Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」
Follow up ครั้งที่ 11
---OMIN---
ฤดูกาลสอบไฟนอลของผมจบลงในครึ่งเช้าของวันกลางสัปดาห์ แทนที่จะได้พักกายพักใจแต่กลับต้องลุยงานละครเวทีกันต่อในตอนบ่ายนั่นก็คือการแคสติ้งนักแสดงละครเวที คนรับผิดชอบหลักเรื่องภาพอย่างผมจึงจำต้องอยู่ในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ
มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าพวกแม่งไม่อยากได้ธรรมศรมารับบทตัวเอกของเรื่องแล้วให้ผมไปรบเร้าชวนมันมาเล่นให้ได้
“ทำไมต้องเป็นมันวะ” ผมย้อนถาม
“มึงโง่หรือมึงโง่คะเพื่อน บทเจคหล่อขนาดนี้ เท่ขนาดนี้ จะมีใครในมหา’ลัยนี้เหมาะสมเท่าศรอีกไหม” จี๊ดที่เป็นหัวหน้าฝ่ายแคสติ้งอธิบาย
ผมหน้างอ คนหวงแฟนอย่างผมมีหรือจะยิ้มระรื่นที่แฟนจะกลายเป็นจุดสนใจขนาดนั้น “มันไม่ว่างหรอก ช่วงปิดเทอมก็ต้องฝึกงาน ไหนจะ....”
“นี่ไม่ใช่เวลาหวง นี่เวลางานค่ะเพื่อน”
“เออ ๆ ไว้จะลองชวนดูละกัน”
“เดี๋ยวนี้!!”
ผมตั้งท่าจะแย้งแต่โดนยัยจี๊ดแทรกขึ้นมาก่อน “พวกถาปัดจะทำละครเวที ถึงจะเล่นคนละช่วงกับเราแต่จะประมาทไม่ได้ พวกนั้นอาจมาแย่งคนที่เราต้องการไป”
ผมกลอกตาไปมา เหนื่อยแทนจริตอินเนอร์ของเพื่อนสาวแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับงานมอบหมายชิ้นสำคัญนี้อีก
“ไป!!” ผมโดนออกคำสั่งเด็ดขาดก่อนได้ทันแย้งอะไรขึ้นมาเสียอีก
เพราะห้องชมรมไม่มีแอร์ ประตูที่เปิดออกเพื่อระบายอากาศยามบ่ายแก่จึงทำให้ผมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังออกมาถึงข้างนอกตรงทางเดิน เพียงแต่ไม่คิดว่าภาพที่เห็นจะทำให้ผมต้องหงุดหงิดใจ
ปัง!
“โทษที กะน้ำหนักมือพลาด” ผมพูดขอโทษเสียงแข็งหลังจงใจทุบกำปั้นใส่ประตูไม้แทนการเคาะเพื่อให้ทุกการเคลื่อนไหวหยุดลง
ไอ้ศรที่นั่งบนเก้าอี้กลมหัวล้านตรงกลางห้องช้อนตามองผมพร้อมกับไอ้เด็กรุ่นน้องผู้ชายที่ยืนเกาะหลังมันเหมือนหาที่กำบังก่อนที่หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงจะหันหน้ามามองผมตามสายตาของสองคนนั้น
“ไหนบอกว่ามีงานแคสต์นักแสดงไง”
“ก็มี แต่มีธุระที่นี่ แล้วนี่เล่นอะไรกัน”
น้องผู้หญิงหลีกทางให้ผมเดินเข้าไปหาศร ผิดกับน้องผู้ชายที่ยังยืนเกาะไหล่มันอยู่เพียงแต่ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วจ้องผมตาโต
“เด็กมันเล่นกัน มึงมีธุระอะไร”
ผมตวัดตามองเด็กคนนั้น เห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะผละออกจากคนของผม ผมจึงต้องเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ออกไป”
“ห๊ะ ครับ!?”
นอกจากจะไม่รีบออกห่างไอ้ศรแล้ว เด็กนั่นยังทำหน้าเหรอหราใส่ผมอีกด้วยจนน้องผู้หญิงที่เป็นคู่เล่นด้วยต้องสะกิดบอกแล้วดึงตัวออกไปเสียเอง
“อย่าแดกหัวเด็กชมรมกูนะเว้ยไอ้โอม...ไอ้เหี้ยศรก็ไม่ช่วยน้องเลยนะมึง” ไอ้หนึ่งว่าติดตลก ผมเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าในห้องยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ไอ้หนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลกันนักและยังมีอีกสี่คนที่ผมไม่รู้จักนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่บนพื้น
“แล้วธุระของมึงคืออะไร”
ผมหันมองคนอื่นในห้องชมรม เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจฟังจึงพูดออกไป “เพื่อนกูอยากให้มึงเล่นละครเวทีให้หน่อย”
“...”
“เอ่อ...กูบอกพวกนั้นแล้วนะว่ามึงยุ่ง ช่วงปิดเทอมก็ฝึกงาน ไม่ว่างมาเวิร์คชอปหรือซ้อมหรอก...แต่พวกมันก็อยากให้กูมาลองชวนดูก่อน”
“กูขอโทษว่ะ”
“ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามึงติดงาน” ผมเองก็ไม่อยากให้มันโชว์ตัวต่อหน้าสาธารณชนบ่อยนักหรอก แค่ตอนเล่นหนังสั้นให้พี่สัม ผมก็จะแย่แล้ว
“ไม่ใช่ คือกู...กูรับเล่นให้ถาปัดไปแล้ว”
“อะไรนะ!!” เหี้ย…
“รับตอนไหนวะ” ไอ้หนึ่งถามแทรกขึ้นมา
“ไอ้ฟ้ามาชวนกูตั้งแต่ก่อนสอบแล้ว”
“ฟ้าไหน ไอ้เท่าฟ้าอ่ะนะ”
“เออ เพื่อนถาปัดก็มีมันคนเดียวป่ะวะ
บ้าฉิบ! ผมไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ คิดไว้แค่ว่าคงต้องเตรียมใจหากไอ้ศรรับเล่นให้คณะตัวเอง ไม่คิดเลยว่ามันไปรับปากคนอื่นไว้ก่อนแล้ว แล้วยังไงล่ะทีนี้ คนทั้งคณะถาปัดคงดีใจจนเนื้อเต้น ธรรมศร คนดังแห่งวิศวะต้องไปอยู่ท่ามกลางดงนั้นนานอย่างน้อย ๆ ก็คงจะสองเดือนเต็ม
ผมยืนหน้าบูด อารมณ์เสียสุด ๆ
“โกรธที่กูปฏิเสธมึงเหรอวะ”
“เปล่า กูหวง” ผมพูดเสียงไม่เบาไม่ดัง มั่นใจว่าทุกคนในห้องน่าจะได้ยินเพราะเงียบกันมาก และเพราะอย่างนั้นไอ้คุณชายถึงได้แก้มแดง
“นะ ไหนบอกว่ามีแคสติ้งไง”
“กูฝากตากล้องเบอร์สองทำงานแล้ว” เพราะพวกมันให้กูมาทำงานที่สำคัญกว่า ถึงจะไม่สำเร็จแต่กูขออู้หน่อยแล้วกัน
ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างมัน รุ่นน้องในชมรมหลายคนจ้องมาที่ผมด้วยความสงสัยแต่ไม่มีใครกล้าถาม จะมีก็แต่ไอ้น้องผู้ชายคนนั้นที่จ้องมองเหมือนจะเอ่ยถามอยู่หลายรอบแต่ก็ถูกเพื่อนสาวห้ามเสียทุกครั้ง
นั่งเป็นเป้าสายตาให้เด็กมันมองได้ไม่กี่นาทีไอ้หนึ่งก็ลุกไปยืนหน้ากระดานแบล็คบอร์ดศรเลยได้ย้ายก้นไปนั่งบนโซฟาแทน โดยมีผมตามไปนั่งข้าง ๆ หลังพิงพนักยกแขนพาดโซฟาเหมือนโอบกลาย ๆ เห็นอีกคนนั่งตัวตรงเกร็งแข็งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว “เขินเหรอวะ”
“สัด นั่งดี ๆ กูเขินน้อง”
ผมไหวไหล่ ยิ่งมันบอกว่าเขินผมก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ อยากแกล้งด้วยส่วนหนึ่ง สำคัญคืออยากใกล้ชิดมากกว่า
ผมนั่งไถมือถือดูนั่นนี่ไปเรื่อยระหว่างที่ไอ้หนึ่งและรุ่นน้องอีกคนกำลังยืนพูดอยู่หน้าห้อง จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ดูเหมือนว่าการประชุมจะใกล้สิ้นสุดลง ผมสะกิดไอ้ศรให้หันมาสนใจกันเพื่อถามว่าเย็นนี้จะไปกินอะไรกัน
“ปีนี้พวกพี่ปีสามปีสี่ไม่ได้ไปด้วย พวกมึงก็ดูแลกันดี ๆ ล่ะ” หนึ่งกล่าวปิดท้ายประชุม
“ไม่มีใครไปสักคนเลยเหรอคะ” น้องผู้หญิงที่นั่งคู่ไอ้เด็กนั่นถามขึ้นมา
“น้องไข่มุกอยากให้ไอ้หนึ่งมันไปด้วยเหรอครับ” ไอ้ศรย้อนถาม ฟังจากเสียงแล้วรู้ในทันทีว่ามันกำลังชงคู่นี้อยู่
“ผมอยากให้พี่ศรไปด้วยครับ”
ผมหน้าตึง เด้งตัวจนมาอยู่ในระนาบเดียวกับคนรักเพื่อมองหน้าคนพูด ไอ้รุ่นน้องคนนั้นกำลังมองมาด้วยความหวัง
“กูไม่ว่างโว้ย อย่าเซ้าซี้นะไอ้รัก”
“ประชุมเสร็จแล้วใช่ไหม กลับ!” ผมคว้าแขนไอ้ศร ไม่อยากให้คุยกับเด็กนั่นนาน มันตัวเล็กก็จริงแต่ดูท่าแล้วไม่น่าจะเป็นเกย์ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชอบให้มันมาเง้างอดออดอ้อนแฟนผมแบบนี้
“เห้ยเดี๋ยวดิ!” ศรยื้อตัวไว้ “น้องมันแค่ชวนเองนะ”
“กลับ” ผมพูดเสียงนิ่งหน้านิ่ง ไม่มีรอยยิ้มจาง ๆ สักนิด และถ้าไอ้ศรรู้จักผมดี มันคงรู้ว่าไม่ควรดื้อกับผมในเวลานี้
ศรถอนหายใจก่อนตอบรับในสิ่งที่ทำให้ผมพอใจ “เออ ๆ กลับ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูกลับนะไอ้หนึ่ง”
“เดี๋ยวดิพี่ศร” ไอ้เด็กที่ชื่อรักอะไรนั่นร้องห้ามเสียงดังก่อนกึ่งวิ่งกึ่งคลานไปมุมห้องแล้วถือกล่องอาหารเข้ามาหาแฟนผม
“อาหารเย็นครับ แม่ผมทำมาให้”
ไอ้ศรตั้งท่าจะพูด ผมไม่รู้ว่ามันจะตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะมีคนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “แม่มึงเป็นคนญี่ปุ่นเหรอวะรักถึงได้ทำแต่อาหารญี่ปุ่นมาให้”
ไอ้เด็กปีสองยกมือเก้าท้ายทอยอย่างเก้อเขิน “เปล่าหรอกครับ แต่เห็นพี่ศรชอบกิน เลยให้แม่ทำให้”
ผมคิ้วกระตุก
“รับไปเถอะนะครับ ครั้งก่อน ๆ พี่ก็ไม่ได้กิน ผมเสียใจนะเนี่ย”
“เห้ยรัก” ไอ้หนึ่งโพล่งขึ้นมา คงเพราะรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของผม แต่ก็ยังไม่ทันไอ้ศรที่รับกล่องอาหารมาก่อน
“ฝากขอบคุณแม่มึงด้วยนะ แต่ครั้งหน้าไม่ต้องทำมาเผื่อกู เข้าใจไหม”
“พี่ศรอ่ะ” ผมละเกลียดเสียงเง้างอดของมันจริง ๆ
“กลับกันสักที” ผมสะกิดกึ่งลางกึ่งจูงแฟนสุดฮอตของตัวเองให้รีบออกจากห้องนี้
“เดี๋ยวครับ”
“อะไรอีกวะ!!” ผมเผลอหันไปตะคอกถามเสียงดังจนคนทั้งห้องสะดุ้ง ช่วยไม่ได้ที่กูระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ก็ไอ้เด็กนั่นมันยุ่งย่ามกับแฟนผมมากเกินไปแล้ว ถ้ารู้ว่าทุกครั้งที่มันมาชมรมแล้วต้องเจอเด็กนั่น มีหวังครั้งหน้าผมคงต้องตามมาด้วยเสียแล้ว
“เอ่อ...ผมอยากชวนพี่ศรไปทำรีวิวร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งด้วยกันครับ ได้ข่าวมาว่าอร่อยมาก พี่ศรน่าจะชอบ”
“ทำรีวิวของเพจมึงอ่ะนะ”
“มากเกินไปแล้วนะเว้ย” ผมทะลุกลางปล้อง อยากจะก้าวกลับไปกระชากแล้วพูดใส่หน้ามันดัง ๆ ว่าอย่ายุ่งกับคนของกูให้มากนัก แต่ไอ้ศรเอาตัวมาขวางไว้ราวกับรู้การเคลื่อนไหวของผม
“เออ ๆ บอกวันมาแล้วกัน ถ้าว่างก็จะไป” ไอ้ศรตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด แทนที่จะปฏิเสธออกไปให้ชัดเจนแต่กลับตอบรับน้ำใจ
เด็กที่ชื่อรักยิ้มกว้าง “ครับ ๆ”
“ไปได้แล้วไปไอ้ศร ไอ้โอมโมโหหิวละ” ไอ้หนึ่งพูดบอกเพื่อตัดบทสนทนาของศรกับเด็กนั่นทั้งที่รู้ดีว่าผมไม่มีทางโมโหหิวอย่างที่มันว่าได้
ผมนั่งฟึดฟัดอยู่หลังพวงมาลัยได้สักห้านาทีแล้วยิ่งเห็นไอ้คนข้าง ๆ เอาแต่ง่วนอยู่กับการเปิดกล่องอาหารออกดูแล้วก็ยิ่งหงุดหงิิด “โห ทำให้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”
ยิ่งได้ยินเสียงชื่นชมที่มีต่อเด็กคนนั้นผมก็ยิ่งหงุดหงิด เหลือบมองแวบหนึ่งเห็นเป็นข้าวหน้าปลาแซลมอนย่างชิ้นใหญ่พร้อมเครื่องเคียงมากมายที่ไม่เถียงเลยว่ามันถูกตกแต่งมาได้น่าแดกมากจริง ๆ
“มึงซื้อได้ด้วยแซลมอนย่างรึไง”
“หึงไร้สาระหน่าโอม มันเป็นน้อง”
“มึงเอ็นดูมัน”
ศรเหมือนนิ่งคิดไปชั่วครู่ “ก็...เอ็นดูนะ”
“แต่มันชอบมึง”
“เห้ย! ไม่มั้ง มันแค่เห็นกูเป็นไอดอล”
“ไม่รู้เว้ย มึงห้ามเข้าใกล้มัน ไม่ต้องไปกินอาหารตามที่มันชวนด้วย ปฏิเสธให้เด็ดขาดไปเลย” ไม่มั่นใจนักหรอกว่าเเด็กนั่นจะคิดเกินเลยกับศรหรือเห็นว่ามันเป็นไอดอลจริงอย่างที่มันบอก แต่กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ เพราะท่าทางวอแวกับไอ้ศรมากเป็นพิเศษนั้นบอกตามตรงว่าไม่น่าไว้ใจ
“อือ ใช้ได้เลยแหะ”
ผมถอนหายใจดัง ก่อนออกรถ “อย่าแดกเยอะ มึงต้องไปกินข้าวกับกูนะ” ถ้าแดกอาหารกล่องนั้นจนอิ่มแล้วข้าวเย็นกูล่ะ จะให้กูไปกินคนเดียวนี่ไม่ยอมเด็ดขาด
“อะ” เสียงของมันดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของปลาแซลมอนย่างลอยมาแตะจมูก ผมจึงพบว่าตอนนี้ไอ้ศรกำลังยื่นช้อนที่มีอาหารพูนสูงมาจ่ออยู่ที่ปากผมเรียบร้อยแล้วด้วย “กินดิ กูป้อน”
ผมขมวดคิ้ว หันมองคนที่บอกว่าป้อนสลับกับถนน ตอนผมป่วยอ้อนให้มันป้อนแทบตายมันยังไม่ทำ บอกว่าผมแค่ไข้ขึ้นไม่ได้เป็นง่อย แดกเองไม่ได้ก็ตายไปซะ ทำไมตอนนี้ถึงอยากป้อน
“ไม่ช่วยกูกิน ถ้ากูกินหมดแล้วอิ่มจะมาโทษกูไม่ได้นะ”
“ทำไมมึงถึง...” ...ป้อน
“ก็มึงขับรถอยู่ กินเองได้ที่ไหน อะ อ้าปากสิวะ กูเมื่อยแล้วเนี่ย”
ผมยิ้มมุมปากก่อนอ้าปากงับเอาอาหารเข้าปาก อืม...รสชาติดีใช้ได้อย่างที่มันรำพึง แต่ดียิ่งขึ้นเพราะเมียป้อน
“น้องมันทำมาให้มึงบ่อยเหรอ” ผมถามหลังจากกินไปได้สองสามคำ
“ทุกครั้งที่ประชุมเสร็จ ทุกคนในชมรมก็ได้อาหารจากน้องมันเนี่ยแหละประทังชีวิต...แต่กูยังไม่เคยกินเลย รีบออกมาเพราะจะไปกินข้าวกับมึงเนี่ยแหละ”
“หึ น่ารักนะมึงเนี่ย”
“พูดมาก! แดก ๆ ไป” ผมโดนยัดข้าวใส่ปากเพราะความพยายามในการกลบเกลื่อนความเขินของมัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมากจริง ๆ
ช่วยไม่ได้ที่เวลาอาหารเย็นของผมกับศรต้องเลื่อนออกไปก่อนเพราะผมถูกเพื่อน ๆ ตามตัวกลับไปรายงานผลของ ‘งานมอบหมาย’ ชิ้นสำคัญ ทุกคนกรี๊ดเสียงดังทันทีที่เห็นไอ้ศรเดินตามหลังผมเข้าห้องออดิชั่น
“โอม มึงทำได้จริง ๆ กูไม่ผิดหวังในตัวมึงเลยเพื่อนรัก” ยัยจี๊ดรีบพุ่งเข้ามาจับมือผมแทนคำขอบคุณ “ศร จี๊ดดีใจมาก ๆ เลยนะ” ผมรีบขยับตัวไปขวางเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเปลี่ยนเป้าหมายไปหาศรบ้าง
“ไม่ต้องดีใจหรอกจี๊ด”แม้จะเป็นคำพูดที่ผมบอกเพื่อนสาวแต่ทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินและทำหน้าสงสัยเช่นเดียวกับเจ้าตัว
“หมายความว่าไงไอ้โอม” ยัยจี๊ดแหวขึ้นทันที
“เอ่อ...ผมขอโทษนะที่ไม่สามารถเล่นละครเวทีให้นิเทศฯ ได้” จบคำเฉลยของศร ทุกคนต่างพากันร้องโอดครวญ
“ทำไมล่ะศร เพราะไอ้โอมใช่ไหม มันหวงใช่ไหมศรเลยไม่รับเล่น”
“อ้าวเกี่ยวไรกับกู”
“ไม่เกี่ยวกับโอมหรอกครับ พอดีผมรับเล่นให้ถาปัดไปก่อนแล้วอ่ะ”
“นั่นไง! กูว่าแล้ว ไอ้โอมแม่งช้าอ่ะ”
“ถ้ามึงจะโทษว่ากูช้า ก็คงต้องโทษตัวเองที่ใช้กูช้าไปหลายวันเลยแหละ”
“ศรอ่าาาาา”
“อย่ามาเง้างอดแฟนกู” ผมว่าไอ้จี๊ด วันนี้ทนฟังคนทำเสียงแบบนี้ใส่แฟนมาหลายครั้งแล้ว กูจะไม่ทนอีก
“ชิส์ ไปทำงานเลยมึงอ่ะ หายหัวไปซะนานนี่อู้ใช่ไหม ไปเลยไป!” ไอ้จี๊ดกำลังพาล แต่ผมไม่ถือสาเพราะมันพูดเรื่องจริง ผมบอกให้ศรไปนั่งรอที่มุมห้อง คาดว่าอีกไม่นานงานวันนี้ก็คงเลิก
ผมกลับไปประจำตำแหน่งเดิมคือถ่ายรูป หน้าที่ของฝ่ายภาพในวันนี้คือเก็บทั้งบรรยากาศงานและถ่ายรูปเดี่ยวของผู้เข้าสมัครทุกคนทั้งก่อนเข้าร่วมและหลังจากที่เพื่อนส่งสัญญาณว่าน่าจะเข้าเค้า โดยให้โพสท่าตามอินเนอร์ของตัวละครที่เขาหรือเธอจะได้รับเพื่อนำรูปไปร่วมกันตัดสินพร้อมกันทีหลัง
ซึ่งผมได้รับหน้าที่หลัง มันทำให้ผมต้องถูกเฉดหัวออกไปอยู่ในห้องเก็บตัวอีกห้องตามลำพังกับคนที่น่าจะผ่านการคัดเลือก...และห่างจากไอ้ศร
ทั้งที่ความจริงแล้วควรจะมีแอคติ้งโค้ชอยู่กับผมในห้องนี้ด้วยแต่ก็ไม่มี แล้วจะไม่ให้คิดได้อย่างไรว่าผมกำลังโดนยัยจี๊ดที่จี๊ดสมชื่อกำลังแกล้งผมในเรื่องนี้ คงเป็นเพราะผมทำงานมอบหมายไม่สำเร็จผมจึงต้องระเห็จมาอยู่คนเดียวและทิ้งศรให้พวกมันได้แทะโลมกันอยู่ข้างนอก
คนแล้วคนเล่าที่ผ่านเข้ามาในห้องของผมมีครบทุกตัวละคร ผมต้องจำคาแรคเตอร์ให้ได้และโค้ชคนเหล่านั้นให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น แต่นั่นก็ไม่ยากเท่ากับการรับมือกับเธอคนนี้...คนที่ผมเจอที่ผับในวันวาเลนไทน์
ย้อนความสักเล็กน้อย วันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งศรให้อยู่คอนโดคนเดียว มีใครที่ไหนอยากจะทิ้งคนรักไว้หลังจากที่เรากอดก่ายละเลงบทรักกันอย่างเร่าร้อนอย่างนั้นหรือ หากไม่ติดว่ารับปากแม่ไว้แล้วว่าจะกลับบ้านเพราะน้อง ๆ เองก็กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในวันแห่งความรัก ผมก็คงนอนกอดมันให้ชื่นใจไปเสียแล้ว ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นในตอนดึกที่เพื่อนเอาแต่รบเร้าให้ผมออกไป ไอ้เต๋าเอาเรื่องศรมาล่อบอกว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฟังแต่จริง ๆ แล้วไม่มี ผมถูกหลอกให้ออกไปทั้งที่เบื่อแสงสีจะแย่ แต่ก็ต้องขอบคุณพวกมันที่ชวน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้ว่าแฟนผมออกไปอวดโฉมอยู่ที่นั่นด้วย
ผมไม่ได้ตามไปนั่งกับศรให้อีกฝ่ายรำคาญใจ ในโต๊ะของเพื่อนผมก็ไม่มีผู้หญิงสักคน เราอยู่กันอย่างชายโสด มีผมเพียงคนเดียวที่ใส่เสื้อสีดำ แต่กลับกลายเป็นคนที่ดึงดูดเธอเข้าหา...เธอคนที่ใส่เสื้อสีขาว
และตอนนี้เธอก็กำลังยืนยิ้มด้วยท่าทางยั่วยวนที่ไม่ต่างจากคืนนั้นเลยสักนิด แม้จะไม่ได้อยู่ในชุดรัดรูปก็ตาม
“เข้าไปยืนหน้าฉากนะครับ” ผมบอกเรียบ ๆ ไม่แสดงออกว่ารู้จักหรือจำเธอได้
“แย่จัง จำกันไม่ได้เลยเหรอคะโอม”
“คุณ...” ผมเอ่ยด้วยท่าทางไม่มั่นใจ ว่ากันตามตรงแล้วผมเองก็จำชื่อเธอไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ
“ใจร้ายจัง ลืมกันได้ลงคอ”
“ขอโทษครับ” ผมว่า แต่ไม่ยิ้ม รักษามารยาทด้วยส่วนหนึ่ง แต่ไม่คิดสานต่อมากมายนัก
“มิ้นค่ะ มิ้นที่เจอกันคืนวันวาเลนไทน์”
“อ๋อ ขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ มีเวลาอีกเยอะให้เราทำความรู้จักกันใหม่ได้” ผมไหวไหล่ ไม่สนใจท่าทีทิ้งสายตาของเธอแล้วยังเร่งให้สาวเจ้ารีบไปยืนหน้าฉากเพื่อไม่ให้คนต่อไปที่จะมาถึงต้องรอนาน
ผมไม่รู้ว่าผมตายด้านกับผู้หญิงไปแล้วหรือแท้ที่จริงผมไม่เคยสนใจพวกเธอเลยกันแน่ บางทีผมอาจจะเป็นเกย์มาตั้งแต่แรก แต่ผมไม่ได้คิดหาคำตอบมากนัก เพราะงานต้องดำเนินต่อ
“ดีครับ” ผมว่า ตัวละครที่เธอได้รับมีคาแรคเตอร์ค่อนข้างชัดเจน ไม่ซับซ้อน เธอจึงแสดงอินเนอร์ออกมาได้ดีโดยที่ผมไม่ต้องโค้ชใด ๆ ทั้งสิ้น
“เปลี่ยนท่าครับ” ผมที่ยังจ้องมองผ่านเลนส์กล้องร้องบอก คราวนี้เธอมีสีหน้ากังวลและอยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการเก้ ๆ กัง ๆ ตื่นกล้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“โอมว่าท่าไหนดีคะ มิ้นคิดไม่ออกแล้ว”
“มายาเป็นคนเย่อหยิ่ง ไว้ตัวแต่ก็ยั่วยวน เวลาเจอผู้ชายเธอดูเหมือนจะเล่นตัวนิด ๆ ทั้งที่ทิ้งสายตาให้เขาก่อน คุณลองยืนหันข้าง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองหางตาด้วยท่าทีสนใจดูนะครับ” ถ้าเป็นภาพเคลื่อนไหวจะมองเห็นความหลุกหลิกของสายตา แต่เพราะนี่เป็นภาพนิ่ง เธอจึงอาจแสดงออกมาได้ยากกว่า
“แบบนี้เหรอคะ”
“เชิดหน้าเยอะไปครับ”
“ได้ไหมคะ”
“ต่ำไปครับ”
“เห้อ” เธอถอนหายใจยาว “ยากจังเลยค่ะ มายานี่เข้าใจยากจัง เป็นมิ้นนะจะอ่อยตรง ๆ ไม่เล่นตัวสักนิด”
ผมผละออกจากกล้องแล้วเดินเข้าไปหาโดยไม่สนใจสิ่งที่เธอเพิิ่งพูดเมื่อครู่ “ขออนุญาตนะครับ” เอ่ยบอกแล้วขยับองศาหน้าให้ได้มุมที่คิดว่าดูดีที่สุด ใช้ปลายนิ้วมือแตะคางมนให้เชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนผละออกห่างเพื่อมอง เมื่อองศาหน้าเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงบอกให้เธอค้างที่ท่านั้นไว้
“ดีครับ คราวนี้ปรายตามอง” ผมบอกเมื่อกลับมายืนหลังกล้องแล้ว “เม้มปากนิดนึงครับ ดีครับ”
เราถ่ายไปอีกหลายรูปผมก็บอกให้เธอพอ มิ้นเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมยิ้มหวาน “โอมใช้น้ำหอมอะไรเหรอคะ”
“ทำไมครับ”
“เมื่อกี๊นี้...หอมดีนะคะ มิ้นชอบ” เธอขยิบตาให้ขณะที่ผมถอยห่างออกมาหนึ่งก้าวเพื่อเปิดทางให้เธอเดินออกไปจากห้อง ผมถอนหายใจก่อนหันมองตามเธอไปเพื่อดูว่าคนใหม่เข้ามาหรือยัง
...แต่กลับพบว่าธรรมศรยืนอยู่ตรงนั้น
ศรหลีกทางให้หญิงสาวเดินออกไปง่าย ๆ โดยไม่เล่นหูเล่นตาหรือยิ้มหวาน ๆ ให้อย่างที่ชอบทำ
“มะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ถ้ามาแล้วเห็นอะไรที่ไม่ควร กูจะได้อธิบายถูก
“เพิ่งมา...กูหิวแล้ว”
“เห้ย โทษที ๆ กี่โมงแล้ววะ” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา อีกสิบนาทีจะหนึ่งทุ่ม การแคสติ้งยืดเยื้อกว่าที่คิดคงเพราะว่าคนมาสมัครกันเยอะ และแต่ละตัวละครต่างก็ใช้เวลานานในการคัดสรร
“กูแค่จะมาบอกว่ากูจะออกไปซื้อข้าวนะ เดี๋ยวซื้อเผื่อเพื่อน ๆ มึงด้วย” พูดจบมันก็รีบหันหลังเดินออกไป แม่งคงหิวมากจริง ๆ หน้ามันนิ่งมากจนผมกลัวมันโกรธที่ผมทิ้งมันไว้นานเกินไป
“ไม่ต้องศร ไม่ต้อง” ผมคว้ามือมันไว้ “เห้ยพวกมึง อีกนานไหมวะ”
“น่าจะ อย่างต่ำก็ชั่วโมงนึง” ใครบางคนตอบ
“ไม่หิวกันเหรอวะ ให้สวัสดิฯ ไปซื้อข้าวดิ๊ ซื้อมาเผื่อแฟนกูด้วย” แทนที่เพื่อนจะรีบขอความเห็นเรื่องเมนูอาหารแต่กลับร้องโห่แซวกูเรื่องที่เรียกศรว่าแฟน กูจะบ้าตาย
“ไม่ต้อง กูไปเอง” มันบอกผมพร้อมกับถอนมือออก “เดี๋ยวผมไปช่วยทีมสวัสดิฯซื้อข้าวเองครับ”
“ศร” ผมคว้ามือมันไว้อีกครั้ง เห็นมึนตึงแปลก ๆ ก็อยากจะถามให้แน่ใจว่าไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า
“ไม่ต้องมีใครไปไหนทั้งนั้นแหละ โทรสั่งเอา ขืนไปยืนรอข้าวตามสั่งคงไม่ได้กินชาตินี้แน่” ยัยจี๊ดตะโกนขึ้นมา ซึ่งหลายคนเห็นด้วย
“มึงโกรธอะไรกูรึเปล่า”
“...”
“ไม่พอใจที่กูทิ้งให้มึงหิวเหรอ” ผมโยนหินถามทาง
“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่หิว ไม่ได้เคืองอะไรมึง”
“ไอ้โอมจะแดกอะไร!...ศรของจี๊ดจะทานอะไรดีคะ” ผมกลอกตา ยัยนี่สองมาตรฐานชัด ๆ
“มึงกินอะไร” ผมถามศร มันไม่ตอบ แต่ถามเพื่อนผมกลับว่าสั่งอะไรกัน พอได้ความว่าสั่งพิซซ่า มันก็ออเดอร์สปาเก็ตตี้เพิ่มโดยห้ามไม่ให้ฝ่ายสวัสดิการใช้งบกลางสำหรับอาหารในส่วนของมัน
“ไปทำงานต่อไปมึงอ่ะ”
“เข้าไปกับกูไหม” ผมถามกึ่งอ้อน
“ไปเถอะ ถ้าอาหารมาแล้วกูจะเอาเข้าไปให้” ศรดันตัวผมให้กลับเข้าไปในห้องเดิมแต่ผมขืนตัวไว้
“ไม่โกรธแน่เหรอวะ”
“ถ้าไม่เข้าไปตอนนี้กูจะแดกหัวมึงแทนข้าวแน่” ไอ้ศรเตะก้นผมไม่แรงนัก
“แดกหัวอย่างอื่นของกูแทนได้ป่ะ” ผมว่าทีเล่นทีจริง
“ไอ้เหี้ย!!”
พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 12
------------------------------------------------------------
#โรคประจำใจ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์