Chapitre 31
ผมเจอปาร์คโดยบังเอิญที่ร้านอาหารในพารากอนที่ผมเลือกว่าจะมากิน ปาร์คมองผมด้วยสายตาตำหนิเหมือนผมทำผิดที่มากับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา แต่เขาลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเขาเองก็มากับอีกคนเช่นกัน ดังนั้นทำไมผมจะต้องแคร์
“ทาร์ตช่วยหยิบแจ็กเก็ตในกระเป๋าแล้วใส่ให้หน่อยดิ” ผมหันหลังให้ทาร์ตเปิดกระเป๋าเป้เอาแจ็กเก็ตออกมา ก่อนที่จะปลดสายกระเป๋าที่คล้องที่ไหลออกมาหิ้วไว้ที่ด้านหน้าแทน
ทาร์ตหยิบแจ็กเก็ตยีนส์ออกมาสะบัดเล็กน้อยเพราะตอนยัดผมสักแต่ยัดๆ เข้าไปไม่ได้คำนึกถึงความเรียบร้อยหรือมันจะยับไหม ก่อนที่ค่อยสวมแขนด้านหนึ่งให้ผม ขณะที่สายตาผมก็แอบเหลือบมองปฏิกิริยาของปาร์คเหมือนกันว่าจะมีสีหน้าหรือท่าทางเช่นไร ผมไม่ได้จงใจยั่วอีกฝ่ายหรืออะไร ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่รู้สึกหนาวๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในห้างเท่านั้น
แต่ที่เหลือบไปมอง ก็แค่... อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร...
“คุณทาร์ตสองที่ค่ะ คุณทาร์ต... เชิญด้านในค่ะ” เสียงของพนักงานดังขึ้นหลังจากที่ทาร์ตสวมแจ็กเก็ตให้ผมเสร็จ ผมมองไปยังโต๊ะว่างด้านในที่พนักงานเพิ่งจะเก็บโต๊ะและภาวนาขออย่าให้ผมได้นั่งโต๊ะนั้น เพราะมันเป็นโต๊ะที่อยู่ติดกับโต๊ะของปาร์ค โดยมีเพียงแค่ระแนงไม้บางๆ กั้นไว้เท่านั้น แต่สุดท้ายก็จำต้องเป็นโต๊ะนั้น เพราะเป็นโต๊ะว่างเพียงโต๊ะเดียวในร้าน
ผมที่จะเลือกนั่งผมตรงข้ามปาร์ค ไม่ใช่เพราะต้องการที่จะเห็นหน้า แต่ถ้านั่งฝั่งเดียวกัน ผมจะนั่งติดกับปาร์คมาก แค่ระแนงไม้นั้นกั้นไว้จริงๆ อีกอย่างมือของปาร์คอาจจะเอื้อมมาหาผมได้ การเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามผมก็รู้สึกเกร็งและประหม่าน้อยกว่า อย่างน้อยระแนงไม้ก็มีช่องระหว่างซี่ไม้ที่ไม่กว้างมากนัก คงเห็นหน้าได้ไม่ถนัดนักหรอก อีกอย่างผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอยู่แล้วว่ามันจะมองผมหรือเปล่า
แต่ดูเหมือนผมเลือกที่ผิดยังไงไม่รู้ ทันทีที่ก้นผมหย่อนลงบนเบาะโซฟายาว หางตาผมก็เหลือบไปเห็นปาร์คที่จ้องผมผ่านช่องระหว่างซี่ไม้นั้นได้อย่างชัดเจน จนผมถึงกับก้มหน้ากลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก นี่ผมจะทนไหวแน่ใช่ไหมกับการกินอาหารมื้อนี้ หัวใจผมเต้นแรงและรัวมากขึ้นทุกขณะ จนร่างกายเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาพร้อมกับอาการสั่นเล็กน้อย
ไม่นานพนักงานก็นำเมนูอาหารมาให้ ผมเอื้อมมือที่สั่นระริกแต่ไม่มากนักจนเป็นที่สังเกตขึ้นไปเปิด แต่ไม่นานฝ่ามือที่อบอุ่นของคนที่นั่งตรงข้ามก็เอื้อมมากุมมือของผมไว้ ทาร์ตบีบมือสั่นรัวของผมนั้นเบาๆ อย่างเป็นกำลังใจ และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับรอยยิ้มที่สดใสที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่ มันช่วยคลายความรู้สึกหวาดกลัวและไม่มั่นใจได้เป็นอย่างดี ผมส่งยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อยเพื่อบอกว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว ทาร์ตจึงยอมปล่อยมือนั่น
เราสองคนลงมือสั่งอาหารเมื่อผมรู้สึกดีขึ้น และอาการหิวเข้ามาแทนที่ เราสั่งไปขำไปกับการสั่งของแต่ละคน ก็มากันแค่สองคน แต่เล่นสั่งไปเยอะมาก จนต้องมานั่งยกเลิกออเดอร์บางอย่างทีหลัง แต่อย่างน้อยเมนูหนึ่งที่ผมไม่ยอมให้ยกเลิกแน่นอนคือต๊อกปกกีซีฟู๊ดอบซีสเมนูโปรด แต่เมื่อสั่งเมนูนั้นไป ผมกลับเผลอเงยหน้ามองรอยยิ้มที่มุมปากและเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่อยู่อีกฝั่งของระแนงไม้ ปาร์ครู้ครับว่าผมชอบกินเมนูนี้มากๆ เวลาที่มาด้วยกันผมมักจะสั่งเมนูนี้แล้วกินได้เพียงเล็กน้อยจนโดนปาร์คบ่นอยู่เสมอ
“ปาร์คคะ อันนี้อร่อยนะลองทานดูสิ มัวแต่เหมออะไรอยู่” เสียงผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผมดังขึ้นทำให้ผมต้องเหลือบตาไปมองการกระทำดังกล่าว ผู้หญิงที่ชื่อเกลคนนั้นคีบแป้งต๊อกปกกีเมนูเดียวกับที่ผมโปรดปรานยื่นไปยังปากของปาร์ค ซึ่งเจ้าตัวก็อ้าปากรับแต่โดยดี ก่อนจะเหลือบตามามองผมเช่นกัน จนผมต้องกุลีกุจ่อหันหลบแทบไม่ทัน จะทำอะไรก็เรื่องของเขา ใครจะสนใจกัน! ชิ!
ผมนั่งคุยกับทาร์ตโดยทำเป็นไม่สนใจโต๊ะที่อยู่ติดกันเพียงระแนงไม้กั้น การเลือกที่นั่งฝั่งนี้ของผมถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดถนัดจริงๆ เพราะเวลาเงยหน้าขึ้นไปคุยกับทาร์ตทุกครั้ง หางตาของผมจะเหลือบไปเห็นสายตาของอีกคนที่กำลังมองผมผ่านช่องแผ่นไม้เป็นระยะๆ
ไม่นานเหล่าอาหารที่สั่งไปอย่างกับคนบ้าก็ทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมเลิกสนใจโต๊ะข้างๆ แล้วลงมือกินอาหารตรงหน้าเนื่องด้วยความหิว จริงๆ ต้องพูดว่าผมพยายามจะไม่สนใจมากกว่า และเมื่อหม้อไฟมาเสิร์ฟ ทาร์ตก็เอื้อมมือมาฉวยเอาถ้วยทางฝั่งผมไปตักให้ทันที ผมเหล่ตามองอีกคนที่นั่งฝั่งเดียวกับทาร์ตที่กำลังจ้องคนที่ตัดซุปให้ผมอยู่ด้วยสายตาดุดัน ผมเลยแกล้งเอื้อมมือไปรับถ้วยต่อจากมือของทาร์ตด้วยรอยยิ้มกว้าง
แล้วเราสองคนก็ค่อยๆ จัดการกับอาหารบนโต๊ะไปเรื่อยๆ โดยมีซาวน์เป็นเพลงที่ทางร้านเปิดคลอไปกับเสียงหวานเล็กๆ ของผู้หญิงโต๊ะติดกันที่นั่งฝั่งเดียวกับผม ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วสลับกับเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่เป็นระยะ
“นี่ทาร์ต เคยกินนี่ยัง ลองดูดิ ของโปรดพี่เลยนะ” ผมทำท่าทางภูมิใจนำเสนอเมนูโปรดของผมที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟสุดๆ ก่อนจะลงมือตักใส่จานทาร์ตซึ่งนั่งมองผมด้วยรอยยิ้มกว้างอยู่เช่นกัน
“ขอบคุณนะพี่ ได้กินของโปรดของพี่ แถมยังใจดีตักให้ผมอีก อย่างงี้มันคงอร่อยมากแน่ๆ” ทาร์ตพูดด้วยท่าทางดีใจอย่างเต็มเปี่ยม
“แค่กๆ ไอ้นี่มันกินเยอะๆ แล้วเลียนเหมือนกันนะ ว่าไหม” เสียงวางตะเกียบเงินกระแทกจานกับเสียงสำลักอาหารดังของจากโต๊ะข้างๆ ก่อนที่เขาคนนั้นจะเบ้หน้าแล้วชี้ไปยังจานต๊อกปกกีอบชีสที่ผมเพิ่งตักใส่จานให้กับทาร์ต
“กินเยอะนะ รับลองกินแล้วจะติดใจเหมือนกับพี่” ผมพูดต่อด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้ม ไม่ได้แสดงออกถึงท่าทางสนอกสนใจใดๆ กับการกระทำดังกล่าว และสิ่งที่ผมทำ... ก็ไม่ได้ทำเพื่อประชดใครอยู่ด้วย!
ติ๊ด! ติ๊ด!
“เอ่อ... เดี๋ยวเกลขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ พอดีเพื่อนโทรมาด้วย” ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นหลังจากที่เสียงโทรศัพท์ของเธอดัง ไม่รู้ว่าผมคิดและรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าทันทีที่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู สีหน้าและท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไป ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ
“ครับ” ปาร์คตอบรับสั้นๆ ก่อนที่จะหันมามองทางผมอีกครั้ง
“หื้ม! อร่อยอ่ะพี่!” ทาร์ตทำเสียงถูกใจดึงความสนใจของผมให้กลับมาที่โต๊ะของตัวเองดังเดิม
“เห็นไหมบอกแล้วว่าอร่อย ลองแล้วจะ...”
“ไง! ไม่คิดจะทักทาย ‘คนคุ้นเคย’ สักหน่อยเหรอ... ฟร๊องก์” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคตามที่ต้องการ เสียงพร้อมร่างสูงของอีกคนที่ก่อนหน้านั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ กลับมาย้ายตัวเองยืนอยู่ที่ด้านข้างของโต๊ะผมในเวลานี้ ก่อนที่จะเดินเข้ามาล้มตัวลงนั่งข้างๆ ผมพร้อมด้วยวงแขนที่วาดมาโอบไหล่ผมอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว มือไวชะมัด!
“น่ะ... นี่!” ผมดิ้นขลุกขลักอย่างยากลำบากเพราะพื้นที่แคบ พลางหันไปมองหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาขุ่นเคืองและฉายแววไม่พอใจอย่างไม่มีปกปิด
“อ้าว แล้วนี่มากับใคร ไม่แนะนำให้... ผะ... เพื่อน ‘รัก’ คนนี้รู้จักหน่อยเหรอ” ปาร์คส่งเสียงยียวนกวนประสาท ขณะที่หันไปยักคิ้วกวนๆ เล็กน้อยให้กับทาร์ต พร้อมกับวงแขนนั้นก็โอบรัดตัวผมแน่นขึ้นและดึงให้ผมเข้าไปใกล้ขึ้น
“ปล่อยพี่ฟร๊องก์ซะ! คนเขาไม่ได้เชิญให้มานั่ง ไม่รู้จักคำว่ามารยาทหรือไง” ทาร์ตพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึมแฝงด้วยสายตาที่หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน บรรยากาศอึมครึมเริ่มก่อตัวขึ้นขณะที่คนในร้านรวมทั้งพนักงานก็เริ่มหันมอง เด็กเสิร์ฟบางคนก็ดูเหมือนจะเข้ามาห้ามทัพเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง
“อะไรกัน ก็แค่มาทักทายกันตามประสาคนคุ้นเคยกันนิดหน่อยเอง จริงไหมครับฟร๊องก์ หื้ม...” ปาร์คพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ กับคำพูดและท่าทางไม่พอใจของทั้งผมและทาร์ต พร้อมกันนี้ยังหันมาหาผมจนปลายจมูกเกือบเฉียดที่ข้างแก้ม ก่อนที่ริมฝีปากบางคู่นั้นจะกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ
“ปล่อย! แล้วก็กลับไปยังที่ของ ‘คุณ’ ได้แล้ว!” ผมพูดนิ่งๆ ด้วยคำพูดและท่าทางที่ห่างเหิน ราวกับคนไม่รู้จักกัน ทั้งที่ในใจผมกลับเต้นแรงจนมันจะพุ่งออกมานอกทรวงอก หัวคิ้วของปาร์คกระตุกเข้าหากันทันทีที่ได้ยินคำสรรพนามที่ผมใช้แทนตัวเขาแบบนั้น เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับการพูดออกไปแบบนั้น แต่มันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด... สำหรับเรา
“อ้าว นี่ใครเหรอคะปาร์ค รู้จักกันด้วยเหรอ” ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงคนเดิมที่ออกไปคุยโทรศัพท์เมื่อสักครู่ก็ดังขึ้นด้านหลังของทาร์ต เช่นเดียวกับปาร์คที่ชักแขนออกจากไหล่ผมแทบจะทันทีที่เห็นเธอคนนั้น หึ! ถ้าแคร์เขามากแล้วจะมาใส่ใจความรู้สึกผมทำไม มาตามง้อและยุ่งวุ่นวายกับผมอีกทำไม! ทำไมไม่ปล่อยให้ผมทำใจได้ซะที!!!
“อ๋อ เอ่อ... ‘เพื่อนสมัยมัธยม’ น่ะครับ” ปาร์คว่าก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาตัวยาวไปยืนข้างๆ คนที่ปาร์คเลือก คนรักที่แท้จริงของเขา ผิดกับผมที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย คำพูดของปาร์คเมื่อสักครู่ทำให้ผมรู้สึกโหว่งและวังเวงในใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนร่างกายมันถูกดูดเอาพลังงานออกจนหมด จนผมแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจ ‘เพื่อนสมัยมัธยม’ สำหรับปาร์คแล้วผมคงมีความหมายแค่นั้น...
“งั้นเหรอคะ เราชื่อเกลนะคะ เป็น ‘แฟน’ กับปาร์ค ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เกลพูดด้วยน้ำเสียงหวานของเธอพร้อมกับรอยยิ้ม แต่สายตาที่มองมานั้นกลับดูไม่เป็นมิตรและช่างดูถูกดูแคลนซะเหลือเกิน แถมยังจงใจแค่นเสียงหวานๆ นั้นเน้นสถานะของเธออย่างออกนอกหน้าอีก เหมือนกำลังบอกผมอ้อมๆ ให้ผมสำเหนียกตัวเองว่าใครเป็นเจ้าของหัวใจของปาร์คกันแน่ และแน่นอนว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ผม
“ครับ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญพวกคุณกลับไปที่โต๊ะด้วยครับ พวกผมจะได้ทานกันต่อ” ผมตอบกลับอย่างเสียมารยาทจนทั้งปาร์คและเกลถึงกับหน้าเสียเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้สังเกตนักหรอก เพราะตอนพูดผมแทบไม่มองหน้าของทั้งคู่ด้วยซ้ำ ผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปั้นรอยยิ้มเป็นมิตรหรือทำท่าทางว่ายินดีที่ได้รู้จัก ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นผมไม่ได้ต้องการได้ยินหรือรับรู้มันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“เพื่อนปาร์คคนนี้ไม่มีมารยาทเอาซะแล้วนะคะ พูดด้วยดีๆ กลับไล่กันซะงั้น” เกลสวนกลับผมอย่างหัวเสีย
“กลับโต๊ะเราเถอะ ปาร์คผิดเองแหละที่เสียมารยาทมา ‘รบกวน’ เวลาทานอาหารของพวกเขา” ปาร์คว่าเสียงอ่อน พร้อมมองผมด้วยสายตาผิดหวังและเศร้าซึมลงต่างจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะลากตัวเกลกลับไปที่โต๊ะเบาๆ
ผมพยายามนั่งสงบสติอารมณ์ให้เลือกใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน เพราะตอนนี้ในหัวผมมันปั่นป่วนไปหมด แถมยังรู้สึกมวนๆ ในท้อง พาลทำให้ผมกินอะไรต่อไม่ลง สุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากชวนทาร์ตที่ก็วางตะเกียบไปตั้งแต่ที่ปาร์คมานั่งเช่นเดียวกัน ให้เรียกคิดเงิน จากนั้นก็ออกจากร้านไปทันที
ตลอดทางที่เดินออกจากร้านมา ผมต้องเอ่ยปากขอโทษขอโพยทาร์ตอย่างเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย แถมยังต้องเสียตังค์ฟรีเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกด้วย ผมเองก็พยายามหยิบยื่นเงินให้กับทาร์ตเพื่อรับผิดชอบเพราะมันเกิดจากความผิดของผม แต่ทาร์ตก็ไม่ยอมรับเลยแม้แต่น้อย แต่กลับบอกเพียงว่า ถ้ามันทำให้ผมสบายใจขึ้น ต่อให้มันต้องทำมากกว่านี้ก็ยอม ผมได้แค่เพียงตอบแทนความหวังดีนั้นด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเราสองคนก็ขึ้นไปดูหนังกันต่อตามโปรแกรมที่วางไว้ โดยไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านอาหารอีก ผมคิดว่าการมาดูหนัง อย่างน้อยน่าจะช่วยให้อาการคิดมากและวิตกกังวลของผมจะเบาบางลงได้ แต่กลับไม่เลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงที่หนังฉาย ผมแทบไม่มีสมาธิกับการทำความเข้าใจเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เลย แต่จะมีก็แค่ฝ่ามืออุ่นๆ ของทาร์ตที่เอื้อมมากุมมือข้างหนึ่งของผม ที่ทำให้จิตใจของผมสงบนิ่งขึ้นได้บ้าง
***********__________***********
“ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหม” ทาร์ตถามขึ้นเมื่อแท็กซี่ขับเข้ามาใกล้ถึงหอของผม เมื่อดูหนังจบเราสองคนก็โบกแท็กซี่ฝ่าการจราจรที่ติดขัดในบริเวณนั้นกลับทันที
“ไม่เป็นไร ขอบคุณแล้วก็ขอโทษสำหรับวันนี้ด้วยนะ ทำให้สถานการณ์กร่อยลงไปเยอะเลย” ผมพูดพลางยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ทาร์ต
“บอกแล้วไงครับว่าไม่ต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย มันเป็นความผิดของไอ้หมอนั่นต่างหาก แต่ช่างมันเถอะ เพราะอย่างไรพี่ก็ทำให้วันนี้ของผมเป็นอีกวันที่พิเศษอยู่ดี”
“เลี่ยนตลอด!” ผมแกล้งแลบลิ้นทำท่าทางเหมือนจะอ้วกล้อเลียนมุกฝืดๆ ของทาร์ต
ทาร์ตหัวเราะกับท่าทางของผมเล็กน้อย และไม่นานแท็กซี่ก็มาจอดที่ด้านหน้าหอของผมเป็นที่เรียบร้อย ทาร์ตถามย้ำอีกครั้งแต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อน ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำอย่างกับผมจะฆ่าตัวตายประชดชีวิตอย่างนั้นแหละ
ผมโบกมือลาทาร์ตจนแท็กซี่คันนานขับหายไปจากสายตา ก่อนที่หันหลังกลับเพื่อเดินเข้าไปด้านในของหอ วันนี้จะว่าไปก็ไม่ได้ทำอะไรเยอะแยะเลยนะ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ ข้างในของผมมันรู้สึกเหมือนซังกะตายไม่อยากรับรู้หรือทำอะไรสักอย่าง ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นป้อนเส้นต๊อกปกกีให้ปาร์ค สถานะที่ปาร์คบอกกับผู้หญิงคนนั้นและย้ำจุดยืนของผมมันยังชัดเจนอยู่ในหัว เมื่อไหร่ผมจะทำใจและไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องเหล่านี้สักที
“ฟร๊องก์” เสียงเรียกของบุคคลที่ผมอยากจะลืมมากที่สุดดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งจนแทบก้าวพลาดตกบันไดไม่กี่ขั้นที่ก้าวเข้าตัวอาคารเมื่อจู่ๆ ปาร์คก็โผล่ออกมาจากมุมเสาหลังจากที่ผมก้าวขึ้นมาในตัวอาคาร
“มะ... มีอะไร”
“ขอคุยอะไรด้วยหน่อย” ปาร์คว่าก่อนจะสายเท้าเข้ามาประชิดตัวผม แต่ผมก้าวถอยโดยอัตโนมัติ
“ผมไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องคุยกับคุณ” ผมตอบกลับเสียงแข็ง
“มีสิ! เรื่องของเราไง!”
“มันไม่มีคำว่าเรา แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องคุยด้วย!”
“แต่เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!” ร่างสูงยังคงไม่ยอมแพ้ พร้อมก้าวยาวมาคว้าแขนผมอย่างรวดเร็ว
“... งั้นมีอะไรก็ว่ามา” ผมยอมจำนนด้วยน้ำเสียงต่ำและเย็นชา ในเมื่ออยากพูดนัก งั้นก็เชิญพูด พูดให้ทุกอย่างมันชัดเจน จะได้จบกันไปเสียที!
“แน่ใจเหรอว่าอยากให้ปาร์คพูดตรงนี้ หรืออยากให้มีพยานรู้เห็นเรื่องของเรา” ปาร์คโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูผมด้วยเสียงเจ้าเล่ห์จนผมขนลุก มันจะเอาอะไรมาบีบผมอีก สนุกนักหรือไงที่เห็นผมเป็นแบบนี้
“และ... แล้วจะเอายังไง”
“เราขึ้นไปคุยกันดีๆ บนห้องก่อนได้ไหม” คนตัวใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“...”
“เลือกเอาแล้วกันนะว่าอยากคุยเรื่องนี้กันแค่สองคน หรืออยากให้คนอื่นรับรู้ด้วย”
สุดท้ายผมก็ต้องเดินนำปาร์คไปยังห้องจนได้ ผมจะทำยังไงได้ในเมื่อทางเลือกผมไม่มีเลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าปาร์คจะเอาอย่างไรกับผมอีก จะตามตื้อผมไปถึงไหน
ผมพยายามเดินด้วยช่วงก้าวที่ช้าและสั้นที่สุดเพื่อนถ่วงเวลา ผมยอมรับว่าในเวลานี้ผมกลัวร่างสูงที่เดินตามผมมาติดๆ นี้ไม่น้อย ผมกลัวจะเกิดเหตุการณ์บ้าๆ แบบนั้นกับผมอีก และสุดท้ายก็เป็นผมที่ต้องเจ็บทั้งกายและใจอยู่คนเดียว
“มีอะไรก็รีบพูดมา!” ผมเอ่ยถามธุระที่อีกฝ่ายอ้างทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง แต่อีกคนที่ตามเข้ามากลับไม่มีท่าทีรีบร้อนใดๆ กลับหันไปกดล็อกประตูอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะถอดรองเท้าแล้วเดินไปนั่งที่เตียงราวกับเป็นเจ้าของห้อง “นี่! มีอะไรก็รีบๆ พูดมาสิ!”
“ยังเก็บตุ๊กตาตัวนั้นไว้อีกเหรอ นึกว่าจะทิ้งมันไปแล้วซะอีก” ปาร์คหันไปมองทางตุ๊กตาไม้ที่ตนซื้อให้ผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ก็ไม่มีเหตุผลที่จำต้องทิ้งนี่” ผมตอบกลับเบาๆ พลางมองไปที่ตุ๊กตาตัวนั้นเช่นกัน ช่วงเวลาที่ผมเคยมีความสุข ความทรงจำที่ดีๆ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องถูกลบทิ้งหรือลืมเลือนไปไม่ใช่เหรอ แต่ต่อให้เราอยากจะลืมอย่างไร สิ่งของมันก็เป็นเพียงสิ่งของ ถึงเราจะทิ้ง จะทำลายมันอย่างไร เราก็ไม่สามารถลบเลือนความทรงจำที่มีได้หรอก
“ก็นึกว่าจะเกลียดกันจนไม่อยากจดจำอะไรของกันและกันไว้แล้ว” ปาร์คว่าเสียงแผ่วพร้อมกับแววตาเศร้าหม่นที่หันกลับมามองที่ผม
“เห้อออ... ตกลงว่าเรื่องที่จะพูดมันคืออะไรกันแน่ ถ้าไม่มีก็กลับไปเถอะ แล้วก็... เลิกยุ่งเกี่ยวกันสักที”
“ไม่! จะให้ปาร์คเลิกยุ่งกับฟร๊องก์ได้ไง ในเมื่อเราเป็น...”
“เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน!! จริงๆ มันไม่เคยมีคำว่าเราตั้งแต่แรกแล้วด้วย!” ผมพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นการตวาด ดวงตาแข็งกร้าวของผมจ้องไปยังสายตาคมที่ฉายแววอ่อนแอ ราวกับคนที่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้ต่อไป สายตาสั่นไหวที่ผมเพิ่งเคยเห็นจากผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรกนั่นแอบทำให้ผมเผลอหวั่นไหวแสดงความเห็นใจออกไปเช่นกัน แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นแหละ เพราะผมจะไม่ยอมให้คนตรงหน้ามาทำร้ายความรู้สึกผมเล่นอย่างไม่ใยดีอีกแล้ว
“มันจะไม่เป็นได้ยังไง ในเมื่อเราเคยกอด เคยหอมกัน เคยจูบกัน เคยแม้กระทั่งมีอะไรกัน เราเป็นของกันและกันแล้วนะฟร๊องก์ แล้วจะบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันได้ยังไง”
“แล้วมันอยู่ในฐานะอะไรล่ะปาร์ค เคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ‘เพื่อน’ ไม่ใช่เหรอที่ปาร์คย้ำมาตลอด... แม้กระทั่งวันนี้ เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าปาร์ค!” ผมแสยะยิ้มเยาะเย้ยอีกคนที่ตอนนี้ลุกขึ้นมาประจันหน้ากับผมเป็นที่เรียบร้อย รอยยิ้มที่แสนประชดประชันไม่ต่างอะไรกับการใช้มีดคมๆ กรีดลงบนแผลที่หัวใจตัวเองเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่เจ็บที่พูดออกไปแบบนั้น แต่มันคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้เราสองคนจบกันได้ ปาร์คจะได้ไปมีความสุขในแบบของตัวเอง ส่วนผมจะได้เยียวยารักษาแผลที่มีมาอย่างเนินนานนี้เสียที
“แต่ช่างมันเถอะ ไม่ว่าที่ผ่านมาเราจะ ‘เคย’ ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกันมา ฟร๊องก์จะถือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบที่มันชักนำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นแล้วกัน อย่าเก็บมาใส่ใจเลย มันไม่ได้มีอะไรเกินไปกว่า ‘ความต้องการชั่วครั้งชั่วคราว’ หรอก บางทีปาร์คอาจจะแค่เห่อ ‘ของเล่น’ ชิ้นนี้อยู่ก็แค่นั้น เมื่อถึงวันหนึ่งปาร์คก็คงวางของเล่นนี้ทิ้งไว้แล้วเดินจากไป เหมือนกับตุ๊กตาตัวนั้นไง ที่สุดท้ายแล้วมันก็เพียงแค่ถูกตั้งทิ้งเอาไว้... แล้วก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ”
“มันไม่ใช่แบบนั้น ไม่เลยนะฟร๊องก์ ความรู้สึกที่ปาร์คมีให้ฟร๊องก์มัน...”
“พอเถอะนะปาร์ค ให้เรื่องของเราที่ปาร์คว่ามันจบลงเถอะ ฟร๊องก์เจ็บ... เจ็บและเหนื่อยมากแล้ว อย่าให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บไปมากกว่านี้เลย ถือว่าฟร๊องก์ขอร้องนะ กลับไปดูแลคนที่ปาร์ครักและเขาก็รักปาร์คเถอะ ส่วนฟร๊องก์จะไปตามทางของฟร๊องก์เอง คนที่ผิดจริงๆ มันก็คือฟร๊องก์เนี่ยแหละ ผิดที่รักปาร์คตั้งแต่แรก รักและคิดเกินคำว่าเพื่อนกับปาร์ค และทั้งที่รู้ว่ามันผิด แต่ก็ไม่ยอมตัดใจ ตอนนี้ทุกอย่างมันมาเกินกว่าที่จะแก้ไขแล้ว ฉะนั้นให้มันจบแบบนี้เถอะ ต่างคนต่างไปเถอะนะ วันหนึ่งที่ฟร๊องก์พร้อม เราจะกลับมายิ้มให้กันในฐานะเพื่อนได้อย่างสนิทใจ” ในที่สุดทำนบน้ำตาที่ว่าแข็งแกร่งก็กลับพังทลายลงมาได้อย่างง่ายดาย ผมไม่เหลือความเข้มแข็งอีกต่อไปแล้ว ผมแค่อยากให้ทุกอย่างมันจบ ช่วยให้ผมไม่ต้องทนเจ็บปวดและทรมานแบบที่เป็นอยู่นี่สักที
มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผมกับปาร์ค อย่ายื้อ อย่าฉุดรั้งกันต่อไปเลย มันจะไม่ใช่แค่ผมที่ต้องเจ็บ แต่จะต้องมีคนที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องและพาลสร้างบาดแผลในหัวใจเขาเหมือนกับผมอีก ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นจากผม ดังนั้นก็ควรเป็นผมที่จบเรื่องนี้ และยอมรับทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้น
“ฟะ... ฟร๊องก์” ร่างหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อโผเข้ามากอดผมเต็มแรง ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นจากการสะอื้นของคนที่โอบกอดผมอยู่ ผมเองก็ยังคงยืนนิ่งปล่อยน้ำตาและความอ่อนแอของตัวเองในอ้อมกอดนั้น
ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน แต่กลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อยิ่งได้รับรู้ถึงความรู้สึกของอีกคน ปาร์คเองก็กำลังร้องไห้ ร้องไห้เพราะผมงั้นหรือ เสียใจที่ต้องเสียของเล่นนี้ไปอย่างนั้นหรือ แต่ถึงจะสงสารอย่างไรผมก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว ผมทำในสิ่งที่ผิดต่อเราสองคน รวมทั้งคนอื่นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ปาร์ครักฟร๊องก์นะ” ปาร์คเอ่ยอย่างแผ่วเบา แต่เสียงนั้นกลับกระทบโสตประสาทของผมอย่างจัง
“ไม่ใช่หรอกปาร์ค มันไม่ใช่ความรักหรอก” ผมยิ้มเยาะกับตัวเอง พร้อมกับพยายามผละตัวออกจากอ้อมกอดนั้น แต่ปาร์คกลับรัดตัวผมแน่นขึ้นอีกจนผมไม่สามารถดันตัวเองออกได้
“ใช่สิ! ความรู้สึกปาร์ค ปาร์ครู้ดี” ปาร์คพยายามกอดผมแน่นขึ้น ทั้งที่ผมก็พยายามดิ้นอย่างสุดแรงเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ “อย่าไปไหนเลยนะ”
“ปล่อย!” ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักตัวคนร่างสูงออกไปได้สำเร็จ ก่อนจะแสยะยิ้มเหยียดหยามเต็มประดา “ถ้ารักฟร๊องก์จริงๆ แล้วกับผู้หญิงคนนั้นคืออะไรล่ะปาร์ค! จะบอกว่าไม่ได้รัก ก็ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยมั้ง ทั้งที่ก็ยังคบกับเขาอยู่ทนโท่”
“...”
“หึ! เถียงไม่ออก หาข้ออ้างไม่ถูกเลยล่ะสิ กลับไปเถอะปาร์ค ปล่อยให้เรื่องมันจบลงสักที สักวันเราคงกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้”
“เพราะฟร๊องก์กำลังคบกับไอ้เด็กนั่นอยู่ด้วยใช่ไหม ฟร๊องก์ถึงได้เปลี่ยนไป และตัดใจจากปาร์คง่ายขนาดนี้”
“ถ้าใช่จริงๆ แล้วฟร๊องก์ผิดอะไรที่จะเริ่มเปิดใจมองคนอื่นบ้าง อีกอย่างมันไม่เกี่ยวหรอกว่าฟร๊องก์จะมีใครใหม่หรือเปล่า แต่สิ่งที่เราเคยทำหรือทำอยู่มันผิด และมันก็ไม่ควรถูกสานต่อด้วย ปาร์คเองก็มีคนที่ต้องเอาใจใส่ ดูแลอยู่แล้ว อย่าให้อะไรมันต้องผิดไปมากกว่านี้เลย”
“เข้าใจแล้ว... ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยแล้วกันนะ ขอโทษสำหรับวันนั้นที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ถ้าวิธีนี้มันจะทำให้ฟร๊องก์มีความสุขมากขึ้น ปาร์คก็จะยอมทำ ถ้าการที่มีปาร์คอยู่ในชีวิตมันทำให้ความสุขของฟร๊องก์ลดลง ปาร์คจะเป็นคนที่ออกไปจากชีวิตฟร๊องก์เอง”
น้ำเสียงที่ปกติจะนุ่มทุ้มและสดใส แต่บัดนี้กลับดูเศร้าหมอง ไม่น่าฟัง คำพูดที่ออกมาจากเสียงราบเรียบนั้นทำเอาผมขนลุกอย่างห้ามไม่ได้ การมีปาร์คอยู่ในชีวิตมันไม่ได้ทำให้ผมมีความทุกข์ แต่มันกลับสร้างความสุขที่ยิ่งใหญ่ให้กับผมต่างหาก ความสุขที่ทำให้ผมหลงไปกับมันจนทำให้เกิดอะไรต่อมิอะไรที่เกินเลยไป แต่... ผมต้องใจแข็งให้มากที่สุด อย่าให้ตัวเองเข้าไปทำให้ชีวิตปาร์คต้องแย่ไปมากกว่านี้เลย ผมไม่อยากเห็นปาร์คต้องเสียใจภายหลังกับเรื่องแบบนี้ อย่างน้อยก็ในฐานะของคนที่ผมรัก คงไม่มีใครอยากเห็นคนที่รักเสียใจหรอก แต่การปล่อยมือมันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆ
“แต่ปาร์คยังคงยืนยันคำเดิม ว่าทุกอย่างที่ผ่านมา มันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ หรือความต้องการชั่วครั้งชั่วคราวอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างที่ทำ ปาร์คทำเพราะความรู้สึกที่เรียกร้อง ทำเพราะรักจริงๆ หวังว่าสักวันเราจะกลับมายิ้มให้กันได้เหมือนเดิมนะ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรอย่าลืมว่ามีปาร์คอีกคนที่จะคอยอยู่ข้างๆ ฟร๊องก์”
สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงที่ดูหม่นหมองและเจ็บปวดก็เดินผ่านหน้าผมไปทันที ปาร์คสวมรองเท้าอย่างไม่เรียบร้อยนัก ก่อนจะเอื้อมไปบิดลูกบิดอย่างช้าๆ แล้วก้าวออกไป ก่อนจะหันมาปิดประตู ผมได้สบเข้ากับดวงตาที่ฉายแววโศกเศร้าอย่างไม่สามารถปกปิดได้ แถมยังมีม่านน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่
และแล้วประตูบานนั้นก็ปิดลง พร้อมกับเรื่องราวระหว่างผมกับปาร์ค
à suivre...มาแล้วฮะๆๆๆๆๆ
กลับมาพร้อมกับปาร์ค 5555555555+
แต่เค้าน่ารักกว่าปาร์คนะ
ตัวละครก็จะวนๆ อยู่แค่นี้ เพราะตัวละครหลักมีเท่านี้
แอบกระซิบว่าตอนต่อไป มีตัวละครบางตัวที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อิอิ
แต่... บทบาทที่เข้ามา จะเป็นไปในทิศทางไหนยังไม่บอก ลองติดตามดู
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามนะฮะ
เจอกันตอนหน้า จุ๊บ