บทที่ 49
การเดินทางของสองเรา
พาร์ทของภู่“น้องชายพี่ไปฟ้องว่าไงละเนี่ย”
เหมือนพี่ปอจะรู้ว่าผมโทรหาด้วยเหตุผลอะไร เลยเป็นฝ่ายพูดดักมาแบบนี้
“โถ่พี่อย่าเรียกว่าฟ้องเลยครับ เรียกว่าระบายให้ฟัง แล้วแปงเค้าก็ไม่ได้ให้ผมโทรหาพี่ปอหรอกครับ เพียงแต่ผมเห็นเค้าเครียดๆ เลยโทรมาถามว่าเรื่องมันร้ายแรงขนาดไหน ผมจะได้ปลอบได้ตรงจุดไงครับ”
“เบื่อคนหลงแฟนจริงๆ เลย”
น้ำเสียงบ่นอย่างไม่จริงจัง แถมออกจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ ทำให้ผมเริ่มเบาใจว่าที่จริงเรื่องราวที่สุดที่รักผมโดนตำหนิมันก็คงไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก
“ที่จริงพี่ก็ว่าจะโทรบอกภู่เหมือนกันแหละ แต่พี่ก็ช้ากว่าคนหลงแฟนอ่ะเนอะ”
“…”
“คือพี่ก็แค่อยากให้แปงได้พักนั่นแหละ เลยสั่งพักงานไปโดยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างด้วย”
“แล้วต้องทำแฟนผมคิดมากขนาดนี้เลยเหรอครับ”
ผมแกล้งทำเสียงเคืองๆ เล็กน้อย แต่อย่าหาว่าผมปีนเกลียวนะครับ ที่ผมกล้าเล่นกล้าแซวพี่ปอเพราะพี่แกก็ให้ความสนิทสนมกับผมจนผมเองก็เหมือนน้องชายแกอีกคนแล้วแหละครับ
“แหม ยังกะถ้าพี่บอกให้พักตรงๆ แปงมันจะยอมพักงั้นแหละ”
“ช่วงนี้แปงเค้าโหมงานหนักไปเหรอครับ พี่ปอถึงอยากให้พัก”
“จะว่ายังไงดีละ คือเอาตรงๆ พี่ก็ได้ฤกษ์แต่งงานแล้ว อีกสักพักพี่ก็คงยุ่งเรื่องเตรียมงาน ไหนจะไปฮันนีมูนตามใจต๊าฟอีก แปงก็เลยเครียดๆ แหละกลัวว่าถ้าพี่ไม่อยู่แล้วตัวเองจะทำไม่ได้”
“แล้วพี่ปอคิดว่าตอนนี้วางใจในการทำงานของแปงเค้าเต็มร้อยหรือยังครับ”
เสียงของพี่ปอเงียบไปพักใหญ่เหมือนกำลังใช้ความคิด ผมเองก็เงียบ รอฟัง เพราะเอาจริงๆ ผมเองก็ถือว่ารู้ในเนื้องานแค่บางส่วนของแปงกับพี่ปอเท่านั้นแหละครับ เวลางานผมก็ไม่ค่อยได้ไปก้าวก่ายสักเท่าไหร่ด้วย
“จะว่าไปก็…”
“…”
“ก็ได้แหละ ที่ยังขาดอีกนิดหน่อยก็เรื่องความเด็ดขาดกล้าตัดสินใจ ที่บางทีพี่ยังต้องตัดสินใจให้ ทั้งๆ ที่บางทีที่เค้าคิดมันก็แบบเดียวกับที่พี่คิดนั่นแหละ ส่วนไอ้เรื่องทำงานผิดพลาดนี่พี่ก็ว่าดีแล้วที่ได้เจอตอนนี้ มันจะได้เป็นบทเรียน คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันทั้งนั้นแหละ แต่พอผิดพลาดแล้วจะนำมาปรับปรุงได้หรือเปล่า ตรงนี้แหละที่พี่อยากให้แปงได้เรียนรู้”
“ทำไมพี่ปอไม่บอกกับแปงเค้าตรงๆ ละครับ ถ้าบอกเหมือนที่บอกผม ผมว่าแปงก็ต้องเข้าใจ แถมคงรักพี่ปอเพิ่มขึ้นไปอีก”
“ทำยังกับไม่รู้จักน้องชายพี่งั้นแหละ ไหนลองตอบใหม่สิ ถ้าพี่ทำแบบที่ภู่บอกคิดว่าแปงจะเป็นยังไง”
นี่เป็นคำถามตัดสินชีวิตหรือเปล่าครับเนี่ย ถ้าผมตอบผิดนี่จะโดนพี่เมียกีดกันไหมละ ผมค่อยๆ คิดตามสิ่งที่พี่ปอถาม คือถ้านิสัยส่วนตัวของแฟนผม ผมก็รู้แหละครับ แต่เรื่องบุคลิคในการทำงาน ผมก็คงไม่สันทัดสักเท่าไหร่นี่สิ แต่ถ้าฟังจากสิ่งที่พี่ปอเล่ามันก็น่าจะ…
“แปงก็จะยังไม่โต คอยให้พี่ปออุ้มไว้เหมือนเดิม แบบนั้นใช่ไหมครับ”
“ใช้ได้นิ นึกว่าพี่จะต้องเปลี่ยนน้องเขยซะแล้ว”
“โหพี่ ตำแหน่งนี้ผมจองคนเดียวตลอดชีวิตครับ ไม่ปล่อยให้ใครแน่นอน”
“จ้า พ่อคนหลงแฟน เอาเป็นว่าพี่ฝากดูแลพาน้องชายพี่ไปพักผ่อนที เพราะหลังจากนี้ไปต้องกลับมารับบทหนักแทนพี่แล้ว แกล้งพาไปไกลๆ กลับไม่ทันกำหนดตามที่โดนพักงานก็ได้นะ พี่อนุญาต”
“ได้ครับผม”
เปิดทางมาขนาดนี้ เรียกว่ายิ่งกว่าชี้โพรงให้กระรอกแล้วครับ มีหรือคนอย่างผมจะไม่รีบตักตวงเอาไว้ โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหนกันละครับ แถมนี่เท่าที่ฟังหลังจากนี้แปงคงงานหนัก และอาจมีเวลากุ๊กกิ๊กกับผมน้อยลงแน่ๆ เลย ถ้าเค้างานหนักมากๆ ผมเองก็คงไม่กล้ากวนเค้าหรอกครับ สงสาร
“เออภู่ ไหนๆ ก็คุยกันแล้ว พี่มีอีกเรื่อง”
“ครับ”
“รู้ใช่ไหมว่าถ้าพี่แต่งงานแล้วคงย้ายไปอยู่บ้านต๊าฟ”
“แปงเคยบอกแล้วครับ”
“แล้วแปงบอกไหมว่าเค้าต้องย้ายกลับเข้ามาอยู่บ้านกับพ่อแม่”
“ก็มีเกริ่นๆ ไว้เหมือนกันครับ”
“แล้วภู่ละ จะมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม”
คำถามของพี่ปอ มันก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมเคยพูดไว้กับแปงว่าถ้าวันนึงพี่ปอแต่งงาน ย้ายออกไปผมจะแต่งงานเข้าบ้านแปง แม้ผมอาจจะไม่ได้พูดอย่างเป็นทางการ และผมก็ไม่รู้ว่าแปงจะคิดว่าผมจริงจังกับเรื่องนี้หรือเปล่า แต่แน่นอนว่าผมคงต้องทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งอาจจะต้องขอยืดเวลาออกไปหน่อย เพราะผมไม่แน่ใจว่าเงินเก็บของผมตอนนี้มันจะพอหรือยัง
“ที่จริงก็ตกลงกับแปงไว้แบบนั้นแหละครับ”
“ก็ดี ว่าแต่ทางบ้านภู่ก็โอเคใช่ไหม”
“ครับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา พ่อกับแม่ผมมีพี่บึ้งอยู่ด้วยแล้ว แต่ผมมีอีกเรื่องนึงที่อาจต้องขอให้พี่ปอช่วยหน่อยนะครับ”
“ได้สิ ว่ามาเลย”
ผมรีบคุยในสิ่งที่ต้องการให้พี่ปอฟังคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว เพราะคาดว่าอีกสักพักสุดที่รักผมจะตื่นแล้ว ดีที่พี่ปอตอบตกลงช่วยผมเต็มที่ เลยสบายใจไปเปราะนึง ที่เหลือผมเองก็คงต้องค่อยๆ เตรียมการไประหว่างรองานแต่งพี่ปอนี่แหละครับ
“โอเคพี่เอาใจช่วย งานแต่งพี่ก็อีกตั้งเกือบ 5 เดือน พี่เชื่อว่าภู่ทำได้ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”
ผมบอกขอบใจพี่ปออีกครั้งก่อนจะวางสายไป ผมกลับเข้าไปในห้องนอนและก็พบว่ายังมีคนขี้เซามุดอยู่ใต้ผ้าห่ม จนผมอดที่จะเผลออมยิ้มไม่ได้ คนอะไรอายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ทำตัวน่าเอ็นดูเหลือเกิน มีแฟนเด็กอย่างผมนี่มันจำเป็นต้องทำตัวเด็กกว่าแฟนไหมเนี่ย
“ตื่นได้แล้วครับ”
ผมก้มลงไปกระซิบข้างๆ หู ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงไปหอมแก้มนิ่มๆ นั่นฟอดใหญ่ เจ้าของแก้มขมวดคิ้วอย่างขัดใจพร้อมกับยื่นมือมาดันผมออก แต่มีเหรอครับที่จะสู้แรงผมได้
“จะตื่นหรือจะให้ลักหลับ”
ผมกระซิบอีกรอบด้วยเสี่ยงหื่นๆ และดูเหมือนคราวนี้จะได้ผลดีเสียด้วยครับ คนขี้เซารีบลืมตามองผมด้วยความไม่พอใจ
“ยังเช้าอยู่เลย รีบปลุกทำไม”
“ต้องรีบครับเดี๋ยวสาย วันนี้เราจะไปออกทริปกัน”
“ทริปอะไร”
เจ้าของคำถามพยายามดันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ทำให้ผมต้องขยับตัวให้เค้านั่งสบายขึ้น แล้วค่อยๆ ขยับชิดเข้าไปนั่งข้างๆ โดยที่ยังไม่ตอบคำถามของเค้า
“รีบไปอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว จะได้รีบไป กระเป๋าผมก็เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“จะไปไหน ไม่เห็นถามเลยว่าอยากไปหรือเปล่า”
“ไปซ้อมฮันนีมูนไงครับ”
“ไม่ตลก”
“ก็ไม่อยากให้เครียด”
“…”
“โอเคๆ ผมยอมแพ้ ก็แค่เห็นว่าไม่สบายใจ แล้วไหนๆ ก็หยุดแล้วเลยอยากพาไปพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ พาไปสวีทค้างคืนสัก 2-3 คืน ก็นึกว่าแฟนจะขอบคุณที่ทำให้ แต่…”
“ก็ไม่บอกดีๆ ตั้งแต่แรก”
“ตกลงไปใช่ไหมครับ”
ได้แกล้งแหย่แฟนตัวเองนี่มันมีความสุขจริงๆ ครับ ว่าแต่นี่เค้าก็ดูไม่เครียดเท่าเมื่อวานแล้ว หวังว่าการไปเที่ยวครั้งนี้ของเราจะช่วยให้เค้าสบายใจขึ้นนะครับ อีกอย่างนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราสองคนจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันสองต่อสอง ถึงผมจะพูดเล่นๆ ว่าเป็นการไปซ้อมฮันนีมูน แต่ในใจนี่ผมคิดจริงนะครับ ถึงเราจะใช้ชีวิตด้วยกันมาระยะนึงแล้ว แต่ชีวิตเรามันก็มีแค่บ้าน ที่ทำงาน ไปเดินห้างกินข้าว ดูหนังกันบ้าง ครั้งนี้มันคงเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น แล้วภาพในหัวผมก็เริ่มจะคิดดีไม่ได้แล้วครับ เหอๆ
“ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย แล้วถามว่าจะพาไปไหนเนี่ย ทำไมไม่ยอมบอก”
“เซอร์ไพรส์ไง ไม่ชอบเซอร์ไพรส์เหรอ”
แววตาสงสัยยังคงมองผมอย่างจับผิด แต่ก็ยอมลุกเดินไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ช่วงระหว่างรอเค้าอาบน้ำผมก็จัดแจงทั้งเสื้อผ้าไว้รอ อาหารเช้าก็เตรียมไว้พร้อม กระเป๋าเดินทางสำหรับเราสองคน ที่ผมจัดไว้แล้วถูกนำไปไว้หลังรถเป็นการเตรียมพร้อม หลังทานข้าวเสร็จ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางกันทันที สุดที่รักผมก็ไม่อิดออดแล้วครับ ดูจะอารมณ์ดีขึ้นแล้วด้วย
พาร์ทของปาแปง“เขาใหญ่?”
“ใช่ครับ ช่วงนี้เห็นว่าอากาศเย็นลงมากแล้ว ผมอยากพาแปงไปเจออากาศดีๆ จะได้สบายใจขึ้น”
ได้ยินแบบนี้ผมแทบจะไม่อยากเครียดเลยครับ ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ กลัวเค้าเป็นห่วงมากเกินไปนี่แหละ แค่นี้ก็จัดเต็มทั้งยอมหยุดงานเตรียมทุกอย่างพาผมมาเที่ยว ผมเลยต้องรีบหายเครียดครับเค้าจะได้ไม่ต้องมากังวลกับผมด้วยอีกคน แต่มันก็คงหายทั้งหมดไม่ได้หรอกครับ
เพราะตอนนี้ผมทั้งกดดัน ทั้งอะไรอีกหลายอย่าง ยิ่งรู้ว่าเจ้ปอจะแต่งงานมันยิ่งทำให้ผมกังวลไปต่างๆ นานา ไหนจะเรื่องดูแลงานแทนพี่สาวได้ไหม แล้วนี่ยังมาทำงานพลาดจนโดนพักงานนี่อีกไม่รู้เจ้ปอจะวางใจให้ผมดูแลงานอย่างหายห่วงหรือเปล่า ตอนนี้อาจจะกำลังปวดหัวกับผมอยู่ก็เป็นได้ แต่ก็นั่นแหละครับผมนอนคิดมาทั้งคืนแล้ว อะไรที่มันพลาดไปแล้วผมก็คงต้องเก็บมาเป็นบทเรียน ความผิดพลาดบางทีมันก็แค่อุปสรรคที่เข้ามาให้เราแกร่งขึ้น เก่งขึ้น บอกกับตัวเองแบบนี้ก็พอสบายใจขึ้นมาหน่อยแหละครับ
“เดี๋ยวผมลงไปซื้อขนมอะไรไว้กินระหว่างทาง เอาอะไรเป็นพิเศษไหม”
“ไปด้วยดิ”
อีกคนทำหน้าแปลกใจที่เห็นผมยิ้มแย้ม และขอลงรถไปกับเค้าด้วย ตอนนี้เราเพิ่งออกมานิดเดียวแวะเติมน้ำมันที่ปั้ม และเค้ากำลังจะลงไปหาสเบียงมาตุนในรถ แต่ในเมื่อเค้าเองก็คงอยากมาใช้เวลากับผมในช่วง 2-3 วันนี้ และเค้าก็ทำอะไรให้ผมหลายอย่างแล้ว ผมจะทำตัวน่ารักใส่เค้าบ้างจะเป็นไรไปจริงไหมครับ เราช่วยกันหยิบขนมขบเคี้ยวพร้อมเครื่องดื่มอีกนิดหน่อย ก่อนจะออกเดินทางต่อ
“ถ้าง่วงก็หลับไปเลยนะ”
“เพิ่งตื่นเอง ไม่ง่วงหรอก นั่งฟังเพลงเป็นเพื่อนแฟนดีกว่า”
“มาแปลกนะเนี่ย วันนี้”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ชอบสิ ชอบมาก แต่ว่า…”
“ว่าอะไร”
“กลัวจะต้องแวะรีสอร์ทข้างทาง ไม่ถึงเขาใหญ่สักทีนี่สิ”
“…”
พอจะเข้าโหมดหวานหน่อยก็ดึงไปทางหื่นตลอดครับแฟนผม แล้วดูยิ้มเข้า ยิ้มแบบนี้ผมรู้เลยว่าไม่ได้คิดดีแน่ๆ นี่เขื่อได้เลยว่าชวนผมออกต่างจังหวัดแบบนี้ นอกจากจะอยากให้ผมหายเครียด คลายกังวลมันต้องมีหวังผลอย่างอื่นด้วยแน่ๆ
“อะ อะ เพลงนี้ก็มา”
ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเสียงเพลงในรถเป็นเพลงที่เราสองคนต่างคุ้นกันดี มันเป็นเพลงเก่าเพลงเดิมที่เหมือนกลายมาเป็นเพลงระหว่างเราสองคนไปเสียแล้ว ก็เพลงที่เค้าเอามาขอผมเป็นแฟนนั่นแหละครับ
“… love is a word that explains
How I feel for you
And when you’re in my arms
All my dreams come true
And when you’re not around
You can’t hardly see
These tears that i’m crying
Now are for you to be with me…”
“ซึ้งๆ ซึ้งอะดิ”
“ก็เคยมีคนเอามาร้องขอเป็นแฟน”
“ต้องเขินไหมเนี่ย”
เสียงเพลง เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ดังสลับกันไปตลอดเส้นทาง มันเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ดูจะพิเศษมากขึ้น จริงอยู่ที่เราอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่นี่อาจจะเป็นการนั่งในรถนานที่สุดสองต่อสองของเราสองคนแล้วมั้ง ไม่นับเวลารถติดในกรุงเทพฯ นะครับ อันนั้นออกจะเรียกว่ามีความทุกข์ร่วมกัน มากกว่าจะมีความสุขด้วยกัน
“แล้วนี่ภู่จองที่พักของที่ไหนไว้”
“ยังไม่ได้จองเลยครับ”
“อ้าว”
“ใจเย็นสิครับแปงครับ นี่มันไม่ใช่วันหยุด ไม่ใช่เทศกาล เราไปถึงเจอที่ไหนน่าพักค่อยตัดสินใจก็ได้”
“…”
“เอาน่า ลองทำอะไรที่มันไม่มีแบบแผนดูบ้าง”
“งั้นเปลี่ยนจากเขาใหญ่ไปวังน้ำเขียวแทนได้ไหม”
“ตัดไปสิครับ แฟนอยากไปไหน ภู่จัดให้หมดครับ”
ผมก็แค่พูดเล่นๆ แต่อีกคนนี่สิจริงจังไปแล้ว ทีแรกผมก็เกือบจะโมโหแบ้วนะครับเรื่องที่พักเนี่ย แต่พอฟังเหตุผลเค้า ถ้ามองทุกอย่างให้มันเป็นมุมดีๆ มันก็โอเคหมดแหละ จริงไหมครับ ที่จริงแค่ได้มากันสองคนแบบนี้มันก็ดีมากแล้ว และนั่นทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมคือเขาใหญ่ กลายเป็นวังน้ำเขียวซะงั้น แต่ทั้งสองที่มันก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก จากการที่แวะนั่นนี่ ตลอดทาง แบบเห็นอะไรน่าสนใจอยากจอดเราสองคนก็จอด
สุดท้ายเราก็ถึงวังน้ำเขียวจนได้ครับ เราตัดสินใจเลือกพักที่รีสอร์ทเล็กๆ แห่งนึง อากาศที่นี่เย็นสบายอย่างที่เค้าบอกไว้จริงๆ ครับ หลังเข้าที่พัก นอนเอาแรงนิดหน่อยก็เย็นพอดี เกือบจะเป็นปัญหาในการหาที่ทานมื้อเย็นเพราะเราทั้งคู่ไม่เคยมาที่นี่เลย ไม่รู้ว่าจะเลือกไปทานข้าวที่ไหนกัน ทางรีสอร์ทเองก็เป็นรีสอร์ทเล็กๆ ไม่ได้มีบริการอาหารให้สั่ง แต่ดีที่เค้าแนะนำร้านอาหารให้เราได้
หลังมื้อเย็นเราก็หอบหิ้วเบียร์กันมาเต็มที่ ไอ้ผมนะไม่เท่าไหร่ แต่อีกคนนั่นกะมอมผมแน่ๆ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าผมเมาแล้วชอบทำอะไรน่าอายก็ยังจะแกล้ง
“มานั่งนี่มา”
เราอยู่ที่ระเบียงของห้องพัก ตอนนี้เพิ่งจะ 1 ทุ่ม แต่บรรยากาศก็เงียบตามประสาต่างจังหวัด แถมอากาศเย็นจนเกือบจะหนาวแบบนี้อีก ผมเลยไม่อิดออดที่จะเดินไปนั่งชิดกับอีกคน
“ดีใจนะที่ได้มาซ้อมฮันนีมูนกันแบบนี้”
“พูดเล่นอีกละ”
“ถ้าไม่พูดเล่นล่ะ”
“…”
“เงียบ ไม่ตอบแบบนี้ต้องให้ดื่มเยอะๆ แล้วละ เผื่อจะพูดมากขึ้น”
“พอแล้ว”
“…”
“ขอบคุณนะที่พามา ขอบคุณที่ดูแลกัน และก็ ดูแลกันแบบนี้ไปตลอดเลยนะ”
ผมขยับตัวซุกเข้าหาอ้อมกอดของเค้า ถึงอากาศตอนนี้จะเย็นขนาดไหนแต่พอได้อยู่ในอ้อมกอดของเค้ามันก็ทำให้ผมยังอบอุ่นใจอยู่เสมอ เราเงียบกันไปพักใหญ่ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน นี่ผมคงต้องขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมทำงานผิดพลาด ขอบคุณเจ้ปอที่สั่งพักงานผม และขอบคุณเจ้าของอ้อมกอดนี้ที่พาผมมา เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ผมก็คงไม่ได้มาใช้เวลากับเค้าที่นี่แน่นอน
แม้นี่จะเป็นเพียงการเดินทางด้วยกันครั้งแรกของเราสองคน แต่จากนี้ไปเราก็คงจะได้เดินไปด้วยกันตลอดไป
“เราเข้านอนกันเลยไหม”
“เพิ่งทุ่มนึงเองนะ”
“ก็ไม่ได้จะให้นอนจริงๆ แค่จะให้ไปที่เตียง”
เกือบแล้วครับ มันเกือบจะซึ้งอยู่แล้ว ถ้าไอ้คนหื่นนี่ไม่ลากไปที่เตียงแบบนี้ แต่ถามว่าผมยอมไหม ก็ไม่ “ไม่ปฏิเสธ” นั่นแหละครับ แล้วนี่จะลากผมขึ้นเตียงตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้ ผมจะโดนอีกกี่รอบกันละครับเนี่ย
“…”
TBC
มาสั้นๆ พอให้หายคิดถึงเนอะ เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก
และตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้าย
ส่งท้าย จบแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ