บทที่ 35
คนขี้หึงกับผลสอบ
“ขอโทษนะครับน้อง คนนี้แฟนพี่”
หลังจากบอกออกไปแบบนั้นผมก็ลากคนของผม ใช่ครับเค้าเป็นของผม ผมไม่ได้สนใจมองน้องผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำว่ามีสีหน้าท่าทาง หรือแสดงอาการยังไง แต่เธอก็ไม่ได้โวยวายหรือตามมาแต่อย่างใด ส่วนไอ้คนที่เดินตามผมนี่ก็ยังจะมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีก ไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังทำให้ผมหงุดหงิดอยู่ ก็ไอ้ที่เค้าจูบกับน้องผู้หญิงคนนั้นแหละ ถึงตอนหลังเค้าจะปฏิเสธ แต่ทีแรกก็ยอมให้เค้าจูบอยู่ตั้งนาน
“ไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่พร้อมคุย ไม่พร้อมตอบ”ทันทีที่ผมลากภู่มาถึงรถ ผมก็บอกกับข้าวหอมที่กำลังจะอ้าปากถามด้วยความสงสัย ก็แน่ละอยู่ๆ ผมลากภู่มาด้วยแบบนี้เป็นใครก็คงต้องงง ต้องสงสัยเป็นธรรมดา ยกเว้นพี่โตที่เหมือนจะรู้งานและออกรถโดยไม่ถามอะไรสักคำ ส่วนคนที่ผมลากมาด้วยนี่ผมก็ชี้คาดโทษให้เค้านิ่งเงียบไว้ตลอดทาง
“อย่าหักโหมนะคะเพื่อน เผื่อแรงไว้ไปเที่ยวพรุ่งนี้บ้าง”เสียงข้าวหอมแซวไล่หลังมาทันทีที่เราจะแยกย้ายไปห้องพัก ผมไม่ได้หันไปตอบหรือสนใจอะไร เพราะตอนนี้อยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างจะทั้งหงุดหงิด ทั้งความต้องการทำบางอย่าง เรียกว่าตอนนี้ไม่พร้อมคุยกับใครทั้งนั้นแหละครับ
“ฝ้ายคือแฟนเก่าผม”พอเปิดประตูเข้าห้องมาเค้าก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดมากขึ้น รู้สึกไม่ชอบใจยิ่งกว่าเดิมที่รู้สถานะของน้องผู้หญิงคนนั้น
“ใครอนุญาตให้พูด”ผมบอกเสียงเคืองๆ แหงนมองหน้าเค้าที่เดินเข้ามาประชิดด้วยความไม่พอใจ
“นี่ลุงเมาใช่ไหมครับ”เค้าเหมือนไม่ได้สนใจอาการฮึดฮัดของผม ยังคงทำตัวสบายๆ ก้มลงมาใช้จมูกดมกลิ่นตามตัวผมเหมือนกำลังสนุก จมูกเค้าทำเสียงฟุดฟิดๆ ยังกับว่ากลิ่นจากตัวผมมันเหม็นเสียเต็มประดา ด้วยความหมั่นไส้สองมือผมจึงตะบบเข้าที่ใบหน้าของเค้าจับจนแน่นแล้วดึงให้มาอยู่นิ่งๆ ตรงหน้าผม
ก็ไม่เข้าใจตัวเองหรอกนะครับว่าทำไมรู้สึกอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้ไง แต่พอนึกถึงภาพที่เค้าจูบกับน้องผู้หญิงคนนั้น ผมก็อยากจะจูบซ้ำ ลบร่องรอยนั้นออกไปให้หมด เค้าตกใจในทีแรกที่ผมประกบริมฝีปากเข้าหาเค้า แต่เพียงไม่นานปฏิกิริยาตอบกลับของเค้าก็ดีเสียจนผมแทบลืมหายใจ ลิ้นของเราทั้งคู่เหมือนกำลังหยอกเย้า และเข้าไปสำรวจในโพรงปากของกันและกัน
“เมาแล้วทำตัวน่ารักนะเราเนี่ย”รอยยิ้มพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเค้า แต่ผมกลับยังไม่คลายความหงุดหงิดในใจลงไปเลย
“พี่กับแฟนเก่าภู่ใครจูบเก่งกว่ากัน”แม้จะรู้ว่าคำตอบมันคงไม่ใช่ผมที่เป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเค้าจะโกหกสักนิดผมก็จะไม่ว่าอะไรเค้าสักคำ
“ลุงสู้เค้าไม่ได้หรอก”ละนี่ทำไมต้องมาตอบแบบเยาะเย้ยกันขนาดนี้ด้วย ไอ้เด็กบ้าเอ้ย ใช่สิผมไม่เคยจูบกับใครนอกจากเค้านิจะให้ไปเก่งกาจ ช่ำชองได้ยังไงกัน ไม่เห็นต้องตอกย้ำกันขนาดนี้เลยแต่คิดเหรอว่าพูดแบบนี้แล้วผมจะไล่เค้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ฝันไปเถอะ ผมดึงเค้าเข้ามาจูบอีกรอบ และครั้งนี้มันออกจะรุนแรงกว่าครั้งแรกสักหน่อย แถมเหมือนผมจะเผลอกัดปากเค้าเข้าไปด้วย กลิ่นเลือดจางๆ กับรสชาติความปะแล่มๆ ทำให้ผมต้องรีบผละออกจากเค้า
“ถึงฝ้ายเค้าจะจูบเก่งกว่า แต่ผมก็ชอบจูบกับลุงมากกว่านะครับ”เค้าแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่ มีน้ำสีแดงๆ ซึมออกมาเล็กน้อย พูดกับผมด้วยเสียงที่อ่อนลง สองมือเค้าประคองใบหน้าผมที่กำลังเบือนหนีให้มองเค้า
“ชอบมากกว่า แต่ก็ยังจูบกับเค้าตั้งนาน”ผมพึมพำกับสิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจ
“ขอโทษนะครับ แต่เชื่อผมเถอะว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมสัญญา”คำพูดที่ฟังดูหนักแน่นทำให้ผมบอกกับตัวเองว่าคงต้องเชื่อเค้า แม้ในใจจะยังมีคำถามอยู่บ้าง แต่คงต้องเอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้ผมว่าผมคงโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์กระตุ้นบางอย่างเข้าให้แล้ว อีกอย่างคงเพราะทั้งผมและเค้าห่างกันมาสักพักแล้วด้วย
“พี่เชื่อก็ได้ แต่ภู่ทำผิดภู่ต้องโดนลงโทษ”นี่ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้แน่ๆ ผมเป็นฝ่ายดึงแขนเค้าไปที่เตียงนอน แถมผลักเค้าให้ล้มลงนอนหงายบนเตียงอีกด้วย
“นี่ถ้ารู้ว่าลุงหึงแล้วเป็นแบบนี้ ผมแกล้งให้หึงบ่อยๆ ดีกว่า”เค้าบอกยิ้มๆ เมื่อผมตามขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัวเค้าสองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเค้าทีละเม็ดๆ จนเผยให้เห็นแผงอกแกร่ง
“ใครหึง ไม่ได้หึงเลยสักนิด”ผมก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูเค้าก่อนจะยันตัวขึ้นถอดเสื้อตัวเองออกขว้างไปอย่างไม่สนใจทิศทาง เค้าจ้องมองมาที่ผมอย่างพอใจ เค้ายันตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมสองแขนที่รั้งตัวผมไว้ ทำให้ตอนนี้เหมือนผมนั่งบนตักเค้าหันหน้าเข้าหากันในระยะประชิดจนเนื้อแนบเนื้อ
“ไม่หึงก็ไม่หึงครับ”ริมฝีปากเค้าพรมไปทั่วใบหน้า ต่ำลงมาที่ซอกคอ ไหนว่าทีแรกผมจะลงโทษเค้าทำไมตอนนี้มันคล้ายๆ จะกลายเป็นผมที่ถูกทำโทษอีกแล้วละครับเนี่ย แต่ช่างเถอะครับมาถึงขนาดนี้แล้ว กางเกงของเราทั้งคู่ก็ไม่รู้ถอดไปตอนไหน ใครจะลงโทษใครผลสุดท้ายมันก็คงไม่ต่างกันหรอกน่าจริงไหมครับ พอคิดได้แบบนั้นระหว่างเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก มีเพียงภาษากายที่สอดประสานกัน
“ขอบคุณนะครับ”หลังจากผ่านสงครามบนเตียงกันไปอย่างยาวนาน และผมก็น่าจะเริ่มสร่างเมาแล้วทำให้ตอนนี้ผมได้แต่ก้มหน้าซุกกับแผงอกของเค้า นี่ผมว่าผมไม่ควรจะเมาที่ไหนอีกแล้วถ้ายังเป็นแบบนี้อีก
“ขอบคุณที่มาเซอร์ไพรส์ครับลุง”เค้าจรดริมฝีปากลงมาที่หน้าผากผม ผมค่อยๆขยับตัวออกเพื่อมองหน้าเค้า ทีแรกก็กะว่าจะแกล้งหลับๆ ไป แต่เหมือนเค้าจะรู้ทันเลยคิดว่ามาคุยกันให้รู้เรื่องดีกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไอ้เรื่องแฟนเก่าเค้าที่ยังคาใจผมอยู่จะได้หมดไปสักที
“นี่ พี่ถามหน่อยสิ”ผมขยับตัวให้สายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน
“ครับ”เค้ายิ้มทำหน้าทะเล้นตามสไตล์ของเค้า ก่อนใบหน้าจะค่อยๆ ราบเรียบลงเมื่อได้ยินคำถามของผม
“น้องผู้หญิงคนนั้น กับคนที่ภู่เคยบอกว่าทิ้งภู่ไปและคิดจะกลับมาคือคนเดียวกันไหม”
“คนเดียวกันครับ”ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ผมคาดไว้สักเท่าไหร่ เค้าถอนหายใจเบาๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ ว่าจะเปิดโอกาสให้ผมถามต่อหรือเปล่า แค่ผมเองก็ไม่ปล่อยให้เค้ามีเวลาคิดนานหรอกครับ
“แล้วตอนนี้ ภู่รู้สึกยังไงกับเค้า”ผมเองก็ไม่อยากต้องมานั่งคิดเองว่าที่จริงแล้ว ภู่ยังคิดอะไรกับน้องคนนั้นหรือเปล่า คือไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าตอนนี้ภู่ก็เลือกผมแล้ว แต่สิ่งที่เห็นเมื่อคืนก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้เกิดความกังวลในใจของผมอยู่บ้างเหมือนกัน ว่าภู่ยังเหลือเยื่อใย และอาจยังย้อนกลับไปได้
“ก็เป็นเพื่อนกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”เค้าบอกด้วยน้ำเสียง สีหน้าแววตาที่หนักแน่น ผมพยายามมองลึกเข้าไปในดวงตานั้นว่าผมเชื่อเค้าได้จริงๆ หรือเปล่า
“เรื่องจูบนั่นผมแค่ไม่ทันตั้งตัว และผมคงเคยชินกับสัมผัสของเค้า และเค้าเองก็คงอยากพิสูจน์ว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับเค้าแล้วจริงๆ หรือเปล่า”เหมือนเค้าจะอ่านใจผมออกว่าหลักๆ ที่ผมคาใจที่สุดก็คงเป็นเรื่องนี้
“และผมก็ไม่ได้ไปกับเค้าสองคน มีเพื่อนๆ รออยู่ในร้านด้วย มีอะไรสงสัยอีกไหมครับ”ผมยังคงรับฟังเงียบๆ ปล่อยให้เค้าได้อธิบาย เพราะพอได้ฟังจากปากของเค้า ผมจะมั่นใจได้ว่าเค้าจะไม่โกหกผม
“ผมเคยบอกแล้วไงครับว่าผมรู้สึกยังไง จากนี้ไปผมไม่มีวันเปลี่ยนใจจากลุงหรอกครับ”จากตอนแรกๆ มันก็ซึ้งดีนะครับ แต่ภู่ก็ยังเป็นภู่ ไอ้ท่าทางกวนๆ ที่มาตอนหลังนี่มันทำเอาผมอดจะหมั่นไส้ไม่ได้อีกแล้ว
“มั่นใจขนาดนั้นเลย”
“ก็เหมือนจะมีแฟนขี้หึง ใครจะกล้าไม่มั่นใจละครับ”เค้าขยับเข้ามาเอาจมูกชนกับจมูกผม ก่อนจะเขี่ยไปมาเบาๆ รอยยิ้มกว้างของเค้าทำเอาผมเขินเหมือนกันนะเนี่ย
“ใครขี้หึง ไม่เคยหึงสักนิด”ผมตีมึนเพื่อกลบความเขินและอาย นี่ยังคิดอยู่เลยว่าตัวเองทำอะไรต่างๆ ลงไปได้ยังไง
“ไม่ได้หึงเลย แต่ไปจูบโชว์เค้า แถมประกาศอีกว่าผมเป็นแฟน กลับมายังมาพยายามจูบเอาชนะเค้าอีก ไม่ได้หึงเลยเนอะ”นั่นไงดูสิครับ ยิ่งรู้ว่าเราอายก็ยังจะมาล้ออีก นี่เรื่องนี้คงทำให้ผมโดนล้อไปอีกนานเลยแน่ๆ
“พอเลย หยุดพูดเดี๋ยวนี้”
“ทำไมละครับ น่ารักจะตายไป ผมชอบนะเวลาแฟนหึงแบบนี้ แถมหึงแล้วทำตัวแบบลุงนี่ผมยิ่งชอบเข้าไปใหญ”ตัวผมถูกเค้าดึงกระชับเข้าหาด้วยวงแขนของเค้า เค้ากอดผมไว้หลวมๆแล้วกดจมูกลงดมที่หัวของผม นี่หัวผมเหม็นหรือเปล่าเนี่ย วันนี้ยังไม่ได้สระผมเลย
“เพราะเมาหรอก”ผมขืนศีรษะออกเล็กน้อยเพราะไม่มั่นใจในความเน่าของหัวตัวเอง
“งั้นก็เมาบ่อยๆ นะครับผมชอบ”ผมถูกดึงเข้าไปดมศีรษะอีกรอบ แสดงว่ากลิ่นคงยังไม่เน่าสินะ
“แต่เมาแล้วอย่าไปทำแบบนี้กับใครนะ มาทำกับผมคนเดียวพอ”แหม ไอ้ที่ผมทำลงไปเนี่ยยังกับว่าผมจะไปทำแบบนี้กับใครที่ไหนได้นอกจากเค้างั้นแหละ
“ไม่คุยด้วยแล้ว นอนดีกว่า”เหมือนยิ่งคุยทุกอย่างจะยิ่งเข้าตัว แล้วนี่ก็ดึกจนเรียกว่าจะใกล้เช้าแล้ว ผมกับเค้าควรนอนกันสักทีครับ เปลือกตาผมค่อยๆ ปิดลงและสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดอุ่นๆ ของอีกคน
เราทั้งคู่ตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ของอีกวัน และผมก็พบว่าพี่โตกับข้าวหอมออกไปเที่ยวกันสองคนโดยไม่รอผม แต่จะโทษข้าวหอมก็คงไม่ถูกเพราะกว่าผมจะตื่นกันก็ลากยาวมาจนจะบ่ายอยู่แล้ว แต่ยังดีที่พี่โตเช่ารถเพิ่มอีกคันแล้วทิ้งกุญแจไว้ให้ผมที่เค้าท์เตอร์ ไม่งั้นผมคงลำบากในการใช้ชีวิตแน่ๆ
“พี่หอมกับพี่โตเค้าก็คงอยากสวีทกันแหละ เอางี้เราไปทานข้าวบ้านผมกันไหม”คือเรื่องข้าวหอมกับพี่โตนี่ผมก็บ่นไปงั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรนะครับ แต่ไอ้เรื่องไปทานข้าวบ้านเค้าเนี่ย มันมาได้ยังไงกัน
“ตกใจอะไร แค่ไปทานข้าวที่บ้านไม่ได้บอกให้ลุงไปขอผมกับพ่อแม่สักหน่อย”ผมตีแขนเค้าไปเบาๆ ทีนึง ก็ดูสิครับเนี่ยเค้าพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ แถมพูดเล่นนี่อีก แต่ผมนี่สิความกังวลมาเพียบเลย การที่ผมบอกว่าจะมาหาเค้าที่เชียงใหม่นี่ทั้งตามแผนเดิม หรือมาเซอร์ไพรส์ก่อนกำหนด มันไม่ได้มีโปรแกรมการไปบ้านเค้าบรรจุอยู่เลย
“ถ้าลุงไม่พร้อมที่จะให้ผมบอกที่บ้านว่าเป็นแฟนผม เราก็บอกแค่ว่าเราสนิทกันเพราะอยู่บ้านติดกันก็ได้ ตกลงว่าไปนะครับ”
แม้จะบ่ายเบี่ยงไปก็ไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่เพราะสุดท้ายเค้าก็บังคับผมมาถึงบ้านเค้าจนได้ แม้บรรยากาศภายในบ้านจะร่มรื่น แต่ใจผมตอนนี้กลับกระวนกระวายเต้นไม่เป็นจังหวะเลย ก็ใครจะไปคิดละครับว่าจะต้องมาเจอครอบครัวภู่แบบนี้ แล้วนี่ก็ไม่คิดจะให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย
“อ้าวมากันแล้วเหรอลูก”ผมรีบยกมือไหว้หญิงสาววัยกลางคนที่จัดว่ายังดูสวยอยู่เลย แม้จะดูออกว่ามีอายุแล้วแต่ก็ยังสวยสมวัย หน้าตาของคุณแม่ไม่ต่างจากพี่ปุ๊กมากนัก เราแนะนำตัวกันพอประมาณก็ถูกนำตัวมาที่โต๊ะอาหาร อาหาร 2-3 อย่างถูกจัดวางไว้อย่างดี แน่นอนว่าจัดไว้สำหรับผมสองคนโดยเฉพาะ เพราะนี่มันก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว ทุกคนในบ้านก็ทานกันเรียบร้อยหมดแล้ว
“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันแบบนี้นะครับ”ผมบอกอย่างเกรงใจ ทีแรกก็บอกกับภู่ไปแล้วว่าหาอะไรกินเองดีกว่า ถ้าจะมาบ้านค่อยมาทานมื้อเย็น แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอม
“ไม่เป็นไรหรอก นี่แม่เองก็ได้ยินทั้งปุ๊ก ทั้งภู่พูดถึงพี่แปงกันจนอยากเจอบ้างนี่แหละ พอเห็นภู่เค้าบอกพี่แปงจะมาเที่ยวเชียงใหม่ เลยให้เค้าชวนมาบ้าน”ผมหันมองอีกคนที่ทำเป็นตักกับข้าวทานอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“ครับ แต่ไม่ยักรู้เลยนะครับเนี่ยว่าภู่เอาผมมาเผาให้คุณแม่ฟัง”ผมพูดอย่างสบายๆ แต่ก็แอบกัดอีกคนบ้างนิดหน่อย นี่ไปแอบเอาเรื่องผมมาเล่าให้แม่ตัวเองฟังได้ยังไงกันเนี่ย ดีที่คุณแม่ดูเป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุกเลยทำให้ผมลดอาการเกร็งๆ กังวลในทีแรกลงไปได้เยอะ ถือว่าเห็นแก่คุณแม่ผมจะคาดโทษคนพาผมมาเอาไว้ก่อน
ดีที่พอได้ฟังคุณแม่พูดแล้ว ภู่เองก็คงจะเล่าแต่อะไรดีๆ ให้แม่เค้าฟัง ทีแรกผมนึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างภู่กับครอบครัวจะไม่ค่อยดีเสียอีก ถึงถูกส่งไปอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวแบบนั้น แต่วันนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าที่บ้านเค้าก็แค่อยากให้ภู่ได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าแรกๆ ภู่คงไม่ค่อยเข้าใจเลยทำตัวแย่ไปบ้าง
“เสียดายวันนี้พ่อเค้าไม่อยู่ เลยอดเจอพี่แปงเลย”ผมยิ้มแห้งๆ แค่เจอคุณแม่คนเดียวผมก็ตื่นเต้นแทบแย่ ถ้าต้องเจอทุกคนขอเวลาผมทำใจมากกว่านี้ก่อนแล้วกัน ว่าแต่ทำไมคุณแม่มาเรียกผม “พี่แปง” กันละครับเนี่ย หรือติดจากภู่เพราะเห็นเวลาภู่อยู่ต่อหน้าแม่เค้านี่ ไม่มีหลุดเรียกผมลุงสักคำครับ พี่แปงๆ จนบางทีก็นึกขำเพราะหลังๆ ผมก็ชินกับการโดนเรียกลุงไปแล้ว
“ทีแรกแม่ก็กังวลเรื่องการเรียนของน้องภู่ ว่าจะไหวหรือเปล่า จะจบมัธยมอยู่แล้วกลัวว่าจะไปเรียนต่อไม่ไหว”ผมกำลังจะคุยกับคุณแม่ต่อเรื่องการเรียนหลังจากจบมัธยมของเค้า เพราะเหมือนเค้ายังไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้กับผม และยิ่งตอนนี้ผมยิ่งมั่นใจว่ามันคงมีอะไรบางอย่าง
“แม่ให้พี่แปงกินข้าวก่อนสิครับ มัวแต่ชวนคุยจนพี่แปงจะไม่ได้กินแล้วเนี่ย”นั่นไงครับ เหมือนเค้าจะไม่อยากพูดถึงเรื่องเรียนต่อนี่เอาเสียเลย
“ขอแม่ขอบคุณพี่แปงอีกนิดละกันนะ ก็ตั้งแต่ภู่มาเจอพี่แปง การเรียนก็ดีขึ้น เห็นว่าพี่แปงช่วยติวให้น้องภู่ด้วย ยังไงแม่ฝากดูน้องด้วยนะ”ผมอมยิ้มแก้มแทบแตก เพราะดูคุณแม่จะเอ็นดูผมเหลือเกิน นี่ถ้าคุณแม่รู้ว่าผมไม่ใช่แค่พี่ข้างบ้าน คุณแม่จะยังเอ็นดูผมไหมนะ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่อยู่บ้านติดกันมีอะไรก็ช่วยๆ กันครับ”ผมบอกอย่างถ่อมตัว ก็ไอ้ที่ผมติวหนังสือนั่นน่าจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับการใช้ลูกชายเค้าทำกับข้าวให้กินทุกวัน
“ไม่ขนาดนั้นอะไรละพี่แปง นี่เทอมนี้น้องภู่สอบได้ตั้งที่ 11 แนะ เพราะพี่แปงช่วยติวแท้ๆ เลย”คำพูดของคุณแม่ทำเอาผมหูผึ่งกันเลยทีเดียวครับ ผมเงยหน้าขึ้นหันไปมองอีกคนที่หน้าเจื่อนไปแล้ว
“อ้าวนี่ผลสอบออกแล้วเหรอครับ”ผมถามพร้อมหันไปยิ้มหวานให้ภู่ แม้จะดีใจกับเค้าที่ทำได้ดีเกินคาด ก็ไอ้ Top 10 นั่นผมก็ไม่ได้จริงจังมากนะครับ แค่หวังให้เค้าทำดีที่สุดก็พอ
“ผลอย่างไม่เป็นทางการออกเมื่อวานครับ เพื่อนส่งมาให้ดู”หึหึ ผมหัวเราะในลำคอผลออกแล้ว และรู้ตั้งแต่เมื่อวาน สงสัยงานนี้คงต้องมีเคลียร์กันยาว จากทีแรกคิดว่าถึงเค้าทำไม่ได้ผมก็คงไม่ใจร้ายกับเค้า ทว่าตอนนี้ผมเลี่ยนใจแล้วครับ ก็ถ้าเค้ารู้ผลเมื่อวานข้อตกลงระหว่างเรามันก็ต้องใช้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วสิ หึหึ “ไอ้เด็กขี้โกง” เตรียมตัวไว้เลย
TBC
มาแรกๆ เหมือนจะมี NC แต่แล้วก็ตัดไปเพดาน โคมไฟคงไม่ว่ากันเนอะ
ส่วนผลสอบก็ต้องเสียใจกับน้องภู่ด้วยที่พลาดTop 10 ไปอย่างน่าเสียดาย