[แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]  (อ่าน 119009 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
รักกันหวานชื่นนนนนน
 :hao5:

ออฟไลน์ nugnig7

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่าร้ากกกกกก :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
อยากได้โอมอินนนน​ *โดนสายตามองแรงจากศร*

ออฟไลน์ HunHan9407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เพิ่มๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ rcbpdr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แบบดีใจกับทั้งคู่มากๆๆๆ เปิดใจเข้าหากันมากขึ้น คุยกันพร้อมเข้าใจ
ชอบที่ศรบอกให้เป็นคู่ชีวิต แบบ โห เป็นโอมอินคือน้ำตาแตก วันที่รอคอย555555
ตอนนี้ก็เหมือนอิ่มอกอิ่มใจ ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ดีใจที่ศรได้มาเจอโอมจริงๆ
เกลียดโอมอย่างคือความเขินเมียตอนเมียโทรมา ขำจริงอันนี้5555555

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 22

---DharmaSORN---







คิดถึงแทบบ้า


ผมกลับถึงกรุงเทพฯด้วยความรู้สึกนี้ เกือบห้าโมงเย็นแล้วกว่าลุงคนขับรถตู้ที่พวกเราเหมาสำหรับทริปนี้เวียนส่งสมาชิกครบทุกคนจนเหลือผมเป็นคนสุดท้าย จากที่คิดว่าจะกลับไปนอนรอโอมที่ห้องตามที่อีกฝ่ายบอกผมกลับเบนเข็มให้ลุงแกขับตรงไปส่งที่มหาวิทยาลัยทันที


ผมไม่รู้ว่าละครเวทีเรื่องนี้จะเป็นความลับแค่ไหน อย่างในเวลานี้ที่ทุกอย่างน่าจะเป็นรูปเป็นร่างที่สุดแล้วผมจะยังสามารถเข้าไปหาโอมได้อีกหรือไม่ เพราะฉะนั้นก่อนจะเข้าไปหาผมจึงติดต่อไอ้เต๋าก่อนเหมือนทุกที


ที่ไม่ติดต่อโอมโดยตรงเพราะไม่อยากรบกวนสมาธิอีกฝ่ายที่อาจจะกำลังสวมบทพระเอกของเรื่องอยู่ อีกอย่าง คิดว่าโอมไม่น่าจะเก็บโทรศัพท์ติดตัวด้วย การติดต่ออาจไม่ง่ายเหมือนเต๋า


“เชี่ยโอมบอกให้มึงไปรอที่ห้องไม่ใช่เหรอ” ผมหันมองคนนำทางด้วยความสงสัย เจ้าตัวถึงได้รีบอธิบายต่อ “ก็มันบอกกูว่าวันนี้มันจะรีบกลับไปหามึงที่ห้อง”


ผมกระแอมไอ เดี๋ยวเม้มปากเดี๋ยวดันลิ้นกับกระพุ้งแก้ม รู้สึกเขินพิลึกเมื่อได้ยินว่าโอมอินก็คิดถึงผมเหมือนกัน


“มึงรอแถวนี้แล้วกัน กูคงให้เข้าไปข้างในไม่ได้หรอกนะ” แถวนี้ที่เต๋าหมายถึงคือชั้นหนึ่งของหอประชุมที่จะเปิดทำการแสดงซึ่งในตอนนี้มีทีมงานบางคนกำลังวุ่นวายกับการจัดฉากอะไรบางอย่างกันอยู่ ผมพยักหน้ารับ ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วไม่มีใครยอมให้ช่วยอะไร อย่างน้อยก็ยังมีมุมสงบให้ผมนั่ง แม้จะเป็นพื้นแข็ง ๆ เย็น ๆ ก็เถอะนะ “แต่ทางที่ดีกลับไปรอที่ห้องเถอะ ไอ้โอมรู้ว่ากูให้มึงมาทรมานแบบนี้มันด่ากูตาย”


“กูไม่ใช่คุณชายที่ไหน ทำไมจะรอแถวนี้ไม่ได้”


“ต่อให้มึงเป็นคนที่ลำบากลำบนมาทั้งชีวิต มันก็จะทำเหมือนมึงเป็นคุณชายอยู่ดีนั่นแหละ” เต๋าว่าอย่างนึกหมั่นไส้เพื่อนตัวเองที่ชักจะทำให้ผมทำหน้าไม่ถูกไปด้วย


เมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังโดยไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ผมจึงทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการเสนอตัวเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่กำลังจัดฉากถ่ายรูปกันอยู่ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าละครจะมีขึ้นในอีกตั้งหนึ่งสัปดาห์ ทำไมถึงรีบจัดฉากหน้างาน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถามเพราะนอกจากจะทำให้พวกเธอเขินอายแล้วยังถูกปฏิเสธน้ำใจกลับมาอีกด้วย


ผมตัดสินใจออกไปรอที่ร้านกาแฟไม่ไกลกันนี้นักเพราะไม่อยากอยู่เฉย ๆ ในพื้นที่ที่ใคร ๆ ต่างก็กำลังยุ่งกับงาน มันเหมือนคนไร้ประโยชน์ นั่งอยู่ด้วยก็เกะกะเสียเปล่า ๆ


ผมส่งข้อความไปบอกโอมอินว่ารออยู่ที่ไหน นั่งดูคลิปนั่นนี่ไปเรื่อยจนอีกฝ่ายส่งข้อความตอบกลับมาว่าให้เข้าไปข้างในได้นั่นแหละ ถึงได้รู้ตัวว่านั่งรอโอมมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว


ผมกลับเข้าไปหอประชุมอีกครั้ง โอมบอกให้ผมไปนั่งรอที่เก้าอี้คนดู ผมเลือกมุมขวาของที่นั่งแถวบนสุด บนเวทีตอนนี้กำลังวุ่นวายกับการเก็บของ เสียงโหวกเหวกมีทั้งเสียงร้องตามเพลงฮิตที่เปิดอยู่และเสียงกร่นด่ากันไปมา ผมเดาว่าโอมน่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องแต่งตัวพลางคิดไปถึงละครเวทีที่ตัวเองรับเล่น ผมยังไม่ทราบสถานที่จัดแสดง แต่รู้มาว่าคณะสถาปัตย์ฯมีหอประชุมเป็นของตัวเอง พวกนั้นคงไม่ต้องจัดตรงส่วนกลางของมหา’ลัยอย่างนิเทศน์เป็นแน่


“มีบัตรรึยังคะพี่ศร”


สาวน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาถามผม ท่าทีเขินอายที่ฉายชัดออกมาจากการหลบสายตาและกุมมือตัวเองไว้แน่นยิ่งทำให้ผมเอ็นดูว่าเธอคงต้องใช้ความกล้ามากมายทีเดียวกว่าจะยอมพูดออกมาได้


ผมยืนขึ้นเต็มความสูง อยากจะเชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้ามามองกันเสียจริง “บัตรละครเวทีน่ะเหรอ ยังเลย พี่โอมยังไม่เอามาขายพี่เลย”


“งั้น ซื้อไหมคะ” เธอช้อนตามองแล้วหลุบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นผมจ้องอยู่


“เขินแบบนี้จะขายบัตรออกได้ยังไง หื้ม” ผมแกล้งเย้า


“ให้เข้ามารอกู ไม่ใช่มาจีบรุ่นน้องกู”


ผมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับเสียงเข้ม ๆ และหน้าดุ ๆ ของคนที่พูดแทรกมาจากด้านหลังเธอเลยสักนิด


“น้องแค่มาขายบัตรให้กู”


ผมไม่เคยรู้ว่าโอมอินน่ากลัวแค่ไหนในสายตารุ่นพี่รุ่นน้องในคณะ แต่คิดว่าคงพอเป็นที่โจษจันได้ไม่ยาก เพราะเพียงแค่โอมตวัดตามองนิ่ง ๆ รุ่นน้องคนนั้นก็รีบยกมือไหว้ทั้งที่ตัวสั่นเป็นลูกนก


“แฟนพี่ พี่ขายให้เอง น้องไปทำยอดที่อื่นไป”


“ค่ะ ๆ”


ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ขี้หึงเหมือนเดิมเลยนะมึง”


“รักเหมือนเดิมก็ต้องขี้หึงเหมือนเดิมด้วยสิวะ มึงนั่นแหละที่ต้องเลิกอ่อยเรี่ยราดซักที”


“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย น้องเขาเข้ามาขายบัตร กูก็แค่กำลังจะซื้อเท่านั้นเอง”


โอมอินหรี่ตามองจับผิดขณะที่ผมลอยหน้าลอยตาทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “ไม่ต้องซื้อของใครทั้งนั้น มาเอาที่กูนี่ มีบัตรฟรีให้”


“ทำไมต้องได้ฟรี อยากซื้ออ่ะ”


“ฟรีเพราะกูซื้อมาให้แล้ว แต่มึงไม่ได้ฟรี ๆ หรอก ไม่ต้องห่วง”


“ไอ้หื่น!” ผมด่าไม่จริงจังนัก หมั่นไส้มันมากกว่า คนอะไรเปลี่ยนจากหน้าดุตาโหดเป็นหื่นได้ในพริบตา


หลังจากด่าขำ ๆ แล้วเราก็ได้แต่นิ่งเงียบ เราต่างพร้อมใจกันเงียบ มีเพียงแค่สายตาที่สบประสานกันเท่านั้นที่เชื่อมต่อระหว่างกัน


“คิดถึงมึงว่ะ” ผมพูดความในใจออกไปจนได้ ไม่อยากรั้งรออะไรอีกแล้ว ไม่อยากเล่นแง่เหมือนเมื่อก่อนด้วย เพราะถ้าอยากให้ความสัมพันธ์ของเรามั่นคงกว่าเมื่อก่อน คงต้องเริ่มเปลี่ยนที่ตัวเอง


ซึ่งมันก็ไม่ยากเลยสักนิด ติดตรงที่คนตรงหน้าผมยิ้มได้น่าหมั่นไส้แบบสุด ๆ เนี่ยแหละ


“อยากกอด”


โอมอินเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย คงเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินผมพูดอะไรแบบนี้


“ตอนนี้เลย”


ผมอยากกอดโอมตอนนี้เลยจริง ๆ นะ แต่ไม่กล้าเพราะคนอยู่กันเยอะ กลัวไม่เหมาะสม ไม่รู้ดิ ผมแคร์นะ กลัวคนมองว่าประเจิดประเจ้อแม้จะแค่กอดกันแบบแมน ๆ ก็ตาม


“ก็กอดดิ” อีกฝ่ายพูดไม่ทันจบ ร่างของผมก็ถูกดึงเข้าอ้อมแขนมันไปแล้ว ผมตัวแข็งทื่อ มองสบตาหลายคู่ที่มองมาอย่างล้อ ๆ แล้วต้องรีบซุกหน้ากับลาดไหล่โอมเพื่อซ่อนความเขินอาย


โอเค ผมไม่ได้กลัวคนมองไม่ดี ความจริงแล้วกูเขินครับ


แล้วคิดเหรอว่าผมจะยอมยืนให้มันกอดนานสองนาน ผมยอมให้แค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้นก็ผละออก


“อย่ามาเจ้าเล่ห์ กูรู้นะว่ามึงกอดกูเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ”


“คิดถึงต่างหาก”


“ยอมรับซะดี ๆ”


โอมอินไหวไหล่ “ก็พวกแม่งมองแฟนกู กูก็ต้องทำให้รู้ซักหน่อยว่าของใคร”


“นั่นไง”


“แล้วไม่รู้เหรอว่ากูก็กอดเพราะคิดถึงมึงมาก”


“อันนั้นรู้อยู่แล้ว” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม ตัดบทสนทนาที่เหมือนจะเป็นรองด้วยการแย่งเป้ของอีกฝ่ายมาสะพายเสียเอง


“เห้ย! เอามานี่”


“กูช่วยมึงถือแหละดีแล้ว มึงซ้อมมาเหนื่อย ๆ จะต้องแบกของมากมายอีกทำไม เดินไปได้แล้ว หิวแล้วเนี่ย” ผมผลักไหล่ดันหลังให้โอมออกเดินเสียที


“ไม่ต้อง กูถือเองได้ มึงจะมาช่วยกูทำไม”


“ทำไมวะ มึงยังเคยช่วยกูถือเลย”


“ก็มึงเป็น…”


“เป็นอะไร”


โอมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“เป็นเมียน่ะเหรอ เมียแล้วไงวะ คนเป็นผัวเท่านั้นเหรอที่จะช่วยเมียถือของ บอกให้รู้ไว้เลยนะว่าการดูแลกันไม่ใช่หน้าที่ของมึงฝ่ายเดียว และมันไม่ใช่หน้าที่ของใครด้วย แต่มันคือสิ่งที่คนรักเขาทำให้กันด้วยความเต็มใจ เราผลัดกันดูแลกันและกันตามโอกาสไง บางทีมึงดูแลกู บางคราวกูดูแลมึงบ้าง…”


ผมกระชับสายเป้เข้าไหล่ข้างขวาก่อนวาดแขนซ้ายกอดคอเจ้าของมัน “...ตามแต่โอกาสเหมาะสมไม่ต้องแบ่งแยกอ่ะ เข้าใจไหม”


“เข้าใจแล้ว”


จุ๊บ!


เอาล่ะ การจูบแก้มเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของอย่างหนึ่ง แต่คุณมึงต้องเลือกสถานที่นิดนึงครับ ไม่ใช่ในหอประชุมที่ทำให้ทุกคนเห็นแล้วโห่แซวกูแบบนี้!!







ผมอาสาขับรถพาเราทั้งคู่ไปดินเนอร์กันแบบเร่งด่วนที่ร้านข้าวหน้ามหาวิทยาลัยก่อนจะพาร่างอ่อนเพลียของทั้งสองคนกลับมาถึงห้อง


“เหนื่อยมากเลยดิ” ผมวางเป้ของโอมไว้บนโต๊ะ


“อืม” เจ้าของเสียงนั่งหลับตาพิงพนักโซฟาจนแทบจะไหลลงไปกองกับพื้นแล้วหากศีรษะไม่เกยกับขอบพนักเอาไว้


ผมจัดแจงเตรียมน้ำส้มเย็น ๆ ที่มักจะมีติดตู้เย็นไว้ดื่มเวลาต้องการความสดชื่น โอมอินเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองตอนที่ได้ยินเสียงแก้วกระทบโต๊ะก่อนพึมพำว่าขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจนผมต้องยิ้มตาม เวลาเราดูแลใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนรักมันก็เขินอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ก็อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก


ผมเดินอ้อมไปยืนข้างหลังโอม วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงกับลาดไหล่อีกฝ่าย กดนิ้วหัวแม่มือลงบนมัดกล้ามเนื้อบ่า ลงน้ำหนักหน่วงเน้นไปตามจังหวะเสียงคลอในลำคอเป็นทำนองเพลงที่โอมร้องกล่อมอยู่บ่อยครั้ง


“อื้อออ” ผมยิ้มเขินอย่างมิดเม้นทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้จ้องอยู่ด้วยซ้ำ แต่เพราะเขินกับเสียงครางที่บ่งบอกถึงความรู้สึกผ่อนคลายของอีกฝ่าย


“ดีไหม”


“อื้อ ดีดิ” โอมคลี่ยิ้มกว้างขึ้นทั้งที่ยังหลับตา “ดีมากเลย”


“ฝีมือกูใช้ได้เลยอ่ะดิ”


“หึ” ใบหน้าข้างล่างส่ายไปมาเบา ๆ ก่อนดวงตาดำขลับจะเปิดออกเพื่อมองตรงมาที่ผม “หมายถึงมึงที่เป็นแบบนี้ ดีมาก ๆ เลย โคตรดี”


เรื่องเขินแต่เก็บอาการเก่งเนี่ย ผมว่าธรรมศรคนก่อนหน้านี้ทำได้ดีกว่านะ


“แต่อย่าฝืนตัวเองนะ เป็นแบบเดิมก็ได้ มึงคนเดียวกูเอาใจได้อยู่แล้ว”


“บอกแล้วไงว่าการดูแลกันไม่ใช่หน้าที่ กูทำเพราะกูอยากทำ”


“ครับ”


ไอ้เหี้ย! กูแพ้คำพูดคำจาสุภาพที่มาพร้อมสายตาเชื่อมหวานของมึงครับ


“เออ ถ้าเพลียนักก็ไปอาบน้ำ วันนี้แช่ตัวหน่อยไหมวะจะได้สบายตัวหน่อย” ผมปล่อยมือออกจากไหล่โอม เตรียมผละเข้าไปเปิดน้ำเตรียมไว้ให้แต่กลับถูกกระชากกลับไปจนเซถลาเข้าหาอีกคนที่ตั้งรับไว้ได้พอดิบพอดีด้วยจุมพิตแสนเร่าร้อนราวกับคนที่หมดเรี่ยวแรงเมื่อครู่ไม่มีอยู่จริง


“แช่ด้วยกันนะ” เสียงแหบพร่าดังชิดริมใบหูจนความร้อนไล่จากใบหูลามมายังใบหน้า ผมรู้ว่ามันอยาก เพราะผมเองก็อยาก ก็คนมันคิดถึงนี่หว่า แต่ว่านะ…


“วันนี้มึงเหนื่อยไม่ใช่เหรอ” ขอเย้ามันสักหน่อย


“กับมึงเนี่ย กูมีแรงเสมอแหละ”


“ไอ้หื่น!!”










ชีวิตปีสี่ของผมแสนจะสบาย แค่เก็บตกหน่วยกิตให้ครบตามที่คณะกำหนดกับทำโปรเจคจบอีกหนึ่งเรื่อง สำหรับผมจึงเหลือแค่วิชาภาษาอังกฤษเชิงอุตสาหกรรมเท่านั้น ซึ่งทำให้มีเวลามากพอที่จะทุ่มเทให้กับการซ้อมละครเวทีอย่างจริงจังที่กำลังจะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า แต่หลังจากนั้นค่อยลุยงานโปรเจคอย่างเต็มที่


ละครเวทีของโอมอินเปิดการแสดงรอบแรกไปแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ผมไม่ได้ให้กำลังใจอะไรเป็นพิเศษนอกจากอวยพรให้มีสติด้วยการ Deep Kiss หนึ่งทีในตอนเช้าและไปดูตอนแสดงจริงพร้อมมอบช่อดอกไม้ให้ในตอนจบ ซึ่งอีกฝ่ายบ่นผมหูชาตอนที่กลับห้องว่าดอกไม้มันทั้งสิ้นเปลืองและรกห้อง แต่พอบอกว่ารอบหน้าจะไม่ให้อะไรเลย มันก็หน้าบึ้งตึงใส่อีก บางทีแม่งก็เอาใจยาก อยากจะด่าอยู่เหมือนกัน แต่เพราะรู้อยู่หรอกว่าถึงมันไม่อยากได้ดอกไม้ แต่ยังอยากได้สิ่งที่มาพร้อมดอกไม้ช่อโตคือการแสดงความรักความเป็นเจ้าของจากผม


วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ทำการแสดง มีด้วยกันสองรอบเช่นเคยคือบ่ายสองและหนึ่งทุ่มตรง ที่ผ่านมาผมไปดูการแสดงของโอมทุกวัน แต่ก็แค่รอบหนึ่งทุ่มเท่านั้นเพราะจะได้กลับบ้านพร้อมกันเลย และช่วงกลางวันผมก็ต้องซ้อมละครเวทีของตัวเองเช่นกัน


รอบสุดท้ายที่ผมมาดูนี้ส่วนใหญ่จะแต่รุ่นพี่รุ่นน้องในคณะทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันที่แห่แหนกันมาให้กำลังใจทีมงาน จะมีเพียงห้าถึงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นคนนอกอย่างผมและพวกเพื่อน ๆ ผมที่ยกโขยงกันมาดูสาว ซึ่งในจำนวนนั้นก็ล้วนเป็นคนในครอบครัวของนักแสดงทั้งสิ้น มีน้อยคนจริง ๆ ที่เป็นคนดูทั่วไปแต่แย่งชิงกดซื้อบัตรรอบสุดท้ายนี้มาได้


โอมอินบอกว่าวันนี้ทั้งแม่และน้องสาวคนเล็กมาดูละครเวทีด้วยและจัดให้นั่งใกล้ที่นั่งของผม แต่มันคงไม่รู้ว่ายังมีใครเป็นตัวแถมมาด้วย ผมกล่าวสวัสดีทักทายแม่บังเกิดเกล้าเหมือนคนไม่รู้จักกันหลังจากทักทายแม่ของโอมแล้ว วันนี้เธอมาพร้อมลูกสาวที่น่ารักของเธอ รดาในชุดเดรสสีอ่อนสบายตาดูสวยหวานและเรียบร้อยยิ่งกว่าเสื้อยืดกางเกงขาสั้นทว่ายังคลุมเข่าที่ผมเคยเห็นตอนไปนอนบ้านโอมครั้งนั้น ในมือของเธอมีดอกกุหลาบช่อขนาดพอดีมือห่อเสียสวยหรูที่เดาได้ไม่ยากว่าตั้งใจนำมามอบให้แฟนผมมากขนาดไหน พอเห็นอย่างนั้นแล้วนึกย้อนถึงช่อดอกไม้ของตัวเองที่เตรียมไว้แล้วก็ชักไม่แน่ใจว่าวันนี้จะมอบมันให้โอมดีหรือไม่ ทั้งแม่ ทั้งน้องสาว แล้วไหนจะเพื่อนน้องสาวที่ถูกหมายมั่นให้คู่พี่ชายอย่างมันอีก ถ้าความรักของผมกับมันจะถูกยอมรับได้ง่าย ๆ ผมคงไม่ต้องคิดมากแบบนี้


“ศร”


โคตรเหี้ย!


เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าแม่มาดูละครเวทีด้วยก็การที่พ่อผมมาด้วยนี่แหละ


“พ่อมาทำไม” ผมเดินเข้าไปหาเขา ฉุดกระชากออกจากการเผชิญหน้ามาคุยในที่ลับตาคน


“แฟนแกเล่นละครเวทีทั้งทีไม่คิดจะชวนฉันมาให้กำลังใจหน่อยเหรอ” หลังกลับจากทะเลครั้งนั้นเราคุยกันมากขึ้น เริ่มจากการยอมเรียกเขาว่าพ่อ แต่ก็คุยกันแค่ตามโอกาส ทักทายบอกเล่าบ้างตามเรื่องตามราว ไม่ถึงกับพูดคุยกันไหลลื่นเพราะว่ากันตามตรงแล้วก็ยังต่อกันไม่ติดสักเท่าไหร่ โอมอินวางแผนไว้ว่าหลังมันจบงานละครเวทีเมื่อไหร่จะหาพาผมกลับไปบ้านโน้นบ่อย ๆ เพื่อสานสัมพันธ์พ่อลูกให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้แย้งอะไร พร้อมจะเปิดใจแม้ยังคาใจในหลาย ๆ เรื่อง แต่ที่ไม่เข้าใจคือเขาสามารถทำสีหน้าปกติราวกับไม่มีเรื่องอะไรทั้งที่เพิ่งเจอเธอคนนั้นได้อย่างไรกัน


“ไม่รีบเข้าไปเหรอ ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ”


ผมถอนหายใจ ผายมือเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปก่อนด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ เหนื่อยตรงที่ต้องคอยจับตามองพ่อตัวเองไว้เสียแล้วว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง






(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
ละครเวทีเริ่มทำการแสดงช้ากว่าเวลาที่กำหนดเล็กน้อย หลายคนจึงได้เวลาในการชื่นชมสูจิบัตรและตั๋วเพิ่มอีกหน่อย ขณะที่ผมเองก็ไม่อาจละสายตาไปจากพ่อตัวเองที่นั่งถัดลงไปข้างล่างสองแถวและเยื้องกันในทางขวาได้เลย ซึ่งนั่นทำให้ผมลืมความอึดอัดจากการนั่งใกล้ครอบครัวของโอมและแม่กับรดาด้วย


เมื่อแต่ละฉากจบลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นเพื่อให้กำลังใจนักแสดงทุกครั้ง ผมดูละครเวทีเรื่องนี้มารอบที่หกแล้ว เปิดการแสดงมาหกวันสิบรอบ รอบนี้เป็นรอบสุดท้าย แน่นอนว่านักแสดงทุกคนใส่เต็มอย่างที่คนดูคาดหวัง หลายคนแสดงดีขึ้นจากรอบแรกมาก รวมถึงโอมอินด้วย และผมก็อดคิดไม่ได้ว่าบทนางร้ายที่มิ้นได้รับช่างมีนิสัยตรงกับตัวจริงของเธอเสียเหลือเกิน


เมื่อละครแสดงไปได้ครึ่งเรื่องก็มีพักครึ่งให้ผู้ชมได้เข้าห้องน้ำ แม่ที่ไม่เคยเห็นผมเป็นลูกลุกออกไปทันที ผมไม่รีรอที่จะตามออกไปเพราะเห็นว่าพ่อเองก็ขยับตัวตามไปเช่นกัน


ขอบคุณที่ไม่มีใครตามผมออกมา เพราะไม่อย่างนั้นคงได้เห็นแบบเดียวกับที่ผมเห็น พ่อกระชากแขนแม่ให้เดินตามไป ผมเดาจากทิศทางได้ว่าน่าจะเป็นมุมเดียวกับที่ผมคุยกับท่านก่อนเข้าไปดูละคร ใจผมสั่นแรงขึ้นในทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้ อะไรบางอย่างบอกว่าผมไม่ควรเข้าไปใกล้กว่าที่ยืนอยู่ แต่เพราะความอยากรู้ที่มากกว่า สองขาจึงพาร่างของผมไปซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่งซึ่งได้ยินเสียงของทั้งคู่บ้าง แม้ไม่ดังนักแต่จัดว่าชัดมากทีเดียว


“เป็นไง ชีวิตกับชู้ อ้อ! ไม่สิ ผัวใหม่ มีความสุขดีไหม” ชู้? ผมไม่แน่ใจว่าพ่อพูดถึงอะไร


“อย่าหยาบคายกับฉันที่นี่นะ” ผมไม่เห็นสีหน้าเธอ แต่ฟังจากเสียงแล้วเดาได้ว่ากำลังกัดฟันข่มอารมณ์โกรธอยู่


พ่อแสยะยิ้มเหยียด ตั้งแต่จำความได้ แม้พ่อจะเป็นตัวร้ายในสายตาผมวัยเด็ก แต่เขาไม่เคยมองแม่หรือยิ้มให้แม่แบบนี้เลยสักครั้ง “ลืมไป เธอมันผู้ลากมากดี หน้ากากสวย ๆ ของเธอมันทำให้ฉันกลายเป็นตัวร้ายในสายตาสังคม หรือแม้กระทั่งลูก!”


“คุณทำตัวคุณเอง!”


เขาหัวเราะเหอะอย่างสมเพชตัวเอง “ใช่! ฉันทำตัวเอง เพราะฉันมันเป็นไอ้หน้าโง่ที่รักเธอจนยอมเป็นคนเลวแทนเธอไง”


“...”


“ฉันยอมให้ทุกคนตราหน้าว่ามั่วผู้หญิงชั้นต่ำจนเมียผู้ดีทนไม่ไหวต้องขอหย่า และฉันที่ทำตัวเสเพลยังรั้งลูกไว้กับตัวอีกทั้งที่เธอเป็นฝ่ายทิ้งลูกทิ้งผัวไปหาชู้!”


สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา “ใช่ ฉันมันโง่ไง”


“เขาไม่ใช่ชู้! คุณก็รู้ว่าเราแต่งงานกันเพราะอะไร ฉันกับเขารักกันมาก่อน”


“และก็คงรักกันมากด้วยซินะ พอเมียเขาตายก็รีบแจ้นไปเสนอหน้าเป็นแม่ให้ลูกเขาทันทีแล้วทิ้งลูกในไส้ไว้กับผัวที่ไม่เคยรัก”


หลังประโยคนั้นเขาถูกเธอตบจนหน้าหัน


“เหอะ ถ้าพ่อฉันไม่ใช้อำนาจปิดข่าวให้ คนทั้งโลกคงได้ขุดคุ้ยจนรู้แล้วว่าความจริงเป็นยังไง...ลูกมันต้องการเธอมากนะ มันรักเธอมาก…”


ผมน้ำตาร่วงหนึ่งหยด มันไหลออกมาเอง ผมไม่ได้สะอื้นเลยสักนิด


“...รักมากจนโง่ ถ้ามันคิดสักนิดว่าเธอต้องการมัน แค่เธอฟ้องผัวเลว ๆ อย่างฉันยังไงก็ชนะคดีได้ลูกไปเลี้ยงอยู่แล้ว แต่นี่มันไม่เอะใจเลยไงว่าแท้จริงแล้วเธอมองมันเป็นมารหัวขนมาโดยตลอด!”


“อย่าว่าลูก!”


“ยังกล้าเรียกศรว่าลูกอีกเหรอ”


“ถามจริงเถอะ เธอบอกผัวใหม่ว่าอะไรเหรอ เขาถึงไม่แปลกใจที่เธอไม่มาดูลูกเลย”


ใจคนฟังอย่างผมเต้นตึกตัก มันทั้งแรงและหนักจนแน่นทรวงอกไปหมด ความรู้สึกคล้ายกำลังจะจมอากาศ มันบีบแน่นจวนจะหายใจไม่ทัน


“เอ่อ นั่นพี่ศรเหรอคะ” เสียงหวานใสดังมาจากด้านหลังฉุดผมให้ฟื้นจากอาการที่แสนหนักหน่วง ผมปรับจังหวะหายใจให้เป็นปกติก่อนหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นรดาก็ยิ่งปั้นหน้าไม่ถูก


“พี่ศรเห็นคุณแม่รดาไหมคะ หายไปนานแล้ว รดาเป็นห่วง”


ผมมองหน้าเธอนิ่ง คุณแม่ของเธอน่ะเหรอ ทำไมผมจะไม่เห็นล่ะ และถ้าผมบอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เดาได้ไม่ยากเลยว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป


“เอ่อ...ตกลงว่าพี่ศรเห็นไหมคะ” เธอถามย้ำก่อนตัดสินใจเองเมื่อผมยังไม่ยอมตอบ “เดี๋ยวรดาไปหาทางนั้นเองดีกว่า”


“ทางโน้นครับ” ผมรีบชี้นิ้วไปฝั่งตรงข้าม


“คะ?”


“พี่เห็นท่านเดินไปทางโน้น ไม่แน่ใจว่าไปเข้าห้องน้ำรึเปล่า รดาบอกว่าท่านหายไปนานแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนนะ เผื่อมีอะไรอยากให้ช่วย”


“แต่รดาไปหาที่ห้องน้ำแล้วไม่เจอนะคะ”


“ถัดไปจากนั้นมีห้องน้ำอีกที่นึง เราลองไปดูกันก่อนไหม”


“อ๋อ ค่ะ ขอบคุณพี่ศรมากนะคะ” รอยยิ้มของเธอสวยงามเหมือนที่ผมเคยเห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก มันถอดแบบมาจากแม่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน


และนั่น...ทำให้ผมทำร้ายเธอไม่ลง




“ไม่เจอค่ะ” รดาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้ากังวลหนัก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะไหล่บางเพื่อปลอบโยนแล้วรีบดึงกลับมา


“ลองโทรหารึยัง”


“โทรแล้วค่ะ คุณแม่ไม่รับ”


“ลองดูอีกทีสิ นี่ใกล้เวลาแสดงแล้ว บางทีท่านอาจจะกลับเข้าไปแล้วก็ได้นะ”


เธอรับคำแล้วรีบต่อสายหาคนเป็นแม่ ผมยืนรอเป็นเพื่อนจนได้เห็นสีหน้าที่ค่อย ๆ ผ่อนคลายขึ้นของเธอ เดาได้ทันทีว่าคนปลายสายคงทำให้เธอสบายใจขึ้นมากแล้ว เมื่อเธอวางสายแล้วบอกว่าแม่ของเธอเข้าไปนั่งรออยู่ข้างในแล้วจริงอย่างที่ผมบอก เราจึงพากันกลับเข้าไปข้างในด้วยเช่นกัน



ทั้งที่ดูเป็นรอบที่หกแล้ว จำได้ทุกฉากและเกือบทุกไดอะล็อกแต่ผมกลับดูละครครึ่งหลังไม่รู้เรื่อง สมาธิผมมันจดจ่ออยู่แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากบุพการี ผมจะถือว่านั่นคือความจริงที่สุดได้ไหม เพราะได้ยินจากปากพวกเขาพร้อมกันไม่ใช่ฟังความข้างเดียวอย่างที่ผ่านมา


จริงไหมที่แท้จริงแล้วพ่อคือผู้ถูกกระทำ


จริงรึเปล่าที่แม่รักผู้ชายคนนั้นมากจนยอมทิ้งผมไป


แล้วจริงไหมที่…


“พี่ศรไม่สบายรึเปล่าคะ”


ผมหลุดออกจากภวังค์ที่มีทั้งความคิดและมโนภาพจากทั้งอดีตอันใกล้และเมื่อนานมาแล้วด้วยเสียงหวานใสที่กระซิบถามพร้อมมือบางที่ถือวิสาสะแตะลงบนต้นแขนผมก่อนดึงกลับไปเมื่อผมรู้สึกตัว


รอบข้างกำลังส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ผมจำไม่ได้แล้วว่าครึ่งเรื่องหลังมีฉากไหนที่เรียกเสียงหัวเราะได้ขนาดนี้ ประสาทสัมผัสของผมตอนนี้จดจ่ออยู่แต่กับเด็กสาวตรงหน้าเท่านั้น ตอนนี้ม่านปิดลงอีกครั้งเพื่อตัดจบฉาก ห้องทั้งห้องแทบจะมืดสนิท ทว่าแววตาของเธอที่มองมายังฉายให้เห็นถึงความห่วงใยชัดเจน


ผมคลี่ยิ้มบาง “เปล่าครับ พี่สบายดี”


เธอยิ้มโล่งใจก่อนกระซิบทิ้งท้ายก่อนม่านเปิดออกอีกครั้ง “พี่โอมเขารอให้สายตาของพี่จดจ่อที่เขาอยู่นะคะ”


ความจริงแล้วรดาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร


เธอก็แค่โชคร้ายที่มาหลงรักคนของผมเท่านั้นเอง






เมื่อม่านปิดฉากการแสดงลงพร้อมความประทับใจและอิ่มเอมของผู้ชมจนเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นห้องอยู่นานหลายนาทีก่อนจะเปิดออกอีกครั้งเพื่อให้นักแสดงได้ทะยอยกันออกมาขอบคุณส่งท้ายให้กับคนดูท่ามกลางเสียงกรี๊ดของผู้ชม จนถึงตอนที่นักแสดงทุกคนจับมือกันโค้งคำนับแล้วเดินถอยหลังหลบเข้าไปหลังม่านอีกครั้งนั่นแหละ การแสดงถึงได้จบลงแล้วจริง ๆ


ทว่ารอบนี้ต่างจากรอบอื่นตรงที่เสียงกรี๊ดและโห่ร้องยังคงดังระงมไปทั่วห้อง และดูท่าว่าจะยังดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมลองมองไปรอบ ๆ เข้าใจว่าคงเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง เพราะคนที่ยังส่งเสียงโห่ร้องล้วนแต่เป็นคนในคณะ ซึ่งคงเป็นการให้กำลังใจกันอย่างหนึ่ง


มีพิธีกรสองคนขึ้นไปยืนบนเวที ประกาศผู้โชคดีจากบัตรที่นั่งที่จะได้รับของรางวัลจากผู้สนับสนุนละครเวทีเรื่องนี้ทั้งหลายแหล่ จนเวลาของการขอบคุณคนดูได้มาถึง ส่วนใหญ่คนที่ยังนั่งรอจนถึงขั้นตอนนี้แทบจะมีแต่คนในครอบครัวนักแสดงและรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะนิเทศศาสตร์เท่านั้น


พิธีกรไล่ประกาศชื่อตั้งแต่ทีมงานเบื้องหลังไปยังเบื้องหน้าให้ออกมาปรากฏกายหน้าเวทีให้ทุกคนได้ยลโฉม บางคนออกมาเดี่ยว บางคนออกมาเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย บ้างเดินออกมาเรียบ ๆ พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มเขิน ๆ ให้กับความสำเร็จในวันนี้ บ้างก็เปิดตัวออกมาอลังการเรียกเสียงฮือฮาได้มากโข ทั้งคนในครอบครัวและรุ่นพี่รุ่นน้องรวมถึงเพื่อนที่สนิทกันต่างแห่แหนกันเข้าไปมอบของขวัญให้ ซึ่งส่วนใหญ่หนีไม่พ้นดอกไม้ราวกับวันรับปริญญา


เสียงกรี๊ดจะดังมากเป็นพิเศษถ้าทีมงานหรือนักแสดงคนนั้น ๆ มีแฟนมามอบของหรือดอกไม้ให้ ยิ่งเมื่อนางเอกของเรื่องมีพระเอกในชีวิตจริงหอบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เท่าเจ้าตัวเข้ามาก็ยิ่งมีทั้งเสียงกรี๊ดและเสียงร้องที่แสดงถึงความอิจฉาและหมั่นไส้ได้น่ารักน่าชัง


ส่วนพระเอกของเรื่อง…


ผมรอให้ครอบครัวของมันและคนอื่น ๆ มอบดอกไม้และถ่ายรูปร่วมกันให้เสร็จก่อนที่จะเสนอหน้าเข้าไป อดไม่ได้ที่จะแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาว่ากำลังรอผมอยู่เช่นกัน


“แฟนกูแม่งโคตรเก่ง” โอมรับดอกไม้ไปแล้วดึงผมให้ขึ้นไปยืนข้างกันเพื่อถ่ายรูป ดอกกุหลาบสีขาวแค่ดอกเดียวที่เบ่งบานสวยในช่อที่ถูกห่ออย่างเรียบง่ายจนเมื่อถือรวมกับช่อของคนอื่นมันก็จะถูกกลืนหายไปได้ง่ายดายตามความต้องการของผม เพราะวันนี้มีคนสำคัญของโอมมาร่วมแสดงความยินดีมากมาย ผมจึงต้องลดความสำคัญของตัวเองลงให้เหมือนกับดอกไม้ที่นำมา จะให้ช่อใหญ่โตอย่างรอบก่อน ๆ คงไม่ได้ แม่มันก็อยู่ ท่านยังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา ทำอย่างนั้นคงน่าเกลียดแย่


“นี่ก็มาทุกวันเลยนะคะ ว่าแต่ทำไมรอบนี้ดอกไม้ช่อเล็กจังเลยล่ะคะ” พิธีกรสาวเย้าอย่างสนิทสนม


“ช่อใหญ่รกห้องแล้วโว้ย” โอมตอบแทน


“แล้วไม่มีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ๆ เหมือนอย่างที่นางเอกของเราได้เหรอครับ” พิธีกรชายแซวจนคนทั้งห้องร้องโห่ตามไปด้วย


“โตแล้วไม่กอดตุ๊กตาหมี” โอมตอบเพื่อนแต่สายตามองเย้าผมพร้อมวาดแขนขึ้นกอดคอให้รู้ว่ามีอย่างอื่นให้กอดแทนตุ๊กตาหมีตั้งนานแล้ว


“แม่มึงมาด้วยนะ” ผมกระซิบบอก


“เพราะแม่มาไงเลยพูดซอฟท์แล้ว”


“มึงนี่มัน--” ผมผลักมันออกเบา ๆ ไม่ลืมกำชับว่าจะรอที่เดิมก่อนผละกลับไปนั่งทีเดิม


ผมชะลอฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของผู้ใหญ่สองท่านและเด็กสาวอีกสองคนมองผมไม่วางตา ผมสบตาคู่ที่อ่านไม่ออกของแม่โอมอินแค่แวบเดียวก่อนมองเลยไปยังน้องสาวคนเล็กของบ้านที่ฉายแววขุ่นข้องไม่พอใจออกมาชัดแจ้ง และผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อสายตาผิดหวังของแม่บังเกิดเกล้าไปสนใจแววตาวิบวับของรดาที่แสดงออกมาอย่างใสซื่อแทน


ผมสอดตัวลงนั่งข้างเธอ แสร้งทำเป็นกดโทรศัพท์เล่นเพื่อเลี่ยงบรรยากาศอึดอัดในตอนนี้


“พี่สองคนน่ารักกันจังเลยค่ะ”


“หือ?”


“รดาเห็นสายตาที่พวกพี่มองกันก็รู้แล้วล่ะค่ะว่ารักกันมาก”


“...”


“สาว ๆ ทั้งมหา’ลัยคงอกหักแย่” เธอพูดติดตลก


“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ผมไม่ได้พูดถ่อมตัวด้วยท่าทีขลาดเขิน แต่ความแน่นิ่งจริงจังของผมกลับทำให้เธอหลบตาไปก่อน


“รดาขอโทษนะคะถ้าบางครั้งเป็นเหตุให้พวกพี่ทะเลาะกัน” ผมแทบจำไม่ได้เลยว่าเราเคยทะเลาะกันเพราะเธอ


ผมไม่รู้ว่าจะมีใครสังเกตหรือเปล่าว่ารอยยิ้มบนหน้าผมกับของเธอคล้ายกันจนแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน แต่จังหวะนั้นผมคงกลายเป็นผู้ชายมือไวคนหนึ่งเพราะวางมือบนศีรษะของเธอราวกับสนิทกันทั้งที่เพิ่งคุยกันครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ “เป็นน้องสาวให้พี่ได้ไหมครับรดา”


“คะ?”


“ไอ้เด็กนั่น พี่ชายเราน่ะ เจ้ารักมันชอบบอกว่าพี่เป็นไอดอลของมัน พี่จะถือว่ารักเป็นน้องชายพี่คนนึง ส่วนรดา มาเป็นน้องสาวพี่อีกคนไหม”


เธอยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเธอทั้งสดใสและสว่างไสว และมันควรจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่ควรต้องมีรอยยิ้มฝืดฝืนมัวหมองอย่างที่ผมเป็นมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต “ดีใจที่มีพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกคนค่ะ”


ผมเหลือบมองแม่ที่ก็กำลังมองมาที่พวกเราอย่างสนใจใคร่รู้


ส่วนแม่...ผมไม่มีแล้วก็ได้





สิ่งที่พวกเราน่าจะคาดการณ์ไว้ได้แต่กลับไม่ได้ตั้งรับไว้ก็คือการที่แม่ของโอมชวนมันและน้องเอมไปทานข้าวด้วยกันตามประสาครอบครัวที่อบอุ่น ผมที่นั่งรออยู่ตั้งนานจึงหน้าแห้งลงยิ่งกว่าปลาแดดเดียว เข้าใจและยอมรับได้ แต่ปัญหามันอยู่ที่เธอดันชวนผมและแม่กับรดาไปด้วย ความลำบากใจมันยิ่งกว่านั้นเมื่อท่านปฏิเสธและหงายการ์ดเกรงใจเพราะอยากให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน แล้วมีหรือที่คนนอกอย่างผมจะหน้าด้านตามไปด้วยแม้จะได้รับคำเชิญและการตื้อจากโอมอินก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้เมื่อแม่ของโอมยังยืนยันที่จะให้ผมไปด้วยให้ได้



ระหว่างมื้ออาหารไม่ได้มีบทสนทนาอะไรที่ทำให้ผมไม่สบายใจ ทุกคนล้วนสนใจอาหารตรงหน้าเพราะท้องที่ร้องมาตั้งแต่เย็น หัวข้อสนทนาก็เหมารวมเป็นเรื่องการแสดงของโอมอินและงานเบื้องหลังของน้องเอมเสียหมด ผมได้แต่นั่งฟังสองพี่น้องผลัดกันเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ว่าไม่ใช่แค่ผมจะได้สัมผัสถึงความเป็นครอบครัว แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งในนี้ด้วย แม้ว่าน้องอิมจะยังมีกำแพงเล็ก ๆ กับผมอยู่ก็ตาม


เราออกจากร้านอาหารในตอนสี่ทุ่มครึ่ง ใช้เวลากับอาหารเย็นไม่นานเลยสักนิดเพราะดึกเกินกว่าที่สาว ๆ จะเพลิดเพลินกับการรับประทานแล้ว ก่อนขึ้นรถผมส่งข้อความไปบอกพ่อแล้วว่าจะเข้าไปคุยด้วยเพราะไม่อยากให้เรื่องคาใจอยู่นาน


“เอ่อ...กูขอไปที่นึงก่อนได้ไหมวะ” ผมถามอย่างเกรงใจ เห็นอีกฝ่ายเหนื่อยก็อยากจะพาไปส่งที่คอนโดก่อนแล้วค่อยออกมาคนเดียวอยู่หรอก แต่เพราะว่ารู้นิสัยของมันดีถึงเหนื่อยแค่ไหนก็คงขอตามออกมาด้วยแน่ ๆ


“ไปดิ ไปไหนไปกันอยู่แล้ว”


เมื่อรถจอดเทียบหน้าบ้าน โอมอินคงรู้ได้ทันทีว่าผมมีเรื่องบางอย่างกวนใจ เพราะไม่ใช่เรื่องปกตินักที่ผมจะกลับมาบ้านกลางดึกทั้งที่เหนื่อยและควรพักผ่อนมากกว่า


“คุยกันดี ๆ ล่ะ กูรอในรถนะ”


ผมร้องหึในลำคอเมื่อได้ยินอย่างนั้น มาถึงขั้นนี้แล้วการที่โอมบอกว่าจะรอในรถก็แปลได้อย่างเดียวว่าล้อเลียนผมเมื่อก่อน “เอาคืนเหรอ” 


“กูเปล่า แค่คิดว่าบางเรื่องก็ปล่อยให้พ่อลูกได้คุยกันตามลำพังดีกว่า ขอแค่มึงรู้ไว้ว่ากูอยู่ข้าง ๆ เสมอก็พอ”


ผมพยักหน้ารับ รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก “หลับรอเลยก็ได้นะ”


“เดี๋ยวศร”


“หือ?”


“อดีตน่ะ แก้ไขไม่ได้หรอกนะ ถ้าเราวางมันลงได้ก็ดีนะ อาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าการทำปัจจุบันให้ดีมันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”


ผมมองหน้าโอมอินนิ่ง รู้สึกอยากขอบคุณพี่สัมที่พาผู้ชายคนนี้เข้ามาในชีวิตผม


มุมปากโค้งขึ้นแทนการตอบรับก่อนพยักหน้าให้น้อย ๆ แล้วลงจากรถ


ก็คงจริงอย่างที่โอมบอก เพราะเราล้วนเป็นผลผลิตจากตัวเราในอดีต ถ้าผมปล่อยให้ปัจจุบันมีแต่อดีตเลวร้ายครอบงำมานำพาชีวิต ในอนาคตผมก็จะยังคงมีแต่อดีตที่นึกถึงทีไรก็เศร้าหมอง แต่หากผมทำปัจจุบันให้ดี ไม่ช้าไม่นานผมก็จะมีความสุขกับชีวิตได้หมดทั้งใจ









พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 23
------------------------------------------------------------------------------------------
ใกล้จบแล้ววววววววววว
จะจบได้ก่อนปีใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้ไหมน้าาา ฮ่าๆๆ
ฝากช่วงโค้งสุดท้ายนี้ด้วยจ้า อีกสองตอนเอง
แต่ได้คิดตอนพิเศษไว้แล้วตั้งแต่ยังไม่เริ่มเขียนตอนแรก ฮ่าๆๆ

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-12-2018 20:47:41 โดย ธัญญ์ »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เคลียร์ทุกอย่างให้จบแล้วเริ่มต้นกับปัจจุบันนะคะศร  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ rcbpdr

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นกำลังใจให้ศรผ่านไปได้ คือแค่ศรอ้อนนิดๆหน่อย โอมอินก็เป็นขนาดนี้แล้ว ถ้าอ้อนยิ่งกว่านี้อะรู้เรื่องงง555555555555555

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 23

---OMIN---






ความหนาวเย็นของอุณหภูมิในห้องทำให้ผมซุกตัวหาไออุ่นจากคนข้าง ๆ ด้วยความเคยชิน แต่ความว่างเปล่าที่พบเจอทำให้ผมเผลอย่นหัวคิ้ว ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาออกปรับแสงภายนอกทั้งที่ยังอยากหลับตาต่ออีกหน่อย


ธรรมศรไม่อยู่แล้ว


ผมพลิกตัวนอนหงาย กวาดสายตามององค์ประกอบในห้อง หลาย ๆ อย่างต่างไปจากห้องที่ผมนอนอยู่ทุกคืน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยตื่นมาเห็นภาพนี้ ผมนวดหัวคิ้วเล็กน้อย จำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อคืนรอศรจนเผลอหลับไปบนรถ สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกตัวว่ากำลังถูกอุ้มก่อนจะปล่อยให้เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงอย่างที่ควรเมื่อได้ยินเสียงทุ้มน่าฟังกระซิบบอกว่าให้หลับ


ผมลุกขึ้นบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า พูดจากใจจริงเลยว่าอยากนอนต่อมาก ๆ แต่ดูจากแสงแดดข้างนอกแล้วก็คงต้องรีบลุกไปจัดการตัวเองแล้วลงไปข้างล่างให้เร็วที่สุด ไม่อาจทำตามใจได้เพราะเกรงใจเจ้าของบ้าน


ศรแปะโน้ตไว้บนประตูห้องน้ำว่าออกไปเรียน ถ้าผมตื่นก่อนเที่ยงจะกลับคอนโดก่อนก็ได้ มันทิ้งรถเอาไว้ให้ แต่ถ้าตื่นสายกว่านั้น ก็ให้รอกลับพร้อมกัน


ผมจัดการอาบน้ำให้สดชื่นก่อนค่อยมาเช็คว่ากี่โมงยามแล้วกันแน่ ภาวนาให้ไม่เกินเที่ยง บอกตามตรงว่ากลัวจะเสียคะแนนกับพ่อตา นอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้ใครเขาจะชอบวะ


แต่ความเพลียของร่างกายแม่งกลับทรยศ อีกสิบนาทีก็จวนจะบ่ายสองแล้ว จะกล้าเอาหน้าที่ไหนลงไปเจอคนอื่น ยิ่งถ้าวันนี้พ่อของศรอยู่บ้านด้วยแล้วผมคงทำหน้าไม่ถูก แต่ถึงจะอายแค่ไหนก็ต้องรีบลงไปก่อนที่จะยิ่งสายไปมากกว่านี้ และดูเหมือนว่านอกจากร่างกายจะทรยศผมแล้วโชคชะตาก็ไม่เข้าข้างเสียด้วย เพราะเพียงแค่เหยียบเท้าสัมผัสพื้นบ้านชั้นหนึ่งก็มีเสียงทักมาจากทางขวามือพอดี


“นึกว่าตายไปแล้ว กว่าจะลงมาได้นะ” ถ้าเป็นเพื่อนพูดแบบนี้ผมคงด่ากลับไปแล้ว แต่นี่เป็นพ่อแฟน ผมเลยทำได้แค่ยิ้มแห้งแล้วกล่าวคำขอโทษ


“ขอโทษครับ เพลียไปหน่อยเลยหลับไม่รู้ตัว”


“หิวรึยังล่ะ จะได้ให้แม่ครัวตั้งโต๊ะให้”


“ไม่รบกวนดีกว่าครับ”


“ถือว่านั่งเป็นเพื่อนฉันก็แล้วกัน”


“ท่านยังไม่ทานอาหารกลางวันเหรอครับ”


“กำลังจะไปนี่ไง”


ผมค่อนข้างแปลกใจที่บนโต๊ะอาหารมีเมนูโปรดของผมอยู่หลายอย่าง และเจ้าของบ้านคงสังเกตเห็นถึงได้อธิบายออกมา “ศรบอกว่าเธอชอบอาหารพวกนี้ ฉันเลยให้แม่ครัวทำเตรียมไว้ให้”


“ขอบคุณครับ”


“ไปขอบคุณลูกฉันเถอะ มันคงอยากให้เธอกินเยอะ ๆ หลังจากที่เหนื่อยมานาน” ไม่ใช่แค่เหนื่อยหรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมคุมอาหารเพื่อให้หุ่นออกมาสมบทบาทที่ได้รับจนอาจจะดูผอมเกินไปอย่างที่ศรเคยว่าไว้ “กินให้หมดเลยนะ ถ้าเหลือก็มีแต่ทิ้ง ไม่มีใครกินรสจัดเหมือนเธอ”


“ครับ”


ถ้าให้คนไม่ชอบรสจัดมาทำก็ถือว่านี่เป็นอาหารที่อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว คนนั่งหัวโต๊ะปล่อยให้ผมจัดการอาหารตรงหน้าไปได้พักใหญ่ก่อนจะปริปากพูดเรื่องสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง


“ยังไงก็ขอบใจนะที่นำลูกชายฉันมาคืน”


ผมยังไม่มีโอกาสได้คุยกับศรเรื่องเมื่อคืน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสบายใจหรือกังวลมากน้อยแค่ไหน แต่ดูจากการที่เมื่อคืนยอมนอนที่บ้านและยังบอกรายละเอียดความชอบของผมกับพ่อไว้อีกก็เดาได้ว่าความสัมพันธ์น่าจะดีขึ้นตามลำดับ


“เมื่อคืนศรบอกว่าอยากจะเริ่มต้นใหม่กับฉัน โดยที่ไม่ถามถึงเรื่องเก่า ๆ ให้เคลียร์เลยสักนิด มันบอกว่ามันไม่สนใจแล้วว่าความจริงเป็นยังไง พ่อกับแม่แยกกันเพราะอะไร...มันไม่สนใจแล้วหลังจากที่เธอบอกให้มันวางอดีตแล้วอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข”


ผมพอจะรู้ว่าเมื่อคืนศรขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกสับสนอยู่ไม่น้อย อารมณ์ด้านลบมากมายที่แสดงออกมาทางสีหน้าจนผมเองก็แยกไม่ออกว่ามันคืออะไร ไม่คิดว่าแค่คำพูดของผมจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่ทำให้กลับบ้านมาตอนดึกได้


“ถ้าลูกชายฉันไม่มีเธอ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง เราอาจจะยังมองหน้ากันไม่ติดไปจนตาย มันเองก็คงยังไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกรัก”


ผมตัดสินใจรวบช้อน “ผมทำด้วยความยินดีครับ”


เขาผายมือเชื้อเชิญให้ผมทานต่อให้หมด ผมยอมทำตามอย่างว่าง่าย ไม่อยากขัดขืนให้ขุ่นเคือง ขณะที่เขารวบช้อนเป็นอันเสร็จกิจมื้อกลางวัน ดื่มน้ำเรียบร้อยแล้วเอนพิงพนักมองผมด้วยท่าทีสบาย “ในฐานะคนเป็นพ่อ ฉันสะเทือนใจมากตอนที่ได้ยินว่าลูกคิดอยากจะตายอยู่หลายครั้ง...เธอเคยรู้เรื่องนี้บ้างไหม”


“ครับ” ผมไม่เคยได้ยินประโยคแบบนั้นตรง ๆ แต่ช่วงแรก ๆ ที่เราคบกันผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ว่าศรไม่ห่วงชีวิต พอผมเตือน เขาก็จะพูดเหมือนยิ่งจากโลกนี้ไปเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีหรือไม่ก็พูดเหมือนไม่มีแรงจูงใจในการมีชีวิตอยู่ คล้ายกับว่าวันไหนเบื่อก็พร้อมจะหาทางออกด้วยการปลิดชีพตัวเอง ไม่อย่างนั้นช่วงก่อนหน้านี้มันจะติดบุหรี่มากทั้งที่ไม่มีเหตุให้สูบไปทำไมกัน


“แต่เพราะเธอ ศรถึงได้เลิกคิดแบบนั้น”


“...”


“เพราะเธอ ศรถึงได้ไม่รู้สึกอ้างว้างอีกต่อไป...ขอบใจเธอมากที่ดูแลลูกชายฉันด้วยความรัก”


อาหารอร่อยจริง ๆ ว่ะ


“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะเลิกคิดเรื่องทายาท”


รสชาติหมาไม่แดก…


“ผมเข้าใจครับ” ผมรวบช้อนแล้วดื่มน้ำตามเป็นการจบมื้ออาหาร


“ถ้าเธอสองคนอยากคบกันฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่อยู่ในที่ลับได้ไหมล่ะ”


ตอนนี้แม้แต่น้ำก็ยังฝืดคอ


“ธุรกิจที่ฉันสร้างมาจำเป็นต้องมีผู้สืบทอด...ศรต้องมีลูก”


หรือแม้แต่น้ำลายตัวเองก็ยังหนืดไปหมด


“แต่ถ้ามีทั้งแม่ของลูกและเธอไปพร้อมกัน มันอาจจะจบไม่สวยเหมือนฉันและแม่ของศร เด็กที่เกิดมาก็คงชะตากรรมเดียวกับพ่อมันเอง”


“...”


“ถอยซะ--”


“ขอโทษครับ” ผมเสียมารยาททะลุกลางปล้อง “แต่ผมยังยืนยันที่จะให้ศรเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง ถ้าเขาอยากสืบทอดงานของท่าน...”


ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากเย็นราวกับเป็นยาขม “...หรือแม้แต่เรื่องอยากมีลูก...ผมก็จะยอมรับครับ”


“แล้วทำไมไม่ยอมซะตั้งแต่ตอนนี้”


“ตอนห่างกันเพราะโกรธยังเจ็บปวดทรมานขนาดนั้น ไม่มีทางที่ผมจะเลิกกับศรทั้งที่ยังรักกันแน่ ๆ ครับ”


เขาเริ่มกอดอก “แล้วจะรอให้เจ็บมากกว่านี้ก่อนค่อยถอยเหรอ”


มุมปากขยับออกให้ริมฝีปากแบนบางเหมือนยิ้มจาง ๆ ที่อาจจะฝืดไปสักนิดในสายตาคนมอง “ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ถ้าวันไหนผมถอย...วันนั้นคือวันที่ผมไม่ได้รักศรแล้ว”


เขากระตุกมุมปาก “ฉันคิดว่าเธอจะคิดว่าความรักคือการเห็นคนที่รักมีชีวิตที่ดีซะอีก”


“สำหรับผม...ความรักคือการเห็นคนรักมีชีวิตที่ดีในทางที่เขาเลือกเองครับ”


“...”


“ตั้งแต่ศรเลือกจะคบผม เขามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในหลาย ๆ อย่าง บางอย่างท่านเองก็รู้เพราะให้คนตามดูเขา และยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่มีใครเห็นนอกจากผม แต่ผมรู้ว่าท่านสัมผัสได้...และผมเชื่อว่าเราจะส่งเสริมกันไปในทางที่ดียิ่งขึ้นครับ”


“หึ ฉันจะรอดู”




ผมที่ทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยการช่วยลุงจอมตัดแต่งต้นไม้ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อเมื่อเห็นธรรมศรขับรถกลับมาในตอนเกือบสี่โมงเย็น


“วางกรรไกรเถอะครับ คุณศรเธอกลับมาแล้ว” ลุงจอมบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่ผมไม่ทำตาม ยังคงง้างกรรไกรตัดแต่งไทรเกาหลีให้เป็นทรงกระบอกเหมือนต้นก่อนหน้านี้


“นอนพอแล้วเหรอถึงออกมาตากแดดตัดต้นไม้แบบนี้”


ผมไม่ได้หันไปมองเจ้าของเสียง แปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเห็นว่าผมอยู่ตรงนี้ ไม่คิดว่าจะสนใจมองบริเวณรอบบ้านขนาดนี้ด้วย


“กูไม่ได้บอบบางขนาดนั้น”


“กูรู้” เสียงมันอ่อนลงจนผมตัองหันไปมองหน้าเพื่อสัมผัสความรู้สึกของคนรักให้ชัดเจนขึ้น ศรไหวไหล่ “ก็แค่ห่วงไง เห็นมึงเหนื่อยนอนน้อยมาหลายวัน กลัวว่ามาตากแดดแบบนี้จะเป็นลมเอาได้”


“กูโอเค”


“แล้วเนี่ย เหงื่อไหลเป็นน้ำตกเลยมึง” ศรไม่ว่าเปล่า อีกฝ่ายยื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผมแล้วยังเผื่อแผ่ไปปัดผมหน้าม้าออกให้พ้นตาด้วย


หน้าตาศรเวลาใส่ใจผมน่ามองมากก็จริงอยู่ แต่สายตาลุงจอมที่มองมาก็ทำให้ผมไม่อาจเพิกเฉยได้เหมือนกัน


“ศร พอเถอะ” ผมกระซิบบอก


“ทำไม”


ผมไม่ตอบแต่ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน แต่แทนที่เขาจะสนใจกลับตั้งหน้าตั้งตาเช็ดเหงื่อตามลำคอให้ผมด้วยราวกับจะแกล้งกัน


“คุณหนูพาคุณโอมไปพักเถอะครับ เธอตากแดดตรงนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว”


คำที่ลุงจอมใช้เรียกธรรมศรทำให้ผมหลุดขำน้อย ๆ


“ขำอะไรของมึง”


คุณหนู เหมาะกับมึงดีนะ”


“สัด!”


“จะไม่เหมาะก็ตรงนี้แหละ”


“ก็กูไม่ใช่คุณหนูหรือคุณชายอะไรทั้งนั้น...ลุงเองก็เลิกเรียกแบบนั้นเถอะครับ ผมไม่ใช่เด็กชายสองขวบที่ลุงรู้จักหรอก”


ลุงจอมไม่เถียงต่อ ชายวัยเกษียณแค่รับปากครับ ๆ แล้วเข้ามาแย่งกรรไกรในมือผมคืนไปพร้อมออกปากไล่กลาย ๆ ให้เราเข้าไปในบ้านกันเสียที


“พ่อไม่อยู่เหรอวะ”


ผมอมยิ้มเมื่อเห็นศรมองซ้ายมองขวาหาผู้เป็นพ่อและยังเรียกคำขานนั้นชินปากเสียแล้ว


“ออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่ายสาม”


“งั้นมึงอาบน้ำเสร็จแล้วเราก็จะกลับกันเลย”


“ไม่รอกินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ”


“เบื่อหน้าแล้ว”


“ศร” ผมพูดเสียงแข็งขึ้น ไม่ชอบเวลามันพูดตัดเยื่อใยด้วยสีหน้าเรียบเฉยเอาเสียเลย ดูเย็นชาจนถ้าคนถูกพูดถึงมาได้ยินคงเสียใจมาก


“เขาไม่กลับมากินกับเราหรอก”


ผมมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ศรเอ่ยเร่งให้ผมขึ้นไปอาบน้ำเสียทีซ้ำอีกครั้งแต่ผมก็ยังอยู่ที่เดิม “มึงโอเคกับพ่อรึยัง” ผมเลือกใช้น้ำเสียงอ่อนลงเพื่อให้รู้ว่าผมเป็นห่วงเรื่องนี้จริง ๆ


“ปรับตัวอยู่ ขอเวลาหน่อยดิ”


ผมพยักหน้ารับพร้อมยิ้มมุมปาก ยื่นมือไปยีผมอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว “ทำตัวให้น่ารักหน่อย”


...อนาคตของเราอยู่ในมือมึงนะ






ชีวิตปีสี่ของผมบันเทิงมากกว่าตอนเรียนปีหนึ่งเสียอีก แทนที่จะได้ใช้เวลาทั้งหมดในการทำสารนิพนธ์ในรูปแบบหนังสั้นควบคู่กับการเรียนรายวิชาบังคับแค่ไม่กี่หน่วยกิจแต่กลับต้องแบ่งเวลาให้กับวิชาอื่น ๆ อีกเพราะเก็บหน่วยกิจไม่ครบ แต่ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่ผมจะได้ไม่ต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการรอศรอย่างห่อเหี่ยวที่ห้องตามลำพัง และสถานที่ที่ใช้ในการคิดงานศิลป์และปรึกษาผู้มีประสบการณ์ก็หนีไม่พ้นร้านเหล้า


ยามเย็น…


ร้านเหล้าเล็ก ๆ ใกล้มหาวิทยาลัยคือจุดรวมพลที่พี่สัมนัดมาเพื่อ ‘ดูตัว’ นักแสดงหนังสั้นของผม


แม่งเหมือนปีที่แล้วเป๊ะ ๆ เลย


เหมือนแม้กระทั่งคนอื่น ๆ ที่มาร่วมโต๊ะกันในวันนี้ด้วย


“กับคนนี้มึงจะชอบเหมือนคนก่อนไม่ได้นะเว้ย” พี่สัมเตือนตอนที่รินเหล้าแก้วที่สามให้ผมขณะกำลังรอใครคนนั้นอยู่


“ไม่มีทางหรอก”


“ให้มันแน่ เห็นกูเหี้ยแบบนี้แต่กูก็เป็นคนรักน้องรักพวกพ้องนะเว้ย”


ผมส่ายหัวระอาคนช่างพูดช่างจาที่ดูท่าจะเริ่มกรึ่ม ๆ ก่อนคนที่ตัวเองนัดไว้จะมาถึงเสียอีก


ร้านยามเย็นเป็นร้านอาหารกึ่งผับ โซนห้องแอร์ที่เรานั่งกันอยู่ใกล้กับพื้นที่เล่นดนตรีสดที่เหมาะสำหรับวงที่มีเครื่องดนตรีน้อยชิ้น บรรยากาศรบข้างมีแต่คนมานั่งคุยกันมากกว่าสนุกไปกับดนตรีหรือการหาเพื่อนแก้เหงากลับบ้าน พอพี่สัมพูดถึงครั้งก่อนก็อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงตอนนั้น อีกฝ่ายเดินหน้าบูดเข้ามาถึงก็บ่นกับพี่สัมทันทีว่าไม่ชอบร้านนี้เพราะอดหว่านเสน่ห์ แต่นั่งไปนั่งมาสุดท้ายมันก็ได้เบอร์สาวไม่ต่างจากไปในที่คนเนืองแน่นเลยสักนิด


นึกแล้วก็โคตรหมั่นไส้


“อย่ามัวใจลอยถึงคนเก่า คนใหม่มมาถึงแล้ว” เสียงพี่สัมดึงผมกลับมาพบกับคนมาใหม่ที่ยืนหอบน้อย ๆ อยู่ตรงหน้าก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมพร้อมรอยยิ้มแหย


“ขอโทษที่สายครับ พอดี--”


“ไม่ต้องพูด” ผมตัดบทจนอีกฝ่ายหน้าเสีย แต่สาบานได้ว่าที่พูดออกไปไม่ใช่เพราะเคืองที่อีกฝ่ายมาสาย ไม่เลยสักนิด


“ไร้เยื่อใยมาก กูนึกว่ามึงเลิกนิสัยนี้ไปแล้วตั้งแต่คบไอ้ศร” ผมไหวไหล่ กับคนแปลกหน้าก็เป็นแบบนี้แหละ ไร้เยื่อใย หน้าตาย ไร้อารมณ์ร่วม ไม่ได้หายไปอย่างที่อีกฝ่ายพูดหรอก


“ไอ้นี่มันชื่อโอม บางคนก็เรียกโอมอิน บอกไว้กันงง มันคือคนที่มึงจะร่วมงานด้วย” พื่สัมแนะนำผมให้คนมาใหม่รู้จัก


“ส่วนนี่ไอ้ภัทร ปีหนึ่งบริหาร ตรงตามที่มึงร้องขอ”


“สวัสดีครับ”


ผมรับไหว้เด็กที่ตรงข้ามกับธรรมศรทุกอย่าง ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ยามยกมือไหว้ รูปร่างเล็กบอบบางที่กะส่วนสูงคร่าว ๆ จากตอนที่มันยืนค้ำหัวเมื่อครู่ก็บอกได้เลยว่าไม่มีทางสูงกว่ายอดอกผมแน่ หน้าตาสวยหวานเกินชาย ผิวพรรณก็ขาวมีออร่าอย่างกับแดกหลอดไฟนีออนแทนอาหาร ยิ่งเสียงพูดตอนกล่าวคำทักทายยิ่งทำให้แน่ชัดว่าเจ้าตัวมีรสนิยมทางเพศแบบไหน


ไอ้พี่สัมแม่งเล่นกูอีกแล้ว


“ผมขอแบบนี้เหรอ”


พี่สัมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อคนของตัวเองดึงชายเสื้อยิก ๆ พร้อมส่งสายตาสื่อคำถาม “มึงน่ากลัวเกินไปแล้วไอ้โอม ปกติไอ้ภัทรแม่งโคตรขี้โวยวาย แต่วันนี้ไม่กล้าเว้ย มันกลัวมึงแน่ ๆ”


“พี่สัม!!” ว่าไม่ทันขาดคำ เสียงแหลมเล็กน่ารำคาญก็ดังแทรกเสียงเพลงขึ้นจนน่าจะได้ยินกันทั้งร้าน


“รู้จักพี่มันได้ไง” เด็กนั่นหน้าตาเหรอหราทันทีที่ถูกถาม “เลิกคบมันเถอะ”


“อ้าวเห้ย! อย่ามายุแยงตะแคงรั่ว ตกลงจะเอาไหม หรือหาคนอื่น”


ผมมองคนตรงหน้านิ่ง หน้าตาสวยเกินชายดูรั้นนิด ๆ ตรงข้ามกับนิสัยจริงที่คงจะดื้อมากทำให้ผมลังเล แต่ร่างกายบอบบางทั้งยืดหยุ่นและแตกหักง่ายในเวลาเดียวกันคือสิ่งที่ผมต้องการ


“เอาคนนี้แหละ”


หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าภัทรจะหายใจหายคอได้โล่งขึ้น ผ่อนคลายและเป็นตัวเองมากขึ้นในทันที ในสายตาผมมันเป็นคนช่างจ้อ พูดมาก พูดไปเรื่อย เข้ากับคนง่าย ดีอย่างที่ผมไม่ต้องใช้เวลาหลังจากนี้ในการทำความคุ้นเคยกับนักแสดงของตัวเอง เวลาทำงานจริงคงง่ายขึ้นด้วยจะด่าจะว่าอะไรก็ได้


ผมไม่ได้ตั้งใจจะใช้เวลากับที่นี่นาน แค่อยู่ให้ถึงช่วงที่ศรเลิกซ้อมละครเวทีก็พอ ไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกอีกฝ่ายไลน์มาตาม เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง


DharmaSORN : จะกลับกี่โมง


ผมเหลือบดูเวลาตรงขอบบนของหน้าจอ อีกยี่สิบนาทีจะสี่ทุ่ม ยังไม่ถึงเวลาเลิกซ้อมเหมือนวันอื่น ๆ เลย


OMIN : ไม่เกินเที่ยงคืน


ที่รีบตอบทันทีที่เห็นก็เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจได้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้ติดพันสาวคนไหนอยู่ แต่ที่ตอบกลับไปแบบนั้นก็แค่แกล้งแหย่เล่นเท่านั้น ใครจะใจร้ายปล่อยให้แฟนอยู่ห้องเหงา ๆ คนเดียวถึงเที่ยงคืนได้ลงคอ


DharmaSORN : ขับรถกลับไหวไหมวะ

OMIN : จริง ๆ แล้วอยากถามว่า ‘เมาไหม’ ใช่ไหม

DharmaSORN : อยากถามว่ากลับเลยได้ไหมต่างหาก


โอเค ลุกสิครับจะรออะไร


“นี่ค่าเหล้้า” ผมหยิบแบงก์สีม่วงยัดใส่มือพี่สัม


“จะกลับแล้วเหรอวะ”


ผมยกแก้วตัวเองซดเครื่องดื่มที่เจือจางไปมากแล้วจนหมด “อืม”


“อะไรวะ เมียตามแล้วเหรอ”


“อือ”


“เดี๋ยวนี้ผลัดกันแล้วเหรอวะ จากเคยตามเมียกลายเป็นเมียตามเฉยเลย”


“ต่อให้ศรไม่ตามผมก็จะรีบกลับไปหามันอยู่แล้ว”







(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
ไม่ถึงยี่สิบนาทีผมก็กลับถึงห้อง ไฟตรงห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิดไว้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการคลำทางของผม สองขาสามารถพาร่างตัวเองเข้าห้องนอนได้โดยไม่ชนสิ่งกีดขวางใด ๆ ไฟในห้องนอนก็ไม่ถูกเปิด แต่เจ้าของห้องที่ยืนตรงระบียงข้างนอกกลับฉายชัดในสายตาเพราะแสงสว่างของเมืองหลวง


ศรยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น ชุดนอนของเขายังคงมีแค่กางเกงผ้าแพรขายาวเท่านั้นเช่นเคย ขอบกางเกงที่รั้งเอวไว้หมิ่นเหม่ยิ่งเสริมให้แผ่นหลังเปลือยเซ็กซี่มากขึ้น อีกทั้งยังไม่งุ้มงอเหมือนคนขาดความอบอุ่นหรือมีเรื่องทุกข์ใจอย่างทุกทีอีกด้วย


ความจริง แค่ไม่เห็นควันบุหรี่พวยพุ่งในบริเวณนั้นผมก็สบายใจขึ้นมากแล้ว


ผมเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังแล้วหอมแก้มอีกฝ่ายหนึ่งครั้ง กลิ่นเนื้อเมียชื่นใจเป็นบ้า


“ไปเจอเพื่อนร่วมงานมาเป็นไงบ้าง”


“ก็ดีนะ ถึงจะไม่ตรงตามสเปคที่อยากได้นักแต่ก็พอหยวนได้อยู่” ผมยังยืนซ้อนหลัง โอบอีกร่างไว้ในอ้อมแขนด้วยการยื่นมือไปจับราวกั้นข้างหน้า วางคางไว้บนไหล่ที่บางกว่าตัวเองเล็กน้อยแล้วเอียงหน้าเข้าหาลำคอที่โคตรน่ากัด


“พี่สัมตาถึง เลือกคนเก่ง” ศรไม่มีท่าทีรำคาญหรือผลักไส


ผมลอบยิ้ม เป่าลมใส่คออีกฝ่ายเล่น “อือ เลือกมากี่คนก็ถูกใจตลอด”


“ชอบเขาแล้วดิ”


“หึงก็บอกว่าหึงสิวะ”


“เออหึง!”


“กลัวอะไรวะ กูรักมึงคนเดียวนะ”


“เดี๋ยวสายตามึงก็จะต้องจดจ่ออยู่แต่หน้าเขา ขี้คร้านจะซ้ำรอย”


“หึ กูรักมึงมากขนาดนี้ จะปันใจไปหาใครได้อีกวะ” ผมจูบประทับตราลงกับลาดไหล่เปลือยอย่างเอาใจ


“ไปอาบน้ำ กูง่วงแล้ว” ศรว่า น้ำเสียงฟังดูอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่แทนที่ผมจะเอาใจด้วยการไปอาบน้ำกลับเลือกที่จะยังยืนอยู่ในท่าเดิมแล้วจูบไล่ตั้งแต่ลาดไหล่ไปจนถึงต้นคอ จนกระทั่งริมฝีปากแตะกกหูยังไม่ทันย้ายไปหาเป้าหมายใหม่อย่างติ่งหูก็ถูกดุด้วยน้ำเสียงจริงจังเสียก่อน


“ไม่โอม กูโคตรง่วง”


แพ้อีกแล้ว


ผมอมยิ้ม จบความพยายามของตัวเองด้วยการหอมแก้มฟอดใหญ๋อีกหนึ่งครั้ง “มึงหลับไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวกูออกมานอนกอด”


ศรพยักหน้าให้ผมทีหนึ่ง ผมจึงทิ้งท้ายด้วยการจูบมุมปากเขาจากด้านข้างก่อนผละไปอาบน้ำ






แม้เวลาว่างจะมีน้อยแต่ความสัมพันธ์ของศรกับพ่อก็แน่นแฟ้นเร็วสมคำกล่าวที่ว่าความสัมพันธ์ของพ่อลูกย่อมตัดกันไม่ขาด เช่นเดียวกันกับผมที่กลายเป็นสมาชิกของบ้านหลังนั้นได้เพียงแค่การไปเยือนเพียงไม่กี่ครั้ง


เมื่อเรื่องของเราเป็นที่รับรู้ของครอบครัวฝั่งธรรมศรแล้ว ก็คงจะเหลือแต่ฝั่งผม ถ้าไม่รีบบอกอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ในภายหลังได้ แต่จะให้อยู่ ๆ ก็เดินโทง ๆ เข้าไปบอกก็คงไม่ได้ คงต้องหาวิธีการทำให้แม่ค่อย ๆ รู้ ค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึกของผมกับศรที่ไม่อาจปิดซ่อนเอาไว้ได้อีกแล้วแทน


ช่วงกลางสัปดาห์ก่อนละครเวทีรอบแรกผมโทรไปหาแม่ด้วยความตั้งใจที่จะชวนไปดูศรเล่นด้วยกัน ทั้งที่ความจริงผมซื้อบัตรเตรียมไว้ก่อนแล้วเพราะคาดหวังไว้สูงว่าอย่างไรเสียจะต้องได้ใช้


“เอ่อ...แม่ครับ ศุกร์หน้ามีละครเวทีของคณะสถาปัตย์รอบแรก คือว่า….ไอ้ศรเล่นเป็นพระเอก แม่อยากไปดูกับผมไหมครับ” ผมเอ่ยถามตรงประเด็นหลังจากซักถามไล่เลียงทุกข์สุขกันแล้ว


เธอเงียบไปพักหนึ่ง เสียงกุกกักในบ้านบอกว่าสายยังไม่ถูกตัด [ไปสิ...] ผมลอบถอนหายใจ [....ชวนน้องสาวเราไปด้วย]


“เอมจะไปรอบสุดท้ายครับ”


[ชวนยัยอิมไปด้วย ความจริงถ้ารอบแรกเอมไม่ติดอะไรก็ไปด้วยกันให้พร้อมหน้าเนี่ยแหละ]


“ครับ? แม่หมายถึง...”


[แม่ไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกนะโอม แม่สงสัยตั้งแต่วันที่เราพาเขามานอนที่บ้านแล้ว แต่ลูกต้องให้เวลาแม่หน่อย แม่เป็นอาจารย์ ให้ความยุติธรรม ความเสรีและเสมอภาคกับนักศึกษาในเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่พอเกิดขึ้นกับแม่จริง ๆ ในฐานะของคนเป็นแม่ที่ถอดหัวโขนอาจารย์ออกแล้ว มันก็ยากที่จะทำใจได้อยู่เหมือนกันนะ]


“ผมเข้าใจครับ...ขอโทษด้วยที่ผมเป็นแบบนี้”


[โอมไม่ผิดหรอกลูก แม่รู้ แม่สัมผัสได้ว่าระหว่างลูกสองคนมันไม่ใช่แค่ความรู้สึกฉาบฉวย ลูกดูแลกันและกันอย่างดี แต่ขอเวลาให้แม่หน่อยนะ]


“ขอบคุณครับ ผมรักแม่มากนะครับ”


[แม่ก็รักลูกนะ ตั้งแต่พ่อเขาจากเราไป แม่บอกกับตัวเองว่าจะเลี้ยงลูก ๆ ด้วยความรักและความเข้าใจ แม่จะรับฟังก่อนตัดสินว่าดีหรือไม่ดี]


“ขอบคุณที่ให้โอกาสพวกเรานะครับแม่”


ผมโชคดีจริง ๆ ที่มีแม่เข้าใจในตัวผม อย่างน้อยท่านก็พยายามจะเข้าใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านเป็นอาจารย์หรือเปล่าที่ทำให้ท่านเข้าใจคนวัยอย่างผมมากพอสมควรโดยไม่ตั้งคำถามย้อนกลับให้ต้องลำบากใจ


โชคดีของผมจริง ๆ





ในที่สุดก็ถึงวันสุดท้ายที่ศรต้องซ้อมละครเวที ตลอดเวลาที่ซ้อมมานานเกือบสองเดือนมันไม่เคยให้ผมไปรับไปส่งหรือไปเฝ้า ทั้งที่ผมเป็นห่วงว่ามันจะเหนื่อยจนขับรถกลับไม่ไหวแต่มันก็ยังยืนยันว่าไม่ให้ไปรอรับอยู่ดี แฟนที่ดีอย่างผมจึงทำได้แค่นั่งดูหนังรอมันกลับมาเท่านั้น จนวันนี้ในเวลาเกือบห้าทุ่มศรก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าที่เพลียสุดชีวิต


“จะเป็นซากศพเดินได้อยู่แล้วยังขับรถกลับมาเองอีก” อดไม่ได้ที่จะบ่น แต่คนถูกบ่นไม่ต่อปากต่อคำด้วย ร่างที่เหมือนศพเข้าไปทุกทีเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนอนหนุนหมอนอิงบนตักผม พาดตัวยาว ๆ ไปตามโซฟาจนช่วงขาท่อนล่างเลยพนักแขนออกไป


“อ้อนเหรอ” ผมถามยิ้ม ๆ แต่อีกฝ่ายไม่เห็นเพราะหลับตาไปแล้ว


“เหนื่อย ขอพักหน่อย”


ผมปัดผมหน้าม้ามันออก เปิดหน้าผากใสรับลมเย็นอ่อน ๆ จากเครื่องปรับอากาศ อยากจะได้ผ้าเย็นสักผืนมาเช็ดเพิ่มความสดชื่นให้อีกฝ่าย แต่ถ้าลุกออกไปตอนนี้มีหวังโดนโวยมากกว่าจะซึ้งใจแน่


ใบหน้าไร้ที่ติมีรอยย่นระหว่างคิ้วช่างขัดตาผมเสียจนต้องวางนิ้วลงไปคลึงเบา ๆ “คิดอะไรอยู่”


“หือ?”


“มึงขมวดคิ้ว”


“แค่เหนื่อยอ่ะ” ศรตอบเสียงยานที่บ่งบอกว่าเหนื่อยจริง ๆ


เมื่อเห็นว่าลูบอย่างไรหัวคิ้วเข้มก็ยังไม่ยอมเคลื่อนออกจากกันผมจึงก้มลงไปทาบริมฝีปากแทนที่นิ้ว


“อืมมม” ศรครางเสียงรำคาญ เห็นใบหน้าที่ช่วงนี้ดูโทรมกว่าปกติยู่ลงยิ่งกว่าเดิมเลยยิ่งอยากแกล้งต่ออีกหน่อย


ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปวางแหมะบนหน้าท้องอีกฝ่าย กล้ามเนื้อใต้ร่มผ้ากระตุกเกร็งเล็กน้อยตอนที่เราสัมผัสกัน แต่เจ้าตัวยังไม่โวยวายอะไรมากไปกว่าเสียงครางเหมือนเดิม ผมกระตุกยิ้ม ชักอยากได้ยินเสียงครางด้วยโทนอารมณ์อื่นมากกว่าเสียแล้ว


ฝ่ามือค่อย ๆ ขยับอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันริมฝีปากก็ค่อย ๆ ลากผ่านลงมาตามส่วนเว้าโค้งของเครื่องหน้าทิ้งความร้อนผ่าวไปทุกทางผ่าน หยุดกดลึกตรงปลายจมูกโด่งเล็กน้อยก่อนไปหยุดที่เป้าหมายหลักอย่างกลีบปากนุ่ม ศรไม่ยอมเปิดปากแต่ก็ไม่หลบเลี่ยง ผมทั้งกดทั้งดูดดึงแต่อีกฝ่ายก็ยังใจแข็ง ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้ผมสนุก มือที่ไล้อยู่ช่วงท้องขยับเร็วขึ้นอีกหนึ่งจังหวะจนคนถูกลวนลามรู้ตัวแล้วรีบตะปบมือผมให้หยุดไว้ได้ในตอนที่ปลายนิ้วเริ่มแตะผิวเนื้อหน้าท้อง


“ซน!” ศรเผลอขยับปากพูดทั้งที่ผมยังแนบริมฝีปากอยู่ แล้วมีหรือที่คนที่กำลังรอจังหวะอยู่อย่างผมจะรอช้า จะจูบศรได้ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดริบบิ้นหรอกครับ ผมจัดการเองได้หมด


แปลกใจนิดหน่อยที่คนบ่นว่าเหนื่อยไม่ได้ต่อต้านหรือเย็นชาใส่แต่กลับจูบตอบอย่างไม่ยอมลงให้กันจนกลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายถูกชักจูงให้เคลิบเคลิ้มเสียอย่างนั้น


ฉิบหาย! พอได้สัมผัสก็กลายเป็นหยุดไม่ได้แล้วครับ


เราไม่ได้มีอะไรกันเป็นจริงเป็นจังนานเป็นเดือนแล้วนะครับ ช่วงที่ผมซ้อมละครหนักก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำ และกลัวว่าถ้าออกแรงเยอะจะไม่มีแรงไปซ้อมอีก เลยได้แค่ผลัดกันใช้มือช่วยภายนอกแก้ขัด พอผมจบการแสดงละครเวทีก็เข้าสู่ช่วงที่ศรต้องซ้อมหนักอีก ช่วงนี้ผมใช้แรงได้ไม่อั้น แต่คนรับแรงอย่างศรไม่ไหวแน่ เราเลยใช้มาตรการเดิมในการเติมรักกันไปก่อน ไม่เคยได้มากกว่านั้น แต่พรุ่งนี้ศรได้พัก กามารมณ์ที่ถูกกดไว้นานมันเลยประทุออกมาจนยากที่เหตุผลต่าง ๆ นานาจะเอาอยู่แล้วครับ


ขณะที่จูบของเราเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ มือผมก็หลุดจากการเกาะกุมของศร ค่อย ๆ รุกล้ำเข้าเขตต้องห้ามมากขึ้นเช่นกัน ผมแทรกมือผ่านขอบกางเกงยีนส์ที่ขนาดพอดีเอวไปอย่างยากลำบาก อยากจะย้อนขึ้นมาปลดตะขอก่อนแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะไหวตัวทัน


“อื้อออ อย่ากวน” ศรตามมายั้งมือผมไว้ได้อีกครั้ง คราวนี้ผมเลยยอมดึงมือกลับมา แต่ไม่ได้เพื่อยอมแพ้ ผมถอยออกมาเพื่อปลดตะขอกางเกงอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรกต่างหาก ส่วนริมฝีปากเราก็ผละจากกันแล้ว ผมซุกจมูกทั้งดมทั้งหอมไปทั่วหน้าอีกฝ่าย ยิ่งได้ยินเสียงฟึดฟัดขัดใจเป็นปฏิกิริยากลับมาก็ยิ่งไม่อยากหยุด


“อ่าห์ โอม กูเหนื่อยอยู่นะ” นอกจากเสียงครางจะเริ่มเข้าใกล้โหมดอารมณ์ที่ผมต้องการแล้วเสียงพูดก็ยังแหบพร่าลงด้วย


ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าศรบอกว่าไม่ ผมก็จะไม่ทำ แต่ครั้งนี้ มันยากอยู่นะครับที่คนอดอยากปากแห้งมานานอย่างผมจะอดกลั้นได้ไหว “เหนื่อยก็อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวกูทำเอง”


“สัด ไม่สนใจเลยสินะว่ากูเหนื่อย”


“พรุ่งนี้มึงได้พักเต็ม ๆ หนึ่งวัน กูจะดูแลมึงอย่างดีเลย”


“เอาแต่ได้ตลอด” ศรบ่นอุบแต่กลับแน่นิ่งไม่ขยับหนี


“ก็เอาแต่กับมึงคนเดียว”


“...”


“...นะ”


ศรหลบสายตา “ดี ๆ นะมึง”


ผมยิ้มกริ่ม “จะปรนนิบัติอย่างดีเลยครับคุณชาย”


“กวนตีน”


ผมเริ่ม ‘ปรนนิบัติ’ ด้วยการมอบรสจูบดูดดื่มให้อีกฝ่าย ยิ้มย่องอยู่ในใจว่าทนได้ก็ทนไป แต่พนันได้เลยว่าศรทนได้ไม่เกินห้านาทีแน่ อย่างเก่งก็แค่สิบนาทีเท่านั้น เพราะแม้ปากจะบ่นว่าเหนื่อยแต่ลึก ๆ แล้วก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ว่าตัวเองก็มีความต้องการเหมือนกันกับผม


เสียบจ๊วบจ๊าบดังตามจังหวะที่เราดูดดึงกันและกัน มือข้างที่จับอยู่จุดยุทธศาสตร์ก็ทำการบีบคลึงแก่นกายอีกฝ่ายใต้กางเกงในสีเข้ม แต่ในจังหวะที่ผมผละออกเพราะจะลุกจากที่นั่งนั่นเองที่ผมถูกหยุดการดำเนินบทรักเอาไว้อีกครั้ง


“ไม่เอาโซฟา ทำความสะอาดยาก”


“แล้วเดินเข้าห้องไหวไหมวะ”


ศรส่ายหน้า “อยากอาบน้ำ”


ผมยิ้มกริ่ม บอกแล้วว่ามันทนไม่ได้เกินห้านาทีหรอก ได้ทีเลยเย้ากลับเสียหน่อย “ไหนบอกว่าเหนื่อยไง”


“ก็เหนื่อย แต่อยากอาบน้ำ ไปถูหลังให้หน่อย”


“จะทำความสะอาดให้ทุกซอกทุกมุมเลย”


“เดี๋ยวนี้ทำไมหื่นจังวะ กูชักกลัวมึงแล้วนะ”


อดอยากปากแห้งมานาน จะไม่ให้มีความต้องการมากกว่าปกติได้อย่างไรกันละวะ!







ละครเวทีสถาปัตย์เปิดแสดงทั้งหมดสิบรอบเช่นเดียวกัน ทว่าจัดแสดงที่หอศิลป์ของคณะตัวเองที่ว่ากันตามตรงแล้วก็ใหญ่พอกันกับหอประชุมส่วนกลางที่คณะผมใช้ไปเมื่อครั้งก่อน


วันนี้แม่กับน้องสาวทั้งสองของผมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาดูศรแสดงพร้อมกัน ผมจึงยกหน้าที่ให้เอมพาแม่กับอิมมาที่นี่ แค่แม่กับอิมมาดูละครเวทีของศรผมก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งเห็นว่าแม่ถือช่อดอกไม้ไม่ใหญ่ไม่โตมาด้วยก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาจนถูกแม่แซวเข้าให้ว่าเดี๋ยวนี้ชักจะยิ้มเก่งเกินไปแล้ว


ผมฝากช่อดอกไม้สำหรับศรไว้กับเอมและให้เธอพาแม่กับน้องเข้าไปข้างในก่อน ส่วนตัวเองก็รอรับพ่อของศรอยู่ข้างนอก รออยู่อย่างนั้นไม่นานนักผมก็เห็นอีกฝ่ายเดินมาแต่ไกล


“พี่โอม!” เจ้าของเสียงคือน้องเพชร ลูกพี่ลูกน้องของธรรมศร เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาทางผมพร้อมจูงมือคนที่ผมจำได้ดีว่าคือใครเข้ามาด้วย


“สวัสดีครับ” และผมก็ไม่พลาดที่จะทำความเคารพ


“คนนี้น่ะเหรอ…” อาภพหันไปถามลูกสาว


“คนนี้แหละ ลูกเขยฉัน”


ผมยกมือไหว้คนมาใหม่ ขณะที่อาภพยิ้มน้อย ๆ ให้เจ้าของเสียงแทรกที่เดินตามหลังมาแต่ไม่เสียเวลาแซวต่อ เขากลับมาให้ความสนใจผมมากกว่าแทน “ครั้งก่อนที่เจอยังไม่ได้คุยกัน ดีใจจริง ๆ ที่วันนี้บังเอิญได้เจอกันอีกครั้ง”


“ไม่ใช่ว่ามางานนี้เพราะตั้งใจมาเจอเด็กคนนี้เหรอ”


อาภพปรายตามองพี่ชายตัวเองเล็กน้อย “เพชรพาลุงเขาเข้าไปนั่งข้างในก่อนนะลูก”


พ่อของศรฟึดฟัดแต่ก็ยอมตามเพชรเข้าไปข้างใน


“อารู้เรื่องพ่อลูกเขาคืนดีกันแล้วนะ ไม่ผิดหวังในตัวโอมจริง ๆ กับที่ฟังมา”


“ฟัง? ใครเล่าอะไรให้ฟังเหรอครับ”


อาภพยิ้มใจดี “เมื่อก่อนศรเล่าให้อาฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าโอมเข้ามาเปลี่ยนความคิดเขาได้หลายอย่าง ล่าสุดนี่ก็คงเพราะโอมเหมือนกันใช่ไหม”


ผมยกมือเกาท้ายทอยแก้เขิน “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ศรเปลี่ยนได้เพราะตัวเอง”


“ศรบอกอาเสมอว่าเพราะโอม เขาถึงอยากมีชีวิตอยู่ต่อแม้จะไม่มีใครอื่นอีก” อาภพยื่นมือมาวางบนไหล่ผม “อาดีใจนะที่ศรมีโอม และอาขอฝากไว้หนึ่งอย่าง”


“...”


“เคล็ดลับของการรักษาความรักก็คือการเข้าไปอยู่ในใจของกันและกัน...โอมเข้าใจอาไหม”


“เข้าใจครับ”


ผมเองก็เชื่ออย่างนั้น พึงกระทำกับคนอื่นเหมือนอย่างที่เราอยากให้คนอื่นกระทำกับเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของกันและกันด้วย เพราะอย่างนั้น การเข้าไปอยู่ในใจของกันและกันจะช่วยลดความไม่เข้าใจกันและปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมาได้


เรายิ้มให้กัน ผมสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังถูกต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวนี้อย่างอบอุ่น ผมมาไกลเกินกว่าที่คิดไว้มาก ความสัมพันธ์ของผมกับศรถลำลึกเกินกว่าวันที่ตัดสินใจคบกัน


แต่มันเป็นเรื่องที่ดีมากจริง ๆ


ดีที่เราได้เจอกัน



ศรดูดีในทุกชุดที่สวมใส่ตลอดทั้งเรื่อง ดูดีมากจนผมได้ยินเสียงกรี๊ดแว่วเข้าหูทุกฉากที่มันออกมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแฟนผมรูปงามมากขนาดไหน โกหกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าไม่หวง แต่เพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ จึงจำต้องทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจเอาเอง แต่กว่าจะจบได้ก็เล่นเอาหงุดหงิดใจจนเหนื่อย นี่ผมต้องทนฟังเสียงทำนองนี้ไปอีกเก้ารอบที่เหลืออย่างนั้นหรือ


“เกินเรื่อง” ยัยอิมกระซิบเหน็บผมที่ปรบมือเสียงดังและยาวนานหลังจากที่ม่านการแสดงปิดลง หน้าตาบ่งบอกว่าหมั่นไส้ผมเต็มทีแล้วจนผมต้องโยกหัวเด็กแก่แดดเพื่อเอาคืนเสียหน่อย


ช่วงที่มีการแสดงความยินดีกับนักแสดงและทีมงานผมให้แม่เข้าไปหาศรก่อน แต่ก็หลังจากฝั่งครอบครัวศรอยู่ดีโดยที่มีผมเป็นตากล้องให้ ก่อนจะถึงทีผมบ้าง ช่อดอกไม้เรียบง่ายถูกส่งออกไป ศรมองอย่างพอใจกับสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการแสดงความรักให้แก่กัน


“รอดูช่อจริงรอบสุดท้ายนะ” ผมกระซิบบอกศรทั้งที่กำลังฉีกยิ้มให้เอมถ่ายรูปคู่ให้


“อย่าเล่นอะไรแผลง ๆ นะมึง”


“เชื่อใจกูเถอะเมียจ๋า”


หลังจากพูดจบผมโดนกระทืบเท้าเข้าเต็มรัก รูปคู่ของเราคงเป็นรูปที่ผมเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดเพราะมันเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพอดี


ค่ำคืนนั้นเราต่างแยกย้ายกันไปตามครอบครัวของตัวเอง ศรไปทานอาหารกับพ่อ อา และน้องเพชร รวมถึงกลับไปค้างที่บ้านด้วย ขณะที่ผมเองก็ต้องไปกับแม่และน้อง ๆ


“อยากไปรวมโต๊ะกับเขาไหมล่ะ” แม่กระซิบถามขณะเดินข้างผมออกมาจากหอศิลป์


“แม่ยังไม่พร้อมไม่ใช่เหรอครับ”


เธอชะงักเล็กน้อยก่อนส่งยิ้มที่สัมผัสได้ถึงความรักและความอบอุ่นมาให้ “แต่ถ้าลูกอยากให้เราได้ทำความรู้จักกันไว้ก่อน แม่ก็โอเคนะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่ตอนนี้ก็ได้ พวกผมไม่รีบ แค่แม่มาให้กำลังใจศรในวันนี้ก็ดีมากแล้วครับ”


เธอเพียงแค่ส่งยิ้มกลับมาให้ แต่เพียงแค่เท่านั้นก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาว่าวันหนึ่งเราสองครอบครัวจะสามารถนั่งร่วมโต๊ะกันเหมือนครอบครัวเดียวกันได้




รอมานานเหลือเกินกว่าศรจะได้รับอิสระ วันนี้เป็นรอบสุดท้ายที่ละครเวทีสถาปัตย์เปิดการแสดง ผมมาดูการแสดงของศรพร้อมช่อดอกไม้ที่ทำเองกับมือ มันถูกทำจากธนบัตรสีน้ำตาลที่ใครเห็นต่างก็ตกใจกับมูลค่าของมันที่มีอยู่มากถึงสิบดอก ทว่าไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่ามันซุกซ่อนอะไรเอาไว้ภายใต้รูปลักษณ์สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด


ม่านสีแดงถูกเลื่อนปิดฉากการแสดงที่ไม่มีวันเปิดออกเพื่อโชว์ละครเวทีเรื่องนี้อีกแล้ว ทีมงานและนักแสดงทุกคนกำลังจะทะยอยออกมาให้ผู้คนร่วมยินดีในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ผมกุมช่อดอกไม้ในมือแน่น รู้ดีว่าวันนี้ศรจะมีแค่ผมที่มาหาเพราะเพื่อน ๆ มันรวมถึงเด็กในชมรมมันที่ชื่อรักอะไรนั่นก็มาไปแล้วเมื่อวานนี้ ขณะที่พ่อมันก็มาแค่รอบแรกรอบเดียวเท่านั้น ส่วนรดากับแม่ ผมไม่แน่ใจ


ในที่สุดก็ถึงคิวของผม ช่อดอกไม้ที่เป็นความภาคภูมิใจของผมถูกยื่นไปให้ คนรับมองมาอย่างไม่ไว้วางใจ ผมยิ้มขำเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงคิดถึงคำเชื้อชวนของผมที่บอกไว้เมื่อวันแสดงรอบแรก


“โอ้โห สายเปย์ก็มานะครับเนี่ย ผมอยากดอกไม้ช่อนี้จังเลยครับ” พิธีกรพูดแซว


“ไม่ได้หรอกครับ ช่อนี้ของธรรมศรเท่านั้น” ไม่ใช่เพราะมูลค่าอย่างที่ทุกคนเห็น แต่เพราะของที่ซ่อนอยู่ในนั้นต่างหาก


ตลอดทางกลับคอนโดศรมองผมเป็นระยะแต่ไม่เอ่ยถามอะไร เราแวะทานอาหารง่าย ๆ ข้างทางแทนการฉลองใหญ่โตเพราะศรเหนื่อยเกินกว่าจะไปนั่งรอ จนกระทั่งอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยแล้วศรจึงหยิบช่อดอกไม้มานั่งพินิจที่ปลายเตียงโดยมีผมนั่งเหยียดขาพิงหลังกับหัวเตียงไว้ในท่าทีสบาย


“ไม่อยากได้เงินเหรอ แกะสิวะ”


“กูว่ากูพอจะรู้ว่าข้างในเป็นอะไร”


ผมยกยิ้ม ไม่แปลกใจที่มันรู้ว่าข้างในคือกล่องถุงยางอนามัย นอกจากรูปทรงจะชัดแล้ว ถ้าลองได้จับดูจะยิ่งรู้ว่าเป็นกล่องอะไรบางอย่าง “แกะสิวะ แกะแล้วก็ต้องใช้ก่อนจึงจะได้เงินที่ห่อมันอยู่นะเว้ย”


“ไอ้หื่น!!” ศรขว้างช่อดอกไม้กลับมาให้ผม แต่ใบหน้าที่ซับสีแดงจาง ๆ ของเจ้าตัวไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธแต่อย่างใด


“จะเอาหรือไม่เอา”


ศรจ้องตาผมนิ่งขณะเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ได้น่าหมั่นไส้แบบสุด ๆ “ถ้ามึงอยากให้เอา…”


“...กูก็จะเอา”








พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งสุดท้าย
--------------------------------------------------------------
ที่ตัดเข้าโคมไฟไม่ใช่จะใจร้ายหรืออะไรนะคะ
แต่มันไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักเท่าไหร่เลยไม่มีพลังแต่ง
เนื่องจากแต่งไม่เก่งด้วยเลยค่อนข้างยากที่จะกลั่นออกมาแต่ละท่วงท่าได้
(ซึ่งตอนอื่นๆเขียนไว้เยอะมากแล้วเพราะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องหลัก)
ถ้ามีโอกาสอาจจะได้อ่านเรื่องราวหลังโคมไฟกันนะคะ

สุดท้ายนี้ สวัสดีปีใหม่ทุกท่านค่ะ

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2018 03:18:46 โดย ธัญญ์ »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Aimlovelove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ใจหายจะจบแล้ว

สวัสดีปีใหม่ค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ึค้างงงงงงง
ตอนนี้โอมป๋ามากเลยค่า อยากสิงร่างนุศรรับช่อดอกไม้แทน :L2:
แต่ของที่ห่อไว้ให้ใช้กันแค่สองคนก็พอเนอะะ :hao6:
คุณพ่ออยากได้คนสืบต่อสกุลจนอยากให้ศรท้องได้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!! เหอะๆๆ :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai4: มาต่อไว ๆ นะครับบบ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 24

---[END]---






หากความสัมพันธ์เป็นเหมือนบทเพลงเพียงแค่หนึ่งเพลง คงเป็นเพลงที่ทำนองไม่รื่นหูสักเท่าไหร่


ในสี่ถึงห้านาทีนั้นมีทั้งจังหวะสนุกให้พอโยกตัวได้เหมือนเพลงรักสมหวัง


ผสานด้วยบีทที่สร้างความตื่นเต้นและแปลกใหม่เหมือนท่อนแร็ปที่มักแทรกกลางเพลง


แต่ก็มีท่วงทำนองเชื่องช้าชวนเศร้าหมองอย่างเพลงอกหักปนอยู่ด้วย


ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนของกันและกัน ต่างก็ต้องพบเจอความรู้สึกเหล่านี้ผสมปนเปกันในแต่ละวัน...สัปดาห์...เดือน...ปี...หรือแม้แต่รายชั่วโมง


บางครั้งวาบหวาม กระชุ่มกระชวยเหมือนเพลงฮิพฮอพ


บางครั้งหอมหวาน อบอุ่นใจเหมือนเพลงรัก


บางครั้งแข็งแกร่ง...จนบางทีแข็งกระด้างเหมือนเพลงร็อกเมทัล


และบางครั้งก็เปราะบาง เหมือนเพลงเศร้า


แม้ว่าส่วนใหญ่เราจะอยู่ในฐานะนักแต่งเพลงที่เลือกท่วงทำนองให้กับเพลงเองได้


แต่หลายต่อหลายครั้งเราก็กลายเป็นเพียงคนฟังที่รอเวลาเซอร์ไพรส์กับจังหวะดนตรีที่คาดเดาไม่ได้เลย


โอมอินเคยเล่าไอเดียเกี่ยวกับหนังสั้นของตัวเองให้ธรรมศรฟังไว้อย่างนั้น แต่แทนที่จะเข้าใจ คนเรียนสายวิทย์มาทั้งชีวิตอย่างธรรมศรกลับยิ่งสงสัยว่าคนที่ส่งสารนิพนธ์ในบทบาทของลำดับภาพจะสร้างผลงานชิ้นนี้ออกมาอย่างไร


และในวันนี้เขาก็จะได้รู้พร้อมกับคนอีกเกือบสองร้อยในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว



“ตื่นเต้นเหรอวะ” ธรรมศรเย้าแหย่


โอมอินไม่แม้แต่จะหันมอง ใบหน้าเรียบเฉยเอาแต่มองตรงไปยังทางเข้างานอย่างรอคอยการมาถึงของใครบางคน “ตื่นเต้นทำไม คนดูก็รุ่นน้องในคณะ คนวิจารณ์ก็ศิษย์เก่าที่ก็แค่เก๋า”


ธรรมศรร้องหึ มองคนที่บอกว่าไม่ตื่นเต้นแต่เมื่อคืนนอนไม่หลับจนต้องกวนเขาให้ตื่นมาเล่นบทรักกันไปเสียหลายยก


“ไม่ได้ตื่นเต้น” โอมอินย้ำเสียงเข้ม อดไม่ได้ที่จะหันมองคนรักเต็มตาเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างไม่เชื่อทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง


“เออ ไม่ตื่นเต้นก็ไม่ตื่นเต้น” แฟนหนุ่มต่างคณะว่ายิ้ม ๆ “เมื่อคืนปลอบไปทั้งหลายครั้งแล้วนี่หว่า ถ้ายังตื่นเต้นกูโกรธนะเว้ย”


“ไอ้นี่หนิ” เขาได้แต่มองคาดโทษทั้งที่ใจจริงอยากจะเตะตูดอีกฝ่ายเสียตรงนี้ เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่ พูดเรื่องสัปดนออกมาได้ไม่อายปากเหมือนเมื่อก่อน ถึงจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำหยาบโลนตรงไปตรงมาแต่ใจความก็ชัดเจนแก่ใจว่าหมายถึงอะไร


“มึงเข้าไปนั่งข้างในได้แล้ว”


“มึงนั่นแหละเข้าไป กูอยู่รอแม่ให้มึงเอง”


“ไม่เป็นไร มึงรีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวก็ได้นั่งพื้นเหมือนปีที่แล้วหรอก”


“ปีนี้มึงไม่ได้จัดที่นั่งวีไอพีให้กูเหรอ” ธรรมศรแสร้งถามด้วยสีหน้าที่ปั้นให้เรียบตึงที่สุด ทว่าไม่อาจทำให้คนมองตกหลุมพรางเลยสักนิด มะเหงกถึงได้ถูกประเคนเข้ากลางหน้าผากอย่างจัง


“ปีนี้มึงไม่ใช่นักแสดงกิตติมศักดิ์แล้วครับ จะเอาสิทธิ์อะไรไปขอที่นั่งให้”


“ปีที่แล้วเป็นยังได้นั่งพื้นเลย” ธรรมศรบ่นอุบ


“ก็ชอบไม่ใช่เหรอ สาว ๆ รุมล้อมเลยนี่” กล่าวประชดทีเล่นทีจริงแต่กลับต้องเบิกตาโตด้วยความขุ่นเคืองจริง ๆ เพราะอีกฝ่ายดันฉายความแพรวพราวออกมาทันทีเสียนี่


“จริงด้วยว่ะ ปีนี้ไปหาทำเลดี ๆ อีกดีกว่า” ว่าแล้วก็รีบหันปลายเท้าเข้าหาห้องที่จัดงานทันทีแต่ไม่ทันได้ก้าวออกก็ถูกรั้งคอไว้เหมือนทุกทีจนอดไม่ได้ที่จะแต้มยิ้มมุมปากไว้บนใบหน้าในตอนที่หมุนตัวให้หลุดจากวงแขนเพื่อให้หันเข้าหากันอย่างสะดวก


“ไม่ต้องเลยนะมึง เข้าไปแล้วจองที่นั่งให้แม่กับน้องกูด้วย”


“ต้องเผื่อรดาด้วยป่ะ”


โอมอิมแน่นิ่งไป ท่าทีเหมือนลังเลทำให้คนถามอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงกลัวว่าตนจะคิดมากเรื่องเด็กสาวที่พูดถึง ใบหน้าไร้ที่ติจึงประดับรอยยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายสบายใจก่อนอธิบาย “เฮ้ย! กูโอเคนะ น้องไม่ได้ยุ่งกับมึงแล้วนี่ อย่าคิดมากดิ”


“ศร...” โอมอินกลืนน้ำลายหนืดลงคอ “...จองที่เผื่อแม่...ด้วยนะ”


มุมปากค่อย ๆ ขยับกลับมาที่เดิมจนริมฝีปากแนบชิดกันก่อนจะกลืนเข้าหากันเพราะเจ้าของเม้มไว้แน่น


“ศร...”


“อือ ถ้ายังมีที่ว่างติดกันยาว ๆ ให้กูเลือกนะ” รอยยิ้มบาง ๆ ยังคงแต้มใบหน้าไว้เสมอแต่กลับไม่ทำให้คนมองสบายใจขึ้นเลยสักนิด


“เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ช่างแม่งไปบ้างก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ธรรมศรตบบ่าอีกฝ่ายสองสามที


น่าจะเกินครึ่งปีแล้วด้วยซ้ำนับตั้งแต่วันที่เขาได้รู้ความจริงโดยบังเอิญ ถึงจะยังไม่ใช่ทั้งหมดแต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขุดคุ้ยอดีตของพ่อแม่ให้ต้องเจ็บปวดใจอีกธรรมศรก็จะยืนยันตามนั้น หลังจากวันนั้นเขาไม่ได้เจอเธออีกเลย ต่างกับรดาที่เจอบ้างในสถานศึกษา แม้จะแค่ไม่กี่ครั้งแต่ความสัมพันธ์ก็พัฒนาไปเร็วไม่ต่างจากที่สนิทกับรัก พี่ชายของเธอเลย


“พี่โอม!” เสียงใสแจ๋วดังมาแต่ไกลอย่างไม่อายว่าผู้คนนับสิบในบริเวณนั้นจะหันไปมองด้วยสายตาแบบไหน ธรรมศรหันมองตามเสียงแต่ยังทันเห็นเจ้าของชื่อที่ยืนข้างกันส่ายหัวก่อนนวดขมับเล็กน้อย


“ตื่นเต้นว่ะ พี่ถ่ายผมออกมาดีไหมวะ ไม่เคยจะให้เช็คกันก่อนเลย” คนที่เข้ามาถึงก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดเป็นหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็ก ทั้งเล็กทั้งบอบบาง หน้าสวยเกินชายและผิวพรรณนอกแขนเสื้อยืดตัวโคร่งก็เนียนสวยขาวผ่องจนธรรมศรนึกสงสัยว่าผิวเนื้อใต้ร่มผ้าจะขาวกว่าสักเพียงใด แต่แล้วภวังค์ความคิดอันไม่ควรก็ถูกพังลงเพราะถ้อยคำที่ดูเหมือนจะหมายถึงตน “โห...ใครอ่ะ หล่อจัง”


ธรรมศรทันเห็นสีหน้าเคลิ้มฝันกับสายตาวิบวับแค่ชั่วครู่ก่อนใบหน้าสวยจะแหงนออกไปเพราะถูกโอมอินผลักศีรษะจนหน้าหงาย


“อย่าแรด”


“รุนแรงตลอด...ว่าแต่เพื่อนพี่ชื่อไรอ่ะ หล่อกว่าพี่อีก...พี่ไปอยู่ไหนมาอ่ะทำไมผมไม่เคยเห็น” ประโยคหลังภัทรหันไปถามเอาจากธรรมศรโดยตรง


“นี่แฟนกู จำเป็นเหรอที่มึงจะต้องเคยเห็น”


“เห้ย! จริงดิ!!” หนุ่มรุ่นน้องถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวกอดอกจับคางทำท่าทางเหมือนสำรวจได้น่าหมั่นไส้แล้วยังพึมพำว่า “ไม่น่าเชื่อ” ออกมาจนโอมอินอยากจะตบหัวอีกฝ่ายเข้าสักฉาด


“ไปไหนก็ไปเลยไป รู้ไว้แค่ว่าอย่ายุ่งกับคนของกูก็พอ”


ภัทรเบะปาก “คนของกู” คงเพราะรู้ตัวว่าถ้อยคำและท่าทางล้อเลียนของตนจะต้องถูกเตะก้นเข้าให้แน่ อีกฝ่ายถึงได้ถอยออกห่างไปอีกสองก้าว “พี่มีโมเมนต์นี้ด้วยเหรอวะ ไม่น่าเชื่อเลย”


“ไม่ใช่เรื่องของมึง รีบ ๆ เข้าไปซะที รำคาญ”


“ร้ายกับน้องนุ่งตลอด” ปากเล็ก ๆ ยังบ่นพึมพำให้ได้ยินก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นเมื่อดูท่าว่าโอมอินจะเอาจริงกับการเตะก้นเขา “รอเพื่อนก่อนดิ นี่ผมเกณฑ์หน้าม้ามาเพื่อพี่เลยนะ ขอบคุณผมตอนนี้ยังทันนะพี่”


“เรื่องของมึง” โอมอินตัดรำคาญด้วยการจูงมือคนข้าง ๆ ลากออกไปจากตรงนั้นแทนที่จะรอให้ภัทรเป็นฝ่ายไปเหมือนก่อนหน้านี้


“น้องมันน่ารักดีว่ะ” ธรรมศรว่ายิ้ม ๆ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงรัก รุ่นน้องในชมรมที่เมื่อก่อนเกาะติดเขาจนน่ารำคาญแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเอ็นดูอีกฝ่ายมากอยู่เหมือนกัน แม้จะมารู้ทีหลังว่าพวกตนเกี่ยวข้องกันมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรมกันก็ตาม


“อย่าชมใครให้กูฟัง” โอมอินพูดเสียงเข้มเสริมความจริงจังด้วยแววตาที่แข็งขึ้นเช่นกัน


“หึงอะไรวะ”


โอมอินฟึดฟัด “พยายามจะไม่หึงแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยินดีฟังมึงชมคนโน้นคนนี้ว่าน่ารักได้นะเว้ย”


“โอเค ๆ กูรู้แล้วว่ามึงไม่ชอบ...กูเข้าไปจองที่ก่อนแล้วกัน”



คล้อยหลังธรรมศร คนที่จัดแสดงผลงานในวันนี้ก็เดินไปมาเหมือนหนูติดจั่น ธรรมศรพูดถูก เขาตื่นเต้น ตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับจนต้องกวนคนที่นอนด้วยมาช่วยกันทำให้ใจมันสงบ โชคดีเหลือเกินที่วันนี้สัมไม่มา ไม่อย่างนั้นคงโดนย้อนกลับเรื่องที่เคยพูดไว้เมื่อปีก่อนว่าเมื่อถึงคราวตนเองอย่างไรเสียก็ไม่มีทางตื่นเต้นเด็ดขาด


โอมอินรออยู่คนเดียวไม่นานน้องสาวคนกลางก็วิ่งหน้าตื่นนำแม่และน้องสาวคนเล็กเข้ามาโดยมีสองแม่ลูกที่คุ้นหน้ากันดีอีกครอบครัวหนึ่งตามติดมาด้วย


“ทำไมช้า” โอมอินร้อนใจแต่ก็ไม่อยากโทรเร่ง นัยน์ตาคมดุมองจ้องน้องคนกลางอย่างต้องการคำตอบ แต่อีกฝ่ายไม่นึกกลัว ปั้นหน้าตายุ่งอย่างสุดแสนจะหงุดหงิดออกมาสู้ให้รู้ว่าตนเจออะไรมาบ้างกว่าจะถึงที่นี่


“เริ่มจากไหนดีล่ะพี่โอม ยัยอิมแต่งตัวช้า รถติด หาที่จอดรถไม่ได้จนต้องวนไปจอดที่อื่น พอจอดไกลกว่าจะพากันมาถึงที่นี่อีก ร้อนก็ร้อนเนี่ย”


“ขี้บ่นว่ะ พาแม่เข้าไปได้แล้วไป พี่ศรรออยู่ข้างใน”


โอมอินดันหลังน้องให้รีบเดินเข้าไปเพราะเบื่อจะฟังเสียงบ่นเต็มที ก่อนเข้าไปคนเป็นแม่ยังอวยพรให้เขาโชคดีและบอกให้เขาไม่ต้องตื่นเต้นหรือกังวลอีกด้วย


กิจกรรมโดยรวมไม่ต่างจากปีก่อน ๆ สักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนปีนี้จะมีคนนอกให้ความสนใจมากขึ้น ลำดับการฉายหนังสั้นของเพื่อนในกลุ่มเป็นช่วงบ่ายกันหมด ขณะที่เรื่องของโอมอินอยู่ในลำดับสุดท้ายก่อนพักกลางวันพอดี หนังสั้นที่มีความยาวเพียงห้านาทีภายใต้ชื่อ mood & tone นำเสนอความรู้สึกหลากหลายอย่างที่โอมอินเคยเล่าให้ธรรมศรฟังโดยผ่านการเล่าเรื่องจากภาษากายของภัทร แสงสีและเสียงดนตรีที่ประกอบโดยไร้บทพูด และแม้ว่ามันจะเป็นนามธรรมมากเกินกว่าเด็กวิทย์อย่างเขาจะเข้าใจแต่ก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เจ้าของผลงานต้องการสื่อออกมา


เมื่อคำวิพากษ์วิจารณ์จบลงผู้คนทยอยกันออกจากห้องจัดแสดง บ้างมุ่งหน้าเข้าไปแสดงความยินดีกับเจ้าของผลงาน พูดคุยถ่ายรูปกันตามความสนิทสนม โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว ซึ่งเมื่อคนที่เป็นตากล้องมาโดยตลอดต้องเข้าไปอยู่ในเฟรม ก็เลี่ยงไม่ได้ที่แฟนตากล้องอย่างธรรมศรต้องกลายเป็นตากล้องจำเป็นเสียเอง


“พี่ศรถ่ายบ้างไหม เดี๋ยวเอมถ่ายให้”


คำถามของเธอทำให้ธรรมศรต้องเหลือบมองผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างหยั่งเชิง “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยถ่ายหลังจากนี้ทีเดียว”


“ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาถ่ายด้วยกันทั้งหมดก่อนซักรูปนะลูก” แม่ของโอมอินเป็นฝ่ายเอ่ยชวนพร้อมกวักมือให้เข้าไปหาโดยเร็ว


“รดาถ่ายให้เองค่ะ พี่เอมเข้าไปเถอะค่ะ ถ่ายรูปครอบครัวกันทั้งที” 


ธรรมศรแทบจะทำตัวไม่ถูกที่ได้ยินอย่างนั้น คนหน้าตาเหรอหราส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนรักแต่กลับได้รับความช่วยเหลือด้วยการดึงเข้าไปยืนข้าง ๆ กันเสียอย่างนั้น


“นึกว่าจะมีดอกไม้ช่อโตมาเซอร์ไพรส์อีก” โอมอินเอนตัวเข้าหาพลางกระซิบเย้า อีกฝ่ายไหวไหล่ ไม่ต่อความ พวกเขาสองคนสบตากัน ไม่มีใครยอมพูดประโยคชวนเลี่ยนเป็นต้นว่าอีกฝ่ายต่างก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของตน ทว่าสายตาที่ส่งถึงกันเผยความนัยชัดเจนแทนคำพูดทั้งหมดแล้ว


“ไปทานข้าวด้วยกันทั้งหมดนี่เลยนะคะ” แม่ของโอมอินเอ่ยชวนหลังจากถ่ายรูป ‘ครอบครัว’ ได้สองสามรูปที่น่าพอใจแล้ว เธอกวาดสายตามองทั่วทุกคนเพื่อเป็นการย้ำคำพูดของตัวเองให้ชัดเจนว่าหมายรวมถึงทุกคนจริง ๆ


“มื้อนี้ผมขอบายนะครับแม่” ลูกชายคนโตของเธอออกปากปฏิเสธก่อนใคร “ผมต้องอยู่เตรียมงาน ไม่สะดวกไปไกล ตั้งใจว่าคงแค่ซื้อข้าวกล่องเข้ามากิน”


“แล้วศรล่ะลูก จะไปกับพวกเราไหม หรือจะอยู่กับโอม”


แม้จะมีคำตอบอยู่ก่อนแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางผู้ใหญ่อีกคนที่ยืนนิ่งสงวนท่าทีอยู่หลังสุดข้างลูกสาวของเธอ “ขอโทษครับ ผมไปด้วยไม่ได้จริง ๆ ต้องรีบไปเตรียมเสนอโปรเจคกับเพื่อนครับ”


“อ้าว แล้วไม่ทานข้าวก่อนเหรอ ถ้ารีบมากก็ทานพร้อมโอมนี่แหละ”


ธรรมศรคลี่ยิ้ม อุ่นใจกับความเป็นห่วงเล็กน้อยจากแม่ของคนรัก “ผมสายแล้วครับ เลยตั้งใจว่าจะซื้อไปทานกับเพื่อนเลย”


ธรรมศรเห็น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้าของเขาเหลือบมองแวบหนึ่ง และในชั่ววินาทีที่สบตากันนั้นเขาเห็นแววห่วงใยซ่อนอยู่ เพียงเท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว ไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันก็ได้ถ้าอีกฝ่ายไม่ต้องการ ขอแค่ไม่เกลียดลูกในไส้ที่เธออาจไม่ต้องการคนนี้ก็พอ






คืนนี้ผับใจกลางเมืองอันเป็นแหล่งรวมตัวของบรรดานักศึกษาขาเที่ยวเป็นสถานที่นัดหมายของชาวเด็กฟิล์มหลังจากที่แสดงผลงานสารนิพนธ์ออกสู่สายตาประชาชนเรียบร้อยแล้ว ต่างก็แยกกันนั่งเป็นกลุ่ม ๆ หลายคนอยากมาปลดปล่อย ขณะที่บางคนมาเพราะต้องเลี้ยงตอบแทนนักแสดงของตนอย่างเสียไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือโอมอินที่จำต้องมาโดยมีธรรมศรติดสอยห้อยตามมานั่งอยู่นอกวงด้วยพร้อมคำบอกที่ว่าให้เขาเมาได้เต็มที่ วันนี้ตนจะเป็นฝ่ายดูแลเอง


“ทำไมมันไม่หันหน้าเข้าวงวะ” และเต๋าก็ถามได้จี้จุดโอมอินเสียเหลือเกิน


นัยน์ตาคมตวัดมองคนรักที่นั่งเก้าอี้บาร์ติดกับกลุ่มตัวเองแต่กลับหันหลังให้แล้วแค่ไหวไหล่ให้เพื่อนแทนคำตอบ


“ไม่ใช่ว่าอยากอ่อยสาวนะ” เป็นโจอีกตามเคยที่จงใจกวนน้ำให้ขุ่นโดยมีลูกคู่อย่างพีทที่ยิ้มให้อย่างรู้กัน


“อย่างพี่ศรไม่ต้องอ่อย สาว ๆ ก็เข้าหาเป็นพรวนแล้ว” ความเห็นของภัทรทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่เจ้าตัว “ก็จริงอ่ะ ต่อให้นั่งรวมกับเราก็เด่นและดึงดูดอยู่ดี”


เต๋ายิ้มมุมปากก่อนเอ่ยชี้นำ “ไอ้โอมไม่ดึงดูด?”


ภัทรเหลือบมองรุ่นพี่ที่ร่วมงานด้วยและสนิทที่สุดในโต๊ะนี้ นัยน์ตาเรียวรีแสร้งมองสำรวจรูปร่างหน้าตาอีกฝ่ายทั้งที่มีคำตอบในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว “พี่โอมอ่ะ sex appeal สูงนะ แต่ที่ไม่ค่อยมีใครเข้าหาเพราะหน้าไม่รับแขกของพี่แกเนี่ยแหละ ถ้าจะมีสาวซักคนเข้าหาก่อนต้องมีแต่แรง ๆ อ่ะ ถ้าเรียบร้อยหรือแรดเงียบอาจจะกลัวโดนพี่แกกัด” ประโยคหลังหนุ่มรุ่นน้องกระซิบกระซาบราวกับไม่ต้องการให้คนที่กำลังพูดถึงได้ยินทั้งที่อีกฝ่ายก็นั่งอยู่ติดกันไม่ได้ไกลกันเลยสักนิด


“พูดมาก” ไม่เพียงบ่นแต่ยังตบกบาลเด็กช่างคุยเสียหนึ่งฉาดด้วยความหมั่นไส้เป็นการตัดจบบทสนทนาที่มีเขาและคนรักเป็นประเด็น




ธรรมศรไม่อยากเอาตัวเองไปเบียดกับคนกลุ่มใหญ่ นั่งใกล้นั่งชิดคนอื่นมากเดี๋ยวโอมอินจะพาลหึงไม่เข้าเรื่องอีกจนได้ อีกอย่าง ที่สำคัญคือตนตามมาเพราะจะรอขับรถให้อีกฝ่ายที่อาจจะเมา หากเขาร่วมวงด้วย ไม่แคล้วคงได้ดื่มเพลินจนเมาไม่ต่างกับคนรัก และถ้าไม่ดื่มเลย บรรยากาศในวงคงกร่อยเป็นแน่


ไม่ได้ตั้งใจจะปลีกแยกเพื่ออ่อยใคร


แต่คงผิดปกติ...หากคนหน้าตาดีระดับนี้จะไม่มีคนเข้าหาเลย


“ดื่มเป็นเพื่อนกันหน่อยสิคะ” สาวสวยในชุดรัดรูปอวดส่วนเว้าโค้งที่เริ่มไม่ใช่ของสวย ๆ งาม ๆ ในสายตาเขาเดินเข้ามาพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ เธอถือวิสาสะเรียกพนักงานเข้ามารับออเดอร์สำหรับเขาอีกหนึ่งแก้ว คงเพราะสังเกตมาครู่ใหญ่แล้วว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนแก้วใหม่ตั้งแต่เข้ามาในร้านและมันค่อนข้างจะจืดจางลงมากแล้ว


ธรรมศรแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนทุกที “ขอโทษด้วยครับคนสวย แต่คืนนี้ผมไม่ดื่ม”


“ทำไมละคะ แค่แก้วเดียวไม่เมาหรอกค่ะ”


“ผมต้องขับรถกลับ”


เธอยิ้มพราวราวกับเหยื่อติดเบ็ดแล้วทั้งที่จริงไม่ใช่สักนิด “เมาก็กลับแท็กซี่สิคะ...หรือกลับกับฉันก็ได้”


ชายหนุ่มปรายตามองปลายนิ้วมือที่อีกฝ่ายจงใจวางทับปลายมือเขาแล้วขยับออกมาอย่างสุภาพที่สุด “ไม่อยากเมาเพราะรอขับรถพาแฟนกลับด้วยกันครับ”


“แหม เข้าใจอ้างนะคะ เห็นนั่งคนเดียวอยู่ตั้งนาน ไม่มีสาวซักคน”


“ขอโทษนะครับ…” โอมอินทะลุกลางปล้องหลังจากซัดน้ำเมาเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว “...ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นแค่ข้ออ้างหรือเรื่องจริง แต่ที่แน่ ๆ คือแปลว่าผู้ชายเขาไม่อยากไปกับคุณรึเปล่า ถ้ายังเมาไม่มากสมองก็น่าจะทำงานอยู่นะครับ”


“แรงว่ะ” ธรรมศรว่าออกมาแทบจะพร้อมกับภัทรเมื่อหญิงสาวยอมถอยออกไปพร้อมอาการหน้าเสีย


“ขี้อ่อย”


“กูเปล่า นี่กูอยู่เฉย ๆ เลยนะ ยังไม่ได้หว่านเสน่ห์ซักนิด มึงแหละขี้หึงเกิน”


“ก็มึงแม่งน่าหงุดหงิด ไม่รู้จักปฏิเสธให้ชัดเจน”


ภายใต้แสงไฟสลัว ธรรมศรสังเกตเห็นแล้วว่าโอมอินหน้าแดงจัด อาการตัวแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์กำเริบแต่บอกไม่ได้ว่าเมาแล้วหรือยัง “ไม่ชัดเจนตรงไหน กูบอกเขาไปแล้วนะว่ารอแฟน”


“ไม่รู้เว้ย”


“หรือต้องให้กูจูบโชว์เลยไหม”


“ไม่อายก็ลองดู แต่บอกเลยว่าตอนนี้กูเมาแล้ว ทำอะไรก็ได้”


“เห้ย ๆ ใจเย็น อย่าท้ากันตรงนี้ กูกลัว” เต๋าเป็นคนห้ามทัพ


“เออ ถ้าเรื่องพวกมึงจูบกันในผับดังไปข้างนอกกูรับรองเลยว่าซวย ที่พ่อแม่พวกมึงกำลังเปิดใจก็จะรีบปิดทันทีแน่นอน โดนแอนตี้แน่ ๆ โทษฐานทำตัวไม่เหมาะสม” ทุกคนหันมองคนพูด ต่างตกใจที่คนพูดเตือนเป็นโจ ยิ่งโอมอินยิ่งไม่อยากเชื่อหูว่าเพื่อนคนนี้จะพูดเรื่องดี ๆ เป็นเหมือนกัน ชั่ววูบหนึ่งเผลอคิดว่าตัวเองอาจจะเมามากเกินกว่าที่คิดก็เป็นได้


“ไอ้โจพูดถูก” เต๋าเป็นคนได้สติคนแรก “พวกมึงนี่ก็ทะเลาะกันแต่เรื่องเดิม ๆ...ขี้อ่อยกับขี้หึง”


“นี่น้อยแล้ว!!” ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกันจนเพื่อนฝูงหรือแม้แต่ภัทรที่เพิ่งรู้จักกันยังยอมแพ้ให้กับความจริงที่ว่า ‘น้อยแล้ว’


หลังจากนั้นธรรมศรก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องร่วมวงกับคนรัก เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าการที่ตนเอาแต่ดื่มน้ำอัดลมในวงเหล้าไม่ได้ทำให้บรรยากาศกร่อยอย่างที่กังวลเลยสักนิด ความสนุกสนานยังทำหน้าที่ของมันได้ดีแม้เขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมมากนักก็ตาม







(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
เกือบร้านปิดกว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้านช่อง เพื่อนของโอมอินพากันใช้บริการแท็กซี่ ขณะที่ภัทรเองก็ไม่ได้ทำตัวให้เป็นภาระของพี่ ๆ ด้วยการโทรตามให้เพื่อนมารับ ส่วนคนที่อาการหนักที่สุดและเป็นภาระที่ธรรมศรเต็มใจดูแลที่สุดเห็นจะเป็นคนรักของตัวเอง


กว่าจะประคองกันมาถึงรถได้ต้องคอยห้ามคอยดึงคนที่คอยแต่เอาหน้ามาคลอเคลียซอกคอกัน ลมหายใจที่รดต้นคอมีแต่กลิ่นเหล้าแบบที่ต่อให้ไม่เห็นก็ไม่ต้องเดาเลยว่าดื่มหนักแค่ไหน


“คาดเบลท์ด้วย” สั่งคนเมาแล้วก็เดินอ้อมไปฝั่งตนเอง เมื่อนั่งประจำที่แล้วยังเห็นคนเมานิ่งเฉยจึงจัดการดึงสายออกมาคาดเสียเองจนเสียรู้ให้อีกฝ่ายอีกหนึ่งจูบที่เนิบนาบทว่าลึกซึ้งถึงรสสัมผัส


ธรรมศรไม่ขัดขืน เขาจูบตอบตามความรู้สึกพวกเขาถ่ายทอดความรักให้กันและกันนานหลายอึดใจก่อนที่คนเริ่มจะเป็นฝ่ายผละออก รอยยิ้มพราวในระยะใกล้ทำให้ธรรมศรเกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นมา


ใบหน้าไร้ที่ติหักมุมเล็กน้อยขณะเคลื่อนเข้าใกล้อีกฝ่าย ฝังจมูกไล่ตามกรอบหน้าคมคายอย่างหลงใหลทิ้งความร้อนผ่าวไว้ในทุกที่จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความระอุของบางอย่างจึงรีบถอนตัวออกมานั่งประจำที่ตัวเอง


“มึงแกล้งกู” คนถูกทิ้งให้อารมณ์ค้างว่าเสียงขุ่น น้ำเสียงชัดเจนไม่ได้อ้อแอ้ฟังไม่รู้เรื่องอย่างคนสติสัมปะชัญญะไม่ครบแต่อย่างใด


“มึงเริ่มก่อน รู้ทั้งรู้ว่านี่ในรถก็ยังเริ่ม” ผู้ชนะยักคิ้วเย้ยซ้ำ


“หึ ทำงานมีเงินเดือนเมื่อไหร่กูจะซื้อรถใหม่”


“ซื้อทำไมวะ คันเก่าก็ยังใช้ได้”


“ยังใช้ได้ แต่มึงไม่คิดเหรอว่ามันเล็กเกินไปสำหรับเรา”


ธรรมศรส่ายหน้าจริงจัง “กูไม่มีเซ็กซ์กับมึงในรถแน่ ๆ”


“เมื่อกี๊ยังเกือบมีเลย”


“เมาแล้วก็นอนไปโว้ยยย”


“หึ”


ถ้ามีของที่เขวี้ยงได้อยู่ใกล้มือ คนหลังพวงมาลัยคงไม่ลังเลที่จะคว้างใส่คนข้าง ๆ แน่





คนเมาที่เดินเข้าห้องก่อนถอดรองเท้าจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศเสร็จสรรพแต่ไม่ยอมเปิดไฟ ทว่ายังคงยืนโงนเงนรอจนอีกคนถอดรองเท้าเสร็จแล้วจึงดึงเข้าไปใกล้ ทาบริมฝีปากตัวเองสัมผัสที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย อารมณ์เลื่อนลอยกับความคิดฟุ้ง ๆ ในหัวที่เกิดจากฤทธิ์เหล้าทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่กำลังครอบครองอยู่ทั้งอ่อนนุ่ม ละมุนละไมกว่าทุกที เขาใช้มือที่เปียกชื้นด้วยความตื่นเต้นกอดร่างนั้นไว้อย่างหลวม ๆ ก่อนจะรัดแน่นขึ้นตามแรงจูบของกันและกันราวกับทั้งคู่ต่างก็ต้องการความอบอุ่นจากผิวกาย


สองมือกุลีกุจอถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวของธรรมศรออก ร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเผยให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบจากการดูแลตัวเองเป็นอย่างดีของชายหนุ่มในแบบที่เขาหลงใหล แต้มเต่งตึงสีชมพูบนยอดอกของธรรมศรถูกปลายนิ้วของเขาแตะต้องเบา ๆ อย่างเป็นจังหวะ จนมันแข็งขืนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เสื้อของเขาและกางเกงของอีกฝ่ายเลื่อนออกจากตัวแทบจะพร้อมกัน โอมอินสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ปรากฏตามสันกรามเมื่อริมฝีปากของพวกเขาผละออกจากกัน กลีบเนื้อหยุ่นเลื่อนต่ำลงไปยังซอกคอและหน้าอกของเขาพร้อมกับมือที่เปลี่ยนจากการเหนียวรั้งตัวไปสู่ตําแหน่งอื่นที่ยังมีปราการด่านสุดท้ายกั้นอยู่


แม้จะรู้สึกเหมือนกำลังถูกมอมเมาด้วยราคะแต่ยังรู้สึกตัวในตอนที่แผ่นหลังแนบกับผนังห้องเย็นเฉียบ ธรรมศรย่อตัวลงจนสุดท้ายก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้า และตอนนี้บริเวณที่มือจับอยู่ก็ไม่ได้มีกางเกงกั้นอยู่อีกแล้ว เพราะมันกำลังสัมผัสกันโดยตรง


โอมอินเงยหน้าขึ้นร้องซี๊ดด้วยความเสียวซ่านเมื่อคนรักจรดริมฝีปากลงบนขาอ่อนลากไล่ขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่งจนถึงแกนกลาง สองมือที่เคยจับไหล่อีกฝ่ายไว้หลวม ๆ เริ่มสางเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มแล้วขยับตามจังหวะขึ้นลงของริมฝีปากที่กำลังครอบครองแกนกายของเขาไว้


“ศ..ศร”


ใบหน้าที่เคลื่อนไหวตามมุมของริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมสายตาที่มองมาอย่างเชื้อเชิญช่างเป็นภาพที่น่ามองและเพลินตาเสียจนโอมอินแทบทะลักความสุข


ต่างคนต่างปรนเปรอให้กันด้วยความรักที่ไม่ยึดถือตัวตน ไม่มีผู้ชายคนที่ทระนงในศักดิ์ศรีพลาดอยู่ในตำแหน่งรองแต่จะไม่ยอมใช้ปากให้ใครเด็ดขาด ไม่มีผู้ชายคนที่กลัวจะเผลอทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจแล้วเบื่อกันอีกแล้ว ต่างคนต่างยอมลดตัวตนเพื่อกันและกัน ต่างคนต่างเต็มใจเพื่อพิสูจน์ว่าจะปฏิบัติแบบนี้กับอีกฝ่ายแค่คนเดียวเท่านั้น


สองคนกอดก่ายกันไปจนถึงเตียง อย่างไรเสียความสบายของมันยังคงเป็นสิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงแม้ว่าแรงปรารถนาจะลุกโชนมากขนาดไหน


โอมอินขยับตัวขึ้นไปอยู่เหนือร่างกายของคนรัก ขยับกายจนบางส่วนของร่างกายแปรเปลี่ยนไปอยู่ในร่างกายอีกฝ่าย ริมฝีปากของคนใต้ร่างเผยอเพียงเล็กน้อยในขณะที่ดวงตาคู่นั้นหลับสนิท มีเสียงครวญครางเบา ๆ ที่ข้างหูเขาตลอดเวลาก่อนที่จะเงียบสงบลงหลังจากนั้นหลายชั่วโมง








หากความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเหมือนบทเพลงเพียงหนึ่งเพลง...คงเป็นเพลงที่ทำนองไม่รื่นหูสักเท่าไหร่


ธรรมศรคิดอย่างนั้นตอนที่ยืนมองคนรักที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงจากตรงระเบียง


บทเพลงที่หลอกล่อให้คนฟังหลงเพลิดเพลินไปกับจังหวะสนุกแต่ก็สามารถผลักตกหลุมห้วงอารมณ์เพราะท่วงทำนองเชื่องช้าชวนเศร้าหมองที่แทรกอยู่ประปรายได้เช่นกัน


บางท่อนเป็นทำนองโซลคล้ายในเพลงรักวัยใสเหมือนตอนที่ใจเต้นด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้กัน


บางท่อนฟังสบายหูทว่าหนักแน่นในดนตรีแบบเพลงรักยุคเก้าศูนย์เหมือนยามที่รู้สึกอุ่นใจจากการถูกปกป้อง


แทรกด้วยท่อนแรปที่ได้ยินกี่ครั้งก็ใจเต้นแรงและอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นทุกครั้งเหมือนตอนที่ร่วมรัก


ตัดอารมณ์ด้วยจังหวะร็อกเมทัลหนักแน่นเหมือนตอนที่ทำตัวแข็งกระด้างใส่กัน


และหักดิบด้วยทำนองเพลงที่เศร้าที่สุดในยามที่ต่างฝ่ายต่างเปราะบาง ร้าวง่ายราวกับฟิล์มกระจกติดหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เพียงแค่ตกหรือกระแทกเพียงหนึ่งครั้งก็เกิดรอยเป็นทางยาว...แต่ไม่ถึงกับแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ


หากเพลงของพวกเขาจบลงในเวลาไม่เกินห้านาทีเหมือนเพลงทั่วไปที่เคยฟังกัน ธรรมศรคงยิ้มได้ที่อย่างน้อยทำนองสุดท้ายของเพลงก็เป็นจังหวะสนุกที่ชวนให้ใจเต้นแรงมากกว่าท่อนไหน ๆ ที่ได้ฟังมา


ทว่าในความเป็นจริงแล้วเพลงมันยังไม่จบ แต่ธรรมศรก็คิดไว้แล้วว่าตนจะแต่งต่อด้วยทำนองไหนบ้าง


มุมปากได้รูปกระตุก มองคนที่หลับอยู่พลิกตัวกลับมาฝั่งที่เขายืนอยู่ เมื่อฝ่ามือสัมผัสกับความว่างเปล่า ใบหน้าเรียบเฉยก็ยู่ลง และยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเมื่อคลำสะเปะสะปะแล้วยังพบแต่ความว่างเปล่า


มุมปากขยับออกจนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าไร้ที่ติพร้อมกับเปลือกตาของคนถูกจ้องมองเปิดขึ้นพอดี


แม้จะงัวเงียคล้ายจะปิดลงอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ แต่แววตาที่มองมาอย่างเชื้อเชิญก็ยังคงเต็มไปด้วยความรักที่หากไม่มีบาดแผลในอดีตตามมาบังตา เขาก็คงสังเกตเห็นได้ตั้งแต่วันแรกที่ตกลงคบกันแล้ว


คงไม่รอให้มีจังหวะร็อกเมทัลหรือเกิดทำนองเชื่องช้าในเพลงรักของตัวเองแน่


และเมื่อความรักเรียกหา เขาก็จะไม่พลาดที่จะคว้ามันไว้อีกแล้ว...


โอมอินยังคงหลับตาแม้ในยามที่เตียงฮวบลงเพราะอีกคนทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ให้เขาสวมกอด ใบหน้าเรียบเฉยเปื้อนยิ้มเมื่อธรรมศรไม่โวยวายว่าอึดอัดอย่างเคย มิหนำซ้ำยังกอดตอบเสียด้วย หากไม่มีขาที่ตั้งใจก่ายเพื่อให้ตัวแนบแน่นมากขึ้นเป็นการก่อกวนกันเขาคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังอ้อนอยู่อย่างแน่นอน


“รักมึง” แม้ใบหน้าจะซุกอยู่กับอกเขาแต่เสียงทุ้มกลับดังชัดในโสตประสาท


“อะไรวะเนี่ย ข้างนอกอากาศเป็นพิษเหรอ” โอมอินว่าติดตลก ยอมถ่างตาออกเพื่อดูสีหน้าคนที่เพิ่งเป็นฝ่ายบอกรักก่อน “สูดเข้าไปแล้วทำตัวแปลก ๆ นี่พล็อตหนังโลกแตกป่ะวะ”


ธรรมศรดันตัวออกห่างแต่ยังไม่หลุดจากอ้อมกอดของคนรักง่าย ๆ “มึงเอาไปทำหนังดิ สูดแก๊สพิษเข้าไปแล้วพูดแต่คำโกหกออกมา เดี๋ยวกูช่วยคิด”


คนเสนอน้ำใจถูกกัดริมฝีปากเข้าอย่างจังจนหลุดร้องเรียงหลง ยังโชคดีอยู่บ้างที่เลือดไม่ออก ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงไม่ต้องนอนกันเสียแล้ว “โกหกเหรอหื้ม ไหนพูดใหม่ซิ”


ธรรมศรไม่พูดแต่ให้คำตอบด้วยสัมผัสลึกซึ้งบนริมฝีปาก


คนถามยิ้มรับทั้งที่ยังสัมผัสกัน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคนไม่ใช่แค่เพราะว่ามองตากันแล้วถูกใจ แต่ความสัมพันธ์ที่มีสถานะ ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจนอยากจะผูกพันต้องอาศัยซึ่งการเรียนรู้กันและกัน พวกเขาต่างมีเรื่องของตัวเอง เรื่องของโอมอิน เรื่องของธรรมศร กว่าจะกลายเป็นเรื่องของ ‘พวกเขา’ ได้ต้องไม่ใช้เรื่องของตัวเองตัดสินอีกฝ่ายโดยที่ยังไม่รู้เรื่องของเขาดีพอ แต่พวกเขาจะไม่มีทางรู้จักกันได้มากกว่าแค่ความเข้ากันได้ของร่างกายและความรู้สึกที่ตรงกันหากไม่มีการเปิดใจให้ได้เรียนรู้กันและกันอย่างจริงจัง ทุกการกระทำของแต่ละคนมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง แม้จะบอกว่าทำลงไปเพราะอารมณ์แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าลึกลงไปกว่านั้นไม่ได้มีอะไรซ่อนอยู่


ตอนนี้โอมอินรู้แล้วว่าผู้ชายที่ชื่อธรรมศรซ่อนอะไรไว้ในใจ...


สองแขนกระชับร่างในอ้อมกอดแนบแน่นยิ่งขึ้น


...รู้แล้วว่าควรจะดูแลอย่างไรเพื่อไม่ให้สิ่งนั้นย้อนกลับมาทำร้ายคนรักของตนอีก


ธรรมศรกอดตอบ แม้จะผิดวิสัยไปเสียหน่อยที่จะต้องหลับไปในท่านี้ แต่เขาก็ทำเพราะแค่อยากทำ


เขารู้แล้วว่าความหงุดหงิดทั้งหมดทั้งมวลของผู้ชายที่ชื่อโอมอินเกิดจากอะไร...


ว่าที่บัณฑิตวิศวะฝังจมูกโด่งลงบนแผงอกที่น่ากลัวว่าหัวใจจะเต้นแรงจนอาจหลุดออกมาจากตรงนั้น


...รู้แล้วว่าสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายหายหงุดหงิดได้ก็คือตัวเอง


ในวันนี้ต่างคนต่างรู้ตัวแล้วว่าต่างก็มีส่วนช่วยเยียวยาและเติมเต็มกันและกันอย่างที่ไม่เคยได้จากใคร




(โคตร)หึง(โคตร)หวง เป็นอาการปกติที่พบได้ในผู้ชายที่ชื่อโอมอิน


มนุษยสัมพันธ์ดี เป็นสิ่งที่สัตว์สังคมอย่างมนุษย์ที่ชื่อธรรมศรมีพอประมาณและอยู่ในขอบเขตที่คนเป็นแฟนกำลังเรียนรู้ที่จะเข้าใจได้









(สิ้นสุดการนัดติดตามอาการ)
---------------------------------------------------------
จบแล้วววววว 17 เดือน ยาวนานมากจริงๆค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านกันมาถึงตอนจบนะคะ รัก
ด้วยความตั้งใจว่าอยากแต่งซักคู่หนึ่งที่คบกันแล้ว ไม่อยากเริ่มต้นด้วยการจีบกัน จึงออกมาเป็นคู่นี้
ตอนอยากแต่งลืมคิดไปว่าพล็อตบังคับให้มี NC ฮ่าๆๆ ก็เลยง่อยๆกันไป (แต่มีคนชอบก็ขอบคุณมากๆค่ะ ตอนเขียนใช้พลังงานเยอะมาก)
มี 1 สิ่งที่อยากให้ทุกคนตระหนักได้หลังจากอ่านเรื่องนี้ คือ
“Trauma” คำนี้หมายถึงการบาดเจ็บทางใจ จากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่ง สึ่งทำให้ฝั่งลึกในจิตใจ
ผู้ใหญ่หลายคนละเลยและพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าในการทำให้เกิด Trauma ในจิตใจลูก วัยเด็กเป็นวัยที่จดจำทุกอย่างได้ดีกว่าที่เราคิด เขาจำได้ทุกอย่าง บางเรื่องที่เคยทำร้ายจิตใจเขา ตอนเด็กเขาอาจจะไม่ได้คิดมากหรือลืมได้ง่าย แต่เมื่อโตขึ้น มันจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ซ้ำรอยเดิมจนกลายเป็นดึงสลักเรื่องเก่า ๆ ของเขาออกมาจนหมด สร้างความเจ็บปวดให้ทั้งสองฝ่ายได้
ที่บอกมาไม่ได้จะแค่ให้ทุกคนตระหนักถึงเมื่อยามที่เราโตเป็นผู้ใหญ่เท่านั้นนะคะ
แต่หมายถึงตอนนี้ก็ด้วย เราไม่สามารถตัดสินคนอื่นด้วยประสบการณ์หรือนิสัยของเราได้
เราไม่มีทางรู้ว่าคนๆหนึ่งผ่านอะไรมาบ้าง เพราะเราจะรู้จักเขาแค่เท่าที่เขาให้เรารู้จักเท่านั้น
แต่ที่เราทำได้คือพยายามอย่าสร้าง Trauma ให้กับใครเลยนะคะ
----------------------
ตอนนี้เปิดให้สั่งซื้อได้แล้วนะคะ!
2 ช่องทางคือ สำนักพิมพ์ hermit books http://www.hermitbookshop.com/product/738/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88
และ แอป Shopee https://shopee.co.th/i-i.72213402.5020760690?deep_and_deferred=1&pid=partnerize_int&af_click_lookback=7d&is_retargeting=true&af_reengagement_window=7d&af_installpostback=false&af_sub2=SHOPEE&clickid=1100l7TGMKIF&af_siteid=1100l92344&utm_source=1100l92344&utm_medium=affiliates

สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางสำนักพิมพ์ hermit books ทุกช่องทางค่ะ
ฝากโอมอินกับธรรมศรไว้ด้วยนะคะ

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2020 20:19:08 โดย ธัญญ์ »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขอบคุณคุณธัญญ์มากนะคะสำหรับนิยายสนุกๆ งานคุณภาพอีกเรื่อง รักทั้งโอมทั้งศรเลยค่ะ ความรักที่เขามีมันช่วยรักษาโรคประจำใจของแต่ล่ะคนได้ดีจริงๆ ค่อยๆเยียวยากันไปทีล่ะนิด อาจไม่ได้หายสนิท แต่ก็เรียนรู้ที่จะปรับเข้าหากัน อยากได้เล่มมากเลย อยากอ่านตอนจีบ  :mew1:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
สื่อสารกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ชอบความสัมพันธ์ที่สามารถเยียวยากันและกัน อุ้มชูกันสู่สิ่งดีๆ โอมอินเป็นคนที่ถ้าเจอสามารถบอกได้ว่า รอเจอมานาน ไปอยู่ที่ไหนมาทำไมถึงได้เจอ เป็นคนที่มีอยู่แล้วโชคดีที่มีเขาอยู่ในชีวิต เปิดเรื่องมาแม้อาจจะระหองระแหง ลุ้นๆใจสั่นๆ แต่จบเรื่องด้วยความรักความเข้าใจ

ขอบคุณนะคะ สำหรับความทุ่มเทตลอด17เดือน เติบโตอย่างมีคุณภาพ เราว่าเขียนเก่งขึ้น เก่งในความรู้สึกความสัมพันธ์มากขึ้น บรรยายบรรยากาศความรู้สึกซับซ้อนกว่าคุณดีน เป็นกำลังใจให้ จะรอติดตามเสมอๆ

ออฟไลน์ nijikii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
มีหลายคนรีวิวว่าสนุกมาก
พอคุณธัญญ์บอกว่าจะรวมเล่ม
เราดีใจมากเลยค่ะ จะรอนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด