูงยายดาริน ไม่งั้นยายตัวแสบก็จะแวะร้านขนมกับของเล่นตลอดทาง มันเป็นภาพที่ชินตาของคนในชุมชน จึงไม่แปลกที่พวกเราจะสนิทกับคนในชุมชน นึกแล้วก็ตลกมือผมเหมือนมือปลาหมึกเลยตอนนั้น แต่หลังจากที่ผมสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ จนเรียนจบและเข้ารับราชการ ผมก็ยุ่งจนไม่มีเวลา

จากบ้านมาตลาดเดินไม่ถึง 10นาทีก็ถึง พวกเราเดินบนถนนเลียบคลอง ข้างทางที่มีต้นไม้ก็ไม่ได้ทำให้ร้อนแถมอากาศยังเย็นสบายอีกต่างหาก แต่ดูท่าตอนนี้ผมคงต้องเปลี่ยนความคิดวะใหม่แล้วละเพราะนางสาวดารินไม่ได้เป็นเด็กหญิงดารินที่จะวิ่งเข้าออกเหมือนตอนเด็กอีกแล้ว ตรงกันข้ามกลับเป็นเด็กชายตะวันที่ดูจะตื่นเต้นกับการมาตลาดซะมากกว่า  ผมชักสงสัยเวลาอยู่บ้านตะวันจะเป็นยังไง ทุกครั้งที่ตะวันได้ไปสถานที่ข้างนอกทั้งที่มันก็เป็นสถานที่ปกติที่พวกเราต้องเคยไปอยู่แล้ว ตะวันจะตื้นเต้นและดีใจทุกครั้ง

ยิ่งเห็นแบบนี่ยิ่งห่วง

ซื่อจนน่าห่วง

ห่วงว่าจะถูกหลอกอีก

...................ตอนที่ตะวันกลับเข้าร่างได้ 



ตอนนี้ผมทำได้แค่ส่งสายตาให้เขารู้ว่าอย่าซนจนเกินเหตุและอย่าเดินไปไกลจากผม หลงกันไปยังไม่ลำบากเท่ากับตอนนี้ถ้าใครจะสังเกตุซักนิดว่าผ้าที่ปลิวอยู่นั้นมันออกจะ....แปลก......ไปซักหน่อย   เพราะมันปลิวได้ทั้งที่ไม่มีลม!!!

จะคุยจะเรียกก็ทำไม่ได้ คนอื่นได้ยินก็คงคิดว่าผมบ้าพูดคนเดียว แถมยายน้องสาวตัวแสบก็ยังลากให้ผมเดินตามไปทุกทาง

“พี่วิณณ์  พี่วิณณ์ว่า.....”

“ว่า???”

“พี่วิณณ์ว่า.......ผ้ามัน..........ปลิวแปลกๆ ไหมอะ ลมก็ไม่เห็นมี”

“!!!!”  นั่นไงละ ว่าแล้ว น้องสาวผมนอกจากช่างพูด ช่างสงสัย และช่างถามแล้วแล้วยัง เอ่อ.....ช่างอยากรู้

“พี่วิณณ์ เดินไปดูกัน”

“หะ..............ไม่ต้อง”  น้องสาวผมสะดุ้งที่ผมเผลอตะโกนออกมาเสียงดัง

“ไม่  ไม่  เดี๋ยวพี่เดินไปดูให้ อยู่เป็นเพื่อนแม่นี่ละ”


ผมรีบผละออกมาเพื่อเดินไปยังตัวก่อเรื่อง จากหยิบจับผ้า ตอนนี้เริ่มลามมาที่ของชิ้นเล็กๆ ในตะกร้าแล้วผมต้องแกล้งทำเป็นเดินดูนั่น หยิบนี่ แล้วกระซิบกับตะวัน เพื่อไม่ให้คนขายสงสัย


“นี่ตะวัน บอกแล้วไงอย่าซน วางเลยนะ”

“เปล่านะ ตะวันไม่ได้ซน แค่อยากดูอะ”

“ดูได้ แต่ห้ามหยิบหรือจับอะไร”

“ทำไมละ”

“มันจะน่าสงสัยไหมละ ถ้าอยู่ดีๆ ของก็ลอยขึ้นมาอะ”




“ชอบอันนั้นเหรอคะพี่ แต่หนูว่ามันจะดูไม่ค่อยเข้ากับผู้หญิงเท่าไหร่นะคะ อันนี้ดีกว่าไหมคะ”

“ครับ?”  ผมมองตามที่คนขายชี้มาสิ่งที่อยู่ในมือผม

“จะซื้อให้แฟนเหรอคะ หนูว่าอันนั้นดูผู้ชายไปซักหน่อย อันนี้น่าจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่านะคะ”
 
“แฟน?”

“ก็นั่นไงคะ”  แล้วคนขายก็ชี้ไปยัง น้องสาวผม!!!  อ่อออ  ยายดารินกลายเป็นแฟนผมไปซะแล้ว

“แหะๆ ไม่ใช่ครับ นั่นน้องสาว แล้วพี่ก็ยังไม่มีแฟนครับ”

“อ้าวเหรอคะ หนูก็นึกว่าแฟน หล่อๆแบบพี่ยังไม่มีแฟนได้ไงคะเนี่ย”  ผมได้แต่อมยิ้มจะให้ตอบว่ายังไงละครับ วันๆ ก็ทำแต่กับงาน เอาเวลาที่ไหนไปหา ถึงหามาได้ก็คงไม่มีเวลาดูแลเขาอีก ปล่อยผมอยู่อย่างนี้ดีแล้วละ

“พี่ยังไม่มีแฟนและคิดว่าตอนนี้คงยังมีไม่ได้ด้วย เพราะต้องคอยดูแลเด็กคนนึง อายุก็ 21 แล้วนะ ยังซนเป็นเด็กอยู่เลย น้องเชื่อพี่ไหมละ”

“น้องสาวพี่นะเหรอคะ”

“ไม่ใช่ครับ  คนนี้..........พิเศษกว่าน้องสาวอีก

“????”

“งั้นพี่ขอสองเส้นนี่เลยแล้วกันครับ”  ผมยื่นสร้อยที่ตะวันจับอยู่เมื่อกี้ กับสร้อยเส้นที่น้องคนขายแนะนำว่าเหมาะกับผู้หญิงให้พร้อมกับจ่ายเงิน แล้วเดินออกมา


“นี่!!!.......วิณณ์หาว่าตะวันซนเป็นเด็กเหรอ”

“เปล่านะ ไม่ได้เอ่ยชื่อด้วยนะ”

“เหอะ  รู้หรอกว่าว่าเรา”  พูดแบบนั้นแล้วก็เดินหน้าบึ้งไปทางฝั่งที่แม่กับน้องผมยืนรออยู่




“ซื้ออะไรมาพี่วิณณ์”

“อะ”

“ตัวซื้อให้เขาเหรอ โหยยย ใจดีที่สุดเลยคุณพี่ชาย”

“ได้ของฟรี นี่ปากหวานเลยนะ”

“อิอิ แน่นอน.. แม่ขา เราเดินไปดูขนมร้านยายพงกันเถอะคะ”  แม่ผมเองยังอดหัวเราะไม่ได้กับอาการของน้องสาวผม ของอร่อย ของฟรี นี่เอามาใช้ได้ผลกับน้องสาวผมเสมอ  และคนร่างบางก็ยังคงทำหน้าบึ้งใส่ผม อยากจะง้อหรอกนะ แต่ว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ถ้าจะง้อกันตรงนี้


กว่าจะเสร็จจากตลาดเดินกลับบ้านก็ 8โมงครึ่ง ผมช่วยแม่ถือของเข้าไปไว้ในครัวและเก็บของบางส่วนที่ผมพอจะรู้ว่าต้องจัดการยังไง ส่วนตะวันก็งอนเดินขึ้นห้องไปแล้ว  -__-  นี่โกรธจริงจังขนาดนั้นเลย?  แต่ก็เอาเป็นเวลาเดี๋ยวผมค่อยไปง้อนะ


“วิณณ์ เดี๋ยวกินข้าวก่อนค่อยกลับนะลูก”

“ครับแม่”

ผมเดินออกมานั่งกับยายดารินด้านหน้าระเบียง

“ทำอะไรดาริน”

“เขาทำรายงาน ต้องส่งวันศุกร์นี้แล้ว ยังไม่ถึงไหนเลย ตัวช่วยเขาทำหน่อยซิ”

“เรื่องซิ รายงานตัวเองก็ต้องทำเองซิ”

“ชิ แล้งน้ำใจ”  หึหึ  ผมไม่ได้ว่าอะไรน้องสาว เหมือนกับที่รู้ว่าน้องเองก็ไม่ได้ว่าผมอย่างจริงจังอะไร

“นี่ตัว  ตัวรู้ไหมที่มหา’ลัยเขานะ มีข่าวนักศึกษาชายปี 4 ฆ่าตัวตายด้วยละ เห็นว่าพยายามเดินให้รถชน ถึงแม้จะไม่ตายแต่ก็อาการสาหัสยังไม่รู้สึกตัวเลญ  พวกนักศึกษาพูดว่าพี่เขาฆ่าตัวตายเพราะอกหัก ถูกแฟนหลอกแต่ที่ตกใจไปกว่านั้นตัวรู้ไหมอะไร”

“.........................”

“พี่เขาเป็นผู้ชายทั้งคู่”

“ทำไมละ มันไม่ดีเหรอ”

“เปล่าซะหน่อย นี่มันสมัยไหนแล้วตัวไม่รู้เหรอ จะชายชาย  หญิงหญิง หรือชายหญิง ไม่มีใครเขามาคิดเล็กคิดน้อยแล้ว ความรักเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และสวยงามเสมอไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร”

“ทำเป็นรู้ดีนะเรา”

“อิอิ......... เฮ้ออ  แต่น่าสงสารพี่เขาจริงๆนะ คนที่เป็นแฟนพี่เขาก็ช่างใจร้าย”  ผมไม่ได้ตอบอะไรในสิ่งที่น้องสาวพูด แค่ฟังเรื่องนี้ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเป็นเรื่องของใคร


หลังจากจัดการกับข้าวฝีมือแม่เรียบร้อย ผมก็ต้องลาแม่เพื่อกลับมาสะสางงานต่อ บอกแล้วว่าทำงานแบบนี้อย่าว่าแต่มีแฟนเลย เวลาหายังไม่มีเลยครับ


‘ตัวคราวหน้าเอาเค้กร้านเดิมที่ตัวเคยซื้อมานะ เขาอยากกินขอบคุณคะ’


และนี่คำสั่งของน้องสาวตัวแสบของผม จะมีบ่นคิดถึงพี่ชาย หรือแสดงความเป็นห่วงไม่มีซักคำ นอกจากสั่งและห้ามลืมเด็ดขาด ขนม

แต่ผมว่าปัญหาผมตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่น้องสาวผมหรอกครับ อยู่ที่คนนั่งข้างๆ มากกว่า เพราะตั้งแต่กลับจากตลาดจนถึงบ้านและเลยมาถึงบนรถตะวันก็ยังคงเงียบไม่ยอมพูดกับผมซักคำ


“ตะวัน”
--- เงียบ ---


“ตะวันครับ”
--- เงียบ ---


“ตะวันครับ พี่วิณณ์เรียกไม่สนใจกันหน่อยเหรอ”

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาแทนตัวว่าพี่ เพ่อ อะไรทั้งนั้น มีอย่างที่ไหน เป็นพี่ แต่ชอบแกล้งน้อง”

“เดี่ยวซิ  วิณณ์ไปแกล้งอะไรตะวัน”

“ก็ที่ตลาดไง อย่าบอกนะว่าลืม   เออออ...ใช่ซิ  คนไม่สำคัญไง ก็เลยลืมไง”

“........................”

“แล้วก็เห็นอยู่ว่าตะวันจับสร้อยเส้นนั้นอยู่ วิณณ์ก็มาแย่ง”

“ตะวัน”

“จะซื้อไปให้ใครที่ไหนละ”

“ตะวัน.....”

“นิสัยไม่ดี ไม่ ไม่ ไม่ ไม่อยากคุยกับวิณณ์แล้ว”
 

เดี๋ยวนะ ผมว่าชักไปกันใหญ่แล้ว บ่นยาวแบบไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แทรกเลย


“ตะวันเงียบ!!!  ฟังก่อน”  เงียบจริง เงียบเลย แถมยังทำหน้าตกใจที่ผมเสียงดังขึ้นมา


“ตะวันฟังก่อน ถ้าตะวันโกรธเรื่องที่หาว่าตะวันเป็นเด็กดื้อหรือเด็กซนอะไรนั่น วิณณ์ไม่ตั้งใจจะว่าแบบนั้น ขอโทษนะ ส่วนสร้อยนะวิณณ์รู้ว่าตะวันอยากได้ และที่ซื้อมาไม่ได้ให้ใคร แต่เอามาให้ตะวัน”  ผมพูดพร้อมกับหยิบสร้อยเส้นนั้นออกมา

“ยื่นมือมา”

“............”

“ตะวัน”

“ชิ” 

“ไม่ อีกข้างนึง”  ถึงแม้จะทำเสียงสบถไม่พอใจแต่ก็ยอมยื่นมือมาให้  ผมเลือกที่จะสร้อยเส้นนี้ที่ข้อมือข้างขวา

“จะโกรธอะไรวิณณ์ขนาดนั้น ถึงตะวันจะดื้อจะซนขึ้นมากกว่านี้ วิณณ์ก็ไม่ว่าหรอกแต่อยากให้เชื่อกันบ้าง”  คนฟังยอมนั่งเฉยๆ โดยไม่เถียงอะไรออกมา

“ส่วนสร้อยนะตั้งใจว่าจะซื้อให้ตะวันอยู่แล้ว คิดว่าจะซื้อไปให้ใครที่ไหน”

“ไม่รู้เหรอ ก็เห็นบอกว่า คนพิเศษกว่าน้องสาวอีก ก็นึกว่าจะซื้อไปให้ใครที่ไหน”



“พิเศษกว่าน้องสาว ก็.................น้องชายคนนี้ไง  มีแค่ตะวันคนเดียวก็เหนื่อยเกินกว่าจะไปดูแลใครแล้วละ”



“วิณณ์!!!”

“โอ๋ๆๆๆ  ล้อเล่น”




แล้วประเด็นที่ถกเถียงกันวันนี้ก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเล ต่างคนต่างไม่รู้ ว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบต่างออกไป จากตอนแรก จากแค่เป็นคนที่ผ่านมา เริ่มใกล้ชิดจนคุ้นเคย เพิ่มขึ้นคือความห่วงใยใส่ใจซึ่งกันและกัน และมันจะยังเปลี่ยนแปลงไปได้อีก มากขึ้นได้อีก คงต้องรอเวลาให้ทั้งคู่รู้ตัวเท่านั้น



ว่าแต่ว่าทำไมวันนี้ใครๆ ก็ชอบเรียกแต่ชื่อ วิณณ์  ผมทำอะไรผิดเหรอ

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 11 : พี่ชาย น้องชาย (30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-11-2017 22:33:55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 11 : พี่ชาย น้องชาย (30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-11-2017 22:52:10
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 11 : พี่ชาย น้องชาย (30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-12-2017 01:14:40
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 11 : พี่ชาย น้องชาย (30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-12-2017 02:01:00
วันนี้เป็นน้องชาย วันหน้าจะเป็น......................... หรือป่าวนะ  o18
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 11 : พี่ชาย น้องชาย (30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 01-12-2017 13:11:02
วิณณ์
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 11 : พี่ชาย น้องชาย (30/11/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 01-12-2017 14:16:12
น่ารักจ้า สู้ๆ ขอให้ทำภารกิจสำเร็จจ้า
แต่ใครตามดูอ่ะ ชักสงสัยแล้ว
 :L2:  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 12 : แนวร่วม (05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 05-12-2017 23:02:17
ตอนที่ 12  แนวร่วม

[ตะวัน]


ออกจากบ้านสวนวิณณ์ก็ตรงมาที่คอนโดเลย กว่าจะถึงก็บ่ายเข้าไปแล้ว ตลอดทางกลับมาพวกเราก็เถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างที่รู้แหละครับ ก็คนมันงอนอะไรก็พาลไปหมด เข้าใจผมเถอะนะครับ

หลังจากจอดรถเรียบร้อยพวกเราก็เดินไปที่ลิฟท์ ผ่านกลุ่มเสวนาของพวกแม่บ้านประจำหอ ไม่ใช่แม่บ้านที่ทำความสะอาดคอนโดนะครับ แม่บ้าน บรรดาเมียๆ ทั้งหลาย ที่ไม่ต้องออกไปทำงานเสร็จจากส่งลูก ส่งสามี ทำงานบ้าน ก็รวมตัวกันตั้งกลุ่มถกปัญหาวาระสามีแห่งชาตินะแหละครับ 



“นี่หล่อน เมื่อคืนนะได้ยินพวก รปภ เขาพูดกันว่ามีคนแปลกหน้ามากด้อมๆ มองๆ แถวคอนโดเราละ”

“จริงเหรอเธอ แล้วพวกมันมาทำไมกัน”

“นั่นซิๆ น่ากลัวนะ เกิดมาปล้นหรือดักจี้คนในคอนโดทำยังไงเนี่ย”

“ไม่รู้เหมือนกันนะเธอ ‘นี่ แต่เขาว่ากันนะว่า วันก่อนก็มีพวกแปลกหน้ามาหาคนในคอนโดเรานี่แหละ”

“ว้ายตายแล้ว จริงเหรอ มาหาใคร”

“นั่นซิมาหาใคร”

“ก็ยายแอนนมโต หุ่นสะบึ้มชั้น 4 ไงละเธอ”

“จริงเหรอ”

“จริงซะยิ่งกว่าจริง เห็นเขาว่าน่าจะเป็นพวกเด็กเสี่ย”
 



เห้อออ  สงสัยจะว่างไม่มีงานทำกัน รู้ลึกรู้จริงไปซะหมดทุกเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับละครับว่าจากสถิติถ้าอยากจะรู้อะไรให้สืบจากคนในพื้นที่ และเปอร์เซ็นต์ความน่าเชื่อถือก็ยังเกินครึ่งอีกด้วย แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอยู่ดี  ผมก็เลยเดินผ่านพวกเธอและตรงไปยังลิฟท์


“อุ้ย ผู้กองสวัสดีคะ วันนี้ไม่เข้าเวรเหรอคะ”

“สวัสดีครับ ไม่ได้เข้าเวรครับวันนี้วันหยุด”

“ช่วงนี้ดูผอมไปไหมคะ กินเยอะๆนะคะ รักษาสุขภาพด้วย ไม่สบายไปจะแย่เอา เดี๋ยวแม่ยกในคอนโดใจสลายกันหมด”

“ครับ ขอบคุณนะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ตามสบายเลยคร้า ผู้กอง”


แต่ยังไม่ทันที่วิณณ์จะพ้นระยะวงสนทนามา สมาคมแม่บ้านก็ยังไม่เลิก ซุบซิบๆๆๆ


“หล่อเนอะเธอ ป่านนี้ยังไม่มีแฟนอีก เสียดายจัง ถ้ายังไม่แต่งงานผู้กองนี่เป็นของฉันไม่มีพลาด”

“ฝันหรือยะเธอ เป็นป้าผู้กองไปก่อนเถอะ”

“ฮ่าาาาาา”




เมื่อลิฟท์มาวิณณ์ก็รีบดันผมให้เข้าไปในลิฟท์อย่างเร็ว  พร้อมกับทำหน้าเหนื่อยเต็มที่

“ดีนะ ไม่สนเหรอ นี่..”

“สนอะไร?”

“ก็มีแฟนรุ่นป้า เก่งไปหมดทุกอย่าง สบายเลยนะ”

“ไม่ตลกนะตะวัน”

“ก็ไม่ได้พูดให้ตลก พูดเรื่องจริง”

“………..”

“น่าสนน้าาาาา”

“น่าสนเหรอ หะ น่าสนเหรอ นี่แน่ๆๆๆ”  วิณณ์จัดการล๊อคคอผม แล้วเอามือมาบีบแก้ม เจ็บก็เจ็บ แถมยังเอามาจั๊กกะจี้ที่เอว ที่ตัวอีกต่างหาก

“ไม่ ไม่ วิณณ์ อย่างแกล้งไม่เอา อย่า………อย่า”

“ฮ่าาาาา”

“ฮ่าา  ไม่ ไม่ พอ……พอแล้ว”

“ยอมหรือยัง หะ  ยอมไหม”

“ยอม ยอม ยอมแล้วคร้าบ ยอมแล้ว”

“โอ้ยย หัวเราะจนปวดกราม ท้องแข็งไปหมดแล้ว เล่นบ้าอะไรเนี่ย”

“ทีหลังห้ามล้อเรื่องแบบนี้อีกนะ วิณณ์ไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าสามีหรือลูกเขามาได้ยินจะเข้าใจผิดเอา”

“นี่วิณณ์ลืมอะไรไปหรือเปล่า………ตะวันเป็นวิญญาณนะครับ เขาไม่ได้ยินตะวันหรอกว่าพูดอะไร”

“เออ แต่ก็เป็นวิญญาณที่แปลกนะ เวลาอยู่กับตะวัน วิณณ์ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเป็นวิญญาณ วิณณ์รู้สึกว่าตะวันเป็นคนมากกว่า”

“ทำไมอะ?”

“ก็วิญญาณที่ไหนให้จับได้แบบนี้...…”   


แล้ววิณณ์ก็เอื้อมมาจับมือ      ตึก     ตึก    เลื่อนมาจับไหล่      ตึก     ตึก



ขยับมาจับหน้า     ตึก  ตึก  ตึก     จับแก้ม…………….จับหัว      ตึก ตึก ตึก ตึก



“แล้วไงวิญญาณแบบไหน ทำได้แบบนี้……”

“เหวออออ   อะไร  ทำอะไร”  เขาทำอะไรนะเหรอครับ ก็วิณณ์เล่นดึงผมเข้าไปกอดหน้าผมจมหายไปที่อกวิณณ์

โอ้ยยย  แย่แล้ว อารมณ์แบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ แย่แล้ว แย่แน่ๆ

“ปล่อยได้แล้วว  ไม่อายหรือไง”

“อายทำไม ก็คนอื่นมองไม่เห็น มีแต่วิณณ์เห็น แล้วตอนนี้ก็เห็นเต็มตาด้วย”

“อะไร เห็นอะไร?”

“ก็…………..วิญญาณหน้าแดงได้ด้วย”




ติ๊งงง 


ดีนะที่สัญญาณลิฟท์ดังขึ้นก่อน ผมเลยรีบวิ่งหนีออกมา ไม่งั้นผมคงถูกแกล้งต่ออีกแน่ หน้าแดงบ้าอะไร วิญญาณหน้าแดงได้ด้วยเหรอ วิญญาณมันควรจะซีดๆ ขาวๆ ดิ วิณณ์ต้องแกล้งอำผมแน่ หนอยย เป็นคนคิดจะมาหลอกผีงั้นเหรอ


ว่าแต่ก็อยากเห็นนะ หน้าแดงเป็นยังไง


เอ๊ะ ว่าแต่ใครกันมายืนอยู่หน้าห้องวิณณ์  หา…..ผู้หญิงคนนั้น!!!

“คุณแอน?” 

“ผู้กองงงงงงงงงงง”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เอ่อ  แอนมีเรื่องจะคุยกับผู้กองนะคะ”

“ครับ?”

“เอ่อ……….”

“คุณแอน………….จะคุยอะไรกับผมนะครับ”

“คะ?”

“เรื่อง?”

“ไม่เป็นไรดีกว่าคะ ไว้วันหลังแอนมาใหม่นะคะ”



ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็รีบเดินไปที่ลิฟท์   เอ…ผู้ชายคนนั้นอยู่ชั้นนี้เหรอ ไม่เคยเห็นแหะ ‘พักนี้มีแปลกหน้ามาด้อมๆมองๆที่คอนโด’ หรือว่าที่สมาคมแม่บ้านพูดกันจะหมายถึงคนนี้ ท่าทางคุณแอนก็แปลกๆนะ เดินก้มหน้าไม่ยอมมองหน้าผู้ชายคนนั้นอีก เขาเดินผ่านพวกผมไป ผมกับวิณณ์ก็ไม่ได้สนใจอยากรู้ว่าห้องอยู่ไหน


ว่าแต่…….ทำไมวิณณ์ไม่เปิดประตูเข้าไปซักทีนะ ยืนหันหน้าเข้าประตูนานแล้วนะ


“นี่ ประตูมันมีอะไรน่าจ้องขนาดนั้น ไม่เข้าห้องเหรอ”  วิณณ์ไม่ได้ตอบแต่ก็เปิดประตูเข้าห้องไป เมื่อผู้ชายคนนั้นเลี้ยวขวาที่สุดทางเดินไป

“วิณณ์  นี่วิณณ์  เป็นอะไร”

“……….”

“มีอะไร เป็นอะไรหรือเปล่า”

“หืมม  เปล่า ไม่เป็นอะไร”  ถึงปากบอกว่าไม่มีอะไร แต่จากที่ดูแล้วผมคิดว่าน่าจะมี แต่ถ้าวิณณ์ไม่อยากบอก ผมไม่เซ้าซี้ก็ได้






ณ สน.


“ผู้กอง สวัสดีครับ กลับบ้านเป็นยังไงบ้างครับ คุณแก้ว กับหนูริน สบายดีไหมครับ”

“สบายดีครับจ่า ขอบคุณนะ”

“วันนี้มีคดีอะไรไหมจ่า”

“สายของเรารายงานมาว่า จะมีการส่งของอีกล๊อตภายในหนึ่งหรือสองอาทิตย์นี้ สายบอกเราว่าพวกมันน่าจะเคลื่อนไหวไม่เกิน 24 ชม. ก่อนส่งยา เพราะกลัวข่าวหลุดมาถึงหูตำรวจ”

“ก็ดี ถ้าได้ข่าวอะไรเพิ่มจ่ามารายงานผมอีกที”

“ผมอยากรู้จริงๆ นายใหญ่มันคือใคร”

“เราอาจจะได้รู้   อีกไม่นานหรอกจ่า”




“วิณณ์ๆ คุยไรกันอะ แล้วส่งของอะไรกันเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่า”

“เด็ก!!!  เด็กอีกแล้ว คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก”

“หึหึ  ไม่ต้องงอนแล้วนะ งอนบ่อยๆ แก่เร็วนะ”

“เออออออ ไม่งอน”


แพ้ แพ้ตลอด ดักทางถูกทุกเรื่อง สุดท้ายผมก็ไม่ได้งอนตามที่เจ้าตัวบอก แถมยังเดินตามเป็นเด็กดีเข้าห้องทำงานไปอีกด้วย



“ผู้กองคะ  ผู้กอง มีเด็กผู้หญิงมาหาผู้กองคะ”

“หาผมหรือครับ”

“คะ รออยู่ในห้องแล้วนะคะ”  เอ๋ ใครหว่า หรือจะเป็นน้องสาวของวิณณ์ และเมื่อพวกเราเปิดประตูเข้ามา





“น้องลูกแก้ว!!!”

“สวัสดีคะผู้กอง”

“มาได้ยังไงเนี่ย  แล้วมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“มารายงานข่าวคะ อิอิ”

“ข่าว?”

“ใช่คะ กว่าจะพูดให้ที่บ้านยอมเชื่อนี่เล่นเอาเหนื่อย พวกพี่เขาหาว่าหนูบ้าไปเลยละคะ”

“ขนาดนั้น?  แล้วทำยังไงเขาถึงเชื่อกันละ”

“หนูก็แค่ทำเป็นบ้า อย่างที่เขาหาว่าบ้า ทำเป็นรื้อของในบ้านไปทั่ว ในเมื่อพวกพี่เขาไม่ยอมฟังหนู หนูก็ทำซะเอง”

“หึหึ  บ้าระห่ำของแท้”

“แล้วก็ไปรื้อเอากล่องที่อยู่ใต้เตียงหัวนอนของพ่อออกมาตามที่ผู้กองบอกเลยคะ แล้วมันก็มีจริงๆ พวกพี่หนูอึ้งเป็นใบ้กันไปหมดเลยคะ ฮ่าๆ”

“ดีแล้ว ก็เท่ากับเรื่องจบด้วยดีนะ”

“คะ  ขอบคุณผู้กองอีกครั้งนะคะ”  วิณณ์ยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกัน เพื่อไปส่งน้องลูกแก้ว

“ผู้กองคะ หนูขอถามอะไรอีกอย่างได้ไหมคะ”

“……………”

“ไปแล้วใช่ไหมคะ   พ่อไปแล้วใช่ไหมคะ”    วิณณ์พยักหน้ากลับไป

“ที่ที่พ่อไป  ที่นั่นดีไหมคะ”

“…………..ลูกแก้วพี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าที่ที่พ่อของลูกแก้วไปจะดีไหม แต่พ่อของลูกแก้วได้ทำสิ่งที่ต้องการแล้ว พ่อของลูกแก้วสมหวังและก็หมดห่วงแล้ว ส่วนเรื่องหลังจากนี้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามทางของมัน”

“คะ  ขอบคุณอีกครั้งนะคะ  สวัสดีคะ”

“สวัสดีครับ กลับดีๆ นะลูกแก้ว”

“ค่าาาาา”







“วิณณ์  ไปส่งน้องเสร็จ………แล้ว…….เหรอ”   ผมต้องตกใจเมื่อคนที่เดินนำหน้าวิณณ์เข้ามา  ‘พี่วายุ’

“เชิญนั่งก่อนครับ”

“ขอบคุณครับ”

“คุณ…..”

“วายุครับ เราเคยเจอกันแล้วที่ รพ กับคุณป้าดารา”

“สวัสดีครับคุณวายุ  ผมจำได้ว่าเราเคยเจอกันแล้ว แล้ววันนี้คุณวายุมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมมีเรื่องอยากถามผู้กองหน่อยครับ”

“ครับ?”



“ที่วันนั้นผู้กองไปหาป้าดารามีธุระหรือครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมทำตามหน้าที่”

“ทำตามหน้าที่?  แล้วเรื่องที่จะให้คุณป้าดารา ไม่ถอดเครื่องช่วยหายใจตะวันนะเหรอครับ นั่นก็เป็นหน้าที่ด้วยเหรอครับ”

“……………..”

“ผมว่าผู้กองพูดความจริงดีกว่าครับ”

“ความจริง?  ความเรื่องอะไรครับ”

“ผมไม่รู้ว่าผู้กองทำไปเพื่ออะไรที่ไปบอกป้าดาราแบบนั้น แต่ผมเห็นนะครับ”

“………………..”

“เห็นที่ผู้กองทำเหมือนคุยกับใครสักคน ได้ยินสิ่งที่คุยกับน้องคนนั้นและกับอีกครอบครัวหนึ่ง”


หะ!!!  นี่พี่วายุเห็นด้วยเหรอ เห็นว่าวิณณ์คุยกับผม เห็นสิ่งที่วิณณ์ทำที่ รพ นั่นอะนะ


“แล้วคุณเห็นว่าผมคุยกับใคร”

“คุณนี่ก็แปลก ผมบอกว่าเห็นเหมือนคุณคุยกับใคร ถ้าผมเห็นว่าใครผมจะถามคุณไหม”

“แสดงว่าคุณก็ไม่เห็น”  พี่วายุไม่ได้ตอบ แต่มองหน้าวิณณ์ก่อนจะพยักหน้า

“คุณวายุ คุณอยากรู้อะไรจากผมกันแน่ครับ”



“เอาตามจริงนะผู้กอง ผมก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ผมว่าผู้กองมีอะไรแปลกๆ”

“แปลก?  ยังไงครับ?”

“ผมมีความรู้สึกว่า ผู้กองต้องมีอะไรสักอย่างเกี่ยวข้องกับ…………..ตะวัน”

“วิณณ์เอาไงดีอะ พี่วายุต้องรู้อะไรแน่ๆ พี่วายุยิ่งฉลาด จับต้นชนปลายได้เก่งด้วย”  ผมถามกับวิณณ์ที่ตอนนี้ก็คงกำลังอึ้งหรือไม่ก็กำลังคิดว่าจะตอบอะไรดี


“คุณวายุ อยากได้ยินว่าอะไรละครับ”

“ความจริง”

“ความจริง?”

“ใช่ครับ  คุณไม่จำเป็นต้องโกหกหรือกุเรื่องอะไรมาหลอกผม แค่คุณพูดความจริง มันก็แค่นั้น”




ผมมองหน้าวิณณ์ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าพี่วายุอยากได้ยินว่าอะไร อยากได้ยินว่าวิณณ์พูดคุยกับตะวัน ซึ่งเป็นวิญญาณอย่างนั้นเหรอ ถามว่าผมอยากให้วิณณ์บอกพี่วายุไหม ก็อยาก แต่ก็กลัว กลัวว่าพี่วายุจะเชื่อไหม ยอมรับได้ไหม ผมรู้ว่าวิณณ์เองก็กำลังคิดหนัก แต่จากที่มองดูแล้วผมคิดว่า………บอกแน่นอน



“หะ!!  เดี๋ยวนะ  วิญญาณ?  นี่ผู้กองจะบอกว่าสื่อสารกับวิญญาณของตะวันอย่างนั้นเหรอครับ”  พี่วายุพูดออกมาอย่างตกใจ พลางส่ายหน้า “บ้า  บ้าไปแล้ว”

“ตอนแรกผมเอง ก็คิดว่าผมบ้า แต่มันคือเรื่องจริงครับ และผมก็บอกไปหมดแล้ว มันก็อยู่ที่คุณจะเชื่อผมไหม”

“ร่างของตะวันยังนอนอยู่ที่ รพ แล้วคุณจะมาบอกว่าสื่อสารกับวิญญาณของตะวันได้ยังไง มันไม่เมคเซ้นต์เลย”

“ก็อย่างที่ผมเล่าให้คุณฟัง ตะวันเองพยายามอย่างมากที่จะให้วิญญาณตัวเองกลับเข้าร่างได้ ผมเพียงทำได้แค่คอยช่วยเท่านั้น”

“คุณจะให้ผมเชื่อยังไง เรื่องมันเหลือเชื่อ เหนือธรรมชาติมากเลยนะครับ”



“วิณณ์…..”   ผมกระซิบบางอย่างให้วิณณ์รู้




“คุณวายุ  เชื่อเถอะครับ  ตะวันอยากให้คุณเชื่อ  เชื่อ ‘ลิงน้อย’ คนนี้ซักครั้งหนึ่ง”

“คุณ……คุณพูดว่าอะไรนะ ลิงน้อย คุณรู้ได้ยังไง”

“ผมคิดว่าคุณควรจะรู้ว่าผมรู้ได้ยังไง”



พี่วายุกลับไปแล้ว ถึงจะทำแบบไม่อยากเชื่อ แต่มันก็ต้องเชื่อเพราะคำว่า ลิงน้อย มันเป็นเชื่อที่วายุตั้งให้ผม เพราะพี่บอกว่าตอนเด็กๆ ผมทั้งดื้อและซน  และชื่อนี้มีแต่พี่วายุเท่านั้นที่ใช้เรียกผม พี่วายุกลับไปโดยสัญญาว่าจะช่วยพูดเรื่องถอดเครื่องช่วยหายใจกับแม่ผม ซึ่งจริงๆ แม่ผมก็ไม่อยากถอดหรอกครับ แต่เพราะความกดดันที่ได้รับข้อมูลจากทั้งหมอและพยาบาลทำให้แม่ผมเริ่มลังเลและไม่อยากให้ผมทรมานต้องยื้อไว้



แต่นาทีนี้ผมอยากจะบอกว่า  ทรมานผมเถอะครับ  ยื้อผมเถอะครับ ได้โปรดดด นะครับแม่




“ผู้กอง  ผู้กองครับ”

“ว่าไงจ่าเติม”

“เกิดเรื่องแล้วครับ  มีเหตุฆ่ากันตายที่คอนโดผู้กองครับ”

“คอนโดผม!!”

“ใช่ครับ…………”







“ผู้ตายเป็นผู้หญิง พักอยู่ชั้น 7 ห้อง 702  ชื่อ แอนครับ”


หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 12 : แนวร่วม (05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-12-2017 00:40:15
โหยยย ชอบความมุ้งมิ้ง
แต่จบด้วยเหตุฆ่ากันตายแบบนี้ค้างเลย
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 12 : แนวร่วม (05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-12-2017 00:47:29
วายุนี่เองที่เป็นคนเห็น โชคดีไปที่เป็นคนดี ส่วนผู้ชายที่เห็นที่คอนโดจะเป็นคนหรือเป็นผีหว่า  :confuse:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 12 : แนวร่วม (05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 06-12-2017 07:47:00
แล้วแต่ดวงใครเนอะ ฝืนไม่ได้
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 12 : แนวร่วม (05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 06-12-2017 09:11:23
มุ้งมิ้ง หยอกเย้ากันไปจ้า น่ารัก
คุณแอนพยายามจะบอกแล้วแน่ๆ แต่เห็นตัวการก่อนเลยหนี เรื่องอะไรน่อ อยากรู้ๆ
 :L2:  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 12 : แนวร่วม (05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-12-2017 10:58:11
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 12 : แนวร่วม (05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 06-12-2017 16:33:24
อ่านมาก็หลายตอนเนอะ ก็ยังคิดว่าตะวันนี่เป็นเด็กที่โคตรจะปีนเกลียว เรียกชื่อผู้กองเขาห้วนๆ เขาแก่กว่าหลายปีนะ อยากจะสนิทยังไงก็ควรมีมารยาทกันสักหน่อย ไม่ใช่ห่างกันปีเดียวไรงี้ (เข้าโหมดขี้บ่น) 555
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 12 : แนวร่วม (05/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-12-2017 20:58:51
ว่าแต่สร้อยที่วิณณ์ซื้อให้ตะวันใส่
มันเป็นวัตถุ ที่มีรูปร่าง น้ำหนัก
ตะวัน ใส่แล้วสร้อยไม่ลอยให้คนเห็นหรือ
หรือพอวิญญาณตะวันใส่ จะลบร่องรอยสร้อยได้
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 13 : หลักฐาน (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 09-12-2017 18:05:04
ตอนที่ 13  หลักฐาน



พวกเรากลับมาที่คอนโดด้วยสติที่ยังมึนๆ ก็เพราะเมื่อคืนเพิ่งจะเจอกับเจ้าหล่อน และหล่อนก็เป็นฝ่ายมาหาวิณณ์ถึงห้อง แล้วไอ้การที่หล่อนมาหามันเกือบทำให้เป็นปัญหากับวิณณ์ เพราะวิณณ์เป็นคนสุดท้ายที่เจอเจ้าหล่อนตอนยังมีชีวิตซึ่งเวลาตอนนั้นก็ประมาณทุ่มนึง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบหรือเห็นหล่อนอีกเลย จนกระทั่งเป็นศพเช้านี้ เพราะเพื่อนสาวติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน ประกอบกับช่วงนี้เจ้าหล่อนมีเรื่องกลุ้มใจที่ถูกคุกคามจากผู้ไม่ประสงค์ดี  ด้วยอาการร้อนใจจึงมาหาที่ห้อง แล้วก็เป็น........ศพ..........อย่างที่เห็น


“สภาพของผู้ตายมีรอยฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง น่าจะเกิดกจากการต่อสู้หรือไม่ก็ถูกซ้อมครับ แต่สาเหตุการเสียชีวิตน่าจะมาจากการถูกรัดคอจนทำให้ขาดอากาศหายใจจนตาย แต่ยังไงก็คงต้องรอผลจากทางนิติเวชผ่าพิสูจน์อีกทีครับ ข้าวของภายในห้องถูกรื้อค้นจนกระจัดกระจายดูเหมือนคนร้ายน่าจะพยายามหาอะไรบางอย่าง”

“พบหลักฐานอย่างอื่นอีกไหมจ่า”

“คงต้องตรวจหาลายนิ้วมือก่อนครับผู้กอง แต่จากสภาพห้องคงต้องใช้เวลาเก็บหลักฐานพอสมควรครับ”


ผมแยกจากวิณณ์เดินมาดูอีกทาง เพราะผมเป็นวิญญาณจะเดินไปไหนก็ไม่มีใครเห็น แถมไม่ได้ทำให้หลักฐานเสียหายอะไรด้วย  โครงสร้างภายในห้องไม่ได้ต่างจากห้องของวิณณ์ คิดว่าก็คงเหมือนกันหมด ข้าวของเครื่องใช้ก็มีตามประสาผู้หญิง ซึ่งผมไม่เข้าใจเลยอะไรทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งถึงโดนทำโหดร้ายขนาดนี้ ถึงเธอจะดูแรงแต่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง

ของภายในห้องถูกรื้นค้นออกจากที่ ลงมากองที่พื้นเกือบทั้งหมด เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ ไม่เว้นแม้แต่ที่นอนก็ถูกรื้อฉีกขาด ตู้รองเท้าก็ยังโดน  โทรทัศน์ เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้า ถูกทำลายจนพัง คนร้ายพยายามจะหาอะไร?

“วิณณ์............วิณณ์  มานี่  มานี่หน่อย”

เหมือนผมจะเห็นอะไรสักอย่างมันเป็นเส้นบางๆ ที่ถูกเทปใสแปะบนหน้าต่างบานเกล็ดตรงห้องน้ำในห้องนอน ผมจึงเรียกวิณณ์ให้เข้ามาดู ภายในห้องจะมีห้องน้ำแบ่งเป็นสองส่วน ห้องน้ำด้านนอกเป็นส่วนแห้ง ส่วนห้องน้ำในห้องมีทั้งส่วนเปียกและส่วนแห้ง และเพราะห้องของเจ้าหล่อน อยู่ริมสุดทางเดิน ทำให้ห้องน้ำในห้องนอนที่มีบานเกล็ดติดหันออกไปนอกตัวอาคาร

“วิณณ์ดู”  ผมชี้ไปยังสิ่งที่ตรงหน้า ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่เห็น มันเป็นเส็นเอ็น คล้ายเอ็นตกปลา ผูกติดอยู่กับตัวหมุนบานเกล็ด และมีเทปใสแผ่นเล็กๆ แปะเอาไว้อีกที  วิณณ์มองตามที่ผมบอก หลังจากนั้นก็พยายามแกะเทปใสและเชือกอย่างเบามือที่สุด เพราะนี่ชั้น 7 นะครับ ถ้าหลุดมือมาคงได้ล่วงลงไปข้างล่าง แล้วมันก็จะเป็นงานใหญ่กว่าแน่


ซองยา……………



มันเป็นซองยาสีน้ำตาล  ซองถูกปิดอย่างดีและเอาเทปใสปิดทับอีกรอบ ก่อนจะถูกเจาะที่ปลายถุงแล้วเอาเส้นเอ็นยึดติดเพื่อผูกห้อยกับหน้าต่างบานเกล็ด  และเมื่อแกะออกดูของด้านใน


เมมโมรี่การ์ด?


“เมมอะไรอะวิณณ์”

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน คงต้องเอากลับไปดูที่ สน.”   มันจะไม่น่าสนใจอะไรเลยถ้าชื่อหน้าซองไม่ระบุชื่อของวิณณ์ไว้    ‘ผู้กองวิณณ์’



“ผู้กองครับ ทำไมผู้ตายถึงเขียนชื่อผู้กองไว้ละครับ”   เอ้า  จ่าเติมเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ละเนี่ย

“ผมก็ไม่แน่ใจ  แต่เมื่อคืนผู้ตายเหมือนตั้งใจมาหาผม  เหมือนมีอะไรสักอย่าง……….จ่าเติม เดี๋ยวผมกลับไป สน. ก่อนนะ ผมฝากทางนี้ด้วยนะจ่า”

“ครับ  ผู้กอง”




ผมเดินตามวิณณ์ลงมาด้านล่างคอนโด เพื่อจะกลับไปที่ สน. แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายขนาดนั้น


“ผู้กอง…..ผู้กอง”
“ผู้กองแย่เลยนะคะ ดันมีเหตุฆ่ากันตายที่นี่ แล้วอย่างนี้จะจับคนร้ายได้เมื่อไหร่คะ”
“ใช่  ใช่  เด็กๆ พากันกลัวหมดแล้วครับ รีบจับคนร้ายให้ได้ไวๆ นะผู้กอง”
“ตายแล้ว แล้วอย่างนี้ห้องนั้นจะมีใครกล้าไปอยู่”
“โดนฆ่าตายแบบนี้  เขาว่าเฮี้ยนน่าดูเลยนะเธอ”


“เอ่อ  ทุกคนครับ  ใจเย็นๆ นะครับ อย่าเพิ่งกังวลกันไปก่อนนะครับ  ผมจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจดูความเรียบร้อยจนกว่าจะจับคนร้ายได้ ส่วนตอนนี้ผมขอให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องพบเจออะไรหรือใครที่ผิดปกติ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่นะครับ”


“คะ….คะ…..ครับ”




เมื่อพูดจบวิณณ์ก็ขอตัวกลับมาที่ สน. ต่อ เพราะประเด็นหลักคือ เมมโมรี่การ์ด อันนั้น


อะไรอยู่ในนั้น 
มันต้องสำคัญมากๆแน่ ถึงต้องแอบสายตาคนอื่นขนาดนั้น
แล้วทำไมต้องระบุชื่อวิณณ์ไว้


พวกเรากลับถึงที่ สน. วิณณ์ก็ตรงเข้าห้องทำงานไปทันที จัดการเปิดโน้ตบุคและใส่เมมโมรี่การ์ดที่การ์ดรีดเดอร์ ดูแล้วมันน่าจะเป็นเมมโมรี่การ์ดจากมือถือ

“นี่วิณณ์ แล้วอย่างนี้จะไม่มีความผิดเหรอ เอาหลักฐานมาแบบนี้อะ”

“เราไม่ได้ยึดหลักฐานหรือตั้งใจจะขโมยหลักฐานไปไหนนี่ ดูเสร็จแล้วเราก็จะเอาไปรวมกับหลักฐานชิ้นอื่น”

“…………”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกังวล”  ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไง แต่ผมก็เป็นห่วงวิณณ์ ยายนั่นตั้งใจมาหาวิณณ์ถึงห้อง พอกลับไปก็ดันมาตาย ถึงแม้จะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ดูว่าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับการตาย แต่วิณณ์ก็เป็นคนสุดท้ายที่เจอกับหล่อน แถมยังมีหลักฐานที่มีชื่อวิณณ์เข้าไปพัวพันอีก คิดอะไรของเขาอยู่กันแน่ จะบอกอะไรก็ไม่รีบบอก ทำลับๆล่อๆ  สุดท้ายตอนนี้ต่อให้อยากบอกแค่ไหนก็บอกไม่ได้แล้ว


หลังจากเปิดไฟล์ในเมมโมรี่การ์ดดู  ผมไม่เห็นอะไรนอกจากรูปภาพวาบหวิวของเจ้าหล่อน ทั้งทูพีช วันพีช นอกจากจะถ่ายกับบรรดาเพื่อนสาวแล้ว ยังมีภาพเซลฟี่นัวเนียกับผู้ชาย ท่าทางจะรวยน่าดู หรือว่า เป็นเด็กเสี่ยอย่างที่เขาบอกกัน


ไม่เข้าใจเลยแฮะ  แต่เอ๊ะ!!...............นั่นมัน อะไรอะ


พอเลื่อนลงไปดูเรื่อย

เรื่อย

เรื่อย 


มันเป็นรูปกลุ่มผู้ชาย 4-5 คนที่กำลังขนกล่องอะไรสักอย่างไปไว้หลังรถกะบะ หลังจากนั้นก็เอาผ้าใบปิด ดูแล้วหลังรถนั่นน่าจะมีอยู่หลายกล่อง นอกจากภาพแล้วยังมีคลิปวิดิโออีกหลายคลิปเลยทีเดียว  แล้วคลิปเหล่านั้นจะไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ถ้า……..ไม่มีเจ้าของเมมโมนี่การ์ดร่วมอยู่ด้วย


คุณแอน……



เรื่องมันชักซับซ้อนแหะ ถ้าเจ้าตัวเป็นเจ้าของเมมโมรี่การ์ดนี้ เจ้าตัวก็ต้องเป็นคนถือและถ่ายมันไว้เอง รูปถ่ายเซลฟี่ไม่แปลกอะไรหรอก  แต่นี่เจ้าหล่อนมีคลิปวิดิโอออยู่ในเมมโมรี่การ์ดด้วย เป็นคลิปวิดิโอที่ถ่ายจากมุมด้านนอก  มันเหมือน….….มุมแอบถ่ายมากกว่า





ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“ผู้กอง ขออนุญาติครับ”

“เชิญครับจ่า  เป็นยังไงบ้างจ่า”

“จากการสอบถามคนในคอนโด ไม่ค่อยมีใครสนิทกับผู้ตายมากเท่าไหร่ แต่เท่าที่อยู่มาผู้ตายจะมีแต่เพื่อนเท่านั้นที่ไปมาหาสู่ และเพื่อนคนนั้นก็คือคนเดียวกับที่เจอศพ
อ้อ….อีกอย่างหนึ่งครับคนในคอนโดบอกว่าช่วงนี้มักจะมีรถกับคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนแถวคอนโดบ่อยๆ ผู้กองไม่เจออะไรผิดปกติบ้างเหรอครับ”


อะไรผิดปกติเหรอ?? 


เอ๊ะ……………หรือว่าจะเป็นคนนั้น


“วิณณ์ วิณณ์  ผู้ชายคนนั้นไง ที่เราเจอเมื่อคืนนะ ที่เดินสวนกับคุณแอนแล้วก็เดินผ่านพวกเราไปไง  จำได้ไหม”  ผมกระซิบบอกวิณณ์ (ว่าแต่ผมจะกระซิบทำไมละเนี่ย ไม่มีใครได้ยินสักหน่อย)



“จ่าเติม ผมอยากให้เราส่งเจ้าหน้าที่คอยตรวจดูทุกๆ ชั่วโมงในช่วงนี้ ถ้ามีอะไรน่าสงสัยให้รายงานผมทันที”

“ครับ”

“แล้วหลักฐานอื่นละ”

“ตอนนี้ยังไม่มีครับ ดูจากสถานที่เกิดเหตุ เกิดจากการต่อสู้แน่นอน ของมีค่าทุกอย่างอยู่ครบ แต่ก็ดูเหมือนคนร้ายน่าจะพยายามอะไรอยู่ครับ ส่วนผลชันสูตรคงต้องรอทางนิติเวชแจ้งมา”

“อืม”

“ผู้กองมีอะไรอีกไหมครับ ถ้าไม่มีผมขอตัวไปจัดการกับหลักฐานก่อนครับ”

“ตามสบายจ่า ขอบคุณนะ”

“ครับผม”



คนแปลกหน้า 
รถต่างถิ่น
คนตาย
แล้วยังรูปกับคลิปวิดิโอนั่นอีก  ขนอะไรกัน
คุณแอนเข้าไปพัวพันกับอะไรกันแน่?



“เออ  ตะวัน เห็นอะไรบ้างไหม”

“เห็น?    เห็นอะไรเหรอ”

“วิญญาณ”

“วิญญาณ  คุณแอนอะนะ  ไม่นะ”

“……….”

“ทำไมเหรอวิณณ์”

“ไม่มีอะไร แค่คิดว่าเขาอาจจะมาขอความช่วยเหลืออะไรบ้าง”



อืม  แต่ก็แปลกนะ ทำไมกลับไม่เห็นหรือรู้สึกอะไรเลย ถ้าหล่อนถูกฆาตกรรมจริง วิญญาณก็น่าจะต้องมีห่วง อยากได้รับความช่วยเหลือ หรือความยุติธรรมอะไรบ้างซิ แต่ทำไมไม่ยักเห็นแหะ



“วิณณ์ว่า   คุณแอนเขาไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรเหรอ”

“ก็ยังไม่แน่ใจนะ แต่คงไม่ใช่เรื่องดี อีกอย่างวิณณ์คุ้นหน้า 1 ในพวกมันอยู่คนหนึ่ง แต่นึกไม่ออกว่าเห็นที่ไหน”





วันนี้วิณณ์อยู่เคลียร์งานจนดึก กว่าจะได้ออกจาก    สน. แล้วกลับมาถึงคอนโดก็เกือบ 5 ทุ่ม วิณณ์วนรถเข้าคอนโดเป็นจังหวะที่สวนกับสายตรวจที่ออกไปพอดี คงเป็นสวยตรวจที่วิณณ์ให้คอยมาตรวจตราที่คอนโดแน่ๆ


“สวัสดีครับผู้กอง สายตรวจเพิ่งกลับไปเมื่อกี้เองครับ”

“ครับลุง แล้วมีอะไรผิดปกติไหม”

“ก็ไม่มีนะครับ  อาจจะเพราะสวยตรวจมาตรวจเข้มงวดมาก มาทุก ชม เลยละครับ พวกคนร้ายคงไม่กล้ามาแล้วละ”

“ก็ดีครับ แต่อย่าเพิ่งวางใจไปนะครับ ถ้ามีอะไรลุงรีบแจ้งผมหรือสายตรวจและนะครับ”

“ครับผม”

“อ้อ  แล้วอย่าซ่าไปเสี่ยงอันตรายเองนะครับ”

“แหมมม  ผู้กองพูดเหมือนรู้เลยครับ”

“หึหึ”     วิณณ์หัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหน้า 



“นี่วิณณ์ ทำไมพูดกับลุงเขาแบบนั้นละ”

“ก็ถ้าไม่บอกนะ ลุงแกคงห่ามไปลุยเองแน่นอน  ยิ่งซ่าๆ อยู่”

“เหรอ  เหอๆ”





พวกเราเข้ามาในลิฟท์ และวิณณ์กดลิฟท์ไปที่ชั้นของตัวเองคือชั้น  9   ลิฟท์ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปทีละชั้น 

1

2

3

4

5

6

7



ติ๊ง…….    ครืดดดดด   

เสียงลิฟท์ดังขึ้นพร้อมกับหยุดที่ชั้น 7 




ชั้น 7 เหรอ 

คงไม่หรอก…………………..มั้งงงงงงงงงงงง



“โอ้ววว  ไม่นะ ทำไมต้องเวลานี้ด้วยวะ”

“มีอะไรตะวัน”


“ก็…….คะ……..คน……ที่วิณณ์ ถะ…..ถาม ถึงเมื่อบ่ายไง   ยะ……อยากเจอ  มะ…..ไม่ใช่เหรอ”


“พูดจริง??   พูดจริงอะ??”

“จริง    ซะยิ่งกว่าจริง”   




ติ๊ง………… ชั้น 9   

แล้ว………….หายไปแล้ว  หายไปไหนแล้วละ 

นี่แม่คู๊นนนนน จะมาช่วยมาดีๆ หน่อยได้ไหมครับ เล่นซ่อนแอบแบบนี้ ผมสู้ไม่ไหวจริงๆ ครับ


“ตะวัน    ตะวัน เธอยังอยู่ไหม”

“ไม่  ไม่อยู่ในลิฟท์แล้ว  ตะ…..แต่”

“แต่อะไร”

“นู่น…..”    ผมบอกพร้อมทั้งชี้มือไปที่หน้าห้องเบอร์  901   ห้องของวิณณ์    “เธอไปรอที่หน้าห้องแล้ว”



โอ้วก็อดด  เธอเป็นผีล่องหนหรือไงปุปปับไปโผล่นั่นอะ  ว่าแต่ทำไมต้องทำท่าน่ากลัวแบบในหนังด้วยนะ ยืนนิ่งหน้าประตู ผมที่ยาวปล่อยลงมาปิดหน้าปิดตา มันจะหลอนไปไหมเนี่ยแม่คู๊นนนนนนนนน


วิณณ์เดินผ่านเธอไปที่หน้าประตู และไขกุญแจเข้าไปในห้อง



“ตะวัน ถ้าเธออยากจะให้ช่วยอะไรก็บอกให้เธอเข้าห้องมาเถอะ”

คงไม่ต้องบอกแล้วละมั้ง  ก็เจ้าหล่อนเข้าไปยืนรอในห้องซะเรียบร้อยแล้วโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเขาเชิญก่อนด้วย แล้วยังทำตัวจุ้นจ้านเดินตรงนั้นตรงนี้ ดูนั่นดูนี่ มารยาทนะสะกดเป็นไหม ทำตัวได้น่าหมั่นไส้ซะจริง


“คุณผู้หญิงครับ มีธุระอะไรก็รีบบอกมาเลยครับ”  สาบานจริงๆ นะ ผมไม่เคยคิดอยากจะพูดไร้มารยาทแบบนี้กับใครเลยไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ทำไมไม่รู้  ผมไม่ชอบใจจริงๆ นะ  ไม่ชอบหล่อนเอาซะเลย  รีบๆ พูดมา แล้วรีบๆ ออกไปเลย


“แหม แหม แหม  หวงอะไรไม่ทราบเหรอคะ”
“หวงอะไร อยากจะพูดอะไรก็รีบบอกมา ตอนนั้นมาอยากจะพูดก็ไม่รีบพูด แล้วเป็นยังไงละ ต้องมาพูดตอนนี้แทน”


“หือ หือ  หยาบคายจังเลยนะ”   เดี๋ยวๆ ไปกอดแขนฉอเลาะกับวิณณ์ทำไม
“หยุดทำแบบนั้นได้แล้ว มีอะไรรีบพูดมาก่อนจะเปลี่ยนใจ”


“ก็ด่ะ  แต่ว่าถามจริงนะเป็นอะไรกันเหรอ”
“ใครเป็นอะไร”


“ก็นายกับผู้กองไง”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น จะบอกเรื่องของเธอมาได้หรือยัง ว่ายังไง”


“โอเค๊ จะทำเป็นเชื่อก็ได้…….……เอาละเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”      มันควรจะพูดได้ตั้งนานแล้วไหมละ  มัวแต่มาสนใจเรื่องของคนอื่นอยู่ได้


“ที่ฉันมาหาผู้กองวันนั้น ก็เพราะฉันตั้งใจเอาเมมโมรี่การ์ดมาให้   แต่ก็คงไม่ต้องแล้วละ เพราะผู้กองเจอมันแล้ว”
“ภาพกับคลิปวิดิโอพวกนั้นหมายถึงอะไร คุณอยากจะบอกอะไร”


“ถามจริง?  ดูแล้วไม่รู้เลยเหรอ”
“รู้อะไร ไอ้ภาพที่เธอนัวเนียกับไอ้เสี่ยแก่นั่นนะเหรอ อยากจะบอกเรื่องนั้นอะนะ”


“โอ้ยยยย  ไม่ใช่ยะ  ว่าแต่ผู้กองดูแล้วเป็นยังไงบ้าง จะหึงบ้างไหมนะ”
“นี่!!!”


“อะไรก็แค่อยากรู้”
“อยากรู้แล้วทำไมต้องไปกอดแขนเอานมไปชนด้วยละ”


“นี่คือหวง?”


ยิ่งผมเงียบ เจ้าหล่อนก็ยิ่งได้ใจแล้วยังมาทำท่าหัวเราะเยาะผมอีก ผมจะหึงหรือหวงวิณณ์ทำไม ก็แค่ไม่อยากให้ผีเอ็กเซ็กส์แตกบ้าผู้ชายแบบนี้มาวุ่ยวายกับวิณณ์เท่านั้นเอง



มันรำคาญสายตา



“ตะวัน นี่คุยอะไรกัน จากที่ได้ยินตะวันเหมือนมันจะไม่ได้เรื่องอะไรเลยนะ”

“ก็เจ้าหล่อนอะลีลามาก กว่าจะพูดได้ ไม่ต้องช่วยแล้วดีไหมละ”   



“แหม แหม  ใจร้อน ขี้น้อยใจเป็นผู้หญิงไปได้นะคุณ อะ บอกก็ได้  ฉันถูกฆ่าตายโดยหนึ่งในพวกมัน มันชื่อไอ้เอ็มเป็นหัวหน้า”
“แล้วคุณไปเกี่ยวข้องอะไรกับพวกมัน แล้วมีเหตุอะไรพวกมันถึงต้องฆ่าคุณด้วยละ”


“เหตุผลนะเหรอ  ง่ายๆ ก็ฆ่าปิดปาก”
“ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”



“ฉันบังเอิญไปรู้สิ่งที่พวกมันทำ แล้วก็พวกมันจับได้ว่าฉันถ่ายภาพกับวิดิโอไว้ก็แค่นั้น  ….สรุปง่ายๆ เลยนะ ฉันถูกพวกมันฆ่าผิดปาก หลักฐานที่มีก็คือรูปและวิดิโอในเมมโมรี่การ์ดนั่น ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของผู้กองที่จะจับคนร้ายให้ได้ และนายก็ต้องรับคำขอความช่วยเหลือจากฉันเพื่อ….ภารกิจของนาย    จบปึ้ง”



“เฮ้ย  เดี๋ยวดิ จะไปไหน ยังคุยไม่รู้เรื่องเลย”   คิดจะมาก็มา จะไปก็ไป เป็นอะไรมากไหมเนี่ยแม่คุณ แล้วไอ้การขอความช่วยเหลือแบบบังคับเนี่ย มันน่าช่วยตรงไหน แต่หล่อนรู้เรื่องภารกิจด้วยเหรอ หรือว่าพอตายแล้ว วิญญาณจะรู้เรื่องของโลกวิญญาณทุกเรื่อง  แล้วทำไมเราไม่รู้ละ ไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย  งงแหะ



“สรุปได้เรื่องอะไรไหมตะวัน  ฟังดูเหมือนจะเถียงกันมากกว่าคุยกันนะ”

“ก็ได้ แบบมัดมือชกอะ”

“ยังไง มัดมือชก?”

“ตรงประเด็นเลยนะ หล่อนถูกฆาตกรรมโดยหัวหน้าของพวกนั้นชื่อเอ็มเพื่อฆ่าปิดปาก แต่ฆ่าปิดปากเรื่องอะไรหลักฐานอยู่ในรูปภาพกับคลิปพวกนั้น ให้หาเอาเอง นายต้องช่วยเพราะเป็นตำรวจ และเราก็ต้องช่วยเพราะมันเป็นภารกิจ จบนะ”

“แค่นี้?”

“แค่นี้”  ผมพยักหน้า

“ไม่บอกอะไรเพิ่มอีกเหรอ”

“จะให้บอกอะไรเพิ่มละ เจ้าหล่อนบอกมาแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ด้วยเพราะมันคือคำขอร้องให้ช่วย”




“เห้อ  แล้วอย่างงี้จะเริ่มจากตรงไหนละเนี่ย      วิณณณณณณณณ”

“ก็คงต้องเริ่มที่รูปภาพและคลิปวิดิโอนั่นแหละ”




โอ๊ยยยย มันน่าบีบคอให้ตายไปอีกรอบซะจริงๆ เลย





หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 13 : หลักฐาน (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-12-2017 19:08:09
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 13 : หลักฐาน (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-12-2017 19:51:59
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 13 : หลักฐาน (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-12-2017 00:53:03
ทำไมขำคุณแอนหนักมาก 5555
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 13 : หลักฐาน (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-12-2017 01:01:18
ตกลงก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นไผ๋  :hao4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 13 : หลักฐาน (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 13-12-2017 19:13:43
น้องตะวันหงุดหงิดเพราะวิญญาณ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 13 : หลักฐาน (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 24-12-2017 22:19:35
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 14 : ผีชนผี (22/03/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 22-03-2018 21:29:49
ตอนที่ 14 ผีชนผี


วิณณ์หลับไปแล้ว คงเพลียวันนี้มีแต่เรื่องวุ่นทั้งวัน

ถามว่าผมแปลกใจกับชีวิตในโลกวิญญาณไหม บอกตรงๆ เลยครับ ไม่แปลกยังไงไหววะ ผมใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวันที่เป็นคน จะต่างกันแค่ผมไม่ต้องกินหรือนอนก็แค่นั้นเอง ผมอยากรู้ว่า ผมจะทำอะไรแบบวิญญาณหรือผีอื่นๆ ได้ไหม อย่าง หายตัว แวบไปแวบมา หรือแลบลิ้นปลิ้นตาถอดหัวไปหลอกคนอื่น ถามว่าเคยลองไหม ยอมรับเลยว่าเคยลอง แต่มันทำไม่ได้อะ จะให้ถอดท่าไหน ทางไหน ก็ทำไม่ได้ ยิ่งหายตัวยิ่งยากใหญ่
 

เอ่อ ไม่ทราบว่ามีโรงเรียนสอนการเป็นวิญญาณไหมครับ ใครรู้ช่วยบอกที


หลังจากที่ปะฉะดะกับแม่สาวทรงโตมาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ผมคิดว่าเจ้าหล่อนคงจะไปลัลล้าแล้วทิ้งปัญหาของตัวเองไว้ให้พวกผมซะอีก


แต่.....



เจ้าหล่อนดันมานั่งห้อยขาหน้าระเบียงห้องคนอื่นเขาอย่างสบายใจ

เนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย นะ



“นี่ เจ๊ๆ มานั่งทำไรตรงนี้”

“ต๊ายยย หยาบคาย เรียกใครเจ๊ยะ”

“ก็เจ๊นะแหละ จะใครละ มานั่งทำอะไรตรงนี้ ยังไม่หมดธุระอีกหรือไง”

“แหม แหม แหมมมมม......”    ถ้าจะแหมยาวขนาดนี้ ละก็นะ  -*-    “ทำไมเหรอคะคุณน้อง หวงอะไร นักหนาาา กับห้องนี้เนี่ยยยย  จุ๊ๆๆๆ หวงห้อง หรือ ว่า หวง...เจ้า....ของ...ห้อง กันแน่น้า”

แล้วไอ้น้ำเสียงจิกกัดเนี่ย มันหมายฟามว่าไงหะเจ๊

“จะให้ช่วยไหม?”

“อุ้ยตายยย อย่าทำหน้าดุแบบนั้นคะคุณน้อง มันดูไม่ดี จะแก่ไวนะ”

“................................................”

“อะ อะ โอเค๊ ยอมจ้ะยอม อย่าทำหน้าแบบนั้นซิ เดี๋ยวแก้มก็แตกหรอก”


O_O



“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เหงานะ ตลกเนอะ ตอนเป็นคนก็เหงาพอมาเป็นผีแล้วความเหงามันก็ยังอยู่ ไม่ยอมหายไป”

“................”

“เห็นแล้วก็อิจฉาคุณน้องกับผู้กองสนิทกันดีจัง ทั้งที่คนหนึ่งเป็นคน อีกคนเป็นวิญญาณ”  ผมไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้จะแทรกคำพูดตัวเองไปดีไหม ดูไปดูมาเธอก็น่าสงสารเหมือนกันแฮะ

“แล้วเจ๊...”

“อย่าเรียก เจ๊!!!  ฟังแล้วมันแก่  มันสะเทือนไต”

“ใจ!!!”   นึกว่าเล่นตลกอยู่หรือไงเนี่ยเจ๊

“ฮ่าาาาาาาาา   เฮ้อออ  คนเราชีวิตมันไม่ยืนยาวจริงๆ เนอะ ว่าไหม เมื่อวานยังสนุกสนานเฮฮาอยู่ดีๆ พอมาวันนี้กลับเหลือแค่วิญญาณเน่าๆ ที่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น”


เฮ้ออออ ผมละยอมใจ เหมือนมีปุ่มปรับอารมณ์ เดี๋ยวก็เศร้า เดี๋ยวก็ร่าเริง  ตะวันตามไม่ทัน ตะวันเพลียยยยย


“ผมก็ไม่รู้จะปลอบเจ๊ยังไง”

“เรียก เจ๊ อีกละ เออ ช่างเถอะ ห้ามยังไงคุณน้องก็คงเรียกอีกอยู่ดี สมองปลาทองแบบนี้”

อิเจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจจ๊   หนอยยย มาว่าผมสมองปลาทอง เดี๋ยวพ่อไม่ช่วยซะเลย

“ตัวผมเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเล้ยต่อให้ปลอบใจเจ๊ไปมันก็คงดูไม่จริงใจเท่าไหร่ อีกอย่างผมเองได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตกลับคืน มีโอกาสเหนือวิญญาณตนอื่น
 
แต่ผมก็เตรียมใจไว้นะ ถ้าผมทำภาระกิจสำเร็จก็แสดงว่าผมยังมีกรรมดีอยู่บ้าง แต่ถ้าทำไม่สำเร็จละก็ ผมเองก็คงไม่ต่างอะไรจากวิญญาณอย่างเจ๊หรอก ก็ต้องไปใช้กรรมกันไป”


“แต่ฉันว่ามันก็ยังแปลกอยู่ดีเหตุผลอะไรทำให้นายถูกเลือก นี่รู้ไหมท๊อปปิ๊กนี่นะดังในโลกโซเชียลวิญญาณอย่างมาก”   เอิ่มมม โลกวิญญาณมีโซเชียลด้วยเหรอ ผมเพิ่งรู้  “ต่อให้นายมีเกณฑ์หลายข้อที่ตรงกับกฎของผู้ถูกเลือกก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนก่อนหน้านาย”

ผมจะไปรู้ได้ไงเล่าเจ๊ ท่านกาลเวลาเขาเลือกผม ผมก็ตามนั้น ไม่ปฏิเสธ ไม่หือ ไม่อือ อะไรเล้ยยยย


“นี่ๆ เจ๊ อย่ามาสนใจเรื่องผมเลย เจ๊ช่วยขยายความเรื่องของเจ๊ดีกว่า ให้พวกผมช่วยนะ แต่ข้อมูลที่ให้มามันไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่เลยนะ รู้อะไรมาก็บอกมาให้หมด”

“ถ้าฉันบอกได้ ทำไปแล้วละยะ”

“อ้าวววววว”

“ฉันบอกได้เท่าที่บอกได้ นอกจากนั้น เป็นหน้าที่ของนายกับผู้กอง นายต้องหาและแก้ไขเรื่องทุกอย่างเอง”

“ไหงงั้นละ”

“มันเป็นกฎ  You know”


Nooooooooooooooooooooooooooooo



“ฟ้าจะสว่างละ ฉันไปก่อนดีกว่า ไม่ได้กลัวแสงหรอกนะยะ แต่กลัวแดดเลียผิวแล้วผิวเสียต่างหาก ฮี่ๆๆๆ”

“แน่ใจนั่นเสียงหัวเราะ?  นึกว่าม้าที่ไหนมาร้อง”

“อร้ายยยย ม้าที่ไหนจะสวยขนาดนี้  ไปดีกว่า บั่ยยยยยยยยยยยยย”


มาทำไม?

มาแล้วได้อะไรไหม?

ตอบเลยว่า ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



-----------------------------------------------




เช้านี้กว่าผมกับวิณณ์กำลังจะออกไปที่ สน. ก็เกือบ 10โมง วิณณ์ตื่นสายทั้งที่ปกติจะตื่นเช้า ตื่นมาก็ดูมึนๆ อึนๆ ดูเหมือนจะไม่สบาย พวกเราเดินลงมาข้างล่างคอนโดผ่านหน้าโต๊ะลุงยามผมก็แอบเห็นแม่สาวทรงโตกำลังแกล้งลุงยามอยู่ ลุงยามแกกำลังจดอะไรซักอย่างลงสมุดบันทึก คุณเธอก็แกล้งเปลี่ยนหน้า ลุงแกก็คงงง เพราะผมได้ยินแกพึมพำ “ลมก็ไม่มีปลิวได้ยังไงวะ”   ไม่ใช่ลมครับลุง ลุงกำลังโดนผีอำ แล้วคุณเธอสลดซะที่ไหนละ ยังหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผมซะอีก ท่าทางจะเหงาจริงๆ แหะ


“วิณณ์ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ทำไมเหรอ”

“ตะวันเห็นวิณณ์ทำหน้าเครียดๆ ไม่สบายหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก คิดอะไรนิดหน่อยนะ  หัดเป็นห่วงคนอื่นเหมือนกันเหรอเรา”


อะ.....อะไรเล่า ตะวันก็.....ก็.....แค่


......เป็น


.....ห่วง



อ๋อยยยย   ชอบทำเหมือนตะวันเป็นเด็กอีกแล้วนะ ที่ลูบหัวมาเนี่ย รู้ไหมมัน เขินนนนนนนนนนนนนนน   ^///////^



ผมตามวิณณ์เข้า สน. มาผ่านท่านจ้าที่ก็ยกมือไหว้ท่านตามประสาเด็กมีมารยาท ท่านรับไหว้ทักทายกันสองสามคำก็รีบไปเห็นว่ามีประชุมด่วนที่ทำการเจ้าที่ ว่าแต่ ไอ้ที่ที่การเจ้าที่มันอยู่ที่ไหนเนี่ย เหมือนที่ทำการอำเภอป่าวหว่า


“สวัสดีครับผู้กอง”  จ่าเติมทักทายวิณณ์และเดินตามเข้าห้องทำงาน

“ผู้กองไม่สบายหรือเปล่าครับ หน้าตาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“...................”

“ผู้กอง”

“..................”

“..................”

“ผู้กองครับ”

“หะ จ่าว่าไงนะ”

“ผมถามว่าผู้กองเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ไม่สบายหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมยังเหม่ออีก เมื่อกี้ ผมเรียกไปตั้งหลายครั้ง ผู้กองไม่ได้ยินเหรอครับ”

“เอ่ออ  ช่วงนี้คงคิดงานเยอะ เบลอๆ นิดหน่อยนะ ไม่เป็นไรหรอกจ่า”

“อย่าหักโหมมากนะครับ พักบ้าง”

“ขอบคุณนะจ่า ผมไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าเป็นอะไรผมจะรีบบอกจ่าคนแรกเลย”

“ครับผมลองผู้กองไม่บอกผมแล้วเป็นอะไรขึ้นมาซิ นังเมียที่บ้านมันเล่นผมหัวแตกแน่ๆ ผมขอตัวออกไปก่อนนะครับ ผู้กองต้องการอะไรเรียกผมนะครับ”  เอ่อ จ่าจะเสียงดังทามมาย ผมตกจายยย

“ขอบคุณนะจ่า”  วิณณ์พยักหน้าให้จ่าก่อนจะก้มลงไปทำงานต่อ




“ไม่รู้ไอ้เมมโมรี่กับไอ้แฟ้มบ้านั่นมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา คุณผู้กองวิณณ์ถึงได้จ้องมันอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน”

วิณณ์ไม่ตอบโต้อะไร แต่ยอมเงยหน้าจากงานที่ทำอยู่ขึ้นมาจ้องหน้าผม ก่อนที่จะ  โป๊กกกกกกกกกกกกกกกก

“โอ๊ยยยยย ทำอะไรเนี่ยวิณณ์”

“เป็นวิญญาณนะเรา ยังเจ็บอีกเหรอ?”  เออแฮะ  คลำไปคลำมา ไม่เจ็บนี่หว่า แล้วร้องทำไมวะเรา

“แหะๆ ก็มันชิน โดนเขกหัวมันต้องเจ็บเลยร้องไว้ก่อน แล้วทำอะไรอยู่ละ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาตลอดไม่สนใจคนอื่นเลย”  วิณณ์ไม่ตอบแต่กวักมือเรียกให้ก้มลงไปดู ก่อนจะแจกมามะเหงกมาอีกรอบแต่ผมรู้ทันเลยหลบซะก่อน

“ฮั่นแน่  ไม่ได้แอ้มหรอก เขารู้ทันแล้วจะเขกหัวอีกรอบอะดิ๊”

“หึหึ”  ยังจะมาหัวเราะอีก ตะวันไม่มีโง่ซ้ำสองนะขอรับกระผม

“ว่าแต่ทำอะไรอยู่เหรอ”

“จะทำอะไรละครับคุณตะวัน ทำงานที่เป็นทั้งของผมและของคุณไงครับ”

“อ่อออออออออออออออออออ”  งั้นผมไม่กวนคุณแล้วครับคุณวิณณ์ ตั้งใจทำงานดีๆ นะครับ อิอิ



ผมปล่อยให้วิณณ์นั่งทำงานไปเรื่อยๆ สักพักผมก็ลุกไปช่วยดู  แต่อย่าบอกว่าช่วยดูเลยครับ ช่วยวุ่นวายมากกว่าวิณณ์บอก  -*- แต่วิณณ์สงสัยท่าจะไม่สบายจริงๆแล้วละ เพราะสักพักก็จาม สักพักทำจมูกฮึดฮัด


“วิณณ์ พักก่อนไหม เหมือนวิณณ์จะไม่สบายนะ พักก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหนักกว่านี้”

“ไม่เป็นไรวิณณ์ขอดูตรงนี้ก่อน เดี๋ยวเราค่อยกลับคอนโดนะ”

“อืม”




ผมนั่งรอไป วิณณ์ก็ทำงานไป ไอ้ที่บอกแปปนึงเนี่ย ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้วครับท่านทั้งหลาย แต่ก็เอาเถอะนะจะให้ผมไปโวยวายก็ใช่เรื่อง เพราะส่วนหนึ่งของงานที่วิณณ์ทำ ผมก็ได้รับอานิสงค์ส่วนหนึ่ง อิอิ





ก๊อก ก๊อก




“ผู้กองครับ  มีคนมาขอพบครับ”  วิณณ์เงยหน้ามองแต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร บุคคลปริศนาก็เดินเข้ามาในห้อง “พี่วายุ” พี่วายุมาทำอะไรที่นี่ ต้องมีประเด็นอะไรแน่ๆ ไม่งั้นพี่วายุคงไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก

“สวัสดีครับผู้กอง ขอโทษที่มาช้านะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็เคลียร์งานรอไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร นั่งก่อนครับคุณวายุ”  เอ๋....สองคนนี้นัดกันไว้เหรอ นัดกันตอนไหน ยังไง ทำไมผมไม่เห็นรู้เลยอะ

“..........................”

“..........................”


เอ้าเงียบ จะเงียบอีกนานไหม สรุปคุณทั้งสองนัดมาเจอกัน แล้วมานั่งเงียบๆ แบบนี้ เพื่อออออออออออออออ


“ผู้กองครับ เอ่อ...”

“ครับ?”

“เรื่อง......ตะวัน มันจริง จริงๆเหรอครับ”

“ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับ เพราะโกหกผมก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร”

“ก็ถูกของผู้กอง แต่ไอ้เรื่องผีๆสางๆ เหนือธรรมชาติแบบนี้ เกิดมาในชีวิตผมก็เพิ่งเคยเจอเนี่ยแหละ เอ่อ....แล้วตอนนี้ ตะวันเขา.....เขา.....อยู่.......”

“อยู่นี่หรือเปล่านะเหรอ” พี่วายุพยักหน้า ส่วนวิณณ์ก็หันมามองทางที่ผมอยู่ กลายๆจะบอกว่า มันนั่งหัวโด่อยู่นี่ไงครับ


เดี๋ยวๆๆๆ ไอ้ปฏิกิริยาเมื่อกี้มันคืออาร๊ายยยยยยย เขยิบตัวซ้าย แล้วเบี่ยงเข้าหาวิณณ์ นี่ๆๆๆ อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยน รสนิยมอะ พี่ชายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



“กลัวเหรอคุณ”  ใช่ๆ กลัวเหรอ ตะวันเป็นน้องนะ พี่วายุจะกลัวใครก็ได้แต่ห้ามกลัวน้อง

“เอาตามจริง ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ อออกจะเกรงๆ มากกว่า เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยเจอ แต่ดูผู้กองไม่กลัวเลย มีของดีอะไรบอกผมบ้างดิ”

“ของดี?”

“อ่าฮะ”

“ไม่มีอะ”

“อะ...อ้าว แล้วทำไมผู้กองดูชิลมาเลยละ”

“ถ้าจะให้พูดก็ นอกจากตะวัน ผมก็ยังไม่เคยเห็นผีจริงๆจังๆ หรอก”

“โธ่เอ้ยย ไอ้เราก็นึกว่าพี่ของดีอะไรซะอีก”



เหอๆ ผมไม่คิดว่าพี่ผมจะแสดงความเอ๋อได้ขนาดนี้นะเนี่ย เอาเป็นว่าสรุป ไปๆมาๆ ที่พี่วายุมาก็เพราะอยากรู้ให้แน่ใจเรื่องของผมนั่นแหละ ผู้กองก็ยืนยันหนักแน่นว่ามันคือเรื่องจริง ทั้งเรื่องสภาวะร่างกายของผมที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราเพราะวิญญาณออกมาเร่ร่อนทำภาระกิจสำคัญอยู่ ทั้งที่มีวิณณ์คนเดียวสามารถสื่อสารจับต้องมองตากับผมได้ และยังต้องช่วยผมให้ทำภาะรกิจให้สำเร็จเพื่อวิญญาณจะได้กลับเข้าร่างของตัวเอง มันคงฟังดูพิลึกพิลั่นน่าดูเพราะพี่วายุเอาแต่พูดว่า “บ้าไปแล้ว บ้ากันไปใหญ่แล้ว” แต่ยังไงก็ตามผมก็ไม่ลืมกำชับให้วิณณ์บอกพี่วายุให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

ตอนนี้ผมก็สบายใจไปได้เปราะหนึ่ง เพราะพี่วายุรับปากและยืนยันว่าจะดูแลทั้งแม่ของผม และร่างกายของผมไม่ให้ใครมาทำอะไรได้ และทิ้งท้ายคำสั่งให้ผมไว้ว่า หน้าที่ของผมก็คือต้องรีบทำภาระกิจให้สำเร็จเท่านั้น



ผมก็อยากจิบอกว่า  ผมก็อยากให้มันสำเร็จไวๆ เหมียนกันคร้าบบบบ






พรึ่บ พรั่บ



เสียงวิณณ์เก็บเอกสารเครื่องเขียนบนโต๊ะให้เข้าที่ นั่นก็แสดงถึงเวลากลับแล้วละซิ แล้วตอนนี้พวกเราก็มาอยู่ที่หน้าคอนโดเรียบร้อยแล้ว สมาชิกสภากาแฟก็อยู่กัน ว่าแต่สภากาแฟเขาชอบเปิดกันตอนเช้าไม่ใช่รึ ทำไมเปลี่ยนเวลามาตอนนี้แล้วละ


“ผู้กอง  ผู้กอง ผู้กองคะ”  เสียงพี่สาวหนึ่งในสมาชิกสภากาแฟเรียกผู้กองพร้อมกับกวักมือเรียก ผมรู้นะว่าวิณณ์จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่คงไม่ทันแล้วละ เพราะพี่สาวแกลุกขึ้นมาขวางหน้าไว้ซะก่อน

“เอ่อ มีอะไรกันหรือเปล่า อยู่กันเป็นกลุ่มเลย”

“แหม ผู้กองก็จะอะไรซะอีกละคะ พวกเราก็มารอผู้กองนั่นแหละคะ”

“รอผม?”

“ใช่คะ มารอผู้กองนั่นแหละคะ” 


“โอ๊ะโอ่ ถ้าทางจะสนุกแล้วซิ อิอิ”  วิณณ์หันมาทำตาดุใส่ผม ผมพูดอะไรผิดละ ก็เรื่องจริงทั้งนั้น ป้าๆลุงๆทั้งหลายคงอยากรู้เรื่องคดีของแม่ทรงโตละซิ แต่ก็ว่าเขาไม่ได้หรอกนะ เกิดเหตุฆ่ากันตายในคอนโดที่อยู่กันแท้ๆ คนร้ายก็ยังจับไม่ได้ เป็นใครก็ยังไม่รู้
แต่ผมยอมใจพวกลุงป้าจริงๆ ยุงก็เยอะ ร้อนก็ร้อน ยังอุตส่าห์มานั่งรอกัน ที่เห็นๆ ก็มี

ลุงยามผู้ห้าวหาน ลุงเพิ่ม

ป้าน้อยแม่ค้าข้าวแกงหน้าตึก

ป้าจันร้านขายของชำใต้ตึก

พี่นิดช่างผมใต้ตึก

และพี่กิ่งผู้ช่วยร้านทำผมพี่นิด



“มารอผมทำไมกันเหรอครับ”

“พวกป้าก็อยากรู้ว่าผู้กองรู้ตัวคนร้ายหรือยังคะ”
 
“ใช่คะผู้กอง พวกพี่ๆ ก็กลัวกันเหมือนกันนะ เป็นห่วงไอ้พวกเด็กตัวน้อยๆ ด้วย ถ้าเกิดมันกลับมาทำร้ายคนบนตึกอีกละ”

“ใช่คะๆ ผู้กองพวกป้านะหวาดระแวงกันไปหมดเลย ใครแปลกหน้า รถแปลกหน้ามา นี่อยากจะโทรแจ้งตำรวจวันละหลายรอบ”

“ใจเย็นๆ กันนะครับ พวกตำรวจทำงานกันอย่างเต็มที่ จากที่ดูน่าจะเป็นความแค้นส่วนตัว พวกป้าพวกลุงสบายใจกันได้นะครับ แต่ผมก็จะไม่ละเลยนะครับ สายตรวจจะถูกส่งมาตรวจความเรียบร้อยจนกว่าจะจับคนร้ายได้”

“จริงเหรอคะ/ครับ”

“จริงครับ แต่ผมขออย่างหนึ่ง ว่าอย่าพูดอะไรให้คนอื่นตื่นตกใจไปล่วงหน้านะครับ”

“ได้ซิคะ ผู้กองขอทั้งที่ ป้าจันทำให้ได้อยู่แล้ว”

“แหม ป้า เอาหน้าใหญ่เลยนะ พี่นิดด้วยคะ ไม่ต้องห่วง จะรูดซิบปากปิดให้สนิทเลยคะ”

“พี่กิ่ง ก็เหมือนกันคะ”

“ป้าด้วย ป้าด้วย”

“ครับ ขอบคุณนะครับ ถ้าเห็นอะไรผิดปกติ ก็ขอให้จดจำรานละเอียดไว้ ลักษณะหน้าตา ท่าทาง รถ สี รุ่นทะเบียน แล้วบอกกับสายตรวจที่มา หรือ บอกกับผมนะครับ เข้าใจไหม”

“คะ/คะ/ครับ/คะ”





“แหม ขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่เลยนะผู้กอง  หลงมาติดกับเสน่ห์คุณผู้กองกันหมดเลย”

“หึหึ เพิ่งรู้เหรอ”

“เหอะ หลงตัวเองก็เป็นด้วย”


“ไม่หลงนะ อย่าว่าแต่คนเลย…..”




“………….................”



.

.

.

.

.



“ วิญญาณแถวๆนี้ ก็ดูว่าจะมาหลงด้วยเหมือนกันนะ”




----------------

ข้าน้อยขอกราบอภัยที่หายหัว หายตัว เนื่องจากภารกิจงานการที่กองมากมายเสียเหลือเกิน
แต่ตอนนี้ กลับมาต่อให้แล้วนะ ออเจ้า

ว่ากล่าว ติชม ตักเตือนได้เหมือนนะเจ้าคะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนทีี 13 : หลักฐาน (09/12/2017)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 10-04-2018 13:51:17
 :hao6: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 15 : ไม่สบาย (19/04/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 19-04-2018 16:17:19
ตอนที่ 15  ไม่สบาย


“เหยดดดดดดดดดดดดดด.................แดกควายครับ แดกควาย 5555”

“ไอ้โจ๊ก ไอ้สัส  มึงโกง ไอ้เหี้ยยยย”

“โกงเหี้ยไร มึงควายเอง เล่นกี่ครั้งก็แพ้ตลอด”

“สัสหมานี่ เลิกๆๆๆๆ ไม่จ่ายเว้ย”

“อ้าว ไอ้ซีนโกงกูเหรอ”

“ใครโกง  มึงแหละโกง”

“มึงแหละ”


บลา บลา บลา....................................


“เฮ้ย เงียบ!!!”


--- กริบ ---



“เป็นเหี้ยอะไรนักหนาวะพวกเมิง อยู่กันแค่นี้จะแหกปากกันทำไมวะ”

“ก็พี่ก็ดูไอ้โจ๊กมันดิพี่ แม่งโกงผมอะ”

“กูไปโกงเชี้ยไรมึง เล่นควายๆ เอง มาโทษกู”

“สัส”

“มึงซิสัส”


พลั่ก    พลั่ก


“โอ๊ยย”

“โอ๊ยยย พี่เอ็ม ตบผมทำไมวะพี่”

“ก็ถ้าพวกมึงยังไม่เงียบปากกันอีก มึงจะโดนหนักว่านี้ อย่าให้กูพูดรอบสอง”


เมื่อลูกพี่สั่งด้วยน้ำเสียงเอาจริงลูกน้องทั้งสองก็พากันรูดซิปปากเงียบสนิท พวกมันจะไปกล้ากันได้ไงลองลูกพี่พูดแล้ว อย่าให้พูดรอบสองคือต้องห้ามพูดเด็ดขาดเพราะไม่อย่างนั้นชีวิตพวกมันจะลำบากเอา


“ไอ้โจ๊กที่กูสั่งให้มึงไปทำนะ ได้เรื่องบ้างไหม”

“เอ่อออ.....ไม่ได้ครับ”

โครมมมมมมมมมมมมมมมมม      เสียงดังขึ้นพร้อมกับร่างไอ้โจ๊กที่ล้มไปกับเก้าอี้อย่างไม่เป็นท่า

“โอ๊ยยย เฮีย ใจเย็นดิ ก็ไอ้พวกตำรวจอะดิ มันหมุนเวรกันมาตรวจทุกชั่วโมงเลย แล้วแถมไอ้พวกคนในคอนโดนั่น แม่งก็เหมือนกันคอยสอดส่ายสายตาตลอดเวลาด้วย ผมเข้าไปไม่ได้เลยพี่”

“ใช่พี่ ผมว่านะเพราะมีไอ้ตำรวจนั่นด้วยแหละ มันคงส่งสายตรวจมาคอยดู”


“ไอ้วิณณ์”


“ ผมไม่เข้าใจ ทำไมนายไม่ให้เราเก็บมันเลยวะพี่ ผมแม่งโคตรไม่ถูกชะตา ชอบเต๊ะท่า ทำหน้าหล่อ”

“เขาก็หล่อกว่ามึงจริงๆนะ กูว่า”

“ไอ้ซีน ไอ้สัส เงียบปากไปเลยมึง”  ไอ้ซีนเตรียมอ้าปากจะตอบโต้ แต่ก็ต้องหยุด เมื่อหัวหน้าพวกมันเงยหน้ามามองเท่านั้น ขืนได้เถียงกันต่อพวกมันคงจมตีนหัวหน้าเป็นแน่แท้

“กูก็อยากจะทำแบบที่พวกมึงคิดกันอยู่หรอก แต่ในเมื่อนายยังไม่สั่ง กูจะทำอะไรได้ จำใส่กะโหลกหนาของพวกมึงไว้ถ้ายังอยากมีชีวิตต่อก็ต้องฟังนายไว้  พวกมึงเองรีบจัดการไปเอาของตามที่กูสั่ง กูไม่รู้ว่าป่านนี้พวกตำรวจจะเจอไปหรือยัง”


“รับแซ่บ / คร้าบบ ลวกเพ่”







“ไอ้สามคนนี้มันคงยังไม่รู้ซินะขอรับท่านพญายม ว่านายวิณณ์ ได้หลักฐานไปแล้ว”

“อืม”

“แล้วเราจะไปเตือนนายวิณณ์ กับนายตะวัน หรือไม่ขอรับ”

“กิจของมนุษย์ เจ้าจะเอาตัวเข้าไปยุ่งไม่ได้”

“ขอรับ”   ปากก็ตอบรับนายเหนือหัวอย่างดี แต่ใจเองก็ยังคงมีเรื่องให้กังขาและสงสัย  “แต่.........กระผมก็ยังสงสัยไม่หายนะขอรับ วิญญาณของนายตะวันทำไมถึงไม่เหมือนกันวิญญาณอื่นๆ”

“ยังไงรึ?”

“ก็อย่าง  นอกจากเรื่องนอนหรือเรื่องกินแล้ว เรื่องอื่นๆ นายตะวันดูดีๆ ก็เหมือนคนปกติทั่วไปเลยนะขอรับ ไอ้แว่บๆ หายตัว ตอนแรกก็ทำได้อยู่ แต่หลังๆ มาเอาแต่ตัวติดไปไหนมาไหนกับนายวิณณ์ตลอด เรื่องสร้อยข้อมือก็เหมือนกันนะขอรับ วิญญาณไม่สมควรจะจับต้องวัตถุสสารได้ด้วยซ้ำ นี่กลับใส่ซะเฉย มันไม่แปลกหรือขอรับ แล้วยิ่งเวลานายตะวันอยู่ใกล้กับนายวิณณ์กระผมมีความรู้สึกแปลกๆ มันอธิบายยาก อธิบายไม่ถูก...........

มันดูเหมือน   กับ    คนรักกัน ยังไงก็ไม่รู้”


----กึก----   


“ชะอุ้ยย”
 
หลังจากพล่ามพรรณามาเยอะ เมื่อเงยหน้าสบตากับท่านพญายมก็ทำให้เจ้าของคำถามถึงกับสะดุ้งและหลุบตาลงต่ำ

“กระผมคงจะพูดมากไป ขอโทษขอรับ”

“ไม่ผิดที่เจ้าจะคิดสงสัย ขนาดเจ้ายังสงสัยได้ขนาดนี้ คนอื่นๆ ก็คงสงสัยไม่ต่างจากเจ้า........
ไม่ว่าจะสวรรค์หรือนรกก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุและผลในการกระทำเหล่านั้นทั้งสิ้น มันอยู่ที่ว่าเจ้าจะมีสิทธิ์ได้รู้เมิ่อไหร่ และแค่ไหนเท่านั้นเอง”

“ขอรับ”







ณ บ้านของตะวัน

“ป้าดารา กำลังจะไปหาตะวันเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ วายุมีอะไรหรือเปล่ามาแต่เช้าเลย” 

ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาผู้เป็นป้า ช่วยหยิบข้าวของจัดใส่กระเป๋า ในกระเป๋ามีของกินเต็มไปหมด แต่เท่าที่มองดูในนั้นมีแต่ของชอบของตะวันทั้งนั้นเลยเห็นแล้วก็อดสงสารผู้เป็นป้าไม่ได้ เพราะพ่อของตะวันทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ทำให้เหลือกันอยู่แค่สองคน ด้วยความที่พ่อของเขาเป็นพี่ชายที่รักน้องมากจึงได้ให้ตะวันและแม่มาอยู่ใกล้กัน เพื่อจะได้ดูแลกัน และที่สำคัญตะวันจะได้มีพี่อย่างเขาคอยดูแลด้วย


“นี่ยังไม่ได้บอกป้าเลย ว่ามาทำอะไรแต่เช้า หืม”

“ก็มาดูป้าดาราแหละครับ ว่ามีอะไรให้วายุช่วยไหม.... มาป้า เดี๋ยวผมช่วยยกและไปส่งที่ รพ นะครับ”

“ขอบใจจ้ะ” 

เธอปล่อยให้หลานชายจัดแจงยกของขึ้นรถและเดินตามออกมา เธอมองแผ่นหลังของหลานชายและก็อดคิดไม่ได้ว่า ในอดีตถึงแม้ครอบครัวเธอจะไม่สุขสมหวังเหมือนครอบครัวอื่น แต่เธอยังโชคดีที่มีพี่ชาย พี่สะใภ้ที่แสนดี และหลานชายที่น่ารักเป็นอีกครอบครัวหนึ่ง


เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เรื่องที่ทำให้เธอทุกข์ใจอยู่ตอนนี้ ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ


“ตะวัน”


เธอไม่รู้ว่าจะทนดูลูกเธอที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงได้อีกนานแค่ไหน เธอไม่รู้ว่าทำไมและเพราะอะไรที่ทำให้ลูกของ
เธอตัดสินใจทำเรื่องนี้ได้


ความรักความใส่ใจของเธอที่มีให้ลูกชายนั้นไม่เพียงพออย่างนั้นหรือ?


เธอเป็นแม่ที่ยังไม่ดีพอใช่ไหม?
 

เธอต้องทำอย่างไรถึงจะชดเชยให้ลูกได้?


ผู้เป็นแม่ได้แต่คิดไปต่างๆ นานา โดยไม่รู้เลย เธอไม่ใช่เหตุผลของการกระทำนั้น
 

“น้าดารา...”

“.....”

“น้าดาราครับ”

“อะ!!  เอ่อ ว่ายังไงนะ”

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ นั่งเงียบตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว”

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนะจ้ะ”

“คิดถึงเรื่องตะวันอยู่เหรอครับ”

“.......จ้ะ”

“คุณน้าอย่าคิดมากนะครับ ตะวันจะต้องหายครับ น้องอดทนมาได้ขนาดนี้ ผมเชื่อว่าเขากำลังพยายามต่อสู้อยู่นะครับ”

“จ้ะ.............. บางทีน้าก็อดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพราะน้าหรือเปล่าที่ทำให้ตะวันเป็นแบบนี้ ตะวันไม่มีครอบครัวที่พร้อมหน้าเหมือนคนอื่นเขา ตั้งแต่เล็กจนโตก็โดนแกล้ง โดนล้อเป็นประจำ ตะวันคงเจ็บปวดทรมานมาก เป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าถึงทำให้ตะวันคิดสั้น  น้าควร......

ควร.........ควร........ปล่อยตะวันไปใช่ไหม”


คนเป็นแม่พูดออกมาแต่ละคำอย่างยากลำบาก เพราะรักลูกสุดหัวใจ อยากจะเหนี่ยวรั้งลูกไว้ให้อยู่ แต่ก็กลัวจะยิ่งทำให้ลูกทรมานแสนสาหัส 


........หัวใจแม่มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน


“คุณน้า อย่าคิดมากนะครับ ตอนนี้ตะวันเองก็กำลังพยายามอยู่ พวกเราก็ต้องพยายามเหมือนตะวันนะครับ”

“จ้ะ”

 “คุณน้าครับ เชื่อผมซักเรื่องนะครับ อย่าเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจของตะวันนะครับ เราสู้ด้วยกันนะครับ สู้ไปกับตะวันด้วยกันนะครับ”

น้าสาวหันมามองหน้าหลานชายและยิ้ม     “จ้ะ”


ถึงแม้เขาจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาก็ยังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงซักที คิดแล้วก็อยากจะตบหัวตัวเองอย่างแรง ตั้งใจไปเพื่อหาความจริงแต่กลับคว้าน้ำเหลว เขาต้องรู้ให้ได้ ทำไมตะวันถึงคิดฆ่าตัวตาย ไหนจะผู้กองวิณณ์นั่นอีกมาเกี่ยวข้องกับตะวันได้ยังไง การที่น้องจะกลับคืนชีวิตมาไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่เรื่องแบบนี้ก็นะ มันทำใจเชื่อลำบากจริงๆ


แต่ในเมื่อรับปากไปแล้ว


ร่างกายของน้องชาย พี่ชายคนนี้จะดูแลให้ถึงที่สุด








“วิณณ์”

--- เงียบ ---

“วิณณ์”

--- เงียบ ---


“วิณณณณณณณณณณณณณณณณณณณณ์”


“นี่ถามจริง เป็นผีจริงป่าวเนี่ย”  วิณณ์เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับสภาพงัวเงียเพิ่งตื่นนอนชัดๆ 

ใช่ซิ ก็เขาเพิ่งตื่นนอนจริงๆ หลังจากนั่งถ่างตาหาข้อมูลจากทรัมไดรฟ์ที่คุณแอนเธอทิ้งเอาไว้ หาความเกี่ยวโยงระหว่างเธอกับคนในภาพเหล่านั้น เขาก็ต้องกุมขมับเพราะข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิดมันไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย  เฮ้อออออออออออ

“อะไร ทำไมต้องว่าตะวันแบบนั้นด้วยละ”

“เอ้า ก็จริงไหมละ วิญญาณอะไรทำตัวเหมือนเด็กไปทุกวัน ทั้งดื้อ ทั้งซน เป็นลิง แถมยังชอบอ้อนเหมือนแมวอีก”

“ชิส์”

“แล้วนี่เรียกซะเสียงดังมีเรื่องอะไร”  ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินไปหาอีกคนที่ยืนอยู่บนระเบียง ฟังไม่ผิดครับ ยืนอยู่บนระเบียงจริงๆ ครับ


พิเรนทร์ขึ้นทุกวัน..... 


“ดูนี่ซิ พวกนั้นมาอีกแล้ว”

“พวกนั้น? พวกไหน?”

“ก็ที่เคยเล่าให้ฟังไง คนที่เคยเดินสวนกันตรงระเบียงวันที่คุณแอนมาหาวิณณ์ แล้วสองสามวันหลังจากที่คุณแอนตายก็มาวนเวียนแถวคอนโดตลอดเลย”

“หืม?”  วิณณ์เดินเข้าไปดู หลังจากที่ตะวันเคยบอกวันนี้เขาเองก็เพิ่งจะได้เห็นเอง มากันสองคน ท่าทางก็เหมือนรอดูลาดเลาอะไรซักอย่าง จะเกี่ยวกับทรัมไดรฟ์อันนั้นหรือเปล่านะ

“ทำไมตะวันถึงคิดว่าเป็นคนเดียวกันละ”

“คนเดียวกันแน่นอน เพราะไอ้เจ้านั่นนะ ไม่คิดจะปิดบังหน้าตาอะไรเลย อย่าบอกนะว่าวิณณ์จำไม่ได้”  จำได้ซิ ทำไมจะจำไม่ได้ วันนั้นเจ้านั่นมันเปิดหน้าชัดเจน แต่วันนี้มุมที่เขาอยู่มันสูง แล้วไอ้เจ้านั่นมันอยู่ที่ต่ำแถมใส่หมวกปิดหน้าปิดตาอีกจำได้ก็แปลกแล้ว

แต่ตอนนี้เขาว่าร่างกายเขามันแปลกๆ รู้สึกมึนหัว เบลอๆ แถมสมองยังประมวลผลช้าอีก อาการแบบนี้อีกไม่นานต้องพาลไม่สบายแน่ๆ วิณณ์คิดในใจ


“วิณณ์”

“หืม?”

“หน้าซีดอะ ไม่สบายเหรอ บอกแล้วว่าอย่าหักโหมมาก กลับเข้าข้างในก่อนเถอะ” ตะวันหันมาเห็นสีหน้าวิณณ์ที่ยืนข้างๆ


“ตัวร้อนด้วย”

“อะ!!!!”   จู่ๆ ตะวันก็จับหน้าเขาไว้ให้อยู่นิ่งแล้วเอาหน้าผากตัวเองมาสัมผัสที่หน้าผากของเขา จ้องหน้า จ้องตา ลมหายใจที่รดาสัมผัสกัน รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในซีรีส์เกาหลีเลยแหะ
 

แล้วทำไมใจเต้นแรงจังวะ  หรือจะเป็นโรคหัวใจ??


เอ๊ะ.....ว่าแต่ วิญญาณนี่รับสัมผัสความร้อนได้ด้วยเหรอ?


แต่เขาไม่มีเวลาให้คิดเยอะ เพราะยิ่งคิดหัวสมองก็ยิ่งปวดแทบจะระเบิด เมื่อกี้ยังไม่หนักเท่านี้ สงสัยเพราะเขามายืนที่ระเบียงทำให้โดนแดดอาการเลยยิ่งกำเริบ เขาเดินกลับเข้าข้างใน


เอออออ  ดูไปก็แปลกแหะ วิญญาณกำลังดูแลคนป่วย?


คิดอีกแล้วไอ้วิณณ์เอ้ย ถ้าไม่หยุดคิดมึงได้หัวระเบิดตายก่อนแน่



“วิณณ์นอนตรงนี้ก่อน ทำไงดีละ วิณณ์ต้องกินยา แต่ต้องกินข้าวก่อนซิ ตะวันจะเอาข้าวที่ไหนให้วิณณ์กินละไปซื้อก็ไม่ได้ ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี”


“เดี๋ยวๆ ตะวัน ใจเย็น นอนพักนิดหน่อยก็หายแล้ว”


ไม่ได้!!!   ต้องกิน ไม่กินจะไปหายได้ยังไง โตจนป่านนี้อย่ามาทำดื้อได้ไหม”    วิณณ์ถึงกับสะดุ้ง อยู่ดีๆ ตะวันก็โพล่งเสียงดังขึ้นมา หลังจากที่เถียงกันเรื่องกินยากินข้าวมาได้เกือบ 5 นาที  วิณณ์ก็ต้องยอมแพ้ ยอมยกสายโทรหาจ่าเติมเพื่อให้ช่วยเอาข้าวเอายามาให้ ไม่อย่างนั้นถ้าเถียงกันไปเรื่อยๆ เขาต้องอาการหนักกว่าเดิมแน่


นอกจากแม่ และน้อง นี่เขาจะมีผู้ปกครองเพิ่มอีกคนใช่ไหม



ผ่านไป 20 นาทีเสียงระฆังก็ช่วยชีวิตเขาไว้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ก็หลังจากเขานอนพักสายตาโดยที่ไม่ได้หลับแต่อย่างใด จะให้หลับลงยังไงละ พยาบาลตะวันที่ดูแลเขาเดี๋ยวก็มาจับหน้า จับตัว จับหน้าผากเช็คความร้อนเกือบจะทุกนาที พอเสร็จก็บ่น ไข้ก็ไม่ขึ้น แต่ทำไมวิณณ์หน้าแดง


ก็ป่วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าเนี่ยย  ไม่ให้แดงยังไงไหว


เฮ้อออออ  สงสัยเขาคงจะบ้าจี้ ละมั้ง??



“ผู้กอง สวัสดีครับ เป็นยังไงบ้าง นี่นังเมียผมลงมือทำกับข้าวมาให้ผู้กองโดยเฉพาะเลยนะครับ”

“โห จ่าไม่ต้องลำบากทำก็ได้นะ ซื้อเอาก็ได้ ผมเกรงใจ”

“จะเกรงใจทำไมกัน เมียผมมัน FC ผู้กองอยู่แล้ว ส่วนผัวมันนะแค่หางแถว”

“หึ หึ”  จ่าเติมเดินเข้าครัวด้วยความคุ้นเคย จัดแจงเทข้าวต้ม เตรียมน้ำและยาให้อย่างเรียบร้อย

“นี่ครับผู้กอง”

“ขอบใจจ่า”

“แล้วนี่ผู้กองไปทำอะไรมา ถึงไม่สบายได้ละครับ ปกติผู้กองเป็นอะไรยากจะตาย”

“ผมคงหมกหมุ่นกับคดีมากไปหน่อยนะ อาจจะนอนไม่พอด้วย กินยา นอนซักหน่อยก็น่าจะดีขึ้น”

จ่าเติมพยักหน้า ฟังไปด้วย แล้วก็ช่วยเก็บข้าวของในห้องไปด้วย ดูไปนี่จ่าเติมอายุก็น่าจะเป็นพี่ชายวิณณ์ได้เลยนะเนี่ย ถึงจะเป็นหัวหน้าลูกน้อง แต่นอกเวลางานดูสนิทกันดีจัง

“ไม่เป็นไรหรอกจ่า ทิ้งไว้อย่างนั้นเถอะ เดี๋ยวผมก็ทำรกอีก”

“ก็อยู่ตัวคนเดียวก็อย่างนี้ละน้า บอกแล้วให้รีบหาสาวๆ มาคอยดูแลได้แล้วผู้กองก็ไม่เชื่อ”

“ก็มี............”

“หะ”

“เอ่อ  คนไม่มีเวลาอย่างผม ใครเขาจะมาสนใจ ถ้ามีไปผมว่าน่าจะมีแต่เรื่องปวดหัวด้วยซ้ำ”  พูดจบก็ชำเลืองมองคนข้างๆ ป่านนี้แอบน้อยใจไปแล้วมั้ง จะให้บอกยังไงว่ามีวิญญาณบางคนแถวนี้ดูอยู่


“ครับ ครับ ผมไม่เถียงผู้กองแล้วครับ กินข้าวกินยาเถอะครับ เดี๋ยวผมรอเก็บแล้วจะให้ผู้กองได้นอนพักผ่อน”

วิณณ์ตักข้าวต้มอีก 2-3 คำ แล้วก็หยิบยามากิน

“อิ่มแล้วเหรอผู้กอง”

“อืม  รบกวนจ่าเยอะล้ว ไปทำงานเถอะ”

“ครับผม ถ้าผู้กองมีอะไรก็โทรหาผมนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ผมเต็มใจครับ”

“ขอบคุณมากนะจ่า”



จ่าเติมกลับไปแล้ว คราวนี้ผมก็ขอนอนพักจริงๆ ซักทีนะ โดยไม่ลืมหันไปบอกพยาบาลส่วนตัว

“ขอวิณณ์นอนพักก่อนนะ เดี๋ยวจะได้หายทันมาดูคดีให้”

“อืม  นอนก่อนเถอะ ยังจะมาห่วงงานอีก”

พูดกันได้แค่นั้น วิณณ์ก็ทำท่าสลืมสลือคงเพราะยาที่กินเข้าไป ส่วนตะวันก็ผุดลุกผุดนั่ง เดี๋ยวก็เดินไปที่ระเบียงเพื่อดูว่าคนแปลกหน้ายังอยู่ไหม แต่ก็ไม่เห็นสงสัยคงจะไปแล้ว สักพักก็เดินกลับมาข้างๆ วิณณ์เพื่อดูว่าคนป่วยสีหน้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง 


ยิ่งมอง ก็ยิ่งเข้าไปใกล้ 


ยิ่งดู หน้าของตะวันก็ยิ่งก้มลง ก้มลง


เพราะมันแต่ห่วงคนตรงหน้า ตะวันจึงไม่ทันรู้ตัวว่า ตอนนี้ตัวเองได้ก้มหน้าลงมาใกล้จนห่างกันแค่เพียงปลายจมูก


“ตอนหลับตายังเห็นเส้นตาคมเข้มเลยแหะ ขนตาก็ดำขลับดำเรียงเป็นแพสวยจัง จมูกก็โด่งเป็นสัน ปากผู้ชายหรือเนี่ย เรียวเป็นสีชมพูเลย”


และไม่ทันได้คิด ตะวันก็โน้มตัวลงไปประทับรอยปากที่หน้าผากของวิณณ์


“หายไวๆ นะครับคุณผู้กอง”





โดยไม่รู้เลยว่า คนข้างใต้เพียงแค่นอนหลับตาเฉยๆ เท่านั้น





/// กลับมาต่อแว้วคร้า ฮึบ ฮึบ เข็นๆๆๆ ตัวเอง ///
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 15 : ไม่สบาย (19/04/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-04-2018 20:32:53
จุ๊บๆ ด้วยคน  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 16 : หายไปไหน (11/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 11-05-2018 18:00:34
ตอนที่ 16 หายไปไหน

[วิณณ์]


“ฮึ...อื้อออ” ผมบิดตัวขยับไปมาบนที่นอน พลางค่อยๆลืมตาขึ้น แดดที่ส่องเข้ามาถึงจะไม่จ้ามาก แต่ก็ทำให้เคืองตาได้ไม่น้อย
เฮ้ย กี่โมงแล้ววะเนี่ย ผมลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ข้างเตียงมาดู

“ฉิบ..... 9โมงแล้วเหรอวะเนี่ย” ผมรีบดีดตัวออกจากที่นอนคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำ มันไม่ใช่วันหยุดของผมไง แล้วผมก็สายแล้วด้วยไง แล้วนี่คุณตะวันเขาหายไปไหนของเขานะ ปกติจะชอบทำตัวเป็นนาฬิกาปลุกเสมอ สงสัยผมจะเคยตัวแล้วแน่ๆ เฮ้ออ

ใช้เวลาเบ็ดเสร็จ 10นาที ไวเป็นบ้าเลย


“ตะวัน.....ตะวันอยู่ไหม วิณณ์จะไปทำงานแล้วนะ” สงสัยจะไม่อยู่แหะ



“สวัสดีครับผู้กอง วันนี้ไปสายเหรอครับ” ถ้าลุงจะจำชีวิตผมได้ขนาดนี้ละก็นะ

“นอนเพลินนิดหน่อยครับ อย่าบอกใครละ เดี๋ยวเขาจะหาว่าตำรวจไทยขี้เกียจ”

“ฮาาาา ไม่หรอกครับ”

“ผมล้อเล่นนะลุง ไปนะครับ”

“ครับผม”




ผมขับรถเข้ามาจอดที่ประจำของ สน. ว่าแต่วันนี้รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปซักอย่างแหะๆ มันดูโล่งๆ ...ไม่มีใครคอยป่วน


“สวัสดีจ่า”

“ครับผู้กอง มาไหวหรือครับ”

“แค่นี้เอง สบายมาก”


ผมเดินเข้าห้องไปได้สักพัก จ่าเติมก็เดินตามมาพร้อมกับกาแฟหนึ่งแก้ว


“ขออนุญาตครับผู้กอง”

“ขอบคุณนะจ่า วันนี้มีเรื่องอะไรอัพเดทไหม”

“มีครับ จากหลักฐานที่เราได้จากเมมการ์ด หนึ่งในนั้น คือ ไอ้โจ๊ก มันมีประวัติอาชญกรรมกับกรมตำรวจ”

“โจ๊กเหรอ?”

“ครับ เคยต้องโทษคดีปล้นและทำร้ายร่างกายเจ้าทรัพย์เพิ่งถูกปล่อยตัวมาเมื่อสองเดือนก่อน ความจริงมันต้องโทษถึงสองปี แต่มันทำตัวดีเลยได้ลดโทษเหลือหนึ่งปี แต่ยังติดทัณฑ์บนและต้องรายงานตัวอยู่ทุกเดือน”

“แล้วไอ้โจ๊กกับไอ้เอ็ม มันเกี่ยวข้องกันยังไง?”

“สมัยเด็กบ้านมันอยู่ติดกัน พ่อไอ้โจ๊กมันตายตอนนั้นมันก็น่าจะ 10กว่าขวบได้ พ่อมันติดเหล้าแต่อย่าเรียกว่ากินเลยผู้กองเรียกว่าอาบเลยดีกว่า เมาทีหนึ่งไม่ตีเมียตีลูกก็ไปหาเรื่องคนอื่นเขา ชาวบ้านแถวนั้นเขาเอือมกันหมด”

“.........”

“มีครั้งหนึ่งพ่อไอ้โจ๊กมันเมาอาละวาดเกือบจะฆ่าเมียตัวเอง หลอนหนักคิดว่าเมียไปมีชู้ ไอ้โจ๊กเข้าไปห้ามก็โดนไปด้วย ชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้ายุ่ง มีก็แต่ไอ้เอ็มนี่ละที่เข้าไปช่วยไอ้โจ๊กมัน พ่อไอ้โจ๊กต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่โรงบาลเกือบเดือน นับแต่นั้นมาไอ้เอ็มเลยกลายเป็นฮีโร่ไอ้โจ๊ก พ่อไอ้โจ๊กเองก็ไม่กล้าตบตีลูกเมียอีก เพราะไอ้เอ็มมันชี้หน้าคาดโทษไว้”

 
อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง ผมพยักหน้าให้จ่าเมื่อเล่าจบ


“แล้วจ่าพอรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้เอ็มบ้างไหม”

“ยังไม่ได้เรื่องอะไรมากครับผู้กอง ประวัติท้าตีท้าต่อยของมันยาวยิ่งกว่ากรุงเทพไปเชียงใหม่ แต่ประวัติอาชญากรรมกลับไม่มีชื่อมัน สายของเราที่ตามเรื่องนี้อยู่รู้แค่ว่าไอ้เอ็มมันทำงานให้กับนายมัน แต่นายมันเนี่ยคือใครยังไม่ทราบครับ รู้แค่ว่ามันจะเรียกว่า ‘นายใหญ่’

“นายใหญ่?”

“ครับ แต่ผมให้สายของเราตามสืบอยู่คิดว่าไม่นานน่าจะได้ข่าวอะไรมาบ้าง”

“ดีมากจ่า ผมฝากด้วยนะ แล้วสายตรวจเราที่ส่งไปคอยดูแถวๆ คอนโดผมมีข่าวอะไรบ้างไหม”

“ทุกอย่างดูปกติดีครับผู้กอง จะไม่ปกติก็แค่คนในคอนโดแหละครับ”

“............!!!!”

“สายตรวจเราทุกนายที่เข้าไปตรวจพูดเหมือนกันทุกคน”

“......ยังไง?”

“เอ่อ....คือ.....”

“คือ.....?”

“คือ  ถ้า  คนในคอนโดผู้กองจะ.........รู้ กันขนาดนี้ทุกคน ไม่น่าจะมีคนถูกฆ่าตายได้นะครับ”

“หะ!!  อะไรนะ”  ไม่ใช่อะไรนะครับ ที่ถามย้ำเนี่ยมันไม่ยินได้ไง อะไรรู้ รู้อะไร

“จะให้ผมพูดจริงเหรอครับ กระดากปากไงไม่รู้”

“เอ้า ไม่พูดแล้วผมจะรู้ไหมละจ่า”

“ก็พวกสายตรวจเขาพูดกันว่า   ถ้าคนในคอนโดผู้กองจะ สอดรู้ กันขนาดนี้ทุกคน ไม่น่าจะมีคนถูกฆ่าตายได้ครับ”



 


นี่ผมควรจะแปลกใจดีหรือเปล่านะ




ว่าแต่ คู่หู ผมหายไปไหนละเนี่ย ???

สุดท้ายวันนี้ทั้งวันผมก็ไม่ได้เจอกับตะวันเลย ไม่ว่าจะลองเรียกหรือสื่อในใจก็ไม่ได้รับสัญญาณตอบรับซักกะนิด ‘เขาไปไหนของเขานะ’ ผมชักจะเป็นห่วง เพราะตั้งแต่มีตะวันเข้ามาในชีวิตพวกเราก็ตัวติดกันตลอด


ตลอดเหรอ?   เพิ่งจะรู้ตัวเองเหมือนกัน  ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทำอะไรก็จะมีตะวันเป็นหนึ่งในเหตุผลนั้นด้วยเสมอ


1 หรือ 2 หรือ 5  หรือ 10 วัน  ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นที่เจอกับตะวันคือหลังจากที่ผมกลับไปบ้านสวนก็ 21 วัน  ผ่านมาแล้วซินะ ถึงระยะเวลาจะดูไม่นาน  แต่ก็ดูเหมือนนาน

แล้วนี่ผมจะตามตัวตะวันได้ที่ไหนละ จะให้ไปตามหาหรือถามใครก็คงไม่ได้ ก็เพราะมีผมคนเดียวที่เห็นเขา



วันนี้ผมออกจาก สน. เร็วกว่าเวลาขับรถตรงกลับมาที่คอนโดทันที ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็เป็นห่วงคุณผีตัวแสบเขานะแหละ เมื่อวานก็ยังอยู่ด้วยกันปกติ จำได้ว่าตั้งแต่บังคับผมให้กินข้าวกินยาจนถึงตอนเคลิ้มจะหลับก็ยังอยู่ด้วยกัน จน...........


..........ผมเอื้อมมือมาจับหน้าผากตัวเอง

ถึงแม้สัมผัสจะบางเบา แต่ความรู้สึกกลับฝังแน่น

ถึงแม้จะตกใจ แต่ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านกลับมีมากกว่า

มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะเข้าใจ

มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษ ความรู้สึกดีที่มี ‘กัน’


และ


รู้สึก.....คิดถึง ห่วงใย อยากให้อยู่ใกล้ตลอดเวลา


คุณว่า.......มัน.......แปลก.......ไหม


แปลกซิ


ไม่แปลกยังไงไหว ผมยังแปลกใจตัวเองเลยตั้งแต่เกิดจนอายุ 27 เพิ่งจะเคยมีความรู้สึกแบบนี้ครั้งแรก แน่นอนผมต้องเคยแอบชอบแอบปลื้มคนอื่นบ้างอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่กับตะวันมันต่างออกไป


ความรู้สึก.......

                               มัน....

                                                                      ..........พิเศษกว่าคนอื่น..........




ผมไขกุญแจเข้าห้องไปเพื่อหวังว่าจะได้เจอเจ้าตัวป่วน เผื่อบางทีเขาอาจจะแกล้งแอบผมแล้วหลอกให้ตกใจ แต่ก็ว่างเปล่า ‘นี่เขาหายไปไหนนะ’




Rrrrrrr


เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูผมก็ต้องอมยิ้มกับชื่อที่โชว์บนหน้าจอ  ‘ดารินสาวน้อยผู้รัก’ โทรศัพท์ผมเองแต่คนสั่งให้ตั้งก็น้องสาวตัวแสบผมนะแหละครับ ‘หึ’

[ฮาโหลลลล พี่ชายสุดหล่อ สุดที่รัก ทำอะไรอยู่เหรอคะ]
“ทักแบบนี้น่ากลัวนะ”

[whyyy อะไรน่ากลัว อะไรตรงไหน]
“เหมือนว่าเราจะมีอะไรสักอย่าง แล้วพี่จะต้องทำอะไรสักอย่าง”

[คิคิ  เว่อนะ เขาแค่คิดถึงตัวก็เลยโทรหาไม่ได้หรือไง]
“คร้าบบบ โทรได้คร้าบบ ไม่กล้ามีปัญหาอะไรเลยคร้าบบ แล้วอะไรละ?”

[อาทิตย์นี้ตัวจะมาบ้านวันไหนเหรอ]
“ก็น่าจะวันเสาร์นะ”

[โอเค ดีใจสุดๆเลย พี่ชายสุดที่รัก สุดหล่อจะมาหาน้องสาวสุดสวย]
“พี่ว่าเราต้องมีอะไรแน่ๆ”

[ก็แบบว่า.......แบบ ที่มหา’ลัย ของน้อง .....แบบ....เอ่อ]
“1.....2.....”

[โอเค โอเค๊  พาน้องไปงานมหา’ลัย วันเสาร์หน่อยนะคะ ขอบคุณคะ บายยย]
“เฮ้......”


ตรู๊ดดดดด



อะ อ้าว อะไรกันละเนี่ย ร้อยวันพันปีน้องผมไม่เคยจะอยากให้ผมไปมหา’ลัยเขาซักครั้ง แล้วไหงครั้งนี้กลับมาชวนละ

ถ้าผมจำไม่ผิดช่วงนี้จะเป็นช่วงงานกาชาดของมหา’ลัย พวกนักศึกษาก็จะตั้งร้านค้าขายของกิน บูธเล่นเกม แล้วก็กิจกรรมสันทนาการหาเงินเข้าชมรมออกค่ายอาสากัน งานกาชาดเปิดให้คนนอกเข้าร่วมได้เพราะถือโอกาสประชาสัมพันธ์ไปในตัว มหา’ลัยก็ได้กำไร ไม่ต้องเสียเงินโฆษณา

งานนี้ผมชักได้กลิ่นทะแม่งๆ แหะ

วันเสาร์นี้เหรอ ถ้าตะวันรู้คงอยากจะไปเหมือนกัน ก็น้องสาวผมกับตะวันเรียนที่เดียวกัน

ซึ่งตอนนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ว่าอยากไปหรือไม่

แต่มันอยู่ที่ผมจะหาตะวันได้ยังไง







Rrrrrr


“......”
[นี่ตัวอยู่ถึงไหนแล้วอะ สายแล้วนะ] ยังไม่ทันจะพูดอะไร ปลายสายก็แทรกมาทันที

“ใจเย็นครับคุณผู้หญิง หน้าบ้านแล้วครับ”
[อ้าวเหรอ งั้นวางละ]


ตรู๊ดดดดด ตามเคย เห้อออ


“มาแล้ววววว ไปเลยคร้า ไปนะคะแม่”

“จร้า ทำตัวดีๆละ กระโดดกระเดกเกินไปแล้วนะ วิณณ์ดูน้องด้วยนะ”

“ครับแม่ ตอนเย็นเจอกันนะครับ”

ผมไม่ทันได้ลงไปทักทายแม่ ยายตัวแสบก็กระโดดขึ้นรถเร่งให้ผมไปมหา’ลัยทันที แล้วแบบนี้น้องสาวผมจะมีใครกล้ามาจีบไหมเนี่ย พวกเรามาถึงมหา’ลัยเกือบ 10โมง น้องสาวผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มตั้งร้านขายของอะไรทั้งสิ้น แต่กลับเลือกอยู่บูธกิจกรรมเล่นเกมของค่ายอาสา

มองดูคนก็เยอะพอสมควรนะ สงสัยเกมคงจะสนุก ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ทำไมมีนักศึกษาผู้หญิงเยอะจังแหะ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ผมก็ต้องร้อง อ๋ออออออ

ถ้าจะให้อธิบายเกมตรงหน้ามันก็จะประมาณ เกมปิดตาหาของละมั้งครับ แต่ไอ้คนที่ถูกปิดตาแล้วต้องหาของเนี่ย มันเป็นผู้หญิงไง แล้วไอ้เจ้าของที่เอาไปซ่อนเนี่ยมันก็ซ่อนอยู่บนตัวผู้ชายไง ถึงแม้จะไม่ได้ถูกปิดตาแต่มือมันก็ถูกมัดอยู่ จะกันตรงส่วนไหนมันก็ทำได้ยากลำบาก คนควานหาของก็คลำหาไปซิ ดูแล้วมันน่าจะจั๊กจี้

ดูผ่านๆ เกมมันก็ดูน่ารักดี แต่แบบทำไมรู้สึกเหมือนผู้ชายถูกเอาเปรียบอยู่หว่า



“ฟังๆ นักศึกษาสาวน้อย สาวใหญ่ หรือจะสาวแท้ สาวเทียม เร่เข้ามาทางนี้เลยคร่า....” นั่นเสียงน้องสาวผมเอง

อ่า ดูเข้มแข็งถึกบึกบึนเหมาะกับค่ายอาสาอย่างมาก (อย่าไปบอกเจ้าตัวละ ถ้ารู้ว่าผมบอกว่าเขาถึกนะ ผมโดนบ่นหูชาแน่)


“เร่เข้ามา เข้ามาใกล้ๆ กันเลยนะจ้ะ ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่กัด แต่ถ้าไม่เข้ามาฟังชัดๆ บอกเลย จิเสียใจเด้อ..........

ชมรมค่ายอาสาของเรามาจัดกิจกรรมหาเงินสบทบทุนเพื่อนำไปสร้างอาคารเรียนให้น้องๆ ที่ชนบทกัน และวันนี้เราได้รับเกียรติอันแเศษจากชายหนุ่มในเครื่องแบบ”



‘กรี๊ดดดดดดด’


“.....”


“สูง”     
 

‘กรี๊ดดดดด’


“...”


“ยาว”   


‘กรี๊ดดดดดด’


“.....”


“เข่าดี”   


‘กรี๊ดดดดดด’


“.....”


“และที่สำคัญ  หล่อมากกกกกก”


‘กรี๊ดดดดดดดดดดด / อร้ายยยยย ใครคะ  ใคร /  อยากเห็นหน้าจังเลยคร้าาาา’

   

“.....”  อื้อออออหืออออออ    เสียงแมนมากกก



“ที่สำคัญเป็นหนุ่มในเครื่องแบบที่ใครเห็นก็ต้องร้อง กรี๊ดดดดดดดด”


‘อร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด’


“.....”


“ขอเชิญผู้กองวิณณ์เลยคร้าาา”




O____O   นั่นไงผมว่าแล้ว!!!!  ว่ามันทะแม่งๆ




“มาเร็วพี่ชายสุดที่ร้ากก”

“ไม่ๆ พี่เป็นตำรวจนะเฮ้ย จะมาให้ทำอะไรแบบนี้ไม่ได้ ม่ายยยย”  แล้วภาพตรงนั้นก็กลายเป็นการฉุดกระชากลากถูของพี่น้องสองคน แล้วยังไงละ สุดท้ายใครแพ้


วิณณ์เองไง จะใครละ!!!!


ก็ถ้าจะเล่นดราม่าใหญ่ขนาดละก็นะ ‘ใช่ซิ ตัวไม่รักเขา หืออออ เขาเสียใจ พี่ไม่ยอมช่วยน้อง หืออออ’ และอีกมากมาย ผมชักเริ่มไม่แน่ใจว่าน้องผมยังสติดีอยู่?

ระหว่างที่ผมกำลังถูกมัดมือจากน้องสาวตัวเอง แล้วต้องออกมายืนท่ามกลางสายตาแทะโลมของเหล่านักศึกษามันสยิวปนสยองชอบกล ‘เฮ้ๆ อย่ามัดแน่นซิ’ ผมทำปากขมุบขมิบบอกน้องสาว แล้วยายดารินฟังไหมละ ไม่เลย กลับยิ่งมัดแน่นเข้าทำนอง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ



“เอ้าละคร้า  ใครจะเป็นผู้โชคดีรายแรก ได้ มาลูบบบบบ คลำผู้กอง”


‘กรี๊ดดดด อยากจะคลำผู้กองจังเลยค่า’


“เอ้ย ไม่ใช่ๆ คลำหาของคะ ไม่ใช่คลำผู้กอง แหมมมม คนข้างหน้ารู้สึกจะเสียงดังสุดเลยนะคะ”  เอ่อ น้องผู้ชายถึกสาวแบ้วคนนั้นอย่าเข้ามาใกล้พี่นะครับ พี่กลัวววววว ผมส่งสายตาไปหาน้องสาวตัวแสบแบบนั้น


“แหมเสียงดังฟังชัดจังเลยนะคะ งั้น คนแรกขอประเดิมที่พี่เก้งสายหวานของเราก่อนเลยนะคะ”  แต่สงสัยมันจะไปไม่ถึง  -*-


‘กรี๊ดดดด ฉันได้ ฉันได้’ แล้วเธอก็รีบวิ่งออกมาอย่างไว ส่งสายตาที่ใครเห็นก็เป็นอันต้องเสียวสันหลังวาบ ระหว่างที่น้องเก้งคนนั้นกำลังผูกผ้าปิดตา (ว่าแต่ชื่อเก้งจริงเหรอวะเนี่ย อะไรจะเข้ากั๊น เข้ากัน)




“นั่นผู้กองวิณณ์ ใช่หรือเปล่า”  เหมือนเสียงสวรรค์มาโปรด ผมหันไปทางเสียงที่ดังมา นั่นวายุกับแม่ของตะวัน มากับใครนะผู้ชายใส่สูทที่กำลังยืนคุยกับอาจารย์ ถึงจะดูมีอายุแล้วก็ตามแค่มองไกลยังดูดีขนาดนี้ ถ้าไปใกล้ๆ จะขนาดไหน แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจคือ เมื่อโอกาสลอยมาถึงมือเราแล้ว เราต้องรีบคว้า ผมเรียกและพยักหน้าให้น้องสาวเข้ามาใกล้ก่อนที่จะตกลงขอไปคุยธุระก่อน (แต่จะกลับมาเป็นตัวเล่นเกมให้ไหมก็อีกเรื่องนะครับคุณน้องสาว) น้องผมพูดไม่ยากหรอกครับเห็นแสบซนแบบนี้แต่เธอจะให้เกียรติผมกับงานที่ผมทำเสมอ เมื่อหลุดจากการถูกมัด ผมจึงเดินไปยังกลุ่มคนที่ยืนดูอยู่


“สวัสดีครับผู้กอง แหม ไม่ยักกะรู้นะเนี่ย ว่าชอบทำตัวเป็นจิตอาสา”

“มันก็ไม่เชิงหรอกครับ เรียกตกกะไดพลอยโจรมากกว่า / สวัสดีครับคุณป้า”

“สวัสดีคะผู้กอง ป้าก็นึกว่าใครซะอีก มองไปเห็นแต่สาวๆ รุมล้อม เสน่ห์แรงนะคะ”  ผมเกาหัวแก้เก้อ แก้ตัวไปก็เปล่าประโยชน์ก็ภาพมันโชว์ซะเต็มตา

“ผู้กองมาทำอะไรที่นี่ครับ”

“พอดีน้องสาวผมเรียนที่นี่ แล้วผมก็ถูกหลอกให้มาทำอย่างที่เห็นนี่ละครับ”

“ใครไปหลอกตัว พูดจาใส่ร้ายน้องสาวตัวเองไม่ดี ชิส์ / สวัสดีคะ”  อ้าวยายตัวแสบประโยคแรกนะพูดกับผมแต่ประโยคหลังเธอหันไปพูดและสวัสดีคู่สนทนาทั้งสองของผม

“สวัสดีจ้ะ น้องสาวผู้กองนี่น่ารักจังนะคะ”  แหม ถูกชมแค่นี้ยิ้มแก้มปริเลยนะ

“ขอบคุณคะ อิอิ”

“วายุ....วายุ!”

“หะ!!!   คะ...ครับน้าดารา”  แม่ของตะวันไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อผมและแม่ของตะวันสบตากันก็ต้องแอบยิ้มทั้งคู่ จะไม่เห็นได้ไง นายวายุจ้องน้องผมตาค้างซะขนาดนั้น บอกแล้วน้องผมอะน่ารัก เสียอย่างเดียว ดื้อไปหน่อย

“ว่าแต่มาทำอะไรกันเหรอครับ” ผมหันไปถามแม่ของตะวัน

“ทางมหา’ลัย ให้พวกน้ามาทำเรื่องดร๊อป และรักษาสภาพนักศึกษาของตะวันไว้นะคะ”

“อ่อเหรอครับ”  พูดถึงตะวันนี้เขาหายไปไหนของเขานะ เขาหายไป 3 วันแล้ว ตัวเองจะรู้ไหมทำให้คนอื่นเป็นห่วง คุยกันได้ไม่นาน ชายใส่สูทรูปร่างภูมิฐานที่ผมเห็นในตอนแรกก็เดินเข้ามาในกลุ่มสนทนา เมื่อแม่ของตะวันเห็นผมมองผู้ที่เข้ามาใหม่ จึงได้แนะนำขึ้น




“นี่ คุณอาทิตย์......”



“พ่อของตะวันจ้ะ”





--อ้าวตะวัน ทิ้งให้ผู้กองสุดหล่อของเราเจอ เก้งกวางบ่างชะนี รุมแบบนี้ได้อย่างไร / ซับ จะรีบปั่นให้ไวนะ อึบๆๆ---
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 16 : หายไปไหน (11/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-05-2018 01:43:29
ตะวันไปเที่ยวเล่นที่ไหนละเนี่ย
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 16 : หายไปไหน (11/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-05-2018 02:23:54
ตะวันหายไปสืบอะไรที่เกี่ยวกับคดีหรือเปล่านะ แถมไม่บอกคุณตำรวจเขาด้วย  :serius2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 17 : ครอบครัว (16/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 16-05-2018 17:49:56
ตอนที่ 17 ครอบครัว



“นี่คุณอาทิตย์ เป็นพ่อของตะวันจ้ะ”


“สวัสดีครับ” คนอายุมากกว่ารับไหว้ด้วยท่าทางภูมิฐาน ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งเหมือนตะวัน ดวงตาที่เหมือนกัน ตาสีน้ำตาลที่ขับกับใบหน้าขาวให้ดูโดดเด่น ต่างกันแค่สีผมที่เปลี่ยนไป ผมสีดำของตะวันทำให้สีของดวงตานั้นดูขี้เล่น แต่เมื่อเทียบกับพ่อแล้ว ผมสีดำแซมเทาทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูอบอุ่น

“นี่ผู้กองวิณณ์ที่ดูแลคดีของตะวันคะ”

“ขอบคุณนะครับ” พ่อของตะวันหันมาพูดกับผม

“เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” คุณอาทิตย์พยักหน้าและหันไปคุยกับแม่ตะวันต่อ

“ผมคงต้องกลับก่อนมีประชุมต่อ ส่วนเรื่องของตะวันผมจะให้ นายลมช่วยจัดการให้”

“คะ”


หลังจากจบบทสทนา ผมก็ยกมือไหว้กล่าวลาคนพ่อ ดูจากท่าทาง การแต่งตัวและเมื่อมองไปยังพาหนะแล้ว พ่อของตะวันน่าจะเป็นคนรวยคนหนึ่ง ผมหันกลับมาหาแม่ของตะวันเพราะสะดุดใจกับคำพูดนั้นของคนพ่อ


“คุณน้าครับ จัดการเรื่องตะวัน คือเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“น้าจะพาตะวันกลับมาดูแลที่บ้านนะคะ”

“หะ! ว่าไงนะครับ” ผมถามพร้อมส่งสายตาไปถามนายวายุ ไหนว่าจะช่วยกันไงทำไมกลายเป็นจะพาตะวันกลับบ้านละ แล้วอย่างนี้ร่างตะวันจะปลอดภัยไหม

“ใจเย็นครับผู้กอง ร่างกายตะวันตอนนี้อยู่ในสภาวะคงที่ ไม่มีโรคแทรกซ้อน อวัยวะภายในระบบการทำงานสมบูรณ์เกือบ 100% พูดง่ายก็คือตะวันเหมือนแค่คนนอนหลับเท่านั้น หมอเป็นคนรับรองเองซึ่งตัวหมอเองก็ยัง งง ว่า ทำไมตะวันถึงยังไม่ฟื้นซักที”

 “ครับ แล้วทำไมถึงตัดสินใจจะพาตะวันกลับบ้านละครับ”

“เป็นความต้องการของน้าเองละจ้ะ ถ้าตะวันอยู่บ้าน น้าจะได้ดูแลได้อย่างเต็มที่แล้วพ่อของตะวันเขาก็ต้องการแบบนั้น”

“เหรอครับ”

“แล้วเรื่องเครื่องหายใจละครับ”

“หมอบอกว่าระบบการหายใจของตะวันดีขึ้นมาก น่าจะสามารถหายใจได้เองโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่เพื่อความไม่ประมาทพ่อของตะวันเขาเตรียมไว้ให้แล้วจ้ะ”

“ครับ” ไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจนะที่อาการตะวันขึ้น แต่ถ้าตะวันกลับไปอยู่บ้าน ผมจะเอาข้ออ้างอะไรไปดูตะวันละ

“ไม่ต้องห่วงหรอกผู้กอง บ้านผมเปิดต้อนรับผู้กองเสมอ” คนพูดยักคิ้วหลิ่วตา จนผมต้องหลี่ตามอง เหมือนกำลังโดนแซวทางสายตา

“ใช่จ้ะ ผู้กองมาเยี่ยมตะวันได้ตลอดนะ ถึงแม้น้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมาก แต่วายุบอกให้น้าไว้ใจผู้กอง น้าก็จะไว้ใจ อีกอย่างน้าก็เชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองเหมือนกัน...”

“.....”

“ลางสังหรณ์มันบอกน้าว่า.....ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กองกับตะวันมันมีมากกว่าเรื่องคดี”

“หืม?”

“เอาเถอะจ้ะ อย่าใส่ใจน้าเลย น้าต้องกลับแล้วละจ้ะ ทิ้งตะวันให้นอนเหงานานแล้ว”

“คุณน้ากลับยังไงครับ”

“คงต้องแท็กซี่ละจ้ะ เพราะพ่อของตะวันเป็นคนไปรับพวกเรามาจาก รพ.”

“งั้นผมไปส่งนะครับ”

“ไม่เป็นไร น้าเกรงใจ”

“อย่าเกรงใจเลยครับ ไปเถอะครับ” ผมไม่รอให้แม่ของตะวันพูดปฏิเสธก็เดินนำไปที่รถ ส่วนน้องสาวผมก็ทำหน้าที่ได้ดี ช่วยเข้าไปถือของและเดินมาพร้อมกับแม่ของตะวัน ผมบอกคุณแล้วว่าน้องผมอะน่ารัก แต่ต้องมองข้ามความดื้อไปก่อนนะ



ตอนนี้พวกเราสี่คนขึ้นรถและมุ่งหน้าไปที่ รพ. ที่ตะวันอยู่ เจ้าตัวจะรู้ไหมนะว่าผมมาเจอแม่กับพ่อเขา แต่เอาเข้าจริง ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรของตะวันเลย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว พี่น้อง ญาติ เพื่อน หรือเรื่องเรียน

สิ่งที่ผมรู้มีเพียง ตะวันฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรัก ครอบครัวตะวันที่ผมรู้จักมีเพียงแม่และพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง นอกจากนั้นไม่รู้อะไรเลย แม้แต่พ่อผมก็เพิ่งเคยเจอครั้งแรก แต่ถ้าเดาจากมุมคนนอกที่มอง พ่อกับแม่ของตะวันน่าจะเลิกลากันไปแล้ว ทำไมผมรู้นะเหรอ ปฏิกิริยา สรรพนามการเรียกและการพูดคุย

“น้องสาวผู้กองน่ารักจังนะคะ ชื่ออะไรเหรอลูก” ประโยคแรกแม่ของตะวันพูดกับผม ส่วนประโยคหลังหันไปถามน้องสาวผม

“ชื่อดารินคะ”

“ชื่อน่ารักจังเลย ผู้กองมีพี่น้องกี่คนเหรอคะ”

“สองคนครับ ผมกับยายตัวแสบแค่นี้ครับ”

“อะไร ใครตัวแสบ ชิส์”

“โอ๋ๆ” ผมพูดพร้อมเอื้อมมือไปโยกหัวน้องสาวตัวแสบ

“โอ้ยย ตัวอะ ดูซิผมเค้าเสียทรงหมดเลย”

“น่ารักจังเลยคะ ป้าอยากให้ตะวันมีครอบครัวมีพี่น้องกับเขาบ้างเหมือนกัน” แต่ละคนเงียบไม่มีใครกล้าพูดขัดขึ้นมา “ไม่ใช่วายุไม่ใช่ครอบครัวนะลูก” แม่ของตะวันพูดด้วยเสียงแหบพร่าหันไปจับมือหลานชาย

“แต่น้าแค่คิดว่า ถ้าครอบครัวยังเป็นครอบครัวอยู่ ชีวิตตะวันอาจจะดีกว่านี้”

“น้าครับ อย่าคิดแบบนั้นซิ ตะวันไม่เคยพูดถึงปมด้อยเรื่องครอบครัวหรือโทษสิ่งที่น้ากับอาอาทิตย์ได้ตัดสินใจลงไป ตะวันรักน้านะครับ”

“จ้ะ น้ารู้ น้าถึงไม่เคยห้ามหรือรังเกียจอะไรก็ตามที่ตะวันเป็น เพราะน้าก็รักตะวันยิ่งกว่าชีวิตน้าเหมือนกัน ความสุขของตะวันคือความสุขของน้า”


สิ่งที่ผมเห็น....

ครอบครัวของตะวันถึงจะไม่สมบูรณ์แต่ก็อบอุ่นไม่แพ้ครอบครัวอื่น

ความรักที่เป็นพิษของตะวัน มันร้ายแรงขนาดไหนกันนะ ถึงขนาดยอมทิ้งชีวิตตัวเอง


“คุณน้าคะ อย่าคิดมากเลยนะคะ พี่ตะวันต้องหายแน่นอนคะ”

“หนูรู้จักพี่ตะวันด้วยเหรอลูก”

“รู้จักซิคะ แต่พี่ตะวันไม่รู้จักหนูหรอกคะ ถึงหนูจะเรียนคนละคณะ แต่พี่เขาดังมากเลยนะคะ น่ารัก นิสัยดี เพื่อนๆ รุ่นน้องทุกคนชอบพี่ตะวันคะ ที่สำคัญพี่เขายังมีแฟนหล่ออีกด้วย”

“.....”

“อุ๊ย!!!!” ผมหันไปมองน้องสาวตัวเอง ถึงเธอจะเคยพูดถึงตะวันกับผม แต่สิ่งที่พูดออกมาเป็นเรื่องใหม่ที่ผมเพิ่งจะรู้

น้องสาวผมดูจะตกใจกับสิ่งที่พูดไป แต่ก็ไม่ทันแล้ว เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้งบนรถ ไม่ใช่ไม่รู้จะพูดอะไร แต่มันก็ไม่ถูกที่จะพูดเรื่องของคนที่ไม่อยู่ลับหลัง

“ขอโทษคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ น้ารู้ พวกเราทุกคนรู้”

“ตะวันก็คือตะวัน เขาจะเป็นอะไรสุดท้ายเขาก็ยังเป็นลูกน้าอยู่ดี ขอแค่เขามีความสุขน้าก็โอเคแล้ว หนูดารินเคยเจอแฟนของตะวันเขาไหมลูก”

“เอ่อ.....ก็เคยเจอคะ พี่เขาเป็นรุ่นพี่ปี 4 ชื่อ ‘พี่ดิน’

“เหรอจ้ะ แต่น้ายังไม่เคยเจอเลย แม้แต่ตอนนี้ที่ตะวันนอนป่วยอยู่ เขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมซักครั้ง”

“จะไปสนใจคนอื่นทำไมกันครับ วายุอยู่ทั้งคน ตะวันเป็นน้องผม ผมดูแลได้อยู่แล้ว”

“อืมจ้ะ”

ไม่นานผมก็ขับรถเข้ามาจอดที่ รพ. ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะขอตามเข้าไปด้วยดีไหม แม่ของตะวันก็เป็นฝ่ายเอ่ยชวนขึ้นมา

“ถ้าผู้กองไม่ติดธุระอะไร เข้าไปด้วยกันได้นะคะ”

ผมพยักหน้าและยกยิ้มอย่างดีใจ เหมือนคุณน้าจะรู้ความคิดผมซะจริงๆ






ดารินสังเกตพฤติกรรมของพี่ชายตลอดทางที่มาด้วยกัน ทำเหมือนไม่สนใจเรื่องที่คุยกัน แต่จะเหลือบมองทุกครั้งเมื่อคนเป็นแม่พูดถึงลูกตัวเอง

อย่างเมื่อกี้ มองสีหน้าพี่ชายตัวเองแล้วก็รู้เลยว่าอยากจะเข้าไปอย่างมาก ถ้าแม่ของพี่ตะวันไม่เอ่ยชวนก่อนเธอคิดว่าพี่ชายตัวเองคงเป็นฝ่ายขอตามเข้าไปเองอยู่ดี

‘ชักอยากรู้ซะแล้วซิ ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ มันจะตรงกับความคิดฉันไหม’







พวกเราเดินกันจนมาถึงหน้าห้องที่ตะวันพักอยู่ แต่ไม่ใช่ห้องเดิมที่ผมเคยมา

เมื่อเราเดินเข้ามาในห้อง ผมก็ต้องแปลกใจ นี่ห้องโรงพยาบาลหรือโรงแรมกันละเนี่ย อุปกรณ์ทุกอย่างมีครบและพร้อม มีห้องครับแบบครัวเบาด้วย แถมยังมีพยาบาลพิเศษคอยเฝ้าอีกต่างหาก เห็นอย่างนี้ค่าห้องน่าจะไม่ใช่ถูกๆ

‘พ่อของตะวันเป็นคนจัดการทั้งหมด’ นายวายุกระซิบบอกผม อืม ท่าทางพ่อตะวันน่าจะรวยมาก

“เชิญผู้กองกับหนูดารินนั่งก่อนคะ”

“ขอบคุณคะ /ครับ”


น้องสาวผมเดินไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับนายวายุ ส่วนผมเดินเข้าไปใกล้เตียงของตะวันที่นอนอยู่ ร่างบางนอนนิ่งบนเตียงสีขาว ประกอบกับเจ้าตัวที่มีผิวขาวด้วยแล้ว มันทำให้ยิ่งเหมือนร่างของตะวันดูบางเบาแปลกๆ

ผมเอื้อมมือไปจับแผลที่หน้าผากของตะวัน ตรงส่วนอื่นของร่างกายดูปกติหมดทุกอย่างยกเว้นก็แต่แผลที่หน้าผากที่ไม่ยอมหาย สงสัยต้องเป็นแผลเป็นแน่ๆ


แผลเป็นที่เหนือคิ้วด้านซ้าย


“ถ้าตะวันตื่นมาเห็นแผลต้องเป็นเรื่องแน่ๆ รายนี้รักหน้าตัวเองมาก มีสิวขึ้นแค่เม็ดเดียวก็โวยวายแล้ว”

แม่ของตะวันเดินลงมานั่งอีกฝากของเตียง มือนึงก็ลูบผมคนนอนหลับอย่างสุดรักสุดห่วง ปากก็พูดเรื่องของลูกตัวเองให้ผมฟัง


‘ตะวัน คุณอยู่ไหนกันนะตอนนี้ รู้ไหมว่ามีหลายคนที่เป็นห่วงและรักคุณ รอคุณอยู่ คุณจะรู้ไหม?’


เหตุการณ์วันนี้ทำให้ผมได้รู้เรื่องของตะวันขึ้นเยอะ ครอบครัวของตะวันมีแค่แม่และตะวัน เพราะพ่อกับแม่แยกทางกันตอนตะวันอยู่ ม.1 หนำซ้ำตะวันยังมีพี่น้องโดยไม่รู้ตัว พี่น้องที่เกิดจากพ่อเดียวกัน เกิดห่างกันเพียงไม่กี่เดือน และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม่ของตะวันไม่ได้จดทะเบียนกับพ่อของตะวัน แต่อีกฝ่ายกลับทำถูกต้องมีสิทธิ์และศักดิ์ตามกฎหมายทุกอย่าง ถึงตะวันจะได้รับการรับรองบุตรจากพ่อ  แต่ความรู้สึกของลูกนอกสมรสมันก็ทิ่มแทงใจตะวันมาตลอด

สุดท้ายฝ่ายที่เลือกจากมาก็คือแม่ของตะวัน แต่บนความโชคร้ายยังมีความโชคดี ตะวันกับแม่มีครอบครัวของวายุที่เปรียบเสมือนครอบครัวที่สองคอยช่วยเหลืออุ้มชูกันมา เพราะพ่อของวายุเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่ตะวัน


เหตุนี้ละมั้งทำให้คุณน้าป็นห่วงตะวันมาก   


ห่วงว่าจะเป็นปมด้อยที่ตัวไม่มีพ่อ


ห่วงกลัวจะให้ความรักและเลี้ยงตะวันได้ไม่ดีพอ


ห่วงถ้าวันหนึ่งแม่ไม่สามารถอยู่ดูแลตะวันได้ ตะวันจะทำยังไง


แต่จริงๆ แล้ว มันทำให้ผมรู้ว่า แม่รักตะวันมาก รักมากเท่ากับชีวิตของแม่คนหนึ่งจะให้ได้


แม้แต่ผมที่เป็นคนนอกยังรับรู้ได้


แต่ติดอยู่อย่างเดียวเจ้าตัวจะเคยรู้ไหม






“คุณน้าครับแล้วตะวันจะกลับไปอยู่บ้านเมื่อไหร่เหรอครับ”

“คาดว่าน่าจะ 2-3วันนี้ละจ้ะ รอให้พ่อของตะวันจัดการเรื่องให้เรียบร้อยก่อน”

“แล้วตะวันกลับไปที่บ้านแบบนี้ จะไม่ลำบากแย่เหรอครับ คุณน้าต้องคอยดูตลอด”

“ไม่หรอกจ้ะ คุณอาทิตย์เขาจัดการจ้างพยาบาลพิเศษเพื่อช่วยน้าดูแลตะวันแล้วละคะ เพราะฉะนั้นเรื่องดูแล ยา หรือสังเกตอาการไม่ต้องห่วงเลย น่าคิดว่าดีซะอีกนะ ตะวันกลับไปอยู่บ้านเผื่อสภาพแวดล้อมที่บ้านจะช่วยให้ตะวันหายไวขึ้น”

“ครับ”






“นี่......นี่คุณ คุณว่ามันแปลกๆ ไหม”

“หืม อะไรแปลก?”

“ก็พี่ชายฉันกับพี่ตะวันเขาไปรู้จักสนิทกันตอนไหนเหรอ”

“ทำไมเหรอ”

“ก็ ดูแบบพี่วิณณ์เป็นห่วงเป็นใยเกินหน้าที่ตำรวจกับประชาชนไงไม่รู้”

“อืม ผมก็ไม่รู้ซินะ คิดมากไปหรือเปล่า ผมว่าพี่ชายคุณอาจจะแค่ทำตามหน้าที่ตำรวจก็ได้นะ” แต่ดารินไม่คิดแบบนั้นนะซิ มองยังไงมันก็มากกว่าหน้าที่ตำรวจ ดารินสัมผัสได้

ส่วนวายุเอง เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปมาก เพราะไม่รู้ดารินรู้เรื่องแค่ไหน แต่จากที่มองน่าจะยังไม่รู้เรื่องอะไรแน่ๆ

“นี่คุณ จ้องขนาดนั้น เดี๋ยวพี่คุณก็รู้ตัวหรอก”

“จะรู้ตัวก็เพราะคุณทักเสียงดังเนี่ยแหละ ชิส์”  คนฟังอมยิ้ม แสดงออกหน้าอย่างปกปิดไม่มิด

“อะไร ยิ้มอะไร”

“ก็เปล่า แค่รู้สึกแบบ คุณกับพี่นี่ไม่ค่อยเหมือนกันเนอะ แต่ก็ดูรักกันดีเนอะ”

“จะพูดอะไรมิทราบยะ”

“อย่าเข้าใจผิดซิ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ที่บอกว่าไม่เหมือน พี่คุณชอบแสดงท่าทางขรึม ส่วนคุณก็ดูขี้เหวี่ยงขี้โวยวายดีจัง”

“นี่ ปากเรอะนั่นอะ”

“ฮาาาาา อย่าเข้าใจผิดซิครับ เอาเป็นว่า หน้าตาดีทั้งพี่ทั้งน้อง จบไหม”

“ดี จบแบบนี้สวยดี” 







วิณณ์มองดูน้องสาวเขากับนายวายุที่กำลังนั่งคุยกันตรงโซฟา สนิทกันไวดีจังแหะ น้องสาวเขาก็แบบนี้ละ ดื้อซนแก่นเซี้ยวไปบ้าง แต่นิสัยที่น่ารักคือเข้ากับคนง่าย หายากมากถ้าจะมีใครไม่ถูกชะตากับน้องสาวผม ถ้ามีก็ถือว่าคนนั้นคงจะดวงซวยอย่างมาก ผิดกับผมที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เพื่อนสนิทก็มีกับเขาไม่กี่คน ไม่ใช่ว่าหยิ่งอะไรหรอกนะครับ ด้วยหน้าที่มันทำให้เวลาผมมีน้อย เพื่อนที่สนิทที่ไม่รู้ใจกันจริงๆ ก็ห่างกันไปหมด ที่เหลืออยู่ก็แค่ 2 คนได้มั้ง ไอ้ฟิล์ม กับ ไอ้ชาย

จะว่าไป ไอ้ฟิล์มกับไอ้ชายเพื่อนผมมันทำงานที่ รพ นี้ นี่หน่า งานมันก็คงจะยุ่งเหมือนกันเพราะผมมาที่ รพ สองครั้งยังไม่เคยเจอมันเลย มันทำอะไรนะเหรอครับ มันเป็นหมอครับ เป็นหมอที่หล่อด้วยนะ ทั้งคนไข้ พยาบาล ก็จับจองหมายตามันไว้เยอะ แต่เสียใจที่หัวใจมันไม่ว่างซะแล้ว เจ้าของคือใครนะเหรอครับ ก็ไอ้ชายนั่นแหละ สงสัยจะงานหนักเกินไปไม่มีเวลาหาสาว เลยหันมากินกันเอง

ใช่ที่ไหนละ ผมก็เล่าให้เพื่อนเสีย พวกมันคบกันตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ พวกเราสามคนเรียนมัธยมมาด้วยกัน ตั้งแต่ ม.ต้นจนถึง ม.4 ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเบนเข็มไปสอบเข้า รร. นายร้อยตำรวจ ส่วนพวกมันก็สอบหมอทั้งคู่ ถึงจะเรียนคนละพวกเรายังติดต่อกันเสมอ ผมคิดว่าก็คงจะเป็นช่วงที่มาเรียน รร ตำรวจ นี่ละที่พวกมันสองคนสนิทกันเป็นพิเศษเลยตัดสินใจคบกัน ถามว่าผมรู้สึกอะไรไหม ก็ต้องยินดีซิครับเพื่อนผมสองคนมีความสุขผมก็ต้องยินดีอยู่แล้ว จะเป็นยังไงมันก็เพื่อนนะครับ อีกอย่างผมมองโลกตามความเป็นจริงครับ ความรักเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกประเภท ใครไหนที่กำหนดว่ารักได้แค่ พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง หรือ หญิง ชาย เท่านั้น ผมว่ามันล้าสมัยแล้ว  เพราะแบบนี่ผมถึงไม่แปลกใจที่รู้ว่าตะวันมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่จะแปลกใจตรงที่ตะวันไม่เคยบอกผมต่างหาก เขายังไม่ไว้ใจผมเหรอ


“ผู้กองคะ”

“ครับ?”

“น้าให้คะ” เสร็จแล้วแม่ของตะวันก็ยื่นของสิ่งหนึ่งให้เขา มันคือล็อคเกตที่ข้างในมีรูปเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนี่งอยู่

“ตะวันจ้ะ เหมือนเด็กผู้หญิงไหม”

“ครับ แต่ให้ผมทำไมเหรอครับ”

“ตอนเด็กๆ ตะวันจะขี้กลัวมาก กลัวความมืด กลัวฟ้าร้อง กลัวไปซะหมดทุกอย่างตามที่เขาอยากจะจินตนาการ” แม่ของตะวันเล่าไปมือก็ลูบผมร่างบางที่นอนอยู่แล้วก็อมยิ้ม

“น้าก็เลยเอาล็อคเก็ตอันนี้ให้เขาใส่แล้วก็บอกว่าเจ้าสิ่งนี้อะมันมีพลังพิเศษนะ เวลากลัวอะไรก็หยิบขึ้นอธิษฐานขอให้คุ้มครองขอให้ช่วย เขาก็เชื่อนะคะ เขาตามที่น้าบอก หลังจากนั้นเขาก็เลิกกลัวไปเลยตราบที่ล็อคเก็ตอันนี้อยู่กับตัว แต่พอโตขึ้น เรื่องหลอกเด็กเหล่านี้ก็ค่อยๆ เลื่อนหายไป ล็อคเก็ตที่ไม่เคยห่างตัวก็ถูกเก็บไว้จนเจ้าตัวลืมไปในที่สุด”

“แล้วคุณน้าเอามาให้ผมแบบนี้จะดีเหรอครับ”

“ไม่รู้ซิคะ น่าแค่มีความรู้สึกอยากให้ผู้กองเก็บไว้ ตะวันเองก็คงไม่ว่าหรอกคะ”




หลังจากนั้นเราก็คุยกันสักพักก่อนที่จะขอตัวกลับเพราะรบกวนเวลาครอบครัวเขานานเกินไปแล้ว แต่ก่อนกลับผมตัดสินใจยกโทรศัพท์หาเพื่อนรัก ไหนๆ ก็มา รพ ทั้งที ไม่แวะทักทายมันซักหน่อยเดี๋ยวจะน้อยใจเอา พวกมันยิ่งหาว่าผมทำงานจนลืมเพื่อนอยู่







ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“เชิญครับ” เสียงคนในห้องตอบรับ เขากับน้องสาวจึงเปิดประตูเข้าไป คุณหมอในชุดกาวน์สีขาวทั้งสองคนกำลังจ้องหน้ากันอย่างคร่ำเครียด นี่ผมมากวนเวลาทำงานของเพื่อนหรือเปล่านะ

“สวัสดีคะคุณหมอสุดหล่อทั้งสองคน”

“สวัสดีคะน้องดาริน นั่งก่อนมึงไอ้ผู้กอง น้องดารินนั่งก่อนนะคะ”  ไอ้ชายพูดกับพวกผม แล้วก็หันขวับตวัดสายตาไปหาคนตรงข้าม ส่วนไอ้ฟิล์มหันมาพยักหน้าให้ก่อนจะหันกลับไปสบตาอย่างไม่ยอมแพ้กัน

“เอ่อ  ถ้ามึงสองคนไม่สะดวก ให้พวกกูออกไปก่อนไหม”

“ไม่เป็นไร มึงนั่งลงเลยไอ้ผู้กอง กูเคลียร์กันแปปเดียว” ไอ้ชายหันมาตอบผม ก่อนจะหันกลับไปพูดกับไอ้ฟิล์ม “คุณจะไม่ยอมผมใช่ไหม”

“คุณไม่มีเหตุผล”

“ผมไม่มีตรงไหน” 

“นี่ถามจริงไม่รู้?”

“เอ้า คุณไม่พูดผมจะรู้ไหม”

“ไม่พูดโว้ย ไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้” แล้วไอ้ฟิล์มก็โวยวายพร้อมหันหลังให้คู่สนทนาไปซะงั้น ที่มันบอกผมว่าแปปเดียว คงจะไม่ใช่ละมั้ง


“อิอิ น่ารักจัง พี่ชายพี่ฟิล์มชอบงอนกันเรื่อยเลยนะคะ”

“พี่ก็ไม่อยากทะเลาะกันหรอกคะ แต่เจ้าตัวยุ่งเนี่ยไม่มีเหตุผล”

“อย่ามาว่านะ ใครกันแน่ไม่มีเหตุผลไอ้คุณชาย”  ไอ้ฟิล์ม=เจ้าตัวยุ่ง เออ เว้ย เพื่อนผมมีสรรพนามเรียกกันมุ้งมิ้งเชียว

“เดี๋ยวนะพวกมึง ถามจริงทะเลาะกันเรื่อง?”

“คอนโด” ไอ้ชายเป็นคนตอบ

“คอนโด? ทะเลาะเรื่องคอนโด อะไร ทำไม??”

“พวกกูสองคนตกลงจะซื้อคอนโดแล้วมาอยู่ด้วยกัน เอาที่ไม่ไกลจากบ้านพวกกูมากแล้วก็มาทำงานสะดวก พวกกูไปดูมาหลายที่ สุดท้ายก็ไปถูกใจกันที่ คอนโด XX”

“แล้ว...”

“ไอ้ตอนไปเนี่ยก็คิดตรงกัน ชอบเหมือนกันทุกอย่าง ห้องเลขที่ 99 ชั้น 9 ห้องริมสุด มีระเบียงหน้าห้องที่ใหญ่ที่สุด มีอ่างน้ำจากุซซี่ที่ห้องอื่นไม่มี ถือเป็น premium เกรด AAA  กูจึงตัดสินใจจองและวางเงินมัดจำไว้ แต่ติดอยู่อย่างเดียว.........”

“ติดอะไรวะ”

“ติดที่ไอ้ตัวยุ่งเนี่ยมันไม่ชอบ”

“เอ้า ก็ไหนบอกว่าชอบทั้งคู่ แล้วจากที่กูฟังแม่งก็โคตรจะเฟอร์เฟคเลยนะ แล้วมึงจะไม่ชอบอะไรวะไอ้ฟิล์ม ถ้าไม่ชอบทำไมมึงไม่บอกไอ้ชายก่อนจองวะ”

“กูก็ชอบ โคตรชอบเลยแหละ”

“โอ้ย กู งง กับพวกมึงวะ”

“กูชอบห้องนี้ทุกอย่าง แต่แค่ไม่ชอบอย่างเดียว” ไอ้ฟิล์มก็ยังคงยืนยันว่ามันชอบห้องที่เลือกกัน แล้วปัญหามันคืออะไรวะ

“อะไรไอ้อย่างเดียวนั่นอะ ที่ทำให้พวกมึงมานั่งทะเลาะกัน”  เออเว้ย แม่งไม่พูด แต่ไอ้ฟิล์มไมแม่งต้องเขินหน้าแดงด้วยวะ “เอ้า พูดดิมึง”

“ที่กูไม่ชอบอะ ก็..............”

“ก็.......??”

“ก็ที่ห้องตรงข้ามอะ แม่งเป็นผู้หญิงขี้อ่อย แถมโคตรจะสวย วันที่ไปดูพอเห็นไอ้ชายนะก็ทำสายตาก้อร่อก้อติกไอ้ชายใหญ่เลย

กูไม่ชอบ 

ไม่ชอบ

ไม่ชอบ




-___-  สาบานว่านี่คือเหตุผลมึง นี่คือมึงหึงใช่ไหมครับ กูนี่พูดไม่ออกเลยครับ ผมหันไปมองหน้าชายมันก็ส่ายหัวให้ ผมว่ามันคงชินแล้วละ ไม่งั้นมันไม่แอบอมยิ้มหรอก กูรู้ กูเห็น มึงชอบซินะที่มันหึงมึง ไอ้ SM เอ้ยยยย



“เออ งั้นกูไม่ขอยุ่ง กูเชื่อว่าพวกมึงเคลียร์กันเองได้

“ดารินก็งดออกความคิดเห็นคะ เรื่องครอบครัวเราจะไม่ยุ่ง” แหนะมีการยกมือแสดงความคิดเห็นอีกน้องสาวผม

“ว่าแต่ไอ้ผู้กองกูได้ยินว่ามึงมาทำคดีของ นศ. ที่โดนรถชนที่ รพ. กูเหรอครับ”

“ประมาณนั้น”

“แหม มาถึงนี่แต่ไม่มาหาพวกกูนะครับ แต่กูสงสัยร้อยวันพันปีกูไม่เห็นมึงจะลงมาคลุกคลีคดีแบบนี้เท่าไหร่ เห็นแต่จ่าเติมรับคำสั่งตลอด ทำไมคราวนี้มึงถึงมาทำเองวะ”

“ขอโทษนะครับ ไอ้ชายกูเป็นตำรวจคดีอะไรกูก็ทำหมดไหมครับ”

“มึงอย่าทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งที่กูพูด” เออ กูเข้าใจ

“ไม่มีไรหรอกมึง กูก็แค่อยากทำคดีที่ไม่เครียดบ้างแค่นั้นแหละ”  ผมได้แค่ร้องในใจ ผมโกหกครับ คดีนี้หนักกว่าคดีที่ผ่านมาเยอะ

“เหรออ  กูจะเชื่อนะ ฟิล์มมานี่ดิ”  มันตอบผม แล้วก็หันมาวุ่นวายกับแฟนมันต่อ มันสองคนโกรธกันได้ไม่นานหรอกครับ ส่วนใหญ่เรื่องมันก็หยุมหยิมแบบนี้ละ

โอ้ยยย นั่นไงไอ้ฟิล์มก็อะไร แฟนง้อนิดง้อหน่อยก็เดินเข้าไปหาเขา ลงไปนั่งตักอีก ไอ้ชายก็อ้อนซะเอาหน้าเข้าไปซุกคอเมียแล้วนั้นอะ 


“เฮ้ยๆ หัดเกรงใจน้องกูบ้าง น้องกูยังเด็กอยู่”  คิดว่ามันสะทกสะท้านไหม ไม่!! ถามว่ามันไม่กลัวหมอ พยาบาลหรือคนไข้เข้ามาเห็นไหม ก็ไม่อีกนั่นแหละ มันจะกลัวทำไมก็นี่ รพ. ของครอบครัวไอ้ชายมัน ทายาทรุ่นต่อไปก็มันอีกนั่นแหละ ใครละจะไปกล้ายุ่ง ส่วนไอ้ฟิล์มก็บ้านนายธนาคาร ฐานะดี หน้าตาดีทั้งคู่ ได้กันก็เข้าทำนองเรือล่มในหนองทองจะไปไหน


ครอบครัวพวกมันสองตัวก็เปิดใจยอมรับไปนานละ เพราะตั้งแต่เป็นนักเรียนขาสั้น มาขายาว ยันอินเทิร์น และเป็นแพทย์เต็มตัวก็ตัวติดกันอยู่สองคน ดีหน่อยที่บ้านมันสองคนมีลูกหลานเยอะ ไม่ต้องฝากความหวังทายาทของตระกูลไว้กับพวกมันทั้งคู่


“เออไอ้ชาย กูจะถามมึงว่าเรื่องคนไข้ที่ชื่อตะวัน”

“นศ. ที่ถูกรถชน?”

“อืม  มึงอนุญาติให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้วเหรอวะ”

“มันเป็นความต้องการของครอบครัวคนไข้ กูก็ทำตามหน้าที่ตรวจเช็คร่างกายคนไข้ว่าสามารถทำตามที่ญาติรองขอได้ไหม กูต้องขอบอกเลยนะวะว่า ร่างกายของคนไข้ปกติทุกอย่าง ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานสมบูรณ์เกือบ 100% ติดอย่างเดียวคนไข้ไม่รู้สึกตัว เหมือนคนนอนหลับธรรมดาๆ”

“อืม”

“ดูมึงสนใจ คดีนี้เป็นพิเศษนะ มีอะไรวะ” ไอ้ชายมึงจะสงสัยอะไรนักหนาวะเชื่อกูเหอะ

“เปล่า กูก็แค่สงสัยว่าคนนอนหลับไม่รู้สึกตัวแบบนี้ จะสามารถพากลับไปดูแลเองได้เหรอ”

“มันก็ไม่ยากอะไรนะ ควบคุมการกิน การขับถ่าย ดูแลให้คนไข้อยู่ในสภาวะปลอดเชื้อเพื่อกันโรคแทรกซ้อน ถ้าทำได้ก็กลับไปดูแลเองได้ไม่มีปัญหา”

“เหรอ.......”

“นี่ไอ้ผู้กอง มึงมีอะไรพิเศษมึงก็บอกพวกกูมา ไม่ใช่ให้พวกกูมานั่งจับผิดมึงเองแบบนี้” ไอ้มานุดเมียของไอ้หมอชายมันเงยหน้ามาถามผมแล้วครับ หลังจากที่มันนอนซบไหล่แฟนมันอยู่



แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบ จะให้ตอบว่าไรละ ผมกับตะวันเราก็แค่มีเรื่องที่ต้องช่วยเหลือกันเท่านั้น


ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย


ไม่ได้รู้สึกอะไรกันเลย





เหรอ.....?






-- อย่าเพิ่งสงสัยว่าทำไมบรรดา เพื่อนพ้องน้องพี่ของตะวันเพิ่งจะเผยโฉม เพราะพวกคนเขียนเพิ่งหาบทที่เหมาะสมให้ได้นั่นเอง --

แฮรรรรรรรรรร่


หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 17 : ครอบครัว (16/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-05-2018 18:44:24
หนูตะวันยังไม่มาาาา หายไปไหนหว่า
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 17 : ครอบครัว (16/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-05-2018 19:32:16
ตะวันหนีไปเที่ยวที่ไหนนะ  :katai3:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 18 : Come back (20/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 20-05-2018 21:23:36
ตอนที่ 18  Come back



หนาวจัง
.
.
.
.
เหงาด้วย
.
.
.
.
มันช่างว้าเหว่
.
.
.
.
โดดเดี่ยว
.
.
.
.

ไม่มี……...ไม่มีใคร…….....ไม่ใครเลย...........


ไม่มีใครเลยเหรอจะมาช่วยตะวันคนนี้


แงงงงงงงงงงงงงง


ทำไมตะวันต้องมาทำอะไรแบบนี้ ฮือออออออออ


ผมทำความผิดอาราย ทำไมต้องลงโทษผม



“ท่านครับ ลงโทษตะวันทำม้ายยย”
[เจ้านี้มันช่างโวยวายซะจริงเลยนะ]

“ท่าน ท่านกาลเวลา ตะวันทำอะไรผิดอ่า ปล่อยตะวันไปเถอะครับ ตะวันจะไปไขคดี๊”
[เจ้ายังจำได้เหรอ ว่ามีหน้าที่อะไร]

“จำได้ซิครับ ทำไมท่านถามแปลกๆ”
[เรานึกว่าเจ้ามัวแต่มีความสุขกับมนุษย์ผู้นั้นจนลืมว่าต้องทำอะไรไปแล้ว]

“ทำ....ทำไมท่านคิดแบบนั้นละครับ”
[เจ้าคิดว่าเราเป็นใคร เรารู้ทุกการกระทำของเจ้า ตะวัน]

“……....”
[เจ้าไม่ผิดหากมีใจหลงเผลอใผลตามอารมณ์แบบมนุษย์ แต่เจ้าก็ห้ามลืมหน้าที่ของตัวเอง เวลามันเดินหน้าเสมอนะตะวัน เจ้าจะปล่อยให้มันผ่านไปโดยไร้ประโยชน์รึ?]

“ผม.....ผมขอโทษครับ ตะ....แต่ผมก็พยายามอยู่นะครับ”
[เจ้าคิดว่าเจ้าพยายามมากพอหรือยังละ เจ้าเอาแต่พึ่งพามนุษย์ผู้นั้นโดยลืมว่ามันคือหน้าที่ของตัวเอง]

“.....”
[เราเชื่อว่าเจ้าจะคิดได้ ถ้าพยายามยังไม่มากพอ ก็จงพยายามมากกว่านี้ โอกาสที่เจ้ามีและได้รับ อย่าเห็นว่าไม่สำคัญ เพราะถ้ามันหลุดลอยไป คนที่จะเสียใจก็คือเจ้าเอง]

“ครับ ผมขอโทษครับ ผมจะพยายามให้มากกว่านี้”
[ดี เจ้าเสียเวลาอยู่ที่นี่มานานละ รีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ]

“ครับ ว่าแต่ผมไม่ต้องคัดลายมือแล้วใช่ไหมครับ”
[ถ้าเจ้าอยากคัดต่อเราก็ไม่ว่าอะไรนะ]

“ไม่ ไม่ครับ ผมขอกลับไปทำหน้าที่ต่อดีกว่าครับ”
[หึหึ]

“เอ่อ ท่านครับว่าแต่ ผมมาที่นี่นานแค่ไหนครับ”
[3วัน ตามเวลาของโลกมนุษย์]



หะ!!! 3วันเลยเหรอ


ตาย  ไอ้ตะวันตายแน่


โดนวิณณ์ ด่าแน่ๆ


ฮือออออออ




ตลอดระยะเวลาที่ผมถูกลงโทษเอาจริงนะมันไม่นานเลย ผมเหมือนเพิ่งมาแค่ไม่กี่นาที กี่ชั่วโมงเอง แต่โลกมนุษย์ดันผ่านไป 3 วันแล้ว  เฮ้อตะวัน เสียเวลาไป 3 วันเหรอ ต้องรีบกลับมาทำตามหน้าที่แล้วละ

ว่าแต่อยากรู้อะดิ ว่าผมโดนให้คัดอะไร ฮาาาาา ไม่อยากจะเซดดดดดด


ก ไก่ ถึง ฮ ฮูก


จัดไปเบาะๆ  100 แผ่น เก่งเว่อร์ไอ้ตะวันเอ้ยยย


คราวนี้ละผมสามารถท่องพยัญชนะไทยโดยไม่ตกหล่นหรือข้ามตัวไหนไปแน่นอน









“นี่.......นี่”
.
.
.
.
“เฮฮฮฮฮฮฮฮฮ้”

โอ้ยหูจะแตกอะไรคือพลังเสียงล้านแปดเดซิเบล

“อะไรเจ๊    ตะโกนทำไม”

“โอ๊ยยยย ฉันเรียกปากจะฉีกไปถึงรูหูละ นายยังนิ่ง นี่ถ้าไม่ตะโกนนายคงเข้าญานไปเฝ้าเทวดาแล้วมั้ง”

ตอนนี้ผมกลับมาที่ห้องของวิณณ์แล้วครับ อย่าถามว่าไปไง มาไง เพราะผมเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าให้เดาก็คงเป็นกาลเวลานะแหละ อยากเจอใครพบใคร แค่ดีดนิ้วเรียกปุป ก็ไปโผล่ที่นั่นปัป ผมเองก็เช่นกัน ไปแบบไม่มันตั้งตัว ตอนกลับดีหน่อยที่ยังมีรู้ตัวบ้างนะ

“เอ้า  เอ้า  เหม่ออีก หายไปไหนมาคะคุณ รู้ไหมว่าผู้ชายเขาเป็นห่วงนะ”

“ใคร? วิณณ์เหรอ?”

“Yesssssssssser”

^____^

“แหม แค่นี้ไม่ต้องทำหน้าดีใจออกนอกหน้าหรอกยะ”      ‘แล้วก็บอกไม่เป็นไรกัน อย่างนี้ใคร๊ ที่ไหนจะไปเชื่อ อีกคนหาย อีกคนก็ห่วงจนนอนไม่หลับ พออีกคนรู้ก็ทำหน้าระรื่น หมั่นไส้’

ไอ้ประโยคแรกหนะ เจ้แกออกเสียงซะดัง แต่ไอ้ประโยคยาวเหยียด ทำปากขมุบขมิบพึมพำ แต่ถามจริง ผมได้ยินทุกคำ เจ้จะเบาเสียงเพื่ออออ?

อยากพูดไร พูดไป๊ ตะวันจะไม่โต้เถียง เพราะกลัวประเด็นวกเข้าตัวอีก

“นี่เจ๊ แล้วรู้ไหมวิณณ์ไปไหนอะ”

“ฉันต้องรู้…...? อกอิแป้นจะแตก มาขอให้เขาช่วยแล้วไหงฉันต้องมาช่วยเขาแทนเนี่ย”

“โอเว่อร์เกินไปละเจ๊ แค่ถามเอง”  แล้วไอ้ท่าทางมะกี้คือไร?  อินเนอร์มาเต็ม จ้างร้อยเล่นล้าน เอารางวัล สุพรรณโหง ไปเลย เหอะ

“ชิ ผู้กองสุดหล่อของฉัน เขาไปหาน้องสาวเขายะ เย็นๆคงจะกลับ เพราะเป็นห่วงใครแถวนี้ หายไปไม่บอกไม่กล่าวกันซักคำ ผู้กองฉันต้องมารอทุกคืนว่าจะกลับมาไหม จะไม่กลับห้องเลยก็กลัวกลับมาไม่เจอ”    ‘นี่นะเหรอ ไม่เป็นไรกัน พูดให้ตายก็ไม่เชื่อหรอก’

ได้ข่าวว่า เจ้ ตายแล้วปะ!!!

“นี่เจ้ ที่มาเนี่ย คงไม่ได้มีมาพูดแค่นี้ใช่ปะ”

“อ่า”

“มีข่าวใหม่?”

“อืม”

“เกี่ยวกับคดีของเจ๊ใช่ไหม?”

“อ่าฮะ”

-____-    โอ้ยยยยย อิเจ้ จะ อ่า อืม อ่าฮะ อีกนานไหมเนี่ยยยยย

“คิคิ  นายนี่มันน่ารักนะรู้ตัวไหมเนี่ย แล้วยิ่งตอนชอบทำหน้าแบบ หมางง นะ ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่”


มั่นใจว่านั่นชม!!!


“อะ  เลิกเล่น”  เจ้าหล่อนพูดพร้อมยกมือทำท่ายอมแพ้   “ข่าวที่ฉันมีก็ไม่รู้จะช่วยได้เยอะไหมหรอกนะ แต่จากการที่ฉันตามไอ้เอ็มกับลูกน้องมันไป ฉันเลยรู้ว่ามันทำงานให้ใครคนหนึ่ง ฉันยังไม่เคยเห็นหรอกนะ เพราะนายมันคนนี้ไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ใครเห็น แล้วพวกมันเรียกนายคนนี้ว่า นายใหญ่

“นายใหญ่?”

“ใช่ แล้วไอ้นายใหญ่อะไรของมันเนี่ย ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้กองแน่ๆ เพราะได้ยินพวกมันพูดทำนองว่า นายใหญ่สั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับผู้กอง”

เกี่ยวข้องกับวิณณ์งั้นเหรอ ยังไง แบบไหน คงต้องไปถามกับเจ้าตัวแล้ว

“เอาละ มาบอกแค่นี้ละ เดี๋ยวผู้กองแฟนนายก็คงกลับมาแล้วละ ทำตัวดี เป็นแม่ศรีเรือนรอไปนะจ้ะ”

“เฮ้ย………….ใครแฟน แฟนไร”

“คิคิ บั่ยยยยยยย”

รู้ไหม คุยกับเจ๊ที่ไรผมปวดหัวทุกที ถ้าผีกินได้ ผมจะขอพาราซัก 10 เม็ด ไม่ไหว ตะวันปวดเฮดดดด

สุดท้ายผมก็ต้องรอวิณณ์อยู่ที่ห้องคนเดียว นี่ฟ้าจะมืดแล้วนะ วิณณ์ยังไม่มาอีก หรือไม่กลับแล้วนอนบ้านสวน เสียเวลาไปคัดลายมืออยู่ 3วัน วิณณ์เองก็ไม่อยู่อีก ภาระกิจผมก็ไม่กระเตื้องเท่าไหร่เลย ยิ่งคดีของผีเจ๊แอนก็ดูท่าจะยากเอาการ แล้วตะวันจะทำได้ไหมเนี่ย


เฮ้ออออออออออออออออออ


พูดถึงเรื่องที่ผมถูกเรียกตัวไปแบบด่วนจี๋ แถมยังถูกทำโทษให้คัดลายมือ ไหนท่านกาลเวลาจะพูดแบบนั้นอีก ‘ใจหลงเผลอใผลตามอารมณ์แบบมนุษย์’


ผมรู้ตัวเองมาซักพักแล้วละ ว่าผมน่าจะ ชอบวิณณ์ ความเป็นผู้ใหญ่ของวิณณ์ทำให้เวลาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น ไม่อึดอัด ถึงแม้พวกเราเพิ่งจะรู้จักกัน เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ แถมยังไม่ใช่คนปกติกับเขา วิณณ์ ก็ไม่เคยมีท่าทีรังเกียจ

มันทำให้ผมรู้สึกดี ปลอดภัย และอยากอยู่ใกล้ๆ

บางทีการที่ผมเป็นวิญญาณอย่างนี้ มันก็คงดีไปอีกแบบ วิณณ์จะได้ไม่รู้ว่าผมคิดอะไร เพราะผมเองก็ไม่มั่นใจว่าถ้าวิณณ์รู้แล้วจะรังเกียจผมไหม ผมไม่อยากให้วิณณ์เกลียด

ไม่เอา






เวลาผ่านไปไม่นาน เสียงไขกุญแจก็ดังขึ้น

แกร๊กๆ

เจ้าของห้องเดินเข้ามาพร้อมกับวางของที่ถืออยู่บนโต๊ะกินข้าว วิณณ์ยังไม่เห็นผม ทำไมนะเหรอ ก็ผมยังไม่ปรากฎตัวออกไปนะซิ อยากรู้ว่าวิณณ์จะทำยังไงถ้าออกไปจ้ะเอ๋เขา แต่ผมก็ยัง งง อยู่นะ ไอ้การหายตัวแว่บๆ เนี่ย เดี๋ยวผมก็ทำได้ เดี๋ยวก็ทำไม่ได้ แต่จากที่สังเกตุมันจะเป็นช่วงหลังมานี่ที่ผมเริ่มทำได้บ่อยขึ้น คราวหน้าถ้าได้เจอท่านกาลเวลาผมจะถามซักหน่อย


วิณณ์วางของเสร็จก็เดินเข้าไปหยิบขวดน้ำจากตู้เย็น ก่อนจะลงมานั่งที่โซฟา   “ตะวัน”

เอ๋  เรียกผมเหรอ หรือว่าเขารู้ว่าผมมาแล้ว

“ยังไม่มาซินะ ไปไหนของเขากัน รู้ไหมว่าคนเป็นห่วง”    ^___^  ไม่รู้ทำไมแต่แค่ได้ยินประโยคนี้ผมก็ยิ้มแก้มแทบแตกแล้ว

อะ ไม่แอบแล้วก็ได้ คิดได้ดังนั้นผมจึงปรากฎตัวขึ้นทางด้านหลังวิณณ์ แล้วก็

“แบรรรรรรรรรร่”

“เฮ้ยยยยยยย”

“ฮ่าาาาา  กลัวเหรอ ฮ่าาาาาา”  หน้าเหวอไปเลยอะ ผมอยากให้พวกคุณได้เห็นหน้าของวิณณ์มาก หลุดมาดผู้กองสุดหล่อไปเลย

“ตะวัน!!”

“ใช่ ตะวันเอง ทำไม จำไม่ได้เหรอ”

“ยังจะมากวนอีกนะ หายไปไหนมา รู้ไหมคนอื่นเขาเป็นห่วง อยู่ดีๆ ก็หายไป นึกว่าโดนผีที่ไหนจับไป หรือหมดเวลาภารกิจไปแล้ว”

“บ้าน่า ผีที่ไหนจะมาจับตะวัน” 

“ก็จะไปรู้เหรอ เฮ้อ แต่ก็โล่งอกไปที นึกว่าตะวันจะหายไป เพราะถอดเครื่องช่วยหายใจซะแล้ว”

เอ๊ะ เดี๋ยวนะอะไรถอดเครื่องช่วยหายใจ   “วิณณ์พูดว่าไรนะ ใครถอดเครื่องช่วยหายใจ?”

“ก็ ตะวันนะแหละ”

“ทำไมอะ ใครถอด แม่เหรอ ไหนพี่วายุจะช่วยพูดกับแม่ไง แล้วทำไมถอดละ อย่างนี้ร่างตะวันก็จะไม่มีแล้วซิ วิญญานตะวันต้องหายไปด้วย  ทำไงดี  วิณณ์ ทำไงดี”

“เดี๋ยว ตะวัน ใจเย็นนะ ใจเย็น ฟังก่อน”  วิณณ์เล่าให้ฟังทั้งเรื่องที่พ่อผมเข้ามาจัดการทำเรื่องย้ายผมออกจาก รพ จ้างพยาบาลพิเศษมาช่วยแม่ดูแลผม ทั้งเรื่องที่หมอวินิจฉัยอาการและลงความเห็นว่าผมสามารถกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ แต่ต้องปฏิบัติตามวิธีที่หมอแจ้งไว้

“พ่อเหรอ”

“ใช่ ดูแล้วพ่อตะวันเขาก็ป็นห่วงตะวันดีนะ”

“เหรอ”

“ทำไมทำเสียงแบบนั้น”

“เปล่า”

“ตะวัน”  ไม่ต้องมาทำน้ำเสียงขู่เลย

“ก็ถ้าพ่อเขารักตะวันกับแม่จริง เขาต้องไม่ทำแบบนั้น แอบไปมีเมียอีกคน แถมยังมีลูกด้วยกันอีก แล้วรู้ไหมลูกกับเมียใหม่ ก็เกิดห่างจากตะวันไม่กี่เดือนด้วยซ้ำ”

“………….”

“แบบนี้เหรอที่เรียกว่ารัก ถ้ารักก็ต้องไม่ทำแบบนี้ซิ”

“บางที มันก็อาจจะเป็นเหตุผลของผู้ใหญ่ที่เขาไม่สามารถบอกเราได้ก็ได้นะ”

“เหตุผลอะไร ที่ถึงขนาดนอกใจเมียตัวเอง ทั้งๆ ที่ท้องอยู่ แล้วยังไปมีลูกด้วยกันอีก  ตะวันเห็นแค่เหตุผลเดียวแหละ……ความไม่รู้จักพอไง”

“ตะวัน ไม่ดีเลยนะ คิดแบบนั้น ยังไงเขาก็เป็นพ่อ”

“……………”

“วิณณ์ว่า เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ ตะวันหายไปไหนมาไหนบอกวิณณ์ซิ”

“ตะวัน………ตะวัน ถูกกักบริเวณ”

“หืม  ใครกักบริเวณตะวัน”

“ท่านกาลเวลา…..”  แล้วผมก็เล่าให้วิณณ์ฟัง แบบกระทัดรัด ข้ามตอนที่ถูกดุเรื่องเผลอใจกับความในใจของผมไป ผมไม่กล้าบอกหรอก กลัวเขาเกลียดเข้า มาขอให้ช่วยแล้วยังมาคิดอกุศลกับเขาอีก เก็บไว้ในใจผมนี่ละดีแล้ว

“ควรจะสมน้ำหน้าดีไหมเนี่ย เพราะตะวันห่วงแต่เล่นอย่างที่ท่านกาลเวลาบอกนี่ละ ภารกิจเลยไม่เดินหน้าต่อซักที” พูดเสร็จคนตัวสูงเอื้อมมือทำท่าจะขยี้หัวผม แต่


วืดดดดดดดดด 


เอ๋ ปกติวิณณ์จะสัมผัสผมได้ แต่ทำไมตอนนี้มันไม่ได้ละ ผมกับวิณณ์มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ








[วิณณ์]


ตะวันกลับมาแล้ว แต่ผมแปลกใจที่วันนี้ผมไม่สามารถจับต้องตะวันได้ ซึ่งปกติไม่เป็นแบบนี้ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ซหาข้อมูลจากอากู๋ ทั้งที่ก็ยังไม่แน่ใจจะเจอไหมแต่ก็ต้องลอง

คิดไปคิดมาผมจะเสิร์ซว่าจะอะไรดีละ ลองอันนี้แล้วกัน  ‘วิญญาณออกจากร่าง’ โอ้วว ขึ้นมาเพียบเลยแหะ แต่ก็ยังไม่เจออันที่ตรง เอาใหม่ ‘ทำไมถึงจับต้องวิญญาณไม่ได้’ อันนี้ก็ไม่เข้าเค้าซักอัน

อะ นี่ มันต้องอันนี้  จิต กับ วิญญาณต่างกันอย่างไร

การถอดจิต กับ การถอดวิญญาณ มีสภาวะที่แตกต่างกันดังนี้
การถอดจิต ไปยังที่ต่างๆ ร่างกายระบบเผาผลาญจะทำงานเป็นปกติ

ส่วนการถอดวิญญาณ หรีอ สภาวะที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง ร่างกายจะหยุดการทำงานทั้งหมด สภาวะนั้นคนทั่วไปเรียกว่า ตาย

โดยทั่วไป ความหมายของจิตและวิญญาณคืออันเดียวกัน แต่ทางธรรมะ วิญญาณคือจิตที่ออกมาทำหน้าที่รับรู้ความรู้สึกทางกายและใจ


อ่านเสร็จ งง หนักกว่าเดิมอีก  ถ้าตะวันเป็นวิญญาณ แล้ววิญญาณออกจากร่าง ตามหมายความนี้ ร่างของตะวันควรจะหยุดการทำงานได้แล้ว แต่นี่ร่างกายตะวันก็ยังคงทำงานเป็นปกติ แล้ววิญญาณก็ยังออกมาลั้นลานอกร่างได้ โดยไม่เป็นอะไร

มันเหมือน ตะวัน อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์เหล่านี้เลยแหะ

ผมเลื่อนมือถืออ่านข้อความไปเรื่อยๆ  เออ ความเห็นนี้ค่อยเข้าใจง่ายหน่อย

   วิญญาณ เป็น รูป
   จิต เป็น นาม

   วิญญาณไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ก็ต้องการการเติมพลังเหมือนกัน เพราะถ้าวิญญาณไม่มีกายหยาบแล้ว ก็เหมือน
   ไม่มีแหล่งพลังงาน ทางพุทธศาสนาเราจึงนิยมทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อได้
   รับผลบุญ วิญญาณก็เหมือนถูกเติมพลังงาน


เข้าท่าแฮะ ผมว่าจะลองวิธีนี้ดู ไม่รู้จะได้ผลไหม แต่ทำไปก็ไม่เสียหายนิ
หลังจากเมื่อคืนหาข้อมูลมาเป็นที่เรียบร้อย เช้านี้ผมจึงชวนตะวันไปใส่บาตร ตะวันเองก็ไม่ได้พูดอะไรเขาคงคิดว่าผมไปใส่บาตรตามปกติ แต่จริงๆ ก็ใส่ให้เขานะแหละ

“ผู้กอง มาใส่บาตรเหรอคะ”

“ครับป้า ผมขอชุดหนึ่งนะครับ”

“จ้า อีกสักพักหลวงพ่อก็น่าจะมาแล้วละ ผู้กองรอก่อนนะคะ”

“ขอบคุณครับ”  ผมหยิบถาดที่มีทั้งอาหารคาวหวานดอกไม้ และเดินไปนังรอที่เก้าอี้ที่ว่าง ตะวันก็เดินมาหยุดและนั่งรอข้างผม

“นี่ วิณณ์ เรื่องคดีเป็นยังไงบ้างแล้วเหรอ”

“ก็พยายามสืบอยู่แหละ จ่าเติมเองก็เร่งให้สายหาข้อมูลของพวก ไอ้เอ็ม ไอ้โจ๊ก ไอ้ซีน”

“เอ็ม โจ๊ก ซีน??  ใครกันอะวิณณ์”  เออ ผมก็ลืมไป ตะวันไม่รู้ว่าผมมีผู้ต้องสงสัย พร้อมชื่อของพวกมันทั้ง 3คนอยู่ในมือแล้ว

“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ใส่บาตรก่อน” ผมเดินไปรอต่อใส่บาตรเพราะข้างหน้ามีคุณยายกับหลานกำลังใส่อยู่ รอหลวงพ่อสวดบทกรวดน้ำและให้พรเสร็จ ผมจึงเดินเอาน้ำไปเทที่โคนต้นไม้และเดินกลับมาคืนถาดที่ร้านป้า โดยตะวันยืนรออยู่ห่างๆ

ผมหันไปมองตะวันและพยักหน้าเรียกให้รู้ว่าจะกลับขึ้นห้อง เพราะเช้านี้ผมมีประชุมเรื่องคดีคุณแอน ผมเดินนำไปไม่กี่ก้าว ก็ต้องหันกลับไปเพราะเสียงที่เรียก

“วิณณ์”  ผมขมวดคิ้วมองตะวัน เจ้าตัวไม่พูดอะไรแต่เอาแต่มองดูตัวเองที่เหมือนสว่างขึ้น

“วิณณ์ดูซิ ตัวตะวันมีแสงด้วย ดูซิๆ”  ตัวตะวันเหมือนเรืองแสงขึ้นมา ไม่ได้มีสีอะไร แค่เหมือนสว่างขึ้น ชัดขึ้น ผมลองเอื้อมมือออกไปจับที่ หน้าตะวัน  เฮ้ย…จับได้แล้ว

“จริงด้วย จับได้แล้ว ท่าทางจะได้ผลจริงด้วยแฮะ”

“ได้ผลอะไรเหรอ?”

“ไว้เดี๋ยวค่อยเล่าได้ไหมอะ ตอนนี้ต้องรีบก่อน เพราะวิณณ์มีประชุมเช้า” ร่างบางพยักหน้าเข้าใจ ผมก็ผินตัวเองเตรียมจะเดินแต่ก็ต้อง


กึกกก 


“ตะวันมีอะไร ดึงทำไม”

“เราว่า คงยังไม่ได้ไปตอนนี้แน่ๆ เลย”

“หืม?”

“งานด่วน งานร้อน งานแทรก ตอนนี้เลย”

“…………..”   เอาจริงดิ ตอนนี้อะนะ





สุดท้ายผมก็ต้องโทรไปเลื่อนประชุมเป็น 10โมงแทน ตอนนี้ก็พาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ใกล้กับที่จอดรถตรงนั้นจะมีมุมเงียบไม่ค่อยมีใครเดินมา สะดวกต่อการพูดคุยโดยไม่เป็นเป้าสายตา

“เอ่อ ลุงครับ ลุงมีอะไรอยากจะพูดกับพวกเราหรือเปล่าครับ……………..ครับ”  ผมไม่ได้ยินสิ่งที่เขาคุยกัน เห็นแต่ตะวันรับฟัง มีตอบรับเออ ออบ้างบางครั้ง จนตะวันหันกลับมารียกผมนั่นแหละ ผมถึงได้รู้ว่า ธุระนั้นเขาคุยกันจบแล้ว

“คุยจบแล้ว?”

“ใช่”

“แล้ว….”

“รีบไปประชุมไม่ใช่เหรอ ไปก่อน เดี๋ยวไปเล่าให้ฟังบนรถ” เอาเว้ย เดี๋ยวนี้ลีลาเยอะขึ้นนะเราอะ ใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นาน จนพาตอนนี้พวกเราขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว

“จะบอกได้หรือยังครับ ไอ้ตัวยุ่งเดี๋ยวนี้ลีลานะ”

“ลีลาไรเล่า ก็กำลังจะเล่านี่ละ คือว่า พี่ชายคนนั้นอะเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปสองวันก่อน วันนั้นเขาขี่มอเตอร์ไซต์เพื่อไปรับเมียจากโรงงาน ขากลับมีรถยนต์ขับออกมาจากซอยอย่างเร็ว แล้วพี่เขาเบรคไม่ทันทำให้ชนอย่างแรงพี่เขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพราะหัวกระแทกอย่างแรงกับขอบถนน ส่วนเมียกระเด็นออกจากรถตกลงไปที่พงหญ้า ทำให้รอดมาได้แต่ก็ยังต้องรักษาตัวอยู่ที่ รพ”

“วิณณ์ก็ยังไม่เห็นว่าพี่เขาน่าจะมีอะไรให้ช่วยเลยนะ”

“ประด็นคือพี่เขาไม่ได้ติดใจอะไรกับคู่กรณีเพราะคู่กรณีรับผิดชอบทุกอย่าง ส่วนเมียพี่เขาถึงจะยังเจ็บอยู่แต่ก็ปลอดภัยแล้ว”

“แล้ว……”

“แต่สิ่งที่พี่เขาขอร้องอยากให้ช่วยคือ ให้ช่วยตามหา”

“ตามหาอะไร คนเหรอ หรือว่าของ”

“ของหายระหว่างเกิดอุบัติเหตุ หรือ ว่าพี่เขามีอะไรติดค้างถึงให้ตามหาคน”

“เปล่า”

“อ้าว??”

“ตามหา…..”
.
.
.
.
“หมา”




“หะ!!  หมา หมา 4 ขาอะนะ”



“ใช่ หมาตัวนี้ลุงกับป้าแกเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเด็ก เลี้ยงเหมือนลูกตัวเอง แล้ตอนนี้มันก็แก่แล้วด้วย แกเป็นห่วงว่ามันจะนอนไหน กินอะไร แล้วอีกอย่างถ้าป้าแกฟื้นมาแล้วรู้ว่า สามีก็ตาย หมาที่เลี้ยงมาเหมือนลูกมาหายไปอีก ป้าแกต้องเสียใจมากแน่ๆ”

ไอ้ผมนะในไม่มีปัญหาหรอก หน้าที่ตำรวจต้องบริการประชาชนอยู่แล้ว แต่ไอ้ที่หนักใจเนี่ยคือ ประสบการณ์ตามหาหมาเนี่ย ศูนนนนนนนนย์


เอาวะ มันคงไม่ต่างจากการตามหาคนเท่าไหร่  มั้ง….




เมื่อมีงานมารอ ผมจึงต้องรีบมาที่ สน. เพื่อสะสางงานกับจ่าเติมก่อน ก่อนที่จะไปสะสางงานไหว้วานของผีๆ

“จ่า งั้นผมฝากจ่าตามเรื่องของไอ้ 3 คนด้วยนะ ไอ้เอ็มน่าจะตามลำบากเพราะมันต้องระวังตัวอย่างมากช่วงนี้ คงต้องมาตามไอ้โจ๊กกับไอ้ซีน ผมคิดว่าหัวหน้ามันคงจะให้มันออกหน้าแทนช่วงนี้”

“ได้ครับผู้กอง แล้วนี่ผู้กองจะไปไหนครับ”

“เอ่อ ผมมีธุระนิดหน่อยนะ มีอะไรโทรแจ้งผมแล้วกันนะ”

“ครับผม”



ผมขับรถมาที่ รพ เพื่อมาดูอาการป้าแกก่อน มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไงไม่รู้ รพ ที่ป้าแกอยู่ก็ กับหมอเจ้าของไข้ ก็ไอ้ชายเพื่อนผมอีกนั่นแหละครับ ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ นี่แหละข้อดีของตำรวจ เมื่อผมรู้ว่าหมอเข้าของไข้คือใคร ก็ขอใช้เส้นสายนิดหน่อยเพื่อให้ได้เข้าไปคุยกับป้า แต่ไอ้หมอเองมันก็ไม่รับปากว่าจะได้คุยไหม เพราะป้าแกยังไม่ฟื้นดี 100% ยังมีอาการเบลออยู่


“ผู้กอง ไอ้ผู้กอง”

“เออ ไอ้หมอขอบใจวะที่ช่วย”

“ก็ถ้ามันไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ผู้ป่วยอะไร ก็ช่วยได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่มึงมีไรอยากคุยกับคนไข้เหรอวะ”

“เอาไว้เดี๋ยวกูเล่าให้ฟังทีหลังนะ”

“เออ ตามสะดวกเลยมึง กูให้มึงเยี่ยมได้ 20นาทีนะ กูไปก่อนละ”

“ขอบใจมึงมาก”

“เออๆ”  มันเดินมาส่งผมที่หน้าห้องคนไข้พักฟื้นเพื่อรอดูอาการ ก่อนจะผละออกไป พวกเราเดินเข้าห้องไปซึ่งโชคดีที่คุณป้าแกตื่นอยู่และเหมือนกำลังนั่งรออะไรสักอย่าง เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้จนเจ้าตัวรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องจึงหันมายังทางที่ผมอยู่


“สวัสดีคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“สวัสดีครับคุณป้า ผมผู้กองวิณณ์”

“คะ ผู้กองมีอะไรกับป้าหรือคะ”  ผมคงพูดไม่ได้ว่าสามีป้ามาขอร้องให้ผมทำอะไร ผมจึงพูดอ้อมๆ ให้ดูเหมือนตำรวจสอบถามเรื่องคดี

“ป้าครับ ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับว่า ป้ากับลุงมีลูกหรือญาติไหมครับ”

“ไม่มีหรอกจ้ะ ป้าอยู่กับลุงสองคน กับหมาอีกหนึ่งตัว”

“หมาเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ มันชื่อ มันนี่ เป็นหมาพุดเดิ้ลสีขาว ป้ากับลุงเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กจนตอนนี้ก็ 12 ปีแล้วนะ เลี้ยงกันมารักเหมือนลูก วันที่ลุงไปรับป้าเจ้ามันนี่มันก็มารับป้าด้วยนะ…..”

แล้วอยู่ๆ ป้าแกก็เงียบไป ผมคิดว่าป้าน่าจะนึกได้แล้วว่า วันนั้นนอกจากป้ากับลุงแล้ว ยังมีหมาอีกตัวที่ไปด้วย

“ผู้กอง  ผู้กองคะ มันนี่ หมาป้า มันปลอดภัยไหม”

“เอ่อ  ตอนนี้ยังไม่มีพบหรือเห็นเจ้าหมาเลยครับ”

“ฮะ..ฮึก  ผู้กองช่วยป้าหน่อยได้ไหมคะ ช่วยตามหามันนี่ให้ป้าหน่อย ถ้าไม่มีมันป้าจะทำยังไง ลุงแกก็รักมันมาก ถ้ารู้ว่ามันหายไปแกต้องเสียใจมาก ฮึกก”

“ป้าครับ อย่าร้องเลยนะครับ ผมคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยเพราะไม่มีรายงานพบหมาในที่เกิดเหตุ มันอาจจะตกใจแล้วเตลิดหนีไป ผมจะตามมันกลับมาให้ได้นะครับ แต่ก่อนอื่น ผมอยากรู้ข้อมูลของ มันนี่ อีกซักหน่อยครับ”


ผมกลับออกมาพร้อมข้อมูลที่คุณป้าให้ไว้

มันนี่ หมาพุดเดิ้ลสีขาว เพศผู้ อายุ 12 ปี ใส่ปลอกคอสีฟ้า จุดเด่นไม่มีอะไรเลย แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน มันนี่ ผ่าตัดสะโพกขาเพราะปัญหาของสภาวะหมาอายุเยอะ  งานนี้ผมต้องพึ่งอากู๋อีกแล้ว

“ตะวัน ในนั้นเขาว่าไงบ้าง” ผมอ่านบทความที่เจอให้ตะวันฟัง


   ‘ตามปกติ หมาหรือแมวจะมีประสาทสัมผัสในการกลับบ้านอยู่แล้ว แต่อาจจะมีบางเหตุการณ์ที่ทำให้หมาแมว
   เหล่านั้น กลับบ้านไม่ถูก
   การตกใจจากเสียงดัง พลุ หรือ ประทัด      ‘กรณีของ มันนี่ ก็น่าจะตกใจจากเหตุการณ์รถชน’
   การตามหาควรจะเริ่มจากจุดที่สุนัขหายและสอบถามจากคนที่อยู่ใกล้บริเวณแถวนั้น พร้อมทั้งบอกลักษณะและ
   ข้อมูลของสุนัขเพื่อให้คนที่พบเจอสามารถจดจำได้ ออกตามหาในระยะ 3-5 กิโลเมตรจากจุดที่หายเป็นรัศมีวงกลม’




“ในนี้บอกว่าควรจะหาทันทีที่หาย แต่นี่ผ่านมาสองวันแล้ว ป่านนี้จะไปไกลแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

“นั่นซิ เอาไงดี”

“ยังไงก็ต้องลองดู เอางี้เริ่มจากจุดที่เกิดอุบัติเหตุย้อนกลับไปที่บ้านของลุงกับป้า เผื่อเจ้ามันนี่มันจะกลับบ้านได้ถูก”

ดังนั้นทั้งผมและตะวันจึงต้องช่วยกันมองทั้งด้านซ้ายและขวาของถนน ตอนนี้ผมอยู่เลนส์ซ้ายสุดเพราะต้องเหยียบแค่ 40 ผ่านจุดที่ทางแยกหรือทางถนนที่เข้าไปได้ ผมก็จอดและลงไปเดินตามทางเพื่อหาดูว่าเจ้ามันนี่ไปหลบตรงไหนไหม




ปรี๊น ปรี๊น ปรี๊น

ใครวะมันมาบีบแตร รถก็จอดซ้ายสุด ไม่ได้ขวางทางใครแล้วนะ ผมกันไปตามเสียงรถคันนั้น

“พี่วิณณ์   พี่วิณณ์”  เสียงคุ้นๆ และเมื่อมองดีๆ ยายน้องสาวตัวแสบของผมนี่น่า มากับใครละนั่น 

หืม….นายวายุ  ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“ดาริน คุณวายุ มาด้วยกันได้ไงอะ”   

“สวัสดีครับผู้กอง”

“พอดีเขาไปเจอนายวายุที่ห้างอะ เขาก็เลยอาสามาส่ง แล้วตัวอะ กำลังหาอะไรอยู่เหรอ” น้องสาวผมเดินลงมาจากรถพร้อมกับช่วยชะเง้อมองหา

ถามจริง รู้เหรอครับนั่นว่าหาอะไร

“เอ่อ พอดีมีป้าคนหนึ่งเขาให้พี่ช่วยหาหมาเขานะ”

“หมา?”

“อืมใช่ เขาเกิดอุบัติเหตุแล้วหมาน่าจะตกใจเลยเตลิดหนีไป”

“ลักษณะเป็นยังไงเหรอ”

“พุดเดิ้ลสีขาว เพศผู้ แล้วก็….”

“มีปลอกคอด้วยใช่ไหม”

“ใช่!!”

“ปลอกคอสีฟ้าด้วย”

“ใช่  เรารู้ได้ไง”

“ไม่บอก อยากรู้ก็ตามมา”  แล้วผมกับตะวันก็ขับรถตามนายวายุ ว่าแต่แล้วทำไมยายดารินไม่มานั่งกับผมละ ไปด้วยกันก็จบเรื่องละ สงสัยต้องเค้นหาความจริงซะหน่อย 

ทางที่พวกเราขับตามกันมาเป็นอีกทางที่สามารถกลับบ้านได้ แต่โดยปกติผมไม่ใช้เส้นทางนี้เพราะมีการทำถนนและไกลกว่าอีกเส้นทางประมาณ 1-2 กิโล ที่ยายดารินกลับมาทางนี้คงเพราะจากห้างที่มาใกล้สุดแล้ว

“วิณณ์เราจะไปไหนกันเหรอ”

“ไม่แน่ใจ ขับตามไปก่อนแล้วกัน”


ถ้ามาจากทางนี้เราจะเข้าทางด้านหลังของบ้านสวน และถ้าจำไม่ผิดหน้าบ้านที่รถคันหน้าหยุด มันบ้านลุงเพชรนี่หน่า


“ลุงเพชร  ลุงเพชรขา”

“อ้าวว่ายังไงหนูดาริน”
.
.
.
.
.
.
.
“หนูพาคนมาหาเจ้าปุกปุยอะคะ”





-- ตะวันกลับมาแว้วว 
ก็แค่โดนกักบริเวณ
โดนทำโทษเอ้งงง

ฮืออออ  ตะวันเด็กดื้ออออ

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 18 : Come back (20/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-05-2018 01:31:32
สงสัยเรื่องนี้จะมีผู้ช่วยเพิ่มอีก 2 คน ดี ๆ จะได้จบแต่ละคดีไว ๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 18 : Come back (20/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-05-2018 05:48:19
ภาระกิจลุล่วงไปได้ด้วยดีกับการตามหาหมา เย้ๆ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 18 : Come back (20/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-05-2018 19:41:44
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 19 : รุ่งหรือยุ่ง (27/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 27-05-2018 21:46:47
ตอนที่ 19 รุ่งหรือยุ่ง


[ดาริน]


“นี่คุณ จะนั่งเงียบโดยไม่คุยกับผมหน่อยเหรอ?” ดารินหันหน้าไปยังคนตั้งถาม ใช่ ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนรถที่มีนายวายุอะไรนั่นเป็นคนขับ เราสองคนเจอกันด้วยความบังเอิญจริงๆ เธอไปหาข้อมูลทำรายงานกับเพื่อนแล้วก็แวะกินข้าวในห้างใกล้ๆ มหา’ลัย แต่จังหวะที่เธอเดินออกมาจากร้านอาหารก็จ้ะเอ๋เข้ากับคนข้างๆ

“อยากจะคุยอะไรละคุณนะ” แต่เอาเข้าจริง ที่เธอยอมมากับนายวายุด้วยก็เพราะอยากจะถามเรื่องพี่ชายของเธอ อย่างที่รู้ พี่วิณณ์กับนายวายุไม่น่าจะมีเรื่องเกี่ยวขเองกันได้ แต่เพราะพี่เธอทำคดีของพี่ตะวัน แล้วนายวายุก็ดันเป็นญาติของพี่ตะวัน แล้วจากที่เธอสังเกตุพฤติกรรมของพี่ชายที่ รพ. วันนั้น ยังไงมันก็เกินจากเรื่องคดีแน่นอน

“ก็ไม่รู้ซิ ผมก็ถามไปงั้นแหละ ไม่อยากให้รถมันเงียบเกิน มันเหงา” ด้วยความที่อยากรู้ มันอัดอั้นตันใจมาก เอาวะ ลองถามดูก็ไม่เสียหายอะไร ว่าแล้วก็ขยับตัวให้กันไปเผชิญหน้ากับคนด้านข้าง

“เฮ้ยๆ คุณจะทำอะไร ถ้าไม่อยากคุยผมก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่อย่าหันมาแบบนี้ผมกลัว”

“จิ๊… บ้าปะเนี่ย จะมากลัวอะไรฉันมิทราบ”

“เอ้า ก็เผื่อคุณรำคาญผม เกิดอยากบีบคอขึ้นมา ผมก็ตายฟรีเป็นผีเฝ้ารถไปอะดิ”

“เพ้อเจ้อ ฉันก็แค่อยอยากรู้ว่า คุณรู้จักกับพี่วายุนานหรือยัง หรือมารู้จักกันตอนทำคดีนี้เท่านั้น”

“หืม!!”  คนถูกถามทำหน้า งง และเหมือนจะลังเลงว่าจะตอบดีไหม  “แค่ตอนทำคดีนะ”

“เหรอ แล้วทำไมดูสนิทกันจัง สรุปแล้วคดีนี้มันยังไงกันแน่ อุบัติเหตุ? จงใจ? แล้วทำไมพี่ชายฉันถึงสนใจ ห่วงใยพี่ตะวันม้ากมากอะ”

“นี่คุณๆ ใจเย็น ถามมาแบบลืมหายใจเลยนะ”

“ก็อยากรู้ รีบตอบมาเถอะนะ อย่าเล่นตัว”

“ผมเพิ่งมารู้จักพี่ชายคุณตอนคดีตะวันนี่แหละ ส่วนเรื่องคดีทั้งผมและน้าดาราไม่ได้ติดใจอะไร ส่วนทางตำรวจผมไม่รู้พวกเราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไป ส่วนที่ว่าสนิทกันก็อาจจะเพราะเราสองคนคงคิดเหมือนกัน”

“คิด?....คิดอะไร”

“คิดว่า อยากช่วยตะวัน คุณจะคิดว่ามันเป็นเพราะห่วงใจ สนใจ หรืออะไรยังไงก็ได้สุดท้ายพวกเราก็ทำเพื่อตะวัน ผมทำด้วยเพราะเราเป็นญาติกัน ผมดูแลตะวันตั้งแต่เขาย้ายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ตะวันเขาเป็นเด็กสดใส ร่าเริง แต่ติดจะหัวอ่อนไปบ้าง ผมจึงเหมือนพี่ที่คอยปกป้องเขาตลอดเวลา ผู้กองเขาก็เหมือนผม เขาเป็นห่วงตะวันเหมือนกัน แต่จะมีอะไรพิเศษมากกว่าคดีไหม คงมีแต่พี่คุณเท่านั้นแหละที่บอกได้”

พี่วิณณ์เหรอ?

เฮ้อออ แล้วจะไปหลอกถามความจริงยังไงดีละเนี่ย พี่วิณณ์นะเหรอ เรื่องปากหนัก ปากแข็งละที่หนึ่ง ถ้าไม่ใช่เรื่องที่จะพูด ง้างให้ตายก็ไม่พูด



“คุณ...”


“คุณ...”


“คุณ...”



“โอ๊ยยยย กินโทรโข่งเข้าไปหรือไงคุณ ตะโกนเพื่อ คนกำลังใช้ความคิด”


“นั่นพี่คุณหรือเปล่า” กำลังจะอารมณ์เสียเพราะถูกขัดจังหวะความคิด แต่พอได้ยินเหตุผลตาก็ลุกวาวรีบหันไปตามที่มือชี้

“ใช่......ใช่............จอด..............จอด.....เร็วซิคุณ..................ชิดซ้ายเลย ชิดซ้าย”

“ใจเย็น  คุณใจเย็น  ก่อนจะได้หาพี่คุณ เดี๋ยวพวกเราจะได้ไปนอน รพ. กันก่อน”




นั่นแหละคะ เหตุการณ์ก่อนหน้าที่บังเอิญให้มาเจอและมากับนายวายุ และก่อนจะมาพี่วิณณ์


ตอนนี้พวกเรายืนรอลุงเพชรอยู่ที่หน้าบ้าน เพราะลุงแกแก่แล้ว ขาก็ไม่ค่อยดีต้องค่อยๆ เดิน ลูกหลานแกมีคะ แต่ไปทำงานกัน เสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับมาที




โฮ่ง....โฮ่ง

“โอ๋ๆ นังด่าง จะเห่าทำไมจำไม่ได้เหรอ เดี๋ยวไม่ให้ไก่กินนะ” พอนังด่างได้ยินก็เงียบกริบทันที เพราะถ้าวันไหนที่เดินกลับบ้านมาทางด้านนี้จะมีไก่หรือขนมติดมือมาฝากนังด่างตลอด นังด่างเป็นหมาตัวเมียที่ลุงเพชรแกช่วยมาจากเจ้าของเก่า เจ้าของเก่ามันก็ช่างใจร้าย เลี้ยงปล่อยทิ้งไปวันๆ ได้กินบ้างไม่ได้กินบ้าง พอหิวมากๆ มันก็ไปรื้อถังขยะบ้านคนอื่น แอบไปขโมยของกินที่ชาวบ้านเขาวางไว้ จนเขาไล่ตีไล่เตะมัน ล่าสุดจะให้เทศบาลมาจับไป ลุงเพชรแกสงสารเลยขอรับมาเลี้ยงและรับเป็นเจ้าของแทน จนตอนนี้ไม่เหลือคราบ นังด่าง อิด่าง หรือ ไอ้ด่างแล้ว  ต้องเปลี่ยนเป็น คุณนายด่างแทน  ด้วยความที่ลุงแกรักและเลี้ยงดีมาก อาบน้ำให้อาทิตย์  ขนนี้มันเงาสวยงาม อาหารก็ให้กินแบบไม่มีกั๊ก จนตอนนี้ไม่รู้เป็นหมาหรือเป็นหมู นอนใต้ถุนบ้านพื้นแข็งๆ ไม่ได้นะคะ ต้องนอนบนที่นอนนิ่มๆ เท่านั้น เป็นไงละ ชีวิตสบายไปอี๊ก

เอ่อ กลับเข้าเรื่องดีกว่า ระหว่างรอให้ลุงเพชรแกเดินมาเปิดประตู ก็เหลือบมองพี่ชายตัวเองไปพลาง สองคนนั้นเขาซุบซิบอะไรกันนะ ได้ยินไม่ถนัดเลยแฮะ งั้นต้องเบี่ยงองศาให้เรดาร์หูรับสัญญาณให้ดีขึ้นก่อน


‘ผู้กองมาตามหาหมาเนี่ยนะครับมันเป็นหน้าที่ตำรวจเหรอครับเนี่ย’
‘อะไรที่ช่วยประชาชนก็หน้าที่ตำรวจทั้งนั้นแหละครับ ว่าแต่คุณมากับน้องสาวผมนี่ บังเอิญหรือจงใจครับ’
‘แหม ผู้กองบังเอิญจริงๆ ครับ ส่วนเรื่องมาส่งอันนั้นตั้งใจ อิอิ’


อะไรตั้งใจนะ ได้ยินไม่ถนัดเลยอะ เอียงตัวพร้อมกระเถิบขาเข้าไปใกล้อีกนิด


‘จีบน้องผม?’
‘ก็ว่าจะขออนุญาตพี่ชายเขาอยู่นี่ละครับ แต่อย่าเพิ่งสนใจเรื่องผมตอนนี้เลยครับ ตอนนี้ตะวันเป็นยังไงบ้างครับ’


อะไรขอพี่ชาย ขอพี่ชายเรื่องอะไร โอ้ย พูดกันดังๆ หน่อยไม่ได้หรือไง


‘เป็นยังไง? คืออะไรเหรอครับ’
‘แหม ผู้กองอย่ามาทำไก๋ ก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร’


อ่า นั่นไงๆ พูดมาซะดีๆพี่วิณณ์เรื่องพี่กับพี่ตะวันมันยังไงกันแน่แล้วหลังจากนั้นการสนทนาก็ถูกขัดจังหวะขึ้นอีกครั้ง เพราะลุงเพชรแกเปิดประตูบ้านมาพอดีสรุปการแอบฟังก็ไม่ได้เรื่อง อะไรขอพี่ชาย แล้วอะไรเกี่ยวกับพี่ตะวัน


“หนูดาริน มีอะไรเหรอ อ้าวแล้วนั่นใครมาด้วย” ลุงแกมองไปยังคนด้านหลังพร้อมกับหรี่ตามอง

“พี่วิณณ์ไงคะลุง”

“อ่ออ ผู้กองวิณณ์ ไม่เจอกันนานหล่อขึ้นเยอะเลยนะ แล้วพ่อหนุ่มนั่นละ ไม่เคยเห็นหน้า”

“สวัสดีครับลุง เพื่อนผมเองครับ ชื่อวายุ”

“สวัสดีครับ”

“เอออ ไหว้พระกันเถอะ แล้วมาหาลุงมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ลุงไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายนะ หรือคุณนายด่างมันไปก่อคดีอะไรไว้”

“ฮาาา ไม่ใช่ลุง แหม เล่นมุขด้วยนะ พอดี พวกเราอยากมาหาเจ้าปุกปุยนะคะ”

“มาหาปุกปุย”

“คะ ก็เจ้าหมาที่ลุงเจอและช่วยไว้เมื่อวันก่อนนะคะ”

“งั้น เดี๋ยวลุงไปอุ้มมันมาให้”

“เอ่อ ลุงเพชร ถ้าลุงไม่ว่าอะไร ให้พวกเราเข้าไปหามันได้ไหมคะลุงจะได้ไม่ต้องอุ้มมันมา”

“ทำไม เห็นลุงแก่แบบนี้ ลุงยังเตะปี๊ปไหวนะ”

“ไม่ใช่คร้า ไม่อยากให้ลุงลำบาก”

“อะๆ งั้นเข้าบ้านกันมาก่อน นั่งตรงนั้นได้เลย”เราสามเดินตามลุงเพชรแล้วไปหยุดนั่งกันที่แคร่ไม้ไผ่ตามที่แกบอก ไม่นานแกก็เดินออกมาพร้อมกับอุ้มอะไรบางอย่างขนฟูๆ สีขาวๆ ออกมา







[วิณณ์]


“เอ้านี่ละ เจ้าปุกปุย”  ลุงแกวางน้องหมาลงตรงหน้าพวกเรา “ว่าแต่มีอะไรกับเจ้าปุกปุยหรือ ลุงคิดว่าคงไม่ได้แค่อยากมาดูเท่านั้นหรอกมั้ง”

“คือ...พวกเรากำลังช่วยเจ้าของตามหาหมาที่หายไปนะครับ”

“เหรอ...”  พอได้ยินแบบนั้น ลุงเพชรก็ทำหน้าเศร้าไปเลย   “แล้ว...แล้วมันใช่ตัวเดียวกันไหม”

“บอกตามตรงผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ผมขออนุญาติถ่ายรูปเจ้าปุกปุยไว้ก่อน แล้วเอาไปให้เจ้าของดูได้ไหมครับ”

‘วิณณ์ ลองเรียกชื่อมันดูไหม’ ตะวันบอกวิณณ์ซึ่งเป็นประโยคที่ได้ยินกันเพียงสองคน วิณณ์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูป พร้อมกับลองเรียกชื่อเจ้าหมาตัวนั้นไปด้วย


แชะ แชะ  “มันนี่”


สายตาก็พยายามสังเกตท่าทางของเจ้าตัวนี้ไปด้วย ‘ตัวผู้ สีขาว มีปลอกคอสีฟ้า ตรงตามลักษณะเบื้องต้น แตะดูการเดินแล้วมันก็ปกติดี’


“สรุปเจ้าคือมันนี่ หรือ ปุกปุย นะ หืม”

วิณณ์ถ่ายรูปมาสี่ ห้ารูป ก่อนจะกดเข้าไปที่แอปสีเขียว ‘คงยังไม่ได้กลับไปให้คุณป้าดูตอนนี้ ส่งให้ไอ้คุณหมอชายช่วยเอาไปให้คุณป้าดูก่อนแล้วกัน’ ส่งไปไม่นาน มือถือของผู้กองก็ดังขึ้น


“ไอ้หมอ…....กูฝากมึงเอาให้คุณป้าดูหน่อย…....อืม ใช่ คุณป้าที่ห้องพักฟื้นนะแหละ…….เออเดี๋ยวกูหนมไปฝาก…..แต่….ไม่ได้ฝากมึงนะ ฝากเมียมึงแทนแล้วกัน…....ฮาาา เออ ขอบใจวะ”

“พี่วิณณ์ คุยกับพี่หมอชายเหรอ” ผมพยักหน้าใหน้องสาวตัวเองก่อนจะหันไปคุยกับลุงเพชร

“ลุงครับไปเจอเจ้าปุกปุยที่ไหนเหรอครับ” หลังจากนั้นลุงแกก็เล่าให้ฟังว่าไปเจอมันเดินหลงทางอยู่บนถนนเขตสิบซึ่งมันห่างจากเขตหมู่บ้านนี้เกือบ 3กิโล ตอนนั้นมันกำลังวิ่งเตลิดหลบรถ ลุงแกเลยรีบจอดรถแล้วพยายามตะล่อมให้มันเข้าริมถนน เพราะถ้าเกิดเข้าไปแบบประเจิดประเจ้อมันจะยิ่งตกใจ อาจจะออกนอกถนนไปอีกได้ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่ามันจะยอมไว้ใจลุง และให้ลุงอุ้มพามันกลับมาบ้านด้วย

การจะหาว่ามันหลงมาจากทางไหนก็เป็นเรื่องไปอีก เพราะเส้นทางบนถนนเขตสิบสามารถทะลุออกได้หลายทางมาก งั้นคงต้องรอฟังข่าวจากไอ้ชาย แม้ความเป็นไปได้ที่จะใช่จะน้อยมาก

พวกเราลาลุงเพชร ตอนนี้ก็คงให้แกช่วยดูเจ้ามันนี่ไว้ก่อน

“นี่ตัว ตัวจะเข้าบ้านไปหาแม่ไหม”

“มาถึงนี่แล้วก็ต้องเข้าแหละ คุณวายุแวะไปบ้านผมก่อนแล้วกันนะครับ” ผมบอกน้องสาว ก่อนจะหันไปพูดกับนายวายุ จากบ้านลุงเพชรเดินตามสันเขื่อนข้างคลองไม่นานพวกเราก็มาถึง

“แม่ขาๆๆๆกลับมาแล้วคะ มาดูเร็วใครมากลับหนูด้วยเอ่ยย” หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้าน ผมสีดำที่ยาวประบ่า ถึงแม้ริ้วรอยบนใบหน้าจะบ่งบอกว่ามีอายุไปบ้างแต่เธอก็ยังสวยในสายตาผมเสมอ

“แม่ครับ”

“ตายแล้วตาวิณณ์ มาได้ยังละลูกไปเจอกับน้องยังไง”  แม่ผมทักทายเสียงเจื้อยแจ้วพลางรีบเดินออกมาจากบ้าน จนผมกลัวเธอจะล้มเอา “เอ้า แล้วนั่นใครละจ้ะ เพื่อนวิณณ์เหรอลูก แม่ขอโทษทีนะ ไม่ทันได้ทัก”

“สวัสดีครับ ผมวายุ เอ่อ…...เป็นเพื่อนผู้กองครับ” นายวายุเหลือบมองผมที่พยักหน้าให้ก่อนจะตอบออกไป

“ไหว้พระเถอะลูก มาเข้าบ้านมาก่อนแม่ทำข้าวเย็นเสร็จพอดี มากินก่อนนะ วายุด้วยนะลูก”


แม่พูดพร้อมเดินนำไป โดยมีน้องสาวผมเดินพันแข้งพันขาไป เอ๊ะ…ผมก็สาธยายซะน้องผมเหมือนตัวอะไรซักอย่าง ผมพานายวายุเข้าไปนั่งรอในบ้านก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระตัวเองในห้อง


ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยมีตะวันเดินตามมาด้วย ตั้งแต่เดินออกมาจากบ้านลุงเพชร ผมก็สังเกตว่าเขาเงียบลงผิดปกติ

“ตะวัน เป็นอะไร หืม” ผมถามตะวันที่ตอนนี้เขานั่งลงที่ปลายเตียงผม

“เปล่า”

“เอาความจริง”

“ตะวัน……..ตะวันคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่” ผมยืนนิ่งมองไปที่ตะวัน ณ เวลานี้เขาแค่เหมือนเด็กคนหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งที่ต้องจากบ้านมาไกล ต้องตัดสินใจและทำอะไรต่อมิอะไรตามลำพัง ผมเดินลงไปนั่งข้างตะวัน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ

มันช่างน่าแปลก ยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไม่ว่าจะเรื่องจิต หรือ วิญญาณ ตะวันแหกกฎทุกกฎที่ผมรู้หรือเคยรู้ แต่ก็อีกนั่นแหละสิ่งที่รู้พวกนั้นมันก็แค่มาจากคำบอกเล่า หนังหรือละคร ที่ดูกันมาตั้งแต่เด็กจนโต

“ตะวัน มีเรื่องหนึ่งที่วิณณ์ยังไม่เล่าให้ตะวันฟัง”

“เรื่อง  อะไรเหรอ”

“ตอนที่ตะวันไม่อยู่ วิณณ์ได้เจอกับแม่ตะวัน”

“………”

“แล้วก็…….พ่อ”

“……..”

“พ่อของตะวัน”


“พ่อเหรอ…” หลังจากนั้นผมก็เล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ตะวันฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจอกับแม่ของตะวัน เราพูดคุยอะไรกันบ้าง แล้วก็มาเจอพ่อตะวันที่ รพ เหตุผลของพ่อตะวันที่มา และการย้ายตะวันออกจาก รพ ด้วย

“ย้ายตะวันออกเหรอ ละ…..แล้วตะวันจะอยู่ยังไงอะ ตะวันต้องใช้เครื่องช่วยหายใจไม่ใช่เหรอ ถ….ถ้าตะวันไม่มี ตะวันก็ต้องตายซิ แม่ละ แม่ยอมหรือเปล่า แม่ไม่ยอมใช่ไหม ใช่ไหม”

ผมไม่รู้จะปลอบยังไง ยิ่งเห็นตะวันลำล่ำละลักพูดออกมายืดยาว ผมรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่อยากให้เขาคิดว่าไม่มีใครหรือไม่เหลือใคร เพราะอย่างน้อยก็ยังมีผมอีกคน


หมับ!!!


ผมดึงตะวันเข้ามากอด แปลกแหะที่มันไม่หนาวหรือเย็นยะเยือกอย่างที่รู้ มันให้ความรู้สึกแบบอบอุ่นบางเบาซะมากกว่า



“ฟังวิณณ์ก่อนนะ วิณณ์คุยกับหมอแล้วตะวันสามารถกลับบ้านได้ไม่ต้องห่วง ระบบการทำงานหรือร่างกายตะวันเองก็แข็งแรงปกติเกือบ 100% แล้ว และตอนที่อยู่บ้านตะวันแม่ก็จะมีพยาบาลคอยช่วย ไม่ดีเหรอจะได้อยู่บ้านกับแม่ไง”

“อืม” 

เรานั่งกันอยู่สักพักก่อนจะพากันลงมาข้างล่าง เพราะเสียงตะโกนของยายน้องสาวตัวแสบเรียกให้ลงมากินข้าว ผมเดินลงมาโดยจูงมือตะวันตามมาด้วย ถึงแม้เขาจะขอรอข้างบน แต่ผมไม่อยากให้เขารู้สึกเหงาอีกแล้ว


เขาบอบบางเกินกว่าจะปล่อยไว้คนเดียว


แปลกไหม ที่ผมจะรู้สึกแบบนี้


แต่ที่แน่แปลกกว่า  ที่ตอนนี้ผมกำลังจับมือกับ………..


……..วิญญาณ..........





พวกเรานั่งล้อมวงกันที่โต๊ะญี่ปุ่นหน้าบ้าน เพราะบ้านเรามีกันแค่สามคนโต๊ะกินข้าวจึงมีที่พอแค่สามที่ ส่วนตะวันตอนนี้ก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ใกล้ๆกัน ผมว่ามันก็ดีไปอีกแบบเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แถมตรงนี้ลมก็เย็นดีด้วย อีกอย่างตะวันจะได้ไม่เหงา

“ขับรถกันดีๆนะจ้ะสองหนุ่ม ถ้าว่างก็มากินข้าวกับแม่บ้างนะ ทั้งวิณณ์แล้วก็วายุนะ”

“ครับ สวัสดีครับคุณป้า กับข้าววันนี้อร่อยมากเลยครับ”

“แหงละ คนอะไรกินเข้าไปได้ยังไงข้าว สามจาน กระเพาะคนหรือเปล่า”

“นี่ยายดา พูดกับพี่เขาได้ยังไง”

“อะไรอ่าแม่” แม่ผมพูดพร้อมกับหยิกไปที่แขนทีนึง ทำเอายายดาหน้ามุ่ยไปเลยทีเดียว

“แม่ วิณณ์ไปก่อนนะครับ ต้องกลับไปทำงานต่อ”

“จ้า เฮ้อ..ไม่รู้ว่าลูกแม่จะมีแฟนกับเขาไหมนะ วันๆ ทำแต่งาน ถ้ามีสาวๆ น่ารัก นิสัยดีก็แนะนำวิณณ์บ้างนะ”

“โธ่ แม่ครับ ไม่ต้องห่วงวิณณ์เรื่องนั้นหรอก”

“ไป ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวมืดจะขับรถกันลำบาก”

“บายย ชิ้วๆ”  ยายดาก็ยังแสบและยังหาเรื่องวายุอยู่ แต่สุดท้ายก็ถูกแม่ดึงหูให้กลับเข้าบ้านไป พวกเราเดินย้อนกลับมาทางเดียวกับขามา เพราะรถเราทั้งสองคนจอดที่นั่น แล้วก็เป็นวายุที่เริ่มพูดกับผมก่อน



“ผู้กอง ผมว่าเรามีเรื่องที่ยังไม่เคลียร์กันอยู่นะ”

“??”

“อย่ามาไก๋น่า เราคุยค้างกันอยู่เรื่องตะวันไง” เฮ้อ สงสัยจะหนีไม่พ้น “ตะวันเหรอ ก็  ยืนอยู่ข้างคุณไง”

“เฮ้ยย”  ไหนบอกว่าไม่กลัวแล้วกระโดดหนีทำไม

“ตะวัน ยะ….อยู่ ตะ….ตรง….นี้  กะ….กับเรา นาน…..ละ…แล้วเหรอ”

“อือฮึ”

“ตะ…ตั้งแต่ตอนไหน”

“ตั้งแต่แรก”

“ทำไมไม่บอกผมละผู้กอง”

“นี่คุณตะวันก็น้องคุณไม่ใช่เหรอ คุณจะกลัวทำไมแล้วที่คุณแสดงอาการแบบนี้ไม่คิดว่าตะวันจะเสียใจบ้างเหรอ”

“ผมไม่ได้กลัว  โอ๊ย กลัวก็ได้ แต่มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัตกับคำว่า ผี เอง แต่ผมไม่ได้กลัวตะวันจริงๆนะ”


โอเค ผมจะพยายามเชื่อคุณแล้วกันนะ


“พูดตามตรง ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี”

“จะเริ่มยังไงก็ว่ามาเถอะ ผมมีเวลาฟัง เพราะถ้าพูดตามจริงนอกจากเรื่องวิญญาณตะวันที่อยู่นอกร่างล่องลอยไปมา กับเรื่องที่คุณให้ผมช่วยดูแลร่างของตะวัน ที่เหลือผมไม่รู้อะไรเลย”

“…..…..”

“คุณมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำ ต้องช่วยตะวัน แต่ผมขอนะไอ้ข้ออ้างเพราะคุณเป็นตำรวจนะไม่เอา

“….......”

“เอาละ ว่ามา…...ผมขอความจริงนะผู้กอง!”

“เฮ้อ คุณจะต้องรู้ให้ได้เลยใช่ไหม”

“แม่น”  ผมหันไปมองหน้าตะวัน ซึ่งเจ้าตัวเองก็คงกังวลไม่แพ้กัน แต่มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดแล้วเพราะวายุเองก็เป็นพี่ชายของตะวัน เขาย่อมต้องรักและเป็นห่วงตะวันมากกว่าใคร

“เอางี้ ถ้าผมจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำ เหตุผลมีอยู่ข้อเดียว แล้วไอ้เหตุผลข้อเดียวที่บอกนั่นอะ คือการที่ตะวันจะสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง คุณจะยังเชื่อผมอยู่ไหม จะคิดว่าผมบ้าไปเองหรือเปล่า”

“!!!”

“ว่าไง คุณจะตอบผมว่ายังไงละ”

“ตรงๆ เลยนะ ถ้าเป็นครั้งแรกผมคงพูดได้เต็มปากว่า ผมไม่เชื่อ  แต่…..จากหลายๆ อย่างตอนนี้ผม 50-50 วะ” ผมไม่ได้เอ่ยขัดอะไร เพราะดูแล้วคนตรงหน้าน่าจะมีอะไรพูดต่อ “แต่เพราะเป็นเรื่องของตะวัน และถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อผมก็จะเชื่อโดยไม่สงสัยอะไร แต่ช่วยให้รายละเอียดหรือบอกอะไรที่มันมากกว่านี้หน่อยได้ไหมผู้กอง”


แล้วผมก็ต้องยกยิ้มกับคำตอบที่ได้รับ เป็นไปตามที่คิดจริงๆ ด้วย ถึงปากจะบอกไม่เชื่อแต่เพราะเป็นเรื่องของตะวัน ยังไงวายุก็จะยอมเชื่อ และถ้าจะให้เชื่อก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล


“เอาแบบย่อๆ แล้วกันนะ เพราะถ้าจะให้เล่าตั้งแต่แรกมันคงยาวน่าดู”

“ตามสบายเลยครับ”

“ผมเจอตะวันโดนบังเอิญ”

“บังเอิญ ยัง…...”

“อย่าเพิ่งขัดผมซิครับคุณ”  แล้วนายวายุก็ทำท่ามือรูดซิปปาก เป็นเชิงว่าจะยอมสงบปากสงบคำ “เราเจอกันโดยบังเอิญ ซึ่งตอนแรกผมไม่รู้เลยว่าเขาเป็นวิญญาณ ผมเจอเขาที่ สน แล้วยังสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่ มีเรื่องหรือปัญหากับใคร แต่พอผมเดินเข้าไปทัก เขากลับบอกว่าคนที่เขาตั้งใจมาหาคือ ผมเอง”

“…….”

“เจอกันครั้งแรกเขาก็แสดงตัวเลยว่าเขาเป็นวิญญาณ และที่มาหาผมเพราะอยากให้ผมช่วย”

“ช่วย?”

“ครับช่วย ช่วยให้เขาทำภารกิจให้สำเร็จ”

“ภารกิจอะไรเหรอครับ”  ผมชั่งใจก่อนจะบอกออกไป

“ภารกิจที่เมื่อสำเร็จแล้ว ตะวันจะได้รับพรวิเศษ”

“หืม!! พรวิเศษ”

“ใช่ พรวิเศษ พรที่ขออะไรก็ได้”

“ขออะไรก็ได้เหรอ” ผมพยักหน้า

“ขอเงิน” ผมพยักหน้า

“ขอทอง” ผมพยักหน้า

“ขอแฟน”  ถึงผมจะไม่อยากพยักหน้า แต่ก็ต้องทำ  -__-

“ขอรถ ขอบ้าน ขอ….ขอ…..ขอ…..”

“พอ!! อันนั้นเขาเรียกว่าว่าโลภละ ขอได้ทุกอย่างนั่นแหละ แม้กระทั้ง….”

“….....”



“ขอให้คนที่ตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”




“หะ!!......ขอให้คนตายกลับมามีชีวิต”



ไม่ใช่ผม ไม่ใช่วายุ แต่เป็น…..เสียงมันคุ้นซะจน

“ดาริน”

“แหะๆ”  น้องสาวผมแอบตามมาตอนไหนไม่รู้ ได้ยินตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

“มานี่เลยไอ้ตัวเสบ มาได้ไง แล้วเดินมาคนเดียวแม่รู้ไหม มันอันตรายนะ”

“โอ้ยยย ตัวเขาเจ็บนะ เบาๆ หน่อยซิ” ไอ้ตัวแสบทำหน้ามุ่ยเอามือลูบแขนป่อยๆ “แต่ตัวไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ทำไมตัวไม่เล่าให้เขาฟังละ เขาเป็นน้องนะ แล้วๆ ผีพี่ตะวันอยู่ตรงนี้เหรอ แถวนี้เหรอ ไหนอะ ไหน”

“นี่ๆๆ เงียบเลย จะตะโกนทำไม มันดึกแล้ว”

“หึหึ”

“ขำอะไร ใช่เรื่องเหรอ”  ไอ้ตัวแสบหันไปแวดนายวายุที่แอบขำ เห็นอย่างนี้แล้วผมละสงสารคุณจริงๆ วายุ จะจีบน้องผมอะ คุณคงไม่ได้เป็นช้างเท้าหน้า ต้องเป็นควานช้างเลยละ

“เอาละตัว พูดต่อเลย”

“หืม นี่แอบฟังมานานแล้วซินะ”

“ตามนั้นแหละ ตัวอย่าเพิ่งขัดซิ สรุปว่าตัวต้องช่วยพี่ตะวันทำภารกิจให้สำเร็จ แล้วจะขอพรอะไรก็ได้เหรอ”

“ใช่”

“หูยย โรแมนติกอะ แต่เอ๊ะ พี่ตะวันอะ ร่างกายยังทำงานตอบสนองตามปกติ แล้วทำไมถึงมาเป็นวิญญาณนอกร่างละ กลับเข้าร่างไปเองก็จบไหมอะ เหมือนคนที่ถอดจิตได้ไง เมื่อสงบนิ่งมากๆ สามารถถอดจิตออกจากร่างได้ แล้วก็กลับเข้าร่างเอง”

“รู้ดีจังนะเรา”  ว่าแต่อะไรคือโรแมนติก

“นี่ใคร ไม่อยากจะบอก นี่ดารินญาณทิพย์เลยนะ”  ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยจัดท่าปั่นหัวไปสองรอบ

“โอ๊ย โอ๊ย เจ็บ เจ็บ”

“เฮ้อออ เรานี่นะ ถ้ากลับเข้าเองได้พี่เขาทำไปแล้วละ แต่เพราะพี่เขาต้องชดใช้กรรมจากการฆ่าตัวตาย…”

“หะ/หะ”

ฆ่าตัวตาย!!! คุณบอกตะวันฆ่าตัวตายเหรอ ทำไม…ทำไมคุณไม่เคยบอกผม แล้วทำไมตะวันต้องทำ”

“คุณไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ผมว่าเราสนใจเรื่องที่จะช่วยตะวันดีกว่า แต่ถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ผมขอให้เป็นตะวันเป็นคนมาเล่าให้คุณฟังดีกว่านะ”

“แต่......”

“คุณ ไม่ต้องถามแล้ว อย่างที่พี่วิณณ์บอกนะแหละ เรื่องแบบนี้ฟังจากปากพี่ตะวันดีกว่า”

“แล้วจะได้ฟังตอนไหนละ ตะวันยังเป็นวิญญานอยู่เลยนะ”

“อีก 7 ข้อ ต้องทำภารกิจอีก 7 ข้อ”

“………………”

“ภารกิจ 10 ข้อ ภายใน 100วัน ตะวันต้องรับคำขอความช่วยเหลือจากวิญญาณดวงอื่นๆ เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากโลกนี้ได้ และตอนนี้ผมกับตะวันก็ติดต้างคำขอร้องให้ช่วยอยู่อีก 2 ข้อ”

“คุณบอกว่าต้องทำภารกิจอีก 7ข้อ แสดงว่า ทำสำเร็จไปแล้ว 3 และที่บอกว่าค้างอีก 2 ข้อคือ ถ้าสำเร็จก็จะเป็น 5 ข้อถูกไหม”

“ใช่”

“ถ้าอย่างนั้น คุณเลิกกังวลได้เลยผมอยู่นี่แล้ว ช่วยได้สบาย เนอะ” นายวายุพูดพร้อมเนียนไปกอดคอน้องสาวผม แต่ผมไม่ต้องออกโรงหรอก บอกแล้วน้องผมนะมันแสบ

“อย่ามาเนียน” ปึก

“โอ๊ยยย มือหนักเป็นบ้าเลย”

“ลองอีกทีไหมละ”

“ไม่ครับๆ”



เฮ้ออ ไม่รู้มันจะรุ่งหรือจะยุ่งกันแน่



ว่าแต่ ไอ้หมอ ทำไมยังไม่ติดต่อกลับมานะ




-- ไอ้เราก็ลุ้นตาม ไอ้คุณหมอรีบติดต่อกลับมาไวๆ เสะ ว่าใช่มันนี่หรือเปล่า ว่าแต่สองคนนั้นจะช่วยให้รุ่งหรือยุ่งกันแน่เนี่ย --
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 19 : รุ่งหรือยุ่ง (27/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-05-2018 01:20:02
จริง ๆ ด้วย เดาไม่ผิดจริง ๆ ได้ผู้ช่วยมาอีก 2 คน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 19 : รุ่งหรือยุ่ง (27/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-05-2018 08:43:43
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 19 : รุ่งหรือยุ่ง (27/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-05-2018 17:41:28
ลุ้นต่อไปว่างานที่เหลือจะง่ายเหมือนหาเจ้ามันนี่ไหม
เเต่เอาจริงๆ ยังไม่แน่ใจเลยส่าใช่มันนี่รึเปล่า
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 20 : ตัวช่วย (04/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 04-06-2018 20:29:46
ตอนที่ 20 ตัวช่วย



หลังจากจัดการตัววุ่นวายทั้งสองไปได้ โดยผมต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง ห้ามพูดถึง ห้ามถามต่อหน้าคนอื่น ส่วนเรื่องที่สองคนนั้นอยากจะช่วย ผมก็เข้าใจนะ แต่ขอพิจารณาอีกทีแล้วกัน

ตอนนี้ที่ผมกังวลใจคือรอฟังข่าวจากไอ้หมอชาย ว่าจะใช่หมาตัวเดียวกันไหม ถามว่าทำไมไม่โทรไปนะเหรอ เพราะผมรู้นิสัยมันนะซิ ผมไม่อยากรบกวนมัน มันคงทำงานอยู่ ถ้ามันไม่ติดอะไรมันคงโทรมาแล้ว เพราะฉะนั้นทางที่ดีผมรอให้มันติดต่อกลับมาดีกว่า

ผมกำลังขับรถกลับคอนโด เปิดเพลงฟังในรถเบาๆ ไม่ให้เงียบเกินไป เพราะคนข้างๆ ผมที่ไม่รู้เป็นอะไร คิดอะไร เงียบตั้งแต่ขึ้นรถมาละ ถามอะไรก็ไม่ยอมบอก

“ตะวัน คิดอะไร เงียบผิดปกติ”

“เฮ้ออออ”

อ้าว ถอนหายใจใส่อีก ผมจึงเอื้อมมือไปโยกหัวคนข้างๆ

“เป็นอะไรถอนหายใจอีกแล้ว”

“เฮ้ออออ”

“เอ้า ไม่พูดแล้ววิณณ์จะรู้ไหมละครับ”

“ตะวันคิดถึงเรื่องตามหามันนี่   
คิดถึงเรื่องพี่วายุกับน้องสาววิณณ์ ว่าเขาสองคนรู้แล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้นไหม
คิดถึงว่าตะวันจะทำเรื่องนี้สำเร็จไหม ตะวันดีใจนะที่วิณณ์ยอมช่วย แต่ระยะเวลาที่จำกัด กับภารกิจที่ไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่ เจอแล้วจะทำได้ไหม คิดแล้วมันก็ท้อ
แล้วก็คิดถึง....เรื่อง....ที่......พ่อของตะวันเข้ามาจัดการเรื่องนี้ ตะวันกลัว ไม่รู้ซิ พ่อตะวันนะเป็นคนมีเหตุผลนะ แต่ก็เผด็จการไม่แพ้กัน”

“แต่สิ่งที่พ่อตะวันทำก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ กลับดีด้วยซ้ำตะวันจะได้อยู่ที่บ้านตัวเอง ห้องตัวเอง อยู่ใกล้แม่ด้วยไง” ผมพูดโดยที่มือก็ยังลูบผมคนข้างตัวไปด้วย ทำไมผมรู้สึกว่ามันนุ่มละมุนจัง แล้วถ้าผมจับแก้มละ จะเป็นยังไง คิดดังนั้นผมจึงค่อยๆ เลื่อนมือลงไปจับที่หน้าของตะวัน ลูบที่แก้ม นุ่ม นุ่มจริงๆด้วย

“วิณณ์พูดเพราะยังไม่รู้นะซิว่าเวลาพ่อไร้เหตุผลนะ น่ากลัวแค่ไหน”

“แล้วตะวันกลัวเรื่องอะไร”

“กลัวว่า....พ่อจะหาเรื่องแยกตะวันไปจากแม่”

“ทำไมคิดอย่างนั้นละ?”

“พ่อนะอยากให้ตะวันอยู่กับพ่อแต่แรกแล้ว ตอนพ่อกับแม่แยกทางกันตอนนั้นตะวันแค่ 10ขวบแต่รู้เรื่องหมดทุกอย่าง พ่อต้องยอมให้ตะวันอยู่กับแม่เพราะตอนนั้นตะวันเอาแต่งอแง ร้องไห้ทุกวัน อีกอย่างเพราะพ่อเองก็มีลูกอีกคน ที่น่ารักสมเป็นลูกพ่อทุกอย่างพ่อจึงยุ่งเกินกว่าจะมาสนใจตะวัน”

สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดตอนนี้คงมีเพียง อยู่ข้างๆ ซินะ ผมเลื่อนมือลงมากุมมือตะวันพร้อมกับบีบเบาเพื่ออยากจะให้เขารู้ว่า


‘ไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมก็จะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ’



“ขอบคุณนะวิณณ์” เจ้าตัวเอ่ยออกมาเบาเหมือนเสียงกระซิบแต่ผมสามารถได้ยินชัดเจน



Rrrrrrr   เสียงโทรศัพท์ดังแทรกเข้ามาและเมื่อมองชื่อคนโทรเข้าผมก็กดรับทันที

“ว่าไงไอ้หมอ”
[แหม ไม่คิดจะทักทาย Say Hello ซักคำก่อนเลยเหรอวะ]

“ครับ สวัสดีครับคุณหมอครับ เรื่องที่ผมฝากคุณหมอไปนะครับ ได้เรื่องยังไงบ้างครับ”
[เออ มันต้องอย่างนี้ดิวะ]

ผมละหน่ายกับความชอบเล่นใหญ่ของมันซะจริง ไม่ว่าจะครอบครัวมัน เพื่อนฝูง แม้แต่เมียมันมันก็ไม่เคยละเว้น

[กูเอาไปให้ป้าแกดูแล้ว....แกบอกว่า....]
“ว่า.....ว่าไงละวะ”

[ว่า    ‘อะ ฟิล์ม อย่าแกล้ง’
เออว่าไงวะ อ่อ ป้าแกบอกว่า.......ไม่ใช่วะ]
“จริงเหรอวะ” นี่เท่ากับต้องเริ่มใหม่เหรอเนี่ย “ขอบใจมึงมากนะไอ้หมอ”

[เออ ถ้ามีอะไรให้กูช่วยก็บอกกูได้นะ]
“อืม”

[ว่าแต่ อย่าลืมสัญญาละ]
“เออ กูไม่ลืมหรอกน่า”

[เออ กูต้องวางละ อีนังเมียมันยั่วขอเวลาไปปราบพยศมันก่อน]


ผมวางสายจากไอ้หมอแล้ว ผมต้องวางแผนใหม่ตามหาคนว่ายากแล้ว นี่ตามหาหมายากยิ่งกว่า เพราะไม่รู้ใจมันเลยว่าจะทางไหน

“วิณณ์” ผมหันไปมองคนที่ส่งเสียงเรียก เราสบตากันแล้วผมก็ส่ายหน้าโดยที่ไม่ต้องฟังคำถาม

“เหรอ เราต้องเริ่มกันใหม่ซินะ”

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิ ไม่สำเร็จเราก็แค่เริ่มใหม่ แค่ต้องพยายามมากกว่าเดิม อย่าท้อซิรู้ไหม”

“อืม”

สงสัยงานนี้คงต้องใช้งานผู้ช่วยแล้วละ



Wynn : ตัวแสบช่วยอะไรพี่ซักอย่างซิ

Darinn : อะไรคะคุณพี่ชาย

Wynn : ไอ้หมอมันโทรมาบอกพี่ละ ว่าปุกปุยเป็นคนละตัวกับตัวที่พี่ตามหา

Darinn : อ้าวจริงดิ ว้าาา
ว่าแต่ตัวจะให้ช่วยเรื่องอะไรอะ

Wynn : ตามหาหมา



หลังจากที่เมื่อวานนัดแนะกับยายดารินเรียบร้อย ตอนเช้าผมจึงแวะไปหาคุณป้าที่ รพ. เพื่อไปขอข้อมูลหรือรูปถ่าย หลักฐานอะไรก็ได้เพิ่มเติมในการตามหา ซึ่งคุณป้าก็ให้รูปถ่ายใบเล็กที่พกติดกระเป๋าไว้กับผม รูปถ่ายที่มีคุณลุง คุณป้า และเจ้ามันนี่ ทั้งคู่ยิ้มให้กล้อง และก็แปลกที่เจ้ามันนี่ก็เหมือนรู้งานเพราะมันก็หันหน้ายิ้มให้กล้องเหมือนกัน ดูท่ารูปใบนี้จะสำคัญกับป้ามากผมคงต้องรักษามันยิ่งชีพ ต้องพาเจ้ามันนี่กลับมาหาป้าให้ได้

เสร็จจาก รพ. ตอนนี้ผมจึงมารอน้องสาวกับนายวายุ ณ จุดที่เราเจอกันเมื่อวาน ว่าแต่ทำไมน้องผมต้องมากับนายวายุด้วยเนี่ย

ทำไมผมต้องให้ยายดารินมาช่วยนะเหรอครับ เห็นอย่างนี้น้องผมเป็นอาสาสมัครนะครับ อาสาสมัครเพื่อเพื่อนสี่ขา เป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือสัตว์ แต่หลักๆก็เป็นหมาแมวนะแหละครับ เพราะฉะนั้นให้น้องผมมาช่วยนี่ละดีแล้ว น่าจะมีทักษะในการตามหาแน่นอน เมื่อมากันพร้อมทุกคนแล้ว พวกเราตกลงกันว่าจะแยกกันตามหาโดยเริ่มจากจุดที่หายและจากถนนเส้นนี้สามารถแยกไป เขต4 เขต8 เขต9 และเขต10ได้ เมื่อวานเราไปเขต10แล้ว ผมจึงจะไปเขต4แทน และให้ดารินกับนายวายุไปเขต8 ถ้าไม่เจออะไรเราจะกลับมาเจอกันที่จุดเดิมในอีก 2ชม และไปที่เขต9 พร้อมกัน

จากจุดนั้นผมขับมาได้เกือบ 5กิโลเมตร ผมเอารูปถ่ายที่มีถามจากชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็นหรือเจอหมาหลงมาเลย ส่วนน้องผมใช้มือถือถ่ายรูปไปแทน

“ริน เป็นยังไงบ้าง” ผมกดโทรศัพท์หาน้องและเอ่ยถามมันทีที่ฝั่งนั้นกดรับ
[ไม่มีเลยอะพี่วิณณ์ ตัวไปจากจุดเดิมไกลแค่ไหนเหรอ]

“ประมาณ 5กิโลกว่าๆอะ”
[อืม พอๆกับเขาเลย เขาว่าเรากลับมาเจอกันที่จุดนัดเถอะ]

“โอเค” ผมตอบรับและวนรถกลับไปที่จุดนัด


“น้องหมาแก่ขนาดนั้น ขาก็ไม่ค่อยดีจะไปได้ไกลแค่ไหนเหรอวิณณ์” ผมหันไปหาคนข้างตัวที่ถามขึ้นมา

“ไม่รู้  ไม่รู้เลย”  ผมว่า ผมกับตะวันเราน่าจะกังวลพอๆกัน ‘ยากกว่าแก้คดีให้คนอีก’

ผมมาถึงโดยที่อีกฝ่ายมาถึงก่อนแล้ว

“เป็นยังไงบ้างพี่วิณณ์” ผมส่ายหน้า

“เหมือนกันเลย ไม่มีใครเจอหรือเห็นว่ามีหมาต่างถิ่นหลงมา”

“แต่ผมว่าเรายังใจชื้นได้หน่อยนึงนะ”

“ยังไง?”

“ก็การที่เรายังไม่เจอ และชาวบ้านไม่มีใครเห็นหรือเจอ นั่นก็หมายความว่า มันนี่ ยังไม่ตาย”

“จริงของนาย นายนี่ก็มีความคิดดีกับเขาเหมือนกัน”

“ไม่ได้ดีแค่ความคิดนะครับ นิสัยดีแถมยังเป็นคนดีมากๆด้วย”

“อะแฮ่ม” ผมทำเสียงไอดักทางคนที่แสดงว่าจีบน้องผมอย่างโจ่งแจ้ง

“แหวะ น้ำเน่า” ถึงน้องผมจะพูดออกไปแบบนั้น แต่รู้ตัวไหมหน้ากำลังแดงอยู่ไอ้แสบเอ๊ยยย




“คริคริ”

“หัวเราะอะไร” ผมหันไปพูดเบาๆกับคนข้างๆ

“เปล๊า” ตอบซะเสียงสูงผมควรจะเชื่อดีไหมเนี่ย

“ไปกันเถอะ” ผมหันไปพูดตัดบทกับอีกสองคน เพราะถ้าปล่อยไปคงเถียงกันจนลืมว่าวันนี้เรามาทำอะไรกัน

เราตกลงขับตามกันไปคนละคัน เพราะถ้าจากจุดนี้ยังไม่พบอีก ผมคิดว่าจะวนตามหาทั้ง4เส้นทางใหม่ ส่วนดารินผมคงต้องให้นายวายุไปส่งก่อนจะมืดค่ำกว่านี้

ตลอดเส้นทางเราถามชาวบ้านมาเรื่อยๆ ก็ยังไม่ได้อะไรคืบหน้า ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยพลุกพล่านเท่ากับเส้นอื่น บ้านคนก็ทิ้งช่วงกันแต่ไม่ไกลมาก ขับมาได้ซักประมาณ 4กิโล ผมมองเห็นร้านขายของชำอยู่ใกล้ๆ จึงตัดสินใจชิดซ้ายกะว่าจะถามเรื่องหมาด้วย หาน้ำกินด้วย

“ป้าจ๋า ขอน้ำเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็งเย็นๆ ... พี่วิณณ์เอาอะไร นายละเอาอะไร”

“นี่จ้ะเป๊ปซี่เย็นของแม่หนู ส่วนชากลิ่นข้าวของพ่อหนุ่มคนนี้ (ป้าแกชี้ไปที่นายวายุ) และของพ่อหนุ่มนี้คนนี้ น้ำเปล่า”

“นี่ครับเงิน”

“ขอบใจจ้ะ ว่าแต่พวกคุณ ไม่ใช่คนแถวนี้นี่ จะไปไหนกันละ”

“เอ่อ พอดีผมมาตามหาหมานะครับ”

“หมา?”

“ครับ พอดีป้าผมประสบอุบัติเหตุ และหมาของป้าผมหลุดหายไปนะครับ” คำตอบของวิณณ์ที่ตอบออกไป ทำให้สองคนที่กำลังฟังหันมามองตาเดียวกัน


‘นี่ตัว เรามีป้าด้วยเหรอ’
‘ก็จะให้บอกว่าอะไรละ บอกไปแบบนี้แหละจะได้ไม่ต้องมีคำถามเยอะ’
‘อ่อออ’



“ป้าพอจะเห็นไหมครับ”

“อืม ป้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนะพ่อหนุ่ม แต่เดี๋ยวจะถามหลานสาวให้”

“บุ้ง....ผักบุ้งเอ้ย”

“จ๋า ยายยยย”

“มาหายายหน่อยลูก”

“มีอะไรจ้ะยาย” เด็กผู้หญิงอายุประมาณ 13-14ปี วิ่งเข้ามาหายาย “นี่ใครอะจ้ะ”

“พวกพี่ๆเขามาตามหาหมา หมาพี่เขาหาย เราเห็นบ้างไหม”

“หมาเหรอ” แล้วเด็กผู้หญิงก็ทำท่านึก

“เอ้า เห็นไหม ทำท่านึกนานเลย”

“ใจเย็นซิจ้ะยาย บุ้งกำลังใช้ความคิด ว่าแต่หมาของพวกพี่สีอะไรเหรอคะ”

ประโยคหลังน้องบุ้งหันมาถามพวกผม

“สีขาวจ้ะน้องบุ้ง เคยเห็นไหมคะ”

“ถ้าแถวนี้อะบุ้งไม่เคยเห็นหรอกนะจ้ะ แต่เมื่อสองวันก่อนตอนบุ้งกลับจากโรงเรียนเห็นมีคนมุงแล้วก็มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งอุ้มน้องหมาสีขาวขึ้นรถไป บุ้งไม่รู้ว่าจะเป็นตัวเดียวหรือเปล่านะจ้ะ”

“โรงเรียนน้องบุ้งไปทางไหนเหรอ”

“โรงเรียน xxx ใกล้กับตลาดสด xxx อะจ้ะ”

“ผมรู้จักโรงเรียนนี้นะผู้กองผมพาไปได้”

“ขอบคุณนะครับป้า ขอบคุณบุ้งด้วยนะครับ”

“จ้ะๆ ไปกันเถอะ ขอให้หาเจอนะ”




พวกเราลาป้ากับน้องบุ้ง คราวนี้ผมให้นายวายุนำ เพราะเจ้าตัวออกตัวว่ารู้จักโรงเรียนแห่งนี้ จากบ้านน้องบุ้งมาไม่ถึงสองกิโลเราก็เห็นป้ายโรงเรียน xxx พวกเราขับรถเข้าไปจอดในตลาดที่ติดกับโรงเรียน มองซ้ายมองขวาผมก็เห็นเป้าหมาย

ผมเล็งไว้แล้วว่า คราวนี้ถ้าจะถามให้รู้เรื่อง ต้องหาคนที่รู้รายละเอียดในพื้นที่ดีนี้ และก็ต้องเป็นคนนั้นแน่นอน

“ตะวันไป” ผมเรียกตะวันให้เดินตามและเดินนำสองคนนั้นไป

“ลุง....ลุงครับ” ผู้ชายวัยกลางคนในชุดเครื่อง รปภ แบบหันมา

“มีอะไรไอ้หนุ่ม”

“ผมอยากถามลุงหน่อยครับ เมื่อสองวันก่อนลุงเห็นหมาสีขาวหลงมาแถวนี้ไหมครับ”

“เออ เห็นซิ หลงมาจากไหนไม่รู้ วิ่งตื่นๆมา โชคร้ายดันวิ่งไปเจอ ไอ้ขาวในตลาดเข้า มันเลยยิ่งตกใจวิ่งไปนอกถนนโน่น”

“ว้าย จริงเหรอคะลุง แล้วมันเป็นยังไงบ้างคะ”

“โชคดีรถคันที่ขับมาไม่ไว แล้วก็เบรคทัน มันเลยโดนเฉียดๆ”

“แล้วหมาตัวนั้นไปไหนแล้วครับ”

“ก็โชคดีของมันอีกนั่นแหละ เพราะผู้ชายคนที่ขับรถมานะเขาเป็นเจ้าของคลินิกใกล้ตลาดนี่เอง เขากับแฟนเลยพามันไปด้วย คงพาไปตรวจดูนะแหละว่าเป็นอะไรมากไหม ตอนนี้มันก็ยังอยู่ที่คลินิก”

“คลินิกไกลจากที่นี่มากไหมคะลุง พวกหนูเดินไปได้ไหมคะ”

“ไม่ไกลๆ เดินไปก็ซักสองสามร้อยเมตร”

“งั้นพวกลาเลยนะครับ ขอบคุณนะครับลุง”

แค่คิดว่าจะเป็นเจ้ามันนี่ผมก็อยากจะไปให้ถึงคลินิกนั้นไวๆ ผมลาลุง รปภ แล้วก็รีบเดินจ้ำไปทางที่ลุงชี้ให้

‘คลินิคหมออาร์ม’

“น่าจะที่นี่นะ” ผมมองหน้าตะวันก่อนจะเปิดประตูคลินิกเข้าไป

ผู้ชายในชุดเสื้อกราวน์
‘นายสัตวแพทย์ปกรณ์ ฤทธิโรจน์’
เอ่ยทักทายพวกเรา

“สวัสดีครับคุณหมอ ผมวิณณ์ พวกเรารู้มาว่ามีน้องหมาโดนรถชนมารักษาที่นี่เมื่อประมาณสองวันก่อน”

“ครับ?”

“ผมอยากจะขอหมอดูหมาตัวนั้นหน่อยครับ”

“คุณเป็นเจ้าของหรือเปล่าครับ”

“เปล่าหรอกครับ แต่หมาของป้าผมหายไปในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุพอดีนะครับ”

“งั้นเชิญทางนี้ครับ” หมอเดินนำพวกเราไป “แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่ตัวเดียวกันหรือเปล่านะครับ แต่ถ้าตัวที่หลงมาแล้วเกือบโดนรถชนก็มีเจ้าตัวนี้ตัวเดียวครับ”


ก๊อก ก๊อก หมอหนุ่มเคาะประตูก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ‘ห้องพักฟื้น’


“แบม พี่เข้าไปนะ”

“ครับพี่หมอ” มีคนอยู่ในห้องนี่เอง มิน่าทำไมถึงต้องเคาะประตู

“มีคนมาขอดูเจ้าลัคกี้นะ”

“ครับ”

“แต่ผมอยากจะบอกเอาไว้ก่อนนะครับ เจ้าลัคกี้ที่ผมเจอเนี่ยถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แต่เพราะอายุมากแล้ว กว่าผมจะเจอเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง ร่างกายเขาอ่อนแอและอ่อนแรงอย่างมาก ถึงจะนอนพักแล้วก็ยังไม่ฟื้นตัวดี อาหารก็ไม่ยอมกิน ผมจึงต้องสลับให้น้ำเกลือพื่อไม่ร่างกายขาดน้ำ ดูเหมือนเขาตรอมใจอะไรซักอย่าง ถ้าเป็นตัวเดียวกันจริงๆ เมื่อคุณพากลับไปแล้วผมอยากให้คุณดูแลเขาให้ดีที่สุดในช่วงบั้นปลายชีวิต”

“ครับ” หมอพูดซะผมใจแป้วเลย คนชื่อแบมเข็นรถเข็นออกมาพร้อมมีน้องหมาสีขาวขนฟูตัวหนึ่งอยู่บนนั้น ที่บนคอมีปลอกคอสีฟ้าอยู่ด้วย

“นี่ครับ”

“หมอครับเขาเดินไม่ได้เหรอครับ”

“ไม่ใช่เดินไม่ได้หรอกครับ แต่เขาไม่ยอมเดิน นอนแบบนี้ตั้งแต่วันที่ผมเจอ จะลุกบ้างคือตอนขับถ่าย ส่วนเรื่องกินต้องป้อนกันเลยละครับ เขาไม่ยอมกินเอง”

‘มันนี่ มันนี่ครับ ใช่มันนี่ไหม’  เป็นตะวันที่เข้าไปยืนข้างรถเข็นและก้มลงกระซิบข้างหูของมันนี่

“มันนี่ครับ”  พร้อมกับเสียงน้องสาวผมที่เรียกชื่อมันนี่ด้วยเหมือนกัน สองเสียงประสานกันผมคิดว่ามันนี่คงได้ยินเหมือนผมและมันกระดิกหาง

ใช่ มันกระดิกหาง


“พี่วิณณ์ ดูซิมันกระดิกหางด้วย” เขาว่าหมามันมีสัมผัสพิเศษ เจ้ามันนี่คงรู้ซินะว่าพวกผมมาทำไม

“ดูท่าผมคงไม่ต้องพิสูจน์อะไรแล้วละ”

“หมอครับ ป้าผมยังไม่ออกจากโรงพยาบาล ผมคงต้องฝากหมอดูแลไว้ก่อนนะครับ แล้วผมจะมารับพร้อมกับป้า”

“ได้ครับไม่มีปัญหา”

“เอ่อ ลุง รปภ ที่ตลาดบอกผมว่าหมอกับแฟนเป็นคนช่วยเจ้ามันนี่ไว้ ผมขอบคุณหมอแล้ว ก็อยากจะขอบคุณแฟนหมอด้วยนะครับ”

“ได้ซิครับ” แล้วหมอก็เดินหายเข้าไปด้านในก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับน้องผู้ช่วยคนนั้น และมาหยุดตรงหน้าพวกเรา

“ครับ?”

“นี่ครับแฟนผม แบม”


O__O


-__-


“หะ เอ่อครับ” ผมได้แต่อึ้ง ชี้มือไปมาระหว่างหมอกับแฟนหมอ

“แปลกเหรอครับ”

“เอ่อ ไม่ได้แปลกใจหรอกครับ ก็แค่ตกใจนิดหน่อยครับ” หมอนิ่งกับปฏิกิริยาของผม จนผมต้องรีบอธิบาย

“อะ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจหรือคิดอะไรไม่ดีนะครับ ผมเปิดกว้าง และเข้าใจครับ เพราะผมเองก็มีเพื่อนที่เป็น เอ่อ...เป็นแฟนกันแบบนี้เหมือนกันครับ”

“ครับ ผมชินแล้วละครับ อย่าว่าแต่คุณเลยตอนแรกผมยังแปลกใจตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่ผมต้องขอบอกว่าเราสองคนไม่ได้เป็นเกย์นะครับ เรารักกันที่เราเป็นเราครับ เพราะถ้าจะให้ผมไปมองและชอบผู้ชายคนอื่นผมก็คงไม่ รักได้ก็แค่คนนี้เท่านั้นละครับ โอ๊ยยย”


ท่าทางแฟนหมอจะเขินแรงไปหน่อย ศอกมะกี้มีจุกนะผมว่า เมื่อขอบคุณและร่ำลากันเสร็จพวกเราก็พากันกลับไปที่รถ ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้วผมอยากจะพาตะวันไปหาคุณป้าที่โรงพยาบาลแต่ก็คิดว่าน่าจะรอพรุ่งนี้ได้ พอคิดว่าจะพาตะวันกลับคอนโดเลย ก็นึกได้ว่าผมยังไม่ได้ตอบแทนสองคนนี้ที่มาช่วยผมเลย ผมว่านายวายุนั่นคงไม่ได้อยากให้ผมเลี้ยงอะไรหรอกและผมว่าผมรู้ว่านายวายุอยากได้อะไร แต่น้องสาวผมซิ แค่ก้าวพ้นจากประตูก็บ่นหิว เมื่อย ร้อน บลาๆ

เอาเป็นว่าผมก็เลยต้องพาคุณเธอไปกินข้าวและขนมเพื่อตอบแทนที่มาช่วยงานผม

ผมให้ยายตัวแสบเลือกร้าน เห็นคลิกๆ เลื่อนๆ หาร้านในมือถืออยู่ซักพักก็เลือกได้ซักที ดูจากพิกัดก็ไกลจากจุดที่เราอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าน้องต้องการผมหรือจะกล้าขัด ผมจึงขับรถตามนายวายุไปเรื่อยๆ

“ดารินนี่โชคดีเนอะ น่าอิจฉาด้วย มีวิณณ์เป็นพี่ชาย ใจดี ตามใจทุกอย่าง แถมยังหล่อด้วย”

“คิดแบบนี้อีกแล้ว” ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปโยกหัวเบาๆ “แม่ตะวัน นายวายุ ก็รักตะวันนะ พูดแบบนี้ถ้าเขาได้ยินขึ้นมาจะเสียใจรู้ไหม แล้วก็อีกอย่างไม่ต้องไปอิจฉาดารินหรอก เพราะวิณณ์แสดงออกกับดารินแบบไหน ก็ทำกับตะวันแบบนั้นเหมือนกัน แถมยังมากกว่าด้วยซ้ำ ต้องเป็นดารินมาอิจฉาตะวันมากกว่านะถึงจะถูกรู้ไหม”

มือที่โยกหัวเบาๆ ตอนนี้เลื่อนมาจับประสานมือกับตะวันไว้ ผมทำแบบนี้ทำไมผมก็ยังไม่รู้ ผมรู้แค่อยากทำ อยากให้ตะวันรู้ว่าผมจะอยู่กับเขา


ผมมองของกินบนโต๊ะแล้วก็หน่ายใจ นี่กะกินให้ล่มจมกันเลยใช่ไหมเนี่ย ไม่ใช่ว่างกนะ แต่กลัวน้องอ้วน


“แน่ใจนะว่ากินหมด”

“หมด ทำไมเลี้ยงน้องแค่นี้บ่นหรา”

“ไม่ได้ว่าอะไรเลย กินหมดก็กินไป แค่กลัวว่าคนบางคนจะมาบ่นอ้วนทีหลัง”

“ไม่ยะ นี่อย่ามาหัวเราะ” น่าน ยังมีอารมณ์ไปพาลนายวายุอีกนะ ผมละสงสารคุณจริงๆ

บรรยากาศร้านนี้เหมาะแก่การ chill out อาหารก็มีทั้งของคาวและขนมหวาน มีมุมนั่งส่วนตัว และมีดนตรีสดเล่นด้วย แต่ต้นไม้มันเยอะไปนะ ถ้ามีงูไปแอบไม่มีทางรู้แน่


“เดี๋ยวพี่มา”

“ไอ ไอ๋”

“กลืนก่อนค่อยพูดไหมไอ้แสบ ไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา” ผมหันไปมองตะวันว่าเขาจะมากับผมด้วยไหม แล้วเขาก็ลุกขึ้นตามผมมา ความจริงเขาไม่ต้องมากับผมก็ได้ แต่ผมไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่โต๊ะ กลัวเขาเหงา


แปลกคนเนอะ


ผมเนี่ยแปลกคนเนอะ




ตะวันรอผมที่หน้าห้องน้ำ จนผมจัดการธุระเสร็จแล้วออกมาล้างมือ

‘ฮือ ฮือ’    เสียงใคร? เงียบไปแล้ว หูคงแว่ว

แต่ระหว่างที่หันไปหยิบกระดาษเช็ดมือ

‘ฮือ ฮือ’   อีกแล้ว ผมหันไปทางตะวัน ซึ่งเจ้าตัวคงได้ยินเหมือนกัน


ชู่ววววว ผมทำท่าเป็นเชิงว่าให้เงียบ หลังจากนั้นก็พยายามเงี่ยหูฟัง ตะวันได้ยิน ผมได้ยินงั้นก็น่าจะเป็นเสียงคน


‘ฮืออออออ ฮึก...ฮืออ’ ผมพยายามจับทิศทางของเสียง ซึ่งมันน่าจะมาจากทางด้านหลังห้องน้ำ แต่ตรงนั้นมีแต่ต้นไม้และหญ้าที่ขึ้นสูงเท่าเข่า ผมก้าวเข้าไปอย่างช้าและเบาที่สุด


“วิณณ์ อย่าไปมันมืดมันอันตราย”

“ไม่เป็นไร” แต่ยังไม่มันที่ผมจะก้าวต่อไป

“ผู้กองทำอะไรครับ กำลังจะไปไหน”

“คุณวายุ     ผมว่าผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องมาจากทางนี้”


ผมกำลังจะก้าวขาต่อไป


“เดี๋ยว”

“....”

“ผู้กองแน่ใจว่าเป็นเสียงคน?”

“ผมไม่รู้ แต่ผมได้ยิน ปกติผมจะไม่ได้ยินเสียงผีหรืออะไรทั้งนั้นนอกจากตะวัน แต่นี่ผมได้ยิน ยังไงก็ต้องไปดู”

‘ฮืออออออ’

“เอิ่มม ผมก็ได้ยินเหมือนกัน”

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผม ตะวัน และนายวายุ พากันเดินอ้อมหลังห้องน้ำไปตามเสียงที่ได้ยิน

‘ฮือออ.....ฮึกกก......ฮืออออ’


“วิณณ์ หลอนยังไงก็ไม่รู้อะ”

“ผู้กอง ผมว่า ระ...เรากลับ...กันดีกว่าไหม”

ผมได้แต่ส่ายหัว สรุปกลายเป็นว่านอกจากตะวันที่ผมดูแล ผมยังต้องพ่วงตัวถ่วงเพิ่มมาอีกหนึ่ง

“ถ้าสองคนกลัว ก็รอตรงนี้ไม่ต้องตามมา”

“สองคน?? สองคนไหน ผู้กองอย่าพูดให้กลัวเพิ่มซิ”

“สองคน ก็คุณกับตะวันไง”

“อ้ออ ชะ..ใช่  ตะวัน แหะๆ ตะวันอยู่ด้วย แฮ่....ผมลืมไป”

“ไม่เอา ตะวันจะไปกับวิณณ์”

“แล้วไม่กลัวแล้วหรือไง”

“ไม่ อยู่กับวิณณ์ไม่กลัวหรอก”

“หึหึ งั้นตามใจ”

“อะไร พูดอะไรกัน ผมไม่ได้ยิน อย่าแอบคุยกันซิ”

“เฮ้อ ตะวันจะไปกับผม ถ้าคุณกลัวก็เดินกลับไปหาดารินซะ หรือจะรอตรงนี้ เลือกเอา”


แล้วไอ้คนขี้กลัวก็ใช้ความคิดอย่างหนัก เดินกลับไปก็เดินคนเดียวถ้าเกิดเจออะไรกลางทางละ ให้รอตรงนี้ก็คนอยู่คนเดียวอีก ไม่ปลอดภัยๆ แต่ถ้าไปกับผู้กองอย่างน้อยก็มีเพื่อนเดินละวะ


“ผมไปกับผู้กอง”

“ตามใจ”

เราเดินตรงเข้าไปยังพุ่มไม้ด้านใน พอหันไปข้างหลังไฟจากห้องน้ำก็ค่อยๆ ห่างไป ห่างไป

“ผู้กองผมว่าเสียงมันหายไปแล้วนะ”

ใช่ อยู่ดีๆ เสียงก็หายไป รอบๆ บริเวณตรงนี้ไม่มีอะไรนอกจากหญ้าที่สูงเลยเข่าขึ้นมา กับต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้า ใหญ่มาก ใหญ่ขนาดหลายคนโอม


‘ฮือออออ......ฮือออออออ’


“เฮ้ย.....เสียง เสียงมาอีกแล้ว ผู้กองงง” นายวายุกระโดดมาเกาะแขนผม ตัวก็เท่ากันแท้ๆ

“คุณ คุณ นี่คุณถ้าจะกลัวขนาดนี้ ผมบอกแล้วให้กลับไปหายายดาริน”

“แฮ่ๆ”


จึกๆ  ผมหันไปตามแรงดึงที่ชายเสื้อ เห็นตะวันทำหน้าตื่นพร้อมกับชี้ไปทางด้านหน้าใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น


“ผู้หญิงนิ”

“ไหนผู้หญิงไหน  อย่าผู้กอง  อย่าไปคนหรือเปล่าก็ไม่รู้” นายวายุออกแรงดึงผมไว้

“คุณมองเห็นไหมละ”

“หะ...เห็น”

“คุณเห็น ผมเห็น งั้นก็ไม่ใช่ผี”

“เดี๋ยวผู้กอง ไม่จำเป็นเสมอไปหรอกนะถ้าเป็นผีแล้วเราจะไม่เห็น มันเอามาวัดไม่ได้”

“แต่คุณยังไม่เห็นตะวันเลยนี่”

“มันไม่เหมือนกัน   โว้ยยย  จะอธิบายยังไงดีวะ เอ้า... ตามใจอยากทำไรทำ เชิญเล้ยยย”

“ตะวันรอนี่ คุณด้วย”



“คุณ
.
.
.
คุณ
.
.
.
คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”


ผู้หญิงคนนั้นยังคงก้มหน้าและร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่


“คุณครับ ผมเป็นตำรวจนะ ให้ผมช่วยนะ” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปเพื่อจับตัวเธอ
.
.
.
.
.
.
.
“อย่ามายุ่งกับคนของกู”
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 20 : ตัวช่วย (04/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-06-2018 22:12:16
กำ ใครอีกล่ะนั่นนนนน
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 20 : ตัวช่วย (04/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-06-2018 02:47:38
หญิงมีผีตามติด หรือ หญิงโดนผีเข้าสิง  :m28:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 21 : พบเพื่อจาก (14/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 14-06-2018 19:00:32
ตอนที่ 21 พบเพื่อจาก




แค่ก แค่ก

“ควันอะไรเนี่ยลุงเพิ่ม”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ อยู่ดีๆ ควันก็ลอยออกมาตามท่อแอร์เต็มเลยครับ” คนที่อาศัยบนคอนโดเอ่ยถามกับลุงยาม

“เวรละ แล้วนี่แจ้งนิติหรือตามช่างยังเนี่ย”

“ช่างมาแล้วครับ มาทันใจเลยผมยังไม่ทันได้โทร สงสัยคงมีคนในคอนโดแจ้งละครับ”

ตอนนี้คนในคอนโดต่างพากันกรูลงมาอยู่ชั้นล่างกันหมด เพราะเกิดมีควันอะไรไม่รู้ออกมาจากท่อแอร์ส่วนกลางและลอยเข้าห้อง ทุกคนต่างคิดว่าไฟไหม้แต่พอมองดีๆ มันมีแต่ควันสีขาวและไม่มีเปลวไฟอะไรเลย

“อ้าว ช่างเสร็จแล้วเหรอ แล้วมันควันอะไร”  ลุงเพิ่มเอ่ยถามช่างที่เพิ่งขึ้นไปได้ไม่นานก็ลงมา

“เรียบร้อยแล้ว อีกสักพักควันก็หาย”

“แล้วมันเกิดจากอะไร เฮ้...อ้าว อะไรของมัน ไปซะแล้ว” อะไรของมันวะ มาไวเคลมไว







[ตะวัน]


“ออกไป.....อย่ามายุ่งกับคนของกู”


“เฮ้ยยยยย อะไรวะ” พี่วายุตกใจร้องเสียงหลงก่อนจะถอยหลังล้มลงก้นกระแทกพื้น “เสียงใครอะ ทำไมมองไม่เห็นตัว” พี่วายุถามขึ้น

“วิณณ์” ผมกระตุกชายเสื้อวิณณ์ให้หันมามองพร้อมกับว่ายหน้าเป็นเชิงว่า อย่า “กลับเถอะ กลับเถอะวิณณ์”

“ทำไมตะวันมีอะไร”

“กลับเถอะ” ผมพยายามทำหน้า ทำสายตาหวังว่าวิณณ์จะเข้าใจว่าผมอยากจะสื่ออะไรแต่ก็ไม่ *___*

“เอ่อ...คุณครับ คุณผู้หญิงครับ” ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งก้มหน้าโดยไม่สนใจคนตรงหน้า

“คุณให้ผมช่วยนะครับ” วิณณ์ค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้พลางเอื้อมมือออกไป


“ออกไป.....” 



ฟู่ฟฟฟฟฟฟฟ  แต่ก่อนที่จะถึงตัว เสียงเดิมก็ดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด มันดังจนน่ากลัว ตามมาด้วยลมที่พัดแรงจนฝุ่นที่พื้นปลิวไปทั่วบริเวณ

“เฮ้ยอะไรวะ อยู่ๆลมมาจากไหน จะมีพายุหรือไงวะพัดซะขนาดนี้” พี่วายุนี่ก็ขี้โวยวายกว่าปกติ

“วิณณ์เชื่อเรา ไปเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย นะ นะ ไปเถอะ นะ”



วิณณ์หันมามองหน้าผมที่ส่งสายตาเว้าวอนไปให้ และเหมือนจะเข้าใจเพราะวิณณ์หยุดนิ่งไม่เดินเข้าไปต่อและถอยหลังออกมาหาผม แต่...


‘พี่คะ ช่วยด้วย ช่วยหนูทีหนูอยากออกไปจากที่นี่’


แต่ก่อนที่ใครจะคิดหรือตัดสินใจอะไรได้ ผมก็ฉุดกระชากลากวิณณ์ออกมาจากตรงนั้น ส่วนพี่วายุไม่ต้องพูดถึงรายนั้นวิ่งตามติดมาเลยละ

“แฮ่ก แฮ่ก ผู้กองรอด้วย รอผมด้วย โหยวิ่งเร็วเป็นบ้าเลย”  พวกเราวิ่งกลับมาถึงที่หน้าห้องน้ำเมื่อกี้

“ไปไหนมากันมาหะ”

“เหวยยยย”

“เป็นบ้าอะไรเนี่ยคุณ แล้วนี่ไปทำอะไรมา ทำไมหอบแฮ่กกันแบบนี้”

“มาแบบนี้ใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว เฮ้ออออ”

“แล้วจะบอกได้หรือยังว่าไปทำอะไรกันมา ทำไมเหมือนวิ่งหนีอะไรมาซักอย่าง” ดารินถามขึ้นมาทันทีที่พวกเรากลับมานั่งที่โต๊ะภายในร้าน วิณณ์กับวายุมองหน้ากันเลิ่กลัก ผมเองก็พอสบตากับวิณณ์ก็ไม่รู้จะบอกยังไงดี


“สรุป จะไม่มีใครพูดอะไร?”

“ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี ไอ้ที่เจอเมื่อกี้มันคืออะไรยังไม่รู้เลย”

“อ้าว”

“รู้แค่ว่ามันตกใจและก็พากันวิ่งมานี่ละ”

“........” สุดท้ายก็เป็นวิณณ์ที่เล่าให้น้องสาวตัวเองฟัง

“ตัว ตัวแน่ใจนะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคน” ผมชักจะเริ่มกลัวน้องสาววิณณ์จริงๆแล้วซิ คนอะไรฟังเรื่องแบบนี้แล้วทำหน้าได้สยองปนเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนั้น สงสัยจะชอบแนวนี้

“ทำไมถึงคิดว่าไม่ใช่คน นายวายุก็เห็นนะไม่เชื่อลองถามดิ”

“ใช่ มันก็เห็นอะนะ แต่ผมก็ไม่ชัวร์ว่า เป็น คน จริง หรือ เปล่า” แหม ตอนท้ายนี่เสียงเบาเชียวนะ

“นี่ตัวลองคิดดูนะ ผู้หญิงที่ไหน อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย คนที่ไหนจะไปอยู่ที่มืดคนเดียวแบบนั้น แล้วไหนไอ้เสียงที่ตัวบอกได้ยินอีก ได้ยินแต่ไม่เห็นคนพูด มันไม่แปลกเหรอ”

นั่นแหละคือสิ่งที่ผมพยายามจะบอกวิณณ์ตั้งแต่แรก ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอมาอยู่ตรงนั้น ผมรู้แค่เธอไม่สามารถไปไหนได้ และสิ่งที่พันธนาการเธอไว้ก็คงจะเป็นเจ้าของเสียงนั้น เสียงที่แค่ได้ยินก็รู้สึกกลัวไปจนสุดขั้นหัวใจ

ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น ผมไม่ควรเข้าไปยุ่งแต่เธอเอ่ยขอร้องมาแล้ว เว้าวอนอย่างน่าสงสาร แล้วผมควรทำยังไง จะให้ทิ้งเธอไว้อย่างนั้นเหรอ



เฮ้อออ เรื่องหมายังไม่ทันเคลียร์ ดันมีเรื่องเพลียเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว




ผมกับวิณณ์แยกกับดารินและพี่วายุ โดยพี่วายุเป็นคนส่งดาริน สงสัยพี่ชายผมคงจะเดินหน้าจีบคนนี้อย่างจริงจังแน่นอน ผมว่าดูไปก็เหมาะกันดีนะ เอาใจช่วยแล้วกันนะพี่วายุ

“ใต้คอนโดมีอะไรกัน”  ผมหันไปดูเมื่อวิณณ์พูดขึ้น

“นั่นดิ คนลงมาทำอะไรเต็มไปหมดเลย” วิณณ์ขยับรถจอดเข้าที่เรียบร้อยและพากันเดินไปที่หน้าคอนโด

“นี่มายืนทำอะไรกันเหรอครับ”

“ก็เมื่อกี้ซิคะผู้กอง จู่ๆ ก็มีควันอะไรไม่รู้คะเต็มคอนโดไปหมดเลยพวกเราตกใจนึกว่าไฟไหม้ แต่พอดูอีกทีมันมีแต่ควัน ไม่มีไฟคะ” พี่นิดเจ้าของร้านทำผมใต้ดึงลุงยามออกไปและเบียดตัวเองเข้ามากระแซะเพื่อคุยกับวิณณ์จนผมต้องหลุดขำ “หึหึ” ไม่วายโดนวิณณ์ทำตาดุใส่

“ควัน? ควันอะไรครับ”

“โอ๊ยย ไม่รู้หรอกคะผู้กอง ควันเต็มไปหมด แต่ไม่ต้องห่วงนะคะช่างมาดูให้แล้วคะ เขาบอกว่าเดี๋ยวก็หายไม่มีอะไรน่าห่วง”  ป้าน้อยร้านข้าวแกงพูดแทรกบ้าง

“ช่าง?.. แล้วเขาไม่ได้บอกเหรอครับว่าเกิดจากอะไร”

“ไม่ได้บอกคะ แต่ช่างมาไวมากเลยนะคะ มาถึงปุปจัดการปัปแล้วก็ไปเลยคะ” พี่กิ่งผู้ช่วยพี่นิดก็เอากับเขาด้วย

“หืม ช่างของคอนโดเหรอครับ”

“ไม่ใช่หรอกคะ ช่างที่ไหนก็ไม่รู้คงใครซักคนในคอนโดโทรตามมามั้งคะ”  ป้าจันเจ้าของร้านขายของชำพูดต่อและตบท้ายด้วยพี่กิ่ง “แต่ตอนนี้ไม่ต้องห่วงนะคะผู้กอง ควันจางลงไปมากแล้วคะ ผู้กองขึ้นห้องไปได้เลยคะ” 

“ครับ”

“ฮาาาา”  ผมถึงกับหลุดขำกับท่าทางที่ทุกคนแสดงออกมา

“หัวเราะอะไรหะ”  วิณณ์หันมากระซิบกับผม พวกเราเดินมาหยุดรอหน้าลิฟท์ แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวไป คนในลิฟท์ก็พุ่งออกมาซะก่อน

“เฮ้ยยย”

“ขอโทษครับๆ อ้าว....ผู้กองมาแล้วก็ดีเลย มานี่เลยครับ ผู้กองมานี่ก่อน”

“เดี๋ยวๆ ครับ ใจเย็นๆ มีอะไรครับ”

“ห้อง 702  แฮ่กๆ โอ๊ยเหนื่อยยยย  ห้อง 702 นะครับ  เหอ เหอ  ผมว่า....ว่า.....ผู้กองไปดูเองดีกว่าครับ”


ห้อง 702   702  เฮ้ย... นั่น มัน ห้อง ของ....

“ห้องคุณแอน วิณณ์ห้องคุณแอน” 

พูดแค่นั้นวิณณ์ก็รีบกระโจนเข้าลิฟท์ทันที และทันทีที่พวกเรามาถึงก็ต้องตกใจกับสภาพห้องที่ถูกรื้อมาทุกซอกทุกมุม ต้องบอกว่ารื้อมาหมดจริงๆ โซฟาที่วางอยู่ติดกำแพงก็ถูกลากออกมา และกรีดเบาะจนขาดไม่เหลือสภาพที่จะนั่งได้ รูปภาพที่แขวนก็ถูกรื้อและโยนลงกับพื้ นจนกรอบแตกกระจัดกระจายเกลื่อน และเมื่อเข้าไปในห้องนอนสภาพแทบจำไม่ได้ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน ตู้เสื้อผ้า  เตียง ที่นอน ก็ไม่เว้นถูกทำลายจนหมด เหมือนพยายามจะหาอะไรซักอย่าง

“คนร้ายน่าจะเข้ามาหาอะไรซักอย่าง”

“หรือว่า   หรือว่า ”  วิณณ์ หันมามองหน้าผม   “เมม.....เมมโมรี่การ์ดอันนั้น”

“ก็อาจจะใช่นะ ดูแล้วคนที่เข้ามาในห้องนี้ก็เพื่อต้องการหาอะไรซักอย่าง”

“ใช่คะ คุณผู้กองฉลาดปราดเปรื่องสมเป็นว่าที่ ซะมี ของแอนเลยคะ”

“เฮ้ยยย เจ๊มาไม่ให้สุ่มให้เสียงตกอกตกใจหมด แล้วมานั่งมโนเพ้อพบอะไรไม่ทราบ ว่าแต่เจ๊พูดมาแบบนี้คือรู้ ว่าฝีมือใครงั้นดิ?”

“อะไรตะวัน ใครมา”

“คุณเจ้าของห้องเขามา”

“อ้ออ แล้ว เขาว่าไงบ้างอะ”

“อะ เจ๊ว่าไง เหลามาดิใครเข้าห้องเจ๊? แล้วเข้ามาทำอะไร? แล้วเขาต้องการ? แล้ว...”

“Stopped…..”  แหม ภาษาอังกฤษมาเลยนะ  -___-

“ถามไม่เว้นช่วงเลยนะ คิดว่าฉันจะฟังทันไหม”

“แหะๆ”

“ก็ตามที่นายเข้าใจนะแหละ พวกมันมาหาเมมโมรี่การ์ด มันไม่รู้ว่าตำรวจได้ไปแล้ว และคิดว่าคงยังอยู่ในห้องถึงมาหา แต่ตอนนี้มันคงรู้แล้ว ส่วนไอ้แผนก่อความวุ่นวายก็ฝีมือพวกมัน”

ผมได้แต่ถอนหายใจ พอจะมีเรื่องก็มีกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องเลยนะ แต่อย่างน้อยก็สบายใจไปได้เรื่องหนึ่ง เพราะน้องหมามันนี่ก็ตามหาเจอแล้ว เหลือแค่พาคุณป้าไปรับกลับ ส่วนเรื่องวิญญาณผู้หญิงคนนั้นผมสองจิตสองใจว่าควรเข้าไปยุ่งไหม แต่เธอเอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือมาแล้ว ถ้าผมปล่อยไปไม่สนใจ ผมจะผิดกฎไหมอะ ส่วนเรื่องที่สามนี่หนักใจสุด เรื่องยายเจ๊แอน เรื่องเธอดูอุรุงตุงนังมาก และท่าทางจะยืดเยื้อไม่จบง่ายๆ

“นี่หนู  หนนนนนนนนู   หนู คิดอะไรอยู่จ้ะ”  อือหือ ตะโกนเข้าหูมาได้ แล้วไอ้หนูเนี่ย เรียกผมเหรอ ผมเนี่ยนะหนู

“หนูไหนละ เจ๊ ผมชื่อตะวันครับ”

“ก็แหม หน้านายอะยิ่งดูใกล้ยิ่งน่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้ม หน้าขาว เนียน สวยกว่าฉันอีก ไม่เรียกหนูแล้วจะให้เรียกอะไรละยะ”

“เฮ้อออ ว่าแต่เจ๊ แล้วพวกมันไม่ได้อะไรไปก็กลับง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ”

“ก็อย่างนั้นแหละ มันรื้อจนห้องเละซะขนาดนี้แถมไม่เจออีก ฉันว่ากลับไปมันคงโดนหนักอะ”

“ทำไมอะ”

“ก็ฉันได้ยินมันบอกว่า งานนี้นายใหญ่ต้องเล่นงานมันหนักแน่”

“อืมมม”

“นี่หนูตะวัน เจ๊ว่าเรื่องนี้มันต้องใหญ่กว่าระดับพวกไอ้เอ็ม หรือไอ้เสี่ยที่ฉันคั่วอยู่แน่ๆ เพราะดูแล้วไอ้พวกนี้ก็แค่ลูกน้องหางแถวทำตามคำสั่ง ยังไงก็รีบจัดการให้จบเรื่องไวๆ เถอะ ปล่อยยืดเยื้อไว้มันไม่น่าจะโอเค”

“ไม่โอเค? ไม่โอเคยังไง”

“ไม่รู้ซิ แค่สังหรณ์อะ มันเป็นสัญชาตญาณผู้หญิงไง โอเคปะ”

“...............”





หลังจากที่คุยกับยายเจ๊แอนโดยที่ไม่ได้อะไรเลย ผมกับวิณณ์ก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง ส่วนห้องนั้นวิณณ์ก็ได้โทรให้จ่าเติมส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจดูอีกครั้งเพื่อจะเจอร่องรอยของคนร้ายที่เข้ามา

“ตะวัน วิญญาณคุณแอนเขาพูดอะไรบ้างเหรอ” วิณณ์เอ่ยถามทันทีที่เรากลับเข้าห้องมา

“ก็อย่างที่วิณณ์คิดนะแหละ พวกที่เข้าไปรื้อห้องก็คือพวกไอ้เอ็ม ที่ก่อความวุ่นวายก็พวกมันอีก”

“มันคงจะมาหาเมมโมรี่การ์ด”

“ใช่ แต่มันไม่เจอ คราวนี้มันก็คงรู้แล้วละว่าตำรวจน่าจะได้ไปแล้ว แต่คุณแอนบอกว่าเธอสังหรณ์ว่าเรื่องนี้น่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลังมากกว่าพวกไอ้เอ็ม หรือไอ้เสี่ยที่เธอไปยุ่งด้วย”

“อืม”


   วิณณ์หายเข้าไปอาบน้ำได้สักพัก ส่วนผมก็พยายามคิดเรื่องที่เกิดขึ้นให้ได้เรื่องมากที่สุด เฮ้ย ต้องเน้นคำว่าให้ได้เรื่องเลยละก็ผมอะมันเป็นพวกไม่ชอบคิดซับซ้อนอะไร ชอบหรือไม่ชอบก็บอกตามตรง คิดแบบไหนก็บอกแบบนั้น พอมาเจอไอ้เงื่อนงำซ่อนเงื่อนอะไรพวกนี้บอกตรง ตะวันปวดหัว

แกร่ก
 
“นั่งคิดอะไรตะวัน”

“ก็คิดเรื่องวันนี้นะแหละ”

“แล้วคิดออกไหม”

“หึ” ผมตอบพลางส่ายหน้า

“แล้วถ้าคิดออก คิดว่าจะช่วยได้ไหม”

“หึ...” เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนด่างะ  “โหหห ถ้าจะพูดขนาดนี้นะ ด่ากันดีกว่า”

“ฮาา ก็เปล่า แค่ไม่อยากให้เครียดนะ ดูดิคิ้วติดกันเป็นโบว์แล้ว” ว่าแล้ววิณณ์ก็เอามือมาวางคลายคิ้วตรงกลางออกจากกัน

“ก็นี่ไง พยายามช่วยคิดไง เดี๋ยวจะว่ากินแรง”  เอ้า พูดอะไรโดนผลักหัวอีกละ

“เออ วิณณ์บอกยังว่าแม่ของตะวันให้ของวิณณ์มาชิ้นหนึ่งด้วยละ”

“ของ?  ของอะไร”  วิณณ์เปิดลิ้นชักที่หัวเตียงก่อนจะหยิบอะไรซักอย่างแล้วเดินกลับมาที่ริมหน้าเตียงที่ผมนั่งอยู่

“ล๊อคเก็ต ล๊อคเก็ตของตะวันนี่ ทำไมแม่เอามาให้วิณณ์ละ”

“ไม่รู้ซิ แต่แม่ตะวันบอกอยากให้วิณณ์เก็บไว้ แล้วก็คิดว่าตะวันน่าจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน”

“เหรอ”  ตะวันแอบคิดไม่ได้ว่าทำไมแม่ถึงคิดแบบนั้น แต่มันอาจจะดีก็ได้นะ คิดดูแล้วถ้าเกิดเขาทำภารกิจไม่สำเร็จไม่ได้กลับคืนร่าง เขาก็จะไม่ได้เจอกับวิณณ์อีก หรือถ้าเขาทำสำเร็จเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต ไม่มีใครล่วงรู้


แต่อย่างน้อย แค่อย่างน้อยล๊อคเก็ตนี่ก็เหมือนตัวแทนเขา วิณณ์จะได้คิดถึงเขาบ้าง




“ตะวันตอนเด็กๆ นี่น่ารัก หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงเลยนะ มิน่าละทั้งแม่แล้วก็นายวายุถึงได้ทั้งห่วงและหวง”

“ไหนๆ” ตะวันเอาหน้าแทรกเข้าไปอยู่ข้างหน้าวิณณ์ “ก็ไม่ได้เหมือนอะไรขนาดนั้นไหม ออกจะหล่อเนอะ”

“หล่อออออ หล่อมากกกกก”

“โอ๊ะ ผลักหัวไมเล่า แล้วนั่นเป็นอะไรไม่สบายเหรอ หน้าแดงเลยอะ สงสัยเพราะตากแดดเมื่อตอนกลางวันแน่เลยใช่มะ งั้นคืนนี้ก่อนนอนอย่าลืมกินยานะ เดี๋ยวมาสบาย รู้ไหม”

“....................”

“แหนะ ถามว่ารู้ไหม”

“รู้คร้าบบบบบ”  ดุกว่าแม่กว่าน้องสาว ก็คงเป็นตะวันนี่ละ






[วิณณ์]


อยากจะหลับก็ยังหลับไม่ได้ จะให้เขาหลับได้ไงละ ตอนนี้จิตใจมันว้าวุ่นไม่เข้ารูปเข้ารอยแล้ว ก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เขาต้องพยายามบังคับตัวเองอย่างมาก กับความรู้สึกตอนนี้ที่เกิดขึ้น เพราะทุกๆ การกระทำของตะวัน มันมีผลต่อจิตใจและความรู้สึกเขาเหลือเกิน

เขารู้ว่าเขามีหน้าที่ต้องช่วยให้ตะวันทำภาระกิจให้สำเร็จเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกๆวันมันเกินกว่านั้นมาก ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเอง

เขาทั้งห่วงและหวงตะวัน

เขาอยากให้ตะวันทำภารกิจให้สำเร็จ

เขาอยากให้ตะวันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

อยากให้ตะวันได้กลับมาเจอแม่ เจอครอบครัว เจอเพื่อน และที่สำคัญ....

เขาอยากให้ตะวัน กลับมาเจอเขา เจอเขาในแบบที่เราสามารถจับต้องกันได้
 

แล้วดูอย่างตอนนี้ซิ เจ้าตัวเองทำอะไรก็คงไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเหมือนเดิม การที่เอาหน้าเอาตัวเข้ามาสอดแทรกกลางมือเขาทั้งสองข้างโดยที่ตัวเขาเองซ้อนหลังตะวันอยู่แบบนี้

มันเหมือน.....เหมือนเขากำลังกอดตะวันอยู่

วิณณ์ต้องบังคับหัวใจตัวเองอย่างมาก เพราะมันเต้นจนเหมือนจะหลุดออกมานอก อก ยังไงยังงั้นเลย

เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ


สุดท้ายกว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบเช้า  เฮ้ออออออออ



“เย้ยยยยย  เป็นอะไรอะ ตาดำเป็นหมีแพนด้าเลยอะ”

“นอนไม่ค่อยหลับนะ”

“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” ตะวันเข้ามาใกล้แล้วเอามือแตะหน้าผากเหมือนวัดไข้  “แหะๆ ลืมไปเป็นวิญญาณไม่มีความรู้สึกร้อนหนาวนี่น่า”

เขาได้แต่ขำคนตรงหน้า  บิดขี้เกียจอยู่สองสามรอบก่อนจะลุกไปอาบน้ำ  เพราะยังไงวันนี้เขาก็ยังมีงานต้องทำต่อให้จิตใจยังไม่คงที่แต่ภาระหน้าที่ต้องมาก่อน

“วิณณ์ วันนี้เราจะไปกันบ้างเหรอ”  เสียงตะวันตะโกนถามเข้ามา

“ก็ไปหาคุณป้าที่โรงพยาบาลเมื่อวานไอ้หมอมันไลน์มาบอกไว้แล้วว่าคุณป้าสามารถกลับบ้านได้แล้ว แกเลยจะมารับมันนี่ไปพร้อมกัน”

“อ่อออ”


“เออ นี่วิณณ์”

“เฮ้ยยย อะไร เข้ามาทำไม”

“ก็คุยกันแล้วมองไม่เห็นหน้ามันไม่ชินอะ”

“รออาบน้ำเสร็จก่อนก็ได้”

“ทำไม? อาย? ไม่ต้องหรอกน่า กระจกมันขุ่นมองเห็นที่ไหนเล่า”

“เปล๊า ใครอาย ไม่มี๊”

“เหรอออ จะยอมเชื่อก็ได้นะ”



Rrrrrrr

“วิณณ์เสียงโทรศัพท์อะ” เจ้าตัวพูดเสร็จก็เดินออกไปยังไม่วายตะโกนกลับมาอีก “วิณณ์ ชื่อหมอมาร์คอะ”

Rrrrrrr

“รู้แล้วๆ เสร็จแล้วๆ”

“สวัสดีครับ”
[คุณวิณณ์นะครับ ผมมาร์คนะครับที่คลินิครักษาสัตว์ที่เราเจอกันเมื่อวานนี้]

“ครับๆ จำได้ครับ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าครับ”
[คุณวิณณ์จะมารับมันนี่วันนี้หรือเปล่าครับ]

“ใช่ครับ”
[ดีครับ ผมอยากให้มาไวซักหน่อยได้ไหมครับ]

“ผมต้องไปรับคุณป้าที่โรงพยาบาลก่อน แล้วถึงไปที่คลินิกก็น่าจะบ่ายได้นะครับ คุณหมอมีอะไรหรือเปล่าครับ” วิณณ์ถามออกไปเพราะรู้สึกว่า การที่หมอโทรมาหาเขามันน่าจะมากกว่าแค่ถามว่าเขาจะมาหรือไม่มา หรือมาเวลาไหนมากกว่า

[คือ อย่างที่คุณวิณณ์รู้ มันนี่แก่มากแล้ว ประกอบกับร่างกายเขาล้าอย่างมากแล้วไม่ค่อยยอมกินอาหารเท่าไหร่ วันนี้มันนี่ก็ซึมขึ้นอีก หมอจึงค่อนข้างกังวลนะครับ หมอคิดว่าถ้าเขาได้เจอคุณป้าเจ้าของไวๆ เขาอาจจะดีขึ้นนะครับ]

ไม่ต้องให้หมอขยายความวิณณ์ก็พอเข้าใจความหมายนั้น

“ผมจะรีบไปให้ไวที่สุดครับ รบกวนคุณหมอช่วยดูแลมันนี่ด้วยนะครับ”
[ครับ ผมจะดูแลให้ดีที่สุดครับ]



“มีอะไรเหรอวิณณ์”

“เราคงต้องรีบไปรับคุณป้าแล้วละ”




“ไอ้หมอ ไอ้หมอ” ผมตะโกนเรียกไอ้เพื่อนหมอทันทีที่เห็นมันออกมาจากห้องคนไข้

“ว่าไงไอ้ผู้กอง เรียกเสียงดังขนาดนี้คนไข้ตกใจทั้งโรงพยาบาลแล้วมั้ง”

“ขอโทษวะ แต่มึงช่วยอะไรกูหน่อย กูต้องพาป้าที่ห้องพักฟื้นออกไปตอนนี้ก่อนวะ”

“ทำไมวะ รีบอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เออ มึงช่วยจัดการเรื่องตรงนี้ให้ก่อนได้ไหม เสร็จแล้วกูจะรีบพาป้าแกกลับมาจัดการเรื่องอื่นๆต่อ”

“กูเป็นแค่ทายาทเจ้าของโรงพยาบาลนะเว้ย ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ”

“กูรู้ ช่วยกูหน่อยดิวะ”

“เออๆ มึงพาไปเถอะ ยังไงก็รีบกลับมาแล้วกัน แต่กูบอกก่อนนะว่ากูไม่ได้กลัวป้าหรือมึงหนีไปไหนหรอก แต่กูไม่อยากให้พวกหมอ พยาบาลหรือพนักงานคนอื่นมองว่ากูใช้อภิสิทธิ์พ่อเท่านั้น”

“เออ กูรู้นิสัยมึงดีอยู่แล้วละน่า ขอบใจมึงมาก”

“อืมมม”



หมอมองตามหลังเพื่อนตัวเองออกไป ยิ่งนับวันเพื่อนเขาก็ยิ่งมีพฤติกรรมแปลกประหลาด เอาไว้คราวหน้าคงต้องจับมานั่งคุยกันซะหน่อยแล้ว




“ผู้กองเจอมันนี่แล้วเหรอจ้ะ” คุณป้าที่กำลังนั่งบนรถเข็นผู้ป่วยเอ่ยถามวิณณ์

“ครับ เจอแล้วครับ”

“เหรอ ดีใจจัง ดีใจที่สุดเลย”

ป้าแกพูดออกมาเสียงสั่นๆ เขาไม่อยากจะคิดว่าถ้าป้าเจอสภาพมันนี่ตอนนี้ป้าแกจะเป็นยังไง ถ้าคิดอย่างเลวร้ายที่สุด ถ้ามันนี่เกิดเป็นอะไรขึ้นมาป้าแกจะทำยังไงแล้วผมจะทำยังไงวะเนี่ย

“......” 

ผมก้มมองที่มือตัวเอง เมื่อตะวันเอื้อมมาจับมือผมที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่ พร้อมกับตะวันส่งยิ้มมาให้ ผมยิ้มตอบกลับไป หน้าผมดูแย่อย่างนั้นเลยเหรอ ผมเป็นตำรวจต้องพบเจอเรื่องแบบนี้มันธรรมดามาก แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมก็เลือกที่จะเลี่ยง ถ้าเราต้องเดินเข้าไปหาใคซักคนแล้วบอกว่า ‘ผมเสียใจด้วยนะครับ / ญาติของคุณ พ่อแม่ของคุณ หรือ แม้แต่ลูกของคุณเสียชีวิตแล้ว’ ผมไม่อยากเห็นสีหน้าของพวกเขาตอนนั้นเลยบอกตรงๆ  ต่อให้เป็นแค่สัตว์อย่างแมว หมา เขาก็มีชีวิตนะ แล้วถ้ายิ่งเขาเลี้ยงผูกพันกันมาเหมือนครอบครัวแล้ว มันไม่ต่างกันมากนักหรอก

ผมพยักหน้าให้ตะวัน อย่างน้อยตอนนี้ข้างๆ ผมก็ยังมีตะวัน ถ้าจะต้องเจอเรื่องหนักกว่านี้ผมก็โอเค ผมขับรถพาคุณป้ามุ่งหน้าไปร้านของหมอมาร์ค อยากจะบอกใจนี่ร้อนล่วงหน้าไปถึงที่ร้านหมอนานแล้ว และก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันนี่เข้มแข็งรอคุณป้าให้ไปถึงก่อน


ใช้เวลาไม่นานจากโรงพยาบาลผมก็มาถึงร้านหมอหมา มาร์ค (เรียกติดกันแล้วมันแปลกๆ แฮะ)

“หมอครับ สวัสดีครับ”

“คุณวิณณ์สวัสดีครับ นี่คุณป้าเจ้าของน้องหมาที่บอกใช่ไหมครับ”   

“ใช่ครับ”

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีคะ หมอเป็นคนช่วยมันนี่ไว้ใช่ไหมคะ ป้าขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆคะ” คุณป้าเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงสั่น

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ่อ....แต่ว่าหมออยากคุยกับคุณป้าก่อนไปเจอมันนี่ก่อนนะครับ”

“คะ?”

“มันนี่อายุมากแล้วใช่ไหครับ”

“ใช่คะ 10 กว่าปีแล้วคะ ป้ากับลุงเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเด็ก อยู่ด้วยกันมาตลอด ไปไหนก็ไปด้วยกัน กินนอนด้วยกันเลยคะหมอ”

“หมอพอจะสังเกตได้ เพราะมันนี่ติดคนมาก และยิ่งเขาต้องหลงกับเจ้าของ เวลาแค่ 2 วันก็ทำให้มันนี่ยิ่งกลัว”

“เหรอคะ หมอไปเจอมันนี่ยังไงคะ แล้วเขาเป็นอะไรมากไหมคะ เข้าปลอด...ปลอดภัย  ใช่..ไหม..คะ” คุณป้าถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก เป็นผมก็คงไม่ต่างกัน 

“คุณป้ามาทางนี้กับหมอหน่อยนะครับ” หมอประคองป้าไปทางห้องที่ผมไปหามันนี่เมื่อวานนี้

“มันนี่  มันนี่”  ป้ามองเข้าไปและเห็นมันนี่ที่นอนหลับอยู่บนเตียงโดยมีแฟนหมอนั่งอยู่เป็นเพื่อนเพื่อน “หมอคะ มัน...มันนี่....มันนี่ เป็นอะไรเหรอคะ”

“แค่นอนหลับเท่านั้นครับ อย่ากังวลเลยครับ”  ฟู่ ผมกับตะวันลอบถอนหายใจพร้อมกัน “แต่ว่าที่หมออยากคุยกับคุณป้าก่อนให้ไปเจอมันนี่เพราะว่าที่หมอจะบอกคือ มันนี่แก่มากแล้วนะครับ ร่างกายก็แก่ตามสภาพ โรคก็มีตามประสาหมาแก่ แต่จากภาวะที่เขาหลงทางหายไป ทำให้ร่างกายอิดโรยยจากการขาดน้ำขาดอาหาร ร่างกายจึงยังไม่ฟื้นเต็มที่”

“........”

“ใจจริงหมออยากให้มันนี่พักฟื้นกับหมอก่อน ถ้าคุณป้าไม่ว่าอะไร แต่อีกใจหมอก็คิดว่าถ้าเขากลับไปบ้านกับคุณป้าเขาอาจจะดีขึ้นได้ แต่.....”

“แต่อะไรคะ”

“แต่ลึกๆ หมอก็กลัว กลัวว่าถ้ามีอะไรฉุกเฉิน มันนี่จะได้รับการรักษาไม่ทันนะครับ”

“หมอ หมายความว่ายังไงคะ  มันนี่   มันนี่ จะ......จะตายเหรอคะ”

“......”

“มันนี่จะตายเหรอคะ หมอ....หมอบอกป้า มันนี่ ฮึก.....ก”

“ป้าครับใจเย็นๆนะครับ ฟังที่หมอพูดก่อนนะครับ”  ผมไปประคองไหล่ป้าพร้อมกับปลอบ

“ป้าครับนั่นคือสิ่งที่แย่สุดที่หมอบอก แต่หมอไม่ได้หมายความว่ามันนี่จะเป็นอะไรตอนนี้ หมออยากให้มันนี่หายนะครับ อยากให้มันนี่กลับไปอยู่กับป้าเพราะเขาเองก็คงรักป้ามากพอกับที่ป้ารักเขา แต่อายุของหมาต่างจากคนเยอะนะครับ 10ปีของหมาก็เท่ากับคนอายุเกือบ 60 แล้วนะครับ ผมอยากให้คุณป้าเข้าใจ”

“เข้าใจในความหมายของหมอก็คือ วัฎจักรของชีวิตไม่ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทไหนก็ต้องเจอเหมือนกัน ถ้าป้าอยากฝากมันนี่ให้หมอช่วยดูแลก่อนหมอยินดีนะครับ แต่ถ้าคุณป้าอยากรับมันนี่กลับเพื่อให้เขาได้กลับไปในที่คุ้นเคยหมอก็ไม่ว่าอะไร หมอจะแนะนำวิธีการดูแล และให้ยากับอาหารบำรุงกับคุณป้าไปด้วยครับ”

“คะหมอ ขอบคุณนะคะหมอ”

“ป้าเข้าไปหามันนี่เถอะครับ” 

“หมอครับ มันนี่ หมอคิดว่ายังไงครับ” ผมปล่อยให้ป้าเข้าไปในห้องใช้เวลามันนี่ ส่วนตัวเองก็เดินตามหมอมาด้านนอก

“ผู้กอง ผมบอกไม่ได้จริงๆ นะครับ ตอนนี้ขึ้นอยู่กำลังใจของมันนี่เอง ร่างกายเขาไม่ได้มีอะไรบอบช้ำหรือมีแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเลย แต่น่าจะเป็นที่จิตใจของเขา หมอเลยคิดว่าการที่มันนี่กลับไปอยู่บ้าน อยู่ในที่ที่คุ้นเคยเขาอาจจะดีขึ้น มีแรงที่จะมีชีวิตขึ้นมา”

“ผมเข้าใจครับ”

“ตอนนี้ก็ต้องอยู่ที่คุณป้าตัดสินใจแล้วละครับ”







“หมอ  พี่หมอ  มันนี่....มันนี่  พี่หมอมาที่ห้องเร็วๆ ครับ”




-- มาต่อแล้วนะคร้าบ ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อยแต่ก็พยายามรีบมาลงให้แล้วน้า (แอบได้คะแนนติดลบด้วย เค้าเสียใจ 55 ล้อล่นจ้า) มีแก้ไขชื่อหมอคลินิคหมาด้วยนะคะ ตั้งชื่อ หมอมาร์ค เขียนหมออาร์มได้ไง  กำลัง งง แฮร่ --
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 21 : พบเพื่อจาก (14/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-06-2018 23:02:52
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 21 : พบเพื่อจาก (14/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-06-2018 02:21:47
มันนี่จะเป็นอะไรมากไหมเนี่ย  :hao5:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 21 : พบเพื่อจาก (14/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 15-06-2018 08:03:30
 :L1: เรื่องคะแนนติดลบ  .. เคยอ่านคำชี้แจงของการกดคะแนน
และ "ถ้า" เข้าใจไม่ผิด ...   
เหมือนว่า ถ้าเคยกด + ให้ครั้งหนึ่งแล้ว และกด "ซ้ำ" อีกครั้ง
มันจะกลายเป็น - นะคะ

แต่จำไม่ได้แล้วว่า คือการกดตรงไหน 555+

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 22 : เพื่อนพ่อ (01/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 01-07-2018 15:43:50
ตอนที่ 22 เพื่อนพ่อ



ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่หมอมาร์คถูกตามตัวไป คุณป้า วิณณ์ต่างก็ตามหมอไปโดยมีผมเดินรั้งท้าย

“ลุง!”

“ลุงมาได้ยังไงครับ เดี๋ยว อย่าบอกนะว่าลุงรู้อยู่แล้วว่ามันนี่อยู่ที่นี่ โธ่ลุง ถ้าลุงรู้ทำไมไม่บอกพวกผมแต่แรกละครับ ปล่อยให้พวกผมตามหาจนเกือบออกทะเลแล้วเนี่ย”

“.....”

“แต่ลุงสบายใจได้ ฝีมือระดับพวกผมแล้ว นี่วันนี้ป้าแกก็มารับมันนี่กลับบ้านด้วยนะครับ”

“.....”

“เออ ว่าแต่ลุงมาทำไมเหรอ อ้อ...หรือว่าจะมาดูเพื่อความสบายใจก่อนจะไปใช่ม้า ไม่ต้องห่วงแล้วละครับ ลุงไปอย่างสบายใจได้เลย”

“.....”

“ลุง?.....เป็นอะไรเหรอครับ ทำไมเงียบ ไม่พูดไม่จาเลยละครับ”

“ลุงขอบคุณพวกคุณมากนะที่ช่วยให้คำขอของลุงเป็นจริงๆ”

^__^

“แต่ลุงขออีกอย่างได้ไหม...”

“อะไรเหรอครับ?”

“ช่วยดูป้าแกให้ลุงหน่อยนะ”

“ดู? ดูทำไม? มีอะไรเหรอครับ?”




“ป้า ป้าครับ ใจเย็นๆนะครับ”

“คุณป้าใจเย็นๆ แล้วฟังหมอก่อนนะครับ” ก่อนที่ลุงจะตอบคำถามผม ผมก็ได้ยินเสียงหมอ เสียงวิณณ์ที่คุยกับคุณป้า

“มันนี่อายุเยอะแล้ว ถึงจะไม่มากเมื่อเทียบกับอายุสุนัขที่จะมีได้ แต่ถ้าเป็นคนก็เป็นคนแก่ที่อายุ 60 แล้วนะครับ ร่างกายเขาเหนื่อยและล้ามาก ที่เขาอดทนมาได้ถึงขนาดนี้ถือว่ากำลังใจดีและเก่งมากนะครับ สิ่งที่หมออยากจะบอกคือ คุณป้าต้องตัดสินใจดีๆ นะครับว่าเราจะยื้อเขาให้อยู่ต่อหรือปล่อยให้เขาไป”

หืม...ยื้อ? ปล่อย? ผมมองไปที่มันนี่ที่อยู่ในห้อง จากที่เมื่อวานมันนี่ยังดูปกติ แต่ตอนนี้กลับต้องใส่ที่ครอบและมีสายต่อจากถังออกซิเย่นเข้าไป

“ลุง ลุงรู้?” ลุงพยักหน้าให้เขาเบาๆ

“ทำไม?”


“จริงๆ ลุงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันนี่มันไม่ไหวแล้ว แต่มันอดทน มันสู้ เพราะมันไม่อยากให้ป้าแกมาเจอและรู้ว่า ผัวก็ตายจากทั้งที่ไม่ได้ลา หมาที่เลี้ยงมารักเหมือนลูกก็ยังจะทิ้งไปอีก มันจึงอดทน อดทนรอ เพื่อบอกลาป้าแก…

…สิ่งที่ลุงทำได้คือ ลุงต้องหาทางทำยังไงก็ได้ให้มีคนพาป้าแกมาเจอมันนี่ จนลุงได้รู้ว่าลุงต้องหาวิญญาณที่มีหน้าที่ช่วยและรับคำขอร้องจากวิญญาณด้วยกัน ซึ่งก็คือคุณ”



ผมมองไปที่ลุง มองไปที่ป้า มองไปที่มันนี่ ความรู้สึกมันแน่น จุก จนพูดไม่ออก

ลุง วิญญาณที่ยังห่วงคนเป็นแม้จะจากไปแล้ว

มันนี่ ถึงจะเป็นแค่หมาแต่ก็มีหัวใจ ลุงกับป้าเลี้ยงและรักดั่งคนในครอบครัว สิ่งที่มันนี่จะตอบแทนได้จึงมีเพียงความซื่อสัตย์

ป้า ภรรยาที่ต้องเสียสามีทั้งที่ยังไม่ได้ลา พอจะเจอหมาที่แกเลี้ยงและรักเหมือนลูกกลับต้องมาร่ำรากันแล้วก็จากไปอีก ครอบครัวที่มีกันแค่นี้สุดท้ายกลับเหลือเพียงแกคนเดียว


“หมอคะ ขอป้าเข้าไปหามันนี่นะคะ”

“ครับ”


ป้านั่งลงข้างเตียงมันนี่ ค่อยๆลูบตัวไล่ไปถึงหลัง มืออีกข้างจับขาหน้าไว้พร้อมกับบีบเบาๆ มันนี่เหมือนพยายามจะลืมตาแต่ก็ลืมได้ไม่เต็มที่นัก แต่ปฏิกิริยาอัตโนมัตของหมาทั่วไปคือ มันกระดิกหาง

มันอาจจะรู้ ใช่...มันต้องรู้ซิ หมามันมีสัมผัสไวอยู่แล้ว กลิ่นของเจ้าของ สัมผัสของเจ้าของ และน้ำเสียงของเจ้าของ


“มันนี่ แม่มารับนะลูก ถ้าหนูเหนื่อยหนูนอนเถอะนะ แม่ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วงแม่นะ ฝากหนูดูแลพ่อด้วยนะ พ่อนะชอบดื้อ หนูก็รู้ใช่ไหมลูก......”


คำพูดถูกกลืนหายไปกับเสียงสะอื้น


“ฮึก..ก แม่รักหนูนะลูก ฮึกก แต่แม่อยู่ได้ หนูไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะ เหนื่อยก็นอนนะลูก แม่....ฮึกก แม่…..ขอบ…..ขอบใจ หนูนะ ที่รอ…...ฮึกก แม่”


“นอนนะลูกนะ แม่อยู่ข้างๆ หนูตรงนี้แล้ว”  นั่นคือสิ่งที่ป้าเลือกทำ ปล่อยให้เขาไปในทางของเขา ไม่รั้งไว้เพื่อตัวเอง


ดวงตาของมันนี่ที่ผมเห็นเหมือนเขากำลังยิ้ม ยิ้มเพื่อให้แม่เข้มแข็ง ยิ้มเพื่อบอกแม่ว่าเขารักแม่นะ และยิ้มเพื่อบอกแม่ว่าไม่ต้องห่วงนะเขาจะดูแลพ่อเอง หลังจากนั้นดวงตาคู่นั้นก็ค่อยๆ หลับลง...หลับลง หางที่กระดิกกวัดเก่งตอบรับกับทุกการกระทำของป้า ก็ค่อยๆ เบาลง....เบาลง

และ....
.
.
.
นิ่งสนิทในที่สุด
.
.
.
มันนี่ไปแล้ว ไปในที่ที่เขาเลือกแล้ว
.
.
.
อยู่ข้างๆ พ่อที่เขารัก



“ไม่นานเราคงได้เจอกันและอยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง” คำพูดสุดท้ายของป้า ก่อนจะก้มลงจูบที่หัวของมันนี่



“ขอบใจคุณทั้งสองคนนะที่ช่วยทำตามคำขอของลุง”



ลุงยิ้มให้ผมก่อนจะเดินจากไป ชายสูงวัยที่มีสุนัขสีขาวเดินเคียงข้างไปพร้อมกัน




ผมกับวิณณ์อยู่เป็นเพื่อนคุณป้าจนจัดการเรื่องของมันนี่ที่คลินิกหมอมาร์คจนเสร็จ และอาสาขับรถไปส่งคุณป้าที่บ้านป้าบอกกับพวกเราว่าจะเผามันนี่ที่วัดเดียวกับที่จะจัดงานศพให้ลุง เผาเสร็จก็จะเอากระดูกไปลอยน้ำด้วยกัน ผมก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าวัดก็มีการทำศพและเผาสุนัขด้วย แต่ไม่ได้ถึงขนาดทำแบบคนซะทีเดียว แค่ทำบังสกุล มีพระสวดและก็เผาตามพิธีเท่านั้น วิณณ์จึงขออนุญาตป้าว่าจะขอมางานวันเผาด้วย ซึ่งป้าแกก็ยินดี

บนรถคุณป้าใจดีเล่าเรื่องให้ฟังว่าลุงกับป้ารักกันมานานมีกันอยู่แค่สองคนตั้งแต่หนุ่มๆสาวๆจนแก่ก็อยู่กันมาแบบนี้ ส่วนมันนี่เขาถูกซื้อมาโดยคนข้างบ้านเป็นของขวัญวันเกิดที่แฟนหนุ่มซื้อให้  แต่เพราะเวลาของเจ้าของหมดไปกับการทำงานมากกว่าอยู่บ้าน ระหว่างนั้นก็ได้ลุงกับป้านี่ละที่คอยช่วยดูแลให้

แล้ววันหนึ่งเจ้าของเก่าเขาก็เดินมาหาลุงกับป้าที่บ้าน โดยอุ้มมันนี่มาด้วยพร้อมกับบอกว่าเธออยากจะยกมันนี่ให้ลุงกับป้าเพราะเธอไม่มีเวลา เธอสงสารมันนี่ที่ต้องรออยู่บ้านแบบเหงาและเศร้า ถ้าจะต้องยกให้คนอื่น เธออยากให้คนนั้นเป็นลุงกับป้า ซึ่งลุงกับป้าก็ตอบรับทันทีเพราะดูแลเขามายิ่งนานวันความรักความผูกพันก็เพิ่มมากขึ้น


“เฮ้อออออ เขาคงอดทนมากเลยนะ อดทนรอให้ป้ามาหาเขา มาเพื่อบอกลากัน”

“ป้าครับ แล้วนี่ป้าต้องกลับไปอยู่ที่บ้านคนเดียวแบบนี้จะไม่เหงาแน่เหรอครับ”

“มันก็คงต้องมีบ้างแหละ บ้านหลังนั้นมันมีความทรงจำมากมาย มากเสียจนป้าเสียดายที่จะปล่อยทิ้งไว้ให้มันหายไปตามเวลา”

“ครับ...”  ผมเองก็คิดเหมือนกับป้า บางคนอาจคิดว่ามันแย่ที่เราจะเอาแต่จมกับอดีตจนต้องทิ้งมันไว้ข้างหลัง แต่มันไม่แย่เสมอไปหรอก มันอยู่ที่ว่าเราจะให้อดีตที่ผ่านมาบั่นทอนชีวิตเราลงหรือเอามันมาหล่อเลี้ยงตัวเองให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง เป็นเหมือนกำลังใจยามที่ท้อ หรือเป็นเหมือนบทเรียนที่เราจะนำมาแก้ไขข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


มันก็เหมือนโจทย์ที่เราเคยทำมาแล้ว อยู่ที่ครั้งต่อไปเราจะเลือกคำตอบอะไรให้กับโจทย์นั้น


ไม่นานรถก็มาถึงหน้าบ้านของป้า บ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้

“คุณจะเข้าบ้านมาก่อนไหมคะ”

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ”

“เอาอย่างนั้นเหรอคะ งั้นป้าขอบคุณคุณมากนะคะ ที่ช่วยเป็นธุระเรื่องต่างๆให้”

“ไม่เป็นไรครับป้า ถ้าป้ามีอะไรให้ผมช่วย บอกผมนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

“คะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ป้าไปละคะ”

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ้ะ”







“เฮ้ออออออออ”

“เป็นอะไรอีก ถอนหายใจยาวขนาดนั้น”

“สงสารป้าอะ สงสารลุงด้วย สงสารมันนี่ด้วย สงสารทุกคนเลย วิณณ์ไม่สงสารเหรอ”

“สงสารซิ แต่มันเป็นวัฏจักรของชีวิต คนเรามีเกิดแก่เจ็บตาย แต่ก็ไม่แน่หรอกนะตอนนี้วิณณ์พูดได้ก็เพราะเป็นเรื่องที่ห่างตัววิณณ์ ถ้าถึงวันที่วิณณ์ต้องเสียใครซักคนไปวิณณ์อาจจะทนไม่ได้ก็ได้นะ”

“อืม”

วิณณ์ขับรถกลับมาคอนโดเลยกว่าจะเสร็จเรื่องก็เย็นแล้ว และทันทีที่รถเข้ามาจอดผมก็มองเห็นจ่าเติมลงมาจากรถมอเตอร์ไซต์ที่จอดรอไว้

“ผู้กอง”

“จ่า มาหาผมเหรอครับ”

“ใช่ซิครับ”

“มีอะไรด่วนหรือเปล่า”

“ความจริงมันก็รอพรุ่งนี้ได้หรอกครับผู้กอง แต่ผมใจร้อนเองเลยรีบมาหาผู้กอง” วิณณ์กับจ่าเติมเดินคุยกันไปจนถึงห้อง

“เรื่องอะไรที่ทำให้จ่าใจร้อนได้ขนาดนี้”

“ก็เรื่องไอ้โจ๊กแหละครับ”

“โจ๊ก?ลูกน้องไอ้เอ็มนะเหรอ”

“ถูกต้องเลยครับ ไอ้โจ๊กถูกจับเมื่อคืนนี้ข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกาย”

“พยายามฆ่า?ทำร้ายร่างกาย? ใคร?”

“พ่อไอ้โจ๊ก”

“หืม เดี๋ยวก่อนนะจ่า อย่าบอกนะไอ้โจ๊กทำร้ายพ่อตัวเอง”

“ก็ใช่นะซิครับผู้กอง เรื่องของเรื่องคือพ่อไอ้โจ๊กมันเสียพนันหมดตัวช้ำใจก็เลยไปกินเหล้า กลับบ้านมาพอแม่ไอ้โจ๊กเห็นสภาพก็เลยเกิดมีปากเสียงกัน พอแม่มันจะโทรไปฟ้องไอ้โจ๊กเท่านั้นแหละครับ ผัวก็ประเคนทั้งมือทั้งเท้าใส่ไม่ยั้งเลย เพราะมันกลัวถ้าไอ้โจ๊กมาไอ้เอ็มก็ต้องมาด้วย มันกลัวว่าครั้งนี้จะไม่ได้แค่หยอดน้ำข้าวต้ม กลัวว่าต้องไปนอนรอกินข้าวเวลาคนมาเคาะเรียกข้างโลงแทนนะครับ”

“...........แต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”

“ใช่ครับ แม่ไอ้โจ๊กต้องนอน รพ. พอมันรู้เท่านั้นแหละครับ ไอ้โจ๊กกลับมาอัดพ่อมันจนเละถ้าคนแถวนั้นไม่ห้ามมันคงได้ฆ่าพ่อแท้ๆ ตายคามือแน่ๆ”

“....”

“เพราะอย่างนี้พ่อมันก็เลยแจ้งความจับลูกตัวเอง แถมไม่ยอมถอนแจ้งความด้วยนะครับ”

“ก็คงจะโกรธน่าดู”

“เรื่องด่วนมีแค่นี้?” ผมถามเป็นเชิงเปิดประเด็นเพราะคิดอยู่แล้วละว่าจ่าเติมคงไม่ได้มาหาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

“แหม ผู้กองถามเหมือนจะรู้ว่าเรื่องไม่หมดแค่นี้”

“หึหึ”

“เรื่องคดีคุณแอนที่ให้สายเราไปสืบนะครับ ท่าทางมันจะใหญ่กว่าที่เราคิด”

“…...???”

“สายเราแจ้งว่าเสี่ยที่คุณแอนเธอไปยุ่งเกี่ยวด้วยชื่อ เสี่ยชัย เป็นหนึ่งในผู้ค้ายารายย่อยของแก็งค์ที่เราตามอยู่ แต่เพราะความโลภมันดันเอายาจากที่อื่นที่ต้นทุนต่ำกว่ามาขายในที่ของนายใหญ่พวกไอ้เอ็มก็เลยถูกสั่งเก็บ”

“แล้วเสี่ยคนนั้นละ”

“ยังไม่รู้เลยครับผู้กอง ที่แน่ๆ เสี่ยชัยก็น่าจะโดนด้วย แค่เรายังไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเท่านั้นเอง”

“อยากรู้จริงๆ นายใหญ่มันคือใครกันแน่”

“ขนาดสายเราที่ปนอยู่กับพวกมันมานานยังไม่รู้เลยครับผู้กอง” จ่าเติมนอนเอกขเนกบนโซฟาพูดอย่างสบายใจ จะชิลไปไหนละเนี่ย “แต่คงต้องใหญ่น่าดูเพราะเห็นว่ารู้จักเส้นสายเยอะนะครับ ที่สำคัญมีแบล็คดีด้วย”

“แบล็ค?”

“พวกมันลือกันว่ามีตำรวจใหญ่หนุนหลังอยู่ เลยรอดมาทุกวันนี้”



บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ พูดคุยเรื่องงาน เรื่องคดี หาข้อมูลแรงจูงใจไปเรื่อย บางทีจ่าเติมก็นินทาเผาเมีย บางทีก็เล่าความซนซ่าของลูกชายให้ผู้กองฟังบ้างจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ชั่วโมงที่สอง จ่าเติมจึงขอตัวกลับก่อนเมื่อเห็นว่าเวลาเหมาะสมแก่การกลับซะที


“ผมกลับก่อนดีกว่าครับผู้กอง ขืนดึกกว่านี้เมียบังเกิดเกล้าจะตัดเงินค่าข้าวผมไปอีก รู้ไหมครับเดือนนี้มันให้ผมมาทำงานวันละ 60บาท วันไหนต้องเติมน้ำมันต้องไปขอมันเพิ่มเท่านั้น แถมยังต้องเอาบิลกลับมาให้มันดูอีก”

“ฮาๆๆ เอาน่าจ่า พี่ดาวเขาก็ห่วงจ่านะแหละ”

“ครับๆ ห่วง ห่วงมากกกก นี่ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามีเมียหรือแม่กันแน่ ผมไปละครับผู้กอง

“กลับดีๆ ละจ่า”

“รับทราบครับผม”

วิณณ์เดินไปส่งจ่าเติมที่หน้าประตูห้อง วิณณ์กำลังจะปิดประตู จ่าที่ยังไม่ทันพ้นประตูดีก็หันกลับมาซะก่อน

“เดี๋ยวครับผู้กอง”

“หืม”

“แหะๆ ลืมครับ ถ้าผมลืมอันนี้ไปจริงๆ พรุ่งนี้ผมตายแน่”

“ลืมอะไร?”

“ผมลืมบอกผู้กองว่า พรุ่งนี้ ผู้กำกับเรียกพบนะครับ 9โมงเช้านะผู้กอง”

“เรียกเรื่องอะไรจ่ารู้ไหม”

“ผมก็ไม่รู้นะผู้กอง....” 


Rrrrrrrr  “โอ้ว นังเมียโทรตามแล้วครับ ผมไปก่อนนะผู้กอง พรุ่งนี้เจอกันที่ สน. แล้วอย่าลืมนัดของผู้กำกับนะครับ”


แล้วจ่าเติมก็วิ่งไปด้วยความไวแสง





วิณณ์มาถึง สน. ตั้งแต่ 8โมงครึ่งเพราะผู้กำกับเรียกให้มาพบแต่เช้าโดยที่ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องด่วนอะไร จะว่าช่วงนี้ผมไปทำอะไรทับเส้นใครเขาก็ไม่น่าใช่ เพราะวันๆ ก็เอาแต่ตามคดีของตะวัน คดีที่ตัวเองรับผิดชอบก็ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง แต่ที่ยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่ก็เพราะหลักฐานยังมีไม่เพียงพอ

ผมยังไม่สามารถสาวถึงตัวการใหญ่เจ้าพ่อค้ายาได้ พอจะได้ตัวพวกหางแถวมา ยังไม่ทันได้ข้อมูลก็เป็นอันต้องถูกตัดตอนไปทุกที แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่าโชคจะเข้าข้างผม เพราะคดีคุณแอนที่เกิดขึ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่ผมตามอยู่ ผมแค่ต้องหาหลักฐานเชื่อมโยงให้ได้เท่านั้น


ก๊อก ก๊อก

“เชิญ”

“ขออนุญาติครับ  …....เอ่อ ท่านมีแขก ไว้ผมมาใหม่”

“ไม่เป็นไรผู้กอง ที่ผมตั้งใจให้คุณมาพบเช้านี้ก็เพราะจะแนะนำแขกคนนี้ให้รู้จัก”

“ครับ”

“เข้ามาก่อนซิ” เมื่อผู้ใหญ่เขื้อเชิญวิณณ์หรือจะกล้าขัด ผู้ชายใส่สูทหรูราคาแพง พร้อมบอดี้การ์ดอีกสองคน ท่าทางจะไม่ธรรมดา

“ผู้กองนี่คือคุณยงยุทธ แต่เพื่อความสนิทสนมเรียกว่าอายงยุทธจะดีกว่า”

“อายงยุทธ?”

“ใช่ เรียกอานะถูกแล้ว” ผมหันไปทางผู้ชายคนนั้นที่แทนตัวเองว่าอาแล้วพูดกับผม

“เอ้า อย่ามัวแต่ทำหน้า งง มานั่งก่อน มาคุยกันก่อนเถอะวิณณ์ตามประสาอาหลาน”


ผมเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวที่เหลือว่างอีกตัว ทั้งชีวิตผมรู้จักเพื่อนสนิทพ่อแค่คนเดียวคืออาพงษ์ ที่เป็นทั้งผู้บังคับบัญชา และเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนพ่อโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้อีกคนหนึ่ง ผมก็งงนะซิครับ


“ผมเพิ่งจะรู้ว่านอกจากอาพงษ์ พ่อยังมีเพื่อนคนอื่นอีก”

“หึหึ วิณณ์ งง ก็ไม่แปลกหรอก อายุทธนะเขาเป็นนักธุรกิจงานการเยอะยุ่งตลอด ขนาดอากับพ่อเราตอนยังมีชีวิตอยู่กว่าจะได้เจอยังยากเลย เดี๋ยวก็บินไปประเทศนั้น ประเทศนี้ อย่างนี้แหละมันถึงได้รวยเอาๆ”

“โอ้ย พงษ์นายก็พูดเกินไป รวยเอาๆ อะไร กำไรบ้างขาดทุนบ้างตามสภาวะเศรษฐกิจ พอมีพอกินนะอย่าไปเชื่ออาพงษ์มันมาก มันพูดโอเว่อร์”

“แต่ดูจากเสื้อผ้าของใช้ของอาแล้วผมว่าอาพงษ์น่าจะพูดถูกนะครับ”

“ฮาๆ ไอ้หลานคนนี้มันพูดถูกใจ”

“ว่าแต่อาเป็นเพื่อนสมัยเรียนของพ่อเหรอครับ”

“ใช่ พวกเราสามคน อา อาพงษ์และพ่อเรานะเป็นเพื่อนเรียนกันมา เรียกว่ารักกันซี้ปึกเลยละ แต่อาไม่ชอบเรียนตำรวจ อาก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอก ก็เลยต้องแยกจากพวกมันสองคนนี่ละ ใช้ชีวิต เรียน ทำงานอยู่โน่นก็หลายปีอยู่ เพื่อนก็ขาดการติดต่อกันไป แต่พอวันหนึ่งอาเริ่มเบื่อชีวิตที่ อาเลยตัดสินใจกลับมาที่นี่สร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา”

“นี่ไงอาถึงได้บอกว่ามันบ้าทำธุรกิจ ขนาดกลับมาอยู่ไทยแล้วนะเจอกันนี่นับครั้งได้เลย งานศพพ่อเรานะมันยังติดงานที่ต่างประเทศกลับมาไม่ได้เลย”

“พงศ์ นายจะพูดให้เรารู้สึกผิดทำไมอีกละเนี่ย อาต้องขอโทษวิณณ์นะที่ไม่ได้มางานศพพ่อเรา”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แต่อากับวิณณ์เราเคยเจอกันนะ แต่ตอนนั้นเรายังเด็กคงจำไม่ได้หรอก”

“ผมต้องขอโทษอา ผมจำไม่ได้จริงๆครับ”

“ไม่เป็นไรๆ ตอนนี้ก็เจอกันแล้ว รู้จักกันแล้ว ถ้าอนาคตอาติดปัญหาไว้จะมาขอความช่วยเหลือจากเราบ้างนะผู้กอง”

“ก็ถ้าเรื่องที่ให้ช่วยมันไม่ได้ผิดหรือลำบากอะไร ผมยินดีช่วยครับ”

“ฮาๆๆ เออมันเหมือนพ่อมันจริงๆเว้ย ท่าทางจะเลือดพ่อแรง”

“อย่าได้แหยมกับมันเลยละไอ้ยุทธ ไอ้หลานชายคนนี้เลือดพ่อมันแรงจริง”


ผมอยู่คุยด้วยอีกสักพักก่อนจะขอตัวออกมาเพื่อทำงานต่อ อีกอย่างก็เพราะผมจำไม่ได้หรือเรียกว่าไม่มีความทรงจำของเพื่อนพ่อคนนี้เลย



นายยงยุทธ อัศวเมฆา เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และมีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศตอนนี้






///////////
-ปริศนาเอ๋ยจงซับซ้อนขึ้นอีก   นั่นคือความคิดของคนเขียน แต่จะทำได้ไหมเราจะพยายามไปด้วยกัน >///<

555 สงสัยจะอ่านคินดะอิจิมากไปหน่อย
/////////

ปล.1 ที่ล่าช้าเค้าไม่ได้ลืมน้า แต่เพราะมีมิชชั่นแต่งนิยายประกวดอยู่ ช่วยอวยพรให้เข้ารอบกับเค้าด้วยนะจ้ะ สาธุ.....
ปล.2 ถ้าสนใจอยากลองอ่านแอบกระซิบให้เค้าชื่นใจหน่อยนะ หรือ ไปที่นี่เลยย http://www.tunwalai.com/story/239533



ขอบพระคุณคร้าาาา
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 22 : เพื่อนพ่อ (01/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-07-2018 17:58:13
อาคนนี้เป็นคนดีไหมหนอ  :hao4:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 22 : เพื่อนพ่อ (01/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-07-2018 21:12:54
อยู่ ๆ ก็มีเพื่อนพ่อมาปรากฏตัว น่าสนใจ ๆ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 23 : วางแผน (03/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 03-07-2018 21:06:54
ตอนที่ 23 วางแผน



“โว้ยย เอาไงดีวะพี่ ไอ้โจ๊กแม่งบ้า ใจร้อน ผมบอกมันแล้วนะพี่ว่าอย่าๆ”

เอ็มกับซีนเริ่มอยู่ไม่สุข เพราะหนึ่งในแก็งค์คือโจ๊กถูกตำรวจจับและตอนนี้ก็เข้าไปนอนในคุกเรียบร้อย คดีที่ก่อไว้ก็ยังค้างคาอยู่ ดันมาถูกจับเพราะคดีอื่นซะก่อน ทำให้พะวงว่าคดีจะถูกโยงมาถึงกันได้ ถึงแม้ตำรวจจะยังสาวมาไม่ถึงตัวตอนนี้ก็ตามเถอะ

“ให้เป็นแม่มึงบ้างคงอยู่เฉยได้หรอกนะ ตอนนี้คิดก่อนดีกว่าว่าจะช่วยมันยังไง”

“ช่วยไงละวะพี่ นายก็โกรธพวกเราอยู่ ไม่รู้ตำรวจแม่งจะเล่นแง่อะไรกับไอ้โจ๊กมันไหม ถ้าเกิดตำรวจมันเค้นสอบ แล้วไอ้โจ๊กเกิดหลุดมาเราจะทำไงวะพี่”

“...กูเชื่อว่ามันไม่หักหลังกูแน่”

“โธ่เว้ยยย เพราะอิผู้หญิงนั่นคนเดียวเลยถ้าไม่เสือกชอบทำตัวเป็นคุณนายเดินเซลฟี่แม่งรอบบ้านไอ้เสี่ยชัย มันก็คงไม่มีรูปพวกเรากับของหรอก”

“....”

“แล้วดูดิพวกเราต้องมานั่งตามล้างตามเช็ดเรื่องของมัน มีคดีติดตัวทั้งค้ายา ฆ่าคนตาย แถมยังซวยเพราะหาไอ้เมมบ้านั่นให้นายไม่ได้อีก ตายแล้ว แม่งยังทิ้งปัญหาไว้อีก”

“มึงบ่นไปแล้วได้อะไร คิดเรื่องช่วยไอ้โจ๊ก แล้วก็จัดการงานที่นายสั่งให้จบดีกว่าไหม ก่อนที่นายจะส่งมึงกับกูไปเป็นเพื่อนไอ้สองคนนั่น”

เอ็มรู้แค่ว่าตอนนี้เขาต้องสู้แบบหัวชนฝา ทำไม่ตาย ไม่ทำก็ตาย แต่ที่เขายอมทำเพราะบางทีมันอาจจะช่วยเป็นเครื่องต่อรองให้เขารอดก็ได้ เอ็มเชื่อว่าตำรวจน่าจะได้เมมนั่นไปแล้ว งั้นที่ต่อไปที่เขาจะต้องไปก็คือ โรงพัก
 
แต่เขาจะทำยังไงที่จะเข้าไปโดยไม่ให้ถูกสงสัย จะให้เดินดุ่มๆ เข้าไปถามหาก็ไม่มีทาง การเข้าไปมันก็เหมือนเอาขาข้างหนึ่งแหย่เข้าไปในกรงขังด้วยตัวเอง



 “พี่ พี่ พี่เอ็ม ผมพามันมาแล้วพี่”

“.......” เอ็มหันไปมองคนที่ลูกน้องเขาพามาด้วย

“ไอ้นี่แหละพี่ มันเป็นคนคอยส่งข้าวที่โรงพักทุกวัน มันรู้ทุกซอกทุกมุม โต๊ะไหนของใคร ตรงไหน”

“เออ พอ กูถามมันเองได้.....เฮ้ย มึงอะ มึงรู้หมดอย่างที่ไอ้ซีนมันพูดจริงไหม”

“ครับพี่ ผมส่งข้าวที่โรงพักทุกวัน ผมต้องรู้ว่าโต๊ะไหนของใครเพราะต้องเอาข้าวไปให้เขาอยู่แล้ว”

“เออดี”

“ว่าแต่พี่จะให้ผมทำอะไรเหรอพี่”

“ช่วยกูป่วนโรงพักนิดหน่อย”

“เฮ้ยพี่ ถ้ามันเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง ผมไม่เอานะพี่ ได้เงินมามันก็ไม่คุ้ม”

“แล้วมึงคิดว่ามึงจะปฏิเสธกูได้ไหมละ?”

คนถูกถามได้แต่มองหน้า ที่ไม่ตอบก็เพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว ถ้าขืนเขาปฏิเสธไปเขาไม่รู้ว่าสภาพกลับออกไปจะเป็นยังไง ที่ทำได้ก็แค่พยักหน้า

“เออดี มันไม่ได้ยากอะไรหรอก มึงแค่ไปทำยังไงก็ได้ให้พวกกูเข้าไปในโรงพักช่วงที่ไม่มีตำรวจ”

“หา......จะทำยังไงละวะพี่”

“มันหน้าที่มึงคิด ไม่ใช่กู”
.

.

.

.
“เร็วไอ้ซีน รีบจัดการให้เสร็จก่อนที่พ่อมึงจะแห่มา” เอ็มกับซีนอยู่ในชุดช่างซ่อม

นกต่อที่ไอ้ซีนหามาก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เวลาแค่วันเดียวหลังจากที่เอ็มให้มันไปจัดการ มันก็ส่งข่าวมาบอกว่าพรุ่งนี้ให้พวกเอ็มกับซีนเตรียมตัว ทำยังไงก็ได้ให้เหมือนช่างซ่อมท่อน้ำ มันจะทำให้ห้องน้ำบนชั้นสองของโรงพักตันจนน้ำล้นออกมา และต้องปิดห้องน้ำชั้นหนึ่งด้วยเพราะต้องดูว่ามีท่อตรงจุดอื่นมีปัญหาไหม

ถือว่าเด็กวิ่งงานคนนี้มันฉลาด เลวพอตัวเหมือนกัน

ถึงมันจะดูน่าสงสัย ที่อยู่ดีๆ ก็มีช่างซ่อมมาไวและมาเช้าซะเหลือเกิน แต่เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า มีคนมาแก้ไขให้แล้วมันก็มีเหตุผลพอที่จะปล่อยผ่านไม่สนใจได้

เอ็มหยุดชะงักพร้อมกับดึงลูกน้องให้กลับเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงคนพูดอยู่ด้านนอก



“อ้าว.....ห้องน้ำเป็นไรวะเนี่ย........ดาบ  นายดาบ”

“ครับ จ่าเติม”

“ห้องน้ำฝั่งห้องผู้กองวิณณ์เป็นอะไร”

“เห็นช่างมาซ่อมแต่เช้าแล้วครับ เหมือนท่อจะตันอะไรซักอย่าง”

“เออมาแต่เช้าเลยเหรอวะ ใครตามมาละ”

“ผมไม่แน่ใจนะจ่า อาจจะเป็นนายสิบที่ออกเวรไปแล้วมั้งครับ”

“เออๆ หึ่ยยย ไม่ไหวแล้วเว้ย ไปเข้าห้องข้างล่างก็ได้วะ”

“ห้องข้างล่างก็เสียครับจ่า”

“หะ!!! มันมาเสียอะไรตอนนี้พร้อมกันวะ”

“เออ เดี๋ยวไปเข้าห้องด้านหลังก่อนก็ได้”

“มันจะเสียอะไรตอนนี้พร้อมกันวะ” จ่าเติมยังไม่วายหันมาบ่นเมื่อเห็นป้ายห้ามเข้าที่ห้องน้ำชั้น1 ส่วนขาก็รีบจั้มเพราะถ้าช้าไปมันจะไม่ทันการ เหตุน่าจะมาจากต้มยำเมื่อคืนที่เมียรักไปซื้อจากตลาดมาให้ทำให้ท้องเขาต้องมาปั่นป่วนแต่เช้า



“แม่งจะมาอะไรแต่เช้าวะ เสือกไม่ขี้ที่บ้านให้เรียบร้อยก่อนวะ แม่งง”

“มึงรีบไปดูต้นทาง”

ซีนรีบทำตามจัดการดูต้นทางตามแผนที่วางไว้ เขาแกล้งทำน้ำล้นออกมาด้านนอก และเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดไว้เพื่อคอยดูต้นทาง ส่วนเอ็มเข้าไปหาของซึ่งเขารู้ดีว่าจะต้องไปหาที่ไหน ‘ห้องผู้กองวิณณ์’

เอ็มค้นทุกตารางนิ้วภายในห้อง โต๊ะทำงาน ลิ้นชัก ตู้เอกสาร แต่ก็ไม่พบ


ปึงงงงงง
 
“แม่งเก็บไว้ไหนวะ” เอ็มทุบโต๊ะด้วยอารมณ์ขุ่นมัว


“เป็นไรพี่?”

“ไม่มีไร มึงไปดูต้นทางต่อไป” เมื่อลูกพี่บอกอย่างนั้นซีนก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ แต่เมื่อหันกลับมาซีนก็ต้องเจอกับแขกไม่ได้รับเชิญ


“เฮ้ยไอ้น้องใกล้เสร็จหรือยัง อ้าว...ทำไมน้ำมันล้นออกมาเลอะไปหมดเลยวะ”

“เมื่อกี้ท่อมันล้นน้ำเลยพุ่งออกมานะพี่ แต่ว่าใกล้เสร็จแล้วละไม่ต้องห่วงครับพี่”

“เออรีบหน่อยก็ดีนะ นายพี่จะมาแล้วเดี๋ยวพี่ซวยไปด้วย”

“ครับ ครับ”



ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าเดินออกไป



“พี่เอ็มไปแล้วพี่ จัดการต่อได้เลย” เมื่อลูกน้องบอกเอ็มก็ไม่รอช้า ตอนนี้เขาต้องแข่งกับเวลาที่กระชั้นเข้ามา ต้องรีบหาก่อนที่จะโดนจับได้ เอ็มใช้เวลาอีกกว่า 20นาทีสุดท้ายก็ต้องถอดใจเพราะหายังไงก็ไม่เจอ เอ็มกับซีนจัดการเคลียร์หลักฐานที่ได้สร้างไว้ ก่อนจะกลับออกมา

“หรือมันจะไม่มีไอ้เมมบ้านั่นวะพี่”

“มึงกับกูก็เห็นด้วยกันว่าอิผู้หญิงนั่นมันเอาไปโชว์ให้เพื่อนมันดู”

“หรือจะอยู่กับเพื่อนมัน”

“มึงบอกกูเองนะไอ้ซีน ว่าอิผู้หญิงนั่นมันเก็บเมมใส่กระเป๋าไปด้วย ก่อนที่พวกเราจะตามไปปิดปากมัน แล้วมันจะเอาเวลาไหนเอาไปให้เพื่อน”

“เออ จริงด้วยวะพี่”

“บางทีกูก็สงสัยนะ ว่ามึงแกล้งหรือเป็นจริง”

“เป็นอะไรพี่?”

“เป็นควาย!! ไงไอ้สัส”

“โห พี่ ด่าผมไมวะ”

เอ็มไม่ได้สนใจกับคำพูดที่ลูกน้องพูดออกมา เพราะถึงต่อให้โดนด่ายังไง มันก็ไม่สำนึก ด่าไปไม่ถึง5นาทีมันก็กลับมาพูดได้ต่อเหมือนเดิม

“ห้องอิผู้หญิงนั่นก็ไม่มี โรงพัก ห้องทำงานไอ้ผู้กองก็ไม่มี แล้วมันจะไปอยู่ไหนวะพี่”

ผมอาจจะพูดผิด ไม่ใช่ 5นาที แค่ 1นาทีเท่านั้น มันเงียบแค่ 1นาทีแล้วก็กลับมาพูดต่อ

ในเมื่อไอ้ซีนยืนยันว่ามันเห็นผู้หญิงคนนั้นเก็บเมมไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ตามไปและปิดปากเธอซะ แน่นอนเธอไม่มีเวลาเอาไปให้ใครแน่ๆ ก็แสดงว่าเมมนั่นต้องอยู่ในห้อง แต่เมื่อพวกเขาไปหาแล้วไม่มี นั่นก็หมายความต้องมีคนอื่นได้ไปแล้ว ซึ่งคนอื่นนั้นเอ็มคิดว่าต้องเป็นพวกตำรวจแน่ๆ


ห้องผู้หญิงคนนั้นไม่มี

ที่โรงพักก็ไม่มี

ก็เหลือที่น่าสงสัยคือ ‘ไอ้ผู้กองวิณณ์’


การเข้าโรงพักว่ายากแล้ว การเข้าใกล้ตัวไอ้วิณณ์ยิ่งยากกว่า
.

.

.

.

.
[วิณณ์]

อาทิตย์นี้ผมต้องกลับบ้านแต่ก่อนกลับผมจะแวะไปหาแม่ตะวันที่บ้านเพราะวายุส่งข่าวมาบอกว่าตะวันถูกย้ายตัวกลับมาบ้านแล้ว ผมไม่ได้รู้ก่อนว่าตะวันจะย้ายเพราะเรื่องทั้งหมดพ่อตะวันเป็นคนจัดการ ประกอบกับแม่ของตะวันเกรงใจเลยไม่ได้บอกผม ส่วนนายวายุที่เพิ่งมาบอกผมก็เพราะเห็นว่าติดธุระอะไรซักอย่างเลยลืม

มันน่าซะจริง

ถึงจะเคยมาแค่ครั้งเดียวแต่ก็ไม่ยากสำหรับผม เพราะผมมันพวกจำแม่นอยู่แล้ว


“ตื่นเต้นเหรอ”

“ตื่นเต้นดิ มากๆ ด้วย....เออ ว่าแต่วิณณ์ไปบ้านเราถูกเหรอ?”

“ถูกซิ เคยมาแล้ว”

“จริงอะ? ตอนไหน”

“ก็ตอนใครบางคนหนีไปเที่ยว ทิ้งให้วิณณ์รอนั่นแหละ”


แหนะ นิ่ง ไม่ตอบ แล้วยังมาทำหน้ามุ่ยอีก เฮ้อออ เด็กหนอเด็ก


“วิณณ์ แกล้งเราอีกแล้วนะ”

“แกล้งอะไร ก็ผมตะวันนุ่มดีอะ ทำไมผมถึงนุ่มได้ละ เป็นวิญญาณสระผมด้วยเหรอ”

“เอ้า นี่ก็ถามแปลกจะไปสระได้ไงละ คราวก่อนฝนตกวิณณ์ก็เห็นเรายังไม่เปียกซักแอะ”

“เออจริง แต่วิณณ์ชอบนะ นุ่มดี อยากจับทั้งวันเลย”

“ถอดหัวเอาไปจับเลยไหมละ”

“ได้จริงอะ”

“โวะ นี่ก็พูดเล่นไหมละ ขืนเราถอดหัวได้วิณณ์คงวิ่งหนีไปแล้วละ”

“ฮาๆ ไม่หรอก ถ้าเป็นตะวันยังไงวิณณ์ก็ไม่กลัว”

“ให้มันจริงเหอะ”


ไม่นานพวกเราก็มาถึง ผมเอารถจอดเทียบที่รั้วบ้านของตะวัน




อ๊อด อ๊อด


“อ้าวผู้กอง สวัสดีคะมาได้ยังไงคะเนี่ย”

“สวัสดีครับ ผมมาเยี่ยมคุณน้ากับตะวัน” แม่ของตะวันเดินมาเปิดประตูและเมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอก็ดีใจยิ้มต้อนรับให้กับผู้มาเยือน

“ดีใจจังคะ นี่แสดงว่ารู้แล้วใช่ไหมคะว่าตะวันกลับมาอยู่บ้านแล้ว น้าว่าจะบอกผู้กองอยู่เหมือนกัน แต่ยุ่งๆ เลยยังไม่ได้บอกนะคะ”

“ครับ”

“เข้ามาก่อนจ้ะ ว่าแต่ใครบอกผู้กองเหรอคะ”

“วายุนะครับ”

“แหม หลานคนนี้มันไวจริง”

“คุณน้าสบายดีไหมครับ

“สบายดีจ้ะ แล้วผู้กองละคะเป็นยังไง งานคงยุ่งน่าดู”

“ก็นิดนหน่อยนะครับ”

“จ้ะ มาเถอะจ้ะเข้าบ้านก่อน ที่มาเนี่ยคงไมได้มาหาน้าอย่างเดียวหรอกใช่ไหม” แม่ของตะวันยิ้มให้ผม ความจริงผมก็ไม่ได้มาหาคุณน้าอย่างเดียวหรอกครับ ผมอยากมาหาตะวันด้วย ผมเดินตามแม่ของตะวันเข้าบ้านไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามประตู

“ตะวันมีอะไร ทำไมไม่เข้ามาละ”

“เข้าไม่ได้อะ”

“ทำไม?”  ตะวันชี้มือไปที่ศาลพระภูมิหน้าบ้าน

“เอ้า บ้านตัวเองแท้ๆ ท่านเจ้าที่ไม่อนุญาติให้เข้าเหรอ”

“บ้านตัวเอง แต่เราเป็นวิญญานนะ วิณณ์ขอให้หน่อยซิ”

“โอเคๆ รอแปปนะ”  ผมเดินเข้าไปที่หน้าศาลพระภูมิและยกมือไหว้ เพื่อบอกกล่าวขอให้ตะวันได้เข้าบ้านได้


“ผู้กอง ทำอะไรอยู่เหรอคะ” แม่ของตะวันเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ไม่เห็นแขกเดินตามเข้ามา แถมยังมีท่าทีแปลกๆ เหมือนกำลังคุยกับใครก่อนที่จะไปไหว้ที่ศาลพระภูมิ

“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ”  ผมหันไปหาตะวันเมื่อเจ้าตัวพยักหน้าและเดินผ่านประตูเข้ามาได้แล้ว เข้าจึงเดินตามแม่ของคนตัวเล็กเข้าไป

แม่ของตะวันเดินนำเข้าไปแต่แทนที่จะให้แขกนั่งที่โซฟาห้องรับแขกเธอกลับเดินนำเข้าไปยังห้องด้านหลังของบ้าน

“ห้องนี้เป็นห้องนอนของตะวันนะจ้ะ ตะวันเขาชอบธรรชาติ เงียบๆ ห้องนี้เลยถูกใจเขาที่สุด ด้านหลังเป็นคลองเล็กๆ กับต้นไม้ ทำให้มีลมพัดเย็นตลอด”

“เย็นดีจริงๆ ด้วยครับ”

“จ้ะ รอน้าก่อนนะ เดี๋ยวน้าไปเอาน้ำมาให้”

“ไม่เป็นไรครับ รบกวนเปล่าๆ”

“ไม่ได้จ้ะ เป็นแขกของน้า ของตะวันจะปล่อยให้หิวน้ำได้ยังไงนั่งรออยู่นี่ คุยกับตะวันไปก่อนนะ”

“ครับ”


แม่ของตะวันเดินออกไป ปล่อยให้ผมและเจ้าของร่างได้อยู่ในห้องตามลำพัง ตะวันเดินเข้าไปใกล้ร่างของตัวเองที่นอนนิ่ง

“เอาแต่นอนนะเราอะ ดูดิอ้วนเป็นหมูแล้ว” ตะวันพูดขึ้นกับร่างของตัวเอง ก่อนจะเอิ้อมมือไปเพื่อจะแตะตัวเอง “โอ๊ย.....”  ตัวของตะวันกระเด็นออกมา และทันทีที่ได้ยินเสียงร้องผมก็คว้าตะวันเข้ามากอดและนั่นก็ทำให้เราทั้งคู่ล้มลงไปนอนกับพื้นโดยที่มีตะวันนอนอยู่บนตัว

“อะไร ตะวันเป็นอะไร”  ผมถามขึ้นทันที

“ไม่รู้อะวิณณ์ ตะ...ตอนที่เรากำลังจะแตะตัวเอง ก็เหมือนถูกดีดออกไปทั้งที่ยังไม่ได้ถูกตัวเลยนะ”

“แล้วเป็นอะไรตรงไหนไหม”

“ไม่อะ วิณณ์อะเจ็บไหม”

“ไม่เท่าไหร่ ก็แค่.....”

“แค่? แค่อะไร ไหนบอกไม่เจ็บไง”

“ก็ไม่เจ็บไง ก็แค่....หนักอะ”

“โว๊ะ คนอุตส่าห์เป็นห่วง แล้วจะปล่อยได้ยังเนี่ยจะได้ลุก”

“เดี๋ยวดิ”

“หืม?”

“ว่าแต่ก็แปลกเนอะ”

“แปลกอะไร”

“แปลกที่......ทำไมวิณณ์กอดตะวันได้แบบนี้ด้วยละ” คนฟังคิดยังไงเขาไม่รู้  แต่เขานะคิด ทั้งตัวทั้งผมของตะวันมันช่างนุ่มนิ่มน่ากอดไปหมด  “ตะวันเป็นอะไรทำไมหน้าแดง” โอเค เขารู้ละว่าคนฟังคิดไหม หึหึ

“พอเลย ลุกได้แล้ว”

“ทำ....มะ..!” 

“ว้าย ผู้กองลงไปนอนทำไมตรงนั้นคะ” ยังไม่ทันทีที่วิณณ์จะพูดจบ แม่ของตะวันก็เปิดประตูเข้ามาซะก่อน วิณณ์คลายมือที่กอดตะวันออกแล้วยันตัวเองลุกขึ้นมายืน

“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ ผมไม่ทันระวังเลยลื่นนะครับ”

“อุ้ย เจ็บไหมคะมานั่งก่อนคะ เดี๋ยวน้าเอายามาทาให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เจ็บอะไรเลย”

“แน่นะคะ”

“แน่ครับ แหะๆ” คนเป็นแม่มองอย่างชั่งใจ เธอแอบสงสัยและคิดว่าผู้กองต้องมีอะไรสักอย่างแน่ แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดจะถูกไหมพูดไปคนอื่นก็ต้องหาว่าเธอบ้าแน่ๆ หลายครั้งที่การกระทำบางอย่างของผู้กองมันแสดงออกจนเธออดคิดไม่ได้ว่า.......ผู้กองไม่ได้อยู่คนเดียว

“ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร นี่น้ำจ้ะ”

“ขอบคุณครับ ว่าแต่ วายุ ไม่อยู่เหรอครับ”

“ไม่อยู่หรอกคะ ช่วงนี้เห็นว่ากำลังทำคะแนนอยู่”

“ทำคะแนน?”

“คะแนนจีบสาวนะคะ”

“อ้อ....”

“แต่ปกติถ้าวายุไม่ได้ไปไหนเขาก็มาอยู่เป็นเพื่อนน้าไม่ต้องห่วงหรอกคะ ถ้าเขาออกไปข้างนอกเขาก็จะมาหาน้าก่อนออกไป พอกลับมาก็จะมาหาอีกที”

“ดูเขารักคุณน้ากับตะวันมากนะครับ”

“คะ วายุเขารักตะวันมาก อยู่ด้วยเล่นด้วยกันมาแต่เด็ก วายุเขาจะคอยดูแลตะวันตลอด”

“ครับ” รู้สึกดีที่ตะวันมีพี่ที่ห่วงและรักแบบนี้ แต่ทำไมความคิดในใจเขามันกลับตรงข้าม ไม่ถูกใจเลยแฮะ


วิณณ์นั่งคุยกับแม่ของตะวัน แม่ของตะวันจึงเล่าให้ฟังว่าพ่อกับน้องชายของตะวันเป็นธุระจัดการเรื่องทั้งหมด รวมถึงพยาบาลพิเศษที่จะมาอาทิตย์หน้าพ่อของตะวันก็เป็นคนจัดการ ผมเคยเจอพ่อตะวันแต่น้องชายผมยังไม่เคยเจอไม่รู้ว่าหน้าตานิสัยใจคอเป็นยังไง แต่จากที่แม่ของตะวันเอ่ยปากชมและยังช่วยเป็นธุระเรื่องตะวันให้ทุกเรื่องผมก็คิดว่าก็คงไม่เลวร้ายเท่าไหร่ แต่กับตะวันเองคงไม่คิดอย่างนั้น


ผมอยู่ต่ออีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับ


“ถ้าผู้กองอยากมาเยี่ยมตะวันก็มาได้ตลอดเลยนะคะ”

“ได้ครับ แต่ถ้าผมมาบ่อยคุณน้าจะเบื่อผมเอานะครับ”

“โอ๊ย ไม่เบื่อเลยคะ น้าชอบซะอีกจะได้ไม่เหงา”

“งั้นผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ้ะ”







“วิณณ์”

“......”

“วิณณ์”

“.......”

“นี่วิณณ์เป็นอะไร ทำไมขับรถแบบนี้อะ”

วิณณ์ขับรถออกจากบ้านของตะวันมา แต่แทนที่เขาจะไปตามเส้นทางปกติเขากลับยอมขับอ้อมมาอีกทางซึ่งใช้เวลานานกว่าปกติและเส้นทางไม่ดีเท่าไหร่

“วิณณ์เป็นอะไร ขับรถเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา ไม่สบายหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”

“เปล่าแล้วทำไมขับแบบนี้ละ”

“ขอเวลาวิณณ์แปปนึงนะ” วิณณ์ตัดสินใจหักพวงมาลับเลี้ยวซ้ายเข้าซ้ายด้านหน้ากระทันหัน และก็เป็นอย่างที่คิดรถคันหลังขับตามเขามาจริงๆ เขาสังเกตตั้งแต่ออกจากบ้านของตะวันว่ามีรถแต่งซิ่งสีดำขับตามเขามา เขาเลยตั้งใจขับออกมาอีกทางซึ่งเป็นทางไปบ้านของจ่าเติม เขาขับไปถึงหน้าบ้านจ่าเติมและลงจากรถด้วยท่าทีปกติเพื่อไม่ให้พวกนั้นรู้ว่าเขารู้ตัวแล้ว

“อ้าว ผู้กองมายังไงครับ ท่าทางฝนจะตกซะละมั้ง ผู้กองมาหาผมถึงบ้าน”

“ผมผ่านมาแถวนี้พอดีเลยแวะมาหาเจ้าจ่อยมันไง ตามที่สัญญาไว้”

“มันต้องดีใจแน่ เข้าบ้านก่อนครับผู้กอง จ่อย....ไอ้จ่อย มาดูเร็วว่าใครมา”

“วิณณ์ไม่ลืมยกมือไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางเพื่อให้ตะวันเข้าบ้านได้ และหันไปหยิบของเล่นหลังรถที่เตรียมไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้ให้ลูกจ่าเติมซักที”

“เย้ๆๆๆๆ ผู้กองมาหา จ่อย แล้ว หูวววว มีของเล่นมาด้วย คริๆ”

“แหม เอ็งนี่นะไอ้จ่อยเห็นของเล่นตาโตเลย ไป ไปเอาน้ำมาให้ผู้กองก่อน”

“ขอรับ..”


ผมเดินตามจ่าเติมเข้าบ้านไป ก็เจอพี่ดาวกำลังทำกับข้าวอยู่ ผมเอ่ยทักทายก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก

 
“ผู้กอง ไม่ได้ผ่านมาเฉยๆ ใช่ไหมครับ” จ่าเติมนั่งลงมากระซิบเบาๆข้างๆ ผมพยักหน้าก่อนจะบอกว่ามีรถขับตามผมมาตั้งแต่บ้านตะวันจนถึงที่นี่ ได้ยินแบบนั้นจ่าเติมจึงเดินออกไปโทรศัพท์ด้านนอกก่อนจะเข้ามาข้างในและทำตัวตามปกติ ถึงแม้พี่ดาวภรรยาของจ่าเติมจะเข้าใจการทำงานของตำรวจแต่ผมก็ไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดีและกังวลว่าผมจะพาเรื่องยุ่งยากมาที่นี่
ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของจ่าเติมดังอีกครั้ง

“โอเค ขอบคุณนะจ่า ... เรียบร้อยครับผู้กอง” จ่าเติมกดวางสายและหันมาบอกผมในประโยคหลัง

“ว่าแต่ผู้กองรู้ไหมพวกมันเป็นใครและตามมาทำไม”

“ไม่รู้เหมือนกันจ่า แต่ผมว่าพักนี้เรื่องมักจะเกิดรอบตัวผมอยู่เรื่อยตั้งแต่คดีคุณแอน แล้วไอ้พวกนั้นมันว่ายังไงบ้าง”

“จ่าสมปองเข้าเวรออกตรวจพอดี ผมเลยให้แกขับเลยมาตรวจตรงจุดที่รถคนนั้นจอด พอพวกมันเห็นตำรวจก็ขับรถไปแล้วละครับ ยังไม่ทันได้ถามว่าเป็นใคร หรือมาทำอะไร แต่จ่าสมปองแต่จดทะเบียนรถไว้นะครับ พรุ่งนี้ผมจะไปเช็คเลขทะเบียนให้ครับ ถ้ามันไม่สวมทะเบียนปลอมก็คงจะรู้เรื่องบ้างครับ”

“ขอบคุณนะจ่า”

สุดท้ายวันนี้ผมก็ต้องยกเลิกนัดกับแม่และน้องสาวเหตุเพราะกลัวว่าพวกมันจะไปดักรอผมที่อื่นอีก ผมไม่อยากเป็นคนพาพวกมันไปรู้จักบ้านผมที่มีแค่ผู้หญิงสองคน ผมอยู่กินข้าวและเล่นกับจ่อยจนถึงเวลาเด็กที่ต้องนอนแล้วผมถึงได้กลับซะที

“ไปนะจ่า ขอบคุณนะครับพี่ดาว กับข้าวอร่อยมากเลยครับ”

“คะ ว่างๆ ผู้กองก็มากินข้าวด้วยกันอีกนะ จ่อยมันชอบเล่นกับผู้กองคะมีพ่อกับเขาคนหนึ่งก็ไม่ได้เรื่องเล่นอะไรกับลูกไม่ได้เลย”

“แหนะ แหนะ อยู่เฉยๆ ก็ยังโดนได้อีกผู้กองดูซิครับ”

“ฮ่าๆ ผมไปแล้วนะครับ สวัสดีครับ เจอกันพรุ่งนี้นะจ่า”

“คะ / ครับผม”



ผมขับกลับมาคอนโดตลอดทางก็คิดว่ารถที่ตามผมมันเป็นใครและต้องการอะไร หรือจะเป็นเรื่องตะวัน ไม่หรอกคนอย่างตะวันจะมีเรื่องอะไรได้ จะบอกว่าเรื่องผีๆ สางๆ ก็ไม่ใช่แน่นอน ผีอะไรจะขับรถ คิดไปคิดมามันก็คงเป็นเรื่องของเขานะแหละ แต่แค่เรื่องจากคดีไหนเท่านั้นเอง

.

.

.


Rrrrrrrrr

“นายโทรมาวะพี่”

“ครับนาย........ครับ.....จะไปเดี๋ยวนี้ครับ”  เอ็มกดวางสายไปแล้วแต่ใจยังคงหงุดหงิด สุดท้ายตอนนี้เขาก็ยังทำงานไม่สำเร็จซักอย่าง

“ดวงดีจริงนะมึงไอ้ผู้กองวิณณ์ แต่ไม่ต้องห่วงมึงกับกูได้เจอกันแน่”
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 23 : วางแผน (03/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-07-2018 04:14:08
จะบุกถึงห้องวิณณ์ไหมนะ :hao4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 23 : วางแผน (03/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-07-2018 21:39:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 23 : วางแผน (03/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-07-2018 23:10:05
วิณณ์จะเป็นอันตรายไหมเนี่ย
ดูนายคงไม่ปลาอยไว้แน่ๆ
แต่นายเนี่ยคุณอาใช่มะ????
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 24 : วิญญาณทุ่งดำ (11/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 11-07-2018 19:43:11
ตอนที่ 24 วิญญาณทุ่งดำ




[วิณณ์]

ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีความรู้สึกว่ามีคนคอยตาม ไม่ต้องเสียเวลาสืบก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร ส่วนไอ้ทะเบียนรถที่จ่าอุตส่าห์ไปเช็คมาให้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะเป็นทะเบียนสวม แต่ที่ผมยังนิ่งอยู่เพราะไม่อยากให้พวกมันรู้ว่าผมรู้ตัวแล้ว

ผมคิดว่าสุดท้ายจะเป็นมันที่เป็นฝ่ายมาหาผมเอง เพราะฉะนั้นผมจะรออยู่เฉยๆ

วันนี้ผมนัดดารินกับนายวายุให้มาเจอกันที่ร้านข้าวที่มาด้วยกันครั้งที่แล้ว เหตุผลก็เพราะผมอยากพิสูจน์ ตอนนี้พวกเราจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ผมกับดาริน และตะวันกับนายวายุ เพราะสองคนนั้นไม่เห็นด้วยและไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่ผมอยากรู้ว่าเธอคือผีหรือคน

เพราะถ้าเป็นผี แล้วเธอต้องการความช่วยเหลือ ก็เท่ากับตะวันจะได้ภารกิจเพิ่ม โอกาสจะเข้าใกล้การขอพรก็เพิ่มขึ้นอีก น่าลองจะตายว่าไหม

“คุณวิณณ์ แน่ใจเหรอว่าจะเข้าไปอะ”

“แน่นอน”

“นี่นายวายุ อย่าบอกนะว่ากลัวอะ”

“ใช่กลัว แต่ที่กลัวเนี่ยคือทั้งผม ทั้งคุณ ทั้งพี่ชายคุณเราเป็นแค่คนธรรมดากัน สมมตินะถ้าเกิดเป็นผีขึ้นมาพวกคุณจะทำยังไงจัดการยังไง คุณวิณณ์คุณก็เจอมาเหมือนๆกับผมก็น่าจะรู้นะ ตะวันเองก็บอกอยู่ว่ารู้สึกไม่ดี อึดอัด ไม่อยากไปที่นั่น แล้วถ้าเกิดมันมีผลในทางไม่ดีกับตะวันละจะทำยังไง”

“....”

“....”

“กลับกันถ้าไม่ใช่ผี แต่เป็นคนขึ้นมา เป็นใครทำอะไร มีกันกี่คน อันตรายแค่ไหนไม่รู้ พวกเรานะผู้ชาย แต่น้องคุณนะผู้หญิงนะ”

“ถูกของคุณ”

“ดีมาก ไม่เสียแรงที่อธิบายไป”

“เพราะอย่างนั้นผมถึงจะไปกับคุณแค่สองคนไง ส่วนยายดารอที่นี่”

“หะ!!! ไหนว่าเข้าใจ เข้าใจบ้าไรของคุณเนี่ย”

“ไม่เอาอะ ดาจะเข้าไปด้วย”

“รอนี่นะดีแล้ว เพราะถ้ามีอะไรพี่จะได้โทรบอกเรา และจะได้ไม่ต้องห่วงด้วย โอเคนะ ส่วนตะวันไม่ต้องเข้าไปอยู่นี่กับดาริน”


“ไม่เอา จะไปด้วย”

“แล้วไม่กลัวหรือไง”

“กลัว”

“งั้นก็อยู่...”

“แต่เราจะไป มีวิณณ์อยู่ตะวันไม่กลัวหรอก” ยังพูดไม่มันจบ ตะวันก็แทรกขึ้นมาก่อน

“เอ่อ ผู้กองผมก็เข้าใจนะว่าคุณคุยกับตะวันอยู่แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว คุณนี่ดูเหมือนคนบ้าเหมือนกันนะ”

“เห็นด้วย แฮะๆ” น้องสาวผมก็ยกมือเห็นด้วยไปกับเขาด้วย




[ตะวัน]

เอาจริงๆ ผมก็อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ผมนะมั่นใจว่าเธอคือวิญญาณและผมก็มั่นใจว่าวิณณ์คิดเหมือนกัน และเหตุผลที่วิณณ์ทำแบบนี้ก็เพราะช่วยผมแก้ภารกิจ

“วิณณ์จะไปจริงเหรอ อย่าไปเลย ตะวันรู้สึกไม่ดี มันอึดอัด มันน่ากลัว รู้สึกหดหู่ ไม่อยากเข้าไปที่นั่นอีกเลย”
“แต่ถ้าเขาเป็นวิญญาณแล้วต้องการความช่วยเหลือละ ยังไม่ต้องพูดถึงภารกิจ ตะวันจะไม่ช่วยเหรอผู้หญิงคนนั้นดูทรมานมากเลยนะ ตะวันไม่สงสารเหรอ”
“ก็สงสาร”
“เห็นไหมลองดูก่อนไม่เสียหายอะไรนี่”
“อืม”
“แต่เหตุผลจริงๆ คือวิณณ์อยากช่วยให้ตะวันได้พรมาเร็วๆ มากกว่า”



ที่น่ากลัวไม่ใช่วิญญาณของผู้หญิงคนนั้นหรอก แต่เป็นวิญญาณติดที่มากกว่า จากที่ผมลองถามกับท่านเจ้าที่หรือจะบรรดาวิญญาณที่อยู่มานานเพราะยังไม่พ้นวาระกรรม พวกเขาบอกว่า ที่นั่นถูกเรียกว่า ทุ่งดำ มีวิญญาณดวงหนึ่งที่อาศัยอยู่ เรียกว่าวิญญาณติดที่ เขายึดติดอยู่กับสถานที่นี้ไม่ยอมไปไหน คอยดักและจับวิญญาณที่หลงเข้ามา คอยสูบพลังวิญญาณจนวิญญาณเหล่านั้นแตกสลายไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้

และวิญญาณที่พวกเราเจอก็น่าจะเป็นหนึ่งในเหยื่อเช่นกัน


“คุณผู้กอง นี่คุณเอาไฟฉายมาแค่อันเดียวเหรอ”

“ใช่”

“ไม่คิดจะเอามาเผื่อกันบ้างหรือไง”

“ผมให้น้องสาวเอามาอีกอันหนึ่ง”

“เอ้า แล้วทำไมไม่บอก โธ่ จะได้ขอยืมมาด้วย”

วิณณ์ถึงกับสายหัวให้กับพี่ชายผม ผมชินซะแล้วละถึงพี่วายุจะพูดมากไปหน่อยแต่เขาเป็นคนน่ารักนะ

“แล้วมีอันเดียวมันจะไปพออะไรเนี่ย เกิดเดินไปเหยียบงูเงี้ยวเขี้ยวขอขึ้นมาจะทำยังไง เฮ้อออ”

แต่ผมว่าพี่วายุบ่นเยอะขึ้นไปนะ -__-





[เอ็ม]

“พี่เอ็ม พี่ว่าพวกมันมาทำอะไรกันวะ”

“มาร้านข้าวมันคงไม่นอนกันหรอกมั้ง”

“โห่พี่ ผมหมายถึง ทำไมมันปล่อยให้น้องสาวรอในร้านอยู่คนเดียวแล้วพวกมันหายไปไหน”

“เออ กูก็สงสัยอยู่”

“เฮ้ย ผมคิดออกแล้ว เราจับตัวน้องมันมาแล้วให้มันเอา เมม มาแลกดีไหม”

“เริ่มมีความคิดกับเขาบ้างแล้วซินะ”

“ผมอะฉลาดอยู่แล้ว ไปพี่”

“ไปไหน”

“ไปจับตัวน้องมันมาไง”

“....???.... กูว่ากูประเมินมึงผิดไป”

“ทำไมอะ ตอนนี้อะโอกาสดีแล้วน้องมันอยู่คนเดียว”

“คนในร้านมีเป็นสิบมึงมองไม่เห็นหรือไง”

“เออ จริงวะ”

!!! เอ็มถึงกับเอามือกุมขมับตัวเอง ลูกน้องเขาจะมีปกติซักคนไหมวะ บางทีเอ็มก็สงสัยว่าพวกเขาอยู่รอดกันมาได้ไงจนถึงป่านนี้

“รอดูพวกมันไปก่อน” ใช่ เอ็มคิดแบบนั้นถ้าจะให้ผลีผลามเข้าไปหามันหรือไปจับน้องมันมาเขาคิดว่ามันคงไม่สำเร็จแถมเรื่องจะใหญ่เกินไปอีก ฉะนั้นตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่เอ็มทำได้คือ ตามดูไอ้ผู้กองว่ามันทำอะไร ไปไหนยังไงบ้าง เมื่อรู้กิจวัตรประจำวันมันเขาค่อยคิดแผนต่อไป






[ตะวัน]

ตะวันเดินตามวิณณ์และวายุเข้าไปในทุ่งหญ้าหลังร้านอาหาร แต่คราวนี้เขาไม่ได้เข้าทางเดียวกับครั้งที่แล้ว มันมีทางเข้าอีกทางเลยร้านไปซักหน่อย หญ้าขึ้นสูงเลยเอวมานิดนึงถึงจะมองเห็นหลังของคนที่เดินนำหน้า แต่บรรยากาศและสภาพโดยรวมมันชวนให้ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

ตะวันหยุดชะงักเมื่อเขารู้สึกว่าได้ยินเสียงแว่วมาอีกแล้ว และเหมือนวิณณ์จะรู้สึกได้ เขาจึงหันกลับมาตะวันและเอ่ยถามขึ้น

“ตะวันเป็นอะไร”

“ได้ยินเสียงไหม”

“ไม่นะ”

“เอาจริงๆ ดิ ไม่ได้ยินเสียงจริงเหรอ”

“ไม่ได้ยินอะ มันยังอีกตั้งไกล อาจเป็นเสียงลมก็ได้”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่เสียงลม” ตะวันแน่ใจว่าเขาได้ยินและมันไม่ใช่เสียงลมแน่นอน แต่ทั้งวิณณ์และพี่วายุกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยได้ยังไงกัน


วิณณ์ยังคงเดินนำออกไป โดยมีพี่วายุและผมเดินตาม

“โอย”

หืม!!!

“โอย”

“.......”

“โอย ช่วยด้วย”

“...??.....”


“พ่อหนุ่มช่วยยายด้วย ทางนี้ช่วยยายด้วย”

ผมหันซ้ายหันขวา ก่อนสายตาจะไปปะทะกับร่างร่างหนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นดินเป็นผู้หญิงที่มีผมสีขาวเกล้าเป็นมวยรวบไว้และใส่เสื้อสีขาว ผมมองเห็นแค่นั้นเพราะฟ้าที่มืดและแสงจากถนนที่ไม่ได้ช่วยไรเลยเพราะอยู่ไกลลิบ


“วิณณ์”

“.....”

“วิณณ์” วิณณ์หยุดเดินและหันกลับมามอง และเมื่อผมเห็นท่าทีของวิณณ์และพี่วายุก็รู้แล้วละว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน “ยาย ยายครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ช่วยยายด้วย” เมื่อตะวันเดินเข้าไปใกล้เขาก็พบว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่ง

“ยายเป็นอะไรครับ”

“ช่วยยายด้วย”


พวกเราย้ายที่หลบมานั่งใต้ต้นไม้ สภาพยายดูซีดและเบาบางกว่าวิญญาณปกติอย่างน้อยก็เทียบกับตัวเขาเอง วิณณ์เดินตามมาและยืนข้างๆ ผมสงสารก็แต่พี่วายุเดินตามมาแบบงง หน้านี่เอ๋อได้ใจ มองวิณณ์ที มองผมที ทั้งที่มองไม่เห็นหรอกนะ 


“ยายเป็นอะไรเหรอครับ”

“ยาย...ยายหนีมา......”  หลังจากนั้นยายก็เล่าให้ฟังว่า  “ยายตายมานานแล้วแต่เพราะยายหลงมาที่แห่งนี้ ที่นี่มีชื่อว่าทุ่งดำ มีวิญญาณร้ายแอบอาศัยอยู่ เหล่าวิญญาณที่หลงมาที่นี่จะถูกสูบพลังวิญญาณไปจนวิญญาณแตกสลาย และยายก็เป็นหนึ่งในวิญญาณพวกนั้น แต่ที่วิญญาณยายยังอยู่และไม่แตกสลายเพราะยายถูกให้ทำหน้าที่หาวิญญาณ และหลอกให้มาที่นี่ แต่ยายทนไม่ไหวแล้ว ยายไม่อยากทำบาปกรรมอีกแล้ว และดูเหมือนสวรรค์ยังมีตาเพราะไม่กี่วันก่อนมีเหล่าวิญญาณพูดถึง ‘ผู้ถูกเลือก’ ที่มาที่นี่ ผู้ที่จะคอยช่วยให้ความต้องการและคำขอร้องของวิญญาณเป็นจริงและหลุดพ้นได้”

“ยายเลยมารอ ยายไม่อยากทำบาปอีกแล้วช่วยยายและวิญญาณดวงอื่นๆ ด้วยนะพ่อหนุ่มข้างในนั้นยังมีวิญญาณที่ถูกทรมานอีกเยอะ”

“เยอะเลยเหรอยาย แล้วผมจะช่วยยังไงผมเป็นแค่วิญญาณธรรมดาเองนะ”

“ช่วยได้ซิ ต้องช่วยได้”

“ยังไงเหรอครับ” ยายชี้มาที่สร้อย

“สร้อย?”

“ใช่ สร้อยเส้นนี้ สามารถช่วยพวกเราได้ทุกคน”  สร้อยที่ท่านกาลเวลาให้ผมมาอันนี้นะเหรอ ผมก้มดูที่ข้อมือตัวเอง



“เอ่อ จะมีใครว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมอยากจะรู้เรื่องด้วย” พี่วายุ โธ่!!! “อ้าว ทำไมทำหน้างั้นละครับหรือผู้กองไม่อยากรู้เรื่อง?”

ผมเล่าให้วิณณ์ฟังคร่าวๆ ซึ่งวิณณ์ก็ต้องไปเล่าให้พี่วายุฟังต่อ ดังนั้นที่พี่วายุรู้เรื่องจะเป็นฉบับย่อคือจะต้องเข้าไปข้างในเพื่อหาตัวต้นเหตุของสิ่งที่กักขังวิญญาณและปลดปล่อยซะ  ผมชักสงสัยแหะว่าทำไมวิญญาณร้ายตนนี้ถึงไม่ถูกพาตัวไปยังนรกภูมิ เพราะขนาดผมยังไม่ทันรู้ว่าตัวเองตายดียังถูกพาตัวไปแทบจะทันทีเลย ไม่ถูกพาตัวไปแถมยังก่อกรรมเพิ่มอีก


“เดี๋ยวนะผู้กองผมขอจูนแปป เราต้องเข้าไปข้างในเพื่อกำจัด ไล่ หรืออะไรก็แล้วแต่นั่นแหละ กับวิญญาณ?”

“ครับ”

“วิญญาณ? เราเป็นคนนะผู้กองเราจะทำได้ยังไง แค่ตะวันผมยังไม่เห็นไม่ได้ยินเลยจะเอาอะไรไปสู้กับมันกันละ ถ้าเกิดวิญญาณนั่นมันดุโหดร้ายแล้วบีบคอพวกเราตายจะทำยังไง”

“ใช่เราเป็นคนไม่มีทางไปสู้อะไรกับผีหรือวิญญาณพวกนั้นหรอก แต่ผมก็เชื่ออย่างหนึ่งถ้าเรามาดีคิดดีวิญญาณไม่ว่าจะร้ายแค่ไหนก็ทำอะไรคนไม่ได้”

“โธ่ แต่นั่นผีนะคุณ ตะวันเองก็บอกว่าเป็นวิญญาณที่ทำร้ายวิญญาณด้วยกันเอง คุณไม่กลัวบ้างเหรอ”


“ไม่กลัว เพราะถ้ามันช่วยตะวันได้ จะลำบากแค่ไหนผมก็จะทำ


“โอเค๊ พูดมาแบบนี้ผมจะปฏิเสธอะไรได้ ตะวันก็น้องผมเหมือนกัน”


ดันนั้นตอนนี้พวกเรา 4 คนก็พากันเดินเข้าไปด้านในโดยผมกับยายเดินรั้งท้าย ปล่อยให้ผู้ชายแข็งแรงสองคนออกหน้าไป บรรยากาศมืดๆ เย็นๆ สองข้างก็เต็มไปด้วยต้นหญ้า แต่น่าแปลกยิ่งพวกเราเดินเข้าไปลึกหญ้าที่มีตามทางผ่านมาเมื่อกี้มันกลับเหี่ยวแห้งไปหมด ต้นไม้เองก็เฉายืนต้นตายกันหมด

พื้นที่ว่างกลางเมืองใหญ่แบบนี้มีให้เห็นอยู่เยอะ ที่ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยเจ้าของไม่ได้สนใจจะดูแลหรือพัฒนา จนกลายเป็นที่อาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์อันตรายและรวมถึงวิญญาณสัมภเวสีทั้งหลายด้วย

“นั่น ตรงนั้น” ยายชี้ไปที่ต้นไม้ต้นใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ต้นเดียวกลางพื้นที่ว่างตรงนี้

“ตรงนั้นเหรอครับ”  ยายพยักหน้า


ตลอดทางที่เดินมาความรู้สึกเย็นยะเยือกแบบสั่นสะท้านไปทั้งตัวเทียบไม่ได้กับตอนนี้ที่ถ้าผมสามารถทิ้งคนอื่นแล้วหนีไปออกได้ผมจะทำทันที แต่ใครจะไปทำได้ละคนสองคนตรงหน้าอุตส่าห์ทำเพื่อผมขนาดนี้ เพราะฉะนั้นผมก็ต้องสู้เหมือนกัน

พวกเรามาหยุดที่ใต้ต้นไม้ซึ่งเป็นต้นเดียวที่ไม่ยืนต้นตายเหมือนต้นอื่นๆ


“แล้วยังไงต่อละผู้กอง”

“ผมก็ยังไม่รู้” วิณณ์พูดและเดินสำรวจรอบต้นไม้

“ยายรอตรงนี้นะ”

“ตะวันหยุด ไม่ต้องเข้ามาเลย”

“ทำไมอะ”

“ถ้าเกิดถูกจับได้จะทำยังไงละ”

“แต่....”

“ไม่มีแต่”  สุดท้ายผมก็ต้องถอยกลับไปยืนกับยาย


ทำไมถึงรู้สึกว่าตรงที่ผมยืนมันหนาวกว่าตรงนั้นนะ


รอบๆ ข้างไม่มีสัญญาณอะไรซักนิด อย่าว่าแต่ผีหรือวิญญาณเลย แม้แต่สิ่งมีชีวิตอย่างพวกแมลงผมก็ยังไม่เห็น พวกเราอยู่ตรงนี้เกือบ 5 นาทีก่อนที่จะ......


“เฮ้ยยยย” เสียงพี่วายุดังขึ้นพร้อมกับกลิ้งลงไปกับพื้น ผมหันไปตรงนั้นก็พบกับวิญญาณผู้หญิงคนเดียวกับวันนั้นที่เจอ

“เป็นอะไรคุณวายุ”

“ผู้หญิง ผู้หญิงตรงนั้นอยู่ดีๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้”

“ไหน ตรงไหน”

“นั่นไง... นั่นตรงนั้น....”

“ไหน คุณลืมตาก่อน”

“ขะ...ขะ...ข้างต้นไม้อะ”

“ไม่มีอะไรนี่ คุณวายุ คุณลืมตาก่อน”

“มีดิ ก็ผมเห็น”  เหตุการณ์ตอนนี้ยิ่งปั่นป่วนขึ้นอีกเมื่อหญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นและหันมามองพวกเรา และทันทีที่เห็นผม เธอก็....กรีดร้อง


'กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด'


เป็นเสียงที่ดังชวนขนลุกแสบไปถึงแก้วหู และดูเหมือนว่าวิณณ์กับพี่วายุก็น่าจะได้ยินด้วย


“เสียงอะไรผู้กอง”

“ผมก็ไม่รู้ ตะวันเกิดอะไรขึ้น บอกหน่อย”

“ผู้หญิงคนนั้นอยู่ดีเธอกรีดร้องขึ้นมาไม่รู้ทำไม”

“ตอนนี้ไปไหนแล้ว”

“หายไปแล้ว”

“ใช่วิญญาณที่พูดถึงไหมตะวัน”

“ยาย  ยายครับใช่วิญญาณที่ยายบอกไหมครับ อ้าว...ยายหายไปไหนอะ”


ผมงง กับเหตุการณ์ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้นทันทีที่เห็นผมเธอก็กรีดร้องเหมือนกลัวอะไรซักอย่างแล้วตอนนี้ยายก็ยังมาหายตัวไปอีก


“ยายหายไปไหนไม่รู้วิณณ์”


ฟู่ฟฟฟฟฟ ฟู่ฟฟฟฟฟ  ลงกรรโชกแรงขึ้น ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม เหมือนกับจะมีพายุ และ


“นั่นไงยาย ยายไปไหนมาครับ”

“หึหึ ไม่ว่าจะผี หรือ คน ทำไมมันช่างโง่ หลอกง่ายอะไรอย่างนี้”

“ยายพูดอะไร”

“แกเชื่อเรื่องที่ข้าเล่าจริงๆรึ แกคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้พวกวิญญาณทาสมันออกไปเดินเล่นลอยนวลแบบนั้นเหรอ หะ”

“หมายความว่าไง ยายพูดเรื่องอะไร”

“ฮาๆ ข้าคิดว่าแกจะฉลาดกว่านี้ซะอีก นี่นะเหรอผู้ถูกเลือก”

“....”

“ข้าก็แค่อยากจะเห็นว่าผู้ถูกเลือกหน้าตามันเป็นแบบไหน เก่งแค่ไหน ที่ไหนได้มันก็แค่วิญญาณไม่มีร่างกระจอกๆ เท่านั้นเอง เฮ้ออ เสียเวลาจริงๆ”

“นี่ยายหลอกพวกผมเหรอ”

“ใช่ ข้าหลอกพวกแก หลอกง่ายดีด้วย”


ยายที่ท่าทางดูน่าสงสารเมื่อกี้หายไปเปลี่ยนเป็นยายแก่ปากจัด หน้าตาหน้าเกลียดแถมยังเจ้าเล่ห์อีก


“ตอนแรกข้าก็แค่จะเล่นกับแกเฉยๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจละพลังวิญญาณของแกมันคงจะหวานน่าดู.......มานี่!”

“ไม่ วิณณ์ช่วยด้วย” ร่างของผมถูกดูดกระชากไปอย่างแรง คอของผมถูกบีบไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ยิ่งดิ้นยิ่งทรมาน

“ข้าจัดการแกเสร็จเมื่อไหร่ สร้อยนี่ก็จะเป็นของข้า”

“ปะ....ปะ.....” เสียงที่พยายามเปล่งถูกกลืนหายลงคอ เขารู้สึกไร้เรี้ยวแรง เหมือนพลังวิญญาณจะค่อยๆ หายไป


“ตะวันเป็นอะไร ใครทำอะไร” วิณณ์ตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ภาพของตะวันที่ลอยอยู่กลางอากาศกำลังพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นอะไรสักอย่าง แต่ไม่รอช้าเขาวิ่งเข้าไปก่อนที่จะกระโดดคว้าตัวของตะวันลงมา

และนั่นทำให้วิญญาณชั่วร้ายนั้นแปลกใจยิ่งนัก

“นี่เจ้าเห็น พูดคุยและสัมผัสวิญญาณตนนี้ได้อย่างนั้นรึ......ความสัมพันธ์บ้าๆบอๆ แบบนี้.....ไร้สาระสิ้นดี หมดเวลาเล่นแล้ว มาให้ข้าสูบพลังวิญญาณของเจ้าซะ และสร้อยนั่นจะได้เป็นของข้า”


สิ้นคำพูดนั้นวิณณ์ก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปอีกทาง ส่วนพี่วายุก็โดนลูกหลงกระเด็นไปเหมือนกัน ผมถูกดึงเข้าไปหาอีกครั้ง


“ปล่อยนะอิผีบ้า”

“ปากดีนักนะ” มือที่บีบอยู่ที่คอขยับแน่นขึ้น นี่ผมตายแล้วไม่ใช่เหรอทำไมถึงยังรู้สึกทรมานได้ขนาดนี้ ทรมานเหมือนวิญญาณจะสลายอยู่ตรงนี้


ไม่นะ ผมยังทำภารกิจไม่เสร็จเลย
ผมอยากกลับไปหาแม่
อยากกอดแม่
อยากขอโทษแม่
ไหนจะวิณณ์อีกที่อุตส่าห์ช่วยผมมาขนาดนี้
ผมยังไม่ได้ขอบคุณ ไม่ได้ตอบแทนวิณณ์เลย
ผมไม่ยอมหรอก
ผมจะมาแพ้ตอนนี้ไม่ได้


ไม่ได้


ไม่ด้ายยยยยยยยย



........แว่บ.....แสงสีขาวจากสร้อยข้อมือปรากฎขึ้น มันสว่างจนแสบตา ภาพตรงหน้าเหมือนกำลังถูกถ่ายรูปแล้วมีแสงแฟรช

เกิดขึ้นแว่บเดียวแล้วก็หายไป ทุกอย่างกลับมาในสภาวะปกติ นิ่งสนิท นิ่งจนผมเองยังตามไม่ทัน



“เกิดอะไรขึ้นอะผู้กอง” พี่วายุถามขึ้นหลัวที่กระเด็นไปนอนแอ้งแม้งที่พื้นแล้วลุกขึ้นสำรวจร่างกายตัวเอง

“ผมก็ยังไม่แน่ใจ”

“แล้ววิญญาณนั้นไปแล้วเหรอ”

“คิดว่านะ”

“คิดว่า? อะไรคือคิดว่า แค่แปปเดียวเรายังสะบักสะบอมกันขนาดนี้ ถ้ามันยังไม่ไปเราไม่ตายกันจริงๆเหรอผู้กอง โอ๊ยย”

“คุณนี่ขี้บ่นเป็นผู้หญิงไปได้”  พูดจบวิณณ์ก็เดินตรงไปหาตะวัน


“ตะวันเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหม”

“ไม่เป็นไร”

“แล้ววิญญาณนั่นไปแล้วเหรอ”

“น่าจะไปแล้วละ” ตะวันมองสร้อยที่ข้อมือตัวเอง เขาแน่ใจว่าน่าจะเป็นผลมาจากพลังของสร้อยเส้นนี้ ‘เมื่อถึงเวลาขับขันพลังแห่งสร้อยจะสามารถช่วยเจ้าได้’ นั่นคือคำพูดที่ท่านกาลเวลาเคยบอกเขาไว้

ขอบคุณนะคะพี่
มันจบแล้วละพี่ ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณนะที่ช่วยปลดปล่อยวิญญาณพวกเรา
ขอบคุณนะ
ขอบคุณ
ขอบคุณนะ
ขอบคุณ
ขอบคุณ



เหตุการณ์วันนี้มันหนักหนาพอดูสำหรับตะวันแต่พอได้ยินคำขอบคุณมากมายหลายคำที่ถูกกล่าวออกมา มันทำให้ตะวันรู้ว่า เหนื่อยแต่ก็คุ้มค่า


“ไปกันเถอะผู้กอง” 


เราสามคนกลับออกมา พอเจอหน้าดารินน้องสาวของวิณณ์เธอก็ซักไซ้เรื่องทั้งหมดทันที เรารู้สึกเหมือนว่าไปไม่นานแต่เธอบอกว่าที่เธอต้องนั่งรอพวกเราเนี่ยเกือบ 2 ชั่วโมงแหนะ

วิณณ์กับพี่วายุเหนื่อยเกินกว่าจะกินอะไรลงเราเลยตัดสินใจแยกย้ายไปพักผ่อน พี่วายุไปส่งดาริน ผมกับวิณณ์มุ่งหน้ากลับคอนโด

ผมก้มมองสร้อยที่ข้อมือตัวเองอีกครั้ง ครั้งนี้สีของสร้อยเปลี่ยนอีกครั้งแต่ไม่ได้เปลี่ยนแค่ครั้งเดียว แต่เปลี่ยนถึงสามครั้ง สามครั้งด้วยกันที่สร้อยเปลี่ยนสีและมันขาวจนเกือบจะทั้งเส้นเหลืออีกเพียงจุดเดียว

จุดเดียวเท่านั้นก็จะเป็นสีขาวทั้งเส้น   ‘มันหมายความว่ายังไงนะ’



แล้วแถมตอนนี้ตะวันก็ใช้พลังจากสร้อยไปถึงสองครั้งแล้ว เหลืออีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาต้องระวังให้มากกว่านี้แล้วซิ


“เป็นอะไรหรือเปล่าตะวัน ทำไมเงียบจัง”

“ไม่รู้ซิ มันบอกไม่ถูกอะ”

“......”

“เราแค่รู้สึกว่า......มันเหมือนกับเราจะไม่ได้อยู่แล้ว”

“.......”

“มันเหมือนว่าวิญญาณเราจะสลาย จะหายไป ตอนนั้นเราคิดถึงแต่แม่ เราอยากกอดแม่ อยากขอโทษแม่ เรายังทำภารกิจไม่สำเร็จเลย เราจะได้ตายจริงๆ แล้วเหรอ มันน่ากลัวจริงๆ นะวิณณ์ แล้ว......แล้ว....”

“แล้วอะไร”

“แล้วเราก็คิดถึงวิณณ์  เรากลัว....กลัวว่าถ้าหายไปจะเราจะไม่ได้เจอวิณณ์อีก



เรากลัว.....

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 24 : วิญญาณทุ่งดำ (11/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-07-2018 03:34:26
ตกลงยายตนนั้นเป็นผีจำพวกไหนนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 24 : วิญญาณทุ่งดำ (11/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-07-2018 10:08:39
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 24 : วิญญาณทุ่งดำ (11/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 12-07-2018 19:25:55
 :mc4: สำเร็จไปอีกภารกิจ ถ้านับไม่ผิด สำเร็จไป5  ค้าง1 และรออีก4 ใช่ป่าวค่ะ รอๆ
 :L2: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 24 : วิญญาณทุ่งดำ (11/07/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-07-2018 20:23:34
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 25 : จู่โจม (01/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 01-08-2018 20:30:35
ตอนที่ 25 จู่โจม



ครืดดดด

ครืดดดด

ครืดดดด

เสียงคล้ายของหนักที่ถูกลากไปตามพื้น และเมื่อมองดูดีๆ มันคือเสียงโซ่ตรวนที่ติดกับข้อเท้ามันถูกลากไปกับพื้นและผู้ทิ่ติดอยู่ในพันธนาการนั้นก็คือวิญญาณร้ายที่ตะวันจัดการไปนั่นเอง

“นั่งลง”  เสียงดุดัน น่ากลัวของยมฑูตสั่งขึ้น
“เราบอกให้เจ้านั่งลง”

พลั่กกก พร้อมกับเสียงไม้พลองที่กระทบกับขา วิญญาณดวงนั้นทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นมันเหยียดมองหน้ายมฑูตก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมา

“หึหึ”
“เจ้าหัวเราะอะไร”
“เก่งจริงนะ ทำไมเจ้าไม่ลองปล่อยข้าแล้วเรามาสู้กันดูละ”
“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย เจ้าวิญญาณชั่ว”
“หรือเจ้าไม่กล้า”
“เจ้า!!”

“เจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนะอสูรดำ”
“ยอมโผล่หัวออกมาแล้วรึ”
“บังอาจ!!!”

“ไม่เป็นไร ท่านสุวรรณ อยากจะพูดอะไรกับข้างั้นรึ เจ้าหลบข้าอยู่เป็น 100ปี แต่กลับต้องมาเสียท่าวิญญาณที่เจ้าเรียกว่าวิญญาณกระจอกงั้นรึ”
“หึหึ ท่านมันเล่นสกปรก ถ้าไม่เพราะพลังของสร้อยเส้นนั้น ข้าคงฆ่าเจ้าเด็กนั่นไปแล้ว”
“เล่นสกปรก? ข้านะหรือสกปรกมันไม่ใช่เพราะเจ้าเองหรอกรึ สร้อยไม่ได้มีพลังตายตัว พลังของสร้อยขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้และเจตนาของผู้ใช้เอง แต่เจ้าเองที่โลภโมโทสัน จิตใจหยาบกระด้าง เจ้าถึงไม่สามารถสัมผัสพลังของสร้อยได้”

อสูรดำ คือมนุษย์ผู้หนึ่งที่ตายลงมาใช้กรรมในนรกภูมิและเคยได้รับโอกาสให้ทำภารกิจ  ภารกิจ เหมือนที่ตะวันทำอยู่ตอนนี้ แต่ความชั่วช้าตามสันดานที่มีมาตั้งแต่ตอนมีชีวิต ทำให้มันตัดสินใจทรยศและหนีไปพร้อมกับสร้อยแห่งสิทธิ์ เพราะพลังของสร้อยมันมากมายไม่สามารถคาดคะเนได้ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนแค่มีพลังจากสร้อยมันก็จะสามารถอยู่ได้อย่างสบาย แต่มีหรือที่เหล่ายมฑูตจะยอมให้วิญญาณทำการหยามหน้าแบบนั้นได้ พวกเขาจึงออกตามล่าอสูรดำ ถึงอสูรดำจะหนีการตามล่าไปได้ แต่ยมฑูตก็สามารถนำสร้อยแห่งสิทธ์กลับคืนมา

เมื่อไม่มีสร้อยพลังวิญญาณของอสูรดำก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในขณะที่วิญญาณกำลังจะสลาย มันจึงเริ่มคิด… คิดว่าถ้าพลังวิญญาณของตัวเองมันไม่สามารถกลับคืนมาได้มันก็ไปขโมยของคนอื่นมาก็หมดเรื่อง ดันนั้นมันจึงออกตามหาอีกครั้ง ตามหาวิญญาณที่หลงทางและยังไม่ไปเกิด และทำการดึงพลังวิญญาณของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง  แค่มีแรงปรารถนาอะไรก็สามารถทำได้ นั่นคือความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ แม้แต่นรกหรือสวรรค์เองก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้

ยิ่งดึงพลังวิญญาณมากขึ้นเท่าไหร่  พลังร้ายก็เพิ่มทวีคูณ สถานที่ที่วิญญาณร้ายตนนี้อาศัยอยู่จึงเต็มไปด้วยพลังด้านมืด จนถูกขนาดนามว่า ทุ่งดำ และเหล่าวิญญาณทั้งหลายก็พากันเรียกวิญญาณชั่วร้ายนี้ว่า อสูรดำ

“ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าต้องชดใช้กรรมที่ทำมาแล้ว บุญไม่เคยทำ ความดีไม่เคยสร้าง  กว่าเจ้าจะใช้กรรมที่ก่อหมด ก็คงอีกหลายร้อยชาติ ขอให้เจ้าสนุกกับชีวิตในนรกนะ”




[เอ็ม]

เอ็มกับแจ็คยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นสีขาว และป้ายหน้าบ้านที่บ่งบอกถึงผู้ที่เป็นเจ้าของบ้าน อัครเมฆา

และเมื่อเจ้าของบ้านรับรู้ถึงการมาของทั้งสองเขาจึงบอกให้การ์ดพาเข้าพบได้

“นายครับ มากันแล้วครับ”
“ให้เข้ามาได้” การ์ดหลบให้เอ็มกับแจ็คเดินเข้าไปภายในห้อง
“นายครับ”
“นั่งก่อนซิ” นายบอกให้ทั้งสองคนนั่งลงก่อนจะหันไปโบกมือเป็นเชิงให้การ์ดออกไปรอข้างนอก “งานพวกมึงไปถึงไหนแล้ว”
“เอ่อ พวกเราหาเมมโมรี่การ์ดอันนั้นหมดแล้วครับยังไม่เจอ ทั้งที่ห้องไอ้เสี่ย ห้องของผู้หญิงและที่โรงพัก”

ปึงงงงงง   เสียงตบโต๊ะดังฉาดใหญ่

“พวกมึงหาไม่เจอ หรือไม่พยายามหา”
“หาครับนาย พวกผมพยายามแล้วตอนนี้พวกผมกำลังตามดูไอ้วิณณ์อยู่เพราะคิดว่าเมมต้องอยู่ที่มัน”
“ป่านนี้พวกมันไม่ดูข้างในไปหมดแล้วหรือไง หะ!”
“.......”
“กูให้เวลาพวกมึงอีก 3 วัน เอาเมมมาให้กูให้ได้ ไม่อย่างนั้น....พวกมึงคงรู้ว่าจะเป็นยังไง อะไรที่หมดประโยชน์เก็บไว้มันก็รกหูรกตา”
“ครับนาย พวกผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
“ใช่ครับนาย ผมคิดแผนไว้แล้ว คราวนี้ต้องสำเร็จแน่”
“แผนอะไร”
“ที่บ้านเสี่ย บ้านอีผู้หญิงคนนั้น รวมถึงโรงพักก็ไม่มี พวกเราคิดว่ามันจะต้องอยู่กับไอ้ผู้กองวิณณ์แน่”

ไอ้แจ็ครีบบอกแผนการที่คิดไว้ เพราะคิดว่าจะช่วยให้นายใจเย็นลงได้บ้าง

“........”
“ไอ้ผู้กองวิณณ์มันมีน้องสาว การจะเข้าใกล้ไอ้ผู้กองเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นน้องสาวมันนี่ละคือเครื่องต่อรอง”
“พวกมึงสองคนจะทำยังไงก็ได้ให้ได้เมมนั่นมา แต่.......
“......”
“ห้ามทำอะไรทั้งผู้กองวิณณ์น้องสาวเข้าใจไหม”
“ทำไมละครับนาย”

ผู้เป็นนายไม่ตอบ เพียงแต่ส่งสายตาปรามมาให้ เอ็มตบหัวลูกน้องที่ถามไม่รู้กาลเทศะ และกล้าตั้งคำถามกับผู้เป็นนาย

“ผมขอโทษแทนไอ้แจ็คมันครับนาย ปากไม่มีหูรูดเงียบไปเลยมึง ผมสัญญาครับนายผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
“ให้มันได้เรื่องจริงๆ ตามที่มึงพูดแล้วกัน”
“งั้นผมไปก่อนนะครับนาย” 
“อือ” นายตอบรับเพียงแค่นั้น ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงไล่ให้ลูกน้องสองคนออกไป


“พี่ผมไม่เข้าใจเลยวะ ทำไมนายต้องห้ามทำอะไรทั้งไอ้ผู้กองกับน้องสาวมันด้วยวะ”
“กูก็อยากรู้แต่เรื่องนั้นไว้ทีหลัง เวลา 3 วันมึงกับกูต้องรีบจัดการให้เสร็จไม่งั้นได้ไปอยากรู้ต่อที่นรกแน่มึง”

เมื่อระยะเวลามันสั้นและกระชั้นเข้ามาใกล้ เอ็มกับแจ็คจึงไปดักรอน้องสาวของวิณณ์ที่หน้ามหา’ลัย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะหาว่าน้องสาววิณณ์เรียนที่ไหน เพราะครั้งก่อนที่ตามพวกวิณณ์ไปเขาชุดนักศึกษาและเข็มที่เสื้อ พวกเขาใช้เวลาตลอดช่วงเช้าในการมองหา นักศึกษาชายหญิงมากหน้าหลายตาเข้าออกกันเป็นสิบเป็นร้อย ยิ่งรอ ยิ่งนาน ยิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดเพิ่มขึ้น

“แม่งเว้ย ไอ้นักศึกษาเหี้ยพวกนี้จะเดินเข้าออกอะไรกันนักหนาวะ ผมดูจนตาลายไปหมดแล้วเนี่ยพี่ แล้วถ้าไม่ใช่ที่นี่เราจะไปหาที่ไหนวะพี่ ร้อนก็ร้อน เชี้ยเอ้ย”

ป๊าปปปป

“โอ้ยพี่ ตบอีกละ”

เอ็มไม่ตอบแต่ดึงหัวลูกน้องแล้วชี้ไปที่กลุ่มนักศึกษาที่กำลังเดินออกมาจากมหา’ลัย  “อะไรเล่าพี่ ผมเสียทรงหมด”

“มึงดู จะให้กูตบอีกรอบไหม” แจ็คมองไปทางที่ลูกพี่บอก
“เฮ้ย น้องสาวไอ้วิณณ์ ไม่เสียเที่ยวแล้วเว้ยพี่แม่งโคตรเก่งวะ”
“ไม่ต้องมาเสือกชมกู ถ้ามึงจะเงียบ เลิกโวยวายแล้วใช้หัวสมองคิดอะไรบ้างมันคงไม่มีแต่ขี้เลื้อยแบบนี้หรอก”
“แหะๆ”
“ไป ตามไป” เอ็มบอกลูกน้องให้ขับรถตามไป น้องสาววิณณ์แยกกับกลุ่มเพื่อนและเดินไปอีกทาง ที่เป็นซอยเล็กๆ
“มันมาทำอะไรที่นี่วะพี่”
“กูจะรู้มันไหมวะ”

เอ็มกับแจ็คจอดรถทิ้งไว้และเดินตามไปอย่างเบาเสียงที่สุด ถึงจะเป็นซอยเล็กๆ แต่สองข้างทางมีแต่บ้านคนทั้งนั้นการจะทำอะไรตอนนี้ไม่เป็นผลดีแน่นอน

“มานี่ เด็กๆ อยู่ไหนกัน ออกมาหาพี่ดารินหน่อย จิ๊ดๆๆ”

(มันเรียกใครวะ)

โฮ่ง แฮ่ก แฮ่ก โฮ่ง โฮ่ง

“ฮาๆๆ มากินหนมเร็ว พี่ซื้อมาฝากเยอะเลย”

(โธ่เอ้ย หมา)

“นี่ นี่ ค่อยๆ กินกันซิ อย่าแย่งกัน”
 
โฮ่งงงง

แง่งง

เอ๋ง เอ๋ง เอ๋งงงง

“เฮ้ยอย่าแกล้งน้องดิ เดี๋ยวไม่ให้กินนะ ไปนั่งรอก่อนเลยไป”


สองคนรอดูอยู่ห่างๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีใครมาตอนนี้ เอ็มทำท่าทางให้ลูกน้องเดินย้อนกลับไปแล้วแอบซอยเล็กๆข้างๆ ก่อนที่ตัวเองจะเดินขึ้นหน้าและแกล้งเดินผ่านไป เอ็มเดินเลยไปเพื่อดูทางข้างหน้า มองซ้ายมองขวาว่าโล่งสะดวกดีไหม เมื่อเห็นว่าทางโล่ง เอ็มจึงหันหลังกลับมองตรงไปยังเป้าหมายที่นั่งอยู่และไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้ เอ็มเดินตรงเข้าไปหา ส่วนแจ็คก็ยืนดักไว้อีกทาง ในจังหวะที่เอ็มเดินใกล้ถึงตัวดาริน ประตูบ้านหลังหนึ่งเปิดออกและมีชายหญิงสองคนออกมาจากบ้าน เอ็มจึงหันหลังกลับและแกล้งทำเป็นยืนคุยโทรศัพท์

“อ้าว หนูมาให้อาหารเจ้าพวกนี้อีกแล้วเหรอ”
“คะ”
“ดีจ้ะ แต่อย่ามาเย็นกว่านี้ พอมืดแล้วซอยนี้มันมืดมาก เปลี่ยวด้วย อันตราย นี่ก็อย่าอยู่นานนะกลับได้แล้ว ออกไปพร้อมพี่ไหม”
“ไม่เป็นไรคะพี่ เดี๋ยวเสร็จแล้วคะ”
“เอางั้นเหรอ”
“คะ”
“จ้ะ ยังไงก็รีบกลับนะ”
“คะ ขอบคุณนะคะ”

เอ็มยังคงแกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์พร้อมเหลือบมองไปทางนั้นสองคนเดินห่างออกไปแล้ว เอ็มจึงเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ แจ็คมองตรงไปยังลูกพี่เขาที่กำลังเดินเข้าไป ในจังหวะที่เขาสนใจแต่ลูกพี่ทำให้ไม่รู้เลยว่า มีอีกคนตามมาด้วย และจังหวะที่เอ็มกำลังเอื้อมเพื่อไปคว้าตัวผู้หญิงไว้

“ดาริน!”

เสียงเรียกชื่อที่ดังมาจากด้านหลังทำให้เอ็มหดมือนั้นกลับมา และมองไปยังต้นเสียง ไอ้ผู้ชายคนนี้ที่ตามไปไหนมาไหนด้วยตลอดนี่หว่า มันมาทำอะไรที่นี่วะ

“นายวายุ” ดารินเงยหน้าขึ้นมาก็เจอเข้ากับผู้ชายสองคนคนหนึ่งคือนายวายุ แต่อีกคนหนึ่งเป็นใครเธอไม่รู้จัก “นายมากับเพื่อนเหรอ”

“เปล่า” วายุตอบก่อนจะหันไปหาเอ็ม ส่งสายตาเหมือนเป็นเชิงถามกลับมา
“เอ่อ เปล่าครับ พอดีผมมาหาบ้านญาติแถวนี้แต่จำไม่ได้ว่าหลังไหนเลยกำลังจะมาถามคุณนะครับ”
“อ่อ หนูก็ไม่รู้หรอกคะพี่ ไม่ใช่คนแถวนี้พี่ลองไปถามบ้านใกล้ๆ ดูก็ได้นะคะ”

เมื่อเห็นลูกพี่กำลังเจอกับสถานการณ์คับขันแจ็คจึงเดินออกมาจากที่ซ่อนและไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะแต่งเรื่องต่อจากลูกพี่เพราะเขาได้ยินทุกประโยคที่คุยกัน

“เฮ้ย พี่เอ็ม โห ผมรอพี่ตั้งนานเดินหลงไปไหนมาวะพี่”
“อ้าวไอ้แจ็คกูก็หามึงตั้งนาน กูหลงไปท้ายซอยโน่นแหนะ”
“โธ่เอ้ย ไม่ได้มานานก็งี้แหละไปพี่ไปบ้านผม”
“เออ ไปๆ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เอ็มบอกกับวายุและดารินและเดินไปหาแจ็คซึ่งจากสายตาของวายุ เอ็มมั่นใจว่ามันไม่เชื่อเขาแน่ เอ็มกับแจ็คเดินออกมาจากจุดนั้นตรงกลับไปที่รถที่จอดอยู่

“แม่งมาตอนไหน กูสั่งให้มึงดู แล้วทำเหี้ยอะไรอยู่ ไม่บอกกู หะ!”
“ผมดูแล้วพี่ ผมไม่เห็นมันเดินมาจริง แล้วผมก็มัวแต่ดูพี่หันมาอีกทีมันก็มาจากไหนไม่รู้”
“วันนี้มันดวงดีรอดไปได้ แต่ต้องไม่ใช่พรุ่งนี้ คืนนี้มึงตามมันไปมีโอกาสเมื่อไหร่รีบบอกกู”

และก็เป็นจริงอย่างที่เอ็มคิด วายุไม่เชื่อเพราะเขาเดินมาจากทางนั้น ถ้าผู้ชายคนนั้นมาทางเดียวกับเขาเขาต้องเห็นแน่นอน แต่ที่เขาเห็นคือผู้ชายคนนี้เดินวนเวียนอยู่ตรงนี้ ซึ่งตอนนั้นดารินกำลังคุยกับชายหญิงคู่หนึ่งอยู่และผู้ชายคนนี้ก็รอจังหวะให้คนคู่นั้นออกไปและดารินอยู่คนเดียวจึงเดินเข้าไปหา

“นี่คุณคิดอะไรอยู่ แล้วทำธุระให้แม่เสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้ว แล้วก็ตามคุณมา”
“หืม?”
“ไม่ต้องสนใจผมหรอก แต่ผมว่าคุณอย่าไปไหนมาไหนหรือมาในสถานที่อันตรายแบบนี้คนเดียวอีกดีกว่า”
“ทำไมอะ”
“ผู้ชายคนเมื่อกี้บอกว่าเขามาจากซอยอีกทางใช่ไหม ผมมาทางนั้นและผมไม่เห็นเขาเลย แสดงว่าเขาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“แล้ว......?”
“ผมก็ไม่รู้หรอก ข้อสันนิษฐานผมอาจจะผิด แต่เชื่อผมอย่ามาในที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้อีก”
“แต่ฉันต้องมาหาพวกหมาพวกนี้ทุกวันนะ”
“ถ้าจะมา……รอผม….ผมจะมาเป็นเพื่อน”
“คุณจะมาเป็นเพื่อนฉันได้ทุกวันเหรอ”
“ถ้าคุณบอกให้ผมมาผมก็จะมา”
“.............อะ.....อื.....อืม”


วายุพาดารินกลับไปส่งถึงบ้านรอจนแน่ใจว่าเธอเข้าบ้านเรียบร้อยแล้วเขาจึงขับรถออกไป เขาขับมาเรื่อยๆ ตรงไปเส้นที่จะออกถนนใหญ่ระหว่างที่ขับอยู่เขามองซ้ายมองขวาไปเรื่อยๆ ตอนนี้ยังไม่มืดมากคนแถวนี้ส่วนใหญ่ก็ยังนั่งคุยกันอยู่หน้าบ้าน วายุมองตรงไปเห็นรถคันสีขาวจอดอยู่ข้างทาง ตอนขับเข้ามาเขาไม่เห็นว่ามีรถจอดอยู่และเมื่อเขาขับผ่านรถคันนั้นไปเขาก็มั่นใจว่าเป็นรถคันเดียวกับที่ขับตามเขามา

(มันชักแปลกๆ แล้ววะ)

วายุครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ดารินเจอตั้งแต่เย็นจนมาถึงตอนนี้ เขาอาจจะคิดมาก เขาอยากให้ความคิดเขาผิดแต่เขาก็ไม่ควรปล่อยผ่านไป


ตู๊ด ตู๊ด

เขากดโทรศัพท์ออกไปไม่นานคนปลายสายก็รับ

[ว่ายังไงคุณวายุ]

“ผู้กอง ผมว่าตอนนี้เรามีเรื่องยุ่งแล้วละ”

[……..]





วายุขับรถตรงมาหาวิณณ์ที่คอนโดเพราะจะให้คุยกันทางโทรศัพท์มันก็ใช่เรื่องสู้มาเจอกันคุยต่อหน้ากันเลยดีกว่า ง่ายกว่า สะดวกกว่า

ผมขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 9 เพราะผู้กองแจ้ง รปภ. ด้านล่างไว้แล้วว่าจะมีแขกมาเลยไม่ต้องยุ่งยากแลกบัตรเข้าตึก



ก๊อก ก๊อก


“สวัสดีครับผู้กอง”
“สวัสดีครับคุณวายุ ผมแปลกใจตั้งแต่คุณโทรมาหา และยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ตอนคุณบอกจะมาหาผมเนี่ยแหละ”
“แต่ถ้าคุณได้ฟังเรื่องของผม ผมว่าคุณจะยิ่งแปลกใจมากกว่าอีก”

วิณณ์เลิกคิ้ว แต่ก็เปิดทางให้วายุเข้ามาในห้อง

“คุณนั่งรอตรงนั้นก่อนแล้วกัน ผมไปเอาน้ำมาให้”
“ขอบคุณครับ นี่ผู้กอง..”
“....”
“ตะวันอยู่ไหมครับ”
“อยู่”
“อยู่ไหนเหรอ” วายุพูดพร้อมกับมองไปทางนั้นทีทางนี้ที

“อยู่.....ข้างๆ คุณ”
“อ้อ...โอเค” ถึงจะสะดุ้งไปเล็กน้อยแต่วายุก็ไม่ได้ตกใจเหมือนเมื่อก่อน
“ไม่กลัวแล้วเหรอ?”
“จะให้ผมกลัวตลอดเลยเหรอ พอบ้างเถ๊อะ”
“หึหึ ว่าแต่คุณมีเรื่องด่วนอะไรจะคุยกับผมเหรอ” วิณณ์เดินกลับมานั่งที่โซฟาพร้อมแก้วน้ำ
“ขอบคุณครับ”

วายุดื่มน้ำในแก้วก่อนจะเริ่มต้นเล่าให้วิณณ์ฟังถึงเรื่องเจอมา “คืออย่างนี้ วันนี้ผมไปทำธุระแถวมหา’ลัยของน้องสาวผู้กองมาแล้ว.......”

วายุเล่าเหตุการณ์ที่เขาเจอให้วิณณ์ฟัง การที่วายุไปแถวนั้นเพราะเขาไปทำธุระจริงๆ ส่วนการเจอน้องสาววิณณ์มันคือเรื่องบังเอิญ วายุเห็นดารินตั้งแต่แยกกับเพื่อนเขาตั้งใจจะเข้าไปทักแต่เพราะเขายังไม่เสร็จธุระตรงหน้าเลยละไปไม่ได้ และเขายังสังเกตุเห็นอีกว่ามีรถคันหนึ่งขับช้าๆ ตามหลังดารินมา

ซึ่งมันจะไม่แปลกอะไรเลยถ้ารถคันนั้นไม่ขับช้าๆ เหมือนจงใจ

ดังนั้นเขาจึงกดมือถือหาหญิงสาว


Rrrrrrr

“ทำอะไรอยู่ครับคุณหนูดาริน”
[มามหา’ลัยก็มาเรียนหนังสือซิ แต่เรียนเสร็จละกำลังจะกลับบ้าน]

“กลับบ้านทำไมไปทางนั้นละครับ”
[หืม นี่นาย! นายรู้ได้ไง] หญิงสาวพูดจบก็มองซ้ายมองขวาหาคนที่โทรมา

“ไม่ต้องหาขนาดนั้นหรอกครับหันหลังมาแค่ 45 องศาก็เจอผมแล้ว” วายุพูดเสร็จก็โบกมือพร้อมยิ้มกว้างทักทายหญิงสาวที่หันมา
[แอบตามมาเหรอ]

“แอบอะไรละคุณ ผมมาทำธุระให้แม่นะ ว่าแต่คุณจะไปไหน”
[ฉันจะเอาขนมไปให้เด็กๆ ในซอยอะ]

“อ่อออ งั้นเดี๋ยวผมรีบทำธุระเสร็จแล้วไปหานะ”
[เฮ้ย มะ.....]

ผมไม่ปล่อยให้ปลายสายปฏิเสธ เพราะตอนนี้ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่คิดอาจจะเป็นจริง รถคันนั้นตามดารินมา ทางที่วายุมาทำธุระให้แม่เป็นซอยที่ทะลุถึงกันได้ ดังนั้นเมื่อเขาเสร็จธุระแล้วเขาจีงรีบเดินทะลุมาที่กลางซอยและเหมือนโชคจะเข้าข้างเขา เพราะเขาเจอกับดารินที่กำลังเล่นกับลูกหมาอยู่โดยมีผู้ชายท่าทางลับๆล่อๆ ยืนอยู่ไม่ไกล

“เฮ้อ ยายนี่ทำอะไรไม่ระวังตัวเลย” วายุพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินออกมาแล้วเรื่องที่เหลือก็เป็นอย่างที่รู้อยู่แล้ว เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นต้องการ และถ้าเขาไม่เดินออกมาเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้


“คุณวายุ คุณแน่ใจเหรอว่าผู้ชายคนนั้นตั้งใจมาหาดาริน”
“จะให้ผมพูดว่ามั่นใจ 100% ผมก็พูดไม่ได้เต็มปาก จะมาดีมาร้ายผมก็บอกไม่ได้อีก แต่... ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน”
“...........”
“ผู้กองลองคิดดูนะ ผู้ชายคนนั้นบอกหลงทาง จำทางไม่ได้ แล้วทำไมเขาไม่โทรถามละหรือจะบอกว่าไม่มีโทรศัพท์ อะ...มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่นี่มันสมัยไหนแล้วขนาดเด็กอนุบาลยังมีมือถือพกกันเลย แล้วนี่ผู้ใหญ่จะบอกว่าไม่มี มันเชื่อยากเกินไปนะ”
“........”
“อีกอย่าง พอผมแสดงตัวเดินเข้าไปหาน้องสาวผู้กอง เพื่อนนายคนนั้นจู่ๆก็โผล่มาซะงั้น ผู้กองคิดว่ามันแปลกไหมละ”

ใช่ซิ มันต้องแปลกอยู่แล้ว หลายวันมานี้วิณณ์รู้สึกว่าเขาเองก็ถูกตามเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะตั้งแต่เรื่องที่บ้านจ่าเติม นี่บ้านเขากำลังถูกคุมคามงั้นเหรอ?



“คุณ....”

“.......”

“ผู้กอง”

“.......”

“ผู้กองครับ!” วิณณ์ได้สติหันหน้ากลับมาสบตากับวายุ “ผู้กองคิดอะไรอยู่เหรอครับ”
“คุณวายุ ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณ”
“ครับ?”
“ผมไม่สามารถดูแลน้องสาวได้ทุกๆวัน ถ้าไม่ลำบากหรือรบกวนจนเกินไปผมอยากจะให้คุณช่วยไปรับไปส่งดารินที่มหา’ลัย ผมจะรีบเคลียร์เรื่องให้เสร็จโดยเร็วผมคงรบกวนคุณไม่นานครับ”
“ถ้าผมจะถามเหตุผลละ”
“ผมก็อยากจะบอกคุณนะแต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ ตอนนี้ถ้าจะให้คิดผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับคดีที่ผมทำอยู่”
“เรื่องใหญ่เลยเหรอครับ”
“ครับ”
“ตกลง ผู้กองไม่ต้องห่วงผมจะทำให้เต็มที่ ถ้าวันไหนไม่สามารถทำหน้าที่ได้จริงๆ ผมจะบอกผู้กอง”
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่น้องผู้กองเถอะจะยอมให้ผมไปรับไปส่งหรือเปล่า”



“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นผมจัดการเอง”
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 25 : จู่โจม (01/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-08-2018 20:43:35
เอาแล้วๆ ทำไงดีล่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 25 : จู่โจม (01/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-08-2018 23:32:51
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 25 : จู่โจม (01/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 02-08-2018 08:27:02
คิดถึงจ้า  :กอด1:
เราสงสัยอะ นายใหญ่คือใครนะ ต้องเป็นคนที่รู้จักผู้กองแน่ๆ  หรืออาจรู้จักพ่อของผู้กอง อยากรู้แล่วว
    :L1:  :pig4:  :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 06-08-2018 20:32:35
ตอนที่ 26 กัดฟันสู้


“ผู้กองครับไอ้โจ๊กมันขอพบผู้กองครับ”
“พบผม?”
“ครับ มันบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับผู้กองครับ”

ช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ผมมัวแต่วุ่นวายเรื่องของที่บ้าน ผมวานให้นายวายุช่วยดูดาริน ไปรับไปส่งบ้านกับมหา’ลัยเท่าที่ทำได้ แต่ดูแล้วรายนั้นไม่ได้ลำบากอะไรออกจะชอบด้วยซ้ำ ส่วนผมเองก็กลับบ้านไปดูความเรียบร้อยทั้งประตู หน้าต่าง แถมยังฝากฝังบ้านใกล้เรือนเคียงช่วยสอดส่องความผิดปกติ

ถึงจะมีคนสงสัยที่ผมทำแบบนี้ แต่ผมก็แค่บอกว่าเป็นการทดลองความปลอดภัยมาตรฐาน ชุมชนดูแลชุมชน ทุกคนก็เข้าใจและปฏิบัติตามอย่างดี

ผมหาข้อมูลและหลักฐานเพิ่มจากคดีคุณแอน จนพอจะรู้บ้างว่าบุคคลที่คุณแอนไปเกี่ยวข้องด้วยนั้นเป็นผู้มีอิทธิพลและกว้างขวางอย่างมาก มีลูกน้องเยอะแยะซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือไอ้เอ็ม และถึงแม้ผมจะมั่นใจว่าพวกไอ้เอ็มคือคนร้ายที่ฆาตกรรมคุณแอนแต่หลักฐานที่มีไม่พอ ตำรวจจึงไม่สามารถจับกุมได้ แถมตอนนี้มันยังกล้าที่มาวุ่นวายกับผมและครอบครัวของผม



ก๊อก ก๊อก

“ผู้กองพร้อมแล้วครับ” 

ผมเดินมาที่ห้องสอบสวนตามที่ ซึ่งในนั้นนายโจ๊กก็รออยู่แล้ว

“สวัสดีครับผู้กอง”
“ได้ยินว่า คุณต้องการพบผม”
“ครับ”
“เรื่องอะไร”
“ผมจะสารภาพ”
“....”
“ผมจะสารภาพเรื่องคดีผู้หญิงชื่อแอน”
“ทำไม นายถึงอยากจะสารภาพ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่อยากทำดีให้แม่บ้าง”
“นี่มึงเพิ่งคิดได้เหรอวะไอ้โจ๊ก กูละโคตรดีใจแทนแม่มึงเลยวะ”
“จ่า ผมก็มีสมองมีความคิดเป็นนะ”
“แล้วทำไมก่อนหน้านี้มึงคิดไม่ได้วะ”

“เอาละพอก่อน ว่าไงโจ๊กอยากจะบอกอะไรก็ว่ามาเลย”

“ผม ไอ้แจ็ค พี่เอ็มพวกเราได้รับคำสั่งมาจากนายใหญ่ให้ฆ่าปิดปากผู้หญิงที่ชื่อแอนกับไอ้เสี่ยชัย”
“ทำไม?”
“จริงๆ แล้วต้องบอกว่าผู้หญิงคนนั้นดวงซวย เป้าหมายพวกเราคือเสี่ยคนเดียวแต่ผู้หญิงคนนั้นดันมาเห็นตอนพวกลูกน้องนายขนยาและมีหลักฐานรูปถ่าย”
“เมมโมรี่การ์ดที่พวกนายหาอยู่ใช่ไหม”
“ใช่”
“ถึงจะมีรูปแต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าในนั้นมียา”
“พูดแบบนี้แสดงว่าผู้กองเปิดเมมดูแล้วละซิ”
“ใช่ ถึงจะไม่รู้ว่าของข้างในคืออะไร แต่มันก็เหมือนคนมีชนักติดหลังละครับ คนทำผิดย่อมต้องกลัวถูกจับได้”

วิณณ์พยักหน้าเข้าใจ ใช่คนทำผิดย่อมต้องกลัวความคิด กลัวคนอื่นรู้ความผิดของตัวเอง

“แล้วนายต้องการอะไร”
“ผมไม่ต้องการอะไร ผมรู้ผมทำผิดผมก็ต้องรับโทษตามผิด ผมทำใจได้อยู่แล้ว และการที่ผมมาสารภาพก็เท่ากับผมทรยศเพื่อนพ้อง แต่ที่ผมยอมทำก็เพราะ...”
“....”

“ผมอยากจะมีเวลาเหลือและใช้เวลานั้นทดแทนบุญคุณแม่ผมก็เท่านั้นเอง”   

โจ๊กคิดแบบนั้นจริง ถ้าเขายังทำผิดและวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ซักวันหนึ่งถ้าโชคดีเขาอาจจะแค่ติดคุก แต่ถ้าโชคร้ายเขาก็อาจจะถูกยิงตายเข้าซักวัน


โจ๊กแม่ขอได้ไหมลูก หยุดได้ไหมลูก เลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ไหมลูก แม่ยังอยากเห็นชายผ้าเหลืองและอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดีนะลูกนะ 


นั่นคือประโยคที่แม่พูดกับเขาในวันที่มาเยี่ยมล่าสุด ถึงเขาจะถูกจับด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า แต่เขารู้ดีและแม่เขาก็รู้ดีที่ตำรวจยังไม่ทำสำนวนฟ้องและส่งตัวเขาไปเรือนจำเพราะต้องการข้อมูลเรื่องเลวๆ ที่เขาก่อไว้


“แม่นายต้องภูมิใจ”

โจ๊กเองก็หวังเช่นนั้น




“ท่านกาลเวลา”
.
.
“ท่านกาลเวลาครับ ออกมาหน่อยครับ”
.
.
“ท่าน ท่านอยู่ไหนครับ ผมมีเรื่องอยากถาม”

(อยากถามอะไรข้างั้นรึ)
“สวัสดีครับท่านกาลเวลาผมมีเรื่องอยากจะถามนะครับ”
(ว่ามาซิ)
“คือสร้อยนะครับ ผมสงสัยทำไม ทำไมมันเป็นแบบนี้ละครับ”

ตะวันพูดพร้อมกับยกข้อมือข้างที่มีสร้อยขึ้นมา

(ดูท่าเจ้าใกล้จะทำสำเร็จแล้วซินะ)
“แต่ผมยังทำไม่ครบเลยนะครับ”
(เจ้าไม่ดีใจหรอกรึ เจ้าจะได้ขอพรตามที่เจ้าต้องการ จะได้กลับเป็นคนอีกครั้ง กลับไปหาแม่หาครอบครัวของเจ้า)
“ก็ดีใจหรอกครับ แต่มันไม่ถูกต้อง”
(ไม่ถูกต้อง?)
“นับรวมภารกิจครั้งสุดท้ายที่ผมทำมันก็แค่ 6ภารกิจ แถมที่ทำสำเร็จจริงๆก็แค่ 5เองนะครับ แต่สร้อยนี่ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่เลยครับ”
(หึหึ เจ้านี่จิตใจดีกว่าที่ข้าคิดไว้นะ ถ้าไม่นับเรื่องที่ฆ่าตัวตาย)
“โธ่ ท่านกาลเวลา”
(เอาเถอะ เจ้ายังไม่ต้องสนใจเรื่องสร้อยนี่หรอก มันไม่มีอะไรผิดพลาดหรอกไม่ต้องกังวลไป)
“.....”

(สิ่งที่เจ้าควรกังวลตอนนี้ก็คือภาระตรงหน้าที่มันยังค้างคาอยู่...
เราเตือนเจ้าได้แค่ว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและใหญ่กว่าที่เจ้าคิด เพราะฉะนั้นจงรอบคอบ ระวังและมีสติให้มาก จำเอาไว้)


“ยังไงเหรอครับ”



แว่บบบ



“ท่านกาลเวลา ท่านกาลเวลา เฮ้อ ไปซะละ เรื่องที่ค้างคาเหรอ ตอนนี้ก็มีแค่....เรื่องคุณแอน ไม่ว่าจะข้อมูล หรือหลักฐานอะไรก็ยังไม่คืบหน้าถ้าจะมีอะไรที่ยุ่งยากเข้ามาอีกไม่ตายเหรอเนี่ยยย”






[ดาริน-วายุ]


“นี่คุณทำไมพี่วิณณ์ต้องให้คุณตามรับตามส่งฉันด้วยละ”
“.....”
“นี่ ถามไม่ได้ยินหรือไง”
“.....”
“หรือว่าหูตึง”
“.....”

ดารินเริ่มหงุดหงิดถามอะไรไปนายวายุก็ไม่ยอมพูด ทำไมพี่ชายเธอต้องให้นายวายุมาตามรับตามส่งด้วย พอถามเหตุผลไปรายนั้นก็บอกแค่ว่า

ไว้จะบอกทีหลัง ตอนนี้ทำตามที่พี่บอกก็พอ

ส่วนนายวายุที่นั่งเงียบก็เพราะไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าขืนเขาบอกไปว่ามีคนคอยตามอยู่ ได้มีหวังซ่าไปก่อเรื่องอีกแน่ๆ ดูท่าไม่ค่อยกลัวอะไรเลยด้วยซ้ำ เฮ้อออ

“ถอนหายใจทำไม”
“เอ่อ...เอ่อ....หิวน้ำนะ”
“แล้วทำไมไม่กินใครปิดปากไว้หรือไง”
“จ้าาา”

“ถึงแล้วครับคุณหนู”
“ขอบคุณ”

ดารินหันไปหยิบถุงที่เบาะหลังเพราะก่อนกลับเธอแวะร้านขนมร้านโปรดของแม่

“พรุ่งนี้มีเรียน10โมงเช้า ถ้านายไม่สะดวกไม่ต้องมารับก็ได้นะ”
“สะดวกครับ ไม่ต้องห่วง ^____^”
“ยะ”


ดารินหันหลังเดินกลับเข้าบ้านเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ออกมาพอดี


“แม่จ๋าา หิวจังมีอะไรกินไหมคะ”
“มีคะน้าหมูกรอบของโปรดเรานะ“
“เย้”
“อ้าววายุเข้ามาก่อนลูกแม่ทำกับข้าวเผื่อเราด้วย”
“นายวายุเขามีธุระต่อนะแม่ ไม่กินหรอก ปะเข้าบ้านกันเถอะคะ”
“นี่”
“โอ้ย แม่อะรินเจ็บนะ หยิกรินทำไมเนี่ย ดูดิเขียวเลย”
“เรานี่ชอบแกล้งพี่เขาจริงๆเลย แล้วทำไมถึงเรียกพี่เขาว่าแบบนั้น ไม่น่ารักเลยนะ”
“แม่อ่า”
“เข้าบ้านก่อนเถอะ ส่วนเราขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมากินข้าว”
“ค่าาาา คุณนายแม่”
“อย่าช้านะ”
“ค่าาาาา”

ไม่นานทุกคนก็พร้อมที่โต๊ะกินข้าว โดยผู้เป็นแม่เป็นคนตักข้าวให้กับทุกคน

“กินเยอะๆ นะวายุ อุตส่าห์ยอมเสียเวลาไปรับยายตัวแสบให้”
“ไม่ต้องไปรับก็ได้นะ รินไม่ว่าอะไรหรอกแม่”
“เราไม่ว่า คนที่ว่านะพี่ชายเรา”
“เฮ้อ ไม่เข้าใจพี่วิณณ์จริง จริ๊ง กำลังทำอะไรอยู่”

“วายุไม่ต้องไปสนใจจ้ะ เรากินข้าวดีกว่า”
“ครับ”

วายุขอตัวกลับหลังจากที่กินข้าวเสร็จ

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“จ้ะขับรถดีๆ นะจ้ะ ยายดาไปส่งพี่วายุเขาหน่อยไป”
“ค่าาา”

ดารินลากเสียงขายรับคำสั่งแม่ และเดินอิดออดตามวายุออกไป

“ไปได้แล้วคุณดึกแล้ว ฉันง่วงนอนแล้ว”
“ทำไมคุณชอบไล่จัง”
“ไล่ที่ไหน ป๊าวววว ก็แค่บอกง่วงนอน อีกอย่างขับรถดึกๆ มันไม่ดีนะ”
“เหรอออออ”
“ยะ”
“พรุ่งนี้ผมมารับแล้วเจอกันนะครับ อ้อ ห้ามหนีไปคนเดียวและอย่าเดินเล่นไปไหนมั่วซั่วละ”
“รู้แล้วน่า”
“หึหึ”


ดารินเดินกลับเข้าบ้านมาพร้อมกับคิดว่าพี่ชายตัวเองกับนายวายุมีเรื่องอะไรกันแน่ เพราะต่อให้ตัวเธอไปทะเลาะมีเรื่องกับใครขนาดไหนพี่เธอก็ไม่เคยทำถึงขนาดนี้ แล้วแม่เธอละจะรู้เรื่องด้วยหรือเปล่า


Rrrrrrr เสียงโทรศัพท์ข้างเตียงดังขึ้น ดารินหยิบขี้นมาดู “ทราย” เพื่อนที่มหา’ลัยของเธอเอง

“ฮัลโหลทรายมีอะไรหรือเปล่า”
[ริน พรุ่งนี้อาจารย์เลื่อนคลาสขึ้นมาเป็น 8โมงครึ่งละ]

“เฮ้ย จริงดิ นึกว่าจะไปตื่นสายหน่อย โอเคๆ ขอบใจนะที่โทรมาบอก พรุ่งนี้เจอกันนะ”
[จ้า]


ดารินวางสายจากเพื่อนและกำลังจะเลื่อนไปหาของวายุแต่ก็ชะงักซะก่อน

“ไปเองก็ได้มั้ง พรุ่งนี้ค่อยส่งข้อความไปบอกแล้วกัน”
.
.
.
.
.
.
.

ตึก ตึก ตึก

“แม่ขา รินไปมหา’ลัยก่อนนะคะ”
“อ้าวทำไมไปแต่เช้าละลูก แล้วพี่วายุเขามารับแล้วเหรอ”
“เปล่าคะ รินไปเอง แต่ไม่ต้องห่วงคะรินส่งข้อความไปบอกแล้วคะ”
“ได้ยังไงกัน พี่วิณณ์ไม่ให้เราไปไหนมาไหนคนเดียวนะช่วงนี้”
“ไม่มีไรหรอกคะแม่ เดี๋ยวถึงมหา’ลัยแล้วรินรีบโทรบอกนะคะ ไปก่อนนะคะแม่ เดี๋ยวสาย”
“เดี๋ยวยายริน......ยายริน”

ดารินรีบออกจากบ้านและเดินไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย

.
.
.
.

“พี่โอกาสมาแล้วพี่ วันนี้น้องสาวไอ้ผู้กองมันมาคนเดียว......ได้พี่ เดี๋ยวผมขับรถตามมันไปเอง”

อะไรมันช่างประจวบเหมาะซะเหลือเกิน ซีนที่เฝ้าดูอยู่จนคิดว่าจะหมดหวังแล้ว โชคก็ดันมาเข้าข้างซะได้

“ยังไงวันนี้กูต้องเอาตัวมันไปให้ได้”

ดารินเลือกลงป้ายก่อนถึงมหา’ลัยหนึ่งป้ายเพราะเธอตั้งใจจะเดินมาทางท้ายซอยเพื่อมาหาหมาเด็กของเธอ

ทั้งที่พี่วิณณ์กับนายวายุกำชับไว้แล้วว่าไม่ให้ไปไหนคนเดียว หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ไม่ปลอดภัยทแต่นี่มันตอนเช้านี่คงไม่เป็นอะไรหรอก ซอยก็ไม่ใช่ซอยร้างอะไรบ้านสองข้างทางออกจะเยอะแยะ ดารินคิดแบบนั้นก่อนจะเดินเข้าไป


“เห็นมะ คนเข้าออกเยอะแยะจะตายไป ไม่รู้สองคนนั้นจะกลัวอะไร......โม่ โม่.....
.....อยู่ไหนเด็กออกมากินขนมเร็ว
........โม่ โม่”


ดารินได้ยินเสียงมีเท้ามาจากด้านหลัง ทำให้เธอดีใจที่น้องหมายอมออกมาหาเธอแล้ว


“ออกมาแล้วเหรอ! ....เอ่อ ขอโทษคะ”  แต่ไม่ใช่ ตรงหน้าเธอไม่ใช่หมา แต่เป็นคน คนที่เธอพอจะจำได้ลางๆว่าเป็นคนเดียวกับที่เธอเจอที่นี่เมื่อวันก่อน

“มาให้ข้าวเด็กๆอีกแล้วเหรอครับ”
“คะ”
“มาคนเดียวเหรอครับ”
“เพื่อนกำลังตามมาคะ”

ดารินเองเริ่มรู้สึกแปลกเธอจึงเลือกที่จะโกหกไป แต่ก็คิดผิดเพราะซีนรู้ดีว่าเธอมาคนเดียวและจะไม่มีใครตามมาตอนนี้แน่นอน  ซีนใจร้อนแทนที่จะรอลูกพี่กลับตัดสินใจทำเอง ผู้หญิงคนเดียวมันจะทำอะไรได้

และเมื่อซีนขยับเข้าไปใกล้ ดารินเองก็ขยับถอย



บรื้น บรื้น

มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับออกมาจากซอย ดารินอาศัยจังหวะนี้รีบเดินหนี เช่นเดียวกับซีนที่จะไม่ยอมปล่อยให้เสียโอกาส ทันที่ที่รถคันนั้นผ่านหน้าไป เขารีบเดินตามและ

“จะรีบไปไหน”  ซีนตรงเข้าจับที่แขนของดาริน ก่อนจะกระชากตัวให้เข้ามาใกล้และใช้มีดที่พกมาด้วยจี้ที่ข้างตัวดารินไว้

“อย่าโวยวายเดินไปดีๆ ถ้าไม่อยากโดนเสียบตายตรงนี้”

ดารินพยายามดิ้นและกระชากตัวเองให้หลุด แต่ไม่เป็นผล

“กูบอกอย่าดิ้น ท่าทางมึงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่”

ซีนกดปลายมีดเข้าไปที่ลำตัวดารินรู้สึกเจ็บแปลบทันทีและนั่นทำให้เสื้อนักศึกษาสีขาว กลับมีสีแดงไหลซึมออกมาด้วย ดารินเจ็บแต่ต้องทนฝืนไม่ร้องออกมา เธอไม่รู้ว่าแผลนั้นลึกแค่ไหน แต่มันก็ทำให้เธอน้ำตาซึม

“ถ้านายกูไม่สั่งไว้มึงได้ตายจริงๆ แน่”

มันเรื่องอะไรกัน เธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้มีศัตรูที่ไหน แล้วนายที่มันพูดถึงเป็นใครเธอก็ไม่รู้จัก

ซีนดันให้ดารินเดินไปข้างหน้าและตัวเองก็เดินขนาบข้าง ถ้ามองผิวเผินก็เหมือนเพื่อน แฟนหรือคนรู้จักเดินด้วยกันธรรมดา แต่ถ้าใครจะสังเกตซักนิด ว่ารอยสีแดงนั้นเริ่มขยายวงกว้างขึ้น

ดารินคร่ำครวญอยู่ในใจเธอน่าจะเชื่อพี่วิณณ์ ฟังแม่ และรอนายวายุให้มารับ เพราะความดื้อรั้นของเธอแท้ๆ

ซีนพาดารินเดินมาเกือบถึงท้ายซอยที่จอดรถทิ้งไว้ เพราะยังเช้าและบ้านแถวท้ายซอยไม่ค่อยมีนัก มันทำให้ทำงานได้ง่าย ซีนเปิดประตูรถและกำลังผลักดารินให้ไปนั่งข้างคนขับ



“มึงงงงง”


ผั่วะะะะ


วายุที่โผล่มากระโจนเข้าต่อยแจ็คจนล้มไป เขาหันไปหาดารินที่หน้าตาซีดเซียวคงเพราะตกใจแต่ทันทีที่วายุเห็นเลือดที่เลอะที่เสื้อ นั่นยิ่งทำให้เขาโกรธและสติหลุด

“ไอ้เหี้ย มึงทำอะไรดาริน หะ!”

วายุวิ่งเข้าใส่แต่ก่อนจะถึงตัว ซีนก็ถีบเข้าที่ท้องอย่างแรง วายุกระเด็นออกไป ซีนลุกขึ้นโดยมีดยังอยู่ที่มือ

“อยู่ดีไม่ว่าดีนะมึง เสือกจริง” ซีนเดินเข้าหาวายุแขนกำมีดแน่น ดารินพยายามตะโกนแต่ก็ไม่มีเสียง พยายามจะลุกแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง


ใครก็ได้ช่วยด้วย พี่วิณณ์ แม่ ช่วยด้วย


วายุถูกถีบถึงกับจุกแต่เหตุการณ์ตรงหน้ามันร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะมานั่งเจ็บ วายุขยับถอยหลังหนี มือก็ควานไปหาตามพื้นสะเปะสะปะ


พลึ่บบบ


เขากำเศษทรายที่พื้นปาใส่หน้า มันได้ผลมันทำให้ซีนต้องชะงักเพราะมองไม่เห็นและระคายเคืองตา วายุลุกขึ้นและถีบเข้าไปที่ตัวซีนจนล้มลง และวิ่งกลับมาที่รถเพื่อพาดารินหนีก่อน

แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย แผลก็เจ็บ เลือดก็เสียทำให้แม้แต่แรงยืนแทบไม่มี วายุจึงตัดสินใจให้ดารินขี่หลังและวิ่ง จุดหมายเขาคือไปที่ถนนอย่างน้อยก็คนเยอะและพลุกพล่าน


“อดทนนิดนึงนะคุณ” โกรธก็โกรธ โมโหก็โมโห แต่คนตรงหน้าเป็นอย่างนี้จะให้เขามานั่งบ่นนั่งว่าก็ใช่เรื่อง พาออกไปให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน

“อย่าคิดว่ากูจะยอมแพ้” ซีนวิ่งเข้ามาทางด้านหลังมีดก็ยังถืออยู่ในมือ ส่วนตัววายุเองก็ต้องวิ่งพร้อมกับแบกดารินไปด้วย

“ลำบากฉิบ... คุณ...นี่คุณ คุณไหวไหม คุณ”
“อะ....มะ”


ไม่ทันแล้ววายุชำเลืองมองหลัง ซีนใกล้เข้ามาแล้ว และแน่นอนเขาหนีไม่ทันแน่

“ตายซะมึง ไอ้ขี้เสือก”

วายุเอี้ยวตัวหลบมีดที่พุ่งเข้ามา นั่นทำให้เขาเสียหลัก เขาต้องเอนตัวเหวี่ยงดารินกลับมาอุ้มไว้ด้านหน้าก่อนจะล้มกระแทกพื้นโดยมีดารินอยู่บนตัว

วายุเจ็บจนจุกมันทำให้เขาลุกไม่ขึ้นและนั่นคือข้อเสียเปรียบ

“หมดฤทธิ์แล้วซินะมึง นายกูห้ามไม่ให้ทำอะไรไอ้ผู้กองกับน้องสาวมัน แต่ไม่ได้ห้ามฆ่ามึง”
“แฮ่ก แฮ่ก”
“เสือกยุ่งดีนัก งั้นก็เสือกตายไปด้วยเลยแล้วกัน”

วายุกอดดารินไว้กับอกและยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขากระเถิบตัวถอยหลัง สภาพแบบนี้อย่าว่าแต่จะสู้แค่หนียังลำบาก ซีนเดินเข้ามาใกล้ มือกำมีดไว้แน่น ด้วยความโทสะที่ครอบงำคำสั่งใครเขาก็ไม่สนใจ จะลืมให้หมด

“ตายซะ.....”



ปัง ปัง



ซีนก้มหลบพร้อมมองหาต้นเสียง

ไอ้วิณณ์

สายไปแล้วไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้ ซีนยังคงเดินเข้าไปหาวายุและดาริน และนั่นทำให้วิณณ์ตัดสินใจ
.
.
.

ปัง!

กระสุนหนึ่งนัดถูกยิงเข้าที่ไหล่ของซีนทำให้มีดกระเด็นหลุดจากมือและล้มลง มีดกระเด็นไปตกใกล้กับวายุ เขาจึงแต่มันให้ห่างออกไป และเมื่อเห็นคนตรงหน้าที่วิ่งเข้ามา วายุก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ดาริน ริน ยายริน...”
“คุณอย่าเพิ่งถาม ผมว่าพาดารินไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ ว่าแต่..คุณจะไม่จัดการไอ้นั่นก่อนเหรอ”
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมให้จ่าเติมจัดการ”
“....” วายุพยักหน้าเข้าใจ
“จ่าทางนี้”



จ่าเติมพร้อมกับสายตรวจสองนายเข้ามารับช่วงต่อ รถพยาบาลสองคันถูกเรียกมาอย่างไวด้วยความเตรียมพร้อมของจ่าเติม ต่างคนต่างขึ้นคนละคันแต่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือ โรงพยาบาล

“ไอ้หมอ กูกำลังพาดารินไปโรงพยาบาลมึงต้องอยู่รอห้ามไปไหน...”


ดาริน วายุและซีนถูกพาตัวเข้าห้องฉุกเฉินแยกไปคนละห้อง อาการบาดเจ็บจากแผลไม่สาหัสมาก ซีนต้องผ่ากระสุนที่ไหล่ออก และออกมาพักฟื้นห้องพักด้านนอกได้
ดารินมีแผลลึก 2นิ้วจากการถูกแทง และเสียเลือดเยอะเกินไป เธอจึงต้องพักฟื้นที่ห้อง ICU
ส่วนวายุแยกไปทำแผลถลอกตามตัว


วิณณ์รออยู่ด้านนอกห้อง เขาเอาแต่ครุ่นคิดว่าเป็นเพราะเขาที่น้องต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แล้วยังวายุอีกที่ต้องมาซวยเพราะคำขอร้องของเขา

“วิณณ์”
“ตะวัน”
“ใจเย็นๆ นะ ดารินต้องปลอดภัย อย่าคิดมากนะ”
“เพราะวิณณ์ น้องต้องเป็นแบบนี้เพราะวิณณ์”

วิณณ์พยายามกลั้นเสียงที่สั่นไว้ เขาไม่อยากอ่อนแอเขาไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น แต่ที่เขาร้อง ที่เขาเป็นแบบนี้เขาไม่ได้กลัว เขาแค่เจ็บใจ....
เจ็บใจที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้

“ถ้าอยากหลบสายตาคนอื่น ตะวันจะบังให้นะ”


พูดจบตะวันก็เข้าไปยืนตรงหน้าวิณณ์และโอบคอวิณณ์ให้ซบลงมาที่ท้อง


“ขอบคุณนะ”
“อืม”
“แต่ตะวันลืมอะไรไปหรือเปล่า”
“หืม”


“ตะวันเป็นวิญญาณนะ”





“.................!!!”





** แงงง มีเรื่องจะสารภาพเขียนไปเขียนมาเบลอใส่ชื่อลูกน้องเอ็มผิด ความจริงต้องชื่อซีน ไม่ใช่แจ็ค จะรีบทำการแก้ไข้ให้อย่างด่วนนะคร้าา **
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-08-2018 21:24:50
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-08-2018 04:32:54
เป็นไงล่ะ ไม่พูดกับน้องไปตรง ๆ ถ้าพูดจะได้ระวังตัวมากกว่านี้  :m16:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 07-08-2018 08:25:30
 :pig4:  ภาวนาให้ได้บวชนะ กลัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-08-2018 20:27:56
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 08-08-2018 07:19:20
เพิ่งเข้ามาอ่านสนุกมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-08-2018 22:01:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

ลุ้น ๆ

อัศวเมฆา   หรือ   อัครเมฆา

อันนี้คือสกุลเดียวกันที่พิมพ์ผิด  หรือคนละสกุล?
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 27 : เข้าใกล้ (28/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 28-08-2018 19:00:54
ตอนที่ 27 เข้าใกล้



อั่ก

ผั่วะ

ตุบ

ตุบ


“นาย นายผมขอโทษ นาย...”

เอ็มอ้อนวอนขอร้องให้นายไว้ชีวิต ถึงแม้เรื่องนี้เขาไม่ได้ก่อแต่ก็เป็นหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของลูกน้อง

“กูบอกมึงแล้วใช่ไหม“
“ผม....ผมขอโทษ ผมใช้ให้มันไปเฝ้าเฉยๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะลงมือเอง”
“มึงจะบอกว่า มึงไม่สามารถคุมลูกน้องได้”
“ปะ....เปล่าครับนาย”
“แล้วมันยังไงวะ!” ผู้เป็นนายขึ้นเสียงจนคนในห้องต่างตกใจ
“......”
“มึงหาทางทำยังไงก็ได้ ไม่ให้ไอ้สองตัวนั้นมันปากโป่ง ถ้า.....มึงทำไม่ได้ กูจะหาคนไปทำให้”





โรงพยาบาล....

“ไอ้วิณณ์ คุยกันหน่อยไหมเพื่อน” ไอ้หมอชายเดินมานั่งข้างผม
“คุยอะไรวะ”
“คุยอะไรก็ได้ที่มึงอยากระบาย”
“ไม่มี”
“มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมากี่ปี อย่ามาโกหกกู”

เฮ้อ ปิดอะไรมึงไม่ได้เลยซินะ

“มึงจะให้กูพูดเรื่องอะไรละ”
“แล้วแต่มึงเลย กูว่าง มีเวลาฟังมึงได้นาน...จนกว่ามนุษย์เมียกูจะเสร็จเคสผ่าคลอด”
“โธ่ ไอ้มนุษย์ผัวผู้กลัวเมีย”
“เกรงใจ มึงเรียกให้ถูก แต่ตอนนี้อย่ามาสนใจเรื่องกู เอาเรื่องมึงก่อน”
“กูไม่รู้จะเริ่มจากไหนก่อนเลยวะ มันวุ่นวายตั้งแต่ที่....”

จะบอกมันไงดีละวะเนี่ย วุ่นวายตั้งแต่มีตะวันเข้ามาในชีวิตนะเหรอ แต่ไม่ใช่ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ตรงกันข้ามชีวิตผมมีสีสันขึ้นตั้งแต่มีตะวันเข้ามามากกว่า

“เอ้า ไงต่อวะกูรอฟังอยู่”
“เออ เออ เอาเป็นว่าชีวิตกูมีเรื่องให้ทำ แล้วก็วุ่นวายขึ้นตั้งแต่ 1 เดือนที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ดารินถูกทำร้ายมันก็เป็นเพราะคดีที่กูทำ แต่ที่กูกังวลอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนี้”
“เดี๋ยวๆ ไอ้ผู้กอง กูงง ก็ไหนว่าดารินถูกพวกที่มึงตามคดีอยู่ทำร้ายไงวะ แล้วทำไมมึงถึงไม่กังวล”
“กังวลซิ น้องกูทั้งคนทั้งห่วงทั้งหวงเลย แต่ความหมายของกูคือมันมีเรื่องที่กูต้องกังวลมากกว่าเรื่องนี้อีก”
“..............”
“คดีที่กูกำลังสืบอยู่ ยิ่งกูสืบลึกเข้าไปเท่าไหร่ ข้อมูลมันยิ่งกลับพาไปหาอีกคดีหนึ่ง”
“คดีอะไรวะ”
.
.
.
“คดีที่เป็นเหตุผลให้กูมาเป็นตำรวจ”
“เฮ้ย..... จริงเหรอวะ?”
“อืม”  ผมตอบพร้อมกับพยักหน้าให้มัน
“มึงแน่ใจ?”

ผมพยักหน้า

“ซักกี่เปอร์เซ็นต์”
“...70”
“ไอ้วิณณ์ เรื่องมันผ่านมานานแล้วนะเว้ย มึงไม่คิดว่าคนพวกนั้นมันตายหรือถูกจับไปบ้างแล้วหรือไง ถึงมันจะใช่ตามที่มึงคิดแต่มึงเองก็ยังไม่มั่นใจเลย ไม่คิดว่ามึงอาจจะคิดผิดบ้างเหรอ”
“กูไม่รู้วะ มึงก็รู้เรื่องนี้มันคาใจกูมานานแค่ไหน”
“.....”
“ลึกๆ ในใจกูอยากให้มันเป็นแบบนั้น”
“.....”
“อยากให้มันเกี่ยวข้องกัน”

“ไอ้ผู้กอง..!!”

“กูอยากรู้ว่าคนที่ทำให้กูกับน้องต้องกำพร้าพ่อหน้าตามันเป็นยังไง”







[วายุ]


พยาบาลจัดการทำแผลพร้อมกับจัดยามาให้เรียบร้อย ผมพาตัวเองกลับบ้านมาก่อน ส่วนดารินหมอให้พักผ่อนงดเยี่ยม และผู้กองเองก็ยังไม่สะดวกคุยกับผม

“คุณวายุผมขอบคุณคุณมากนะครับที่ตามมาช่วยดารินได้ทัน”
“ผมรับปากคุณไว้แล้วผมต้องรักษาคำพูด แต่ผมก็ต้องขอโทษผู้กองที่ปล่อยให้ดารินออกจากบ้านเองโดยไม่มีผม ถ้าแม่ของผู้กองไม่โทรบอกผม ผมก็คงไม่รู้”

บทสนทนาระหว่างผมกับผู้กองก่อนที่จะแยกย้ายกัน

เฮ้ออออ ผมนั่งคิดถึงเหตุการณ์วันนี้ คนดวงมันจะซวย จะเจ็บตัวอะไรก็ช่วยไม่ได้ เมื่อคืนผมดันปิดโทรศัพท์เพราะแบตหมด มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าเปิดเครื่องมาเจอข้อความของดาริน ยังไม่ทันจะกดโทรศัพท์หาเจ้าตัว แม่ของดารินโทรมาพอดี



“วายุลูก ยายรินดื้อออกไปมหา’ลัยก่อนไม่ยอมรอวายุมารับ”



แค่ประโยคแรกที่แม่ดารินเอ่ยออกมาทำให้ผมรีบเด้งตัวออกจากที่นอน น้ำอะไรก็ยังไม่ได้อาบได้แต่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วพุ่งไปทันที ถามว่าห่วงไหมยอมรับว่าห่วงพี่ชายเขาอุตส่าห์ฝากให้ดูแลน้องสาวถ้าผมปล่อยให้เป็นอะไรไปคิดว่าศพไม่น่าจะสวยแน่นอน

-*-  ล้อเล่นครับ ตรงๆ เลยคือเป็นห่วงนั่นแหละ เพราะสังหรณ์ใจตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจอคนแปลกหน้าเข้ามาหาแล้ว

เอี๊ยดดด ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดในบ้าน บ้านปิดเงียบแบบนี้สงสัยพ่อกับแม่คงไปข้างนอกแล้วละ แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่าพ่อกับแม่ผมตอนนี้ก็คือ น้าดารา 

“น้าดาราคุยอยู่กับใคร?”

ผมตัดสินใจเดินไปทางบ้านน้าดารา เพราะปกติน้าจะไม่ค่อยมีแขกหรือใครมาหาเท่าไหร่ มองจากตรงนี้ก็ไม่น่าจะใช่อาอาทิตย์พ่อของตะวัน

“ใครวะ??”
.

.

.

“อ้าววายุ เข้ามาก่อนซิ”

น้าดาราเอ่ยทักผมทันทีที่ผมเดินเข้าไป ผู้ชายคู่สนทนาหันหน้ามาทำให้ผมจำได้ว่าเคยเจอมาก่อน ที่โรงพยาบาล

“ครับ”
“ไปไหนมาจ้ะ แล้วนี่เรามีอะไรกับน้าหรือเปล่า”
“ไปธุระมานะครับ พอดีกำลังจะเข้าบ้านแต่พ่อกับแม่ไม่อยู่เลยแวะมาหาน้ากับตะวันก่อนนะครับ แต่ไม่รู้ว่าน้ามีแขก”
“อ๋อ น้าลืมแนะนำให้รู้จักกัน วายุนี่ลม และลมนี่วายุจ้ะ”
“สวัสดีครับ / สวัสดีครับ”
“อืม วายุต้องเป็นพี่ซินะ เพราะลมเป็นน้องตะวันไม่กี่เดือนเอง”
“น้องตะวัน?”
“ตายจริงน้าก็ลืมไปว่าวายุยังไม่เคยเจอกับลม ลมเขาเป็นน้องชายตะวันจ้ะ ลูกชายอีกคนของคุณอาทิตย์”

ลูกชายอีกคนของอาอาทิตย์ คนนี้ซินะที่แย่งความรักและครอบครัวไปจากน้าดาราและตะวัน

“วายุเป็นอะไรหรือเปล่าจ้ะ”
“อะ..เอ่อ เปล่าครับ น้าดาราไม่ว่าง ผมว่าผมกลับบ้านก่อนดีกว่าครับ”
“ไม่ว่างอะไร ไม่ต้องเกรงใจคนกันเองทั้งนั้นเข้ามาก่อนเถอะ”
“ครับ”

ผมรับคำและเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามนายลม

“กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอครับ ดูซีเรียสกันจัง”
“น้ากับลมกำลังคุยกันเรื่องตะวันนะจ้ะ คุณอาทิตย์เขาอยากส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกา”

“อเมริกา!!”

“ใช่จ้ะ น้าก็ว่าดีนะ เห็นเขาว่าที่นั่นหมอเก่งๆเยอะ เครื่องไม้เครื่องมือก็ทันสมัยกว่ามาก ตะวันอาจจะหายไวขึ้นก็ได้นะ หรือวายุว่ายังไง”
“เอ่อ....”
“ผมว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีนะครับ”
“แต่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าตะวันไปแล้วจะหายแน่นอน”
“ครับ แต่ลองก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ”
“....”
“พี่ตะวันอยู่นี่ก็เหมือนนอนรอเวลา จะนอนแบบนี้ไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดชีวิต ถ้ามีทางไหนที่พอจะมีโอกาส จะแค่ 1 หรือ ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ผมว่าเราน่าจะเสี่ยง”
“แล้ว น้าดาราละครับ”
“น้าก็จะไปด้วยจ้ะ”
“ครับ ถ้าน้าดาราคิดว่ามันดีสำหรับตะวันผมก็คงไม่มีอะไรคัดค้าน”


วายุกลับออกมาโดยหอบเอาความกระวนกระวายใจมาเต็มวิญญาณตะวันติดอยู่ระหว่างความเป็นความตายเพราะต้องทำภารกิจให้เสร็จนั่นคือข้อตกลงของการกลับเข้าร่าง


ถ้าร่างตะวันไปไกลขนาดนั้น จะมีผลอะไรกับวิญญาณไหม หรือวิญญาณต้องตามไปด้วย


แล้วภารกิจละจะทำยังไง


แล้วถ้าตัวกับวิญญาณต้องห่างกันมันจะเป็นยังไง


แล้วผู้กองละจะว่ายังไง






[วิณณ์]

ผมกลับมารอที่คอนโดเพราะไอ้หมอยังไม่ยอมให้ใครเข้าไปเยี่ยมดารินทั้งนั้นจนกว่าจะพรุ่งนี้เช้า ไม่รู้มันจะโหดไปไหน

“วันนี้มึงพาแม่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะผู้กอง ดารินต้องพักก่อนกูคงยังให้เยี่ยมไม่ได้”

ก่อนกลับผมแวะไปที่บ้านสวนเพื่อให้แม่ไปเอาของใช้และมาพักที่คอนโดด้วยกันระหว่างที่ดารินอยู่โรงพยาบาล การเดินทางสะดวกกว่าและผมเองก็สบายใจกว่าที่จะปล่อยให้แม่กลับไปอยู่บ้านคนเดียว

“แม่ครับ เดี๋ยวแม่นอนในห้องวิณณ์นะ เดี่ยววิณณ์ไปนอนที่โซฟาข้างนอก”
“นอนกับแม่ข้างในนี่ก็ได้นี่ลูก”
“ไม่เป็นไรครับ วิณณ์ทำงานดึกๆ นอนไม่เป็นเวลาแม่พาลจะนอนไม่หลับเอา”
“ตามใจ งั้นแม่ไปอาบน้ำก่อนนะเดี๋ยวออกมาคุยด้วย”
“ครับ”
.

.

.

“วิณณ์ไม่นอนกับแม่เหรอ นอนโซฟาเดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก”
“ไม่ปวดหรอกนอนออกจะบ่อย”

“เหมือนกันที่ไหนอันนั้นมันนอนแปปเดียว นี่ต้องนอนทั้งคืนนะ”
“นอนได้ เชื่อวิณณ์ซิ อีกอย่างกลัว....เหงานะ”

“อะไร มากลัวเหงาอะไรตอนนี้”
“เปล่า ไม่ได้กลัวเหงา”

“ก็เพิ่งพูดอยู่ว่ากลัวเหงา”

“วิณณ์บอกว่า ที่ออกมานอนข้างนอกเพราะ กลัวตะวันเหงา เข้าใจยัง

.

.

.

“ยังทำงานอยู่อีกเหรอวิณณ์” แม่อาบน้ำเสร็จก็ออกมานั่งคุยกับผม
“ครับแม่”
“เรื่องดารินเพราะคดีที่วิณณ์ทำเหรอลูก”
“.....ผมขอโทษนะครับแม่”
“ขอโทษแม่ทำไม”
“รินเป็นแบบนี้เพราะวิณณ์”
“แม่ไม่อยากให้วิณณ์โทษตัวเอง รินเองก็คงเหมือนกัน ตั้งแต่ที่วิณณ์ตัดสินใจเป็นตำรวจแม่กับน้องก็ยอมรับและไม่ทักท้วงอะไรตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
“....”
“สิ่งเดียวที่แม่จะขอคือขอให้วิณณ์ดูแลตัวเองให้ดี เพื่อแม่ เพื่อน้อง และเพื่อตัวเอง”
“ครับแม่ ขอบคุณแม่นะครับ”


ผมเข้าไปกอดแม่


“วิณณ์ เล่าให้แม่ฟังได้ไหม”
“ครับ?”
“แม่ได้ยินที่วิณณ์กับชายคุยกัน”


ผมสูดหายใจและผ่อนลมออกมาเป็นจังหวะ


“ลำบากใจเหรอลูก ถ้าไม่อยากเล่าไม่เป็นไรนะ”
“เปล่าครับ ผมอยากเล่าให้แม่ฟังนะครับ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี กลัวทำแม่เครียดไปด้วย”
“เล่ามาเถอะ คงไม่มีอะไรให้แม่เครียดไปกว่าเรื่องดารินตอนนี้หรอกลูก”
.

.
“คดีที่ผมกำลังสืบอยู่ ข้อมูลที่มีมันบ่งชี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับของคดีของพ่อ”
“จริงเหรอลูก”
“ครับ แต่มันก็ยังไม่เต็มร้อยหรอกนะครับ”
“แล้วทำไมวิณณ์ถึงคิดว่าเกี่ยวข้องกันละ”
“จากหลักฐานรูปถ่ายที่ผมได้มา มันชี้ไปที่กระบวนการค้ายาเสพติด ผู้ผลิตหรือเจ้าของยารายใหญ่แต่ละรายจะมียี่ห้อเป็นของตัวเอง”
“......”
“คดีที่ผมกำลังตามอยู่ก็เหมือนกัน ยี่ห้อของยามันเป็นยี่ห้อเดียวกับในรายงานคดีที่พ่อตามอยู่....ก่อนจะเสียชีวิต”
“......”
“......”
“แม่จะไม่ห้ามวิณณ์ เพราะแม่รู้ว่าวิณณ์จริงจังกับเรื่องนี้แค่ไหน.....แต่สัญญากับแม่เรื่องหนึ่งได้ไหม....”
“....ครับ”
“ดูแลตัวเอง อย่าให้เป็นแบบพ่อ”
“ครับแม่”

“เฮ้อ แม่ก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะบังเอิญประจวบเหมาะกันแบบนี้ แม่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้วิณณ์ฟังแต่คิดว่าคงถึงเวลาแล้ว”
“เรื่องอะไรครับ?”

“ตอนที่พ่อเริ่มทำคดีนี้ พ่อมักจะหอบงานกลับมาทำที่บ้านเสมอ เบาะแสคดีหลายๆชิ้นพ่อก็เอากลับมาบ้านหมด พ่อหมกหมุ่นกับมันมาก บางทีจ่าเติมหรือลูกน้องคนอื่นๆ ที่มาหาพ่อยังต้องเตือนพ่อไม่ให้หักโหมเกินไป แต่พ่อก็ไม่ฟังยิ่งพ่อสืบคดีมากเท่าไหร่พ่อก็ยิ่งถลำตัวลึก ตามจับคนในแก๊งค์ในขบวนการค้ายามากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถจับตัวหัวหน้าใหญ่ จนวันสุดท้ายแม่ได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ รู้แต่พ่อโกรธ และโมโหมาก....

‘ทำไม ทำไมแกทำแบบนี้ ไม่คิดเลยตำรวจที่จับคนร้ายมาทั้งชีวิต สุดท้าย....สุดท้ายต้อง...!’


แม่ได้ยินพ่อคุยแค่นั้น แต่แม่คิดว่าพ่อต้องรู้จักกับคนที่พ่อคุยด้วย ไม่งั้นพ่อคงไม่เสียใจขนาดนั้น”


“แล้วแม่ได้ถามพ่อไหมครับ”
“แม่ไม่เคยยุ่งเรื่องงานของพ่อ จนกว่าพ่ออยากจะคุยกับแม่เอง”
“.....”
“คืนนั้นพ่อเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือทั้งคืน ก่อนจะออกไปตอนเช้ามืดและบอกแม่แค่ว่าจะไปหาเพื่อน แล้วสุดท้ายพ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย”
“หาเพื่อน? เพื่อนคนไหนครับ”
“เป็นเพื่อนสมัยเรียนของพ่อนะจ้ะ รู้สึกจะชื่อ……”

“.....ยงยุทธ…..”








[ยมโลก]

“ใกล้แล้วซินะ”

“หมายว่ายังไงหรือขอรับท่านพญายม”

“จุดสิ้นสุดของเรื่องนี้ใกล้จะมาถึงแล้ว”

“และ............”

“แต่เจ้าอย่าถามเราว่ามันจะจบเยี่ยงไร เราไม่มีคำตอบให้กับเจ้าหรอก”

“อ้าว”

“ถึงแม้ชะตาชีวิตของแต่ละคนจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านั้นจะเดินตามเส้นที่กำหนดไว้ ข้อนี้เจ้าเองก็รู้ดี”

“ขอรับ”

“เราถึงบอกว่าเราให้คำตอบเจ้าไม่ได้หรอกว่าจะจบแบบไหน จนกว่าคนพวกนั้นจะเลือกเอง”

“ขอรับ”

.

.

.

“แต่ขออย่าให้เป็นอย่างที่เราคิดเลย”

นั่นคือสิ่งที่ในใจของท่านพญายมคิด ไม่มีใครล่วงรู้ว่าหมายถึงอะไร หรือถึงใคร คงจะมีเพียงแค่ตัวท่านเองเท่านั้นที่รู้





“ทำเหมือนกับท่านไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่องั้นแหละ”

“ท่านคิดว่าเรารู้ หรือไม่รู้อะไรหรือท่านเทว”

“ก็อย่างเรื่องวิญญาณตนนั้นกับมนุษย์ตำรวจผู้นั้น”

“ท่านก็รู้ว่าเราไม่สามารถเข้าไปยุ่งไม่ได้”

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าท่านไม่ยุ่งเลย”



เทว คือ ทูตสวรรค์ที่อยู่ในคณะพิจารณาคัดสรรวิญญาณมาทำภารกิจ ตะวันถูกเลือกเพราะคุณสมบัติตรงกับหลักเกณฑ์ทุกข้อ แต่เหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้ตะวันไม่ถูกเลือก ก็คือ การที่ตะวันฆ่าตัวตาย

แต่ท่านกาลเวลาก็ยังฝืนกฎข้อนี้และเลือกตะวันมาทำภารกิจและเป็นผู้ถูกเลือก และที่ท่านเทว ไม่ขัดหรือห้ามนั้นก็เพราะท่านเองก็อยากจะรู้ว่า ความคิดของท่านกาลเวลานั้นถูกหรือไม่


“เราจะมาเตือนท่านว่า เบื้องบนเริ่มระแคะระคาย ถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านจะทำอะไรก็รีบซะเถอะ ก่อนที่จะไม่ได้ทำ”

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-08-2018 20:16:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใช่มะ...เพื่อนสนิทพ่อเป็นคนสั่งฆ่าพ่อเอง

ป.ล. เรื่องมันต้องจบ แต่จะจบแบบไหนกัน?

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 26 : กัดฟันสู้ (06/08/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 20-09-2018 15:43:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 28 : ใกล้ความจริง (20/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 20-09-2018 19:36:10
ตอนที่ 28 ใกล้ความจริง



วิณณ์รู้สึกสับสนกับเรื่องที่ได้รู้จากแม่ นี่คือครั้งแรกที่แม่พูดกับเขาและเขาก็จะไม่รออยู่เฉยๆ ให้เรื่องผ่านไป ถ้าอยากรู้เขาก็ต้องไปหาความกระจ่าง

เช้าวันถัดมาหลังจากที่ส่งแม่ไป รพ. วิณณ์ก็แยกมาโดยบอกแม่เพียงว่าไปทำธุระที่ สน. แต่จุดหมายปลายทางที่มุ่งไปกลับเป็นบ้านเพื่อนของผู้เป็นพ่อ นายยงยุทธ อัศวเมฆา

“มาหาใครครับ”

“ผมมาขอพบคุณยงยุทธครับ”

“ให้บอกว่าใครขอพบครับ”

“ผมวิณณ์ครับ”

“รอสักครู่ครับ”


ยามหน้าประตูหายไปสักพักและในขณะที่ผมกำลังรออยู่ที่ด้านหน้าประตูรถกะบะสามคันก็ขับออกมาจากด้านหลังซอย

บ้านหลังสุดท้ายสุดซอย? งั้นก็แสดงว่าออกมาจากบ้านหลังนี้?

รถค่อยๆแล่นผ่านไปทีละคัน

1

2

และ

3


นั่นมัน......





“เชิญครับ”

วิณณ์ดึงสติกลับมาสนใจกับคนตรงหน้า ยามหน้าประตูเดินมาบอกและเปิดประตูให้เขาขับรถเข้าไปด้านใน

“คุณยงยุทธให้ไปพบที่ห้องรับแขกเรือนเล็กคะ”

“โห เพื่อนของพ่อวิณณ์ท่าทางจะรวยน่าดูเลยเนอะ บ้านหลังเบ้อเริ่มเลย”

“ก็คงอย่างนั้นแต่วิณณ์ก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกัน”

“เชิญทางนี้คะ”


วิณณ์และตะวันเดินลงมาจากรถและมีแม่บ้านเดินมารับและนำพวกเขาสองคนเข้าไปสวนด้านหลัง


“ไอ้หนุ่มเอ็งจะไปไหน”
“ผะ....ผมเหรอครับ”

“เออซิวะ มีเอ็งได้ยินข้าอยู่คนเดียวจะให้ข้าพูดกับใคร พูดกับไอ้หนุ่มนั่นรึ”
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมขออนุญาติท่านเจ้าที่เข้าไปข้างในนะครับ”

“ไม่ได้”
“อะ...อ้าว ไหงงั้นละครับ ผมขอเข้าไปนะครับนะ ผมต้องเข้าไปทำภารกิจ”

“เรื่องของมนุษย์ วิญญาณอย่างเจ้าไม่ควรยุ่ง”
“แต่ว่า ผมต้องทำภารกิจนะครับ แล้วเรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับภารกิจด้วย”

“ต่อให้เกี่ยวกับภารกิจ หรือต่อให้เจ้ามีสร้อยเส้นนั้น ก็ใช่ว่าเจ้าจะเข้าออกสถานที่ใดตามอำเภอใจได้นะ”



“ตะวันเป็นอะไรทำไมไม่เดินตามไป”

“ยุ่งแล้วซิวิณณ์ ท่านเจ้าที่ไม่ยอมให้ตะวันเข้าไปอะ”

“ทำไมอะ”

“จำที่ตะวันเคยบอกได้ไหม สร้อยสามารถพาไปได้ทุกทีแต่ว่าต้องได้รับการอนุญาติจากเจ้าของสถานที่ก่อนเสมอ”

“จำได้ แต่เหตุผลละ ทำไมไม่ให้ตะวันเข้าไป”

“ท่านบอกว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ไม่เกี่ยวกับตะวัน”

“งั้นเหรอ งั้นตะวันรออยู่นี่ละ เดี๋ยววิณณ์รีบออกมา”

“แน่ใจเหรอ ไปได้แน่นะ ไม่ต้องการกำลังเสริมเหรอ”

“นี่ ไม่ได้ไปรบแค่ไปคุยธุระ รอนี่แหละ อย่าทำให้ท่านเจ้าที่เขาลำบากใจ แล้วก็อย่าซนละ”

“คร้าบบบบ พ่อ”

“หึหึ”

“โยกหัวอีกและ”




“เฮ้ออ ข้าละไม่เข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆ”

“หืม? ความสัมพันธ์แบบไหนเหรอครับ”

“ก็แบบที่เจ้าสองคนเป็นอยู่ไง คนหนึ่งก็มนุษย์ อีกคนก็วิญญาณ”

“เราแค่ช่วยกันทำภารกิจนะครับ ท่านเจ้าที่รู้ไหมวิณณ์ใจดีมากเลยนะครับ ยอมช่วยตะวันทั้งที่ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกันมาก่อน แถมตะวันเป็นวิญญาณแบบนี้วิณณ์ยังรับได้เลย”

“ก็นั่นแหละที่ข้าไม่เข้าใจ”

“.....”

“ถ้าเจ้าเป็นญาติเป็นเพื่อนไอ้หนุ่มนั่นข้าก็พอจะเข้าใจ แต่นี่เจ้าไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน กลับสนิทสนมและช่วยเหลือกันเหมือนรู้จักกันมาเป็นชาติอย่างนั้นแหละ”

“ท่านว่ามันแปลกเหรอครับ?”

“หรือเจ้าว่าไม่แปลก”


ฮึ.....พั่บๆ

“ไม่ต้องสั่นหัวแทบหลุดขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเป็นข้านะคงถอดใจไปตั้งแต่แรกแล้วละมั้ง ไม่ใช่เรื่องของตัวเองจะทนทำให้ลำบากทำไม คุยทีหนึ่งก็กลัวใครเห็น เขาจะพาลหาว่าบ้าพูดคนเดียว”

“..............”






[วิณณ์]


แม่บ้านพาผมเดินอ้อมมาทางด้านข้างของตัวบ้าน มองไปซ้ายมือด้านในบ้านเห็นห้องรับแขกขนาดใหญ่ ขวามือฝั่งตรงข้ามเป็นสวนและบ่อปลา เดินมาเรื่อยจนถึงสระว่ายน้ำและด้านหน้าคือเรือนรับรองหลังเล็ก นั่นคงจะเป็นจุดหมายของเรา

“เชิญข้างในคะ” ผมเดินตามแม่บ้านเข้าไป ด้านในคือห้องทำงานที่ผมว่ามันใหญ่มากแต่ของข้างในทำให้เล็กลงได้ถนัดตา

โต๊ะทำงานที่ถ้าแบ่งออกมาคงนั่งทำงานได้สัก 3คน
ตู้โชว์ที่ของด้านในเต็มไปด้วยของมีค่า
ตู้เซฟขนาดที่พอจะเดาได้ว่าข้างในน่าจะมีอะไร
โทรทัศน์ LED ดิจิตอลขนาดน่าจะซัก 50นิ้วได้
ตู้เย็นขนาดใหญ่ที่สามารถใช้กับตำรวจทั้งโรงพักได้
และรูปเจ้าของบ้านด้านหลังโต๊ะทำงานที่ใหญ่กินพื้นที่ไปเกือบทั้งด้าน

นี่แค่ห้องทำงานยังขนาดนี้ วิณณ์ไม่อยากจะเดาเลยว่าข้างในบ้านหลังใหญ่นั่นจะขนาดไหน

ไม่น่าเชื่อว่าแค่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะสามารถร่ำรวยได้ขนาดนี้

“นั่งรอสักครู่นะคะ คุณท่านกำลังมาคะ”

“ครับ”




------------------------------------------------


“ตะวันอยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ มีเงินเยอะๆ แบบนี้จัง”

“บางทีการมีหลังใหญ่โตก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีความสุขเสมอไปนะไอ้หนุ่ม”

“ทำไมละครับ”

“ก็ความสุขนะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีเงินเยอะแค่ไหน มีบ้านหลังใหญ่โตเท่าไหร่ หรือมีรถคันหรูๆขับ แต่ความสุขนะมันอยู่ที่นี่”


ท่านเจ้าที่พูดพร้อมกับชี้ไปที่หน้าอก

“แค่เราอยู่ในที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจ สามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่ มีคนที่เข้าใจจะมีเป็นสิบเป็นร้อยหรือแค่คนเดียว เราก็มีความสุขแล้ว”

“ก็จริงนะครับ”

“ตอนนี้เจ้าเองก็มีความสุขอยู่ซินะ”

“ใช่ครับ ตะวันไปทุกที่กับวิณณ์ ทำโน่นนี่นั่นกับวิณณ์ต่อให้คนอื่นไม่เห็นตะวัน ตะวันก็ไม่สนใจหรอกครับ แค่มีวิณณ์ก็โอเคแล้ว”

“เฮ้อ ข้าบอกแล้วข้าไม่เข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้จริง เฮ้ออออออออออออออ”


อ้าว ท่านเจ้าที่ถอนหายใจทำไมละครับ แล้วไม่เข้าใจอะไรเหรอ งงแฮะ


-----------------------------------------




แกร็กกก.....

วิณณ์หันไปตามเสียงที่ได้ยิน พร้อมกับลุกขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินเข้ามา

“สวัสดีครับ”

“สวัสดี สวัสดี ลมอะไรหอบมาหาอาได้ละ นั่งก่อนเถอะ” ชายสูงวัยตรงหน้าพูดพร้อมกับเดินมานั่งที่โซฟา

“มีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาอาได้วันนี้”

“ที่ผมมาหาคุณยงยุทธวันนี้เพราะอยากถามเรื่องเรื่องหนึ่งนะครับ”

“เรียกคุณทำไม ฟังแล้วมันห่างเหินเกินไป เรียกอาเถอะ”

“ครับ อาจจะเพราะผมยังไม่ชินเท่าไหร่”

“เอาเถอะค่อยๆ เรียกไปเดี๋ยวก็ชิน แล้วเรื่องอะไรที่อยากถามอาหรือ?”

“เรื่องของพ่อนะครับ”

“..............”

“ผมรู้มาว่าก่อนที่พ่อจะเสีย พ่อกำลังทำคดีหนึ่งอยู่เป็นคดีค้ายาเสพติด และเหมือนพ่อจะสืบรู้เรี่องสำคัญที่จะสาวถึงตัวการได้แล้ว แต่พ่อก็ดันถูกฆ่าซะก่อน”

“อืม อาเสียใจมาก ทั้งอาและอาพงษ์เราเสียใจกันทั้งคู่ เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนด้วยมาเป็น 10-20 ปี เคยเตือนพ่อเราให้ระวังตัวแต่ก็.....”

“......”

“......”

“แม่ผมบอกว่า พ่อน่าจะรู้จักหรือรู้ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับคดีที่พ่อสืบอยู่ว่าเป็นใคร”

“.....”

“แม่ได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์ หลังจากที่พ่อคุยเสร็จพ่อก็ขังตัวเองอยู่ในห้องทำงาน และออกไปอีกทีตอนเช้ามืด ก่อนที่พ่อจะออกไปพ่อแค่บอกกับแม่ว่าจะไปหาเพื่อน”

“......”

“......”

“เพื่อนเหรอ”

“ครับ เพื่อน”

“......”

“เพื่อนที่ชื่อ.....”

“.......”
.
.
.
.
“ยงยุทธ”


“....!!”

“ผมเลยอยากรู้ว่าเพื่อนที่ชื่อยงยุทธที่พ่อพูดถึง ใช่คุณไหมครับ”

“เอ่อ.....” นายยงยุทธอ้ำอึ้งแล้วก็ถอนหายใจออกมา

“ก็ถ้าเพื่อนตั้งแต่เรียนกันมาและยังคบกันมาตลอดมี ยงยุทธ เดียวก็คืออานี่แหละ แต่อากับพ่อเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ไม่ได้เจอกันเลยจนพ่อเราเสีย”

“เหรอครับ คุณจะบอกว่าพ่ออาจมีเพื่อนคนอื่นอีกที่ชื่อเหมือนกันหรือความจริงแล้วพ่อมาหาคุณแต่มาไม่ถึง...”

“.....วิณณ์!!”  ยงยุทธเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อได้ยินประโยคนั้น




Rrrrrrrrrrrrrrrr

[ผู้กอง ตะวัน.....]

ผมยุติการสนทนากับนายยงยุทธไว้แค่นั้นเพราะสายที่ผมเพิ่งรับมีเรื่องที่สำคัญกว่า แต่ก่อนที่ผมจะออกมา.......

“เหตุผลที่ผมมาเป็นตำรวจก็พราะพ่อ ผมอยากรู้ว่าทำไมพ่อต้องตาย อะไรและใครทำให้พ่อผมตาย ตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจสอบเข้าตำรวจจนถึงตอนนี้ผมก็ยังทำเรื่องนี้มาตลอด ผมจะไม่หยุดและผมต้องสืบให้ได้”

ผมกลับออกมาโดยมีตะวันตามมาติดๆ จุดหมายปลายทางคือ บ้านของตะวัน


ตะวันกำลังจะถูกส่งตัวไปอเมริกา


แค่ประโยคเดียวแต่กลับทำให้คนฟังร้อนรนได้อย่างไม่น่าเชื่อ วิณณ์รีบเร่งออกมาจากบ้านนายยงยุทธเพื่อไปที่บ้านของตะวัน จนตะวันเองสงสัย

“วิณณ์รีบไปไหน”

“ไปบ้านตะวัน”


อ๊อดดดดดด


“อ้าวผู้กองมาได้ยังไงคะ”

“สวัสดีครับคุณน้า”

“สวัสดีจ้ะ ผู้กองมีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาได้”

“ครับ ผมรู้มาว่าตะวันกำลังจะถูกส่งไป อเมริกา


“หะ!! อะไรนะ ทำไม...วิณณ์...แม่ ทำไมถึงส่งผมไปอเมริกาละครับ”


“วายุบอกผมนะครับ”

“แหนะ รู้สึกว่าพักนี้สองคนจะสนิทกันจังเลยนะคะ”

“ครับ”

“คุณอาทิตย์พ่อของตะวันนะคะ เขาอยากส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกาเพราะว่าเพื่อนของคุณอาทิตย์รู้จักหมอเก่งๆ ที่นั่น”


“ไม่ไปนะวิณณ์ ไม่ไปนะแม่ วิณณ์ก็รู้ว่าอาการของตะวันไม่ได้ต้องให้หมอที่ไหนรักษานี่”


“เอ่อ คุณน้าครับจำเป็นต้องส่งไปเหรอครับ”

“น้าก็ไม่รู้จะว่ายังไงดี น้าจำได้นะเรื่องที่ผู้กองบอกตอนแรกแต่ตอนนี้ตะวันก็ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว น้าเองก็อยากให้ตะวันหาย เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีของตะวันนะจ้ะ”

วิณณ์ฟังแม่ของตะวันไม่ใช่เขาไม่ยอมรับเหตุผลของคนเป็นแม่ แต่ก็อย่างที่รู้อาการของตะวันมันไม่เกี่ยวกับการรักษาทางแพทย์

“คุณน้าครับ”

“คะ?”

“ผมมีเรื่องอยากบอกคุณน้าครับ”

“.......”

“ถ้าผมจะบอกว่า......ต่อให้ส่งตะวันไปหรือมีหมอที่เก่งมากแค่ไหน......”

“.......”

“ตะวันก็จะไม่ฟื้นขึ้นมา คุณน้าจะว่ายังไงครับ”

เธอรู้สึกตกใจและโกรธในคราวเดียวกันที่ได้ยินประโยคนี้ของวิณณ์ แต่เธอก็เป็นคนมีเหตุผลพอที่จะไม่โวยวายอะไรออกไป

“งั้นน้าก็อยากฟังเหตุผลว่าทำไมผู้กองถึงคิดแบบนี้”

เอาแล้วไงงานยากสำหรับเขาตอนนี้จะพูดยังไงให้แม่ของตะวันเชื่อ และที่สำคัญไม่คิดว่าเขาบ้า

“เอ่อคือ....มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ และไม่น่าเชื่อ แต่ผมก็อยากบอกให้คุณน้าฟัง จริงๆแล้ว....ตะวันอยู่กับเราที่นี่ตอนนี้”

“ก็ใช่ซิจ้ะ ก็ตะวันนอนอยู่นี่ไง เขาก็ต้องอยู่ที่นี่ซิ”

“ไม่ใช่ครับ แต่ที่ผมหมายถึงไม่ใช่ร่างกาย”

“ยังไงคะผู้กอง น้างง ไปหมดแล้ว”

“คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อตายไปวิญญาณจะหลุดออกจากร่างแล้วไปภพภูมิอื่นๆ กรณีของตะวันก็เป็นเช่นนั้น”

“น้าไม่ตลกด้วยนะคะผู้กอง ตะวันยังนอนอยู่ที่นีี ร่างกายตะวัน หัวใจตะวันยังทำงานเป็นปกติ แล้วผู้กองจะมาบอกว่าตะวันเป็นกรณีเหมือนคนตายทั่วไปได้ยังไง”

“ผมไม่ได้บอกว่าตะวันตาย แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันแค่ใกล้เคียง”

“.....”

“ตะวันอยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย ผลจากอุบัติเหตุทำให้ตะวันเป็นเจ้าชายนิทรา แต่จริงๆแล้วเหตุที่ตะวันยังไม่ฟิ้นเพราะวิญญาณของตะวันหลุดออกจากร่าง และไม่สามารถกลับเข้าร่างได้”


ผู้เป็นแม่มองวิณณ์อย่างสงสัยเธอเข้าใจในสิ่งที่วิณณ์พูด แต่ไม่เข้าใจว่าวิณณ์ต้องการอะไรถึงมาบอกเธอแบบนี้วิญญาณ โลกหลังความตายเธอรู้จักเรื่องพวกนี้ดี แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง


“เดี๋ยวนะคะผู้กองจะบอกว่า ที่ตะวันยังไม่ฟื้นเพราะว่าวิญญาณไม่สามารถกลับเข้าร่างได้งั้นเหรอคะ”

“ครับ”

“ทำไม?”

“เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนนะครับ แต่ผมขอสรุปสั้นคือ การที่ตะวันฆ่าตัวตายทำให้วิญญาณออกจากร่างและกลับเข้าร่างไม่ได้”

“กลับเข้าร่างไม่ได้เหรอคะ”

“ครับ วิญญาณตะวันไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ ตอนแรกผมก็งงกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

“แล้วผู้กองรู้ได้ยังไงคะ แล้ว....แล้วทำไมตะวันถึงไม่เคยมาหา หรือมาบอกอะไรกับน้าเลยละ แทนที่จะมาหาน้ากลับไปหาผู้กองแทน”

“เพราะผมต้องช่วยตะวันทำภารกิจให้สำเร็จเพื่อที่จะได้รับพรให้วิญญาณของตะวันได้กลับเข้าร่าง และอีกอย่างตอนนี้คุณน้าเห็นตะวันไหมละครับ”

“ไม่คะ”

“แต่ผมเห็นครับ ผมเห็นตะวัน ผมได้ยินตะวันและพูดคุยกับตะวันได้เพียงคนเดียว คงเป็นเพราะเหตุผลนี้”

“ไม่ยุติธรรมเลยทำไมน้าเป็นแม่แท้ๆ กลับถึงไม่รู้สึกอะไรเลย ช่วยลูกตัวเองไม่ได้ ฮึก...”


“แม่ แม่ครับอย่าร้องเลยนะ วิณณ์ทำไงดี”


“คุณน้าครับอย่าโทษตัวเองเลย ตะวันเองคงไม่อยากรู้สึกบาปไปมากกว่านี้ ตอนนี้เราต้องมาช่วยกันทำยังไงไม่ให้ตะวันถูกส่งตัวไปดีกว่านะครับ”

“……”

“คุณน้าครับตะวันไม่มีทางฟื้น ต่อให้มีหมอที่เก่งและดีแค่ไหนตะวันก็จะไม่ฟื้นจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ คุณน้าเชื่อผมเถอะนะครับ”

“น้า เอ่อ...น้า”

“แม่ครับเชื่อวิณณ์เถอะนะครับ ถ้าร่างผมต้องไปไกลขนาดนั้นวิญญาณผมจะทำยังไง”

“ผู้กอง น้าเชื่อผู้กองนะคะแต่ว่าน้าจะทำให้พ่อของเขาเชื่อยังไงนี่ซิ ผู้กองเข้าใจน้าใช่ไหม”

“เรื่องนั้นเราจะช่วยกันคิดนะครับ”


แม่ผมพยักหน้าตอบรับ


ผมกับวิณณ์ขึ้นมาบนห้องนอน พยาบาลพิเศษที่พ่อส่งมาดูแลจึงขอตัวลงไปข้างล่างปล่อยให้พวกเราอยู่กันตามลำพัง ร่างของผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ดูซูบผอมลงไปเยอะ แต่เนื้อตัวกลับสะอาดหมดจด เล็บถูกตัดอย่างเรียบร้อยทั้งมือและเท้า ถึงแม้ไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ก็ยังมีสายห้อยอยู่ทั้งสายน้ำเกลือ สายให้อาหาร

“นี่นาย....ตะวัน นายตะวัน....นอนอยู่นั่นแหละ”

“หึหึ เล่นเป็นเด็กอีกแล้ว เดี๋ยวก็โดนดีดเหมือนครั้งก่อนหรอก”

“เปล่าซะหน่อย ก็แค่เตือนตัวเองว่าเลิกนอนได้แล้ว รีบๆทำภารกิจซะจะได้ฟื้นขึ้นมาซะที”


ก๊อก ก๊อก


“น้าได้ยินเสียงผู้กองกำลังพูดอยู่”

“.......”

“....กับตะวันเหรอจ้ะ”

“ครับ”

“น้าอยากเห็นลูกของน้าจัง เขาเป็นยังไงบ้าง ได้กินอะไรบ้างไหม นอนหลับหรือเปล่า ลำบากไหม”


“แม่ครับ ร้องไห้อีกแล้ว อย่าร้องนะครับ”


“คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ รายนั้นครึกครื้นเฮฮาตลอดเวลาเลยครับ”

“เหรอจ้ะ ดีแล้วละ .....เอ๊ะนั่นมันสร้อยที่หน้าให้ไว้คราวก่อนใช่ไหมจ้ะ”

“ครับ”

“พกติดตัวไว้ตลอดเลยเหรอ”

“...….”

“ผู้กองคงสนิทกับตะวันมาก ตะวันต้องดีใจแน่ๆที่ผู้กองเก็บสร้อยเส้นนี้ไว้”


“หืม? สร้อยไรเหรอวิณณ์”

‘ไม่บอก’ วิณณ์ทำปากขมุบขมิบให้ผมเห็นคนเดียว โด่เอ้ยไม่อยากรู้ก็ได้

“ผู้กองจะอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนไหม”

“ไม่ดีกว่าครับ”

“เหรอจ้ะ น้านึกว่าวันนี้จะมีเพื่อนกินข้าวด้วยซะอีก”

“เอ่อ.....”


วิณณ์มองหน้าแม่ของตะวันและหันกลับมามองตะวัน


“งั้นผมขอฝากท้องด้วยแล้วกันนะครับ”

“จ้ะ” คนเป็นแม่ดีใจจนหลุดยิ้มออกมาเต็มที่

“แม่คงจะเหงาใช่ไหมวิณณ์”

“อย่าคิดมาก” วิณณ์พูดปลอบพร้อมกับโอบไหล่คนข้างๆ


กว่าจะเสร็จจากมื้ออาหารและกลับออกมาจากบ้านของตะวันก็เกือบสองทุ่ม วิณณ์รีบขับรถไปที่ รพ. เพราะเขาทิ้งแม่ไว้ที่นั่นตั้งแต่เช้า แต่เมื่อมาถึงเขากลับเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้าอย่างจัง

อาพงศ์กับ…..

นายยงยุทธ


“วิณณ์เข้ามาก่อนซิลูก อาพงศ์กับเพื่อนมาเยี่ยมดารินนะจ้ะ”

“สวัสดีครับ”

“อืม หวัดดีๆ ไปไหนมาไอ้หลานชาย ปล่อยแม่ไว้คนเดียวได้ยังไงหะเรา ไม่ห่วงแม่หรือไง”

“ไปธุระมานิดหน่อยนะครับ”

“ธุระอะไรจะสำคัญกว่าน้องสาวที่นอนเจ็บตรงนี้”

“เรื่องคดีพ่อนะครับ”

“นี่เรายังไม่เลิกล้มความตั้งใจอีกเหรอ”

“ไม่ครับ ผมบอกพ่อไว้แล้วว่าผมจะหาคนที่ทำพ่อมาให้ได้ผมก็ต้องทำ”

“.............”

“อะ..เอ่อ ตาวิณณ์ไม่เอา อย่าคุยเรื่องซีเรียสกันดีกว่านะว่าแต่เมื่อกี้เราคุยค้างกันถึงไหนนะ อ๋อคุณยงยุทธเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับคุณพงศ์และพ่อของวิณณ์เหรอคะ ดิฉันไม่ทราบมาก่อน”

“ครับ เราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ผมย้ายไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เรียนจบช่วงแรกก็กลับมาบ้าง ปีหนึ่ง 2-3 ครั้งแต่พอเริ่มทำธุรกิจงานมันยุ่งจนหาเวลากลับไม่ได้ พอกลับมาอยู่เมืองไทยก็ยังต้องบินบ่อย งานสังสรรค์ งานแต่งหรือแม้แต่งานศพของเพื่อนผมไม่มีโอกาสได้มาเลย”

“มิน่าละดิฉันถึงไม่คุ้นเลย แต่ก็คนมันมีธุระอะเนอะทำยังไงได้”

“ไม่มีโอกาสหรือว่าไม่หาโอกาสกันแน่ครับ”

“...........”

เพียะ.... “วิณณ์พูดอะไรนะเรา เสียมารยาท” เสียงฝ่ามือของแม่ที่ตีลงมาที่แขนวิณณ์

“ขอโทษนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจความรู้สึก”

“......”

“อาว่าวันนี้อากลับก่อนดีกว่าพอดีอาต้องไปธุระที่อื่นกับอายงยุทธต่อนะ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณวรรณ”

“คะ ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยม ดูซิคนไข้ยังไม่ยอมตื่นมาคุยด้วยเลยมีคนมาเยี่ยมแท้ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ให้พักผ่อนเยอะๆ นะดีแล้วจะได้หายไวๆ ยังไงก็ฝากบอกหลานสาวด้วยนะครับว่าอาพงศ์มาเยี่ยม”

“ได้คะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

“ครับ”

“วิณณ์ไปส่งอาเขาไปลูก”


ผมเดินรั้งท้ายผู้ใหญ่ทั้งสองคนเพื่อไปส่งที่ลานจอดรถ แต่ถึงเพียงแค่หน้าลิฟท์อาพงศ์ก็หันมาบอกกับผม

“วิณณ์ส่งพวกอาแค่นี้ก็พอ”

“ไม่เป็นไรครับอา ผมลงไปส่งถึงข้างล่างได้”

“ไม่ต้องๆ พวกอาสองคนไม่ได้แก่ขนาดต้องมีคนคอยดูคอยเดินตามไปอยู่เป็นเพื่อนแม่กับน้องเถอะ”

“ครับ งั้นสวัสดีครับอาพงศ์ คุณยงยุทธ”

“.....นี่ยังเรียกคุณอยู่อีกเหรอ เรียกอายงยุทธเขาว่าอาได้แล้ว”

“มันยังไม่ค่อยชินเท่าไหร่นะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหลานชินเมื่อไหร่ก็เรียกเองแหละพวกอาไปก่อนนะ”

“สวัสดีครับ”



ติ๊งงงงง


เสียงลิฟท์ดังขึ้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนเดินเข้าลิฟท์ไปส่วนผมก็หันหลังเพื่อเดินกลับไปหาแม่กับน้องสาว 

“เดี๋ยววิณณ์.....”

“ครับ?”

“เรื่องที่เรากำลังทำอยู่นะ ยังไงก็ระวังตัวนะ บางทีอะไร อะไรมันก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดเสมอไป”

“อาหมายความว่ายังไงครับ??”

อาพงศ์ไม่ตอบเพียงแค่อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะบอกลาอีกครั้งและลิฟท์ก็ปิดตัวลง

“อาไปก่อนละ”







*** เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอนบางทีอะไรๆ มันก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสมอไป
อย่าเชื่อทุกสิ่งที่เห็นและอย่าเชือทุกสิ่งที่ได้ยิน จงยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
.....ไม่มีใครกล่าวไว้ นักเขียนได้กล่าวเอง อิอิ ***

ขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังติดตามกันนะคะ

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 28 : ใกล้ความจริง (20/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-09-2018 22:34:01
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 28 : ใกล้ความจริง (20/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-09-2018 01:06:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

แอบงงกับคำพูดของอาพงศ์ในตอนท้ายอ่ะ

แถมไรทฺ์ก็ยังมาแปะทิ้งท้ายอีก  ยิ่งสับสนไปใหญ่เลย
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 28 : ใกล้ความจริง (20/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-09-2018 02:51:02
น่าสงสัยทั้งอาพงศ์และอายุทธเลย  :hao3:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 29 : ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (30/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 30-09-2018 11:55:36
ตอนที่ 29 ความไว้ใจเท่ากับศูนย์




[โรงพัก]


“เบื่อเว้ยยยย อย่าให้กูออกไปได้นะ”

“เฮ้ย อย่าส่งเสียง”

“ครับ ครับ” แต่ยังไม่ทันที่ร้อยเวรจะเดินห่างออกไป

“ถุย โด่วไม่กลัวหรอกเว้ย”

“มึงมีปัญหาอะไร”

“ไม่มีครับจ่า ผมจะไปกล้ามีปัญหาอะไรละครับก็แค่บ่นไปตามเรื่องตามราวนะครับ” ร้อยเวรชี้หน้าคาดโทษแต่คนอย่างไอ้ซีนกลัวที่ไหนสุดท้ายมันยังทำหน้าล้อเลียนให้อีก

“ไอ้ซีน หัดเงียบปากบ้างเถอะมึง”

“ใครวะ อยู่ดีๆมาด่ากูเดี๋ยวพ่อจัดหนักให้”

“แค่ไม่กี่วันมึงลืมเพื่อนมึงได้แล้วเหรอ”

“เพื่อน?”  โจ๊กเดินออกมาจากมุมห้องขังด้านใน

“ไอ้โจ๊ก เชี้ยมึงยังอยู่ที่นี่เหรอวะกูนึกว่าเขาย้ายมึงไปที่อื่นแล้ว”

“เออดิ กูยังอยู่ที่นี่ มีแต่มึงกับพี่เอ็มที่ไม่มาหากู”

“กูกับพี่เอ็มก็อยากมาแต่นายสั่งห้ามไว้วะ แล้วไหนพวกกูยังต้องทำงานให้นายให้เสร็จอีก”

“แล้วเสร็จไหม”

“เสร็จเหี้ยไรละ ถ้าเสร็จกูไม่มาอยู่ในนี้หรอก”

“แล้วมึงไปทำอะไรถึงถูกจับได้”

“พวกกูจนปัญญาจะหาเมมมาให้นายแล้วจะตามจากไอ้ผู้กองแม่งก็ยากเย็นกูเลยตัดสินใจในเมื่อเข้าทางพี่ไม่ได้ ก็เข้าทางน้องมันซะ“

“แล้ว?”

“แล้วไงละ อุตส่าห์มีโอกาสตอนที่น้องมันอยู่คนเดียวแต่แม่งฤทธิ์เยอะแถมยังมีไอ้หน้าหล่อตามมาช่วยมันไว้อีก”

“สรุปก็คว้าน้ำเหลว ทำอะไรไม่ได้อีกตามเคย”

“ใครบอกกูทำไม่ได้ ถ้าไอ้หน้าหล่อไม่มาช่วยไว้นะ น้องสาวมันได้ตายไปแล้ว”

“.....นี่มึงใช้สมองคิดแล้ว”

“เออดิวะ กูจะใช้น้องมันต่อรองแต่แม่งเสือกฤทธิ์เยอะ.....
.
.
.
ความจริงกูก็ไม่ได้จะทำรุนแรงอะไรหรอก แต่มือมันหนักไปหน่อย”

“............”

“แล้วมึงเป็นไงบ้างวะโจ๊ก”

“ก็ไม่เป็นไงอะ อย่างที่เห็น”

“ทำไมมึงดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรเลยวะ มึงไม่อยากออกไปเหรอ”

“อยากออกดิ แต่ออกไปตอนนี้ก็มีแต่ต้องหนีอย่างเดียว กูเบื่อแล้ววะกูอยากอยู่แบบไม่ต้องหนี ไม่ต้องหลบซ่อนอีกแล้ว”

“มึงหมายความว่าไง”

“มึงไม่เบื่อเหรอวะ ทำแต่เรื่องเหี้ยๆ แบบเดิมซ้ำๆ ได้เงินมาเยอะแค่ไหน แต่ก็ใช้ได้ไม่เต็มที่”

“ไม่อะ มีเงินเยอะกูชอบ”

โจ๊กปล่อยให้เพื่อนพูดไปส่วนตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟัง เพราะโจ๊กเองก็คิดว่าเขาจะไม่พูดถึงเรื่องที่เขาได้สารภาพกับตำรวจไปแล้ว

“ไอ้โจ๊กแม่มาเยี่ยม”  ร้อยเวรเดินมาเรียกและเปิดประตูห้องขังให้เขามายืนที่หน้าห้องฝั่งรอพบญาติ

“แม่”

“โจ๊ก วันนี้แม่เอาข้าวผัดหมูมาให้ของชอบโจ๊กเลยนะ”

“ผมกินข้าวผัดหมูทุกวันจนหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีข้าวผัดแล้วแม่”

“อ้าว เบื่อแล้วเหรอลูกแล้วอยากกินอะไรละพรุ่งนี้แม่จะได้ซื้อมาให้ใหม่”

“ผมล้อเล่นนะอะไรก็กินได้ทั้งนั้นแหละแต่พรุ่งนี้แม่คงต้องเพิ่มข้าวจากกล่องเดียวเป็นสองกล่องแล้วละ”

“ทำไมละ”

“ก็ผมมีเพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”

“ใครเหรอ?”

“แม่ แม่ครับ ซีนเองคร้าบ ผมหิวอ่าแม่มีอะไรให้ผมกินบ้างไหม” ไอ้ซีนตะโกนออกมาจากด้านในจนร้อยเวรต้องเตือนอีกรอบ

“อ้าวซีนไปทำอะไรมาละเราไปก่อเรื่องไม่ดีเอาไว้อีกแล้วใช่ไหม”

“อย่าไปสนใจมันเลยแม่ พรุ่งนี้แม่มาก็เผื่อข้าวมาให้มันด้วยแล้วกัน”

“อืมๆ เดี๋ยวเย็นนี้แม่มาอีกรอบ”

“ไม่ต้องหรอกแม่มาวันละรอบก็พอแล้ว ตอนเย็นก็กินข้าวแดงกันได้ไม่ต้องซื้อมาเปลืองเงินเก็บเงินไว้ใช้เองบ้างเถอะ”

“ไม่ต้องมาห่วงแม่หรอก ซื้อข้าวให้ลูกกินมันไม่ทำให้จนไปกว่านี้หรอก”

“.......”

“แม่กลับไปทำงานก่อน ตอนเย็นแม่มาอีกทีบอกซีนด้วยละเดี๋ยวแม่เอาข้าวมาเผื่อ”

“ครับ”



“นายครับ แม่ไอ้โจ๊กกลับไปแล้วครับ...ครับ...ได้ครับนาย”





[วิณณ์]


หลังจากส่งแขกกลับไปแล้ว วิณณ์เดินกลับมาที่ห้องอีกครั้ง

“กลับกันไปหมดแล้วเหรอลูก”

“ครับ”

“วิณณ์มีอะไรหรือเปล่าลูก”

“เปล่านี่ครับ ทำไมเหรอครับแม่”

“แม่ว่าดูเรามีท่าทีแปลกๆกับเพื่อนพ่อคนนี้”

“ไม่หรอกครับ อาจจะเพราะไม่ค่อยสนิท”

“เหรอจ้ะ”

“เออ วันนี้หมอว่ายังไงบ้างครับ”  วิณณ์เปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้แม่มาคิดมากกับเรื่องนี้

“ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วละจ้ะ แค่รอให้ฟื้นตัวอีกหน่อย วันสองวันก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว”

“แล้วนี่น้องหลับ ไม่ตื่นบ้างเหรอครับ”

“ตื่นแล้ว แต่คงเพราะยานะเลยหลับไปต่อ”

“ครับ แล้วแม่จะกลับเลยไหมครับ”

“ก็ดีจ้ะ พรุ่งนี้แม่ต้องมาตื่นมาทำข้าวต้มกุ้งตอนเช้า น้องสาวเรานะเขาขอให้แม่ทำให้ บอกว่าข้าวที่ รพ ไม่อร่อย”

“นอนเจ็บยังเรื่องมากอีกนะเรา” วิณณ์พูดพร้อมกับลูบผมน้องสาวอย่างเอ็นดู ชีวิตนี้เขาก็เหลือแม่กับน้องสาวสองคนถ้าใครซักคนต้องเป็นอะไรไปเพราะเขา เขาคงต้องเสียใจมาก


หลังจากที่แม่ต้องทำกับข้าวต้มกุ้งไปส่งน้องสาวผมอยู่สองวัน ไอ้หมอชายก็บอกว่าน้องสาวผมพร้อมที่จะกลับบ้านได้แล้ว

“ดารินกลับบ้านไปครั้งนี้ก็อย่าไปห้าวที่ไหนอีกละ เดี๋ยวไอ้ผู้กองมันจะปวดหัวตายไปซะก่อน”

“โอ๊ะ พี่ชายอะ เดี๋ยวจะฟ้องพี่ฟิล์มว่าว่าน้อง”

“น้อยๆ หน่อยยายริน ไปล้อพี่เขาอีกแล้วนะ เราเถอะผู้ใหญ่เตือนอะไร ห้ามอะไรหัดฟังซะบ้าง”

“รินก็ฟังนะแม่”

“ฟังแล้วทำไมถึงแอบออกไปคนเดียวละ”

“เพราะคดีพี่วิณณ์นะแหละ ไม่เกี่ยวกับรินซักหน่อย”

“......”

“วิณณ์”

“พี่วิณณ์...”

‘ดูซิพูดอะไร พี่เขาหน้าเสียแล้วเนี่ย เห็นไหม’
‘รินไม่ได้ตั้งใจนี่แม่’

“ตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่า ทำไมเขาไม่เห็นเลย”  น้องสาวตัวแสบรีบเปลี่ยนน้ำเสียงแล้ววิ่งเข้าไปหาพี่ชาย

“ก็ตั้งแต่ที่เราบอกว่าเจ็บตัวเพราะพี่นี่แหละ”

“ตัวอะเขาล้อเล่น อย่างอนซิ”

“......”

“พี่วิณณ์น้าา อย่างอนน้องน้า”

“.......”

“อะก็ได้ เขาขอโทษเขาเจ็บตัวเพราะคดีที่พี่ตัวเองทำ แต่เขาไม่โกรธหรือโทษตัวเลยนะ ถ้าย้อนกลับไปเขาก็จะยังช่วยพี่อีกเหมือนเดิม”

“.......”

“อย่าโกรธเลยน้า ดีกันนะ นะ นะ”

“หึหึ”  วิณณ์โยกหัวน้องอย่างเอ็นดู

“เย้ หายโกรธเขาแล้วใช่ม่ะ”

“พี่ไม่ได้โกรธเราหรอก ที่เราเจ็บตัวก็เพราะพี่มันก็เป็นเรื่องจริงแต่พี่เจ็บใจที่น้องสาวตัวเองแท้ๆ กลับช่วยอะไรไม่ได้ แล้วนี่พี่จะวางใจปล่อยให้เรากับแม่ไปอยู่บ้านกันตามลำพังได้ยังไง”

“โหยไม่ต้องห่วงหรอก เขาอยู่ซะอย่างวางใจได้”

“เรานี่ละตัวดีเลย หาเรื่องได้ตลอด”

“อิอิ”

“แม่ครับ แม่จะไม่อยู่คอนโดกับวิณณ์จริงเหรอครับ”

“ไม่เอาละ มันอึดอัดแม่ไม่ชอบอยู่แต่ในห้องกลับบ้านเราสบายใจกว่า แม่เป็นห่วงบ้านด้วย อีกอย่างวายุเขาอาสามาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว วิณณ์ไม่ต้องห่วงหรอก”

“ครับ”

“หะ! เดี๋ยวนะแม่ แม่ว่าอะไรนะคะ นายวายุจะมาอยู่กับเราเหรอ ทำไมละคะแม่ รินไม่เอานะ”

“ไม่ต้องมาไม่เอาเลย ก็เพราะความรั้นของเรานะแหละถึงต้องเจ็บตัวแบบนี้พี่เขาก็เจ็บตัวตามเราไปด้วย”

“นายวายุเป็นอะไรเหรอคะแม่”

“เดี๋ยวพี่เขามาเราก็ดูเอาเอง ถามเอาเองแล้วกัน เฮ้ออ”

“แม่อะ......”



“ไอ้ผู้กอง กูว่าน้องเขยมึงเกิดแล้ววะ”

“กูก็ว่างั้น”




[บ้านอัศวเมฆา]


ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งอยู่ที่ห้องทำงานคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“มึงจะทำแบบนั้นไม่ได้.....กูว่าควรจะพอได้แล้ว......”  ยงยุทธวางสายลงพร้อมถอนหายใจออกมาเสียงดัง จนลูกน้องคนสนิทต้องหันมาสนใจ

“นายครับ”

“คนนี่ไม่รู้จักพอจริงๆ มึงว่าอย่างนั้นไหม”

“ครับนาย”

“เฮ้อออ ว่าแต่มีอะไร”

“ไอ้เอ็ม ไอ้อ๊อดมาครับนาย” ยงยุทธพยักหน้าเป็นเชิงให้พาคนด้านนอกเข้ามา



“นายครับ”

“ว่าไง”

“ไอ้โจ๊กยังอยู่ที่โรงพักยังไม่ถูกย้ายไปที่อื่นส่วนไอ้ซีนก็อยู่ด้วยกันครับ”

“แล้วมันบอกอะไรตำรวจไปบ้าง”

“พวกข้างในมันก็ไม่รู้ครับ ไอ้ซีนเพิ่งเข้าไปคงยังไม่ได้บอกอะไรตำรวจ แต่ไอ้โจ๊กพวกมันสงสัยกันอยู่เพราะมันถูกตำรวจเรียกไปสอบปากคำ 2ครั้งแล้ว และมันก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่ต้องถูกขัง ไอ้ซีนเข้าไปแค่วันเดียวมันก็โวยวายห้องขังแทบแตกแล้วครับนาย”

“แล้วแม่มันละ”

“ผมตามดูแม่มันตามที่นายสั่ง แม่มันก็ดูไม่มีพิรุธอะไรครับนาย ก่อนไปทำงานก็ไปส่งข้าวเช้าให้ไอ้โจ๊ก เย็นเลิกงานก็มาส่งท่าทางแม่มันคงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอกครับ"

“นาย นายครับนายอย่าทำอะไรพวกมันเลยนะครับ”

“แล้วมึงคิดว่ากูควรต้องทำยังไง”

“พวกมันไม่พูดหรอกครับนายเชื่อใจได้”

“แล้วมึงเอาอะไรมาการันตีกู”

“เอ่อ......”

“กูก็ไม่ได้จะใจร้ายกับพวกมันหรอกนะ แต่ถ้าเนื้อตรงไหนที่มันร้ายมันเน่ามันเหม็น มึงคิดว่ากูควรเก็บไว้ไหม”

“......”

“ไอ้อ๊อดมึงรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

“ครับนาย”




[แม่&พ่อตะวัน]


“ไหนคุณพูดใหม่ซิคุณดารา”

“ฉันอยากจะให้คุณเลื่อนการส่งตัวตะวันออกไปก่อนนะคะ”

“.......”

“เพราะฉันคิดว่าต่อให้ส่งตะวันไปรักษาที่ไหนตะวันก็คงจะไม่หาย”

นี่คุณเป็นแม่ประเภทไหนกันเนี่ยหะ!!! ลูกจะได้รักษาจะมีโอกาสหายแต่กลับรั้งลูกเอาไว้กับตัว”

“คุณอาทิตย์คุณฟังเหตุผลของฉันก่อนนะคะ คุณมองที่ลูกซิตะวันดูเหมือนคนป่วยเหรอคะ เหมือนลูกแค่นอนหลับใช่ไหม หมอเองยังบอกว่าตะวันเหมือนคนปกติทุกอย่าง ตะวันสามารถใช้ชีวิตอยู่บ้านได้ตามปกติ ต่างตรงที่ตะวันต้องมีคนคอยดูแลในเรื่องการกินการนอนเท่านั้นเอง”

“.......”

“ฉันจึงคิดว่าไม่ว่าตะวันจะไปหรืออยู่หรือรักษากับหมอที่ไหน ผลก็ไม่ต่างกันตะวันแค่ต้องรอเวลา”

“รอเวลา? เวลาอะไร”

“เวลาที่เขาพร้อมจะตื่นอีกครั้ง”

“ไร้สาระ นี่คุณไปเอาความคิดไร้สาระแบบนี้มาจากไหนกัน รอตื่นหรือ? จะรอไปอีกหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือสิบปี ยี่สิบปี
คุณก็จะรอเหรอ....
ยังไงผมก็จะพาตะวันไปรักษา ถ้าคุณจะดื้อไม่ไปคุณก็ไม่ต้องไป ผมจะให้ลมจัดการเรื่องนี้เอง”

“คุณ....คุณอาทิตย์”

นายอาทิตย์เดินออกมาจากห้องโดยที่ลมนั่งรออยู่ด้านนอก

“พ่อครับ”

“ลม พ่อฝากจัดการเรื่องพี่ตะวันด้วย”

“แต่พ่อครับเราจะไม่ปรึกษาหมอเจ้าของไข้ที่นี่ของพี่ตะวันก่อนเหรอครับ”

พ่อหันมามองลูกชายคนเล็ก

“ให้เร็วที่สุด”

“ครับ”

ในชีวิตเขาทำเรื่องที่ผิดกับตะวันมาครั้งหนึ่งแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เกิดอีกซ้ำสอง ตะวันคือลูกชายคนโตของเขาแทนที่เขาจะรักและดูแลตะวันได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความไม่รู้จักพอของเขาทำให้ตะวันต้องกลายเป็นเด็กบ้านแตกและขาดพ่อ และลมก็รู้เหตุผลข้อนี้ดี

“ลม”

“ครับ”

“ลมรู้ใช่ไหม....เหตุผลของพ่อ”

“รู้ครับ พ่อคือพ่อของพี่ตะวันคือพ่อของผม เป็นพ่อของพวกเรา พ่ออยากชดเชยสิ่งที่ทำพลาดไปในอดีตและผมเองก็อยากทำเพื่อไถ่โทษที่ผมเกิดมาแล้วแย่งทุกอย่างมาจากพี่ตะวัน”

“ลม...”

“พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไร ผมเต็มใจทำ”

“อืม พ่อขอบใจนะ ขอบใจนะลม”




[ตะวัน]


เฮ้อ ทำไมเรื่องมันวุ่นวายกันไปหมดแบบนี้นะ เรื่องตัวเองที่กำลังจะถูกส่งตัวไปอเมริกา น้องสาววิณณ์ที่ถูกทำร้าย พี่วายุอีกคน แล้วไหนจะเรื่องคดีคุณแอน ที่น่าจะมีส่วนไปพัวพันกับคดีของพ่อของวิณณ์อีก ยุ่งอีรุงตุงนังได้อีกแฮะ

“โอ้ยยย ปวดหัว เฮ้อออออ”

“ถอนหายใจดังขนาดนี้ ท่าทางจะกลุ้มหนัก”

“อ้าวเจ๊”

“นี่เรียกเจ๊อีกแล้วเดี๋ยวตีปากแตกเลย”


-_-

“อะ เรียกใหม่ก็ได้ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณพี่ผีวิญญาณสาวสุดสวยหุ่นสะบึมเอ็กเซ๊กส์แตก”

“Great ดีมากจ้ะหนู”

“แล้วนี่เจ๊มีอะไรหรือเปล่า”

“ต้องมีอะไรด้วยเหรอถึงจะมาได้”

“ก็ตั้งแต่เจ๊มาทิ้งเรื่องไว้ให้ผมกับวิณณ์ ก็เห็นโผล่มาแค่สองครั้งเองหลังจากนั้นก็หายต๋อมไปเลยนี่”

“ช่างจิกกัดเหลือเกินนะเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือเรานะ เอ๊ะ...หรือว่าไม่ใช่ อุ๊บบ!”


ตะวันเหล่ตามองบน ยอมใจกับผีตนนี้จริงๆ

“ถึงผมจะชอบผู้ชายแต่ผมก็เป็นผู้ชายนะ แค่เป็นผู้ชายที่รักผู้ชายไม่ได้หมายความไม่ใช่ผู้ชาย”

“โอ๋ๆๆๆๆ งอนเหรอ ขอโทษเจ๊แซวนิดหน่อยเอง”

“ไม่ได้งอน แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมจะรับไม่ได้ด้วยที่ใครพูดแบบนี้กับผม แต่กำลังคิดว่า.....”

“คิดว่า?”

“นี่คือวิธีการมาขอความช่วยเหลือคนอื่นเหรอ”

“อูยยยย แรงส์”

“ช่างมันเถอะ”
  ตะวันตัดจบบทสนทนา เพราะเขาคิดว่าเอาเวลามาคิดหาทางแก้ไขปัญหาดีกว่ามานั่งเถียงกัน


“นี่น้องตะวันผู้น่ารัก กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”  ตะวันได้แต่กรอกตามองบน จะปล่อยให้เขาอยู่เงียบๆ บ้างได้ไหมเนี่ยหะ

“มีอะไรก็บอกเจ๊ได้นะ ช่วยคิดได้นะ มีสมองนะ ฉลาดด้วยนะจะบอกให้”

“หึหึ”

“อะไรหัวเราะอะไร”

“เปล่าผมแค่คิดว่าผมรำคาญเจ๊ แต่เอาจริงๆ มีเจ๊อยู่นี่ก็ดีเหมือนกันนะหายเหงาดี”

“เห็นมะ นี่ละประโยชน์ของเจ๊ละ คริๆ”

.
.
“ว่าแต่คิดอะไรอยู่”

“ก็เรื่องคดีเจ๊นี่แหละ พวกเราต้องตามคดีที่เจ๊ถูกฆ่าแต่ยิ่งตามคดีก็ยิ่งบานปลายพัวพันกันมั่วไปหมด น้องสาววิณณ์ พี่ชายผมต้องมาซวยเพราะยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ แล้วก็มีแนวโน้มว่าคดีนี้จะเกี่ยวข้องคดีของพ่อวิณณ์ที่เสียไป”

“เจ๊ถึงบอกไง ท่าทางเรื่องจะยุ่งกว่าที่เราคิดแต่ตอนนี้เรื่องที่น้องตะวันของเจ๊ต้องสนใจเรื่องของตัวเองก่อนแล้วละ”

“เรื่องของผม? ทำไมเหรอ”

“คดีล่าสุดที่น้องตะวันกับผู้กองจัดการไปนะดังมากเลยนะที่โลกวิญญาณ เพราะวิญญาณตนนั้นเคยเป็นผู้ถูกเลือกมาก่อนแต่ดันหนีจากภารกิจและเร่ร่อนไป จนไปสร้างอาณาจักรวิญญาณของตนเองเป็นการหยามโลกสวรรค์และนรกอย่างมาก”

“อ้าว ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอพวกผมสามารถจัดการได้ก็ต้องเป็นความชอบซิ”

“ก็ใช่”

“แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน ผมไม่เข้าใจ”

“ปัญหามันอยู่ตรงที่ ผู้ถูกเลือกที่กำจัดวิญญาณตนนั้น มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม”

“ไม่เหมาะสม ผมเหรอ? ยังไงอะ”

“อันนี้เจ๊ไม่รู้มากนักหรอก มันมีหลายกระแสนะแต่กระแสที่มาแรงที่สุดคือ จริงๆ แล้วกรรมการทั้งสวรรค์และนรก ได้ยกเลิกภารกิจ ผู้ถูกเลือกและพรไปแล้ว แต่ตัวแทนของสวรรค์และนรกต่างละเมิดกฎและทำเรื่องนี้โดยพละการ”

“จริงเหรอ”



ตะวันอึ้งกับข่าวที่ได้ยินถ้าเรื่องนี้จริงเขาจะทำยังไงละ โดยพละการ ขีดเส้นใต้เน้นๆ มันหมายถึงทำโดยไม่ได้รับความเห็นชอบ เป็นการละเมิดกฎ เป็นการทำโดยไม่ยินยอม มันหมายถึง ทุกอย่างที่เขาทำมาคือโมฆะ คือยกเลิก คือยกเว้น


“ไม่นะ ฮืออออออ”

“ไม่ต้องร้องนะจ้ะหนุ่มน้อย ถ้าไม่ได้กลับเข้าร่างก็อยู่มันเป็นเพื่อนเจ๊นี่แหละ”

“ไม่เอา อยู่เป็นเพื่อนเจ๊ผมว่าชีวิตผมต้องเหี่ยวเฉาแน่ๆ”

“แล้วอยู่กับใครถึงจะไม่เหี่ยวเฉาละ”

“......”

“ผู้กองใช่ไหมละ”

“ใช่”

“ฮั่นแน่..........”

“โอ้ยย ตกใจเสียงดังทำไมเนี่ย”

“ไหนไม่ได้เป็นอะไรกัน ไหนไม่ได้คิดอะไร ทำไมถึงอยู่กับฉันแล้วต้องเหี่ยวเฉา แล้วอยู่กับผู้กองไม่เหี่ยวเฉาละ”

“ก็....ก็”

“บอกมา บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ บอกกกกกก.......มาาาาาา........”

“......”

“บอกกกก......มาาาาาา.......เดี๋ยวววว.....นนนนนนนี้”

“......ลากเสียงทำไมเนี่ย”

“5555 นายนี่มัน……น่ารักจริงๆ”

“โอะ โอ้ยยย เจ๊ดึงแก้มผมทำไมเนี่ย”
ผมได้แค่ลูบแก้มตัวเองป่อยๆ

“ชอบก็บอกว่าชอบจะกั๊กไว้เพื่อ เดี๋ยวนี้มัวแต่กั๊กทำอายอดกินหมดละยะจะบอกให้”

“……ใครชอบใคร โว๊ะ”

“ไม่ชอบใช่มะ งั้นฉันขะ….”

“ไม่!!!”

“รู้แล้วเหรอว่าจะพูดอะไร”

“จะขอใช่ไหมละ รู้หรอก”

“แล้วถ้าขอจริงๆ น้องหนูตะวันมีสิทธิ์อะไรมาไม่ให้ละจ้ะ”

“เอ่อ…..”

“หึหึ เด็กหนอเด็ก ปากแข็งไปเถอะ”


อยากพูดไรพูดไปผมขี้เกียจจะเถียงด้วยละ ใช่ผมมีสิทธิ์อะไรจะให้หรือไม่ให้ใครชอบวิณณ์ หรือห้ามวิณณ์ไม่ให้ชอบใคร แล้วถ้าผมชอบวิณณ์
.
.
.
ชอบวิณณ์? 

ผมมีสิทธิ์ชอบวิณณ์ได้ไหม


“เฮ้อออออ”

“เป็นอะไรถอนหายใจขนาดนั้น”
    ไม่ตอบหรอกเดี๋ยวเถียงกันยาวอีก

“บางทีอะนะเรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องใช้เหตุผลหรือตรรกะอะไรคิดมากหรอก นี่…..ใช้นี่”

วิญญาณหญิงสาวพูดพร้อมกับจิ้มนิ้วมาที่อกซ้าย

“แต่ผมเป็นแค่วิญญาณคงไม่มีสิทธิ์หรอก จะกลับเป็นคนได้อีกไหมก็ยังไม่รู้ ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงของวิณณ์”

“ผิดกับเจ๊นะ จะคนเป็นหรือคนตาย ถ้าลองได้มีโอกาสเจ๊จะเดินหน้าสู้ไม่ถอยเพราะอย่างน้อยแค่ได้มีโอกาสอีกครั้งมันก็ดีแล้ว”

.
.
.
“ฮึบ….ไปดีกว่า แล้วก็อย่าคิดมากละเด็กน้อย รู้สึกอะไรก็แสดงออกไป อยากพูดอะไรก็พูดออกไป อยากทำอะไรก็ทำเล้ย จำไว้นะ โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยแต่ถ้าได้มาแล้วก็อย่าทิ้งมันไป….
.
.
.
อ้อ….อีกอย่าง…..เรื่องคดีรีบหน่อยก็ดีนะ แล้วก็ระวังตัวให้เยอะๆ ด้วย”



วิญญาณผีสาวไปแล้วตอนนี้เหลือเพียงแค่ตะวันที่กำลังนั่งคิดถึงสิ่งที่คุยกันเมื่อกี้ เขาจะไปบอกชอบวิณณ์ได้ยังไงละ ก็เขาไม่รู้นี่ว่าวิณณ์คิดยังไงกับเขา อาจจะคิดกับเขาแค่น้องชายเหมือนที่เคยพูดเอาไว้ก่อนได้ แล้วขืนเขาไปบอกชอบแบบนั้นวิณณ์จะมองเขายังไง ตั้งใจช่วยแท้ๆ กลับมาคิดอกุศลกันได้

ตะวันเดินออกมาที่ระเบียง มองตรงไปด้านหน้าที่มีแสงสีของตึกสว่างไสวไปทั่ว เขาคิดถึงชีวิตของคนเมืองที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ เมืองใหญ่แค่ไหนคนก็ยิ่งต้องพยายามมากกว่าเท่าตัว

“แค่คิดก็เหนื่อยแล้วชีวิตที่ต้องแข่งขันกัน เฮ้อออ”


บรื้นนนนนน


เสียงรถด้านล่างที่ดังแว่วเรียกความสนใจให้ตะวันก้มลงไปมอง รถสองคันที่ขับตามกันมาคันแรกเขาจำได้ไม่ผิดนั่นรถของวิณณ์ แต่อีกคันกลับหยุดจอดนิ่งอยู่ริมถนนด้านหน้าคอนโด ไร้วี่แววของคนที่เดินออกจากรถ ตะวันคิดว่ามันแปลกและน่าสงสัย  ขับมาจอดนิ่งแถมยังไม่มีใครลงจากรถมาอีก เขายืนมองเหตุการณ์เบื้องล่าง วิณณ์ออกมาจากรถแล้ว มีลุงยามเดินไปต้อนรับถึงรถ วิณณ์เดินเข้าตึกและรถด้านหน้าก็ขับออกไป


แกร๊กกก


เสียงประตูเปิดแสดงว่าวิณณ์ขึ้นมาถึงห้องแล้ว

“เป็นไงบ้าง”

“เหนื่อยนิดหน่อย” พูดจบวิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งและเอนหลังที่โซฟาตัวโปรด ตะวันเดินเข้ายืนด้านหลังของวิณณ์ก่อนจะ


หมับบบบ
 

“เดี๋ยวหมอนวดตะวันจะช่วยนวดให้ผ่อนคลายเองนะครับ”

“นวดเป็นเหรอ”

“คอยดูฝีมือ”

“หึหึ”


ตะวันบีบและกดน้ำหนักลงที่ไหล่ของวิณณ์ ไล่จากต้นคอลงที่ไหล่กว้าง เขาไม่รู้หรอกว่าวิณณ์รู้สึกกับสิ่งที่เขาทำไหม ก็เขามันเป็นวิญญาณนี่แต่แค่คิดว่าอยากช่วยอะไรบ้าง มือมันก็นำไปเอง


“นี่ถามจริงที่นวดให้เนี่ย รู้สึกเหรอ”

“อืม”

“จริงอะ วิณณ์รู้สึกถึงน้ำหนักมือเหรอ”

“อือ”

“จับแบบนี้ก็รู้สึกเหรอ”

“อือ”

“บีบแบบนี้เจ็บหรือเปล่า”

“รู้ซิครับ วิณณ์รู้สึกกับตะวันทุกอย่างแหละ”

“………”

“ลืมไปหรือเปล่าวิณณ์เป็นคนเดียวนะที่มองเห็นตะวัน พูดด้วยแบบนี้ จับได้แบบนี้ จะวิณณ์จับหรือตะวันจับ วิณณ์ก็รู้สึกหมดแหละ  เป็นอะไรหรือเปล่าตะวันวันนี้ดูแปลกๆ นะ”

“ฮึ…”


ตะวันตอบพร้อมกับส่ายหัวอย่างแรง แต่ความรู้สึกจริงกลับตรงข้ามกับการกระทำ ตะวันจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าทุกๆ คำพูดของวิณณ์ที่พูดมาไม่มีท่าทางประกอบด้วย

มองเห็นตะวัน พร้อมกับมือที่จับมาที่แก้ม

พูดด้วยแบบนี้ พร้อมกับมือที่จับมาที่ปาก

จับได้แบบนี้ พร้อมกับมือที่เอื้อมมาคว้ามือเขาไปจับและลูบๆคลำ อยู่แบบนั้น

“ไม่เป็นอะไรแน่นะ”

“อืมมมม”


วิณณ์โยกหัวผมแล้วยันตัวลุกขึ้นเดินไปเปิดโน้ตบุคที่โต๊ะทำงาน


“จะทำงานต่อเหรอ”

“อืม ต้องรีบหาหลักฐานให้ได้มากที่สุด”

“แต่เราดูเมมนี่มาหลายรอบแล้วนะ”

“วิณณ์ก็ยังไม่รู้ มันอาจจะมีตรงไหนที่เรายังไม่ได้ดูหรือผ่านตาไปโดยไม่สนใจก็ได้”  วิณณ์เลื่อนดูโฟลเดอร์ในเมม เปิดทุกโฟลเดอร์ดูทุกรูปทุกภาพในนั้น

“พักเถอะวิณณ์เราดูกันมาจะชั่วโมงแล้วนะ”

“ตะวันพักก่อนก็ได้นะ”

“พักได้ไงเล่า มันก็เป็นเรื่องของตะวันด้วยจะปล่อยให้วิณณ์ทำคนเดียวแล้วตัวเองสบายได้ไงละ ไม่พักก็อยู่มันด้วยกันนี่แหละ”

วิณณ์ส่งยิ้มกลับมาให้เขาและหันกลับไปสนใจโน้ตบุคตรงหน้าต่อ ตะวันมองคนตรงหน้าเปิดแล้วก็ปิด เปิดไฟล์นั้นเปิดไฟล์นี่ วนไปมา สักพักก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเอามือมากดไว้ที่หว่างคิ้ว ช่วยอะไรได้มากกว่านั่งดูก็คงจะดี

ตะวันมองทุกการกระทำที่คนตรงหน้าทำ เอ๊ะ….

“วิณณ์นั่นอะไรเหรอ”

มันไม่ใช่ไฟล์ที่อยู่ในเมมที่ตะวันสงสัยแต่ว่าเป็นตัวเมมเองที่ดูแปลก ตะวันเห็นเหมือนรอยเผยออีกด้านหนึ่งของเมมนี้

มันมีสองหัว


ทั้งที่เมมอยู่กับพวกเราแท้ๆ แต่เรากลับไม่ได้ตรวจดูให้ละเอียด วิณณ์เงยหน้ามองผมก่อนจะหันไปเสียบเมมตัวเดิมแต่เป็นอีกด้านเข้าไปที่โน๊ตบุคแทน




[วิณณ์]


“เราควรจะหยุดได้แล้ว เรามีทุกอย่างแล้ว เงิน รถ บ้าน ชื่อเสียง อำนาจ นายจะเอาอะไรอีก”

คนที่กำลังพูดอยู่คือนายยงยุทธเพื่อนของพ่อเขา แต่เขาไม่รู้ว่าคู่สนทนาคือใครเพราะชายคนนั้นหันหลังให้กับกล้อง

“มึงคิดว่าชื่อเสียงและอำนาจที่เรามีอยู่ตอนนี้มันพอแล้วเหรอ ไม่ มันยังไม่พอ”

ทั้งที่หันหลังให้แต่เขากลับจำน้ำเสียงแบบนั้นได้ จำได้อย่างแม่นยำ เพราะมันเป็นน้ำเสียงของคนที่เขาเคารพรักและบูชามาตั้งแต่เด็ก น้ำเสียงที่คอยสั่งสอนเขาในทุกเรื่อง น้ำเสียงที่คอยบอกว่าห่วงใยเขา

“เราต้องเหยียบย้ำและทิ้งชีวิตของเพื่อนที่รักกันมาเป็นสิบปี เมียมันต้องเป็นหม้าย ลูกมันต้องกำพร้า ลูกมันก็คือหลานเรานะเว้ย มันยังมีอะไรไม่พออีกเหรอ”

“ก็เพราะว่ามันคือลูกของเพื่อนกู กูถึงได้ดูแลและสนับสนุนมันอยู่แบบนี้ไง แต่มันยังไม่พอมันต้องมากกว่านี้”

“มึง……”

“แล้วถ้ามึงยังอยากจะมีชีวิตไปจนถึงแก่ ก็ทำตามที่กูบอกมาช่วยกันทำให้มันเสร็จแล้วก็จบเรื่องนี้ไปด้วยกัน”

“มึงต้องการอะไรอีก”

“อีกไม่กี่เดือนจะมีการโยกย้ายและเลื่อนตำแหน่ง เรื่องยามันจะสามารถทำให้กูมีผลงานและได้ขึ้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ยอมเสียของแค่ไม่กี่ส่วน และเมื่อกูได้ตำแหน่งแล้วมึงจะสามารถขายของต่อไปได้โดยไม่มีใครยุ่ง”

“…….มึง”

“มึงคิดว่าโอกาสแบบนี้มีบ่อยงั้นรึ”

“แต่กูอยากเลิก กูไม่อยากทำแล้ว มึงเข้าใจกูไหม”

“กูเข้าใจ แล้วมึงละเข้าใจคำโบราณที่ว่า ในเมื่อขึ้นไปขี่หลังเสือแล้ว จะลงมานะมันยากรู้ไหม



และทันทีที่พูดจบประโยคคนตรงหน้าที่ลุกเดินขึ้นไปก็หันหน้ากลับมาเผชิญกับกล้องที่ได้ถ่ายไว้ อาพงศ์  ไม่ซิตอนนี้เขาต้องเรียกว่า พันตำรวจโทพงศกร



“พงศ์ มึงเคยคิดเสียใจไหมที่เราสองคนต้องฆ่าเพื่อนตัวเอง ฆ่าไอ้วุฒิ”



มันเป็นการจบประโยคบทสนทนาที่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน ประโยคที่ทำให้โลกของวิณณ์ดับวูบลงพริบตา
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 29 : ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (30/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-09-2018 12:53:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไงหล่ะ  โป๊ะเชะ   เลวจริง ๆ เลย

ใครขวางทางจัดการหมด  ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

เฮ้อ...คอยดูจุดจบมัน
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 29 : ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (30/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-09-2018 17:41:54
แล้วจะทำอย่างไรต่อ อีกฝ่ายใหญ่ไม่เบา  :katai1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 29 : ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (30/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-09-2018 19:38:15
 :3125:



 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 29 : ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (30/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-09-2018 22:46:23
คนที่ไว้ใจร้ายที่สุดจริงๆ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 29 : ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (30/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 01-10-2018 01:34:49
คนที่ไว้ใจร้ายที่สุด  :katai1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 29 : ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (30/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-10-2018 12:54:12
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 29 : ความไว้ใจเท่ากับศูนย์ (30/09/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-10-2018 01:02:52
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 30 : เพื่อนไม่มีจริง (31/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 31-10-2018 20:29:35
ตอนที่ 30 เพื่อนไม่มีจริง


“ไอ้ยุทธ ให้ไวดิวะเดี๋ยวพวกผู้หญิงไปกันหมด”
“ลดความหื่นบ้างเถอะมึง”
“ไม่ได้เว้ย วันนี้ต้องจีบให้ได้สักคนสองคน”
“ถุย หล่ออย่างมึงต้องพยายามด้วยเหรอวะ กูกับไอ้วุฒินี่ที่ต้องรีบมากกว่ามึงไหม”
“555 ช่วยไม่ได้เว้ย”

เพื่อนรักสามคน ยุทธ พงศ์ และวุฒิ เรียนและสนิทกันตั้งแต่ม.1 ทั้งสามคนมีความฝันอยากเป็นตำรวจไปด้วยกัน ดังนั้นพอจบม.3 ก็พากันสอบเข้าเตรียมทหาร เหล่าตำรวจ เรียน2ปี จบจนได้วุฒิม.6 เพื่อเป็นใบผ่านต่อเข้าไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจอีก 4ปี

แต่จาก 3 เหลือแค่ 2 เพราะยุทธถูกที่บ้านส่งไปเรียนต่อต่างประเทศตามพี่ๆ ถึงจะไม่อยากไปแต่ก็ขัดพ่อกับแม่ไม่ได้

“พวกมึงกูต้องเหงาแน่เลยวะ”
“งั้นก็ไม่ต้องไป”
“ได้ก็ดีดิวะ”
“อย่าคิดมากดิวะ คิดถึงมึงก็กลับมาหาพวกกูก็ได้ กูกับไอ้พงศ์ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้หนีมึงไปไหน”
“กูสัญญากับพ่อว่าจะตั้งใจปีแรกกูต้องทำเกรดให้ได้ท๊อป แล้วเขาจะยอมให้กูกลับไทยได้”
“พ่อมึงก็ใจดีนี่หว่า”
“เออ ใจดีมากกกก”
“อย่าทำตัวเป็นลูกแหง่ดิวะ วุฒิมึงก็อย่าไปโอ๋มันมาก ดูดิโตเป็นควายละยังทำตัวติดแต่เพื่อนผู้ชายอยู่เนี่ย มิน่าละผู้หญิงเขาถึงไม่เข้าหามึง หาแต่กับกูกับไอ้วุฒิ”
“เออ ไอ้คนหล่อ หล่อฉิบหายยย”


ฮาาาาาาา


แล้วทั้งสามคนก็กอดคอกันหัวเราะความเป็นเพื่อนที่มีให้กันมา 7ปี กับอีกตลอดไปนั่นคือสัญญาของทั้งสามคน

แต่ทุกอย่างใช่จะเป็นอย่างที่วาดฝัน ยุทธไปเรียนเมืองนอกแล้วไม่กลับมาเลยตลอด 4ปีที่ผ่านมา แรกๆ ก็ยังมีจดหมาย อีเมล์ หากันตลอด จากทุกอาทิตย์ ก็ห่างออกไปเป็นหนึ่ง สองเดือน เราสามคนติดต่อกันแบบนี้อยู่หนึ่งปี และสุดท้ายไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ๆ ยุทธก็เงียบหายไป


“4ปีแล้วเหรอวะ ไวฉิบหายเลยวะ”
“เออ มึงกับกูก็อยู่ด้วยมาได้เนอะ”
“คิดถึงไอ้ยุทธวะ แม่งบอกจะกลับมาเยี่ยม แค่ปีแรกแม่งก็หายต๋อมละ สงสัยมัวแต่ติดแหม่มอยู่จนลืมเพื่อนที่เมืองไทยหมดแล้ว”
“บ่นเป็นผู้หญิงเลยวะไอ้พงษ์ มันอาจจะเรียนหนักก็ได้”
“มันจะเรียนหนักขนาดไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งข่าวติดต่อมาเลยเหรอวะ อีเมล์มาก็ได้ มึงเชื่อกูมันติดหญิงชัวร์”

วุฒิส่ายหัวให้กับเพื่อนที่นั่งบ่นตั้งแต่เช้า แต่ก็เป็นความจริงที่เพื่อนเขา ยงยุทธหายเงียบไม่ติดต่ออะไรมาเลย ปีแรกยังส่งข่าวกันบ้าง แต่ไม่นานก็เงียบหายไป

“ไอ้วุฒิ เราสองคนจะเรียนกันจนจบนายร้อยตำรวจแล้วพากันไปจนถึงผู้บัญชาการตำรวจเลยนะเว้ย”
“เอางั้นเลยเหรอ”
“เออดิวะ เราสองคนต้องเป็นให้ได้”
“ไอ้พงษ์ มึงลืมอะไรไปไหม”
“ไรวะ”
“เขาเป็นได้ทีละคนเว้ย”


โป๊กกก เสียงเพื่อนรักสองคนเถียงกันจบลงที่อีกฝ่ายโดนบ้องหูไปอีกหนึ่งที


พงษ์นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตต่อให้รักกันมากแค่ไหน อนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เหมือนพวกเขาสองคน วุฒิเป็นเพื่อนที่ดี รักและห่วงใยเขาเสมอ ต่างกันกับเขา ถามว่ารักเพื่อนไหมแน่นอนว่ารัก แต่ก็รักตัวเองมากกว่า เขาแข่งกับวุฒิทุกอย่าง

ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เขาได้เกรดดี เกียรตินิยมจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจทั้งที่เกรดเราสูสีกันมาตลอด ผลัดกันนำ แต่สุดท้ายจบที่เขาได้เกรดที่ดีกว่า เพราะการอุดหนุนของครอบครัวที่มีต่อโรงเรียน

เรื่องงาน เข้าเป็นตำรวจพร้อมกัน เริ่มที่ยศเท่ากัน ขยันไม่แพ้กัน แข่งกันทำผลงาน จนผลงานของเขาไปเตะตาผู้บังคับบัญชาเข้า เขาจึงได้เลื่อนตำแหน่งไวกว่า เร็วกว่า เขาควรรู้สึกดีใจกับความสำเร็จแต่ลึกๆ นั้นเขารู้ดีว่าเป็นเพราะไอ้วุฒิมันหลีกทางและยกผลงานให้กับเขา

หรือแม้แต่เรื่องผู้หญิง เราสองคนหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน พงษ์ที่ฐานะทางบ้านและหน้าตาดีกว่าคิดว่ายังไงคราวนี้ก็ต้องเป็นเขาที่ชนะอีกตามเคย แต่กลับไม่ใช่ วุฒิที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพยายามซื้อใจซื้อเวลาก็ได้ใจผู้หญิงคนนั้นไปครอง ‘แก้ว’ และเหตุผลของเธอก็คือเธอต้องการคนที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ไม่ว่าจะตอนไหน และไอ้วุฒิก็เป็นคนนั้น


มันทำให้เขารู้ว่า ไอ้วุฒิไม่ได้แข่งอะไรกับเขาเลย มีแค่เขาคนเดียวที่บ้า

ต่อให้เราแข่งกันมากแค่ไหนความเป็นเพื่อนของเราก็ยังมีอยู่เสมอ จนกระทั่งวันนั้น...


ถ้ามันไม่มารู้เรื่องที่เขาเป็นคนเปิดทางให้มีการค้ายาในพื้นที่ที่ดูแล

และถ้ามันไม่รู้ว่าเพราะเขาเองที่เป็นนายใหญ่ที่พวกมันพูดถึง

และถ้ามันทำตามที่เขาขอ ไม่เข้ามายุ่งคดีนี้ เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น


‘วุฒิ กูขอร้องเลิกทำคดีนี้ซะ’
‘กูไม่คิดเลยว่าทั้งมึง ทั้งไอ้ยุทธ เพื่อนกูเองแท้ๆ จะเป็นคนทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้’
‘มึงไม่เข้าใจ’
‘เออ!!! กูไม่เข้าใจ หน้าที่การงาน ฐานะทางบ้าน ครอบครัว เมียลูก มึงมีพร้อมทุกอย่างแล้ว มึงคาดหวังอะไรอีก’
‘คนเราความอยากได้ไม่สิ้นสุด อยากได้แล้ว ก็ยังอยากได้อีก มึงเข้าใจไหม’
‘ไม่ กูไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเหี้ยไรทั้งนั้นแหละ’
‘.....’
‘กูจะทำคดีนี้ต่อ มันคือคำสัตย์ปฏิญาณของกู และต่อให้คนร้ายคือเพื่อนที่กูรักทั้งสองคนกูก็จะทำ’
‘ไอ้วุฒิ’



ปัง ปัง ปัง



เสียงปืนที่ดังขึ้น พร้อมกับร่างของเพื่อนรักที่ล้มลง

ปืนกระบอกนั้นมันอยู่ในมือพงษ์

ไอ้ยุทธรีบวิ่งเข้าไปดูร่างของวุฒิที่แน่นอนยิ่และเลือดนองพื้นพร้อมกับหันมาก่นด่าเพื่อนอยากบ้าคลั่ง


“ไอ้พงษ์ทำมันทำไม มึงทำมันทำไม ทำไม”


พงษ์ให้ลูกน้องไอ้ยุทธจัดการต่อทำเป็นเหมือนถูกคนร้ายดักระหว่างทางและโยงเรื่องเข้ากับคดีที่มันกำลังทำ ตำรวจจึงสรุปสำนวนที่ว่า วุฒิถูกฆ่าปิดปาก


“พงษ์มึงจะจัดการยังไงต่อ”
“วันนี้กูจะเปิดทางให้ มึงสั่งคนของมึงให้รีบจัดการทำให้เสร็จ ให้เรียบร้อย และที่สำคัญอย่าทิ้งหลักฐานให้สาวมาถึงมึงกับกูได้”
“แล้วเรื่องวิณณ์”
“ทำไม?”
“มึงจะทำอะไรวิณณ์ไหม”
“มึงกลัวกูทำ?”
“เออ ใช่ กูกลัวมึงทำอะไรมัน นั่นมันลูกไอ้วุฒิ หลานพวกเรานะ”
“มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอ ไม่ห่วงมันเหรอ แต่ถ้ามันยังดื้อ ไม่ฟังเหมือนพ่อมัน กูก็ไม่รู้จะช่วยมันยังไง”
“.....”
“มึงไม่ต้องห่วงมันมากนักหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เพราะถ้ามันรู้ว่ามึงกับกูคือคนที่ฆ่าพ่อมัน”
“.....”
“มันเองก็คงไม่ปล่อยพวกเราไปเหมือนกัน”





[โรงพัก : โจ๊ก & ซีน]


“ครับท่าน ครับ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีตำรวจเวรนายอื่นอยู่เลยนะครับ เอางั้นเหรอครับ เอ่อ....คะ ครับ ครับ รับทราบครับผม”

“เฮ้ย พวกมึงอยู่กันดีๆ ละ อย่าส่งเสียงดังละ”
“ไปไหนละครับจ่า ทิ้งพวกผมไว้ไม่กลัวพวกผมหนีเหรอคร้าบบ”
“ปากมึงนี่มันวอนตีนตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เลยนะ”
“แหม ผมก็แค่ล้อเล่นนิดหน่อย จ่าอย่าถือสาซิครับ จ่ารีบไปทำธุระของจ่าเถอะ ผมขอสัญญาว่าพวกผมจะดูแลตัวเอง มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยคร้าบบบบบ”
“เล่นลิ้นนักนะมึง”


“ไอ้ซีนมึงก็ชอบไปแกล้งจ่าเขาจังนะ”
“มันเบื่อนี่หว่า หรือมึงไม่เบื่อ อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมขวาก็กำแพงซ้ายก็กำแพงหันหน้ามาเจอลูกกรง เซ็งโว้ยยยย เมื่อไหร่พี่เอ็มแม่งจะมาช่วยวะ”
“แหกปากไปเถอะเดี๋ยวพ่อมึงก็มาเล่นงานหรอก”
“มาก็ไม่กลัวเว้ย”


“พวกมึงคงไม่ต้องอยู่ที่นี่นานแล้วละ”


เสียงที่แทรกบทสนทนาเข้ามาดึงความสนใจของพวกผมไป


“ใครวะ”
“พ่อมึงไง”
“พ่อกูไม่ได้หน้าขี้เหร่แบบมึง”
“ปากดีนักนะ สงสัยจะไม่อยากออกไป”
“หะ!! มึงมาพาพวกกูออกไปหรอ งั้นมาเลย เร็วเลย”


แขกที่มาใหม่เป็นใครทั้งซีนและโจ๊กเองก็ไม่รู้จัก แต่แค่ได้ยินประโยคว่าจะได้ออกไป ซีนก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น อิสรภาพมาอยู่ตรงหน้าไม่คว้าไว้ก็โง่ตายห่า


“ใครส่งมึงมาวะ”


เป็นโจ๊กที่ถามออกไป เพราะสถานการณ์ตรงหน้ามันง่ายและล่อแหลมเกินไป พอตำรวจออกไปก็มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาแทน


“ถามจังไม่อยากออกไปหรือไงวะ”
“อยากซิวะ ไอ้โจ๊กมึงหยุด ไม่ต้องถามแล้ว ใครจะส่งมาก็ช่างแม่งเหอะ รีบออกไปให้เร็วที่สุดดีกว่า”


โจ๊กดึงเพื่อนให้เข้ามาชิดด้านในห้องขัง


“อะไรของมึงอีกวะ”
“มึงไม่สงสัยเหรอ กูอยู่มาตั้งนานไม่เห็นจะมีใครโผล่หัวมา มึงมาได้แต่สองวันมีคนจะมาพาออกละ”
“เพราะมีกูไงเขาถึงได้รีบมา มึงต้องสำนึกบุญคุณกูนะเว้ยไอ้โจ๊ก”
“ไอ้ซีนไอ้ควาย”
“อ้าวมึงด่ากูทำไมวะ”
“หยุด แล้วฟัง แล้วคิดตามที่กูพูดว่าจริงไหม”
“มึงว่ามา พูดไม่เข้าหูกูบ้องหูมึงจริงๆ ด้วย”
“ตั้งแต่กูอยู่มาไม่มีหมาซักตัวโผล่จะมาเยี่ยมกู แม้แต่หัวไอ้พี่เอ็มยังไม่เห็น”
“กูก็บอกแล้วไงว่าพวกกูถูกสั่งห้ามไม่ให้มา”
“นั่นไง แล้วทำไมเขาเพิ่งคิดจะมาช่วยมึงกับกูตอนนี้ กูว่านายต้องกลัวมึงกับกูหลุดปากบอกตำรวจแน่ๆ ที่จะมาช่วยก็ไม่ได้ช่วยพาออกไป แต่จะช่วยปิดปากมึงกับกูสองคนให้เงียบสนิทมากกว่า”


ซีนทำท่าคิด จริงอย่างที่เพื่อนมันพูดตอนไอ้โจ๊กติดคุกคนแรกนายไม่เห็นจะสนใจแถมยังสั่งห้ามเขากับพี่เอ็มไม่ให้มาเยี่ยมอีก

แต่คนโง่ ยังไงมันก็โง่อยู่วันยังค่ำ


“เฮ้ย...ไม่หรอกน่า อาจจะเพราะผลงานของกูที่ทำไว้ นายเขาเลยเมตตามึงควรจะขอบใจกูนะไอ้โจ๊ก”
“เฮ้ย มึงรีบมาดิไขเลยเร็วๆ ก่อนพ่อมึงจะกลับมา”
“ได้เลย”


ยังไงโจ๊กก็ยังไม่เชื่อใจ มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ วันนี้ห้องขังเงียบผิดปกติเพราะนักโทษเหลือแค่เขาสองคน คนอื่นๆถูกปล่อยตัวไปเมื่อเช้าจนหมดทำให้ตำรวจเวรในโรงพักเหลืออยู่คนเดียว แถมยังถูกเรียกให้ออกไปข้างนอกแล้วทิ้งนักโทษสองคนไว้อีก


“นายส่งมึงมาช่วยพวกกูใช่ไหม”
“อืม”
“กูบอกแล้วไอ้โจ๊ก เชื่อกูยังนายไม่ทิ้งพวกเราหรอก”
“ใช่นายไม่ทิ้งพวกมึงหรอก แถมยังจะส่งพวกมึงกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วย”


แขกไม่ได้รับเชิญพูดไปพร้อมกับไขกุญแจด้านหน้าห้องขัง และค่อยๆ เดินมาที่ห้องขังของพวกเรา


“หึ่ยยย เยี่ยมไปเลยโคตรรักนายเลยวะ กลับไปนี่ต้องไปกราบแทบเท้า”


“มึงได้กราบแน่ แต่...”

“....”

“คง ต้อง....”

“.....”

“ชาติหน้า”


สิ้นเสียงแขกแปลกหน้าก็ไขประตูห้องขังของพวกเขาและเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับคว้าคอไอ้ซีนเข้าไปใกล้ ก่อนจะ....


สวบ สวบ สวบ


เสียงมีดด้ามยาวที่ถูกแทงเข้ามาที่ตัวสามครั้ง เลือดไหลนองพื้น ไม่มีแม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาสักนิด

มันเร็วมาก มากจนผมเองทำอะไรไม่ทันเพื่อนก็ช่วยไม่ได้


“ไอ้เหี้ยยยย มึงเป็นใครวะทำอะไรเพื่อนกู”


โจ๊กวิ่งถลาเข้าไปชกที่หน้ามันสองที แต่มันกลับไม่สะทกสะท้าน พร้อมกับเหวี่ยงร่างของซีนออกไป และหันมาเผชิญกับเขาแทน

ร่างของซีนทรุดลงกับพื้น ตาเบิกกว้าง เลือดทะลักออกมาจากตัวไม่หยุดจนกองเต็มพื้น โจ๊กถอยหลังชิดกำแพงจนไม่มีทางไปต่อ แขกแปลกหน้ายังคงสาวเท้าเข้ามาไม่หยุด


“มึงต้องการอะไรวะ”
“กูเหรอ เปล่า กูไม่ต้องการอะไรคนอื่นต่างหากที่ต้องการ”
“ใคร”
“มึงไม่ต้องรู้หรอกว่าใคร มันไม่สำคัญหรอก”
“แล้วต้องการอะไรจากกู”
“จุ๊ๆๆ เราเสียเวลามามากแล้วจบเรื่องนี้กันเถอะ”


ผมเหลียวซ้ายแลขวาไม่มีแม้แต่เงาหมาซักตัว เหลือบมองเพื่อนที่พื้น ไม่รู้ว่ามันตายหรือยัง แต่มันนิ่งแบบนั้นคิดว่าคงไม่รอด เขาเองก็คงไม่รอดเช่นกัน

สภาพตอนนี้เหมือนหมาจนตรอก เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ทางไหนก็ตายเหมือนกัน ในวินาทีนั้นโจ๊กตัดสินใจ...

พุ่งชน


“อ้าาาาา”


เหวี่ยงหมัดอย่างหวังผลแต่ก็วืด ส่งผลให้โจ๊กได้รับหมัดหนักๆ ฮุกเข้าท้องมาอย่างเต็มๆ จุกจนต้องลงไปกุมท้องกับพื้น มันตามมาเตะซ้ำจนโจ๊กกลิ้งไม่เป็นท่า พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นแต่คนตรงหน้าก็ไม่ปล่อยช่องว่างให้เขาได้ทำ


ตุบ
พลั่ก พลั่ว
ปึก ปึก


“เลิกเล่นเป็นเด็กได้แล้ว กูไม่มีเวลาขนาดนั้น”

โจ๊กหมดแรงกองกับพื้น เขากระเถิบถอยหลังไปที่กำแพงเพื่อใช้มันพยุงตัวให้นั่งได้

“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง”


แขกแปลกหน้าเดินปรี่เข้าหาโจ๊ก พร้อมกับมีดในมือที่กำแน่นเตรียมพร้อมจะแทงคนตรงหน้าอย่างเต็มที่ไม่ให้พลาด จะยิงปืนมันก็เสียงดังเกินไป มีดนี่แหละดีที่สุด ในเมื่อโอกาสเปิดรอเต็มที่เขาก็ต้องจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จ


“ไอ้เหี้ย อย่าเข้ามา ออกไป ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!  ตำรวจหายไปไหนหมดวะ”
“หึหึ ไม่เจ็บหรอกน่า แปปเดียวพอกูแทงมึงมิดด้ามมีดแล้ว มึงจะค่อยๆ ตายเพราะเลือดที่มันไหลจนหมดตัว”
“มึงดูหนังมากไปหรือไงไอ้สัส มีที่ไหนไม่เจ็บ ออกไป”
“หึหึ”


โจ๊ก หมดเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวเองขึ้น เพื่อนรักเองก็สิ้นท่าไปแล้ว คิดว่าไม่นานเขาคงตามไปเจอมันแน่ๆ


“ตายเถอะมึง”


สวบ สวบ สวบบบบบ


โจ๊กหลับตาได้ยินแต่เสียงมีดที่เสียบเข้าไปในเนื้อ มันดังเข้าหูของโจ๊ก แทงเข้าไปแล้วก็ดึงออก ทำซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง เขารู้สึกเจ็บจี๊ดกับใบมีดที่กรีดลงไปที่ผิวเนื้อ

เขาลืมตาขึ้นและก้มมองที่ตัวเอง มันเป็นเพียงปลายมีดที่แค่ทำรอยบาดกับเนื้อผิวของเขา ให้เกิดแค่รอยเลือดซึมๆ เท่านั้น

เพราะเพื่อนเขา เพื่อนเขาเอง เพื่อนเขาเป็นคนรับมีดนั้นไว้ทั้งหมด


“ไอ้ซีน ไอ้ซีน”
“แขนก็เดี้ยง ยังทำเก่งอีกเหรอวะ”

“หนะ....หนี.....หนี....หนีไป....ไป.....หนีไป”

“แหม เพื่อนช่วยเพื่อนเหรอวะ โคตรซึ้งเลย”
“ไม่ไป กูไม่ไปหรอกไอ้เหี้ย มึงแม่งโง่เอาตัวมาบังทำไมวะ”
“จุ๊ๆๆ ไม่ต้องห่วงยังไงกูต้องส่งพวกมึงสองตัวไปพร้อมกันแน่นอน”


แขกแปลกหน้าเงื้อมีดขึ้นอีกครั้ง ตำแหน่งที่มีดอยู่ตอนนี้คือหน้าอกด้านซ้ายของทั้งเขาและซีน

โจ๊กได้แต่หลับตายอมรับชะตากรรม เพราะเขาทำชั่วมามาก ตายไปมันก็สมควรแล้ว อย่างน้อยตอนตายก็ยังมีเพื่อนละวะ



ปัง ปัง


เสียงปืนดังขึ้น โจ๊กทิ้งตัวหลบไปด้านข้าง โดยกอดร่างของเพื่อนเอาไว้ด้วย เขาไม่ได้ถูกยิง ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ไอ้ซีน  แต่เป็นคนตรงหน้าที่ล้มลง พร้อมกับมีดในมือที่กระเด็นไปอีกทาง

โจ๊กมองไปทางเสียงปืน  ผู้กอง  หลังจากนั้นโลกของโจ๊กก็ดับลง




[วิณณ์]


เสียงหวอของรถพยาบาลที่ถูกเรียกมาพาคนเจ็บจากสถานีตำรวจออกไป คนที่ถูกยิงนะไม่ต้องห่วงตายสนิทไม่มีทางได้ฟื้น ส่วนโจ๊กกับซีนถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลทั้งคู่

โจ๊กมีแผลฟกช้ำตามร่างกาย ไหล่เคลื่อนเพราะถูกเหวี่ยงอย่างแรงและแผลถูกบาดจากปลายมีด

ส่วนซีนอาการหนักและน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะเอาตัวเองเป็นกำบังให้เพื่อน แผลจากมีด 4-5รอย แผลที่ลึกทำให้มีเลือดไหลออกมามากจนน่ากลัว

โรงพยาบาลของไอ้ชายใกล้ที่สุดแล้วกับโรงพัก ทั้งสองคนจึงถูกส่งตัวไปที่นั่น ถ้าจะให้ไปโรงพยาบาลอื่นมีหวังได้ตายก่อนถึงมือหมอ

“พยาบาลกันคนอื่นออกไปก่อนนะครับ ไอ้วิณณ์..”

ผมพยักหน้ารับ และบอกให้คนอื่นๆ ถอยออกมาเพื่อให้หมอได้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุด



30 นาทีผ่านไป….

ไอ้หมอชายก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน


“เป็นยังไงบ้างวะ”
“เสียใจด้วยวะเพื่อน ช่วยได้แค่คนเดียว อีกคนทนพิษบาดแผลไม่ไหวทั้งเสียเลือดและอวัยวะภายในบอบช้ำจากการโดนกระแทกอย่างแรง ตับกับปอดมีเลือดคลั่ง เสียชีวิตหลังจากมาถึงได้ไม่กี่นาที”


ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิด พร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้


“ไหวไหมวะไอ้ผู้กอง” ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไม่ไหวก็พักบ้างเถอะมึง ไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงแม่กับน้องสาวบ้าง”
“เพราะคิดนี่ไงถึงปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้”
“อะไรวะ”
“ไว้กูค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ... จ่าให้ตำรวจมาเฝ้าซักสองนาย สลับเปลี่ยนกันมาเฝ้า อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ว่าใครเข้าไปทั้งนั้น ถ้าไม่ได้รับคำสั่งผมห้ามใครทั้งนั้น เข้าใจไหม”
“ครับ”
“ไอ้หมอกูกลับก่อนนะ”


พูดจบวิณณ์ก็หันหลังเพื่อเดินต่อ แต่เพื่อนก็คือเพื่อนคบกันมาหลายปีทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นอะไร


“ไอ้วิณณ์คิดถึงแม่กับน้องมึงให้มากๆ”
“...”
“กูจะไม่ห้ามเรื่องที่มึงกำลังทำหรือคดีที่มึงกำลังตามหรอกนะเพราะกูรู้ว่ามันคือความตั้งใจของมึง แต่ช่วยดูแลตัวเองด้วย”
“...”
“อ้อ แล้วก็เพื่อนนะเขามีไว้ให้พูดให้ระบายให้ช่วย หัดใช้เพื่อนอย่างพวกกูให้เป็นประโยชน์บ้าง เข้าใจไหม”
“ขอบใจ”
“เออ”


วิณณ์กลับออกมาพร้อมกับความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวจนแทบจะระเบิดออกมา คนร้ายบุกเข้าไปถึงโรงพักหนำซ้ำยังเข้าไปถึงห้องขังได้อย่างง่ายดาย ไม่มีร่องรอยการงัดแงะอะไรทั้งสิ้น เหมือนกับมีกุญแจที่เปิดเข้าไปได้

มันอดคิดไม่ได้ว่าสองคนนั้นอาจจะถูกหมายหัวถูกฆ่าปิดปาก ซึ่งก็ทำสำเร็จไปแล้วหนึ่งคน

มันไม่ใช่เพราะเขาเก่งหรือมีลางสังหรณ์อะไรหรอก แต่เพราะวิญญาณคุณแอนที่มาบอกตะวันกับเขาว่าจะมีรื่องร้ายที่โรงพักคืนนี้ ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่าใครจะมาก่อเรื่องอะไรที่โรงพักได้ แต่เพราะตะวันรบเร้าให้เขามาให้ได้ เขาจึงตัดสินใจมา

ถ้าเจ้าตัวรู้ว่ามันคือเรื่องอะไรคงตกใจไม่น้อย


“วิณณ์”

ตะวัน!! บอกให้รอที่คอนโดไง”

“ก็ตะวันเป็นห่วงวิณณ์ อยากรู้ด้วยว่าจะเกิดเรื่องอะไร”
“แล้วรู้หรือยัง”
“รู้แล้ว”
“บอกอะไรไม่เคยเชื่อ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“....ขอโทษ”
“ตะวันห่วงวิณณ์ วิณณ์ก็ห่วงตะวันเหมือนกันรู้ไหม”
“รู้”
“ถ้ารู้ก็หัดเชื่อกันบ้าง ถ้าตะวันเป็นอะไรขึ้นมาวิณณ์จะทำยังไง”
“......”
“......”
“เอ่อ แต่ว่าวิณณ์ ตะวันเป็นวิญญาณนะลืมแล้วเหรอ”
“ไม่ลืม แล้วมันก็ไม่เกี่ยวว่าตะวันเป็นวิญญาณแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำได้ วิณณ์ไม่รู้ถ้าวิญญาณของตะวันเป็นอะไรไป หรือร่างของตะวันเองเป็นอะไรไป จะมีผลต่อการกลับเข้าร่างไหม”
“.....”
“แล้วสิ่งที่พยายามทำกันมามันจะเสียเปล่า”
“ขอโทษ”
“วิณณ์เป็นห่วงตะวันนะ”
“ตะวันขอโทษ”
“......”


วิณณ์รู้สึกว่าเขาอารมณ์เสียเกินไป ความจริงตะวันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่เขาก็ดันเอาความหงุดหงิดที่มีไปลงกับตะวัน แต่มันคือเรื่องจริงที่เขาห่วงตะวัน สิ่งที่วิณณ์กังวลมันมีที่มาครั้งก่อนที่อยู่ดีๆ สัมผัสวิญญาณของตะวันก็เบาบางลงถึงแม้เขาจะทำให้พลังกลับมาได้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้เสมอไป และยิ่งระยะห่างของร่างกับวิญญาณที่อยู่คนละที่อีกเขาไม่รู้ว่ามันจะมีผลกระทบอะไรอีกไหม

วิณณ์หาข้อมูลอยู่ตลอดถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ผลของสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากวิญญาณทิ้งกายเนื้อไปนานคือ ความเสื่อมตามสภาพของกายเนื้อ และถ้ายิ่งปล่อยนานไปจิตผูกพันของกายเนื้อกับวิญญาณอาจจะเชื่อมกันไม่ได้ เขาถึงไม่อยากให้ตะวันทำอะไรที่จะเสี่ยงต่อการบั่นทอนพลังงานวิญญาณอีก

ตอนนี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการเต็มไปหมดไม่รู้ควรจะกังวลอะไรก่อน

คดีของคุณแอน

คดีของพ่อ

หรือแม้แต่เรื่องที่ตะวันกำลังจะถูกส่งไปอเมริกา








*****
ต้องขออภัยจริงๆ คะ ไม่รู้ตัวเลยว่าทิ้งระยะไว้ตั้งเดือนหนึ่งจากตอนที่แล้ว เพราะงานมันรัดตัวแน่นจริง ไม่ได้แก้ตัวก็เหมือนแก้เนอะ แหะๆ

กราบงามๆ คะ ^___^
*****

หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 30 : เพื่อนไม่มีจริง (31/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-10-2018 23:27:40
เย้ๆ มาต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 30 : เพื่อนไม่มีจริง (31/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-11-2018 01:06:41
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 30 : เพื่อนไม่มีจริง (31/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-11-2018 01:52:36
ตะวันจะหายไปไหมน่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 30 : เพื่อนไม่มีจริง (31/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-11-2018 08:56:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

เวลคัมแบ็ค

เรื่องราวคดีจะคลี่คลายไปทางไหนน้อ?
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 30 : เพื่อนไม่มีจริง (31/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 25-11-2018 12:47:40
 :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 30 : เพื่อนไม่มีจริง (31/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mimirose ที่ 25-11-2018 18:46:08
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 31 : สู้กับโจรต้องเป็นโจร (27/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 27-11-2018 20:19:59
ตอนที่ 31 สู้กับโจรต้องเป็นโจร


ตึง ตึง ตึง!!!

เสียงที่เกิดจากวัตถุกระทบกันเรียกให้ผู้คนเบื้องหน้าบัลลังก์สูงหันมามองพร้อมกับเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่เงียบลง

“ขออนุญาติครับท่านเทว ท่านพญายม”

ชายในชุดสูทสีดำคลุมยาวจนถึงเข่านั่งอยู่หน้าบัลลังก์ โดยมีสมาชิก4-5 คนรวมถึง ท่านเทว กับ ท่านพญายม ร่วมอยู่ด้วย ตามบรรดาศักดิ์แล้ว ชายผู้นี้มีบรรดาศักดิ์ต่ำต้อยกว่าคนเบื้องหน้าอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของ ห้องยุติธรรม ทุกยศฐาบรรดาศักดิ์ต้องละทิ้งไปและเคารพต่อคนที่รักษากฎเอาไว้ในมือ

“ท่านเทว” ชายชุดดำเว้นจังหวะก่อนจะเรียกชื่ออีกคน  “ท่านพญายม วันนี้ข้าวิษณุกรมรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบ”

“ตรวจสอบเรื่องอะไรงั้นรึ” ท่านเทวเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

“เรื่องที่ทั้งสองละเมิดกฎการตั้งผู้ถูกเลือก”

“เดี๋ยวก่อนท่านวิษณุกรม เรื่องของผู้ถูกเลือกเป็นกฎที่เรามีกันมานานแล้วในทุก 100 ปี เราต้องคัดเลือกวิญญาณที่จะมารับหน้าที่นี้แล้วมันเป็นการละเมิดกฎยังไงรึ”

“ท่านพญายม ข้าเข้าใจว่าท่านน่าจะรู้ว่าข้าหมายถึงเรื่องอะไร”

“.....”

“กฎการให้มีผู้ถูกเลือกต้องถูกยกเลิกแล้วในครั้งนี้ แต่ท่านทั้งสองกลับเรียกร้องให้มีโดยอ้างว่าต้องการจะทดสอบจิตใจของมนุษย์อีกครั้ง ท่านยังคงดื้อรั้นคิดว่ามนุษย์จะละทิ้งความเห็นแก่ตัวและยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น ซึ่งท่านทั้งสองก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง การที่วิญญาณเหล่านั้นยอมรับทำภารกิจ ซึ่งก็คือเหตุผลเพื่อตัวเองทั้งนั้น ท่านจะยังคงเชื่อแบบนั้นเพื่ออะไร”

“ท่านวิษณุกรม ข้าเข้าใจท่านที่ท่านละทิ้งความเชื่อในตัวมนุษย์ไปแล้ว แต่ถึงท่านจะพูดแบบนั้นข้าก็ยังคงเชื่นมั่นในมนุษย์อยู่ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกล้ำสามารถแสดงการกระทำ คำพูดหรืออะไรก็ตาม โดยที่ท่านไม่คาดคิดมาก่อนได้เสมอ”

“.....”

“ข้าจะเชื่อและจะพิสูจน์ต่อไป”

“ถึงแม้ท่านอาจจะผิดหวังอย่างนั้นรึ”

“ถ้าต้องผิดหวังข้าก็ยอมรับผลของการกระทำนั้น”


ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ถึงกับนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน อาจจะเพราะเขาไม่เคยเชื่อในมนุษย์ผู้ที่มีความโลภโมโทสันในสันดาน แต่ท่านพญายมเจ้าผู้ปกครองนรกภูมิกลับยอมเชื่ออย่างนั้นรึ

“ท่านเทว ท่านก็เชื่อเหมือนท่านพญายมอย่างนั้นใช่หรือไม่”

“ข้าจะไม่พูดว่าข้าเชื่อ เพราะข้าไม่เชื่อ”

“...??...”

“ข้าก็แค่....อยากรอดูผลของการพิสูจน์ก็เท่านั้น”

“ผลของการพิสูจน์?”

“เมื่อนานมาแล้วมนุษย์ล้วนอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ชิงดีชิงเด่น ช่วยเหลือกัน และไม่คิดร้ายต่อกัน แต่ในยุคนี้มันไม่ใช่ มนุษย์ล้วนแต่คิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองทำเพื่อตัวเองโดยไม่สนใจคนอื่น ข้าอยากจะรู้ว่าจะมีมนุษย์สักคนไหมที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่น”

“ท่านจึงเลือกวิญญาณตนนี้ทั้งที่มันผิดกฎอย่างนั้นรึ ท่านก็รู้ว่ากฎของผู้ถูกเลือกคือห้ามเลือกวิญญาณที่ตายจากการทำอัตวิบากกรรมตัวเอง”

“แต่ในท้ายที่สุดวิญญาณดวงนี้ก็ไม่ได้ทำท่านเองก็รู้ เสี้ยวเวลาที่คิดกลับใจก็คือกลับใจ”


ท่านพญายมและท่านเทวสบตากันก่อนจะเป็นท่านพญายมที่พูดขึ้น

“ท่านวิษณุกรมอีกไม่นานหรอก ทุกอย่างก็จะเสร็จสิ้นแล้วเรามาคอยดูผลลัพธ์ไปพร้อมกันดีกว่า”




[บ้านพ่อตะวัน]


ก๊อก ก๊อก

“พ่อครับ”

“ลม....เข้ามาก่อนซิ”

ลมเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อที่กำลังสะสางงานกองพะเนินบนโต๊ะ

“งานเยอะเลยเหรอครับพ่อ”

“อืม”

“เอ่อ...ให้ผมมาใหม่ไหมครับ”

“ไม่เป็นไร ลมจะพูดอะไรกับพ่อพูดได้เลย” เพราะผู้เป็นพ่อมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการหา หมอ ดีๆ  รพ.ดีๆ มีชื่อเสียงเพื่อรักษาตะวันทำให้งานตรงหน้าค้างคาและต้องแบกกลับมาทำที่บ้านแทน

“เรื่องที่รักษาพี่ตะวันที่อเมริกานะครับ”

“อืม เป็นยังไงบ้าง ได้เรื่องอะไรไหม”

“ครับ พ่อของเพื่อนผมที่เป็นหมอนะครับ เขาแนะนำมาครับ”

ลมยื่นกระดาษที่มีข้อมูลชื่อ รพ. และหมอ ให้ผู้เป็นพ่อ ซึ่งพ่อก็รับไปอย่างทันทีและเดินไปนั่งที่โซฟา พ่อพิจารณาข้อมูลในกระดาษแผ่นนั้นก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เขาไม่รู้ว่าการส่งตะวันไปรักษาที่นั่นจะได้ผลมากน้อยแค่ไหม แต่ก็คงดีกว่าปล่อยให้นอนนิ่งๆ รอคอยแค่ปาฏิหารย์ผ่านไปวันๆ

“พ่อจะส่งพี่ตะวันไปเมื่อไหร่เหรอครับ”

“อย่างช้าสุดสองอาทิตย์ แต่ถ้าเตรียมเรื่องได้เสร็จไวกว่านั้นพ่อก็จะพาไปเลย”

ลมมองผู้เป็นพ่อ พ่อดูแก่ลงไปมากตั้งแต่เกิดเรื่องกับพี่ตะวัน เรื่องแรกก็คงเป็นรื่องในอดีตพ่อมีเมียอีกคนในตอนที่แม่ของพี่ตะวันกำลังท้องพี่ตะวัน แถมยังมีลูกด้วยกันอีก

เมียน้อยคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน  แม่เขาเอง และแน่นอนลูกของเมียน้อยคนนั้นก็คือเขา....

แม่ของพี่ตะวันต้องทนอยู่ในสภาพ 3คนผัวเมียมาตลอดและสุดท้ายความอดทนก็สิ้นสุดลง แม่ของพี่ตะวันเลือกที่จะพาพี่ตะวันออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกและตัดขาดความสัมพันธ์ครอบครัวลง แต่ยังดีที่แม่ของพี่ตะวันยังให้พ่อเจอกับพี่ตะวันในฐานะพ่อของลูกได้

เขารับรู้เรื่องนี้มาตลอดแม่เขาเองก็ไม่ได้ดีใจที่ต้องมาตกอยู่ในสถานะเมียน้อยและทำให้ครอบครัวหนึ่งต้องแตกแยก เขาเองก็ไม่ได้อยากเกิดมาพร้อมกับมีตราประทับอยู่บนหน้าผากว่าเป็นลูกเมียน้อย ถึงไม่มีใครพูดออกมาก็เถอะแต่มันก็คือเรื่องจริง

“พ่ออย่าเครียดมากนะครับ พี่ตะวันต้องรับรู้ว่าพ่อทำเพื่อพี่เขาแค่ไหน”

“หึหึ พ่อรู้ตัวว่าพ่อมันเป็นพ่อที่ไม่ดี พ่อจะไม่เรียกร้องให้ตะวันต้องมารักพ่อแบบนี้หรอก ไม่ต้องมาอภัยให้พ่อก็ได้ ขอแค่ให้พ่อได้ทำให้พี่เขาในฐานะพ่อคนหนึ่งก็พอ”

“พี่ตะวันต้องเข้าใจครับ”

“พ่อก็หวังแบบนั้น”

ผู้เป็นพ่อลุกขึ้น เอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของลม บีบเบาๆ และยิ้มให้กับคำปลอบใจของลูกชายอีกคน ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน




[วิณณ์ & ตะวัน]

พวกเรากลับมาถึงคอนโด ตั้งแต่กลับมาวิณณ์ก็เอาแต่นอนเงียบอยู่บนเตียง

“เฮ้อออออ”

สักพักก็ถอนหายใจออกมาถึงแม้จะไม่เสียงดังอะไรแต่ก็เรียกความสนใจจากตะวันได้ไม่น้อย

“คิดมากเรื่องนั้นเหรอ”

“อืม”

“อย่าคิดเยอะซิ ดูดิคิ้วติดกันจนเอามาผูกเป็นโบว์ได้แล้ว”

ตะวันเดินลงมานั่งขัดสมาธิที่เตียงข้างๆ ผม ก้มหน้าลงมามองจนเกือบจะชนกันก่อนจะเอามือมาแตะที่หว่างคิ้วและคลี่ออก

“ดูดิไม่หล่อเลย ตีนกามาแล้วเนี่ย”

“ไม่หล่อจริงเหรอ”

“อืม ไม่หล่อเลย”

“จริงอะ”

“จะ....จริง วิณณ์จะเอาหน้ามาใกล้ทำไมเนี่ยยย”

“ก็ตะวันบอกไม่หล่อ วิณณ์เลยให้มองใกล้ๆ ใหม่อีกทีไง”

“.....”

“สรุป ไม่หล่อจริงอะ”

“ไม่ ฮะ......เฮ้ยยยยย เล่นอะไรไม่เอา วิณณ์ไม่เอา”

วิณณ์คว้าตัวตะวันเข้ามาแล้วจัดการพลิกให้ตัวเองอยู่ด้านบน ท่าทางตอนนี้มันเลยออกมาประมาณว่าวิณณ์กำลังคล่อมตะวันอยู่

“แปลกเนอะ”

“ปะ....แปลก....อะ....อะไรอีก”

“ทำไมพอเราอยู่ใกล้กันแบบนี้” วิณณ์ย่อตัวเข้าหาตะวันก่อนจะเอาหน้าแนบที่หน้าอกขาวนั่น

“ทะ....ทำ....อะ.....ไร”

“เหมือน”

“เหมือน?”

“เหมือน”

“เหมือน?”

“เหมือน.......ได้ยินเสียงหัวใจของตะวันเลย”

“มั่วแล้ว วิญญาณจะมีเสียงหัวใจได้ไงเล่า”

“ก็ได้ยินจริงนะ นี่ก็อีก”  ฟุดฟิด ฟุดฟิด วิณณ์ทำจมูกฟุดฟิดอยู่แถวๆ หน้าอก เลื่อนขึ้นมาที่คอ ไต่มาจนถึงหน้าและหน้าผาก

“.....อะ.....อะไร ดมอะไร”

“ตัวก็หอม ทำไมวิญญาณถึงมีกลิ่นได้ละ”

“จะ จะไปรู้ได้ไงเล่า น้ำก็ไม่ได้อาบจะมาหอมอะไร จมูกผิดปกติหรือเปล่าเนี่ย”

“หึหึ ขออยู่แบบนี้สักพักนะ”

“อะ....อืม”

วิณณ์ค้างนิ่งอยู่เหนือตัวตะวันก่อนจะทิ้งตัวลงเอาหน้าซบลงด้านข้างของตะวัน ปลายคางซุกอยู่ที่ซอกคอ แก้มชนแก้ม  ลมหายใจเบาๆ ของวิณณ์ที่สัมผัสเข้ากับผิวเนื้อ

เป็นวิญญาณบ้าอะไรวะ มีความรู้สึกได้ด้วยเหรอวะ

“เหนื่อยใช่ไหม” วิณณ์พยักหน้าตอบรับ

“อืม ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างถึงไหล่จะไม่อบอุ่น แต่ก็พอให้ซุกได้นะ”

“อืม”


ไม่ใช่แค่ตะวันที่รู้สึกวิณณ์เองก็รู้สึก....
เขารู้สึกผูกพัน
เขารู้สึกห่วงใย
เขา รู้สึกคิดถึง
เขารู้สึกทุกอย่างกับตะวัน ไม่รู้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่ตะวันหายไปเขาจะกระวนกระวายใจ คิดไปต่างๆ นานามากมายหลายอย่างจะเป็นอะไรไหม จะเกิดอะไรไม่ดีไหม นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาโมโหและหงุดหงิดถ้าตะวันไม่เชื่อฟังเขา


“ใครบอกไม่อุ่น”

“หืม?”

“ไหล่ตะวันอบอุ่นมากเลยนะ จะบอกให้”

“.....”

“ถ้าวิณณ์จะหลับไปทั้งอย่างนี้ ตะวันจะว่าอะไรไหม”

“ไม่ว่า”

“จริงเหรอ”

“อืม”

“วิณณ์ตัวหนักนะ”

“ตะวันไม่เห็นรู้สึก”

“เหรอ”

“....”


“หึหึ” วิณณ์หัวเราะในลำคอ เอื้อมมือมาลูบหัวคนด้านล่างอย่างเอ็นดู

“ล้อเล่นนะ ขอแค่พักสายตาแปปนึงก็พอ”


สุดท้ายวิณณ์ก็หลับไปทั้งอย่างนั้นหลับทั้งที่มีตะวันเป็นเหมือนที่นอนนุ่มๆ ให้นอน 
มันเป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่ก็ยังไม่เข้าใจ รู้แค่ต่างฝ่ายต่างห่วงและคิดถึงกันเสมอ
มันเป็นความสัมพันธ์ที่ใครรู้ก็ต้องแปลกใจ วิญญาณที่ทำทุกอย่างปกติเหมือนคนทั่วไป....
.....จะต่างก็ตรงที่สิ่งเหล่านี้รับรู้ได้แค่เพียงคนคนเดียวเท่านั้น.....



วิณณ์สลึมสลือค่อยๆ ลืมตาตื่น และกระพริบตาเพื่อให้ชินกับแสง

“ตะวัน!!!”

“อืม ก็ตะวันอะดิ ทำไม..ไม่เคยเห็น”

“มานอนได้ไงอะ” วิณณ์ขยับสายตามองไปรอบตัว ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง นอนเตียงของเขาเองเนี่ยไม่แปลกหรอก แต่ที่แปลกคือ คนที่นอนอยู่ข้างๆ มากกว่า

“จำไม่ได้?”

“จำได้ดิ”

“ว่า...”

“ก็เรานอนคุยกันแล้ววิณณ์ก็ขอพักสายตากับไหล่ตะวันอยู่แปปนึง แล้ว.....ก็....คงเผลอหลับไป แหะๆ”

“ใช่ครับ คุณผู้กองวิณณ์เผลอหลับไปจนถึงเช้าเลยรู้ตัวไหมครับ”

“เอ้า ทำไมไม่ปลุกละ” วิณณ์พูดพร้อมกับขยับตัวเอาหลังพิงกับหัวเตียง

“จะให้ปลุกได้ไงละ เห็นนอนสบายขนาดนั้นใครจะกล้าปลุก”

“ไม่เมื่อยแย่เลยเหรอ”

“ก็อยากจะเมื่อยหรอกนะ แต่เป็นวิญญาณไงมันเลยไม่รู้สึก”

“งั้นไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวไป สน. สาย”

“ครับโผมมม”

วิณณ์ดีดตัวลุกขึ้นแต่ก็ไม่วายจะหันไปแหย่คนข้างๆ ให้หงุดหงิดเล่น

“โอ้ยยยยยยยย ขยี้หัวเล่นอีกแล้วนะ”

“หึหึ”


เมื่อเดินเข้ามาในห้องน้ำและเห็นเงาตัวเองในกระจกก็ต้องแปลกใจ

ยิ้ม!!

เขากำลังยิ้ม!!

ยิ้มทำไมก็งงเหมือนกัน แค่รู้สึกว่าตอนนี้กำลังมีความสุข



วิณณ์ขับรถมาที่โรงพยาบาลเพื่อมาดูอาการของโจ๊ก

“สวัสดีครับผู้กอง” จ่าเวรหน้าประตูทักทายวิณณ์

“ไอ้โจ๊กเป็นยังไงบ้างจ่า”

“รู้สึกตัวแล้วครับ คุณหมอชายเพิ่งจะมาตรวจอาการและกลับออกไปเมื่อกี้ครับ”

“อืม”

“ผู้กองจะเข้าไปไหมครับ”

“ผมจะไปคุยกับไอ้หมอก่อน เดี๋ยวกลับมาอีกที ฝากจ่าดูแลด้วยนะ”

“ครับผม”

วิณณ์เดินไปที่ห้องพักแพทย์ของเพื่อนเขา



ก๊อก ก๊อก

ไม่ต้องรอให้อนุญาติวิณณ์ก็เปิดประตูเข้าไปในห้องเอง

“ไอ้หมอ”

“อ้าวไอ้ผู้กอง มาดูอาการนักโทษเหรอ”

“เออ” วิณณ์ตอบคำถามหมอชาย แต่สายตากำลังมองเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งมุมห้อง สถานการณ์แบบนี้

“ทะเลาะกันอีกแล้วดิมึงสองคน”

“แหม ฉลาดแสนรู้ รับกลิ่นไวจังเลยนะครับผู้กอง”

เอิ่ม...ครับโดนไปหนึ่งดอก เวลาไอ้ฟิล์มมันโมโหต้องแสดงนิสัยจิกกัดกับทุกคนทุกที

“ไอ้ฟิล์มเห็นหน้าคุณผมก็รู้แล้วไหม ไอ้ชายคงไปขัดใจอะไรเข้าให้อีกละซิ แล้วไอ้ชายทำไมชอบทำให้เมียโกรธตลอดด้วยวะ”

“ก็สนุกดี เวลาเมียโกรธแล้วมันน่ารักไง กูชอบ”

“โรคจิตฉิบหาย”

“ไอ้ฟิล์มก็เหมือนกันกูละงงกับมึงจริงๆ ยิ่งนับวันมึงนี่ยิ่งสาวขึ้นนะ”

“สาวบ้านมึงซิไอ้ผู้กอง ปกติกูก็เป็นแบบนี้ไหม”

“หึ ไม่อะ” ผมนี่รีบสายหัวทันที เมื่อก่อนมันสองคนนี่แมนมาก แมนกว่าผมอีก แต่พอได้กันแล้วก็....ก็อย่างนั้นแหละครับ

“เออปล่อยเมียกูไว้แบบนั้นแหละ เดี๋ยวค่อยง้อ”

“มีงมานี่มีอะไรหรือเปล่า”

“กูมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อยวะ”

“เรื่องอะไรวะ?”





ต่อด้านล่างนะคะ >>>
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 31 : สู้กับโจรต้องเป็นโจร (27/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 27-11-2018 20:28:38
ต่อคะ



“เรื่องผู้ต้องหาที่ถูกยิงเมื่อคืนนี้…..”
.
.
.
“มึงแน่ใจนะว่าจะให้กูทำแบบนั้น”

“อืม แต่มึงไม่ต้องกลัว กูรับผิดชอบเองถ้าเกิดอะไรขึ้น”

“มึงคิดว่าคนอย่างไอ้ชัยเดชกลัวเหรอ”

“กูรู้ว่ามึงไม่กลัว แต่กูก็ไม่อยากให้มึงเดือดร้อน”

“จำไว้นะไอ้วิณณ์ ถ้าสำหรับเพื่อนกูยอม”

“ขอบใจวะ”


ทั้งสองคนเงียบกันไปสักพัก แต่คนอย่างหมอชายมีหรือจะไม่รู้ว่าเพื่อนเขามาหาต้องมีมากกว่าเรื่องนี้แน่นอน


“ไอ้วิณณ์ มีอะไรก็บอกมา”

“เฮ้ออออ เกลียดมึงวะ รู้ดีไปหมด”

“เออ กูนี่ละที่รู้ดีไปหมดว่าเพื่อนอย่างมึงมันต้องมีมากกว่าเรื่องนี้แน่นอน”

“แหม รู้ดีไปหมดยกเว้นเรื่องเมียตัวเองซินะ”

“เมียอะยิ่งรู้ ที่นิ่งไม่ใช่อะไรนะรอจัดการทีเดียว จบไหม”

“ชิส์”


ผัวเมียละเหี่ยใจจริงๆ คู่นี้ แต่คราวนี้ผมว่าไอ้ชายเป็นต่อแน่นอนไม่งั้นมันไม่กล้าหือ และไอ้ฟิล์มหงอขนาดนี้หรอก


“เอ้า ไอ้วิณณ์รีบพูด เดี๋ยวกูต้องเคลียร์กับเมียอีกยาว”

“กูมีเรื่องอยากถามหน่อยวะ”

“.....”

“มึงจำเรื่องของตะวันนักศึกษาที่โดนรถชนแล้วตอนนี้ต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทราได้ไหม”

“เออ ทำไมวะ”

“ตอนนี้พ่อของน้องเขากำลังจะส่งตัวไปรักษาที่อเมริกา ตามความเห็นของหมออย่างมึงควรจะส่งไปไหมวะ แล้วไปรักษาที่นั่นจะมีโอกาสหายได้ไหม”

“ดูมึงเป็นกังวลกับเรื่องของน้องเขาเป็นพิเศษนะ”

“มึงตอบกูมาก่อนเหอะน่า”

“ถามว่าควรส่งไปไหมมันอยู่ที่ครอบครัวของคนไข้ตัดสินใจวะ การที่ส่งไปอาจจะดีหรือไม่ดีกับร่างกายของน้องเขาก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง ถามว่าไปรักษาที่นั่นมีโอกาสหายไหมก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของน้องเองอีกนั่นแหละ ที่นั่นอาจจะมีเครื่องมือพร้อมหรือวิธีการรักษาที่แตกต่างออกไป แต่ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของน้องว่าตอบสนองได้มากน้อยแค่ไหน”

“....”

“คนที่นอนเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทรามีมากที่อยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่รู้สึกตัวช่วยเหลือตัวเองหรือทำอะไรไม่ได้เลยตลอดชีวิตก็มี แต่บางเคสที่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาใน 1ปี หรือ 10ปี ก็เคยมีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์อย่างกูก็ไม่ค่อยอยากพูดคำนี้เท่าไหร่หรอกนะ แต่กูคิดว่ามันคือ ปาฏิหารย์

“ปาฏิหารย์?”

“ใช่”

“ปาฏิหารย์จากความหวัง ความรัก ความอดทน หรืออะไรก็แล้วแต่”

“.....”

“คนที่หลับไปนานๆ แล้วอยู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมามันคือปาฏิหารย์ มึงว่าไหม”


ใช่ ปาฏิหารย์....

แต่การที่เขามาเจอกับตะวันคงไม่เรียกว่าปาฏิหารย์ ต้องเรียกว่ากรรมหรือไม่ก็พรหมลิขิต แต่การที่เขาต้องมาช่วยตะวันทำภารกิจเพื่อให้ได้พร 1 ข้อและพรข้อนั้นก็คือการขอให้ตัวเองฟื้นอีกครั้ง มันคือปาฏิหารย์
และเราสองคนก็กำลังช่วยกันทำให้ปาฏิหารย์นั้นเป็นจริง


“เออ ขอบใจวะ งั้นกูไปทำงานต่อละ มึงเองก็...เคลียร์กับเมียดีๆ ละ อย่าลืมว่าที่นี่โรงพยาบาลอย่าทำอะไรประเจิดเจ้อให้หมอหรือพยาบาลคนอื่นเขาช๊อคกันไปละ”

“เออ กูรู้หรอกน่า เดี๋ยวจะล๊อคห้องอย่างดีรับรองไม่มีคนเห็นแน่นอน”

“กูไปนะฟิล์ม” มันหันมาพยักหน้าแล้วก็หันกลับไปทำหน้าบึ้งต่อ ถึงพวกมันสองคนจะทะเลาะแต่สุดท้ายผมก็เห็นว่ามันก็รักกันดี อาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ



ผมเดินกลับมายังห้องพักฟื้นที่โจ๊กอยู่แต่เมื่อมาถึงก็เจอกับแขกที่ไม่คาดคิด

“สวัสดีครับผู้กำกับ ทราบเรื่องที่โรงพักแล้วเหรอครับ”

“อืม พอผมรู้เรื่องก็รีบไปที่โรงพัก แล้วก็รีบมาที่โรงพยาบาลนี่ละ อาการของผู้ต้องหาเป็นยังไงบ้าง ผมว่าจะเข้าไปดูซักหน่อย”

“ตอนนี้หมอสั่งห้ามครับ เพราะอาการยังไม่พ้นขีดอันตรายกลัวว่าถ้ามีคนเข้าไปเยอะคนไข้จะมีอาการแทรกซ้อนหรือติดเชื้อได้ครับ”

“เอ่อ..” จ่าเติมทำท่าจะแย้งแต่เพราะทำงานด้วยกันมานาน แค่มองหน้าของวิณณ์ก็เข้าใจความหมายและเลือกที่จะเงียบ

“แต่จ่าเวรเมื่อกี้บอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว”

“ผมเพิ่งไปคุยกับหมอเจ้าของไข้มานะครับ หมอเจ้าของไข้เพิ่งแจ้งมาเมื่อกี้”

ผู้กำกับพงษ์มองหน้าวิณณ์อย่างหยั่งเชิง เพราะการกระทำและคำพูดเหมือนจะกันท่าเขาแต่เขาเองก็ยังคิดว่าวิณณ์น่าจะยังไม่รู้เรื่องอะไรแน่นอน

ทั้งที่ความจริงไม่ใช่.....วิณณ์รู้แล้ว
รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากความโลภของคน
รู้ว่าเพื่อนที่พ่อรักทั้งสองคนเลือกเดินเส้นทางเป็นโจรมากกว่าเส้นทางของคนธรรมดา
และรู้ว่าเพื่อนที่พ่อฝากฝังอนาคตของเขาไว้ในมือกลับเป็นคนที่จำทำลายอนาคตของเขาซะเอง


“อย่างนั้นเหรอ”

“ครับ”

“ผมว่าผู้กำกับรอฟังข่าวที่โรงพักก็ได้นะครับ เสียเวลามาเองทำไม” เป็นจ่าเติมที่พูดขึ้น

“ก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรมากมายหรอก ให้ผมนั่งโต๊ะทำงานอย่างเดียวชีวิตมันจะน่าเบื่อไป”

“ครับ ครับ ผมก็รู้ว่าเมื่อก่อนผู้กำกับบู๊แค่ไหน แต่ผมแค่เห็นว่าเรื่องธรรมดาๆ ไม่น่าจะต้องทำให้ผู้กำกับเสียเวลาเลย”

“หึหึ ปล่อยเรื่องนั้นไปเถอะ ว่าแต่สรุปผมเข้าไปดูอาการของไอ้โจ๊กไม่ได้จริงซิ”

“ครับ” เป็นวิณณ์ที่พูดขึ้น “ผมว่าเราทำตามที่หมอบอกดีกว่าครับ”

“ถ้างั้นก็คงต้องเป็นแบบนั้น เสียดายผมอยากจะถามเหมือนกันว่ารู้จักคนที่ทำเรื่องนี้ไหม”

“.....”

“แต่ไม่เป็นไร งั้นผมขอตัวกลับก่อน จ่ายังไงก็ดูแลทางนี้ดีๆ ละ”

“ครับผม สวัสดีครับผู้กำกับ”

“สวัสดีครับ” วิณณ์เอ่ยลากับผู้กำกับหรือก็คืออาพงษ์คนที่เขาคิดว่ารู้จักดีแต่กลับไม่ใช่


วิณณ์รู้ว่าคดีของคุณแอนเป็นฝีมือโจ๊กกับเพื่อน ซึ่งนายใหญ่ที่โจ๊กพูดถึงก็คือคนออกคำสั่ง และนายใหญ่คนนั้นก็คือนายยงยุทธเพื่อนของพ่อและคนที่คอยหนุนหลังก็คือผู้กำกับพงษ์


“หึหึ”


วิณณ์หัวเราะให้กับโลกนี้ที่มันช่างไม่ยุติธรรม คนที่เขาคิดว่ารู้จักดี เป็นคนดี กลับเป็นคนที่ร้ายที่สุด เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พ่อเขาต้องตาย น้องสาวเขายังต้องมาเจ็บตัว เขาควรรีบจัดการให้จบ







[บ้านยงยุทธ]


[ยุทธ ลูกน้องมึงนี่มันไม่ได้เรื่องไหนบอกว่าฝีมือดี แล้วดูที่มันทำ]
“อย่างน้อยก็จัดการไปได้คนหนึ่ง”

[แล้วอีกคนที่มันรอดมึงจะจัดการยังไง ไหนพูดซิ]
“ไม่ต้องห่วง มันไม่รอดได้ออกมาพูดแน่นอน”

[ก๊อก ก๊อก ก๊อก……รอก่อน...] เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะเข้ามาในโทรศัพท์ ทำให้พงษ์ต้องบอกให้ปลายสายอีกด้านให้เงียบก่อน

“.....”

[หึหึ คงไม่ต้องถึงมือไอ้พวกลูกน้องกระจอกของมึงแล้วละ]
“ทำไม”

[เพราะไอ้คนที่รอด มันไม่รอดแล้วยังไงละ]
“หืม?”

[ตำรวจเพิ่งรายงานมาเมื่อกี้ว่ามันมีอาการเลือดออกภายใน ทำให้ช็อคและหมอส่งเข้าห้องดับจิตไปเมื่อบ่ายนี้]
“อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น”

[ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ลูกน้องมึงจะได้ไม่ทำเสียเรื่องอีก]
“.....”

[อ่อ เรื่องเมมไม่ต้องหาแล้ว เดี๋ยวกูจัดการต่อเองในเมื่อมันอยู่ในตำรวจก็ปล่อยให้ตำรวจจัดการเอง]


ยงยุทธวางสายจากผู้กำกับพงษ์ เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะขยายบานปลายมาได้ไกลขนาดนี้ ณ ตอนนี้มีแต่ต้องเดินต่อไป ต่อให้อยากหยุดก็ทำไม่ได้ เหมือนคำโบราณที่บอก ขึ้นหลังเสือแล้วลงนะมันยาก




ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“เข้ามา”

“นายมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เรื่องเมมมึงไม่ต้องหาต่อแล้ว แล้วก็กลับไปทำงานของตัวเองให้ดีอย่าให้ผิดพลาดอีก”

“ทำไมละครับ....เอ่อ.....” ยงยุทธมองหน้าลูกน้องเหมือนกับปรามในทีว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรจะรู้ “ขอโทษครับ” แต่ในเมื่อมันอยากจะรู้เขาก็ไม่มีอะไรต้องปิด

“อยากได้ของจากตำรวจก็ต้องอาศัยตำรวจไปเอามา”

“ครับ”

เอ็มหันหลังเตรียมเปิดประตูออกไปเพราะรู้ว่านายหมดธุระกับเขาแล้ว แต่ประโยคที่นายเอ่ยออกมาทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

“ลูกน้องมึงสองคน......  ตายแล้วนะ ไปบอกพ่อแม่พวกมันให้รู้ด้วยแล้วกัน”

ตาย!!! ได้ยังไงครับนาย มันตายได้ยังไง ทำไมครับนาย”

“มึงไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก พวกมันตายก็จะได้ไม่มีใครสาวมาถึงพวกเราได้มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

“พวกมันเป็นลูกน้องผม ลูกน้องนายนะครับ”

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง งานที่ให้ไปทำไม่สำเร็จซักงานแถมเกือบทำให้ตำรวจสาวมาถึงตัวได้อีก และเมื่อเบื้องบนเขาจัดการเองกูจะไปทำอะไรได้”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ ไปทำงานของมึงให้ดีก็พอ ไปได้แล้ว”

“นาย...”

“ออกไป”

“ครับนาย”


เอ็มจำใจเดินออกมา


“ไอ้ซีน ไอ้โจ๊ก มันอะไรกันวะหมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้งเหรอ กูช่วยอะไรพวกมึงไม่ได้เลย”


ปึกกกกก

“โธ่เว้ยยยยยยยย”


เอ็มสบถเสียงดังพร้อมกับทุบกำปั้นลงที่กำแพง นายพูดแบบนี้ก็เหมือนกับรู้เห็นและปล่อยให้ลูกน้องตายเขาสองคนตาย พอหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งเหมือนของไร้ค่า นี่ซินะที่เขาบอก เส้นทางโจรก็ต้องตายแบบโจร


“มึงสองคนไม่ตายฟรีแน่นอน ยังไงเรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ”






อีกด้านหนึ่งทางวิณณ์และตะวัน


“วิณณ์ ทำแบบนี้มันจะดีเหรอ”

“ทำไม?”

“เหมือนวิณณ์แบบจะหาเรื่องคนนั้น แล้วแบบไม่กลัวว่าความจะแตกเหรอ”

”ไม่หรอก ไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเกิดขึ้น”

“อะไร จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”


วิณณ์ไม่ตอบแล้วตะวันก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ให้ตอบ เพราะแค่นี้วิณณ์เองก็มีเรื่องให้คิดมากพอแล้ว





// ความจริงโครงเรื่องของเรื่องนี้มีจุดจบของทุกคนหมดแล้ว แต่จะทำยังไงให้มันพีคสุดๆ นั่นคือที่ยากมาก เลยต้องยอมรับว่ากว่าจะออกมาแต่ละบท ต้องกวนสมองกันเลยทีเดียว กราบขออำภัยเด้อจร้าในความล่าช้า _//\\_ \\
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 31 : สู้กับโจรต้องเป็นโจร (27/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-11-2018 21:29:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

yeah!  welcome back the new episode.
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 31 : สู้กับโจรต้องเป็นโจร (27/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-11-2018 22:14:30
อ่านตอนนี้แล้วมีความเกรี้ยวกราดเบาๆ 55555

ยงยุทธนี่เป็นตัวละครที่แสดงให้เห็นภาพสะท้อนว่าโลภนะ พอได้มาเยอะๆ ก็พอแล้วนะ
รู้สึกผิดนะ แต่ก็ไม่ทำอะไรนะ สุดท้ายคงจบไม่สวยแน่คนนี้

ส่วนพ่อของตะวัน รับไม่ได้อ่ะเราสองสามคนงี้ แล้วจะมาดูแลอะไรตอนลูกจะตาย
จะมาเจ้ากี้เจ้าการอัลลัย เลือกสิ่งที่ดีให้ลูกนะ แต่แบบ มองย้อนกลับไป มีลูกใหม่ตั้งแต่ลูกยังไม่คลอดนี่มันอัลลัย
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 31 : สู้กับโจรต้องเป็นโจร (27/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-11-2018 23:00:54
จะมีอะไรมาเปลี่ยนใจพ่อตะวัน ไม่ให้ส่งตะวันไปเมืองนอกได้ไหมนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 31 : สู้กับโจรต้องเป็นโจร (27/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: noy ที่ 28-11-2018 06:42:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 31 : สู้กับโจรต้องเป็นโจร (27/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 28-11-2018 14:43:16
ชอบมากๆค่ะเรื่องนี้  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 31 : สู้กับโจรต้องเป็นโจร (27/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-02-2019 00:31:59
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 32 : เข้าใกล้ (24/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 24-10-2019 22:31:17
ตอนที่ 32 เข้าใกล้


“ผู้กองขออณุญาติครับ”
“ว่าไงจ่า”

วิณณ์เข้ามาที่ สน. แต่เช้าเพื่อเคลียร์งานก่อนที่จะไปหาแม่ตะวันที่บ้าน เหตุเพราะนายวายุโทรมาบอกเขาไว้ว่าแม่ของตะวันมีเรื่องด่วนจะคุยด้วย

“ผู้กองครับ ผู้กำกับให้ผมมาเอาเมมโมรี่การ์ดจากผู้กองนะครับ”
“มาเอาเมมโมรี่การ์ด?”
“ใช่ครับ”
“เมมโมรี่อันไหน”
“ก็อันที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ ที่คอนโดผู้กองนะครับ”
“เอาไปทำอะไร”
“ผมไม่ทราบหรอกครับผู้กอง แล้วผมก็ไม่กล้าถามด้วย” จ่าตอบกลับมาแบบเสียงอ่อย มันก็จริงยศแค่จ่าจะเอาอะไรไปกล้าตั้งคำถามกับยศนายพัน

วิณณ์หยิบเมมโมรี่การ์ดออกมาจากลิ้นชัก แกนี่มันตัวปัญหาซะจริง วิณณ์คิดในใจก่อนจะตัดสินใจยื่นให้ไป

“ขอบคุณครับผู้กอง ถ้าเสร็จแล้วผมจะรีบเอามาคืนครับ”

วิณณ์พยักหน้าตอบไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากได้ แต่ขนาดเขายังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะรู้ว่าเมมโมรี่การ์ดมันมีสองหัว คนไม่สันทัดเทคโนโลยีแบบผู้กำกับด้วยแล้วก็ไม่น่าจะรู้เหมือนกัน และถึงแม้จะเห็นไฟล์รูปในนั้นไปก็ไม่มีอะไรผิดสังเกตุ สุดท้ายฝ่ายนั้นก็ต้องเอามาคืนเขาอยู่ดี การให้ไปจึงง่ายที่สุดจะได้ไม่เป็นที่สงสัย

วิณณ์เคลียร์งานเสร็จเกือบเที่ยงจึงเก็บของและเตรียมออกไปบ้านของตะวัน



“ผู้กอง ผู้กองครับ”
“ว่าไงจ่า”
“นี่ครับ ผู้กำกับให้ผมเอามาคืนให้ครับ”
“ใช้เสร็จแล้วเหรอ”
“ก็น่าจะแบบนั้นนะครับ”

วิณณ์รับคืนมาพลางสำรวจเมมโมรี่ในมือ ก่อนจะ เก็บเมมโมรี่ลงในกระเป๋าเสื้อ ‘อืม...ยังอยู่ปกติ แสดงว่าไม่รู้จริงๆซินะ’

“ขอบใจนะจ่า งั้นผมไปก่อน”
“ผู้กองจะกลับเข้ามาอีกไหมครับ”
“คงไม่แล้วละ มีอะไรด่วนโทรเข้ามือถือผมนะ”
“ครับผม”


ผมกับตะวันเดินต่อเพื่อจะไปที่รถ แต่เมื่อลงมาที่ชั้นหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนโวยวาย เมื่อมองไปที่โต๊ะร้อยเวรก็เห็นคนกำลังมุงอยู่ สองสามคน


“คุณตำรวจมันเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมลูกป้าถึงตาย ฮึก....ฮืออออ อยู่บนโรงพักแท้ๆ ฮืออออ”
“ก็ลูกแกมันเลวไง คนเขาถึงยังตามมาแก้แค้นมาฆ่าได้ถึงที่”
“แกอย่ามาว่าลูกนะ”
“ทำไม ทำไมกูจะว่าไม่ได้ เป็นแม่ภาษาอะไรหะ ถึงเลี้ยงให้ลูกมันเป็นโจรเป็นนักเลงได้ รอดจนมาถึงอายุเท่านี้ก็ถือว่าบุญแล้ว ถ้ารู้ว่ามันจะโตมาแล้วเลวแบบนี้นะกูเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายตั้งแต่เกินแล้ว”
“แก.....”
“ทำไม แกจะทำอะไร”

“ป้าใจเย็นก่อนนะป้า ลุงก็เหมือนกันอย่ามาทะเลาะกันบนนี้ เดี๋ยวก็ได้ถูกจับนอนกินข้าวแดงหรอก”

“ฮืออออออ”
“จะร้องให้ตายตามมันไปเลยหรือไง”
“ฮืออออออ”

“ป้าใจเย็นก่อนนะ ทางตำรวจเองก็เสียใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้บนโรงพัก ไอ้คนก่อเหตุมันก็ดันตายไปแล้ว จะสืบหาอะไรก็ลำบาก แต่ไม่ต้องห่วงยังไงตำรวจก็ต้องตามเรื่องนี้อยู่แล้วละ”
“แต่ลูกป้าตายไปแล้ว ยังไงก็คงไม่ฟื้นอยู่ดี”
“เออ เอ็งก็รู้นี่หว่าว่ามันตายแล้ว ทำยังไงก็ไม่ฟื้นขึ้นหรอก แล้วจะร้องไห้หาสวรรค์หอกง้าวอะไร”
“ลูกทั้งคนแกจะไม่ให้ฉันเสียใจเลยเหรอ”
“ลูกเสือลูกตะเข้ละไม่ว่า เลี้ยงให้มันมาทำร้ายพ่อแท้ๆ ได้”
“แกก็หยุดโทษลูกได้ไหม เพราะแกเองเอาแต่เมาไปวันๆ ถ้าไม่เมาลูกมันก็ไม่โมโหแล้วมาทำร้ายแกเหรอ”
“อีวรรณ!!!”

คนผัวโมโหกับคำพูดเมียถึงกับขึ้นเสียงตะคอกเรียกชื่อพร้อมกับเงื้อมือจะตบ แต่ก็ถูกตำรวจเบรคไว้ซะก่อน

“ลุง ลุง จะทำอะไรคิดดีๆ ก่อนนะ ไม่งั้นผมจับลุงข้อหาก่อเหตุทะเลาะวิวาทบนโรงพัก ไม่เคารพสถานที่เลยนะ”
“แหม คุณตำรวจผมก็ขู่มันไปอย่างนั้นแหละใครจะไปทำจริงๆ กันละ”

แต่ดูจากสายตาแล้วถึงจะรอดจากโรงพักไปได้แต่ถึงบ้านไม่น่าจะรอด วิณณ์จึงเดินเข้าไปที่วงสนทนานั้น

“สวัสดีครับลุงกับป้าเป็นญาติของใครเหรอครับ”
“สวัสดีจ้ะ ป้าเป็นแม่ของโจ๊ก แล้วเอ่อ...คุณ”
“ผมผู้กองวิณณ์ครับ”
“ผู้กอง ลูกป้าตายแล้วจริงๆ เหรอคะ ป้าไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่กี่วันป้าก่อนป้ายังมาเยี่ยมมันอยู่เลย มันยังบอกว่าพอออกมาแล้วจะมาบวชให้ป้าตามที่ป้าขอ แต่.....ฮึกก”

ผู้เป็นแม่ร้องถามเสียงดังทันที

“ไปหวังอะไรกับไอ้ลูกเหลือขอพรรณนั้น รอให้มันมาบวชให้นะเหรอ ต้องรอเอ็งตายก่อนแหละมันจะได้มาบวชหน้าไฟให้นะเสะ”
“เอ่อ ลุงกับป้าอย่าทะเลาะกันเลยนะครับ ลุงก็ใจเย็นก่อนเถอะครับ ลูกตายทั้งคนแม่ก็ต้องเสียใจอยู่แล้วละครับ”
“เหอะ”

คนเป็นผัวตวัดน้ำเสียงไม่พอใจใส่ก่อนจะหันเดินออกไปรอนอกโรงพัก

“ป้าครับ ผมขอโทษนะครับที่เกิดเรื่องแบบนี้ทั้งที่อยู่บนโรงพักแท้ๆ แต่ผมสัญญาว่าจะทวงความยุติธรรมให้โจ๊กแน่นอนครับ ป้าอย่าคิดอะไรมากเลยครับกลับบ้านพักผ่อนเถอะนะครับ ส่วนเรื่องการจัดการศพของโจ๊กทางตำรวจคงต้องขอเก็บไว้ก่อนนะครับเพื่อรูปคดีนะครับ”
“แล้ว....แล้วป้าจะได้ศพลูกไปทำพิธีเมื่อไหร่ละจ้ะ”
“ผมจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดนะครับ ยังไงรบกวนคุณป้ารอก่อนนะครับ”
“เหรอจ้ะ จ้ะ จ้ะ”
“ครับ”
“ป้าฝากคุณตำรวจด้วยนะคะงั้นป้ากลับก่อนนะคะ”
“ครับ สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะ”

ผมมองป้าแกเดินกลับออกไป ถึงแม้ผัวแกจะยังคงบ่นไม่หยุดแต่ทั้งคู่ก็เดินออกไปด้วยกัน

“นี่วิณณ์ จะไม่บอกป้าแกหน่อยเหรอ”
“ไม่”
“ทำไมอะ น่าสงสารเขาออก”

“ที่ไม่บอกก็เพราะความปลอดภัยของโจ๊กและของป้าเอง ตะวันอยากให้ป้าแกเป็นอันตรายเหรอถ้าเกิดพวกคนร้ายรู้ว่าโจ๊กยังไม่ตายแล้วมาทำร้ายแม่ของโจ๊กแทน”

“ไม่อะ ไม่เอาแบบนั้น”
“เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะพูดกับใครไม่ได้ คนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี”
“อืม”





[บ้านวิณณ์ :วายุ &ดาริน]


“นี่คุณพี่วิณณ์กับพี่ตะวันเป็นยังไงบ้างอะ”
“.....”
“แล้วคดีที่พี่วิณณ์ทำอยู่อะไปถึงไหนแล้ว”
“.....”
“พวกเขาจะทำสำเร็จกันไหมนะ”
“.....”
“เอ๊ะ นี่คุณถามอะไรไปทำไมไม่ตอบเลย หะ!”
“.....”
“อุ๊ยยย แหะๆ ก็ว่าอยู่ว่าทำไมถามอะไรไปทำไมไม่ตอบเลย”


ถ้าถามว่าทำไมวายุถึงไม่ตอบนะเหรอ ก็เพราะว่าที่ปากเขานะเล่นมีสก๊อตเทปพันเอาไว้ไม่ใช่แค่พันปากนะพันมันทั้งหัวเลย

“โอ๊ยยยยพรึ่ดดด  ฮาๆ อย่ามองแรงแบบนั้นซิ เอาออกให้ก็ได้ ฮาๆ คนอะไรก็นั่งทนอยู่ได้เนอะ”

ปึด

ปึด

ปื้ดดดดด

น้ำตาไหลซิครับงานนี้ ผมหลุดไปกี่เส้นวะเนี่ยยย

ที่ผมต้องโดนแบบนี้ก็เพราะเล่นเกมแพ้คุณเธอนั่นแหละ คุณเธอเบื่อที่ต้องอยู่แต่บ้านเลยชวนกันเล่นเกมแล้วไอ้ผมเนี่ยเล่นเกมเก่งซะด้วยนะ แค่อิแค่เล่นอิแก่กินน้ำผมยังกลายเป็นอิแก่เลย งานนี้เหรอก็ไม่พลาด แพ้อีกตามเคย

“เบามือหน่อยก็ได้มั้งคุณ ผมหลุดไปกี่เส้นแล้วเนี่ย”
“ดี สม เอาให้หลุดหมดหัวเลย”
“คุณ ได้ติดต่อพี่วิณณ์บ้างไหม”
“ก็มี”

“แล้วพี่วิณณ์เป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้ผู้กองเขายุ่งๆ นะ วันก่อนผมโทรไปหาก็ไม่ได้คุยอะไรกันเพราะต้องรีบเคลียร์งาน”
“เหรอ เป็นห่วงจัง”
“พี่คุณเก่งจะตาย ไม่ต้องห่วงหรอก”
“เก่งยังไงก็ห่วงอยู่ดียะพี่ชายทั้งคน”
“คร้าบบบ”

“อยากไปช่วยพี่วิณณ์จัง”
“หยุด คุณหยุดความคิดเดี๋ยวนี้เลย ไม่เข็ดเหรอผมถามจริง”
“ไม่”
“เหรออออ แล้วดูผลของการที่คุณดื้อกับพี่ชายคุณซิ”
“ชิส์”
“คุณไม่ต้องห่วงไปหรอกถึงผมจะรู้จักพี่คุณไม่นาน แต่ผมรู้ว่าพี่คุณนะเก่งอยู่แล้ว ถ้าเขามีเรื่องอยากจะให้พวกเราช่วยเขาก็บอกเองนะแหละ”
“อืมม”

ดารินไม่ปฏิเสธสิ่งที่วายุพูด ถ้าพี่ชายเธออยากให้ช่วยเขาจะบอกเอง แต่พี่ชายเธอทั้งคนจะไม่ห่วงเลยมันก็ใช่ที่




[บ้านตะวัน : วิณณ์]


“คุณป้าสวัสดีครับ”
“อ้าว ผู้กองมาแล้วเหรอคะ สวัสดีคะเข้ามาก่อนคะ” วิณณ์เอ่ยทักแม่ของตะวันที่กำลังทำงานอยู่ที่สวนหน้าบ้าน
“นายวายุโทรบอกว่าคุณป้าต้องการพบผม”
“ใช่จ้ะ” แม่ของตะวันเดินลงมานั่งกับผู้กองพร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้
“คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เรื่องตะวันนะจ้ะ”

“เรื่องตะวัน?”

“จ้ะ เอ่อ...ตะวัน เขาอยู่แถวนี้ไหม” วิณณ์พยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบ
“เหรอ...ดีจัง ป้าคิดถึงตะวันจัง คิดถึงลูกมากเลยรู้ไหมตะวัน แต่แค่รู้ว่าตะวันสบายดีอยู่กับคนดีแบบผู้กองก็โชคดีแล้ว”
“คุณป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ป้าอยากจะคุยกับผู้กองเรื่องของตะวัน”
“....”
“ผู้กองรู้ใช่ไหมเรื่องที่พ่อของตะวัน คุณอาทิตย์นะจ้ะ เขาจะส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกา”
“ครับ”

“ป้าทัดทานไว้ไม่ไหวจริงๆ ป้าไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาบอกเพื่อไม่ให้ตะวันถูกส่งไป ครั้นจะให้ป้าบอกว่าวิญญานตะวันอยู่ที่นี่รอเวลาเพื่อที่จะกลับเข้าร่างป้าก็ไม่คิดว่าคุณอาทิตย์เขาจะเข้าใจ ขนาดแค่ป้าพูดว่าไม่อยากให้ส่งตะวันไปไกลขนาดนั้น ยังถูกหาว่าไม่รักลูกเป็นคนเห็นแก่ตัว”
“ทำไมคิดแบบนั้นละครับ”
“เขาคงคิดว่าป้ายังโกรธเขาอยู่เลยไม่ยอมให้ตะวันไป แต่มันไม่ใช่เลยป้าไม่เคยคิดแบบนั้นและป้าก็ไม่เคยสอนให้ลูกโกรธหรือเกลียดพ่อตัวเองเลย”
“คุณป้าอย่าคิดมากนะครับ ตะวันเองก็ไม่อยากให้คุณป้าคิดมาก ส่วนเรื่องที่ตะวันจะถูกส่งไปอเมริกา คุณป้าพอจะรู้ระยะเวลาไหมครับ”
“ลม น้องชายของตะวันนะคะ บอกว่าอย่างน้อยก็อีกสองอาทิตย์ แต่ป้าก็มีขอร้องลมเอาไว้นะคะว่าช่วยดึงเวลาให้เท่าที่จะทำได้”
“แล้วเขาไม่สงสัยเหรอครับ”
“สงสัยซิจ้ะ แต่เขาก็ไม่คิดจะถามหรอก ลมนะเห็นแบบนี้แต่เขาเป็นเด็กเจียมตัวมากเลยนะเขารู้สึกผิดมาตลอดกับการที่แม่เขาเป็นต้นเหตุให้ป้ากับคุณอาทิตย์ต้องเลิกกัน และเป็นต้นเหตุให้ตะวันต้องกำพร้าพ่อ แต่ป้าก็บอกเขาว่าไม่ใช่ความผิดของเขาและแม่หรอก มันเป็นความผิดในความไม่พอของมนุษย์และผิดที่ป้าเองอดทนกับมันไม่พอ”

“ไม่หรอกครับคุณป้า คนเราความอดทนมีไม่เท่ากันอย่าโทษว่ามันเป็นความผิดใครหรือแม้แต่โทษตัวเอง เพราะตะวันเองก็คงไม่อยากให้แม่เขาต้องจมอยู่กับความเศร้าแบบนั้น”

วิณณ์คิดแบบนั้นจริงๆ ตลอดระยะเวลาการสนทนาระหว่างเขาสองคนตะวันนั่งเงียบไม่พูดไม่จาไม่โวยวายเหมือนที่เคยจะเป็น ตะวันเอาแต่นั่งเงียบมองไปที่แม่ผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขา เขาไม่รู้หรอกว่าตะวันคิดอะไรอยู่แต่เขารู้อย่างหนึ่งตะวันรักและห่วงแม่เท่าๆกับที่แม่เองก็รักและห่วงตะวัน


“ดูผู้กองเข้าใจตะวันดีจังบางทีอาจจะเข้าใจกว่าป้าที่เป็นแม่ก็ได้”
“ไม่หรอกครับ”


ดาราคิดแบบนั้นจริงๆ เธอไม่ได้อิจฉาวิณณ์แต่เธอมองผู้กองวิณณ์แบบรักและเอ็นดู ลูกชายเธอช่างโชคดีจริงๆ ที่เจอคนดีแบบผู้กองหรือจะเรียกว่าความโชคดีบนความโชคร้ายก็ได้


“ยังไงป้าฝากผู้กองด้วยนะคะป้าจะพยายามช่วยเท่าที่ทำได้”
“ขอบคุณนะครับ”


ดาราเดินออกมาส่งวิณณ์ที่หน้าประตู ในใจอยากจะพูดอยากจะถามถึงตะวันแต่ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกต้องกังวลเธอไม่อยากให้ลูกเห็นว่าเธออ่อนแอ

“ตะวันแม่คิดถึงลูกจัง”

ดาราพึมพำตามหลังวิณณ์ไป โดยที่ไม่รู้ว่าถึงวิณณ์จะเดินไปแล้วแต่ตะวันยังยืนอยู่ข้างๆ และมองอยู่


“ผมก็คิดถึงแม่ครับ”


วิณณ์กลับถึงคอนโดก็คว้าข้อมูลที่มีมาดูอีกครั้งเพื่อหาหลักฐานและความเชื่อมโยงของคนร้ายในคดีของพ่อและของเขา จะจับคนร้ายระดับใหญ่โตขนาดนั้นข้อมูลต้องแน่น

ลักษณะของคดีที่พ่อเขาทำก่อนจะตายมีรายละเอียดที่เหมือนกันแทบทุกอย่างกับคดีของเขา แหล่งที่มาของยาเสพติดต้องเป็นแหล่งเดียวกันแน่นอน ผู้ที่เกี่ยวข้องตามข้อมูลในเมมโมรี่การ์ดกับคำบอกเล่าของโจ๊กคือนายใหญ่ที่มีแบ๊คตำรวจใหญ่หนุนหลังอยู่ และตามที่เขาคาดไว้นายใหญ่ที่พูดถึงก็คือนายยงยุทธ และนายตำรวจหนุนหลังก็คืออาพงษ์ซึ่งทั้งสองคนคือเพื่อนสนิทของพ่อ

และหลักฐานสำคัญอีกชิ้นคือคลิปวีดีโอในเมมโมรี่การ์ดที่เขาหาแทบตายแต่สุดท้ายคนที่เจอคือตะวัน เขาไม่รู้ว่าคุณแอนไปได้คลิปนี้มาได้ยังไงแต่มันทำให้เขารู้ว่าคนที่ทำให้พ่อเขาตายก็คือเพื่อนรักทั้งสองคน

วิณณ์มองตะวันที่ยืนอยู่ที่ระเบียงตั้งแต่กลับมาจากบ้านแม่ก็เอาแต่เงียบพอเข้าห้องมาก็ไปยืนอยู่ที่ระเบียงไม่พูดไม่จาอีก

“ตะวัน”
“หืม”
“อย่าคิดมากซิ”
“รู้เหรอว่าคิดอะไร”
“ทำไมจะไม่รู้ แค่เห็นหน้าก็รู้แล้ว”

ผมพูดพลางเอื้อมมือไปโยกหัวคนตัวเล็ก ทำไมผมจะไม่รู้ละตะวันกังวลเรื่องภารกิจที่จะทำไม่สำเร็จและเมื่อไม่สำเร็จการกลับเข้าร่างก็ยากขึ้น และไหนพ่อจะรีบหาทางส่งตะวันไปรักษาที่อเมริกาอีก การห่างกันระหว่างกายหยาบกับวิญญาณจะมีผลอะไรไหมไม่มีใครบอกได้ แต่เหนืออื่นใดตะวันเป็นห่วงแม่

“ไม่ต้องห่วงหรอก วิณณ์จะรีบสะสางเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดจะไม่ให้ใครพาตะวันไปไหนได้ เข้าใจไหม”

“สัญญานะ”

“สัญญาครับ”

“ขอบคุณ ขอบคุณนะที่อยู่ข้างๆ กัน คอยช่วยเหลือกัน”


ไม่ต้องขอบคุณหรอกตะวัน ที่ทำไปทุกอย่างเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่แค่คิดว่าจะไม่ได้เจอตะวัน ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของตะวัน มันก็รู้สึกสั่น หวั่นไหวในใจไปหมดแล้ว

เขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องเป็นแบบนั้น

วิณณ์ได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดออกไป

.
.
.
“นายครับ ของพร้อมแล้วครับ”
“เออดี พวกมึงนัดแนะเวลากันให้ดีละ อย่าให้แผนแตกได้เข้าใจไหม”
“ครับนาย”

หนึ่งในลูกน้องคนสนิทรับปากผู้เป็นนายโดยไม่คิดสงสัย หึ ใครไม่สงสัยแต่คนอย่างไอ้เอ็มสงสัย ไม่รอช้าเอ็มจึงเอ่ยถามขึ้น
“นาย”
“.....”
“นายไม่คิดว่ามันเร็วไปหรือครับ ถ้าเราเริ่มส่งของกันอีกครั้ง”
“ยังไง”
“ก็เรื่องที่ตำรวจกำลังตามเราอยู่ตอนนี้ ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวมันจะไม่ทำให้พวกตำรวจสงสัยเหรอครับ”
“ก็อาจจะรู้”
“....”
“แต่ถ้ากูบอกว่าทำได้ ก็คือทำได้ มึงไม่ต้องกังวลหรอกแค่ทำงานตัวเองให้เรียบร้อยเป็นพอ”
“ครับ”

คิดเหรอว่าคนอย่างไอ้เอ็มจะไม่รู้ แบ็คหลังนายคงเปิดทางให้ซินะนายถึงไม่กลัว หึ.....อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าไอ้วิณณ์รู้มันจะเป็นยังไง

.
.
.


.
.
.
Rrrrrrrr

“ว่ายังไงจ่า”
[ผู้กองครับ สายเรารายงานมาว่าอีกสองวันจะมีการลักลอบขนยาขึ้นเรือไปทางใต้ครับ]
“ที่ไหน”
[โกดังร้างท่าเรือเขต 18 ครับ]

.
.
.



ท่าเรือเขต 18


“ผู้กองแบบนี้มันจะดีเหรอครับ เราไม่ได้รายงานผู้บังคับบัญชาแถมยังพากันมาโดยพลการแบบนี้ มันจะมีความผิดเอานะครับผู้กอง”
“จ่ากลัว?”

“มันก็ต้องมีแหละครับ”
“ผมอนุญาติให้จ่าและคนอื่นๆ กลับได้ ผมเองก็ไม่อยากให้พวกคุณเดือดร้อน”
“ได้ไงละครับผู้กองผมไม่ทิ้งผู้กองไว้คนเดียวหรอกครับ ถ้าผู้กองอยู่ผมก็จะอยู่”
“ใช่ ถ้าผู้กองอยู่ ผมก็อยู่ด้วย”

“ผมด้วย”

“ผมด้วย”


จ่าเติมจ่าอ๊อด จ่านัยและจ่าเพิ่มตัดสินใจอยู่ช่วย วิณณ์เองรู้ดีการพากำลังตำรวจออกมาโดยไม่แจ้งผู้บังคับบัญชามีความผิดทางวินัย แต่เขาก็พร้อมรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว

พวกวิณณ์แอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ข้างโกดังร้างตามที่สายรายงานจนเวลาล่วงเลยมาจนถึง 22.00 รถกะบะสองคันพร้อมคนขับแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูโกดัง


บรื้นน เอี๊ยดด


“พวกมันแค่สองคนอย่างนี้สบายมาก”
“จ่าเติมผมว่าไม่ใช่แล้วละ”
“ทำไมละจ่าอ๊อด?”
“นู่นน”

พวกเราหันไปตามที่จ่าอ๊อดบอก

“ท่าทางงานจะเข้า”


เรือยอร์ชขนาด 7ที่นั่งสีขาวลำหนึ่งกำลังแล่นเข้ามาจอดเทียบท่าพร้อมกับคนบนเรืออีกสามคน


“ไม่ใช่ตัวต่อตัวแล้วละจ่า”
“มากกว่าเราแค่คนเดียวจะกลัวทำไมจ่าอ๊อด”
“ไม่ได้กลัวแต่ไม่อยากประมาท ผู้กองเอาไงดีครับ” จ่าอ๊อดหันไปถามวิณณ์
“ดูลาดเลาไปก่อน”


เมื่อกลุ่มคนบนเรือลงมาสมทบกับคนด้านล่างก็พากันเดินเข้าไปภายในโกดัง โดยได้ขับกะบะคันแรกที่จอดอยู่ด้านหน้าเข้าไปด้วย วิณณ์ทำท่าทางให้จ่าอ๊อดกับจ่านัยแยกไปด้านซ้าย จ่าเพิ่มไปด้านขวา ส่วนเขากับจ่าเติมรอดูสถานการณ์อยู่ด้านหน้าโกดัง


“แน่ใจนะ ว่าจะไม่กลับไปรอที่คอนโด”
“หึ”  ตะวันตอบพร้อมกับส่ายหน้าหวือ
“อยากจะอยู่ก็ได้ แต่ห้ามทำอะไรให้เป็นห่วง เข้าใจไหม”
“คร้าบ เข้าใจแล้วครับคุณผู้กอง”


“เอ่อ ผู้กองพูดกับใครเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ่าไปได้แล้ว ระวังตัวไว้ด้วยละ”
“ครับ ครับ”

จ่าเติมที่ยังไม่ทันได้เดินไปไหนถึงกับยืนเกาหัวแกร๊กๆ เพราะตัวจ่าเองมั่นใจว่าได้ยินผู้กองพูดแน่นอน แต่ว่าพูดกับใครนี่ซิ
ภายในโกดังค่อนข้างมืด แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรที่จะเห็นว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง สองคนแยกไปทำอะไรสักอย่างที่ท้ายกะบะน่าจะเป็นของที่จะขนย้ายกันคืนนี้ สองคนแยกกันไปดูลาดเลารอบๆโกดัง

“ผู้กองว่าพวกมันทำอะไรกันอยู่ครับ”
“นั่นน่าจะเป็นของที่เตรียมขนกันคืนนี้”
“แต่พวกมันรออะไรกัน ทำไมยังไม่เคลื่อนย้ายกันอีก”

วิณณ์เองก็สงสัยพวกมันน่าจะรีบขนของไปกันได้แล้วแต่ก็ยังนิ่งอยู่เหมือนกับรออะไรอยู่

“ผู้กองหรือเราจะเข้าไปรวบตัวพวกมันตอนนี้ดี”
“ใจเย็นจ่า เราไม่รู้ว่าพวกมันจะมีเพิ่มอีกไหมรอดูสักพัก”

แล้วก็เป็นอย่างที่วิณณ์คิดพวกที่อยู่โกดังแค่มาเตรียมการณ์รอ เมื่อมีรถเบนซ์ที่ทั้งตัวรถและฟิล์มดำมืดไปทั้งคันแล่นเข้ามาจอด
 

“ทะเบียนมันคุ้นๆ ว่าไหมครับผู้กอง”
“......”

กก-XXXXเลขทะเบียนมันเหมือน....

"ไอ้คนขับหน้ามันคุ้นว่าไหมครับผู้กอง"
"...."
"นั่นมันไอ้เอ็มนี่ครับผู้กอง"
"อืม"


เมื่อรถจอดสนิทคนด้านหน้าข้างคนขับรีบวิ่งลงมาเปิดประตูให้คนด้านหลัง ทันทีที่ประตูเปิดและคนที่ก้าวลงมาก็ทำให้จ่าเติมถึงกับอึ้ง เขาสองคนรู้จักดี เพราะคนที่ลงมาก็คือคนเดียวกับที่เจอที่โรงพยาบาลวันที่น้องสาวเขาถูกทำร้ายและมาเยี่ยมในฐานะเพื่อนของพ่อ

นายยงยุทธ


“ผู้กองนั่นมัน...”
“อืม”
“ผู้กองทำเหมือนรู้อยู่แล้ว” วิณณ์ที่สงสัยมาก่อนหน้านี้แล้วจึงไม่แปลกใจอะไร
“ผมแค่คาดการณ์เอาไว้บ้างแล้ว”
“เพื่อนของผู้กำกับทำเรื่องแบบนี้ ถ้าท่านรู้เข้าคงโกรธแน่ๆ”

“หรืออาจจะรู้เห็นด้วยอยู่แล้ว”

“ผู้กองว่าอะไรนะครับ”จ่าเติมร้องถามเพราะได้ยินไม่ถนัด
“ไม่มีอะไร”
“แล้วนี่เราจะเอายังไงต่อละครับ”
“จับให้ได้ทุกคนและยึดของกลางให้หมด”

วิณณ์กับจ่าเติมเดินไปสมทบกับนายตำรวจที่เหลือด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่าเขาต้องวางแผนและรอบคอบให้มาก เพราะชีวิตของตำรวจทุกคนสำคัญที่สุดคนร้ายแยกเป็นสองกลุ่ม สองคนเฝ้าและสังเกตุการณ์อยู่ด้านนอกรอบโกดัง พวกด้านในแยกกันขนของจากรถกะบะทั้งสองคันลงไปยังเรือ จัดการคนสองคนด้านหน้าไม่น่าจะยากอะไรเขาแค่ต้องดึงความสนใจพวกมันให้ออกมาห่างจากพวกนั้น



ปึกกกกก


วิณณ์ขว้างไม้ไปทางด้านหลังโกดัง


“เฮ้ยยย เสียงอะไรวะ”


คนร้ายสองคนพยักหน้าให้กันก่อนจะพากันเดินตามไปหาที่มาของเสียง


จ่าอ๊อดตามหลังและจัดการคนร้ายที่แยกไปทางซ้าย กลับมาสมทบกับวิณณ์ที่แยกไปจัดการคนทางขวา เมื่อจับตัวได้ก็จัดการโยนขึ้นรถตำรวจไปโดยให้จ่าเพิ่มเป็นคนเฝ้าเอาไว้

“หวานหมู ไอ้พวกนี้ฝีมืออ่อนชะมัด”
“อย่าเพิ่งดีใจไปจ่า พวกข้างในยังมีอีกเพียบ อย่าประมาท”
“รับทราบครับ”


แกร๊กๆ


“เฮ้ย ไอ้พวกข้างนอกนะ หายหัวไปไหนหมดวะ ให้ดูต้นทางเสือกหายไปไหนหมด”
“มีอะไร” เสียงนายยงยุทธ
“ก็ไอ้พวกข้างนอกนะซิครับนายใช้ให้มาเฝ้า มันดันหายหัวไปหมด”

นายยงยุทธกลับลูกน้องอีกสองคน ออกมาดูเหตุการณ์ด้านนอกโกดัง


"แล้วไอ้เอ็มมันไปไหนของมันวะ...มึงไปดูพวกมันซิ มึงก็ไปช่วยมันด้วย”

“ครับนาย”



นายยงยุทธแบ่งลูกน้องสองคนให้ไปตามหาคนที่หายไป และอีกสองคนรออยู่กับเขาที่โกดัง


“คราวนี้เราต้องเงียบกว่าเมื่อกี้ พวกเราไม่ว่าคนใดคนหนึ่งถ้าจับพวกมันได้แล้วให้พาพวกมันไปรวมกันที่ด้านนอก”
“ครับ ว่าแต่ไอ้เอ็มมันหายไปไหนครับผู้กอง”
"นั่นซิ"  วิณณ์เองเพิ่งสังเกตหลังจากที่ส่งนายยงยุทธแล้ว เอ็มก็ขับรถไปและก็ไม่กลับเข้ามา


วิณณ์ให้จ่าอ๊อดและจ่านัยเฝ้าที่ด้านหน้าโกดัง ส่วนเขากับจ่าเติมตามคนร้ายสองคนออกมา เมื่อสบโอกาสจึงอาศัยจังหวะจัดการคนที่เดินรั้งท้ายได้ แต่มัยยังไม่เงียบพอ เมื่อคนที่เดินหน้าหันกลับมาเตรียมพร้อมเหนี่ยวไกปืนในมือ จังหวะนั้นจ่าเติมใช้กิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ฟาดไปที่มือและย้ำลงไปที่ตัวอีกสามสี่ทีจนคนร้ายแน่นิ่ง

"ขอบใจนะจ่า"
"ครับผม"


พวกเขาลากคนร้ายสองคนมารวมกันที่รถโดยไม่ถึงเสี้ยวนาที


ปัง ปัง ปัง


เสียงปืนดังขึ้นสามนัดตามหลัง

“ไปจ่า”

วิณณ์รีบวิ่งไปตามเสียงปืน เสียงดังมาจากทางท่าเรือด้านหน้าของโกดังและเจอเข้ากับจ่าอ๊อดที่วิ่งมาอีกทาง เมื่อมาถึงเหตุการณ์ตรงหน้ากำลังชุลมุนได้ที่พอดี จากมุมที่เห็นจ่านัยหลบอยู่บนเรือที่จอดอยู่โดยมีพวกของนายยงยุทธยิงสกัดและค่อยๆ ถอยร่นเพื่อเข้าไปในโกดัง


“ผู้กองครับ”

จ่าอ๊อดวิ่งมาสมทบกับวิณณ์

"เกิดอะไรขึ้นจ่า"
"ลูกน้องของนายงยุทธคนหนึ่งออกมาจังหวะที่จ่านัยกำลังสำรวจเรืออยู่มันเลยเห็นครับ"

ปัง ปัง

“เอาไงดีครับผู้กอง มันสาดกระสุนมั่วไปหมด”
“ผมจะอ้อมไปด้านหลังเพื่อสกัดไม่ให้พวกมันเข้าไปในโกดังได้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่มันเข้าไปโกดังได้เราจะเสียเปรียบทันที ส่วนจ่าอ๊อดกันทางนี้อย่าให้พวกมันหนีออกไปข้างนอกได้ จ่าเติมหาทางไปช่วยจ่านัย จ่าเพิ่มผมว่าคุณกลับไปอยู่ที่รถคอยเฝ้าอย่าให้หนีไปได้”

“ครับ"

"ครับ"

"แล้วเราจะไม่เรียกกำลังเสริมเหรอครับ”
“เรียกซิ อีก 10นาทีผมจะเป็นคนโทรแจ้งเองว่าเกิดเหตุยิงกันที่โกดัง 18”

ตำรวจต่างมองหน้ากันเพราะ งง ว่าทำไมไม่เรียกวอเข้าศูนย์ไปซึ่งมันจะเร็วกว่าการโทรแจ้งแน่นอน แต่วิณณ์ก็ไขข้อข้องใจทันที

“ถ้าพวกเราขอกำลังเสริมไป ทางนั้นต้องรู้ว่าเราทำโดยไม่ได้รับอนุญาติ ผมพาพวกคุณมาผมต้องรับผิดชอบ”
“ครับ”


เสียงปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่องซึ่งดังมาจากทางฝั่งของนายงยุทธ ดูท่าจ่านัยจะต้านได้อีกไม่นานผมวิ่งไปทางด้านหลังของโกดัง พร้อมกับกดโทรศัพท์เข้าสถานีตำรวจในนามของพลเมืองดีนิรนามแจ้งว่ามีเหตุยิงกันที่ท่าเรือร้าง

ผมมาถึงด้านหลังโกดัง พยายามสอดส่ายสายตาซ้ายทีขวาทีเผื่อจะมีทางเข้าอื่น



“วิณณ์”
.
.
“วิณณ์”
“ตะวันอย่าเพิ่งเล่น”
“วิณณ์”


พร้อมกับแรงเขย่าที่มากขึ้น


“อะไร?มีอะไรตะวัน”
“นั่น”


ผมหันไปดูตามที่ตะวันชี้ให้ดู


กิ่งไม้หลายกิ่งที่ถูกหักและนำมาวางทับๆ สุมๆ กันเหมือนจะวางมั่วๆ แต่มันดูจงใจเกินไปวิณณ์เดินเข้าไปและจัดการรื้อกิ่งไม้พวกนั้นออกเข้าจึงเห็น

ช่อง

ช่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดมันพอให้คนหุ่นขนาดเขามุดเข้าไปได้ เมื่อดูว่าทางสะดวกดีแล้ววิณณ์จึงมุดเข้าไป จากจุดที่เขาลอดเข้าไป มันไปโผล่ที่ด้านข้างของรถคันที่ไว้ใช้ขนของพอดิบพอดี วิณณ์เปิดผ้าคลุมออกเพื่อดูว่าอะไรที่อยู่ข้างใต้นั่น


ยา
อาวุธ


“ครบเครื่องเรื่องเลวจริงๆ”


วิณณ์พึมพำกับตัวเองไม่แปลกที่พ่อเขาจะไม่ยอมก้มหัวให้กับเรื่องพวกนี้ แต่แปลกที่พ่อเขาเป็นเพื่อนกับคนพวกนี้ได้ยังไง แต่ก็อย่างว่าใครจะรู้ว่าคนเราจะดีไปแค่ไหน และจะเลวได้ถึงไหน


“วิณณ์ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะ”


วิณณ์สลัดความคิดทิ้ง ตอนนี้เขาต้องสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้ามากกว่าเพราะเขาเป็นคนพาคนอื่นมาเดือดร้อนเขาต้องรับผิดชอบ เขาหลบไปทางด้านหลังของรถเพื่อดูตำแหน่งที่เขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เสียงของกระสุนปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง


เพราะมัวแต่สนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เขาลืมระวังตัว






“เฮ้ย.....หยุด”






Talk : ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ...........ขอโทษ และขอโทษ

ขอโทษผู้อ่านนิยายทุกท่านจริงๆ ค่ะ เนื่องจากช่วงที่หายไปมีเหตุขัดข้องประเดประดังเข้ามาจนไม่สามารถมาอัพนิยายต่อได้ แต่ตอนนี้เรากลับมาแล้วพร้อมแล้ว

ได้โปรดอย่าเพิ่งโกรธ อย่าเพิ่งเกลียด อย่าเพิ่งทิ้งกันน้าาาาา  _/\_ กลับมาอ่านกันเถอะจร้าาา
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 32 : เข้าใกล้ (24/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-10-2019 22:49:58
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 32 : เข้าใกล้ (24/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-10-2019 23:59:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2:  back
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 32 : เข้าใกล้ (24/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-10-2019 00:10:57
กลับมาก็ทำให้ค้างซะงั้น  :katai1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 33 : ละครน้ำเน่า (27/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 27-10-2019 22:49:23
ตอนที่ 33 ละครน้ำเน่า




[ตะวัน]


ผมหันไปตามเสียงคนร้ายมาจากด้านหลังและมันก็กำลังเล็งปืนมาที่วิณณ์

มีพวกมันหลบอยู่ในโกดังอีกคน

“หันมาช้าๆ แล้วโยนปืนทิ้งไปซะ” วิณณ์ทำตามที่มันบอก
“ปืน!!”  มันชี้มาที่ปืน วิณณ์ทำตามที่มันบอกแต่แทนที่จะทิ้งทางที่มันบอกวิณณ์เขวี้ยงปืนไปทางมันแทน


ปึกกกก


“เฮ้ยยยยย”


วิณณ์พุ่งเข้าใส่คนร้ายชุลมุนกันจนฝุ่นตลบแต่เพียงไม่นานคนที่นอนหมอบไปก็คือมันวิณณ์จัดการเอาเสื้อของมันอุดปากมันเอง และจับมัดโยงแขนไว้ที่ด้านหลังโกดังพอมั่นใจว่าจะไม่มีใครโผล่มาอีกเราก็หันกลับมาสนใจเหตุการณ์ด้านนอกต่อ พวกมันถูกจับไปแล้ว 4 คนไอ้เอ็มก็หายไป พวกด้านนอกจึงเหลือแค่นายยงยุทธกับลูกน้องอีก 2 คน

พวกเราค่อยๆ ขยับตัวให้เบาและเงียบที่สุดจุดมุ่งหมายคือประตูหน้าโกดัง ผมไม่รู้ว่าวิณณ์จะเอายังไงต่อจะถามก็คงไม่ใช่เวลาจึงเลือกตามวิณณ์ไปอย่างเงียบๆ ไม่ใช่ว่าลืมว่าตัวเองเป็นวิญญาณนะแต่เพราะไม่อยากให้วิณณ์เป็นห่วงก็ต้องเชื่อฟังเขาละ พวกเรายังไม่ทันถึงประตูดีมันก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนสามคนที่วิ่งเข้ามา วิณณ์จึงรีบดึงผมหลบไปอีกทาง

“วิณณ์”
“ชู่ววว”
“ตะวันเป็นวิญญาณนะ ไม่มีใครเห็นหรอก”

แหนะ ทำเงียบไม่ตอบอีก ผมเลยเลิกเซ้าซี้หันไปดูคนที่เพิ่งเข้ามา นั่นมันนายยงยุทธกับลูกน้อง

“นายครับเอาไงดีครับ พวกตำรวจมันรู้ได้ยังไง”
“นั่นซิครับนาย ไหนนายว่าท่านเปิดทางให้แล้วไงครับ”
“กูก็รู้พอๆ กับที่พวกมึงรู้นั่นแหละ”
“หรือว่าเราจะถูกหักหลัง”

นายยงยุทธเงียบไปเอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากกว่าพวกลูกน้องเท่าไหร่ เขาเองยังไม่รู้เลยว่าเขาจะเชื่อใจเพื่อนคนนี้ได้แค่ไหน

ความโลภไม่เข้าใครออกใครแม้แต่ตัวเขาเอง


“พวกมึงอย่าเพิ่งมาคิดอะไรตอนนี้หาทางเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน”
“ครับ”


“ตะวันรอตรงนี้นะ”
“จะไปไหน” ผมคว้าแขนวิณณ์ไว้ทันที
“รอตรงนี้”
“ไม่เอา ไปด้วย”
“ตะวัน วิณณ์บอกว่ายังไง อย่าให้ต้องห่วงได้ไหม”
“แต่ตะวันเป็นวิญญาณไม่ตายไปมากกว่านี้หรอก”
“แล้วถ้าเป็นละ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแล้วตะวันกลับข้าร่างไม่ได้”
“.....”
“ใครจะรับผิดชอบ”
“.....”
“แล้ววิณณ์ล่ะ ไม่ห่วงตัวเอง ก็ห่วงความรู้สึกของคนที่ห่วงตะวันด้วย”
“.....??.....”
“.....”
“โอเค โอเค รอนี่ครับ ไม่ไปไหนครับ ไม่ดื้อด้วยครับ”  สุดท้ายผมก็ต้องยอม วิณณ์มองอย่างชั่งใจก่อนจะลุกขึ้น

“แต่...”
“.....”
“ระวังตัวด้วยนะ”


วิณณ์ไม่ได้ตอบเขา แต่กลับเอามือมาวางบนหัวเขาแทนถึงแม้จะไม่ได้พูดแต่เขาก็เข้าใจความหมาย
สัญญาแล้วนะว่าจะดูแลตัวเอง

ผมมองวิณณ์ที่ค่อยเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง จากจุดที่เราอยู่เป็นมุมอับมีกล่องสินค้ากับลังไม้วางระเกะระกะบังสายตา ส่วนอีกฝ่ายเป็นมุมโล่งตรงนั้นมีแค่รถกะบะสองคันที่ใช้ขนของ


Rrrrrrr

เสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายดังขึ้นและทันทีที่นายยงยุทธรับสายเขาก็ใส่อารมณ์กับปลายสายอย่างเต็มที่

“ไหนมึงบอกทางสะดวกไงแล้วทำไมถึงมีพวกตำรวจโผล่มาได้......หะ......ว่าอะไรนะ!!”


ตะวันเฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้าสายที่นายยงยุทธคุยด้วยก็น่าจะเป็นท่านที่พวกนั้นพูดถึง
แต่...เอ๊ะ...

ทำไมนายยงยุทธทำท่าทางแปลกๆ เหมือนมองหาอะไรอยู่ สักพักเขาก็พยักเพยิดหน้าเหมือนให้ลูกน้องไปทำอะไรสักอย่าง
ตะวันมองซ้ายมองขวาตอนนี้เขาไม่เห็นลูกน้องของนายยงยุทธ แต่กลับเห็นวิณณ์ที่ค่อยๆ เดินเข้าไปหานายยงยุทธจากทางด้านหลัง
.
.
.
นั่น!!  พวกลูกน้องของยงยุทธ
เขาเห็นทุกการกระทำของทุกคน แต่คนที่ไม่เห็นไม่รู้อะไรเลยคือวิณณ์เขาควรทำยังไงดีวะเนี่ย วิณณ์สั่งห้ามแล้วแต่ถ้าเขาไม่ไปช่วย วิณณ์ก็แย่นะซิ
เอาไงดีว้าตะวันเอ้ยย.....
เอาวะ เป็นไงเป็นกันเรื่องอะไรจะปล่อยให้วิณณ์เป็นอันตรายละ


“วิณณ์ ระวัง”

แต่ไม่ทันแล้ว ลูกน้องของนายยงยุทธถึงตัววิณณ์ก่อนเขาพวกนั้นใช้ด้ามปืนตีไปด้านหลังทำให้วิณณ์ล้มลงพร้อมกับปืนจ่อเข้าที่หัว


“สวัสดีวิณณ์”
“.....”
“อาคิดว่าเราจะดีกันได้ซะอีก”
“นี่คุณยังกล้านับญาติกับผมอีกเหรอ”เขาไม่เข้าใจทำไมคนตรงหน้าถึงยังทำไม่ทุกข์ร้อนอะไรได้อีก

“ปล่อยไปไม่ได้เหรอ” หลังจากที่เงียบกันไป คนตรงหน้าก็เป็นฝ่ายเริ่ม
“.....”
“ปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้เหรอ”
“แล้วคุณได้ปล่อยพ่อผมไหม”
“อา.....”

“พ่อผมเป็นเพื่อนคุณ!!   ท่านเป็นเพื่อนพวกคุณ!!

แต่คุณก็ยังทำร้ายท่านพวกคุณไม่ปล่อยท่านแล้วคุณกล้าคิดได้ยังไงว่าผมจะปล่อยเรื่องนี้ไป”

“ตอนนั้นกับตอนนี้ มัน....มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไง จะตอนไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้น”
“....”
“เพราะความจริงคือคุณฆ่าพ่อผม แล้วคุณก็กำลังทำกับผมเหมือนที่ทำกับพ่อผม”

หึ ไม่ว่าตอนไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้น เพราะความโลภของคนที่ไม่สิ้นสุด


ยงยุทธเงียบชั่ววินาทีนึงเขาสะอึกกับคำพูดของวิณณ์ ไม่ว่าจะตอนไหนผลของมันก็ไม่ต่างกัน มันเปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่า ผมและพงษ์ได้ฆ่าเพื่อนตัวเอง ต่อให้อยากกลับไปแก้ไขแค่ไหนมันก็เป็นไปไม่ได้

“วิณณ์ อาขอร้องปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะนะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วอาให้สัญญา อาจะเลิกทุกอย่างไม่ทำเรื่องชั่วๆ พวกนี้อีกแล้ว ขอแค่ปล่อยมันไป เลิกตาม เลิกยุ่ง”
“สัญญา?”
“ใช่”
“หึ.....หึ....”
“.....”
“ฮา....ฮา ช่างน่าตลกสิ้นดี ผมคิดว่าตอนนั้นพ่อของผมก็คงเอ่ยข้อร้องคุณแบบนี้เหมือนกัน ขอให้หยุด ขอให้เลิก แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความทรยศจากเพื่อนและความตายแทน อย่ามาขอร้องผมเลยเพราะผมจะไม่หยุดจนกว่าจะเห็นพวกคุณได้ชดใช้กรรม”


หึ หึ พ่อใจเด็ดยังไงลูกก็เป็นเช่นกัน



แปะ

แปะ

แปะ

เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของชายคนหนึ่ง
ชายซึ่งครั้งหนึ่ง เป็นคนที่เขาให้ความเคารพ
ชายซึ่งครั้งหนึ่ง เป็นคนที่เขาให้ความนับถือ
ชายที่เขายกย่องให้เป็นพ่ออีกคน แต่ตอนนี้เหลือเพียงแต่ความเกลียดชังให้เท่านั้น


ผู้กำกับพงศธร


“อาต้องยอมรับในความซื่อตรงต่อหน้าที่ของเรานะ.....วิณณ์”
“.....”
“แต่มันไม่ช่วยให้กินอิ่มนอนหลับหรือมีชีวิตที่ดีได้หรอกคนเรามันต้องดิ้นรน”
“ดิ้นรถบนชีวิตของคนอื่นเนี่ยนะ คุณยังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า”
“โลกนี้ปลาเล็กก็ต้องเป็นอาหารของปลาใหญ่ มันเป็นสัจธรรม อย่าคิดมากไปหน่อยเลย”
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”

หึ เปิดตัวมาก็เผยตัวตนซะขนาดนี้เลยเหรอ ผมไม่เคยคิดว่าอาที่ผมเคารพและนับถือเหมือนพ่ออีกคนก็ว่าได้จะเป็นคนแบบนี้

“พงษ์กูขอละพวกเรายุติเรื่องทั้งหมดไว้แค่นี้เถอวะ ปล่อยวิณณ์ไปเถอะ”
“ทำไม”

“ตั้งแต่เรื่องไอ้วุฒิกูก็รู้สึกผิดมาตลอด แล้วถ้ากูต้องมาทำร้ายลูกของเพื่อนอีกกู....

........กูทนไม่ไหวแล้ววะ”

“ถ้างั้นมึงก็ตายไปพร้อมกับมันเลยดีไหม”  อาพงษ์พูดกร้าวด้วยเสียงดังชัดเจนพร้อมกับยกปืนขึ้นมาจ่อหน้านายยงยุทธ

“มึงจะยิงกูเหรอ ยิงกูเหมือนกับที่ยิงไอ้วุฒิใช่ไหมได้!!!
ถ้ามึงอยากทำมึงทำเลย!!! แต่มึงหนีไปไม่ได้ตลอดหรอก หนีจากความจริงที่ว่ามึงฆ่าเพื่อนของตัวเอง”

“มึงอย่าพูดเหมือนกับกูผิดอยู่คนเดียวหน่อยเลย” พงษ์ลากเสียงเย้ยหยันใส่ยงยุทธ“ถ้ามึงรู้สึกผิดจริง วันนั้นทำไมมึงไม่ห้ามกู ยืนดูอยู่เฉยๆ ทำไม”
“.....”
“ความจริงมึงกับกูมันก็สันดานเลวไม่แพ้กันหรอก”


นี่ผมกำลังดูเรื่องตลกอยู่เหรอวะ แถมยังเป็นตลกร้ายที่โคตรทุเรศเลย





[บ้านตะวัน]


“ลมนี่มันอะไรกัน ทำไมอยู่ๆ..”

แม่ของตะวันต้องตกใจ เมื่อลมปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับผู้ชายอีกสองสามคน

“คุณอาครับ ผมมารับพี่ตะวัน”
“รับตะวัน!ทำไมละลูกก็ไหนบอกว่าจะเลื่อนไปอีกอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมปุปปับมาแบบนี้ละ”
“ผมต้องขอโทษนะครับคุณอา แต่ว่าคุณพ่อ.... ผมรั้งไว้ไม่ไหวจริงๆ ครับ ท่านติดต่อเพื่อนทางนั้นเร่งให้การส่งตัวไวขึ้น”
.
.
.
“ใช่ผมเร่งให้การส่งตัวไวขึ้น คุณจะได้เลิกหาข้ออ้างที่จะยื้อลูกไว้ซะที” ผู้เป็นพ่อปรากฎตัวขึ้นทางด้านหลังของลูกชาย
“แต่คุณ…”

นายอาทิตย์ไม่รอให้แม่ของตะวันพูดจบ เขาเดินนำคนอื่นๆ เข้าไปในบ้านตรงไปยังห้องนอนของตะวัน
.
.
“รีบทำตามหน้าที่ของพวกคุณซะ” พ่อของตะวันพูดกับคนเหล่านั้น สภาพของตะวันที่นอนนิ่ง โดยมีสายน้ำเกลือที่เจาะคาแขนเอาไว้ถูกเอาออกไปอย่างว่องไว
“พวกคุณจะทำอะไรอย่าเอาออกนะ คุณอาทิตย์ ฉันขอร้องอย่าเพิ่งพาลูกไปเลยนะคะ นะคุณนะ”
“อะไรของคุณ คุณดารา”
“ก็.....ก็ ตะวันยังไม่แข็งแรงดีเลย ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเดินทาง”
“มีแต่คนมีฝีมือทั้งนั้นคุณจะกลัวอะไร”
“....แต่”
“หลีกไป อย่ามาเกะกะนะคุณ”

นายอาทิตย์ดันตัวดาราออกให้พ้นทาง และให้ทีมเคลื่อนย้ายเข้าไปทำงานใหม่อีกครั้ง

ดารากังวลและร้อนใจอย่างมาก เธอรีบคว้าโทรศัพท์กดหาผู้กองวิณณ์

เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

โธ่...ผู้กองทำไมปิดเครื่องซะละ เธอเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์และกดไปหมายเลขอื่น วายุ



“วายุ....วายุลูก ตะวันกำลังวจะถูกพาตัวไปอเมริกา ลูกมาช่วยน้องเร็วเข้า”






[วิณณ์]


“ถ้างั้นมึงก็ตายไปพร้อมกับมันเลยดีไหม”

“นี่คือคำพูดของคนที่เป็นเพื่อนกันเหรอ คุณนี่มันเลวกว่าที่ผมคิดอีกนะ”
“ก็อาบอกแล้วไง ปลาเล็กย่อมเป็นอาหารของปลาใหญ่เสมอ แล้วถ้าอะไรที่มันเป็นเนื้อร้ายเราจะเก็บมันไว้ทำไม จริงไหม ยุทธ”
“หึ...”
“เฮ้ย พวกมึงขนของที่เหลือลงเรือ”  ผู้กำกับพงษ์หันไปสั่งลูกน้อง

“ทำไงดีละวิณณ์ พวกตำรวจข้างนอกจะรู้ไหมว่าเรากำลังลำบาก”
“ไม่รู้นะดีแล้ว ผมไม่อยากให้พวกเขาเป็นอันตราย”
“แต่วิณณ์ละ วิณณ์กำลังมีอันตรายนะ ตะวัน...ตะวันไปตามพวกเขาดีกว่า”

“ตะวัน”
“อะไร”
“จะบอกพวกเขายังไงละ”
“ไม่รู้อะ เดี๋ยวก็หาวิธีได้เองละ รอนี่นะ”

ยังไม่ทันที่วิณณ์จะห้าม ตะวันก็หายไปแล้ว

“เอ้า ว่ายังไง ใครจะตายก่อนดี”

ผู้กำกับพงษ์ไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว หน้ากากที่เขาสวมใส่ไว้นี่มันช่างดีจริงสามารถปกปิกตัวตนได้จนผมเองก็ไม่เคยเอะใจ
ผมหวังว่าพวกตำรวจด้านนอกจะเริ่มสงสัยบ้างที่ผมหายไปนาน และอาจจะมาตามหาผมในนี้




[ตะวัน]


“คุณตำรวจ
คุณ..... จ่าเติม
จ่า..
จ่าอ๊อด จ่า”


ตะวันหันหาคนนั้นทีคนนี้ที แต่ก็ไม่สามารถสื่อสารกันได้

“โว้ยยยย ทำไงดีวะ”  น้ำตาร่วงผลอยลงอาบแก้ม เขาอยากจะช่วยเขาไม่อยากให้วิณณ์ต้องเป็นอันตรายหรือเจ็บตัวอะไรทั้งนั้น ทำไม....ฮึก

“ขี้แยอีกแล้วนะเด็กน้อย”
“เจ๊ เจ๊ช่วยผมด้วย ทำไงดี วิณณ์อยู่ข้างในถ้าเราไม่รีบเข้าไปช่วย วิณณ์ต้องตายแน่ ตายแน่ๆ”
“ถ้าเขาจะตายมันก็คือกรรมของเขา วิญญาณอย่างเราจะช่วยอะไรได้ละเด็กน้อย”
“ทำไมเจ๊พูดแบบนี้วะ ทั้งที่เขากำลังช่วยเจ๊อยู่นะ”
“อันนั้นก็รู้ แต่ส่วนหนึ่งมันก็คือเรื่องของผู้กองเองด้วยไหมละ”


ตะวันนั่งลงอย่างหมดแรงเขาจะทำยังไงดี เขารู้สึกอับจนหนทางไปหมด เขากำลังสั่นไปทั้งตัว

“โอ๋ๆๆ เด็กน้อยใจเย็นนะ ขอเจ๊คิดก่อนนะเราจะทำยังไงดี....ท่านกาลเวลาไง ตะวันให้ท่านกาลเวลาช่วยซิ”
“ใช่ ใช่ ลืมไปได้ยังไง”
“ท่านกาลเวลา ท่านกาลเวลาครับ ช่วยผมด้วยครับ ช่วยผมด้วย”


น้ำเสียงที่เรียกออกไปติดสั่นและแหบพร่า ใจเขากำลังกรีดร้อง คนที่เขาแคร์และห่วงใยที่สุดกำลังอยู่ในอันตรายทั้งที่เขารู้แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย


“ท่านกาลเวลา ท่านครับ ได้ยินผมไหม ฮึก.....ฮึกกกกก

ช่วยด้วย ช่วยวิณณ์ด้วยครับ”



ตะโกนดังแค่ไหน สุดท้ายมีแต่ความเงียบกลับมา





[นรกภูมิ]


“ท่านพญายมเราจะไม่ช่วยเขาหรือขอรับ”
“เจ้าก็ได้ยินวิญญาณตนนั้นพูดแล้วนี่ วิบากกรรมของใครของมันเราไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้”
“ท่านหมายถึงผู้กองนั่นจะตาย เหรอขอรับ”

“การที่ข้าใช้อำนาจดึงวิญญาณของตะวันมาเป็นผู้ถูกเลือกทำให้ชะตาชีวิตของคนรอบข้างผันเปลี่ยนไปหมด รวมถึงผู้กองและน้องสาว ชีวิตของทั้งสองอาจจะไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้ ผู้กองอาจจะวางมือจากคดีและลืมเลือนเรื่องของพ่อเขาไป น้องสาวเขาอาจจะได้พบกับคนอื่นที่ไม่ใช่นายวายุ ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งให้วัฎจักรยุ่งเหยิงไปกว่านี้”

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีละขอรับ”
“เจ้าก็รู้แล้วนิ คำตัดสินในห้องยุติธรรมถือเป็นคำขาด”
“ครับ ภารกิจต้องสำเร็จภายใน 3 วันซึ่งเป็นเวลาของโลกมนุษย์ ไม่อย่างนั้นวิญญาณของตะวันจะต้องวนเวียนอยู่ในแดนอาสงขัยจนกว่าจะหมดอายุขัย”
“ใช่”
“.....”


“แล้ววันนี้ก็เป็นวันสุดท้าย ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่กรรมของแต่ละคนแล้วละ”





เหตุการณ์นอกโกดัง


“จ่าเติม ผมว่าท่าไม่ดีแล้วนะ ผู้กองหายเข้าไปนานแล้วนะ”

จ่าเติมเองก็กังวลใจ เพราะผู้กองหายเข้าไปภายในได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาเองยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะมันอาจะทำให้ผู้กองเกิดอันตรายได้

“แล้วกำลังเสริมทำไมยังไม่มาอีก”
“รออีกสักพัก ถ้ายังไม่ออกมาเราค่อยบุกเข้าไป”


แกร๊ก แกร๊ก


เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจตำรวจด้านนอกให้หันไปดู ลูกน้องสองคนค่อยๆ ย่องออกมา มองซ้ายทีขวาทีก่อนจะเดินไปที่รถกะบะอีกคันที่จอดอยู่ด้านนอก

“จ่าพวกมันออกมาโน่นแล้ว”

ออกมากันสองคน แสดงว่าผู้กองยังอยู่ข้างในกับนายยงยุทธ จ่าเติมคิดแบบนั้นโดยที่ไม่ล่วงรู้เลยว่าผู้กำกับพงษ์อยู่ในนั้นด้วย ผู้กำกับเข้าจากประตูโกดังทางด้านหลัง แถมทางเข้าก็มีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกทึบทำให้ไม่มีใครสังเกตุเห็นและยังเหมาะแก่การทำเรื่องที่ผิดกฎหมายเป็นอย่างดี

“ทำไมพวกมันยังออกมาขนของกันได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรกันเลยละจ่า”
“นั่นซิ แล้วผู้กองไปไหน ข้างในก็เงียบเชียบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย”




เหตุการณ์ในโกดัง


พวกเขานั่งเงียบๆ กันอยู่ภายในพวกลูกน้องทยอยกันขนของลงเรือจนเหลืออีกเพียงสองสามลัง พงษ์จึงเป็นฝ่ายพูดก่อน

“กูเสียดายนะที่จะต้องเสียหุ้นส่วนอยางมึงไปยุทธ หุ้นส่วนดีๆ แบบนี้หายาก”
“.....”
“แต่ก็ใช่ว่าจะหาใหม่ไม่ได้ เฮ้ย....พวกมึงใกล้เสร็จหรือยังวะ”
“อีกสองลังครับนาย” ผู้เป็นนายพนักหน้ารับรู้
“จะร่ำลาอะไรกันก็รีบซะนะ เวลาของพวกมึงใกล้หมดแล้ว”
“นายครับเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี พวกมึงสองคนจัดการเอาของไปส่งให้ถึงที่ อย่าให้ถูกจับได้อีกละ”
“ครับนาย แต่ว่านายครับ แล้วพวกเราที่ถูกจับไปละครับ เราจะไปช่วยพวกมันไหม”
“ถ้าไม่อยากเข้าคุกหรือตาย ก็ปล่อยพวกมันไว้อย่างนั้นแหละ”



“คุณนี่มัน….เลวจริงๆ” 

ผู้กำกับพงษ์ก้มลงมาพูดใกล้ๆ วิณณ์ พร้อมกับเอามือแตะบนบ่า

“ไม่ต้องชมกันขนาดนี้ก็ได้” และกระซิบด้วยถ้อยคำที่ได้ยินกันแค่สองคน “ก่อนที่จะยิงไอ้วุฒิมันก็ทำหน้าแบบที่มึงทำอยู่ตอนนี้แหละ คุณธรรมสูงส่งแต่ไม่ช่วยให้รอดตายได้”

วิณณ์สะบัดไหล่ออก พร้อมกับยันตัวลุกขึ้นแต่ไม่ทันได้ทรงตัวเขาก็ถูกผู้กำกับพงษ์ผลักลงไปพร้อมกับเอาปืนจ่อมาที่หน้าผาก

“อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จะยิงก็ยิงอย่ามัวแต่พูด หรือว่าดีแต่ปาก”
“ปากดีนักนะ”


พลั่กกก  ด้ามปืนถูกฟาดลงที่หน้าผากของวิณณ์ เลือดแดงฉานไหลอาบแก้ม


“ไม่ต้องอยากตายขนาดนั้น ยังไงวันนี้ได้ตายแน่นอน แถมยังมีคนตายเป็นเพื่อนอีกด้วย”

ผู้กำกับพงษ์เดินไปคุยกับลูกน้องสองคน ก่อนที่จะออกไป หนึ่งในลูกน้องเดินกลับมาทางพวกเขา อีกหนึ่งดูต้นทางอยู่ด้านหน้าประตูโกดัง





“นาย ผมขอโทษนะนาย”





ปัง

ปัง

ปัง

ปัง





Talk : อ้ากกกกก อารายกานเนี่ยยย มีแต่เสียงปืน ปังๆๆๆๆ
จะฆ่าแกงกันอย่างเดียวเลย
โหดร้ายยยย

_/\_ ขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังติดตามกันอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 33 : ละครน้ำเน่า (27/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-10-2019 23:36:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครคือลูกน้องคนนั้น?

แล้วนายที่ว่าเนี่ยคือใคร?

เดาว่า "นาย" คือ ผู้กำกับฯ ใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 33 : ละครน้ำเน่า (27/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-10-2019 22:26:19
โอมมมมม จงรอด จงรอด   :call: :amen:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 34 : ทางเลือก (08/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 08-11-2019 22:25:14
บทที่ 34 ทางเลือก




เมื่อแผนไม่เป็นตามที่วางไว้จากที่ต้องขนของไปทางเรือผู้กำกับพงษ์จึงต้องเปลี่ยนแผนเป็นทางบกแทนของมูลค่าหลายล้านจึงถูกโยกย้ายมารวมกันอยู่ในรถกะบะคันเดียว

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงสั่งให้ลูกน้องลงมือปิดปากยงยุทธกับวิณณ์แล้วค่อยไปส่งของยังจุดหมาย



“จัดการให้เรียบร้อยซะทั้งคนและของ”

“นายครับผมขอโทษนะครับนาย”



คนที่พูดคือผู้ติดตามที่มากับนายยงยุทธเมื่ออำนาจเปลี่ยนข้างคนก็เปลี่ยนตามจะโทษใครไม่ได้การเอาชีวิตรอดให้ได้มันคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนพึงทำ

เป็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ รวยหรือจน คนดีหรือคนเลว คนที่เป็นเหยื่อสามารถตกเป็นเหยื่อของนักล่าได้เสมอ

“ไม่คิดว่าเราจะได้มาตายวันเดียวกัน”
“.....”

“พวกเราสามคน อา ไอ้พงษ์ ไอ้วุฒิพ่อเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนขาสั้น เคยคิดว่าจะเข้าเรียนตำรวจด้วยกัน แต่กลายเป็นอาคนเดียวที่ไม่ได้เรียนเพราะต้องไปเรียนต่างประเทศ แต่ถึงอย่างนั้นอาก็ไม่เคยเหงาเพราะทั้งพงษ์และวุฒิ ต่างเขียนจดหมายมาหาสม่ำเสมอ แต่กลับเป็นอาเองที่ห่างไปจนขาดการติดต่อ”
“......”

“แล้วพอมาเจอกันอีกครั้งจากเพื่อนรักกลับกลายเป็นว่าเราอยู่กันคนละข้าง เหตุการณ์วันนั้นอารู้สึกผิดมาตลอด ผิดที่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ปล่อยให้มันเกิดขึ้น แต่วันนี้อาจะไม่ยอม”
“ไม่ยอมแล้วคุณจะทำอะไรได้ ยังไงวันนี้คุณกับผมก็คงต้องตายด้วยกันในนี้แหละ” วิณณ์มองดูสภาพที่เขาถูกมัดมือไพร่หลัง แถมปืนของตัวเองยังถูกพวกมันยึดไปอีก


“เฮ้ย ไอ้ชัยมึงรีบจัดการซะ เดี๋ยวพวกตำรวจแม่งแห่กันเข้ามาจะซวยเอา”
“แต่นั่นมันนายกู”
“นายมึงแล้วยังไงวะ มานี่มึงไม่ทำกูทำเอง”

เกิดการยื้อยุดปืนในมือขึ้น สุดท้ายเป็นชัยที่แย่งปินกลับมาได้สำเร็จ

“มึงไม่ต้องเสือก กูเอง” ชัยยกปืนขึ้นหันปลายกระบอกไปที่วิณณ์ ทำใจยิงผู้เป็นนายไม่ลงงั้นก็ขอยิงไอ้ผู้กองก่อนแล้วกัน



ปัง

ปัง

ปัง

ปัง




เสียงปืนดังขึ้นสี่นัด


“วิณณ์!!ระวัง!!”  ผมหงายหลังพร้อมแรงที่โถมเข้ามา แต่ในสายตายังสามารถรับรู้เห็นและจดจำการกระทำของอีกคนได้อย่างชัดเจน

กระสุนนัดแรกพุ่งตรงมายังเขา แต่กลับไม่เฉียดเข้าใกล้เขาสักนิดเดียวมันทะลุผ่านตัวตะวันและตกลงพื้น กระสุนนัดต่อไปถูกเล็งมาที่เขาเหมือนกันแต่ไม่ใช่เขาที่โดน ภาพที่เกิดขึ้นในม่านสายตาคือนายยงยุทธกระโดดเอาตัวเองเข้ามาขวางทางปืนไว้ เสียงปืนสิ้นสุดพร้อมกับร่างที่ล้มตึง

วิณณ์พยายามลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้ อีกทั้งยังรู้สึกจุกแต่แน่ใจว่าไม่ใช่เพราะถูกยิงแน่นอน


“ตะวัน”
“ฮืออออ วิณณ์ อย่าเป็นอะไรนะ ฮือ”
“ตะวัน”
“วิณณ์อย่าเป็นอะไรนะ”
“ตะวัน”  วิณณ์เปล่งเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อให้ตะวันได้ยิน

“วิณณ์....”


ตะวันเงยหน้าขึ้นจากอกของวิณณ์ หลังจากที่โผล่เข้ามาช่วงหน้าซิ่วหน้าขวานและพุ่งตัวไปกอดวิณณ์ไว้

“วิณณ์ไม่เป็นอะไรใช่ไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า เป็นแผลไหม เลือดละ มีเลือดออกไหม”

“ตอนนี้เหรอ.... จุกอะ หนักด้วย”

“หืม?”
“ตะวันอะ ตัวหนัก”
“บ้า ยังจะมาพูดเล่นอีกเหรอ คนอุตส่าห์เป็นห่วง”
“ว่าแต่ตะวันไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“เป็นอะไร ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า?”
“เอิ่ม ไม่มีอะไรลุกขึ้นเถอะ”


วิณณ์มั่นใจว่าเขาไม่ได้ตาฟาด แสงของวิญญาณตะวันบางเบาอีกแล้ว แล้วจังหวะที่กระสุนทะลุออกจากตัวของตะวันมันเหมือน....

.....จะหายไป.....



ตะวันดันตัวลุกขึ้นนั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่จ่าเติมวิ่งเข้ามา

“ผู้กองเป็นอะไรไหมครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า ขอบคุณ”

จ่าเติมแก้มัดเชือกที่ข้อมือของวิณณ์ พร้อมกับพยุงวิณณ์ให้ลุกขึ้นยืน เขาสังเกตตัวเองให้แน่ใจว่าไม่มีบาดแผลหรือโดนยิงตรงไหน

“คนอื่นละจ่า”
“จ่านัยรายงานว่าพวกที่เราจับไว้ยังอยู่ดีครับ ส่วนจ่าอ๊อดกับจ่าเพิ่มตรวจสอบรอบๆ โกดังอยู่ครับ”
“แล้วจ่าไม่เห็นคนอื่นเข้ามาในนี้เลยเหรอ”
“ไม่เห็นนะครับ”
“หายไปไหนนะ”
“ผู้กองหมายถึงใครเหรอครับ”
“ผู้กำกับพงษ์”
“ผู้กำกับนะเหรอครับ?ไม่เห็นนะครับ”
“....”
“ผู้กำกับทราบเรื่องแล้วเหรอครับ ซวย ซวยแน่ๆ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกจ่า”
“ไม่ใช่? ยังไงครับผู้กอง ผมงงไปหมดแล้วเนี่ย” 

จ่าเติมทำหน้าฉงน สงสัยในคำพูดของผู้บังคับบัญชาตัวเอง เพราะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ผู้กองจะพูดถึงผู้กำกับ

“เดี๋ยว   อย่าบอกนะว่า.....ท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”
“ไว้ผมค่อยอธิบายให้ฟังแล้วกัน”


จ่าอ๊อดกับจ่าเพิ่มตามมาสมทบด้านในโกดัง


“โห สภาพข้างในเละเทะเอาเรื่องเลยนะครับ ผู้กองเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า แล้วด้านนอกเรียบร้อยไหม”
“เรียบร้อยครับ พวกถูกจับก็ยังอยู่ดี รถที่เตรียมขนย้ายกันก็ยังอยู่ครับ”

วิณณ์มองสำรวจภายในโกดัง ถัดออกไปข้างหน้า


หนึ่งคนนอนนิ่งไม่ไหวติง
เลือดแดงฉานไหลอาบตัว

อีกหนึ่งมีเพียงลมหายใจรวยระริน
มือป่ายสะเปะสะปะ
พร้อมกับเปล่งเสียงแหบพร่า
เพียงเพื่อเรียกหาใครบางคน


“วะ...วิ....วิณณ์...วิ...วิณณ์”



ปัง ปัง  บรื้นนนนน


จู่ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงรถที่ออกตัวอย่างแรงดังมาจากด้านนอก


“เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอกวะนะ”
“จ่า”
“เดี๋ยวพวกผมออกไปดูเองครับผู้กอง”
วิณณ์พยักหน้า  จ่าเติม จ่าอ๊อดและจ่าเพิ่มวิ่งออกไปด้านนอกโกดัง

“วิณณ์” ตะวันเรียกกระตุกชายเสื้ออีกครั้ง
“ไปดูเขาหน่อยเถอะนะ”



ฮะ.....เฮือกกก....กก

เสียงเฮือกหายใจดังขึ้น ถึงเขาจะรังเกียจผู้ชายคนนี้ขนาดไหนแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจให้ใครตายหรือไม่ตายในเมื่อคนตรงหน้ายังพอมีลมหายใจ เขาก็ควรทำตามหน้าที่ตำรวจให้สมบูรณ์


“คุณยงยุทธ ผมว่าคุณอย่าเพิ่งขยับดีกว่า ถ้าเลือดออกมากกว่านี้คุณได้ตายแน่”

“มะ....ไม่เป็นไร อา.....อา อยากจะ....”

“คุณนอนเฉยๆ เถอะ อยากตายมากนักหรือไง”
“หึหึ ไม่เสียดายหรอกถ้าจะต้องตาย”
“คุณนี่มัน”
“ช่างมันเถอะ.....ขอให้อาได้พูด ฟัง....ฟังอาก่อน เถอะนะ”

ยงยุทธละล่ำละลัก พยายามพูด เสียงขาดช่วงเหมือนกับลมหายใจที่ริบหรี่เต็มที

“วิณ  วิณณ์ ฟังอาสักนิดเถอะนะ ขะ....ขอแค่ให้อา.... อึกก....อา อยากจะขอโทษ”
“.....”



“อาขอโทษกับ........ทุก.......เรื่อง....ที่ได้ทำ วิณณ์..........จะ.........จะไม่ยกโทษให้...............อา...........ก็......ไม่ว่าอะไร......ไม่......มี................สิทธิ์.........ว่าอะไรด้วยซ้ำ................แค่.....ขอให้อาได้พูด............แค่นี้............อาก็ตาย....ตาย..ตา.....หลับแล้ว”


“ผมขอบคุณในสิ่งที่คุณทำเมื่อกี้ แต่มันไม่ได้ทดแทนกันได้เลยกับชีวิตพ่อของผมที่ตายไป แม่ผมต้องเป็ยหม้าย ผมและน้องต้องกำพร้า”
“อา.....”
“ถึงผมจะรับคำขอโทษจากคุณ แต่ทางกฎหมายคุณก็ต้องได้รับโทษอยู่ดี”

“หึ  อารู้ อารู้ อาแค่อยากขอโทษ  ฝะ.....ฝากขอโทษ.......แม่กับน้องเราด้วยนะ”


วี้ หวอวี้ หวอ  เสียงรถกู้ชีพดังขึ้นแต่คงสายไปเสียแล้ว


“ผู้กองรถพยาบาลมาแล้วครับ” จ่าเพิ่มรีบเข้ามาบอกวิณณ์
“ไม่ทันแล้วละจ่า”
“อะ...อ้าว”


“วิณณ์สงสารเขาอะ”
“เขาเรียกว่าเวรกรรม”


“ผู้กองผู้กองครับ” จ่าเติมและจ่าอ๊อดวิ่งข้าสมทบ
“เป็นยังไงบ้างจ่า”
“ไม่ทันครับ ไม่ทันเห็นด้วยว่ามันเป็นใคร”
“ใช่พวกมันอีกคนหรือเปล่า” วิณณ์มองไปรอบๆ ไม่เห็นลูกน้องของนายยงยุทธอีกคนหนึ่ง
“ไม่ใช่ครับ พวกมันอีกคนโดนยิงตายอยู่ข้างโกดังโน่น ดูแล้วยังไม่ทันได้หนีด้วยซ้ำมั้งครับ”
“ผู้กองคิดว่าเป็นใครครับ”

วิณณ์ชั่งใจคิดก่อนจะนึกได้ว่ายังมีอีกคนที่มาแล้วหายไปตั้งแต่แรก

“ไอ้เอ็ม.....”

“ไอ้เอ็ม เออใช่ มันหายไปตั้งแต่แรกคนเดียวเลย”
“มันหายไป แล้วก็กลับมาเอาของเหรอ?ทำไมละ”
“ผมจะรู้ได้ยังไงจะจ่าเติม ก็อยู่ด้วยกันเนี่ย””
“ไม่ได้ถาม แค่รำพึงรำพันกับตัวเอง”
“ทีนี้เราจะทำยังไงกันดีละครับผู้กอง”


วิณณ์ให้นายตำรวจคนอื่นๆ กลับมารอที่ สน. ทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็แอบกำชับ จ่าเติมให้คอยดูผู้กำกับพงษ์ไว้ หากมีอะไรน่าสงสัยให้รีบรายงานทันที ส่วนตัวเขาเองต้องแยกไปจัดการเรื่องอื่น คนที่เขาต้องจับกุมคือผู้กำกับ ถ้าจะจับคนยศใหญ่ระดับนี้ก็ต้องหาคนที่ใหญ่กว่า 

ตัวเขาเองมัวแต่ยุ่งกับเรื่องนี้ทำให้ไม่ได้สนใจเหตุการณ์อื่นรอบข้าง  โทรศัพท์ถูกทิ้งไว้ในที่คอนโซลรถ มันแผดเสียงร้องครั้งแล้วครั้งเล่าจนสุดท้ายก็ดับลง








[วายุ]


ขอโทษค่ะไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้

“โธ่ ผู้กองทำอะไรอยู่เนี่ย” วายุถอดใจกดตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
“ไม่รับเหรอคุณ”
“อืม ทางนั้นคงแบตหมดไปแล้วด้วย”
“ตาย ตาย เราจะทำยังไงกันดีเนี่ย”


วายุและดารินได้แต่ยืนมองร่างของตะวันที่กำลังถูกถอดอุปกรณ์เก่าและแทนที่ด้วยของใหม่


“วายุ ทำไงกันดีละ ติดต่อผู้กองไม่ได้เลย ถ้า…....ถ้า ตะวันถูกส่งไปเมืองนอกแล้วจะทำยังไง วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตายแล้วถ้าอย่างนั้นวิญญาณของตะวันจะสลายไปไหม ฮึก....”


ผู้เป็นแม่พร่างพรูคำพูดด้วยหัวใจระส่ำ ภายในใจวิตกกังวลจนหาคำอธิบายไม่ได้ คิดไปสารพัดถ้าวิญญาณของลูกชายกลับเข้าร่างไม่ได้ ต้องเร่ร่อนไปเรื่อนจนถึงอาจจะแตกสลายในที่สุด


“หนูดาริน ป้า ป้าคิดอะไรไม่ออกแล้วเราจะทำยังไงกันดี ป้าเป็นห่วงตะวัน”
“คุณน้าๆ ใจเย็นนะคะเรายังไม่รู้อะไรอย่าเพิ่งคิดมากเลยค่ะ ตอนนี้เราหาทางติดต่อพี่วิณณ์ให้ได้ก่อนเถอะค่ะ”


ดารินไม่รู้จะปลอบใจยังไง ความรักความห่วงใยที่แม่มีต่อลูกมันห้ามกันไม่ได้เธอทำได้แค่เพียงอยู่เคียงข้างและคอยบีบมือแม่ของตะวันเอาไว้เพื่อให้คลายกังวลไม่มากไม่น้อยก็ยังดี

วายุคิดจนหัวแทบระเบิดก็ยังคิดไม่ออก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจในเมื่อหาวิธีอ้อมไม่ได้ก็เอามันตรงๆ นี่แหละวะ


“คุณอาครับ”  นายอาทิตย์มองดูคนที่เดินมาเผชิญหน้า

“ผมมีเรื่องอยากจะพูดด้วยครับ”
“ถ้าเราจะมาพูดเพื่อให้เสียเวลาละก็ ถอยไปเถอะ”
“แต่ผมคิดว่าถึงจะเสียเวลา คุณอาก็น่าจะอยากฟังเรื่องนี้”
“.....”

อาทิตย์มองอย่างชั่งใจก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เป็นเชิงเปิดโอกาสให้วายุได้พูด


“ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมจะพูดมันคงทำให้คุณอาคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผมขอไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะครับ การที่คุณอาจะพาตะวันไปเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง คุณอาจะทำให้ตะวันต้องตายมากกว่าจะฟื้น”


ปึง


“นี่แกกล้าดียังไงถึงมาพูดกับฉันแบบนี้!!”

“คุณอาได้โปรดฟังผมก่อน ตอนนี้ตะวันกับผู้กองวิณณ์กำลังพยายามกันอยู่ เขาสองคนทำทุกวิถีทางเพื่อให้วิญญาณของตะวันได้กลับเข้าร่างตัวเอง”

แล้ววายุก็เล่าเรื่องราวให้อาทิตย์ฟัง เขาเลือกที่จะบอกแค่ข้อมูลสำคัญเพราะถ้าจะมาให้เล่าตั้งแต่ต้นวันนี้ก็คงไม่จบ

“บ้า บ้ากันไปใหญ่แล้ว”
“ผมไม่ได้จะไม่เคารพการตัดสินใจของคุณอานะครับ แต่มันคือความจริง ถ้าคุณอาพาตะวันไป มันจะทำให้ดวงวิญญาณของตะวันไม่ได้กลับเข้าร่าง และล่องลอยจนวิญญาณอาจแตกสลายได้ มันไม่เป็นผลดีกับตะวันเลย”

“งั้นการปล่อยให้ตะวันนอนนิ่งๆ ไปวันๆ แบบนี้ มันคือดีงั้นเหรอ นอนโดยไม่รู้ว่าจะฟื้นหรือตื่นเมื่อไหร่คือดีงั้นซินะ”
“แต่ตอนนี้ตะวันกำลังพยายามนะครับ เขากำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับเข้าร่าง ขอแต่คุณอาเชื่อใจตะวันแค่นั้น”


อาทิตย์เงียบไป เป็นช่วงนาทีที่วายุรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เขาไม่หวังให้พ่อของตะวันเข้าใจ แต่ขอแค่เห็นใจแค่นั้นก็พอ


“ถ้าเราจะเอาแต่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ก็ตามใจเรา แต่อาไม่ อาเชื่อในวิทยาศาสตร์เท่านั้น จบเรื่องแล้วก็หลีกไป อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก”

“คุณเป็นยังไงบ้าง” วายุส่ายหน้าสุดท้ายเขาไม่สามารถช่วยอะไรตะวันได้เลย








[วิณณ์]



“จ่าเพิ่ม จ่านัย เดี๋ยวพวกจ่าพาพวกในรถกลับไปที่โรงพักนะ แยกห้องขังกันไม่ให้มันพุดคุยกันและไม่ให้มีการประกันตัวใดๆทั้งสิ้นถ้าผมไม่ได้สั่ง”
“จ่าอ๊อดเรียกกำลังเสริมและตั้งด่านสะกัด ผมคิดว่ามันจะขนออกทางชายแดน ให้ประสานกับตำรวจในท้องที่คอยสังเกตที่สามารถออกไปทางชายแดนได้ ให้ตรวจรถกะบะทุกคัน”
“จ่าเติมไปกับผม”
“ไปไหนครับผู้กอง”

“บ้านผู้กำกับพงษ์”




อ๊อดดดด



วิณณ์ยืนอยู่หน้าบ้านของผู้กำกับพงษ์ เขากดกริ่งหน้าและรออยู่ตรงนั้นเกือบ 10นาที กว่าจะมีคนในบ้านออกมาเปิดประตู

“สวัสดีครับมาหาใครเหรอครับ”   ชายสูงวัยเดินงกๆเงิ่นๆมาเปิดประตู

“ผู้กำกับพงษ์อยู่ไหมครับ”
“ท่านยังไม่กลับมาหรอกครับ แล้วนี่คุณเป็นใครครับ”
“นี่ผู้กองวิณณ์ ส่วนผมจ่าเติมพอดีมีธุระกับผู้กำกับนิดหน่อยนะ”
“ท่านออกไปตั้งแต่เช้ายังไม่กลับเข้ามาเลย พวกคุณลองโทรเข้ามือถือท่านดูซิ”
“ขอบคุณนะครับลุง”


วิณณ์กล่าวขอบคุณและถอยออกมา ถ้าไม่กลับมาที่นี่จะไปที่ไหน หรือจะกลับไปที่โรงพัก มั่นใจขนาดนั้นว่าจะไม่มีใครรู้เลยงั้นเหรอ

เขายกโทรศัพท์โทรหาจ่าเพิ่ม แล้วคำตอบที่ได้คือผู้กำกับพงษ์ไม่ได้กลับไปที่ สน. ต่อจากนั้นเขาก็ต่อสายไปหาจ่าอ๊อดต่อ จ่าอ๊อดแจ้งว่ายังไม่พบรถกะบะต้องสงสัย

รถกะบะพร้อมของผิดกฎหมายเต็มคันรถ คนร้ายอีกหนึ่งคนก็หายไป ผู้กำกับพงษ์ก็หายไปด้วยอีก

หรือว่าจะหักหลังกันเอง

หรือว่า สองคนนั้นจะร่วมมือกัน







ก่อนหน้านี้


“นายครับ”
“มีอะไร”
“ลูกน้องของนายยงยุทธมาขอพบครับ”
“ให้เข้ามา”


ผู้กำกับพงษ์นั่งอยู่ในห้องทำงานพร้อมกับคิดหาทางจัดการกับเรื่องบางเรื่องอยู่ วิณณ์ตามสืบเรื่องนี้ไม่ปล่อย แล้วดูท่ามันก็คงไม่ปล่อยง่ายๆ ส่วนไอ้ยงยุทธก็เปิดเผยตัวเองกับวิณณ์ไปแล้ว อีกไม่นานเรื่องคงสาวมาถึงตัวเขาอย่างแน่นอน

เขาควรจะกำจัดใครดีระหว่างหุ้นส่วนธุรกิจที่ร่วมงานกันมานาน หรือ ตัวยุ่มย่ามที่เข้ามาวุ่นวายเรื่องนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น



ก๊อก ก๊อก


“นาย มาแล้วครับ”
“อืมให้เข้ามา”


เอ็มเดินเข้ามาภายในห้อง ของตกแต่งทุกชิ้นบ่งบอกถึงรสนิยมและความอู้ฟู่ของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี

หึ ไอ้พวกคนรวย ทรัพย์สมบัติพวกนี้มันก็มาจากพวกคนจน คนโง่ อย่างพวกกูนี่ละ


“มีอะไร”
“ผมมีเรื่องจะมารายงานท่าน”
“....”
“ผมคิดว่านายยงยุทธกำลังจะหักหลังท่าน”


นายอาทิตย์ชันหลังขึ้นจากพนักเก้าอี้ เรื่องเพื่อนสนิทที่เขาคิดถึงก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้กับข้อมูลใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้รับตอนนี้


“มึงรู้ได้ยังไง”
“ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว นายจะคอยกันผมไม่ให้จัดการกับไอ้ผู้กองวิณณ์ ทั้งแม่ทั้งน้องมัน ทั้งๆ ที่มีโอกาส แล้วก่อนหน้านี้ผมยังได้ยินอีกว่า นายยงยุทธจะบอกความจริงและยอมรับผิดหลังจากขนของครั้งนี้จบ”

ความจริงเพียงครึ่งเดียวคือ เรื่องที่นายยงยุทธปกป้องครอบครัวของผู้กองวิณณ์ ส่วนเรื่องอื่นโกหกทั้งนั้น เอ็มพูดใส่เชื้อไฟให้มันรุนแรงขึ้น เพราะเขาเองต้องการแก้แค้นให้กับลูกน้องสองคนของเขาที่ถูกนายยงยุทธปล่อยให้ตายเหมือนหมา

เอ็มจึงเลือกหักหลังนายตัวเองโดยมาร่วมมือกับผู้กำกับพงษ์หรือท่านที่พวกลูกน้องคนอื่นๆ เรียกกัน เอ็มไม่รู้ว่าท่านคนนี้จะเชื่อเขาหรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะเสี่ยง


“แล้วมึงมาบอกกูก็เพื่อ?......”
“ผมอยากจะขอโอกาส ผมรู้ว่าท่านเองก็ไม่ชอบคนทรยศ ผมมีวิธีจัดการทั้งนายยงยุทธและไอ้ผู้กอง”

ผู้กำกับพงษ์ชั่งใจคิดในเมื่อเนื้อร้ายมันกำลังแพร่กระจายเขาก็ควรตัดทิ้ง

ทั้งคู่



เอ็มปลอมเป็นพลเมืองดีแจ้งวันเวลาสำหรับการขนของ เมื่อถึงวัดนัดหมายเอ็มขับรถมาส่งนายงยุทธพร้อมพวกหลังจากนั้นเขาก็ขับรถออกไปรออยู่ด้านนอก ซึ่งผู้กำกับพงษ์รู้อยู่แล้วว่าวิณณ์จะไม่รออยู่เฉยๆ แน่ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น

เมื่อตัวละครมาพร้อมกันที่โกดัง พงษ์จึงโทรบอกเพื่อนรักว่าวิณณ์อยู่ที่นี่ด้วยและทำยังไงก็ได้ที่จะจับตัววิณณ์ให้ได้

พงษ์คาดหวังว่าทั้งสองคนจะฆ่ากันเอง แต่ยงยุทธมันดันเกิดอยากอยากจะเป็นคนดี ไอ้วิณณ์มันก็ยึดถือคุณธรรมของตำรวจสุดใจไม่ยอมแก้แค้นแทนพ่อแต่จะจับตัวไปรับโทษในคุกแทน เขาจึงต้องจัดการให้ทั้งสองคนได้ตายด้วยวิธีเขา และเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน

แต่.....ผิดอย่างดียว ผิดที่ วิณณ์ไม่ตาย

เอ็มต้องขับรถกะบะเพื่อไปยังจุดนัดหมายที่ปั้มร้างแห่งหนึ่งแถบชานเมืองซะก่อน โดยมีผู้กำกับพงษ์รออยู่ที่นั่น ก่อนจะต้องขับต่อไปจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อส่งของออกทางชายแดน

เอ็มขับรถอย่างระมัดระวังและคอยดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา  ซึ่งมันไม่ได้ราบรื่นไปอย่างที่คิด

รถมอเตอร์ไซต์สายตรวจคันหนึ่งแล่นเข้ามาประกบข้างรถ ขณะที่เอ็มจอดติดไฟแดง ท่าทางของเอ็มที่ลุกลี้ลุกลน และรถกะบะต้องสงสัยตามที่ได้ข้อมูลมา สายตรวจคนนั้นจึงตัดสินใจลงจากรถเพื่อเรียกให้เอ็มหลบเข้าข้างทาง แต่เอ็มตัดสินใจเร่งเครื่องและขับฝ่าไฟแดงออกไปอย่างไว


“เฮ้ยหยุดนะเว้ย”  สายตรวจกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซต์และขับตามไป พร้อมทั้งแจ้งวิทยุไปยังด่านสะกัดด้านหน้า

“เรียกด่านสะกัด 1 พบรถกะบะต้องสงสัยสีขาวได้ขับฝ่าไฟแดง มุ่งไปทางด่านสะกัด 1 แจ้งสะกัดเอาไว้ด้วย  เปลี่ยน”


เอ็ม เร่งเครื่องและเหยียบอย่างเร็ว เขาแหกไฟแดงมาอีกสองไฟแดง จนมาถึงด่านสะกัดข้างหน้า


“เอาไงดีวะ เชี้ยเอ้ย”  จะหยุดหรือไม่หยุดก็มีแต่ตายเท่านั้นแหละวะ เขาจึงตัดสินใจเหยียบคันเร่งจนมิดและฝ่าด่านไป ตำรวจต่างกระโดดหลบไปคนละทาง


ปัง ปัง ปัง


เสียงปืนยิงรัวกระหน่ำใส่ยางล้อเพื่อให้รถหยุด แต่ก็ไม่เป็นผล เอ็มพยายามขับไปให้ถึงจุดนัด โดยมีเสียงล้อบดกับถนนดังแว่วเข้ามาในรถ เขามั่นใจว่ามันต้องทิ้งรอยมาตลอดทางแน่



บรื้นน เอี๊ยดด



“นาย มันมาแล้วครับ”  เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้กำกับพงษ์กับลูกน้องสองคนจึงออกมาจากที่ซ่อน

“สภาพรถเละมาเลยครับนาย”

“ฉิบหายแล้วไหมละ แสดงว่ามันต้องหนีตำรวจมาแน่ๆ อย่างนี้มันจะพาพวกตำรวจมาเจอพวกเราด้วยไหมครับนาย”
“มึงเอารถไปทิ้งไว้ด้านหลังปั้ม”


เอ็มทำตามคำสั่ง เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านหลังปั้ม ความรกร้างและหญ้าที่ขึ้นสูงคงช่วยบดบังรถไว้ได้บ้าง


“โดนมาหนักซิมึง”
“เออ พวกตำรวจมันตั้งด่านสะกัดไว้หมดแล้ว” เอ็มพยักหน้าให้หนึ่งในลูกน้องของผู้กำกับพงศ์
“เอาไงดีครับนาย เราจะรอก่อนหรือว่าไปเลยดีครับ”
“ผมคิดว่าพวกตำรวจน่าจะตั้งด่านสะกัดไปทั่วหมดแล้ว” เอ็มเอ่ยขึ้น
“พวกมันรู้ได้ยังไงวะ”
“ก็ไอ้ลูกน้องที่นายให้มันปิดปากไอ้ผู้กองกับนายยงยุทธทำงานไม่สำเร็จไง”

“พวกมันสองคนยังไม่ตายอีกเหรอ!!!!”

“ตาย แต่ตายแค่คนเดียว ส่วนคนที่รอดก็ไอ้ผู้กองวิณณ์”


“ไอ้วิณณ์ มึงจะตามจองล้างจองผลาญกูไปถึงไหนวะ  ........เรารอไม่ได้แล้ว ถ้าขืนยังอยู่ที่นี่ยังไงพวกมันก็ต้องหาเจอ ถ่ายของไปรถอีกคันและขับไปที่ชายแดนให้เร็วที่สุด”





>> มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 34 : ทางเลือก (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 08-11-2019 22:36:46
(ต่อ)





“วิณณ์ แล้วเราจะไปตามจับพวกนั้นที่ไหนละ”
“ยังไม่รู้”


ขณะที่วิณณ์กำลังคิด โทรศัพท์ของจ่าเติมก็ดังขึ้น


“ตอนนี้ผมอยู่หน้าบ้านผู้กำกับ จ่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า .....หะ ที่ไหน โอเค โอเค ผมจะรีบรายงานผู้กอง”


“ว่าไงจ่า”
“จ่าอ๊อดยังแจ้งอีกว่า ได้รับแจ้งจากสายตรวจพื้นที่ สน.xxx พบรถต้องสงสัยแต่ขณะเรียกตรวจ รถกะบะได้ขับฝ่าไฟแดงและด่านตรวจไปครับ ลักษณะคนขับรถคล้ายกับไอ้เอ็มด้วยครับ ดีที่สายตรวจคนนั้นมีกล้องเลยได้สี ลักษณะรถ ทะเบียนที่ชัดเจนมาครับ ตอนนี้จ่าอ๊อดกำลังตามมาสมทบกับพวกเราที่นี่ครับ”

“ถ้าไปทางนั้น แสดงว่ามันต้องหนีออกไปพม่าแน่นอน
จ่าแล้วจุดที่เจอรถที่สงสัยว่าเป็นไอ้เอ็มคือจุดไหน”

“นครปฐมครับผู้กอง”
“ทะเบียนมันอาจจะปลอม แล้วถ้ายิ่งมันรู้ตัวแล้วแผนมันจะต้องเปลี่ยน จ่าประสานกับตำรวจในพื้นที่ให้ช่วยกันสะกัด ตรวจรถทุกคัน และสถานที่ที่คิดพวกมันน่าจะซ่อนตัวได้ อย่าให้มันหนีออกไปได้ไกลกว่านี้ ไม่งั้นเราจะจับมันไม่ได้อีกเลย”
“ครับ ผู้กอง”


วิณณ์ จ่าเติม กำลังจะขึ้นรถเพื่อไปยังจุดเกิดเหตุที่สายตรวจเจอไอ้เอ็ม โดยตะวันก็ตามไปด้วย



“เดี๋ยวๆ คุณน้อง อย่าเพิ่งไป”
“อะไรเจ๊”
“เจ๊ว่าคุณน้องสนใจเรื่องตัวเองก่อนดีกว่า”
“ทำไม เรื่องผมทำไม?”
“ก็ตอนนี้อะ พ่อของคุณน้องกำลังจะพาร่างคุณน้องไปแล้วนะซิ  โอ้ มาย ก๊อด”
“หะ!!! ว่าอะไรนะ”



วิณณ์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงตะวันร้อง


“ตะวัน ตะวันเป็นอะไร”
“วิณณ์ พ่อ.....”
“พ่อทำไม”
“คุณแอนเขาบอกว่าพ่อกำลังจะพาร่างของตะวันไปเมืองนอกแล้ว”


วิณณ์ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ทำไมเรื่องมันถึงได้มาวุ่นพร้อมกันแบบนี้ คดีก็ต้องรีบทำ แต่เขาก็ห่วงตะวัน แต่ถ้าไม่ทำคดีให้เสร็จตะวันก็จะไม่ได้กลับเข้าร่าง แต่ถ้าร่างไม่อยู่คดีเสร็จไปก็ไม่มีประโยชน์

ทำยังไงดีวะ


“โธ่เว้ย” วิณณ์สบทเสียงดัง ตะวันกับเจ๊แอนถึงกับสะดุ้ง แม้แต่จ่าเติมเองยังสะดุ้งตาม
“ผู้กองเป็นอะไรครับ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรจ่าเดี๋ยวจ่ารอจ่าอ๊อดที่นี่ ผมขอไปจัดการธุระก่อน แล้วรายงานสถานการณ์ผมตลอดด้วยนะ”
“ครับ”


วิณณ์ตัดสินใจที่จะไปบ้านตะวัน เขากลับขึ้นรถพรัอมกับตะวัน และวิญญาณของแอน


“คุณน้องผู้กองจะไปไหนอะ”  ตะวันส่ายหน้าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ว่าวิณณ์จะไปไหนเขาก็จะไปกับวิณณ์ด้วย

“วิณณ์ เราจะไปไหนกันเหรอ”
“บ้านตะวัน”



วิณณ์ขึ้นรถได้ก็รีบคว้ามือถือที่อยู่ในรถขึ้นมาดู หน้าจอดับไปแล้ว เขาจึงจัดการสายชาร์จและเปิดเครื่อง30กว่า miss call และข้อความอีกนับไม่ถ้วนเด้งขึ้นมาไม่หยุด ซึ่งทั้งหมดถูกส่งมาจาก

นายวายุและดารินน้องสาวเขา



‘พี่วิณณ์ พี่ตะวันแย่แล้ว พี่อยู่ไหนเนี่ย’
“พี่วิณณ์ ตอบน้องหน่อย”
“ไอ้พี่บ้า จะร้องไห้แล้วนะ”
“ฮือ พี่วิณณ์”

‘ผู้กองอยู่ไหนครับ คุณอาอาทิตย์กำลังจะพาตะวันไปแล้วนะ’
“ผู้กองตอบหน่อยครับ”
“ผู้กอง...”





“ฮึก ฮือ”  เสียงสะอื้นเบาๆของตะวันดังแทรกขึ้นมา

“ไม่เป็นไรนะตะวันไม่เป็นไร วิณณ์จะไม่ยอมให้ใครพาตะวันไปไหนทั้งนั้น”

“แต่ นั่นคุณพ่อ ตะวันกลัว พ่อต้องไม่ยอมแน่ๆ ใครก็ขวางท่านไม่ได้”


วิณณ์ลูบหัวปลอบใจตะวันแล้วก็ดึงให้ตะวันลงมาซบที่ไหล่เขา


“วิณณ์จะพยายาม”

“นี่คุณน้องจะทำอะไรก็รีบทำเถอะนะ มันจะไม่ทันเวลาแล้ว โอ้ย จะพูดยังไงดีวะ”
“อะไรเหรอเจ๊”
“มัน เอิ่ม มัน หึ่ยยย พูดไม่ได้ ห้ามพูด ห้ามพูด”
“เจ๊มีอะไรพูดมาเดี๋ยวนี้นะ”



“มีอะไรเหรอตะวัน”
“ก็วิญญาณคุณแอนนะซิอยู่กับเราด้วย แล้วก็ทำท่าทางจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ยอมบอกซะที”


“ก็มันบอกไม่ไดัอ่า”
“แล้วทำไมถึงบอกไม่ได้ละ”



วิณณ์ไม่เข้าใจว่าตะวันพยายามจะพูดกับกับวิญญาณคุณแอน แต่ดูแล้วเหมือนพยายามคาดคั้นให้คุณแอนพูดมากกว่า


“คุณแอนครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะได้ยินไหม แต่ผมขอร้องเถอะครับ หากว่าคุณอยากบอกอะไร บอกพวกเรามาเถอะ พวกเราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา”


วิญญาณของแอนอึดอัดน้ำท่วมปาก ถ้าบอกไปเธอก็จะมีความผิดด้วย แต่ถ้าคดีไม่สำเร็จ พันธนาการเธอก็จะไม่ได้ถูกปลดปล่อย เธอก็จะไปภพภูมิอื่นไม่ได้อีก

แต่สองคนนี้เป็นคนดี แล้วก็ตั้งใจช่วยเธอ

เออ ช่างมันจะได้เกิดหรือไม่ได้เกิดก็ช่างมัน



“ตะวัน ฟังที่เจ๊บอกดีๆ นะ จำที่เจ๊บอกได้ไหมว่าตะวันได้เป็นผู้ถูกเลือกแบบไม่ถูกต้อง”  ตะวันพยักหน้า
“ที่เจ๊รู้มาคือ ท่านกาลเวลาของตะวันก็คือท่านพญายม ท่านได้วางเดิมพันเรื่องนี้ ว่า จะยังมีมนุษย์ที่พร้อมเสียสละเสมอ ถึงแม้จะเป็นเพียงวิญญาณก็ตาม”
“แล้ว...”
“เมื่อไม่นานมานี้ท่านพญายมถูกตรวจสอบจากคณะยุติธรรม แล้วคณะกรรมการก็มีผลออกมาแล้วว่า....”
“.....”

“ถ้าตะวันยังทำภารกิจสุดท้ายไม่สำเร็จ ดวงวิญญาณของตะวันจะต้องกลับนรกภูมิและวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดอายุขัย”
“อันนั้นผมรู้แล้วนะเจ๊”

“3วัน”

“....”

“ภารกิจต้องสำเร็จภายใน 3 วัน และวันนี้ก็คือวันสุดท้าย”


“หะ!!! ไม่จริงอะ เจ๊โกหก ผม มัน....มันยังไม่ครบ 100วันตามที่ท่านกาลเวลากำหนดให้เลย จะมาผิดสัญญากันแบบนี้ไม่ได้นะ

ฮืออออ ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอา”



“ตะวันเป็นอะไร”
“ฮือออ วิณณ์”


วิณณ์จอดรถหลบบนไหล่ทาง ฟังสิ่งที่ตะวันเล่าให้ฟัง เขามองดูคนนั่งข้างเขาร้องไห้ปริ่มขาดใจ ซึ่งเขาเองก็ใจแทบขาดเหมือนกัน วิณณ์ดึงตะวันเขามากอด ขนาดเป็นวิญญาณยังบอบบางและอ่อนไหวขนาดนี้ แล้วตอนมีชีวิตจะขนาดไหน


“คนดีไม่ต้องร้องนะ วิณณ์สัญญาวิณณ์จะทำให้ดีที่สุด”




Rrrrrrrrrrr

หน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อ วายุ

“คุณวายุ”
[ผู้กองคุณอยู่ไหน ผมกับดารินพยายามติดต่อคุณแต่ก็ติดต่อไม่ได้]
“ผมกำลังทำคดีอยู่” วิณณ์ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า “ผมรู้เรื่องตะวันแล้ว”
[รู้ รู้ได้ยังไง]
“อย่าเพิ่งสนใจเลย แล้วตอนนี้เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง”
[ผมพยายามรั้งถึงที่สุดแล้ว ถึงขนาดยอมเล่าเรื่องของตะวันให้ฟัง แต่พ่อของตะวันก็ไม่ฟัง]
“แล้วตะวันละ”
[กำลังจะถูกพาขึ้นรถไปสนามบินแล้ว]


วิณณ์วางโทรศัพท์ลง


ถ้าตะวันถูกพาตัวไป วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้
ถ้าเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ วิญญาณก็กลับเข้าร่างไม่ได้เหมือนกัน

ไม่ว่าทางไหนก็ไม่เป็นผลดีกับตะวัน



Rrrrrrrrrrrไม่นานสายของจ่าเติมก็ดังตามมา


“ว่าไงจ่า”
[ผู้กองครับเจอที่ซ่อนพวกมันแล้วครับ ตำรวจในพื้นที่รายงานมาว่าเจอร่องรอยของยางล้อครูดไปกับถนนไปหยุดที่ปั้มร้างแห่งหนึ่งครับ]
“โอเคจ่า ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมแจ้งผมอีกที”




“วิณณ์”
“หืม”
“กลับไปทำคดีเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องตะวันหรอก”
“ตะวันนะแหละไม่ต้องห่วงคนอื่น ห่วงตัวเองเถอะ”


วิณณ์เตรียมตัวออกรถ เขาตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องของตะวัน แต่ยังไม่ทันออกตัวตะวันเอามือมาวางบนมือเขา


“วิณณ์ วิณณ์รอที่จะจับคนร้ายที่ฆ่าพ่อของวิณณ์มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้โอกาสแล้วนะ”
“.....”


“ตะวันนะจะกลับเข้าร่างได้จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ต่อให้กลับเข้าร่างได้ตะวันจะเหมือนเดิมไหมก็ไม่รู้อีก แต่วิณณ์ยังมีชีวิตอยู่จัดการเรื่องของคนที่มีชีวิตดีกว่ามาเสียเวลากับผีอย่างตะวันนะ”


“ตะวันพูดแบบนี้ ไม่รักษาน้ำใจกันบ้างเลย ถ้าวิณณ์เห็นว่าตะวันเป็นแค่ผีก็คงไม่ช่วยมาถึงขนาดนี้หรอก”

“ไม่ใช่ ตะวันขอโทษ ตะวันไม่ได้คิดแบบนั้น อย่าโกรธตะวันเลยนะ”


ตะวันใจเสียเพราะคิดว่าวิณณ์โกรธ ความจริงเขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูด เขาก็แค่อยากให้วิณณ์ทำเรื่องของตัวเองบ้าง


“วิณณ์ฟังเหตุผลของตะวันก่อนนะ”
“....”

“ถ้า....ถ้าเรารีบไปจัดการเรื่องคดีให้จบ”
“พอเลยตะวันไม่ต้องพูดแล้ว”

“ไม่วิณณ์ต้องฟังให้จบก่อน ถ้าคดีจบ ภารกิจของตะวันก็จะสำเร็จด้วยไง แล้วตะวันก็จะรีบไปเข้าร่างก่อนที่พ่อจะพาตะวันไปอเมริกา”
“ตะวันคิดว่าเรื่องมันจะง่ายขนาดนั้นเหรอ”
“แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง ตะวันรู้ว่าวิณณ์ก็คิดเหมือนกัน และตะวันเชื่อว่าวิณณ์จะทำได้”


“แล้วถ้าไม่ทัน ทุกอย่างมันสายไปหมด ตะวันก็จะไม่ได้กลับเข้าร่างต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปแบบนี้ แล้วเราก็ไม่จะไม่ได้เจอกันอีกงั้นเหรอ”

“ตะวันก็ทำใจไม่ได้หรอกนะถ้าจะไม่ได้เจอวิณณ์อีก แต่....
แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่สำเร็จ”


“ตะวัน...”



“น้องตะวัน พี่ว่าต้องรีบแล้วเหลือเวลาไม่มากแล้ว”   คุณแอนแทรกขึ้นมา




“ไปเถอะ ไปทำหน้าที่ของคุณตำรวจให้เสร็จ”   





ตะวันกุมมือวิณณ์ไว้ 



ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร เขาก็ไม่กลัว เพราะเขารู้ว่าเจ้าของมือนี้จะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ ไม่ไปไหน
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 34 : ทางเลือก (08/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-11-2019 22:42:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

นี่ไงหล่ะ   การเสียสละของผู้ถูกเลือก  อิอิ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 34 : ทางเลือก (08/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-11-2019 23:00:53
คิดๆ แล้ว อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ ตะวัน  :hao4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 34 : ทางเลือก (08/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-11-2019 23:17:50
 :hao7: :hao7: :hao7:


 :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 34 : ทางเลือก (08/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 10-11-2019 23:12:33
 :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 34 : ทางเลือก (22/11/2019) อัพเพิ่ม
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 22-11-2019 18:48:33
*** ต่อ ตอนที่ 34 ***


วิญญาณของแอนอึดอัดน้ำท่วมปาก ถ้าบอกไปเธอก็จะมีความผิดด้วย  แต่ถ้าคดีไม่สำเร็จ พันธนาการเธอก็จะไม่ได้ถูกปลดปล่อย เธอก็จะไปภพภูมิอื่นไม่ได้อีก

แต่สองคนนี้เป็นคนดี แล้วก็ตั้งใจช่วยเธอ

เออ ช่างมันจะได้เกิดหรือไม่ได้เกิดก็ช่างมัน


“ตะวัน ฟังที่เจ๊บอกดีๆ นะ จำที่เจ๊บอกได้ไหมว่าตะวันได้เป็นผู้ถูกเลือกแบบไม่ถูกต้อง”

ตะวันพยักหน้า

“ที่เจ๊รู้มาคือ ท่านกาลเวลาของตะวันก็คือท่านพญายม ท่านได้วางเดิมพันเรื่องนี้ ว่า จะยังมีมนุษย์ที่พร้อมเสียสละเสมอ ถึงแม้จะเป็นเพียงวิญญาณก็ตาม”

“แล้ว...”

“เมื่อไม่นานมานี้ท่านพญายมถูกตรวจสอบจากคณะยุติธรรม แล้วคณะกรรมการก็มีผลออกมาแล้วว่า....”

“.....”

“ถ้าตะวันยังทำภารกิจสุดท้ายไม่สำเร็จ ดวงวิญญาณของตะวันจะต้องกลับนรกภูมิและวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหมดอายุขัย”

“อันนั้นผมรู้แล้วนะเจ๊”

“3วัน”

“....”

“ภารกิจต้องสำเร็จภายใน 3 วัน และวันนี้ก็คือวันสุดท้าย”

“หะ!!! ไม่จริงอะ เจ๊โกหก ผม มัน....มันยังไม่ครบ 100วันตามที่ท่านกาลเวลากำหนดให้เลย จะมาผิดสัญญากันแบบนี้ไม่ได้นะ

ฮืออออ ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอา”




“ตะวันเป็นอะไร”
“ฮือออ วิณณ์”



วิณณ์จอดรถหลบบนไหล่ทาง ฟังสิ่งที่ตะวันเล่าให้ฟัง เขามองดูคนนั่งข้างเขาร้องไห้ปริ่มขาดใจ ซึ่งเขาเองก็ใจแทบขาดเหมือนกัน วิณณ์ดึงตะวันเข้ามากอด ขนาดเป็นวิญญาณยังบอบบางและอ่อนไหวขนาดนี้ แล้วตอนมีชีวิตจะขนาดไหน


“คนดี ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ วิณณ์สัญญาวิณณ์จะทำให้ดีที่สุด”




Rrrrrrrrrrr

หน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อ วายุ


“คุณวายุ”

[ผู้กองคุณอยู่ไหน ผมกับดารินพยายามติดต่อคุณแต่ก็ติดต่อไม่ได้]

“ผมกำลังทำคดีอยู่” วิณณ์ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า “ผมรู้เรื่องตะวันแล้ว”

[รู้ รู้ได้ยังไง]

“อย่าเพิ่งสนใจเลย แล้วตอนนี้เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง”

[ผมพยายามรั้งถึงที่สุดแล้ว ถึงขนาดยอมเล่าเรื่องของตะวันให้ฟัง แต่พ่อของตะวันก็ไม่ฟัง]

“แล้วตะวันละ”

[กำลังจะถูกพาขึ้นรถไปสนามบินแล้ว]


วิณณ์วางโทรศัพท์ลง


ถ้าตะวันถูกพาตัวไป วิญญาณกลับเข้าร่างไม่ได้
ถ้าเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ วิญญาณก็กลับเข้าร่างไม่ได้เหมือนกัน

ไม่ว่าทางไหนก็ไม่เป็นผลดีกับตะวัน



Rrrrrrrrrrr ไม่นานสายของจ่าเติมก็ดังตามมา


“ว่าไงจ่า”

[ผู้กองครับเจอที่ซ่อนพวกมันแล้วครับ ตำรวจในพื้นที่รายงานมาว่าเจอร่องรอยของยางล้อครูดไปกับถนนไปหยุดที่ปั้มร้างแห่งหนึ่งครับ]

“โอเคจ่า ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมแจ้งผมอีกที”




“วิณณ์”

“หืม”

“กลับไปทำคดีเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องตะวันหรอก”

“ตะวันนะแหละไม่ต้องห่วงคนอื่น ห่วงตัวเองเถอะ”


วิณณ์เตรียมตัวออกรถ เขาตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องของตะวัน แต่ยังไม่ทันออกตัวตะวันเอามือมาวางบนมือเขา


“วิณณ์ วิณณ์รอที่จะจับคนร้ายที่ฆ่าพ่อของวิณณ์มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้โอกาสแล้วนะ”

“.....”

“ตะวันนะจะกลับเข้าร่างได้จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ต่อให้กลับเข้าร่างได้ตะวันจะเหมือนเดิมไหมก็ไม่รู้อีก แต่วิณณ์ยังมีชีวิตอยู่จัดการเรื่องของคนที่มีชีวิตดีกว่ามาเสียเวลากับผีอย่างตะวันนะ”


“ตะวันพูดแบบนี้ โคตรจะใจร้ายไม่รักษาน้ำใจกันบ้างเลย ถ้าวิณณ์เห็นว่าตะวันเป็นแค่ผีก็คงไม่ช่วยมาถึงขนาดนี้หรอก”


“ไม่ใช่ ตะวันขอโทษ ตะวันไม่ได้คิดแบบนั้น อย่าโกรธตะวันเลยนะ”


ตะวันใจเสียเพราะคิดว่าวิณณ์โกรธ ความจริงเขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูด เขาก็แค่อยากให้วิณณ์ทำเรื่องของตัวเองบ้าง



“วิณณ์ฟังเหตุผลของตะวันก่อนนะ”

“....”

“ถ้า....ถ้าเรารีบไปจัดการเรื่องคดีให้จบ”

“พอเลยตะวันไม่ต้องพูดแล้ว”

“ไม่วิณณ์ต้องฟังให้จบก่อน ถ้าคดีจบ ภารกิจของตะวันก็จะสำเร็จด้วยไง แล้วตะวันก็จะรีบไปเข้าร่างก่อนที่พ่อจะพาตะวันไปอเมริกา”

“ตะวันคิดว่าเรื่องมันจะง่ายขนาดนั้นเหรอ”

“แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง ตะวันรู้ว่าวิณณ์ก็คิดเหมือนกัน และตะวันเชื่อว่าวิณณ์จะทำได้”


“แล้วถ้าไม่ทัน ทุกอย่างมันสายไปหมด ตะวันก็จะไม่ได้กลับเข้าร่างต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปแบบนี้ แล้วเราก็ไม่จะไม่ได้เจอกันอีกงั้นเหรอ”

“ตะวันก็ทำใจไม่ได้หรอกนะถ้าจะไม่ได้เจอวิณณ์อีก แต่....
แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่สำเร็จ”


“ตะวัน...”


“น้องตะวัน พี่ว่าต้องรีบแล้วเหลือเวลาไม่มากแล้ว”   คุณแอนแทรกขึ้นมา




“ไปเถอะ ไปทำหน้าที่ของพวกเราให้เสร็จ”   พร้อมกุมมือวิณณ์ไว้ 

ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร เขาก็ไม่กลัว ถ้าเจ้าของมือนี้ยังอยู่ข้างๆ เขา







Talk : ต้องขอโทษคนอ่านด้วยค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดความผิดพลาดตอนไหน ทำให้อัพตอนที่ 34 ไม่ครบ

แต่ตอนนี้อัพครบแล้วนะคะ และกำลังจะอัพตอนต่อไปเพิ่มให้พร้อมกันเลยคร่าา 

_/\_

หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 34 : ทางเลือก (08/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-11-2019 19:01:37
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 35 : เวลา (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 22-11-2019 19:19:59
บทที่ 35 เวลา




15.00น.


วิณณ์ตามมาสมทบกับจ่าเติมที่ด่านตรวจ สายรายงานว่าพวกของผู้กำกับยังคงกบดานอยู่ที่ปั้มร้าง พร้อมกับถ่ายเทของเปลี่ยนรถเพื่อเตรียมหนี


“ผู้กองครับ” จ่าเติมวิ่งเข้ามาหาทันทีที่รถของวิณณ์จอด
“จ่า เป็นยังไงบ้าง”
“สายเราที่เฝ้าดูอยู่รายงานมาว่า พวกลูกน้องกำลังถ่ายของกันครับ โดยที่มีตำรวจซุ้มดูอยู่ห่างๆ”


จ่าเติมเดินนำวิณณ์เข้าไปยังเต้นท์ที่มีตำรวจประชุมกันอยู่เต็มไปหมด และกำลังตั้งใจฟังคนด้านหน้าสั่งการ ไม่นานตำรวจก็แยกย้ายไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย


“ผู้กองครับ นี่สารวัตรสินธร และนี่ผู้กองวิณณ์ครับ” จ่าเติมทำหน้าที่แนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน


“สวัสดีครับสารวัตร” วิณณ์ยกมือไหว้ผู้ที่สูงวัยกว่า
“สวัสดีครับผู้กอง ไม่คิดว่าผู้กองจะยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้”
“ขอบคุณครับ”
“โอเค ผมอยากรู้เรื่องของพวกคุณ”
“ผู้ร้ายในกลุ่มนี้หลบหนีมาจากการจับกุมเมื่อเช้านี้ ทางเราได้นำกำลังไปจับขณะลับลอบขนยาเสพติดและของผิดกฏหมาย เกิดการปะทะกัน บางส่วนจับได้ บางส่วนตาย และมี สองคนร้ายหนีมาได้ซึ่งขาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับพวกที่ทางสารวัตรกำลังตามอยู่ครับ”
“พวกที่หนีมาได้ พวกคุณรู้ตัวไหม”
“รู้ครับ ลูกน้องชื่อเอ็ม และหัวหน้าใหญ่”
“หัวหน้าใหญ่?”
“ครับ”
“ใคร?”

“ผู้กำกับพงศธร ก้องเกียรติกัมปนาท”


“ผู้กำกับพงศธร?”
“ครับ ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเราครับ”
“ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ”


วิณณ์ไม่ได้ตอบอะไร ใครได้ยินก็ต้องคิดเหมือนกัน


สารวัตรสินธรเรียกทีมประชุมอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้มีไม่กี่คนที่เข้าร่วม โดยมีเขาและจ่าเติมร่วมด้วย พวกเราต้องรีบวางแผนให้ไว และรัดกุม ถ้าขืนปล่อยเวลาไปอีก พวกนั้นหนีไปก็จะพากันยุ่ง

ข้อสรุปของการประชุมคือ เราจะปิดทุกจุดไม่ให้รถผ่านเข้าออก และจะเปลี่ยนชุดตำรวจจากที่คอยสังเกตการณ์เป็นทีมบุก โดยล้อมเอาไว้ด้านหลังและด้านข้าง หลังจากนั้นติดต่อไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อขอความช่วยเหลือตั้งด่านสกัดทุกเส้นทางที่เป็นไปได้หากผู้กำกับและลูกน้องพวกหนี


“ตะวัน” วิณณ์เดินหลบออกมาหลังจากที่การประชุมจบลง
“วิณณ์”
“คิดอะไรอยู่” วิณณ์นั่งลงข้างๆ พร้อมกับเอามือวางบนหัวของตะวัน

“มันจะอันตรายไหม ไม่ซิ มันต้องอันตรายมากๆแน่”
“ไม่หรอก อย่าคิดมากซิ ตะวันดูรอบๆซิ ตำรวจเยอะแยะขนาดนี้ แถมยังเก่งกันทุกคนด้วย”
“แต่มันไม่ได้หมายความว่า มันจะปลอดภัยนี่”
“ทำไมถึงเพิ่งมากังวลตอนนี้ละ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนบอกให้วิณณ์มาทำหน้าที่ของตัวเองเองนะ”
“มันก็ใช่ แต่คนมันห่วงอะ ห่วงนะเข้าใจไหม”
“โอเค โอเคครับ เข้าใจครับ”

“ตะวัน”
“หืม”
“คุณแอนละอยู่ไหม”
“ไม่อยู่แล้วละ เจ้าหล่อนบอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการสองสามเรื่องนะ”
“เรื่องอะไร?”


ตะวันสายหน้า





17.00น.


หน่วยจู่โจมไปสับเปลี่ยนกับหน่วยเฝ้าระวังตามแผนแรกที่ได้วางไว้ โดยจะต้องรายงานความเคลื่อนไหวกับมายังศูนย์กลางเป็นระยะ

อีกหกชั่วโมงก็จะพ้นวันแล้ว คุณแอนบอกว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของการปฏิบัติภารกิจ เท่ากับว่าเวลาของเขาก็จะยุติลงแค่นี้ใช่ไหม

แล้วเขาจะหายไปเลยไหม หรือจะเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่แต่ไม่มีใครเห็นแม้กระทั่งวิณณ์

ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็จะไม่ได้เจอวิณณ์อีกแล้วใช่ไหม ไม่ได้ลา แล้วก็คงไม่ได้เจอแม่ พี่วายุ อีกใช่ไหม

ยิ่งคิดน้ำตาพาลเอ่อล้น แต่เขาไม่อยากให้วิณณ์คิดมาก เขาต้องเก็บและกลืนมันลงไป






18.00น.


“นายครับ ผมว่ามันแปลกๆนะครับนาย”
“แปลกยังไง”
“ผมว่ามันเงียบผิดปกติ เส้นทางนี้เป็นเส้นหลักที่คนทั่วไปใช้กัน แต่ว่ามันเงียบไป ไม่มีรถผ่านมาซักคัน”
มึงคิดไปเองหรือเปล่า”
“ไม่ครับนาย เชื่อผมซิ”
“เฮ้ย” พงศ์หันไปเรียกพวกที่เหลือ
“พวกมึงรีบไปจัดการซะจะได้รีบไป ชักช้าอยู่นั่นแหละ รอพ่อมารับหรือไง”


เอ็มเองก็สงสัยเหมือนกับที่ไอ้ลูกน้องของผู้กำกับพงศ์พูด เห็นทีจะหนีไปได้ยากซะแล้ว เขาต้องเตรียมแผนสำรองไว้ ถ้าพวกมันไม่รอด เขาต้องรอด





ณ บ้านตะวัน


ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วสำหรับเคลื่อนย้าย ทีมแพทย์เช็คร่างกายทุกอย่างทั้งอุณหภูมิ ความดัน การเต้นของหัวใจและการหายใจ ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติดี


“คุณอาทิตย์ คุณทบทวนอีกสักครั้งได้ไหมคะ”
“หลีกไป!”


นายอาทิตย์พูดด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด จนแม่ของตะวันต้องหลบให้ วายุเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ขนาดเขาบอกความจริงไปแล้ว พ่อของตะวันยังไม่ยอมฟังเลย

ส่วนดารินเองก็....



“นี่คุณเป็นอะไรอะ นั่งพึมพำอยู่ตั้งนานละ”
“.....”
“คุณ”
“....”
“คุณ!!!”
“เย้ยย จะตะโกนทำไม ตกใจหมดเลย อยู่ใกล้แค่นี้เรียกเบาๆก็ได้”
“ขนาดเมื่อกี้เรียกจนปากผมจะโดนแก้มคุณอยู่ละคุณยังไม่ได้ยินเลย”

“หะ?” ดารินสะดุ้งเอามือจับแก้มตัวเอง พร้อมกับหันขวับไปหาวายุ

“นี่นายแอบหอมแก้มฉันเหรอ”

ดารินพูดเสียงแหว พร้อมกับยกมือเตรียมฟาดลงไปที่แขนของวายุ แต่เขาไวกว่ายกมือขึ้นรับและจับเอาไว้

“ไม่ต้องดิ้นหรอกคุณ”

“ปล่อย”
“ไม่ต้องสะบัดด้วย”
“บอกให้ปล่อยไงละ”
“ไม่มีทาง จับได้แล้วขืนปล่อยไปผมก็โง่ดิ”
“???”

ดารินหยุด เธอกำลังทำความเข้าใจกับคำพูดของวายุ ที่พูดนี่หมายถึงเรื่องที่จับมือเธอใช่ไหม?


บรื้นนนนน


ขบวนรถของพ่อตะวันขับออกไปแล้ว ตามไปด้วยรถพยาบาลที่มีร่างของตะวันอยู่ในนั้น


“คุณ ฉันว่าเรารีบติดต่อพี่วิณณ์กันเถอะ”







18.30น.


กำลังตำรวจกระจายตามจุดที่ได้วางไว้ ถนนทุกเส้นทางถูกปิดไว้ไม่ให้รถผ่านเพื่อกันคนไม่เกี่ยวข้องออกไป

เวลาจู่โจมคือเวลา 19.00 อีกสามสิบนาที วิณณ์ จ่าเติม และทีมของสารวัตรอีก 5นายจะบุกเข้าไปเพื่อจับกุมกลุ่มของผู้กำกับพงศธร


“วิณณ์ระวังตัวด้วยนะ”
“ตะวันรู้ตัวไหมว่าตะวันพูดประโยคนี้กี่ครั้งแล้ว”
“ไม่รู้อะ แต่จะกี่ครั้งตะวันก็จะพูด พูด พูด พูด จนวิณณ์จำขึ้นใจว่าต้องระวังตัวเอง”
“ครับ ครับ รู้แล้วครับไอ้ตัวยุ่ง”
“ตะวันเปล่ายุ่งซักหน่อย ก็แค่เป็นห่วง”
“หึหึ”


วิณณ์อมยิ้มให้ตะวันอย่างเอ็นดู เอามือวางไว้บนหัวของตะวัน ก่อนจะเอ่ยคำพูดอย่างสัญญา


“ตะวันรู้ไหม เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมันเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ว่าวิณณ์จะสัญญา สัญญาจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด”
“ดีมาก”
“แต่.....”

“.....”

“แต่ถ้าอะไรก็ตาม ถ้ามันต้องเกิดขึ้น ตะวันต้องสัญญานะ”
“สัญญาอะไร”
“จะไม่โทษตัวเอง และจะไม่เสียใจ”
“ไม่เอาดิ ไม่พูดแบบนี้ ถ้า....ถ้าวิณณ์เป็นอะไรก็เพราะตะวัน ตะวันดึงวิณณ์เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แถมยังผลักไสให้วิณณ์มาทำเรื่องนี้อีก”

“เหมือนที่ตะวันบอกกับวิณณ์ไง ทำหน้าที่ของตัวเองซะ ตอนนี้วิณณ์กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ตะวันเองก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง”
“....”
“เรามาทำมันไปพร้อมกันเถอะนะ”


วิณณ์ยกนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้า ตะวันเอาแต่จดจ้อง จนวิณณ์ต้องทำเสียงในลำคอเพื่อกระตุ้นตะวัน จนต้องยอมยกมือขึ้น ก่อนบรรจงเกี่ยวนิ้วก้อยกับวิณณ์


“สัญญาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราสองคนจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป”

“สัญญา”






19.00น.



วิณณ์และจ่าเติมพร้อมกำลังตำรวจตามแผนสองขยับล้อมเข้าไปใกล้กับปั้มร้าง สายแจ้งว่าของได้ถูกเปลี่ยนไปที่รถอีกคันเรียบร้อยแล้วและกลุ่มคนร้ายเตรียมหนีกันอีกครั้ง


“คุณน้อง คุณน้องตะวันขา”
“เจ๊ มีอะไรตอนนี้กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน อย่าเพิ่งยุ่ง”
“คุณน้อง เจ๊ เอิ่ม......เจ๊”
“เจ๊!!!”
“รู้แล้วๆ อย่าดุซิ”

“ก็พ่อของคุณน้องนะซิคะ ตอนนี้พาร่างของคุณน้องไปแล้วนะซิคะ”

“หะ!...อุ๊บส์”



ตะวันตกใจแต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเอง ขืนเขาร้องเสียงดังวิณณ์ได้ยินเข้า ก็ต้องมาถามเขาว่าเป็นอะไร แล้วถ้ารู้ว่าพ่อกำลังพาร่างเขาไปวิณณ์ก็จะเสียสมาธิ แล้วก็จะเป็นอันตราย


“นี่คุณน้องจะไม่ทำอะไรเลยเหรอคะ”
“อืม”
“จะอยู่นิ่งๆ แบบนี้เหรอคะ”
“อืม”

“อะ อ้าววว”

“ขอบคุณนะเจ๊ที่มาบอก แต่ผมทำอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอก วิณณ์กำลังทำงานสำคัญถ้าขืนเสียสมาธิ จะแย่เอา”


“จับคนร้าย ถึงคดีจะสำเร็จแต่ถ้าร่างไม่อยู่ก็กลับเข้าร่างไม่ได้ แล้วถ้าคดีไม่สำเร็จคุณน้องก็กลับเข้าร่างไม่ได้ แล้วถ้าเลยเวลาเที่ยงคืนวันนี้คุณน้องก็กลับเข้าร่างไม่ได้อยู่ดี.....
โอ้ยยย ไม่เห็นจะได้อะไรสักทางเลย”

“ช่างมันเถอะเจ๊ ผมตัดสินใจละผมอยากให้วิณณ์ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ส่วนเรื่องของเจ๊นะ ยังไงผมก็จะทำให้เสร็จเหมือนกัน”
“โอ้ยเรื่องของเจ้ ช่างมันเถอะ เจ๊ห่วงคุณน้องมากกว่า”


“ขอบคุณนะครับ”






19.15น.



เกิดเสียงปืนดังขึ้นมาจากทางคนร้ายที่ยิงเข้าใส่กลุ่มตำรวจ ทำให้ตำรวจต้องถอยห่างออกมาก่อน ตะวันลุกลี้ลุกลนเพราะเขามัวแต่คุยอยู่กับคุณแอนเลยไม่รู้ว่าวิณณ์หายไปตอนไหน ถึงจะสัญญาแล้วว่าจะดูแลตัวเองแต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้

ตะวันสอดส่ายตามองหาจนเห็นว่าวิณณ์ไปอยู่ข้างหน้าจุดที่ใกล้กับแนวปะทะ


“วิณณ์......วิณณ์......วิณณ์”
“ตะวันหลบไป”
“ไม่ วิณณ์อยูไหนตะวันก็จะอยู่นั่นด้วย”
“ทำไมดื้ออย่างนี้”


นาทีนี่จะด่าจะว่าอะไรก็ไม่สนหรอก


จุดที่เราอยู่เป็นจุดเปิด ถึงจะพยายามวางแผนอย่างดี แต่ยังคงเสียเปรียบ จนอีกฝ่ายเห็นเราซะก่อน

ความจริงถ้ามอบตัวเรื่องคงไม่ใหญ่บานปลายขนาดนี้ แต่คงเหมือนคำโบราณที่ว่า หมาจนตรอก มันก็ต้องกัด ต้องสู้ คนอย่างผู้กำกับพงษ์ก็คงเป็นแบบนั้น


“ผู้กำกับพงษ์ ยอมมอบตัวซะเถอะ หนักจะได้กลายเป็นเบา” สารวัตรสินธรเอ่ยขึ้น

พงศธร ไม่แปลกใจที่พวกนี้รู้ชื่อเขา แสดงว่าตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ร้ายอย่างเต็มตัวแล้ว

“ผู้กำกับผมว่าคุณมอบตัวเถอะ สู้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก”


“จะสู้หรือไม่สู้ผมก็เป็นผู้ร้ายอยู่แล้ว”
“แต่ถ้าคุณมอบตัว คุณก็ยังจะได้รับโอกาสนะ”

“คุณคิดว่าผมเป็นใครผมก็เป็นตำรวจเหมือนพวกคุณ คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าสิ่งที่พวกคุณพูดมันก็แค่คำหลอกหลวงให้พวกผู้ร้ายโง่ๆ มันยอมมอบตัวเท่านั้น”

“ท่าทางจะยากเอาการนะ” สารวัตรสินธรพูดกับวิณณ์ที่อยู่ข้างๆ


ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างเงียบเหมือนหยั่งเชิงกันอยู่ กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น



“เฮ้ยยย!!!”

“เด็กมาจากไหนวะ!!!”



จ่าเติมร้องขึ้น อยู่ดีๆก็มีเด็กผู้หญิงวิ่งออกมาพงหญ้าด้านข้างปั้มซึ่งใกล้กับจุดที่พวกผู้ร้ายอยู่



“ไอ้หนูออกมา”  แต่ไม่ทันซะแล้ว วิณณ์เห็นหนึ่งในคนร้ายมาถึงตัวเด็กก่อนเขา



ไอ้เอ็ม



“ว้ายยยยย ลูกแม่ ลูก ปล่อยลูกฉันนะ”
“แม่จ๋า แม่ ช่วยหนูด้วย แม่ ฮืออออ”


เกิดการชุลมุนขึ้น เมื่อแม่ของเด็กคนนั้นวิ่งตามมาและจะเข้าไปช่วยลูกจนตำรวจต้องรีบไปดึงตัวออกมา


“ป้า ป้า ป้าใจเย็นก้อน ป้า”
“คุณตำรวจช่วยลูกฉันด้วย ฮือออออ ลูกแม่”


คนเป็นแม่ทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้เสียงปานใจจะขาด


“เวรเอ๋ย แค่ลำพังพวกมันก็ยากพอละ นี่มีตัวประกันอีก”  วิณณ์สบถอย่างหัวเสีย

“ทีนี้เราจะเอายังไงดีละครับผู้กอง”


วิณณ์ไม่ตอบ

ตะวันเองก็ทำได้แค่ยืนข้างๆ อย่างห่วงๆ

คุณแอนก็คอยมองซ้ายทีขวาที


เวลาล่วงเลยมาจนถึง 21.30น.



“คุณน้องเราจะอยู่เฉยๆ แบบนี้เหรอคะ มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ”
“ผมก็ไม่รู้ วิณณ์กำลังเครียดผมไม่กล้าถามหรอก”
“โอ้ยยยย ขัดใจเจ๊จริงๆ”




“ผู้กองวิณณ์”  เสียงเรียกชื่อมาจากฝั่งนั้น ซึ่งคนที่เรียกไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้เอ็ม

“มีอะไร”  วิณณ์ตะโกนตอบโต้ไป

“มึงอยากช่วยเด็กใช่ไหม”

“จะเอายังไงว่ามา”
“เอาตัวมึงมาแลกกับเด็ก”
“มึงอย่ามาลูกเล่นไอ้เอ็ม” เป็นจ่าเติมที่ตอบโต้กลับไป “ผู้กองอย่าไปเชื่อมัน”

“คิดเอาเองนะ มันไม่ได้ยากเลย แค่เอาตัวมึงมาแลกกับเด็ก....แค่นั้นเอง”


“ผู้กอง ผมว่าเรามาคุยกันก่อนดีกว่า” สารวัตรสินธรเดินเข้ามาสมทบ


“คุณชื่ออะไรนะ เอ็มเหรอ ผมขอเวลาคุยกับผู้กองซักแปป”
“พวกมึงจะตุกติกอะไร ขืนมึงตุกติกกันนะกูยิงอีเด็กนี่ไส้แตกแน่”


“ฮืออออ แม่จ๋า หนูเจ็บ แม่ช่วยหนูด้วย  ฮือ ฮือ”

“ลูก ลูกแม่”


“รอกันมาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว อีกแค่10นาทีคงไม่นานเกินไปหรอก”
“10นาที ถ้าพวกมึงเล่นตุกติกอะไรละก็ อีเด็กนี่ตายแน่”


วิณณ์เดินตามสารวัตรสินธรมาอีกทาง

“ผมว่ามันเสี่ยงไปถ้าผู้กองจะทำตามข้อเรียกร้องของคนร้าย”
“แต่นั่นเด็กนะครับ ผมไม่อยากเอาชีวิตเด็กมาเสี่ยง ถ้ามันต้องการตัวผม ผมก็จะทำตามที่มันขอ”
“คุณมีแผนแล้วเหรอ”
“ยังครับ”
“เฮ้ออ ผมละไม่เข้าใจพวกคนหนุ่มไฟแรงจริงๆ เอาเถอะตอนนี้ยังมีเวลาเราลองหาทางที่เป็นไปได้เตรียมเอาไว้ก่อน เดินดุ่มๆ เอาตัวเข้าไปแลกมันก็เหมือนกับพาตัวเองไปตาย”


หลังจากหารือกันไม่นาน วิณณ์ตัดสินใจเอาตัวเองแลกกับเด็กที่ถูกจับเป็นตัวประกัน และเขาต้องทำยังไงได้ที่จะเข้าถึงตัวและแยกผู้กำกับออกมาจากกลุ่ม วิณณ์รู้ว่ามันเสี่ยงที่ต้องพาตัวเองกลับไปอยู่ท่ามกลางคนร้ายอีกครั้งแต่เขาเต็มใจทำ เรื่องนี้มันไม่ควรมีใครจะต้องมาเจ็บอีกแล้ว ถ้าจะมีใครที่ต้องเจ็บอีกมันสมควรจะเป็นเขา


ครบเวลา 10 นาทีที่ตกลงกันไว้ วิณณ์เดินมาจุดนัดพบ มีเพียงเด็กผู้หญิงตัวประกันคนเดียวที่ยืนรออยู่ตรงนั้น

“ผู้กองเดินมาช้า”
“ให้เด็กเดินออกมาก่อนซิ”
“มึงไม่ต้องมาสั่งกู! กูจะให้มึงเดินถึงไหนมึงก็ต้องเดิน ให้มึงทำอะไรมึงก็ต้องทำ”


มันจะมาลูกไม้อะไรอีก  วิณณ์คิดในใจ แต่ก็ยอมทำตามที่มันบอกเขาค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างช้าๆ อีกไม่กี่ก้าวเขาก็จะถึงจุดที่เด็กน้อยยืนอยู่ เด็กน้อยยืนสะอึกสะอื้นยืนด้วยความไร้เดียงสาเมื่อเห็นวิณณ์เดินเข้ามาเธอจึงขยับเท้าพร้อมกับก้าวออกไป


ปัง เสียงปืนดังขึ้น วิณณ์ก้มหลบพร้อมกับวิ่งเข้าคว้าร่างของเด็กน้อยเอาไว้ โชคดีที่มันแค่ยิงขู่ วิณณ์มองไปทางเสียงปืนไอ้เอ็มยืนอยู่ตรงนั้น


“เดินเข้ามาอีก” เอ็มออกคำสั่ง
“ให้เด็กเดินไปก่อน”
“มึงไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งกับกู”
“ปล่อยเด็กไปก่อน”
“มึงนี่มันดื้อด้านฉิบหาย”

วิณณ์ไม่ทันระวังตัวหนึ่งในคนร้ายโผล่มาทางด้านหลังและเอาปืนจ่อหัวเขาไว้

“มึงจะผิดคำพูด?”
“หึ มึงจะยึดถือคำพูดอะไรกับโจรอย่างกู”

“วิณณ์”  วิณณ์ส่ายหน้า พร้อมกับบอกให้ตะวันอยู่แฉยๆ


“เฮ้ย มึงพูดกับใครอะ อย่ามาตุกติกนะเว้ย เดินไป”  ทั้งวิณณ์และเด็กน้อยถูกจับและพาตัวเข้ามาด้านใน

“ทำยังไงดีครับสารวัตรสินธร ทั้งผู้กองทั้งเด็กโดนจับไปทั้งคู่”
“รอดูก่อนว่าพวกมันต้องการอะไร”



“น้องชื่ออะไรครับ บอกพี่ได้ไหม”
“กระต่ายค่ะ”
“กระต่ายไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวพวกตำรวจข้างนอกเขาก็มาช่วยพวกเราแล้ว” ทั้งที่น้ำตายังอาบแก้มอยู่เด็กน้อยยังพยักหน้าให้วิณณ์อย่างเชื่อมั่น


“ไหนมึงบอกจะปล่อยเด็กไปไง”
“ปล่อยให้โง่”
“......”
“ขืนกูปล่อยไปพวกมึงก็คงไม่ปล่อยพวกกูไปหรอก”


“ไอ้เอ็ม”
“ครับนาย”
“มึงช่วยให้เกียรติผู้กองเขาด้วย”


ผู้กำกับพงษ์เดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าเขา


“ถ้าเราจะช่วยปล่อยเรื่องนี้ไปตั้งแต่แรกเรื่องมันคงไม่มาไกลถึงขนาดนี้หรอก”
“ปล่อย? แล้วให้พวกคุณทำเรื่องชั่วๆ ต่อไปงั้นเหรอ ไม่มีทาง”

“ยังทำปากเก่งได้อยู่อีกนะมึง” ไอ้เอ็มคอยสมทบคำพูดของนายมันไม่ห่าง

“อาบอกเราแล้วใช่ไหมว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก จะตอนนั้นหรือตอนนี้ วิณณ์ไม่มีทางชนะอาได้หรอก”


“แล้วทำไมเด็กนี่ยังอยู่” ผู้กำกับพงษ์หันไปมองเด็กผู้หญิงที่แอบอยู่ข้างหลังวิณณ์
“นังเด็กนี่มันตุกติกครับนาย”
“แล้วมึงจะพาเด็กมาให้ลำบากทำไมวะ ลำพังแค่หนีกันเองก็ยากพอละมึงยังจะเอาเด็กมาเป็นภาระอีก”
“แต่ผมว่ามีเด็กกันไว้มันดีกว่านะครับนาย”

“.......ปล่อยเด็กไป พวกมึงก็ได้ตัวกูมาแล้วจะเอาเด็กมาเป็นภาระทำไมอีก”

“อย่าให้เดือดร้อนทีหลังละ” ผู้กำกับพงษ์ไม่สนใจคำพูดของวิณณ์




>>  มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 35 : เวลา (22/11/2019) **ต่อ**
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 22-11-2019 19:33:06
>>  ต่อค่ะ





22.00น.


รถของนายอาทิตย์และลมขับตามถนนมุ่งหน้าไปสนามบินโดยมีรถพยาบาลขับตามไม่ห่าง ลมมองหน้าพ่อของตัวเอง ใจหนึ่งก็อยากถามว่าทำไมพ่อเขาถึงไม่เชื่อในสิ่งที่ทั้งคุณป้าดารินและนายวายุพูด แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าพ่อจะมองเขาเป็นพวกไร้สาระ


“ลม”
“ครับ”
“จะพูดอะไรกับพ่อหรือเปล่า”
“พ่อรู้เหรอครับ”
“เราคอยชำเลืองมองพ่อมาตลอดทาง ท่าทางที่เราแสดงออกลูกพ่อเป็นยังไงทำไมพ่อจะไม่รู้ มีอะไร”
“พ่อเชื่อเรื่องที่ทั้งคุณน้าดารินกับนายวายุนั่นพูดไหม”

 คนเป็นพ่อถอนหายใจ

“พ่อจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันไม่ได้มีผลอะไรเลยนะลม แต่จะให้พ่อเชื่อพวกเขาแล้วพ่อไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้พี่ตะวันเขานอนไปแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ถึงต่อให้พ่อเชื่อพวกเขาก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อมันจะสำเร็จ”
“ครับ”
“พ่อทำใจไม่ได้หรอกที่จะรอแต่ปาฏิหารย์ที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงไหม”
“......”
“แค่นี้พ่อก็ทำผิดกับตะวันมาเยอะแล้ว พ่อหันหลังให้เขาตั้งแต่วันที่เขาเกิด พ่อจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว พ่อจะไม่ยอมเสียตะวันไป”
“.......”
“แต่มันไม่ได้หมายความว่าพ่อรักลมน้อยกว่าพี่เขานะ พ่อรักเราทั้งคู่ ลมเข้าใจพ่อใช่ไหม”

“ผมเข้าใจพ่อครับ”




ทางด้านของผู้กำกับพงษ์เมื่อของทุกอย่างเรียบร้อย ก็เตรียมที่จะย้ายออกจากจุดเดิมแต่เขาต้องใช้รถเพิ่มอีกคัน เอ็มยื่นข้อเสนอให้พวกตำรวจนำรถมาให้อีกคัน และเปิดทางให้พวกเขาหลบหนีถ้าไม่อย่างนั้นจะฆ่าเด็กกับวิณณ์ทิ้งซะ

สารวัตรสินธรเรียกประชุมอีกครั้งถ้าลำพังมีแค่จะจับคนร้ายมันก็ยากพออยู่ละ แต่นี่ดันมีตัวประกันตั้งสองคนแถมหนึ่งในนั้นยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ จะทำอะไรพวกเขาต้องระวังกันมากเป็นสองเท่า

สารวัตรสินธรตัดสินใจเดินเข้าไปเจรจากับผู้ร้ายด้วยตัวเอง


“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ มึงมีอะไร”
“เอ็มใช่ไหม เรียกผู้กำกับพงษ์ออกมาหน่อย”
“มึงมีธุระอะไร”
“ธุระของผู้ใหญ่คุยกัน”
“ไอ้....”


“ไอ้เอ็ม”  ผู้กำกับพงษ์เดินมาออกพร้อมกับปรามเอ็ม


“ว่าไงสารวัตรคุณต้องการอะไร เรื่องที่ผมขอไปไปถึงไหนแล้ว”
“ผมขอเวลาเพิ่มคุณก็รู้ การทำตามข้อเรียกร้องของคนร้ายนะมันยุ่งยาก”
“คุณก็ทำให้มันไม่ยุ่งยากซะซิ มันไม่ยากเกินไปสำหรับคุณหรอก ภายในห้าทุ่มถ้าเรื่องไม่เรียบร้อย อย่าหาว่าผมไม่เตือน”






23.00น.


รถ HUV สีดำแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าปั้มร้างตามที่พวกคนร้ายเรียกร้อง


“กระต่าย หนูเห็นพี่ตำรวจที่ยืนอยู่ตรงนั้นไหม”
“ค่ะ”
“ถ้าพี่บอกให้วิ่งเราก็วิ่งเลยรู้ไหม  ไม่ต้องหยุด ไม่ต้องรอพี่ วิ่งไปแล้วอย่าหันหลังกลับมา”
“แล้วพี่ละคะ”
“เดี๋ยวพี่ตามไป ไม่ต้องรอพี่”
“ไม่เอาค่ะ กระต่ายจะไปกับพี่ กระต่ายกลัว”
“ไม่ต้องกลัว กระต่ายอยากเจอแม่ไหม”
“อยากซิค่ะ”
“ถ้างั้นฟังพี่นะ อย่าดื้อ ทำตามพี่บอก”
“แล้วพี่ผู้ชายกับผู้หญิงสองคนนั้นละค่ะ เขาไปกับเราด้วยไหม”


วิณณ์มองตามที่กระต่ายชี้


“หนูเห็นพี่เหรอค่ะ” คุณแอนก้มลงไปถามเด็กน้อย
“เห็นซิค่ะ ทำไมถึงจะไม่เห็นละ”


“ตั้งแต่ตอนไหนเหรอ”
“ก็ตั้งแต่ที่พี่เข้ามานะคะ หนูก็เห็นพี่สองคนนั้นเขาตามพี่มาแต่แรกแล้ว”


“วิณณ์” 

ตะวันเรียกชื่อวิณณ์ด้วยเสียงเบา ภายในใจมันหน่วงอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนเขาทำให้วิณณ์ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ ถ้าวิณณ์ต้องเป็นอะไรขึ้นมามันคือความผิดของเขา ซึ่งวิณณ์เองก็สังเกตุเห็นอาการของคนตรงหน้าได้


“ตะวัน บอกแล้วไงอย่าคิดมาก เราสัญญากันแล้วนะ”
“แต่มันก็ยังกลัวอยู่ดี ตะวัน...ตะวันทนไม่ได้ ถ้าวิณณ์จะต้องเป็นอะไร”
“มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ อย่าคิดมากซิ”


“โอ้ยยยยยย ฉันละกลุ้มทำไมนะ ทำไมพวกเธอต้องมาเจอกัน ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้” 


“ตะวัน พอออกไปข้างนอกแล้วต้องช่วยกระต่ายไปให้ถึง จ่าเติมได้สำเร็จนะ”
“จะให้ทำยังไงละ ตะวันจะไปทำอะไรได้ น้องเขาแค่เห็นตะวันนะตะวันจับต้องอะไรน้องเขาไม่ได้เลยนะ”
“แค่ไปเป็นก็เพื่อนพอ ส่วนเรื่องอื่น วิณณ์จัดการเอง”
“แต่....”



“พวกมึงจะคุยอะไรกันนักหนาวะ”  เอ็มเดินเข้ามาพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงผมของวิณณ์ให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับตน
“ท่าทางมึงคงจะเกลียดกูมากนะ”

“เออกูเกลียดมึง ทั้งเกลียด ทั้งแค้น เพราะมึงลูกน้องกูสองคนถึงต้องตาย อีกไม่นานกูจะส่งมึงไปอยู่เป็นเพื่อนพวกมัน ไป ลุกขึ้น”   

เอ็มกระชากวิณณ์ให้ลุกขึ้นยืน


“เฮ้ย.... มึงอะ เอาตัวพวกมันไปขึ้นรถ”  เอ็มออกคำสั่งให้พาตัววิณณ์กับเด็กน้อยไปขึ้นรถ

วิณณ์และเด็กผู้หญิงถูกพาออกมาเพื่อจะขึ้นรถ วิณณ์ถูกมัดมือไว้อยู่ส่วนเด็กผู้หญิงเดินเกาะชายเสื้อวิณณ์ไม่ห่าง



“กระต่ายเห็นพี่ตำรวจคนนั้นไหมค่ะ”
“เห็นค่ะ”
“ถ้าพี่บอกวิ่ง หนูวิ่งเลยนะคะ พี่ตะวันจะไปเป็นเพื่อนหนู ไม่ต้องกลัวนะ”


ถึงเด็กน้อยจะไม่อยากไปเท่าไหร่ แต่เธอก็พยักหน้าให้อย่างเชื่อฟัง


“ให้คุณแอนไปแทนได้ไหม”  ตะวันกระซิบบอกวิณณ์
“ตะวัน”
“ก็ได้”


วิณณ์ไม่ได้อยากจะไล่ตะวันไปแต่เขาห่วงตะวันเกินกว่าจะเห็นตะวันเป็นอะไร


“สารวัตรนั่นผู้กองกับเด็กครับ” 
“จ่าจัดการตามแผน”


จ่าเติมเดินออกมาด้านหน้าขยับอย่างช้าๆ ไม่ให้พวกมันสงสัยและเพื่อให้เข้าไปใกล้ได้มากที่สุด


“เดินเร็วๆ ลีลาฉิบหายเลยมึงอะ” เอ็มหันมาตะคอกใส่เด็กน้อย พร้อมกับดึงแขนให้เดินตามไป แต่กระต่ายขืนตัวและจับวิณณ์เอาไว้แน่น
“ปล่อยมือซิวะ” เอ็มตะคอกเสียงดังอีกครั้ง ทำให้ผู้กำกับพงษ์ถึงกับต้องหันหลังกลับมามอง

“กับเด็กมึงให้มันเบาๆ หน่อยก็ได้”


วิณณ์ ดึงมือกระต่ายกลับเข้ามาหาตัวพร้อมกับก้มลงไปกระซิบที่ข้างหู


“วิ่ง!!!”


ทันทีที่กระต่ายวิ่งออกไป เอ็มเตรียมที่จะคว้าแขนไว้ แต่วิณณ์ไวกว่า เขากระโดดชนเอ็มจนเสียหลัก และถีบซ้ำเข้าไปที่กลางหลัง

กระต่ายหันกลับมามองวิณณ์ ถ้าเธอไปพี่ชายก็จะต้องเจ็บตัวแน่ๆ เลย แต่พี่ชายสั่งให้เธอไป
เอายังไงดี


“น้องกระต่ายวิ่ง พี่เขาตั้งใจช่วยเราอย่าทำให้พี่เขาผิดหวัง” ตะวันพูดออกไป
“แต่พี่ชายต้องเจ็บตัว”
“แต่ถ้าหนูไม่ไป พี่ชายก็จะเจ็บตัวและเสียใจมากกว่านี้”

[/i]“น้องกระต่ายจ๋า วิ่งเถอะวิ่ง พี่คนสวยขอร้อง”[/i]


“หนู ไอ้หนูวิ่งมา” จ่าเติมเองก็พยายามเรียกเช่นกัน
“แต่....”


ระหว่างที่มัวแต่ละล้าละลัง เอ็มเอื้อมไปหยิบปืนที่เอว แล้วเล็งมาที่กระต่าย



“สาระแนกันดีนักนะ ตายซะเถอะมึง”

“ตะวัน กระต่าย”

“วิ่งไป!!” ตะวันตะโกนสุดเสียงให้กระต่ายวิ่ง  “เจ๊พาเด็กไป”

“แล้วคุณน้องจะไปไหน”
“ไปหาวิณณ์”



“กระต่ายวิ่ง”  วิณณ์ตะโกน แต่ไม่ทันเอ็มเล็งปืนไปที่กระต่าย


ปัง.....


ตะวันตัดสินใจเอาตัวเองบังไว้ กระสุนแล่นตรงเข้าร่างของตะวัน


“ตะวัน!”

“คุณน้อง!”



สายตาทุกคู่เห็นเหมือนกันกระสุนแล่นตรงเข้าหากระต่ายแต่อยู่ดีๆ ก็หยุดกลางทางและตกลงพื้น แต่มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

วิณณ์ตั้งสติได้จึงหันไปเตะปืนที่อยู่ในมือของเอ็มออก พวกลูกน้องเข้ามาจับตัววิณณ์ไว้



“มึงอยากลองดีนักใช่ไหม”  เอ็มลุกขึ้นมาปรี่เข้าไปหาวิณณ์ ชกเข้าไปทั้งใบหน้าและลำตัว “อยากเป็นพระเอกนักเหรอมึง”


อึก
พั่วะ
ตุบ.....ก่อนจะหันไปหยิบปืนที่พื้นขึ้นมา  “มึงได้ตายสมกับเป็นที่อยากพระเอกแน่”



“วิณณ์” ตะวันไร้เรี่ยวแรงที่จะพาตัวเองไปหาวิณณ์ได้แต่มองและเรียกชื่อวิณณ์ซ้ำๆ อยู่กับที่


ทุกอย่างเงียบสนิท วิณณ์ลืมตาขึ้น เอ็มเล็งปืนมาที่เขาและมีผู้กำกับพงษ์เล็งปืนไปที่เอ็มอีกที


“มึงนี่วุ่นวายไม่จบนะไอ้เอ็ม”
“แต่มัน”
“มึงจะโง่ไปถึงไหนวะ ถ้ามึงยิงมันตอนนี้พวกเราทั้งหมดได้โดนจับตายไม่มีทางได้หนีแน่นอน”
“แต่มันช่วยให้เด็กหนีไป”


ผู้กำกับพงษ์ลดปืนลงและเดินเข้ามาหาวิณณ์  ก่อนจะชกเข้าไปที่หน้าของวิณณ์หนึ่งที


ผัวะ


“มึงก็อีกตัว ทำตัวเป็นเสี้ยนตำตีนกูได้อีกไม่นานหรอก พามันไปขึ้นรถ ส่วนมึงก็อย่าใจร้อนให้มันมากนัก”

ลูกน้องคนอื่นทำตามที่นายสั่งวิณณ์ถูกพาตัวขึ้นไปนั่งด้านหลังของรถ HUV พร้อมกับผู้กำกับพงษ์ ลูกน้องอีกคนเป็นคนขับและเอ็มนั่งด้านหน้าข้างคนขับ ลูกน้องอีกสองคนที่เหลือขับกระบะคันที่บรรทุกของไว้เต็มด้านหลัง


กระต่ายวิ่งกลับไปหาจ่าเติมอย่างปลอดภัย ปากก็พร่ำพูดแต่


พี่เขาถูกยิง
.
พี่เขาถูกยิง
.
ช่วยพี่เขาด้วย


จ่าเติมไม่เข้าใจทำไมเด็กเอาแต่พูดแบบนี้ เขาไม่เห็นว่าใครจะถูกยิงซักคน


“พี่สาว ช่วยพี่เขาด้วย พี่เขาถูกยิง”
“หนู หนูพูดกับใคร” กระต่ายไม่ได้ตอบคำถามจ่าเติม

“พี่เขาไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ หนูไปหาแม่เถอะ” 


ถึงแม้แอนจะพูดแบบนั้นแต่เธอไม่คิดว่าตะวันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ ช่วงจังหวะนั้นเธอเห็นและเธอเชื่อว่าคุณวิณณ์ก็ต้องเห็นเหมือนกัน


พลังวิญญาณของตะวันหายไป….








ปี๊ด
.
ปี๊ด
.
.
ปี๊ดดดดดดดด
.
.
ปี๊ด
.
ปี๊ด


เสียงสัญญาณชีพกระตุก ก่อนที่ดังยาว และกลับมาดังตามปกติอีกครั้ง


“เกิดอะไรขึ้น”
“สัญญาณชีพของคนไข้หายไป แต่ตอนนี้กลับมาปกติแล้วครับ คุณอาทิตย์ผมคิดว่ามันเสี่ยงไปครับ”
“.......”
“ตอนนี้ไม่สมควรจะเสี่ยงพาคนไข้ไปครับ มันอันตรายเกินไป”
“ไหนหมอบอกว่าเครื่องมืออุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมไม่ต้องห่วงไง”
“มันก็ใช่ครับ แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่คนไข้ด้วย ต่อให้เครื่องมือพร้อมแค่ไหนถ้าร่างกายของคนไข้ไม่พร้อมผมก็ไม่สามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”


“พ่อครับ”  ลมทักท้วงพ่ออีกคน







“ไปต่อ”









--------------------------

Talk : เนื้อหาตอนจบค่อนข้างเยอะมาก จะตัดหรือทิ้งตรงไหนมันทำไม่ได้จริงๆ จึงต้องตั้งใจอย่างมากเพื่อเก็บรายละเอียดให้ครบ ถ้าช้าอย่าโกรธกันน้า เขาจะพยายามอย่างสุดฝีมือ


ขอบพระคณมากคร่าา ที่ติดตามกัน
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 35 : เวลา (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-11-2019 20:00:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอยยยยย  ค้างคา
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 35 : เวลา (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-11-2019 22:10:09
 :hao7:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 35 : เวลา (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-11-2019 00:45:00
ขอ 2-3 ทีที่หัวอิตาคนพ่อ คงไม่เป็นไรนะ  :fcuk:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 35 : เวลา (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 23-11-2019 01:26:51
ทำไมเป็นพ่อแบบนี้น้อ ทิ้งเขาไปตั้งแต่เกิด แต่บทจะกลับมาแทนที่จะช่วยกลับกลายเป็นช่วยซ้ำให้หนักกว่าเดิม แย่สุดๆ ตะวันดับซะล่ะมั้ง
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 36 : ไขว่คว้า (06/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 07-12-2019 00:02:36
ตอนที่ 36
ไขว่คว้า



ตั้งแต่ขึ้นรถมาวิณณ์ไม่มีสมาธิสนใจกับอะไรทั้งนั้นเขาเอาแต่จ้องมองไปที่ตะวัน ถึงเขาจะยังเห็นตะวันแต่เขารู้สึกได้ ว่าบางอย่างมันแปลกไป

ตะวันเองก็คงจะรู้ว่าวิณณ์กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงได้พึมพำพูดแต่ประโยคเดิมๆ ให้วิณณ์สบายใจ


“ไม่เป็นไร ตะวันยังสบายดี ไม่ป็นไร”


วิณณ์หันไปมองด้านหลังรถ เขาเห็นรถตำรวจขับตามมาอยู่ห่างๆ เขาพอรู้แผนที่เตรียมไว้ และได้แต่ภาวนาว่าแผนจะไม่เปลี่ยนระหว่างที่เขาถูกจับมาเป็นตัวประกัน

ถ้าแผนไม่เปลี่ยนและถ้าเขาจำไม่ผิดอีก 10กิโลจะถึงด่านสกัดที่เตรียมไว้ พวกเขาต้องจบให้ได้ที่จุดนี้เพื่อไม่ให้เรื่องยืดเยื้อ ถ้าพวกผู้กำกับหลุดไปได้อีก เรื่องมันต้องยุ่งยากกว่าเดิม วิณณ์มองรอบๆ สองข้างทางมันเป็นที่นาของชาวบ้านและที่ดินรกร้างมีต้นไม้ขึ้นสูงเต็มไปหมด เขานึกถึงแผนที่ที่สารวัตรสินธรชี้ให้ดูมันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดเส้นทาง

และจากจุดนี้ไปอีก 5กิโลเมตรจะมีทางแยกที่สามารถลัดเลาะไปยังจังหวัดใกล้เคียงได้ แต่ถนนเส้นนั้นยังเป็นดินแดงอยู่ ถ้าคนร้ายเลือกใช้เส้นนั้นหลบหนีก็จะเพิ่มความลำบากไปอีก


“ตำรวจพวกนี้กัดไม่ปล่อยจริง” ผู้กำกับพงษ์เอ่ยออกมา


วิณณ์ดูนาฬิกาที่ข้อมือ 23.30น. ยิ่งใกล้เที่ยงคืนตะวันยิ่งดูแย่ เขาต้องรีบแล้ว


“นายครับข้างหน้ามีด่านครับ”
“น่ารำคาญจริง ฝ่าไป ใครขวางก็ชนมัน”


ด่านสกัดมีกำลังตำรวจอยู่หลายสิบนาย อาวุธครบมือ สิ่งกีดขวางเต็มพื้นที่ คำสั่งคือจับเป็นเพราะในรถมีตัวประกัน


“นาย ผมว่าโยนมันทิ้งนอกรถไปเถอะครับ ผมรู้ทางลัด ผมพานายไปได้ แต่ถ้าเราเอามันไปด้วยมันจะเป็นตัวถ่วงนะครับ”

ลูกน้องที่ทำหน้าที่ขับรถเสนอความคิดเห็น

“ถ้ามึงแน่ใจว่าจะพาพวกกูไปรอดได้มึงก็พาไป แต่กูไม่ทิ้งตัวประกันมันต้องไปด้วย”
“ได้ครับ จับดีๆ ละนาย”


รถ HUV ขับนำหน้าตามด้วยรถกะบะ คันเร่งถูกเหยียบจนมิดก่อนจะพุ่งตรงเข้าชนด่าน

แท่นพลาสติก
กรวย
ลวดหนาม
และตะปูยาง

ถูกชนถูกเหยียบกระจาย

ปึก ปัก ปุ๊ ฟฟฟฟี่  เสียงลมจากล้อ


“ไม่ต้องห่วงนาย ผมพานายไปรอดได้แน่นอน”


ปัง ปัง ปัง

ตำรวจยิงกระสุนใส่ล้อของรถกะบะที่ตามมาอย่างจัง วิณณ์เห็นรถส่ายก่อนจะแฉลบเข้าข้างทาง ชนเข้ากับแท่งแบริเออร์และพลิกคว่ำ


“ไปต่อ” ผู้กำกับพงษ์ทิ้งทั้งของทั้งลูกน้อง
“คุณจะทิ้งพวกลูกน้องคุณเหรอ”
“คนเราก็ต้องเลือกตัวเองก่อนทั้งนั้น”
“ผมสงสารลูกน้องคุณจริงๆ ที่ไว้ใจคุณ”

วิณณ์จงใจพูดเน้นคำ ไม่มากก็น้อยพวกข้างหน้าต้องรู้สึกบ้าง ภายในรถเงียบมีแต่เพียงเสียงลมหายใจที่ดังลอดมา


หนึ่งคนมองคนข้างหลังผ่านกระจก
อีกคนกำมือแน่น คิดถึงลูกน้องของตัวเองสองคนที่ต้องตายเพราะนายเหนือหัวมองเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง จะเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้


“นายข้างหน้ามีรถ ผมว่าเราเปลี่ยนรถดีกว่า มึงปาดหน้าเข้าไปเลย”  เอ็มออกความคิด


พวงมาลัยรถหักเข้าข้างทางจอดตัดหน้ารถ ไอ้เอ็มกระโดดลงจากรถใช้ปืนจี้บังคับเอากุญแจรถจากเจ้าของ ด้วยความตกใจเจ้าของจึงลนลาน กุญแจถูกยื่นให้มือไม้สั่นก่อนจะล่วงลงพื้น เอ็มโมโหเขาตรงไปผลักเจ้าของรถให้หลีกไป และคว้ากุญแจที่พื้นขึ้นมา


“พี่ผมไหว้ละ อย่าเอารถผมไปเลยนะ ผะ....ผมต้องเอาไว้ทำมาหากิน”
“ถ้างั้นก็ตายซะมึงจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเครื่องมือทำมาหากิน”


“ไอ้เอ็มมึงนี่จะฆ่าคนอย่างเดียวเลใช่ไหม ไป!” ผู้กำกับพงษ์ออกคำสั่ง “แล้วก็ไปพาไอ้ผู้กองลงมาด้วย”


วิณณ์ถูกดึงออกมาจากรถเขาอาศัยจังหวะที่เอ็มเผลอ กระทืบลงไปบนเท้าของเอ็มและศอกไปที่ท้อง เอ็มเจ็บคนจ้องปล่อยมือจากวิณณ์ หลังจากนั้นเขาพุ่งตัวกระแทกผู้กำกับพงศ์จนล้มลง ก่อนนะวิ่งหนีข้ามมาอีกฝั่งถนน



เอ็มคว้าปืนขึ้นมายิงไล่หลังวิณณ์ไป

ปัง
ปัง



“ไอ้เอ็มไม่ทันแล้ว ตำรวจแห่กันมาแล้ว ไปเร็ว”

คนขับรถตะโกนเรียกมาจากในรถ ผู้กำกับพงษ์ขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ และเอ็มกระโดดขึ้นหลังรถกะบะ วิณณ์หลบอยู่ตรงไหล่ทาง พอมั่นใจว่าพวกของเอ็มไปแล้วเขาจึงออกมา ประกอบกับจ่าเติม และรถตำรวจมาถึงพอดี


“ผู้กองเป็นยังไงบ้างครับ”  จ่าเติมรีบวิ่งเข้ามาดึงผู้กองขึ้นจากข้างทาง
“ไม่เป็นไร จ่าแก้มัดผมก่อน”

เชือกถูกตัดออก รอบข้อมือของวิณณ์เป็นรอยแดงจากเชือกบาดอย่างเห็นได้ชัด

“ผู้กองเอายังไงต่อดีครับ”

นายตำรวจคนหนึ่งเอ่ยถามเขา วิณณ์เห็นรถมอเตอร์ไซต์สายตรวจขับมาจอด

“จ่าเติมกับพวกคุณขับรถตามพวกมันไป”
“แล้วผู้กองละครับ”

วิณณ์ไม่ตอบแต่เดินที่รถมอเตอร์ไซต์สายตรวจคันนั้นแทน

“ผมไปคันนี้”
“ผู้กองเดี๋ยวครับ” จ่าเติมวิ่งมาพร้อมกับยื่นปืนมาให้เขา
“ของสำคัญลืมไม่ได้นะครับ”
“ขอบใจจ่า”


ตะวันยังคงตามวิณณ์ไปตลอด


“ตะวันจับแน่นๆ นะ”

วิณณ์จับมือตะวันให้มากอดที่เอวเขา เขาไม่ได้กลัวว่าตะวันจะตกหรืออะไร แต่สิ่งที่กลัวมันมากกว่านั้น กลัวว่าตะวันจะหายไป


บรื้นนนนน


ตอนนี้ทั่วทั้งถนนมีแต่เสียงเครื่องยนต์ขับไล่ตามกัน ทั้งบิดทั้งเหยียบกันจนสุดไม่มีใครยอมใคร  รถกะบะขับอยู่ข้างหน้าเขา เขาพยายามเร่งเครื่องให้ทัน


“ไอ้เอ็ม จัดการมันซะ”
“จัดไปครับนาย”


ปัง
ปัง


กระสุนปืนถูกยิงเข้าใส่วิณณ์ เขาพยายามขับหลบฉวัดเฉวียนไปมา วิณณ์ค่อนข้างเสียเปรียบเพราะเขาทั้งขับรถ ไหนจะต้องหลบกระสุน จะยิงตอบโต้ก็ลำบากน่าดู


“วิณณ์มันอันตรายนะ รอกำลังเสริมก่อนดีกว่าไหม”
“ไม่เป็นไร เชื่อใจวิณณ์”


ปัง


เพราะมัวแต่สนใจคนข้างหลัง กระสุนหนึ่งนัดถูกยิงมาและเฉียดแขนซ้ายของวิณณ์ไป


“อุ๊บ.....”

“วิณณ์”
“ไม่เป็นไร”
“แต่เลือด”
“แค่ถากๆ นะ ....เกาะดีๆนะ”


วิณณ์ฝืนขับรถไปต่อ แต่เขาทิ้งระยะห่างไว้ให้พอที่มองเห็นล้อรถ เขาใช้แขนข้างที่เจ็บ หยิบปืนขึ้นมาเล็งไปที่ล้อหลังรถกะบะ


ปัง
ปัง


กระสุนสามนัดถูกยิงออกไปเข้าล้อหลังอย่างจัง ทำให้รถสะดุดแต่คนรัายยังพยายามประคองรถ และเอ็มตอบโต้กลับเช่นกัน

วิณณ์พยายามขับเบี่ยงไปทางขวาเพื่อมองให้เห็นล้อหน้า ก่อนจะเล็งอีกครั้ง เขายิงออกไปหนึ่งนัดกระสุนเข้าที่ล้อหน้าอย่างตรงเป้า โดนไปทั้งล้อหน้าล้อหลังทำห้รถเซและเสียการทรงตัวพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ข้างทาง

วิณณ์จอดรถ


“ตะวันรอนี่นะ”

“วิณณ์ วะ................วิณณ์” ตะวันเอ่ยเสียงอย่างแผ่วเบา ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัว


ภายในรถผู้กำกับพงษ์ตัวกระแทกกับคอนโซลหน้ารถจนสลบ คนขับสลบอยู่ข้างกัน เลือดไหลเลอะเต็มไปทั้งตัว

จ่าเติมพร้อมด้วยกำลังตำรวจตามมาทัน

“หูย แบบนี้ไม่น่าจะรอดนะผู้กอง”
“เรียกรถพยาบาลด้วยจ่า”
“รับทราบครับ”

“ผู้กองผู้ร้ายมันมีกี่คนนะครับ”  จ่าเติมเดินดูรอบรถก่อนจะเอ่ยถามขึ้น เขาถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“สาม ผู้กำกับ คนขับรถ แล้วก็.....ไอ้เอ็ม” วิณณ์เพิ่งนึกออกเขาไม่เห็นมันตั้งแต่วิ่งมาดูแล้ว


“ฉิบหายแล้วไหมละ ไอ้นี่มันแมวเก้าชีวิตจริงๆ”

วิณณ์สังเกตเห็นรอยเลือดที่พื้น

“จ่าให้ตำรวจกระจายกำลังสำรวจ มันน่าจะบาดเจ็บคงยังไปไหนไม่ได้ไกลหรอก”
“แล้วผู้กองจะไปไหนครับ ผู้กอง.....แล้ว.....ปืน  ไม่ทันซะละ”

จ่าเติมมองปืนของผู้กองที่อยู่ในมือเขา ก่อนจะพึมพำเบาๆ

“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”




วิณณ์งหน้าเดินไปยังจุดที่เขาให้ตะวันรอ

“ตะวัน”
“ตะวันอยู่ไหน”


“ตะวัน.....
...ตะวัน....”



ใจของวิณณ์สั่นไหว มันสั่นระรัวราวกับจะหลุดออกมา เขารีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู


00.01น.


“ตะวัน”
.
.
.
“ตะวัน” คำสุดท้ายที่เขาพูดกับตะวันคือให้รอตรงนี้

วิณณ์กระวนกระวายใจ เขาเดินตามหาตะวันไปรอบๆ ถึงจะพยายามตะโกนเรียกแค่ไหน ตะวันก็ไม่ขานรับไม่โผล่หน้ามาให้เขาเห็นเหมือนเคย ในขณะที่คนอื่นๆ สนใจและจัดการกับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่มีใครสังเกตถึงเหตุการณ์ด้านหลัง

วิณณ์เดินออกห่างจากกลุ่มไป


“ตะวันออกมาเถอะ พี่ขอร้อง”

เงียบ....

เขาจนใจไม่รู้จะทำยังไง จนนึกขึ้นมาได้ว่าคนเดียวที่จะให้ตะวันกลับมาหาเขาได้


“ท่านพญายมครับผมขอร้องให้ตะวันกลับมาได้ไหม 
ผม........ผม.....
เรายังไม่ได้ลากันเลย
.....แล้วภารกิจก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว ให้โอกาสตะวันอีกครั้งได้ไหมครับ............ได้ไหม”


เสียงสุดท้ายเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและสั่นเครือ

“ได้โปรด ผมขอร้อง”

น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อคลอ ตอนแรกเขาไม่เข้าใจตัวเองว่าเป็นอะไร เขาคิดว่าเขาคงสงสารตะวันเท่านั้น แต่เขารู้แล้วมันไม่ใช่ ทุกการกระทำและความรู้สึกของเขา เขารู้แล้ว


เขารักตะวัน


ไม่ได้รักแบบพี่น้อง หรือเพื่อนร่วมโลก
ไม่ใช่รักแบบที่รักพ่อแม่พี่น้องหรือครอบครัว

แต่เขารักเหมือนที่ผู้ชายทั่วไปจะรักคนคนหนึ่งได้  เป็นความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะปกป้องคนอีกคน

มันเกิดขึ้นตอนไหนไม่รู้

รู้แค่ว่า แค่คิดว่าตะวันจะไม่อยู่เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว


“ผมขอร้อง ผมรักตะวัน พี่รักตะวันได้ยินไหม”






“มึงนี่ท่าจะบ้าเนอะ พร่ำเพ้อพรรณาห่าเหวอะไรอยู่วะ ท่านพญายมบ้าบออะไร”
“ไอ้เอ็ม”
“อ๋อ มึงอยากตายไปหาพญายมใช่ไหม ไม่ต้องไปร้องหาพญายมที่ไหนหรอก กูนี่แหละจะเป็นมัจจุราชมาเอาชีวิตมึงเอง”


เอ็มยกปืนเล็งไปที่วิณณ์

วิณณ์ควานหาปืนของเขาแต่ก็ผิดหวังเพราะเขาเอามันฝากจ่าเติมไว้เองเมื่อกี้

เอ็มกระชากคอเสื้อวิณณ์ขึ้นมาแล้วต่อยไปที่หน้าวิณณ์


“สำหรับลูกน้องสองคนของกูที่ต้องมาตายเพราะมึง”
“นั่นมันเพราะตัวของมึงเอง”
“สัด


พั่วะ เอ็มต่อยเข้าไปที่หน้าของวิณณ์ พร้อมเอาปืนจ่อไปที่หัวของวิณณ์พร้อมกับระบายคำพูดอย่างโมโห


“ก็ถ้ามึงไม่มาเสือกพวกกูก็คงไม่ต้องมาวุ่นวายกับมึง มันคือความผิดของมึง วันนี้ละกูจะแก้แค้นให้พวกมัน”
“แล้วถ้ากูบอกว่าพวกมันยังไม่ตายละ”
“มึงพูดอะไร”
“ลูกน้องมึงมันยังไม่ตาย”
“มึงอย่ามาหลอกกู กูไม่เชื่อมึงหรอก” เอ็มตะคอกเสียงดัง และต่อยเข้าไปที่วิณณ์อีกครั้ง

หน้าตามีแต่รอยแดงช้ำ เลือดไหลจากคิ้วและปาก แต่เขาก็ยังฝืนที่จะพูดให้เอ็มเปลี่ยนใจ


“มอบตัวซะเถอะ สู้ไปไม่มีประโยชน์หรอก”
“ไม่มีประโยชน์เหรอ หึ ถ้ากูยิงมึงมีประโยชน์แน่”


เอ็มผลักวิณณ์ลงไปกับพื้น ตอนนี้เขาเหมือนคนจิตใจสับสนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่เคียดแค้นจ้องจะแก้แค้นทำให้เขาไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น

สบโอกาสตอนที่เอ็มกำลังเผลอตรงเข้าไปแย่งปืนจากเอ็ม ปืนกระเด็นไปอีกทาง ทั้งคู่สู้กันชุลมุน

หมัดต่อหมัด ตอบโต้กันไปมา


ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แค่ว่าใครจะทนไม่ไหวกว่ากันเท่านั้นเอง
.
.
.
.
ตะวันยืนมองดูด้วยใจวูบไหว น้ำตาพาลไหลร้องไห้โวยวายทุกครั้งที่วิณณ์เสียเปรียบ  เขาทำอะไรไม่ได้ ได้แแต่ตะโกนเรียกชื่อวิณณ์ซ้ำไปซ้ำมา


(วิณณ์......วิณณ์ เจ๊ทำไงดี ช่วยวิณณ์ยังไงดี)
(คุณน้องใจเย็นๆ เจ๊ก็ไม่รู้จะทำยังไงละ)



แต่ก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งหรือบาปกรรมที่ตามมา

“วิณณ์”

เสียงตะวันที่เปล่งออกมาทำให้วิณณ์หันไปสนใจทางอื่น เอ็มได้จังหวะพุ่งไปคว้าปืนที่พื้นก่อนจะ

“วิณณ์ ………………ไม่…………….”



ใจของตะวัน แทบแหลกสลายเมื่อรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยที่ไม่ต้องคิด ตะวันเอาร่างของตัวเองไปกันกระสุนให้วิณณ์


ปัง


เสียงดังราวกับฟ้าผ่ากระสุนพุ่งตรงเข้าร่างของคนทั้งคู่ มันทะลุผ่านร่างของตะวันและไปหยุดค้างอยู่ที่ร่างของวิณณ์
วิณณ์ล้มลงโดยมีตะวันอยู่ในอ้อมกอด
เขามองหน้าเด็กน้อยในอ้อมกอด


“เจอแล้ว....อย่าหายไปไหนอีกนะ”


นี่คือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดและไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น






ก่อนหน้านี้



ตะวันพยายามเปล่งเสียงเรียกวิณณ์แต่มันก็เบามากจนแทบไม่ได้ยิน พลังงานของเขาก็ดูริบหรี่เหลือเกิน

เขารู้สึกได้

“คุณน้อง”

“เจ๊ทำไงดีวิณณ์ไม่เห็นผมแล้ว ไม่ได้ยินผมด้วย”
“ใจเย็นนะ”

.
.
.
.
.
.
.

ปี๊ด

ปี๊ด

ปี๊ด


สัญญาณชีพที่ดังขาดจังหวะไม่สม่ำเสมอยิ่งทำให้คนบนรถร้อนรน

“คุณอาทิตย์ผมว่าเราต้องรีบพาคนไข้ไปโรงพยาบาลที่ใกล้และมีเครื่องมือพร้อมกว่านี้”
“พ่อครับ”

อาทิตย์นิ่งเหมือนกำลังพยายามใช้ความคิด แต่เหตุการณ์ตรงหน้าไม่สามารถรอได้แล้ว ถ้าพ่อเขายังไม่ตัดสินใจ เขาจะตัดสินใจเอง

“เอารถกลับไปที่โรงพยาบาล”
“ที่ไหนครับ”
“รพ xxx”

“หมอชาย ผมลมนะครับ ผมต้องรบกวนคุณหมอมาโรงพยาบาลตอนนี้เลยนะครับ .... ครับ พี่ตะวันอาการทรุดลง”


ลมถือวิสาสะตัดสินใจแทนพ่อของตัวเอง เพราะถ้าขืนยังช้า พี่ตะวันคงไม่รอดแน่ ไม่นานรถตู้ก็แล่นเข้ามาจอดหน้าตึกฉุกเฉิน โดยมีหมอชายรออยู่แล้ว


“หมอครับขอโทษนะครับที่ต้องรบกวนกลางดึกแบบนี้”
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นครับ”
“เรากำลังจะพาพี่ตะวันไปรักษาที่อเมริกา”
“อเมริกา มันเสี่ยงมากเลยนะคุณกับสภาวะของผู้ป่วยที่เป็นแบบนี้”
“ผมทราบครับ แต่ตอนนี้หมอช่วยพี่ตะวันก่อนเถอะครับ”
“งั้นพาเข้าด้านในเลยครับ....เจ้าหน้าที่พาคนไข้เข้าห้องฉุกเฉินด่วน”

ป่านนี้คุณน้าดาราคงกระวนกระวายใจว่าลูกตัวเองไปอยู่ที่ไหนแล้ว ลมจึงตัดสินใจโทรบอกแม่ของตะวัน เธอตอบรับอย่างร้อนรนและจะรีบมาโรงพยาบาลให้ไวที่สุด

ห่างกันไม่ถึง 5 นาที

วี้ หว่อ วี้ หว่อ สัญญาณรถกู้ชีพวิ่งมาอย่างไวตรงเข้ามาจอดที่หน้าตึกเช่นกัน


“หมอ หมอครับ”  จ่าเติมตะโกนโวยวายเสียงดัง

“หมอไปไหนกันหมด คนเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“ใจเย็นนะคุณ หลีกทางให้เจ้าหน้าที่พาคนเจ็บเข้าไปข้างในด้วยค่ะ” พยาบาลท่าทางเข้มงวดคนหนึ่งเดินเข้ามาจัดการและยุติเหตุการชุลมุน


“หมอละครับ ตามหมอชายหรือหมอฟิล์มมาก็ได้”
“ตอนนี้หมอชายกำลังติดเคสที่ห้องฉุกฉินอยู่ค่ะ”
“โธ่”
“ใจเย็นค่ะคุณอย่าเพิ่งใจร้อนนะคะคนไข้เป็นใคร และโดนอะไรมาค่ะ”
“พวกเราเป็นตำรวจ คนไข้คือผู้กองวิณณ์ เขาถูกยิงมาครับ โธ่ คุณพยาบาลครับ รีบหน่อยเถอะลือดไหลจะหมดตัวแล้ว”


“เอะอะอะไรกันครับ อ้าว จ่าเติม”
“หมอฟิล์ม หมอช่วยผู้กองด้วย ผู้กองถูกยิงครับ”
“ไอ้วิณณ์? ไอ้วิณณ์นะเหรอจ่า?”
“ก็ใช่นะซิครับ”
“เจ้าหน้าที่พาเข้าห้องฉุกเฉินด่วน พี่พร หมอชายละครับ”

“มีเคสฉุกเฉินเข้ามาก่อนหน้านี้ค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ”
“หมอผมฝากผู้กองด้วยนะครับ”
“มันเกิดอะไรขึ้นครับจ่า”
“ผู้กองถูกคนร้ายที่ตามจับยิงเอานะครับ เรื่องมันยาวครับหมอฟิล์ม หมอฟิล์มช่วยผู้กองก่อนเถอะนะครับ”
“จ่ารอข้างนอกก่อนแล้วกัน”


หมอฟิล์มเดินตามเข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน

ด้านนอกตอนนี้จึงมีนายอาทิตย์ ลม จ่าเติมรออยู่ ไม่นาน ดาราแม่ของตะวัน วายุ และดาริน ก็ตามมาสมทบ โดยที่ดารินไม่ได้รู้มาก่อนว่าพี่ชายตัวเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน


“จ่าเติม.....จ่าเติมมาทำอะไรค่ะ”
“คุณดาริน มาได้ยังครับ หรือว่ารู้เรื่องแล้ว”
“รู้เรื่องอะไรค่ะ”

“ก็ผู้กองถูกยิงนะครับ”

“หะ! พี่วิณณ์ถูกยิง” 

ดารินทรุดนั่งลงกับพื้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังไปทั่วจนตอนนี้เธอสั่นไปทั้งตัว กลัวพี่ชายจะเป็นอะไร กลัวว่าถ้าแม่รู้เรื่องเข้าจะเป็นยังไง น้ำตาไหลอาบแก้มพร้อมกับเสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้

เธอไม่ได้เตรียมใจที่จะมาเจอข่าวร้ายตอนนี้ เพียงแค่จะมาเป็นเพื่อนน้าดาราแต่เธอกับได้รับข่าวร้ายซะเอง


“ใจเย็นนะหนูดา” 

ดารากอดดารินไว้ในอ้อมกอด เธอสงสารดารินสุดหัวใจเธอรู้ว่า การที่คนที่เรารักต้องอยู่ระหว่างความเป็นความตาย แล้วทำได้แค่รอเท่านั้น ความรู้สึกมันเป็นยังไง


วายุเองก็ปลอบใจอยู่ไม่ห่าง


“แล้วผู้กองอยู่ไหนแล้วครับตอนนี้”
“หมอฟิล์มกำลังช่วยอยู่ครับ”


“ตะวันอยู่ในนั้นผู้กองก็อยู่ในนั้นด้วยเหรอ” วายุพึมพำทำไมมันบังเอิญขนาดนี้


“จ่าเติมค่ะ แม่รู้หรือยังค่ะ”
“ยัง จ่ายังไม่กล้าบอกเลย”
“ค่ะ อย่าเพิ่งบอกแม่นะคะ เดี๋ยวหนูบอกแม่เอง”
“ครับ”




>> มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 36 : ไขว่คว้า (06/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 07-12-2019 00:14:52
>>  ต่อ




เตียงสองเตียงถูกเข็นเข้ามาอยู่เคียงข้างกัน ฝั่งซ้ายคือร่างของตะวันที่นอนหมดสติตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ ฝั่งขวาคือร่างของวิณณ์ กระสุนถูกยิงเข้าที่กลางหน้าอกเฉียดหัวใจไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร เสื้อชุ่มไปด้วยเลือด พยาบาลต้องใช้กรรไกรตัดเสื้อออกเพื่อไม่ให้แผลกระทบกระเทือน

หมอชายและหมอฟิล์มยืนมองเตียงของคนทั้งคู่ตรงหน้าก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ตะวันต้องสอดท่อใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะหัวใจของตะวันอ่อนแอและการหายใจยังไม่เป็นปกติ

ส่วนวิณณ์ต้องทำการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนและระวังที่สุด ถึงกระสุนจะไม่โดนหัวใจ แต่ตำแหน่งที่ถูกยิงอยู่ในจุดเสี่ยง ถ้าพลาดเพียงนิดเดียวอาจทำให้ถึงชีวิตได้


ดารินกลั้นใจกดโทรศัพท์หาผู้เป็นแม่ เพราะเธอไม่อยากให้แม่ต้องเสียใจถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วแม่เป็นคนที่รู้ทีหลังและไม่ทันได้ดูใจพี่ชาย


[ว่าไงยายดาไปเที่ยวไหนอยู่ป่านนี้ยังไม่ยอมกลับบ้านเลยนะ]
“ฮึกก....กก  แม่ค่ะ......”
[…….]
“แม่ พี่วิณณ์”
[พี่วิณณ์ทำไม....ดารินพูดซิ แม่ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าหนูเอาแต่ร้องไห้แบบนี้]
“แม่......พี่วิณณ์ถูกยิงค่ะ”


ปลายสายเงียบไป จนดารินหวั่นใจและกลัวว่าแม่จะเป็นอะไร เธอบอกแม่ว่าให้รอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน แต่สุดท้ายแม่เธอก็เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นว่าจะตามมาที่โรงพยาบาลให้ดารินรออยู่ที่นี่

ทุกคนนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินเป็นเวลานานกว่า สองชั่วโมงที่ไม่มีแม้แต่หมอหรือพยาบาลออกมาส่งข่าวอะไรเลย


แกรกกกก


หมอชายเปิดประตูออกมา และเดินตรงไปพูดคุยกับครอบครัวของตะวัน

ดารินและแม่นั่งรออยู่ไม่ห่าง ผู้เป็นน้องร้องไห้จนตาบวมไปหมด แต่ผู้เป็นแม่กลับเข้มแข็งกว่าที่คิด เหตุการณ์เหล่านี้เธอเตรียมใจมาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึก ที่ต้องเข็มแข็งก็เพื่อลูกอีกคน


“แม่ครับ”
“ฟิล์ม วิณณ์เป็นยังไงบ้างลูก”
“ผมพาเอากระสุนออกให้แล้วครับ แต่วิณณ์เสียเลือดมากต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อเพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด”
“โธ่ วิณณ์”
“พี่วิณณ์” แม้จะผ่าเอากระสุนออกแล้วแต่อาการก็ยังไม่พ้นขีดอันตรายแต่แค่นี้ทั้งเธอและแม่ก็ใจชื้นขึ้นมาได้หน่อยแล้ว
“หมอค่ะ แล้วพี่ตะวัน”
“หมอครับ”

วายุเดินเข้ามาพอดี

“ครับ”
“ผมกับคุณน้าดาราเราจะขอให้คุณหมอช่วยให้ตะวันและคุณวิณณ์อยู่ห้องเดียวกันครับ”
“ทำไมละครับ?”
“ผมคิดว่าคุณวิณณ์น่าจะต้องการแบบนั้น”
“ค่ะพี่ฟิล์ม ดารินก็ขอร้องด้วยนะคะ อย่าแยกพวกเขาเลยค่ะ ให้เขาอยู่ห้องเดียวกันเถอะนะคะ”


ฟิล์มมองหน้าทั้งสองอย่างชั่งใจ ก่อนที่จะหันไปมองผู้เป็นแม่ของทั้งสองคน

“คุณน้าทั้งสองละครับ”
“น้าคิดว่าตะวันและคุณวิณณ์เองน่าจะต้องการแบบนั้นค่ะ”
“แล้วแม่ละครับ” หมอฟิล์มหันมาแม่ของวิณณ์
“แม่ค่ะ..นะ”
“เอ่อ  แม่ไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่ถ้าทั้งคุณวายุ ยายดาริน และคุณคิดว่านั่นดีกับทั้งสองคน แม่ก็โอเคจ้ะ”

“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะแม่”


ในห้องพักฟื้นปลอดเชื้อ เตียงของตะวันถูกวางเคียงคู่กับวิณณ์ ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่สามารถรับรู้ได้ตอนนี้ แต่นี่น่าจะดีสำหรับทั้งคู่บ้างไม่มากก็น้อย

.

.

.

.

.

.

.

.




ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีคนสองคนนอนกอดกันอยู่ตรงนั้น และดูเหมือนมันจะไม่มีอะไรมาทำลายความสุขนี้ลงได้


“ตะวัน”
“อืม”


คนร่างเล็กนอนซบไหล่ตอบรับอย่างเกียจคร้าน บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะกระชับแขนรัดแน่นขึ้นไปอีก


“ตะวันลืมตาหน่อยครับ”
“ขอนอนอีกนิดได้ไหมอ่า เพิ่งเคยรู้สึกว่าได้นอนเต็มที่ก็วันนี้เอง”
“เดี๋ยวค่อยนอน ตอนนี้ลืมตาก่อน”


ตะวันยังคงหลับตา นั่นทำให้วิณณ์จะต้องหาวิธีปลุกคนขี้เซาคนนี้ให้ได้ เขาเฉยคางตะวันขึ้นก่อนจะจุมพิตลงไปที่ปากบางเบาๆ และย้ำอยู่อย่างนั้น


“ตื่นเถอะครับ”
“อืม”


ตะวันยอมลืมตาขึ้นสายตาที่วิณณ์มองเขาตอนนี้ทำให้ตะวันทั้งอายและเขิน


“เล่นปลุกกันแบบนี้เลยเหรอ”
“ก็ตะวันขี้เซาอะ เรียกไม่ยอมตื่นก็ต้องปลุกแบบนี้แหละ”
“ตื่นแล้วคร้าบบ”


แสงตรงหน้าสว่างจ้าจนตะวันต้องลุกขึ้นและปรับสายตาตัวเองให้ชินกับสถานที่

เอ๊ะ ที่นี่ที่ไหน แล้วทำไมเขามาอยู่ตรงนี้

แต่....ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้น
เหมือนเขาเคยมาแล้ว


“ทำไมเรามาอยู่ที่นี่กันได้ละวิณณ์ ก่อนหน้านี้เราทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไม่รู้ซิ”
“ตะวันคุ้นเหมือนเคยมายังไงไม่รู้”
“อืม”
“วิณณ์ไม่แปลกใจเหรอ”
“ไม่อะ สงบดี ชอบ ให้อยู่ที่นี่เลยก็ได้นะ แต่.......”
“........”
“ต้องมีตะวันอยู่ด้วยนะ”
“ปากหวานเนอะ”
“แล้ว.......ที่ชิมไปเมื่อกี้ หวานไหมละ”
“บ้า”
“ฮึฮึ”


ตะวันยังคงสงสัยก่อนหน้านี้พวกเขาทำอะไรกันอยู่ทำไมนึกไม่ออก แล้วที่นี่มันก็คุ้นมากเขาต้องเคยมาแล้วแน่ๆ แต่ก็จำไม่ได้อีกอยู่ดี


“นี่ยังนึกอยู่อีกเหรอ”
“ใช่”


ตะวันลุกขึ้นเดินไปดูรอบๆ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีต้นไม้ใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่ข้างหน้า  และถ้าลองมองดีๆ ข้างหลังของต้นไม้นั้นมีสะพานด้วย


“วิณณ์ วิณณ์ว่าเราอยู่ที่มีนานแค่ไหนแล้วเหรอ”
“ไม่รู้ซิ ทำไมตะวันเบื่อแล้วเหรอ”
“ไม่อะ มีวิณณ์อยู่ด้วยที่ไหนตะวันก็อยู่ได้ทั้งนั้นแหละ”


วิณณ์สวมกอดตะวันจากทางด้านหลัง

ใช่…..เขาเองก็คิดเหมือนกัน มีตะวันอยู่ด้วยที่ไหนเขาก็อยู่ได้ทั้งนั้น




ตุ๊บบ...



ตัวตะวันกระตุกอย่างแรงจนตัวงอแล้วไอ้ความรู้สึกที่จี๊ดที่หัวใจมันคืออะไร



ตุ๊บบ...



“ตะวัน เป็นอะไร”
“ไม่รู้อะวิณณ์ อยู่ดีๆ เหมือนตัวมันกระตุกขึ้นมาเอง”



ตุ๊บบ....



“โอ๊ะ”


“ตะวัน”  วิณณ์ประคองตะวันแนบกับอก
“วิณณ์ ตะวันกลัว”  ตัวของตะวันสั่นคงเพราะกลัว 

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร วิณณ์อยู่นี่ไม่ต้องกลัวนะ” วิณณ์ลูบหัวตะวันพร้อมกับพูดปลอบใจ “กลัวอะไรไหนบอกวิณณ์หน่อย”

“ไม่รู้อะ มันเจ็บที่หัวใจ มันจี๊ด เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น แล้ว.....แล้วก็เหมือนมีอะไรมากดที่หัวใจตะวันก็กลัว มันเหมือนกับตะวันจะตาย”

“ตาย? วิณณ์กอดตะวันอยู่แบบนี้ไม่มีทางปล่อยให้ตะวันตายหรอก แล้วก็ห้ามพูดแบบนี้อีกรู้หรือเปล่า” 

ตะวันพยักหน้าเข้าใจ วิณณ์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เขากอดตะวันโยกตัวไปมาเหมือนกำลังกล่อมเด็กน้อยคนหนึ่งให้หายตกใจ


“เป็นยังไงดีขึ้นหรือยัง”
“อืม”








1

2

3

.

.

.

.
“เคลียร์”
.

.

พรึ่บบบ

.

.

“อีก”

.

.

“เคลียร์”

.

.

พรึ่บบบ

.

.

.

.

“อุ๊บบบ อ๊าส์”



“ตะวัน!!! ......โอ๊ะ”



“วิณณ์!!!”






Talk : อีกสองตอนก็จะจบแล้ว มาช้า มาสาย ยังไงก็ขออภัยด้วยนะค้า
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 36 : ไขว่คว้า (06/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-12-2019 01:22:01
 :pig4: :pig4: :pig4:

ภารกิจสำเร็จ  ฟื้นใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 36 : ไขว่คว้า (06/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-12-2019 12:15:40
 :hao7:



 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 36 : ไขว่คว้า (06/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-12-2019 22:44:28
หวังให้ฟื้นทั้งคู่นะ  :call:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 37 : พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ(16/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 16-12-2019 19:34:44
บทที่ 37
พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ




แกร๊กกกก


เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น

หมอชายเดินออกมาจากห้องไอซียู บรรยากาศตรงหน้าตึงเครียด ถึงเขาอยากจะเลี่ยงไม่บอกอาการของคนข้างใน แต่หน้าที่ที่มีมันบอกว่าเขาต้องทำ



“หมอค่ะหมอ ตะวันเป็นยังไงบ้างค่ะ”



“หมอชาย แล้ววิณณ์ละลูก”



 
หมอทั้งสองคนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก เพราะพยายามเค้นคำพูดที่จะพูดออกมา

“แม่ครับ”
“ชาย วิณณ์เป็นยังไงบ้างลูก”
“เอ่อ....”

สถานการณ์ตรงหน้าไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอ แต่กับคนด้านในที่เป็นเพื่อนเขาและผู้หญิงตรงหน้าก็คือแม่ของเพื่อนที่เขาเคารพและรักเหมือนแม่ตัวเองมันยิ่งทำให้เขาลำบากใจ การต้องบอกกับคนใกล้ชิดมันเป็นอะไรที่อ่อนไหวเกินไป ชายมองไปที่ฟิล์มทางนั้นก็ย่ำแย่พอกัน แม่ที่ร้องไห้แทบขาดใจ พ่อที่ทำหน้าชินชาเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ไม่สามารถซ่อนความเศร้าในแววตาได้ ทั้งคู่คงทรมานใจไม่ต่างกัน

“กระสุนถูกยิงเข้าที่หน้าอกเฉียดหัวใจไปไม่กี่เซ็นถึงจะผ่าเอากระสุนออกแล้วแต่จุดที่โดนยิงก็อันตราย กระสุนตัดเส้นเลือดทำให้เลือดไปคั่งที่หัวใจและปอด เราต้องผ่าตัดอีกครั้ง”
“แต่พี่ชายผ่าเอากระสุนออกแล้วนี่ค่ะ ทำไมยังต้องผ่าตัดอีกละค่ะ”
“ถ้าปล่อยทิ้งไว้ เลือดจะไปขวางการทำงานของปอดและหัวใจ วิณณ์จะยิ่งอันตรายกว่านี้”



“โธ่ วิณณ์”


“พี่วิณณ์”




“แม่ใจเย็นก่อนนะครับ ชายจะช่วยไอ้วิณณ์ให้ได้”
“พี่วิณณ์ยังมีโอกาสรอดใช่ไหมค่ะพี่ชาย”
“......” ชายถอนหายใจ แต่ก็พยักหน้าให้กับดาริน
“ทำไมพี่ชายดูไม่มั่นใจเลยละ”
“ดาริน พี่อยากจะพูดออกมาอย่างเต็มปากและมั่นใจแต่ก็ไม่สามารถพูดพร่ำเพรื่อ เพื่อให้ความหวังใครได้ ตอนนี้พี่แค่ภาวนาว่าอาการจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้”




“คุณหมอค่ะตะวันเป็นยังไงบ้างค่ะ”

หมอฟิล์มรวบรวมพลังและคำพูด บางทีเขาก็แอบคิดว่าทำไมต้องเป็นเขาที่ต้องมาแจ้งเหตุร้ายแบบนี้ตลอด

“คุณแม่ คุณพ่อครับ”
“ค่ะ”
“หมอต้องบอกว่า อาการของคุณตะวันแย่กว่าที่คาดไว้ อุณหภูมิร่างกายตก หัวใจเต้นอ่อน และทำงานได้ไม่เต็มที่ ตอนนี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ”


“โธ่ ตะวัน ฮือออ”

“หมอหมายความว่าถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจพี่ตะวันจะ....ตายงั้นเหรอครับ”


หมอฟิล์มพยักหน้า


“ครับ หมอเองก็ไม่เข้าใจว่าสาเหตุคืออะไร อวัยวะภายในร่างกายปกติดี ไม่มีเลือดออกหรือคั่งในส่วนไหน คลื่นสมองก็ปกติ มีเพียงอย่างเดียวคือ หัวใจที่ทำงานช้าลง”

“แล้วต้องทำยังไงหมอพูดมาเลย ผมรับค่าใช้จ่ายได้อยู่แล้ว จะเสียเท่าไหร่ว่ามา”  ถึงจะรู้ว่าเงินไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่มันคืออย่างเดียวที่นายอาทิตย์จะทำได้

“คุณครับหมออยากช่วยคนไข้ทุกคนอยู่แล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณตะวันเข้าโรงพยาบาลมาพวกเราก็ทำกันอย่างเต็มที่จนสามารถพากลับไปดูแลที่บ้านได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งหมอเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นอาการถึงได้ทรุดลง”



“ตะวัน...”



ผู้เป็นแม่ได้แต่เรียกชื่อของลูกและทรุดลงกับพื้น ดีที่ลมอยู่ใกล้และคอยประคองไว้









วิณณ์ลืมตาขึ้น เขาไม่รู้ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกเหมือนกับโดนไฟช๊อต มันทั้งสั่นทั้งชาไปหมด นี่เขาสลบไปเหรอ เขายังคงกอดตะวันไว้อยู่บนตัวเขา


“ตะวัน”
“.....”
“ตะวันเป็นอะไร ลืมตาขึ้นมาซิตะวัน” วิณณ์พยายามปลุกทั้งเขย่า ทั้งเรียก แต่ตะวันก็ยังคงไม่ลืมตา แล้วยังทำหน้าตาพร้อมกับครางเสียงอื้ออึงในลำคอ


“ตะวันลืมตา....
ตะวัน.....
ลืมตาซิ......
......ตะวัน.......”


“สายไปแล้วละ”   วิณณ์เงยหน้าหาต้นตอของเสียงที่ได้ยิน
“ใคร?”

ชายรูปร่างสูงใหญ่ดูน่าเกรงขามปรากฎตัวต่อหน้าเขา

“เรามารับวิญญาณของเด็กหนุ่มคนนี้”
“มารับ?”
“หมดเวลาของวิญญาณตนนี้แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ต้องไปชดใช้กรรมตามทางของตัวเอง”
“ตะวันยังไม่ตายนี่คุณจะบ้าไปแล้วเหรอ”
“ฮึฮึ หมดเวลาแห่งความสุขของพวกเจ้าแล้ว จงกลับไปรับรู้ความจริงซะ”



ภาพหลายภาพ เหตุการณ์หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้อนทับกันและหมุนวนไปรอบตัวเขา
วันที่เขากำลังขับรถกลับบ้านสวน รถวิ่งไปบนถนนอย่างฉลุยแต่ต้องเบรคกระทันหันเพราะอยู่ๆ ก็มีคนตัดหน้า ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าคือใครเพราะมันมืดมาก
จนเมื่อเขาได้เจออีกครั้งที่โรงพัก เขาสนใจเด็กหนุ่มที่นั่งรออยู่ตรงนั้นและเขาเองเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา เด็กหนุ่มคนนั้น
 ...... ซึ่งก็คือตะวัน

นับจากวันนั้น ตะวันกับเขาก็อยู่ด้วยกันตลอด อยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นทุกๆ เหตุการณ์ 

ตะวันมาหาเขาพร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นวิญญาณและมาขอให้เขาช่วยทำภารกิจ ผมตกลงช่วยอาจจะเพราะตอนนั้นผมสงสารละมั้ง เราไปด้วยกันทุกที อยู่ด้วยกันทุกเวลา เราเริ่มสนิทและผูกพันกันมากขึ้น มากจนลืมคิดไปว่าเขาเป็นวิญญาณซึ่งไม่มีทางที่เขาจะเป็นอันตรายไปมากกว่านี้ แต่ผมก็ยังห่วง

ตอนที่ตะวันหายไป ผมโคตรกระวนกระวายใจได้แต่นั่งรอเพราะไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน แถมเคยมีครั้งหนึ่งที่พลังวิญญาณของตะวันอ่อนลง เขาทำทุกวิถีทางที่จะช่วยตะวันเราผ่านเหตุการณ์หลายอย่างมาด้วยกัน มันจึงไม่แปลกเลยที่จะสนิทและผูกพันธ์กัน

แต่กับเขาเอง มันไปไกลเกินกว่าคำว่าสนิทกันมาก เขาจะคอยมองหาและห่วงตะวันเสมอที่อยู่ห่างตัว ตะวันเหมือนลูกนกน้อยๆ ที่เมื่อพลัดหลงจากฝูงก็จะเตลิดไปไกล

และเหตุการณ์ล่าสุด เขาโกรธตะวันที่เอาแต่ห่วงคนอื่นจนเป็นนิสัย จนลืมห่วงตัวเอง  แต่กลายเป็นว่าเขาต้องโกรธตัวเองที่สุด
ภารกิจสุดท้ายที่ต้องทำให้สำเร็จเพื่อพร 1 ข้อ ตะวันเลือกที่จะทิ้งมันไปและยอมให้เขามาทำเรื่องของตัวเองแน และแทนที่เขาจะดึงดันไม่ยอมทำตาม เขากลับใจอ่อนและยอมทำตามที่ตะวันบอก

และมันยิ่งยากขึ้นเมื่อคุณแอนมาพร้อมกับข่าวร้าย ตะวันมีเวลาถึงแค่เที่ยงคืนนี้เท่านั้น ถ้าไม่สำเร็จทุกอย่างที่ทำมาก็เท่ากับศูนย์
ทุกอย่างกระชั้นชิด เขาไม่สามารถล่วงรู้หรือกำหนดเหตุการณ์ตรงหน้าได้เลย 


....แล้วเขาก็พลาด...


เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว ภารกิจก็ไม่สำเร็จ ตะวันก็มาหายไป แล้วเขาก็โง่ โง่จนถูกคนร้ายยิงและตะวันเองก็เหมือนจะโดนลูกหลงไปด้วย


“ตะวัน”


 เขาได้แต่พูดชื่อของตะวันซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนตรงหน้าก็ยังคงหลับตาไม่ตื่นขึ้นมา เขาอยากให้ตะวันฟื้น อยากให้ได้กลับมาอยู่บนโลกใช้ชีวิตที่สดใสตามประสาวัยรุ่น แต่เขากลับทำมันพัง


“วิณณ์ขอโทษ ขอโทษ”  หยดน้ำไหลจากตาเขาลงบนหน้าของตะวัน


“ดูท่าเจ้าคงรักเด็กหนุ่มคนนี้ซินะ”
“.......”

วิณณ์ เงียบเลือกที่จะไม่ตอบ  เขานึกออกหมดทุกอย่างแล้ว รวมถึงทำไมเขาถึงต้องมาอยู่ตรงนี้ เขาคงตายแล้วซินะ

“คุณคงเป็นท่านกาลเวลาที่ตะวันเคยพูดถึงซินะ”
“พอนึกออกก็ฉลาดขึ้นมาทันที แล้วเจ้าจะปล่อยวิญญาณตนนั้นมาให้เราได้หรือยัง”
.

.

.


“เอาผมไป” 


หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันมาสักพัก วิณณ์ก็เอ่ยขึ้น  “เอาวิญญาณผมไป แล้วคืนชีวิตให้ตะวัน”

“นี่เจ้าคิดว่าเราเล่นอะไรกันอยู่”
“ผมพูดจริง เอาวิญญาณผมไปแทนตะวัน .....ตะวันเขาตั้งใจมาก เขาพยายามทำภารกิจทุกอย่างให้สำเร็จ เพื่อจะได้กลับไปมีชีวิต กลับไปอยู่กับแม่เขา”
“แล้วเจ้าไม่คิดจะกลับไปหาแม่เจ้าบ้างรึ”


วิณณ์นิ่งกับคำถามนี้  แม่เขาเหรอ?  อยากซิ เขาก็รักแม่ของเขา รักน้อง เขาต้องอยากอยู่อยู่แล้ว แต่....

“อยากซิ ผมก็อยากกลับไปหาแม่และน้องของผมเหมือนกัน แต่ผมว่าผมใช้ชีวิตมาคุ้มแล้ว ผมไม่ตายตอนนี้ ตอนหน้าผมก็ต้องตายอยู่ดี ผมเป็นตำรวจก็ต้องยอมรับความเสี่ยง ผมจากมาตอนนี้พวกเขาน่าจะทำใจได้ง่ายกว่า”
“นั่นเจ้าคิดเองฝ่ายเดียว เจ้าเคยถามคนอื่นไหม ก่อนจะยัดเยียดอะไรก็ตามที่เจ้าคิดเองเออเองว่าดีให้พวกเขา”

“แต่ถ้าผมได้กลับไปโดยที่ตะวันต้องอยู่เป็นวิญญาณไปแบบนี้ ผม.......”
“ผมทำไม? ไหนเจ้าคิดอะไร เจ้าลองหาเหตุผลมาบอกเราซิเผื่อเราจะยอมใจอ่อนทำตามที่เจ้าขอร้อง”
“ผมทำไม่ได้ ผมไม่สามารถปล่อยให้ตะวันอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้”
“เจ้ารักเจ้าหนุ่มคนนี้งั้นรึ”
“ผม.....”
“เจ้าเพียงตอบคำถามเรามา ว่าเจ้ารักเจ้าหนุ่มคนนี้หรือไม่”

“รัก”

“เจ้าแน่ใจว่ามันคือความรัก?”
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่และตอนไหน มันอาจจะเป็นความสงสารหรือเพราะความใกล้ชิดอะไรก็เถอะ ผมรู้แต่เพียงผมอยากมีเขาอยู่ใกล้ๆ อยากดูแล อยากรักษารอยยิ้มนี้ไปตลอด”

“ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เจ้าสองคนจะได้อยู่ด้วยกันไหมก็ยังไม่รู้นะรึ”
“ผมจะไม่เสียใจ เพราะผมจะทำทุกวันที่อยู่ด้วยกันให้ดีที่สุด”

“ถึงแม้จะรู้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันนะเหรอ”
“ครับ”

“ถึงแม้สิ่งที่ทำไปมันจะไม่มีประโยชน์นะเหรอ”
“ครับ”
.

.

.

.

.



“วิณณ์ วิณณ์ ฟื้นซิ วิณณ์ ฮือออ”
“เจ้านี่มันขี้แยจริงเลยนะ”
“ท่านกาลเวลา ช่วยวิณณ์ด้วย ช่วยด้วย”
“ดูท่าความทรงจำของเจ้าจะกลับมาแล้วซินะ ไวกว่าเจ้าหนุ่มนั่นเยอะ”
“.......ท่านกาลเวลา วิณณ์เป็นอะไรทำไมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น”
“เจ้านี่ก็เอาแต่เรียกข้าด้วยชี่อนี้ตลอดซิน่า เรียกข้าแบบที่คนอื่นเขาเรียกกันซิ”
“ก็....ก็ผมไม่ชิน”
“ช่างมันเถอะเรื่องนั้น ข้าว่าเจ้าสนใจเรื่องของเจ้าก่อนดีกว่า”
“เรื่องผมทำไม”


ผมตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านกาลเวลาบอกถึงแม้ผมจะทำภารกิจไม่ทันเวลาแต่ก็ถือว่าสำเร็จเพราะฉะนั้นท่านจะช่วยให้ผมได้กลับเข้าร่าง แต่...

“หะ!! คนเดียว และ...แล้ววิณณ์ละครับ”
“มันเป็นไปตามอายุขัยและกฏแห่งกรรม”
“ท่านจะบอกว่า วิณณ์ตายเหรอครับ เป็นไปได้ยังไง เขาเป็นคนดี เขาอุตส่าห์ช่วยผมทั้งที่เราไม่รู้จักกันเลย เขาทำทุกอย่างโดยไม่เคยบ่น แล้วเขาต้องมาตายแบบนี้ มันไม่ยุติธรรม ......ไม่ยุติธรรมเลย”

ฮึกกกกก  ตะวันร้องไห้ฟูมฟาย เขารู้ตัวว่ามันไม่มีประโยชน์ที่เอาแต่ทำแบบนี้  แต่จะให้เขาทำยังไง เขาไม่รู้ เขาคิดไม่ออก

“ท่านกาลเวลาได้โปรด ให้วิณณ์กลับไปเถอะนะครับ”

“ไม่ได้ มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่จะได้กลับไปและเราเลือกแล้ว”

“งั้น.....งั้นเอาผมไปแทน ปล่อยวิณณ์ไป”



“ฮ่าๆๆๆๆ” 
“.......”
“พวกเจ้าสองคนนี่มันช่าง....เหมือนกันซะจริงๆ”
“.......”


ท่านพญายมดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว ภาพทุกอย่างก็สลายไป เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน วิณณ์เห็นเพียงตะวันที่นั่งอยู่ตรงหน้า และตะวันเองก็เห็นวิณณ์นั่งอยู่ตรงหน้าเช่นกัน


“ตะวัน”


“วิณณ์”



ต่างฝ่ายต่างโผเข้ากอดกัน มันเป็นความรู้สึกที่ต่างก็อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่ามันคิดถึงและโหยหากันมากขนาดไหน ความรู้สึกมันถาโถมจนหยุดไม่ได้



“ต่างฝ่ายต่างก็โยนชีวิตให้อีกคน ทำไมถึงไม่รักชีวิตของตัวเองและทวงมันคืน เจ้าก็แค่รับมันไปและกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองตามทางซะ”


ท่านพญายมยื่นลูกแก้วที่กำลังเปล่งแสงจากสร้อยข้อมือของตะวันให้วิณณ์ ตะวันก้มมองที่ข้อมือตัวเองมันไปอยู่ที่ท่านกาลเวลาตั้งแต่เมื่อไหร่


“รับมันไปซะ แล้วเดินกลับไปยังที่ที่เจ้าเดินมา”


“ผมไม่ต้องการมัน......

.......ผมแต่ต้องการตะวัน ผมจะพาตะวันกลับไปกับผมด้วย หรือไม่ท่านก็ให้ตะวันได้กลับ ให้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง ผมจะยอมอยู่ที่นี่”


“เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เจ้ามาอยู่ที่นี่เพียงเพราะเป็นวิญญาณที่หลงทางมาเท่านั้น เจ้าต้องกลับไปก่อนที่จะเลยเวลาและไม่สามารถกลับไปได้อีก ”


“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ไป ผมจะอยู่ที่นี่กับตะวัน”
“วิณณ์ ได้โปรด วิณณ์กลับไปเถอะ”


ตะวันร้องไห้อ้อนวอน เขาไม่อยากให้วิณณ์มาเสียเวลากับเขา ถึงยังไงเขาก็ตายอยู่แล้ว ก็แค่ตายจริงๆ อีกครั้ง ก็เท่านั้น


“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ามาอยู่ที่นานเท่าไหร่แล้ว”
“ไม่ครับ” 

ตะวันส่ายหน้า


“1 วันเวลาของนรก แต่มันคือ 7 วันเวลาของโลกมนุษย์ และถ้าภายในเที่ยงคืนนี้เจ้าไม่กลับไปเข้าร่างตัวเอง เจ้าจะไม่ได้กลับอีกเลยและจะต้องเร่ร่อนอยู่ที่นี่จนกว่าจะหมดอายุขัย”


“วิณณ์กลับไปเถอะนะ จริงๆ ตะวันก็ตายอยู่แล้ว วิณณ์ไม่ต้องมาเสียเวลาอะไรแบบนี้กับตะวันเลย”

“ตะวันเลิกพูด”


“คราวนี้ก็แค่ตะวันต้องหลับไปตลอดแค่นั้นเอง”

“ตะวันหยุด”


“วิณณ์ยังมีแม่มีน้องมีครอบครัวรออยู่ ส่วนตะวันมีก็แค่ร่างนอนนิ่งไร้ประโยชน์ กลับไปหาพวกเขาเถอะนะ”

“บอกให้หยุดไง!!”


วิณณ์ตะคอกเสียงดังจนตะวันสะดุ้ง


“ขอโทษ ขอโทษ วิณณ์ขอโทษอย่าร้องนะ”
“ฮึก...ก”


วิณณ์กอดตะวันแน่นแนบอก น้ำตาหยดใสไหลลงมาเปียกเสื้อเขาจนแฉะ


“โอ๋ อย่าร้องนะ ชู่วว”  วิณณ์ยังคงปลอบใจตะวัน
“ขอร้อง ขอร้องนะวิณณ์กลับไปเถอะ กลับไปเถอะนะ ฮึก ฮือออ กลับไปนะ กลับไป”
“ไม่ ถ้าไม่มีตะวัน วิณณ์ก็ไม่ไป”


“ดื้อรั้นจริงๆ”   ท่านพญายมเอ่ยอย่างหน่ายใจ อีกคนก็ใจแข็งเหมือนหินผา อีกคนก็อ่อนไหวเหมือนสายน้ำ



“โอ๊ะ.....” วิณณ์ทรุดลงพร้อมกับมือที่กุมที่หน้าอก เขารู้สึกเจ็บจนจะขาดใจ

“วิณณ์เป็นอะไร บอกตะวันซิวิณณ์ บอกตะวัน”


“ตะวันเอ๋ย ไม่มีเวลาแล้วถ้าเจ้าหนุ่มนี่ไม่รีบกลับไปเขาจะไม่ได้กลับไปอีกเลยและต้องอยู่ในสภาพวิญญาณแบบนี้ไปจนหมดอายุขัย”


“วิณณ์…. ยังไงดีละครับท่านกาลเวลา ทำยังไงดี”


ตะวันร้องไห้ เขาเป็นฝ่ายประคองวิณณ์ไว้กับตัวแทน ปากก็เอาแต่ถามออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน


“ถ้าเจ้าอยากให้เจ้าหนุ่มนี่รอดต้องรีบพาไปเดี๋ยวนี้”


พญายมโบกมือเพียงครั้งเดียวเขาและวิณณ์ก็มาอยู่หน้าไอซียู ด้านในมีเตียงของตะวันและวิณณ์อยู่ใกล้กัน ทุกคนในห้องวิ่งกันแตกตื่นและกำลังวุ่นวายกันเต็มไปหมด

ด้านนอกมีครอบครัวของเราทั้งคู่อยู่ทุกคนต่างเฝ้ารอข่าวจากคนในห้องอย่างใจจดใจจ่อ



“คุณน้าครับใจเย็นนะครับหมอต้องช่วยพี่ตะวันได้แน่นอน”


“แม่ครับ อย่าร้องไห้เลยนะ อย่าร้อง”

ตะวันอยากจะกอดปลอบแม่เหลือเกินแต่ก็ทำไม่ได้

“วิณณ์ ตะวันสงสารแม่ ทำยังไงดี”


อาการของตะวันทรุดลงกลับมาเหมือนช่วงแรกที่ยังรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนตัวเขาเองก็ถูกยิง กระสุนถูกผ่าออกแล้วแต่ดันมีอาการเลือดคั่งที่ปอดและหัวใจ

ไม่ผ่าก็ตาย ผ่าไปก็ไม่รู้จะรอดไหม


“แม่ค่ะพี่วิณณ์ต้องไม่เป็นอะไรนะ แม่อย่ากังวลเลย ฮึก...ก”

เขามองดูแม่และน้องของตัวเอง แม่เข้มแข็งกว่าที่เขาคิดและน้องอ่อนแอกว่าที่เขารู้ ในขณะที่น้องร้องไห้จะเป็นจะตาย แม่กลับเป็นคนที่คอยกอดและปลอบน้องไม่ห่าง

บางทีแม่อาจจะเตรียมใจตั้งแต่เขาเลือกเป็นตำรวจแล้ว ไม่ซิอาจจะตั้งแต่พ่อตาย

ถ้าเขาเลือกที่จะไปตามใจ ผู้หญิงสองคนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ



“หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว ในเมื่อมันเลือกยากนักข้าก็จะตัดสินใจแทนพวกเจ้าเอง”




ฟึ่บบบบบบ


เหมือนมีแรงเหวี่ยงวิ่งเข้ามาปะทะกับร่างของวิณณ์และตะวัน ร่างของทั้งคู่กระเด็นแยกกัน


“ตะวัน”


“วิณณ์”


ตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกดูดออกไปตัวหมุนคว้างภาพสองข้างทางเหมือนกับเขากำลังอยู่ในอวกาศ






แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ







“หมอ หมอค่ะ คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ”
.

.

.

“หมอฟิล์ม ชีพจรคนไข้กลับมาคงที่แล้วค่ะ”

.

.

.

.





ทั้งที่เมื่อกี้เหตุการณ์ทุกอย่างดูเลวร้าย แต่ตอนนี้กลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างกายของตะวันอุณหภูมิกลับมาคงที่ ความดัน การเต้นหัวใจปกติทุกอย่าง ส่วนวิณณ์เองก็รู้สึกตัวแล้วทั้งที่หมอคาดว่าน่าจะอีกสักระยะถึงจะรู้สึกตัว


วิณณ์และตะวันถูกนำตัวออกจากห้องไอซียูก่อนจะถูกพาแยกไปคนละทางเพื่อย้ายไปอยู่ห้องพักฟิ้นชั่วคราว



>> มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 37 : พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ(16/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 16-12-2019 19:52:48
>>  ต่อ




หนึ่งอาทิตย์ต่อมา



“แปลกเนอะวิณณ์ ไม่กี่วันก่อนตะวันยังเป็นวิญญาณและวิณณ์ยังเป็นคนอยู่เลย แถมยังเกือบจะตาย พอมาวันนี้กลับมานั่งคุยกันแบบนี้ได้”
“แล้วไม่ดีเหรอ”
“ดีซิ ดีมากด้วย”

ตะวันเอนซบเอาหัวพิงไหล่ของวิณณ์ พวกเขาอยู่ที่ระเบียงชั้นบนสุดของโรงพยาบาลซึ่งตอนนี้เปรียบเสมือนที่ส่วนตัวของพวกเขาไปแล้ว

“ขี้อ้อนนะเรา”


ตะวันอมยิ้ม ถ้าเขาจะอ้อน ก็อ้อนแต่กับแม่ แต่ตอนนี้มีวิณณ์เพิ่มมาอีกคนแล้ว


“พอออกจากโรงพยาบาลแล้ววิณณ์จะทำอะไรต่อ”
“ก็คงต้องเคลียร์คดีให้จบ”


ถึงตอนนี้เขาจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ไอ้หมอชายยังไม่ยอมปล่อยให้เขาออกจากโรงพยาบาล อาการแทรกซ้อนจากเลือดคั่งหัวใจและปอดอยู่ดีๆ ก็หายไป มันเลยกลัวว่าอาการเหล่านั้นจะกลับมาอีกมันจึงบังคับให้ผมต้องอยู่โรงพยาบาลจนกว่ามันจะแน่ใจ


วิณณ์นึกย้อนไปเมื่อสามวันก่อนที่จ่าเติมมาเยี่ยม
.

.

.

.
“สวัสดีครับผู้กอง สวัสดีครับคุณดาว”
“สวัสดีค่ะจ่าเติม ทานอะไรมาหรือยังค่ะ มีผลไม้นะค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปหยิบมาให้”
“ไม่ต้องลำบากเลยครับ ผมทานมาแล้ว ขอบคุณนะครับ”

“จ่ามีอะไรหรือเปล่า”
“มาเยี่ยมผู้กอง แล้วก็มีเรื่องของ………..ไอ้เอ็ม”

“เจอตัวไอ้เอ็มแล้วเหรอจ่า”
“ครับ แต่ข่าวมาจากหลายทางมากตอนนี้ผมกำลังสืบอยู่ว่าอันไหนจริงไม่จริง แต่ที่ชัวร์ๆ คือ มันยังอยู่ในกรุงเทพ แอบอยู่กับใครซักคน”
“แล้วจ่าลองถามไอ้โจ๊กหรือยัง
“ถามแล้วครับ โจ๊กบอกว่าเอ็มเคยพูดถึงญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่ครับ”
“ผมฝากจ่าด้วยนะ แล้วอย่าให้มันรู้ตัวละ”
“ครับผม”
“จ่า แล้วผู้กำกับเป็นยังไงบ้าง”
“หายดีแล้วครับหมอให้ปล่อยตัวได้พรุ่งนี้ทางตำรวจก็จะทำการย้ายไปฝากขังที่โรงพักครับ”
“ผมอยากไปคุยกับเขา”
“จะดีเหรอครับ ผู้กองเองยังไม่ค่อยหายดี”
“ไม่เป็นไรผมไหว”

จ่าเติมพาวิณณ์นั่งรถเข็นคนไข้ไปที่ห้องพักฟื้นของผู้กำกับพงศ์ หน้าห้องมีตำรวจเฝ้าอยู่สองนาย

“สวัสดีครับจ่า สวัสดีครับผู้กอง หายดีแล้วเหรอครับ”   วิณณ์พยักหน้า
“จ่าผู้กองจะขอเข้าไปคุยกับผู้กำกับนิดหน่อยนะ”
“เชิญครับ”


ผู้กำกับพงษ์นอนอยู่บนเตียงโดยมีกุญแจมือล๊อคไว้ วิณณ์ไม่ได้อยากมาเสวนาหรือเจอหน้าคนคนนึ้เท่าไหร่ แต่ลึกๆ เขาก็ยังอยากฟังความจริงหรือคำพูดอะไรสักอย่างจากปากคนคนนี้


“ฮึฮึ ว่ายังไงหลานชาย มีธุระอะไรกับคนร้ายอย่างฉันอย่างนั้นรึ”
“คุณยังเรียกผมว่าหลานชายได้อีกเหรอ แต่เอาเถอะผมไม่มีเวลามาทะเลาะกับคุณ ที่ผมมานี่ผมอยากจะถามอะไรคุณสักหน่อย”

ผู้กำกับพงษ์เงียบเป็นฝ่ายรอให้วิณณ์ถาม ซึ่งวิณณ์เองก็เข้าใจในท่าที

“คุณอยากพูดอะไรไหม ทำไมคุณถึงหักหลังเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา ทั้งพ่อผมที่เป็นตำรวจเหมือนกับคุณ ทั้งนายยงยุทธที่เป็นพวกคุณ คุณไม่มีสำนึกของความเป็นตำรวจอยู่เลยเหรอ”
“ฉันไม่มีอะไรต้องพูด”
“คุณมันทุเรศจริงๆ”

วิณณ์คิดว่ามันไร้สาระสิ้นดี นี่เขาพยายามมาพูดกับคนคนนี้เพื่ออะไร หวังอะไรอยู่วะไอ้วิณณ์

“พวกเราเคยสัญญากันว่าจะเป็นตำรวจด้วยกัน.......”

ผู้กำกับพงษ์พูดขึ้น

“เรื่องทุกเรื่องเราทำมันด้วยกันไม่ว่าจะเรื่องดีเรื่องร้ายแค่ไหนก็ผ่านกันมาหมด ไอ้ยุทธบ้านมันรวยพ่อมันส่งไปเรียนเมืองนอก เหลือแค่ฉันกับไอ้วุฒิ ใครจะรู้ทั้งที่ไอ้วุฒิบ้านมันไม่ได้รวยกลับมีความสุขโดยไม่ต้องแสวงหา ผิดกับฉันถึงบ้านจะรวยแต่กลับหาความสุขไม่ได้เลย แถมพ่อกับแม่ยังทิ้งปัญหาและหนี้ไว้มากมายเพราะถูกฟ้องล้มละลาย”
“คุณก็เลยคิดทำเรื่องชั่วซินะ”
“ปลาเล็กย่อมเป็นอาหารของปลาใหญ่เสมอ มนุษย์เองย่อมต้องหาทางให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนกัน”
“......”
“ฉันเคยยื่นทางเลือกนี้ให้ไอ้วุฒิ แต่มันเป็นคนดี ดีเกินไป”

“คุณเลยต้องกำจัดทิ้งซินะ”   
ไม่มีคำตอบ ผู้กำกับพงษ์หลับตาลง เงียบไม่พูดต่อ

“ผมหลงศรัทธาคุณไปได้ยังไง”    วิณณ์พูดจบและให้จ่าเติมพาออกไปจากห้อง

“เราเป็นเพื่อนรักกัน ไม่มีวันไหนที่จะไม่นอนฝันร้ายที่ต้องฆ่าเพื่อนตัวเอง ฉันฝากขอโทษพวกเขาแทนฉันด้วย”

“ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ คุณคงต้องไปขอโทษพวกเขาเอง...........ที่หลุมศพ”
.

.

.




“วิณณ์”



“วิณณ์”
“หืม”
“คิดอะไรอยู่ เงียบไปเลย”
“ก็เรื่องคดีนิดหน่อยนะ”
“นี่ คิดมากจนคิ้วผูกโบว์แล้ว แถมตีนกาก็ขึ้นแล้วเนี่ย” 

ตะวันเอานิ้วเกลี่ยรอยย่นตรงกลางคิ้วทั้งสองข้างของวิณณ์ให้คลายออกจากกัน

“พักซะบ้างอย่าเพิ่งคิดเลย ตอนนี้ผู้กำกับก็ถูกจับไปแล้ว นายยงยุทธกับพวกลูกน้องก็ตายไปแล้ว ส่วนเอ็มอีกไม่นานเดี๋ยววิณณ์ก็ต้องจับได้ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าห่วงเลย”
“แล้วที่เราต้องมาติดแหง่กที่โรงพยาบาลเนี่ยลืมแล้วเหรอเพราะใคร ยังจะว่าไม่ห่วงอะไรอีกไหม”

ตะวันยิ้มแหยๆ

“ก็ไม่อยากให้วิณณ์เครียดนิ”
“จะเครียดเพราะคนแถวนี้ดื้อมากกว่า”
“เชอะ”

สองคนนั่งคุยกันปล่อยเวลาให้ไหลผ่าน มีแสงแดดอุ่นๆ มีสายลมพัดเบาๆ ความจริงอยู่แบบนี้ก็ดีนะตะวันคิด

“นี่สรุปคิดได้หรือยังว่า พอออกจากโรงพยาบาลไปจะทำอะไรบ้าง”
“อืม ก็คิดไว้ว่าจะไปทำเรื่องพักเรียน แล้วค่อยเริ่มปีหน้านะ ช้ากว่าเพิ่อนไปปีหนึ่ง แต่ไม่เป็นไรแค่ได้กลับมาตอนนี้อะไรตะวันก็โอเคหมดละ”

วิณณ์หัวเราะพร้อมกับเอื้อมมือไปโยกหัวตะวันอย่างเอ็นดู

ในใจพลางคิดไปถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง ทำไมท่านพญายมถึงยอมให้เขาและตะวันกลับมาพร้อมกันทั้งที่ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะขอร้องอ้อนวอนแค่ไหนก็ไม่ยอม หรือว่าท่านจะมีแผนอะไรอีก







“เจ้าหนุ่มนี่มันช่างสงสัยซะจริง”
“ท่านขอรับกระผมเองก็สงสัยขอรับทำไมต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง มันจะทำให้ท่านยุ่งยากเอานะขอรับ”
“ท่านสุวรรณมันคงไม่มีอะไรยุ่งยากไปกว่านี้แล้วละ อีกอย่างถ้าผลที่ได้มันตรงที่กับข้าคาดไว้ มันก็คุ้มกับที่ข้าจะเสี่ยง”
“มันจะคุ้มยังไงละขอรับ ถึงทั้งสองคนจะได้พรแห่งชีวิตไปสุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี”
“มนุษย์มักมีความหวังและความฝันเล็กๆเสมอ เราเองก็มีเช่นกัน เราหวังว่าจะเจอมนุษย์ที่ห่วงใยผู้อื่นและพร้อมจะเสียสละต่อผู้อื่นมากกว่าตัวเอง”
“แต่มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอขอรับ ท่านให้ชีวิตพวกเขาแต่สุดท้ายก็พรากคืน”

“โหดร้ายงั้นรึ ก็อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า”

“.......”

“ข้าไม่รู้เลยว่าระหว่างการที่ไม่ให้เจ้าหนุ่มสองคนนั้นรู้จักกันเลยกับให้เขาได้รู้จักกันตามพรมลิขิตแล้วต้องพรากกันอีกครั้งอันไหนมันโหดร้ายกว่ากัน”











วิณณ์เดินไปส่งตะวันกลับห้องและเดินกลับห้องของตัวเอง  ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่พวกเขาพักฟื้นอยู่โรงพยาบาล วิณณ์รู้สึกว่าเขาชอบชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่ว่าชอบเป็นคนป่วย หรือเพราะสบายหรอกนะ

แต่ชอบที่มีตะวันอยู่ด้วยต่างหาก

รูปแบบความสัมพันธ์ของพวกเขาถึงมันจะเกิดจากความใกล้ชิดแต่เขาก็ดีใจที่มันเกิดขึ้นที่ตะวัน เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันจะยืนยาวเท่าไหร่ แต่นับจากนี้ต่อไปเขาอยากให้มีตะวันอยู่ด้วยในทุกๆ ช่วงเวลา


“ไปส่งตะวันแล้วเหรอลูก”
“ครับแม่ โอยยย....”

ผมล้มตัวลงนอนบนตักแม่พร้อมอุทานเบาๆ

“อ้อนอะไรอีกละเรา”
“เปล่าครับ”

ดารามองหน้าลูกตัวเองที่นอนหลับตาอยู่บนตัก ลูบผมอย่างเอ็นดูรักใคร่ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ลูกชายเอาแต่ทำงานตามคดีของพ่อ นานทีถึงจะกลับบ้าน

“แม่ครับ”
“หืม”
“ผมรักแม่นะครับ รักดารินด้วย”
“เหรอจ้ะ แม่ว่าลูกลืมอีกคนนะ”

วิณณ์ลืมตา

“แม่หมายถึงอะไรครับ”

“ตะวัน”

วิณณ์ลุกขึ้นนั่งและหันไปสบตาแม่ตรงๆ

“....”
“แม่รู้นะว่าระหว่างวิณณ์กับตะวันมันมีอะไรพิเศษ ลูกของแม่ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใคร ไม่เคยอ่อนโยนหรือห่วงใยใครมากขนาดนี้”
“.....”
“ยกเว้นแม่กับน้องสาวเรา”
“แม่รู้เหรอครับ”
“คิดว่ารู้นะ ลูกของแม่กำลังมีความรัก”

ในเมื่อแม่ถามเขามาแบบนี้ เขาก็จะไม่ปิดบังอะไรอีก

“แล้วแม่โอเคไหมครับ”
“มันไม่ใช่แม่นะที่จะมาโอเคหรือไม่โอเค มันคือตัวลูกต่างหาก”
“แต่ผมกับตะวันต่างก็เป็นผู้ชาย”
“เด็กน้อยเอ๊ย โลกนี้มันไปไกลขนาดไหนแล้ว ความรักนะไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรือผู้ชาย รักก็คือรักไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน เวลาไหนก็ตาม”
“แม่รู้ไหมผมดีใจแค่ไหนที่แม่เป็นแม่ผม”


วิณณ์สวมกอดแม่


ถ้าร่างกายปกติไม่มีอะไรแทรกซ้อน ไอ้หมอมันบอกว่าผมก็สามารถกลับได้แล้ว ตะวันเองก็เหมือนกัน เขาตั้งใจจะให้แม่ของตะวันมาอยู่กับแม่และน้องสาวเขาที่บ้านสวน เพราะมีแต่ผู้หญิงอยู่ด้วยกันหลายคนจะได้ไม่เหงา และช่วยดูแลกัน ส่วนตะวันก็จะอยู่กับเขาที่คอนโด แต่ก่อนอื่นเขาต้องเคลียร์คดีให้จบก่อน


“ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”


อุ๊บ    จังหวะที่กำลังลุกขึ้น วิณณ์ต้องชะงักเพราะรู้สึกเจ็บที่หน้าอกขึ้นมา

“เป็นอะไรหรือเปล่าวิณณ์”
“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ”

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นอีกครั้งและเดินเข้าห้องน้ำ ยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก หน้าอกด้านซ้ายมีรอยแผลเป็นจากกระสุนอยู่


อุ๊บ


อีกครั้งที่เขารู้สึก มันไม่ได้เจ็บที่แผลแต่เหมือนมันมาจากข้างในมากกว่า น่าจะแผลอักเสบ


“พรุ่งนี้ค่อยไปขอยาไอ้หมอไว้แล้วกัน”




วิณณ์คิดแบบนั้น เขาออกมาจากห้องน้ำก็เจอจ่าเติมที่มารออยู่แล้ว

“อ้าวจ่า”
“สวัสดีครับผู้กอง....” จ่าเติมเว้นช่วงก่อนที่ตัดสินใจพูดต่อ “ผู้กองเรารู้ที่อยู่ของไอ้เอ็มแล้วนะครับ”
“ที่ไหน”
“มันหลบไปอาศัยกับญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแถวสมุทรปราการครับ”
“ตามดูมันไว้นะจ่าแล้วรายงานผมด้วย”
“ผู้กองจะไปจับมันเองเหรอครับ อาการของผู้กองก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ หมอก็ยังไม่ให้กลับ”
“เรื่องนั้นผมเคลียร์เอง”
“ครับ”






อาทิตย์ยืนจดจ้องอยู่หน้าประตูห้องของลูกชาย เขาทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าจะเข้าไปดีไหม ถ้าเข้าไปเข้าควรจะเริ่มพูดหรือทำอะไรก่อน เขายืนครุ่นคิดอยู่แบบนั้นจนเมื่อดารากลับมาจากลงไปซื้อของข้างล่าง


“คุณอาทิตย์ยืนทำอะไรอยู่ค่ะ ทำไมไม่เข้าไปข้างในละ”


ดารากำลังจะเปิดประตูแต่อาทิตย์ได้รั้งมือไว้


“เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ”
“ผมไม่รู้จะเริ่มพูดกับลูกยังไงดี”
“คุณอยากพูดอะไรก็พูดเถอะค่ะ ตะวันแกเป็นเด็กดีและเข้าใจอะไรง่ายค่ะ”


ดาราเปิดประตูเข้ามาก็เจอกับตะวันที่ยืนหน้าซีดจับพนักเตียงอยู่ เธอรีบเข้าไปประคองลูกชาย


“ตะวัน เป็นอะไรหรือเปล่าลูก หน้าซีดเลย”
“รู้สึกเหนื่อยๆ นะครับ”
“นอนพักก่อนนะลูกนะ ให้แม่ตามหมอไหม”
“ไม่เป็นไรครับ อาจจะเจออากาศเย็นเมื่อกี้ นอนพักซักแปปก็คงหายครับ”
“ตะวัน”
“ครับ”
“พ่อมาเยี่ยมนะ”


ดาราเชิญคนที่รออยู่หน้าห้องให้เข้ามา


“พ่อ”
“เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีขึ้นแล้วครับ”
“ดีแล้ว”


พ่อลูกได้เจอหน้ากัน มันออกจะดูประดักประเดื่อเพราะพวกเขาไม่เคยพูดคุยแบบดีๆ ซักครั้ง


“ตะวัน เอ่อ...พ่อ....พ่อขอโทษ ที่ผ่านมาพ่อทำตัวไม่สมกับเป็นพ่อ”
“....”
“แต่ต่อจากนี้ไปพ่อสัญญาพ่อจะดูแลเราให้ดีที่สุด พ่อสัญญา ให้โอกาสพ่อนะ”
“พ่อ...”


ตะวันอึ้งถึงเขาจะเคยโกรธพ่อแต่เขาไม่เคยคิดจะให้คนเป็นพ่อต้องมาขอโทษลูกแบบนี้


“เอ่อ…..ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ตะวันเคารพการตัดสินใจของทุกคน ถึงแม้ตอนเด็กตะวันจะไม่เข้าใจก็ตามว่าทำไม่พ่อถึงทรยศแม่ ทำไมพ่อถึงไม่รักตะวัน ทำไม่พ่อถึงมีลูกอีกคน แต่พอโตแล้วตะวันก็เข้าใจว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเสมอและสามารถทำผิดได้ตลอดเวลา”

“มันคือความไม่พอของพ่อเอง ตะวันจะโกรธพ่อก็ได้ แต่ตะวันอย่าโกรธอย่าเกลียดลมกับแม่ของเขาเลยนะ พ่ออยากให้เราสองคนรัก ดูแลกัน ลมเองเขาเคารพพี่ชายอย่างตะวันมากนะ ”

“ตะวันไม่เคยคิดนะครับ เพราะลมเองเขาก็คงไม่อยากเกิดมาแล้วทำให้ใครต้องเจ็บปวด”


นายอาทิตย์นิ่ง นั่นแหละเพราะฉะนั้นเขาต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำให้ตะวันได้ แต่กลับไม่รู้เลยว่ามันทำให้คนฟังหัวใจแทบหยุดเต้น


“ตะวันเรื่องเรียนนะ”
“ครับ ตะวันกลับไปเรียนต่อแน่นอนครับ อาจจะช้าไปปีหนึ่ง แต่ก็มะ....”
“พ่อจะส่งเราไปเรียนเมืองนอก”

“.....หะ?  ว่าอะไรนะครับ”


“ไหนๆ ก็ต้องเรียนช้ากว่าคนอื่นจบช้ากว่าคนอื่นอยู่แล้ว พ่อเลยคิดว่าเราไปเรียนเมืองนอกดีกว่า ลมก็ไปไปอยู่ด้วยกันจะได้ไม่เหงา”

“ไม่นะครับ ตะวันไม่ไป”

“ทำไม?”


เขาสัญญากับวิณณ์แล้ว เราจะอยู่ด้วยกัน หลังจากออกจากโรงพยาบาลมีเรื่องตั้งมากมายที่เขาจะทำด้วยกัน แต่เขาจะบอกพ่อยังไง พ่อยังไม่รู้ว่าเขาเป็น....


“ทำไมถึงจะไม่ไป”
“เอ่อ...เอ่อ....คือ....”
“มีอะไร”

ดาราเห็นท่าไม่ดี เธอรู้ว่าทำไมตะวันถึงไม่ยอมไป และเธอก็เข้าใจว่าคนเป็นพ่ออยากจะทำทุกอย่างชดเชยอดีตที่ผ่านมา

“คุณอาทิตย์ค่ะเรื่องเรียนของตะวันนะ ใจเย็นๆ ก่อนเถอะค่ะ ตะวันยังไม่หายดี ถ้ารีบร้อนไปตอนนี้เกิดมีอะไรขึ้นมามันจะไม่ดีเอานะคะ”
“มันจะมีอะไรไม่ดีได้ยังไง”
“เถอะค่ะ เชื่อฉันเถอะ ถ้าคุณบังคับแกไปตอนนี้ก็จะทะเลาะกันเปล่าๆ รอให้แกพร้อมก่อนเถอะค่ะ แล้วค่อยคุยกัน”


ผู้เป็นพ่อยอมรามือ ถ้าเขาเซ้าซี้ก็เหมือนเขาบังคับตะวัน จากที่จะเข้าใจกันก็คงเข้าหน้าไม่ติดเหมือนเดิม


“อืม” นายอาทิตย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“พ่ออยากให้รู้ว่าพ่อหวังดีกับตะวันนะ”


นายอาทิตย์หันหลังเตรียมจะเดินกลับถ้าไม่เพราะประโยคที่ตะวันพูดออกมา

“ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ไปเรียนเมืองนอก ผมอยากอยู่ที่นี่ ผมอยากอยู่กับแม่ อยู่กับคนที่ผมรักและผมไม่อาจทิ้งเขาไปได้”

“แม่นะเหรอ ถ้าอยากจะเอาแม่ไปด้วยพ่อก็อนุญาติ”
“........”
“เดี๋ยวนะ คนที่ผมรักเหรอ? เรามีคนรักแล้วเหรอ ยังเรียนอยู่แท้ๆ ทำไมไม่ตั้งใจเรียนก่อนที่จะมาสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ พวกนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ลูกเต้าเหล่าใคร เรียนที่เดียวกันใช่ไหม”
“ไม่ใช่....”
“.......”


“ไม่ใช่......ผู้หญิง เขาเป็นผู้ชาย”


เหมือนฟ้าผ่าแสกหน้า ลูกชายเขาเพิ่งพูดว่าผู้ชาย มีคนรักเป็นผู้ชาย ??


“นี่แก.......คุณ.....คุณเลี้ยงลูกยังไง ให้เกิดมาผิดปกติแบบนี้ ยังไงแกก็ต้องไป”


นายอาทิตย์หันหลังเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูเสียงทิ้งไว้แต่ความอึมครึมของคนในห้อง ดาราตัดสินใจเดินตามอาทิตย์ออกไป

“คุณค่ะ”
“ยังไงตะวันก็ต้องไป ขืนให้อยู่แบบนี้ก็ผิดเพศผิดผู้ผิดคนกันหมด”
“แต่ฉันไม่เห็นว่าการที่ลูกจะรักใครรักแบบไหนมันจะทำให้ผิด”

“นี่คุณ!!!”

“คุณอาทิตย์ฉันเข้าใจถ้าคุณจะโมโหหรือโกรธเขาในฐานะพ่อ แต่อย่าลืมนะคะเราสองคนมีหน้าที่แค่ให้กำเนิดเขสและสอนให้เขาเป็นคนดี แต่ไม่ได้มีหน้าที่ไปบังคับให้เขาเป็นอะไรตามที่เราอยากให้เป็น ฉันว่าแบบนั้นมันจะทำให้เขาไม่มีความสุข และเราก็จะไม่มีความสุข”
“.....”
“เรื่องเรียนให้ลูกตัดสินใจเองเถอะค่ะ ถ้าเขายังไม่พร้อมจะไปก็อย่าไปฝืน”

“แต่ผมเป็นพ่อ”




“และฉันก็เป็นแม่ แม่ที่เลี้ยงเขามาโดยที่ไม่มีพ่อมาตั้งแต่เกิด”







ตะวันไม่คิดโทษพ่อในเรื่องที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะมาจัดการทุกเรื่องของเขาได้ในตอนนี้ ดาราเดินกลับเข้ามาในห้อง เธอมองลูกชายที่นั่งถอนใจบนเตียง


“แม่....ตะวันไม่ไปนะ”
“แม่รู้ อย่าไปโกรธพ่อเขาเลยนะ เขาหวังดีกับตะวัน”
“ตะวันรู้ แต่ว่าพ่อก็น่าจะถามตะวันซักนิด”


ดาราเดินเข้าไปหาและนั่งลงบนเตียงโอบกอดลูกชายอย่างรักใคร่


“ตะวัน เราไม่สามารถไปกำหนดจิตใจใครให้คิดเหมือนกับเราได้ เพียงแต่เราสำนึกไว้เสมอว่าเรื่องที่เราทำต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อนอันนั้นก็พอแล้ว”
“......”
“แต่สำหรับแม่แล้วต่อให้ลูกของแม่จะเป็นอะไร แบบไหน หรือยังไงแม่ก็จะยืนข้างลูกเสมอ จำไว้นะ”
“ครับ”


ตะวันกอดแม่


“ฮึ เด็กน้อยเอ้ย” ดารากอดลูกชาย ปลอบโยนโดยโยกตัวลูกชายไปมาเหมือนตอนตะวันเด็กๆ มือก็คอยลูบหัวลูกชายให้คลายกังวล








วันนี้เขาทั้งสองคนได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จ่าเติมเอารถตู้มารับทั้งครอบครัวผมและครอบครัววิณณ์กลับพร้อมกัน พ่อไม่ได้มาหาผมอีกเลยตั้งแต่วันนั้น ผิดกับลมที่มาหาผมแทบทุกวัน ตอนแรกผมคิดว่าพ่อคงเกลียดผมแล้วละมั้งแต่ลมบอกว่าพ่อไม่ได้โกรธแค่ขอตั้งหลักก่อน แม่ผมไม่เคยถามเรื่องคนรักที่ผมพูดถึงแต่ผมคิดว่าแม่ก็คงรู้ว่าหมายถึงใคร



“พี่วิณณ์”




ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ตะวันเรียกวิณณ์ว่าพี่ แต่มันก็คือครั้งแรกที่เรียกในฐานะคนไม่ใช่วิญญาณ


“หืม พอได้ยินใกล้ๆ แล้วมันก็จั๊กกะจี้หูดีนะ”
“แล้วอยากให้เรียกไหมละ”
“แล้วแต่เลย แต่ว่าเรียกก็ดีนะ ฟังแล้ว......น่ารักดี”


แม่ของผม แม่ของวิณณ์นั่งอยู่ด้านหน้า ถัดมาก็พี่วายุและน้องสาว ส่วนผมกับวิณณ์นั่งอยู่หลังสุด


“วันก่อนพ่อของตะวันมาบอกว่าจะส่งตะวันไปเรียนเมืองนอก” ผมพูดแล้วก็เอียงหัวซบไหล่วิณณ์
“แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงตะวันก็ไม่ไป ตะวันบอกพ่อไปแล้วด้วย”
“แล้วพ่อยอมเหรอ”
“ไม่รู้อะ แต่น่าจะยอมนะ แล้วก็คงเกลียดตะวันไปแล้วด้วยละ”
“ทำไมละ”


ตะวันเงยหน้าหันไปสบตากับวิณณ์ตรงๆ


“ตะวันบอกพ่อว่าตะวันไม่ไปเพราะตะวันห่วงแม่และอยากอยู่คนที่ตะวันรัก.....แล้วคนที่ตะวันรักนะก็เป็นผู้ชาย”


วิณณ์อมยิ้ม


“แล้วบอกพ่อไหมว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร”
“ยังไม่ทันบอกหรอกพ่อโกรธและก็กลับไปเลย แต่ว่าวิณณ์อยากรู้ไหม ว่า     คือ    ใคร”  ตะวันเน้นคำ
“อยากรู้ดีไหมนะ”

ตะวันทำหน้าเว้าวอน จือปาก เขาจะรู้ไหมว่ามันน่ารักและเชิญชวนแค่ไหน

“โอเคๆ อยากรู้ อยากรู้ แต่ขออย่างหนึ่งนะ อย่าทำหน้าแบบเมื่อกี้อีกไม่ว่ากับใคร......ทำกับวิณณ์ได้คนเดียว” ประโยคหลังวิณณ์กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“แล้วสรุปคือใครครับ”



“เขาชื่อว่าผู้กองวิณณ์” ตะวันกระซิบใส่หูวิณณ์




“แล้วอยากรู้ความรู้สึกของผู้กองวิณณ์ไหมครับ....”



แทนที่วิณณ์จะกระซิบที่หูของตะวัน แต่กลับเลื่อนหน้าลงมาก่อนจะจุมพิตที่ซอกคอของตะวันพร้อมกับเอ่ยเบาๆ







“รักนะครับ”







Talk : ขออภัยที่นานนนนน นะคะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 37 : พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ(16/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-12-2019 20:21:58
 :man1: :pig4: :man1:

 o13
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 37 : พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ(16/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-12-2019 22:26:18
กลับไปที่เดิมดีกว่านะ คุณพ่อ  :angry2:
หัวข้อ: Re: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 37 : พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ(16/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 17-12-2019 02:10:12
ประโยคเดียวของคุณแม่ จี้ดใจดีไหมล่ะคุณพ่อ แม่เขาเลี้ยงมาคนเดียวโดยไม่มีพ่อ เธอคือฮีโร่เลยตอนนี้ คุณแม่
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 37 : พบเพื่อจาก พลัดพรากเพื่อเจอ(16/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-12-2019 02:48:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิตาอาทิตย์เนี่ยช่างเป็นพ่อที่เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว ไม่ฟังเหตุผลใครเลย 
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 1 (11/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 12-01-2020 01:53:01
บทที่ 38 (Part1)





.....ปึกกกก.....

“โอ้ย”
“ขอโทษครับ”
“ตะวันเป็นอะไร”วิณณ์ที่เดินนำหน้ารีบวิ่งกลับมาหาตะวัน ที่เดินรั้งท้าย
“ไม่มีอะไร เขาแค่เดินชนนะ” แต่พอตะวันยกแขนขึ้นมาดูกลับต้องตกใจ รอยแผลบาดยาวตั้งแต่ข้อศอกจนมาถึงข้อมือ ถึงจะดูไม่ลึกแต่ก็เลือดไหลจนดูน่ากลัว “เฮ้ย เลือดทำไมตะวันไม่รู้สึกเลยละ สงสัยจะชาแน่เลย”
“ใครเดินชนอะตะวัน”
“ก็คนนั้น อ้าวหายไปไหนแล้วละ”
“แล้วนี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ”
“ไม่รู้ นึกว่าเขาแค่เดินชนเฉยๆ นะ เขาคงไม่ตั้งใจหรอกเห็นถือของเยอะแยะ อาจจะมีของอะไรมาโดนก็ได้”





.....เพล้งงงงงง.....

“ผู้กอง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า”
“เฮ้ยคนข้างบนนะ ใครทำอะไร”
“ขอโทษนะคุณตำรวจ ลุงไม่รู้ว่ามันหล่นลงไปได้ยังไง สงสัยเชือกมันจะเปื่อย แต่…เอ ก็เพิ่งเปลี่ยนนี่หว่า มันขาดได้ยังไง”






…..เอี๊ยดดดด.....

วิณณ์ต้องเหยียบเบรคอย่างแรง เพราะรถด้านขวาที่เบียดมาทำให้เขาต้องหลบลงไหล่ทาง ดีที่เขามีสติพอ ไม่งั้นคงได้ชนกับตอมอสะพานแล้วตกไปข้างล่างแน่ๆรถที่ชนเร่งเครื่องหนีไปไม่สนใจจะหยุดดูกันซักนิด
“ตะวันเป็นอะไรไหม”
“หัวกระแทกนิดหน่อย”
“ไหนดูซิ” ดีที่คาดเบลล์ไว้ เลยไม่เป็นอะไรมาก มีแค่หัวที่โน




“มีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่าครับแม่”
“ไม่มีนะ แม่ก็ยังแปลกใจ ขโมยเข้าบ้านแต่ไม่มีอะไรหาย ดีที่แม่กับดารินไม่อยู่ แล้วลุงสินข้างบ้านแกได้ยินเสียงกระจกแตกเลยออกมาดู แล้วก็โทรบอกแม่ แม่ก็โทรบอกวิณณ์นี่แหละจ้ะ”
“ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วละครับ”


“ตัว พักนี้เขาว่าเขารู้สึกแปลกๆ ละ บางทีก็เหมือนมีคนคอยมอง คอยตามตลอด วันก่อนเขากำลังจะขึ้นรถเมล์ ก็มีมอเตอร์ไซต์ขับมาจากไหนไม่รู้อย่างเร็วเกือบพุ่งเข้ามาชน ดีที่เพื่อนเขาดึงหลบได้ทัน แล้วก็มีสองสามวันพี่วายุมารับเขาที่มหา’ลัย จะไปดูหนังอยู่ดีๆ ก็มีรถกะบะจากไหนไม่รู้เบียดมาจนรถตกข้างทาง แล้วก็ขับหนีไป”  ดาริน หรือแม้แต่วายุเอง ก็เจอเรื่องแปลๆ เหมือนกัน






วิณณ์กลับมาทำงานที่ สน. หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาได้เพียงวันเดียว เขาต้องเคลียร์คดีและสำนวนของผู้กำกับเพื่อนำส่งฟ้อง ส่วนตัวของผู้กำกับพงษ์ตอนนี้ถูกนำตัวฝากขังเพื่อรอพิจารณาคดีต่อไป โจ๊กเองถึงแม้จะถูกกันตัวเป็นพยานแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องรับโทษ ก็แค่โทษหนักอาจจะเบาลง ส่วนเอ็มยังคงเก็บตัวเงียบ ถึงแม้สายข่าวจะรายงานมาตลอดว่าเห็นไอ้เอ็ม ไปโผล่ที่ไหนบ้างก็ตาม แต่พอตำรวจไปตรวจค้นก็จะหายเข้ากลีบเมฆตลอด


“ผู้กองคิดอะไรอยู่ครับ หน้าเครียดเลย”
“ผมกำลังสงสัย เรื่องที่ตัวผมและคนรอบตัวผมตอนนี้เจอแต่เรื่องแปลกๆ”
“ยังไงครับ”
“ตัวผมเอง ตะวัน แม่ ดาริน แม้แต่วายุ เจอกับอุบัติเหตุที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ แถมยังเกิดใกล้เคียงกัน ติดๆ กันอีก มันไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่”
“แล้วผู้กองคิดว่ามีคนตั้งใจทำเหรอครับ”  วิณณ์พยักหน้า  “ใครเหรอครับ”
“ใครที่มันยังลอยนวลอยู่ แล้วมันก็แค้นผมเอามากๆ”


จ่าเติมทำท่าครุ่นคิด ผู้กองไม่ได้มีศัตรูที่ไหนมากพวกของนายยงยุทธก็ตายไปซะหมดแล้ว ผู้กำกับเองก็ยังอยู่ในคุกคงไม่สามารถเรียกพวกที่ไหนมาช่วยได้ ถ้าจะมีใครที่ยังรอดจากเรื่องนี้ก็คงเป็น


“ไอ้เอ็ม!  ผู้กองคิดว่าเป็นไอ้เอ็มเหรอครับ”

“มันก็คือข้อสันนิษฐานนะจ่า”
“เอ็มมันเป็นพวกกัดไม่ปล่อย การที่มันยังลอยนวลอยู่และผมยังคงรอดชีวิตอยู่ ผมเดาว่ามันคงจะกลับมาแก้แค้นแน่นอน “

“มันก็มีสิทธิ์นะครับ สายเรายิ่งรายงานอยู่ว่าพักนี้มีคนเห็นไอ้เอ็มวนเวียนแถวบ้านแม่มัน กับที่โรงพักบ่อยขึ้นครับ แต่มันฉลาด พอรู้ตัวว่ามีคนจำมันได้มันก็หายไปตลอด ผู้กองคิดว่ามันจะทำอะไรครับ..... หรือว่ามันจะมาช่วยไอ้โจ๊ก....... แต่มันก็ยังไม่รู้ว่าไอ้โจ๊กยังไม่ตาย แล้วมันจะทำอะไรของมัน”

“ผู้กองว่ายังไงครับ” หลังจากที่คิดเอง พูดเองเสร็จสรรพจ่าก็หันมาถามความเห็นของวิณณ์
“ผมยังไม่มั่นใจ แต่ระหว่างนี้จ่าก็ให้สายของเราจับตาดูไว้”
“ครับ แล้วที่บ้านกับคอนโดของผู้กองละครับ”
“ให้เฝ้าตามเดิม”
“ครับผม”

“เออ ว่าแต่ผมว่าจะถามผู้กองหลายครั้งละ ทำไมผู้กองถึงสนิทกับเด็กตะวันนั่นเหมือนกับรู้จักกันมาก่อน”
“ทำไม จ่าว่ามันแปลกเหรอ”
“หรือผู้กองว่าไม่แปลก” วิณณ์อมยิ้ม ก็สนิทกันตอนเป็นวิญญาณนี่แหละ บอกไปก็คงไม่เชื่อ แล้วก็ไม่แปลกที่จ่าเติมจะสงสัย เพราะเขาเล่นกระเตงมาทำงานกับเขาด้วยทุกวัน แถมยังไปเอ่ยปากขอลูกกับแม่เขามาแล้วด้วย



“คุณน้าครับผมไม่รู้จะเอ่ยปากบอกคุณน้ายังไง แต่ผมจะไม่อ้อมค้อม
........ผมขออนุญาติดูแลตะวันนะครับ.......”



ความจริงตะวันอยู่บ้านอาจจะปลอดภัยและดีกว่า แต่เพราะไม่อยากให้ตะวันห่างจากตัวอีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจไปพูดกับแม่ของตะวัน ซึ่งแม่ตะวันเองก็ไม่ได้ว่าอะไรและยังฝากฝังตะวันไว้กับเขาอีกด้วย


“สนิทตอนที่จ่าไม่รู้นี่แหละ ช่างมันเถอะ”
“อ้าว”
“มาคุยเรื่องคดีต่อเถอะ”


หลังจากทำงานมาทั้งวัน สมองเขาเริ่มเบลอ สายตาก็เริ่มล้า แล้ววันนี้เขายังทิ้งตะวันไว้ที่ห้องคนเดียวอีก วิณณ์เลยตัดสินใจพักงานตรงหน้าทุกงานเพื่อกลับไปหาคนที่รอ


“จ่าผมกลับก่อนนะ”
“ครับผม”


วิณณ์หันหลังเตรียมที่จะเดินแต่ไม่ทันที่เขาจะก้าวเท้าออกไป ความรู้สึกจี๊ดแล่นมาที่หน้าอกก็เกิดขึ้นอีกแล้ว เจ็บจนทนไม่ไหว เขาทิ้งตัวพิงกำแพงไว้


เกิดขึ้นอีกแล้ว....


“ผู้กอง! เป็นอะไรครับ”
“ไม่เป็นไรจ่า รู้สึกเพลียนิดหน่อย คงนอนดึกนะ”
“แน่ใจนะครับ สีหน้าผู้กองดูไม่ดีเลย”


วิณณ์พยักหน้าเป็นเชิงว่าเขาโอเค เขาฝืนขับรถมาจนถึงใต้คอนโดยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทาบที่หน้าอกถึงมันจะเจ็บไม่เท่าตอนแรก แต่ความรู้สึกหน่วงๆ มันยังอยู่


เขานึกย้อนไปถึงวันที่เขาต้องไปตรวจร่างกายครั้งแรกหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล

     “มีอะไรวะไอ้หมอทำไมต้องทำหน้าเครียด”
     “มึงตรวจสุขภาพกับกูทุกปี แล้วมึงก็ปกติ แข็งแรงมาตลอด”
     “ก็เออไง”
     “ไม่เข้าใจเลยวะ”มันเหมือนจะพึมพำกับตัวเองแต่มันดังพอที่ผมจะได้ยิน
     “อะไร?”
     “ตอนที่กูฟังเสียงหัวใจมึงมันแปลกๆ แถมตอนที่เอ็กซเรย์หัวใจมึงก็ดูไม่ค่อยดีพักนี้มึงรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติบ้างไหม เหนื่อย
     ง่ายไหม หรือหน้ามืด วูบ อะไรประมาณนั้น”
     “ก็มีบ้างนะ แต่น่าจะเพราะกูโหมทำงานมากกว่า ไม่มีอะไรหรอกมึง อย่าคิดมาก”
     “กูเป็นหมอหรือมึงเป็นหมอ”
     “ก็มึงไง”
     “เออ เพราะฉะนั้นกูจะไม่สบายใจจนกว่าจะได้ตรวจมึงจนละเอียด”ชายรู้สึกแปลกใจเพราะเพื่อนเขามันมาตรวจร่างกาย
     สม่ำเสมอไม่เคยมีอาการบ่งชี้ถึงการผิดปกติมาก่อน ถ้าจะมีเขาก็ต้องรู้ เสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ แล้วยังฟิล์ม
     เอ็กซเรย์นั่นอีก
     .
     .
     .
     .
     “ไอ้วิณณ์”
     “มีอะไรวะไอ้หมอทำหน้าเครียดมาอีกละ แล้วนี่ต้องพกมียมาด้วยเหรอวะ”
     “เออ”

     ไอ้หมอฟิล์มนั่งลงที่โซฟาข้างๆ ส่วนไอ้หมอชายก็เอาฟิล์มเอ็กซเรย์ที่มันจับผมไปทำการสแกนอย่างละเอียดแปะไว้ที่ตู้อ่าน
     ฟิล์มด้านหน้า

     “มีอะไรกันวะ”
     “ไอ้วิณณ์.....จากฟิล์มเอ็กซเรย์ มันบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจมึงกำลังมีปัญหา”
     “มีปัญหายังไงวะ”
     “กล้ามเนื้อหัวใจมีภาวะอ่อนแรงซึ่งมันเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้”

     “......มันหมายถึงกูอาจจะหัวใจวายตายเมื่อไหร่ก็ได้งั้นเหรอ พวกมึงอย่ามาล้อกูเล่น”

     “กูก็อยากให้มันเป็นเรื่องล้อเล่น แต่มันไม่ใช่วะ จากฟิล์มมันแสดงภึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจมีปัญหา มันไม่ได้เพิ่งจะเป็น
     มัน....มันเหมือนกับหัวใจที่ผ่านสมรภูมิรบมายังไงยังงั้นเลยวะ”
     “แต่ถ้ากูเป็น มึงก็ต้องรู้”
     “ใช่ กูต้องรู้ แต่...แต่กูไม่รู้วะ มันเป็นไปได้ยังไง”

     สภาวะเดดแอร์เกิดขึ้นภายในห้องเราสามคนต่างมองหน้ากัน

     “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
     “มาก” ไอ้หมอฟิล์มย้ำ
     “มึงต้องดูแล ควบคุมตัวเอง ห้ามตื่นเต้น ดีใจ เครียด หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้หัวใจทำงานหนัก เพราะมันจะทำให้มึงหัวใจ
     วายตายได้”
     “ฟิล์ม” ชายเรียกชื่อแฟนมันเสียงเข้ม
     “ก็เขาพูดความจริง มันคือเพื่อนเรา มีอะไรก็บอกมันตรงๆ ไปเลย จะกั๊กทำไมมันจะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวยังไง” ชายถึงกับส่าย
     หัว
     “ตอนให้พูดกับญาติคนไข้ไม่กล้า พอกับคนใกล้ตัวนี่กล้าขึ้นมาเลยนะ”
     “แล้ววิธีรักษาละ กินยา ผ่าตัดมันก็มีไม่ใช่เหรอ”
     “กูก็อยากจะปลอบใจมึง ปลอบใจตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน ยามันช่วยให้มึงบรรเทาแต่ไม่ได้ให้หาย”
     “.....”
     “ส่วนการผ่าตัด ถ้าหัวใจมันหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปก็ดีซิ  แต่นี่มันคือชีวิตจริง หัวใจไม่ได้จะมีคนมาบริจาคง่ายๆ  มึงรู้ไหม
     คนที่ต้องการหัวใจมากกว่าคนที่บริจาคแค่ไหน”
     “.....”
     “ต่อไปนี้มึงต้องปฏิบัติตัวตามที่กูบอกทุกอย่าง”

     .
     .
     “เฮ้ย.......อย่าเงียบกันดิ ไม่ต้องทำหน้าซีเรียสแบบนั้น กูยังไม่ตายนะเว้ย”

     “แต่กูซีเรียส”





ก๊อกๆๆ


วิณณ์เลื่อนกระจกรถลง


“ว่าไงลุงเพิ่ม”
“ลุงเห็นผู้กองจอดรถตั้งนานแล้วไม่ลงมาซักที ก็เลยเป็นห่วง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีคิดอะไรเพลินนิดหน่อยนะครับ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ ถ้าผู้กองเป็นอะไรไปพวกเราคนในคอนโดต้องเศร้ากันหมดแน่”
“เว่อร์นะลุง” วิณณ์หยิบของลงจากรถลงมายืนคุยกับลุงเพิ่มต่อ
“ไม่เว่อร์นะครับ ก็เพราะว่าผู้กองอยู่ที่คอนโดนี้ แล้วยังมีพวกตำรวจมาคอยตรวจทุกๆชั่วโมงอีก คนแปลกหน้าเลยไม่มีใครกล้าผ่านมา”
“เหรอครับ”
“จริงนะครับ ขนาดวันนี้นะอยู่ดีๆ มีใครก็ไม่รู้มาถามหาเพื่อนจะขึ้นไปบนคอนโดให้ได้ ถามเบอร์ห้องก็ไม่รู้ ชื่อเพื่อนที่บอกมาก็ไม่ใช่คนในคอนโด ผมเลยไม่ยอมให้ขึ้น ตื้ออยู่ตั้งนานแต่พอว่าเขาเห็นมีสายตรวจมานะ รีบเผ่นแน่บไปเลย”
“ลุงจำหน้าได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก ใส่หมวกใส่แว่นมานะครับ”
“อืมครับ ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วละ งั้นผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ”
“ตามสบายครับผม”


วิณณ์กดลิฟท์พร้อมกับทบทวนเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ ตะวันที่เดินอยู่ดีๆ ก็โดนใครไม่รู้มาชนแถมยังเป็นแผลจนเลือดไหล ผมที่ไปตามสืบเรื่องเอ็มตามที่สายรายงาน กระถางต้นไม้หล่นลงมาเฉียดหัวไปนิดเดียวถ้าไม่เพราะจ่าเติมดึงผมไว้ หัวคงแตกแน่ บ้านแม่ที่ถูกขโมยขึ้นทั้งที่ตั้งแต่ผมเกิดมาและจำความได้ ไม่เคยมีขโมยซักครั้งที่ชุมชนนี้ น้องสาวและนายวายุที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างกระทันหัน

หรือจะเป็นไอ้เอ็มจริงๆ

เขาเดินมาหยุดที่หน้าห้องของตัวเองก่อนจะไขกุญแจเข้าไปด้านใน


“ตะวัน”
.
“ตะวัน”
.

“ตะวัน....อยู่ไหน” 

ปกติตะวันจะมารอเขาที่โซฟา แต่วันนี้กลับไม่มี แถมไฟด้านหน้าห้องยังไม่เปิดอีก วิณณ์เดินเอาของไปวางบนโต๊ะข้าว และเดินเข้าไปที่ห้องนอน

....หลับอยู่นี่เอง




“อื้อออ.....ไม่.......อึกกก.......วิณณ์......อื้อ......วิณณ์”

“ตะวัน”

“อื้อออ”

“ตะวัน”

“วิณณ์  ฮึก....อึก....กก”

“ตะวันเป็นอะไร”


ผมทั้งเรียกทั้งเขย่าตัว แต่ตะวันก็ยังไม่รู้สึกตัว เอาแต่ส่งเสียงอื้ออึงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ปากก็พึมพำฟังได้ศัพท์บ้างไม่ได้ศัพท์บ้าง

ที่พอจะฟังรู้เรื่องคือคำว่า ไม่ กับ วิณณ์ ที่เป็นชื่อผม


“ตะวัน....ตะวันตื่นซิ”
.
.
“ตะวัน”


“วิณ......วิณณ์......วิณณ์”


ตะวันสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา พอเห็นหน้าเขาก็โผเข้ากอดทั้งที่น้ำตายังไหลเต็มใบหน้า

“ฮืออออออ”
“เป็นอะไร เป็นอะไร”

เขากอดตะวันปากก็พร่ำคำปลอมประโลมให้คลายกังวล “ใจเย็นนะ ฝันร้ายเหรอ ไม่เป็นไรแล้วก็แค่ฝัน”

“ไม่ มัน มันเหมือนจริงมาก เหมือนมาก ตะวันกลัว วิณณ์ตะวันกลัวจริงๆ นะ”
“กลัวอะไร”
“กลัว....วิณณ์ตาย”


พูดจบคนร่างบางก็เอนซบกับอกพร้อมทั้งยังก้มหน้าก้มตาร้องไห้อย่างจริงจัง


“ก็แค่ความฝันอย่าคิดมากซิ”
“ไม่ ฮืออออ ยังไงตะวันก็กลัว”

วิณณ์กอดตะวันไว้ในอ้อมกอด มือก็คอยลูบหลังเป็นเวลานานที่เขาสองคนยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิม ไม่มีใครพูดอะไร เขารอจนตะวันค่อยๆ เงียบเสียงลง

“ใจเย็นขึ้นแล้วนะ” ตะวันพยักหน้า
“ไหนเล่าให้ฟังได้ไหมว่าฝันเรื่องอะไร” พอถามขึ้นมาน้ำตาก็เอ่อขึ้นทันที  “อย่าเพิ่งร้องซิ งั้นไม่เป็นไรถ้ายังไม่อยากเล่า ก็ไม่ต้องเล่าก็ได้”

วิณณ์ลูบหัวคนร่างบางอย่างเอ็นดู เขาคลายอ้อมกอดลงดันตัวตะวันให้นั่งดีๆ ก่อนจะดันตัวเองเพื่อลุกขึ้น แต่มือบางคว้าข้อมือเขาไว้


“อย่าไป”
“ไม่ได้ไปไหน แค่จะไปเอาน้ำมาให้”


ตะวันยอมปล่อยมือ วิณณ์เดินออกไปและกลับมาพร้อมแก้วน้ำในมือ


“วิณณ์”
“ครับ”

“ตะวันฝัน ในฝันมันโหดร้ายมาก ตอนแรกๆ ตะวันเองก็ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ตะวันฝันถึงประตูบานนึงใบเดิมซ้ำๆ ทุกๆ ครั้งตะวันจะยืนอยู่หน้าประตูเฉยๆ จ้องมองอยู่อย่างนั้น แต่ วันนี้ ..........
ตะวันเข้าไปใกล้ประตูบานนั้น ใกล้จนสามารถเอื้อมมือไปเปิดประตูได้ แล้ว”

“แล้ว?”

“มันเป็นห้องพยาบาลมีไฟดวงใหญ่ เครื่องมือแพทย์เต็มไปหมด ทั้งหมอทั้งพยาบาลวุ่นวายกันใหญ่ เพราะกำลังช่วยชีวิตคนบนเตียง  ตะวันเห็นวิณณ์……..
วิณณ์อยู่บนนั้นมีสายออกซิเจน สายน้ำเกลือ สายอะไรไม่รู้เยอะแยะห้อยเต็มไปหมด หมอกำลังพยายามปั้มหัวใจ ตะวันเรียกวิณณ์ เรียกเท่าไหร่ วิณณ์ก็ไม่ได้ยิน ฮือออ”


ตะวันเรียกชื่อวิณณ์พร้อมทั้งเขย่าแขน เขารู้สึกกลัวจนบอกไม่ถูก ถึงมันจะเป็นความฝันแล้วเขาตื่นแล้ว แต่ภาพมันยังติดตา เขายังจำเรื่องราวทั้งหมดได้ดี


“แค่ฝันนะตะวัน อย่าคิดมากซิ”
“ไม่ แต่มัน มันเหมือนมาก เหมือนจนตะวันกลัว ตะวันกลัววิณณ์ตาย ได้ยินไหม ว่าตะวันกลัว ฮืออออ”

“โอ๋ๆ รู้ครับ รู้ ไม่ร้องแล้วนะ”


สรุปวันนี้เขากับตะวันก็ไม่ได้ออกไปไหน จากที่ตั้งใจจะพาไปกินข้าวข้างนอก เขาต้องเปลี่ยนแผนสั่งข้าวมากินที่คอนโดแทน ส่วนตะวันถึงจะไม่ร้องไห้แล้ว แต่เขาก็เงียบไปมาก ไม่พูดไม่จา ยังคงกังวลคิดวนเวียนอยู่กับความฝัน

เขาตัดสินใจให้ตะวันกินยานอนหลับโดยไม่ลืมโทรไปปรึกษาไอ้หมอชายก่อน


“เออ มึงให้น้องเขากินยาตัวนี้ได้ มันจะทำให้น้องเขาสงบและหลับได้ เม็ดเดียวพอนะมึง เข้าใจไหม”


“วิณณ์ อย่าไปไหนนะ”
“ครับ”

“อย่าเป็นอะไรด้วย”
“คร้าบ”

“ตะวันรักวิณณ์นะ”
“ครับ”


วิณณ์ลูบหัวปัดผมที่ปรกหน้าผากอยู่ออก ค่อยๆ ก้มลงไปจูบที่หน้าผาก


“พี่ก็รักตะวันนะครับ”


“อุ๊บบบ” อาการเจ็บที่หน้าอกมาอีกแล้ว ช่วงนี้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ วิณณ์ประคองตัวเองพิงลงไปกับเตียง มือซ้ายกอบกุมหน้าอกตัวเอง มือขวากำมือคนร่างบางไว้แน่น










บ้านแม่ตะวัน


อ๊อด.....อ๊อด

ดาราที่กำลังขมักเขม้นทำงานบ้านอยู่ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงกริ๊งหน้าบ้านดังขึ้น  เธอรีบเดินไปเปิดประตูเพราะคิดว่าคนที่มาไม่ใช่ใครที่ไหนน้องจากลูกชายตัวเอง


“ทำไมวันนี้ถึงมาหาแม่ได้ละพ่อลูกชาย”
“.....”
“เอ่อ .......” แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านไม่ใช่ตะวัน “คุณอาทิตย์”


แทนที่จะเป็นลูกกลับเป็นคนพ่อซะแทน ถึงแม้จะยังไม่พร้อมต้อนรับแต่ด้วยมารยาทเธอจึงเชิญผู้มาเยือนเข้าบ้าน
เธอให้นายอาทิตย์นั่งรอที่ห้องรับแขก ส่วนตัวเองก็ไปยกน้ำดื่มมาให้


“ตะวันละ”
“ไม่อยู่หรอกค่ะ”
“ไปไหน”
“คอนโดผู้กองวิณณ์”
“ไปทำไม”
“ตอนนี้ตะวันไปอยู่กับผู้กองวิณณ์ค่ะ”
“......”
“ฉันให้ตะวันไปอยู่ที่คอนโดกับผู้กองวิณณ์ แล้วเสาร์ อาทิตย์ตะวันถึงจะกลับบ้าน” ดาราขยายความ
“ทำไมต้องไปอยู่”


ดาราอึกอักเธอรู้ดีว่าสิ่งที่เธอจะพูดจะทำให้เกิดปัญหาตามมาแต่เพราะการหนีไม่ใช่ทางออกของปัญหา สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะตอบตามตรง เพราะโกหกไปก็ไม่มีประโยชน์ จะช้าหรือเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี


“ผู้กองวิณณ์เขามาขออนุญาติพาตะวันไปอยู่ด้วยนะคะ ฉันเองคิดว่าตะวันอยู่กับผู้กองน่าจะดีและปลอดภัยกว่า”
“ดีกว่าอะไร? ปลอดภัยกว่าอะไร?”
“ฉันแค่คิดว่าผู้กองจะดูแลและปกป้องตะวันอย่างดีที่สุดในฐานะ คนรัก คนหนึ่ง”
“คนรัก??” อาทิตย์งุนงงกับประโยคที่ได้ยินแต่ไม่นานเขาก็ประติดประต่อเรื่องราวได้ 


“เดี๋ยวนะ คุณจะบอกว่า ที่ตะวันเคยบอกว่ารักผู้ชาย แล้วที่ไม่ยอมไปเรียนต่อก็เพราะผู้ชาย ผู้ชายคนนั้นคือผู้กองงั้นเหรอ.......????
แล้วคุณก็ยกลูกใส่พานให้เขาไปอย่างนั้นเหรอ คุณนี่มัน
บ้า....บ้า บ้า บ้า บ้ากันไปใหญ่แล้ว”


ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าไอ้เรื่องบ้าแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับเขามันคงเป็นความผิดเขาที่ยอมให้ลูกมาอยู่กับแม่ ทำให้ติดนิสันจนกลายเป็นพวกเบี่ยงเบนผิดปกติแบบนี้


“ผมไม่น่าปล่อยลูกให้อยู่กันคุณเลย มันถึงได้กลายเป็นแบบนี้”

“ถ้าคุณจะโทษฉัน ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะคะ ทุกคนต่อให้ถูกเลี้ยงมายังไงแต่ภายในจิตใต้สำนึกมันก็คือของเราเสมอ ไม่ว่าจะลูก ฉัน หรือว่าคุณเอง  การที่ลูกรักใคร รักแบบไหน มันก็ไม่หมายความว่าลูกจะเป็นคนเลว โลกสมัยนี้มันกว้างมากนะคะคุณอาทิตย์ แค่เราได้วนมาเจอกับคนที่พร้อมจะรักเราไม่ว่าเราจะเป็นยังไงมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอค่ะ”

“แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ไม่ได้ผิดมนุษย์มนาแบบนี้”
“ผิดมนุษย์เหรอค่ะ? ความรักไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร เวลาไหน เมื่อมันเกิดแล้วมันก็คือความรัก”
“.....”
“เราก็แก่กันมากแล้วนะคะ ฉันก็อยากจะอยู่ดูแลลูกไปตลอด คุณเองก็คงคิดเหมือนกัน แต่ความเป็นความจริงมันเป็นไปไม่ได้ ซักวันหนึ่งคนเป็นพ่อแม่อย่างเราก็ต้องตาย ถ้าวันนี้ลูกได้เจอคนที่ใช่แล้ว ฉันก็ดีใจและยินดีกับลูกด้วยก็เท่านั้น”


นายอาทิตย์เงียบไม่พูดต่อ แต่คำพูดของอดีตภรรยาอย่างดารามันก็คือความจริง เราไม่สามารถไปบังคับใครให้เป็นอย่างใจเรา ต่อให้เขายอมทำแต่ลึกๆ แล้วจิตใต้สำนึกเขาก็อาจจะคัดค้านเราอยู่ก็ได้

คนเราเกิดมาแล้วก็ตาย ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าคนที่เรารักและห่วงใยได้เจอกับสิ่งที่ดีแล้ว เราควรจะยินดีซินะ
ดารารู้ดีว่าคนปากแข็งอย่างอาทิตย์ไม่มีทางพูดหรือยอมรับว่าเห็นด้วยแต่จากท่าทางที่อ่อนลงนั่นก็หมายความว่าเขายอมรับเรื่องนี้ได้บ้างแล้วไม่มากก็น้อย

“คุณอยากจะคิดแบบไหนก็ตามใจคุณ แต่ผมทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี ผมเข้าใจดีว่าตลอดเวลาตะวันอยู่กับคุณและคุณก็ดูแลมาตลอดโดยไม่มีพ่ออย่างผม แต่......ฮึ”
“......”
“ผมกลับก่อนดีกว่า” นายอาทิตย์ถอนหายใ จ เมื่อพูดจบก็เดินหันหลังกลับไป








บ้านนายอาทิตย์



อาทิตย์ครุ่นคิดมาตลอดทาง เขาอาจจะแก่เกินไปที่จะเข้าใจโลกสมัยนี้ เขาไม่ได้รังเกียจลูกตัวเอง แต่แค่คิดว่ามันใช่เรื่องถูกต้องหรือที่ผู้ชายจะใช้ชีวิตกับผู้ชาย รถของนายอาทิตย์แล่นเข้าจอดในบ้าน ภรรยาคนปัจจุบันซึ่งก็คือแม่ของลมออกมารอรับ

“เป็นยังไงบ้างค่ะ ทำไมดูเหนื่อยๆ”
“เฮ้อออ” นายอาทิตย์ถอนหายใจ แล้วก็เดินเข้าบ้านไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา
“มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”  ณดาเดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำดื่มเย็นๆ ยื่นให้สามี

“ผมไม่เข้าใจความรักของเด็กสมัยนี้จริงๆ” นายอาทิตย์ถอนหายใจถอนหายใจอีก เขาไม่รู้จะพูดยังไงดีแต่กับ ณดา ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันเธอเป็นคู่คิดที่ดีให้เสมอ เขาจึงไม่ลังเลที่จะพูด
“ทำไมเหรอค่ะ เกิดอะไรขึ้น”

นายอาทิตย์เล่าเรื่องให้ณดาฟัง คนฟังก็ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อนายอาทิตย์พูดจบเธอก็ถึงกับอมยิ้มขึ้นมาทันที

“คุณยิ้มทำไม”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่ถ้าฉันเป็นคุณดาราฉันก็จะทำแบบเธอค่ะ”
“.....”
“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นซิค่ะ ฟังฉันก่อนคะ......พ่อแม่ทุกคน อย่าว่าแต่พ่อแม่เลยค่ะผู้ใหญ่ทุกคนบางคนก็รับเรื่องพวกนี้ได้ บางคนก็รับไม่ได้ แต่เราคนเป็นพ่อเป็นแม่มีความสำคัญต่อความเป็นไปของพวกเขา ต่อให้เขาทำเรื่องผิดร้ายแรงแค่ไหน หรือทำไม่ถูกใจเราแค่ไหน เขาก็ยังเป็นลูกเรา ถ้าพ่อแม่อย่างเราไม่พยายามแม้แต่จะเข้าใจพวกเขา คิดดูซิค่ะ เขาจะทำยังไง”

“.......”

“สิ่งที่คุณดาราทำก็คือยืนข้างลูกของตัวเอง เมื่อเข้าก้าวไปข้างหน้าไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายแรงแค่ไหนเขาก็จะรับรู้ได้เสมอว่าเขาจะไม่ล้มเพราะแม่ของเขาคอยสนับสนุนเขาอยู่ อีกอย่างความรักนะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอ่อนไหว ถ้าเรากีดกันและขัดขวาง การแก้ปัญหามักจะนำไปสู่เรื่องเศร้าเสมอ เราเปลี่ยนมาเป็นรับฟัง ให้กำลังใจ และคอยช่วยเหลือดีกว่าค่ะ”

“แต่มัน....มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นะคุณ ผู้ชายกับผู้ชายมันจะเป็นไปได้ยังไง”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ละคะ ความรักของคุณคืออะไร ถ้าคุณตอบว่าหญิงชายรักกัน สร้างครอบครัว มีลูก จบ มันก็ใช่แต่ก็ไม่ทั้งหมด บางคนรักแค่อยากจะรัก บางคนรักที่จะให้ บางคนรักพร้อมจะเสียสละ หรือบางคนรักแบบเห็นแก่ตัว อยากครอบครอง ไอ้คำพวกนี้เพราะเราไปจำกัดนิยามให้ต่างหาก จริงๆ แล้ว ความรักไม่จำเป็นต้องมีแบบแผนหรือกฎเกณฑ์อะไรมากำหนดสำหรับฉันแค่ได้รักก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว” เธอพูดจบก็จับมือสามีไว้อย่างแนบแน่น

“แล้วผมควรจะทำยังไง”

“คุณก็แค่วางตัวในฐานะพ่อก็พอค่ะ รักลูก ปกป้องลูก และพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอแค่นั้นเขาก็ดีใจแล้วค่ะ”








มีต่อ >>>>
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 1(12/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 12-01-2020 02:09:30
>>>>  ต่อ





ตะวัน



“เลือก”



ตะวันลืมตาตื่นขึ้นมา ไฟสลัวลอดจากผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เขาปรับสายตาอยู่สักพักก็เห็นว่าตัวเองยังนอนอยู่บนเตียงโดยที่ข้างตัวมีวิณณ์นอนกอดอยู่เหมือนเคย


เขาฝันแบบนี้มาตลอดสองอาทิตย์หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล ความฝันที่จะต้องเลือก


ผมไม่รู้ว่าผมต้องเลือกอะไร เลือกทำไม ผมฝันเห็นแต่ประตูบานหนึ่งซ้ำๆ กับเสียงที่วนเวียนอยู่ในหัวว่าให้เลือก มีอะไรอยู่อีกด้านของประตูบานนั้น?

ผมไม่เคยเล่าความฝันให้ใครฟัง แม้แต่กับวิณณ์


จนเมื่อวานนี้ผมฝันเห็นประตูบานเดิมแต่ต่างตรงที่ครั้งนี้ผมสามารถเปิดมันได้ และสิ่งที่อยู่หลังบานประตูนั้นก็ทำให้ผมกลัวแทบเป็นบ้า




ชีวิตหลังจากอออกจากโรงพยาบาลมาต้องยอมรับว่าชีวิตของผมสุขสงบดี ผมสลับไปๆมาๆ ระหว่างบ้านและคอนโดของวิณณ์ ถึงวิณณ์จะเสนอให้ผมไปอยู่กับเขาที่คอนโดเลยและให้แม่ผมไปอยู่กับแม่และน้องสาวของเขาก็ตาม


“ตะวันลูกไปอยู่กับผู้กองได้นะแม่ไม่ว่า แม่อยู่นี่ยังไงก็มีวายุอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้ว”
“แต่ผมกลัวแม่เหงา”
“แม่ไม่เหงาหรอก เราก็แค่กลับมาหาแม่บ้าง”
“แต่มันจะดีเหรอครับ”
“ดีทั้งนั้นแหละ อะไรที่ลูกทำแล้วมีความสุขมันดีกับแม่ทั้งนั้นแหละจ้ะ”



สุดท้ายผมจึงต้องแบ่งเวลา จันทร์ถึงศุกร์ผมจะอยู่คอนโดกับวิณณ์ โดยมีพี่วายุช่วยดูแลและอยู่เป็นเพื่อนแม่แทน พอเสาร์ อาทิตย์ผมก็กลับมาอยู่ที่บ้านตัวเอง

เรื่องระหว่างผมกับวิณณ์เราไม่ได้พูดอะไรกันมาก แค่รับรู้จากความรู้สึกและการกระทำ คนรอบข้างก็คงรับรู้ได้เช่นกัน
แม่ไม่เคยถามไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาหรือปัจจุบันก็ตาม ส่วนกับพ่อเราไม่ได้คุยกันเลยนับตั้งแต่เกิดเรื่องที่โรงพยาบาลวันนั้น แม่ของวิณณ์กับน้องสาวอย่างดารินเองก็แสนจะใจดีกับผม จนผมเกรงใจ


ทุกคนเหมือนจะรับรู้และเข้าใจเรื่องของเราโดยอัตโนมัติ


“อึ....อื้ออ” คนข้างตัวขยับพร้อมกับรัดตัวผมแน่นขึ้น
“วิณณ์ หายใจไม่ออก” พูดไปก็เท่านั้นแหละ นอกจากจะไม่ปล่อยยังมาทำตาหวานเยิ้มใส่อีก


“อรุณสวัสดิ์ครับ” เป็นปกติทุกเช้าของการตื่นนอน วิณณ์จะบอกอรุณสวัสดิ์พร้อมกับชอบหอมแก้มหอมหัวเขาทุกครั้ง
“อรุณสวัสดิ์ ไม่เหม็นเหรอ ไม่สระผมมาสองวันแล้วนะ”


ฟุดฟิดๆ วิณณ์ทำจมูกดมวนเวียนแถวผม


“จะว่าไปก็กลิ่น ตุๆ นะ”
“บ้า ไปอาบน้ำเลยไป วันนี้ต้องไปบ้านแม่วิณณ์นะ”
“คร้าบบ”
“ตะวัน”
“หืม”
“นี่”
“......”


วิณณ์เอาสองมือล๊อคหน้าเขาให้อยู่นิ่งก่อนจะระดมจูบไล่จากหน้าผากเลื่อนมาแก้มซ้าย ผ่านไปแก้มขวา จบด้วยริมฝีปาก ก่อนจะรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำไป


โอ้ยยย  เขินนนนนนน







“ตะวันโทรบอกแม่หรือยัง”  วิณณ์ตะโกนออกมา
“อืม”


วันนี้วันเสาร์ความจริงผมต้องกลับบ้าน แต่เพราะว่าแม่ของวิณณ์ชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน วิณณ์กลัวว่าจะดึกเกินไป ผมเลยต้องโทรไปบอกแม่ว่าจะกลับวันอาทิตย์แทน

เราเดินไปที่ลานจอดรถ ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อน รอสักพักวิณณ์ก็ยังไม่ยอมขึ้นรถมาซะที ผมจึงต้องลงไปตาม


“วิณณ์ มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามพร้อมทั้งมองไปรอบๆ
“ไม่มีอะไร”


วันนี้รถค่อนข้างติด เพราะบ้านแม่วิณณ์อยู่ชานเมืองเส้นทางของพวกเราจึงต้องผ่านใจกลางเมืองดงรถติดไปซะก่อน ทำให้เราต้องใช้เวลาอยู่บนรถกันค่อนข้างนาน


“หิวไหมตะวัน”
“ไม่ วิณณ์หิวเหรอ”
“ไม่ครับ แต่ดูจากรถติดแบบนี้แล้ว วิณณ์ว่าเราหาอะไรกินก่อนเถอะ กว่าจะถึงบ้านตะวันต้องหิวแน่”
“โอเค๊”


เราเลือกกินของง่ายๆ รองท้องกันไปก่อนนั่นก็คือ เบอร์เกอร์ที่ชอบไปสิงอยู่ในปั้มน้ำมัน หลังจากได้ของกินมาแล้ว วิณณ์ก็เดินหน้าขับฝ่าการจราจรต่อไป

ผมสังเกตุเห็นวิณณ์ชอบมองกระจกหลังตลอด จนผมต้องมองตาม


“มีอะไรหรือเปล่าเห็นมองไปข้างหลังตลอดเลย”
“รู้สึกเหมือนรถคันนั้นตามเรามา”
“เหรอ เขาอาจจะแค่มาทางเดียวกับเราก็ได้”


“ก็อยากจะให้เป็นแบบนั้นหรอกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะมันขับตามมาตั้งแต่คอนโด” วิณณ์พึมพำ  “วิณณ์อาจจะเข้าใจผิด ไม่ต้องคิดมาก แล้วเรานะคาดเข็มขัดด้วยซิบอกกี่ครั้งแล้ว”

“ครับ ครับ ครับ”


วิณณ์เลือกพูดแบบนั้นเพื่อไม่ให้ตะวันคิดมาก ตะวันเองหันไปคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดตามที่วิณณ์บอก

เราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะหลุดพ้นจากการจราจรมหาโหดออกมาได้ ความจริงเราสามารถขับไปได้อย่างสบาย แต่วิณณ์ยังคงเลือกขับแบบช้าๆ และวิ่งอยู่เลนซ้ายตลอดเวลา

เขาคิดไม่ผิดรถคันนั้นตามเขามาจริงๆ วิณณ์เลือกจะขับช้าอยู่เลนซ้าย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาการปะทะจะได้ไม่รุนแรงมาก จนถึงทางแยกวิณณ์เลี้ยวซ้ายเพื่อตรงไปยังบ้านแม่เขา

เขามองไปทางกระจกหลัง รถคันนั้นเร่งเครื่องตามมาจนชิดท้ายรถเขา ก่อนจะเบี่ยงขวาแซงขึ้นไป


“นี่เขาเข้าใจผิดเหรอ”


วิณณ์ตัดสินใจเปลี่ยนเลน และเร่งเครื่องขับออกไป จังหวะที่เขาทำความเร็วรถอยู่นั้นรถคันหน้าก็เกิดเบรคกระทันหัน




เอี๊ยดดดดด


วิณณ์เหยียบเบรกจนเสียงดังไปทั้งถนน มือข้างหนึ่งพยายามประคองพวงมาลัย อีกข้างหันไปคว้าและกดตัวคนข้างๆ ไว้กับเบาะรถ



ปึงงงงงง



หน้ารถเขาชนเข้าอย่างจังกับรถคันหน้า ก่อนที่รถเขาจะหมุนตกไปที่ไหล่ทางและหยุดนิ่ง

“ตะวันเป็นอะไรไหม”
“เจ็บ”
“ไหนดูซิ หัวคงกระแทกกับกระจกด้านข้าง ไม่เป็นไรแผลไม่ลึกมาก”


วิณณ์พยายามปลดเข็มขัดของตัวเองแต่มันติดเขาจึงหันไปปลดให้ตะวันก่อน สายตามองไปยังรถคู่กรณีคันหน้า ชายสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำเงิน ใส่หมวกปิดหน้าก้าวลงมาจากรถ

แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เขาก็จำมันได้ทันที



“เอ็ม!!!”


“สวัสดีผู้กอง นึกว่าเราจะไม่มีวันได้เจอกันอีกซะแล้ว”


มันเปิดประตูฝั่งที่ตะวันนั่ง และลากตะวันลงจากรถไป


“ไม่ ปล่อย ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ”
“มึงจะทำอะไร ปล่อยตะวันซะ”
“วิณณ์ ฮืออ ช่วยด้วย วิณณ์”

“หึ ดูท่ามึงจะรักมันมากนะ หน้าตาก็ดีทำไมมึงไม่ไปหาแฟนที่เป็นผู้หญิงวะ มาเอาไอ้หน้าอ่อนนี่อะนะ อ๋ออ.....” เอ็มจับหน้าตะวันพลิกไปพลิกมา

“ดูไปดูมา มันก็น่ารักดีนะ ผิวก็ขาว เนียน มิน่าละมึงถึงได้รักมันมาก”
“อย่ามาแตะตัวกูไอ้เหี้ย”


“อ้าาา” วิณณ์พยายามดึงเข็มขัดที่ติดอยู่ให้หลุด ปากก็สบถด่าไปด้วย


“ไอ้เอ็ม ไอ้เหี้ย ปล่อยมือมึงเดี๋ยวนี้”
“จุ๊ๆ อย่าดิ้นให้เจ็บเลย มึงไม่ต้องกลัวว่าจะตายไปคนเดียวหรอก กูมีเมตตาพอ จะสงเคราะห์มึงสองคนให้ไปอยู่ด้วยกัน ดีไหม”


วิณณ์มองไปรอบๆ ถนนเส้นนี้เป็นเส้นใน ไม่ค่อยมีรถผ่าน ถ้าจะมีก็นานทีจะมาซักคัน


“แต่ก่อนอื่นมึงคงต้องทรมานทนดูคนรักของมึงตายไปก่อน แล้วกูจะช่วยสงเคราะห์ส่งมึงตามไปก็แล้วกันนะ”


เอ็มเหวี่ยงตะวันออกไปด้านหน้า มันยกมือพร้อมเหนี่ยวไกปืนชี้ไปที่ตะวัน


ตะวันตัวสั่นงันงกยืนอยู่กับที่


“กูไม่ยอมให้มีงทำหรอก”   ตะวันเขวี้ยงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงใส่เอ็ม อาศัยจังหวะที่มันหลบวิ่งหนีไป


“มึงหนีไม่พ้นหรอก”



“ไอ้เอ็ม!!!”




ปัง



เสียงกระสุนสองนัดดังซ้อนกัน กระสุนสองนัดจากปากกระบอกปืนคนละกระบอก จุดหมายคนละจุดหมาย พร้อมกับคนสองคนที่ล้มลงพร้อมกัน



เอ็ม

วิณณ์




ตะวันไม่สนใจว่าตัวเองจะเจ็บไหม
ตะวันไม่สนใจว่าเอ็มมันจะตายแล้วหรือยัง
เขาสนใจแต่ผู้ชายตรงหน้า คนที่เป็นเหมือนชีวิต เป็นเหมือนหัวใจของเขา


“วิณณ์ วิณณ์ โดนยิงตรงไหน วิณณ์”


ตะวันพยายามหาบาดแผลตามตัวแต่ก็ไม่มี เลือดซักหยดก็ไม่เห็นแต่ว่าวิณณ์กลับนอนนิ่งไม่รู้สึกตัว ตะวันรีบวิ่งไปเอามือถือของวิณณ์ที่รถ มือสั่นเทาเลื่อนหน้าจอเพื่อหาเบอร์โทรขอความช่วยเหลือ เขานึกถึงใครไม่ออกจริงๆ นอกจาก หมอชาย



“พี่หมอ พี่หมอช่วยวิณณ์ด้วย ช่วยด้วย ช่วยวิณณ์ด้วย”




เขาไม่รู้ว่าเขารออยู่ตรงนี้นานแค่ไหน แต่ทันทีที่รถพยาบาลมา เขาและวิณณ์ถูกพาตัวขึ้นรถฉุกเฉินแยกไปคนละคัน

แล้วหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย







Talk :
1. ต้องขอภัยที่หายไปนาน ความจริงคือ เขียนจบแล้วแต่มันไม่ได้ดั่งใจเลยลบใหม่ตั้งแต่ต้น หืออออ
2. ด้วยเนื้อหาที่เยอะเลยขอแบ่งช่วงจบเป็น สองพาร์ทนะคะ

ปล. พาร์ทที่สองจะรีบตามมาให้ไวเลยคร่า
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 1(12/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-01-2020 13:50:01
 :pig4: :pig4: :pig4:

สรุป...ไอ้เอ็มตายไหม? หรือรอดไปได้อีก?

ตะวันต้องเลือก...เลือกว่าใครจะต้องตายสินะ?  ระหว่างตะวันกับวิณณ์
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 1(12/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-01-2020 23:26:26
ขอให้รอด ๆๆๆๆๆๆ  :call:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 1(12/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-01-2020 00:00:32
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 01-03-2020 02:30:18
บทที่ 38 Part 2 Ending




ตะวันกำลังยืนอยู่ที่หน้าห้องห้องเดิม
ประตูบานเดิม
ถ้ามันเหมือนกับที่เขาฝัน สิ่งที่อยู่หลังบานประตูมันคือสิ่งที่เขากลัวที่สุด

ตะวันยืนจดจ่อเก้ๆ กังๆ  สองมือบีบกันแน่นจนรู้สึกได้ว่ามันทั้งเย็นและสั่น สองขาก้าวถอยหลัง เพราะกลัวตัวเองจะเผลอไปเปิดประตูนั้นเข้า 
ถ้าเปิดประตูมาเจอวิณณ์นอนอยู่บนเตียงแบบในฝันละ เขาจะทำยังไง
เขายังไม่พร้อมที่จะเจอ

“เจ้าต้องตัดสินใจ ชะตาขีวิตทั้งของเจ้าและของผู้กองอยู่ที่มือเจ้าแล้ว จงเลือกซะ”

เสียงดังก้องสะท้อนเหมือนมันพูดอยู่ในหัวของเขา เสียงที่เขาไม่มีทางลืม ท่านพญายม

เลือกอะไร เขาต้องเลือกอะไรอีก
ความกลัวทำให้เขายืนอยู่นิ่งไม่ขยับไปไหน
เอาไงดี
เอาไงดี
เอาไงดี
เอาไงดี

ในใจพร่ำถามทั้งที่รู้ว่าไม่มีใครตอบ
.....สุดท้าย…..เขาก็ตัดสินใจเปิดประตูบานนั้น


“ฮือออออ.... ซีน........ลูกแม่ ฟื้นซิลูกฟื้น ทำไมเป็นแบบนี้........ ฮือออออ  ................ แม่บอกแล้วใช่ไหม แม่บอกแล้ว คบเพื่อนแบบนี้ซักวันมันต้องพากันไปตาย ทำไมไม่เชื่อแม่ ..........ฮืออออออ........... แล้วแม่จะอยู่กับใคร ลูก....ซีน   มาเอาแม่ไปด้วย เอาแม่ไปด้วย...........ฮึก.....ฮือ”

หญิงวัยกลางคนกอดร่างที่ไร้วิญญาณนอนคลุมผ้าบนเตียง เสียงร่ำไห้อ้อนวอนก้องดังไปทั่วทั้งห้อง

.

.

.

“แม่จ๋า พ่อจ๋าอยู่ไหนเหรอค่ะ”  ผู้เป็นแม่ได้แต่มองหน้าลูกน้ำตาคลอ
“แม่ร้องไห้ทำไมเหรอค่ะ”  เด็กน้อยไร้เดียงสาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอคิดเพียงว่ามาที่นี่จะได้เจอพ่อ คนเป็นแม่ได้แต่อ้ำอึ้ง
“คุณพ่อแกล้งคุณแม่เหรอค่ะ อ๋อ ลูกหนูรู้แล้ว คุณพ่อไปแอบแล้วคุณแม่หาไม่เจอเลยเสียใจใช่ไหมค่ะ”
“.....”
“โอ๋…. ไม่ร้องนะคะ เดี๋ยวลูกหนูจะทำโทษคุณพ่อเองค่ะ”  เด็กน้อยมองผ่านกระจกเข้าไปด้านในห้อง ซึ่งในนั้นมีเตียงที่มีผ้าคคลุมปิดอยู่
“คุณแม่ขา ในนั้นมีอะไรเหรอค่ะ”
“.....”
“ลูกหนูรู้แล้ว คุณพ่ออยู่ในนั้นใช่ไหมค่ะ”
“......”
“ลูกหนูจำมือคุณพ่อได้” เด็กน้อยชี้ไปยังเตียงด้านใน “ลูกหนูเก่งไหมค่ะ”

เด็กหนอเด็กไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราว มันยิ่งทำให้คนเป็นแม่กลั้นน้ำตาไม่อยู่ อุ้มลุกน้อยขึ้นมาและกดหน้าไว้กับไหล่ตัวเอง เจ้าหน้าที่ในห้องเหมือนรู้งาน เปิดผ้าคลุมออก ทันทีที่เธอเห็น ขามันอ่อนแรง เข่าทรุดทิ้งตัวเองลงกับพื้น น้ำตาไหลไม่ขาดสาย มือยังคงกดหน้าลูกไว้ ลูกควรจำได้แต่พ่อที่ชื่อ ยงยุทธ ทั้งใจดีและหล่อเหลาได้ เท่านั้น
“คุณแม่เป็นอะไรค่ะ โอ๋เอ๋….โอ๋เอ๋นะคะ ไม่ร้องแล้วค่ะ ลูกหนูรักคุณแม่นะคะ รักคุณพ่อด้วย”

.

.

.

.

“เอ็ม..........เอ็ม ฟื้นซิลูกฟื้น ลุกขึ้นมาคุยกับแม่ก่อนนะลูก”
“พ่อจะไม่ด่าเอ็งแล้ว เอ็งอยากทำอะไรพ่อยอมหมดเลย แค่ลุกขึ้นมาหาพ่อก่อนนะเอ็ม”
ตอนมีชีวิตเพราะความดื้อรั้น เกเร คบแต่เพื่อนอันตพาลทำให้เรียนไม่จบ หลงมัวเมาไปกับสิ่งล่อลวงทางอารมณ์ ทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อลูกต้องห่างเหิน กว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว
“แม่บอกเอ็งแล้วใช่ไหมลูก ให้ตั้งใจเรียนหนังสือโตมาจะได้ทำงานดี เป็นเจ้าคนนายคน ถ้าเอ็งเชิ่อแม่เอ็งก็ไม่ต้องมาตายแบบนี้ เอ็ม ... ฮืออออ........... ใจแม่จะขาดอยู่แล้ว ....โธ่....เอ็ม
....แม่ยอมตายแทนลูก แม่ยอม ขอแค่คืนลูกของแม่มา...... เอาลูกแม่คืน..ฮึก .........เอาลูกแม่คืนมา  ฮืออออ....
.....เอาแม่ไป..... เอาแม่ไปแทน”
ผู้เป็นแม่ได้แต่พูดอยู่แบบนั้นซ้ำ

ต่อแต่นี้ก็เหลือกันแค่สองผัวเมีย แทนที่ลูกจะได้มาเผาพ่อแม่ กลายเป็นพ่อแม่ต้องมาเผาลูกแทน





แล้วทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงกลางทางเดิน โดยด้านซ้ายและด้านขวาของเขาเป็นกระจกและเมื่อเพ่งมองดีๆ ตะวันจึงเห็นว่าภายในห้องทั้งสองห้องนั้นมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ทุกคนดูวุ่นวายและเคร่งเครียด

แม่ 
พ่อ
พี่วายุ

“แม่....พ่อ.....พี่วายุ  มาทำอะไรกัน ตะวันอยู่นี่ได้ยินไหม แม่ครับ  พี่วายุ”

ตะวันพยายามตะโกนเรียกแต่ไม่มีใครได้ยินทุกคนในห้องเอาแต่สนใจหมอที่กำลังพูดอะไรสักอย่าง เขาทั้งเคาะ ทั้งทุบกระจกแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แม่.....พี่วายุ”

ในจังหวะที่เขาทุบมือลงไปอีกครั้ง  ตัวของเขาก็พุ่งเข้าไปในห้องทุกคนในห้องยืนอยู่รอบเตียง แม่ก็เอาแต่ร้องไห้โดยมีพี่วายุคตอยพยุงไว้ พ่อก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดเดาไม่ถูกและข้างๆ พ่อก็มีลมลูกชายอีกคน

“แม่ แม่ได้ยินตะวันไหม ใครก็ได้พูดกับตะวันหน่อย พี่วายุ พ่อ ลม ลมได้ยินไหม มีใครได้ยินตะวันบ้าง พี่หมอ  พี่หมอชาย....โธ่เอ้ย”

เขาตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้และนั่นก็ทำให้เขาต้องตกใจอีกครั้ง นั่นมันตัวเขา...

“แม่ แม่ครับ แม่ได้ยินตะวันไหม แม่ ฮือออ”

ตะวันทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง เขาทั้งสับสนเขาทั้งกลัว นี่เขาจะต้องตายอีกรอบจริงๆ เหรอ

“คุณหมอบอกน้าเถอะค่ะต้องทำยังไง ต้องรักษาตะวันยังไง”
“คุณน้าครับใจเย็นๆ ก่อนนะครับหมอผ่าตัดเอากระสุนออกแล้ว แต่เพราะกระสุนถูกยิงใกล้กับจุดสำคัญมากทำให้มีเลือดไหลภายใน หมอได้ให้ยาห้ามเลือดไปแล้ว ต้องรอดูว่าร่างกายของตะวันตอบรับกับยาได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เราทำได้แค่....ต้อง....รอ”

“ตะวัน ..... ตะวัน”  ดาราได้แต่พึมพำเรียกชื่อลูกซ้ำ

ตะวันยืนดูร่างตัวเองที่กลับมานอนแน่นิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ที่เขาเกือบโดนรถชนตายครั้งหนึ่ง
เขาหันกลับไปอีกด้าน ถ้าเขาอยู่นี่แล้ววิณณ์ละ และเหมือนกับมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่างเพราะทันทีที่เขาคิดมันก็ดูดตัวเขาโผล่มายังห้องอีกฝั่งหนึ่ง และที่นั่น วิณณ์ก็นอนอยู่บนเตียงนั้น

“วิณณ์.....วิณณ์ได้ยินไหม”

เขาพยายามมองหาร่องรอยของบาดแผลบนตัววิณณ์แต่ก็ไม่มี มันเหมือนวิณณ์กำลังหลับ แต่จากสีหน้าของทุกคนในห้อง แม้กระทั่งหมอเองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกเลยว่าวิณณ์โอเค

“วิณณ์....เป็นอะไร  ตื่นมาคุยกับตะวันก่อนซิ วิณณ์”

“พี่หมอฟิล์ม พี่วิณณ์จะหายไหมค่ะ”
หมอฟิล์มนิ่ง ยิ่งเสียงหมอฟิล์มถอนหายใจ นั่นมันยิ่งทำให้ตะวันรู้สึกร้อนรน
“พี่ยังบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอกดาริน พวกเราได้แต่ภาวนาให้วิณณ์รู้สึกตัวและฟื้น  เพราะถ้าวิณณ์ยังนอนไม่รู้สึกตัวแบบนี้เราก็จะรักษากันต่อไม่ได้”
“แต่พี่วิณณ์จะฟื้นใช่ไหมค่ะ”
“พี่ก็บอกไม่ได้อีกเหมือนเดิม ทุกอย่างอยู่ที่วิณณ์คนเดียว”
“พี่ฟิล์มอะ อะไรๆ ก็ไม่รู้ นู่นก็บอกไม่ได้ นี่ก็บอกไม่ได้ พี่ฟิล์มเป็นหมอนะคะ”
“ดาริน!” เสียงของผู้เป็นแม่ปรามขึ้น “ขอโทษพี่เขาซะ”
“ขอโทษค่ะพี่ฟิล์ม ดาไม่ได้จะว่าพี่ฟิล์มนะคะ แต่ดาห่วงพี่วิณณ์”
“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ เพราะถ้าเป็นพี่พี่ก็คงร้อนรนไม่ต่างกัน”
“แล้วนี่พี่ตะวันเป็นยังไงบ้างค่ะ”
“ผ่าเอากระสุนออกแล้ว แต่ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดเพราะแผลจากกระสุนทำให้มีเลือดคลั่งภายใน”
“โธ่ ตะวัน”
“เฮ้ออออ  อีกคนก็ถูกยิง อีกคนก็ดันมานอนเป็นเจ้าชายนิทราแบบนี้ อะไรกันเนี่ย หึ่ยยย”

ดารินบ่นพร้อมกับเอามือเกาหัวตัวเอง จนผมยุ่งไปหมด


ตะวันออกมายืนกุมหัวอยู่หน้าห้อง ทำไมพวกเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ
เขามองสลับไปสลับมาระหว่างสองห้อง หันไปทางซ้ายก็เห็นร่างตัวเองนอน ทางขวาก็มีวิณณ์นอนนิ่งเช่นกัน  ตะวันเดินเข้าไปดูร่างของตัวเองใกล้จนหน้าชิดกระจก


          ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

แกนะไอ้ตะวัน แกมันเหมือนตัวซวยเลยวะ อยู่ใกล้ใครคนนั้นก็ต้องซวยไปด้วย

          ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

สัญญาณ.....นั่น?

          ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

แปลก...

           ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

ตัวเลขมัน…..


ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ร่างของตัวเอง สัญญาณชีพ ความดัน ตัวเลขทุกอย่างบนเครื่องนั่นเพิ่มขึ้น 
มันคืออะไร?
ตะวันกลับเข้าไปในห้องของที่ตัวเองนอนอยู่
สัญญาณชีพ หัวใจ ความดัน ยังคงเพิ่มขึ้นจนระดับปกติ

“หมอชายค่ะ สัญญาณชีพของคนไข้กลับมาเป็นปกติแล้วค่ะ  แต่แปลกเมื่อกี้มันยังขึ้นๆลงๆ ไม่คงที่ เหมัน....เหมือน....มีอะไรกระตุ้นแล้วหายเป็นพักๆ แต่มีครั้งนี้นี่แหละค่ะที่มันสม่ำเสมอ”

เขารู้สึกว่ายิ่งเขาอยู่ใกล้ร่างตัวเองเท่าไหร่ มันยิ่งส่งผลดี เขาอาจจะคิดไปเอง

.

.

.

“หมอชาย!! คุณวิณณ์คลื่นหัวใจตกค่ะ”  เสียงพยาบาลตะโกนมาจากห้องอีกฝั่ง หมอชายวิ่งไปอีกห้องหนึ่ง โดยมีตะวันตามมาด้วย

หะ!!! คลื่นหัวใจตก!!!

“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ทราบค่ะอยู่ดีๆ การเต้นของหัวใจก็ตกลงเรื่อย”  หมอชายเข้าไปจับชีพจรพร้อมฟังเสียงหัวใจ
“ชีพจรยังมีแต่เบามาก เสียงหัวใจก็ไม่ค่อยดี”


          ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด


“หมอค่ะคลื่นหัวใจเพิ่มขึ้นแล้วค่ะ”
“หะ?”

“หมอค่ะ ความดันคุณตะวันตกลงมาเหมือนตอนแรก คลื่นหัวใจก็ลดลงเช่นกันค่ะ”
“อะไรนะ?”

หมอชายวิ่งกลับไปที่ห้องของตะวัน โดยมีทั้งเขาและหมอฟิล์มวิ่งตามเหมือนเงา
.

.

.

“หมอค่ะ คุณวิณณ์ความดันกับชีพจรตกเหมือนกันค่ะ”

หมอชายกับหมอฟิล์มต่างมองหน้ากัน เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนสองคนนี้ หลังจากที่วิ่งวุ่นกันไปมา พร้อมกับตรวจอย่างละเอียดหมอชายให้ยารักษาตามอาการ ทุกอย่างกลับมาคงที่แต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิม

“อะไรกันวะ แม่งเอ๋ย”  หมอชายทิ้งตัวลงนั่งด้านหน้าห้องคนไข้ พร้อมกับสบถอย่างหัวเสีย อาการของคนทั้งคู่เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็แย่มันทำให้เขาตื้อไปหมด
“ใจเย็นซิหมอชาย”  หมอฟิล์มเตือนสติแฟนตัวเอง ด้านนอกมีทั้งพยาบาล ญาติคนไข้และตอนนี้ต่างหันมามองเต็มไปหมด
“เราจะทำยังไงกันดี การจะหาหัวใจใหม่มันไม่ได้ง่ายและไวขนาดนั้น ไอ้วิณณ์นะไอ้วิณณ์ไอ้เพื่อนบ้า บอกแล้วว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี แล้วนี่อะไรพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงแบบนี้”

หมอฟิล์มเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาหลังจากที่เงียบกันมาสักพัก

หาหัวใจ???


“เฮ้อออ”  หมอชายถอนหายใจ “กว่าจะได้คิวรอรับบริจาคหัวใจก็คงอีกนาน”
“เราทำเรื่องยื่นไปที่ศูนย์รับบริจาคก็ได้ ว่าเรา มีความจำเป็นจริงๆ”
“กฎก็ต้อ งเป็นกฎ ใครมาก่อนได้ก่อน ฟิล์มก็น่าจะรู้นะ”
“เรา....เอ่อ เราก็บอกไปซิ ว่าเราจำเป็นจริงๆ มันเป็นเรื่องเร่งด่วน มันขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของคนไข้”
“แล้วเรามีความจำเป็นคนเดียวเหรอ เร่งด่วนฝ่ายเดียวหรือก็เปล่า  ความเป็นความตายของคนไข้มีเราฝ่ายเดียวหรือก็ไม่ใช่”
“......”
“ชายรู้ว่าฟิล์มห่วงวิณณ์  ชายก็ห่วงมันเหมือนกัน แต่เราทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้จริงๆ”

หมอฟิล์มมองหน้าแฟนตัวเองอย่างงอน แต่สิ่งที่ชายพูดมามันคือความจริง คนอื่นก็มีความจำเป็นไม่ต่างกัน

 “งั้นถ้าเราขอรับบริจาคจากภายในโรงพยาบาลเองละ”
“....” 
“ก็ถ้าเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลเราเองที่ยื่นความต้องการว่าจะบริจาคอวัยวะให้กับคนไข้ในความดูแลของโรงพยาบาลเราไง”
“แล้วฟิล์มจะทำยังไง จะเดินเข้าไปหาคนไข้ หรือญาติคนไข้แล้วถามเขาว่าต้องการบริจาคหัวใจไหมอย่างนั้นเหรอ”
“....”
“ชายว่าไม่ถูกไล่ตะเผิดออกมาก็คงโดนตีหัวแตกกลับมา”
“บ้า ไม่ใช่แบบนั้น เราจะทำประชาสัมพันธ์ให้คนที่สนใจเชิญชวนลงชื่อบริจาคอวัยวะเพื่อต่อชีวิตให้คนอื่น เป็นการทำกุศลไง”
“แล้วเราต้องใช้เวลานานแค่ไหนละฟิล์ม”
“ก็ไม่รู้ อาจจะช้า หรือเร็วก็ได้ แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่เหรอ ระหว่างที่รอเรื่องอนุมัติจากศูนย์ฯ ถ้าโรงพยาบาลเรามีผู้บริจาคก่อน เราก็ใช้ของโรงพยาบาลเราไง”
“แต่ถ้าศูนย์ฯ รู้ว่ามีผู้บริจาค บริจาคอวัยวะแล้วเราไม่รายงานกลับศูนย์ฯ โรงพยาบาลเราจะถูกสอบได้นะ”
“ก็อาจจะใช่.....ถ้าอันนั้นผู้บริจาคไม่ระบุผู้รับอะนะ”

ถ้าผู้บริจาคระบุชื่อผู้รับเอาไว้ เราก็สามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องส่งไปที่ศูนย์ฯ แค่ทำหนังสือแจ้งก็พอ

“อืม”  ชายพยักหน้าเข้าใจในเจตนาของแฟนตัวเอง
“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร นะชายนะ”
“อืม งั้นชายฝากฟิล์มดูเรื่องนี้ด้วยนะ แล้วก็บอกให้พวกพยาบาลช่วยด้วยก็ได้นะ เพราะพวกเขาจะสนิทกับคนไข้และญาติมากกว่าหมออย่างเราซะอีก”
“ได้ครับที่รัก”



วิณณ์เป็นโรคหัวใจ และ ต้องเปลี่ยนหัวใจ




มันเกิดอะไรขึ้น??




ตะวันพบว่าตัวเขากลับมาที่ทุ่งหญ้า เขานั่งลงที่ใต้ต้นไม้ต้นเดิมเขานั่งก้มหน้าจ่อมจมอยู่กับความคิดตัวเอง เพราะเขา ถ้าเขาไปคิดโง่ฆ่าตัวตาย ทำให้แม่ต้องเสียใจ จากที่คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้กลับไปเจออหน้าแม่ หรือครอบครัวอีกแล้ว จู่ๆ เขาก็ได้รับโอกาสจากทางกาลเวลานั่นคือชื่อที่เขาเรียกตอนแรก ซึ่งต่อมาใครจะรู้ว่าท่านกาลเวลาก็คือท่านพญายาม เพราะท่านต้องการทดสอบจิตใจของมนุษย์เขาจึงได้รับโอกาสนั้น โอกาสที่กลับมาเป็นคนอีกครั้ง

และนั่นมันทำให้เขาเจอกับวิณณ์ นายตำรวจหนุ่มฝีมือดีผู้รักความยุติธรรมเป็นชีวิตจิตใจ

วิณณ์มนุษย์คนเดียวที่ได้ยินเสียงและเห็นเขา และเพราะเขาเข้าไปวุ่นวายกับวิณณ์ ไปขอร้องให้วิณณ์ช่วยเขาทำภาระกิจเพื่อให้ได้พรอันแสนวิเศษข้อนั้น มันเลยทำให้วิณณ์เป็นแบบนี้ ต้องเข้ามาพัวพันเรื่องอันตรายไม่หยุดหย่อนแล้วก็เจ็บตัว แล้วตอนนี้วิณณ์กำลังจะตาย
วิณณ์กำลังจะตาย
เขาจะทำอะไรได้บ้าง จะทำอะไรเพื่อช่วยวิณณ์ได้บ้าง


เลือก

จงเลือกซะ


แล้วคำพูดในความฝันก็ดังขึ้นในความคิดเขา


เลือกงั้นซินะ









วิณณ์

“เจ้าจะยอมเสียสละตัวเองอย่างนั้นรึ”
“ครับ”
“แต่เจ้ายังไม่ถึงที่ตาย”
“ครับ”
“ถ้าเจ้ายอมตายตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะต้องวนเวียนไปอีกหลายปีเลยนะ”
“ครับ

“นี่เจ้าจะพูดอย่างบ้างได้ไหมนอกจาก ครับ เฮ้อ....แล้วแม่กับน้องสาวละ”


วิณณ์นิ่งไป จะช้าจะเร็วซักวันเขาก็ต้องตาย ทุกคนต้องตาย การที่เขายอมพรากชีวิตตัวเองถึงมันจะเป็นบาป แตมันจะทำให้ตะวันได้ชีวิตกลับคืน ถึงมันจะทำให้แม่ต้องเสียใจ แต่เขาก็คิดว่าแม่เขาจะเข้าใจเขาแน่นอน


“ท่านบอกเองตั้งแต่แรกว่าเราสองคนจะมีเพียงหนึ่งเท่านั้นที่จะได้กลับไป ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้บอกท่านแล้วว่าผมยินดีที่จะอยู่ที่นี่เอง และให้ตะวันได้กลับไป แต่ท่านก็ยังส่งเรากลับไปพร้อมกัน จนมาตอนนี้ผมและตะวันเราทั้งคู่ต้องกลับมาเจอเหตุการณ์นี้อีก ท่านก็ถามผมอีกด้วยคำถามเดิม”
“......”
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอตอบท่านด้วยคำตอบเดิมเช่นกัน ผมขอเลือกตัวเองครับ”

“เฮ้อออ เรานับถือน้ำใจเจ้าจริงๆ แล้วเจ้าละ ....ตะวัน.....  เจ้ายอมรับไหม”


“ไม่ครับ ผมไม่ยอมรับ”


ตะวันโพล่งออกไป เขาตัดสินใจเดินตามทางข้ามสะพานแห่งแม่น้ำมาเรื่อยๆ จนมันพาเขามาถึงที่นี่ ที่ที่เขาเคยเจอกับท่านพญายมในครั้งแรก


“ตะวัน!!!”


“ชีวิตของผมเอง ผมเลือกทางผิดเองตั้งแต่แรก ผมจะไม่ยอมให้ใครต้องมาเสียสละหรือรับผิดชอบเรื่องนี้แทนตัวเองทั้งนั้น”
“ตะวันพูดอะไร” วิณณ์ดึงตะวันไปถอยกลับมา แต่ตะวันก็สะบัดมือทิ้งและเดินแน่วแน่ไปเบื้องหน้าของท่านพญายมต่อ
“วิณณ์ ตะวันขอบคุณที่ดีกับตะวันขนาดนี้ แต่ตะวันทำไม่ได้หรอกที่จะให้วิณณ์มารับผิดชอบเรื่องนี้แทน”
“หมายความว่าไง”
“ตะวันนะ ควรจะตายไปตั้งแต่แรกแล้ว”
“อย่ามาพูดบ้าๆ อะไรแบบนี้นะตะวัน ที่เราอุตส่าห์สู้กันมาตะวันจะยอมให้มันเสียเปล่าเหรอ”
“แล้วจะให้ตะวันกลับไปใช้ชีวิตเป็นคนอย่างมีความสุข แล้ววิณณ์ต้องอยู่แบบนี้นะเหรอ ตะวันทำไม่ได้หรอก ตะวันจะอยู่ได้ยังไงถ้าอยู่โดยไม่มีวิณณ์ ”

คนพูดน้ำตาเอ่อ แต่เขาจะไม่ยอมสะอื้นให้ตรงหน้าเห็น


“แล้วคิดบ้างไหมว่าวิณณ์ก็ไม่ต่างกัน”
“...........”
“มันเป็นกฎมีเพียงหนึ่งที่จะได้กลับไป และมีเพียงหนึ่งที่จะต้องอยู่”
“งั้นตะวันก็ขอเป็นคนอยู่”
“ตะวัน!!! อย่าดื้อซิ”
“…….”
“นี่ฟังนะ ถึงวิณณ์จะกลับไปวิณณ์ก็อยู่ได้ไม่นานหรอก”
“โรคหัวใจใช่ไหม”
“หืม?” วิณณ์ทำหน้าแปลกใจเขาไม่เคยบอกตะวันเรื่องนี้
“ใช่...รู้”
“งั้น...ก็ดี เพราะงั้นตะวันต้องเชื่อวิณณ์ ได้กลับไปอีกไม่นานก็ต้องตายเพราะโรคหัวใจ จะตายตอนไหนมันก็ไม่ต่างกัน ขอวิณณ์เลือกตั้งแต่ตอนนี้แล้วกัน”


“ไม่หรอกวิณณ์จะไม่ตาย”


“ท่านพญายมครับผมขอคุยกับท่านหน่อยได้ไหมครับ….....เป็นการส่วนตัว”   

ตะวันเน้นคำหลังอย่างหนักแน่น ท่านพญายมพยักหน้าเป็นการอนุญาติ


“ตะวัน”
“รอนี่นะ”
“ไม่” 

วิณณ์รั้งข้อมือของตะวันเอาไว้ ตะวันแกะมือวิณณ์ออก สายตาที่จ้องมองกลับมาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แบบที่เขาไม่เคยเห็น

“ไม่มีอะไรหรอก รอนี่นะ” วิณณ์ยอมปล่อยมือ

เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปมันทำให้เขาอึดอัด วิณณ์ลุกขึ้นเดิน นั่งลง และลุกขึ้นวนเวียนแบบนี้ จนในที่สุดเขาก็เห็นท่านพญายมเดินกลับมาโดยมีคนร่างบางเดินตาม


“ตะวัน” วิณณ์เดินเข้าไปประชิดตัวคว้ามือตะวันมาจับไว้พร้อมกับเอ่ยถาม ตะวันไม่ตอบได้แต่มองหน้าและยิ้มตอบกลับมา
“ตะวัน ไปคุยอะไรกันมาอะ”
“.....”
“ตะวัน พูดซิ”


“ท่านครับ…”

“ตามที่เจ้าขอ”







“หมอ หมอค่ะ”
“ว่ายังไงครับ แล้วทำไมต้องวิ่งเสียงดังมาแบบนี้”
“คุณตะวันฟื้นแล้วค่ะ”
“หะ!”


หมอชายและหมอฟิล์ม วิ่งนำหน้าพยาบาลไปที่ห้องพักฟิ้นของตะวัน ในนั้นมีทั้งพ่อแม่น้องชายของตะวัน แม่ของวิณณ์ ดาริน และวายุอยู่กันครบ


“พี่หมอค่ะ พี่ตะวันฟื้นแล้วค่ะ”

“ถอยก่อนนะครับ ขอหมอตรวจคุณตะวันก่อนนะครับ”

“ไม่ต้องหรอกครับ” ตะวันพูดพร้อมกับพยายามลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่แรงแทบจะไม่มีให้ขยับตัวได้เลย
“ตะวันอย่าดื้อซิลูก”
“หมอครับ ช่วยพาผมไปหาวิณณ์ทีครับ”

“หมอเกรงว่า...”
“หมอครับ ผมขอร้อง”


ทุกคนยอมจำใจทำตามที่ตะวันขอร้อง เพราะตะวันไม่ยอมให้ใครรักษเขาทั้งนั้นถ้าไม่ได้เจอวิณณ์ ซึ่งมันอันตรายมากสำหรับคนไข้ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา

ตะวันถูกพานั่งรถเข็นคนไข้มายังห้องของวิณณ์ รอบเตียงรอบตัวของวิณณ์ถูกติดตั้งไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิต มันคือเครื่องมือยื้อชีวิตของวิณณ์


“พาผมเขาไปใกล้ๆ หน่อยได้ไหมครับ”
“แต่...”
“แม่ครับ”
“จ้ะ” ผู้เป็นแม่ยอมทำตามที่ลูกชายขอร้อง เธอรู้ดีถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่เธอก็รู้ว่าทั้งสองคนผูกพันกัน

ตะวันถูกเข็นเข้าไปใกล้เตียงของวิณณ์ เขาเอื้อมมือไปจับมือของวิณณ์ไว้ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อใช้เวลาร่วมกัน แต่ถ้าเขาเลือกแบบนั้นเขาจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด ทำร้ายได้แม้กระทั่งคนที่ตัวเองรัก



“ท่านพญายมครับไม่มีทางเลยเหรอครับ พวกเราไม่สามารถจะอยู่ด้วยกันได้จริงๆ เหรอครับ”
“ตะวันเจ้ารู้ไหมว่าทำไมวิณณ์ที่ร่างกายแข็งแรงมาตลอด อยู่ดีๆ ถึงได้เป็นโรคหัวใจและกำลังจะตาย”

ตะวันส่ายหน้า

“การที่เจ้าทั้งสองคนได้กลับไปบนโลกมนุษย์ไม่ใช่เพราะความบังเอิญหรือเลินเล่อของเรา แต่มันคือความตั้งใจของเรา เจ้าคิดว่าเราไม่อยากให้เจ้าได้สมหวังรึ แต่เจ้าเองก็เห็นแล้วไม่มีอะไรในโลกนี้สมหวังไปซะหมดหรอก การที่เจ้าปรารถนาในการมีชีวิต และการที่เจ้าหนุ่มวิณณ์นั่นปรารถนาจะสละตัวเอง มันทำให้เจ้าหนุ่มนั่นอ่อนแอลง และเจ้าแข็งแกร่งขึ้น”

“หมายความว่ายังไงครับ”    ....ท่านจะบอกว่าเพราะผมวิณณ์ถึงได้เป็นแบบนี้เหรอครับ”

“เมื่อมีอยู่ก็ต้องมีจาก ของทุกอย่างบนโลกไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ นรกกับสวรรค์ก็เช่นกัน เจ้าลองดูตัวเองซิ เจ้าแข็งแรงสุขสบายดี แต่คนที่แย่กลับเป็นเจ้าหนุ่มนั่น”

ท่านพญายมถอนหายใจออกมา  นี่พญายมอย่างข้าต้องมารู้สึกลำบากใจอะไรแบบนี้ด้วยรึ

“ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้าละนะ  เจ้าทั้งสองคนโชคดีที่ได้กลับไปโลกมนุษย์อีกครั้ง แต่มันคือความโชคดีบนความโชคร้าย ทั้งสองไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ หากมีชีวิตหนึ่งอยู่ อีกชีวิตหนึ่งต้องตาย”
“ท่านจะบอกว่าไม่ผมหรือวิณณ์จะต้องมีใครสักคนตายงั้นหรือครับ  เพราะแบบนี้ที่วิณณ์เป็นแบบนี้ก็เพราะผมงั้นหรือครับ”

“โชคชะตาได้เลือกแล้วนับตั้งแต่วันที่พวกเจ้าสองคนได้กลับไป ความมุ่งมั่นของเจ้าที่อยากจะมีชีวิตอยู่
และความมุ่งมั่นของเจ้าหนุ่มนั่นที่ทำทุกอย่างเพื่อให้พรเจ้าสัมฤทธิ์ผล”

“.......”

“ความรักของเจ้าหนุ่มนั่นยิ่งใหญ่จนน่านับถือ”

“ทำไมท่านไม่เคยบอกผม  ทำไมไม่บอกผม ฮือออออ”

ตะวันพร่ำร้อง เพราะเขา ทุกอย่างเกิดขึ้น เพราะเขา เพราะเขา


“เราได้พยายามบอกเจ้าแล้ว ถ้าเจ้ายังจำได้ ...............จงเลือกซะ


จงเลือก




ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความหมายของความฝันนั้นคืออะไร


เขาต้องเลือก



>> มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Sub_yo ที่ 01-03-2020 02:52:43
>> ต่อ



เขาควรจะพูดตอนนี้เพราะทุกคนอยู่กันครบ เขาจะทำให้เสียเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้


“หมอครับ หัวใจของผม.......ผมขอยกให้วิณณ์”
“อะไรนะ”  หมอฟิล์มร้องเสียงหลง
“ตะวันพูดอะไรออกมาลูก” ดาราเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“คุณตะวัน คุณรู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา”  เป็นหมอชายที่ถามออกมา
“รู้ซิครับ ผมรู้ว่าวิณณ์เป็นอะไรและก็รู้ว่าพวกคุณหมอกำลังพยายามหาหัวใจมาเพื่อผ่าตัดให้กับวิณณ์”
“เดี๋ยวนะครับ คุณรู้เหรอครับ”
“ครับ”
“รู้ได้ยังไง”

ชายมั่นใจว่าเรื่องนี้มีแค่เขา ฟิล์มและวิณณ์เองที่รู้ตอนแรก ส่วนเรื่องที่จะหาหัวใจมาผ่าตัดให้นั้น ทุกคนก็เพิ่งจะรู้พร้อมกันที่นี่และตอนนั้นทั้งวิณณ์และตะวันก็ยังไม่ได้สติด้วยกันทั้งคู่


“ไม่สำคัญหรอกครับ สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือการหาหัวใจไม่ใช่เหรอครับ และผมก็จะเป็นผู้บริจาคให้วิณณ์”
“คุณตะวันมันไม่ง่ายขนาดนั้นนะครับ ผมรู้ว่าคุณอยากช่วยวิณณ์แต่หัวใจที่บริจาคมันต้องมาจากผู้บริจาคที่สมัครใจ และต้องถูกลงความเห็นจากทางแพทย์เท่านั้น”
“ผมสมัครใจ”
“คุณตะวัน” 

หมอชายถึงกับเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ

“คุณตะวันแต่คุณยังไม่ตาย หมอไม่สามารถเอาหัวใจ อย่าว่าแต่หัวใจเลย อวัยวะอะไรก็ตามจากคนที่ปกติได้นะครับ หมอเข้าใจที่คุณอยากช่วยไอ้วิณณ์ แต่หมอว่าตอนนี้เราได้แต่ต้องรอผู้บริจาคอื่นเท่านั้นครับ”
“หมอครับ ผมรู้ผมเข้าใจหมดทุกอย่าง ผมจะเซ็นต์ขอบริจาคอวัยวะและระบุผู้รับอย่างชัดเจนหมอไม่ต้องห่วงนะครับ”
“คุณจะทำอะไรคุณตะวัน อย่าบอกนะว่าคุณจะฆ่าตัวตาย ถ้าคุณฆ่าตัวตายเพื่อมาบริจาคอวัยวะยิ่งยากไปกันใหญ่เลยนะครับ” 
หมอฟิล์ม

“ผมไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ ไม่ต้องห่วง ผมแค่อยากจะบอกให้คุณหมอทราบไว้ก่อนว่าผมจะทำเรื่องบริจาคหัวใจโดยระบุผู้รับคือวิณณ์ ทันทีที่ผมตายหมอต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้ผม”
“คุณตะวันผมไม่เข้าใจ คุณบอกว่าคุณจะไม่ทำอะไรตัวเองแน่นอน แต่คุณกลับพูดเหมือนกับว่าคุณรู้ ว่าคุณจะตาย”
“สัญญาซิครับ”
“......”
“สัญญาซิครับว่าหมอจะทำ จะรีบจัดการทันที สัญญาซิครับหมอ”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หมอชายมองหน้าตะวันเขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่สายตาที่มองกลับมากลับนิ่งและไม่แสดงออกถึงความลังเลซักนิด

“หมอครับ”
“คุณตะวัน หมอสัญญา แต่....”
“.....”
“หมอจะทำก็ต่อเมื่อ การบริจาคดำเนินไปอย่างถูกต้อง”


ตะวันยิ้ม


“แน่นอนครับ การบริจาคจะเป็นไปอย่างถูกต้องทุกอย่าง”



“ตะวันลูกจะทำอะไรนะ” เมื่อตั้งสติได้ ดาราจึงเอ่ยปากถามลูกชายทันที
“แม่ครับ ตะวันขอโทษแต่ตะวันไม่สามารถกลับมาได้แล้วจริงๆ ตะวันต้องไปตามทางของตะวัน” 
“แม่ไม่เข้าใจ ทำไมลูกพูดแบบนี้ นี่ไงลูกกลับมาหาแม่แล้วอยู่กับแม่แล้วนี่ไง”

ตะวันยิ้มเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนๆไปด้วยน้ำตา วันนี้เขาต้องทำร้ายจิตใจคนที่รักเขาอีกครั้งแล้วหรือ

“แม่ พ่อ พี่วายุ คุณน้า ดาริน พี่หมอชาย พี่หมอฟิล์ม ลม”
.
.
.
“นี่คือคำขอครั้งสุดท้ายของผม เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะผมที่ทำให้เกิดขึ้น วิณณ์ต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะผม ผมไม่สามารถกลับมาเป็นตะวันได้อีกแล้วเพราะฉะนั้นขอให้ผมได้ทำอะไรเพื่อวิณณ์สักครั้งเถอะนะครับ”
“แกจะทำบ้าๆ แบบนี้ไม่ได้นะตะวัน” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้น 
“พ่อครับ ผมไม่ได้มาเพื่อขออนุญาติ แต่ผมมาบอกความต้องการของผมให้ทุกคนช่วยทำตาม”
“ผมนายตะวัน เรืองฤทธิ์ในฐานะของผู้บริจาคเมื่อข้าพเจ้าหมดลมหายใจ ข้าพเจ้าขอบริจาคและมอบหัวใจให้กับนายวิณณ์   ธรรมรัตน์”

“ตะวัน!”
“พี่ตะวัน!”
“คุณตะวันอย่าทำแบบนี้”
“ตะวัน ฮึกกกก” 

เขามองทุกคนตรงหน้า ทุกคนดูไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แม่เขายังคงทำใจไม่ได้ พ่อยังคงไม่ยอมรับ คุณน้าและดารินเองก็เอาแต่ร้องไห้ พี่วายุ ลม หมอชาย หมอฟิล์มเองมองมาที่ผมอย่างสงสัย

“ตะวันรักวิณณ์ใช่ไหมลูก” เขามองหน้าแม่สบตากับแม่อย่างมั่นคง
“ครับ”
“แล้ววิณณ์เองก็รักตะวันใช่ไหม”

เขามองไปด้านหน้าและยิ้มออกมา

“เราสองคนไม่เคยคิดหรือหาเหตุผลกันสักครั้ง เราแค่รู้ว่าเรารู้สึกยังไงแค่ได้อยู่ด้วยกัน ได้พูดคุยหัวเราะไปด้วยกัน มันก็ทำให้มีความสุขแล้วครับ”
“แล้วถ้าตะวันไม่ได้อยู่กับวิณณ์ตะวันจะไม่เสียใจเหรอลูก”
“เสียใจซิครับ แต่ตะวันเห็นแก่ตัวไม่ได้ ถ้าเราดันทุรังที่จะอยู่ด้วยกัน สุดท้ายก็ต้องมีคนหนึ่งที่จากไปอยู่ดี และถ้าตะวันเลือกที่จะอยู่ คนที่จะต้องตายก็คือวิณณ์ ทั้งที่ตะวันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด ตะวันจะให้ใครมารับผิดชอบแทนตะวันไม่ได้ครับ”

ตะวันมองหน้าผู้เป็นแม่ เขาโน้มตัวลงไปกอด ผู้หญิงที่ให้กำเนิดเขา ดูแลฟูมฟักเขามาตั้งแต่เล็กจนโตเพียงคนเดียว

“แม่ครับ ตะวันขอโทษ”

ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู เธอกอดลูกชายพร้อมกับโยกตัวไปมาเหมือนกับตอนเด็กๆ ที่เธอมักจะกล่อมเด็กน้อยตะวันให้หลับไปกับอกของเธอ

“ตะวันเป็นลูกที่ไม่ดีเลยเนอะ เอาแต่ทำให้แม่เสียใจ ถ้าตะวันไม่อยู่แล้วแม่ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ”

ผู้เป็นแม่กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ตะวันรับรู้ได้ถึงอกท่าสั่นกระเพื่อมของผู้เป็นแม่

“พี่วายุ ผมฝากแม่ด้วยนะพี่ พ่อผมขอโทษที่ผมเป็นลูกที่ไม่เรื่อง ลมพี่ขอโทษนะความจริงพี่ไม่ได้เกลียดหรือโกรธอะไรลมเลย
คุณน้า ดาริน ผมฝากวิณณ์ด้วยนะครับ ผมอยากจะอยู่ข้างเขา ทำอะไรหลายอย่างกับเขา แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว” ตะวันพยายามฝืนยิ้มออกไป
“พี่หมอชาย หมอฟิล์ม ผมรบกวนด้วยนะครับ”


“แม่ครับ อย่าร้องไห้เลยนะ
ตะวันขอโทษ……ฮึกกกก…..ตะวันขอโทษ...นะ.......ครับแม่.....”


เขาได้แต่พูดขอโทษแม่ซ้ำๆ  เขาเป็นลูกอกตัญญูแทนที่จะอยู่ทดแทนบุญคุณแม่ เขาก็เลือกที่จะฆ่าตัวตายเพียงเพราะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รักไม่เห็นค่า และครั้งนี้เขาก็เลือกที่จะตายเพราะผู้ชายอีกคนเช่นกัน แต่เหตุผลมันต่างกันเเขาไม่สามารถเห็นแก่ตัวเอาชีวิตตัวเองรอดและทิ้งให้อีกคนตายได้

และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือวิณณ์

วิณณ์ ผู้ชายแสนดีที่เข้ามาในช่วงจังหวะชีวิตที่กำลังเคว้งคว้าง เขาได้พบกับคำว่ามิตรภาพ ความจริงใจ วิณณ์ห่วงใยใส่ใจเขาในทุกเรื่อง ทำทุกอย่างเพื่อเขาให้บรรลุภารกิจทั้งที่ไม่จำเป็นและทิ้งไปตอนไหนก็ได้ และสุดท้ายในช่วงเวลาคับขันวิณณ์ก็ยังอยู่ข้างเขาเสมอ

ถ้าจะมีอะไรตอบแทนได้ นั่นก็คือ ชีวิตที่เขาจะคืนให้กับวิณณ์

“ตะวันรักแม่นะครับ รักมาก ตะวันขอโทษที่เป็นเด็กไม่ดี ทำให้แม่ต้องคอยห่วง กังวล และเสียใจ ตะวันขอโทษนะครับ.....ถ้าเลือกได้ตะวันก็อยากจะอยู่กับแม่ แต่ถ้าตะวันทำแบบนั้นมันก็เหมือนตะวันเห็นแก่ตัว วิณณ์อุตส่าห์ช่วยตะวันมาตลอด ทั้งที่เขาจะเลิกช่วยตอนไหนก็ได้แต่เขาก็ไม่ทำ เขาต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะตะวัน แล้วถ้าเขาต้องมาตายเพราะตะวันอีก ตะวันจะอยู่อย่างมีความสุขได้ยังไง”


ตะวันรักแม่นะครับ ตะวันเชื่อว่าแม่จะเข้าใจตะวัน


ว่า......เขาได้ถึงวาระของตัวเองแล้วจริงๆ

   

“ตะวันไม่พูดแบบนี้ลูก มันเป็นลางไม่ดี น้าใจไม่ดี”
“ใช่ค่ะพี่ตะวัน อย่าทำแบบนี้ พี่คิดว่าพวกเราจะดีใจเหรอค่ะที่พี่ตะวันทำแบบนี้”

“อย่าคิดมากกันซิ ตะวันบอกแล้วว่าตะวันไม่ได้จะฆ่าตัวตายหรืออะไรทั้งนั้น......แค่......

.............ตอนนี้.......มันถึงเวลาของตะวันแล้ว”


ตะวันพูดด้วยเสียงสั่นเครือถึงเขาจะเคยตายมาแล้ว แต่มันไม่เหมือนกันตอนนั้นเขาตายแบบทันทีไม่ต้องพูดหรือร่ำลา หรือต้องมามองหน้ากับคนที่รักที่ตอนนี้กำลังมองเขากลับมาด้วยสายตาตัดพ้อ 

หยดน้ำใสๆ ไหลเลอะแก้มจากที่มองทุกคนชัดในสายตา ทว่าเวลานี้กลับพร่าเลือนพยายามเพ่งเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น สมองเบาหวิวเหมือนจะหลุดลอยไปได้ทุกเวลา ขาที่มั่นคงกลับสั่นไหวจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ มือสั่นชื้นเต็มไปด้วยเหงื่อ

เขาต้องไปแล้วจริงๆ เหรอ
ถึงเวลาของเขาแล้วใช่ไหม
เขาจะไม่ได้เจอกับทุกคนแล้วใช่ไหม
แม่
พ่อ
พี่วายุ
ลม
คุณน้า
ดาริน
พี่หมอ

วิณณ์




ดาราสะดุ้งตื่นเธอพบว่าตัวเองยังนอนอยู่ที่โซฟาที่หน้าห้องพักฟื้นของตะวัน และคนอื่นๆ ก็อยู่กันครบแต่ยังไม่มีใครตื่น นี่เธอฝันเหรอ ทำไมมันเหมือนจริงมาก เธอคิดย้อนไปถึงความฝัน

ตะวัน!!!

เธอรีบวิ่งไปที่หน้ากระจกห้องของตะวัน ตะวันยังนอนอยู่ตรงนั้น

ตึกๆ

เสียงฝีเท้าวิ่งมาทางด้านหลัง หมอชาย หมอฟิล์ม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ”
“คุณน้าใจเย็นๆ รอก่อนนะครับ” หมอฟิล์มจับมือเพื่อให้ดาราอุ่นใจก่อนจะเข้าห้องไป

“คุณพยาบาลเกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ”
“คนไข้ความดันตก ตอนนี้ชีพจรต่ำมากค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
“ตะวัน” เธอเกาะกระจกจ้องมองไปด้านใน เธอกำลังจะเสียลูกไปอีกครั้งอย่างงั้นเหรอ
“โธ่ตะวัน ตะวันลูกแม่ ฮืออออ”

ดาราร้องไห้ทรุดนั่งที่เก้าอี้หน้าห้อง เธอกำลังจะเสียลูกไป แม่กำลังจะเสียดวงใจของแม่ไป เธอพร่ำร้อง คร่ำครวญ

“คุณน้า คุณน้าเป็นอะไรค่ะ”

ดารินรู้สึกตัว ทันทีที่เธอได้ยินและเห็นดารากำลังร้องไห้จึงรีบเข้ามาหา และคนอื่นก็ตามมาสมทบทั้ง วายุ ลม แม่ของวิณณ์

“ตะวัน ฮืออ ตะวัน”

ดารินประคองดาราไว้ ในใจก็ตีกันยุ่งเหยิงว่าเธอควรจะพูดหรือไม่ ด้วยความสงสัยใครรู้ที่มีมากเธฮจึงตัดสินใจพูดออกมา

“หนูฝันด้วยค่ะ”
“…..”
“…..”

“ฝันว่าพี่ตะวันฟื้นขึ้นมา มาพูดกับพวกเราทุกคน แล้วก็สุดท้ายพี่ตะวันก็บอกว่า
ว่า ถ้าพี่เขา  ตาย  แล้ว     พี่เขาจะบริจาคหัวใจให้พี่วิณณ์ค่ะ”

ดารินกลั้นใจพูดออกไป มันช่างเป็นคำพูดที่อึดอัด

“ผมก็ฝัน”
“พี่ด้วย”
“แม่เองก็ฝัน”
“หะ นี่ทุกคนฝันพร้อมกันหมดเลยเหรอ”


แกร้กกก


ประตูห้องเปิดออก หมอชายและหมอฟิล์มเดินออกมา ดูจากหน้าตาแล้วคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ

“พี่หมอ เป็นยังไงบ้างค่ะ”
“ใช่ค่ะหมอ ลูกน้าเป็นยังไงบ้างค่ะ”

“ตอนนี้คุณตะวันอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจครับ”
“หมายความว่ายังไงคะหมอ บอกน้าให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยเถอะค่ะ”
“คือ ตอนนี้คุณตะวันอยู่ในสภาวะสมองตาย และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้าเราถอดออกคุณตะวันก็จะ…….ตาย”
“ตะวัน  ตะวัน ฮืออออ”

ทุกคนตกอยู่ในสภาวะนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไร เรื่องที่พวกเขาฝันกับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ จะบอกว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ ตะวันมาเพื่อบอกทุกคนว่าเขาจะตายและต้องการบริจาคหัวใจให้วิณณ์ แล้วพวกเราควรจะทำยังไงละ ต้องทำตามที่ตะวันขอเอาไว้อย่างนั้นหรือ

“หมอค่ะ ทำตามที่ตะวันต้องการเถอะค่ะ”
“ไม่ ไม่ค่ะคุณดาราอย่าทำแบบนี้ ฉันรับไม่ได้ ไม่ได้จริง”
“ไม่ต้องคิดมากค่ะ นี่คือสิ่งที่ตะวันต้องการและเขาก็มาบอกด้วยตัวเอง คนเป็นแม่อย่างฉันจะไม่ทำตามคำขอครั้งสุดท้ายของลูกได้ยังไงละคะ”
“แต่ฉันรับไม่ได้” ดาราจับมือแม่วิณณ์ไว้
“อย่างน้อยฉันก็ยังรู้ว่าจะมีตะวันอยู่ข้างๆ ถึงแม้จะในร่างคนอื่นก็เถอะ”
“แต่คุณน้าครับ เราจะไม่รออีกสักหน่อยเหรอครับ” หมอชายเอ่ยขึ้น
“หมอค่ะ ถ้าหมอมั่นใจว่าตะวันจะฟื้นและกลับมาเป็นปกติได้ หมอคงไม่มาบอกน้าแบบนี้หรอกใช่ไหมค่ะ อีกอย่างหมอสัญญากับตะวันแล้ว หมอต้องรักษาสัญญา”
“แล้วคุณน้าไม่เสียใจเหรอครับ”

“เสียใจซิ เสียใจมากด้วย”  ดาราตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ตะวันจะยังอยู่กับน้าเสมอในนี้ ในหัวใจของแม่คนนี้”  น้ำตาของผู้เป็นแม่หยดเป็นสาย แต่ทว่าใบหน้ากลับแน่วแน่มั่นคง

“ครับ”

เตียงของคนทั้งคู่ถูกเข็นออกจากห้องพักฟื้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องผ่าตัด รถถูกเข็นผ่านประตูห้องแล้วห้องเล่า ผ่านแสงจ้าจากหลอดไฟไปทีละดวง ทีละดวง ในที่สุดก็ถึงประตูห้องผ่าตัด

“หมอค่ะ ขอน้าคุยกับลูกอีกครั้งนะคะ”
“ครับ”

ดาราเดินเข้าไปที่เตียงของตะวัน

“ลูกชายของแม่ยังน่ารักเหมือนตอนเป็นเด็กไม่ผิด แม่เฝ้าทนุถนอมเลี้ยงดูลูกมาตลอดถึงเวลาที่เราเป็นแม่ลูกกันมันจะสั้น แต่แม่ก็รักลูกเหลือเกิน เกิดชาติหน้าขอให้เราได้เป็นแม่ลูกกันอีกนะ ลูกรักของแม่”

ดาราก้มจูบที่หน้าผากของลูกชาย ต่อให้ทำใจแข็งแค่ไหน แต่น้ำตาของผู้เป็นแม่ก็ไหลอยู่ดี

“ชาตินี้ลูกแม่คงทำบุญมาน้อย เจอคนที่รักก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน” ดาราจับมือของตะวันและวิณณ์มาจับกันไว้  “หากชาติหน้ามีจริง แม่ขอให้ลูกทั้งสองคนเกิดมาคู่กัน รักกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะลูก แม่ขออวยพรให้เราล่วงหน้าเลยนะ”


“คุณดู!!!”  ดารินสะกิดให้วายุดูภาพตรงหน้า


ทั้งที่ทั้งคู่ไม่รู้สึกตัว แต่กลับเหมือนรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ผู้เป็นแม่บอก


น้ำตาหยดใสที่ไหลลงมา







ตะวันจูงมือวิณณ์พาเดินออกไปที่ใต้ต้นไม้กลางทุ่งหญ้า เขามองไปที่ท้องฟ้าตอนนี้สว่างสดใส ผิดกับในใจเขาที่มันห่อเหี่ยวมืดมนจนอยากจะกรีดร้องเพื่อระบายมันออกไป แต่ก็ทำไม่ได้


“วิณณ์”
“......”
“ตะวันขอบคุณนะสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ขอบคุณที่ช่วยกันเคียงข้างกัน ขอบคุณที่ทำให้ตะวันทุกอย่าง”
“.....”
“ตะวันโชคดีมากๆ ที่ได้มาเจอวิณณ์ถึงจะเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นตะวันก็ยังรู้สึกดี ขอบคุณโชคชะตาที่พาให้เรามาเจอกัน”
“เดี๋ยวนะตะวัน มาพูดอะไรแบบนี้ตะวันตัดสินใจอะไรไป วิณณ์ไม่ได้เห็นด้วยหรอกนะ แล้วก็ไม่ยอมรับด้วย”
“.....”
“ยังไงเราก็ต้องกลับไปพร้อมกัน”
“วิณณ์ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นวิณณ์ก็จะอยู่”
“ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ชีวิตวิณณ์ วิณณ์ตัดสินใจเอง”
“แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้”
“งั้นเราก็อยู่ที่นี่ด้วยกัน”
“วิณณ์ อย่างอแงได้ไหม วิณณ์ไม่เคยเป็นแบบนี้ ปกติวิณณ์จะเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลเสมอ แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ดื้อแบบนี้ละ”


วิณณ์ นั่งลงถอนหายใจเสียงดัง ก่อนจะเอนกายลงบนพื้นดินและหลับตา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตะวันคิดคืออะไร ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนที่ต้องอยู่คือตะวันไม่ใช่เขา แต่จะให้เขาทำยังไง ในใจของเขาตอนนี้มันตีรวนกันไปหมด เขาคิดเข้าข้างตัวเองว่าสวรรค์อาจจะหลงลืมปล่อยๆ เรื่องนี้ไปบ้าง นรกอาจจะใจดีทำเป็นไม่รู้ หรืออาจจะมีปาฏิหารย์ซักนิดที่ตะวันจะได้อยู่กับเขา แต่มันก็ไม่ใช่

สุดท้ายเราก็ต้องจากกัน



“เป็นวิณณ์ได้ไหม ให้วิณณ์ได้ทำเพื่อตะวันอีกครั้งนะขอร้อง”



วิณณ์พูดมันออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา เขายกมือขึ้นปิดหน้าไม่รู้น้ำตามาจากไหน นานแค่ไหนที่เขาไม่ร้องไห้ แต่กับครั้งนี้มันแทบทนไม่ไหว แค่คิดว่าจะไม่มีเขาแล้วมันก็ทนไม่ไหวแล้ว

มันเจ็บที่ใจจนพูดไม่ออก ได้แค่ขดตัวลงหวังว่ามันจะช่วยได้แต่ก็ไม่


“วิณณ์ อย่าทำแบบนี้ วิณณ์....วิณณ์”


ตะวันคุกเข่าลงข้างตัว เขาเอื้อมมือไปจับแขนของคนที่นอนออก ดวงตาคู่นั้นมองกลับมาที่เขาถึงมันจะแดงจนแทบไม่เห็นตาขาว แต่ตาของเราก็ยังจ้องกันไม่หนีไปไหน

“ตะวันรักวิณณ์นะ มันเกิดขึ้นตอนไหนไม่รู้ รู้แค่ทุกวันที่มีวิณณ์ ตะวันไม่เคยกลัวอะไรอีกเลย แล้ววิณณ์จะให้ตะวันทำร้ายคนที่ตะวันรักได้ยังไง จะให้ตะวันไปแย่งชีวิตจากวิณณ์มาได้ยังไง ตะวันทำไม่ได้หรอก”

วิณณ์ขยับตัวลุกขึ้นนั่งสองมือยังคงกอบกุมมือขอคนตัวเล็กไว้


“แล้วตะวันคิดว่าวิณณ์จะอยู่ได้ไหม”
“....”
“คำตอบคือ ไม่ แบบนี้แล้วตะวันยังจะทำร้ายวิณณ์ให้อยู่คนเดียวได้ลงเหรอ”
“วิณณ์อย่ามองตะวันแบบนี้ ขอร้อง....อย่าทำให้ตะวันต้องล้มเลิกสิ่งที่ตั้งใจเลย”

ตะวันเอื้อมมือไปจับแก้มทั้งสองข้างของวิณณ์ให้อยู่นิ่งและมองตรงมาที่ตัวเอง ตอนนี้ไม่เหลือตำรวจที่แข็งแกร่งคนนั้น เขาเห็นแค่เพียงผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น


“ตะวันรักวิณณ์นะ รักมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจำไว้ว่าเราไม่เคยห่างไกลกัน ตะวันจะอยู่ในนี้เสมอ” ตะวันชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของวิณณ์


“ใช้ชีวิตที่แหลือเพื่อตะวันด้วยนะ”


วิณณ์กอดตะวันไว้ในอ้อมอก ใจสลายมันเป็นแบบนี้เหรอเป็นแบบที่เขาเป็นอยู่ใช่ไหม มันจุก มันแน่น อึดอัดทำอะไรไม่ได้ เขามองหน้าคนตัวเล็กที่เอาแต่ร้องไห้ บอบบางขนาดนี้ทำไมถึงได้เด็ดเดี่ยวนักนะ


“วิณณ์รักตะวันนะ ตะวันจะอยู่ในนี้เสมอ วิณณ์จะรอวันที่เราได้เจอกันและได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง”  และเขาก็ก้มลงไปจุมพิตที่ปากบาง



“สัญญานะ”


“สัญญา”









ถ้าต้องอยู่โดยปราศจากหัวใจ เขาจะอยู่ได้ยังไง
ถ้าต้องอยู่โดยไร้ชีวิต เขาจะอยู่ไปเพื่อใคร

หนทางที่เลือกอาจดูโหดร้าย แต่คนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งอย่างเขาจะกลัวอะไร ขอเพียงให้ได้เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ก็เพียงพอแล้ว ถึงแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันเขาก็พร้อมยอมรับได้

ดวงตะวัน ถึงจะร้อน

แต่ก็ยังคงให้แสงสว่าง
ทำให้ฝนตกได้ชุ่มฉ่ำ
และให้ความอบอุ่นยามหนาวเหน็บ

“ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อตะวันด้วยนะ มีความสุขกับทุกๆ วันให้มากที่สุด ตะวันไม่ได้จากไปไหน ยังอยู่ในนี้เสมอ”


ตะวันรักวิณณ์นะ

รักที่สุด
.
.
.
สุดที่รัก








จากใจนักเขียน :

ขอบพระคุณคนอ่านที่อดทนติดตาม ถึงจะช้า (ไปมากกก)
ตอนจบของเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้แล้วตามนี้เลยคือ ตะวันตาย  แต่ถึงแม้จะกำหนดไว้แล้ว แต่บอกเลยว่ายากมากที่จะเขียนให้ได้ดั่งใจ (เพราะลบ เขียน รื้อ เขียน อยู่แบบนี้เป็นสิบรอบ)

ตะวันได้พร แต่เพราะต้องช่วยคนที่รักเขาจึงยอมยกพรให้วิณณ์ไป ท่านพญายมก็ยังจะทดสอบจนถึงตอนสุดท้าย (จริงแล้วมนุษย์เรามีความดีในตัวทุกคนอยู่ที่ใครจะหยิบมันออกมาใช้ และใช้เมื่อไหร่)

ขอบพระคุณจริงๆ ค่ะ จบแล้วจริง ขอบคุณนักอ่านที่ติดตามอ่านกันทุกคนนะคะ _/\_
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-03-2020 10:47:24
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไงพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอยู่ดี

หัวใจของตะวันในร่างของวิณณ์
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-03-2020 23:02:51
จบแบบไตสะเทือน  :sad4:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-03-2020 23:23:51
 :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-03-2020 23:20:59
 o18

 :L2: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: สัมผัสรัก คดีพิศวง ~ อัพตอนที่ 38 : Part 2 Ending (01/03/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 09:40:32
 :pig4: