Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 22 (210222)  (อ่าน 27173 ครั้ง)

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2022 12:17:28 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Home * Mate (Inro)
«ตอบ #1 เมื่อ12-08-2017 00:06:37 »

Home * Mate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid



Intro


สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการลงทุนหรือเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ...การหลงรักมัน


Home*Mate


บรรยากาศมาคุระหว่างพี่สาวและแม่ ทำให้ผมหมุนตัวกลับขึ้นบันไดอีกครั้ง ทั้งที่ขาลงยังไม่สิ้นสุดดีด้วยซ้ำ
เจ๊ป๋อมกับแม่ถกเถียงกันในเรื่องนี้มาพักใหญ่ และแม้ว่าผมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย แต่ผมก็เห็นแก่ตัวพอที่จะเดินหนีออกมา

เสาหลักของครอบครัวของผมเพิ่งก้าวสู่การเกษียณอายุการทำงาน แน่นอนว่าพ่อกับแม่ยังปรับสภาพไม่ได้ และยังคงช็อคสะสมอยู่ แต่ว่า พวกเราก็เห็นพ้องกันว่า ไม่ว่ายังไง ชีวิตก็ต้องก้าวเดิน

พ่อกับแม่จะกลับไปอยู่ที่อ่างทอง จังหวัดที่แม่เกิด
เจ๊ป๋อมจะอยู่ที่บ้านนี้ ที่อยู่มาตั้งแต่เกิด
ผมก็เกิดที่นี่เหมือนกัน โอเค ทางเทคนิคแล้วผมเกิดที่ห้องคลอดในโรงพยาบาลเหมือนชาวโลกอื่นๆ นั่นแหละ แต่ในศาสตร์ด้านดรามาติคอลแล้ว ผมเกิดที่บ้านนี้

“เป เป เป!!!!!”
“แกลงมาทำให้จบๆ ดิ๊”
“มาเลือกว่าจะอยู่ที่ไหน เสียงแกคือความหมายนะไอ้เป”
“เร็วๆ ให้ไว เจ๊เรียกไม่ได้ยินหรอ?”

นี่คือวาจาพิพากษ์แล้วล่ะมั้ง ผมถอนหายใจ เหล่มองประตูห้องให้แน่ใจว่ากูล็อคแล้วแน่ๆ จากนั้นก็เข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำแล้วออกไปข้างนอกแม่งเลย จากที่คิดแค่จะลงไปหยิบขนม นม น้ำอัดลม มากินบนห้องไปพลาง ดูหนังไปพลาง แต่เมื่อความสงบของการอยู่บ้านหายไป ผมก็ไม่อยากอยู่ และถ้าจะต้องเผชิญกับความวุ่นวายแล้ว ผมจะเลือกจะให้สิ่งแวดล้อมภายนอกทำให้ผมวุ่นวาย ดีกว่าต้องรู้สึกแย่จากการถูกวุ่นวายจากคนในบ้านตัวเอง ผมไม่อยากรำคาญครอบครัว

ผมยังคงได้ยินเสียงเจ๊ป๋อมโวยวายหน้าห้อง แต่พักนึงก็เงียบเสียงไป คงเดาได้จากกลิ่นแชมพู หรือไม่ก็นิมิตได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัว แต่เชื่อเถอะ พอผมลงไปข้างล่าง เจ็ก็จะถลามาโวยวายโหวกเหวกบี้เอาคำตอบอยู่ดี

“อ้าว ไปไหนล่ะลูก เปล” นี่แม่ผมครับ สวย ใจดี สายบุญ อ่างทอง  แม่ผมเป็นแม่บ้าน ฉะนั้น เรื่องการดูแลบ้านจึงเฉียบคมมาก เรียกว่าเช้าเห็นอาหารเช้า สายได้ของว่าง เย็นได้สารอาหารครบ ความสะอาดและความเป็นระเบียบในบ้านไม่เคยต้องติติง

“ไปดูหนังข้างนอกครับแม่”
“ไปกับเปมั้ย”

“ไม่เอาล่ะ เปลดูหนังฝรั่งนี่ เอาแม่ไปดู แม่ไม่รู้เรื่องหรอก อ่านก็ไม่ทัน ในโรงหนังก็เสียงดัง”
“ไปคนเดียวได้ใช่มั้ย” ที่แม่ถามแบบนี้ ก็เพราะว่ากิจกรรมของผมกับพ่อ ก็คือการดูภาพยนตร์ครับ ทั้งดูแผ่นดีวีดีในบ้าน หรือไปดูที่โรงตามห้าง แต่วันนี้พ่อไม่อยู่บ้าน แม่คงกลัวผมเหงาหรือพิการกะทันหัน

ผมพยักหน้า ยิ้มให้แล้วกรอมหน้าแม่ไว้ในอุ้งมือ แล้วก็หอมแก้มครับ อ้อนกันเบาๆ แล้วก็ต้องรีบออกจากบ้าน ก่อนเจ๊มันได้กลิ่นผมแล้วออกล่าอีกรอบ

“เอ้าแม่”
“นั่นเปไปไหน”
“แล้วทำไมไม่ถามให้รู้เรื่องว่ามันจะอยู่ที่ไหน ถ้าเปมันอยากอยู่บ้านนี้แม่ก็ไม่ต้องไปอยู่ไหนหรอก”
“อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมก็จบแล้ว ทำไมพ่อแม่ต้องแยกตัวเนี่ย”
“มันอะไรนักหนา”

พี่สาวผมเป็นคนไม่น่ารักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ที่ผมและแม่ไม่อยากเถียง ไม่อยากสู้ ทั้งด้วยเหตุผลและอารมณ์ ก็เพราะแม่และผมเข้าใจ ว่าคนที่ต้องรับหน้าที่เสาหลักครอบครัวต่อจากพ่อ ก็คือพี่ป๋อม


++++++++++++++++


“ไม่มีปัญหาครับแม่ หาได้แล้วครับ”
“ไม่แพง ไม่แพง”
“ครับ ครับ”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ครับ”
“จุนรักแม่นะครับ”
“รอจุนนะครับ”
ผมตัดสายจากแม่แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
แถวนี้โคตรประหลาด ป้ายบอกอย่างนึง เงื่อนไขจริงดันเป็นอีกอย่าง
ป้ายบอกเข้าอยู่ได้เลย พอขนของมาเสือกต้องจ่ายนั่น มัดจำนี่เยอะแยะไปหมด

ผมเป็นผู้ชายไร้บ้าน
จริงๆ ก็ไม่เชิงนะ ผมมีบ้าน แต่บ้านอยู่ไกลจากที่ทำงานมาก เลยต้องหาหอพักที่ใกล้กับที่ทำงาน ไม่อย่างนั้นผมต้องตื่นตั้งแต่ตีสาม เพื่อเข้ากรุงเทพมาทำงานแน่ๆ

รอบนี้เป็นรอบที่ 5 แล้ว ที่ผมเจอหอพักไม่แฟร์แบบนี้
โลกใบนี้คงไร้เสียงหัวเราะมานานแน่ๆ ถึงได้สร้างเรื่องตลกให้ชีวิตผม เพื่อหัวเราะเยาะผมอย่างบ้าคลั่ง

และเมื่อวันนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรกับการหาหอพักราคาย่อมเยา ผมก็ตัดสินใจกลับไปยังแหล่งทำมาหากินเสริมของผม และคืนนี้รวมไปถึงอีก2-3 คืนจากนี้ ผมคงต้องอาศัยห้องเพื่อนอีกตามเคย แม้ว่ามันจะเต็มใจให้อยู่ด้วยก็เถอะ แต่ผมไม่อยากรับเป็นน้ำใจอะไร มันจะค้ำคอกันต่อไปภายหน้าเปล่าๆ

ค่ำมากแล้ว ยอดขายวันนี้ก็พอรับได้ แต่ตัวทอปไม่ได้ออกโรงเลย ที่ขายได้ส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ มากกว่า
ผมยืนฟังเสียงคนจอแจ เสียงอากาศโหวกเหวก รู้สึกท้อขึ้นมาดื้อๆ และก็เริ่มเอนไปทางคำถามจากแม่แล้วว่า ผมจะทำไปทำไม คำตอบมันดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่จับต้องได้ยากเหลือเกิน

ผมทำ ก็เพราะผมมีความสุข

“ขอโทษครับ อันนี้ต้นอะไร?” ผมหันไปตามเสียงทักถาม หน้าแผงวางต้นไม้เล็กๆ ในหลืบซอยแห่งหนึ่งของโครงการจตุจักร

“แคคตัสนี่แหละครับ สายพันธ์แมมมิลาเรีย อันนี้แมมขนนกสีขาวครับ ไม่มีหนาว ลองกุมๆ หัวเค้าได้”

“อ่อ”
“แล้วจะโตเยอะมั้ย มีดอกรึเปล่า”

“มีครับ ต้นนี้เค้าเคยให้ดอกมาแล้วด้วยนะ สีชมพู หายากนะครับ”

“อ่อ งั้นก็แพงสิ”

“ลูกค้ามองไว้งบประมาณไหน ผมจะได้แนะนำถูก ถ้ากลัวแพงล่ะนะ”

“จริงๆ ก็ไม่ได้กลัวแพง แต่ไม่อยากได้แบบราคาสูงแล้วไม่คุ้ม”

“จะเอาไปขายต่อหรอครับ งั้นหาอย่างอื่นดีกว่า”

“ทำไมล่ะคุณ”
“ผมจะซื้อไปเลี้ยงเองหรือขายต่อมันก็เรื่องของผมไง ขายก็ขายมา ขายแล้วต้องตามติดชีวิตมันนี่คุณจะมีเวลาพอหรอ ตลกแล้วเนี่ย คุณยังเลี้ยงขายเลย”

“จริงๆ ก็เรื่องของลูกค้า”
“แต่ถ้าจะเอาแมมไปขายต่อ คุณไม่น่าจะได้กำไรเท่าไหร่หรอกครับ”
“เค้าโตช้าหน่อย ชอบแดดจัดๆ แต่น้ำไม่ต้องเยอะ ถ้าตัวไหนออกดอกแล้วก็จะให้อยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ให้ดอกสีขาว เป็นไม้ที่ใครๆ ก็หาได้”
“แต่ขนนกขาวตัวนี้ ให้ดอกสีชมพู มันหายาก”
“ถ้าคุณชอบ อยากเอาไปเลี้ยงให้คุณรู้จักรักต้นไม้ ผมก็ขายอยู่แล้ว”
“แค่อยากจะเตือน ว่าถ้าคุณรักแล้ว คุณจะไม่อยากขายมัน แล้วคุณก็เจอเรื่องตลกๆ ซะเอง”
“ผมถึงได้ถามว่า จะเอาไปขายหรอ จะได้แนะนำตัวอื่น”

“พูดมากชิบหาย”
“เอาตัวนี้ ขนขาวดอกชมพูนี่แหละ”

“ขนนกครับ”

“อื้อๆ ขนนก เท่าไหร่”
“อย่าบวกเยอะนะ ผมไม่ได้เอาไปขาย ผมเอาไปเลี้ยง”

“ผมไม่ขาย”

“เอ่าเห้ย”

เป เป ชั้นได้แล้วนะ แกได้รึยัง

ลูกค้าหันไปตามเสียงเรียก เขาหันมองผมอีกรอบ ขมวดคิ้วใส่แล้วก็สบถคำด่าไว้ ก่อนจะก้าวยาวๆ กลับไปหาคนที่เรียกเขา

กวน ส้น ตีน

ผมถูกด่า ขายของก็ไม่ได้ แต่ผมกลับยืนอมยิ้ม


“เฮ้ยจุน  ขายดีหรอวะ หน้าอิ่ม”

“บ้า ขายไมได้ยังเสือกโดนลูกค้าด่าว่ากวนตีนอีก”

“เอ๋า!”
“แล้วเค้าด่ามึงทำไม”

“ก็ กูไม่ขายไม้ที่เค้าอยากซื้อ”

“เอ๋า แล้วไมมึงไม่ขายไป หาตังค์ไม่ใช่หรอ”

“ก็  กูกวนตีน”

“เออว่ะไอ้ห่านี่ มึงแม่งกวนตีน”

 
ถ้าคิดจะลงทุน หรือเก็งกำไร ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ข้อห้ามก็คือ...ห้ามรัก




cut



สวัสดีค่ะ...แถ่นแท้นนนน เรามาต่อเรื่องใหม่แล้ว แม้ว่าคนอ่านหลายคนจะยังไม่รู้เลยว่าพี่โป๊ะน้องวิน พี่นำน้องธามจบลงแล้ว
ซีรีส์สามสมภารกินไก่ที่เขาเลี้ยงไว้เองปิดฉากได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ ใครไม่เคยอ่านก็ลองหากันอ่านดู เป็นเรื่องฟีลกู้ดทั้งนั้นค่ะ กล้าสาบาน

เรื่องใหม่นี้ ถือเป็นเรื่องใหม่ของเราจริงๆ เพราะไม่มีตัวละครก่อนหน้ามาเป็นนักแสดงสมทบอีกแน่นอนค่ะ  (ใครคิดถึงพวกเขาก็ย้อนอ่านเรื่องเก่าเอานะคะ)

แนวเรื่องของ โฮม*เมท ก็ตามชื่อเลยค่ะ
แน่นอนว่าต้องอบอุ่น อวลไปด้วยอ้อมกอดของคนที่มองไม่เห็น เอ๊ะ? ไม่ใช่สิ อวลด้วยความอบอุ่นจากคนในชายคาเดียวกันสิคะ ชื่อเรื่องปูมาขนาดนี้แล้ว

ฝากติดตามเรื่องใหม่ของเราด้วยนะคะ
จะพยายามมาอัพเดทแต่ละตอนอย่างสม่ำเสมอค่ะ

ขอบคุณค่ะ

กะจิ๊ดริด 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2017 23:21:34 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
«ตอบ #2 เมื่อ12-08-2017 01:56:29 »

อย่างนี้แปลว่า นายเป(ล) ก็ออกจากบ้านแน่แล้วสินะ

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
«ตอบ #3 เมื่อ12-08-2017 06:51:04 »

เปนการพบเจอกันของพระนายที่น่าประทับใจมากกกกก
 :mew5: :mew5: :mew5:

น้องเปดูน่าจะเฮี้ยวพอดู
ส่วนฝั่งพี่จุนก้ดูไม่เบา
สมน้ำสมเนื้อจริงๆค่ะคู่นี้

จะรอตอนต่อไปนะคะ
ปล.รอรวมเล่มพี่นำ พี่โป๊ะด้วยค่ะ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
«ตอบ #4 เมื่อ12-08-2017 13:13:52 »

ท่าทางจะได้อ่านการปะทะฝีปากและความกวนตีนอย่างสนุกสนานแน่เลยค่ะ555 รออ่านต่อๆ

ออฟไลน์ iamtsubame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
«ตอบ #5 เมื่อ13-08-2017 00:49:41 »

พ่อค้ากับลูกค้าคู่นี้จะตีกันตายก่อนจะได้กันไหม 55555 :serius2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
«ตอบ #6 เมื่อ18-08-2017 17:57:30 »

กวนกันไปมาสินะ  :hao7:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า (Inro)
«ตอบ #7 เมื่อ18-08-2017 18:43:12 »

เรื่องใหม่ๆ  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 1
«ตอบ #8 เมื่อ15-09-2017 23:54:20 »

HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid



Home*Mate [1]


“พ่อ แม่ เปไปแล้วนะ”

“อื้อ ขับรถกันดีๆ นะลูก เป ป๋อม ถึงบ้านแล้วโทรบอกพ่อด้วย”

“ค่ะ อยู่นี่กันดีๆ ล่ะ แล้วเสาร์ – อาทิตย์หน้า มาหาใหม่”

“เหนื่อยก็ไม่ต้องขับรถกันมาบ่อยๆ หรอกลูก”​

“เปมันไม่เหนื่อยหรอกแม่ วันๆ ไม่ได้ทำอะไร ป๋อมนี่สิเหนื่อยตัวแทบขาด”

ผมมองหน้าพ่อกับแม่แล้วก็กรอกตาใส่พี่สาวที่มักเหนื่อยกว่าทุกคนบนโลกเสมอ เจ๊ป๋อมเป็นแบบนั้น เป็นคนที่ไม่ว่าภาระไหนของสังคม ก็จะอนุมานว่าจะทำให้เจ๊เหนื่อยขึ้นเสมอ

ยกตัวอย่าง การอยู่บ้านที่กรุงเทพกับผม ก็บ่นผมว่าต้องเหนื่อยดูแลผม ไหนจะทำงานบ้านอีก (เรามีแม่บ้านที่จ้างไว้) เหนื่อยเดินทาง (เจ๊ก็ไปทำงานของเจ๊เหมือนเดิม ผมไม่เคยขอให้ไปส่งสักครั้ง) เหนื่อยดูแลผม  (ข้อนี้ยืนว่าเจ๊ป๋อมเหนื่อยมโนครับ ผมไม่เคยได้รับการดูแลจากพี่สาว บอกไว้ตรงนี้เลย)

“ไปๆ กลับได้แล้ว”
“เป ขับรถดีๆ ลูก”

“ครับพ่อ” ผมยกมือไหว้ลาพ่อที่อ้อมแขนมาโอบบ่าอย่างชินมือ เรายิ้มให้กัน แล้วผมก็ส่งยิ้มให้แม่ที่หันมองซ้ายขวาเพื่อดูว่าจะยัดอะไรใส่รถพวกผมได้อีก

“เอากล้วยไปอีกมั้ยป๋อม”

“ไม่เอาแล้วแม่ เท่านี้ก็กินไม่ทันแล้ว”

“ฝากเพื่อนก็ได้ลูก”

“ไม่เอาค่ะ” สิ้นเสียงห้วนสั้น เราผู้ฟังทั้ง 3 คนก็รู้กันว่า อย่าไปเซ้าซี้เจ๊เพิ่มอีก ไม่งั้นจะมาคุกว่านี้

“จ้ะ จ้ะ ไม่เอาก็ไม่เอา”
“กลับกันเถอะลูก พ่อกับแม่อยู่ได้”​ แม่พูดแบบนี้หลายรอบแล้วครับ แต่บอกตามตรง ผมไม่อยากเชื่อหรอกว่าอยู่ได้

คือ...แม้ว่าตัวบ้านมันจะใหญ่โต แข็งแรง สไตล์บ้านทรงไทยประยุกต์ ซึ่งสร้างใหม่ทั้งหลัง รอบรั้วบ้านก็เป็นแปลงผัก สวนผลไม้ บ่อปลา และโรงเลี้ยงไก่ แต่ 30 กว่าปีที่พ่อทำงานที่กรุงเทพ และพาแม่ไปใช้ชีวิตชาวกรุงที่นั่น น่าจะทำให้แม่ต้องใช้เวลาปรับตัวกับที่นี่มากกว่า 1 เดือนนะ แต่นี่ พ่อกับแม่เพิ่งลงมติว่าจะกลับมาอยู่อ่างทองได้แค่ 2 อาทิตย์เอง

ผมเป็นห่วง และก็คิดถึง...มากด้วย

“เป ไปดิ เลิกร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวถึงบ้านมืดแล้วรถติดอีก อารมณ์เสีย”

“รู้แล้วน่า”

“แกก็รู้แล้วทุกเรื่องนั่นแหละ”

“พูดมาก” ผมค่อนขอดพี่สาวตัวเองแล้วก็ขึ้นรถ ทำหน้าที่สารถีพาพี่สาวที่ห่างไกลคำว่าแสนดี.... กลับบ้าน


บรรยากาศรอบตัวผมในบ้านนี้เปลี่ยนไป
ทุกอย่างเงียบขึ้นมาก แม้ว่าผนังกำแพงจะเป็นปูนแผ่นเดิมก็ตาม แสงสว่างในบ้านจากหลอดไฟดวงเดิมไม่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นได้เท่าตอนที่แม่เป็นคนเปิดไฟเรียกความสว่างให้

ทีวีหลังเดิมแท้ๆ  แต่ทำไมเสียงไม่ชัด ภาพไม่คม ละครที่เคยดูแล้วขำไปพร้อมกับพ่อ คืนนี้ก็ไม่สนุกเหมือนเดิม

“เจ๊ป๋อม”

“อืม ไร” พี่สาวผมปิดตู้เย็นเต็มแรงแขน ยืนพักขาพิงตู้เย็นระหว่างรอผมพูด ช่างเป็นท่าดื่มน้ำที่แมนมาก แมนกว่าผมก็เจ๊ป๋อมนี่แหละ

“อยู่คนเดียวได้ป่าว”

“ทำไม แกจะไปอยู่กับพ่อแม่หรอ?”

“ก็อยากดูว่าเค้าอยู่กันยังไง ห่วง” ผมบอกความจริงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งไม่ได้พูด

“เป”
“ชั้นก็ห่วงเว้ย แต่เราโตแล้ว แกโตแล้ว ชั้นก็โตแล้ว”
“ชั้นแก่แล้วด้วย 34 แล้วนะ  แกเองก็ด้วย ปีหน้าก็ 26”
“เข้าใจใช่มั้ยว่าพี่จะพูดอะไร”

“ก็รู้ แต่ก็อดห่วงไม่ได้นี่”
“แล้วเนี่ย เหม็นขี้ไก่แบบนั้นพ่อจะทนได้รึเปล่า แม่เองก็เถอะ ต้องไปก้มๆ เงยๆ เก็บผักสวนครัวมาทำกับข้าวอ่ะ ปวดหลังแย่”

“ห่วงแค่นี้?”
“แกก็เห็นว่าญาติเค้าแวะเวียนมาดูแลถี่ขนาดนั้น ไอ้ผักที่ปลูกๆ นั่นคงไม่โดนเด็ดมากินหรอก”

“แต่”

“อะไรอีก พูดมาให้หมดไอ้ลูกหมา”

“แต่เปไม่อยากอยู่กับเจ๊ป๋อมนี่”
“แม่งดุกู”

“ไอ้บ้า”
“ไม่ทำตัวเรี่ยราดน่าเตะ ใครจะไปเตะแก”
“หิวมั้ยเนี่ย อุ่นแกงแม่กินได้นะ”

“ไม่อ่ะ เจ๊ป๋อมอ่ะ หิวป่าว เดี๋ยวทำให้”

“ไม่อ่ะ”
“นอนเถอะ”

“อืม”​

นี่เพิ่งทุ่มกว่า บ้านในกรุงเทพเกือบชายขอบของผมกลับเงียบสงัดสิ้นดี

ผมรู้สึกว่า…ที่นี่ไม่ใช่บ้าน


Home*Mate


ชีวิตจำใจสันโดษของผม เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้นแล้วครับ ตั้งแต่ต้องอยู่กับเจ๊ป๋อมสองคนที่บ้าน เสาร์อาทิตย์ไปเจอหน้าพ่อกับแม่ที่อ่างทอง ซึ่งก็ไปบ้าง ไม่ได้ไปบ้าง จนตอนนี้ลดความถี่เป็นไปหาเดือนละครั้งแล้ว ผมเข้มแข็งขึ้นมาก อย่างน้อยเวลามองหมอข้าวก็เป็นหม้อข้าว ไม่ได้เป็นหน้าแม่

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายก็มีครับ สาเหตุคือพี่สาวผมเอง คนเดียวล้วนๆ เลยครับ

“เป!”
“บอกแล้วว่าอย่าเอามาอะไรมาเกะกะทางเดิน นี่ของเล่นอะไรของแกอีก”

“เลโก้ไง ก็ต่อมาแต่ไหนแต่ไร”

“แล้วตรงนี้มันใช่ที่วางของเล่นแกมั้ย?”

“เจ๊ป๋อม นี่ไม่ใช่ของเล่นเปนะ นี่งาน”

“งานอะไร แกเป็นเเซลซัพพอร์ต แกไม่ได้เป็นนักออกแบบ หรือสถาปนิก ทำไมแกต้องมีเลโก้โมเดลอะไรบ้าบอนี่เต็มบ้านชั้นไปหมด”

“เออๆ เดี๋ยวเก็บ”
“ไปทำงานได้แล้ว สายแล้วป่ะเนี่ย”

“เก็บเลย ตอนนี้เลย”

“เดี๋ยวเก็บไง”

“เดี๋ยวของแกคือเมื่อไหร่ เก็บให้ชั้นเห็นเดี๋ยวนี้เลยเป”

“ไม่ เจ๊ไม่ใช่แม่ อย่าสั่ง”

“อ่อ”
“อ้อ ชั้นสั่งอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่แม่ เออ ใช่ ชั้นไม่ใช่แม่แก แต่นี่บ้านชั้น”

“บ้านเปเหมือนกัน”

“บ้านชั้น”
“ชื่อเป็นของชั้น พ่อโอนให้ชั้น เพราะฉะนั้น แกมาอาศัยบ้านชั้นแกก็ต้องทำตามที่ชั้นสั่ง เก็บของ”

“ไม่”

“ไอ้กาฝาก เก็บของ”

“.......” ผมหยุดมองหน้าพี่สาวทันทีที่ได้ยินคำแสลงหู เราเป็นพี่น้องกันครับ พี่น้องแท้ๆ เลย ผมไม่ใช่เด็กเก็บมาเลี้ยง ไม่ใช่เด็กอุปการะ แล้วก็ไม่ใช่ลูกของน้องสาวแม่พี่สาวพ่อที่ท้องกับหนุ่มไหนแล้วถูกเสือกไสกลับมาคลอดลูกก่อนหนีไปชุบตัวด้วยครับ

แต่ที่คำนี้แสลงหู สะเทือนใจ ก็เพราะเจ๋ป๋อมมันล้อผมมาตั้งแต่เด็ก และที่เอามาล้อได้ก็เพราะว่าผมไม่เหมือนพ่อแม่อย่างที่เจ๊ป๋อมโคตรจะเหมือน

และความเป็นลูกสาวคนโต พ่อก็รักชิบหาย แม่ก็ตามใจทุกอย่าง พอผมเกิดมาเป็นน้องชายยัยเอาแต่ใจคนนี้ ผมก็ตกอยู่ในสถานะทาสของเจ๊โดยไม่มีสิทธิปฏิเสธ

“บอกหะ”

“ไม่โว้ยยยยยยย” ผมตะโกนใส่หน้า เตะเลโก้ให้แม่งกระจายต่อหน้าต่อตาพวกบ้าระเบียบ ยืนส่งคางกวนส้นตีนสายตาเจ๊ป๋อมที่มองผมอึ้งๆ

ก็จะไม่อึ้งได้ยังไงล่ะครับ ผมไม่เคยขัดใจเจ๊เลย ไม่ใช่ว่ายอม แต่แม่จะมาไกล่เกลี่ยให้แยกย้ายกันไปเสมอ

“บ้านป๋อมใช่มั้ย ได้”
“งั้นอยู่ไปเลย อยู่จนซากกระดูกแม่งป่นปนกับฝุ่นในบ้านไปเลย เปไม่อยู่แล้ว!”  สิ้นคำที่ปนเปื้อนด้วยอารมณ์ของผมเอง เจ๊ป๋อมที่หน้าซีดเผือดก็เซถอยหลังไปนั่งโซฟา มือทาบอกบอกอาการตกใจจัดๆ แต่ผมไม่สนหน้าไหนแล้ว กดขี่กูนักใช่มั้ย ได้! กู ไป เอง


วันจันทร์ที่เป็นต้นสัปดาห์ เจ๊ป๋อมคงได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ผมล่ะอยากรู้เหลือเกินว่าพ่อกับแม่จะบอกว่าไง ตอนที่พี่สาวผมโทรบอกพวกเขาว่า “พ่อ แม่ ป๋อมทำน้องหาย”

นี่แหละครับ ที่มาที่ไปของการเป็นคนไร้บ้านของผม


Home*Mate


“เป แกนี่ยังไงวะ เอาไงเนี่ย” ยอดอ ย่อมาจากยาดา เพื่อนซี้ถามขึ้นระหว่างที่ผมกำลังนอนเหยียดตัวอยู่ในโซฟาในคอนโดของมัน

“ก็ไม่อะไรนี่”

“แต่ชั้นเริ่มอะไรแล้วเนี่ย แกกลับบ้านเถอะว่ะ”

“ทำไม  เรากินเปลืองหรอ?”

“ไม่เปลืองหรอก แต่ไม่อยากให้พี่แกเป็นห่วง”

“ป้าป๋อมนั่นไม่ห่วงเราหรอก ดาก็รู้” ผมคลายกังวลให้เพื่อนซี้ เธอชื่อยาดาครับ แต่เราชอบเรียกชื่อย่อกันและกันในกลุ่มเรียน

“จะไม่ห่วงได้ไง หมดเปแล้วเจ๊แกจะบ่นใคร ป่านนี้ปากเน่าแล้วมั้ง”
“ไปๆ กลับบาน แกอยู่ที่นี่มาจะเดือนนึงแล้วนะ”

“เออน่า เดี๋ยวกลับเอง”

“เดี๋ยวของแกนี่เมื่อไหร่วะ?” ผมถูกถามแบบนี้อีกแล้ว ทำไมหรอ? ผมจำเป็นต้องบอกตารางชีวิตของผมให้คนอื่นรู้ และทำตามแผนเพื่อให้คนอื่นพึงพอใจด้วยหรอ?

“ทำไมวะ?” ผมถามเพื่อนอย่างจริงจัง ลุกขึ้นนั่งบนโซฟามองยาดาที่ตาก็จ้องโทรศัพท์ในมือ ส่วนปากก็พูดอยู่กับผม มึงใส่ใจกูมากว่ะเพื่อน

“เดี๋ยวแฟนกูมา นั่นล่ะ ก็รู้ป่ะ?”

“อ่อ”
“งั้น...มาเมื่อไหร่ก็บอกกูไว้สิ กูจะได้ไปค้างบ้านเพื่อนคนอื่น”

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่ากูจะติวกับแฟนกูเมื่อไหร่ป่ะวะ?”
“ประเด็นคือมึงมีบ้าน มึงก็ควรกลับบ้าน”
“เป มึงไม่ใช่คนที่ไม่มีที่ให้ไป ไม่มีที่ให้กลับ ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวนะ”
“มึงอย่าดราม่าว่าบ้านแตก หรือพ่อแม่ลอยแพดิวะ”
“ก็จริงที่อยู่กับพี่แล้วมึงอึดอัด แต่มึง..เค้าก็จู้จี้เพราะเป็นพี่น้องกันนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิดกัน เค้าจะปากเปียกปากแฉะบ่นให้มึงมีระเบียบทำไม”

“ดา....มึงอย่ารีบแก่ได้มั้ย อย่าเพิ่งบ่น”
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูไปหาที่อยู่ที่อื่น”

“ไม่อ่ะ มึงต้องกลับบ้าน กูถึงจะสบายใจ”

“ดา....”
“กูจะบ้ากลับไปได้ไง กูออกมาเอง กลับไปก็เสียฟอร์มแย่”

“ไม่เสียหรอก เจ๊ป๋อมบอกจะมารับ”

“หา? มึงรายงานพี่กูทุกอย่างเลยหรอ?”

“เออสิ ถ้าเรื่องถึงพ่อแม่มึงเดี๋ยวก็ยุ่งใหญ่”
“เก็บเสื้อเก็บผ้าได้แล้ว อีกแป๊บพี่มึงก็มา”

อื้ออ นี่กูอายุเท่าไหร่วะ?
โกรธพี่สาวแล้วหนีออกจากบ้าน
มาอยู่กับเพื่อน เพื่อนก็รายงานลับหลังให้พี่รู้ แล้วพี่ก็มารับกลับบ้าน
ชาตินี้กูจะได้โตมั้ย?
ผมได้แต่พ้อตัวเองอยู่เล็กๆ แต่ก็นั่นล่ะ คนที่จะตอบได้ว่าผมจะโตขึ้นเมื่อไหร่ ก็คือตัวผมเอง


บรรยากาศในรถไม่ได้แย่นัก เจ๊ป๋อมมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ใส่ความบูดบึ้งมาด้วย ผมก็เลยไม่อารมณ์พูดเพิ่ม เสียงเดียวในรถคันนี้ก็คือเสียงเพลงจากวิทยุ อ้อ มีเสียงแอร์คลอด้วยนิดหน่อย เสียงรถคันข้างๆ เสียงบีบแตร เสียงมอเตอร์ไซค์ที่ไม่รู้จะรีบไปจ้องไฟแดงที่สี่แยกทำไมก็มีแทรกซึมเข้ามาเหมือนกัน

“อ่ะ อ้าว...ไม่กลับบ้านหรอเจ๊ป๋อม” ผมทักถามขึ้นเมื่อเห็นว่ารถคันนี้ไม่ได้มุ่งไปยังถนนที่จะพาผมกลับบ้าน

“ก็กลับอยู่นี่ไง” พี่สาวผมตอบเสียงแบนๆ ฟังดูไร้อารมณ์ แต่ผมไม่กระจ่างไปด้วยหรอกครับ

“แล้วไปไหน นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน”
“เฮ้ย เปจำทางกลับบ้านได้นะ ทางนี้ไม่มีอยู่ในตำรา”

“เออน่า”

“เออน่าบ้าอะไร?” ผมสะบัดเสียงใส่อย่างอารมณ์เสีย ทีตัวเองล่ะพูดได้ เออน่า เดี๋ยวน่า เดี๋ยวก่อนน่า ไว้ก่อนน่า ลองเป็นผมพูดหรือผลัดเวลาแบบนี้สิ โดนด่าจนทะเลาะกันเลยเถิดแน่ๆ

“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
“เนี่ย ดูทางไว้”
“จะได้ไปไหนมาไหนถูก”

ผมรู้สึกได้ว่ามันแปลกๆ ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาจำทาง แต่มันก็ไม่ได้ซับซ้อนหรอกครับ เราออกจากทางด่วนตรงชานเมือง เจ๊ป๋อมพามุ่งหน้าไปตามเส้นทางรถไฟฟ้าที่ทอดตัวเข้าสู่...จังหวัด...สมุทรปราการ

ผมขมวดคิ้ว เพ่งสายตามองดูป้ายที่ปากซอยที่พี่สาวเลี้ยวรถเข้ามา สุขุมวิทปลายๆ แล้ว ปากซอยตรงกับบันไดบีทีเอสพอดี เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วครับว่าถูกพามาที่ไหน

ถ้าผมไม่ได้คาดเดาอะไรผิดไป ผมกำลังถูกนำมาปล่อยไว้ที่คอนโด


“ลงมาดิเป” ไม่ลงได้มั้ยล่ะ? แม่งเอาผมมาทำไม หรือว่าเจ๊ป๋อมนัดใครไว้ อาจจะเป็นคนที่จะมาเช่าก็ได้...มั้ง

คอนโดนี้ ที่บ้านผมซื้อไว้เมื่อปีที่แล้วครับ ความตั้งใจแรกที่ซื้อคือให้พี่สาวมาอยู่ เพื่อให้เดินทางไปทำงานได้สะดวก ออฟฟิศเขาอยู่แถวๆ นั้นแหละ แต่อสังหาฯหลังนี้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะเจ๊ป๋อมย้ายงาน ไปได้ดิบได้ดีในที่ใหม่ ซึ่งเดินทางจากบ้านใกล้กว่า คอนโดห้องนี้ก็เลยร้างคน

“มาดิเป” เสียงห้าวเรียกสติผมอีกรอบ จากที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ระหว่างมองต้นไม้ในโครงการ พื้นที่จอดรถ สระว่ายน้ำ และฟิตเนส ผมก็ต้องดึงสติกลับมาอยู่ที่หน้าพี่สาว ที่รวมความละม้ายคล้ายพ่อกับแม่ไว้ในหน้าเดียวได้อย่างลงตัว
“เนี่ยคีย์การ์ดลิฟท์ เข้าตึก เข้าโครงการ”
“ส่วนนี่คีย์การ์ดห้อง มี 2 ชุด เก็บไว้คนละชุด”
“ของอื่นของเป ค่อยทยอยเอามาก็แล้วกัน เสาร์อาทิตย์นี้ก็ได้”

“……………”

“รู้เรื่องป่ะเนี่ย?”

“นี่ชีวิตใครวะ” ผมโพล่งถามขึ้นมาเป็นคำถามแรก
“ป๋อมจัดแจงอะไรๆ หมดเนี่ย ใครขอ และขอใครรึยัง”

“ก็เปไม่อยากอยู่บ้านไม่ใช่หรอ?”
“ก็นี่ไง ก็อยู่คนเดียวไป จะนอนกอดขยะรกๆ จนเน่าตายก็ไม่มีใครเอาตีนแซะแกขึ้นมา ไม่ชอบหรอ?” ยัยคนโหดร้าย ผมมองหน้าพี่สาวระหว่างยืนอยู่ในลิฟท์ อยากตะคอกถามกันแรงๆ ว่านี่กูเป็นน้องมึงลืมไปแล้วหรอ? แต่คงไม่ถามออกไปหรอก ผมรู้ว่ายัยจิตโหดนี่จะตอบว่าอะไร

เสียงตึ๊งดังขึ้นให้พอรู้ว่าเราถึงที่หมายกันแล้ว ผู้หญิงไม่ใยดีการมีน้องชายเดินนำหน้าผมไปฉับๆ แต่ก็มีอาการเหลียวมองกลับมาเมื่อไม่ได้ยินเสียงก้าวเดินของผม พอผมดื้อขึ้นนิดนึงด้วยการไม่เดินตามคำสั่งพยักหน้าเรียก ยัยคนนี้ก็กดคางลงนิด เลิกคิ้วขึ้นหน่อย  เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าต้องรีบเดินไปหาครับ

“ห้องนี้ล่ะ”
“ดูดิ ก็น่าจะอยู่ได้สบายๆนะ ไม่แคบหรอก” ยัยโหดพูดพลางดันประตูให้เปิดอ้าให้เห็นห้องรับแขกได้สัดส่วน

ครับไม่แคบ ผมจำคอนโดนี้ได้ พวกเรามาดูห้องตัวอย่างด้วยกัน เลือกแปลนห้องด้วยกัน เลือกทำเล เลือกทิศทางในการหันหัวนอน แม่กับพ่อผมรอบคอบจะตาย ยิ่งลูกสาวคนเดียวจะแยกมาอยู่คนเดียวยิ่งต้องพิถีพืถัน แต่ความพิถีพิถันนี้ พวกเขาไมได้ตั้งใจเผื่อแผ่มาให้ผมหรอกครับ

เพราะฉะนั้น สีวอลเปเปอร์ที่ปูไว้ สีผ้าม่าน สไตล์เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวทั้งหลายที่พากันไปซื้อหาและสั่งทำมา .... มันจึงเหมาะเจาะจะเป็นห้องผู้หญิง

ซึ่งกูอยู่ไม่ได้เว้ย!!

“เออว่ะ ก็ลืมไป” เจ๊ป๋อมหัวเราะและเย้ยด้วยเสียงจากลำคอ
“เอาเถอะ อยากเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนเอา”
“เงินแต่งห้องก็คาอยู่ในบัญชีผ่อนกับแบงก์”
“ปกติชั้นกับพ่อจะโอนเงินค่างวดเข้าคนละครึ่ง”
“แต่ชั้นรู้ว่าเงินเดือนแกคงมาผ่อนคอนโดไม่ได้”
“เอาเป็นว่า จะผ่อนให้เหมือนเดิม ส่วนค่าใช้จ่ายในการประทังชีวิตเป เปจัดการเองก็แล้วกัน”

“…………..”

“แต่งห้องอย่าเกินงบล่ะ”
“เลือกให้ดีก่อนค่อยทำไปทีเดียวเลย”
“แต่อย่าบิวท์อินอะไรเยอะนักนะ แกมันขี้เบื่อ เดี๋ยวก็อยากเปลี่ยนนั่นนี่ เน้นเฟอร์ลอยเอาดีกว่า”
“ได้นะ”

“ป๋อมจะทิ้งเปหรอ?”
“ให้อยู่นี่คนเดียวหรอ”
“แล้วบ้านล่ะ”

“อยากกลับก็กลับได้นะ บ้านของเรา” เสียงนางฟ้าแม่งชวนให้รู้สึกแปลกๆ ว่ะ
“แต่ต้องอยู่ตามระเบียบของชั้น แกอยู่ได้มั้ยล่ะ?” นี่สินะเสียงจริงของยัยคนนี้

ผมเองก็อยากสู้ศึกนี้นะครับ ผมชอบอยู่บ้าน เพราะมีบริเวณให้ทำนั่นนี่เยอะไปหมด ห้องนอนก็ชอบทุกมุมรักทุกรู จู่ๆ จะให้ย้ายออกโดยไม่ร่ำลาเลย ผมไม่อยากยอมหรอก แต่...บ้านนั้นหมดความหมายลงไปเยอะมาก เมื่อไม่มีพ่อกับแม่ ครั้นจะให้ฝืนตัวเองให้ขยับตามกรอบของยัยพี่สาวใจโหดนี่ ผมก็อึดอัด ที่ผ่านมา ผมได้ทำตามใจเพราะผมมีแม่เป็นเกราะ มีพ่อเป็นกำแพงให้ แต่พอต้องใช้ชีวิตกันเฉพาะพี่น้องแล้ว สักวันต้องมีใครได้เลือดสาด และคนคนนั้นน่าจะเป็นผม

เอาล่ะ ... ผมจะคิดซะว่า นี่เป็นฤกษ์งามยามดีที่ผมจะได้โตขึ้นก็แล้วกัน


“โอเค อยู่ก็ได้”
“เสาร์นี้ช่วยขนของมาให้หน่อยแล้วกัน”

“โอเค”
“งั้น...ชั้นไปนะ” ปากก็เอ่ยลา แต่ขากลับไม่ก้าวออกจากห้องไป

“………….” ผมจะได้อยู่คนเดียวจริงๆ หรอ

“วิธีเซ็ทรหัสประตูมีนะ แต่จำไม่ได้แล้ว ถามนิติเอาก็แล้วกัน”
“เช้า-เย็น มีรถเซอร์วิสของโครงการด้วย แต่ไม่แน่ใจว่ากี่รอบแล้วก็เวลาไหน”
“แล้วก็ ทุกวันที่1 กับ 15 ลงคิวแม่บ้านทำความสะอาดห้องด้วยล่ะ”
“เปก็ต้องรู้ตัวเองว่าแพ้ฝุ่น อย่าหมักหมม”

“…………”  ผมไม่พูดอะไร แต่พยักหน้ารับ แต่พอพี่ป๋อมจะออกจากห้องไป ผมกลับรีบไปคว้าประตูเอาไว้
“เจ๊ป๋อม”
“เราไม่ได้เกลียดกันนะ ใช่มั้ย หรือเจ๊ป๋อมเกลียดเปจริงๆ”

“บ้า!”
“แกเป็นน้องชายชั้นนะ เราจะเกลียดกันได้ยังไง”
“แต่เปก็รู้ ใช่มั้ย?”
“ยิ่งโต เราก็ยิ่งต่าง”
“ยิ่งไม่มีพ่อกับแม่มาห้ามปราม วันนึงชั้นอาจจะฟาดหัวแกด้วยกระทะร้อนๆ ก็ได้”
“ชั้นไม่ใช่พี่ที่ดี ชั้นรู้ แต่ชั้นก็รู้ว่าน้องชั้นเป็นคนดี และมันเอาตัวรอดได้”
“อยู่ที่บ้านคนเดียว ชั้นก็กลัว ไหนจะกลัวขโมย ความเงียบ ผี สัตว์ประหลาดๆ อีก แต่ชั้นก็จะหาวิธีอยู่ให้ได้ โดยไม่ต้องให้น้องชายต้องเป็นห่วง”

“บ้านเรามีวงจรผิด แล้วมันก็เชื่อมกับมือถือด้วย เปจะคอยตรวจสอบนะ”
“เจ๊ป๋อมก็ กินเยอะๆ ด้วย ไม่มีเปอยู่ด้วย ใครจะคิดเมนูให้ป้าเค้าทำ”

“อืม รู้แล้ว ชั้นจะปาร์ตี้บ่อยๆ ให้ทีมมาทำงานที่บ้านด้วย น่าจะสนุก”

“โอเค งั้น เราแยกกันนะ”

“อืม ใช้ชีวิตซะนะ เปล”

ผมชื่อเล่นชื่อเปล เพราะชอบนอนเปล ผมไม่เคยหลับในอ้อมกอดของแม่หรือตักของพ่อ ผมติดเปลมาตั้งแต่เด็ก แม่ก็เลยให้ชื่อเล่นว่าเปล แม่อยากให้ผมแข็งแกร่งและอ่อนโยนจนสามารถโอบอุ้มชีวิตใครสักคนให้มีความสุขได้ในวงแขนผม

แต่สิ่งที่แม่กับพ่อไม่เคยรู้ก็คือ ผมเติบโตขึ้นมาโดยสนแค่เพียงว่าจะกอดตัวเองให้หลับลงอย่างปลอดภัยในอ้อมกอดของตัวเองได้อย่างไรบ้าง 


Home*Mate


“จุน...ลูก”
“จุน”
“ค้ำจุน”


“ครับแม่”

“เตรียมของเรียบร้อยรึยังล่ะ?”

“ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ แม่ก็เช็คให้เองไม่ใช่หรอ?”

“เอ้อ นั่นสิ”
“แล้วเด็กๆ ล่ะ จะไปหาที่ทางให้อยู่ได้แน่หรอลูก แม่ว่าไม่ต้องพาไปหรอก”

“ไม่ได้ไม่ได้”
“ยังไงก็ต้องไปอยู่ด้วยกันครับ”

“เอาเถอะ อย่ารักมากจนเจ็บตัวล่ะ หัดเข็ดซะบ้าง”
“ไปลูก ทานข้าวเย็น พรุ่งนี้จะได้ไปแต่เช้า เดี๋ยวพี่เขาไปส่ง”
“เรานี่ก็น้า บอกแล้วบอกอีกว่าให้ไปอยู่บ้านป้า ก็ไม่เอา จะอะไรกันนักหนานะเด็กสมัยนี้ จะต้องยืนเอง เดินเอง ทำเองตลอด”
“มันก็ดี...แต่ถ้าฝืนหรือเร่งเกินไปจนเหนื่อยล้าถ่านหมด มันจะไม่จบไม่สวยเอานา”

“เถอะน่าแม่”
“ไปครับ กินข้าวกัน”

“เอ้า ก็ไปสิลูก ลงมาจากห้องสักที”

“ครับ ครับ” ค้ำจุนรีบรับคำ ด้วยทั้งหิวเพราะถึงเวลามื้ออาหารและไม่อยากให้แม่ต้องเจอประเด็นเป็นห่วงเพิ่ม มื้อเย็นนี้อาจจะเป็นมื้อสุดท้ายที่เขาได้กินข้าวกับแม่ ที่บ้านสวนนี้ บ้านที่เขาเกิดและเติบโตขึ้นมา


ค้ำจุนได้งานที่กรุงเทพ ซึ่งหากวัดระยะกันด้วยหน่วยกิโลเมตรแล้วล่ะก็ เขาต้องเดินทางไปกลับที่ทำงาน-บ้าน 200 กิโลกว่าๆ ต่อวันหากจะงกค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยไว้เป็นเงินเก็บเงินออม แต่สุดท้ายความงกก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความสะดวกสบายที่หอมหวลกว่ามาก จึงตัดสินใจเช่าอพาร์ทเม้นท์ หรือคอนโดมิเนียมที่ราคาสมเหตุสมผล สำหรับอยู่อาศัยในวันทำงาน

เขาเพิ่งตกลงเช่าอพาร์ทเมนท์ใกล้ที่ทำงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จึงเก็บของใช้ที่จำเป็นเพื่อขนไปเข้าไปอาศัยในอพาร์ทเมนท์นั้น
เจ้าของอพาร์ทเมนท์ไม่อยู่ แต่คนดูแลเป็นคนจัดการเรื่องเอกสาร แล้วก็รับเงินมัดจำไว้แล้วด้วย เขาเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้ในความทรงจำ เพื่อจะได้บอกกับแม่ได้ทุกซอกหลืบ แม่จะได้ลดความเป็นห่วงลงบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้หงุดหงิดที่แม่ถามทุกแอ่งรูของอพาร์ทเมนท์ ก็แม่เหลือเขาคนเดียว เรามีกันแค่ 2  คนแม่ลูก ถ้าไม่ให้แม่ห่วงเขา แม่จะห่วงใคร และถ้าไม่มีความห่วงจากแม่ เขาก็ไม่ได้รับความห่วงใยจากใครแล้ว

“ต้มตำลึงที่จุนชอบไง”

“อ่อ จริงๆ ก็ชอบหลายอย่างนะครับ”

“ก็วันนี้ตำลึงข้างรั้วมุมหมาเยี่ยวงามดี แม่ก็เลยจัดให้ รู้ว่าจุนชอบ วิตามินสูงนะลูก กินซะ”
“ไปอยู่คนเดียวก็อย่าลืมหาข้าวเช้ากินด้วย มันสำคัญ”

“ครับ”

“แม่ว่าแม่เช็คของในกระเป๋าอีกรอบดีกว่า”

“แม่ มันเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เชื่อจุนสิ”
“นั่งเถอะครับ ทานข้าวกัน”
“เดี๋ยวจุนไม่อยู่ แม่จะทานข้าวเหงาปากนะ”
“มื้อนี้มานั่งคุยกันให้นานๆ ดีกว่า”

“เออ ก็ดีเหมือนกัน”
“แต่แม่น่ะไม่เหงาหรอก เพื่อนบ้านเยอะไป”

“ครับ ก็ถ้าแม่ว่างั้นนะ”
“วันนี้ไม่มีน้ำพริกหรอแม่”

“อ้อ มีๆ ลืมเลย คาครกอยู่” แม่ค้ำจุนปัดมือไปมากลบความอาย หญิงวัยกลางคนที่แสนอดทนคนนี้ลุกไปตักน้ำพริกกะปิที่ตำไว้ในครกหินที่ใช้มาเป็นสิบๆ ปี เธอนำมาขึ้นโต๊ะอาหารทรงกลมที่มีเก้าอี้ประกบวางถึง 4 ตัว แต่ใช้งานจริงเพียง 2 ตัวเท่านั้น

มุมห้องครัวนี้มีหลอดไฟแขวนไว้เพื่อเพิ่มความสว่าง ลูกชายเธอเป็นคนซื้อหามาแล้วก็ออกแบบแขวนไว้ เหมือนที่เขาออกแบบบ้านหลังนี้เองแล้วก็จ้างผู้รับเหมามาสร้างให้เมื่อ 3 ปีก่อน

ใจจริง เธอไม่อยากให้ลูกชายไปทำงานไกลบ้าน แต่ลำพังค้าขายต้นไม้มันไม่พอต่อกำลังใจในการหาเงินของลูกชายเธอ ทั้งที่เราก็ไม่ได้อยู่กันอย่างลำบากหรืออดอยาก แต่ค้ำจุนก็ยืนยันว่าเขาต้องทำงานหาเงินให้มากกว่านี้มาให้แม่

คุณลวัลย์มองลูกชายซดต้ดจืดตำลึงหมูสับอย่างเอร็ดอร่อย เธอคอยตักผักสดสำหรับจิ้มน้ำพริกกะปิให้ลูกชายเคี้ยวแกล้มข้าวและแกง ความสุขเธอมีเท่านี้จริงๆ

“ทานเยอะๆ ลูก”

“แม่ด้วย”

“โอ้ย แม่อิ่มแล้วเนี่ย จุนทานเผื่อแม่ด้วยไม่ใช่หรอลูก”

ชายหนุ่มอมข้าวพร้อมกับอมยิ้มให้แม่มอง เขารู้ว่าเธอห่วง แต่เขาก็ต้องโต ต้องแข็งแกร่ง ต้องเป็นหลักที่แข็งแกร่งสำหรับแม่ ต้องดูแลแม่ให้ดีกว่านี้ ให้สมกับที่รับปากพ่อเอาไว้
จะมายึดอาชีพชาวสวนไปจนตายคงไม่ได้ ยังไงก็ต้องหางานทำเพิ่ม หาเงินเพิ่ม แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องเป็นชาวสวนไปด้วย


หวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของนายค้ำจุน


tbc...


ห้องเก็บของ : สวัสดีค่ะ  กะจิ๊ดริดเองค่ะ
มาต่อตอนที่1  แล้ว อ่านแล้วอาจจะรู้สึกสั้นๆ เอ๊ะ? สั้นหรอ? ก็น่าจะสั้นแหละค่ะ
สืบเนื่องจากโปรแกรมไมโครซอฟท์ของเราหมดอายุ ก็เลยต้องพิมพ์ใส่โน๊ตเอา เราก็กะความสั้นยาวไม่ถูกค่ะ
แต่กำลังจะแก้ปัญหาเรื่องโปรแกรมแล้ว เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องนี้ก็จะหมดไป แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้เรามาลงตอนที่2ได้เร็วขึ้นหรอกนะคะ มันก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยเหมือนกัน

อ่านตอนที่1 กันจบแล้ว เราว่าคนอ่านก็น่าจะเดาได้เลาๆ แล้วว่าเรื่องนี้ให้อารมณ์ไหน สีอะไร ฤดูอะไร เราก็หวังว่าเราจะคุมโทนแสงสีเสียงของเรื่องนี้ได้คงเส้นคงวาเหมือนกันค่ะ จะไม่ลากดราม่า ไม่พาไปตกหลุมให้ใครต้องเจ็บช้ำใจ

เรื่องนี้ใสๆ วัยไหนก็อ่านได้อย่างแท้จริงค่ะ

ฝากติดตามเรื่องราวของเปลและจุนกันต่อไปด้วยนะคะ
^,^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2017 23:23:49 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ greenoak004

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 1
«ตอบ #9 เมื่อ16-09-2017 00:04:07 »

 :give2: :give2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 1
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-09-2017 00:04:07 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
«ตอบ #10 เมื่อ09-10-2017 23:25:00 »

HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid


Home*Mate [2]



ผมดูดน้ำจนกักไว้เต็มถุงแก้ม เหล่มองเพื่อนสาวที่ห้าวมากในบางทีอย่างไม่ค่อยพอใจมันนัก ยาดาเป็นคนช่างซักถามจนน่ารำคาญสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีคำตอบชัดเจนให้กับประเด็นไหนๆ อย่างผม

“ก็อย่างที่บอกไง”

“ได้ยินแล้วไง แต่ทำยังไงล่ะ?”

“ก็เดี๋ยวก็รู้เอง ตอนนี้ยังไม่ได้จรริงจังอะไรมาก” เรากำลังคุยกันเรื่องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ครับ

ผม...ซึ่งได้อสังหาริมทรัพย์เป็นห้องชุดคอนโดมิเนียม 1 ห้อง พื้นที่ 38 ตร.วา แบ่งเป็นห้องนอนหลัก ห้องอยากทำอะไรก็ทำ ห้องรับแขก ห้องครัวแยกส่วน และห้องน้ำ

ผมคิดว่าตัวผมเนี่ย อยู่ในห้องกว้างแบบนั้นคนเดียวมันก็จะไม่ค่อยคุ้มพื้นที่สักเท่าไหร่ ก็เลยบรรเจิดความคิดเรื่องการปล่อยห้องให้เช่าขึ้นมา

แล้วตัวผมนี้ ก็จะซมซานไปอยู่บ้านกับเจ๊ป๋อมเหมือนเดิม

จริงอยู่ที่คนรำคาญกฎระเบียบแบบผม คงอยู่กับผู้หญิงบ้าความเป๊ะปังแบบเจ๊ป๋อมอย่างไม่มีความสุขนัก แต่ว่า... มันก็น่าจะดีกว่าการอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ

จริงๆ แล้ว...ผมเหงาครับ

หลังจากเจ๊ตัดสินใจเตะผมออกจากบ้าน ให้มาใช้ชีวิตอิสระเมื่อเดือนก่อน ผมก็รู้แล้วครับว่าความเหงาและเดียวดาย มันน่ากลัวมาก

“แล้วถ้าปล่อยเช่า แกจะไปอยู่ไหน” ยาดาส่งคำถามมาตอกย้ำความน่ารำคาญ แต่ผมก็ด่าเพื่อนไมได้หรอกครับ เพราะที่มันจู้จี้ถามนั่นนี่มากมาย ก็เพราะเป็นห่วงผม

“ก็....กลับไปอยู่กันบ้านกับป๋อม”

“ถามพี่ป๋อมแล้วหรอ?”

“ทำไมต้องถามวะ?”
“ก็บ้านเราเหมือนกันนะเว้ยดา” ผมเถียงด้วยข้อเท็จจริง พลางสะบัดมือเพื่อนออกจากแขน เธอจะมาพักมือเธอบนแขนเราแบบนี้ไม่ได้ แฟนเธอก็ดุมากไงเว้ย

“แต่พี่ป๋อมให้เปอยู่คอนโดไง ก็แยกสินทรัพย์กันแล้วนี่”
“งี้เงินค่าเช่า เข้ากระเป๋าใคร”

“กระเป๋าเราสิ”

“พี่ป๋อมเสียเปรียบแบบนี้ เค้าคงยอมให้กลับไปอยู่บ้านหรอก”
“ถ้าอยากกลับบ้านจริง ค่าเช่าก็ต้องเข้ากองกลาง แฟร์สุด”

“.........” ผู้หญิงเผด็จการนี่แม่งรู้ทันเหมือนกันหมดทั้งโลกมั้ยวะ? ผมขมวดคิ้วสงสัยใส่ใบหน้ารูปไข่ของเพื่อนสนิท ยาดาพ่นลมหายใจใส่แรงๆ แล้วก็หันไปสนใจโทรศัพท์ต่อ เรากินข้าวกลางวันกันอยู่ที่ร้านอาหารฟิวชั่น คือทำมันทุกเมนูประจำทุกชาติ

บรรยากาศมื้อกลางวันวันนี้ค่อนข้างจอแจ เพราะออฟฟิศผมอยู่ในอาคารสำนักงานย่านกลางเมืองครับ

ยาดายังคงทานมื้อกลางวันจานด่วนของเธอต่อไป ขณะที่ผมเริ่มคิดตามที่เพื่อนโน้มน้าวแล้ว...จริงด้วย ถ้าอยากกลับไปอยู่บ้านแบบแฟร์ๆ ผมก็ต้องแฟร์กับเจ๊ป๋อมก่อน ... แต่ว่า มันเป็นสินทรัพย์ผมนี่หว่า ถ้าได้ค่าเช่ามา มันก็ต้องเข้ากระเป๋าผม ก็ถูกแล้วไง!

“เอ๊ะ เป เปใช่มั้ย” หือ? เหมือนมีใครเรียก ผมสะดุดความคิดตัวเอง หันมองหาคนที่พอจะคุ้นตาบ้าง เผื่อว่าจะมีคนรู้จักมาเจอกันโดยบังเอิญ แล้วก็ได้เจอครับ

“อ้าว พี่ทัศน์ สวัสดีครับ”

“เฮ้ย หวัดดีๆ ไม่เจอนานเลย แต่เปยังเหมือนเดิมเลยนะ เห็นวูบเดียวก็รู้ว่าต้องใช่เป”

“โหยพี่ คือผมหล่อเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ”

“เออ หล่อสุดไรสุดแล้ว”
“เป็นไงมั่งล่ะ” แกคงหมายถึงเรื่องงาน ผมยิ้มให้ดูก่อนจะบอกสั้นๆ

“ก็ดีครับ”

“แล้วได้เจอเพื่อนๆ รึเปล่า ออกไปแล้วไม่นัดเจอเพื่อนบ้างหรอ?”

“ก็นัดครับพี่ แต่ส่วนมากผมไปถึง พวกมันก็กลับบ้านกันไปบางส่วนแล้ว” ผมเคยทำงานที่บริษัทพี่ทัศน์ครับ ช่วยแกดูเรื่องรับเหมาระบบขององค์กรรัฐ แต่ตอนที่ผมออกมาอยู่ที่ใหม่ เราจบกันด้วยความรู้สึกดีมากครับ แกก็เลยยังเอ็นดูผมเรื่อยมา

“อ้อ พวกทีมเดิมของเปก็ยังอยู่กันเกือบพร้อมหน้า แต่พี่ก็หาคนเพิ่มอยู่นะ จังหวะขยับขยายได้ก็ต้องรีบทำอ่ะเนอะ”
“เอ้อ...มัวแต่คุยความหลัง เสียมารยาทเลย ทานข้าวกันต่อเถอะ ไว้มีอะไรก็อัพเดทกันนะน้อง”

“อ้ออ” ผมหันมองยาดาที่กำลังอ้าปากงับข้าวที่โป๊ะด้วยชิ้นปลาทอด 3 รสอย่างตั้งใจ

“คุยได้ๆ พี่ทัศน์ นี่เพื่อนผมเองครับ ออฟฟิศเดียวกัน คนนี้แหละที่ชวนผมมาทำที่นี่ ถ้าพี่ไม่โกรธที่มันดึงคนจากบริษัท ก็โอเคครับ คบกันได้  ฮ่าๆๆ” ผมผ่อนคลายบรรยากาศเพราะไม่อยากให้พี่ทัศน์ทำสีหน้าลำบากใจใส่ผม เพราะส่วนตัวแล้ว ผมรักและเคารพแกประหนึ่งว่าเป็นพี่ชายท้องเดียวกัน

“ค่ะพี่ ยาดาค่ะ พี่นั่งเลยค่ะ แจมมื้อกันเลยได้นะคะ ถ้าพี่ไม่รังเกียจ”

“เฮ้ย ไม่ๆๆ พี่มีนัด จองโต๊ะไว้แล้ว แต่เค้ายังไม่มากัน งั้นขอนั่งขำๆ แป๊บนึงนะ” แกบอกแล้วก็นั่งลงข้างผม

เราคุยกันเรื่องทีมเดิมที่ผมเคยทำงานด้วย หลายคนยังพูดถึงผมอยู่ และแน่นอนว่าพูดถึงในทางที่ดี ก็แน่ล่ะครับ ผมเป็นคนดีนี่นา และแล้วพี่ทัศน์ก็สะกิดต่อมรวยทางลัดของผมขึ้นมาจนได้

“ตอนนี้พี่กำลังสนุกกับอสังหาฯ เปสนใจมั้ย”

“เฮ้ยพี่ สนใจครับ” ผมตาลุกวาวระดับที่ยาดาหลับตาใส่ก็ยังสัมผัสได้ถึงแสงแห่งความงก

“พี่ไปซื้อที่ดินไว้ ติดทะเล ด้านหลังก็ติดถนนทางหลวงเลยนะ สร้างรีสอร์ทไว้แล้ว ที่เมืองเพชร”

“หรอครับ โหย ดีอ่ะพี่ เปไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยพี่ทัศน์ มีแต่คอนโดห้องเดียว”

“หรอ? อยู่เองน่ะหรอ เอ...พี่จำได้ว่าบ้านเปก็เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกไม่ใช่หรอ?”

“ก็ไม่เชิงอยู่เองหรอกครับ ก็...” ผมเหล่มองยาดาที่ถลึงตาใส่หวังจะดึงสติผม แต่เพื่อนก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ค่อยมีสตินัก
“ก็ว่าจะปล่อยเช่าน่ะครับ”

“อื้มมม ก็ดีนะ พี่ก็ซื้อมือสองไว้หลายที่ ทั้งคอนโด ทั้งทาวน์โฮม ปล่อยเช่าเหมือนกัน”
“เอ้อ พี่เพิ่งรับคนใหม่มา รุ่นๆ เปนี่แหละ เค้ากำลังหาที่อยู่ เปลองคุยมั้ย”

“จริงหรอครับพี่ทัศน์ เห้ย! คุยๆ คุยครับ”

“ใจเย็น ถ้าคลิกกันก็โอเค เพราะว่าจุนก็มีเงื่อนไขอะไรนิดหน่อย”

“โอ้ยพี่ คนใหม่ที่บริษัทพี่ทัศน์หรอครับ งั้นมาเช่าห้องเปเลย มาเลย คนกันเองทั้งนั้น”
“ได้เลยพี่ ได้ พี่ให้เบอร์เปไปเลยครับ เบอร์เดิม เปให้ราคาพิเศษ”

“เฮ้ยจริงหรอ?”
“เฮ้ย ไม่ต้องให้พิเศษเพราะพี่แนะนำนะ เอาที่เข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ฝ่ายดีกว่า”
“ก็น้องพี่ทั้งคู่ด้วย”

“นั่นดิเป คุยก่อนมั้ยว่าเค้าหาห้องแบบไหน และรับได้ราคาเท่าไหร่”

“ใช่ๆ เปไปทำการบ้านก่อนว่าทำเลตรงคอนโดฯ เป เค้าปล่อยเช่าเดือนละเท่าไหร่”

“อ่อ...ครับ เดี๋ยวลองดูข้อมูล แต่พี่ทัศน์อย่าลืมเอาเบอร์เปให้เค้านะ จะได้ตกลงกัน”

“โอเค ใจร้อนเหมือนเดิมนะเรา”
“อ่ะ คู่นัดพี่มาแล้ว มีไรอัพเดทกันนะ เจอกันๆ หวัดดีครับ หวัดดี” แกรับไหว้อย่างทั่วถึงแล้วก็ตรงดิ่งไปยังผู้หญิงที่เดินมาตามการชี้นำของพนักงาน พอ 2 คนเจอหน้าและทักทายกันแล้ว ผมกับยาดาก็หันมาอยู่ในความสนใจของกันและกันอีกครั้ง

“เอาจริงหรอเป”

“ก็เอาจริงดิวะ”
“โอกาสมาแล้ว ไม่ต้องเสียเงินค่านายหน้าให้ที่คอนโดด้วย คนเช่าก็คัดแล้วระดับนึง เป็นเด็กใหม่บริษัทพี่ทัศน์อ่ะ โปรไฟล์เชื่อถือได้”

“ใจเร็วว่ะแก”

“เค้าเรียกว่ารู้จักคว้าโอกาส”
“อิ่มยังเนี่ย เอาไรอีกมั้ย”

“ไม่ อิ่มแล้ว”

“เค เก็บเงิน มื้อนี้เปจ่าย มื้อที่แล้วดาจ่ายแล้วนี่”

“ขอบใจว่ะที่แฟร์กับชั้น แต่แกแฟร์กับพี่สาวแกแบบนี้บ้างก็ดีนะ”

“ทำไมต้องแฟร์กับป๋อมวะ? เป็นพี่ก็ต้องเสียสละ ถูกต้องแล้ว”

“วุ ไอ้แคบ!” มันด่าผม แล้วก็เรียกบริกรมาคิดค่าเสียหาย มื้อนี้ก็เหมือนมื้ออื่นๆ ที่เรากินข้าวด้วยกันแหละครับ

ผมโชคดีที่มียาดาเป็นเพื่อน แต่มันโชคดีมากกว่าที่ผมยอมเป็นเพื่อนด้วย
ผมเป็นคนไว้ใจคนยาก ดูเผินๆ เหมือนจะเข้าถึงง่าย แต่นี่ก็เข้าวัย 25 ปีแล้ว เพื่อนสนิทยังนับได้ถ้วนใน 1 มือเลยครับ

2 ใน 5 คน เป็นแฟนกัน นั่นก็คือยาดาและวราห์ อีก 3 คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าแกงค์เพื่อนบ้าน แต่พวกเขาก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเองแล้ว มีนัดเจอกันบ้างแล้วแต่โอกาส แต่ก็ต่อกันติดเสมอแหละครับ


Home*Mate


ราวครึ่งเดือน กว่ากราฟชีวิตผมจะเป็นไปอย่างที่หวังครับ
เช้าวันนี้มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา ปกติผมจะไม่รับ เพราะไม่ต้องการทำบัตรเครดิตใดๆ แล้ว แต่เช้านี้ผมจงใจรับโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม ที่มาจากความคาดหวังว่า ผมจะรวย

“ครับ”

“คุณเปรึเปล่าครับ”

“ใช่ครับ ใครครับ”

“อ่า พี่ทัศน์แนะนำมา เห็นว่าคุณเปปล่อยเช่าคอนโด ผมอยากดูห้องก่อน แล้วก็ขอพิกัดได้มั้ยครับ”

“โอเคครับ”
“เดี๋ยวผมแอดไลน์คุณนะครับ แล้วส่งอีเมลมาให้ผม ผมจะส่งรายละเอียดให้”

“เอ่อ...ขอรู้ทำเลก่อนได้มั้ยครับ”
“ถ้าไกลมาก ผมก็ไม่ไหว”

ไกลบ้าบออะไร 500 เมตรก็บีทีเอสแล้วครับพ่อคุณ ผมติในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้ผู้เช่าคนแรกเสียขวัญ

“คอนโดอยู่ในซอย... ปากซอยคือบีทีเอสสถานี...500  เมตรถึงตีนสะพานเลยครับ”

“หา?..​อยู่ย่านนั้นเลยหรอครับ เอ่อ...ก็ไกลนะ”

“ไม่ไกลนะ 20  นาทีก็ออฟฟิศพี่ทัศน์แล้ว คุณ...ผมก็ลูกน้องเก่าที่นั่น สะดวกครับ รับรอง” เชื่อกันหน่อยสิครับ ผมก็เคยอยู่ออฟฟิศนั้นนะ ส่วนตัวเลข 20 นาทีนี้ผมคำนวณจากเวลาเดินทาง/สถานีที่บีทีเอสให้ข้อมูลไว้แก่สาธารณชน

“อ่อ ผมอยากให้แถวๆ จตุจักร”

เอ่า ชิบหายแล้วคนละทิศเลย แต่ผมอยากปล่อยเช่านี่หว่า ทำไงดีวะเนี่ย

“อืม ถ้าอยากอยู่แถวนั้น กว่าคุณจะถึงออฟฟิศก็ช้ากว่าอยู่ทางผมนะ”
“คุณจะไปอยู่ทางจตุจักรทำไม”

“ผมขายของ”

“อ่อออออ ไม่ลำบากหรอก เสาร์อาทิตย์ก็ ไปขายของไง”
“คุณมาดูห้องผมก่อน เฟอร์ครบ พร้อมอยู่ คุณมาแต่ตัวกับเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวแค่นั้น รับรองอยู่ได้ และหาราคานี้ที่ไหนไม่ได้แล้วด้วย ผมเห็นว่าเราก็น้องพี่ทัศน์เหมือนกันหรอกนะ”

“เอ่ออออ”

“เอาน่ามาดูห้องก่อนก็แล้วกัน”
“แต่ก่อนอื่น รับไลน์ผมด้วยนะ แล้วส่งอีเมลมา เดี๋ยวผมส่งรูปห้องไปให้”

“โอเค  ครับๆ”

“โอเค เชื่อสิ คุณต้องชอบห้องผม” ผมปิดท้ายแบบที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะประทับใจ วางสายด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นมากๆ ว่า จะต้องปล่อยเช่าห้องนี้ให้ได้

ให้เช่าคอนโดแล้วเปจะอยู่ที่ไหน ... คำถามยาดาผุดขึ้นมาให้หัว
ไม่ยากเลย ผมตอบยาดาในใจ
เราก็กลับไปอยู่บ้านไง ก็ในเมื่อ บ้าน...คือวิมานของเรา


เช้าวันนี้ ผมออกจากคอนโดไปทำงานย่านสาทรด้วยหัวใจอิ่มเอม ผมจะมีเงินก้อนเงินเก็บ ดีล่ะ ผมจะมีเงินลงทุนในหุ้นกับกองทุนเพิ่ม ผมอาจจะออมเพิ่มได้อีกเดือนละหลายพันด้วย แล้วถ้าเจ๊ป๋อมถามถึงความเป็นธรรม ผมก็จะดีดเศษค่าเช่าให้ไปเป็นค่าปิดหูปิดตา เท่านี้ก็ไม่มีใครมีชีวิตลงตัวเท่ากับผมอีกแล้ว


ผมไลน์บอกข่าวดีให้ยาดารู้ มันดีใจด้วยแต่ส่งสติ๊กเก้อหน้าช็อคโลกมาให้ วันนี้เป็นวันอังคาร ยาดาอยากไปซื้อต้นไม้ที่ตลาดนัดกลางคืนที่จตุจักรเสียหน่อย เราก็เลยนัดกัน ส่วนไอ้วราห์นัดรับยาดาหลังจากซื้อต้นไม้เสร็จครับ

เอาล่ะ ...  ผมควรสร้างสิ่งมีชีวิตในคอนโดเสียหน่อย อย่างน้อยๆ ก็เพื่อให้ผู้เช่ารายแรกของผมเกิดความประทับใจ


ยังไม่ค่ำดี ผมกับยาดาก็มาถึงตลาดต้นไม้กลางคืนที่จตุจักรแล้วครับ
อืม...ว่าที่ผู้เช่าคนแรกคนแรกของผมก็เป็นพ่อค้านี่หว่า อยากรู้แฮะว่าขายอะไร แต่เอาไว้ค่อยคุยกันก็ได้ พวกเรานัดเจอกันเย็นวันเสาร์นี้ครับ  เขาส่งอีเมลมา ผมก็ส่งรูปไป พร้อมกับรายละเอียดห้อง สื่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ส่วนราคา ผมคิดว่าต้องคุยกันต่อหน้ามากกว่า เค้าอาจไปทำการบ้านเรื่องค่าเช่าห้องในย่านนี้มาแล้ว แต่ห้องผมพร้อมไงครับ พร้อมมาก เพราะฉะนั้น คำตอบก็น่าจะเป็นเยส


“เป ชั้นไปดูร้านประจำนะ ไว้โทรเรียก”

“เออๆ ไปเถอะ ไม่เอาด้วยแล้วคนเยอะชิบหาย” ผมบอก พลางใช้สายตาส่งยาดาไปตามทางที่หัวใจเรียกร้อง จะว่าเวอร์ก็ยอมรับนะครับ แต่เพื่อนผมคนนี้บ้าต้นไม้อย่างกับคนเสียสติ

ผมเลือกเดินเอื่อยๆ 2  มือล้วงกระเป๋า 2 ตามองซ้ายขวา ตามร้านเรียงรายทาง แล้วก็เจอเข้ากับสิ่งที่แปลกสำหรับผมจนได้

“ขอโทษครับ อันนี้ต้นอะไร?” ผมถามพ่อค้าคนเดียวในร้าน เขาเงยหน้ามองแล้วก็บอกสายพันธุ์

“แคคตัสนี่แหละครับ สายพันธ์แมมมิลาเรีย อันนี้แมมขนนกสีขาวครับ ไม่มีหนาว ลองกุมๆ หัวเค้าได้”

“อ่อ”
“แล้วจะโตเยอะมั้ย มีดอกรึเปล่า”

“มีครับ ต้นนี้เค้าเคยให้ดอกมาแล้วด้วยนะ สีชมพู หายากนะครับ”

“อ่อ งั้นก็แพงสิ” ผมเริ่มระแวงขึ้นมาแล้ว จำได้ว่ายาดาเคยบอก อะไรที่ประหลาดๆ หายาก ราคามันจะสูงเวอร์เสมอเลย

“ลูกค้ามองไว้งบประมาณไหน ผมจะได้แนะนำถูก ถ้ากลัวแพงล่ะนะ” พ่อค้าตอบ ดูแล้วคงไม่ชอบคำวิจารณ์ราคาเท่าไหร่ น้ำเสียงเค้าเริ่มไม่ค่อยเป็นมิตรแล้ว

“จริงๆ ก็ไม่ได้กลัวแพง” ผมแก้เก้อ
“แต่ไม่อยากได้แบบราคาสูงแล้วไม่คุ้ม” ผมไม่ใช่คนงกนะ แต่ผมใช้เงินอย่างคุ้มค่า

“จะเอาไปขายต่อหรอครับ งั้นหาอย่างอื่นดีกว่า” ทำไมต้องถามต่อด้วยวะ ก็แค่บอกราคามาแค่นั้นก็จบ ผมก็เริ่มไม่สบอารมณ์แล้วเหมือนกัน

“ทำไมล่ะคุณ”
“ผมจะซื้อไปเลี้ยงเองหรือขายต่อมันก็เรื่องของผมไง ขายก็ขายมา ขายแล้วต้องตามติดชีวิตมันนี่คุณจะมีเวลาพอหรอ ตลกแล้วเนี่ย คุณยังเลี้ยงขายเลย”

“จริงๆ ก็เรื่องของลูกค้า”
“แต่ถ้าจะเอาแมมไปขายต่อ คุณไม่น่าจะได้กำไรเท่าไหร่หรอกครับ”
“เค้าโตช้าหน่อย ชอบแดดจัดๆ แต่น้ำไม่ต้องเยอะ ถ้าตัวไหนออกดอกแล้วก็จะให้อยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ให้ดอกสีขาว เป็นไม้ที่ใครๆ ก็หาได้”
“แต่ขนนกขาวตัวนี้ ให้ดอกสีชมพู มันหายาก”
“ถ้าคุณชอบ อยากเอาไปเลี้ยงให้คุณรู้จักรักต้นไม้ ผมก็ขายอยู่แล้ว”
“แค่อยากจะเตือน ว่าถ้าคุณรักแล้ว คุณจะไม่อยากขายมัน แล้วคุณก็เจอเรื่องตลกๆ ซะเอง”
“ผมถึงได้ถามว่า จะเอาไปขายหรอ จะได้แนะนำตัวอื่น”

“พูดมากชิบหาย”
“เอาตัวนี้ ขนขาวดอกชมพูนี่แหละ”

“ขนนกครับ”

“อื้อๆ ขนนก เท่าไหร่”
“อย่าบวกเยอะนะ ผมไม่ได้เอาไปขาย ผมเอาไปเลี้ยง”

“ผมไม่ขาย”

“เอ่าเห้ย”

เป เป ชั้นได้แล้วนะ แกได้รึยัง เสียงยาดาทำให้ผมชะงักนิดหน่อย เมื่อหันไปมองเลยเพื่อนเพื่อนห้าววิ่งมาหา ในมือว่างเปล่า แสดงว่ามันซื้อของใหญ่และแบกคนเดียวไม่ไหวเลยวิ่งมาขอแขนเสริม

ผมหันมองพ่อค้าอีกรอบ ตั้งใจจำหน้าไอ้นี่ไว้ให้ติดตา แล้วก็เอ่ยคำลาที่แสนจะน่าประทับใจ

“กวน ส้น ตีน”


Tbc


ห้องเก็บของ : ว้าววววว มาต่อแล้วค่ะ
หายหัวไปหลายเดือน ไม่ได้หายไปไหนเลยค่ะ สถิตย์อยู่ที่เดิม แค่ไม่ได้เข็นงานออกมาเท่านั้นเอง ขออภัยอย่างรุนแรงค่ะ
เชื่อว่าหลายคนลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ไม่เป็นไรค่ะ ลืมก็อ่านใหม่ เพราะเพิ่งเริ่มเรื่องเท่านั้น

สปอล์ยเพิ่มเติม เพราะอยากให้คนอ่านนึกภาพตามได้ ตอนไหนที่เอ่ยถึงแคคตัสสายพันธุ์ไหน เราจะขอให้ชื่อทางการไว้ตอนท้ายนะคะ เผื่อไปหาดู อยากให้ทุกคนชื่นตาชื่นใจเท่านั้นเองค่ะ

สำหรับตอนนี้ แคคตัสที่เปถูกใจคือ mammillaria plumosa ค่ะ ลองหารูปเด็กหัวขาวนี้ในกูเกิลดูนะคะ

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะว่าว่าที่ผู้เช่าห้องรายแรกของเป จะมีอาการยังไงในวันแรกเจอ >,<

ปล.เราพยายามแปะรูปแคคตัสตัวเองแล้ว แต่ทำไม่เป็นค่ะ ขอโทษด้วย T^T

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2017 23:26:53 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
«ตอบ #11 เมื่อ17-10-2017 22:50:29 »

นุ้งเปย์ดูเหวี่ยงหวีนได้ใจดีขัง 5555
แรากฏพ่อค้าขายแคสตัสคือค้ำจุน
คนที่จะมาเปนรูมเมท ถ้าใช้จะฮาเลย อิอิ

ออฟไลน์ NoteZapZa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
«ตอบ #12 เมื่อ18-10-2017 17:10:30 »

กรี๊ดดดด.....มาปัดหุมไว้ก่อนะคะ เดียวอ่านพี่โป๊ะจบรอบนร้จะตามมาอ่านเรท่องใหม่ค่ะ น่าก็วนอ่าน 3 พี่เค้าจนหลงรักแล้วหลงรักอีก ดีมารออ่านพี่เปล5555

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
«ตอบ #13 เมื่อ29-10-2017 02:48:11 »

ไปเสิรชดูรูปน้องแคคตัสเหมือนบร็อคโคลี่เลยค่ะ น่ารัก ลุ้นๆตอนเขาเจอกันวันนัดดูห้อง เปจะกลับบ้านแล้วจะได้เจอกันยังไงคะเนี่ยถ้าจุนตกลงเช่า สนุกมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ รอตอนต่อไปค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
«ตอบ #14 เมื่อ29-10-2017 19:38:31 »

 :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 2
«ตอบ #15 เมื่อ29-10-2017 21:16:17 »

เปล คิดเองเออเอง
ปล่อยเช่า แล้วกลับไปอยู่บ้าน
โดยที่ไม่ถามพี่เลย

คนที่จะมาดูห้องเช่าก็เคยกวนตีนกันอีก   o22 o22 o22
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 3
«ตอบ #16 เมื่อ13-11-2017 23:17:26 »

HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid


Home*Mate [3]



“วอท!!!!!” คือดับบลิวเอชเควสชั่นในภาษาอังกฤษ และบางสถานการณ์ก็ทำหน้าที่เป็นคำอุทานครับ ผมรู้สิ ผมเรียนมา แต่ที่งงๆ อยู่นี่ก็เพราะไม่เข้าใจพี่สาวว่าจะส่งคำถามมาพร้อมเสียงอุทานทำไม

“ก็อย่างที่บอกไง”

“แล้วไง แกบอกอะไรชั้นก็ต้องยอมรับสิ่งนั้นหรอ?”

“เอ่า พูดงี้คืออะไรอ่ะเจ๊ป๋อม”
“เปอยู่บ้านไม่ดีกว่ารึไง เราได้เงินเพิ่มกันนะ บอกแล้วไงว่าแบ่งให้”

“ชั้นไม่สะดวก”

แปลว่าไรวะ?
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้พี่ผมไม่สะดวกกับการกลับมาอยู่บ้านกันล่ะ?
นี่ก็บ้านผมเหมือนกันนะเว้ย แม้ว่าเจ๊ป๋อมจะยกคอนโดให้ผมแล้วก็ตาม

“ไม่สะดวกยังไง เปไม่ได้รบกวนอะไรป๋อมเพิ่มเลยนะ”
“ห้องก็ห้องเดิม ทุกอย่างเดิมหมดเลย แค่ขนเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวมาเท่านั้นเอง”
“อะไรคือไม่สะดวก”

“ก็...ไม่สะดวกก็คือไม่สะดวก”
“ชั้นชินกับการอยู่คนเดียวไปแล้ว”

“ไม่ใช่อ่ะป๋อม ไม่ใช่เหตุผล”
“พูดตรงๆ ดิ ว่าไม่สะดวกเพราะอะไร”

“อือ ช่างมันเถอะ”
“เอาเป็นว่า เปกลับมาอยู่ก็ได้ แต่จะมาคัดค้านอะไรไม่ได้แล้วนะ ชีวิตใครก็ชีวิตมัน”
“กลับมาอยู่ ก็อยู่ในที่ทางของเปก็แล้วกัน”
“แล้วก็...ค่าเช่าที่ได้มา ครึ่งครึ่ง ไอ้แบ่งมา20% ให้ชั้นเนี่ย ยังไม่พอค่าสปาเท้าเลย”
“ตามนี้นะ ขัดข้องก็ล้มดีล”

อะไรของเค้า?
ผมได้แต่ขมวดคิ้ว จิ้มคอหมูย่างเข้าปาก พร้อมกับมองตามพี่สาวที่เดินขึ้นห้องส่วนตัวบนชั้น 2 ของบ้าน

พื้นที่ตามโฉนดของบ้านนี้คือ 64 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 263 ตารางเมตร ถ้าเมตรนึงของมนุษย์เราแบบก้าวเวอร์ๆ เท่ากับ 1 ตารางเมตร เท่ากับว่า ผมห่างจากพี่ผมได้มากสุดถึง 262 เมตร ผมทำให้เจ๊ป๋อมอึดอัดส่วนไหนหรอครับ? เงาตอนพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกยังไม่ทับกันเลยเถอะ ต่อให้เจ๊สยายผมแล้วลมพัดโชยด้วยอ่ะ!

แต่ก็ช่างความงงมันเถอะครับ
ตอนนี้แผนลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของผมเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว
การกลับมาอยู่บ้านไม่ใช่ปัญหาแล้ว แม้พี่สาวจะพูดปาวๆ ว่าไม่สะดวกก็เถอะ
เหลือแค่วันพรุ่งนี้ ผมจะไปเจอกับผู้เช่ารายแรก เราน่าจะได้เซ็นสัญญาเช่าห้องกันหลังจากพูดคุยเรื่องเงื่อนไขต่างๆ กันแล้ว 1  ชั่วโมง จากนั้นผมก็จะกลับไปจัดการที่ห้อง ขนของออกมาแต่เนิ่นๆ ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะยังไม่รู้แน่ว่าเขาจะเริ่มเช่าเมื่อไหร่ก็เถอะ แต่มันก็น่าจะเป็นเดือนหน้าสิ เพราะดูเหมือนจะหาห้องเช่าด่วนๆ อยู่ ไม่อย่างนั้นพี่ทัศน์คงไม่ลงแรงช่วย

ผมให้ยาดาช่วยเรื่องสัญญาเช่า เพราะมันรอบรู้และรอบคอบกว่าผมมาก และมันเป็นเพื่อนผม มันก็ต้องช่วยผม ผมปรึกษามันแล้วว่าให้จ่ายล่วงหน้า 3 เดือนก่อนดีมั้ย มันว่าไม่ดีหรอก ผมก็เลยให้มันเขียนในสัญญาไปด้วยว่าจ่ายล่วงหน้า 6 เดือน และมันก็ทำหน้าบูด ไอ้บ้านี่งกกว่าผมอีกหรอ? จะให้ผมเก็บล่วงหน้า 12 เดือนเลยหรอ? ไม่ดีนะ มันจะเอาเปรียบฝ่ายนั้นเกินไป

ผมนั่งฝันหวานอยู่ในม้าใกล้สวนไม้พุ่มที่พ่อจัดไว้ บ้านเราร่มรื่นครับ ต้นไม้เยอะ เพราะพ่อชอบ ดอกไม้ก็เยอะตามมาเพราะแม่ชอบ เรามีแปลงผักสวนครัวนิดหน่อยแล้วแต่แม่ปลูก แต่เราไม่มีโรงเลี้ยงหมู หรือเล้าไก่เหมือนบ้านแม่ที่อ่างทองหรอกนะครับ มันจะดูแลกันยากไปนิดนึง

จะว่าไป ผมก็ยังไม่เข้าใจพวกเขานัก ไม่เข้าใจว่าแม่จะย้ายจากบ้านนี้ไปใช้ชีวิตอีกรูปแบบนึงในอีกบ้านนึงทำไมกัน เราอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุขหรอ? พ่อก็ด้วย เบื่อจะอยู่บ้านนี้ขนาดนั้นเลยหรอ? ถึงต้องแยกห่างจากลูก 2 คนไปแบบนี้

ผมเคยถามแม่ แม่ก็บอกไม่อยากอยู่บ้านเบื่อๆ และอยู่บ้านนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำ นอกจากดูแลบ้าน ทำความสะอาด ทำอาหาร มันไม่สร้างรายได้หมุนเวียน ผมเคยเสนอให้แม่ทำข้าวกล่องขายออนไลน์ แม่ก็ว่ามันไม่ใช่ทาง

สุดท้ายผมก็หมดทางค้าน และต้องยอมรับระยะห่างที่พวกเขาเลือก

“น้องเป แตงโมมั้ย” ป้าพรยื่นหน้ามาถาม วันศุกร์เป็นวันแม่บ้านมาครับ และป้าพรแกดีอย่างตรงที่แกจะชอปปิ้งขนมนมเนยผลไม้เข้ามาให้ด้วย แน่นอนว่ายื่นใบเสร็จกับเจ๊ป๋อม จ่ายตามจริงครับ กินไม่กิน ชอบหรือไม่ชอบก็จ่ายเงินให้แก

“เอาครับ เอาๆ”
“แช่เย็นก่อนได้มั้ย”

“แช่ไว้ประเดี๋ยวนึงแล้ว แล้วน้องป๋อมล่ะ”

“บนห้องครับ”

“อ้อ คืนนี้ป้าไม่ค้างนะ ทำมื้อเช้าไว้ให้แล้ว อุ่นทานกันเองนะ บ่ายพรุ่งนี้ป้ามาดูแลความสะอาดให้”

“ครับๆ กลับเลยรึเปล่า เดี๋ยวเปตามไปล็อครั้วเลย”

“ใช่ๆ ป้ากลับเลย เทียวนี้แหละ” เทียวแปลว่าตอนนี้ เดี๋ยวนี้ครับ ผมได้ยินมาตลอด แกก็ไม่แก้คำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นสักที

ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วก็เดินไปส่งแกที่หน้ารั้ว จากบ้านผมออกไปปากซอยที่ติดถนนใหญ่ชื่อว่าพัฒนาการ เพียง 300 เมตรเท่านั้นแหละครับ ป้าแกเดินจนคุ้นชิน ตรงปากซอยก็จอแจด้วยวินมอเตอร์ไซค์ เซเว่น โลตัสเอ็กเพรส และป้ายรถเมล์ ถ้าได้รับอันตรายใดๆ ระหว่างเดินทางนี่ต้องถือว่าคราวเคราะห์สุดๆ แล้ว

คืนนี้จบลงอย่างง่ายดายโดยที่ผมยังไม่ทันได้ทวนแผนเจรจาหว่านล้อมผู้เช่าห้องถึงรอบที่3 ดี ก่อนจะหลับไป ผมได้ยินเสียงพี่สาวพูดว่า เปไม่เข้าใจก็เรื่องของเป ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เกี่ยวกับผมยังไง ผมจะไม่เข้าใจอะไร และพี่สาวผมคุยกับใคร แต่ก็นั่นแหละครับ เมื่อง่วง ก็ต้องนอน


Home*Mate


นี่ก็...ถึงเวลาที่นัดไว้แล้ว
ผมนัดว่าที่ผู้เช่าคอนโดที่ร้านกาแฟที่ใครๆ ก็รู้จัก ในห้างที่ใครๆ ก็รู้จัก เดินทางมาถึงห้างได้โดยขนส่งสาธารณะหลายสิ่ง เพราะฉะนั้น เขาก็ไม่น่าจะเลท และไม่ควรเลท

ผมโทรหายาดา เพราะมันต้องเอาสัญญาเช่าที่มันร่างให้มาให้ผม มันจะได้ดูเป็นมืออาชีพกันหน่อย ผมไม่อยากให้ใครว่าเอาได้ว่าไม่รู้จักโต

ยาดามาตรงเวลาเสมอ วันนี้มันมากับแฟนมัน วราห์
“เอ้า มาด้วยหรอ?” ผมทักวราห์ที่ส่งยิ้มให้อย่างหล่อ มันพยักหน้ารับแล้วนั่งลงตรงกันข้ามผม จากนั้นก็ช่วยสอดส่ายสายตาหาตัวนำเงิน

“นัดกี่โมงอ่ะเป”

“ห้าเย็น”

“ก็จวนแล้วนี่”

“อือดิ แต่เขายังไม่มาว่ะ แต่เฮ้ย ไม่ต้องรอเป็นเพื่อนเรานะเว้ย วราห์มีโปรแกรมไปไหนกันต่อก็ตามสบายเลย”

“ไม่เป็นไร ดาเขาห่วง”
“เดี๋ยวเราอยู่เป็นเพื่อน ช่วยกันมุง”

“เออ ขอบใจ” ผมก็ไม่คิดหรอกครับว่าอายุขนาดนี้แล้ว ยังต้องมีเพื่อนนั่งมุง เมื่อเพื่อนมีน้ำจิตน้ำใจ ผมก็เลยอาสาเลี้ยงน้ำ ซึ่งมัน 2  คนดีใจมาก  มันบอกว่านานๆ จะได้กินตังค์ผมสักที อะไรกันวะ? ผมเป็นคนมีน้ำใจกับเพื่อนเสมอนะ

ครู่เดียวที่กำลังนั่งมุงกันอยู่ (โดยที่วราห์เคร่งเครียดแทนผมมากถึงขนาดต้องงัดแว่นมาใส่) โทรศัพท์ผมก็สะเทือน ผมรีบกดรับแล้วส่งเสียงไปพร้อมกับรอยยิ้ม

“ครับ เปครับ”  ใช่เขาจริงๆ ด้วยครับ เขาคนที่ไม่เมมเบอร์ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับเขาที่ผมรอ
“ชั้น2 ใช่ครับ ใช่ๆ”
“เอ๊ะ? พี่ทัศน์ ไม่เห็นเลยนะ”
“เฮ้ย นี่พี่ทัศน์มาด้วยหรอ? อ่อ....อ่อออ” ผมเริ่มงงแบบเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงแล้วครับ บุคคลนี้ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายว่าจะได้เจอ ผมกรอกตามองเพื่อนทั้งคู่ที่ยื่นหน้ามองผมอย่างอยากรู้อยากเห็น ส่งสัญญาณมือให้พวกมันนิ่งไว้ก่อน และเมื่อวางสาย ผมก็บรีฟสั้นๆ

“พี่ทัศน์มาด้วยว่ะ”
“มันญาติกันหรอวะ? ไม่เห็นรู้”

“พี่เขาอาจมาในฐานะตัวกลางไง งั้นเรากับวราห์เป็นพยานก็แล้วกัน”
“เนี่ย มันต้องมีคนลงชื่อพยานด้วยนะ” ยาดาออกความเห็นพร้อมกับชี้เป้าช่องว่างลงชื่อพยาน 3 คน (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องป่าวประกาศกันเยอะแยะ)

ผมนั่งรออยู่เงียบๆ ในหัวพยายามนึกเหตุผลของการมาที่นี่ด้วยของพี่ทัศน์ ซึ่งนึกยังไงก็นึกหาเหตุผลของแกไม่ออกครับ เว้นแต่ว่าเป็นญาติกันนั่นแหละถึงจะเข้าใจได้ว่าเป็นห่วงน้องนุ่ง

แต่ถ้าจะให้นึกแบบอกุศลหน่อย ก็...เสี่ยกับอีหนู
เฮ้ยยยยย แต่พี่ทัศน์เป็นผู้ชายนะเว้ย มีเมียมีลูกแล้วด้วย ... หรือมันไม่หวือหวาพอวะ ถึงต้องหาคอนโดกกอิหนูที่เป็นผู้ชาย

“เป” พี่ทัศน์ไม่ได้เป็นเพียงพี่ในมโนนึกของผมอีกต่อไป ตัวจริงที่สดกว่าโฟร์ดีปรากฏตัวขึ้นด้วยเสียงก่อน ตามมาด้วยร่างกายแสนสมาร์ท และใบหน้าหล่อภูมิฐาน .... สงสารเมียแกว่ะเห้ย ไม่น่าเล้ยยยยย

“ครับพี่ทัศน์”
“มาด้วยก็ไม่บอก”

“จริงๆ ก็ไม่ได้วางแผนไว้หรอก โตๆ กันแล้วน่าจะจัดการกันเองได้”
“แต่จุนมัน... เขาก็มีเงื่อนไขของเขานั่นแหละ” เอาใจอีหนูเกินไปป่าววะเนี่ย? ผมคิดในใจ ส่วนหน้าก็ส่งยิ้มให้พี่แกแบบฝืดๆ

“เออ พี่ทัศน์ครับ” ไม่ไหวครับ ไม่ไหว ผมไม่ชอบสงสัยโดยไม่ลองไต่ถาม

“อือ”

“พี่เป็นอะไรกับ...เขาล่ะครับ”

“หือ?”
“กับจุนน่ะหรอ?”
“พี่เป็นน้ามันน่ะ”

“อ้ออออออออออออออออออ” ผมน่าจะอ้อยาวไปหน่อย ยาดาถึงได้สะกิดกันดังเพี๊ยะ
“ก็ว่า ถ้าเป็นแค่พนักงาน พี่ก็ไม่น่าจะต้องมาประกบ”

“ยายจุนกับแม่พี่เป็นพี่น้องกัน พี่กับแม่มันก็เลยเป็นพี่น้องกัน มันก็พี่ก็เลยเป็นน้าหลานกัน งงมั้ย”

“ถ้าอธิบายแบบนี้ก็จะงงแล้วล่ะครับ” ผมตอบพลางหัวเราะ พี่ทัศน์ยิ้มยิงฟันขาวน่าหลงใหล รอยตีนกาที่หางตาบอกใบ้ให้ว่ากายหยาบแกเหยียบเลข 4  แล้ว

“พี่อยากให้จุนได้อยู่คอนโดของเปนะ จริงๆ”

“เปก็อยากให้เขาเช่าครับ”

“เห้ย งั้นก็ดีเลย จุนมันต้องอยากเช่าอยู่แล้ว”

“จริงหรอพี่ วันนั้นที่คุยกัน ดูเขาอยากอยู่โซนอื่นนะ”

“ก็นั่นแหละ เงื่อนไขเยอะ แต่พี่ไว้ใจเป ไม่อยากให้มันไปถูกเอาเปรียบมาอีก ไอ้นี่ก็ปากหนัก โดนหลอกเงินไปตั้งเท่าไหร่ก็ไม่ปริปากสักคำ น่าเตะ”

“ขอโทษก็แล้วกันครับพี่ผมน่าเตะ” อีกเสียงแทรกขึ้นระหว่างที่ผมกับพี่ทัศน์เมาท์กันอย่างเมามันโดยมียาดาและวราห์นั่งฟังตาแป๋ว

พวกผมทั้ง4 คนพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้ส่งเสียงครืดลั่นร้าน ดีว่าคนไม่พลุกพล่านนัก

ผมมองหน้าหมอนี่ไม่ถนัดเท่าไหร่เพราะพี่ทัศน์ไปล้อมหน้าล้อมหลัง หมอนี่สูงพอๆ กับพี่ทัศน์ก็น่าจะสูงราว 180 นิดๆ ส่วนผมสูงหย่อนกว่าพี่ทัศน์เล็กน้อย

“หลงหรอจุน บอกแล้วว่าให้มารถน้า”

“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งบีทีเอสมาแป๊บเดียว แค่งงๆ ในห้าง”
“แล้ว.....”

“อ้อๆ มาๆ รู้จักกันไว้”

“เป น้องๆ นี่ค้ำจุน หลานพี่”
“ค้ำจุน นี่เป นี่เพื่อนเป นี่ก็เพื่อนเป” แม่งช่างเป็นการแนะนำที่ทำเอายาดากับวราห์งงในจังหวะกันและกัน เพราะไม่รู้ว่าใครจะเป็นเพื่อนเปที่หนึ่งและเพื่อนเปที่สอง

ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กับว่าที่ผู้เช่าห้องผม ส่วนผมยังคงมองหน้าเขาอยู่ เพราะเขายังมองหน้าผมอยู่

ราวกับว่าสติผมมันงงๆ อยู่พักนึง จากนั้นก็เหมือนถูกไฟฟ้าช็อตขึ้นมาดื้อๆ

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยนั่นนี่”

“เอ้าคุณ!! พูดให้ดีๆ หน่อย”

“พี่ทัศน์!” // “น้าโจ้!!!”

“ไอ้นี่หรอ!!!”


อาการวางสีหน้าไม่ถูกมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ผมกดสายตาแช่มองสัญญาเช่าห้องชุดระยะยาวที่ยาดาร่างมาอย่างไร้โฟกัส ยาดากับวราห์มองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก พี่ทัศน์เองก็ทำหน้าไม่ถูก

ส่วนคู่กรณีผมก็มีสีหน้าเลื่อนลอยไม่แพ้กัน

“เอาน่า”
“มันก็แค่....แบบ...”
“แบบบบ ไงดีอ่ะ เพื่อนเปว่ายังไงกันดี” ชายหลัก4 ถามหาตัวช่วยครับ คู่รักวัย20 กลางๆ ก็เลยมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กกว่าเดิม

“อ๋อ ค่ะ มันก็แค่...แบบ....แบบ แบบ”
“แบบยังไงดีค่ะวราห์”

“เอ่อ ทานน้ำก่อนมั้ยครับ” วราห์ ไอ้บ้า!! กูไม่เลี้ยงน้ำแม่งหรอกนะ

ผมถอนหายใจออกมาในที่สุด จากนั้นก็พูดสิ่งที่ทุกคนหันมองผมตาโต

“คืนนั้นมัน....ก็อย่างที่พูดนั้นแหละ”
“ก็คุณกวนตีนจริงๆ”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมไม่กวนตีนนี่ ผมไม่ได้เถียงอะไรคุณสักคำ”

“งั้น แปลว่าไม่โกรธ”

“ไม่ ใส่ ใจ น่ะ” กวนตีนกูอยู่สินะ ผมพยายามสะกดอารมณ์ พยายามหาเหตุผลที่ผมต้องมานั่งคุยกับไอ้พ่อค้าขายต้นไม้กวนส้นตีน เพื่อเงิน เพื่อเงิน เพื่อเงิน...แต่ว่า มันจะมีเงินเช่าห้องผมหรอวะ?

“งั้น คุณลองอ่านสัญญาเช่าดูก่อนก็แล้วกัน”

“เออๆ แบบนี้แหละดี”
“จุน ลองอ่านดู”
“พื้นที่ห้องก็กว้างขวางดีไม่ใช่หรอ จุนบอกเองนี่ มีระเบียง2ระเบียงด้วย”
“จะได้วางของ.....” พี่ทัศน์พูดเท่านี้แล้วก็สะดุดเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรได้ จากนั้นแกก็พูดต่อ
“เด็กๆ จะได้อยู่ได้”

“เอ่อพี่ทัศน์ คอนโดเปเลี้ยงสัตว์ไม่ได้นะครับ”

“หึ” คนส่งเสียงหออึหึไม่ใช่พี่ทัศน์ครับ แต่เป็นหลานตัวเท่าควายไบซันของเขา ผมเหล่มองและได้พบกับการปรายตามองที่โคตรจะกวนส้นตีน

มันเกลียดผม ผมจะเกลียดมันให้มากกว่า กูต้องชนะเว้ย ชาตินี้กูจะแพ้แค่พี่สาวกูเท่านั้น ผมส่งกระแสจิตไปบอกไอ้คนสายตากวนตีน ไม่รู้มันจะเข้าใจมั้ย

“อ่านสัญญาดิ”

“ไม่”
“น้าโจ้ ผมว่าไปดูห้องก่อนดีกว่านะครับ ถ้าลงเงื่อนไขก็ค่อยคุยกันเรื่องค่าเช่า แล้วก็ค่อยทำสัญญา”

“เฮ้ยๆ”
“ผมเป็นเจ้าของสินทรัพย์ เท่ากับผมเป็นคนกำหนดเงื่อนไข ไม่ใช่คุณ”

“งั้นหาที่ใหม่เถอะครับน้าโจ้”
“ผมว่า เจ้าของห้องนี้ไม่น่ารัก อัธยาศัยดีน้อย”

โอ้ยยยยยย ไอ้เหี้ยยยยย
เปเว้ย เปเว้ยเป ใจเย็นเว้ย ปล่อยๆ เช่าไปมึงก็ชนะแล้วเว้ย ได้เงินไง ได้เงิน

“คือ....”
“คุณก็เห็นห้องแล้วไง ภาพผมก็ส่งให้ดูทุกมุม รายละเอียดพื้นที่ ทิศหันหัวนอนก็บอกหมด คุณโอเคแล้วนี่”

“ก็อยากเห็นกับตา”
“ไม่ได้หรอครับ งั้นก็ไม่เช่า”

“เฮ้ยคุณนี่มัน”

“ผมเป็นว่าที่ลูกค้า ผมต้องจ่ายเงินให้คุณ จะขอไปดูก่อนไม่ได้เลยหรอ”
“มันไม่ใช่ร้อยสองร้อยนะคุณ”

“เอาน่า”
“ดาว่า ไปดูห้องกันเถอะค่ะ”
“แล้ว...ถ้าต่อรองราคากันใหม่ ดาจะร่างสัญญาให้ใหม่ เอาแบบที่พอใจทั้ง2ฝ่ายเลยค่ะ”
“นะ ไม่อย่างนั้นก็เหี้ยห่าบ้าบอกันอยู่ตรงนี้ ไม่ดีค่ะ” เพื่อนผมซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในโต๊ะเสนอทางออกให้ และดูเหมือนความเป็นสุภาพบุรุษของพวกเราจะเสมอกัน ถึงได้ฟังยาดาและทำตามอย่างไร้คำคัดค้าน

“อ้อคุณ” จู่ๆ ควายไบซันก็หยุดเดินและหันมามองหน้าผม เขาจำต้องก้มหน้าลงนิดเพราะผมเตี้ยกว่า ไอ้นี่กระตุกยิ้มเหี้ยๆ แล้วก็บอกสิ่งที่เหี้ยกว่า

“ผมอยาก ทด ลอง อยู่ ก่อนสักเดือนนึง”
“คงไม่ขัดนะครับ”
“น้าผม คุณนิทัศน์เขาแนะนำมาน่ะ”

ไอ้เหี้ยยยยยยยยย กูไม่ให้มึงเช่าแล้วเว้ยยยยยย!!!!!


Tbc..


เปก็จะด่าเสียงยาวหน่อยๆ
จุนก็จะกวนตีนเสียงสั้นนิดๆ

ฝากติดตามกันด้วยนะคะ  เรื่องราวของผู้ชายที่ศีลเสมอกันเด๊ะ กวนมากวนกลับไม่โกง
และเมื่อคนไม่ยอมใคร ใครไม่ยอมคน ต้องมาป๊ะกันแหมแบบนี้ ผลลัพท์ความสัมพันธ์จะออกมาเป็นสีอะไร เชิญเดาค่ะ

ปล.ติดตามการอัพเดทได้จากเฟสบุ้คนะคะ กดไลค์กดติดตามกันได้เลยค่ะ
https://www.facebook.com/saturdayseriess/
ทวิตเตอร์ก็ @zaturn1389
แต่ไม่ค่อยได้ทวิตเรื่องนิยายหรอกนะคะ ติดตามเพจดีกว่า

เจอกันใหม่ตอนหน้า ไม่เกิน 1 เดือนจากนี้ค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2017 22:44:01 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 3
«ตอบ #17 เมื่อ14-11-2017 09:59:47 »

พี่ป๋อมไม่ให้เปอยู่ด้วยแน่ๆต้องมาหารกันสองคน แต่จุนมีเด็กๆนี่หมายถึงต้นไม้หรือลูกคะ  :hao5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 3
«ตอบ #18 เมื่อ14-11-2017 12:43:52 »

เป เรื่องมาก ปากไว หัวร้อนง่าย เอาแต่ใจตัว (ไม่ค่อยมีระเบียบ)

จุน เรื่องมาก ฉลาด คิดมาก รอบคอบ
รอตอนต่อไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 4
«ตอบ #19 เมื่อ27-11-2017 22:58:35 »

HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid


Home*Mate [4]



หมอนี่ชอบห้องผม ผมรู้ ผมดูออก
ในฐานะเจ้าของสินทรัพย์ บอกได้เลยว่า ผมชนะแล้วโว้ยยยยย ชอบไปเลยมึง ชื่นชมให้สุด มองให้ถึงสุดซอก จ้องให้ถึงสุดมุม แล้วนายเปคนนี้จะเป็นคนดับความฟินในสายตาคุณมึงด้วยคำว่า ผมไม่ให้เช่า ฮ่าๆๆๆ สะใจโว้ยยยยยย วินาทีนี้ไม่มีอะไรน่าสะสมเท่ากับความผิดหวังของไอ้ค้ำจุนแล้วเว้ย!!

คิดไปงั้นแหละครับ ถ้าเขาตกลงเช่าขึ้นมา ผมก็พร้อมรับข้อเสนอ

“ไง จุน ดีใช่มั้ยล่ะ”

“ก็....ครับ” น้าหลานเขาคุยกันเงียบๆ แต่ก็นะ ด้วยพื้นที่ตารางเมตรที่เราอัดกันอยู่ 5 คน มันช่วยไม่ได้เลยครับที่ผม ยาดา และวราห์ จะได้ยินบทสนทนาไปด้วย

“ค้ำจุนอยู่คนเดียวหรอคะ? ดาว่าห้องอาจจะใหญ่ไปนะคะ”

“จริงๆ ก็มีชีวิตอื่นๆ มาอยู่ด้วยนะครับ”
“อาจจะให้อยู่ในห้องนอนเล็กนี่”

“ไม่เล็กนะคุณ” ผมรีบค้านคำคุณศัพท์ที่มันยัดเยียดให้ห้องนอนผม ใช่ครับ ตอนนี้ผมนอนห้องเล็กนี้ เพราะห้องใหญ่เจ๊ป๋อมตกแต่งไว้ให้ระริกระรี้สายตามาก
“เนี่ย เตียงพร้อม 5 ฟุต เล็กตรงไหน”
“ตู้เสื้อผ้าบิวท์อินอีกต่างหาก พร้อมอยู่สุดๆ เถอะ”
“นี่ขนาดห้องนอนเล็กนะเนี่ย”
“ห้องน้ำก็มีกั้นส่วนเปียกแห้ง คุณก็เห็น ครัวแยกด้วย มีประตูปิดกั้นกลิ่นพร้อมสรรพ ห้องมุมอีกต่างหาก มี2 ระเบียงให้ตากกางเกงได้18โหล”

“เป เวอร์แล้ว” วราห์เบรกเสียผมหัวทิ่ม ผมเลยยักไหล่ด้วยท่างทางกวนตีนแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ที่หันหน้าเข้าหาทีวีซึ่งติดตรึงกับฝาผนัง

“เฟอร์ฯ ลอยก็พร้อมอยู่ทุกอย่าง”
“เปไม่แงะอะไรออก เพราะงั้นหลานพี่ทัศน์ไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเลยครับ หิ้วเสื้อผ้าก็อยู่ได้ จะหาได้จากที่ไหนอีก ห้องพร้อมอยู่แบบนี้”

“ก็จริง”
“แต่ผมไม่ใช้แปรงสีฟันที่คุณทิ้งไว้หรอกนะ อย่าเอามาบวกในราคา” ไอ้นี่ก็ขัดซะผมดูงกโคตรๆ เชียว ผมเหล่ไปเจอกับปรายสายตาของไอ้ค้ำจุน นึกสงสัยว่านี่คือสันดานปกติของมันรึเปล่า? หรือว่ากวนตีนเฉพาะกับผม และคนอื่นๆ ไม่รู้สึกกันบ้างหรอว่ามันกวนตีน หรือมีแต่ผมที่สัมผัสกมลสันดานส่วนนั้นของไอ้ค้ำจุนได้

“ก็ดีที่ไม่คิดจะใช้”
“พอดีผมรักสะอาดน่ะ เอาแปรงเล็บตีนไปแล้ว นี่บอกก่อนแล้วนะ เผลอเรอก็ช่วยไม่ได้”

ฮึฮึ หึหึ ฮ่าๆ ก็แล้วแต่ละครับว่าจะหัวเราะกันแบบไหน แต่ทั้งพี่ทัศน์  ยาดา และวราห์ กำลังลำบากลำบนกับการกลั้นขำ ส่วนไอ้ค้ำจุนส่งเสียงจิ๊อย่างน่ารำคาญ

“ไงล่ะคุณ”
“ก็ดูห้องแล้ว เซ็นสัญญาเลยมั้ย” มามะน้องจุน เดินมาตกหลุมพรางพี่เปซะดีๆ ผมส่งหน้าตาเป็นมิตรให้กับทุกคนที่หันมามอง แต่ก็มีแค่พี่ทัศน์ที่ยิ้มกลับมาอย่างจริงใจ อีกสามคนดูแขยงเหมือนเห็นธาตุแท้ว่าผมกำลังแยกเขี้ยว

“ไม่” ไอ้นี่แม่ง เคี้ยวยากจริงๆ ผมทำเป็นไม่ผิดหวัง ทั้งที่ในใจเริ่มกรุ่นๆ
“ก็ต้องอ่านสัญญาให้ละเอียดก่อนสิ อีกอย่าง ผมบอกไว้แล้วไงว่าจะ ทด ลอง อยู่ 1 เดือน” ไอ้ค้ำจุนย้ำ ส่วนอีก 3 คนที่เป็นสักขีพยานก็เหมือนจะรับรู้เรื่องราวและยอมรับเงื่อนไขนี้ไปด้วย นี่จะไม่มีใครเห็นว่ามันเอาเปรียบเจ้าของสินทรัพย์อย่างผมมากเกินไปหรอ ทำไมไม่มีใครค้านเลยวะ?

“เฮ้ยๆ คุณ”
“ก็เกินไปหน่อยนะ ไอ้เรื่องทดลองอยู่เนี่ย”
“นี่คอนโดนะ ไม่ใช่เซรั่มทดลองของแจก”

“ก็ยุติธรรมนะคุณ”
“รถยนต์ยังมีคันให้ลองขับ”

“งั้นคุณไปขออทดลองอยู่กับห้องตัวอย่างดิ”

“มีที่ไหนกันเล่า พูดเลอะเทอะ”

“นั่นไง คุณยังรู้ว่ามันไม่มี แล้วจะมาทดลองอยู่ห้องผมได้ไง”
“เยอะ”

“หึ” ไอ้หึเนี่ย สิ่งศักดิ์สิทธิประจำใจไอ้ค้ำจุนมันรึไง เอะอะก็หึหึหึ ไอ้บ้า ผมหันไปทำหน้าเหยเกใส่ประตูกระจกกั้นระเบียงใหญ่ ปล่อยคนบูชาหึได้หึต่อไป

“เอาล่ะ ดาว่า ถ้าไม่สรุป เราก็จะได้ดูอะไรตลกๆ ต่อไปไม่จบสิ้นนะคะ”
“ค้ำจุนคะ ตกลงพอใจห้องใช่มั้ยคะ ดาจะร่างสัญญาให้ใหม่”

“อ่อ ครับ”

“แต่คงทดลองอยู่ไม่ได้นะคะ”

“ครับ รู้ครับ” ก็พูดจารู้เรื่องนี่หว่า พูดดีๆ ก็เป็นด้วยเถอะ ทำไมพูดกับผมต้องกวนตีนใส่วะ? ระหว่างฟังยาดาคุยกับไอ้ค้ำจุนบนพื้นฐานของความปกติ ผมก็อดสงสัยขึ้นมาได้ หรือว่านายคนนี้มัน 2 บุคลิกระดับเริ่มต้น เรียกเบาๆ ว่าตอแหลนั่นแหละครับ

“แล้วค้ำจุนมีข้อแม้อะไรรึเปล่าคะ”

“ก็....ราคาครับ”
“ผมว่าค่าเช่าแพงไป”

“หมื่นห้า กับห้อง 38 ตร.ม. ห่างตีนรถไฟฟ้า 400 เมตร คุณรู้รึเปล่าว่าราคาตลาดเค้าปล่อยกันเท่าไหร่ 18 เคนะคุณ และนี่เฟอร์ฯ พร้อมยิ่งกว่าพร้อม เครื่องกรองน้ำดื่มยังมี” ผมว่าเข้าให้ ต่อรองเรื่องอื่นยังพอรับมาพิจารณาได้ แต่เรื่องเงินนี่ไม่ได้หรอกครับ

“ผมอยู่จริงๆ ก็แค่ครึ่งเดียวของพื้นที่ละมั้ง”
“งั้นน้าโจ้ จุนว่าเราหาห้องอื่นที่เล็กกว่านี้ และราคาสมเหตุสมผลกว่านี้กันเถอะ ถ้าน้าโจ้ว่าโครงการนี้ดี จุนอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่จุนไม่อยู่ห้องใหญ่แบบนี้ เหมือนจ่ายค่าเช่าให้แมงหวี่บินเล่น”

“เอาน่า เอาน่า”
“เอาว่าหมื่นห้าก็หมื่นห้า นะจุนนะ”
“น้าว่าโอเคเลย กว้าง โปร่ง เป็นสัดเป็นส่วน หน้าโครงการก็มีทั้งเซเว่น​ โลตัสเอ็กเพรส เดินไปนิดเดียวก็ปากซอย เจอรถไฟฟ้าทันที ทำเลมันโอเค”
“อีกอย่าง ห้องเค้าก็ใหม่”

“ไม่ใหม่นะครับ อย่างน้อยๆ แปรงสีฟันก็ใช้แล้ว” ไอ้ห่า บ้านไหนซื้อแปรงสีฟันมาวางทิ้งไว้เฉยๆ วะ ไม่แปรงฟันตามฟังค์ชั่นการใช้งานก็ต้องเอาไปแปรงๆ ขัดๆ อย่างอื่นมั้ยล่ะ?  แม่งอ้าง แม่งอยากกวนตีนผมไง คงอยากให้ผมผิดหวังสักสิ่งในโลกนั่นแหละ ไอ้บ้า ไอ้ขี้เอาชนะ

“ค้ำจุนเอ้ยยย”

“น้าโจ้ จุนจ่ายค่าห้องนะ ไม่ใช่น้า”
“หมื่นห้าค่าที่อยู่อาศัยแล้วจุนเหลือเงินเท่าไหร่ ค่าน้ำ ค่าไฟ โทรศัพท์”

“เฮ้ยๆๆ ผมติดไวไฟแล้วด้วย ถ้าจะใช้ต่อก็จ่ายรายเดือนเอาเอง” เห็นมั้ยครับว่าห้องผมพร้อม

“ค่าไวไฟรายเดือน นี่จุนยังไม่ได้ลองคิดค่ากิน ค่าเดินทางอีกนะ”
“หมื่นนึง”

“หา”
“ไม่หมื่นนึงหรอกคุณ หมื่นห้า”

“หมื่นนึง” หมอนี่ต่อราคาแข็งขัน

“หมื่นห้า”

“หมื่นนึง”

“เห้ยไอ้จุน” พี่ทัศน์เป็นฝ่ายห้ามศึกต่อราคาย่อมๆ ส่วนยาดากับวราห์จับจองที่นั่งตรงโต๊ะกินข้าวแล้วครับ ผมชำเลืองเห็นยาดาบีบๆ นวดๆ ไหล่ตัวเองด้วย สงสัยจะเบื่อและเมื่อยเต็มที วราห์เองก็นวดแฟนเต็มที่ แต่ก็คงบรรเทาอะไรไม่ได้มาก

“หมื่นนึง ถ้าได้ผมทำสัญญาล่วงหน้า 6 เดือน”
“จ่ายเลย”

“ถ้าอยู่ไม่ครบ 6 เดือน ผมไม่คืนเงินใดๆ ทั้งนั้นนะ”
“และอีกอย่าง ถ้าหมื่นนึง คุณใช้ห้องนี้ไม่เต็มพื้นที่นะ”
“หมื่นนึงที่ได้ไป คุณไม่มีสิทธิใช้ห้องนอนใหญ่”

“อ้าว”

“ไม่อ้าวล่ะ ก็หมื่นนึงมันราคาห้อง 24-26 ตร.ม.”
“นี่ผมไม่ได้เถรตรงขนาดวัดตารางเมตรที่แท้จริงด้วยนะ ผมหยวนกับคุณตั้งเท่าไหร่”
“ถ้าวัดจริงๆ อาจต้องห้ามใช้ระเบียงใดระเบียงหนึ่งก็ได้”

“แม่งงก”

“ผมจะไม่เถียงว่าผมไม่งก ไม่ใช่เพราะผมงกจริงๆ หรอกนะ แต่เพราะผม ไม่ ใส่ ใจ”  ลอยหน้าลอยตาด้วยครับ ถ้าทำท่านี้ต่อหน้าเจ๊ป๋อมผมจะโดนตบหัวทันทีเลย เชื่อสิ

“มันไม่ตลกไปหน่อยหรอคุณ”

“ไม่ เนี่ย เคาะแล้ว”
“หมื่นนึง จ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 6  เดือน ใช้พื้นที่ได้หมดเว้นห้องนอนใหญ่”
“ที่นี่มีบริการแม่บ้านทำความสะอาดด้วยนะ เดือนละ 2 ครั้ง เท่ากับไม่ต้องล้างส้วมเองให้ยุ่งยาก”

“เอาๆ ไปเถอะน่าจุน”
“6 เดือนจากนี้ค่อยคิดใหม่”
“น้าว่าโอเค”

“น้าโจ้ได้ค่าคอมฯ หรอครับ”

“เอ้า! ไอ้นี่”
“ก็มันดูโอเค น้าไม่อยากให้จุนไปเช่าอพาร์ทเมนท์ 3,000-4,000 แล้วก็อยู่ไม่คุ้มตังค์ ไหนจะโดนโกง เพื่อนข้างห้องน่ากลัวๆ สิ่งแวดล้อมไม่ดี วันดีคืนดีน้ำก็ไม่ไหล อะไรเยอะแยะไปหมด”
“ที่นี่มันเซอร์วิสคอนโด เราก็อยู่สบายหน่อย มีนิติดูแลความเรียบร้อย  มีความปลอดภัย”

“พอครับ พอแล้ว”
“โอเค น้าโจ้จะได้สบายใจ แม่ก็จะได้สบายใจด้วย เพราะไงก็ถึงกันอยู่แล้วนี่ครับ”

“เออๆ จะได้หมดห่วง”

“งั้น วานเพื่อนเปร่างสัญญาเลยนะ”

“ได้ค่ะ!” ยาดาตอบรับในทันที แล้วก็คว้าโน้ตบุ้คออกจากระเป๋า พวกที่เหลือค่อนข้างตะลึงกับการพกโน้ตบุ้คติดตัวมาด้วยของยาดา เธอชี้แจงเสร็จสรรพว่าห้องนิติมีปรินท์เตอร์ แต่เสียค่าปรินท์นิดหน่อย ซี่งไม่เป็นไร ทางเรา (ซึ่งก็คือกระเป๋าตังค์ผม) จะรับผิดชอบให้ .... ถามกูก่อนก็ได้ยาดา

เมื่อได้สัญญาที่ต่างฝ่ายต่างลงชื่อไปเก็บไว้ทั้ง 2  ฝั่งแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันกลับครับ โดยที่ไอ้ค้ำจุนจะย้ายเข้าในวันพรุ่งนี้เลย เพราะฉะนั้น ของใช้ส่วนตัวของผมที่ยังเหลืออยู่ ก็ต้องระเห็จออกจากห้องภายในวันนี้ให้หมดสิ้น

วราห์เสนอว่าจะเอารถกระบะของมันมาช่วยขนของให้ แต่ผมไม่อยากกวนมันมากกว่านี้ เท่านี้พวกเพื่อนทั้งคู่ก็เสียเวลากับเรื่องของผมไปเกือบวัน ผมคะยั้นคะยอให้พวกเขากลับไป โดยรับปากว่าจะดูแลตัวเองเต็มกำลัง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะให้เงินทำงาน .... จ้างครับ จ้าง พวกมันกลัวว่าผมจะไม่ยอมเสียเงินสักบาทในการโยกย้ายสัมภาระ แหม...ผมรู้หรอกนะว่าอะไรควรจ่าย อะไรไม่ควรจ่าย วู้!

“เอาล่ะ ก็มีแค่เสื้อผ้า ของที่โต๊ะทำงานทั้งหมด หนังสือการ์ตูน 2 ตู้เก็บ พระ ของใช้ในห้องน้ำ พวกจานชามไรนี่ให้แม่งใช้ไปเถอะ เอาบุญ” ผมปรึกษากับตัวเองหลังจากอยู่คนเดียวในห้องที่เริ่มคุ้นเคยแล้ว จากนั้นก็ลงมือเก็บของใส่ลังที่พับเก็บไว้ที่มุมห้อง เป็นโชคดีของผมที่ตอนขนของเข้ามาอยู่ ผมขี้เกียจแบกกล่องพวกนี้ลงไปทิ้ง

เก็บนั่นนี่ได้ครึ่งทาง ผมก็โทรหาพี่สาวครับ กะว่าจะให้เจ๊ป๋อมมารับกลับบ้าน ถ้าเอาเงินเข้าล่อ พี่ผมก็น่าจะเห็นดีเห็นงามไปกับผมด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะได้เป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์เหมือนที่เคยหวังไว้ว่าอยากลองสัมผัสความรู้สึก

“ทำงานนะลูกพ่อ ช่วยพ่อหาเงินนะลูกนะ” ผมไม่ได้บ้าหรอกครับ ผมแค่พูดกับห้องที่ไม่ใช่กล่องปูนเท่านั้น ผมมองห้องนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสายสัมพันธ์เป็นลูกผม
“เราจะรวย เราจะรวย”
“เออ ถ้าได้เงินก้อนมาอีก ไปดาวน์อีกห้องไว้แล้วปล่อยเช่าอีกดีมั้ยวะ? แม่งงงงง ดีว่ะ” ผมก็ฝันของผมไปเรื่อยแหละครับ  แต่เอ...ทำไมเจ๊ป๋อมยังไม่รับโทรศัพท์

ผมละมือจากการเก็บของไปพลาง รอพี่สาวรับสายเรียกเข้าไปพลาง เพื่อมาจดจ่ออยู่กับปลายสายที่เป็นพี่สาวใจร้ายของตัวเอง

อือ ไม่รับว่ะ
ทำไมวะ?
นี่วันเสาร์นะ ไม่ใช่วันทำงาน
หรืออาบน้ำ เข้าห้องน้ำ กินข้าว ไม่อยู่ใกล้โทรศัพท์
อ่ะ โทรเข้าบ้านก็ได้
แต่ก็ไม่มีใครมารับเสียงเรียกของผมอยู่ดี
ผมโทรมือถืออีกครั้ง คราวนี้โทรหาป้าพร ... ซึ่ง...​แกก็ไม่รับสายอยู่ดี
อืม คงมีธุระสั้นๆ กันนั่นแหละ เก็บของให้เสร็จแล้วค่อยโทรใหม่ก็แล้วกัน

ผมเก็บของเสร็จแล้ว แต่ก็มีอันต้องรื้อเสื้อผ้าใส่นอนออกมาใหม่จากกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดกลาง รื้อถึงผ้าเช็ดตัว ของใช้ในห้องน้ำ เพื่อจัดการทำความสะอาดตัวเอง หลังจากเก็บของจนเหงื่อออกเหนียวตัวไปหมด

คืนนี้ผมตัดสินใจค้างที่คอนโด เพราพี่สาวไม่รับสาย ครั้นจะเรียกแท็กซี่แล้วให้ขนของทุกอย่างนี่ขึ้นรถไป ผมว่าผมน่าจะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มแบบไม่ค่อยสมเหตุสมผล ก็นอนค้างมันที่นี่แหละ

พรุ่งนี้ นายค้ำจุนถึงจะทยอยขนของเข้ามา เขาคงไม่มีอะไรมาก เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่ต้องรีบร้อนย้ายออก เดี๋ยวจะอ้างไปว่าอยู่ทำความสะอาดห้องให้ก็แล้วกัน


Home*Mate


เช้าแล้ว
วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่อากาศก็งั้นๆ ผมก็เลยตื่นซะงั้น
เอาเท้าแหวกม่านเพื่อตรวจสอบแสงแดด จากนั้นก็เช็คเวลาจากโทรศัพท์มือถือ มันเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้วครับ

9 โมงกว่าแล้ว ผมทบทวนเรื่องต่างๆ ที่ต้องจัดการ แล้วก็สะดุ้งตกใจ เพราะวันนี้ผมต้องย้ายออกให้เบ็ดเสร็จ แต่ผมยังติดต่อพี่สาวไมได้เลย แล้วก็ไม่รู้เวลาที่แน่นอนของนายค้ำจุนด้วยว่าจะย้ายของเข้ามากี่โมง

เอาไงดีวะกู?

ผมโทรฯ หาพี่สาวอีกครั้ง แต่รอบนี้ติดต่อไม่ได้แล้วครับ ป้าพรเองก็ไม่รับโทรศัพท์ผม
ผมเลยโทรหาพ่อกับแม่ และแน่นอนว่าพวกท่านรับสายตามปกติ ไม่มีน้ำเสียงร้อนใจใดๆ ที่จะสื่อส่อว่าพี่สาวผมได้รับอันตรายฉุกเฉินเลย

แล้วเจ๊ป๋อมไปไหน หรือโทรศัพท์แบทหมด หรือโทรศัพท์โดนฉกไป โทรฯเข้าบ้านก็ไม่รับสายเหมือนกัน ไลน์ไปก็ไม่อ่านเหมือนเดิม ลองเช็คเฟสบุ้คก็พอบว่าเจ๊ป๋อมไมได้อัพสเตตัสมาเกือบเดือน

พี่ผมหายไปไหนวะเนี่ย?
เป็นห่วงนะเว้ย!

“กลับไปดูก่อนดีมั้ยวะ? ค่อยเอารถป๋อมมาขนของ” รถพี่สาวก็เหมือนรถผมแหละครับ เพราะมันคือรถพ่อ รดครอบครัว ส่วนรถยนต์ส่วนตัวผมไม่มีหรอกครับ ไม่อยากควักเงินซื้อ

เมื่อปรึกษากับเสียงในหัวตัวเองและตัดสินใจได้แล้วผมก็เตรียมพุ่งออกจากคอนโดทันที แต่โทรศัพท์เครื่องเก่าแก่กลับส่งเสียงร้องขึ้นมา ผมคว้ามารับโดยไม่ดูว่าใครโทรมา ใจคิดว่าต้องเป็นพี่สาวแน่ๆ

“ป๋อม อยู่ไหนอ่ะ เปติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน ทำไมทำตัวแบบนี้”

“คุณ ผมเอง”

“เออ ผมเองแล้วไง พูดไม่เห็นรู้เรื่อง”
“หือ?”
“ใคร....ครับ”

“ผมเอง ค้ำจุน”
“ผมมาถึงแล้ว จะขนของขึ้นห้อง ขอกุญแจด้วย”

“เอ่อ...ถะ...ถึงแล้วหรอ”

“อือ” ปลายสายตอบมาด้วยเสียงโทนต่ำ

ผมเหลียวมองสัมภาระในห้องตัวเอง ....
เอาไงดีวะกู...
ผมนึกถึงพี่สาวที่ยังติดต่อไม่ได้
ยังไงดีวะเนี่ย?
ผมขานรับเสียงเรียกจากปลายสายที่ดูท่าว่าจะเริ่มหมดความอดทนลงทุกที
อะไรกันวะเนี่ย?!?

เอาวะ!!

ผมปดไปว่าผมมารออยู่ที่คอนโดแล้ว เพื่อดูความเรียบให้  บอกให้นายค้ำจุนรอสัก 5 นาที  เดี๋ยวลงไปรับ

วางสายปุ๊บก็กลั่นแรงตั้งแต่ตาตุ่ม ขนลากทุกกล่องทุกลังมาสุมไว้ที่ห้องเจ๋ป๋อม แบบนี้น่าจะรอดตัวไปได้ก่อน เพราะยังไงซะ นายค้ำจุนก็ไม่ใช้ห้องนอนใหญ่อยู่แล้ว

เรื่องจากนี้ค่อยว่ากัน

มารู้ตัวว่าเป็นคนคิดน้อยก็ตอนที่มาเห็นสัมภาระของเขาครับ
มันไม่ได้เยอะหรอก แต่ก็ไม่ได้น้อยๆ เลย
โดยเฉพาะ สิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถสื่อสารกับพวกมันได้เข้าใจ ... อย่าง..แคคตัส(*)

“เอ่อออออ” ผมหุบปากไม่ลง ระหว่างประมวลผลอยู่ว่าจะถามเขาเรื่องอะไรก่อนดี

“ไม่ต้องช่วยขนก็ได้ ผมทำเองคนเดียวได้”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ได้คิดจะช่วยอยู่แล้ว สบายใจได้” ผมตอบไปอย่างคนปากเบาหัวไว
“เอ่อ...ล้อเล่นน่ะ”

“ผมรู้หรอกว่าอะไรคือล้อเล่น อะไรคือเอาตัวรอด” ผมขมวดคิ้วฉับเมื่อถูกโต้กลับ ส่งสายตากวนตีนและก็ได้รับสายตาแบบเดียวกันกลับมา ... นี่ผมส่งกระจกอยู่หรอวะ?

“หมด...หมดนี่เท่าไหร่”

“เอาแง่ไหนล่ะ? เชิงปริมาณ หรือเชิงคุณภาพ” ไอ้ห่า...โตมาด้วยการแดกข้าวหรือแดกตีนวะ อยากเปิดอกคุยด้วยมากเลย ผมตัดสินใจไม่ถามอะไรเพิ่ม เพราะคงไม่ได้คำตอบตรงๆ ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจคนที่โดนผมกวนตีนใส่เวลาอารมณ์ไม่ดีบ้างแล้วครับ

ผมช่วยแค่เปิดประตูกระจกหน้าลิฟท์ให้ทั้ง 2 บาน เพื่อให้เขาเข็นรถขนสัมภาระของเขาเข้ามาได้ จากนั้นก็เรียกลิฟท์ เปิดลิฟท์รอ กดชั้น แล้วก็รอให้ลิฟท์พาขึ้นไปยังชั้น 4 ที่ผมอาศัยอยู่

หมอนี่ไม่ตื่นเต้นกับภายในคอนโด เพราะเมื่อวานเขาก็เพิ่งมา แต่เมื่อวานนี้เราคุยกันเฉพาะเรื่องในห้อง แต่เรื่องส่วนกลาง เขาก็จำเป็นต้องได้ข้อมูลเอาไว้ เพราะค่าส่วนกลางเขาต้องเป็นคนจ่าย อ้างอิงตามการใช้ facilities

ทันที่ที่ปิดประตูห้อง นายค้ำจุนก็เขี่ยกระเป๋าเสื้อผ้า(เดาว่างั้นนะครับ) ลงจากรถเข็นเขา แล้วก็ปรี่มายังระเบียงใหญ่ทันที

ครืดดดดดด
“เฮ้ยๆ ทำไร?”

“จัดเด็กๆ” นายค้ำจุนเปิดตัวแคคตัสของเขาด้วยสถานะ –เด็กๆ – ครับ
“ทำไม”

“แต่เอาไว้ตากผ้า”

“จะใช้ทำอะไรก็เรื่องของผมดิ ผมเช่าแล้วไง เงินก็จ่ายแล้ว สัญญาก็มี คุณมายุ่งอะไรอีก”

แม่งเอ้ย!! ฉึกสัญญาตอนนี้ทันมั้ยวะ?  จะเถียงก็ได้ เพราะรับเงินมาแล้วจริงๆ เซ็นสัญญาไปแล้วด้วย แม่งเอ้ย

“แต่ไอ้ต้นๆ เนี่ย มันก็ดินเปรอะไม่ใช่หรอ”

“ผมดูแลได้น่า”

“มันจะไปทำท่อตันเอา ต้องแคร์ส่วนร่วมด้วยดิคุณ”

“โอ้....จู่ๆ ก็เรียนรู้งานสังคมสงเคราะห์หรอ?”

“กวนตีนเหลือเกินนะ ผมก็แค่บอก แต่จะทำอะไรมันก็เรื่องของคุณนั่นแหละ”

“ก็นั่นสิ แล้วคุณมายุ่งอะไรนัก”
“ของผมหมดเท่านี้แหละ คีย์การ์ดห้องกับลิฟท์คุณวางไว้ที่โต๊ะกินข้าวเลย ผมไม่มีอะไรที่อยากถามจากคุณแล้ว กลับได้เลยนะ” เป็นการไล่ที่ยาวเหยียดชิบหาย ผมก็ไม่อยากวุ่นวายกับเขานักหรอกน่า   แต่ว่า... แต่ว่า...

ของผมยังไม่ได้ขนออกเลย
เออว่ะ?
เขามีรถมา งั้นให้เขาขนของไปส่งที่บ้านได้มั้ยวะ?
ดุท่าทางแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้าย แค่ปากหมาเท่านั้นแหละ ผมรู้ ผมก็ปากหมา คนปากหมามักใจดี

ลองดูก็แล้วกัน

“เออคุณ”

“อืม” เขาตอบโดยไม่แบ่งปันความแยแสให้กับสิ่งรอบข้าง ตอนนี้นายค้ำจุนกำลังจัดวางถาดแคคตัสของเขาบนชั้นวางไม้ที่เขาประกอบกันขึ้นมาเอง ผมส่ายตามองอุปกรณ์ต่างๆ ที่ก็เรียกไม่ค่อยถูก บางอย่างก็ไม่รู้จัก  นี่ถ้าเขาหมดสัญญาเช่าแล้วห้องผมจะกลายเป็นป่ารึเปล่าวะ?

“ขับรถเป็นเนอะ”

“ก็แหง คุณคิดว่าใครจะบ้าเข็นรถกระบะนั่นมาล่ะ”

เย็นไว้เป เย็นไว้

“งั้น...คุณไปส่งผมที่บ้านหน่อยดิ”

“.......” เงียบครับ ผมไม่แปลกใจหรอกที่เขาจะเงียบใส่ เขากำลังถูกขอร้องโดยคนที่...เจอกันไม่กี่ครั้งแต่ก็สามารถนับการพูดดีต่อกันได้ถ้วนถี่

“คือ...ของผมบางส่วนยังอยู่ที่ห้องนี้ จริงๆ ก็เอากลับไปเมื่อคืนบ้างแล้ว กะว่าจะมาขนต่อวันนี้ ไม่คิดว่าคุณจะมาเร็วไง”

“แล้วคุณมาคอนโดยังไง รถเมล์หรอ?”

“อ้อ.....อือ”

“ไม่มีรถ?” เขาหันมาถาม

“มีรถของที่บ้าน แต่แบบ...ที่บ้านเขาก็ใช้ทำธุระ”

“แล้วถ้าผมไม่มีรถไปส่งคุณ คุณจะทำยังไง”

“ก็.....” ผมไม่ตอบได้มั้ยล่ะ? รู้ทันหรอกว่าถ้าตอบอะไรไป เขาก็จะให้ผมทำตามที่ผมตอบ แม่งเอ้ย
“ก็ปล่อยของไว้ที่นี่แหละ”
“ยังไง คุณก็ใช้ห้องนอนใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว”
“แต่...แต่ว่านะ คุณคงต้องทนรำคาญผมสักอาทิตย์ เพราะผมจะทยอยๆ ขนกลับไป อาจได้วันละกล่อง”

“..........” เงียบอีกครั้ง แต่รอบนี้ลุกขึ้นยืนแล้วหันมองหน้าผม มือที่ดูก็รู้ว่าเปื้อนฝุ่นดินจาง ๆ ปัดเข้าหากันกลางอากาศ ฟังจากเสียงแล้วเดาได้ว่าน่าจะนอยด์พอสมควร

“โอเค ผมรำคาญได้เท่านี้ มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“เอาสิ จะช่วยขนของไปส่งให้”

“ขอบคุณนะ  คุณนี่ก็เรียนรู้งานสังคมเร็วเหมือนกัน”

“เปล่า เรื่องเท่านี้จบป.4 ก็เข้าใจ”
“น้ำใจมันไม่มีต้นทุนหรอก”

ผมส่งสายตาดีใจให้เขาได้เห็น ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านคำเหน็บแนมใดๆ และพุ่งไปเปิดปรตูห้องนอนเจ๋ป๋อมที่มีม่านแดงเสือดนกปกปิดแสงจากผนังหน้าต่างตลอดแนว

และทันทีที่นายค้ำจุนเห็นกล่องสัมภาระที่ต้องช่วยขนไปส่งผมที่บ้าน สีหน้าเขาก็แสดงออกมาทันทีว่าเสียใจมากที่เรียนรู้คำว่าน้ำใจตั้งแต่ป.4



Tbc...


(*)แคคตัส คือกระบองเพชรค่ะ กระบองเพชรส่วนใหญ่จะมีหนาม แต่ก็มีบางสายพันธ์ที่ผิวเรียบไร้หนามนะคะ

Talk: เอ๊ะ เหมือนจุนจะใจดีกว่าที่เปคิด? เหมือนเปจะน่ารำคาญน้อยกว่าที่จุนคาด?
ยังไงเนี่ย ยังไง
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยค่ะ

ย้ำกันอีกที เรื่องนี้ไม่มีอะไรเครียด 555555


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Home * Mate ll ต้นไม้...นายหน้า ตอนที่ 4
« ตอบ #19 เมื่อ: 27-11-2017 22:58:35 »





ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ตีกันไปตีกันมาสุดท้ายก้รักกันแน่ๆ เซ้นท์มันบอก
 :hao6: :hao6: :hao6:



ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid



Home*Mate [5]

เขาขับรถนิ่มตูดดี เราเดินทางมาถึงบ้านผมโดยใช้เวลาขับรถชั่วโมงกว่า เพราะว่าเส้นทางที่มาบ้านผมเรียกว่าติดทุกแยกครับ ดูท่าทางเขาเมื่อยหัวเข่านิดหน่อย แต่ผมจะทำเป็นไม่เห็น หมอนี่ขับฟอร์จูนเนอร์รุ่นก่อนแปลงโฉมล่าสุด สีขาว ตีทะเบียนกรุงเทพ ผมไม่ได้ถามว่ารถเขาเองหรือเปล่า แต่เดาๆ เอาจากบริบทในรถคันนี้ ก็เชื่อได้ว่าเป็นรถของเขาเองครับ

ผมชี้รั้วบ้านตัวเองให้เขาได้เห็น แล้วก็บอกปลายทาง
“หลังนี้แหละ”

“อือ” ตอบเท่านี้แหละครับ ไม่ว่าจะผมจะพูดอะไร บอกอะไร แม้ว่าจะเป็นประโยชน์กับการเดินทาง เช่นบอกให้ระวังมอร์เตอร์ไซค์ บอกว่าไฟแดงเหลืออีกกี่วี บอกให้เลี่ยงเลนขวาเพราะมีขับแช่ เขาก็ตอบรับสั้นๆ ว่า...อือ

นายค้ำจุนจอดรถสนิทดีแล้วก็หันหน้ามองผม จ้องกันระยะใกล้ๆ กันแบบนี้ ไอ้นี่ถือว่าหล่อเชียว ติดว่าไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ แววตาแข็งๆ มองกันเหมือนคนยังไม่เปิดเปลือกตามองเต็มที่ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่าผมก็หล่อรึเปล่า เห็นแต่หัวคิ้วเข้าขยับ และลูกกะตาส่ายไหวไปมาเหมือนไม่รู้จะจ้องตาซ้ายหรือตาขวาของผมดี

“ถึงแล้วนี่”

“อื้อ  ถึงแล้ว หลังนี้แหละคุณ”

“ก็ลงดิ”
“ไม่ลงหรอ?”

เออว่ะ...ที่มองเพราะสงสัยเรื่องนี้อ่ะนะ? ก็ขอนั่งเพื่อร่ำลาและขอบคุณตามมารยาทหน่อยดิวะ พ่อแม่ผมสอนมาดีนะเฮ้ย!

“ก็....ขอบใจนะ”
“งั้นช่วยยก....”

ปีก ได้ยินเสียงปลดล็อคประตูด้วยครับ เจ้าของรถดึงเปลือกตาสูงขึ้นกว่าเดิม ดูก็รู้ครับว่ากำลังสื่อสารว่า ลงไปสิเว้ย

ผมถอนหายใจให้แม่งได้ยิน ทำหน้ากวนตีนใส่และลงจากรถ เปิดประตูหลังเพื่อยกกล่องสัมภาระของตัวเองด้วยตัวเอง แต่ก็หยุดมือไว้ก่อน เพราะเจ้าของรถตามลงมาด้วย

“ยกไม่ไหวหรอ?”

ถ้ากูตอบว่ายกไม่ไหวจะดูสำออยมั้ยล่ะไอ้ควาย
ตอนยกจากห้องและเอาขึ้นรถ ก็มีรถเข็นสัมภาระของเขาเอง และของส่วนกลางคอนโดมาเป็นเครื่องทุ่นแรง ตอนยกขึ้นรถก็ช่วยกันไง แล้วตอนเอาลงจะทำเองคนเดียวไหวยังไงล่ะวะ?

ผมไม่ตอบ คิดว่าเขาก็คงประมวลผลอยู่เหมือนกันว่าผมทำคนเดียวไม่ไหว
สุดท้ายแล้ว นายค้ำจุนที่รู้จักคำว่าน้ำใจตั้งแต่ป.4 ก็ช่วยผมยกกล่องสัมภาระลงจากรถ และแบกเข้าบ้าน

เช็ตแรกยังไม่ทันผ่านไป เซ็ตสอง เซ็ตสามจะเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะครับ?

ที่ว่าเซ็ตแรกยังไม่ทันผ่านไป ก็เพราะว่าผมเข้าบ้านไม่ได้
ผมโทรหาพี่สาว และก็แน่นอนว่าไม่รับสาย
อะไรกันวะเนี่ย!!!

สุดท้าย ผมก็ต้องพึ่งทางออกสุดท้าย

แม่นั่นเอง

ผมโทรหาแม่ เมื่อได้รับการตอบรับ ผมก็ถามตรงๆ อย่างไม่สนแล้วว่าใครจะกังวลเพิ่ม ใครจะโดนตีตูดลาย ใครจะได้รับความเสียหายและไม่มีโอกาสแก้ตัว

“แม่ครับ เปเอง”
“ป๋อมทิ้งบ้านไปอยู่ไหนไม่รู้ โทรหาก็ไม่รับสาย”
“บ้านก็ล็อค เปเข้าบ้านไม่ได้เนี่ย เปจะอยู่ยังไงครับแม่”

พ่นแล้วก็รอคำตอบ รอทางออก ซึ่ง...ก็ไม่คิดหรอกว่าครับว่าผมจะช็อคกว่าเดิม

“พี่ป๋อมเค้าไปรัสเซียไงลูก”
“เค้าเที่ยวพักผ่อนของเค้าไง”
“นี่ไม่ได้บอกกันหรอ ? พี่เค้าคงลืม ไม่ก็เห็นว่าเปอยู่คอนโดสะดวกสบายดีแล้วละมั้ง”
“ไม่เป็นไรลูกเป ไม่ต้องห่วงพี่เค้าหรอก”

คุณพระ....โลกผมทรุดลง 2 เซนติเมตร
แล้วผม...จะอยู่ยังไง?

“แม่ครับ เจ๊ป๋อมไปเที่ยวกี่วัน”

“อืมม สัก 1 ล่ะเป”

“อาทิตย์หรอครับ”

“เดือนสิลูก” แล้วก็หัวเราะเสียงอิ่มสุข

“งั้น...แม่ส่งกุญแจบ้านทุกประตูมาให้เปหน่อยได้มั้ยครับ”

“อยู่ที่พี่เค้าหมดล่ะลูก ก็บ้านนั้นเป็นของพี่เค้าแล้วไง เปก็ได้คอนโดไงลูก”
“มีอะไรรึเปล่าเป เบื่อคอนโดแล้วหรอ? งั้นมาอยู่อ่างทองกับแม่”

พูดจริงหรือพูดเล่นก็ไม่รู้ แต่ถ้าผมไปอยู่อ่างทองกับแม่จริงๆ ผมก็เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เช่นกัน
ผมตอบแม่ไปแค่ว่าไม่เป็นไรครับ แล้วก็บอกว่าอยู่คอนโดสะดวกสบายดีมากๆ ไว้ว่างๆ จะไปหา แล้วก็ขอให้สุขภาพแข็งแรงทั้งพ่อและแม่ เพื่ออยู่เป็นต้นไม้ใหญ่ให้กาฝากอย่างผมเกาะติดไปนานๆ

เมื่อวางสายและหันมองคนทื่ยืนเท้ารถเข็นขนของอยู่ข้างๆ ผมก็รู้สถานะตัวเองทันทีว่าไม่ใช่คนที่ถือไพ่เหนือกว่าอีกต่อไป

“เอ่ออออ” ผมเริ่มพูดก่อน ส่วนนายค้ำจุนเลิกคิ้วราวกับว่าใช้ประตูคิ้วและหูประตูเดียวกัน
“ผม ... คงต้องอยู่คอนโดอีกสักเดือนน่ะ”
“คุณ.......” แม่งขมวดคิ้วแล้ว หรือว่าหูจะปิดไปแล้วเหมือนกันวะ?
“อย่าเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ป่ะ?”

หมอนี่ไม่พูดอะไร แต่ขยับปากเป็น 3 พยัญชนะในภาษาไทยว่า คอ วอ ยอ

ผมไม่รู้ว่าเขามีสระอาให้ผมรึเปล่า แต่สายตาผมที่จ้องปากเขาอยู่ มันถอดรหัสออกมาได้ตามนี้แหละครับ


Home*Mate


เมื่อเขียนสัญญาแล้ว รับเงินมาแล้ว ดีลก็คือดีลครับ
ห้องนี้มีผู้เช่าย้ายมาอยู่แล้ว ชื่อว่านายค้ำจุน ชื่อจริงๆ ตามที่ผมอ่านจากลายเซ็นก็คือ ปวริทธิ์ กุศลานนท์ เขาเช่าห้องนี้เพื่อการอยู่อาศัยเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งไอ้สัญญานี้ทำให้ผม ไม่มีคอนโดสำหรับอยู่อาศัยเป็นเวลา 6 เดือนเช่นกัน

และผมก็อยู่บ้านไม่ได้ เป็นเวลา 1 เดือน  แล้วผมก็จะซุกหัวนอนที่ไหนกันล่ะ?
เช่าห้องถูกๆ ?
นอนโรงแรม? แน่นอนว่าแพงไปไม่ผ่าน
ขออยู่กับเพื่อน...กวนกันมากไป ไม่ควร
ไปอยู่อ่างทองกับพ่อแม่ แล้วผมจะมาทำงานยังไง
 
“ดูเครียดนะคุณ”
“ยังไงก็กินไปก่อนเถอะ ค่อยคิด” คนที่นั่งตรงกันข้ามในร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ้าดังย่านนี้เอ่ยขึ้น เขาดูดน้ำจากแก้วเมื่อพูดเสร็จ ส่วนผมก็ยังคงคร่ำเครียดต่อ

“มันยากอะไรอ่ะคุณ”
“หาที่อยู่หรอ?”
“คุณก็...เอาเงินค่าเช่าที่ได้จากผมไปเช่าคอนโดอยู่สิ”

“เท่านั้นมันจะได้สักที่เอเคอร์”
“บอกแล้วไงว่าค่าเช่าที่คุณได้ตามสัญญา 6  เดือนน่ะถูกมากแล้ว ห้องตั้งกว้าง”

“เอ้า แต่ผมก็ไม่ได้ใช้พื้นที่ทั้งหมดนี่ ค่าเช่าเท่าที่ตกลงกันก็โอเคมากแล้ว”
“ไงๆ ห้องนอนใหญ่ก็ว่างตามสัญญา ผมไม่เข้าไปวิ่งเล่นหรอก รับรองได้”

“เออว่ะ?”

“......หือ?.....”

“จริงด้วย!”
“ห้องผมไง”
“เห้ย! คุณเช่าครึ่งเดียวไม่ใช่หรอ?”
“อีกห้องก็ว่างไง ผมก็อยู่ครึ่งที่เหลือก็ได้อ่ะดิ”

“หา??????”

ผมส่งยิ้มให้ รีบเอื้อมคว้ามือเขามาจับกุมไว้ ส่งสายตาแห่งความหวังไปให้ และก็เอ่ยคำพูดแสนธรรมดา เหมาะกับผู้เช่าธรรมดาๆ ของผม

“เราอยู่ด้วยกันนะ จุน”

แน่นอนล่ะครับว่าหมอนี่โวยวาย แต่เมื่อได้รับข้อเสนอใหม่จากคนไม่ธรมดาอย่างผม ไอ้ค้ำจุนก็ต้องยอม
หึ หึ หึ...  ข้อเสนอสุดพิเศษของผมก็คือ ไอ้เดือนละหมื่นที่มันจ่ายมาแล้วนั้น คือค่าเช่าสุทธิ หมายความว่า 6 เดือนที่เขาอยู่ที่นี่ ค่าน้ำ  ค่าไฟ ค่าไวไฟที่ห้อง มันไม่ต้องเสียเพิ่มแล้วครับ เขาครุ่นคิดนิดเดียวก็พยักหน้าตอบตกลง

พวกเราตบท้ายเพียงว่า 6 เดือนข้างหน้า ค่อยมาว่ากันใหม่

 
Home*Mate


“คุณ กินแล้วล้างดิ”

“........”

“คุณ”
“เห้ย คุณณณณ”

“รู้ววววววววววว” ผมสันดานออกแล้วครับ ผมอยู่กับนายค้ำจุนมาครบอาทิตย์พอดิบพอดี เช้าวันอาทิตย์อากาศแสนธรรมดาแบบนี้ มันต้องกินแล้วมานอนต่อที่โซฟาเท่านั้นครับ

มนุษย์ผู้เช่าห้องคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปครับ
ข้อแรก เขาเจ้าระเบียบมาก น่ารำคาญกว่าเจ๊ป๋อมเสียอีก
ข้อสอง เขามีข้อห้ามเยอะแยะเสียจนทำให้คนที่เยอะสิ่งมาตลอดชีวิตแบบผมดูเป็นคนเรื่องมากระดับธรรมดา
ข้อสาม เขาเข้าใจยาก และเขาก็ไม่ใช่คนใช้คำพูดอธิบายบริบทสักเท่าไหร่ หมอนี่ชอบทำให้ยุ่งยากใจจนถึงขีดสุดก่อน แล้วค่อยเผยอปากบอกเหตุผลหรือสิ่งที่เขายึดเป็นหลักคิด และขอบอกเลยว่าหลักคิดเขาและผมต่างกันมาก

เขายึดการแบ่งปัน ส่วนผมยึดตัวเอง
ใครน่ารักกว่ากัน คงไม่ต้องบอกนะครับ

“รู้แล้วก็ทำดิ”
“ไม่ล้างทันทีจานชามมันติดกลิ่น เดี๋ยวก็ได้เน่าทั้งครัว”

“เดี๋ยวล้างเอง หมดเลย คุณไปเถอะ มีธุระไม่ใช่หรอ?”

“ผมไม่สบายใจจะออกจากห้องโดยที่ยังมีสิ่งปฏิกูลคาอยู่ เหมือนอึแล้วไม่ได้กดชักโครกอ่ะคุณ”
“ล้างดิ ผมทำให้กินแล้วคุณก็ต้องเป็นเก็บล้าง เรื่องง่ายๆ” ก็มันไม่ง่ายสำหรับผมนี่หว่า ทำไมอ่ะ ผมอยากล้างตอนที่ไม่มีจานชามใส่ของกินปรนเปรอตัวเองแล้วอ่ะ ทำไมต้องรีบล้างเลย ทำไม?

ผมละสายตาจากทีวีอัจฉริยะที่กำลังเปิดดูรายการเพลงเพื่อผ่อนคลายสมอง ผมมองนายค้ำจุนเพื่อย้ำให้เห็นว่ากูรำคาญแล้วนะ อย่าเยอะกว่านี้ได้มั้ยวะ? แต่สายตาที่ผมได้รับกลับมาก็เหมือนการส่องกระจกนั่นแหละครับ

เขากับผมไม่ใช่คนที่นิสัยเข้ากัน ไม่ใช่คนที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติได้ เขาไม่ตามใจผม ผมก็ขัดเขาได้ทุกเรื่องเหมือนกัน แต่เราต้องอยู่ด้วยกันเพราะเราทำสัญญาเอาไว้แล้ว

อีก 6 เดือน
ทนแค่ 6 เดือน
ผมท่องในใจระหว่างที่แช่สายตาจ้องกันอย่างไม่ลดละ และก็เป็นผมที่ลุกจากโซฟา  เดินเข้าส่วนครัวที่แยกตัวออกจากห้องนั่งเล่น และลงมือล้างจานจนเสียงดังโครมคราม

“ถ้าแตกแล้วเสียเงินซื้อใหม่ คุณจ่ายนะ”

การล้างจานด้วยเสียงสุภาพก็นุ่มหูดีนะครับ ไม่เคยทำก็ลองทำดู  ผมเป็นคนเรียนรู้เร็วเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ว่างกหรืออะไรหรอกครับ

กำลังสะบัดน้ำจากมือจนมันกระเซ็นไปทั่วอ่างล้างจาน ผ้าแห้งผืนเล็กก็ถูกมือใครคนหนึ่งส่งตัวมาตรงหน้าผม

“อะ...อะไร?”

“เช็ดซิงค์ดิ จะได้สะอาด”

“เฮ้ยยยยยยยยยยย” ผมกำลังจะด่าเพิ่ม นายค้ำจุนก็หัวเราะขำ ส่ายหัวระหว่างมองผมเหมือนมองเด็กทำอะไรเปิ่นๆ เขาไม่พูดอะไรต่อ แต่เหยียดแขนยาวยื่นมือใหญ่มาเช็ดอ่างล้างจานให้ โดยมีผมยืนมองอยู่ไม่ห่าง

“สะอาดมันต้องดีกว่าสกปรกอยู่แล้ว”
“เนี่ย ผมจับเวลาอยู่ คุณใช้เวลาล้างจานไม่ถึง 5  นาทีเลย”

“เพื่อ?”

“คุณจะได้รู้ไงว่าอย่าอิดออดให้มากความ อย่าทำเรื่องง่ายให้มันยุ่งยาก”

“เหอะ” ผมสะอึกหัวเราะใส่ เบี่ยงตัวหลบลี้ออกจากครัว แต่หมอนี่กลับรั้งแขนเอาไว้
“อะไรอีกอ่ะ ก็ล้างหมดแล้วไง หรือว่าต้องกดชักโครกให้ด้วย”

“เปล่า”
“ผมจะไปซื้อของ คุณไปด้วยกันดิ”

“เพื่อ?”

“ก็จะไปซื้อของสดทำอาหารระหว่างสัปดาห์”
“และคุณก็กินด้วย ก็ต้องหารกันดิ”

ไอ้ห่านี่งกกว่าผมอีกหรอวะ?
แล้วแบบนี้มันแฟร์รึไง ค่าน้ำค่าไฟค่าไวไฟที่ห้องเขาไม่ต้องจ่ายทั้งที่เขาก็ใช้ด้วย แล้วทำไมผมต้องจ่ายค่าอาหารแม้ว่าจะกินด้วย มันไม่แฟร์อ่ะ!!!

“อะไรนะ?”
“หาร หรอ?”

“อือ”
“ก็กินด้วยกัน”

“แต่น้ำไฟก็ใช้ด้วยกันป่าววะ?”

“ก็คุณยื่นข้อเสนอมาเอง อันนั้นมันแลกกับให้ผมยอมให้คุณกลับมาอยู่ห้อง ไม่นับ”

อะไรวะเนี่ย? ทำไมผมถึงกลายเป็นคนเสียเปรียบไปซะได้
ผมมองเขาอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก นายค้ำจุนก็เลยเพิ่มทางเลือกให้

“งั้นคุณก็ซื้อกินเอาเองละกัน”
“ไปล่ะ”

“เอ้ยๆๆๆ”
“ใจเย็นดิคุณ” ผมเป็นฝ่ายดึงแขนเขาไว้แทน ส่งยิ้มให้ แล้วก็ขอต่อรองเพิ่มอีกนิดหน่อย
“ก็ได้ๆ หารก็หารดิวะ ผมมันแฟร์ๆ อยู่แล้ว”
“งั้นผมคิดเมนูเองมั่งนะ และคุณทำ เพราะกินตามเมนูคุณมันเบื่อ แม่งเอะอะก็ไข่”

“อือ”

พอเขารับคำ ผมก็สลัดเขาทิ้งอย่างไม่ใยดี เพราะเข้าห้องไปเปลี่ยนจากกางเกงนอนเป็นกางเกงวอร์ม เปลี่ยนเสื้อนอนเป็นเสื้อย้วยตัวโปรด แล้วก็คว้ากระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มาอย่างคนพร้อมเดินทางเต็มที่

นายค้ำจุนยืนปิดแอร์ ปิดโทรทัศน์ ปิดไฟ เปิดม่านเพื่อรับแสงยามสาย เขาสำรวจความพร้อมของผม มีอาการขำหึหึนิดหน่อย แต่ผมจะไม่ถือสาอะไร เพราะผมเป็นผู้ใหญ่พอ 

สถานที่ช้อปปิ้งก็คือห้างที่ใกล้ที่สุดแหละครับ พอหาที่จอดรถได้แล้วก็ตะลุยซุปเปอร์มาร์เก็ตกันเลย

ผมไม่ได้รีเควสอะไรที่ยากเย็นนักหรอกครับ แค่ขอให้มีผักในทุกเมนูที่เขาทำเท่านั้น น้ำมันประกอบอาหารขอเป็นน้ำมันมะกอก และขอให้ใช้เนื้อสัตว์แปรรูปให้น้อยที่สุด ไม่ใช่ว่ารักสุขภาพอะไรนักหนา แต่ผมเบื่อของพวกนั้นจากที่ออฟฟิศแล้ว

นายค้ำจุนเข้าใจอะไรง่ายดี และก็ทำตามอย่างไม่ได้บ่นอะไร ดูๆ ของที่เขาหยิบแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่คุ้ยเคยกับการเลือกผัก เลือกเนื้อสัตว์มาก ราวกับเคยเป็นกุ๊กมาก่อนอย่างนั้นแหละ

“เออนี่คุณ”

“อือ”​

“ทำไมทำอาหารเก่ง”

“ก็ชอบกิน แต่จะให้ซื้อทุกอย่างก็หมดตังค์พอดี”
“ทำเองก็ไม่ได้ยากอะไร”

“หรอ?”

“อือ”

“นี่คุณ” ผมเรียกเมื่อเดินผ่านส่วนของเครื่องดื่ม

“อือ”

“เบียร์ป่ะ?”

“หารนะ” ผมชะงักจังหวะก้าวและหันมองเขาเพื่อด่า แต่หมอนี่กลับหันมาและหัวเราะรออยู่แล้ว ผมก็เลยรู้ว่าเขากวนตีนผมเล่น และที่ได้รู้เพิ่มอีกก็คือ ค้ำจุนหัวเราะแล้วยิ่งดูดี

“อายุเท่าไหร่วะเนี่ย กวนตีนเป็นวัยรุ่น”

“26 คุณล่ะ”

“ปีหน้าก็เท่าคุณปีนี้แล้ว” เอ้า งงดิงง ผมจ้องหน้าเขาเพราะอยากเห็นตอนหมอนี่ทำหน้าโง่ แต่เขาไมโง่ครับ

“อ้อ อือ”
“ไวน์ด้วยได้ป่ะ”

“ไงก็ได้ ยังไงก็หาร” ผมตอบแบบคนโตๆ เขาทำกัน แล้วเราก็ช่วยกันเลือกเบียร์และไวน์อย่างเพลิดเพลินเลยครับ กระเป๋าแหกมากๆ เลยเดือนนี้ ขอบอก

จบจากของสดต่างๆ ผมก็ขอเลือกซื้อของใช้ส่วนตัว หมอนี่ก็เช่นกัน เราก็เลยแยกกันทำธุระ แล้วนัดเจอกันที่รถในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้าครับ

และทั้งที่ตกลงแยกย้ายกันไปแล้ว ผมและเขากลับเจอกันตามร้านที่แวะ ทั้งร้านเสื้อผ้า รองเท้า ร้านของใช้ในห้องน้ำ เวชภัณฑ์ แม้กระทั่งร้านขายยา สรุปก็คือเดินซื้อของด้วยกันนั่นแหละ และทั้งเขาและผมคงเต็มกลืนหน้ากันและเต็มที่ เลยแยกกันไปนั่งจิบกาแฟ ผมเลือกกาแฟดังเจ้าตลาด เขาเลยเลือกร้านกาแฟเจ้าตลาดปั๊มน้ำมัน

สั่งกันละกันเพียงว่า อีกครึ่งชั่วโมงเจอที่รถ

1 อาทิตย์เต็มๆ ที่ผมต้องใช้ชีวิตร่วมกับนายค้ำจุน เขาไม่ใช่คนเลวร้าย ไว้ใจไม่ได้ และเห็นแก่ตัว เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดีคนหนึ่ง รู้จักเส้นส่วนตัว และก็มีเส้นส่วนตัวเช่นเดียวกัน

นายค้ำจุนรักต้นไม้ และมีอาชีพเสริมคือขายต้นไม้ออนไลน์ มีหน้าร้านที่จตุจักรทุกๆ คืนวันอังคาร ซึ่งผมรู้ก็เพราะว่าเคยด่ากันไว้ที่หน้าร้านเค้าในคืนวันอังคารหนึ่งของปี  แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ไปเปิดร้านหรอกครับ บอกว่าเด็กๆ ไม่พร้อม

เรากลับถึงห้องตอนบ่ายแก่ๆ หน่อย ผมเปิดแอร์และเขาก็ปิดทันที หมอนี่เปิดม่านจนสุด เปิดประตูกระจกริมระเบียง ประตูกระจกกั้นครัว และประตูกระจกริมระเบียงเล็กในอีกทิศของห้อง พอเปิดหมดแบบนี้แล้วลมจะพัดโกรกห้องผมอย่างมากครับ เขาเปิดพัดลมเพิ่มความเย็น และเป็นคนจัดของกินเข้าตู้เย็น ผมก็เลยจัดของใช้ส่วนตัวของผมที่ซื้อมาให้เข้าที่บ้าง

ความเป็นระเบียบเนี่ย มันคงเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งล่ะมั้งครับ

“คุณ เย็นนี้จะกินอะไร?”

“ข้าวผัดกุนเชียง”

“กับแกงจืดก็แล้วกันนะ”
“แชร์กันดิ


Tbc


มาต่อแล้ววววววว
เรื่องนี้ไม่มีปมให้ตึงเครียดใดๆ นะคะ
อยากเขียนให้เป็นเรื่องที่อ่านเรื่อยๆ เพราะคนเขียนก็เขียนมาแบบเอื่อยๆ
จะพยายามมาต่อเรื่อยๆ นะคะ ไม่อยากหายไปนานแล้ว เราก็คิดถึงพื้นที่ของเราเหมือนกันอ่ะเนอะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ อ่านกันอยู่ 3-4 คน ก็อย่าเพิ่งเหงากันนะคะ มีเราอยู่ด้วยก็เป็น 5 คนแล้ว
เจอกันใหม่ตอนหน้า ปีนี้แน่นอนค่ะ


ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
 :katai2-1: ว้ายยย มาเห็นตอนที่ 5 แล้วซะงั้น มากอดคนเขียนค่ะ เนื้อเรื่องกำลังจะไปกันได้สวยเลย จู่ๆกลายมาเป็นเพื่อนร่วมห้องมีไปซื้อของเข้าห้องด้วยกันแล้วด้วย คริคริ

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
HomeMate
Casting : Jun x Pae
Writer : Kajidrid

Home*Mate [6]


“อยู่ด้วยกันหรอ?”
“ทำไมอยู่ด้วยกันได้”
“เราหมายถึง ทำไมเปถึงอยู่กับเค้าได้ล่ะ คุณค้ำจุนเนี่ย” ยาดาเป็นคนช่างถาม ผมรู้มานานแล้ว แต่เพิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่นิสัยที่ดีก็ตอนที่ตัวเองถูกคาดหวังว่าจะมีคำตอบ

ผมมองหน้าเพื่อนเงียบๆ ระหว่างกินมื้อกลางวัน ผู้คนคลาคล่ำพอสมควร ผมอิ่มแล้วส่วนยาดายังกินขนมอยู่

“เอ้า ไม่ตอบหรอ?”

“ก็ว่าจะไม่ตอบ”

“ทำไมล่ะ?”

“เราต้องตอบอะไรก่อน ระหว่างทำไมไม่ตอบ กับทำไมถึงอยู่กับจุนได้” ผมย้อนถาม น้ำเสียงคงขุ่นๆ ยาดาก็เลยรู้ตัวเสียที

“ก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอกนะ แต่เราสงสัยนี่นา เปไม่ใช่คนอยู่กับคนง่าย ไม่ใช่คนคบคนง่าย ไม่อย่างนั้นคงไม่ทนเป็นเพื่อนกับเราทั้งที่ก็รำคาญเราหรอก เพราะแกขี้เกียจหาเพื่อนใหม่ ถูกมั้ยล่ะ?”

“ตอบอันล่าสุดละกัน ถูกกกกกกกก”​ผมถูกตบปากจู๋เป็นรูปสระอูกลับมา ยาดาที่ยังไม่อิ่มเสียทีหัวเราะกับตัวเองแล้วก็ส่ายหน้าไปพลาง เขี้ยวขนมหวานไปพลาง ผมเปิดน้ำเปล่าอีกขวดทั้งที่ใจไม่อยากนัก เพราะมันเป็นขวดแก้ว เปิดแล้วดื่มไม่หมดก็เสียเงินอย่างไม่สมเหตุสมผล และยาดาก็ไม่ใช่คนที่ชอบดื่มน้ำเปล่าเสียด้วยสิ

“ย้อนไปตอบข้อแรกด้วยสิ”

“ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไร เลยไม่รู้จะตอบคำถามที่ขึ้นด้วยได้ทำไมยังไงดี”
“เราก็บอกไปแล้วไงว่าสุดวิสัย แล้วมันก็แฟร์กับห้อง และราคาค่าเช่าที่เราได้รับด้วย”
“คิดในแง่ดี เราไม่ต้องนั่งจิตตกว่าผู้เช่าจะทำห้องเราเละเทะรึเปล่าด้วยนะ มีแต่ได้กับได้”

“อ้อหรอ?” เพื่อนย้ำถามให้คิดอีกแล้ว ผมว่าดีมันก็ต้องดีสิ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรเสีย จะเสียนิดหน่อยก็ความเป็นส่วนตัว ซึ่งมันยังไม่มีเหตุการณ์อะไรที่จะชี้นำความรู้สึกนึกคิดผมไปทางนั้น ผมกับค้ำจุน ต่างคนต่างอยู่พอสมควร เว้นแต่ส่วนกลาง ก็คือห้องนั่งเล่นที่เจอหน้ากันบ่อย แต่ถ้าอยู่ห้องพร้อมๆ กัน เหมือนช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา นายค้ำจุนจะขลุกอยู่ที่ระเบียงมากกว่า เวลาที่เหลือก็คืออยู่ในห้องนอน

“ตามนั้นแหละ ไม่เชื่อก็ไม่รู้จะตอบอะไรแล้ว”

“แต่เปก็ไม่เป็นส่วนตัวนะ”
“แล้วอย่างเรื่องทำความสะอาดห้องล่ะ ที่นั่งเล่นอ่ะ ใครทำ ล้างจานอีก อาหารการกินต่อมื้อทำยังไง แยกกันกินหรอ? แต่ก็ต้องมีใช่มั้ยล่ะที่ชงกาแฟกิน ปิ้งขนมปัง ใช้ไมโครเวฟ ใช้เครื่องกรองน้ำ ห้องเปพร้อมอยู่ขนาดนั้น ยังจะแถมเจ้าของห้องให้อีกหรอ?”

“อันนั้นมันเล็กน้อยจนเราไม่รู้จะคิดเงินค่าเช่ายังไงอ่ะ”
“เออ ไหนๆ ก็ชูประเด็นนี้มาแล้ว”
“ดาช่วยคิดหน่อยดิว่าควรเก็บเงินค่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องยังไงดี”
“แต่ค่าไฟ เราก็หารสองนะ ค่าน้ำด้วย”
“แต่พวกเครื่องใช้ไฟฟ้ามันก็มีค่าเสื่อมอ่ะเนอะ”
“อ่อ แต่เราไม่เอารถที่บ้านมาใช้นะ ไปไหนก็อาศัยรถค้ำจุนเอา ล่าสุดก็ไปซื้อของเข้าห้องด้วยกัน”

“อื้อหือออออ”
“ผัวเมียมากอ่ะเป”

“เฮ้ย! พูดหมาๆ”
“ไม่ผัวเมียก็เยอะไป”
“ดาอ่ะ คิดมาก”
“เรายังไม่คิดอะไรเลย ก็คิดซะว่าอยู่กับเพื่อน”

“...........” ยาดายกน้ำดื่มจนหมดแก้วแล้วก็มองผมตาโต เพื่อนผมคนนี้คงตกใจสุดขีดที่ผมพูดคำนั้นออกมา

“....ที่ไม่สนิท”

“ก็แปลกสำหรับเราอยู่ดีที่เปเลือกทางออกแบบนี้”
“เอาเถอะ แล้วแต่จะบอก ยังไงคนที่รู้ดีที่สุดก็เปอยู่ดี”
“แล้วเรื่องเจ๋ป๋อมล่ะ ใกล้กลับมารึยัง”

“เออ อาจเป็นเพราะเราจะอยู่กับทางนั้นแค่สั้น ๆ”
“พอป๋อมกลับมา เราก็จะกลับบ้าน”

“เราก็ว่าแปลกอีกอยู่ดี”
“ปกติเจ๊ป๋อมของเปหวงถิ่นจะตาย ไม่เคยทิ้งบ้านไปไหนนานกว่าอาทิตย์นึง ขนาดนั้นมีพ่อแม่แล้วก็เปอยู่ที่บ้านด้วยนะนั่น แล้วตอนนี้คือบ้านไม่มีใครดูแลเลย จะกล้าไปเที่ยวนานขนาดนี้ได้ยังไง” 

“อย่าว่าแต่ดาเลย เราก็ว่าแปลก”
“แต่จะให้ถามใครล่ะ? เข้าบ้านยังไงไม่ได้ ป๋อมก็แสบชิบหาย ทำเหมือนจงใจตัดเราออกจากชีวิต น้องทั้งคนนะเว้ย แม่งทำได้ไงวะ?” ผมบ่นถึงพี่สาวอย่างหัวเสีย พอไม่สบอารมณ์ก็ต้องรีบหาของชินลิ้นใส่ปาก ซึ่งวินาทีก็มีแค่น้ำเปล่าค่อนขวดนั่นแหละครับ

วันนี้คือวันอังคาร และยาดาก็ชักชวนผมไปตลาดต้นไม้ตอนกลางคืนเหมือนที่ชอบชวน และผมตอบตกลงทันทีอย่างที่ชอบทำ ผมชอบให้เพื่อนยินดีปรีดาในกิจกรรมที่ชอบ เพราะขัดไปแล้วมันอารมณ์เสีย มันก็จะส่งผลถึงผมด้วยในที่สุดอยู่ดี มาเอะใจอีกทีว่าอาจจะได้เจอนายค้ำจุนก็ตอนที่ยาดาทักถาม

“เออ แล้วคุณค้ำจุนเค้าไปขายของมั้ยอ่ะ คืนนี้”

“อืมมม ไม่รู้แฮะ”

“เอ้า ก็อยู่ด้วยกัน”

“เอ้า! ก็บอกแล้วไงว่าต่างคนต่างอยู่”
“ถึงทางนั้นก็มีน้ำใจทำข้าวเช้าเผื่อเราทุกวัน แต่ เราก็ไม่ลดค่าเช่านะ เพราะวัตถุดิบที่เอามาทำ หารกันไว้แล้ว”​

“จ้า ๆ ก็ไม่ได้อะไรเลย”
“เปว่ายังไงเราก็เชื่อ”
“ที่ถามถึง เพราะเราจะกะให้เค้าลดราคาต้นไม้ให้ ไม่รู้เค้าจะมีที่เราอยากได้ขายรึเปล่า”

“แล้วอยากได้อะไรอ่ะ เห็นซื้อไปตั้งเยอะแยะเต็มไปหมด”
“แล้วไอ้พวกนี้มันแพงมากหรอ ถึงต้องขอลดราคาอ่ะ”

“ก็แล้วแต่สายพันธ์”
“เออ แล้วเปมีไลน์หรือที่จะติดต่อส่วนตัวกับคุณค้ำจุนมั้ย ขอหน่อยสิ จะถามเรื่องต้นไม้”

“อ่อ....”
“ขอเราถามเค้าก่อนแล้วกันนะ”

“หวงหรอ?” สีหน้ายาดาไม่ได้น่ายินดีที่ได้เห็นเลยครับ มันเป็นสีหน้าจับผิด รู้ทันและล้อเลียนในเวลาเดียวกัน
“ถามหมาๆ”
“แค่ไม่อยากโดนเค้าด่าว่าไม่รู้จักขออนุญาตเท่านั้นแหละ”
“เห็นหน้าตาดีแบบนั้น มันด่าเจ็บนะ”

“อ๊ะ ๆ ทางนั้นหน้าตาดีด้วย”
“ไปกันใหญ่แล้วมั้ยเนี่ย ต้องเมาท์ให้วราห์ฟัง สนุกแน่ ๆ”

“ไอ้หมาผู้หญิง เงียบๆ ไปเลย” ถ้าขึ้นสรรพนามนี้เมื่อไหร่เป็นได้รู้กันว่าผมไม่สบอารมณ์มากครับ ยาดาทำเป็นย่นคอส่งสายตาขอโทษ  บีบ ๆ ไหล่ ชูนิ้วก้อยให้สัญญาว่าจะไปเดินดูต้นไม้ด้วยกันเหมือนเดิม พอผมยอมพยักหน้าสัญญา ยาดาถึงได้ยอมเดินกลับคอกทำงานของตัวเอง

ห้าโมงกว่าแล้ว ใกล้ถึงเวลากลับบ้านเต็มที ผมตรวจเช็คตารางงาน เมื่อแน่ใจว่าลิสท์งานวันนี้ได้ลุล่วงไปหมดแล้วก็เริ่มเก็บของ ออฟฟิศนี้เป็นออฟฟิศเล็กๆ ครับ แต่ว่าให้ผลตอบแทนสูงผมถึงยอมย้ายมา

งานแรกที่ทำคืองานบริษัทพี่ทัศน์ เป็นสื่อสารองค์กร ทำหน้าที่เล็ก ๆ แต่บริษัทเขาโตเร็วแล้วก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ ความช่างสื่อสารข้อมูลขององค์กรของผมก็เลยเข้าตาบริษัทนี้ซึ่งเป็นพีอาร์ คอนซัลท์ เล็กๆ แต่ส่วนมากจะได้ลูกค้ารายใหญ่มาดูแล

แม้จะไม่มีเข้าออกงานที่ชัดเจน แต่ก็มีกรอบปฏิบัติอยู่เหมือนกัน ยาดาถือเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน แต่เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปี.1  ผมก็เลยไม่อยากได้เพื่อนเพิ่มแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อนสนิทหรือเพื่อนในที่ทำงาน เพราะเธอทูอินวันแล้วครับ

เจ้าตัวเก็บของเสียงดังขึ้นเมื่อใกล้เวลาห้าโมงครึ่ง เป็นสัญญาว่าจะไปแล้วนะคะ ใครมีงานอะไรของวันพรุ่งนี้รีบเก็บตกกับดานะคะพี่ๆ และเมื่อไม่มีการเรียกร้องกันไว้ในจังหวะสุดท้าย ยาดาก็ฉุดผมออกจากออฟฟิศในเวลา 17.40 น.

“หิวมั้ยเป”

“ไม่ล่ะ”

“แล้วคุณค้ำจุนล่ะว่าไง วันนี้จะได้เจอมั้ย ขอคอนแทคยังไม่ให้เราเลยนะเป”

“เออลืม”
“ทำนั่นนี่เยอะแยะ”
“จะเอาไรล่ะ เดี๋ยวถามให้เลย”

“ทูเลีย”

“หือ? ทุเรียน? บ้าหรอ? ซื้ออตก.ดิงั้น”

“ไอ้บ้าเป”
“ทู...เลีย” ลากเสียงยาวใส่อีกต่างหาก ผมขมวดคิ้วรับสาร แต่ในหัวไม่สามารถแปลรหัสสารที่รับมาแล้วระลึกข้อมูลเบื้องต้นได้เลยว่าทูเรียที่ว่าหน้าตาเป็นยังไง

“เดี๋ยวถามก่อนละกัน ถ้ามันแพงก็อย่าใช้ความเป็นเพื่อนเราไปต่อรองล่ะ”
“ขอบอกเลยว่าหมอนี่ไม่ธรรมดา เค้าไม่ยอมลดให้ดาง่าย ๆ หรอก”​

“อะไร ได้ค่าคอมหรอ? ช่วยขายเนี่ย”
“กระเป๋าตังค์เดียวกันแล้วสิงั้น”

“ไอ้”

“จ้า จ้า เราไม่แซวแล้วก็ได้ ถึงมันจะสนุกดีก็เถอะ”
“เอามาสิ ไลน์คุณค้ำจุน”

ผมไม่อยากให้
ข้อแรก ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้เลย อยากต่อรองราคาก็ทำมันหน้าร้านไปสิ ทำไมต้องมีนอกใส
ข้อสอง ผมไม่รู้เรื่องต้นไม้เท่าไหร่ แต่ยาดาเขาชอบทางนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาถ้าหากว่ายาดาจะชอบไปคุยกับนายค้ำจุนมากกว่าเพื่อนชายสายแข็งกระด้างอย่างผม นี่ผมหวงเพื่อนนะครับ ไม่ได้หวงใคร

“เดี๋ยวบอกให้ว่าอยากได้”
“ไม่รู้วันนี้มาขายรึเปล่า”
“ดาอาจไปเก้อก็ได้ หรือไม่ก็ต้องหาจากร้านอื่น”

“แค่นี้ก็ช่วยกันไม่ได้”
“โอเค เราหาเองก็ได้”

“ก็ช่วยไง แต่ไม่อยากให้คาดหวังหรือโยนมาเป็นโจทย์เรา”
“เคนะ”

“เค”

ผมส่ายหน้าใส่อาการงอนของเพื่อน เราเป็นเพื่อนกันมาจนรู้แล้วครับว่างอนได้ก็ง้อตัวเองให้เป็น อะไรที่มันไม่สมเหตุสมผลก็ไม่ควรทำจนติดเป็นนิสัย

ว่าแล้วก็กดหน้าต่างไลน์นายค้ำจุนขึ้นมา หูแว่วได้ยินเสียงยาดาพูดว่า “ดึงเราเข้ากลุ่มก็ได้ไง ง่ายออก”

ผมเหล่มอง ส่ายหน้าให้พอรู้ว่าปฏิเสธ จากนั้นก็เดินนำหน้าเพื่อน มุ่งหน้าไปรถไฟฟ้าบีทีเอส

“คุณ” ผมทักไลน์ไป เดินขึ้นสะพานลอยไม่กี่ก้าว เขาก็ตอบกลับ
“ครับ ว่า?”
“เย็นนี้ไปจตุจักรมั้ย” ผมกรุยทางไปก่อน ถ้าเขาบอกว่าไม่ไป ผมจะได้ยกเรื่องต้นอะไรเลียๆ นั่นไปคุยที่ห้องแทน
“อืม ขายของ” .... “คุณจะมาหรอ?” ถามกลับซะงั้น ผมกลายเป็นคนต้องตอบคำถามไปเสียได้
“ยาดาไปซื้อต้นไม้”.... “ถามหาอะไรเลียๆ คุณมีรึเปล่า”
“มีหลายเลีย เอาเลียอะไร” ขำซะงั้น ผมหัวเราะพรืด หันมองเพื่อนว่าเดินตามมาอยู่รึเปล่า พอเห็นว่าผมหันมอง ยาดาก็รีบฉีกยิ้มแล้วเดินเขย่งเพื่อขอดูหน้าจอบ้าง แต่ผมไม่ให้ดู

“อย่ามาชูคอ เดี๋ยวจัดการให้ไงดา” ผมส่งเสียงดุ เดินตามทางเชื่อมมุ่งหน้ามาที่บีทีเอส
“เลียอะไรมั่ง ว่ามา” ผมตอบไลน์เขา หัวเราะอยู่คนเดียวด้วยความคิดต่ำตมนิดๆ
“อยากได้เลียอะไรว่ามา” นายค้ำจุนตอบกลับ โอเค ๆ เราจะต่ำตมไปด้วยกัน ฮ่าๆๆๆ

“ดา ต้นอะไรนะ ลืม” ผมหยุดแชทไลน์เพื่อแตะบัตรรถไฟฟ้า พอเดินผ่านที่กั้นมาแล้วก็หยุดรอคำตอบเพื่อน

“ทูเลีย”

“โอเค”  ผมรับคำ พอรู้ว่าผมก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์เรื่องอะไร และกับใคร อารมณ์เพื่อนก็ดีขึ้นทันทีครับ ถึงขั้นเดินลั้ลลาขึ้นบันไดได้เลย ปกติจะจับจองบันไดเลื่อนเสมอ

“คุณ ทูเลีย มีมั้ย แพงมั้ย เท่าไหร่” ผมถามไปเป็นชุด กะเก็งไว้ว่าถ้าได้ชุดคำตอบกลับมาจะได้บอกยาดาไปให้สิ้นเรื่องราว

“หลากหลาย เน้นอะไร โขด(*) ใบ ทรง” ตอบกลับมาแบบนี้ก็ต้องต่อความยาวกันล่ะสิ และผมก็ไม่อยากเป็นคนกลางแล้วด้วย ผมไม่ใช่คนอินกับต้นไม้ สงสัยต้องให้เค้าคุยกันเองแล้วมั้ง

ระหว่างที่กำลังนึกสงสัย นายค้ำจุนที่ผมคุยอยู่ก็โทรเข้ามาครับ

“คุณ ชอบยูโฟเบีย(**) หรอ?”

“หา” อันนี้ตอบไปแบบปฏิกิริยาอัตโนมัติเลยครับ ไม่ได้ไตร่ตรองก่อนเลยว่าอะไรเบียๆ ที่เขาพูดคืออะไร
“เบียร์อะไร เบียร์หรอ? ใช่มั้ยคุณ”

“ต้นไม้ ที่คุณถามถึงไง ทูเลียน่ะ คือยูโฟเบีย”
“เอ่อ....ไงดี สรุปว่าจะมาที่ร้านใช่มั้ย”

“อ้อ อื้อ ยาดาอยากได้”
“คุณอยู่รึเปล่าล่ะ?”

“อยู่ ผมรอที่ร้านนะ เดี๋ยวกลับห้องพร้อมกัน” แล้วก็วางครับ คือ...อะไรวะ?
ผมกลับเลยไม่ได้หรอ? ผมต้องอยู่ที่ร้านเขาจริงจังด้วยหรอ? ต้องกลับพร้อมกันด้วยงั้นสิ?
เฮ้ย ๆ ช้าก่อน ผมอยากกลับก่อนไม่ได้รึไง อีกอย่างผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะกลับห้องกี่โมง

วันนี้น่าจะเป็นอังคารแรกที่เราอยู่ห้องเดียวกันแล้วเขาไปประกอบอาชีพเสริม  ปกติแล้วนายค้ำจุนจะกลับถึงห้องราว 2 ทุ่มนิดๆ โดยที่มักจะกินมื้อเย็นมาแล้วเรียบร้อย หรือไม่ก็ซื้อกลับมากินที่ห้อง ส่วนมากเป็นอาหารสำเร็จง่ายๆ เช่นข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู อะไรเทือกนี้ พอสักสี่ทุ่มเขากะไปขลุกอยู่นอกระเบียงที่เป็นแหล่งซ่องสุมฐานกำลัง ซึ่งผมไม่เคยสนใจไปวอแวอยู่แล้ว ผมก็อยู่ในห้องนอนผม แต่ที่รู้เพราะได้ยินเสียงเลื่อนประตูกระจกครับ

“เป็นไรอ่ะเป ร้านคุณค้ำจุนไม่มีหรอ?”

“เห็นว่ามี ค่อยไปหา” ผมตอบสั้นๆ เคลื่อนตัวเข้าบีทีเอสที่มาจอดเกยประตู และก็ครุ่นคิดหาเหตุผลดีๆ เอาไว้อ้างหากต้องการกล้บห้องก่อนนายค้ำจุน 

ยาดาไม่ได้พาหลงหรอกครับ แต่พาวุ่นวายมาก แทนที่เราจะเดินเหินกันตามสะดวก แต่เพื่อนกลับเพิ่มขั้นตอนการเดินทางขึ้นมาอีกระดับ
จากที่ลงสถานีหมอชิด แทนที่จะเดินเข้าสวนจตุจักรไปให้สิ้นเรื่อง ยาดากลับพาผมขึ้นเอ็มอาร์ที นั่งย้อนมาลงสถานีกำแพงเพชร เพื่อจะเจอทางออกที่พบกับร้านขายต้นไม้พอดี​ โอเค ไม่ต้องเดินเมื่อย แต่ไอ้ทางเดินในเอ็มอาร์ทีมันก็ยาวไกลพอกันนั่นแหละ

“มาๆ ไวๆ ดิเป เราตื่นเต้นอ่ะ”
“ไม่เคยมีเพื่อนขายต้นไม้เลย ดีใจนะ”

“เว่อร์”

“จริงๆ นะเป มันไม่ใช่ศาสตร์ที่ทำกันได้ง่ายๆ นะ”  ก็จริงของยาดา อย่างผมเนี่ย จับต้นไม้ปลูกเป็นได้ตายทุกต้น ไม่รู้ทำไม แม่บอกว่ามือร้อน แต่ผมว่ามือผมก็ปกติ แม้จะยอมรับว่าไม่ใช่ใครก็ทำมาหากินกับต้นไม้ได้ แต่ผมก็ไม่คิดว่าอาการที่ยาดาชื่นชมนายค้ำจุนนั้นสมเหตุสมผลหรอกครับ ดูยังไงก็เวอร์อยู่ดี อยากให้วราห์เห็นตอนที่ยัยนี่บ้าผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองเหลือเกิน แต่วราห์คงไม่หึงหรอก วราห์เองก็เครซี่หนังสือมากกว่ายาดาอยู่ประจำ

“แล้วร้านคุณค้ำจุนอยู่ไหนอ่ะ”

ผมหันมองหน้าเพื่อน สายตาไร้คำตอบคงทำให้ยาดากระจ่างในทันที

เออว่ะ....ร้านนายค้ำจุนอยู่ตรงไหน?

ก็เดินๆ ดูไป
เจอก็เจอเองนั่นแหละ
อยู่ในนี้แหละ
หรือถ้าไม่เจอร้านหมอนั่น ดาก็ซื้อร้านอื่น
หรือมันพิเศษมาก ทั้งประเทศนี้มีขายอยู่ไม่กี่ต้นหรอ?

ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป ผมก็รู้แก่ใจว่ามันไม่ได้หากันง่ายๆ หรอกครับ
ยาดาบอกให้ผมโทรไปถามพิกัด หรือไลน์ถามก็ได้ ให้เขาอธิบายมาว่าจากประตูนี้ของเอ็มอาร์ทีเนี่ย ต้องเดินไปทางไหน ระยะเท่าไหร่ถึงจะเจอกัน
แต่ผมเลือกจะไม่ไต่ถาม แล้วก็เลือกที่จะ เดินๆ ดูไป และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเมื่อยครับ
พลบค่ำนี้ผู้คนคลาคล่ำ นอกจากเดินหลบกันโดยใช้หูเป็นเซนเซอร์กันชนกับคนแล้ว ยังต้องคอยหลบรถด้วยครับ
บอกตามตรงว่าผมไม่ได้สุนทรีย์ไปด้วยเลย ที่มาด้วยเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกันและยาดาก็เป็นผู้หญิง ทุกครั้งที่มาด้วย พอวราห์มาสมทบแล้วผมก็จะกลับบ้าน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนปลายทางมันจะต่างออกไปนิดๆ อย่างน้อยนายค้ำจุนก็ชวนให้ผมกลับห้องพร้อมกัน
นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ทำให้ผมสุนทรีย์ไม่ออก ผมรู้สึกถูกบังคับ ซึ่งไม่ชอบเลยให้ตายเถอะ

“เป เราจำได้ว่าร้านคุณค้ำจุนเขาอยู่ฝั่งซ้าย”
“คราวที่แล้วเราเดินชิดซ้ายกันก่อน เพื่อจะไปให้ถึงร้านดัง แล้วเราก็แยกเข้าร้านไป เปก็เดินเปะปะอยู่แถวๆ นั้น พอเดินออกมา เปก็อยู่ร้านทางขวามือเรา เพราะงั้นต้องอยู่ฝั่งซ้ายถ้ามุ่งหน้าไปร้านดัง”
“เราเป็นคนออกมาหาเปเอง เราจำได้”

“โอเค งั้นเล็งซ้าย”

“ว่าแต่ เขาไม่เวียนที่กันใช่มั้ย?”

“เออว่ะ ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

แค่หานายค้ำจุนให้เจอในจตุจักรไนท์มาร์เก็ต ทำไมมันถึงยากแบบนี้วะ?
ผมเริ่มหงุดหงิด ถอนหายใจเสียงดัง พยายามข่มอารมณ์และเพิ่มความอดทนให้ตัวเอง และวางแผนไว้แล้วว่า ถ้าวราห์มาเมื่อไหร่ผมจะกลับทันที

ครืดดดดดด
โทรศัพท์ผมสั่นเตือนส้นๆ ลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นข้อความรัวเข้ามา
พอหยิบมาดูก็เจอข้อความสวรรค์ครับ
นายค้ำจุนส่งรูปถ่ายหน้าร้านมาให้ รวมถึงรูปถ่ายฝั่งตรงข้ามของร้านมาให้ด้วย  ก็ยังดี อย่างน้อยก็จะได้มีจุดสังเกต
ผมยกหน้าที่ตามหานายค้ำจุนให้ยาดาแต่เพียงผู้เดียว ส่วนผมจะเดินตามเพื่อนไปเท่านั้น

“นั่นมั้ยอ่ะเป”

“ไหน? หือ? เออ ใช่มั้ง เดินไปดูดิ๊” ผมเออออ ไม่ได้สนใจเพ่งดูด้วยซ้ำว่ามีหัวคุ้นๆ ตา อยู่ในทิศทางที่ยาดาชี้รึเปล่า

แต่เราก็เจอกันครับ
นายค้ำจุนกำลังสาละวนพูดกับลูกค้าของเขากลุ่มนึงครับ คงอธิบายอย่างเมามันแน่ๆ มือไม้ถึงได้ช่วยกันสื่อสารเต็มไปหมด เขาหันมามองหน้าร้าน และก็สบตากับผมซึ่งยื่นทื่อๆ ปิดรูเข้าออกเล็กๆ ของร้านเขาไว้ ส่วนยาดาเดินแทรกตัวเข้าไปตามซอกเล็กๆ ที่กระบะวางต้นไม้เว้นระยะไว้ให้

“คุณ”

“อื้อคุณ” เราทักกัน แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรกันอีก

เขาหันไปพูดกับลูกค้าต่อ ที่ได้ยินคร่าวๆ ก็เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเหล่าต้นไม้พวกนี้ แดดร้อยน้ำร้อยได้เลย ถ้าหากมันเป็นโค้ดลับในวงการนี้ ก็ต้องบอกเลยว่าเป็นโค้ดที่เข้าใจได้ง่าย แต่เอาไปใช้จริง น่าจะยากพอตัว

ส่วนผม เดินประกบหลังยาดาและคอยทำหน้าเห็นด้วยเมื่อเธอยกต้นไม้นั้นนี้มาถามด้วยเสียงสองว่า น่ารักมั้ยเป .... เอ่อ ก็ต้นไม้อ่ะยาดา อันนี้ผมตอบในใจนะครับ

“นี่ๆ คุณค้ำจุนว่างแล้ว”
“ไปถามกัน”

“ก็ไปสิ” ผมบอกเพื่อนระหว่างโค้งตัวลงจ้องต้นไม้ที่ยืดตัวในกระถางเล็กๆ มีป้ายเล็กพอกัน ปักไว้ว่าหลายราคา

“เปเปิดประเด็นหน่อยดิ”

“ก็ถามไปสิ อยากได้ต้นอะไรเลียๆ ไม่ใช่หรอ”

“ก็......”
“เราก็เขินๆ ไง”

“อย่าเยอะว่ะ”
“ถามเอง” บอกยื่นคำขาด ส่งนิ้วชี้ของตัวเองไปเขี่ยหนามต้นกระบองเพชรต้นหนึ่ง หนามม้นหุบลงไปครับ เลยขอแตะดูหน่อยว่ามันแข็งหรืออ่อนยังไงแค่ไหน

“คุณ” คำทักและเสียงคุ้นหูเรียกให้ผมหันขวับไปทันที นายค้ำจุนยืนมองผม ดวงตาที่เบิ่งโตขึ้นหน่อยน่าจะแทนคำถามอะไรสักอย่าง

“อ้อ”
“อืม ยาดาอยากได้ต้นที่บอกน่ะ คุณแนะนำหน่อยสิ”

“อ้อ ได้สิ”
“คุณ....เอ่อ”

“ยาดา เรียกยาดานั่นแหละ” นี่ก็ถนัดจะประหลาดเหลือเกิน ผมหัวเราะหึเมื่อได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นของเพื่อน จากนั้นก็สนใจกระบองเพชรต้นถัดไป ผิวเขียวของต้นนี้เกลี้ยงหนาม มีก้อนขนผุดขึ้นมาดูนุ่มๆ เรียงตัวเป็นระเบียบตามสันเตี้ยๆ ของต้น

เออ ... อันนี้สวยว่ะ
ไอ้ฟูๆ นี่จะนุ่มมั้ยวะ?
ระหว่างดูความแตกต่างแต่ละต้นในกระบะนี้ ยาดาก็มาลากแขนผมไปให้ยืนอยู่ในวงเลคเชอร์เล็กๆ

“มาฟังดิเป จะได้ช่วยจำ”

“ทำไมเราต้องช่วยจำล่ะ? แกเลี้ยงแกก็จำเองสิ”

“เราจะเลี้ยงในออฟฟิศ”

“อ้าว ..... ได้หรอ?” คำถามหลังผมส่งให้นายค้ำจุนที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว เขาทำท่าคิดนิดเดียวก็ให้คำตอบ

“ทูเลียชอบแดดนะ ในออฟฟิศมีแดดหรอ”
“ถ้าวางริมกระจกก็อาจได้ แต่ก็ไม่เพียงพอ”
“พวกยูโฟเบียโชว์ ใบเค้าแกร่งนะ อัดแดดได้เลย ฟอร์มจะสวยด้วย”

“เอาต้นที่เลี้ยงในออฟฟิศได้ไปดิงั้น”​ผมเสนอทางเลือกให้เมื่อเพื่อนทำหน้าผิดหวังเพราะรู้สึกเห็นใจ ยาดาเป็นผู้หญิงเก่งที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับสิ่งที่ผู้หญิงคู่ควรสักเท่าไหร่ เวลาเธอผิดหวังทีผมจะรู้สึกสงสารมาก
“ก็...เลียเลียเนี่ย มันเลี้ยงในออฟฟิศไม่ได้นี่ดา”
“หรือไม่ก็เอาไปเลี้ยงที่บ้าน เอามั้ยล่ะ?”
“ถ้าเลี้ยงที่บ้านต้องดูแลยังไงนะคุณ” ผมถามพ่อค้าที่จ้องผมอยู่ก่อนแล้ว หวังว่าเขาจะรับรู้ได้นะว่าผมกำลังถางทางช่วยให้เพื่อนสมหวัง

“ถ้าเลี้ยงที่บ้านก็ดีเลยครับ เค้าชอบแดด”
“รำไรก็ได้นะ แต่ต้องได้แสงธรรมชาติอย่างน้อยๆ ก็70%”

“คือยังไงหรอคะ 70%” ยาดาถามขึ้น รอบนี้หยิบต้นไม้เล็กๆ ในกระถางที่ปากกว้างไม่เกิน 2 นิ้ว ขึ้นมาส่องใกล้ตา
 
อ่อ...เจ้านี่นั่นเอง เลียเลีย อืม ไม่น่าจะชื่อนี้ แต่ผมก็จำชื่อมันไม่ได้อยู่ดี

“ก็ถ้านับ100% เท่ากับพระอาทิตย์ขึ้นถึงตก 70% ก็คือได้แดดตั้งแต่10 โมงเช้าเป็นไป ประมาณนี้อ่ะครับ 50% ก็ลดลงมาตามสัดส่วน คิดเร็ว ๆ ก็คือ แดดประมาณครึ่งวัน อะไรประมาณนี้”

“อ๋อออ”
“เข้าใจแล้วค่ะ นึกว่าความแรงกล้าของแดดซะอีก กำลังกลัวอยู่เลยว่าเราจะทดสอบความแรงของแดดยังไงดี”

คุยอะไรกันวะ? ทำไมผมไม่ค่อยรู้เรื่องเลย

“ดีนที่คุณค้ำจุนอธิบาย”
“ก่อนหน้าที่เราซื้อไป พ่อค้าก็บอกแค่เรื่องรดน้ำกี่วันครั้ง”

“อ้อ เค้าคงเชื่อว่าคนซื้อไปน่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกแคคตัสชอบแดดน่ะครับ”
“ยาดาลองดูต้นอื่นมั้ย ถ้าเลี้ยงในออฟฟิศก็เอาพวกไม้หนามไปก็ได้นะ แต่เป็นผู้หญิง อาจจะไม่ชอบ แบบรู้สึกโหดไป”

“ไม่ๆ ไม้หนามเราก็ชอบ”
“แต่เราเห็นราคาแรง เลยไม่กล้าซื้อไป”

“ไปเจอตัวไหนถึงว่าแพง”

“ก็วันก่อนนู้นไปซื้อร้านดังอ่ะ รู้จักใช่มั้ย ถามตัวด่างของยิมโนไป โหย เกือบพันแหนะ แต่ไซส์ใหญ่แล้วนะ เราเห็นมันสวยดี เป็นด่างๆ ก็ยิ่งดีใช่มั้ยล่ะ อ่านเจอมา แต่ไม่คิดว่าราคาจะแรงขนาดนี้ เค้าก็บอกว่าไม้เมล็ด เราก็งงๆ นะว่ามันพิเศษตรงไหนกันเล่า”

ออฟไลน์ kajidrid

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +249/-3
เป็นตุเป็นตะ ต่อยหอย ผมนิยามอากัปที่พวกเขาคุยกันได้ราวๆ นี้ครับ พอเห็นว่านายค้ำจุนน่าจะดูแลเพื่อนผมได้ ผมก็มองต้นนั้นต้นนี้ของผมไปเรื่อยๆ และก็มาสะดุดตาที่ชื่อของต้นไม้ต้นหนึ่ง

ฟรองซัว
ชื่อมึงหล่อกว่ากูอีกต้นไม้เอ้ย
หน้าตาฟรองซัวก็ดูป๋าๆ หน่อยสำหรับผมครับ
เป็นต้นไม้ที่ดูก็รู้ว่ามีอายุแล้วแต่ก็สามารถอยู่ในกระถางปากกว้างราว 4 นิ้วได้ ส่วนต้นมีผิวขรุขระ แต่ก็มองเห็นยากนะครับเพราะใบแม่งยั้วเยี้ยไปหมด ดูแล้วน่าจะเหมือนไม้แข็งทั่วไป ส่วนใบเรียวยาวขอบเหมือนจะมีริ้วหยักนิดหน่อย สีเขียวและขาวปนกันไป

สวยดีว่ะ

“อย่างฟรองซัว ก็จะโตมาฟอร์มใหญ่กว่าทูเลียนะครับ”
“เป็นไม้ใบมากกว่าด้วย”
“ที่เปดูอยู่นั่นก็ฟอร์มสวย”

อ้าว แล้วทำไมต้องมาพูดถึงต้นที่ผมยืนส่องอยู่ด้วยวะ เมื่อมีคนพูดถึงของที่เรามองอยู่ มันก็มี 2  ทางให้เลือกครับ ทางแรกคือเลิกสนใจของนั้นซะ กับทางที่สองคือทำให้คนเสือกมาสนใจของที่เรามองอยู่ไปซะ และผมก็เลือกทางแรกครับ

ผมย้ายไปสนใจดูต้นอื่นแทน..... และ

“ส่วนต้นที่เปมองอยู่ อันนั้นแอมโบ”
“แต่บอกก่อนนะ พวกยูโฟเบียเนี่ยผมไม่ค่อยมีมาเยอะหรอก”
“ส่วนมากเอาไว้ที่โรงเรือนที่บ้าน”

“หรอ? คุณค้ำจุนมีสวนของตัวเองด้วยใช่มั้ย น่าไปเที่ยวจัง”

“เอาสิ เอาไว้เข้าที่เข้าทางแล้วผมบอกผ่านเปไป”
“เนอะ” ผมไม่ควรหันไปมองหน้านายค้ำจุนเลย แม้ว่าเขาจะพูดถึงผมแทบทุกคำก็ตาม

“เป ไปกันนะ”
“นะ ชวนวราห์ด้วย”

แล้วทำไมผมต้องไปเอี่ยวกับทริปดูต้นไม้ล่ะเนี่ย ผมไม่ได้ชอบพวกมันสักหน่อย

Home*Mate

สรุปแล้วยาดาได้แอมโบกลับไปครับ 1 กระถางถ้วน ซึ่งแม้ว่ผมจะอยู่ด้วยตั้งแต่คำถามแรกยันการตัดสินใจสุดท้าย ผมก็แยกเจ้าทูเลีย (จำชื่อได้แล้วครับ) แอมโบ และฟรองซัวไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เอาเป็นว่ามาครั้งหน้าก็ลืมหมดแหละครับ

คนอยากได้ต้นไม้ ก็ได้ต้นไม้ไปแล้ว มีคนมารับพาส่งที่บ้านแล้วเหมือนเดิม ตอนนี้ผมได้รับเกียรติให้นั่งบนขอบฟุตบาธครับ พ่อค้าหน้าตาดูได้กำลังขายของอย่างขะมักเขม้น แต่ผมไม่ได้นั่งหง่าวง่วงอยู่คนเดียวหรอกนะครับ ผมมีคู่สนทนาเพิ่มแล้วครับ

“เป น้ำ”

“เฮ้ย ขอบใจมาก” หมอนี่คือเพื่อนนายค้ำจุนอีกที เขาปรากฏตัวขึ้นตอนที่ยาดากำลังสับสนว่าจะเอาแอมโบต้นไหนดี เขาชื่อต้นสน และเป็นคนพูดเก่งมากจนยาดาต้องเป็นฝ่ายหมดคำถามไปเอง นานๆ ผมจะเจอคนแบบนี้สักที

“แล้ววันนี้มาหาตัวไหนหรอ?”

“หือ? หาหรอ? อ๋อ....ก็เนี่ยแหละ หาจุน” ผมค่อนข้างแปลกใจว่าเขาเรียกหน่วยเพื่อนเป็นตัว แต่ก็ตอบไปตามความจริง ซึ่งมันทำให้นายต้นสนหัวเราะคิกคักครับ ผมขมวดคิ้วใส่แล้วก็ถามกลับ

“ขำอะไร?”

“มาหาไอ้จุนเนี่ยนะ ตอบมาได้ไง น่ารักชิบหาย” เฮ้ย ๆ ช้าก่อน ผมไม่ใช่คนที่เหมาะกับคำว่าน่ารักนะครับ

“เอ้า ขำอะไรวะ?”

“เฮ้ยๆๆ อย่าขึ้นดิ ใจเย็น”
“ที่ถามว่ามาหาตัวไหน หมายถึงต้นไม้ ไมใช่คน”

“ต้นไม้มันหน่วยเป็นตัวหรอ?”

“แล้วไอ้จุนมันหน่วยเป็นตัวได้ไง” พอโดนย้อนกลับผมก็ชะงักปากและหัวเราะคิกคักตามบ้าง จนได้ยินเสียง “เฮ้ย ไอ้ต้น” แบบเหวี่ยงๆ ดังมา ต้นสนเลยผละจากผมไปช่วยเพื่อนขายของ.....

อ่อ ไม่ใช่ครับ พวกเขาไม่ได้ช่วยกันขายของ นายค้ำจุนเรียกเพื่อนไปทำหน้าที่พ่อค้าหน้าหยกแทน

“คุณกินอะไรรึยัง? หิวมั้ย”
“เดินๆ ไปตรงนั้นมีขายของกินนะ ไก่ย่าง ทอดมัน ขนมโตเกียวไส้กรอกไข่หมา ยำๆ ไรพวกนั้น กินมั้ย”

“อ่ออ ดูหลากหลายเนอะ”
“งั้นเดี๋ยวผมไปดูดีกว่าว่ามีอะไรกินบ้าง คุณเอาอะไรมั้ย”

“ไม่เป็นไร ไอ้ต้นซื้อมาไว้ให้แล้วแหละมั้ง ปกติมันก็ซื้อเผื่อ”

“ไอ้จุน หิวก็ไปหาอะไรกินได้นะ คนน้อยๆ แล้ว เดี๋ยวป้าแกกลับบ้านกันหมดแล้วเนี่ย” คนหน้าร้านรูเล็กๆ ตะโกนบอกมาราวกับได้ยินที่พวกเราคุยกัน นายค้ำจุนมองหน้าผมเก้อๆ เขาเกาหัวแล้วหัวเราะกับตัวเอง จากนั้นก็จ้องหน้าผมแล้วเอ่ยชวน

“ไปหาอะไรกินกัน”

รอบข้างยังจอแจด้วยผู้คน รถที่วิ่งได้แค่ทางเดียว แต่ก็ยังมีรถเล็กแทรกรถใหญ่ตลอดเวลา คนเบียดกันเมื่อรถยึดพื้นที่ไปเกินครึ่ง แต่พอรถผ่านไปแล้ว ผู้คนก็ขยายอณาเขตการเดินของตัวเองกันทันที

ผมไม่อินกับที่แบบนี้ ผมไม่ใช่คนรักต้นไม้ ไม่ประทับใจกับเผ่าพันธุ์พิเศษของมัน แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าตลาดกลางคืนแห่งนี้ไม่ใช่โลกของมนุษย์ แต่เป็นโลกของพวกเขา...เหล่าต้นไม้

“อื้อ แล้วคุณไม่ชอบต้นไหนเป็นพิเศษหรอ”

“หือ?”
“อ่ออ..ก็มีนะ”

“ต้นไหน” เขาถามทันที สบตาแล้วรู้สึกเหมือนขากำลังคึกคักที่จะได้วัดความสามารถในการคาดเดา

“ต้นที่ดูอ่ะ ฟรองซัว ถ้าได้ยินชื่อไม่ผิดนะ”
“ใบเขียวๆ ขาวๆ”
“แพงป่ะ?” ผมถามและจ้องเขาเต็มตา นายค้ำจุนมองหน้าผมแล้วก็ก้มหน้าตักเส้นใหญ่ในน้ำเย็นตาโฟเข้าปาก

“แพงหรอ?”
“เฮ้ย ก็ดูธรรมดา จะเท่าไหร่เชียว”

“ก็มีค่าตัวอยู่นะ”
“หายากด้วย”
“ไม้เมล็ด คัดพ่อแม่เองเลย”
“เลี้ยงมาสัก 3 ปีได้มั้ง ต้นนั้น”

“แล้วเท่าไหร่อ่ะ ห้าร้อยอ่ะ”

“เก้าเถอะ”

“เก้าร้อย?”

“เก้าพัน”

หน้าผมคงสบถอะไรมากมายที่อีกฝ่ายตีความได้โดยง่าย เขาถึงได้แค่นหัวเราะและเชิดหน้าหยามผม หึ! คงภูมิใจในความแพงของต้นไม้แม่งมากสินะ ไอ้บ้า! เชิญพราวด์ไปเถอะ ตราบใดที่ไม่มีใครซื้อ มันก็แค่มูลค่าที่คนขายตีฟองล่ะวะ

ผมไม่เถียงอะไรด้วย เพราะผมไม่มีความรู้เรื่องต้นไม้ เถียงไปก็ประจานความไม่รู้ของตัวเองเปล่าๆ เรากินก๋วยเตี๋ยวกันจนหมด ขากลับร้านเดินผ่านรถเข็นขายขนมโตเกียวก็แวะซื้อด้วย อร่อยดีครับ หรือไม่ก็เป็นเพราะหิวจัดกว่าวันไหนๆ

กลับมาถึงร้าน ต้นสนก็ทยอยเก็บของแล้วครับ ตอนแรกผมคิดว่านายค้ำจุนจะโวยวาย เพราะลูกค้าก็ยังมีเดินผ่านไปมาอยู่ ทำไมต้องรีบเก็บขนาดนั้น เสียโอกาสขายของ แต่สุดท้ายก็สังเกตเห็นว่า แม้พ่อค้า 2  คนจะขะมักเขม้นกับการย้ายกระบะต้นไม้ลงรถเข็นอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็มีลูกค้ามาทักถาม ทักทาย และมารับต้นไม้ที่จองไว้แล้วอยู่เรื่อยๆ แสดงว่าวิธีการขายของพวกเขามันลงตัวสำหรับพวกเขาเองแล้ว ดูทั้งคู่ไม่ทุกข์ร้อนสักเท่าไหร่หากว่าลูกค้าบางคนจะถามราคาแล้วก็ผ่านเลยไป 

“เดี๋ยวกูเอากลับบ้านเอง มึงกลับห้องไปเถอะ”
“เปจะได้พักผ่อนด้วย” ทำไม หน้าผมดูเหนื่อยมากหรอ? ผมเลิกคิ้วเหรอหราเมื่อชื่อโผล่ไปอยู่ในบทสนทนาของนายค้ำจุนและต้นสน

2 คนนี้มองหน้าผม แล้วก็หันไปมองหน้ากันเอง จากนั้นก็ดูเหมือจะเข้าใจกันได้เพียงแค่มองตาและพยักหน้าคนละครั้ง

เฮ้ย ๆ ช้าก่อน
ผมไม่ใช่เด็กอนามัยนอนดึกไม่ได้ ผมไม่ใช่คนอ่อนแรงเวลากลางคืนด้วย เฮ้ย ๆ กูก็อึดนะเว้ย อย่างน้อยผมก็เข้าใจตัวเองแบบนั้นมาตลอด

“คุณ ไปกันเถอะ”
“เอาไปไว้รถไอ้ต้น แล้วเราค่อยกลับห้อง”

“อ่อ อืม” แล้วทำไมผมถึงว่าง่ายนักวะ? เดาว่าคงเริ่มง่วง ๆ แล้วล่ะมั้ง

ผมเดินตามผู้ชายอีก 2 คน ที่วัยใกล้ ๆ กันไปยังรถของนายต้นสน ช่วยเขายกของขึ้นรถกระบะ คลุมผ้าให้ต้นไม้ดิบดี โบกมือลากันสั้น ๆ แล้วก็เดินตามนายค้ำจุนไปยังรถเอนกประสงค์ที่ใช้บริการมันบ่อย

“ง่วงก็หลับได้นะ ไม่ต้องหารค่าทางด่วนหรอก ผมจ่ายเองได้” แม่งเหน็บกู ผมเหล่มองระหว่างปิดประตูรถ ควักแบงก์50 และบังคับให้รับไป ไมได้ใจดีหรอกครับ แต่เพราะเขาเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวและขนมโตเกียวแล้ว เพื่อนเขาซื้อน้ำให้อีกต่างหาก ไม่รู้ว่าเขาลดราคาต้นไม้ให้กับยาดาเพราะเป็นเพื่อนกับผมด้วยรึเปล่า

เอาเป็นว่าผมไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนเอาเปรียบ

ระยะทางระหว่างจตุจักมาถึงคอนโดก็ไม่ได้ไกลมาก เราใช้เวลาไม่นานก็ถึงคอนโด และผมก็ใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจเปิดผ้าม่าน มองดูนายค้ำจุนดูแลต้นไม้ที่เขาเอาไว้ริมระเบียง

และกลางดึกคืนนี้เอง ที่ผมคิดว่าผมได้เห็นพ่อและแม่ของไอ้ฟรองซัวมูลค่าเก้าพันบาท มันหล่อเหมือนพ่อและมันก็ดึงดูดเหมือนแม่มันครับ



Tbc



(*) ไม้โขด ใช้เรียกไม้อวบน้ำที่มีรากหรือลำต้นเก็บสะสมน้ำจนอวบอ้วนเป็นพิเศษ
(**) ยูโฟเบีย หรือ EUPHORBIA เป็นไม้อวบน้ำชนิดหนึ่ง สายพันธ์หลากหลาย

ส่วนในตอนนี้มีชือสายพันธ์ขึ้นมา ก็มี ทูเลีย ชื่อทางการคือ EUPHORBIA TULEARENSIS
ฟรองซัว ชื่อทางการคือ EUPHORBIA FRANCOISII
และแอมโบ ชื่อทางการคือ EUPHORBIA AMBOVOMBENSIS

ใครอยากเห็นหน้าตาว่าประมาณไหนก็สามารถหารูปดูกันได้นะคะ
ยูโฟเบียเป็นไม้สายอึดค่ะ ลักษณะโขดก็แล้วแต่สายพันธ์และการเลี้ยงดู ตอนนี้มีการผสมข้ามพันธ์ (เรียกว่าไฮบริด) เพื่อให้เกิดสายพันธ์ใหม่ๆ หน้าใบสวยๆ ออกมา สวยงามน่ารักมากค่ะ (เสียงสอง)

พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2017 01:55:31 โดย kajidrid »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านแล้วอยากเลี้ยงแคคตัสเยอะๆมากค่ะ นี่ก็มีอยู่ตัวนึงไม่รู้พันธ์ไหน ถึกและทนมาก มีออกลูกจิ๋วๆหกเจ็ดอัน แต่ไม่เห็นมีดอก 555555
เหมือนว่าตอนนี้เขาจะเริ่มสานสัมพันธ์กันเล็กๆ และก็จะเป็นความเคยชินที่อยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้แน่ๆ ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เรื่องน่ารักมากๆ
ชอบตอนเขาเรียกกัน คุณๆ

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ก้ว่าอ่านตอน6แล้วงงๆว่าทำไมมาอยู่ด้วยกันได้
สรุปคือเราอ่านข้ามตอน5ไปนี่เอง

ค่อยๆสานสัมพันธ์กันแล้วววว
ชอบเวลาเรียกกันว่าคุณๆ
มันดูให้เกียรติแล้วก้ดูมั้งมิ้งอยู่ในที
เรื่อยๆมาเรียงๆ ค่อยๆซึบซับกันไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวก้รักกัรเองละน้าาา

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบนะค๊ะ อ่านเพลินเลย เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด