[H.E.A.R.T.] A.Avert หัวใจซ่อนรัก
Part 6# Niza การกระทำที่ชัดเจน
“นั่นใครอะพี่นิ หล้ออออหล่อ” แนนเงยหน้าขึ้นแล้วมองตามสายตาของผมไปยังไอ้พฤกษ์ ซึ่งตอนนี้กำลังเดินออกไปไกลจากผมเรื่อยๆ แล้ว
“นั่นเพื่อนพี่เองที่นัดกันวันนี้ เดี๋ยวพี่ไปหามันเลยแล้วกันนะ” พูดจบผมก็ลุกขึ้นแล้วจะวิ่งออกไปหาไอ้พฤกษ์
“เดี๋ยวสิพี่นิ อย่าพึ่ง...”
“แนน!” ตอนแรกแนนตั้งใจจะรั้งผมเอาไว้ แต่ยังพูดไม่ทันจบเสียงของผู้ชายที่คุ้นเคยก็ดังอยู่ทางข้างหลังซะก่อน แนนกับผมเลยหันไปมองจึงพบว่าเป็นภูมิที่ดูท่าทางรีบร้อนมาที่นี่
“ตอนนี้แนนคงไม่ต้องการพี่แล้วนะ ขอให้สมหวังล่ะสาวน้อย” ผมวางมือลงบนศีรษะของแนน จากนั้นก็ตั้งใจว่าจะวิ่งตามไอ้พฤกษ์ไป แต่ไหงภูมิดันมาขวางผมเอาไว้ไม่เดินไปหาแนนล่ะเนี่ย
“ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับพี่นิครับ” เฮ้ยๆๆ แกอย่าทำหน้าโหดแบบนั้นใส่พี่สิวะ มันน่ากลัวเหมือนแกจะมาท้าพี่ต่อยเลยนะเว่ย
“อะ...เอาไว้วันหลังได้มั้ย ตอนนี้พี่รีบ” รีบหนีก่อนที่จะโดนแกต่อย!
“ไม่ได้ครับ ผมต้องคุยกับพี่นิวันนี้แล้วก็ตอนนี้ด้วย” น้ำเสียงของภูมิเข้มขึ้น ส่วนสีหน้าก็ถมึงทึงจนผมขนลุกไปแทบทั้งตัว
“โอเคๆ คุยวันนี้แล้วก็ตอนนี้เลย ภูมิมีอะไรก็ว่ามา” ที่ผมต้องยอมเพราะอยากรักษาชีวิตและความปลอดภัยของตัวเองเอาไว้ ส่วนเรื่องง้อไอ้พฤกษ์เดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้ผมยังพอมองเห็นแผ่นหลังของมันอยู่ มันดูเซ็งๆ และผิดหวังเลยค่อนข้างเดินเชื่องช้า ก็หวังว่าภูมิจะรีบพูดรีบเคลียร์ให้เรื่องมันจบไวๆ ล่ะนะ
“ผมอยากขอแนนคืน พอเห็นแนนอยู่กับคนอื่นผมถึงได้รู้ใจตัวเอง” ภูมิพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ในที่สุดก็สมหวังแล้วนะยัยแนน
“โอเค พี่เข้าใจแล้ว งั้นพี่ไปล่ะ” พูดจบผมก็จะเดินออกจากร้านไปตามไอ้พฤกษ์ที่เห็นแผ่นหลังลิบๆ แต่ให้ตายสิ ภูมิมันดันกางแขนข้างหนึ่งออกจนผมไม่สามารถเดินไปไหนได้ จะมาขวางทำไมล่ะเนี่ย!
“ผมว่าพี่นิยังไม่เข้าใจ” คนที่ไม่เข้าใจมีแต่แกคนเดียวนั่นแหละภูมิ!
“พี่เข้าใจทุกอย่าง ที่ภูมิพูดเมื่อกี้หมายความว่าภูมิชอบแนนใช่มั้ย”
“ใช่ ผมชอบแนน” ภูมิตอบอย่างแน่วแน่และชัดถ้อยชัดคำ แนนที่ได้ยินแบบนั้นเลยยิ้มจนแก้มแทบปริ แถมยังบิดไปบิดมาด้วยความเขิน
“เราก็ชอบภูมิเหมือนกัน”
“เอาล่ะ ในเมื่อภูมิกับแนนใจตรงกันเพราะงั้นพี่ก็หมดธุระแล้ว” พูดจบผมก็เบี่ยงตัวเดินออกมา หวังว่าคราวนี้คงไม่มีใครหน้าไหนมาขวางผมเอาไว้แล้วนะ
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น...
“เดี๋ยวก่อนครับพี่นิ” ภูมิดันเรียกผมเอาไว้อีกครั้ง มันจะอะไรนักหนากับชีวิตของผมเนี่ย! ชักทนไม่ไหวแล้วนะโว้ยยยยยยยย!
“พวกแกจะรั้งพี่ไว้อีกนานมั้ย! ก็บอกอยู่ว่ารีบนี่ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องรึไง! หรือว่าพี่ต้องพูดเป็นภาษาวากันด้าพวกแกถึงจะเข้าใจห้ะ!” เดี๋ยวปั๊ดอัญเชิญองค์ฝ่าบาททีชัลล่า (Black Panther) เข้าประทับร่างเลยนี่!
“อะ...เอ่อ...ผม...ผมแค่อยากขอบคุณพี่นิที่ยอมหลีกทางให้เราสองคน” ภูมิทำหน้าหงอเป็นลูกหมา เปลี่ยนท่าทางจากหลังมือเป็นหน้ามือเลยเมื่อเจอฤทธิ์วีนแตกของผม ไม่สิ...ความจริงน่าจะเป็นเพราะรู้ว่าใจตรงกับแนนต่างหาก
“ภูมิไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก เพราะพี่ไม่ได้คิดอะไรกับแนนอยู่แล้ว”
“ถ้างั้นแล้วทำไม...”
“ถ้าอยากรู้ก็ไปถามแนนเอานู่น ตอนนี้พี่รีบไม่มีเวลาอธิบายหรอก แล้วก็ไม่ต้องเรียกพี่อีกด้วย ไม่งั้นพี่จะขึ้นค่าสอนเป็นชั่วโมงละ 300 เลยคอยดู” ผมขู่พร้อมกับถลึงตาใส่
ให้ตายสิเสียเวลาจริงๆ แถมผมยังซวยจนไอ้พฤกษ์เข้าใจผิดอีกต่างหาก ทำไมผมต้องมาเสียเวลาและปวดหัวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของไอ้เด็ก 2 คนนี้ด้วยก็ไม่รู้
แต่เอ...พอลองคิดๆ ดูผมก็ผิดที่งกเงินเองนี่หว่า ไม่สิ...ต้องบอกว่าผมเป็นคนดีที่ทำให้เด็ก 2 คนมันเข้าใจกันมากกว่า ถ้าผมไม่ช่วยป่านนี้ภูมิกับแนนก็คงไม่ได้ลงเอยกันหรอก ผมนี่ช่างเป็นคนดีมีเมตตา ส่วนเรื่องค่าจ้างเป็นผลพลอยได้ เพราะงั้นฟ้าจะใจร้ายให้ผมตามหาไอ้พฤกษ์ไม่เจอไม่ได้นะ
“แม่งเดินไปทางไหนวะเนี่ย!” ผมอยากจะบ้าตาย เพราะหลังจากเดินมาตามทางที่ผมเห็นไอ้พฤกษ์ครั้งล่าสุด ปรากฏว่ามันมีทางแยกออกเป็นซ้ายกับขวา
ซ้ายคือทางเดินไปหน้าห้าง ส่วนขวาเป็นทางเดินไปลานจอดรถ งั้นผมเลือกขวาก็แล้วกัน ขอให้เลือกถูกทางทีเถอะ!
ผมออกตัววิ่งเพราะกลัวไม่ทัน ถ้าหากไอ้พฤกษ์มาทางนี้มันต้องคิดจะกลับบ้านแน่นอน ผมไม่ยอมปล่อยให้มันกลับทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เลี้ยงข้าว...เอ๊ย! ยังเข้าใจผมผิดแบบนี้หรอกนะ ขอให้ผมวิ่งไปทันก่อนที่มันจะถึงรถด้วยเถอะเพี้ยง!
แล้วก็เหมือนว่าแต้มบุญที่ผมพึ่งได้รับมาจากการช่วยเหลือเรื่องความรักของเด็ก 2 คนนั้นจะส่งผล ผมเลยเห็นแผ่นหลังของไอ้พฤกษ์ที่กำลังเดินไปยังรถ ถึงแม้จะเห็นลิบๆ แต่ผมก็มั่นใจเพราะจำเสื้อที่มันใส่ได้ ดังนั้นผมเลยรีบวิ่งอย่างสุดฝีเท้าจนไปดักด้านหน้ามันได้สำเร็จ
“ซ่า?” ไอ้พฤกษ์ดูงงๆ ที่เห็นผมวิ่งมา แต่ก็ยังไม่ได้ถามอะไรเพราะรู้ว่าผมที่กำลังหอบแฮ่กๆ จนแทบจะลิ้นห้อยเหมือนหมา ยังไม่สามารถตอบคำถามตอนนี้ได้อยู่แล้ว
“มึงจะกลับบ้านแล้วหรอ” ผมถามหลังจากอาการหอบเริ่มดีขึ้นจนแทบเป็นปกติ
“อืม” ไอ้พฤกษ์ตอบแค่สั้นๆ ท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากเสวนากับผมสักเท่าไหร่
“ทำไมถึงรีบกลับนักล่ะ หรือว่ามึงคิดจะเบี้ยวไม่เลี้ยงข้าวกู” ทำเป็นเอาเรื่องสัญญามาอ้าง ความจริงแล้วผมยังไม่อยากให้ไอ้พฤกษ์กลับต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็กลัวว่าไอ้พฤกษ์จะคิดจริงจังว่าผมเห็นแก่กิน เลยพูดติดตลกพลางยิ้มกะให้ไอ้พฤกษ์ขำ แต่ว่ามันก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
หน้านิ่งแบบนี้นี่คนหรือรูปปั้นมาดามทุซโซ่!
“กูไม่ได้จะเบี้ยวสักหน่อย แต่ในเมื่อมึงมีนัดกับแฟน แล้วกูจะอยู่เป็นก้างขวางคอทำไมล่ะ” น้ำเสียงของมันดูเหมือนงอนผมยังไงก็ไม่รู้
“มึงคิดว่าแนนเป็นแฟนกู?”
“ก็หรือว่าไม่ใช่?” ไอ้พฤกษ์ย้อนถามผมคืน คำพูดของมันดูมั่นใจเสียเต็มประดา แต่สีหน้ากลับดูคล้ายกับว่าอยากให้ผมตอบปฏิเสธ ไอ้ผมที่มีนิสัยกวนตีนขี้แกล้งอยู่แล้ว บวกกับความย้อนแยงที่มันแสดงออกมา ผมเลยตอบในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่มันหวังเอาไว้
“ก็เปล่า แนนเป็นแฟนกูจริงๆ นั่นแหละ” ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ไอ้พฤกษ์ก็หน้าบึ้งลงทันที แต่สิ่งที่พูดผมไม่ได้โกหกนะ แนนจ้างผมเป็นแฟนจริงๆ แถมเงินค่าจ้างยังอยู่ในกระเป๋าของผมอยู่เลย
“ถ้างั้นมึงก็รีบกลับไปหาแฟนมึงเถอะ ออกมาหากูแบบนี้เสียเวลาสวีทกันเปล่าๆ” ไอ้พฤกษ์พูดจบก็เบี่ยงตัวจะเดินหนีไป ดีที่ผมมือไวเลยคว้าแขนของมันเอาไว้ได้ทัน
“เดี๋ยวสิไอ้พฤกษ์ เมื่อกี้กูยังพูดไม่จบ”
“มีอะไรที่มึงยังไม่ได้พูดอีก” ไอ้พฤกษ์พูดด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่ผมก็ดูออกว่ามันกำลังไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“คือกูจะบอกว่าแนนเป็นแฟนกูจริง แต่ว่าก็แค่จ้างกูเป็นแฟนให้ผู้ชายที่ชอบหึงเฉยๆ”
“หมายความว่ามึงกับน้องคนนั้นแค่คบกันหลอกๆ?”
“ใช่แล้ว นี่ไงค่าจ้างที่กูได้มา” พูดจบผมก็ควักแบงค์สีเทาออกจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาโชว์ไอ้พฤกษ์ แถมยังยิ้มแฉ่งส่งให้ด้วยอีกต่างหาก
“มึงนี่มัน...หัดพูดทีเดียวให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ได้รึไง” สีหน้าของไอ้พฤกษ์ตอนนี้เหมือนดูโล่งใจ แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าอยากบีบคอผมให้ตายยังไงยังงั้น
“อะไรกันเล่า กูแกล้งเล่นนิดหน่อยทำเป็นซีเรียสจริงจังไปได้ งอนเบอร์แรงขนาดนี้ทำอย่างกับเป็นผัวกู” ผมจีบปากจีบคอพูดเพราะกะจะให้ไอ้พฤกษ์ขำ แต่นอกจากจะไม่ขำแล้ว มันยังพูดสวนมาทันควันจนผมถึงกับไปไม่เป็นอีกต่างหาก
“แล้วกูเป็นผัวมึงได้มั้ยล่ะ ถ้าได้ กูจะได้ขอให้มึงเป็นเมียกูตอนนี้เลย”
“หา!?” ผมเบิกตากว้างออกมา ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรจะงงหรือตกใจดี
มันเล่นพูดมาแบบนี้แล้วผมควรจะตอบไปว่ายังไงดีเนี่ย!
“...” ผมได้แต่ยืนเอ๋อเพราะทำตัวไม่ถูก จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะเขินก็ไม่เชิง ผมรู้สึกสับสนจนคิดอะไรไม่ออกราวกับว่าสมองเป็นอัมพาต ส่วนไอ้พฤกษ์ที่เป็นคนพูดกลับยังคงหน้านิ่งไม่มีเปลี่ยนแปลง เพราะงั้นผมเลยคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่บรรยากาศที่กำลังดีขึ้นจะอึดอัดไปซะก่อน
“อุ๊ปส์! ฮ่าๆๆๆ นี่มุขหรือเปลือกหอยวะเนี่ย โอ๊ยยยย ฮากริบจนต้องหัวเราะในความแป้ก ฮ่าๆๆๆ แต่เอาจริงๆ คือจังหวะแม่งพอได้อยู่ ส่วนมุขนี่ต้องไปฝึกมาใหม่ ยังไงกูก็เป็นกำลังใจให้มึงนะเพื่อน” ผมตัดสินใจหัวเราะอย่างท้องคัดท้องแข็งแล้วเดินเข้าไปตบบ่าของไอ้พฤกษ์ มันจึงทำหน้าประมาณว่า ควรจะโมโหหรือปลงกับผมดี
“เออ โทษทีที่มันไม่ฮา” ไอ้พฤกษ์ทำหน้าเบื่อหน่าย ในที่สุดมันก็เลือกปลงสินะ ดีแล้วล่ะผมจะได้ไม่ต้องเล่นใหญ่ไปมากกว่านี้
“ไม่เป็นไรๆ กูก็ไม่หวังอะไรกับคุณชายอย่างมึงอยู่แล้ว” ผมโบกมือหยอยๆ ไปมา จากนั้นก็แสร้งหัวเราะต่ออีกสักพักเพื่อความแนบเนียน
เฮ้อออออ แกล้งตอแหลตลกให้เนียนนี่มันยากจริงจริ้งงงงงงงง
ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมไอ้พฤกษ์ถึงพูดแบบนั้นออกมา บางทีมันอาจจะหัวเสียมาจากที่บ้าน ระหว่างทางเจอคนขับรถกวนประสาท หรือพาลที่เจอคู่รักเยอะแยะในช่วงวาเลนไทน์เลยมาลงกับผม ซึ่งเหตุผลจะเป็นเพราะอะไรก็ช่าง แต่ผมก็มั่นใจมากว่ามันไม่ได้คิดแบบที่พูดออกมาแน่นอน
คุณชายที่แสนเลิศเลอเพอร์เฟคแบบนั้นจะอยากได้ผมเป็นเมียได้ยังไง ผู้หญิงสวยๆ ในมหา’ลัยมีตั้งเป็นร้อยเป็นพัน มันไม่มีทางสนใจผู้ชายธรรมดาแถมยังหน้าเงินอย่างผมหรอก
ยังไงก็ไม่มีทาง!
“แล้วนี่มึงยังอยากกลับบ้านตอนนี้อยู่อีกรึเปล่า” ผมถามขึ้นเพราะดูท่าทางไอ้พฤกษ์อารมณ์ดีขึ้นเยอะ ถึงจะติดเซ็งๆ อยู่นิดหน่อยก็เถอะนะ
“แล้วมึงว่างรึยังล่ะ ต้องไปเล่นละครเป็นแฟนน้องคนนั้นต่อรึเปล่า”
“ไม่ต้องแล้ว ไปก็เกะกะเปล่าๆ ป่านนี้ยัยแนนคงเป็นแฟนกับภูมิแล้วล่ะ เพราะงั้นเราไปกินข้าวกันนะ มึงคงไม่รีบกลับแล้วใช่มั้ย” ผมยิ้มกว้าง พอภารกิจเรียบร้อยท้องมันก็ร่ำร้องด้วยความหิว
“มึงอยากกินอะไรล่ะ” เย่ส! ถามแบบนี้ก็แสดงว่าไอ้พฤกษ์จะยังไม่กลับบ้านแน่นอน
“เจ้ากรรมนายเวรอย่างกูกินอะไรก็ได้แล้วแต่เจ้ามือเลย” ผมฉีกยิ้มกว้าง ไอ้พฤกษ์เลยหัวเราะออกมาเบาๆ
“ถ้างั้นไปกินอาหารเกาหลีกัน หวังว่ามึงคงจะไม่เกรียนสั่งมาเต็มโต๊ะอย่างครั้งที่ไปกินอาหารญี่ปุ่นหรอกนะ” พูดจบมันก็หรี่ตามองผมอย่างคาดโทษ
“กูยังสติดีอยู่นะเว่ย โดนมึงเอาคืนขนาดนั้นใครจะกล้าทำอีกล่ะ” นี่ถ้ามื้อนั้นมันไม่ใจอ่อนยอมจ่ายค่าอาหารให้ผม ป่านนี้ผมก็คงยังอยู่ทัวร์ห้องกรงไม่ได้มายืนสลอนอยู่ที่นี่หรอก
“ก็ดีที่มึงคิดได้ งั้นเราไปกันเถอะ เย็นกว่านี้คนเยอะเดี๋ยวได้รอคิวนาน” ไอ้พฤกษ์พูดจบก็จูงแขนผมแล้วพาเดินออกไปจากตรงนี้ ผมที่ปกติไม่เคยถูกเพื่อนผู้ชายจับมือเดินไปไหนก็ถึงกับงง แต่ผมก็ไม่ได้ชักมือออกหรือทักท้วงอะไร ก็ใครจะกล้ามีปัญหากับเจ้ามือกันล่ะ
อาหารของร้านเกาหลีที่ไอ้พฤกษ์พาไปกินมีรสชาติอร่อยมาก เล่นเอาผมซัดซะพุงกางเพราะชาตินึงจะมีปัญญาได้กินอะไรดีๆ ไม่สิ...ตั้งแต่ที่ได้รู้จักไอ้พฤกษ์มาผมก็มีลาภปากตลอด สงสัยมันคงจะเป็นตัว (เรียก) เงินตัว (เรียก) ทองจริงๆ นะเนี่ย
หลังจากกินข้าวเสร็จผมกับมันก็เดินย่อยสักพัก ระหว่างที่เดินก็เจอแนนกับภูมิกำลังถ่ายรูปกับซุ้มและป้ายเพราะใกล้วันวาเลนไทน์กันอย่างกระหนุงกระหนิง ผมเลยชี้ให้ไอ้พฤกษ์ดูพร้อมกับย้ำว่าผมไม่ได้เป็นแฟนกับแนนจริงๆ
“เรื่องของน้องคนนั้นกูเชื่อตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ได้เป็นแฟนกับมึงจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มึงจะมีตัวจริงอยู่รึเปล่า” พอจู่ๆ โดนไอ้พฤกษ์ถามอย่างนี้ผมก็ถึงกับงงไปเลยน่ะสิ
“จะไปมีที่ไหนล่ะ แค่เลี้ยงตัวเองก็ลำบากจะตายห่า กูจะเอาปัญญาที่ไหนไปเลี้ยงคนอื่น” ที่ผมไม่เคยมีแฟนมาตลอดก็เพราะเหตุผลนี้ ใจจริงอยากมีมั้ยก็คืออยากมี แต่มันติดอยู่ที่ผมไม่มีเงินพาไปเที่ยวหรือเลี้ยงข้าว ลำพังแค่ซื้อข้าวกินเองบางวันยังจะไม่พอ
“ถ้างั้นก็หาคนมาเลี้ยงมึงแทนสิ”
“หา! เลี้ยงกู?” ผมชี้มือเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงง
“อืม” ไอ้พฤกษ์พยักหน้า นี่มันบ้ารึเปล่าเนี่ย
“ถุย! ผู้หญิงที่ไหนเขาจะอยากมาเลี้ยงกู แค่ชวนไปเดทแล้วหารบางคนยังว่าน่าเกลียดเลยด้วยซ้ำ” ถึงแม้ผมจะไม่เคยชวนผู้หญิงคนไหนเดทก็เถอะ แต่ผมก็เคยได้ยินพวกเพื่อนผู้หญิงในห้องเมาท์ผู้ชายให้ฟังเหมือนกัน
“กูไม่ได้หมายถึงผู้หญิงสักหน่อย”
“เอ๊า แล้วมึงหมายถึงใคร ทอม ผู้ชาย เกย์ ตุ๊ด มนุษย์ สัตว์ สิ่งของ...”
“พอ...พอแค่นั้นเลย มึงจะร่ายอะไรมากมาย กูก็แค่พูดรวมๆ เผื่ออาจมีคนใกล้ตัวอยากเลี้ยงมึงอยู่ก็ได้”
“ใคร? นอกจากมึงแล้วกูยังไม่เห็นมีใครเลยสักคน” พอได้ยินผมพูดแบบนี้ไอ้พฤกษ์ก็ถึงกับชะงักจนไปไม่เป็น มันเบิกตากว้างแล้วอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่ยอมพูดมันสักที
“เอ...กูว่ากูรู้จุดประสงค์ที่มึงทำดีกับกูแล้วล่ะ” ผมหรี่ตาลง ไอ้พฤกษ์ที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มมีอาการลนลานขึ้นมา
“มึงรู้...แล้วสินะ...” พูดจบมันก็หันหน้าหนีเพื่อหลบตา
หึ! โดนกูจับได้แล้วไอ้คุณชาย!
“การกระทำมึงชัดขนาดนี้ทำไมกูจะดูไม่ออก”
“ถ้างั้นมึงก็รู้แล้วว่ากูช...”
“มึงอยากให้กูรีบพาไปเจออาจารย์ปรัชญาเร็วๆ ใช่มั้ยล่ะ” ผมพูดขึ้นก่อนที่ไอ้พฤกษ์จะได้พูดจนจบประโยค ซึ่งก็ไม่จำเป็นเพราะการกระทำของมันก็ชัดเจนอย่างที่ผมบอกไปอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้มันดูอึ้งๆ อยู่ด้วยก็ยิ่งชัดไปอีกว่าผมคิดถูก
“เฮ้อออ ก็ตามนั้นแหละ” ไอ้พฤกษ์ยอมรับอย่างเซ็งๆ แหงล่ะ ก็โดนผมจับได้ซะขนาดนั้นนี่หว่า
“มึงไม่ต้องทำหน้าเซ็งไปหรอกน่า เดี๋ยววันจันทร์กูต้องเจออาจารย์อยู่แล้ว เจอปุ๊บเดี๋ยวกูจะขอร้องให้แกช่วยมึงเรื่องวิจัยปั๊บเลย” ผมให้คำมั่น นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ไอ้พฤกษ์จะพยายามเอาใจผมเพื่อกระตุ้นให้พาไปเจออาจารย์ก็ไม่แปลกหรอก เพราะนอกจากจะถูกปอกลอกงานยังจะไม่เสร็จอีกต่างหาก
“ขอบใจนะ” ไอ้พฤกษ์ฝืนยิ้มแห้งๆ ออกมา ท่าทางตอนนี้ดูหมดอาลัยตายอยากคล้ายๆ พวกเพื่อนผมเวลาโดนสาวเทยังไงยังงั้น นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงคิดว่ามันชอบไปแล้ว แต่ก็นะ...คุณชายอย่างมันจะมาชอบผู้ชายด้วยกันได้ยังไง
หลังจากนั้นไอ้พฤกษ์ก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมอีก บรรยากาศมันอึนๆ หม่นๆ พิกลผมแลยชวนมันกลับบ้าน ซึ่งตอนแรกผมก็กะจะกลับเองนั่นแหละ แต่ไอ้พฤกษ์ยืนยันจะมาส่งผมก็เลยต้องตามนั้น
“พรุ่งนี้สอนพิเศษเสร็จเดี๋ยวกูไปรับนะ นึกร้านที่อยากไปกินเอาไว้ด้วยล่ะ” ไอ้พฤกษ์พูดขึ้นเมื่อขับรถมาจอดที่หน้าหอของผม
“อืม ขอบใจที่มาส่ง กูไปก่อนนะ” ผมหันไปโบกลาไอ้พฤกษ์จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปไหน กระจกด้านข้างก็ถูกเลื่อนลงมาซะก่อน
“มีอะไร จะเอาของที่ห้องกูหรอ”
“เปล่า แค่อยากจะบอกว่าฝันดีเฉยๆ” ไอ้พฤกษ์ยิ้มบางๆ ส่งมาให้ พอได้ยินแบบนี้ผมก็ถึงกับงงไปเลยน่ะสิ
ขับรถมาส่ง พรุ่งนี้จะมารับไปกินข้าว แถมยังบอกอีกว่าฝันดี นี่ไอ้พฤกษ์ทำอย่างกับว่ามันกำลังชอบผม?
ชอบ...เนี่ยนะ?
บะ...บะ...บ้า! บ้าไปแล้ว! มึงแดกกิมจิจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรอไอ้ซ่า!
พับผ่าสิ! อะไรเข้าสิงถึงได้มีความคิดแบบนี้ได้ก็ไม่รู้ คุณชายอย่างไอ้พฤกษ์มันจะมาชอบผมได้ยังไง คนอย่างผมมีดีตรงไหน ไม่เห็นเมคเซ้นส์เลยสักนิด เลิกคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว!
“เออ ฝันดีเหมือนกัน กูขึ้นห้องแล้วนะ บาย” ผมพูดจบก็เดินขึ้นห้องไป โดยท่องเอาไว้ว่ามันเข้ามาตีสนิทกับผมเพราะผลประโยชน์เท่านั้น ส่วนผมก็หวังจะปอกลอกมันไม่มีอะไรมากกว่านั้นจริงๆ!
...................................................
..................................
.................
วันหยุดผ่านไปไวเหมือนโกหก แป๊บเดียวก็ถึงวันจันทร์อันน่าเบื่อที่ผมต้องเริ่มเรียนแล้ว ดีนะที่วันนี้ผมมีเรียนแค่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายอาจารย์ติดธุระมาสอนไม่ได้ ผมเลยมีเวลาไปช่วยงานอาจารย์ปรัชญาที่ห้องวิจัยเร็วขึ้น แน่นอนว่าค่าตอบแทนผมก็ต้องได้มากขึ้นด้วย
“เดี๋ยวนิเรียงเอกสารตรงนั้นเสร็จแล้วมาช่วยผมพิมพ์เอกสารพวกนี้หน่อยนะ” พอได้ยินแบบนี้ผมก็หันมองไปยังโต๊ะของอาจารย์ จึงเห็นว่ามีกระดาษ A4 ที่เขียนด้วยลายมือหลายสิบแผ่นวางเอาไว้ คงจะใช้เวลาหลายชั่วโมงเลยล่ะกว่าจะพิมพ์เสร็จ
“ได้ครับจารย์” ผมรับคำแล้วรีบเรียงเอกสารเข้าชั้นเป็นหมวดหมู่ให้เสร็จ จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะอาจารย์กะจะหยิบกองกระดาษ A4 ไปพิมพ์ที่โน้ตบุ๊คอีกเครื่องที่อยู่ในห้อง แต่ยังไม่ทันจะได้เอาไปอาจารย์ก็ยื่นถุงพลาสติกมาตรงหน้าผมซะก่อน
“นิเอาไปกินเล่นระหว่างพิมพ์นะจะได้เบื่อ” ถึงแม้อาจารย์จะเป็นคนพูดน้อย แต่ก็อ่อนโยนและใจดีกับผมตลอด บางวันยังพาออกไปเลี้ยงข้าวเลยด้วยซ้ำ แกบอกว่าเห็นผมแล้วนึกถึงน้องชายตัวป่วนที่อยู่ที่บ้าน
“ขอบคุณครับจารย์” ผมรับถุงขนมมา
ตอนแรกผมก็กะจะเริ่มทำงาน แต่พอสบโอกาสผมเลยลองพูดเรื่องของไอ้พฤกษ์ดูสักหน่อย คือเมื่อวานที่ไปกินข้าวด้วยกันผมสัญญาเรื่องนี้กับมันเอาไว้ เพราะเริ่มรู้สึกเกรงใจที่มันเปย์ผมตั้งเยอะ แต่ผมยังไม่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนมันเลยทั้งที่เป็นเรื่องง่ายๆ
กับคนอื่นผมปอกลอกขูดรีดได้โดยไม่รู้สึกอะไร แต่ไม่รู้ทำไมกับไอ้พฤกษ์ผมถึงได้เริ่มมีความเกรงใจซะงั้น อาจเป็นเพราะตั้งแต่รู้จักกันมันเสียเงินให้ผมเป็นหมื่นๆ ซึ่งกับคนอื่นผมปอกลอกก็แค่หลักร้อย เพราะงั้นเมื่อวานที่ไปกินข้าวด้วยกันผมเลยบอกให้มันเลี้ยงเป็นวันสุดท้าย ให้มันไปทำอย่างอื่นดีกว่ามาเสียเงินเสียเวลาให้กับผม
“เออใช่จารย์ คือเพื่อนผมมันมีเรื่องอยากปรึกษาจารย์น่ะครับ จารย์พอจะมีเวลาคุยกับมันรึเปล่า” ผมรอลุ้นคำตอบอย่างมีความหวัง แต่อาจารย์ก็พังมันทิ้งอย่างไม่ใยดี
“ช่วงนี้ผมยุ่งมากนิก็รู้ อย่างวันนี้ผมต้องเร่งพิมพ์เอกสารพวกนี้ให้เสร็จด้วย” อาจารย์มองไปยังเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นครึ่งแรกของเอกสารชุดเดียวกันที่ผมต้องพิมพ์
“เดี๋ยวพวกนี้ผมทำให้ก็ได้ครับจารย์ สัญญาเลยว่าจะทำให้เสร็จภายในวันนี้ เพราะงั้นจารย์ช่วยคุยกับเพื่อนผมหน่อยน้า นะๆๆๆ” ผมส่งสายตาปิ๊งๆ ไปให้ อ้อนขนาดนี้ก็ให้มันรู้ไปสิว่าอาจารย์จะไม่ใจอ่อน
“เฮ้อออออ ก็ได้ๆ แต่นิอย่าลืมสัญญาแล้วกัน เอกสารพวกนี้ต้องพิมพ์ให้เสร็จภายในวันนี้นะ”
“รับทราบครับผม!” ผมตะเบ๊ะท่าเลียนแบบทหาร อาจารย์เลยยิ้มออกมาบางๆ พลางส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย
“แล้วเพื่อนของนิชื่ออะไร จะคุยอะไรกับผมหรอ”
“เพื่อนผมชื่อพฤกษ์ มันอยากจะคุยเกี่ยวกับเรื่องวิจัย” พอได้ยินผมพูดแบบนี้อาจารย์ก็ร้องอ๋อออกมาเลย
“ผมจำเขาได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยมาหาผมอยู่ 2 – 3 ครั้ง พึ่งรู้นะเนี่ยว่าเขาสนิทกับนิ” ผมไม่ตอบอะไรได้แต่หัวเราะแหะๆ ออกมา อย่าใช้คำว่าสนิทเลย ผมพึ่งรู้จักไอ้พฤกษ์ได้แค่ไม่กี่วันนี้เอง
“จารย์สะดวกคุยกับมันกี่โมง เดี๋ยวผมจะได้โทรไปบอกมัน”
“อืม....สัก 4 โมงเย็นก็แล้วกัน ตอนนี้ขอผมเคลียร์เอกสารอีกชุดก่อน”
“รับทราบครับผม! ขอบคุณครับจารย์!” ผมยิ้มกว้าง จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาไอ้พฤกษ์ทันที แต่พอคิดว่าตอนนี้มันอาจจะกำลังเรียนอยู่ผมเลยกดวางแล้วเปลี่ยนเป็นส่งไลน์หา ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ตอบกลับว่าหลังจากหมดคาบจะรีบมาหาที่ห้องวิจัยเลย
พอคุยไลน์กับไอ้พฤกษ์จบผมก็กลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ผ่านไปหลายชั่วโมงจนกระทั่งถึงเวลานัดก็มีสายเรียกเข้า ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นไอ้พฤกษ์นั่นแหละ
“ไอ้พฤกษ์น่าจะมาแล้ว ผมขอออกไปรับมันก่อนนะครับจารย์” ผมพูดจบก็วางงานแล้วออกไปนอกห้อง จึงพบกับไอ้พฤกษ์ที่กำลังยืนยิ้มอยู่ด้วยความเบิกบาน
“หน้าบานเป็นกระด้งเชียวนะมึง” ผมพูดยิ้มๆ
“ก็คนมันดีใจนี่หว่า ขอบใจนะซ่า มึงช่วยกูได้เยอะเลย”
“กูก็ไม่ได้ทำอะไรมาก...อ๊ะ!” แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดจนจบผมก็ต้องอุทานขึ้นมาก่อน เพราะจู่ๆ ไอ้พฤกษ์มันก็ก้มตัวลงมากอดผมไว้ แถมยังกอดซะแน่นจนผมแทบจะจมลงไปกับแผ่นอกของมันอยู่แล้ว
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจของผมมันเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ นี่ผมเป็นอะไรไป ก็แค่กอดกับเพื่อนผู้ชายทำไมหัวใจต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยวะ
“ขอบคุณอีกครั้งนะซ่า” ตอนนี้ไอ้พฤกษ์มันคงจะดีใจมาก แต่ผมนี่สิดันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ เลยบังคับให้ตัวเองเลิกฟุ้งซ่านสักที
“มึงไม่ต้องขอบคุณกูขนาดนั้นก็ได้ กูไม่ได้เป็นคนดีมีน้ำใจช่วยมึงฟรีๆ สักหน่อย” ผมกอดตอบไอ้พฤกษ์แล้วตบที่ไหล่ของมันเบาๆ 2 – 3 ที ก่อนที่จะดันแผ่นอกกว้างช้าๆ เพื่อขืนตัวออกมา
“เข้าไปในห้องกันเถอะอาจารย์กำลังรออยู่” พอผมพูดแบบนี้ไอ้พฤกษ์ก็พยักหน้าลง ผมเลยเปิดประตูแล้วเดินนำมันเข้าไปข้างใน
“สวัสดีครับอาจารย์ ขอรบกวนด้วยนะครับ” ไอ้พฤกษ์ยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทาย สีหน้าของมันตอนนี้ดูแฮปปี้มากๆ ก็อย่างว่าล่ะนะจะได้คุยกับอาจารย์เรื่องวิจัยที่รอคอยมาตั้งนานสักที
“มานั่งคุยกันตรงนี้ดีกว่า” อาจารย์ชวนไอ้พฤกษ์ไปนั่งที่โซฟา ผมที่เห็นว่าไปนั่งด้วยก็คุยไม่รู้เรื่องเลยปลีกตัวไปพิมพ์เอกสารต่อ เพราะต้องรีบทำให้เสร็จภายในวันนี้
ผ่านไปไม่นานอาจารย์กับไอ้พฤกษ์ก็คุยกันอย่างออกรส อาจเป็นเพราะเก่งเหมือนกัน พูดภาษาเดียวกันเลยคุยกันถูกคอก็ได้ล่ะมั้ง มิหนำซ้ำอาจารย์ยังไปค้นเอกสารกับตำราอีกหลายเล่มมาให้มันด้วยอีกต่างหาก บางทีความรู้ที่มีคงจะให้ไปวันนี้ทั้งหมดเลยมั้ง มันจะได้ไม่ต้องมาอีกแล้วก็ลุยทำวิจัยของตัวเองไปยาวๆ
แต่เอ๊ะ ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี จากนี้ไปผมกับไอ้พฤกษ์ก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องเจอกันแล้วไม่ใช่หรอ?
พอคิดได้แบบนี้จู่ๆ ผมก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ร่างกายไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ส่วนหัวใจมันก็เป็นหวิวๆ ยังไงก็ไม่รู้
ทำไมผมถึงได้รู้สึกแบบนี้?
นี่ผม...เป็นอะไรกันแน่?
2BC
สวัสดีค่ะทุกคน Avert หัวใจซ่อนรัก ตอนที่ 6 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า อ่านจบตอนนี้แล้วทุกคนรู้สึกยังไงกันบ้าง จะหน่วง จะฟิน จะซึ้ง จะฮา หรือจะรู้สึกแบบไหน แต่ถ้าทุกคนชอบและรออ่านตอนต่อไปเค้าก็จะดีใจมากๆเลยค่า
นิยายเรื่องนี้ก็ดำเนินมาจนถึงครึ่งทางแล้วน้า ซึ่งก็มาไกลพอสมควรแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแม้แต่สักเศษเสี้ยว NC ก็ยังไม่มีโผล่มาเลย จนแอบได้ยินเสียงบ่น (แกมบังคับและขอร้อง (รึเปล่า)
) ว่าอยากอ่าน NC ของพฤกษ์ซ่ากันแล้ว แหมๆๆ
อยากเห็นลีลาของพฤกษ์กันสินะ แต่ว่าอดใจรอกันนิดนึงเนอะ ชายพฤกษ์ไม่ได้ไวไฟร้อนแรงแบบพี่ธาร ขนาดพี่ภูยังต้องรอตั้งนานกว่าจะมีเลย
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้คู่พฤกษ์ซ่าด้วยน้า ก่อนจะลุ้นให้มี NC มาลุ้นให้สองคนนี้ตกลงปลงใจกันก่อน คนนึงก็พูดอ้อมๆ อีกคนก็พยายามไม่คิดมาก แล้วเมื่อไหร่พวกแกจะได้ลงเอยกานนนนนนน (
เสียงบ่นของเหล่านักอ่านทั้งหลาย 5555555) แล้วเจอกันในอีกสัก 3 วันนะคะที่ร้ากกกกก
ปล.เอารูปปกตัวเต็มของพฤกษ์ซ่ามาให้ชมกันค่า หวังว่าคงจะชอบกันน้า คือพฤกษ์หล่อ (น่า) ลากมาก ส่วนซ่าก็น่าร้ากมองเงินตาเป็นประกายเชียว
(16 ก.พ. 61)