สวัสดีค่ะ มาลงตอนต่อไปแล้วค่ะ อย่างที่บอกช่วงนี้จะหายไปนานหน่อยนะคะ เพราะเนื่องจากเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่อยู่ ปรับตัวเยอะมากและเครียดมากจนดราม่าหลายยก ซึ่งไม่ต่างจากนิยายตอนนี้เลย ฮ่าๆ ถ้าหากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ตรงนี้นะคะ อยู่เป็นกำลังใจกันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งกัน ไว้เจอกันค่ะ รัก ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ
+++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 58 Part of the end.
The world slows down, but my heart beats fast right now
โลกเริ่มหมุนช้าลงๆ แต่ใจของฉันเต้นแรงขึ้นในตอนนี้
I know this is the part, where the end starts
ฉันรู้ว่านี่คือ ฉากที่เป็นจุดจบได้เริ่มขึ้น
ตื่นมาอีกทีก็พบว่าพิธานนอนอยู่ข้างๆแล้วด้วยสภาพชุดนอนแต่กลิ่นเหล้าหึ่งจนแทบไม่ต้องไปดมใกล้ๆ พระพายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่า เป็นวันใหม่ไปเสียแล้ว พระพายเองก็หลับอย่างยาวนานและวันนี้เป็นวันหยุดยาววันแรกเสียด้วย ด้านพิธานยังคงหลับอยู่อย่างนั้นไม่ขยับตัวใดๆเลยสักนิด
พระพายจ้องมองพิธานที่กำลังหลับลึกด้วยความรู้สึกบางอย่าง อาจจะเพราะเมื่อคืนรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นักที่พิธานผิดนัดแต่คิดดูอีกทีมันก็ต้องมีบางทีที่พิธานอาจจะทำเช่นนี้ เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วก็รีบลุกขึ้นมาเพราะนี่เป็นวันหยุดวันแรก อันดับแรกจึงมองไปยังกองเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก รวมถึงข้าวของที่วางไม่ค่อยเป็นระเบียบมากนัก พระพายจึงเริ่มที่จะเก็บเสื้อผ้าของตัวเองและพิธานไปส่งซัก ก่อนที่จะกลับมาเก็บของให้เรียบร้อย รวมถึงทำความสะอาดนั่นนี่ไปเรื่อยๆอย่างเบามือเพราะไม่อยากกวนพิธานที่กำลังหลับอยู่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ พระพายจัดการทำความสะอาดเสร็จหมดแล้ว ทั้งห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่นและห้องแต่งตัว จะเหลือแค่ที่เดียวคือห้องนอนซึ่งพระพายไม่ได้ทำมันเนื่องจากอาจจะทำพิธานตื่นเอาได้ จังหวะนี้จึงไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะหาอะไรกินและมานั่งคิดแผนว่าจะทำอะไรในวันหยุดนี้
เวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายแก่ๆ พระพายตั้งใจจะโทรสั่งอาหารจากไลน์แมนมาแต่ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีอาหารที่ซื้อมาเมื่อคืนที่ไม่ได้กินและแช่เก็บไว้ในตู้เย็นอยู่ พระพายจึงหยุดที่จะโทรสั่งและนำอาหารเหล่านั้นมาอุ่นแทน ระหว่างนั้นเอามีเสียงกุกกักจากห้องนอน เป็นการบอกว่าพิธานน่าจะตื่นแล้ว
เมื่อคืนนั้นพิธานไปดื่มกับเพื่อนๆมา พระพายเองก็เข้าใจว่าพิธานต้องมีเวลาส่วนตัวบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ออกจากความคิดไม่ได้คือทำไมถึงเอาแต่รู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าทำไมหมู่นี้แค่ในระยะเวลาไม่นานนั้นเหมือนเขาและพิธานจะห่างเหินกันนิดๆ หรือเพราะว่าที่ผ่านมาเอาแต่ตัวติดกันตลอด หรือนี่จะเรียกว่าหมดโปรโมชั่นของความรักอันหอมหวานกันแล้ว
พระพายที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนยังไม่อาจจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ถึงเรื่องนี้ แต่เรื่องการหมดโปรโมชั่นนั้นมักจะได้ยินจากเพื่อนๆบ่อย ฝั่งที่จะบ่นก็ไม่ใช่ใครคือเหล่าเพื่อนผู้หญิงทั้งนั้น บ่นว่าแฟนเปลี่ยนไปบ้าง ไม่เอาใจเหมือนตอนคบกันใหม่ๆ ไม่ดูแลไม่ใส่ใจหรืออะไรก็แล้วแต่ที่คิดว่ามันไม่เหมือนแต่ก่อน พระพายคิดเสมอในตอนนั้นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะต่างคนต้องมีเรื่องที่ต้องทำและเข้าใจถึงชีวิตของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน แค่เรียนหนังสือทำงานส่งอาจารย์ก็กินเวลาในแต่ละวันไปมากพออยู่แล้ว
แต่มาวันนี้พระพายเริ่มเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงเหล่านั้นมากขึ้น การที่ต้องมานั่งดูคนที่เรามีความผูกพันค่อยๆเปลี่ยนไปนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอาเสียเลย จากที่เคยได้รับสิ่งๆหนึ่งมาเสมอแต่จู่ๆก็กลับไม่ได้รับมันเหมือนดั่งวันก่อน มันช่างหน่วงอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ
“ทำไมตื่นไว?” พิธานที่ผ่านการล้างหน้าแปรงฟันมาแล้วเดินเข้ามาในครัว ในขณะที่พระพายกำลังยืนอยู่หน้าเตาไมโครเวฟ
“ตื่นตอนเที่ยงแล้ว ไวตรงไหน?” พระพายพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่จะจ้องมองเตาไมโครเวฟต่อ
“เป็นอะไร?” พิธานถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เป็นอะไร? เปล่านี่”
“ท่าทางแปลกๆ”
“คิดมาก” พระพายว่าก่อนที่เสียงเตือนร้องขึ้นว่าอาหารอุ่นเสร็จแล้ว จากนั้นก็อุ่นอาหารจานสุดท้ายที่เหลือ
พิธานไม่พูดอะไรอีกและเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าว พระพายยกอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะ ตักข้าวให้ตัวเองและพิธาน นั่งกินเงียบๆเพราะพระพายไม่อยากพูดอะไรออกมาในตอนนี้ ราวกับกำลังสับสนว่าตอนนี้ต้องรู้สึกอย่างไร โกรธที่ผิดนัดเมื่อคืนหรือจะต้องน้อยใจดีแต่สุดท้ายก็คิดว่าความเงียบน่าจะดีที่สุด
ความเงียบในครั้งนี้ผิดแผกแปลกไปจากทุกครั้ง ราวกับมีเรื่องอะไรขบคิดในใจอยู่ ทั้งสองใช้เวลาไม่นานนักในการนั่งกินข้าวด้วยกัน
“วันนี้จะไปไหนรึเปล่า?” พิธานเอ่ยถามขึ้น
“ผมเหรอ ไม่รู้เหมือนกัน คุณล่ะ?”
“ฉันต้องเข้าไปจัดการเรื่องานต่อ เรื่องที่จะไปที่บ้านฉันบอกพี่เพลงแล้ว วันที่หนึ่งจะมีจัดปาร์ตี้กันในบ้าน” พิธานตอบ
“วันที่หนึ่งเหรอ ก็ดีเหมือนกันหลังเคาท์ดาวน์น่าจะดีกว่า”
“คงจะเย็นๆเกือบค่ำและคุณแม่อยากให้นอนค้าง” พิธานบอกพลางจ้องมองพระพายที่กำลังเก็บจาน
“ได้สิ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถ” พระพายเองก็เห็นด้วย อีกอย่างการนอนค้างจะได้กระชับความสัมพันธ์กับธนิตให้มากขึ้นด้วย
“ฉันคงต้องทำงานยาวจนถึงวันที่สามสิบเอ็ด” พิธานว่าพลางช่วยพระพายที่ยกจานไปล้าง
“เหนื่อยไหม?” พระพายถามพลางหันไปสบตาพิธานที่มองอยู่
“เหนื่อยสิ”
“เดี๋ยววันที่หนึ่งก็ได้พักแล้ว ทนหน่อยนะ” พระพายว่า รู้ดีว่าพิธานเองก็ทำงานหนักในแบบของตัวเอง
“ฉันไปอาบน้ำก่อน ต้องรีบไปแล้ว” พิธานไม่ได้ช่วยล้างต่อ
“รีบไปเถอะ” พระพายไม่ว่าอะไรและหันหลังล้างจานต่อไป แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงกอดจากด้านหลัง พิธานที่บอกว่ารีบไปอาบน้ำกลับยืนกอดอยู่ข้างหลัง
“ไหนบอกว่ารีบ”
“ฉันไม่รู้ว่านายเป็นอะไรและหวังว่าจะบอกฉันตรงๆ” พิธานบอกเช่นนั้น
“คุณคิดมากอะไรล่ะนี่ ไปอาบน้ำได้แล้ว” พระพายว่าพลางหัวเราะนิดๆ พิธานจึงผละออกและเดินกลับไปยังห้องนอน
พิธานใช้เวลาไม่นานนักในการอาบน้ำแต่งตัวและรีบออกจากห้องโดยที่พระพายมาโบกไม้โบกมือให้ก่อนออกไป
กลับมาสู่ความเงียบเหงาอีกครั้ง ทั้งที่ปกติแล้วพิธานจะรู้เสมอว่าเขาคิดอย่างไร อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าเมื่อวานผิดนัดกัน ทำไมถึงไม่รู้ตัวในเรื่องนี้และทำไมครั้งนี้ถึงเลือกจะถามกันเช่นนี้
วันนี้พิธานทำงานแต่พระพายดันหยุดงานแล้ว คิดไม่ออกจริงๆว่าจะทำอะไรดีในช่วงวันหยุดอย่างนี้เพราะเป็นวันเสาร์อีกทั้งคนบางส่วนเลือกที่จะไม่ออกไปต่างจังหวัดก็คงต้องมีบ้างอย่างแน่นอน
สรุปกับตัวเองว่าคงต้องไปหาเก้า แน่นอนว่ารายนั้นก็พร้อมที่จะออกไปเที่ยวกับพระพายอยู่แล้ว พระพายออกจากคอนโดไปหาเก้าที่ห้อง ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงห้องของเก้า
“เข้ามาๆ” เก้าเปิดประตูให้พระพายเข้าไป
“อาบน้ำยัง?” พระพายถาม
“แต่งตัวเพิ่งเสร็จ” เก้าว่า
“เราจะไปไหนก็กันดีวะ?” พระพายถามพลางนั่งลงบนเตียงของเก้า
“กูก็ไม่รู้ นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าคนเยอะอยู่รึเปล่า”
“รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่นะ คงจะมีคนออกจากที่นี่ไปพอสมควรแล้วล่ะ”
“สรุปคืนสิ้นปีจะเคาท์ดาวน์กับกูใช่ไหม?” เก้าถามยืนยันอีกครั้ง
“ไปที่ห้องคุณพิธาน เคาท์ดาวน์กันที่นั่น ชวนคุณไคด้วย”
“กูก็คิดว่าจะไปกับกูสองคนซะอีก”
“ไม่ดีกว่า คิดว่าคุณไคเองก็อยากอยู่กับมึงเหมือนกัน ก็เลยอยู่กันให้ครบนั่นแหละ”
“คิดแทนกูไปอีก” เก้าส่ายหน้านิดๆ
“เอาน่า อยู่ด้วยกันเยอะๆน่าจะสนุกกว่า”
“ทั้งที่ตั้งใจชวนมึงไปคอนเสิร์ตแท้ๆ...ช่างมันเถอะ ว่าแต่วันที่หนึ่งมึงจะไปบ้านแฟนมึงใช่ไหม?”
“ใช่ วันที่หนึ่งไปบ้านคุณพิธาน”
“ปาร์ตี้ของที่บ้านมันเหรอ?”
“ใช่ ปาร์ตี้ครอบครัว” พระพายบอกพร้อมสีหน้านิ่งเฉย เก้าจับสังเกตได้ในทันที
“ทำไมทำหน้าหมาป่วยขนาดนั้น?”
“หมาป่วยนี่หน้ามันเป็นยังไงเหรอ?”
“ก็หน้าเซื่องๆซึมๆที่มึงคิดว่ามันคือหน้านิ่งของมึงนี่แหละ”
“กูเปล่าซะหน่อย” พระพายปฏิเสธทันที
“พาย กูเพื่อนมึงมานานแล้วนะ คิดว่ากูไม่รู้จักมึงเหรอ?”
“เออ รู้ว่ามึงรู้จักกูดี”
“ไหน มีอะไรก็เล่ามา” เก้าดึงพระพายให้มันมาประจันหน้า พระพายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย
“กูว่ากูหมดโปรโมชั่นแล้วล่ะ” พระพายเอ่ยขึ้น
“โปรโมชั่นอะไรของมึง?”
“ก็โปรโมชั่นคู่รักหวานชื่นไง”
“จู่ๆทำไมมึงถึงคิดอะไรแบบนั้นได้ล่ะ?” เก้าขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจมากนัก
“ก็..คุณพิธานเหมือนจะเปลี่ยนไป ห่างกันมากขึ้น ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ก็รู้หรอกว่างานยุ่ง แต่กูรู้สึกแปลกๆ”
“เปลี่ยนยังไง แบบไม่สนใจมึงเหรอ?”
“อธิบายยากว่ะ เวลาเราไม่ตรงกันเลยและเขาก็ลืมที่นัดกันไว้ว่าจะกลับมากินข้าวด้วยกัน ถ้าลืมเพราะทำงานก็พอเข้าใจแต่นี่ลืมแล้วไปกินเหล้ากับเพื่อนนี่สิ” เก้าจ้องพระพายที่กำลังมองไปยังที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่หน้าเขา
“พาย...มึงรู้ใช่ไหมว่านี่เป็นการคิดเล็กคิดน้อยมาก”
“ก็เพราะรู้ไง กูไม่อยากเป็นแบบนี้เลย กูกลายเป็นคนงี่เง่าแบบไม่มีที่มาที่ไป ปกติมีอะไรก็พูดกันแต่ครั้งนี้ก็กลับไม่อยากบอกเขา อยากให้เขาคิดได้เองว่าเขาทำอะไรผิดไว้กับกู”
“มึงอาการหนักมากพาย” เก้าได้แต่ส่ายหน้า
“เก้า กูต้องทำไงวะ กูเหมือนแฟนสาวในละครทีวีที่มานั่งน้อยใจแฟนมาก” พระพายถอนหายใจออกมา
“มึงลองย้อนนึกสักหน่อย คิดในมุมกลับ ถ้ามึงเป็นพิธานและพิธานเป็นมึง มันจะเป็นแบบไหน?” พระพายนึกภาพตามที่เก้าบอก
“กูจะรู้สึกว่าไม่เข้าท่า แค่เรื่องแค่นี้เอง” พระพายว่า
“ถูกแต่ไม่ทั้งหมด ถูกตรงที่เรื่องที่มึงคิดมันไร้สาระไปสักหน่อยแต่ผิดตรงที่พิธานเองก็ไม่สมควรที่จะลืมนัดมึงแบบนั้นและไม่ขอโทษอะไรเลย นั่นแหละทำให้มึงคิดมากอยู่แบบนี้”
“อยากถามว่าเมื่อคืนลืมเหรอ แต่ถ้าถามออกไปกูก็เหมือนฟื้นฝอยหาตะเข็บเพราะเรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“และมึงรู้สึกยังไงที่มันดูเปลี่ยนไป แค่หมดโปรโมชั่นหรือมึงคิดมากกว่านั้น” พระพายเงียบไปอีกครั้ง
“คิดหลายเรื่องเลยมึง เบื่อกูแล้ว หรือไปเจออะไรที่น่าสนใจกว่า แต่กูก็ยังเชื่อใจเขาข้อหลังเลยไม่มีน้ำหนักให้คิดมากพอ แต่เรื่องเบื่อนี่ก็คิดๆอยู่”
“ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่ากันเลยสิท่า?” เก้าหรี่ตามองอย่างจ้องจะเอาคำตอบ
“เออ ไม่ได้ทำเลย”
“มึงอึดอัดตัวด้วยรึเปล่า มันเลยทำให้มึงคิดมาก” เก้าหัวเราะนิดๆ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกมึง” พระพายส่ายหน้า
“นอกจากนั้นล่ะ?”
“อย่างอื่นเหรอ ดูเหมือนเครียดๆ คิดเรื่องอะไรสักอย่างไม่รู้เรื่องงานหรือเรื่องอะไร”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งคิดมาก รอดูตอนไปบ้านมันอีกทีว่าท่าทียังไง ตอนนี้มึงกับกูไปเที่ยวกันดีกว่า”
“เออ ค่อยว่ากัน แล้วมึงอยากจะไปไหน?”
“ไปห้าง ไปโอเชี่ยนเวิลด์ ไปดูปลา หาอะไรกินกัน”
“เอาอย่างนั้นเลย?”
“เออสิ!”
“ก็ได้ ไปกัน”
เมื่อตกลงได้อย่างนั้นแล้วทั้งสองคนก็ออกจากห้องไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองซึ่งมีครบทุกอย่างที่เก้าอยากไป พระพายเองก็อยากหาอะไรทำจะได้ไม่ต้องคิดอะไรให้ฟุ้งซ่านเกินกว่าเหตุแล้ว
ใช้เวลากันในนั้นทั้งวันอย่างที่เก้าบอก ตั้งแต่เดินดูข้างของหลลากหลายอย่าง โผล่เข้าไปในโรงหนังดูหนังไปหนึ่งเรื่อง จากนั้นก็หาอะไรกินกันอย่างอร่อยปากจากนั้นก็ไปยังโอเชี่ยนเวิลด์เพื่อดูสัตว์ทะเลและโชว์เล็กๆน้อยๆในนั้น เรียกได้ว่าไม่มีเวลาไม่คิดเรื่องอะไรเลยเพราะเก้าลากไปปลากมาจนต้องจดจ่อแต่เก้าเท่านั้น
“ค่ำแล้วเหรอวะ?” เก้าที่หิ้วถุงหนังสืออกจากร้านหนังสือและพระพายเองก็มีหนังสือการ์ตูนติดมือมาเช่นกัน
“เออสิ เหนื่อยจนไม่รู้จะเหนื่อยยังไงแล้ว” พระพายบ่น
“ไปกินอะไรกันก่อนกลับไหม?”
“ก็ต้องอย่างนั้นแหละ เพราะคุณพิธานไปกินข้าวกับผู้ใหญ่” พระพายว่า เมื่อชั่วโมงที่แล้วพิธานส่งข้อความหาพระพายว่าไม่ต้องรอกินข้าวเพราะต้องไปกินข้าวผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนอะไรสักอย่างซึ่ก็ไม่ค่อยเข้าใจมากเท่าไหร่นัก
“ไปเถอะมึง กูอยากกินอาหารเกาหลี”
“แต่กูไม่อยาก ไม่ถูกปากว่ะ”
“กินอะไรดีวะ?”
“อาหารญี่ปุ่น”
“มันก็คือๆกันรึเปล่าวะ?”
ทั้งสองคนจึงไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งเป็นร้านอาหารแบบชุดราคาไม่แพงเท่ากับร้านดังที่อยู่ใกล้ๆกัน โต๊ะว่างคือโต๊ะซึ่งติดกับกำแพงกระจกฝั่งหน้าร้าน มองเห็นคนเดินผ่านอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองเองก็ไม่อยากเสียเวลารอโต๊ะจึงเลือกที่จะนั่งโต๊ะดังกล่าว
“คนก็ยังเยอะอยู่นะมึง” เก้าว่า
“เออ สงสัยจะมีคนคิดแบบพวกเราที่ไม่อยากเดินทาง”
พูดคุยกันนิดหน่อยระหว่างรออาหารที่สั่งไว้มา พูดคุยไปเรื่อยพลางมองไปยังโดยรอบและทันใดนั้นเองพระพายก็สะดุดตากับคนๆหนึ่งซึ่งเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน คือพิธานนั่นเอง
“คุณพิธาน” พระพายเอ่ยขึ้น เก้าจึงรีบหันมองตามทันที
“อ้าว มันมาทำอะไรแถวนี้” เก้าพูดออกมาทันที
“นั่นสิ” พระพายว่าและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความหาพิธานทันที
เมื่อส่งไปก็ดูปฏิกิริยาของพิธานว่าเป็นอย่างไร พิธานหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง มองหน้าจอประมาณไมม่กี่วินาทีและก็เก็บโทรศัพท์มือถือนั้นไว้โดยไม่ยอมตอบข้อความของพระพาย ในมือถือของพระพายเองก็ยังไม่ขึ้นว่าข้อความนั้นถูกอ่านแล้ว แปลว่าพิธานคงอ่านแค่จากการแจ้งเตือนเท่านั้น
พิธานที่ยืนนิ่งๆเหมือนรออะไรสักอย่างและพระพายกับเก้าก็ได้เห็นว่าพิธานกำลังรออะไรอยู่ เป็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเดินมาหาพิธานที่ยืนอยู่ ร่างสูงโปร่งแต่ไม่สูงเท่าพิธาน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านรวมไปถึงการแต่งตัวที่ดูเข้ากันกับความสูงนั้น พระพายพยายามเพ่งมองแต่ไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นเลขาปอแต่ก็ไม่ใช่
ทั้งสองพูดคุยกันเล็กน้อย ใครคนนั้นยิ้มให้พิธานไม่อาจจะเห็นสีหน้าได้ชัดเจนเพราะระยะห่างนั้นเยอะพอสมควร มือนั้นแตะตรงแขนของพิธานก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้นพร้อมกัน ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง โลกไม่หมุนโคจรต่อสิ่งใดๆอีกแล้ว พระพายรู้สึกหน้าชานิดๆ...จริงๆไม่นิดอย่างที่คิดไว้ หน้าชามากมากจนรู้สึกว่าภาพเมื่อครู่นี้นั้นมันคืออะไรกัน และความรู้สึกชาตรงปลายมือปลายเท้านี่มันคืออะไร
“พาย พาย ตั้งสติก่อน” เก้าลุกขึ้นเขย่าไหล่พระพายที่นั่งตัวแข็งทื่อไปแล้ว
“เก้า กูตาลายรึเปล่า?” พระพายถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจมากนัก
“กูก็เห็น มึงไม่ได้ตาลายหรอก” เก้ายืนยันให้อีกเสียง
“นี่มันเรื่องอะไรวะ?” พระพายจ้องหน้าเก้า
“กูก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆกูถ่ายรูปไว้แล้ว” เก้าว่าพลางยื่นโทรศัพท์มือถือให้พระพายดู ในจอคือภาพของพิธานกับคนที่พระพายไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ่ายแบบขยายกล้อง ภาพชัดจนเหมือนตอกย้ำว่าไม่ได้ตาลายอย่างที่คิดไป
“มึงถ่ายตอนไหน กูไม่เห็นรู้เลย” ทั้งที่สติมึนงงแต่ที่งงกว่าคือเก้าเร็วมากจนไม่อาจเห็นได้ว่าถ่ายรูปไว้ตอนไหน
“ก็ตอนที่มึงนั่งจ้องแฟนมึงจนแทบจะสิงกระจกนั่นแหละ” เก้าว่า
“กู....กูต้องทำยังไงวะ?” นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าไม่ดีมากจริงๆ มันมากกว่าครั้งที่เห็นพิธานอยู่กับเลขาปอในวันนั้นอีก
“นิ่งก่อน กูอยากรู้ว่ามันเป็นใคร” เก้าว่าก่อนที่จะกดส่งข้อความหาไคทันทีและเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีไคก็โทรกลับมา
“เร็วจริงนะมึงไอ้ไค” เก้ารับสายไค พระพายไม่อาจจะได้ยินว่าไคพูดอะไรในสาย
“เป็นใคร บอกกูหน่อย....มึงไม่ต้องทำเงียบเลยไค ถ้ามึงไม่บอกกู มึงก็รู้ใช่ไหมว่ามึงจะเจออะไร?” เก้าขู่อะไรสักอย่าง
“อย่างนั้นเหรอ เออ ขอบใจที่ยอมบอกและอีกอย่าง ถ้ามึงเอารูปที่กูส่งไปแล้วส่งต่อให้เพื่อนมึง หรือมึงเอาเรื่องนี้ไปถามเพื่อนมึง มึงรู้ใช่ไหมว่ากูจะทำยังไง?”
“มึงไม่ต้องมาทำเสียงแบบนี้เลยไค พายก็เพื่อนกูและถ้าเรื่องนี้เพื่อนมึงผิดมึงก็จะโดนไปด้วยกูบอกไว้เลย แค่นี้แหละ” เก้าวางสายด้วยความรวดเร็ว
“คุณไคว่าไง?” พระพายถามด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
“แฟนเก่าสมัยเรียน” เก้าตอบ พระพายรู้สึกหน้าชาไปอีกขั้นหนึ่ง
“หรือจะเป็นคนที่คุณพิธานเล่าให้ฟัง....เขามีแฟนมาแค่คนเดียว”
“จริงเหรอ กูไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ถ้าเขาไม่ได้โกหกกูอะนะ” พระพายว่า
“แล้วมึงจะเอายังไง กูว่าถามตรงๆเลยดีกว่า”
“ถามแน่ แต่เดี๋ยวก่อน กูจะไปถามตอนไปบ้านวันที่หนึ่ง”
“ทำไมต้องรอถึงวันนั้นวะ?”
“ถามตอนนี้กูก็จะมีอารมณ์มาปนด้วย ขอตั้งสติให้ใจเย็นกว่านี้ เดี๋ยวกูก็จะถาม”
“มึงก็เก่งนะ เป็นกูนี่วิ่งตามไปแฉ่งแล้วเมื่อกี้น่ะ”
“กูไม่อยากทำ แค่ที่กูนั่งฟุ้งซ่านเรื่องเมื่อวานก็พอแล้ว กูไม่อยากให้เขามาว่ากูงี่เง่าน่ารำคาญ” พระพายตัดสินใจไปแบบนั้น
“ยกนิ้วให้เลย มีสติมากกว่าที่กูคิดเสียอีก”
“เอาเถอะมึง กินข้าวกันดีกว่า” อาหารมาถึงพอดิบพอดี
“เออ ว่าแต่มึงจะเอารูปนี้ไหม?”
“ส่งมาเลย” พระพายบอกเท่านั้น จากนั้นทั้งสองก็กินอาหารที่สั่งมา พระพายเองแม้จะไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่แต่ก็พยายามทำทุกอย่างให้นิ่งสงบไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือความคิดก็ตาม
พระพายแยกกับเก้าและเดินทางกลับมายังห้อง ระหว่างอยู่บนแท็กซี่ก็เอาแต่คิดว่าจะจัดการความคิดตัวเองอย่างไรดี คิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งกลับถึงห้อง อาบน้ำนอนล้มตัวลงนอน ในมือถือหนังสือการ์ตูนที่เพิ่งซื้อมาแต่ไม่คิดจะเปิดอ่านเพราะความรู้สึกตีวุ่นไปหมด
สรุปพระพายก็เลือกที่จะส่งข้อความหาเก้า นัดกันว่าพรุ่งนี้ให้เก้ามาที่ห้องเพราะไม่อยากเที่ยวเล่นเท่าไหร่นักเนื่องจากวันสิ้นปีก็คิดจะปาร์ตี้เคาท์ดาวน์กันอยู่แล้วจึงอยากพักผ่อนก่อน เก้าก็ตอบตกลงตามนั้น เมื่อคุยกับเก้าเสร็จพระพายจึงปิดไฟและหลับตาลง พยายามจะข่มตานอนแม้จะยากไปสักหน่อยแต่พระพายไม่อยากทำให้ตัวเองเครียดจนไม่ดีต่อร่างกาย แต่จะอย่างไรก็หลับไม่ลงอยู่ดี สุดท้ายพระพายจึงเลือกที่จะกินยาแก้แพ้ประเภทที่ทำให้ง่วงซึมเข้าไป เพื่อที่จะได้หลับได้อย่างง่ายดายและหลับสนิทโดยไม่ต้องมีอะไรมารบกวน...
Lyrics: I hate this part by Pussycat dolls.