Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」
Follow up ครั้งที่ 24
---[END]---
หากความสัมพันธ์เป็นเหมือนบทเพลงเพียงแค่หนึ่งเพลง คงเป็นเพลงที่ทำนองไม่รื่นหูสักเท่าไหร่
ในสี่ถึงห้านาทีนั้นมีทั้งจังหวะสนุกให้พอโยกตัวได้เหมือนเพลงรักสมหวัง
ผสานด้วยบีทที่สร้างความตื่นเต้นและแปลกใหม่เหมือนท่อนแร็ปที่มักแทรกกลางเพลง
แต่ก็มีท่วงทำนองเชื่องช้าชวนเศร้าหมองอย่างเพลงอกหักปนอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนของกันและกัน ต่างก็ต้องพบเจอความรู้สึกเหล่านี้ผสมปนเปกันในแต่ละวัน...สัปดาห์...เดือน...ปี...หรือแม้แต่รายชั่วโมง
บางครั้งวาบหวาม กระชุ่มกระชวยเหมือนเพลงฮิพฮอพ
บางครั้งหอมหวาน อบอุ่นใจเหมือนเพลงรัก
บางครั้งแข็งแกร่ง...จนบางทีแข็งกระด้างเหมือนเพลงร็อกเมทัล
และบางครั้งก็เปราะบาง เหมือนเพลงเศร้า
แม้ว่าส่วนใหญ่เราจะอยู่ในฐานะนักแต่งเพลงที่เลือกท่วงทำนองให้กับเพลงเองได้
แต่หลายต่อหลายครั้งเราก็กลายเป็นเพียงคนฟังที่รอเวลาเซอร์ไพรส์กับจังหวะดนตรีที่คาดเดาไม่ได้เลย
โอมอินเคยเล่าไอเดียเกี่ยวกับหนังสั้นของตัวเองให้ธรรมศรฟังไว้อย่างนั้น แต่แทนที่จะเข้าใจ คนเรียนสายวิทย์มาทั้งชีวิตอย่างธรรมศรกลับยิ่งสงสัยว่าคนที่ส่งสารนิพนธ์ในบทบาทของลำดับภาพจะสร้างผลงานชิ้นนี้ออกมาอย่างไร
และในวันนี้เขาก็จะได้รู้พร้อมกับคนอีกเกือบสองร้อยในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว
“ตื่นเต้นเหรอวะ” ธรรมศรเย้าแหย่
โอมอินไม่แม้แต่จะหันมอง ใบหน้าเรียบเฉยเอาแต่มองตรงไปยังทางเข้างานอย่างรอคอยการมาถึงของใครบางคน “ตื่นเต้นทำไม คนดูก็รุ่นน้องในคณะ คนวิจารณ์ก็ศิษย์เก่าที่ก็แค่เก๋า”
ธรรมศรร้องหึ มองคนที่บอกว่าไม่ตื่นเต้นแต่เมื่อคืนนอนไม่หลับจนต้องกวนเขาให้ตื่นมาเล่นบทรักกันไปเสียหลายยก
“ไม่ได้ตื่นเต้น” โอมอินย้ำเสียงเข้ม อดไม่ได้ที่จะหันมองคนรักเต็มตาเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างไม่เชื่อทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง
“เออ ไม่ตื่นเต้นก็ไม่ตื่นเต้น” แฟนหนุ่มต่างคณะว่ายิ้ม ๆ “เมื่อคืนปลอบไปทั้งหลายครั้งแล้วนี่หว่า ถ้ายังตื่นเต้นกูโกรธนะเว้ย”
“ไอ้นี่หนิ” เขาได้แต่มองคาดโทษทั้งที่ใจจริงอยากจะเตะตูดอีกฝ่ายเสียตรงนี้ เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่ พูดเรื่องสัปดนออกมาได้ไม่อายปากเหมือนเมื่อก่อน ถึงจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำหยาบโลนตรงไปตรงมาแต่ใจความก็ชัดเจนแก่ใจว่าหมายถึงอะไร
“มึงเข้าไปนั่งข้างในได้แล้ว”
“มึงนั่นแหละเข้าไป กูอยู่รอแม่ให้มึงเอง”
“ไม่เป็นไร มึงรีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวก็ได้นั่งพื้นเหมือนปีที่แล้วหรอก”
“ปีนี้มึงไม่ได้จัดที่นั่งวีไอพีให้กูเหรอ” ธรรมศรแสร้งถามด้วยสีหน้าที่ปั้นให้เรียบตึงที่สุด ทว่าไม่อาจทำให้คนมองตกหลุมพรางเลยสักนิด มะเหงกถึงได้ถูกประเคนเข้ากลางหน้าผากอย่างจัง
“ปีนี้มึงไม่ใช่นักแสดงกิตติมศักดิ์แล้วครับ จะเอาสิทธิ์อะไรไปขอที่นั่งให้”
“ปีที่แล้วเป็นยังได้นั่งพื้นเลย” ธรรมศรบ่นอุบ
“ก็ชอบไม่ใช่เหรอ สาว ๆ รุมล้อมเลยนี่” กล่าวประชดทีเล่นทีจริงแต่กลับต้องเบิกตาโตด้วยความขุ่นเคืองจริง ๆ เพราะอีกฝ่ายดันฉายความแพรวพราวออกมาทันทีเสียนี่
“จริงด้วยว่ะ ปีนี้ไปหาทำเลดี ๆ อีกดีกว่า” ว่าแล้วก็รีบหันปลายเท้าเข้าหาห้องที่จัดงานทันทีแต่ไม่ทันได้ก้าวออกก็ถูกรั้งคอไว้เหมือนทุกทีจนอดไม่ได้ที่จะแต้มยิ้มมุมปากไว้บนใบหน้าในตอนที่หมุนตัวให้หลุดจากวงแขนเพื่อให้หันเข้าหากันอย่างสะดวก
“ไม่ต้องเลยนะมึง เข้าไปแล้วจองที่นั่งให้แม่กับน้องกูด้วย”
“ต้องเผื่อรดาด้วยป่ะ”
โอมอิมแน่นิ่งไป ท่าทีเหมือนลังเลทำให้คนถามอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงกลัวว่าตนจะคิดมากเรื่องเด็กสาวที่พูดถึง ใบหน้าไร้ที่ติจึงประดับรอยยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายสบายใจก่อนอธิบาย “เฮ้ย! กูโอเคนะ น้องไม่ได้ยุ่งกับมึงแล้วนี่ อย่าคิดมากดิ”
“ศร...” โอมอินกลืนน้ำลายหนืดลงคอ “...จองที่เผื่อแม่...ด้วยนะ”
มุมปากค่อย ๆ ขยับกลับมาที่เดิมจนริมฝีปากแนบชิดกันก่อนจะกลืนเข้าหากันเพราะเจ้าของเม้มไว้แน่น
“ศร...”
“อือ ถ้ายังมีที่ว่างติดกันยาว ๆ ให้กูเลือกนะ” รอยยิ้มบาง ๆ ยังคงแต้มใบหน้าไว้เสมอแต่กลับไม่ทำให้คนมองสบายใจขึ้นเลยสักนิด
“เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ช่างแม่งไปบ้างก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ธรรมศรตบบ่าอีกฝ่ายสองสามที
น่าจะเกินครึ่งปีแล้วด้วยซ้ำนับตั้งแต่วันที่เขาได้รู้ความจริงโดยบังเอิญ ถึงจะยังไม่ใช่ทั้งหมดแต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขุดคุ้ยอดีตของพ่อแม่ให้ต้องเจ็บปวดใจอีกธรรมศรก็จะยืนยันตามนั้น หลังจากวันนั้นเขาไม่ได้เจอเธออีกเลย ต่างกับรดาที่เจอบ้างในสถานศึกษา แม้จะแค่ไม่กี่ครั้งแต่ความสัมพันธ์ก็พัฒนาไปเร็วไม่ต่างจากที่สนิทกับรัก พี่ชายของเธอเลย
“พี่โอม!” เสียงใสแจ๋วดังมาแต่ไกลอย่างไม่อายว่าผู้คนนับสิบในบริเวณนั้นจะหันไปมองด้วยสายตาแบบไหน ธรรมศรหันมองตามเสียงแต่ยังทันเห็นเจ้าของชื่อที่ยืนข้างกันส่ายหัวก่อนนวดขมับเล็กน้อย
“ตื่นเต้นว่ะ พี่ถ่ายผมออกมาดีไหมวะ ไม่เคยจะให้เช็คกันก่อนเลย” คนที่เข้ามาถึงก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดเป็นหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็ก ทั้งเล็กทั้งบอบบาง หน้าสวยเกินชายและผิวพรรณนอกแขนเสื้อยืดตัวโคร่งก็เนียนสวยขาวผ่องจนธรรมศรนึกสงสัยว่าผิวเนื้อใต้ร่มผ้าจะขาวกว่าสักเพียงใด แต่แล้วภวังค์ความคิดอันไม่ควรก็ถูกพังลงเพราะถ้อยคำที่ดูเหมือนจะหมายถึงตน “โห...ใครอ่ะ หล่อจัง”
ธรรมศรทันเห็นสีหน้าเคลิ้มฝันกับสายตาวิบวับแค่ชั่วครู่ก่อนใบหน้าสวยจะแหงนออกไปเพราะถูกโอมอินผลักศีรษะจนหน้าหงาย
“อย่าแรด”
“รุนแรงตลอด...ว่าแต่เพื่อนพี่ชื่อไรอ่ะ หล่อกว่าพี่อีก...พี่ไปอยู่ไหนมาอ่ะทำไมผมไม่เคยเห็น” ประโยคหลังภัทรหันไปถามเอาจากธรรมศรโดยตรง
“นี่แฟนกู จำเป็นเหรอที่มึงจะต้องเคยเห็น”
“เห้ย! จริงดิ!!” หนุ่มรุ่นน้องถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวกอดอกจับคางทำท่าทางเหมือนสำรวจได้น่าหมั่นไส้แล้วยังพึมพำว่า “ไม่น่าเชื่อ” ออกมาจนโอมอินอยากจะตบหัวอีกฝ่ายเข้าสักฉาด
“ไปไหนก็ไปเลยไป รู้ไว้แค่ว่าอย่ายุ่งกับคนของกูก็พอ”
ภัทรเบะปาก “คนของกู” คงเพราะรู้ตัวว่าถ้อยคำและท่าทางล้อเลียนของตนจะต้องถูกเตะก้นเข้าให้แน่ อีกฝ่ายถึงได้ถอยออกห่างไปอีกสองก้าว “พี่มีโมเมนต์นี้ด้วยเหรอวะ ไม่น่าเชื่อเลย”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง รีบ ๆ เข้าไปซะที รำคาญ”
“ร้ายกับน้องนุ่งตลอด” ปากเล็ก ๆ ยังบ่นพึมพำให้ได้ยินก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นเมื่อดูท่าว่าโอมอินจะเอาจริงกับการเตะก้นเขา “รอเพื่อนก่อนดิ นี่ผมเกณฑ์หน้าม้ามาเพื่อพี่เลยนะ ขอบคุณผมตอนนี้ยังทันนะพี่”
“เรื่องของมึง” โอมอินตัดรำคาญด้วยการจูงมือคนข้าง ๆ ลากออกไปจากตรงนั้นแทนที่จะรอให้ภัทรเป็นฝ่ายไปเหมือนก่อนหน้านี้
“น้องมันน่ารักดีว่ะ” ธรรมศรว่ายิ้ม ๆ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงรัก รุ่นน้องในชมรมที่เมื่อก่อนเกาะติดเขาจนน่ารำคาญแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเอ็นดูอีกฝ่ายมากอยู่เหมือนกัน แม้จะมารู้ทีหลังว่าพวกตนเกี่ยวข้องกันมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรมกันก็ตาม
“อย่าชมใครให้กูฟัง” โอมอินพูดเสียงเข้มเสริมความจริงจังด้วยแววตาที่แข็งขึ้นเช่นกัน
“หึงอะไรวะ”
โอมอินฟึดฟัด “พยายามจะไม่หึงแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยินดีฟังมึงชมคนโน้นคนนี้ว่าน่ารักได้นะเว้ย”
“โอเค ๆ กูรู้แล้วว่ามึงไม่ชอบ...กูเข้าไปจองที่ก่อนแล้วกัน”
คล้อยหลังธรรมศร คนที่จัดแสดงผลงานในวันนี้ก็เดินไปมาเหมือนหนูติดจั่น ธรรมศรพูดถูก เขาตื่นเต้น ตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับจนต้องกวนคนที่นอนด้วยมาช่วยกันทำให้ใจมันสงบ โชคดีเหลือเกินที่วันนี้สัมไม่มา ไม่อย่างนั้นคงโดนย้อนกลับเรื่องที่เคยพูดไว้เมื่อปีก่อนว่าเมื่อถึงคราวตนเองอย่างไรเสียก็ไม่มีทางตื่นเต้นเด็ดขาด
โอมอินรออยู่คนเดียวไม่นานน้องสาวคนกลางก็วิ่งหน้าตื่นนำแม่และน้องสาวคนเล็กเข้ามาโดยมีสองแม่ลูกที่คุ้นหน้ากันดีอีกครอบครัวหนึ่งตามติดมาด้วย
“ทำไมช้า” โอมอินร้อนใจแต่ก็ไม่อยากโทรเร่ง นัยน์ตาคมดุมองจ้องน้องคนกลางอย่างต้องการคำตอบ แต่อีกฝ่ายไม่นึกกลัว ปั้นหน้าตายุ่งอย่างสุดแสนจะหงุดหงิดออกมาสู้ให้รู้ว่าตนเจออะไรมาบ้างกว่าจะถึงที่นี่
“เริ่มจากไหนดีล่ะพี่โอม ยัยอิมแต่งตัวช้า รถติด หาที่จอดรถไม่ได้จนต้องวนไปจอดที่อื่น พอจอดไกลกว่าจะพากันมาถึงที่นี่อีก ร้อนก็ร้อนเนี่ย”
“ขี้บ่นว่ะ พาแม่เข้าไปได้แล้วไป พี่ศรรออยู่ข้างใน”
โอมอินดันหลังน้องให้รีบเดินเข้าไปเพราะเบื่อจะฟังเสียงบ่นเต็มที ก่อนเข้าไปคนเป็นแม่ยังอวยพรให้เขาโชคดีและบอกให้เขาไม่ต้องตื่นเต้นหรือกังวลอีกด้วย
กิจกรรมโดยรวมไม่ต่างจากปีก่อน ๆ สักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนปีนี้จะมีคนนอกให้ความสนใจมากขึ้น ลำดับการฉายหนังสั้นของเพื่อนในกลุ่มเป็นช่วงบ่ายกันหมด ขณะที่เรื่องของโอมอินอยู่ในลำดับสุดท้ายก่อนพักกลางวันพอดี หนังสั้นที่มีความยาวเพียงห้านาทีภายใต้ชื่อ mood & tone นำเสนอความรู้สึกหลากหลายอย่างที่โอมอินเคยเล่าให้ธรรมศรฟังโดยผ่านการเล่าเรื่องจากภาษากายของภัทร แสงสีและเสียงดนตรีที่ประกอบโดยไร้บทพูด และแม้ว่ามันจะเป็นนามธรรมมากเกินกว่าเด็กวิทย์อย่างเขาจะเข้าใจแต่ก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เจ้าของผลงานต้องการสื่อออกมา
เมื่อคำวิพากษ์วิจารณ์จบลงผู้คนทยอยกันออกจากห้องจัดแสดง บ้างมุ่งหน้าเข้าไปแสดงความยินดีกับเจ้าของผลงาน พูดคุยถ่ายรูปกันตามความสนิทสนม โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว ซึ่งเมื่อคนที่เป็นตากล้องมาโดยตลอดต้องเข้าไปอยู่ในเฟรม ก็เลี่ยงไม่ได้ที่แฟนตากล้องอย่างธรรมศรต้องกลายเป็นตากล้องจำเป็นเสียเอง
“พี่ศรถ่ายบ้างไหม เดี๋ยวเอมถ่ายให้”
คำถามของเธอทำให้ธรรมศรต้องเหลือบมองผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างหยั่งเชิง “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยถ่ายหลังจากนี้ทีเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาถ่ายด้วยกันทั้งหมดก่อนซักรูปนะลูก” แม่ของโอมอินเป็นฝ่ายเอ่ยชวนพร้อมกวักมือให้เข้าไปหาโดยเร็ว
“รดาถ่ายให้เองค่ะ พี่เอมเข้าไปเถอะค่ะ ถ่ายรูปครอบครัวกันทั้งที”
ธรรมศรแทบจะทำตัวไม่ถูกที่ได้ยินอย่างนั้น คนหน้าตาเหรอหราส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนรักแต่กลับได้รับความช่วยเหลือด้วยการดึงเข้าไปยืนข้าง ๆ กันเสียอย่างนั้น
“นึกว่าจะมีดอกไม้ช่อโตมาเซอร์ไพรส์อีก” โอมอินเอนตัวเข้าหาพลางกระซิบเย้า อีกฝ่ายไหวไหล่ ไม่ต่อความ พวกเขาสองคนสบตากัน ไม่มีใครยอมพูดประโยคชวนเลี่ยนเป็นต้นว่าอีกฝ่ายต่างก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของตน ทว่าสายตาที่ส่งถึงกันเผยความนัยชัดเจนแทนคำพูดทั้งหมดแล้ว
“ไปทานข้าวด้วยกันทั้งหมดนี่เลยนะคะ” แม่ของโอมอินเอ่ยชวนหลังจากถ่ายรูป ‘ครอบครัว’ ได้สองสามรูปที่น่าพอใจแล้ว เธอกวาดสายตามองทั่วทุกคนเพื่อเป็นการย้ำคำพูดของตัวเองให้ชัดเจนว่าหมายรวมถึงทุกคนจริง ๆ
“มื้อนี้ผมขอบายนะครับแม่” ลูกชายคนโตของเธอออกปากปฏิเสธก่อนใคร “ผมต้องอยู่เตรียมงาน ไม่สะดวกไปไกล ตั้งใจว่าคงแค่ซื้อข้าวกล่องเข้ามากิน”
“แล้วศรล่ะลูก จะไปกับพวกเราไหม หรือจะอยู่กับโอม”
แม้จะมีคำตอบอยู่ก่อนแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางผู้ใหญ่อีกคนที่ยืนนิ่งสงวนท่าทีอยู่หลังสุดข้างลูกสาวของเธอ “ขอโทษครับ ผมไปด้วยไม่ได้จริง ๆ ต้องรีบไปเตรียมเสนอโปรเจคกับเพื่อนครับ”
“อ้าว แล้วไม่ทานข้าวก่อนเหรอ ถ้ารีบมากก็ทานพร้อมโอมนี่แหละ”
ธรรมศรคลี่ยิ้ม อุ่นใจกับความเป็นห่วงเล็กน้อยจากแม่ของคนรัก “ผมสายแล้วครับ เลยตั้งใจว่าจะซื้อไปทานกับเพื่อนเลย”
ธรรมศรเห็น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้าของเขาเหลือบมองแวบหนึ่ง และในชั่ววินาทีที่สบตากันนั้นเขาเห็นแววห่วงใยซ่อนอยู่ เพียงเท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว ไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันก็ได้ถ้าอีกฝ่ายไม่ต้องการ ขอแค่ไม่เกลียดลูกในไส้ที่เธออาจไม่ต้องการคนนี้ก็พอ
คืนนี้ผับใจกลางเมืองอันเป็นแหล่งรวมตัวของบรรดานักศึกษาขาเที่ยวเป็นสถานที่นัดหมายของชาวเด็กฟิล์มหลังจากที่แสดงผลงานสารนิพนธ์ออกสู่สายตาประชาชนเรียบร้อยแล้ว ต่างก็แยกกันนั่งเป็นกลุ่ม ๆ หลายคนอยากมาปลดปล่อย ขณะที่บางคนมาเพราะต้องเลี้ยงตอบแทนนักแสดงของตนอย่างเสียไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือโอมอินที่จำต้องมาโดยมีธรรมศรติดสอยห้อยตามมานั่งอยู่นอกวงด้วยพร้อมคำบอกที่ว่าให้เขาเมาได้เต็มที่ วันนี้ตนจะเป็นฝ่ายดูแลเอง
“ทำไมมันไม่หันหน้าเข้าวงวะ” และเต๋าก็ถามได้จี้จุดโอมอินเสียเหลือเกิน
นัยน์ตาคมตวัดมองคนรักที่นั่งเก้าอี้บาร์ติดกับกลุ่มตัวเองแต่กลับหันหลังให้แล้วแค่ไหวไหล่ให้เพื่อนแทนคำตอบ
“ไม่ใช่ว่าอยากอ่อยสาวนะ” เป็นโจอีกตามเคยที่จงใจกวนน้ำให้ขุ่นโดยมีลูกคู่อย่างพีทที่ยิ้มให้อย่างรู้กัน
“อย่างพี่ศรไม่ต้องอ่อย สาว ๆ ก็เข้าหาเป็นพรวนแล้ว” ความเห็นของภัทรทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่เจ้าตัว “ก็จริงอ่ะ ต่อให้นั่งรวมกับเราก็เด่นและดึงดูดอยู่ดี”
เต๋ายิ้มมุมปากก่อนเอ่ยชี้นำ “ไอ้โอมไม่ดึงดูด?”
ภัทรเหลือบมองรุ่นพี่ที่ร่วมงานด้วยและสนิทที่สุดในโต๊ะนี้ นัยน์ตาเรียวรีแสร้งมองสำรวจรูปร่างหน้าตาอีกฝ่ายทั้งที่มีคำตอบในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว “พี่โอมอ่ะ sex appeal สูงนะ แต่ที่ไม่ค่อยมีใครเข้าหาเพราะหน้าไม่รับแขกของพี่แกเนี่ยแหละ ถ้าจะมีสาวซักคนเข้าหาก่อนต้องมีแต่แรง ๆ อ่ะ ถ้าเรียบร้อยหรือแรดเงียบอาจจะกลัวโดนพี่แกกัด” ประโยคหลังหนุ่มรุ่นน้องกระซิบกระซาบราวกับไม่ต้องการให้คนที่กำลังพูดถึงได้ยินทั้งที่อีกฝ่ายก็นั่งอยู่ติดกันไม่ได้ไกลกันเลยสักนิด
“พูดมาก” ไม่เพียงบ่นแต่ยังตบกบาลเด็กช่างคุยเสียหนึ่งฉาดด้วยความหมั่นไส้เป็นการตัดจบบทสนทนาที่มีเขาและคนรักเป็นประเด็น
ธรรมศรไม่อยากเอาตัวเองไปเบียดกับคนกลุ่มใหญ่ นั่งใกล้นั่งชิดคนอื่นมากเดี๋ยวโอมอินจะพาลหึงไม่เข้าเรื่องอีกจนได้ อีกอย่าง ที่สำคัญคือตนตามมาเพราะจะรอขับรถให้อีกฝ่ายที่อาจจะเมา หากเขาร่วมวงด้วย ไม่แคล้วคงได้ดื่มเพลินจนเมาไม่ต่างกับคนรัก และถ้าไม่ดื่มเลย บรรยากาศในวงคงกร่อยเป็นแน่
ไม่ได้ตั้งใจจะปลีกแยกเพื่ออ่อยใคร
แต่คงผิดปกติ...หากคนหน้าตาดีระดับนี้จะไม่มีคนเข้าหาเลย
“ดื่มเป็นเพื่อนกันหน่อยสิคะ” สาวสวยในชุดรัดรูปอวดส่วนเว้าโค้งที่เริ่มไม่ใช่ของสวย ๆ งาม ๆ ในสายตาเขาเดินเข้ามาพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ เธอถือวิสาสะเรียกพนักงานเข้ามารับออเดอร์สำหรับเขาอีกหนึ่งแก้ว คงเพราะสังเกตมาครู่ใหญ่แล้วว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนแก้วใหม่ตั้งแต่เข้ามาในร้านและมันค่อนข้างจะจืดจางลงมากแล้ว
ธรรมศรแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนทุกที “ขอโทษด้วยครับคนสวย แต่คืนนี้ผมไม่ดื่ม”
“ทำไมละคะ แค่แก้วเดียวไม่เมาหรอกค่ะ”
“ผมต้องขับรถกลับ”
เธอยิ้มพราวราวกับเหยื่อติดเบ็ดแล้วทั้งที่จริงไม่ใช่สักนิด “เมาก็กลับแท็กซี่สิคะ...หรือกลับกับฉันก็ได้”
ชายหนุ่มปรายตามองปลายนิ้วมือที่อีกฝ่ายจงใจวางทับปลายมือเขาแล้วขยับออกมาอย่างสุภาพที่สุด “ไม่อยากเมาเพราะรอขับรถพาแฟนกลับด้วยกันครับ”
“แหม เข้าใจอ้างนะคะ เห็นนั่งคนเดียวอยู่ตั้งนาน ไม่มีสาวซักคน”
“ขอโทษนะครับ…” โอมอินทะลุกลางปล้องหลังจากซัดน้ำเมาเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว “...ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นแค่ข้ออ้างหรือเรื่องจริง แต่ที่แน่ ๆ คือแปลว่าผู้ชายเขาไม่อยากไปกับคุณรึเปล่า ถ้ายังเมาไม่มากสมองก็น่าจะทำงานอยู่นะครับ”
“แรงว่ะ” ธรรมศรว่าออกมาแทบจะพร้อมกับภัทรเมื่อหญิงสาวยอมถอยออกไปพร้อมอาการหน้าเสีย
“ขี้อ่อย”
“กูเปล่า นี่กูอยู่เฉย ๆ เลยนะ ยังไม่ได้หว่านเสน่ห์ซักนิด มึงแหละขี้หึงเกิน”
“ก็มึงแม่งน่าหงุดหงิด ไม่รู้จักปฏิเสธให้ชัดเจน”
ภายใต้แสงไฟสลัว ธรรมศรสังเกตเห็นแล้วว่าโอมอินหน้าแดงจัด อาการตัวแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์กำเริบแต่บอกไม่ได้ว่าเมาแล้วหรือยัง “ไม่ชัดเจนตรงไหน กูบอกเขาไปแล้วนะว่ารอแฟน”
“ไม่รู้เว้ย”
“หรือต้องให้กูจูบโชว์เลยไหม”
“ไม่อายก็ลองดู แต่บอกเลยว่าตอนนี้กูเมาแล้ว ทำอะไรก็ได้”
“เห้ย ๆ ใจเย็น อย่าท้ากันตรงนี้ กูกลัว” เต๋าเป็นคนห้ามทัพ
“เออ ถ้าเรื่องพวกมึงจูบกันในผับดังไปข้างนอกกูรับรองเลยว่าซวย ที่พ่อแม่พวกมึงกำลังเปิดใจก็จะรีบปิดทันทีแน่นอน โดนแอนตี้แน่ ๆ โทษฐานทำตัวไม่เหมาะสม” ทุกคนหันมองคนพูด ต่างตกใจที่คนพูดเตือนเป็นโจ ยิ่งโอมอินยิ่งไม่อยากเชื่อหูว่าเพื่อนคนนี้จะพูดเรื่องดี ๆ เป็นเหมือนกัน ชั่ววูบหนึ่งเผลอคิดว่าตัวเองอาจจะเมามากเกินกว่าที่คิดก็เป็นได้
“ไอ้โจพูดถูก” เต๋าเป็นคนได้สติคนแรก “พวกมึงนี่ก็ทะเลาะกันแต่เรื่องเดิม ๆ...ขี้อ่อยกับขี้หึง”
“นี่น้อยแล้ว!!” ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกันจนเพื่อนฝูงหรือแม้แต่ภัทรที่เพิ่งรู้จักกันยังยอมแพ้ให้กับความจริงที่ว่า ‘น้อยแล้ว’
หลังจากนั้นธรรมศรก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องร่วมวงกับคนรัก เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าการที่ตนเอาแต่ดื่มน้ำอัดลมในวงเหล้าไม่ได้ทำให้บรรยากาศกร่อยอย่างที่กังวลเลยสักนิด ความสนุกสนานยังทำหน้าที่ของมันได้ดีแม้เขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมมากนักก็ตาม
(มีต่อนะคะ)