ความเสี่ยงที่ 23
“อืออ…” เสียงคนคุยกันหึ่งๆ ที่ลอยมาเข้าหูทำให้ผมที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะต้องลืมตาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ผมกระพริบตาปริบๆ
“เห้ย...” ผมอุทานเบาๆ เมื่อสิ่งแรกที่สายตาโฟกัสได้กลับเป็นการสบตากับไอ้เด็กตัวโตที่กำลังเอาหน้าแนบโต๊ะแล้วส่งยิ้มกว้างมาให้ในระยะประชิด จะสิงกูเรอะไอ้เด็กนี่!
“ว้า…” มันร้องออกมาเบาๆ เมื่อผมยืดตัวขึ้นพิงพนักเก้าอี้แล้วยกมือขยี้หัวตัวเองสองสามที “อรุณสวัสดิ์ครับ”
ได้ยินคำทักทายจากอีกฝ่ายแล้วผมก็ต้องขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง “อรุณสวัสดิ์อะไร นี่กี่โมงแล้ว มึงดูงานรึยังเนี่ย กูซัดแพทเทิร์นส่วน Hardscape ไปเองนะ แบบมึงไม่ได้กำหนดมา ตรงทางเดินมึงลืมใส่สี ดีเทลก็ไม่มี ส่วนตรงบันไดกูแก้ให้แล้ว มึงติดผิดข้างเนี่ย ไม่งั้นเสร็จไปนานละ รีบๆ ไปดูซิว่ายังขาดอะไรอีกไหม”
“โห... ตื่นมาก็เป็นชุดเลยนะครับ” หวานพูด “หนึ่ง ตอนนี้แปดโมงสิบห้านาที สอง ผมดูงานแล้ว สามและสี่ ขอบคุณและขอโทษครับ ห้า ตรวจแล้วไม่มีครับ เรียบร้อยหมดทุกอย่าง” มันยิ้มระรื่นแล้วตอบผมแบบเรียงลำดับ
“เพิ่มข้อที่หกให้ ผมส่งงานแล้ว เพราะงั้น ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกไปหาอะไรกินกันครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
มันยิ้มกว้างแล้วยื่นผ้าขนหนูสีขาวพร้อมโฟมล้างหน้า ยาสีฟัน และแปรงสีฟันด้ามใหม่เอี่ยมมาให้
ผมก้มมองของในมือ “เอ่อ...ขอบใจ…”
“ขอบคุณสำหรับนี่ด้วยนะครับ…” หวานยื่นมือซ้ายของมันออกมาจับปอยผมข้างแก้มของผมขึ้นไปทัดหูให้ ผมแอบย่นคอด้วยความจั๊กจี้จากสัมผัสสากๆ ของพลาสเตอร์ยาจากนิ้วชี้ของเจ้าตัวที่จงใจไล้ไปตามผิวหน้าอย่างอ้อยอิ่ง
จนหัวใจเต้นแรงขึ้นมานั่นแหละ ผมถึงได้ขยับตัวหนีมืออุ่นๆ ของคนตรงข้าม
“เอ่อ… กูไปเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า”
…
…
8.46“อ่า ครับ ขอโทษทีครับพี่ ไปไม่ไหวจริงๆ” ผมยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมทางเดินหน้าสตูดิโอก่อนจะกดตัดสายแล้วถอนหายใจยืดยาว
รู้สึกผิด(ไม่)นิดหน่อยที่ต้องโทรไปลาแบบฉิวเฉียดด้วยอาการป่วยปลอมๆ แบบนี้
แต่เอาเข้าจริง ให้ไปทำงานก็คงจะไม่ไหวหรอกครับ เพิ่งนอนไปตอนเกือบจะตีห้านี่เอง นั่งออฟฟิศก็หลับในเอาเปล่าๆ
ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีประชุมด้วย ขอสักวันละกันนะครับพี่ฝ้าย พรุ่งนี้กระผมจะไปทำงานชดใช้กรรมอย่างสาสม
“พี่วิน ทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะครับ ผมหาตั้งนาน รีบไปกันเร็วเข้า” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง พอหันกลับไปก็เจอร่างสูงๆ ของหวานยืนสะพายเป้ ในมือถือกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถของผมอยู่
“หา?”
“เร็วสิครับ” ว่าแล้วก็จับข้อมือผมหมับแล้วออกแรงดึงให้ออกเดิน
“เดี๋ยวก็ไม่ทันเข้างานกันพอดี นี่ในเป้มีขนมปังกับลิโพ กินรองท้องในรถเอาละกันนะครับ”
ผมเบ้หน้า “ลิโพเนี่ยนะ...”
“ในสตูมันไม่มีนมนี่ครับ” หวานยังคงตั้งหน้าตั้งตาลากผมไปที่ลานจอดรถ
“ไม่ต้องรีบน่า…” ผมว่าแล้วดึงมือไว้บ้าง ทำเอาคนเด็กกว่าหยุดยืนแล้วหันหน้ากลับมามองงงๆ
“ไม่รีบเหรอครับ”
ผมยกมือขึ้นเกาคอก่อนจะตอบเบาๆ “เอ่อ… วันนี้ไม่ไป”
“ยังไงนะ”
“โทรไปลางานแล้ว”
“หา…ลางาน” มันร้องขึ้น “พี่ไม่สบายเหรอครับ” หวานปล่อยข้อมือแล้วทำท่าจะเข้ามาจับหน้าผากทำเอาผมสะดุ้งถอยหลัง
“นอนไปตอนตีห้านี่สมองปลอดโปร่งมากเลย พร้อมไปทำงานมากเลยเนอะ” ผมประชด “หิวข้าวด้วย หิวนอนด้วยเนี่ย”
“เพราะมาช่วยงานผมเหรอครับ…” เอ้า หูลู่หางตกไปซะแล้วไอ้นี่ “ผมขอโท--”
“หยุดก็ดี” ผมพูดแทรกขึ้นกลางปล้อง “กำลังอยากพักบ้างเหมือนกัน ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยใช้วันลาเลย”
“เอ่อ..”
“งอแงอีกกูจะด่าแล้วนะ” ผมส่งสายตาคาดโทษ “ว่างแล้วไม่ดีรึไง”
“...”
“จะไปกินข้าวก็ตามมาเร็วๆ หิว...”
ว่าแล้วผมก็ก้าวฉับๆ ออกไปแบบไม่รอฟังคำตอบ
ก็พอจะเดาได้อยู่แล้วนี่ครับว่ามันจะตอบยังไง…
“ครับ!”
ก็เล่นยิ้มกว้างซะขนาดนั้นนี่นา
_ _ _ _
9.05ไอ้เด็กที่นั่งเบาะข้างๆ ผมเพี้ยนไปแล้วครับ นี่แม่งยิ้มบ้ายิ้มบอไม่หยุดตั้งแต่ออกมาจากคณะ
เดินก็ยิ้ม คนทักว่าส่งงานรึยังก็ยิ้ม เจอรุ่นพี่มันก็ยิ้ม บอกให้ขึ้นรถก็ยิ้ม เจอพี่ยามก็ยิ้ม
ยิ้มเรี่ยยิ้มราดเหลือเกินนะมึงน่ะ
ไอ้ตัวเมื่อกี้ที่หน้าหงอยยืนจ๋อยอยู่คืออะไร ร่างสองมึงเหรอ
ทำไมเมื่อวานไม่เอานิตโต้พันหัวมันไปให้จบๆ วะไอ้ตี๋
“จะกินอะไร” ผมถามเสียงห้วน
“อะไรก็ได้ครับ พี่วินอยากกินอะไร ผมไปได้หมดเลย” ยิ้มไปพูดไปอีกที
“อ่า…ร้านไหนดีล่ะเนี่ย...” ผมคิดไปขับรถไป
“แค่ได้นั่งกินกับพี่ก็พอ”
แถมยิ้มกว้างให้อีกหนึ่งดอก คิดอีกทีเอานิตโต้พันคอตัวเองไปเลยอาจจะง่ายกว่า
ผีขนมครกมันกลับมาแล้วครับ หยอดอยู่นั่นแหละมึงเนี่ย!! กูขับรถอยู่เห็นมั้ย!!!
หลังคิดอยู่สักพัก ผมก็เลือกร้านโจ๊กแถวมหาลัยเป็นที่ฝากท้องมื้อเช้า
รอไม่นานนักผมก็ได้มานั่งเท้าคางเขี่ยโจ๊กที่เหลืออยู่เต็มชามอย่างเซ็งๆ
จริงๆ ก็ไม่ได้หิวขนาดนั้น ตอนนี้อยากนอนมากกว่า
“ทำไมไม่ทานเลยล่ะครับ”
“ง่วง…”
“ยังไงก็ต้องกินอาหารเช้านะครับ เดี๋ยวปวดท้องอีกนะ” คนเด็กกว่ากำชับ ทำเอาผมต้องตีหน้ายุ่งแล้วอ้าปากจะเถียง แต่อีกฝ่ายก็แย้งขึ้นก่อน “แน่ะ ไม่ได้นะครับ เดี๋ยวก็เป็นลมอีก”
“เงียบไปเลยมึงน่ะ…” ผมว่าเสียงเขียว
นอกจากมันจะไม่ฟังคำผมแล้ว ไอ้เด็กนี่ยังหัวเราะหึหึแล้วยักคิ้วให้อีกต่างหาก “อยากให้ผมอุ้มก็บอกกันดีๆ สิครับ ไม่ต้องเป็นลมก็พร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว”
“ไอ้หวาน!” ผมร้อง
“ทานต่ออีกหน่อยนะครับ” คนตรงข้ามพูดอ้อนก่อนจะยิ้มตาหยีส่งมาให้
ผมส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปจัดการโจ๊กในชามต่ออีกนิด
แพ้ทางสายตาลูกหมาของแม่งจริงๆ...
มึงนะมึง…
ผมวางช้อนหลังโจ๊กในชามพร่องลงไปเกือบครึ่ง กินไม่ลงแล้วจริงๆ แฮะ
“พรุ่งนี้จูรี่กี่โมง” ผมถามเวลาที่หวานต้องเสนองาน
“สิบโมงครับ”
“อือ…” ผมพยักหน้าแล้วทำเสียงในลำคอ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเชคการแจ้งเตือนไปพลางๆ
โดยปกติคณะผมจะกำหนดให้ส่งงานก่อนหนึ่งวัน แล้ววันรุ่งขึ้นถึงเป็นการนำเสนอรวมที่เรียกว่า Jury แบบที่เอาอาจารย์สอนดีไซน์ทุกกลุ่มมาตรวจงานเราพร้อมกันนั่นแหละครับ วัดกันไปว่าใครจะตึกระเบิดก่อนกัน คอมเมนต์กันยับไม่มีไว้หน้าว่าเด็กใครเป็นเด็กใคร จัดหนักอย่างเท่าเทียม
ส่วนที่ต้องกำหนดให้วันส่งงานกับพรีเซนต์เป็นคนละวันกันเนี่ย ไม่ใช่ว่าเป็นระบบระเบียบอะไรหรอกนะครับ แต่อดนอนกันเบอร์นี้แค่จะให้สื่อสารแบบปกติก็ลำบากแล้ว ขืนให้ส่งงานตอนเช้าแล้วพรีเซนต์งานตอนบ่ายต่อก็ตายพอดี และก็ไม่ใช่เพราะความเมตตาจากอาจารย์ให้ไปพักร่างก่อนนำเสนองานแต่อย่างใดนะครับ... แต่อาจารย์แกกลัวจะฟังไม่รู้เรื่อง เป็นภาระแก่หูและการให้คะแนน พวกแกเลยเว้นช่วงให้นักศึกษาไปนอนก่อนหนึ่งวันไว้เอาบุญ
“พี่วิน?”
“หือ” ผมพูดทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากหน้าจอโทรศัพท์
“...”
เห็นคนตรงข้ามเงียบไปเลยต้องเงยหน้าขึ้นมาดูสถานการณ์ หวานมองโทรศัพท์ในมือของผมแบบมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่บนหน้า… คนตัวสูงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด จนผมต้องเป็นฝ่ายออกปากขึ้นมาเอง
“ไลน์บอกฟ้าว่างานเสร็จแล้วน่ะ ไม่ต้องห่วง เฮ้อ… นี่ถ้าคุณเธอไม่เข้าไปเจอมึงทำงานอยู่คนเดียวงานมึงจะเสร็จมั้ยเนี่ย อยากเท่ไม่เข้าเรื่อง” ผมบ่นพลางถอนหายใจ แล้วเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง “นี่ฟ้ายังถามมาอยู่เลย ถามว่าซ้อมพรีเซนต์แล้วรึยัง”
ไอ้เด็กตรงหน้าทำหน้าตาหลุกหลิกแล้วเอามือเกาคอ “อ่าาาา” มันลากเสียงยาว
“คือ… ยังไม่ได้คิดเลยอ่ะครับ”
ชัด… กูคิดอะไรเคยผิดมั้ยเนี่ย! ไอ้ชิบหาย!!
“มึงนี่นะ…” ผมถอนหายใจก่อนจะเรียกพนักงานเก็บเงิน “ให้ไวเลย ไปนอนแล้วค่อยลุกมาเตรียมพรีเซนต์!”
_ _ _ _
10.45กรุงเทพ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว
เหรอวะ...ผมนั่งอ่านป้ายหน้าตัวเองมาจะยี่สิบนาทีแล้วครับ นี่มันจะสิบเอ็ดโมงเข้าไปแล้วแต่รถก็ยังขยับได้แค่ระดับเซนติเมตร ถ้าเดินเอาเผลอๆ ป่านนี้ถึงแล้วมั้ง ทำไมการขับรถกลับไปคณะมันกินเวลาได้นานขนาดนี้กันนะ
ว่าจะไปส่งหมอนี่ที่สตูแล้วรีบกลับคอนโดไปนอนซักหน่อย…
ผมหันไปมองไอ้เด็กโข่งข้างเบาะที่กำลังหลับคอพับแล้วได้แต่ส่ายหัว
อ่า…
เอาอย่างนี้แล้วกัน
…
…
“หวาน… หวาน…”
“...อืออ…” มันทำเสียงอืออา
“หวาน... ตื่นก่อน... จะได้ไปนอนดีๆ” ผมว่าแล้วเขย่าตัวคนขี้เซา “หวาน”
“อือ... ครับ… พี่วิน” มันกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะขยับตัวขึ้นแล้วมองไปรอบๆ “หือ?”
“เอ้า มัวนั่งงงอยู่นั่นแหละ ลงไปเร็วๆ” ผมว่า
“เอ่อ…” หวานหันหน้ามามอง “ที่นี่มัน…”
“คอนโดกูไง” ผมตอบปัดๆ แล้วกดปลดล็อกประตู “ง่วงนักก็ไปนอนดีๆ”
“ห๊ะ” มันพูดเสียงสูง “ให้ผมนอนนี่จริงเหรอ!”
ดูเหมือนจะไม่ง่วงแล้วนี่...
“ถ้าอยากไปนอนบนพื้นสตูก็กลับไปเองละกัน กูจะขึ้นไปนอนละ”
ผมลงมายืนข้างรถ พร้อมๆ กับที่เด็กหวานลนลานเปิดประตูตามมา
“ไปด้วยครับ ไปนอนด้วย!”
“แล้วมึงจะเสียงดังทำไมเนี่ย ไอ้ชิบหาย!”
ตื่นเต้นไปมั้ย ไอ้เด็กเว่อร์
..
..
“ไม่ได้!!” ผมพูดเสียงดัง “มากไปนะมึงน่ะ!!!”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ” มันร้อง
“ไม่ต้องเลย มึงนอนโซฟาไป”
หลังจากทักทายแมวจิ๋วจนพอใจผมก็เอาเจ้าตัวยุ่งเก็บใส่กรง แยกย้ายกันไปอาบน้ำจนเสร็จเรียบร้อย คือจะนอนเลยก็เกรงใจกาวที่ติดตามง่ามนิ้ว เราควรตัวโปร่งโล่งสบายก่อนการนอนใช่มั้ยล่ะครับ อาบให้มันจบๆ ไปเลยแล้วกัน
จากนี้ก็ควรจะเป็นเวลาที่ได้พักผ่อนอย่างสงบบนเตียงนิ่มๆ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมาเถียงเรื่องที่นอนกับไอ้บ้าแถวนี้
โอ๊ย ปวดกบาล...
เด็กตัวโตในชุดนอนของไอ้พีทยืนกอดหมอนและผ้าห่มที่ผมเอามาให้ไม่ยอมวาง พลางทำหน้ายู่ยี่
“ใจร้าย โซฟามันเล็กนะครับ เตียงพี่วินกว้างกว่าตั้งเยอะ” มันชี้มือไปที่ห้องนอนด้านหลังที่ผมยืนขวางประตูไว้
“ยังไงก็ไม่ได้!” ผมยืนยัน
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็กูไม่อนุญาตให้นอนไง!” ผมว่าแล้วดันแว่นกรอบหนาให้เข้าที่
“ไม่เห็นมีเหตุผลเลย” มันพูดก่อนจะทำเหมือนนึกอะไรได้..
ทำไมกูว่าไม่น่าใช่เรื่องดีเลยวะ...
จู่ๆ คนตรงหน้าก็ทำสายตาวิบวับแล้วเดินเข้ามาใกล้ “เอ… หรือว่า... พี่วิน... กลัวว่าผมจะทำอะไรเหรอครับ”
“หะ.. เฮ้ย... อะไร ใครกลัวมึง”
“พี่วิน...” มันกลั้นยิ้ม “เขินหูแดงหมดแล้วครับเนี่ย”
“เขินพ่อง!!! ไม่ได้เขิน!” ผมโวยวายเสียงดัง อยากซัดกะโหลกมันสักรอบชะมัด
“ทำไมกูต้องเขิน กูเป็นคนนอนดิ้นไง ต้องนอนคนเดียว!”
“ไม่จริงสักหน่อย ก็เคยนอนด้วยกันแล้วนี่ครับ” มันว่า “คราวก่อนยังได้นอนจ้องหน้าตั้งนาน”
ได้แต่อ้าปากแล้วยกมือชี้ไอ้เด็กหน้าไม่อาย “มะ…มึงนี่มัน...”
“ตอนมีตติ้งไง” มันตอบ “นะครับ ขอผมนอนด้วยนะ”
สัด… อย่าสะกดจิตกู
ไม่ต้องเดินเข้ามาชิดขนาดนี้ด้วย!
“ตอนนี้ผมง่วงมากเลยนะครับพี่… สามวันที่ผ่านมานอนไปแค่ห้าชั่วโมงเอง… อยากนอนสบายๆ บ้างนะครับ... นะ”
“ไม่เอา”
“นะครับ” มันพูดอ้อนแล้วเดินเข้ามาใกล้อีก ทำเอาผมขยับถอยหลัง รู้ตัวอีกทีก็พ้นกรอบประตูห้องนอนเข้ามาแล้ว
คนเด็กกว่ารวบหมอนกับผ้าห่มไว้กับเอว เดินยิ้มกรุ้มกริ่มปราดเข้าไปในห้องนอนแบบไม่แคร์เจ้าของ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็คว้าเอาข้อมือผมแล้วออกแรงดึงให้ตามไปที่เตียงนอนหลังนุ่ม
“เห้ย… เดี๋ยว... เดี๋ยวสิ” ผมพูดตะกุกตะกักหลังร่างสูงโยนหมอนกับผ้าห่มไว้บนเตียงฝั่งหนึ่ง หวานดึงมือผมให้นั่งลงก่อนจะย่อตัวลงมานั่งคุกเข่าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน
“เมื่อคืนนี้ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณทุกอย่างเลย” มันว่ายิ้มๆ “ขอโทษที่ทำให้ต้องเหนื่อยด้วย”
“เออ...”
“ตอนนี้ต้องพักก่อนนะครับ” มันพูด “เหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว”
“ตกลงมึงจะนอนในห้องให้ได้ใช่มั้ยเนี่ย” ผมตีหน้ายุ่ง
ร่างสูงยิ้มกว้างจนตาหยี “สัญญาว่าจะนอนอย่างสงบเงียบเรียบร้อยครับ”
ผมหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ
“เออๆ ขี้เกียจเถียงกับมึงแล้ว” ผมถอดแว่นตาพลางพูดตัดบท ง่วงจะแย่แล้วครับเนี่ย “ไปนอนตรงโน้นเลย ห้ามทำอะไรประหลาดๆ ด้วย” ผมชี้มือไปอีกฝั่งของเตียงก่อนจะเอนตัวลงนอนห่มผ้า ซุกหน้าลงกับหมอนใบโตแล้วหันหนีไปอีกทาง
แว่วเสียงเด็กหวานหัวเราะเบาๆ พร้อมกับความรู้สึกถึงเตียงที่ยวบลงตามน้ำหนักของคนที่ตามขึ้นมานอนข้างๆ
นอนหลับตาไปยังไม่ทันไรก็รู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นๆ ที่ลูบหัวเบาๆ จากทางด้านหลัง
นึกจะด่าออกไป แต่คงเพราะง่วงมาก เลยเผลอคิดไปว่าสัมผัสแบบนี้มันก็เพลินดีเหมือนกัน
“ฝันดีนะครับ...”
เออ…_ _ _ _
(มีต่อ)