ตอนที่ 3
"ขี้เสือกนะเอ็งเนี่ย"
กว่าจะผ่านพ้นมาจนถึงช่วงวันหยุดได้ก็เล่นเอาผมแทบขาดใจ นับตั้งแต่วันที่ท่านพระภูมิเจ้าที่ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าต่อตาและบอกว่าจะตามรังควานผม นี่ก็ผ่านมาได้สามวันแล้วครับ
วันก่อนพอมาบังคับผมให้สร้างศาลใหม่ให้เขาได้สำเร็จ อีกฝ่ายก็หายตัวไปไม่โผล่มาอีกเลย ไม่รู้ว่าหายไปไหนของท่านเขา โผล่มาอีกทีก็เมื่อวานตอนค่ำที่ผมเพิ่งกลับจากมหา’ลัย...มาเพื่อทักทาย จากนั้นก็กลับไป ผมล่ะงงว่าท่านเจ้าที่เขาต้องการอะไรกันแน่ บางทีก็เหมือนจะคุยดีกับผมนะ แต่บางทีก็ทำเหมือนแค้นเคืองผมนักหนา โคตรงง
ผมตื่นขึ้นมาในเวลาเกือบสิบโมง จริง ๆ ก็คงไม่ตื่นหรอกถ้าไม่ใช่เพราะแสงแดดมันส่องเข้ามาแยงตาจนต้องตื่นอ่ะ ร้อนผิวไปหมดเพราะโดนแดดอาบต่างน้ำ เวร! ผมไม่น่าลืมปิดผ้าม่านเลย แต่ก็นะ...เมื่อวานง่วงจัด อาบน้ำแต่งตัวออกมานอนบนเตียงได้ก็ขอบคุณตัวเองมากแล้วเถอะ ดีแค่ไหนไม่นอนในห้องน้ำ
ผมลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงก่อนจะบิดขี้เกียจแก้เมื่อย แถมหาวด้วยอีกหนึ่งที เอาเข้าจริงผมอยากนอนต่อมากเลย แต่ท้องแม่งก็ร้องประท้วงด้วยความหิวไง จะว่าไปเมื่อวานผมกินข้าวมื้อล่าสุดตอนบ่ายโมงนี่นา มื้อเย็นก็ไม่ได้กินเลยไม่แปลกที่จะหิวขนาดนี้
ว่าแต่ชีวิตผมเป็นอะไรกับความหิวโหยวะ วันนึงกินข้าวไม่เคยครบมื้อแล้วยังหิวแทบตลอดเวลาอี๊ก
ลังเลใจอยู่อีกห้านาทีว่าควรจะไปอาบน้ำก่อนหรือลงไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับขึ้นมานอนต่อดี แบบว่าน้ำไม่ต้องอาบมันละ เอาไว้อาบอีกทีตอนตื่นรอบสองอะไรงี้อ่ะครับ...ผมไม่ได้ซกมกนะเว้ย แค่ประหยัดน้ำเอ๊งงง
ข้ออ้างมันเก่าไปเหรอ? เออ โทษทีละกันที่เล่นมุกแป้ก
สุดท้ายความขี้เกียจและความหิวก็ผสานพลังกันเป็นฝ่ายชนะ ผมลุกจากเตียงนอนก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อลงไปยังห้องครัวตามความตั้งใจของกระเพาะอาหาร...บ้านของผมเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดกลางครับ เมื่อก่อนตอนอยู่กับพ่อแม่มันก็มีขนาดพอเหมาะพอดีกับครอบครัวของเราอยู่หรอก แต่พอพ่อกับแม่ไม่อยู่ บ้านหลังนี้ก็ดูกว้างไปถนัดตาเลย
...กว้างมากจนเกินไป
พอก้าวเข้ามาถึงในห้องครัวผมก็ต้องแปลกใจที่เห็นท่านเจ้าที่อยู่ในชุดเดิมเป๊ะ เปลือยท่อนบนส่วนท่อนล่างสวมยีนส์สีดำซีดนั่นล่ะครับ ตอนนี้อีกฝ่ายนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวตัวเดิมที่เคยนั่งกินข้าวด้วยกันเมื่อหลายวันก่อน
มาได้ไง...ไม่ดิ ต้องถามว่ามาทำอะไรมากกว่า บ้านตัวเองไม่มีอยู่รึไง
"ทำอะไรอ่ะท่านเจ้าที่?" ผมถามพลางขยี้หัวตัวเองที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วให้ยุ่งเป็นรังนกเข้าไปอีก
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมหมดพลังไปกับสารพัดเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องชวนปวดประสาทของท่านเจ้าที่โรคจิตนี่ล่ะ อีกฝ่ายกำลังทำอะไรสักอย่างกับกระดาษกองใหญ่อยู่ก็ไม่รู้ ไม่ได้สนใจเจ้าบ้านอย่างผมเลยแม้แต่หางตา ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจจะรอคำตอบจากเขาเช่นกัน ที่ถามไปเมื่อกี้มันก็แค่ถามตามมารยาทน่ะ สองเท้าของผมก็เลยตรงดิ่งไปที่ตู้เย็นเป็นอันดับแรก อ่า...น้ำเย็น ๆ สักแก้วน่าจะทำให้ผมตื่นเต็มตาขึ้นมาบ้าง
"วันนี้เอ็งไม่มีเรียนเรอะ?" ท่านเจ้าที่ส่งเสียงถามผมทั้ง ๆ ที่ยังไม่ละมือหรือแม้แต่ดวงตาจากกระดาษเหล่านั้น
"ไม่ครับ วันนี้วันเสาร์ท่านลืมเหรอ" ผมตอบหลังจากกระดกน้ำจนหมดแก้วแล้ว ก่อนจะเสริมอีกว่า "แต่ผมมีงานพิเศษตอนสามทุ่ม"
"งานพิเศษอะไร?"
"พาร์ทไทม์ที่ซุปเปอร์ฯ หน้าปากซอยอ่ะ ท่านเคยไปที่นั่นหรือเปล่า"
"เคย ๆ ข้าเคยไปปาร์ตี้ที่ศาลพระภูมิหน้าร้านสะดวกซื้อร้านนั้น"
"ปาร์ตี้? พระภูมิเจ้าที่อย่างพวกท่านจัด เอ่อ ปาร์ตี้กันได้ด้วยเหรอ?" ผมถามด้วยความฉงน คือมันจะมีอะไรพีคกว่านี้อีกไหมอ่ะ เทวดาจัดปาร์ตี้นี่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นไปได้
ผมนึกภาพพระภูมิเจ้าที่หลายสิบมารวมตัวกันเพื่อปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ มีบริกรเป็นนางรำในชุดสไบซีทรูถือถาดเครื่องดื่มคอยเสิร์ฟให้แขกในงาน ทุกคนเต้นเคล้าเพลงที่มีจังหวะมันสุดเหวี่ยง และทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในศาลพระภูมิ...
ผมว่าพอเถอะ เราอย่าพยายาม เอ่อ ไปนึกถึงมันเลย
"เจ้าที่จัดปาร์ตี้มันแปลกตรงไหนกัน" ท่านเจ้าที่เงยหน้าขึ้นมาตอบผม แถมยังเขม่นตามองราวกับเห็นผมเป็นคนโง่เง่าที่สุดในโลกนี้ ก่อนจะก้มลงไปพัลวันกับกระดาษพวกนั้นต่อ
เห็นแบบนั้นผมก็เริ่มสงสัยขึ้นมาจริง ๆ แล้วล่ะว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร "แล้วตกลงท่านกำลังทำอะไรเนี่ย?"
"ทำงานไงล่ะ ข้ามัวแต่ยุ่งเรื่องย้ายศาลเลยไม่ได้เคลียร์งานสักชิ้น เลขานุการของข้าแทบจะตามมาจิกหัวข้าที่บ้านใหม่นี่แล้ว!"
"เจ้าที่มีงานทำด้วยเหรอวะ? ผมนึกว่าแค่คุ้มครองบ้านกับคนในบ้าน" ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงงสงสัย ทำงานอะไรวะเอกสารเป็นกอง แล้วมีเลขาฯ ด้วยนะ แปลกอีกแล้ว
"ถึงข้าจะเป็นเจ้าที่บ้านเอ็ง แต่ก็มีงานหลักให้ต้องทำนะโว้ย"
"งานอะไรอ่ะ แล้วมีเงินเดือนป่ะ?"
"ทำไมถามซอกแซกเสียจริง" ท่านเจ้าที่เงยหน้าขึ้นมาจากกองกระดาษอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มองผมด้วยสายตารำคาญใจแทน "ขี้เสือกนะเอ็งเนี่ย"
อ้าว กูโดนด่าอีกแล้ว กูแค่สงสัยทำไมกลายเป็นขี้เสือกวะ!
“ไม่เสือกก็ได้วะ” ผมพึมพำกับตัวเอง ขมุบขมิบปากด่าไอ้ท่านเจ้าที่ไปด้วย
“แต่ถ้าเอ็งอยากรู้ข้าจะบอกให้ก็ได้”
“???” ผมเลิกคิ้ว...คือแปลกใจไงว่าท่านเขามาไม้ไหน ก่อนหน้านี้ด่าผมเสือก มาตอนนี้จะเล่าให้ผมคลายความเสือก เอ๊ย! ความสงสัยซะงั้น งงเว้ย!
“ข้าเป็นผู้ว่าราชการศาลพระภูมิประจำเขตพระนคร”
“ฮะ?!”
“หูไม่ดีอีกแล้วนะ ข้าบอกว่า ‘ข้า-เป็น-ผู้-ว่า-ราชการ-ศาล-พระ-ภูมิ-เขต-พระ-นคร’ ทีนี้ได้ยินชัดหรือยัง?” ท่านเจ้าที่เงยหน้าขึ้นมาถลึงตามองผมในขณะที่ปากก็พูดซ้ำอีกรอบ เน้นประโยคหลักไปด้วยช้า ๆ ชัด ๆ ทีละคำ
หูกูดีมากเว้ย! แต่ที่ท่านพูดมามันเหลือจะเชื่อต่างหากเล่า!
นี่ผมต้องมาเจอกับเรื่องแฟนตาซีอีกกี่อย่างกันครับ? เมื่อวานบอกมีที่ว่าการอำเภอบ้างล่ะ มีเงินสวัสดิการ มีนั่นนู่นนี่เหมือนที่ชาวมนุษย์เขามีกันบ้างล่ะ วันนี้มีตำแหน่งทางการเมืองโผล่มาอีกอย่าง...คือมึงครับ เป็นใครมาได้ยินแบบกูก็ต้องร้องฮะกันทุกคนไหมล่ะ!?
เอาเถอะ จากนี้คงมีอะไรแปลก ๆ อีกเยอะ ทนรับให้ได้ต่อไปก็แล้วกันไอ้แทงค์เอ๊ย
ผมบอกกับตัวเอง พ่นลมหายใจหนัก ๆ พลางว่า “แล้วท่านทำหน้าที่อะไรบ้างล่ะ ไอ้ตำแหน่ง เอ่อ ผู้ว่าราชการศาลพระภูมิอะไรเนี่ย”
“ก็งานการปกครองทั่วไป แต่ส่วนใหญ่งานของข้าคือการคัดกรองคำขอของมนุษย์และทำหนังสืออนุมัติให้กับพระภูมิเจ้าที่ประจำศาลบ้านต่าง ๆ ว่าควรทำตามคำขอของมนุษย์ที่เราให้การคุ้มครองหรือไม่” ท่านเจ้าที่อธิบาย
คัดกรองคำขอของมนุษย์เหรอ งั้นไอ้ที่เขากำลังอ่านอยู่ตอนนี้ก็คือคำขอทั้งหมดที่คนขอมาอ่ะดิ
“โห ไอ้ที่ท่านอ่านอยู่นั่นสินะ เยอะเป็นบ้าเลยว่ะ”
“ก็ใช่ไงล่ะ เอ็งรู้ไหมว่าเพราะอะไรมันถึงเยอะ?” ท่านเจ้าที่จรดปากกาลงบนกระดาษใบหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามผม มือทั้งสองของเขาประสานกันวางไว้บนโต๊ะ...เหมือนนายแบบเลยอ่ะ ให้ตายสิ หล่อชะมัด
ไอ้ห่า! เอาอีกแล้วนะไอ้แทงค์! นั่นเจ้าที่โว้ย! เลิกคิดเต๊าะเทวดาในใจได้ละไอ้ผี!
ตบหัวตัวเองในใจเสร็จถึงจะคิดตามคำถามที่อีกฝ่ายถาม...เสียเวลาคิดอยู่เพียงไม่นานผมก็ได้คำตอบ
“เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาล้วนเอ่ยขอพรต่าง ๆ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างที่ตนเชื่อว่ามีอยู่จริง และเมื่อนำคำขอของคนเหล่านั้นมารวมกันมันก็เลยมีมากมายมหาศาล...อย่างที่ผมเห็นตอนนี้ ที่ท่านเจ้าที่กำลังอ่านคือคำร้องขอของมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ในเขตพระนคร ถูกไหมครับ?”
ท่านเจ้าที่ทำหน้าแปลกใจใส่ผม เออ ดูจากสีหน้าแล้วคงทึ่งล่ะสิที่ผมตอบอะไรเป็นจริงเป็นจังได้ขนาดนี้ ไม่คิดล่ะสิว่าผมจะเป็นคนฉลาด หึ ๆ รู้จักคนอย่างไอ้แทงค์น้อยไปแล้วเฟ้ย
“เอ็งนี่ก็ฉลาดนะเนี่ย” ท่านเจ้าที่เอ่ยชมตรงตามที่ผมกำลังคิดเด๊ะ ๆ ซึ่งนับว่าแปลกมาก เพราะตั้งแต่ที่ผมได้พบกับเขา ผมก็โดนเขาด่าตลอด นี่น่ะคำชมครั้งแรกเลยนะ “มนุษย์เป็นอย่างนั้นจริง เพราะอย่างนั้นเทวดาอย่างพวกเรา ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในระดับชนชั้นไหน ล้วนแต่ต้องทำงานหนักขึ้นไปอีกเพื่อคำขอของพวกเขา”
“ถ้ามันเหนื่อยหรือยากนัก ทำไมพวกท่านต้องทำตามคำขอของพวกเขาด้วยล่ะ พวกท่านก็แค่รับฟังแต่ไม่ต้องช่วยเหลือสิ พวกเขาควรพึ่งพาตนเองมากกว่ามาหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ” ผมแย้งอย่างไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย
“เอ็งพูดแบบนี้แปลว่าไม่เชื่อเรื่องขอพรล่ะสิ”
“ก็ใช่” ผมยอมรับ “ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงอะไรสักเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าทุกอย่างเกิดจากสองมือของเราเอง”
“อืม เป็นเด็กคิดดีมากกว่าที่ข้าคิดนะเอ็งน่ะ นึกว่าชอบลบหลู่เจ้าที่เจ้าทางจนเป็นนิสัย” ท่านเจ้าที่ขุดเรื่องเก่ามาพูดอีกแล้ว โว้ยยย ก็บอกแล้วไงว่ามันคือการแสดงหนังอ่ะ!
ผมก็อยากจะเถียงออกไปอีกสักรอบหรอกนะ แต่ไม่เอาดีกว่า คิดว่าคงไม่มีประโยชน์หรอกเพราะดูเหมือนท่านเจ้าที่องค์นี้จะเฮี้ยน เอ๊ย! เป็นพวกแค้นฝังหุ่น ยากแก่การเปลี่ยนความคิดของท่านเขาได้ง่าย ๆ
"มันก็อย่างที่เอ็งว่านั่นล่ะ” ท่านเจ้าที่ตอบรับก่อนจะเอ่ยอีกว่า “ส่วนที่เอ็งถามก่อนหน้านี้ว่าทำไมไม่เมินเฉยต่อคำขอของพวกเขา นั่นก็เป็นเพราะว่ามนุษย์บางคนมีค่าคู่ควรแก่การช่วยเหลือ หากพวกเขาเดือดร้อน พวกข้าที่เป็นเทวดาเจ้าที่เจ้าทางก็อยากจะช่วยบ้างสักนิดสักหน่อยก็ยังดี ถือเป็นรางวัลให้กับคนทำดีน่ะ”
อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ผมก็เพิ่งจะเข้าใจในตอนนี้แหล่ะว่าทำไมบางครั้งคำขอถึงเป็นจริง บางครั้งคำขอถึงไม่เป็นจริง (เท่าที่ฟังมาจากคนอื่นที่ชอบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วได้ผลน่ะนะครับ) เพราะเทวดาไม่สามารถมอบพรให้กับทุกคนได้นี่เอง คนที่คู่ควรเท่านั้นที่จะได้รับความช่วยเหลือเมื่อพวกเขาต้องการมัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
ถ้างั้น...แล้วผมล่ะ? ตอนนั้นที่ผมขอ แปลว่าผมไม่คู่ควรพอกับพรที่ตัวเองอยากได้งั้นเหรอ?
ผมจมเข้าสู่ห้วงความคิดของตัวเอง จนไม่ทันสังเกตว่าท่านเจ้าที่กำลังมองผมอยู่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายโผล่แวบมายืนข้าง ๆ เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง ตั้งใจจะหันไปโวยวายใส่แต่ก็ต้องนิ่งไปเมื่อมือหนาของเขาวางลงบนหัวของผม
“สำหรับคำขอข้อเดียวของเอ็งในตอนนั้น ไม่ใช่เพราะเอ็งไม่คู่ควรหรอกนะ แต่เพราะคำขอนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้ต่างหากล่ะ” เขาบอกพลางส่งยิ้มปลอบประโลมมาให้ “พวกข้าเป็นเทวดาผู้ปกป้องคุ้มครอง ไม่สามารถชุบชีวิตคนตายได้ ไม่สามารถชุบชิวิตพ่อกับแม่ของเอ็งได้ และไม่มีใครสามารถทำได้ด้วย”
ผมนิ่งงัน...ทำไมท่านเจ้าที่ถึงรู้เรื่องพรข้อเดียวที่ผมขอล่ะ?
พรที่ผมเคยขอแค่ครั้งเดียวและไม่เคยขออีกเลย เพราะพรข้อนั้นมันไม่เกิดขึ้นจริงตามที่ผมปรารถนา และมันทำให้ผมไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป พรที่ว่า...ขอให้ผมได้พ่อกับแม่คืนมา
“ความตายคือสิ่งที่ยั่งยืน และการมีชีวิตอยู่ต่อจนถึงวาระสุดท้าย ก็คือการใช้ความสุขอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อสร้างความดีให้กับโลกใบนี้”
ผมเงียบ ท่านเจ้าที่ก็เงียบ เราต่างฝ่ายต่างเงียบหากแต่มือของเทวดาที่กำลังลูบหัวลูบผมของผมอยู่กลับทำให้ผมอุ่นใจอย่างน่าประหลาด นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครลูบหัวผมแบบนี้
“นี่ ท่านเจ้าที่” ผมเรียกชายร่างสูงประหนึ่งนายแบบฝั่งตะวันตกเสียงเบา
“ว่ายังไง”
“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะพูดจาดี ๆ แถมทำตัวอ่อนโยนเป็นด้วย เห็นเจอหน้าผมก็เอาแต่ด่า ด่า ด่า แปลกดีนะครับ”
“ไอ้เด็กปากหมานี่! ข้าอุตส่าห์ปลอบใจ ไยเอ็งถึงพูดจากวนประสาทข้าเสียแทน ช่างอกตัญญูเสียจริง!!”
“ฮ่า ๆๆๆ” ผมหลุดหัวเราะเสียงดัง หัวเราะจนเมื่อยแก้มอ่ะ หัวเราะตาหยีไปหมดแล้วด้วยมั้งเนี่ย...ท่านเจ้าที่ถลึงตามองผม มือหนาที่ลดลงไปแล้วยกขึ้นมาผลักหัวผมเสียเต็มแรง ก่อนเขาจะหายแวบกลับไปนั่งอ่านเอกสารคำขอของมนุษย์กองนั้นต่อตามเดิม
ผมอมยิ้มให้กับคนตรงหน้าแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้กำลังมองผมอยู่ก็ตาม “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่ปลอบใจผม ว่าแต่ท่านรู้ได้ยังไงว่าผมขอพรอะไร ผมมั่นใจนะว่าตอนผมขอผมไม่ได้ขอกับท่านแน่ ๆ เพราะท่านบอกเองว่าเพิ่งจะย้ายมานี่”
ท่านเจ้าที่เงยหน้าขึ้นมามอง ขึงตาใส่ผมอีกทีแล้วก้มลงไปทำงานของตัวเองตามเดิม หากแต่ปากก็ยอมตอบผมกลับมานะว่า “ข้าก็ถามเอาจากเจ้าที่คนเก่าของเอ็งน่ะสิ ทีนี่ก็หุบปากได้แล้ว ขี้เสือกไม่เลิกจริง ๆ น่ารำคาญนัก”
เขาเรียกว่าสงสัยโว้ยไอ้ท่านเจ้าที่! ใครกันแน่ที่กวนประสาท แล้วใครกันแน่ที่ขี้เสือกวะ!? ไปสืบเรื่องของกูมาแปลว่าก็อยากจะรู้เรื่องของกูไม่ใช่รึไง!? ปวดหัวกับเทวดาแบบนี้จังเลยโว้ย!
ผมถึงได้บอกไงว่าไอ้ท่านเจ้าที่องค์นี้ชวนให้ผมปวดประสาทจริง ๆ นะ ปวดขนาดที่ผมจะสติแตกอยู่แล้วเนี่ย ฮึ่ย!
_________
ขอโทษที่มาอัพช้านะคะ หายไปติดนิยายมาค่ะ 555 ตอนนี้แฝงความละมุนนิดๆ ไม่รู้คนอ่านจะรู้สึกถึงมันได้หรือเปล่า 5555 ท่านเจ้าที่เราก็ไม่ได้สายฮา—แค่กๆ สายเถื่อ—แค่กๆๆ เอาเป็นว่าท่านก็ไม่ได้ขุ่นเคืองนายแทงค์ของเราอย่างเดียวนาา ยังมีความหล่อ ใจดี สปอต กทม.อยู่ เรื่องนี้ถ้าเป็นไปได้เราจะอัพวันเว้นวันค่ะ แล้วพบกันตอนหน้านะคะ