ความเสี่ยงที่ 24
8.05วันอังคาร
“ให้ไวเลย เอกสารครบมั้ยเนี่ย” ผมยืนกอดอกพิงรถในลานจอดคณะดูเด็กปีหนึ่งในชุดนักศึกษาเต็มยศรวบเอกสารกับหนังสืออ้างอิงที่ผมแนะนำไว้จนเต็มอ้อมแขน
“ครบแล้วครับๆ” หวานนับจำนวนกระดาษแล้วปิดประตู “ขอบคุณนะครับพี่วิน ให้ยืมชุดด้วย” มันยิ้มตาหยี
“มีเวลาก็ไปเปลี่ยนกางเกงซะ… ทำไมมันเต่อได้ขนาดนี้วะ” ผมบ่นปอดแปดพลางมองคนตรงหน้า ช่องว่างระหว่างขากางเกงกับข้อเท้ามันนี่แม่งไม่ให้เกียรติส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นของผมเอาซะเลย “ไปเตรียมตัวได้แล้ว เร็วเลย พรีเซนต์เก้าโมงใช่มั้ย อย่าลืมกินข้าวด้วย”
“ครับผม” หวานพูดแล้วเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “ว่าแต่…”
“ขอกำลังใจหน่อยสิครับ”
“อะไร ไม่ต้องเลย” ผมย่นจมูกใส่คนเด็กกว่า “นี่ทั้งช่วยตัดโม รีวิวพรีเซนต์ ให้ยืมชุด จะเอาอะไรอีกฮึ”
“ว้าา… คนแถวนี้ใจร้ายจังเลย… ขอนิดขอหน่อยก็ไม่ได้” หวานแกล้งบ่นอุบอิบ
“น้าาา… นะครับ” มันอ้อนอย่างตั้งใจ
“ยุ่งยาก” ผมถอนหายใจพรืด ก่อนจะเอื้อมมือโยกหัวคนตรงหน้าไปทางซ้ายทีขวาที
“ช่วยเยอะขนาดนี้แล้ว... ถ้าไม่ได้เอมาล่ะน่าดู”
ได้ยินคำพูดผมไปมันก็ยิ้มกว้างอย่างน่าหมั่นไส้ สดใสเชียวนะเอ็ง
หวานจับมือผมออกจากหัวตัวเองแล้วกุมไว้หลวมๆ “ขอบคุณนะครับ… เดี๋ยวพรีเซนต์เสร็จจะโทรไปรายงานผล”
“แล้วเย็นนี้ไปทานข้าวกันนะ”
“ดูก่อน” ผมว่าแล้วมองไปทางอื่น ก่อนจะต้องพูดขึ้นเสียงเขียว
“มือนี่ก็ปล่อยได้แล้ว จะไปทำงาน”
_ _ _ _
8.56“หา!?” ผมพูดเสียงดังอยู่หน้าเคาน์เตอร์ออฟฟิศ “ของใครนะครับพี่จอย”
“ของน้องวินน่ะแหละค่ะ แมสเซนเจอร์มาส่งตั้งแต่แปดโมงครึ่งแล้ว”
ผมมองช่อดอกไม้สีขาวที่พี่จอยยื่นให้ในมืออย่างตกตะลึง
ไอ้ชิบหาย อะไรวะเนี่ย
ผมพลิกซ้ายพลิกขวาดูการ์ดใบกระจิ๋วที่แนบมาด้วย
T.R.ลายมือหวัดๆ ด้านหลังเขียนไว้ว่าอย่างนั้น
“แหม… สาวที่ไหนกันนะ กล้าส่งดอกไม้ให้หนุ่มน้อยบริษัทเรา” พี่จอยพูดพร้อมนั่งเท้าคางมองยิ้มๆ
เฮอะ…
จะใครซะอีกล่ะครับ คุณตะวัน รัชยานนท์คนดังไงเล่า
ผมดึงกระดาษแผ่นเล็กออกก่อนจะยื่นช่อดอกไม้ให้คนตรงหน้า
“พี่จอยครับ ผมให้”
“เอ๋?”
“ครับ พี่เอาไปเถอะ” ผมพยักหน้ายืนยันตามที่พูด
อีกฝ่ายรับช่อดอกไม้ไปแบบงงๆ แต่ก็ไม่กล้าถามออกมา
ผมเลยได้จังหวะขอตัวไปนั่งทำงานที่โต๊ะด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้แล้วรึยังไง
จู่ๆ ก็มาดูถูกว่าไอ้อาร์ตเป็นเด็กฝึกงานดูไม่โปร ได้ฟังพรีเซนต์หรือก็เปล่า ตัวเองเป็นคนเทประชุมชัดๆ แถมไอ้ข้ออ้างเรื่องงานมีปัญหาแล้วจะให้ผมกลับไปคุมนี่มันน่าโมโหซะจริง
เขาเห็นผมโง่มากเลยใช่มั้ยวะ
อุตส่าห์มองว่าเป็นคนดี เป็นลูกค้าที่โอเค
แต่มาหาข้ออ้างแบบนี้มันห่วยแตกเกินไปหน่อย
เจอกันแต่ในงานก็แล้วกันนะครับคนแบบนี้
..
11.10“เมื่อวานเป็นยังไงบ้างน่ะวิน” พี่ฝ้ายถามหลังจากผมเดินเข้ามาส่งรายงานการประชุม ทำเอาผมทำหน้าเหวอไปสองวินาที เรื่องมันเยอะเหลือเกินครับเมื่อวาน เป็นยังไงคืออะไรของเรื่องไหนนะครับ
“หายแล้วใช่มั้ย” อีกฝ่ายถามย้ำ
“เอ่อ… ก็โอเคแล้วครับพี่ ช่วงอาทิตย์ที่แล้วก็นอนน้อยด้วย น็อคเลย” ผมตอบอ้อมแอ้ม
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รักษาสุขภาพด้วย อย่าเครียดมากนัก”
“ครับ”
“ว่าแต่… งานโปรเจคใหม่ ที่รีเฟอร์มาจากฝ่ายอาคารเขียวนี่… เขาส่งผังมาให้แล้วใช่มั้ย”
“ส่งมาเมื่อวานแล้วครับ ช่วงเช้านี้ผมเอาลงเอ็กเซลไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ลองรันตัวเลข ขอเวลาสักวัน”
“อืม ถ้าพี่จะให้วินเป็น PM โครงการนี้วินจะโอเคมั้ย งานจะโหลดรึเปล่าน่ะ งานของคุณตะวันโอนให้ฝ่าย Owner Representative กับ Construction Management ของคุณกิตหมดแล้วใช่มั้ย?”
“สบายมากครับ” ผมตอบพลางคิดเร็วๆ ถึงงานที่กำลังถืออยู่
“ที่ต้องยังทำอยู่ก็น่าจะแค่ประสานงานกับคอนเฟิร์มพวกพื้นที่ต่างๆ ให้ไม่หลุดเท่านั้นเอง ไม่น่าจะกินเวลาเยอะ ถ้าให้เริ่มโปรเจคใหม่เลยก็ได้…” พูดจนจบแล้วก็ต้องทำตาโต
“เอ๊ะ.. เฮ้ย เดี๋ยวนะ…ให้ผมเป็น PM อีกแล้วเหรอครับพี่ฝ้ายยยยย” ผมร้องโอดโอย
“เอ้า ใช่สิ ทำมาแล้วตั้งโปรเจคนึง กลัวอะไรล่ะยะ”
“ก็….” ไม่ได้กลัวอ่ะ ขยาดกับเจ้าของโครงการมากกว่า
“ประเด็นคือยังไม่จบโปรเจคด้วยซ้ำ พี่จะเอาอะไรมามั่นใจให้ผมรับเป็น Project Manager ต่อล่ะ งานของ AA นี่ผมทำเป็นยังไงบ้างยังไม่รู้ผลเลย พี่ลองประเมินก่อนสิครับ เอาตรงๆ”
“เฮ้ย ถ้าทำห่วยเจ้ซัดไปนานแล้วย่ะ” พี่ฝ้ายร้อง “ต้องโอเคสิ ทุ่มเทให้กับงานดี ตามติด ถึงจะมีหลุดๆ รายละเอียดช่วงหลังไปนิดหน่อยแต่ถือว่าทำได้ดีมากสำหรับงานแรก”
“โอย... ค่อยยังชั่ว” ผมถอนหายใจโล่งอก นึกว่าจะตกประเมินซะแล้ว
“งั้นถ้าพี่ฝ้ายว่าผมไหว ผมก็ไหวครับโปรเจคใหม่เนี่ย เอาจริงๆ ตอนนี้โครงการของคุณตะวันนี่ก็เริ่มอยู่ตัวละ งานเป็นแพทเทิร์นเดิมๆ พอจะปล่อยมือได้ละครับ”
“ดีมาก งั้นพี่ขอรันตัวเลขดูภายในพรุ่งนี้เที่ยงสักสอง option ไหวป่ะ Case Study ด้วยสักสามที่”
“นั่น! ทำไมรีบล่ะครับ ผมเพิ่งได้เมลล์เมื่อวานเองนะ บรีฟก็ยังไม่มีอ้ะ” ผมตีหน้ายุ่งงอแงไปก่อน ทำเอาอีกฝั่งหัวเราะคิกคัก
“รู้หรอกย่ะ” พี่ฝ้ายบอก “เคสยังไม่ต้อง ขอดูตัวเลขอย่างเดียว พรุ่งนี้เย็นๆ ก็ได้”
“เฮ่ออ ตกใจหมดเลยอ่ะพี่ อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
“งั้นผมรีบไปทำงานก่อนละครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีส่งเจ้านายคนสวย” ว่าแล้วก็หยอดแถมให้หนึ่งที ทำเอาพี่ฝ้ายยิ้มเขินๆ
“ปากหวาน! บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าอ้อย เจ้เอาจริงแล้วเธอจะหนาว!”
_ _ _ _
14.50 (เดี๋ยวผมไปรับที่ออฟฟิศพี่ไงครับ)
“ไม่เอา ไม่ต้องเลย”
(อ้าว) หวานร้องเสียงลั่นผ่านโทรศัพท์
(ไหนจะทานข้าวเย็นกันไงครับ นี่ผมได้คำชมมาเต็มเลยนะ ต้องเลี้ยงข้าวที่ปรึกษาสิ)
“เมื่อเช้าบอกไปว่าดูก่อน… ยังไม่ได้รับปากว่าจะไปสักหน่อย” ผมเอาไหล่หนีบโทรศัพท์ไว้แล้วพิมพ์งานต๊อกแต๊กไปด้วย
“นี่งานก็เต็มมือไปหมด ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่”
(...)
ไม่รู้เพราะอะไรหน้าหงอยๆ ของคนเด็กกว่าก็ลอยขึ้นมาให้เห็นในความเงียบซะอย่างนั้น
ผมลอบถอนหายใจ ช่วยไม่ได้แฮะ…
“เออ… เดี๋ยวเย็นๆ จะบอกอีกทีแล้วกัน”
ผมบอกก่อนจะตัดสายไปหลังฟังคำตอบของอีกฝ่าย
ขอมองบนหน่อย… ก็ไอ้เด็กนี่ชอบดีใจจนโอเวอร์ทุกทีสิน่า
หวังว่าวันนี้จะได้เลิกงานตามเวลาละกันนะ
…
16.23ผมพลิกดูการแจ้งเตือนในโทรศัพท์… แล้วก็ปวดหัวจี๊ดเลยแฮะ
ให้ตายเถอะ เคลียร์ไปหลายรอบ แต่ตัวเลขข้อความในไลน์ของคนที่ไม่อยากเปิดอ่านก็ยังโผล่มาเรื่อยๆ อยู่ดี
Tawan R. : วินครับ
Tawan R. : วิน
Tawan R. : พี่อยากขอโอกาสอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น
Tawan R. : วินครับ ตอบพี่หน่อยนะครับ
Tawan R. : วินกำลังเข้าใจพี่ผิดนะครับงั้นเหรอ ผมว่าผมเข้าใจทุกอย่างนะ ไม่เห็นจะมีเรื่องอะไรน่าคุยต่อเลย
แต่ถ้าไม่ตอบ ตัวเลขแจ้งเตือนพวกนี้คงไม่มีทางลดลงได้แน่
Wynn_Tect : ไม่ทราบคุณตะวันอยากให้แก้ไขงานส่วนไหนเหรอครับ เดี๋ยวผมจะประสานงานให้
Tawan R. : วินครับ ฟังพี่ก่อนนะครับผมถอนหายใจก่อนจะพิมพ์กลับไปเร็วๆ
Wynn_Tect : ถ้าคุณตะวันไม่มีรายละเอียดตรงไหนต้องแก้ไขงั้นผมขออนุญาตทำงานก่อนนะครับ พอดีผมติดประชุมยาว หากมีอะไรให้แก้ไขเพิ่มเติมรบกวนส่งเป็นเมล์มาได้เลยนะครับ ทางผมจะรับเรื่องแล้วประสานงานกับฝ่าย Owner Representative ให้ครับหลังข้อความขึ้นคำว่า Read ก็ผ่านไปหลายอึดใจ กว่าจะมีข้อความตอบกลับจากอีกฝ่าย
Tawan R. : โอเคครับ
Tawan R. : ถ้าวินยังไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ
Tawan R. : ยังไงก็หวังว่าวินจะชอบดอกไม้ที่พี่ส่งไปนะครับผมกดปิดหน้าจอแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด
ให้ตาย ทำไมต้องมาเจอคนประเภทนี้ด้วยวะเนี่ย
_ _ _ _
19.45 “ก็ดี? ก็ดีเนี่ยนะ??”
ผมถามขณะหยิบไก่ทอดชิ้นหนึ่งวางลงในจานตัวเอง
หลังจากเด็กหวานโทรมาถามเวลาเลิกงาน เจ้าตัวก็สรุปเอาเองว่าจะไปรอผมที่คอนโดแล้วค่อยว่ากัน
กลับมาก็เจอร่างสูงมานั่งยิ้มเผล่รออยู่ในล็อบบี้ด้านล่างพร้อมอาหารที่ซื้อมาซะแล้ว
ทุกอย่างเลยมาจบลงที่โต๊ะทานข้าวกับเก้าอี้ตัวเดิมๆ ในห้องผมนี่แหละ
“อะไรวะ มันจะแค่ ก็ดี ได้ยังไง” ผมโวยใส่คนหน้ามึนที่ก้มลงไปเล่นหงุงหงิงกับจิ๋วที่อยู่บนตักหลังจากตอบเรื่องพรีเซนต์วันนี้ไปแบบแกนๆ ทำเอาผมหงุดหงิด ไม่สนแล้วไก่ทอดบอนชอนอะไรนี่ “บอกมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย”
เด็กหวานถอนหายใจแบบเซ็งๆ ก่อนจะตอบเสียงเบา “อาจารย์เก่งบอกว่าสเปซสวย แล้วก็ไปชมแต่ส่วนที่พี่ช่วยคิดอ่ะ ดีเทลตรง Facade ด้านหน้างี้ narrative ที่ทำไว้งี้… แล้วก็มัวแต่ไปสนใจโมเดลขยายตรงห้องนิทรรศการ… แล้วก็โดนเรื่องทรีดีซะเละเลย”
ผมหัวเราะพรูดทำให้อีกฝ่ายหน้างอเข้าไปอีก
“ไม่เห็นขำเลยครับ”
“เพราะอย่างนั้นเลยมานั่งหน้าเป็นตูดแบบนี้อ่ะเหรอ” ผมพูดล้อๆ
“ก็ส่วนที่มันดี… มาจากพี่หมดเลยนี่ครับ เหมือนไม่ได้ทำงานเองเลย” หวานทำหน้าหงอย “ส่วนทรีดีที่ทำเองก็แย่ไปเลย”
“บ้าเหรอ” ผมเอานิ้วเคาะหน้าผากมันไปหนึ่งที “ช่วยคิดให้แค่นิดเดียวเท่านั้นล่ะ ไม่ได้แตะคอนเซปต์หลักกับสเปซเลยสักนิด”
“แต่ว่า…” คนเด็กกว่าตั้งท่าจะเถียง
“นี่…” ผมแทรกขึ้น “ที่เอางานมาปรึกษาน่ะ… อยากให้มันดีขึ้นไม่ใช่รึไง” ผมถาม
“ที่ทำก็แค่ให้ความคิดเห็นไปเท่านั้นแหละ คนที่ตัดสินใจปรับปรุงงานให้มันออกมาเป็นแบบนี้ก็ตัวเองทั้งนั้น โมเดลพวกนั้นก็ตัดตามแบบที่เขียนไว้แล้ว ส่วนเรื่องทรีดี คราวนี้รู้ว่าอ่อน คราวหน้าก็ปรับปรุง” ผมว่า “อยู่ที่ตัวมึงทั้งนั้นแหละ ทุกอย่างเลย”
“ก็จริงๆ แล้ว… ผมอยากทำด้วยตัวเองทั้งหมดนี่นา” อีกฝ่ายยังคงยืนยันพลางเกาคอแมวที่อยู่บนตัก
“การมีคนมาช่วยทำงานให้เสร็จน่ะ มันไม่ได้แปลว่าห่วยสักหน่อยนี่” ผมอธิบาย “เขามาช่วยคือเขามีน้ำใจอยากจะช่วยให้งานเสร็จเร็ว” ผมว่าขึ้นพร้อมกับจิ๋วที่ร้องเหมียวขึ้นมาอย่างแสนรู้ “เห็นมั้ย จิ๋วยังเห็นด้วยเลย”
เมื่อเห็นเด็กโข่งหน้าบึ้ง เลยต้องอธิบายต่อ
“ข้อแรก… จำไว้เลยนะว่าถึงงานจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเกินเวลาที่กำหนดล่ะก็สูญเปล่า เพราะอย่างนั้นนี่คือบทเรียนของการวางแผนงานบริหารเวลาและบริมาณงานให้พอดีกัน ข้อสอง คนที่มาช่วยเป็นแค่ลูกมือ ไม่ได้มีหน้าที่มาคิดแทนหรือก้าวก่ายแบบของเรา เขาแค่มาช่วยจบงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เจ้าของงานต่างหากที่ต้อง assign งานให้เป็น นี่คือแบบฝึกหัดสำหรับการสื่อสารและบริหารจัดการคนในทีม เข้าใจมั้ย...”
“อา... ครับ” หวานตอบ
“แล้วทำไมยังทำหน้าแบบนั้น”
“ก็มันไม่เท่นี่…” มันก้มหน้าพูดอุบอิบ “ทำเสร็จด้วยตัวเองมันภูมิใจกว่า” ทำเอาผมต้องถอนหายใจพรืด
“ทำเสร็จแล้วนอนตายไปสามวันไม่ได้ทำอย่างอื่นแล้วมันจะเท่มั้ย” ผมถาม
“อีกอย่าง...มีคนมาช่วยแล้วไล่กลับ งานไม่เสร็จไม่มีส่ง นอกจากได้เอฟแล้วยังดูน่าสมน้ำหน้ามากกว่าเดิมอีก” อยากโบกหัวคนตรงหน้าซักที
“ยอมแล้วคร้าบ ยอมแล้วว” พอหมดหนทางจะแย้ง เด็กหวานก็หดคอยกมือแมวจิ๋วขึ้นสองข้างทำท่ายอมจำนนต่อคำพูด ทำเอาไอ้ตัวเล็กเงยหน้ามองร้องอืออาอย่างขัดใจ
“พอเลย จิ๋วเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย” ผมเอามือเคาะหน้าผากมันเบาๆ อีกที แล้วลุกขึ้นเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปรับเอาจิ๋วมาอุ้มไว้แทน
“ว่าแต่….” ผมนั่งลูบหัวแมวไปด้วย ก่อนจะตัดสินใจถาม
“คือ… แล้วไหงยอมให้ฟ้าไปช่วยได้ล่ะ” อย่างว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ คนมันสงสัยจริงๆ นี่นา….
“ก็… พี่ฟ้าเข้ามาซื้อกระดาษที่คณะตอนบ่ายสามเลยแวะมาทักที่สตู ทีแรกว่าจะเอาขนมมาให้ คงเห็นในกรุ๊ปสายรหัสน่ะครับ… แล้วก็โวยใหญ่เลยตอนผมบอกว่าเพิ่งส่งปริ้นท์แบบ โมเดลหลักก็ยังเพิ่งเริ่ม แถมไม่ให้คนช่วยอีก”
ผมหัวเราะเบาๆ “เจ้าแม่เลยปรี๊ดแตกสินะ”
อีกฝ่ายพยักหน้าหงึก “พี่ฟ้าบอกว่ามีงานต่อตั้งแต่แรกแหละครับ แต่ก็ยังลงมาข่วย ตอนสามทุ่มกว่าก็ลนลานแล้วว่าไม่ทันแน่ๆ สักพักก็หายออกไป ผมเข้าใจว่าจะไปเรียกคนอื่นๆ ในสายมาช่วยตัดโม ไม่รู้เลยว่าจะโทรหาพี่วิน พอเห็นพี่วิ่งมานี่ผมงงไปเลย”
“อ๊ะ แต่ผมก็ดีใจมากๆ เลยนะครับที่พี่มา” หวานรีบบอก
“ก็ฟ้าโทรมา ร้องไห้ด้วย กูนี่โคตรตกใจ” ผมว่าแล้วก้มลงปล่อยจิ๋วลงกับพื้นห้อง “นึกว่าเป็นอะไรไปแล้ว แม่งเอ้ย ตัดโมไม่ทันเนี่ยนะ… ไม่เห็นจ--”
พอเงยหน้าก็เจอเด็กหวานยิ้มกว้างรออยู่แล้ว
ชิบหาย...“เป็นห่วงผมมากเลยเหรอครับ” มันทำตาวิบวับ
“เพ้อเจ้อ…” ใช้เสียงเข้มนำไปก่อนแบบหวังว่าจะเห็นเด็กหน้าหงอย แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ
“แล้วที่แก้มแดงขนาดนี้ เขินหรือร้อนครับเนี่ย”
ไม่พูดเปล่า อีกฝ่ายยังเอื้อมมือมาทำท่าจะจับแก้มผมเข้าจริงๆ
ทำเอาต้องขยับหลบแล้วมองตาเขียว
ไอ้เด็กเลว…
“ร้อน! แอร์มันไม่ค่อยดีไง จะกินมั้ยข้าวเนี่ย! รีบๆ กิน รีบๆ กลับ ง่วงแล้ว!!”
“อ้าว นอนที่นี่ไม่ได้เหรอครับ” หวานร้อง
“ไม่ให้นอนว้อย กลับหอตัวเองสิ จะมาอยู่คอนโดกูทำไม” ผมโวยวาย
“ทำไมใจร้ายจังครับเนี่ย” มันตีหน้าเศร้า “เมื่อวานยังชวนผมขึ้นมาน--”
“พอเลย!! เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวานสิวะ” ผมร้องเสียงดัง “วันนี้รีบกินแล้วก็รีบกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นด้วย!”
ไอ้ตี๋คนนี้จะไม่หลงกลสายตาลูกหมาของมันอีกเป็นอันขาดครับ บอกเลย
“ก็อ้อนไปเผื่อว่าจะโชคดี มีคนใจอ่อนยอมให้นอนด้วยนี่นา” หวานยกศอกขึ้นเท้าคางกับโต๊ะ “เหมือนที่โชคดีมีคนแอบมาทำแผลให้ตอนหลับอะไรแบบนั้น”
ถึงกับต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่ ส้นตีนละมึงเนี่ย!
“ไม่ได้เรียกว่าใจอ่อนโว้ย! รู้สึกสมเพชน่ะเข้าใจมั้ย! กลัวแผลมันจะติดเชื้อจนต้องตัดนิ้วทิ้งน่ะ”
นอกจากจะไม่สะดุ้งสะเทือนแล้ว เด็กหวานยังนั่งมองหน้าผมแล้วยิ้มจนตาหยี
“รู้มั้ย.. พี่วินทำอย่างนี้น่ะ…ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่เลย”
“ห้ะ”
“รักแล้วนะครับ”
“แล้วเรื่องนี้ใจอ่อนบ้างรึยัง”
โอ๊ยยยยยยย ไอ้เด็กหน้าด้านนนนนน
_ _ _ _
18.13
วันพุธหงุดหงิด หงุดหงิดเป็นบ้า
ไม่ใช่เพราะงานหรอกนะครับ วันนี้ทำทุกอย่างเสร็จตามที่คิดไว้ทุกอย่าง ได้กลับบ้านตรงเวลาอีกต่างหาก
จะได้กลับไปเล่นกับแมวจิ๋ว นอนดูซีรี่ย์สักสองตอนคลายเครียดอะไรแบบนั้น
ก็ดูเหมือนจะดี
แต่สาเหตุหลักน่ะเหรอครับ…
นั่นไง
ผมปรายตาไปที่อดีตดอกไม้ช่อสวยของผมที่ตอนนี้อยู่ในแจกันเคาน์เตอร์พี่จอย ระหว่างเดินออกจากออฟฟิศ
นี่ช่อที่สองแล้วนะครับ… สำหรับอาทิตย์นี้น่ะ
ทำไมคนเรามันเข้าใจอะไรยากจังวะ อ่านภาษาไทยไม่เข้าใจรึยังไง
ผมไลน์ไปบอกให้หยุดส่งได้แล้ว แต่ที่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนยันจะส่งให้ จนกว่าผมจะยอมไปคุย
‘ปรับความเข้าใจ‘ กัน
เรื่องอะไรล่ะครับ...
Rrrr…. อาร์ต?
เอ๊ะ โทรมาตอนใกล้เลิกงานแบบนี้น่ะเหรอ...
“ว่า?”
(ไอ้ตี๋เพื่อนยากกกกกก เย็นนี้ว่างมั้ยจ๊ะ)
“โว้ยย เบาหน่อย” ผมรีบเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู “เสียงหวานขนาดนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ”
(โอ๊ะ โอ๊ะ ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับเพื่อน) อาร์ตพูดเสียงดัง
“หรือไม่จริง ไหนมีอะไรว่ามาให้ไว”
(จะชวนไปแดกเหล้าครับ)
“นั่นไง ไม่เอา ไม่แดกแล้ว” ผมรีบพูด ซื้อหวยไม่ถูกงี้บ้างวะ
(กูว่าละ ไม่ต้องเลย มึงเดินลงมาจากตึกให้ไวเลย)
“หา…”
อย่าบอกนะ… ว่า….
(ไม่ต้องหา พวกกูจอดรถรออยู่ข้างตึกเนี่ย)
ไอ้ห่าาาาพวกนี้นี่แม่มมมม
“เชี่ย พวกมึงต้องเลิกทำแบบนี้ได้แล้ววว ไอ้ชิบหายย”
(มาให้ไวนะจ๊ะเพื่อน กูกับพีทรออยู่)
_ _ _ _
(มีต่อ)