from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]  (อ่าน 35730 ครั้ง)

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ถ้าเรื่องนี้คนแต่งจะให้ปาร์คเป็นพระเอก
จะไหวเหรอ ไม่ไหวมั้ง

เลวได้บริสุทธิ์จริงๆ
ไม่มีดีเจือปนเลย

หรือว่าชอบคนเลวกันนัก
เชี่ยยยยยยยยเอ๊ยยยยย

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สำหรับเรานะ จะให้ฟร๊องอยู่ใน ฐานะใหนอ่ะ ? คู่นอนหรอ เปลี่ยนบรรยากาศงี้ ? เหอะๆ ตอนแรกก็อยากเป็นแฟนนะ แต่จากรูปการณ์แบบนี้ แค่เพื่อนยังไม่อยากเป็นเลย "มันน่ารังเกียจ"  :beat: :beat:

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 18 [31/5/2017]
«ตอบ #62 เมื่อ31-05-2017 19:50:37 »

Chapitre 18

   หลังจากออกจากสยามมา หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ หลังจากนั้นรถคันสวยคู่ใจของปาร์คก็เข้ามาจอดสนิทภายในเขตรั้วบ้านผมเรียบร้อย ระหว่างทางผมก็ถามว่าจะมาบ้านผมทำไม แต่กลับได้คำตอบพร้อมกับการหันมายักคิ้วกวนๆ กลับมาว่าจะไปไหว้พ่อตาแม่ยาย ดูมัน! แต่เอาเถอะครับ อยากมาก็มา

   “อ้าว รถใครน่ะฟร๊องก์” แม่เปิดประตูบ้านออกมาดูเมื่อเห็นรถปาร์คจอดสนิทอยู่ก่อนที่เจ้าของรถจะลงมา

   “สวัสดีครับคุณแม่” ปาร์คที่เพิ่งลงมาจากรถส่งเสียงพร้อมกับไหว้ทักทายแม่ของผมอย่างมีมารยาท ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มนั่นน่าหมั่นไส้มากเลยครับ แถมยังมีการหันมาเหล่ผมเป็นเชิงก่อกวนอีก
 
   “เพื่อนน่ะแม่ บ้านช่องไม่มีอยู่ สงสารเลยพามาบ้าน” ได้ทีผมกัดซะเลย

   “ไปว่าเพื่อน! ว่าแต่คนนี้ชื่อ... ภาคหรือปาร์คอะไรนั่นป่ะ แม่คุ้นๆ หน้า” แม่ผมมองหน้าปาร์คอย่างพิจารณา ถึงจะเคยเจอกันมาก่อนหน้า แต่ปกติพ่อกับแม่ผมจะจำชื่อเพื่อนไม่ค่อยจะได้หรอกครับ จะจำได้แค่คนที่เคยไปส่งบ้านหรือเจอบ่อยๆ หน่อย แต่อย่างปาร์คนี้ไม่ค่อยบ่อยมากนักครับ ยังดีที่แม่พอคุ้นชื่ออยู่บ้าง

   “ปาร์คครับผม” เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส

   “มาๆ เข้าบ้านก่อนสิ ว่าแต่เพื่อนกินอะไรมาหรือยัง”

   “ช่างมันเถอะแม่ โตแล้วให้กินเอาเอง โอ้ย!” ผมที่เดินตามแม่เข้ามาติดๆ พอพูดออกไปแบบนั้นเลยโดนแม่หันมาตีที่ต้นแขนเต็มๆ ครับ แสบมาก!

   “พูดแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวเถอะ!” ไม่เดี๋ยวแล้วมั้งแม่ เต็มแรงขนาดนั้น

   “ฮ่าๆ ยังไม่ได้ทานอะไรมาเลยครับ โดนเด็กดื้อลากมาบ้านซะก่อน” ปาร์คหัวเราะร่า แต่เดี๋ยวนะ! ใครเป็นคนลากมากันแน่ ไอ้นี่แม่งเนียนตลอด!!

   “เหรอออ!” ผมหันไปกัดแทบจะทันที

   “งั้นหาข้าวปลาให้เพื่อนกินด้วย แม่ทำงานก่อน” จากนั้นแม่ก็แยกตัวไปทำงานที่หน้าคอมพ์ฯ ต่อครับ ส่วนปาร์คก็ไหว้ทักทายพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟา ก่อนจะเดินตามผมเข้าไปในครัว

   “มีแกงคั่วหน่อไม้กับผัดผักคะน้าอยู่ กินได้เปล่า เดี๋ยวทอดไข่ดาวให้อีกอย่าง” ผมจัดการเปิดฝาชีดูสำรับอาหารว่าจะมีอะไรให้คุณชายปาร์ครับประทานบ้าง

   “กินได้หมดแหละ อยาก ‘กิน’ เจ้าของบ้านด้วย” ปาร์คเดินตามผมมา ก่อนจะสวมกอดและกระซิบเสียงแหบ (หื่น) ที่ด้านหลังขณะที่ผมกำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบไข่ออกมาทอดให้อีกฟอง

   “ไม่ต้องมาเนียนเลย! ปล่อยเดี๋ยวพ่อกับแม่เห็น” ผมดิ้นขลุกขลักใบอ้อมกอดนั้นก่อนจะที่ปาร์คจะหัวเราะอย่างร่าเริงที่ได้แกล้งผมแล้วจึงยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระไป

   “ว่าแต่จะได้กินเปล่าน๊า” ไอ้นี่ตั้งแต่ ‘คืนนั้น’ มาเริ่มแสดงออกและหื่นมากขึ้นทุกวันๆ แล้ว

   “กินหมัดนี่ก่อนไหมถ้ายังไม่หยุดพูดมาก!” ผมแกล้งหันมาทำหน้าตาบึ้งตึงใส่ พร้อมทั้งยกกำปั้นตัวเอาขู่

   “เร็วๆ นะ หิวแล้ว” ปาร์คหัวเราะกับท่าทางตลกของผม พลางเอามือมายีหัวผมเบาๆ

   “ตักข้าวไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวเลย ทอดไข่แป๊บเดียวแหละ” ผมสั่งก่อนจะลงมือทอดไข่ดาวให้มัน

   ไม่นานข้าวคำสุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในปากของคนที่นั่งยิ้มไปเคี้ยวข้าวไปตรงข้ามกับผม ส่วนผมไม่ได้กินหรอกครับ แต่โดยบังคับให้นั่งเป็นเพื่อน ไอ้คนที่นั่งกินข้าวก็ไม่ได้พูดอะไรมากหรอกครับ ซึ่งยังถือว่ามีมารยาทอยู่หน่อยที่ไม่กินข้าวไปพูดไป แต่ก็นั่งมองและส่งยิ้มให้ผมตลอดมื้ออาหารนั้น ส่วนผมเป็นยังไงน่ะเหรอ จะเป็นไงล่ะ ก็เขินสิครับ โดนจ้องแถมยังมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ๆ ที่ส่งมาให้ตลอดอีก ผมนี่อยากจะมุดใต้โต๊ะแล้วไปโผล่ที่ดาวอังคารมากเลย จ้องอยู่ได้ แล้วจะยิ้มอะไรมากมายก็ไม่รู้!

   “อ่า กับข้าวฝีมือแม่ฟร๊องก์อร่อยจัง” ปาร์คพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างก่อนจะวางช้อนส้อมลง

   “ใครว่าฝีมือแม่ ซื้อมาต่างหาก ฮ่าๆ” ผมบอกออกไป แต่จริงๆ แล้วเป็นฝีมือแม่แหละครับ

   “อ้าว นึกว่าจะได้กินฝีมือแม่... ยาย” ปาร์คพูดกวนๆ ขณะที่พูดคำสุดท้ายด้วยเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองคน

   “เป็นยังไงบ้าง กับข้าวฝีมือแม่พอใช้ได้ไหม” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อแม่เดินมาข้างหลัง เมื่อกี้แม่จะได้ยินไหมเนี่ย แล้วที่สำคัญปาร์คมันนั่งหันหน้าไปทางแม่พอดีด้วย ถึงไม่ได้ยินแต่ก็อาจจะอ่านปากออกก็ได้

   “สรุปนี่ฝีมือแม่เหรอครับ อร่อยมากเลยครับ ผมยังชมกับฟร๊องก์อยู่หยกๆ แต่ฟร๊องก์สิกลับบอกผมว่าแม่ซื้อมา ไม่ชมแม่ตัวเองเลย” ปาร์คพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน พร้อมทำท่าทำทางประจบประแจงยิ่งนัก

   “อ้าวไอ้ลูกคนนี้ ฝีมือแม่ตัวเองไม่ชม มันน่าตีนัก!” นั่นไงครับ ไอ้คนที่นั่งตรงข้ามกับผมถึงกับหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เลย ท่าทางมันสะใจมากครับทีได้แกล้งผม แล้วเห็นผมโดนแม่ดุ

   “ก็เห็นปกติแม่ซื้อมาตลอดนิ ใครจะไปรู้ว่าแม่ทำเอง” ผมพูดงอนๆ “แต่ฝีมือแม่ก็อร่อยที่สุดในโลกอยู่แล้ว” ก่อนที่จะเอาหัวไปไถๆ กับแขนแม่ เรื่องอะไรจะปล่อยให้คนอื่นเอาหน้าคนเดียวหล่ะ แม่ตัวเองก็ต้องอ้อนกันหน่อยสิ ทีไอ้คนที่ไม่ใช่ลูกยังอ้อนเอาๆ

   “ฟร๊องก์ไม่ได้กินไม่ใช่หรอ แล้วรู้ได้ไงว่าอร่อย” ปาร์คยังไม่จบครับ ตัวมันเองนี่พยายามกลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์จนหน้าดำหน้าแดงหมดเลย เวลามันพูดนี่ยิ้มเยาะแบบสะใจมากที่กำลังถือไพ่เหนือกว่าผม

   “เงียบไปเลย! ปกติฟร๊องก์ก็กินอยู่ตลอดเถอะ ฝีมือแม่อ่ะ ชิ!” ผมเถียงข้างๆ คูๆ ไม่ยอมๆ

   “แล้วบอกว่าปกติแม่ซื้อมา เอ๊ะ! ลูกคนนี้นี่ยังไง ฮ่าๆ” แม่ผมก็เป็นไปกับเขาด้วย นี่ผมเป็นลูกแม่นะ ไม่ใช้ไอ้คนที่นั่งหัวเราะร่าอยู่ตรงหน้า!

   “แม่อ่า! ไม่คุยด้วยแล้ว” ผมว่าพลางทำแก้มป่องๆ เหมือนเด็กไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีทั้งสองคนที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุย หึ! รุมแกล้งกันชัดๆ โกรธแล้วจริงๆ ด้วย

   “ไปลูกปาร์ค ไม่ต้องไม่สนใจคนขี้งอนหรอก ไปๆ” เอาเข้าไป ไม่คิดจะง้อผมกันสักคน ยิ่งเห็นแม่ผมทำแบบนี้ ไอ้คนที่เริ่มก่อกวนตอนแรกก็ถึงกับหัวเราะเสียงดังอย่างออกหน้าออกตาเลย สะใจมากสินะที่ชนะน็อคผมได้เลย แถมยังมีแม่เป็นพวกอีก โอ้ย! แค้นนน!!!

   “ไปอาบน้ำแล้ว ชิ!” ผมลุกออกจากโต๊ะอาหารอย่างงอนๆ ไม่สนใจกันเลย เสียใจ

**********__________**********

   อาบน้ำเสร็จผมก็จัดการแต่งตัวในห้องนอน ก่อนหน้าผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเลยครับ คงไม่ต้องแบบเหตุผลว่าเพราะอะไร ออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงของปาร์คกับแม่ แถมยังมีเสียงพ่อแทรกเข้ามาด้วย ท่าทางคุยกันสนุกสนานเลย ปกติแล้วพ่อผมจะเป็นคนที่คุยเก่งอยู่แล้วครับ ส่วนแม่ก็เฮฮาตามประสา ครอบครัวผมค่อนข้างมีเสียงหัวเราะ สนุกสนานครับ เลยเป็นอีกเหตุผลที่ผมเป็นคนติดบ้าน เพราะอยู่แล้วมีความสุข ใครก็อยากอยู่ใช่ไหมล่ะครับ แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นหมาหัวเน่าแล้ว มีขวัญใจคนใหม่นั่งคุยกันออกรสออกชาติเชียว อ๋อ ลืมบอกไปครับ ผมไม่ใช่ลูกคนเดียวเหมือนกับปาร์คนั่นล่ะ ผมมีพี่ชายอีกคนครับ แต่วันนี้ไม่อยู่บ้าน เสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จะไปบ้านแฟนครับ ถ้าวันปกติทั้งพี่และแฟนก็จะมาอยู่ที่บ้านของผม เพราะทำงานที่เดียวกัน

   ผมขลุกตัวอยู่ในห้องนอนนั่นล่ะครับ แถมยังกดล็อกประตูเอาไว้ด้วย ถ้าปาร์คจะกลับบ้านผมก็ไม่ออกไปส่งหรอกครับ กลับเอง! อยากแกล้งผมดีนัก ผมนั่งดูโทรทัศน์ในห้องอย่างไม่ทุกข์ร้อน พลางเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย (แบ่งตาข้างละอย่างครับ ข้างหนึ่งดูทีวี อีกข้างดูจอมือถือ ก็เทพเกิ๊น!)

   ก๊อก! ก๊อก!

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นดึงผมที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกจากภวังค์ กำลังดูวีดีโอที่คนแชร์ในเฟซบุ๊กอยู่เลยครับ ฮามาก! ขำท้องขดท้องแข็งกันเลยทีเดียว

   “...” ผมลดเสียงหัวเราะตัวเองลง ทั้งที่คลิปกำลังดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุด สงสัยปาร์คจะกลับแล้วแหละมั้ง

   ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก...!

   เสียงเคาะประตูรัวๆ ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นจังหวะการเคาะแบบสามช่าที่ปวดประสาทมาก เคาะแบบนี้อยากให้แม่เดินมาด่านัก ผมจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย!

   “กลับไปเลย ไม่ออกไปส่งหรอก หมั่นไส้!” ผมตะโกนบอกออกไปเสียงดัง ก่อนที่จะนั่งหัวเราะกับตัวเอง เสมอกันคนละยก อยากแกล้งผมก่อนดีนัก

   จากนั้นเสียงเคาะประตูก็เงียบไปครับ ผมแอบหวิวเหมือนกันนะ ไม่คิดจะง้อกันเลย สรุปว่าใครกันแน่ที่ชนะ ผมรู้สึกว่าปาร์คเป็นคนกำชัยไปเต็มๆ เลย กะจะแกล้งเขา แต่ตัวผมเองดันมานั่งเศร้าซะเอง

   สงสัยปาร์คจะกลับไปแล้วจริงๆ ครับ เสียงหน้าห้องหายไปนานแล้ว ไม่แม้แต่จะง้อ หรือจะส่งไลน์ ข้อความ หรืออะไรก็ได้มาบอกผมเลยแม้แต่น้อย แค่แกล้งงอนแค่นี้ก็ง้อกันไม่ได้ ผมก็น้อยใจเหมือนกันนะ สรุปแล้วผมสำคัญกับมันจริงหรือเปล่า หรือแค่อยากลองใจสนุกๆ กับผมแค่นั้น

   ผมนอนเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย สายตาที่มองที่หน้าจอก็หาจุดโฟกัสไม่ได้เช่นกัน ผมเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลาไปอย่างนั้นแหละ แต่ในใจผมมันกำลังกระวนกระวาย คิดมากเรื่องที่เกิดขึ้นมากก่อน ทุกอย่างที่มันกำลังจะดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปยืนอยู่ที่เดิม เหมือนที่ผมเคยเป็นมา ทุกอย่างที่มันไม่ชัดเจน ใจและความรู้สึกของปาร์คเองก็ยังไม่ชัดเจนเหมือนกัน
 
   แกร๊ก...

   ผมถึงกับสะดุ้งจนต้องเด้งตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อตัวเองกำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ แต่จู่ๆ กลับมีเสียงไขกุญแจก็ดังขึ้น เห้ย! ผมว่าผมเก็บลูกกุญแจของห้องผมมาหมดแล้วนะ ไปเอามาจากไหน!

   “งอนหรือไง” ปาร์คปรากฏตัวขึ้นหลังประตูบานนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ และกำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ที่เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่เป็นลอนสวย ขับกับผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดราวกับผิวที่ผ่านการบำรุงมาอย่างดี กับท่อนล่างที่มีเพียงผ้าขนหนูที่ซึ่งมัดอย่างหมิ่นเหม่เกาะอยู่ที่ช่วงสะโพก ไรขนอ่อนๆ ไล่จากสะดือลงไปจนถึง... ส่วนนั้น พอๆ ผมเองก็จะเป็นลมกับภาพตรงหน้าแล้วเหมือนกัน

   “เอากุญแจมาได้ไง!” ผมถามเสียงเข้ม ก่อนที่ปาร์คจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับกดล็อกประตูอีกครั้ง แล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมที่นั่งอยู่บนเตียง

   “ระดับนี้แล้วไอ้น้อง ไม่ใช่เรื่องยาก” ปาร์คยักคิ้วกวนๆ พร้อมทั้งตัวเองที่มาหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียงของผมแล้ว สถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมเกินไปแล้ว ผมเกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัยต่อตัวผม

   “ไปแต่งตัวเลย เสื้อผ้าหาๆ เอาตัวใหญ่ๆ หน่อยในตู้อ่ะ ไม่รู้มีเปล่า” ผมเอ่ยปากไล่ส่งๆ ไม่ไหวครับ ตอนนี้หัวใจผมเริ่มเต้นแรงแล้ว ขืนมันอยู่ในสภาพนี้นานกว่านี้ผมได้หัวใจวายตายซะก่อน

   “แต่งทำไม ยังไงเดี๋ยวก็ต้องถอด” ปาร์คว่าพร้อมกับยื่นหน้าและโน้มตัวเข้ามาหาผม เห็นไหมล่ะครับ ว่าหลังจากคืนนั้นมามันหื่นมากขนาดไหน

   “อย่ามาทะลึ่ง ไปแต่งตัวเลย!” ผมดันแผงอกแน่นนั้นให้ห่างออกจากตัวผม ก่อนที่ปาร์คจะหัวเราะเล็กน้อยแล้วยอมเดินไปหาชุดในตู้เสื้อผ้าของผม ไม่รู้ว่ามันจะใส่เสื้อผ้าของผมได้หรือเปล่า แต่เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ น่าจะมีอยู่นะ แบบฮิปฮอปๆ ตัวใหญ่ๆ อ่ะเคยมีอยู่ ส่วนกางเกงก็ใส่กางเกงบอลยางยืดไปแล้วกัน

   ผมนั่งมองปาร์คที่คว้าเอาเสื้อตัวใหญ่ๆ (สำหรับผม) ที่บอกก่อนหน้ากับกางเกงบ็อกเซอร์ที่ปกติผมไม่ค่อยชอบใส่เท่าไรอีกตัวมาใส่ มันก็เป็นการสวมเสื้อผ้าปกติเนี่ยล่ะ ติดแค่ว่าปาร์คมันลืมหรือเปล่าว่ามีผมนั่งอยู่ในห้องด้วย ก็จังหวะที่มันยกขาเพื่อใส่บ็อกเซอร์น่ะสิครับ ผมเห็นทะลุเข้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว (ถึงจะเคยเห็นก่อนหน้านี้แล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ชินอยู่ดีแหละ) เข้าใจถูกแล้วครับ ปาร์คไม่ได้ใส่กางเกงใน มึงจะชิลล์ไปไหน ไม่ได้นอนที่คอนโดฯ หรือบ้านตัวเองนะเห้ย!

   “แอบมองเหรอ!” ปาร์คเหวี่ยงผ้าเช็ดตัวมาคลุมหัวผม ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ว่าฟูกข้างๆ จะยวบลงไปด้วยน้ำหนักตัวของคนที่ทิ้งตัวลงมา

   “เล่นอะไรสกปรก!” ผมดึงผ้าขนหนูที่ปาร์คใช้เช็ดไข่ ? ออกจากหัว ก่อนจะหันไปแหวใส่ แต่... ต้องผงะเมื่อใบหน้าเรียวสีน้ำผึ้งเนียนใสของปาร์คอยู่ห่างจากหน้าผมเพียงไม่ถึงคืบ

   “แล้วแอบมองทำไม อยากดูบอกดีๆ ก็ได้” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ปนหื่นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทผม เล่นเอาผมขนลุกได้เหมือนกัน แถมรอยยิ้มนั้นยังไม่น่าไว้ใจอีกต่างหาก

   “หลงตัวเอง ถอยออกไปเลย!” ผมว่าพร้อมกับผลักแผงอกปาร์คให้ถอยห่างออกไป แต่มีหรือที่ปาร์คจะยอมง่ายๆ มันขืนตัวไว้ครับ จนผมที่เป็นคนดันมันตอนแรกกลับร่นถอยหลังไปซะเอง ตัวหนักฉิบหาย!

   “ว่าแต่เมื่อหัวค่ำนี่ยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ” ปาร์คยังคงมองหน้าผมในระยะใกล้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมจ้องลึกเข้ามายังดวงตาผมราวกับจะบีบบังคับให้ผมยอมจำนนทางสายตา

   “เคลียร์อะไร ก็บอกไปแล้วว่าไปกับแคมป์ กับแซนด์” ผมว่าก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งใหม่ เป็นขยับห่างออกจากปาร์คแล้วนั่งพิงที่หัวเตียงแทน มือก็คว้ามือถือมากดเพื่อเบี่ยงความสนใจ

   “แล้วไหนกลายมาเป็นไอ้ผู้ชายขี้เก็กนั่น” ปาร์คไม่ยอมให้ผมหนีได้ครับ เอื้อมมือมาคว้าโทรศัพท์ออกจากมือผม พร้อมกับเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของปาร์คที่รดรินข้างแกมของผมในระยะแค่ไม่กี่นิ้ว

   “เจอกันโดยบังเอิญ ไม่เชื่อถามแซนด์มันดูก็ได้ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย” ผมเหลือบตาไปมองปาร์คที่อยู่ใกล้จนได้กายกลิ่นสบู่อ่อนๆ ก่อนจะอธิบายว่ามันไม่ได้มีหรือเป็นอย่างที่ปาร์คคิดเลย

   “หึหึ ดีแล้ว ถ้างั้นต้องเปลี่ยนบทลงโทษมาเป็นให้รางวัลแทน” ยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ ปาร์คก็คว้าตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเป็นทีเรียบร้อย แถมเจ้าตัวยังล้มตัวลงนอนกับเตียง ทำให้สภาพของผมตอนนี้กำลังดิ้นขลุกขลักอยู่บนตัวปาร์คซะแล้ว

   “อื้อ อึดอัด” ผมพูดเสียงอ่อน

   “ก็หยุดดิ้นสิ” ปาร์คว่าพร้อมกับริมฝีปากที่กำลังขบเม้มติ่งหูของผมอย่างแผ่วเบา

   “วันนี้เหนื่อยแล้ว” เสียงของผมยังคงดังแผ่วๆ เป็นเชิงขอความเห็นใจ วันนี้เหนื่อยแล้วจริงๆ ครับ อีกอย่างมันเป็นข้ออ้างด้วย ครั้งที่แล้วผมเองก็สติไม่เต็มร้อย เพราะกำลังสะลืมสะลือ ส่วนปาร์คเองก็ดูเมาเล็กน้อย แต่วันนี้สติของเราทั้งคู่ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ผม... ไม่พร้อม

   “งั้นขอแค่... จูบนะ” ปาร์คที่ยังไม่หยุดเล่นกับใบหูของผมเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า

ริมฝีปากเรียวสีแดงระเรื่อนั้นจะค่อยๆ ซุกซนมากขึ้นเรื่อยๆ จากใบหูก็เริ่มลามลงไปยังลำคอของผมอยู่สักพัก และขึ้นมากดฝังจมูกและริมฝีปากหนักๆ ที่แก้มด้านซ้าย มือใหญ่ของปาร์คที่สอดเข้ามาภายในเสื้อยืดตัวบางของผมนั้นก็เริ่มอยู่ไม่นิ่งเช่นกัน อารมณ์ของผมพุ่งพล่านจนหยุดไม่อยู่เมื่อฝ่ามือนั้นลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของผมอย่างสะเปะสะปะ เสียงหายใจหอบหนัก ถี่ๆ ของเราสองคนดังสลับกัน ก่อนที่ริมฝีปากคู่นั้นจะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของผม

   ปาร์คคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยิ้มรับ ริมฝีปากนั้นก็กดประทับรสจุมพิตหวานละมุนลงบนริมฝีปากผมเป็นที่เรียบร้อย บทจูบกินเวลาเนิ่นนานหลายนาที จากจูบแผ่วเบาแสนหวานค่อยๆ ร้อนแรงมากขึ้นตามลำดับ จนผมเองเริ่มหายใจไม่ทัน และสุดท้ายปาร์คก็จำต้องถอนริมฝีปากออกด้วยท่าทางเสียดาย

   “เหนื่อยก็นอนเถอะ” ปาร์คบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงฉายแววอยู่บนหน้า ก่อนจะผละตัวผมออกจากอ้อมกอด แล้วเปลี่ยนเป็นจัดท่านอนให้ผมแทน ผมที่ยังคงมึนกับเหตุการณ์ก่อนหน้า รู้สึกว่าร่างกายมันอ่อนระทวยไปตามแรงของปาร์คไปหมด

   “ฟร๊องก์... รักปาร์คนะ” ผมพูดออกไปอย่างแผ่วเบา จนขนาดตัวผมเองยังแทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง

   “รักฟร๊องก์เช่นกันครับ ฝันดีนะ” ปาร์คก้มลงมาจูบที่เปลือกตาผมเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะลุกไปปิดไฟ แล้วกลับขึ้นมาดึงผมเข้าไปในอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง อ้อมกอดอันอบอุ่นของคนที่ผมรักซึ่งผมพยายามไขว้คว้ามาเนินนาน และอ้อมกอดนี้ก็เป็นของผมแล้วในตอนนี้...

**********__________**********

   ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนเล็กน้อย แสงแดดเริ่มส่องมาแยงตาแล้ว แสดงว่าสายแล้ว ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่ความง่วงก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ แต่กลับพบกับเตียงที่ว่างเปล่า ปาร์คหายไปไหน

   ผมสะบัดหน้ารัวๆ ไล่ความมึนอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากเตียงเพื่อออกไปล้างหน้าและตามหาคนที่หายไปว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน หรือว่าจะหนีกลับไปแล้ว ถ้ากลับแล้วไม่บอกผมโกรธจริงๆ ครับ จะบอกกันสักนิดก็ไม่มี

   “แค่นี้ใช้ได้ยังครับ” เสียงปาร์คแว่วดังเข้ามาในหูผมเมื่อผมเปิดประตูห้องนอนออกมา

   “อีกสักแป๊บลูก เดี๋ยวมันจะแข็งเกินไป” เสียงแม่ผมเองครับ ทำอะไรกันตั้งแต่เช้าเชียว (จริงๆ นี่มันจะ 11 โมงแล้ว ไม่เช้าแล้วมั้ง)

   ผมเดินตามไปยังต้นเสียง แล้วก็ต้องอมยิ้มกับภาพตรงหน้า ปาร์คกำลังเรียนรู้การทำอาหารจากแม่ผมครับ แบบนี้เขาเรียกว่าการฝากเนื้อฝากตัวหรือเปล่า ดูท่าทางปาร์คจะตั้งใจมากเลยครับ เพราะทั้งสีหน้าและท่าทางดูจริงจังและแอบเกร็งเล็กๆ คงกลัวทำพลาดล่ะมั้ง

   “ทำอะไรกันอยู่อ่ะ” ผมโผล่เข้าไปข้างหลังของทั้งสองคน

   “สปาเก็ตตี้ไวท์ซอส ทำอาหารหรูๆ ต้อนรับเพื่อนเราหน่อย” แม่ผมหันมาตอบยิ้มๆ ให้กับผม

   “คุณแม่ก็เว่อร์ไปครับ ฝีมือผมจะกินกันลงเปล่าก็ไม่รู้” ปาร์คยิ้มพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหัวอย่างเก้อๆ

   “ออกมาอร่อยแน่นอน มีแม่อยู่ทั้งคน ว่าแต่เจ้านี่เถอะ รีบไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา จะได้มากิน” แม่พูดกับปาร์ด้วยท่าทางที่มั่นใจ ก่อนจะหันมาไล่ผมให้ไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย สภาพผมตอนนี้คงแย่มากเลยสินะ ฮ่าๆ

   “ทำเร็วๆ นะ จะรีบมากิน หวังว่าจะไม่ท้องเสีย ฮ่าๆ” ผมหันไปหยอกล้อปาร์คที่เพิ่งเห็นว่าใส่ผ้ากันเปื้อนลายสติทช์สีฟ้า ตัวการ์ตูนตัวโปรดของผมเองแหละ (รู้สึกว่าปาร์คเองก็ชอบเหมือนกันนะ บอกว่ามันฟันเหลืองตลกดี ฮ่าๆ) ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้มันหรอก แต่พอเห็นปาร์คใส่แล้วผมถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ มันทั้งน่ารักและดูตลกในคราวเดียวกัน

   “ดูถูก! ค่อยดูแล้วกัน” ปาร์คผลักหัวผมเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยักคิ้วกวนๆ ให้แทน

   แม่มองภาพการหลอกล้อของผมกับปาร์คยิ้มๆ ครับ ไม่ได้ว่าหรือแสดงท่าทีอะไร ผมไม่รู้ว่าแม่จะรู้หรือดูออกหรือเปล่าว่าผมกับปาร์คมันเกินกว่าเพื่อนปกติ ถึงแม้ว่าทางบ้านผมจะรู้ก็เถอะว่าผมเป็นแบบไหน

   จากนั้นผมก็ปล่อยให้ปาร์คเป็นลูกมือทำสปาเก็ตตี้กับแม่ต่อครับ ส่วนผมก็ไปทำธุระส่วนตัวเล็กน้อย โดยไม่ได้อาบน้ำครับ ขี้เกียจ (สกปรกเนอะ) ก็แหม... เพิ่งอาบไปก่อนนอนเองนี่ครับ ไม่ได้เปรอะเปื้อนอะไรสักหน่อยจะอาบอีกทำไม เปลืองน้ำเปล่าๆ ยุคนี้เราต้องช่วยกันประหยัด ฮ่าๆ (โคตรอ้างเลย)

   “เสร็จยางงง” ผมแหกปากร้องโอดโอยหลังจากที่ทาครีมบำรุงผิวอะไรเสร็จ มันก็ต้องมีบ้างแหละ เห็นผมอย่างนี้ เจ้าสำอางเหมือนกันนะ ฮ่าๆ ตอนแรกที่ตื่นก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอกครับ แต่ตอนนี้โคตรหิวเลย

   “เดี๋ยวปาร์คใส่แป้งสาลีในกระปุกนั้นลงไปหน่อย แล้วเทนมใส่เลยนะลูก ผัดแป๊บหนึ่งก็ปิดไฟได้เลย” แม่อธิบายขั้นตอนกับปาร์ค แม่ผมเป็นคนทำอาหารเก่งครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไทยมากกว่า แต่อาหารฝรั่งก็พอได้อยู่นะ ผมได้วิชามาจากแม่เนี่ยแหละครับ ว่าแต่ไม่มีใครได้ยินเสียงผมเหรอ ไม่สนใจกันเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว!

   “หิวแล้ววว” ผมยังไม่เลิกราครับ คราวนี้เดินไปแทรกกลางระหว่างแม่กับปาร์คเลย

   “หิวก็ไปจัดเส้นสปาเก็ตตี้ใส่จานเลย ซอสนี่จะเสร็จแล้ว ปาร์คทำอร่อยมากเลยนะ” ชมกันออกนอกหน้าเชียว เจ้าตัวที่ได้รับคำชมก็ถึงกับยิ้มหน้าบานเลย แต่จะว่าไปไวท์ซอสขาวๆ ข้นๆ ในกระทะที่ปาร์คกำลังคนอยู่นั้นดูน่ากินมากเลยทีเดียว มีพรสวรรค์เหมือนกันนะเนี่ย

   “ว่าแต่พ่อไปไหนอ่ะแม่” ผมถามขึ้น ตั้งแต่ตื่นมาก็ไม่เห็นพ่อเลย ไม่ได้เดินออกไปดูด้วยว่ารถอยู่เปล่า แต่ถามไปก่อน ฮ่าๆ

   “รายนั้นออกไปตั้งแต่สายๆ แล้ว ก็ออกไปส่องพระตามเคยแหละ ธุรกิจส่วนตัวของเขา” ฟังไม่ผิดหรือครับ พ่อผมเป็นนักส่องพระตัวยงเลย อาชีพหลักของพ่อกับแม่ผมเป็นครูครับ ส่วนอาชีพลองของพ่อก็อย่างที่บอก ส่วนแม่เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานบ้าน ทำเอกสาร ถ้าว่างหน่อยก็มีตัดชุดทำงานใส่เองบ้าง รับตัดบ้าง แต่หลังๆ มานี้งานเอกสารแม่เยอะครับ ผมไม่ค่อยเห็นแม่ตัดเสื้อผ้ามานานแล้ว แต่แม่ผมจะต้องหาอะไรทำตลอดครับ เหมือนเป็นคนไฮเปอร์ ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ วันดีคืนดีออกไปตัดแต่งต้นไม้ในบ้านเองด้วยซ้ำ แต่เพราะพ่อกับแม่ผมเป็นครูด้วยมั้งครับ ผมเลยโตมาในแบบที่ค่อนข้างมีกรอบอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับว่าทุกอย่างจะต้องเป๊ะ ต้องเป็นระเบียบซะหมด แต่เพื่อนผมชอบบอกว่าผมน่ะเรียบร้อยโดยเฉพาะต่อหน้าผู้ใหญ่หรือคนที่อาวุโสกว่า เรื่องนี้ผมโดนพ่อย้ำมาตั้งแต่เด็กๆ ครับ

   “ตลอด! บ้านช่องไม่เคยอยู่เลย ว่าแต่ทำไมเส้นมันมันจังอ่ะแม่” ผมบ่นอุบอิบถึงพ่อตัวเองแบบไม่จริงจัง เพราะเป็นกิจวัตของพ่อทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ก่อนที่จะใช้มือหยิบเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อจัดใส่จาน

   “แล้วทำไมไม่ใช้ส้อม!” แม่พุ่งมาตีมือผมทันทีเลยครับ แถมลูกทีมตัวดียังหัวเราะเสียงดังเยาะเย้ยผมอีก เลยเจอผมค้อนกลับไปวงใหญ่

   “ก็เส้นคลุกน้ำมันมะกอกไว้นิ จะไม่มันได้ไง” ปาร์คว่าขณะที่ยกกระทะลงจากเตามาวางไว้ที่วางของร้อน

   “ใส่ทำไมอ่ะ” ผมถามแบบงงๆ

   “ก็ให้เส้นมันไม่ติดกันไง อีกอย่างเส้นมันจะได้เงาสวยด้วย” ปาร์คหันมายิ้มอย่างภาคภูมิกับความรู้ที่ตนเองมี

   “บร๊ะ! เก่งจริงอะไรจริง” ผมแกล้งกัดกลับไปก่อนจะแลบลิ้นใส่อย่างหมั่นเขี้ยว ตอนนี้มอบหน้าที่จัดเส้นสปาเก็ตตี้ใส่จานให้แม่เรียบร้อยแล้วครับ ถ้าผมทำเองมีหวังเละกินไม่ได้แน่ๆ (แต่ผมว่าไม่เละหรอกแต่จะสกปรกมากกว่า)

   “ได้คนเทรนด์ดี มีแม่สวยเก่งขนาดนี้ อยากจะมาสมัครเป็นลูกด้วยอีกสักคนเลย” ปาร์คพูดทีเล่นทีจริง แต่ผมหน้าร้อนผ่าวเลยครับ มันเป็นการเปิดตัวและเปิดช่องทางหรือเปล่า

   “ปากหวานเชียวนะ ถ้าว่างก็มาเที่ยวบ่อยๆ สิ บอกเจ้าฟร๊องก์ไว้ก็ได้” แม่ผมก็ไม่มีปฏิเสธเลยครับ ตบปากรับคำง่ายเชียว ทำเอาคนพูดก่อนหน้ายิ้มหน้าบานเชียวครับ แถมยังยักคิ้วกวนๆ ให้ผมอีกต่างหาก

   หลังจากนั้นเราสามคนก็มานั่งรวมตัวที่โต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับจานสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสที่หน้าตาน่าทานมากๆ คนละจาน กลิ่นหอมของซอสนมสดผสมกับพริกไทที่โรยมาด้านบนโชยเตะจมูกผมจนน้ำลายสอ และก็ไม่รอช้า ผมจัดการหมุนเส้นสีเหลืองอ่อนซึ่งถูกเคลือบไว้ด้วยซอสขาวข้นเข้าปากทันที ก็หิวมากนี่ครับ เห้ย! จะว่าไปมันก็อร่อยเหมือนกันนะ ไม่อยากจะเชื่อ

   “เป็นไง ฝีมือปาร์คใช้ได้ป่ะ” ปาร์คหันมาเลิกคิ้วถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   “อร่อย! ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย” ผมหันไปยิ้มตอบทั้งที่ยังคงเคี้ยวเส้นสปาเก็ตตี้อยู่เต็มปาก

   “นี่ปาร์คปรุงเอง ผัดซอสเองหมดเลยนะ แม่แค่บอกขั้นตอนเฉยๆ” แม่ผมเสริมทัพอีกคนครับ เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับยิ้มหน้าบานเลยทีเดียว

   “เก่งนี่หว่า” ผมแซวต่อไม่หยุดปาก แต่ซอสที่ปาร์คทำถือว่าอร่อยใช้ได้เลยครับ รสชาติกลมกล่อม น้ำซอสก็ไม่ได้ข้นมากเกินไป แถมเส้นสปาเก็ตตี้ก็ยังมีกลิ่นอ่อนๆ ของน้ำมันมะกอกด้วย โดยรวมถือว่าดีมากเลย

   ไม่นานเราทั้งสามก็จัดการสิ่งที่อยู่ในจานตรงหน้าจนหมดครับ แม่ผมขอตัวลุกไปทำงานต่อก่อน และก็ทิ้งจานไว้ให้ผมล้าง ซึ่งกะว่าจะโยนให้ไอ้คนที่นั่งข้างๆ ล้างให้อีกที ไม่รู้ว่าผมหิวมากหรือว่าอะไร เลยทำให้ผมกินสปาเก็ตตี้ตรงหน้านี้หมดเกลี้ยง มันไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกันนะครับ ถ้าเทียบกับปริมาณอาหารที่ผมกินปกติ แต่ผมกลับกินมันหมดโดยไม่ได้รู้สึกว่ากำลังทรมานตัวเอง หรืออาจเป็นเพราะ... มันเป็นฝีมือของปาร์คด้วย


à suivre...

ทุกคนเตรียมยำเล็บมือนางไว้ให้ปาร์คกันเต็มเลย 5555555+

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ทั้งหมดมันคือภาพลวงตา
มันไม่เคยมีจริง

ไม่มีอยู่จริง

หลอกลวงทั้งเพ
มีแต่สัด และก็ เหี้....ย

+1 คนแต่ง

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รอดูว่าปาร์คจะทำยังไงกับความสัมพันธ์นี้ต่อไป ระวังเถอะความไม่แน่นอนของปาร์คจะทำตัวเองเจ็บซะเองนะปาร์ค

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 19 [4/6/2017]
«ตอบ #66 เมื่อ04-06-2017 20:10:06 »

Chapitre 19

   หลังจากที่อิ่มหนำจากมื้ออาหารสไตล์ยุโรปฝีมือปาร์ค ผมกับปาร์คก็กลับมานอนเล่นกันในห้อง ปาร์คที่นอนดูโทรทัศน์ไปกอดผมไป อยู่ๆ ก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปซะงั้น แล้วยังกอดผมซะแน่นไม่ยอมปล่อยอีกต่างหากครับ จนสุดท้ายผมก็หลับตามไปติดๆ และสะดุ้งตื่นมาอีกทีเพราะปวดฉี่จนทนไม่ไหว เลยต้องจำใจปลุกคนที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ ให้ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดนั้น
   เมื่อลุกไปเข้าห้องน้ำเสร็จ กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็ต้องหลุดหัวเราะกับปาร์คที่นั่งตาปิดผมเผ้ารุงรัง หมดสภาพคนหล่อชอบวางมาดเลยครับ เห็นแล้วอยากถ่ายรูปแท็กลงเฟซบุ๊กให้รู้กันทั่วเลย ผมเดินไปเปิดม่านที่ปิดกันแสงแดดเมื่อตอนบ่ายออก ปรากฏว่าฟ้าด้านนอกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงทะมึนแล้วครับ นี่เราสองคนนอนยาวเหมือนกันนะ ผมที่หลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เลยบอกไม่ได้ว่านอนไปนานแค่ไหน

   “จะกลับหอเลยหรือเปล่า” ปาร์คถามทั้งที่ยังคงนั่งในสภาพแบบเดิม

   “กลับเลยก็ได้ เดี๋ยวจะดึก” ผมตอบออกไป ก่อนจะเก็บของใช้บางส่วนที่เอากลับบ้านใส่กระเป๋า จริงๆ ว่าจะเก็บตั้งแต่บ่ายแล้วครับ แต่... โดนกอดอยู่ให้ทำไง

   “งั้นปาร์คไปอาบน้ำก่อนนะ” แล้วปาร์คก็คว้าผ้าขนหนูที่มันเหวี่ยงคลุมหัวผมเมื่อคืนออกไปด้วยสภาพที่งัวเงียเต็มพิกัด ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้วยังไม่หายง่วง ผมนั่งรถโดยสารสาธารณะกลับก็ได้นะ ปลอดภัยกว่าอีกดูๆ แล้ว

   ในที่สุดผมก็มาถึงหออย่างปลอดภัยครับ ก่อนออกมาจากบ้าน แม่ผมรีบบอกปาร์คใหญ่เลยว่าให้แวะไปที่บ้านอีกบ่อยๆ เดี๋ยวจะสอนทุกอาหารโน้นนี่สารพัด ดูท่าทางหญิงแม่ผมจะปลื้ม... ลูกเขย? คนนี้มากเลยครับ ปาร์คเองก็ดูท่าทางปลื้มอกปลื้มใจที่เข้ากันได้ดีกับแม่ของผม

   ก่อนที่ผมจะได้ลงจากรถ มีหรือที่ปาร์คจะปล่อยให้ผมจากไปง่ายๆ มันคว้าท้ายทอยของผมเข้าไปหา ก่อนจะบดจูบอย่างหื่นกระหายราวกับไม่ได้สัมผัสมันมาเป็นปีๆ ทั้งที่เพิ่งจะจูบผมไปเมื่อคืน ผมทำเป็นดิ้นเล็กน้อย แต่ก็ปล่อยเลยตามเลยจนปาร์คพอใจ มันถึงได้ปล่อยผมให้เป็นอิสระครับ ผมก็รีบคว้ากระเป๋าลงจากรถทันที ขืนอยู่ต่อก็โดนเอาเปรียบอีกสิ

***********__________************

   วันจันทร์กลับมาเยือนอีกแล้วครับ ผมต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้มีเรียนเช้าครับ แต่งตัวเสร็จไม่นานเก็ทก็โทรมาบอกว่ามาถึงหอผมแล้วตามปกติ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติครับ มีแต่ตัวผมนี่แหละที่อารมณ์ดี สดชื่นและร่าเริงกว่าปกติ ก็เพราะความน่ารักของปาร์คก่อนหน้านี้แหละครับ เวลานึกถึงทีไรมันก็ทำให้ผมยิ้มไม่หุบ ทั้งตอนที่เรานอนกอดกัน รอยจุมพิตที่เปลือกตาของผม ไหนจะเส้นสปาเก็ตตี้ที่ผมคิดว่ามันอร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมานั่นอีก แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องเขินจนกลั้นยิ้มไม่อยู่มากที่สุดคงเป็น... รสจูบอันหอมหวานนั้นที่ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง ผมก็ไม่รู้สึกเบื่อ

   “เป็นอะไรนั่งยิ้มอยู่คนเดียว ตั้งแต่ที่หอล่ะ” เก็ทถามขึ้นหลังจากที่รับผมออกมาจากหอได้สักพัก และกำลังมุ่งหน้าไปยังคอนโดฯ ของโดนัทที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก

   “เปล่าๆ อารมณ์ดีไม่ได้หรือไง” ผมหันมาทำหน้าบึ้งใส่ คนจะมีความสุขบ้างไม่ได้หรือไง

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไร เห็นยิ้มได้ก็ดีแล้ว” เก็ทว่าเสียงนิ่งๆ ตามสไตล์ แต่กลับมีผ่ามือใหญ่อุ่นๆ มายีผมของผมเบาๆ

   “หัวยุ่งหมดแล้ว!” ผมคว้ามือใหญ่นั้นออกจากหัว พร้อมกับแกล้งทำหน้ามุ่ยๆ ใส่

   “มีความสุขแบบนี้ไปนานๆ ล่ะ” เก็ทหันมามองผมก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับถนนด้านหน้าต่อ นี่แหละครับเพื่อนดีๆ ของผมอีกคน คนที่อยู่กับผมตลอดทั้งเวลาสุขและทุกข์ เก็ทไม่เคยทิ้งผมไปไหน

   “แน่นอนอยู่แล้ว” ผมทำท่าล้อเลียนพิธีกรชื่อดัง โดยใช้นิ้วชี้ชี้ไปยังเก็ท

   “หึหึ” เก็ทส่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยกับท่าทางของผม แต่ไม่ได้หันมามอง “ยังไงก็อย่าก้าวเร็วเกินไปแล้วกัน ค่อยเป็นค่อยไป เผื่ออะไรๆ อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด” เก็ททิ้งท้ายประโยคที่ทำให้ผมต้องตีความ แต่ก็ถือว่าเป็นข้อคิดที่ดีมากๆ แต่ตอนนี้ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าระหว่างผมกับปาร์คมันก้าวไปเร็วเกินไปหรือเปล่า จากเมื่อก่อนความสัมพันธ์ของเราก็คงที่มาอยู่ตลอด จนมาถึงตอนที่เราทะเลาะกัน มันเหมือนกับว่าเราห่างกันไปแล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับดีขึ้นมากๆ อย่างน่าประหลาด ทุกอย่างมันดูก้าวกระโดดไปหมด แล้วทางที่เราก้าวเดินไปมันจะมีช่องว่างที่ทำให้คนใดคนหนึ่งหรือเราทั้งคู่ก้าวพลาดหรือเปล่า

   ผมเก็บคำพูดของเก็ทมานั่งคิดในคาบเรียน จนผมรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างกับบทเรียน ก็มีเก็ทคนเดิมแหละครับที่ต้องเรียกสติของผมให้อยู่กับตัว ผมคงเป็นคนที่คิดมากไปมั้ง มีอะไรมาสะกิดนิดหน่อยผมก็คิดมากไปหมด ผมแค่กลัว... กลัวเรื่องของผมกับปาร์ค เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยมีอะไรชัดเจนเกี่ยวกับเราสองคนเลย หรือแม้แต่ตอนนี้ ผมอาจจะคิดไปคนเดียวก็ได้ว่าเรากำลังเป็น... แฟนกัน

   “คิดมากอะไรอีก เมื่อเช้ายังยิ้มๆ อยู่เลย” เก็ทถามขึ้นขณะที่พวกเรากำลังเก็บของหลังจากเลิกเรียนเพื่อไปกินข้าว

   “ก็เรื่องเดิมๆ แหละ ฟร๊องก์แค่รู้สึกไม่มั่นใจ ฟร๊องก์กลัวจะไม่เป็นไปตามที่คิดอย่างที่เก็ทพูด” เมื่อเพื่อนคนอื่นเดินออกจากห้องไปหมดแล้ว ผมจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเก็ทด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ

   “คิดเยอะไปแล้วนะเรา เก็ทแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ สักหน่อย” เก็ทเอื้อมมือมาโยกหัวผมเบาๆ ก่อนจะยิ้มเป็นกำลังใจให้ผมคลายความกังวลลง ถึงจะรู้สึกขึ้น แต่ก็ยังแอบคิดอยู่เล็กๆ เหมือนกัน ผมกลัวว่าคำพูดของเก็ทจะเป็นจริง

   “ไปกินข้าวกันเถอะ พวกนั้นรอแย่แล้ว” ผมยิ้มแห้งๆ ตัดบท ผมรู้ว่าเก็ทเองก็เป็นห่วงความรู้สึกของผมอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นจะให้มันมาคิดมากไปกับผมด้วยคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ผมเลยเลือกจะปล่อยให้มันผ่านไปดีกว่า อย่างน้อยผมคิดมากคนเดียวก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นต้องมาเป็นกังวลหรือเดือดร้อนไปด้วย

   “กูล่ะเบื่อผัวเมียคู่นี้จริงๆ เลย รอจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย” นุ่นขาประจำปล่อยหมาออกจากปากทันทีที่ผมออกมาจากตึกไปยังรถที่พวกเพื่อนๆ ผมรออยู่

   “หวัดดีพี่ ดีครับพี่เก็ท” เสียทะเล้นๆ ของทาร์ตดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ยืนอยู่กับพวกนั้นก่อนหน้าโบกมือทักทายผมกับเก็ทด้วยรอยยิ้มกว้าง โชว์เหล็กดัดฟันสีใหม่ คราวนี้มาเป็นสีชมพูเชียวครับ มึงจะหวานไปป่ะ?

   “อ้าวทาร์ตไม่มีเรียนเหรอ” ผมยิ้มทักทายผู้มาเยือนคนใหม่ ผมไม่ได้เจอหน้ามันมาเป็นอาทิตย์แล้วครับ ตั้งแต่หลังจากกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างคณะวันนั้น ก็เพิ่งเจอมันเนี่ยแหละ จะมีก็แค่คุยกันทางโทรศัพท์

   “โห้พี่ นี่เที่ยงแล้วนะ” ทาร์ตทำหน้าตากวนๆ เออๆ ก็ลืมบ้างอะไรบ้าง

   “นี่ผัวหลวง ผัวน้อย แล้วก็คุณเมีย มึงจะคุยกันอีกนานไหมคะ กูหิวข้าวมากเลยค่ะ” นุ่นขัดบทสนทนาระหว่างผมกับทาร์ตขึ้นมา ทำให้ทุกคนขำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะตกลงว่าไปกินที่ไหนกัน สรุปคือออกไปกินร้านนอกมหาวิทยาลัยครับ เพราะพวกผมมีเรียนอีกทีก็บ่ายสอง ส่วนทาร์ตไม่มีเรียนแล้วครับ เลยยังไงก็ได้ แล้วจึงแยกย้ายไปประจำที่ในรถ แน่นอนว่ารถเก็ทแน่นขึ้นเพราะมีทาร์ตติดสอยห้อยตามมาด้วย แถมยังยิ้มหน้าสล่อนอีกต่างหาก ไวน์ก็ชอบเชียวครับ มันชอบเล่นๆ กับน้องอยู่แล้ว พอต้องนั่งเบียดๆ ไวน์ก็ทำเนียนนั่งติดซะจนแทบจะขึ้นไปนั่งตัก เจ้าตัวที่โดนเบียดก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ ยังคงยิ้มโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อยู่แบบนั้น

   “พี่ฟร๊องก์เย็นนี้ว่างไหม” ทาร์ตถามขึ้นในรถที่เงียบ เลยกลายเป็นจุดสนใจคนทุกคนทันที ก็เล่นถามผมคนเดียวซะแบบนี้

   “ก็ว่างนะ หลังเลิกเรียนก็ไม่มีโปรแกรมอะไรต่อ” ผมหันไปตอบคนที่นั่งถามผมด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่ที่เบาะหลัง

   “ถึงมันไม่ว่าง พี่ก็ว่างนะ” ไวน์เสริมเข้ามาทันทีเลยครับ ทำให้ทาร์ตหันไปยิ้มหน้าแหย่ๆ ให้

   “กูว่ากูจะได้น้องสะใภ้เป็นเพื่อนตัวเองแล้วว่ะ” โดนัทเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์แล้วเอ่ยปากแซวทันที

   “ฮ่าๆ แล้วพี่นัทจะว่าไหมล่ะ” ไอ้นี่ก็เล่นกับเขาด้วยอีกคน สรุปมันจะจีบผมจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย “เย็นนี้ไปเดินเล่นกันนะพี่ แล้วเดี๋ยวผมพาไปร้านอร่อยแถวๆ เอกมัย ผมไปชิมมาแล้ว อร่อยมาก บรรยากาศก็ดีด้วย” ทาร์ตหันกลับมาพูดกับผมต่อด้วยประโยคยืดยาว พร้อมรอยยิ้มกว้างที่ยังคงฉายแววอยู่บนใบหน้า

   “อืม ไปดิ ไม่ชวนพวกนี้ไปด้วยล่ะ”

   “โอ้ย! กูไม่ไปเป็นก้างหรอกค่ะ ถ้าเป็นมึงกูจะช่วยเชียร์น้องกู” โดนัทพูดด้วยเสียงจิ๊จ๊ะอย่างมีจริตจะก้าน

   “เห้อ... โดนมึงคาบไปแดกอีกแล้ว ขอให้มึงทะเลาะกับเก็ท ทาร์ตเองก็เหมือนกัน ผัวเขานั่งอยู่ด้วยทั้งคน ดันชวนซึ่งๆ หน้า” ไวน์เองก็อีกคนครับ ทำท่าทางและน้ำเสียงขัดใจมาก

   “อ้าว สรุปพี่สองคนเป็นแฟนกันเหรอ” ทาร์ตถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงงงๆ ที่กำลังเชื่อในสิ่งที่ไวน์พูดอย่างเต็มประดา

   “เชื่อไวน์มันก็ออกลูกเป็นควายแล้ว” ผมว่า ก่อนที่ทุกคนจะหลุดหัวเราะเสียงดังคับรถ ไม่เว้นแม้แต่เก็ทที่ขับรถเงียบๆ มาโดยตลอดยังแอบหัวเราะเบาๆ ในลำคอ จะมีก็แต่ทาร์ตที่เกาหัวเก้อๆ ด้วยความอาย ไอ้นี่ก็เชื่อคนง่ายซะจริง

   ติ๊ง!

   เสียงไลน์ผมเด้งเข้ามาหลังจากที่พวกผมจัดการอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง ท่าทางนุ่นจะหิวจริงครับ เพราะตอนกินกันนั้นแทบไม่ได้ยินเสียงพูดของมันเลย ถึงว่าสิ โมโหหิวขนาดนั้น ถ้าช้ากว่านี้หน่อยมีหวังมันได้กินหัวผมแท้ข้าวล่ะมั้งครับ

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครเป็นคนทักไลน์เข้ามา ปรากฏว่าเป็นแคมป์ครับ แอบงงเล็กน้อยที่อยู่ๆ มันก็ทักมา แต่ก็เปิดอ่านเผื่อมันมีธุระอะไรสำคัญหรือธุระด่วนหรือเปล่า แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่มันส่งมา ผมก็เกือบทำโทรศัพท์ร่วงจากมือ

   ในไลน์มีข้อความมาว่า ‘นี่แหละคนที่กูบอกมึงเมื่อวันเสาร์ มันคงคบกันอยู่ ตาสว่างสักทีนะมึง เป็นห่วงและอยู่ข้างมึงเสมอนะ’ ถัดจากข้อความดังกล่าวไปก็เป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่ถ่ายรูปคู่กัน ในภาพเป็นผู้หญิงที่มองแล้วถือว่าสวยนั่งข้างๆ ผู้ชายอีกคน โดยที่ผู้ชายกำลังหันข้างอยู่ ดูๆ แล้วก็น่ารักดี ถ้าใบหน้าของผู้ชายในรูปไม่ใช่คนที่คุ้นเคยและจำได้แม่นแม้จะเห็นเพียงด้านข้าง ผมจะไม่ตกใจเลยถ้าคนในรูปนั้นไม่ใช่... ปาร์ค!

   ‘ตอนนี้กูเห็นมันควงชะนีอยู่คนหนึ่ง กูเห็นที่มอหลายครั้งและ’ คำพูดของแคมป์เมื่อวันเสาร์ไหลหลั่ง วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้ามาในความคิดของผมอย่างหยุดไม่ได้ ภาพที่แคมป์ส่งมาเป็นภาพที่แคปมาจากเฟซบุ๊กของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นลงรูปคู่กับปาร์ค แม้ว่าผมจะไม่เห็นแท็กนี้ในเฟซบุ๊กของปาร์ค แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าการคบกันของสองคนนี้นั้นมีคนอื่นรับรู้ และไม่มีการปิดบังใดๆ

   แล้วถ้าปาร์คกำลังคบกับคนๆ นี้อยู่จริงๆ ปาร์คกลับมาทำดีกับผมทำไม สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เมื่อวันเสาร์ หรือแม้แต่เมื่อหลายวันก่อนมันคืออะไร คำพูดของปาร์คที่ออกมาจากริมฝีปากที่เคยจุมพิตผมนั้นมันหมายความว่าอะไร แล้วคำว่ารักที่ปาร์คบอกผมนั้นมันมีความหมายบ้างไหม... มันเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถหาคำตอบได้

   “พี่ฟร๊องก์เป็นอะไรไหม หน้าซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า” ทาร์ตที่นั่งข้างๆ ผมถามขึ้น ก่อนที่จะยื่นมือมาแตะที่หน้าผากของผม ดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์ของความวิตกกังวล

   “เป็นไรไหม” เก็ทถามผมด้วยน้ำเสียงนุ่มที่แสนราบเรียบเช่นกัน ทำให้ทุกคนหันมาสนใจผมเป็นจุดเดียว

   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก อยู่ๆ มันก็เวียนหัวขึ้นมานิดหน่อย สงสัยกินเยอะไป แหะๆ” ผมบอกปัดพลางหัวเราะแห้งๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนและกลบเกลื่อนความกังวลที่อยู่ในใจ ผมยังไม่พร้อมจะเล่าให้ใครฟังหรือจะให้ใครรับรู้ทั้งนั้น ทุกอย่างมันยังไม่ชัดเจน บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นแค่เพื่อนที่บังเอิญถ่ายรูปด้วยกันก็ได้ ผมพยายามคิดในแง่ดีเพื่อระงับความคิดมากของตัวเอง ตอนนี้ผมต้องจดจ่ออยู่กับปัจจุบันก่อน อะไรที่เรายังไม่รู้ ไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งด่วนสรุป บางทีแคมป์อาจจะเข้าใจผิด และภาพนั้นที่ผมกำลังตีความไปต่างๆ นานาอาจจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดก็ได้

   “ถ้าไม่สบายกลับไปนอนก็ได้นะ เดี๋ยวเช็คชื่อให้” เก็ทยังคงพูดด้วยความเป็นห่วง

   “เห้ย! ไม่ได้เป็นอะไรขนาดนี้ สงสัยอากาศมันร้อนมั้งเลยเวียนหัว ไม่เห็นต้องซีเรียสขนาดนั้นเลย ฮ่าๆ” ผมส่งยิ้มกลับไปให้เก็ทเพื่อให้มั่นใจว่าผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แต่รอยยิ้มนั้นมันช่างกลั่นออกมาได้ยากเย็นเหลือเกินในเวลาแบบนี้

   “ไปนอนพักที่คอนโดฯ ผมก่อนก็ได้นะพี่” ทาร์ตก็อีกคน ผมบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

   “เนียนเชียวนะคะน้อง คิดจะรวบหัวรวบหางเพื่อนพี่เหรอ” นุ่นที่กินอิ่มหนำก็เริ่มใช้ปากปฏิบัติการณ์ต่อเลยครับ

   “ฮ่าๆ ผมแค่จะดูแลพี่เขาเฉยๆ ครับ เผื่อเป็นอะไรหนัก อย่างน้อยพี่เขาก็ ‘ยังมีผม’ อยู่ใกล้ๆ” ทาร์ตพูดด้วยรอยยิ้มสดใส ทำให้ผมต้องอมยิ้มกับคำพูดและรอยยิ้มที่ดูน่ารักนั้น

   “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก จริงจังกันแท้ รีบจ่ายตังค์ รีบไปเรียนเถอะ” ผมตัดบททันทีครับ ก่อนที่จะถูกซักไซ้ไปมากกว่านี้

**********__________**********

   ตลอดเวลาช่วงบ่าย ผมแทบไม่รับรู้บทเรียนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ในหัวผมมีแต่ภาพนั้นฉายซ้ำๆ เข้ามา พร้อมกับเสียงพูดของแคมป์ที่ดังก้องในหูของผมเหมือนมีใครกรอม้วนเทปวนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีวันจบสิ้น ยิ่งคิดผมก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ และเหมือนคนที่นั่งข้างๆ ผมอย่างเก็ทจะรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของผมได้ครับ เพราะเก็ทหันมามองผมบ่อยมากๆ จนผมต้องหันไปพยายามฝืนยิ้มที่ดูปกติที่สุดให้กับเก็ท

   หมดคาบเรียนในตอนสี่โมงเย็น ผมเดินตามเพื่อนๆ ออกมาจากห้องด้วยท่าทางไร้ชีวิตชีวา โดยมีเก็ทเดินตามหลังผมออกมา เก็ทเป็นคนเดียวที่ดูผมออกว่าตอนนี้จิตใจผมกำลังไม่ปกติ แม้ผมจะพยายามเก็บซ่อนและทำทุกอย่างให้เหมือนปกติ แต่เก็ทก็ยังเป็นเก็ทที่ดูผมออกได้อย่างง่ายดาย

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก่อนหน้า

   [พี่ไหวไหม ถ้าไม่ไหววันนี้ไม่ต้องไปก็ได้นะครับ] ทาร์ตที่อยู่ปลายสายส่งเสียงตอบกลับมาด้วยความเป็นห่วง

   “ไหวดิ พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่(พยายาม)ทำให้สดใสเหมือนปกติ

   [ถ้างั้นเดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปหาพี่ที่ตึกคณะนะ จะได้ไปพร้อมกันเลย พี่เรียนตึก L ใช่ป่ะ] เมื่อเห็นว่าผมไม่เป็นอะไร เสียงทาร์ตก็ฟังดูร่าเริงขึ้นอีกครั้ง มันก็ทำให้ผมยิ้มบางๆ ได้กับความสดใสของเด็กคนนี้

   “อืม งั้นรออยู่หน้าตึก L นะ ถ้าใกล้ๆ ถึงก็โทรฯ ไม่ก็ทักไลน์มาแล้วกัน” ผมว่าก่อนที่จะวางสายไป

   “เดี๋ยวออกไปกับทาร์ตใช่ไหม” เก็ทที่เดินตามหลังผมมาเอ่ยถามขึ้นเมื่อผมวางสายทาร์ตไปหมาดๆ

   “อืม กลับไปก่อนเลย” ผมหันไปตอบคนตัวใหญ่ที่ตอนนี้มาเดินอยู่ข้างๆ ผมแล้ว

   “หน้าซีดขนาดนี้จะปล่อยทิ้งให้อยู่คนเดียวได้ไง” เก็ทดุผมเสียงเข้มเป็นอันรู้กันว่าเก็ทจะอยู่รอจนกว่าทาร์ตจะมาถึง และแน่นอนว่าคนที่กลับกับเก็ทก็ต้องรอเช่นกัน เป็นการมัดมือชกทางอ้อมว่าให้อยู่เป็นเพื่อนผม

   สุดท้ายทุกคนก็นั่งรอเป็นเพื่อนผมหมดเลยครับ แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร อาจเป็นเพราะผมที่ตอนนี้คงหน้าซีดจริงๆ อย่างที่เก็ทบอกมั้งครับ เลยทำให้ทุกคนอยู่รอเป็นเพื่อนเพราะกลัวผมจะเป็นอะไรไป แต่จริงๆ ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อยแค่นั้นเอง แต่จะให้ถึงขั้นเป็นลมเป็นแล้งคงเว่อร์ไปหน่อยมั้งครับ เก็ทนั่นแหละที่เว่อร์ไปเลยทำให้คนอื่นต้องอยู่รอด้วย พลอยทำให้ผมรู้สึกผิดไปด้วยที่ทำให้คนอื่นต้องลำบาก

   “โห้ ทำไมอยู่กันเยอะจัง” น้ำเสียงสดใสของคนที่เพิ่งมาถึงต้องแอบสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ ของผมนั่งอยู่อย่างครบองค์ประชุม

   “กลัวใครจะมาฉุดมันไง เลยอยู่รอเป็นเพื่อน” โดนัทพี่สาวผู้มาเยือนตอบเป็นเชิงจิกกัด ผมอมยิ้มเล็กน้อยกับสีหน้าของเธอ แต่ลึกๆ ก็รู้ครับว่าที่ทุกคนอยู่รอก็เพราะเป็นห่วงผม

   “ฝากด้วยแล้วกัน ถ้าไม่ไหวยังไงโทรมา ไม่ก็รีบไปส่งที่หอเลย” เก็ทลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดเป็นเชิงสั่งกับทาร์ตด้วยเสียงเข้มและจริงจัง แล้วจึงเดินออกจากกลุ่มไป

   “เอาแล้วเว้ย ผัวหลวงเริ่มออกอาการหึงแล้วว่ะ” นุ่นแซวขำๆ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มแยกย้ายกันไป

   “อย่ากลับดึกนักล่ะ แล้วก็... อย่าปล้ำเพื่อนกูด้วย” โดนัทตบไหล่ทาร์ตหนักๆ ก่อนจะเดินจากไป จนตอนนี้เหลือแค่ผมกับทาร์ตสองคน

   “พี่ไหวไหมเนี่ย หน้าซีดมากเลย” รอยยิ้มที่สดใสของเจ้าตัวหุบลงทันทีที่เห็นผม ผมเองก็ยังสงสัยว่าหน้าผมจะซีดมากขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรมากเลยด้วยซ้ำ

   “เห้ย! ไหวดิ รีบไปเถอะ ให้แท็กซี่จอดรอไม่ใช่เหรอ ป่านนี้เขาด่าพ่อแล้วมั้ง” ผมยิ้มก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปยังแท็กซี่ที่รู้สึกว่าจะจอดรอนานพอสมควรแล้ว อีกอย่างมิเตอร์คงวิ่งไปเยอะแล้วด้วย

   ทาร์ตยิ้มรับ แต่ใบหน้ายังแฝงด้วยความเป็นห่วงเล็กๆ อยู่ ก่อนจะเดินนำผมไปยังแท็กซี่ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปยังห้างดังที่แยกอโศก ซึ่งรถโคตรติดเลยครับในช่วงเวลาเลิกงานแบบนี้ ตอนแรกผมบอกให้ลงบีทีเอสใกล้ๆ แล้วขึ้นบีทีเอสไป แต่ทาร์ตก็ไม่ยอมครับ โดยอ้างว่าบีทีเอสตอนนี้คนเยอะ ซึ่งก็จริง เลยกลัวผมจะเป็นลม แต่อันนี้โคตรเว่อร์เลยครับ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมนั่งแท็กซี่มาจนถึงที่นี่แหละครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าทาร์ตเป็นคนจ่ายเงินค่าแท็กซี่

   ปกติผมไม่ค่อยมาทีนี่เท่าไร เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไร เคยมาแค่ช่วงที่มันเปิดห้างแรกๆ อ่ะครับ มาถ่ายรูป พอหลังๆ ก็ไม่ค่อยแวะเวียนมาเท่าไร วันนี้ก็เหมือนเดิมแหละครับ แต่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อเพราะคนที่มาด้วยคอยสร้างเสียงหัวเราะให้ผมตลอด ทั้งผมและทาร์ตเดินเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ไปเรื่อยๆ ครับ

   แล้วอยู่ๆ สายตาผมก็พลันเหลือบไปเห็นบุคคลที่คุ้นเคยที่ร้านเสื้อผ้าฝั่งตรงข้าม ผมเจอปาร์คครับ และกำลังจะเดินเข้าไปทัก แต่ก็ต้องหยุดขาของตัวเองทันทีที่เห็นผู้หญิง... คนเดียวกับในรูปที่แคมป์ส่งมาเมื่อกลางวันเดินตามหลังปาร์คออกมาจากร้านเดียวกันนั้น ก่อนจะเข้าไปคล้องแขนปาร์คอย่างสนิทสนม

   ผมหยุดนิ่งมองภาพนั้นไม่ไหวติง รู้สึกเหมือนหัวใจผมกำลังถูกบีบรัดจากอะไรบางอย่าง และมันกำลังรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกจุกแน่นในอก ปาร์คกับผู้หญิงคนนั้นเดินจากไปแล้ว แต่ผมยังคงไม่ขยับไปไหน ขาผมไม่มีแรงที่จะก้าวออกไป ตอนนี้แม้แต่จะหายใจผมยังทำได้อย่างยากลำบาก...


à suivre...

เชิญกระทำชำเราปาร์คได้ตามสะดวก!! เราเตรียมศาลาวัดเอาไว้ให้แล้ว 55555
แต่ก็แอบอิจฉาฟร๊องก์นะ (แต่งเอง อิจฉาเอง 555+) ถึงจะน่ารำคาญ แต่ก็มีคนคอยอยู่ข้างๆ ตลอดเลย ชิ!


ทั้งหมดมันคือภาพลวงตา
มันไม่เคยมีจริง

ไม่มีอยู่จริง

หลอกลวงทั้งเพ
มีแต่สัด และก็ เหี้....ย

+1 คนแต่ง
โอ้ยยย!! สะใจมาก  :laugh: :laugh: :laugh:
ขอบคุณมากนะฮะ


:pig4: :pig4: :pig4:
:mew1: :mew1:

รอดูว่าปาร์คจะทำยังไงกับความสัมพันธ์นี้ต่อไป ระวังเถอะความไม่แน่นอนของปาร์คจะทำตัวเองเจ็บซะเองนะปาร์ค
หางเริ่มโผล่มาล่ะ 555+

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
หางเหี้-ย
โผล่แล้ว

ไอ่ปาร์คมันคือเหี้-ย
ตัวแท้ไม่ใช่เทียม

หรือว่าคนเราชอบรักแต่คนเลว
คนเลวๆๆๆๆๆๆๆ เสมอมา
หุหุ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 20 [6/6/2017]
«ตอบ #69 เมื่อ06-06-2017 19:45:12 »

Chapitre 20

   ปาร์คกับผู้หญิงคนนั้นเดินควงแขนกันอย่างกระหนุงกระหนิง... ภาพนั้นผ่านสายตาผมไปนานกว่านาทีแล้วครับ แต่ร่างกายผมยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวอยู่แบบนั้น หัวใจผมเริ่มเจ็บปวดมากๆ ขึ้นทุกที ในขณะที่ขอบตาผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

   “พี่ฟร๊องก์... พี่” เสียงเรียกชื่อผมและสัมผัสของทาร์ตทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองคนที่สะกิดผม “เห้ย! พี่ร้องไห้ทำไม!” ก่อนจะเห็นสีหน้าตกใจของคนตรงหน้า นี่ผมกำลังร้องไห้อยู่หรอกหรือเนี่ย ผมไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกได้ตอนนี้คือผมเจ็บ... เจ็บที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย

   “ห๊ะ! เปล่าๆ ฝุ่นเข้าตาน่ะ” ผมตอบกลับด้วยมุกสุดเชยที่ยกขึ้นมาอ้างก่อนจะยกมือปาดน้ำตาลวกๆ

   “พี่รู้จักสองคนนั้นด้วยเหรอ” ทาร์ตถามผมด้วยสีหน้าสงสัย รอยยิ้มสดใสที่มักจะปรากฏอยู่บนใบหน้านี้ตอนนี้เจ้าตัวกลับเม้มปากนิ่งมองผมด้วยแววตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงอย่างไม่ปกปิด

   “กะ... ก็แค่ ‘เพื่อน’ น่ะ” ผมพูดออกไปอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่ดูเหมือนคู่สนทนาของผมจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมแก้ตัวออกไปแม้แต่น้อย

   “ผู้ชายคนนั้นเป็น...”

   “ไม่มีอะไรหรอก เราไปกันเถอะ เริ่มหิวแล้วอ่ะ ไหนว่าจะพาไปร้านอะไรนั่นไง” ผมรีบตัดบททันที ก่อนจะพยายามฟื้นยิ้มอย่างยากลำบาก

   “... งั้นก็ได้ครับ” ทาร์ตเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อ พลางยิ้มบางๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วพาออกจากห้างไป ผมรับรู้ได้ถึงแรงบีบเป็นระยะของมือที่จับผมอยู่นั้น ผมรู้ว่าทาร์ตเองก็ไม่สบายใจเหมือนกันที่เห็นผมเป็นแบบนี้ เป็นผมก็คงหมดอารมณ์เหมือนกันแหละครับ อุตส่าห์ชวนมาเที่ยวด้วยทั้งที แต่คนที่มาด้วยกลับไม่มีอารมณ์ร่วมแบบนี้ ในความไม่สบายใจนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงกำลังใจผ่านแรงบีบเบาๆ นั้นมาเช่นกัน

   ทาร์ตเรียกแท็กซี่ก่อนจะบอกที่หมาย ผมได้ยินไม่ชัดนัก แต่พอรู้ว่าเป็นร้านแถวเอกมัยอย่างที่เจ้าตัวบอกไว้ก่อนหน้า ซึ่งก็แน่นอนอีกแหละว่ารถยังคงติดอยู่ ระหว่างทางมีเพียงเสียงจากวิทยุของแท็กซี่เท่านั้นที่ส่งเสียงไม่หยุดหย่อน กับเสียงลมหายใจแผ่วๆ ของผม มีเพียงเท่านั้นที่ผมรับรู้ได้

   ผมนั่งเหม่อมองออกไปนอกกระจก มองรถราที่แล่นไปบนถนนสายเดียวกัน จะมีใครสักคนไหมที่กำลังเป็นเหมือนผม แม้จะพยายามหาเหตุผลต่างๆ นานา พยายามคิดในแง่ดีอย่างไร แต่ในหัวก็มีความคิดอีกด้านที่คอยขัดแย่งขึ้นมาเสมอ ‘ตอนนี้กูเห็นมันควงชะนีอยู่คนหนึ่ง กูเห็นที่มอหลายครั้งและ’ เมื่อใดที่ผมพยายามคิดว่าปาร์คกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไรเกินเลย ประโยคนี้ของแคมป์ก็มักจะแว๊บเข้ามาในความคิดเพื่อขัดแย้งเหตุผลของผมเสมอ ทำนบน้ำตาของผมที่พยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถมันก็ใกล้จะพังทลายลงมาเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะห้ามมันไม่ไหว

   “^_^” จู่ๆ ฝ่ามือของคนที่นั่งอยู่ภายในรถข้างๆ ผมเอื้อมมือมาจับมือผมอีกครั้ง พร้อมกับส่งรอยยิ้มบางๆ แบบไม่เห็นเหล็กดัดฟันสีสดใสนั้นให้ผมอย่างเป็นกำลังใจ
 
   ผมยิ้มตอบเจ้าของรอยยิ้มนั้น ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ และไม่นานนักแท็กซี่ก็ขับลัดเลาะพาเรามาจนถึงที่หมาย

   ร้านที่ทาร์ตพามาเป็นร้านสไตล์ญี่ปุ่นตกแต่งแบบโมเดิร์น บรรยากาศน่านั่งดีครับ ตัวร้านเป็นกระจกดูโปร่งสบาย โล่งตาดีครับ ช่วยคลายอารมณ์ผมได้เล็กน้อย ตอนมาถึงนี่ก็เริ่มมืดแล้วครับ ตัวร้านและหน้าร้านประดับด้วยไฟสีส้ม ถือว่าเป็นร้านที่น่านั่งอีกร้านเลยครับ

   “เป็นไงพี่ ร้านนี้โอเคไหม” ทาร์ตถามยิ้มๆ

   “อืม ดีเลยแหละ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ ผมพยายามไม่นึกถึงสิ่งที่เห็นก่อนหน้า หรือเรื่องที่ทำให้คิดมาก อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ควรจะให้ความสำคัญกับคนตรงหน้าหน่อย ไม่ใช่พาเสียบรรยากาศ ผมจึงต้องพยายามฟื้นทำทุกอย่างให้ดูเป็นปกติ แม้ว่าในใจจะปั่นป่วนแค่ไหนก็ตาม

   “งั้นพี่ต้องอารมณ์ดีขึ้นเหมือนบรรยากาศของร้านนะ ยังไงพี่ยังมีผมอยู่... ข้างๆ” ทาร์ตยังคงยิ้มให้ผมอยู่ แต่เป็นรอยยิ้มที่กว้างและสดใสกว่าเดิม มันทำให้ผมยิ้มออกกับรอยยิ้มนั้นเช่นกัน

   เราเข้าไปสั่งเมนูต่างๆ ที่หน้าเคาน์เตอร์ ร้านนี้มีทั้งอาหารคาวและหวาน แน่นอนว่าเราสองคนจัดอาหารคาวกันก่อน แต่ก็สั่งของหวานไว้ล่วงหน้าเลย เมื่อสั่งเมนูครบตามต้องการ ทาร์ตก็เดินนำผมขึ้นไปยังชั้นสองของร้านครับ ซึ่งแบ่งเป็นสองโซน เป็นห้องกระจกมีชั้นหนังสือไว้ให้อ่าน และอีกโซนเป็นแบบระเบียงเอ้าท์ดอร์ครับ คล้ายๆ กับสถานที่แฮงค์เอ้าท์แบบย่อมๆ เพราะสังเกตโต๊ะข้างๆ และในเมนูก่อนหน้ามีพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ด้วย

   “พี่ฟร๊องก์... อย่าหาว่าผมละลาบละล้างเลยนะ แต่ผมเห็นพี่เป็นแบบนี้แล้วไม่สบายใจเลย” เรานั่งนิ่งๆ กันอยู่สักพัก ทาร์ตที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็พูดขึ้นดึงให้ผมที่เสมองบรรยากาศรอบๆ อยู่อย่างเพลินๆ ต้องหันกลับมามองที่ต้นเสียง “ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นอะไรกับพี่กันแน่” ก่อนที่ประโยคคำถามซึ่งเป็นใจความหลักของบทสนทนานี้จะถูกถามขึ้น

   “เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้งกับการตอบคำถามดังกล่าว ไม่เชิงว่าไม่อยากพูดหรอกครับ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าคนตรงหน้าไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ผมสับสนกับคำตอบมากกว่าว่าผมควรบอกไปว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องระหว่างผมกับปาร์ค

   “ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารครับ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดต่อ พนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟซะก่อน จึงเป็นการตัดบทสนทนาไปอย่างอ้อมๆ

   “เออ พี่ครับ ขอมาร์การิต้าเพิ่มแก้วหนึ่งครับ เอาด้วยไหม” ผมหันไปสั่งค็อกเทลเบาๆ มาเผื่อมันจะทำให้ผมหายฟุ้งซ่าน ก่อนจะหันกลับมาถามผู้ร่วมโต๊ะ

   “ไม่ครับ” ทาร์ตหันไปยิ้มบอกพนักงานด้วยตัวเอง “จัดตั้งแต่หัวค่ำเลยเหรอพี่”

   “นิดหน่อยๆ กินเลยนะ หิวแล้ว” ผมยิ้มตอบบางๆ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบหมูชุบขนมปังเสียบเป็นไม้ๆ แล้วราดด้วยซอสโชยุมาหนึ่งไม้ เมนูมันเรียกว่าอะไรไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูน่ากินดี

   “...” ทาร์ตไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยังคงมองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้น

   เรื่องคิดมากก่อนหน้าเริ่มบางเบาไปจากความคิดของผมแล้ว ด้วยบรรยากาศของตัวร้านที่แม้จะมีคนเยอะอยู่พอสมควร แต่ก็กลับรู้สึกสบายและผ่อนคลาย อีกทั้งคนที่นั่งยิ้มตรงหน้าผมนี้ด้วย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทาร์ตช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่ายังมีใครสักคนที่เคียงข้างผม ยิ้มให้ผมในยามที่ผมอ่อนแอ

   “ไม่กินรึไง นั่งยิ้มอยู่ได้” ผมเงยหน้ามองทาร์ตที่มันยังคงนั่งยิ้มไม่แตะต้องอาหารตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยจิกกัดทั้งที่ปากยังคงเคี้ยงเนื้อหมูนั่นอยู่ คงเป็นภาพและมารยาทที่ทุเรศน่าดู

   “เวลาพี่กินนี่ก็ตลกดีเนอะ ไม่ห่วงภาพพจน์ตัวเองเลย ดูดิ๊ ปากเลอะหมดแล้ว” ทาร์ตขำเล็กน้อยกับท่าทางของผม ก่อนจะยื่นกระดาษทิชชูส่งมาให้ ก็คนกินจะให้วางมาดขนาดไหนวะ แล้วอีกอย่างปากจะเลอะบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนิ

   “เลิกพูดมากแล้วกินเข้าไปซะ!” ผมเบ้ปากใส่คนที่นั่งขำก่อนจะหยิบหมูไม้ๆ ดังกล่าวยื่นไปจ่อที่ปาก

   ทาร์ตยกมือขึ้นมาจับไม้แต่โดยดีก่อนที่ผมจะปล่อยมือ หลังจากนั้นอาหารก็ค่อยๆ ทยอยมาเสิร์ฟจนครบ เหลือแต่ของหวานครับ ที่พนักงานจะเอามาให้ตอนหลัง ส่วนเครื่องดื่มพิเศษผมได้มาแล้วครับ แล้วก็เกือบหมดแก้วแล้วด้วย ร้านนี้ผสมแรงพอสมควรเลยครับ ดื่มแล้วรู้สึกถึงรสขมปร่าของแอลกอฮอล์ดีกรีสูงพอตัวเลย

   ผมลืมเรื่องเครียด เรื่องที่ทำให้คิดมากก่อนหน้าไปชั่วขณะ และทาร์ตเองก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งมันสร้างเสียงหัวเราะให้ผมได้เช่นเดิม ของหวานที่สั่งมาเสิร์ฟแล้ว เราสองคนก็ลงมือจัดการกับมันทันที แต่ด้วยความที่ผมดื่มไปก่อนหน้า แม้จะไม่มาก แต่พอมาเจอกับครีมข้นๆ ของพุดดิ้งมัทฉะกับพาฟโลวาที่เป็นเมอแรงค์ ก็ทำให้ผมมึนหัวขึ้นมาได้เหมือนกัน ยิ่งบวกกับอาการปวดหัวที่มีก่อนหน้าแล้ว ยิ่งทำให้อาการหนักขึ้น

   “เมาแล้วเปล่าเนี่ยพี่” ทาร์ตถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ

   “มึนหัวนิดหน่อยแหละ ไม่ได้เป็นไรมาก” ผมตอบยิ้มๆ สติผมยังอยู่ครบครับ มีแค่อาการมึนๆ เล็กน้อยแค่นั้นเอง

   “งั้นเรากลับกันเลยก็ได้ พี่จะได้พักผ่อนด้วย” จากนั้นเราก็เดินลงมาจ่ายเงินค่าอาหารที่เคาน์เตอร์ด้านล่างเช่นเดิม หารกันครับ เพราะอาหารที่นี่ราคาสูงอยู่ อีกอย่างค็อกเทลที่ผมสั่งนั่นล่ะตัวดีเลย

   ทาร์ตเรียกแท็กซี่แล้วบอกที่หมายเป็นหอของผมครับ เมื่อขึ้นมาบนรถผมก็นั่งหลับตาพิงเบาะเพื่อคลายความมึนที่เป็น ภาพเมื่อตอนเย็นกลับมาในหัวผมอีกครั้ง แม้ว่าจะพยายามขจัดมันออกอย่างไร แต่ภาพนั้นกลับยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

   “พี่อย่าคิดมากนะ พักผ่อนให้เยอะ” ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเข้มที่มันฟังดูอบอุ่นกว่าทุกครั้ง

   “ฮึก... สองคนนั้น... ไม่ได้เป็นอะไรกันใช่ไหม” ทำนบน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้เนิ่นนานอยู่ๆ ก็พังทลายลงมาเมื่อได้ยินเสียงอันอบอุ่นนั้น

   “ผมคงบอกอะไรไม่ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพี่จะต้องไม่คิดมากทั้งที่ยังไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง” น้ำเสียงของทาร์ตฟังดูอบอุ่นมากขึ้น ก่อนที่วงแขนกว้างจะเอื้อมมาโอบไหล่ผมเข้าไปหาตัว ผมโน้มศีรษะอิงบนไหล่นั้นอย่างว่าง่าย ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่อายคนที่อยู่ข้างๆ หรือแม้แต่คนขับแท็กซี่ ผมอ่อนแอเหลือเกิน และต้องการเพียงใครสักคนที่ให้ผมยึดเหนี่ยวไม่ให้ผมล้มลงไป

   ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดๆ ต่อ มีเพียงเสียงลมพัดเบาๆ จากแอร์คอนดิชั่นเนอร์ ผมยังคงซบไหล่ทาร์ตพร้อมกับร้องไห้เงียบๆ อยู่อย่างนั้น ปล่อยอารมณ์ไปตามความรู้สึก ตอนนี้ผมอยากพัก ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป

   ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวขั้นรุนแรง เมื่อคืนทาร์ตขึ้นมาส่งผมถึงบนห้อง ก่อนจะลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน (ลามปามมาก!) กับคำพูดที่พยายามพูดมาตลอดเพื่อไม่ให้ผมคิดมาก หลังจากนั้นผมอาบน้ำเสร็จก็แทบสลบเลยครับ แต่สิ่งที่รบกวนอยู่ในใจมันกลับทำให้ผมหลับไม่ลง น้ำตาผมไหลออกไปมากเท่าไรไม่รู้ ร้องไห้จนปวดหัวมากขึ้นๆ เรื่อย จนผมต้องกินยาดักไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไหงตื่นมาแล้วถึงได้ปวดหัวมากขนาดนี้

   “ฮัลโหลเก็ท วันนี้เราไม่ไปเรียนนะ” ผมหยิบโทรศัพท์มือถือมาเพื่อโทรบอกจุดประสงค์กับปลายสายด้วยน้ำเสียงเนื่อยๆ

   “เป็นไรเปล่า น้ำเสียงดูไม่ค่อยดีเลยนะ” ปลายสายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้มแฝงด้วยความเป็นห่วง

   “ปวดหัวน่ะ เดี๋ยวกินยานอนพักอีกสักหน่อยก็คงหายแหละ”

   “อืม ถ้างั้นเดี๋ยวก่อนไปเรียนแวะซื้อข้าวไปให้ล่ะกัน”

   “ขอบใจนะ ถ้ามาถึงแล้วโทรมาแล้วกัน จะได้ลงไปเปิดประตูให้” ผมว่าก่อนจะกดวางสายไป

   ผมยังรู้สึกง่วงอยู่ เพราะเมื่อคืนกว่าผมจะหลับไปก็ไม่รู้ว่าตีอะไร ภาพแขนเรียวบางของผู้หญิงคนนั้นกำลังคล้องแขนอันแข็งแกร่งที่เคยโอบกอดตัวผมของปาร์ค รูปที่แคมป์ส่งมาให้ผม ทุกสิ่งที่อย่างมันถาโถมเข้ามาในจิตใจของผมจนผมไม่สามารถรั้งน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนสายน้ำ และไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ผมจำได้เพียงแค่เมื่อคืนผมเหนื่อยกับการร้องไห้มาก จิตใจผมอ่อนล้ากับการคิดมากของตัวเอง จนหลับไปตอนรุ่งสาง คิดดูว่าผมร้องไห้นานขนาดไหน

   แต่ผมไม่สามารถนอนต่อได้ในตอนนี้ เพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว อีกไม่นานเก็ทก็คงมาถึงหอ ถ้าผมหลับไปตอนนี้ก็คงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เป็นแน่ ผมจึงฟื้นสังขารไปล้างหน้าล้างตาให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น แต่สายน้ำเย็นๆ ไม่ได้ช่วยให้จิตใจผมสงบขึ้นเลย แค่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ความคิดต่างๆ ก็กลับเข้ามาทำร้ายจิตใจผมอีกครั้ง

   ผมแทบไม่อยากมองกระจกด้วยซ้ำว่าดวงตาผมปวดช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักแค่ไหน เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมย้อนนึกไปถึงตอนนั้นที่ทะเลาะกับปาร์ค แต่ผมกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มันหนักกว่า ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวผมโง่และเราสองคนกำลังจะห่างกันโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ 

   ก๊อก! ก๊อก!   

   หลังออกจากห้องน้ำไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

   “อ่ะ ข้าวต้ม กินซะแล้วก็กินยาด้วย นอนพักเยอะๆ แล้วก็หยุดร้องไห้ได้แล้วนะ ขี้เกียจมานั่งปลอบแล้ว” ผมเปิดประตูออกไปก็พบกับเก็ทที่ยืนมองผมด้วยสีหน้านิ่งจนคาดเดาความคิดไม่ถูก ก่อนที่จะพูดประโยคเชิงคำสั่งที่ยืดยาวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นเดียวกัน

   “ขอบใจนะ” ผมไม่รู้จะบอกคำไหนกลับไปได้ดีกว่าคำๆ นี้ มีแค่คนๆ นี้สินะที่คอยอยู่ข้างผม และใส่ใจความรู้สึกของผมอยู่ตลอด แล้วกับปาร์คล่ะ... เคยรู้สึกกับผมแบบนี้บ้างหรือเปล่า

   “อย่าคิดอะไรไปล่วงหน้า ถ้ามีอะไรรีบโทรมานะรู้ไหม” มือหนาของเก็ทยื่นออกมายีผมอย่างแผ่วเบาเฉกเช่นที่ชอบทำกับผม พร้อมกับเสียงที่อบอุ่นเสมอ

   “ไปเรียนได้แล้ว วันนี้พูดมากจริง!” ผมว่าด้วยรอยยิ้มจางๆ

   ผมจัดการเทข้าวต้มที่เก็ทซื้อมาให้ใส่ชาม แต่ก็กินได้อยู่ไม่กี่คำก็ต้องวางช้อน มันขมคอไปหมด ผมไม่ค่อยหิว ไม่รู้สึกอยากกินอะไรเท่าไรด้วย ผมจึงเอาไปใส่ตู้เย็นไว้ก่อนจะกินยา แล้วก็หลับไปในที่สุด

**********__________**********

   ก๊อก! ก๊อก!

   “อื้อ...” ผมตื่นมาพร้อมกับความสะลึมสะลือเพราะเสียงเคาะประตูห้องที่ดังอย่างต่อเนื่อง ผมกระพริบตานิดหน่อยเพื่อไล่ความมึนงงที่ถูกปลุกกระทันหัน อาการปวดหัวผมทุเลาลงมากแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูปรากฏว่ายังไม่หกโมงเย็นเลย เก็ทเลิกเรียนหกโมง แล้วใครมาเวลานี้วะ

   ผมลุกจากเตียงไปยังประตูด้วยความงัวเงีย ก่อนจะกระชากประตูเปิดออกไม่แรงนัก

   “ไงพี่ เคาะประตูเยอะไปหน่อย ผมนึกว่าพี่จะเป็นอะไร” เมื่อประตูเปิดออกก็เจอกับทาร์ตซึ่งอยู่ในชุดนิสิตกำลังโบกมือพร้อมกับส่งยิ้มแป้นทักทายผมอยู่หน้าห้อง

   “มาได้ไงเนี่ย” ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย มันรู้ห้องผมได้ไง แล้วอีกอย่างมันขึ้นมาบนนี้ได้ไง

   “ก็นั่งแท็กซี่มา แล้วก็ขึ้นลิฟต์มา” ดูคำตอบมัน ยียวนกวนประสาทเสียจริง

   “งั้นมึงก็ลงลิฟต์แล้วนั่งแท็กซี่กลับไปเลยป่ะ!” ผมแกล้งตอบเสียงเข้มอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะทำท่าเหมือนจะปิดประตูไล่ สีหน้าทาร์ตที่ดูเล่นๆ ก่อนหน้านี่ซีดเผือดลงราวกับขาดเลือกมาหล่อเลี้ยงทันที นี่ผมพยายามกลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์เลยนะครับ ขำหน้าตาและท่าทางของมันมาก

   “เห้ยๆ เดี๋ยวดิพี่ โหดจังเลย” มันรีบเอามือมายันประตูไว้ทันทีเพราะกลัวว่าผมจะปิด แถมยังทำหน้าตาเหมือนหมาหงอยอีกต่างหาก

   “ฮ่าๆ หน้ามึงตลกว่ะ” ในที่สุดผมก็ต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมา

   “นี่แกล้งกันเหรอเนี่ย ไรวะ ตกใจหมด!” ทาร์ตถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “กวนแบบนี้ท่าทางจะหายเป็นปกติแล้วสิพี่เนี่ย”

   “ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ผมพูดเสียงอ่อนลงพลางเสมองไปทางอื่น

   “ผมขอโทษ... นี่พี่ เพิ่งตื่นเหรอ ดูงัวเงียเชียว” ทาร์ตคงสังเกตได้ว่าสีหน้าผมดูหม่นหมองลงเลยตัดบทด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเช่นกัน

   “อืม หลับตั้งแต่ตอนเที่ยงๆ อ่ะ ว่าแต่นี่รู้ห้องพี่ได้ไง”

   “เห้ยพี่! ลืมหรือไง ตัวเองเป็นคนบอกเองแท้ๆ” ทาร์ตพูดพร้อมหัวเราะเยาะผมเบาๆ กูบอกมึงตอนไหนวะ?

   “กูเนี่ยนะเป็นคนบอก ช่างเหอะๆ” ผมตัดบท งงเหมือนกันว่าผมบอกไปตอนไหน และบอกไปทำไม และก็งงตัวเองด้วยที่จะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าอะไรกันแน่ ฮ่าๆ เดี๋ยวพี่ เดี๋ยวกู “แล้วนี่มาทำไม ไม่มีเรียนเหรอ”

   “ก็มาเยี่ยมพี่อ่ะแหละ เห็นพี่เก็ทบอกว่าพี่ไม่สบายผมเลยเป็นห่วง ส่วนตัวผมอ่ะ เลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสามแล้ว นี่ผมแวะไปซื้อทาร์ตเจ้าอร่อยมาฝากพี่ด้วย” เจ้าตัวพูดด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดิม พร้อมกับชูถุงที่ใส่กล่องขนมโชว์ผม

   “ขอบใจนะ เข้ามาก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวขอล้างหน้าแป๊บหนึ่ง” ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรสำหรับวันนี้สำหรับคำขอบคุณ ผมว่าก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ ทาร์ตเองก็เดินตามผมเข้ามาในห้องโดยไม่ลืมปิดประตู แต่มันไม่ได้กดล็อกหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับผม

   ผมจัดการล้างหน้าล้างตารอบสอง น้ำท่ายังไม่ได้อาบตั้งแต่เช้าเลยครับ ดูเป็นคนสกปรกมาก อย่างที่บอกก่อนหน้า ผมไม่ค่อยปวดหัวแล้ว และก็ไม่ค่อยคิดมากแล้วเหมือนกัน ผมปล่อยครับ ถึงคิดมากไปผมก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี ปาร์คเองก็ไม่ได้มารับรู้ด้วยว่าผมจะเป็นอะไรอย่างไร จะร้องไห้มากแค่ไหน

   มันคงเป็นความน้อยใจและความสับสนของผมเองมากกว่า ถ้าปาร์คจะมีแฟนมันก็ไม่ผิดหรอก แต่มันผิดที่ตัวผมเองที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าปาร์คเองก็มีใจให้ผมเหมือนกัน และก็ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับช่วงอารมณ์ ณ เวลานั้น

   ผมโง่เองแหละครับที่ ‘ยอม’ ง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้าก็มีบทเรียนมาแล้วว่าปาร์คไม่ได้คิดอะไรกับผม วันนั้นมันอาจเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ และฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ปาร์คดื่มมาก็ได้ แต่ตัวผมดันคิดเข้าข้างตัวเอง และคิดว่าอะไรๆ ระหว่างคงจะดีขึ้น ทั้งที่จริงความสัมพันธ์และทุกๆ อย่างระหว่างเรายังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

   “เห็นเงียบๆ ผมนึกว่าพี่เป็นลมในห้องน้ำซะแล้ว” ทาร์ตหันมาพูดกับผมทันทีที่เดินออกมาจากห้องน้ำ โทรทัศน์ในห้องถูกเปิดเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เยี่ยมไปเลย!

   “เว่อร์ไป ไหนทาร์ตที่ว่าอะไร หิวๆ เหมือนกันว่ะ” ผมถามออกไปอย่างไม่อาย จะว่าไปดูเหมือนผมตะกละเหมือนกันนะ ออกมาก็ถามถึงของกินเลย ก็เมื่อกลางวันผมกินข้าวต้มไปหน่อยเดียวเองนี่ครับ มันกินไม่ลง แต่ตอนนี้เริ่มหายดีแล้ว ท้องไส้ก็เลยเริ่มปฏิบัติการแล้วเหมือนกัน (อย่างกับผีปอบ)

   “นั่งอยู่นี่ไงครับ พี่หิวก็กินได้เลย อร่อยนะจะบอกให้...” ทาร์ตพูดกวนๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้มเจ้าเล่าห์มาให้ “โอ้ย!” ผมเลยจัดฝ่ามือโบกเข้าให้เต็มๆ หัวมันเลยครับ โทษฐานที่กวนส้นเท้าดีนัก!

   “พี่ใจร้ายว่ะ ทำร้ายร่างกายอีกต่างหาก” ทาร์ตลูบหัวที่โดนผมตบปอยๆ พลางหัวมาทำหน้ามู่ทู่ใส่ผมอย่างเคืองๆ “ขนมอยู่นั่นไงพี่ เดี๋ยวผมหยิบให้ก็ได้”

   “น่ากินอ่ะ ซื้อร้านไหนมา” ผมพูดอย่างตื่นเต้นเมื่อกล่องกระดาษสีสันสดใสที่บรรจุทาร์ตอยู่ภายในถูกเปิดออก ข้างในมีฟรุ๊ตทาร์ตอยู่หกชิ้น แต่หน้าตามันดูน่ากินมากเลย ผลไม้ที่ประดับบนหน้าทาร์ตเป็นพวกเบอร์รีนานาพันธุ์แข่งกันอวดสีสัน ยั่วยวนกระเพาะของผมมากจนน้ำลายแอบไหลเบาๆ

   “ร้านละแวกคอนโดฯ ผมนั่นล่ะ ผมลองแล้วชอบเลย วันนี้เลยซื้อมาฝากพี่ เผื่อพี่จะชอบ ‘ทาร์ต’ มากขึ้น” ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูต่างไปจากปกติจึงทำให้ผมต้องหันไปมอง เพราะน้ำเสียงและคำพูดมีนัยยะแอบแฝงนั้นมันทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นแรงและเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

   สายตาของเราสองคนมองซึ่งกันและกันนิ่ง นัยต์ตาเป็นประกายสดใสคู่นั้นมันแฝงด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนยากจะอธิบาย ก่อนที่ใบหน้าที่มักจะชอบทำท่าทางทะเล้นนั้นจะค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนรุ่มของคนตรงหน้า... และเสียงหัวใจที่เต้นถี่ของเราสองคน

   ทาร์ตหยุดมองผมนิ่ง ขณะที่ผมเองก็ยังไม่หลบสายตาไปไหน ก่อนที่จะค่อยๆ ก้มเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นๆ จนปลายจมูกของเราสองคนชนกัน เรียกสติผมกลับมาจนต้องรีบหันหน้าหนีทันทีที่รู้สึกตัว

   “เอ่อ... พี่กินได้เลยนะ ผมขอเข้าห้องน้ำก่อน” ทาร์ตว่าก่อนจะลุกไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมที่ยังคงนั่งอึ้งด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ใต้ผิว เมื่อกี้เราสองคนเกือบทำอะไรลงไป...

   ผมก้มมองกล่องทาร์ตที่อยู่บนตักนิ่งๆ ผมไม่เข้าใจความรู้ที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้เลย ใบหน้าร้อนระอุเมื่อครู่นี้ และเส้นหัวใจที่เต้นระส่ำของเราสองคนมันหมายถึงอะไร ผมพอเข้าใจสิ่งที่ทาร์ตต้องการจะสื่อและบอกผม

   แต่กับตัวผมล่ะ... ความรู้สึกแบบนี้คืออะไร

   ความรู้สึกที่คล้ายๆ กับที่ผมอยู่กับปาร์ค...


à suivre...

อยากกินทาร์ตบ้าง 555555+
ความรู้สึกที่คล้ายๆ กับที่มีให้ปาร์คของฟร๊องก์ นั่นคือฟร๊องก์จะชอบ 'ทาร์ต' ขึ้นมาบ้างแล้วหรือเปล่าน๊าาา


หางเหี้-ย
โผล่แล้ว

ไอ่ปาร์คมันคือเหี้-ย
ตัวแท้ไม่ใช่เทียม

หรือว่าคนเราชอบรักแต่คนเลว
คนเลวๆๆๆๆๆๆๆ เสมอมา
หุหุ
ฆ่าปาร์คได้คงฆ่าไปแล้ววว 5555+ สะใจในทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณนะฮะ  :man1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

from PAST to FUTURE... Chapitre 20 [6/6/2017]
« ตอบ #69 เมื่อ: 06-06-2017 19:45:12 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
นี่จะผิดไหม แต่ไม่สนทาร์ตหงะ อยากให้คู่เก็ท 55555555555555555555555555555555555     ชอบคนแบบเก็ทอ่ะ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ถ้าไม่ติดว่าเก็ทมีชัญญ่าแล้ว
จะเชียร์เก็ทให้สุดตัวเลย
ผู้ชายอะไรฟ่ะ อบอุ่นเมื่ออยู่ด้วย
ใกล้ผู้ชายคนนี้ รู้สึกดี๊ดียยยย

แต่น้องทาร์ตก็น่าเชียร์เหมือนกัน
โสดด้วย น่ารักด้วย ที่สำคัญกินเด็กเป็นอมตะอ่ะ
อิอิ

ส่วนไอ่ปาร์ค เชี้ยยยยยย ไปไกลๆเลย
ชิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

+1 ฮับ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 21 [8/6/2017]
«ตอบ #72 เมื่อ08-06-2017 20:25:15 »

Chapitre 21

   หลังจากเหตุการณ์ที่ผมกับทาร์ตเกือบ... เอ่อ... ช่างเถอะ หลังจากทาร์ตออกมาจากห้องน้ำ เราสองคนก็ไม่มีบทสนทนาอะไรกันอยู่นานเลยครับ ผมพยายามผ่อนคลายตัวเองด้วยการนำฟรุ๊ตทาร์ตเข้าปากแล้วลิ้มรสชาติของมันอย่างเต็มที่ โดยไม่ได้หันไปมองว่าคนที่นั่งอยู่บนเตียงเดียวกันข้างๆ นั้นจะมีสีหน้าหรือท่าทางเป็นอย่างไร

   บรรยากาศตอนนั้นอึดอัดมากครับ เหมือนเราสองคนทำผิดอะไรกันมาสักอย่าง แล้วรอให้อีกฝ่ายสารภาพออกมา มันอึดอัดมากจนเป็นผมเสียเองที่ต้องเปิดปากพูดออกมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ขอโทษหรืออธิบายอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แค่บอกมันว่าทาร์ตนั้นอร่อยมาก แล้วก็ยื่นกล่องกระดาษนั้นไปยังตรงหน้าของคนที่นั่งก้มหน้านิ่งอีกคน เมื่อเห็นผมทำแบบนั้น เจ้าตัวถึงกับยิ้มออกเลยครับ ก่อนจะหยิบฟรุ๊ตทาร์ตอีกชิ้นขึ้นมากิน ผมก็ลดความกดดันของเราสองคนต่อด้วยการเล่นมุกแซวไปว่าถ้าทำเศษแป้งหล่นใส่ที่นอนจะเตะให้ดิ้น เท่านั้นแหละครับ ทาร์ตถึงกับหัวเราะออกมาเลย แล้วก็ตอบกลับมุกของผมอย่างเฮฮา จนสุดท้ายก็กลับมาเป็นทาร์ตเจ้าเก่าคนเดิม

   วันนั้นผมกับทาร์ตอยู่กันสองคนสักพักพวกเก็ทก็แวะมาเยี่ยม ซึ่งก็มีแค่โดนัทกับไวน์ครับ ส่วนคนอื่นๆ ฝากเยี่ยมแล้วก็ฝากขอโทษที่ไม่ได้มา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าหรือคิดมากอะไรหรอกครับ พวกนั้นโผล่มาพร้อมกับข้าวต้มเครื่อง (อีกแล้ว) ของผม และอาหารปรุงสำเร็จนานาชนิดของพวกมัน โคตรยุติธรรมเลย ทำอย่างกับผมป่วยมากจนกินอะไรไม่ได้อย่างไงอย่างงั้น ทั้งที่ฟรุ๊ตทาร์ตก่อนหน้าผมจัดคนเดียวไปซะสี่ชิ้น มันอร่อยมากจริงๆ ครับ เบอร์รี่สดมากและดูๆ แล้วราคาก็คงใช่ย่อยเพราะวัตถุดิบดีซะขนาดนั้น

   หลังจากที่พวกนี้มา(บุก)ห้องผม ก็มีปาร์ตี้อาหารกันในห้องผมเนี่ยแหละครับ ห้องที่ผมอยู่คนเดียวก็ถือว่ากว้าง พอมีพวกนี้มาห้องดูแคบไปถนัดตา ส่วนผมก็โดนบังคับให้กินข้าวต้มไปตามระเบียบ ซึ่งผมก็บ่นๆ ว่าของเก่ายังไม่หมดเลยจะซื้อมาให้อีกทำไม เคืองครับที่พวกมันไม่ยอมให้ผมกินอย่างอื่น แต่ก็มีคนใจดี ทั้งเก็ท ทั้งทาร์ตเลยที่คอยหา option เสริมให้ผมอยู่ตลอด จนผมแทบจะโยนชามข้าวต้มทิ้งแล้วรับเฉพาะของที่คอยยื่นมาป้อนให้ถึงปาก

   ถือว่าโชคดีที่พวกมันล้างจานชามและเก็บห้องผมให้มีสภาพเหมือนเดิมก่อนจะกลับไป โดนัทกับไวน์ก็อวยพรให้ผมหายไวๆ สองคนนี้ไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ผมป่วย แต่วันนี้มันสองคนก็ไม่ค่อยกวนไม่ค่อยแซวผมเท่าไร ซึ่งถือเป็นเรื่องดีในรอบปี นี่ถ้ามีนุ่นมาด้วยแล้วสงบเสงี่ยมแบบนี้จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลยทีเดียว ทาร์ตเองย้ำให้ผมไม่ต้องคิดมาก(อีกแล้ว) ก่อนจะยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันสีชมพูที่เพิ่งเปลี่ยนมาไม่นานให้ผมอีกรอบ ส่วนเก็ทก็พูดด้วยน้ำเสียงเข้มๆ กับส่งสายตาดุๆ มาให้ผม บอกให้ผมกินยา(ก็ไม่ลืมหรอกน่า) ก่อนจะยีหัวผมเป็นครั้งที่สองของวันแล้วเดินออกจากห้องไปเป็นคนสุดท้าย หลังจากที่ประตูห้องปิดลง ผมยังคงมองภาพที่ผ่านไปนั้นด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่พวกนี้อยู่ที่ห้องผม มันก็ไม่ทำให้ผมต้องคิดมาก และไม่มีอะไรเข้ามารบกวนจิตใจผมได้ อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว

   นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วจากวันที่ผมเจอปาร์คกับผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่ร้องไห้อีกหลังจากวันนั้น แต่ภายในใจปฏิเสธไม่ได้ว่ามันยังคงเจ็บหน่วงๆ อยู่เป็นระยะๆ และก็ยังคงหยุดการคิดมากไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางครั้งผมก็ยังคงมีอาการซึมอยู่บ้าง โดยเฉพาะเวลาที่อยู่คนเดียว และบางครั้งภาพนั้นก็เข้าไปฉายวนเวียนซ้ำในความฝันของผมจนเมื่อตื่นมาพบว่ามีคราบน้ำตาอยู่บนใบหน้าของตัวเอง
 
   ปาร์คเองก็ยังคงเหมือนเดิม ยังคงโทรหาผมและคุยอย่างปกติ มันปกติมากจนผมเองก็รู้สึกอึดอัดจนอยากจะถามออกไปตรงๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร และระหว่างเรามันคืออะไรกันแน่ ที่ทำเป็นเหมือนทุกอย่างมันเป็นปกตินี้คืออะไร แต่ก็เป็นตัวผมอีกเช่นกันไม่กล้าพอ... ที่จะรับฟังคำตอบ ผมยอมรับว่าผมกลัวคำตอบของปาร์ค เพราะผมรู้คำตอบนั้นดี คำตอบที่ตอกย้ำสถานะความเป็น ‘เพื่อน’ ของผม และที่สำคัญ เพื่อนน่ะไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเพื่อนหรอก ดังนั้นทุกครั้งที่ปาร์คโทรมา ผมมักจะพูดน้อยกว่าเดิมที่เคยเป็น และวันนี้เองก็เช่นกัน

   [ฟร๊องก์... เป็นไรหรือเปล่า ฟังดูเหมือนไม่ค่อยอยากคุยกับปาร์คเลย ฟร๊องก์เป็นแบบนี้หลายวันแล้วนะ] เสียงปลายสายของปาร์คถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ฟังดูแข็งขึ้นด้วยอารมณ์ที่ผมคาดว่าจะเริ่มขุ่นมัวขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

   “เปล่านี่ ไม่เป็นไรเลย ทำไมถึงคิดว่าฟร๊องก์จะไม่อยากคุยกับปาร์คล่ะ” ผมฝืนตอบกลั้วกับการหัวเราะแห้งๆ กลับไปด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ดูร่าเริงกว่าปกติ แต่มันช่างขัดแย้งกับหัวใจที่เจ็บปวดของผม ทุกครั้งที่ผมคุยโทรศัพท์กับปาร์ค ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมกำลังถูกบีบ แน่นขึ้นและแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องรีบหาทางวางสาย

   [ก็ไม่รู้สิ ฟร๊องก์ดูแปลกๆ ไป โกรธอะไรผมหรือเปล่าครับคนดี] ยิ่งปาร์คถามผมด้วยเสียงนุ่มทุ้มอันคุ้นหูนั้นมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจมากขึ้นเท่านั้น เจ็บและอึดอัดมากจนผมต้องปล่อยให้น้ำตาที่พยายามสะกัดกั้นไว้อย่างสุดความสามารถต้องไหลรินออกมา เพื่ออะไรกันปาร์ค ให้ความหวังกับผมแบบนี้เพื่ออะไรกัน

   “จะโกรธอะไรเล่า ไม่มีอะไรเลยต่างหาก... ไม่มีเลย” ผม(พยายาม)พูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด กลั่นเสียงสะอื้นให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้รับรู้และได้ยิน ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ... ใช่ไหม?

   [ปาร์คเป็นห่วงฟร๊องก์นะ แล้วก็แคร์ความรู้สึกฟร๊องก์มากด้วย] คำพูดปาร์คยิ่งที่ให้น้ำตาผมไหลมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าปาร์คแคร์ความรู้สึกผม แล้วปาร์คกำลังแคร์ผมในฐานะใด เป็นห่วงผมเพราะอะไร ห่วงว่าผมจะเจ็บเพราะตัวเองไม่ได้เลือกผมอย่างนั้นหรือ

   “ฟร๊องก์ไม่ได้เป็นไร” ผมตอบกลับนิ่งๆ พลางหลับตาปล่อยน้ำตาให้ไหลต่อไป “ปาร์ค... ฟร๊องก์ขอทำงานก่อนนะ ช่วงนี้งานเยอะมากเลย” ก่อนที่จะพูดต่อด้วยเหตุผลที่ผมมักหยิบมาอ้างตลอดในช่วงนี้ ถ้ายิ่งคุยกันนานกว่านี้ ผมกลัว... ว่าปาร์คจะรู้ว่าผมกำลังร้องไห้

   [โอเค อย่าโหมงานหนักนะ พักผ่อนเยอะๆ ด้วย คิดถึงนะครับ ฝันดีนะคนดีของปาร์ค] สิ้นเสียงของปาร์คผมก็ตัดสายไปทันที ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างกลั่นไม่อยู่

   ทำไมกันปาร์ค ทำดีให้ผมคิดมากทำไมกัน ทำให้ผมสับสนทำไม ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับผมทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่ในฐานะเดิม ทำไมไม่ย้ำสถานะเพื่อนของเราให้ชัดเจน จะปล่อยให้ผมก้าวข้ามไปทำไม และปาร์คเองก็จะทำในสิ่งที่เพื่อนกันไม่ควรทำ ไม่ควรพูด หรือแม้แต่ทำให้ผมรู้สึกทำไมกัน หรือมันเป็นโทษทัณฑ์ของคนที่คิดไม่ซื่อกับเพื่อน... อย่างผม

**********__________**********

   วันนี้เป็นวันศุกร์ นี่ก็บ่ายสามโมงกว่าๆ แล้วครับ และผมกำลังเก็บของกลับบ้าน เมื่อวานเย็นไม่ได้กลับเพราะเพื่อนนัดไปเที่ยวต่อตอนกลางคืน เลยอยู่เที่ยวกับพวกมันหน่อย อย่างน้อยก็ได้ไปปลดปล่อย บางทีเหล้ามันอาจจะทำให้ผมลืม แต่เอาจริงๆ มันก็ลืมความทุกข์ ความเจ็บปวดแค่ชั่วขณะแหละครับ สุดท้ายตื่นมาทุกอย่างมันก็ยังคงตอกย้ำผมอยู่อย่างชัดเจน จะมีก็แต่เรื่องของผมกับปาร์คนี่แหละที่มันไม่มีอะไรชัดเจนเลย

   ผมสะพายกระเป๋าเป้ลงลิฟต์มายังด้านล่างของหอ เพื่อออกไปขึ้นรถกลับบ้าน แต่เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านหน้าของหอผ่านประตูกระจกนั้นก็ทำให้ผมต้องผงะ ผมยังไม่พร้อมเจอคนๆ นี้ในเวลานี้ ผมจะหันกลับเพื่อนขึ้นห้องอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทันแล้วครับเมื่อสายตาคมกริบสีนิลนั้นตวัดมามองยังผมราวกับพบสิ่งที่ต้องการเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงจำใจต้องกดเปิดกดประตูออกไปเผชิญหน้ากับคนๆ นั้น เผชิญหน้ากับความจริง

   “กำลังจะกลับบ้านเหรอ” ปาร์คเอ่ยทักผมด้วยรอยยิ้ม

   “อื้ม แล้วนี่รู้ได้ไงว่ายังอยู่หอ” ผมยิ้มตอบจางๆ เท่าที่ทำได้ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นปกติมากที่สุด

   “เมื่อตอนบ่ายแวะไปหาที่บ้านมา แม่บอกว่ายังไม่กลับ ก็เลยมาหาที่นี่แทน”

   “อ๋อ แล้วมีธุระอะไรเปล่าเนี่ย” ผมถามออกไปโดยไม่ได้มองหน้าปาร์ค แต่ก็ทำเป็นเนียนโดยการมองไปยังสิ่งที่อยู่รอบข้างแทน

   “ไม่มีธุระแล้วมาหาไม่ได้หรือไง หื้ม...” ปาร์คเอื้อมมือมายีหัวผมเบาๆ พร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มหูที่ผมชอบฟัง แต่ไม่ใช่สำหรับเวลานี้ “แค่คิดถึง”

   “...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงเล็กน้อย หวังเพียงอยากจะเห็นในแววตาคู่นั้นว่ามันแสดงความรู้สึกจริงๆ ของปาร์คที่มีต่อคำพูดนั้นออกมาหรือเปล่า แต่แล้วไม่นานก็ต้องก้มหลบสายตาอันทรงอิทธิพลกับผมคู่นั้นเหมือนเดิม ผมบอกแล้วว่าผมมันป๊อด ไม่กล้าแม้แต่จะรับรู้เสี้ยวหนึ่งของคำตอบ... คำตอบที่รู้อยู่แก่ใจ

   “ป่ะ ไปหาอะไรกินกันก่อนค่อยกลับ” ปาร์คยิ้มก่อนจะคว้ามือผมให้เดินตามไปอย่างเอาแต่ใจ

   “ฟะ... ฟร๊องก์ต้องรีบกลับน่ะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” ผมหาข้ออ้างพร้อมกับพยายามดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมที่แน่นหนานั้น แต่มือใหญ่นั้นยิ่งกุมมือผมแน่นขึ้นกว่าเดิม

   “รีบกลับไปทำไม ปาร์คบอกแม่แล้วว่าปาร์คจะมารับ แม่ไม่ได้ว่าอะไร อีกอย่างท่านก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย ดังนั้นไม่เห็นต้องรีบกลับเลยจริงไหม” ปาร์คพาผมมาถึงรถก่อนจะเปิดประตูด้านที่นั่งข้างคนขับ แล้วเอามือเท้ากับตัวรถกั้นตัวผมอยู่ในวงแขนนั้นแล้วยกเหตุผลมากดดันผม แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยอมก้มตัวเข้าไปนั่งที่เบาะรถแต่โดยดี

   “อยากดูหนังไหม” หลังที่ปาร์คขับรถออกจากหอผม เราสองคนก็นั่งเงียบกันมาตลอด ผมได้แต่มองออกไปนอกกระจกซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังมองอะไร รู้เพียงแค่ความอึดอัดในใจผมมันเพิ่มขึ้นๆ จนปาร์คต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบนั้น

   “ไม่อ่ะ กินข้าวเสร็จกลับเลยก็ได้ ฟร๊องก์เพลียๆ น่ะ” ผมปฏิเสธอย่างรวดเร็วโดยไม่หันมามองคนถามด้วยซ้ำ

   “งั้นดูเรื่อง... แล้วกัน” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงขัดแย้งกับสิ่งที่ผมบอกจนผมต้องหันไปมองหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ปาร์คที่มองผมอยู่ตั้งแต่แรกส่งยิ้มกวนๆ ให้พร้อมกับยักคิ้วสองทีก่อนจะหันกลับไปสนใจถนนด้านหน้าต่อโดยยังมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ที่มุมปาก

   ผมไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจดังๆ แสดงความไม่พอใจโดยจงใจให้ปาร์คได้ยิน ยังคงเอาแต่ใจตัวเองอยู่เหมือนเดิมสินะ!

   ปาร์คขับรถต่อไปด้วยท่าทางสบายใจและถูกใจที่ได้แกล้งผม แถมยังผิวปากเยาะเย้ยผมอีกต่างหาก ส่วนผมที่ทำอะไรไม่ได้ก็ทำได้แค่นั่งส่งสายตาอาฆาตเป็นระยะๆ สลับกับการถอนหายใจเมื่อเห็นว่าสายตาดุสุดๆ ที่พยายามส่งไปมันไม่มีผลอะไรต่อคนที่ผิวปากอย่างไม่สะทกสะท้านนั่นเลย

   ไม่นานเราก็มาถึงห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลนัก ปาร์คพาผมไปยังร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดข้องใจอะไร ผมกินอะไรก็ได้แหละ เพราะจริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ แต่อย่างที่เห็น อีกคนไม่มีท่าทีสนใจผมที่กำลังหงุดหงิดอยู่เลยแม้แต่น้อย มันยิ่งทำให้ผมอึดอัด ทำไมปาร์คถึงไม่อธิบาย! แต่ก็อย่างว่า... จะให้ปาร์คอธิบายอะไรในเมื่อเจ้าตัวยังไม่รู้ปัญหาที่เกิดเลยด้วยซ้ำ มีแค่ผมที่บ้าบอคิดมากไปอยู่คนเดียว

   “สั่งเลยนะครับ เดี๋ยวกระผมเลี้ยงเอง” ปาร์คพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เราได้ที่นั่งในร้านเป็นที่เรียบร้อย

   “ป๋าสุดๆ” ผมประชดกลับเบาๆ โดยสายตาจับจ้องไปยังเมนู

   “แน่นอนสิ ฟร๊องก์คนเดียวปาร์คเลี้ยงได้อยู่แล้ว”

   “อิอิ” เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ของพนักงานผู้ชายหน้าตาโอเคที่กำลังยืนรอรับออเดอร์ดังขึ้นทำให้ทั้งผมและปาร์คต้องหันไปมอง ปาร์คยิ้มรับอย่างเต็มภาคภูมิ แต่ผมถึงกับก้มหน้าหลบด้วยความเขินอายแทบไม่ทัน

   “ปาร์คมี... แค่ฟร๊องก์คนเดียวจริงๆ เหรอ” ผมก้มหน้าพูดออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกำลังรำพันกับตัวเอง ขัดกับหัวใจของผมที่เริ่มเต้นแรงและเร็วขึ้น

   “ฟร๊องก์ว่าอะไรนะ ปาร์คไม่ค่อยได้ยินเลย”

   “ป่ะ... เปล่าหรอก สั่งอาหารเถอะ เขารอนานแล้ว” ผมตัดบทก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฝืนยิ้มให้ปาร์คที่กำลังมองหน้าผมด้วยความสงสัย

   ผมจำต้องก้มหน้าลงไปยังเมนูอีกครั้งทั้งที่สายตาไม่ได้มองชื่ออาหารให้เมนูเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะน้ำตาผมมันกำลังจะไหลต่างหาก ผมถึงต้องก้มลงมาห้ามน้ำตาตัวเองเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าเมื่อกี้ที่เงยหน้าขึ้นไปมอง ปาร์คจะเห็นแววตาสั่นไหวคู่นั้นของผมหรือเปล่า...

   ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารก็ผ่านพ้นไป แต่ยังไงผมก็ยังคงต้องอยู่ดูหนังกับปาร์คต่ออีก เพราะเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยให้ผมกลับ อีกอย่างกระเป๋าเป้ผมอยู่บนรถของปาร์คด้วย ไม่ได้เอาอะไรลงมาเลยเว้นแต่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงแค่เครื่องเดียว เงินสักบาทก็ไม่มี แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะ ก็ต้องเป็นไปตามที่ปาร์ควางโปรแกรมไว้

   ตลอดช่วงที่กินอาหารอยู่ ปาร์คก็ชวนผมคุยโน้นนี่ แล้วก็คีบปลาดิบบ้าง ยื่นช้อนที่ตักซุปบ้าง ส่งข้ามโต๊ะมายังปากผม จนผมเคี้ยวไม่ทัน และที่สำคัญโต๊ะข้างๆ มองแล้วหัวเราะกันคิ๊กคักด้วย จนผมต้องบอกให้ปาร์คหยุด ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะดีใจและเขินจนแทบละลาย แต่คราวนี้ไม่เลยครับ ผมกลับยิ่งอึดอัดใจและทรมานใจมากยิ่งขึ้นที่ปาร์คปฏิบัติกับผมราวกับผมเป็น ‘แฟน’ ซึ่งแท้จริงแล้วผมคงไม่มีวันอยู่ในสถานะนั้นเลยด้วยซ้ำ

   “ปาร์คไม่ต้องดูหนังหรอก มันมีแต่รอบมืดเลยอ่ะ เดี๋ยวกลับบ้านดึก” ผมว่าเมื่อมาเราสองคนมาหยุดยืนดูรอบหนังที่ตู้โชว์ไทม์แล้วพบว่าหนังเรื่องที่ปาร์คต้องการดูมีแต่รอบสองทุ่มกว่าๆ กับห้าทุ่ม ซึ่งตอนนี้ก็เย็นมากแล้วด้วย ถ้าดูหนังรอบสองทุ่มนั้นกว่าหนังจะเริ่มจริงๆ ก็คงสามทุ่ม แล้วหนังเรื่องนี้ก็นานด้วย กว่าผมจะได้กลับบ้านก็คงดึกน่าดู แถมแม่จะต้องมานั่งรอเปิดประตูให้อีก ที่สำคัญคือผมจะต้องอยู่กับปาร์คและต้องทนอึดอัดแบบนี้นานขึ้นด้วยเช่นกัน

   “กลับดึกก็ไม่ต้องกลับไง” ปาร์คหันกลับมาพูดด้วยสีหน้าทะเล้น “ปาร์คบอกแม่ฟร๊องก์แล้วว่าคืนนี้ปาร์คจะพาฟร๊องก์ไปค้างด้วย แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร” ตาผมถึงกับเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินประโยคเรียบๆ ของคนตรงหน้า นี่ปาร์ควางแผนมาหมดแล้วใช่ไหมครับ

   “เห้ย! ไม่ได้ ฟร๊องก์... ฟร๊องก์ต้อง... ต้องกลับไปเอาของที่บ้าน” ผมปฏิเสธด้วยความตะกุกตะกัก เวลาคับขันแบบนี้คิดข้ออ้างอะไรไม่ถูกเลย

   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ปาร์คพาไปเอาก็ได้ เสาร์ อาทิตย์ก็ว่างทั้งวัน”

   “เอ่อ... ฟร๊องก์ เอ่อ...”

   “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ อีกอย่างปาร์คซื้อตั๋วผ่านแอพฯ เรียบร้อยแล้วด้วย ไปดูหนังกัน!” ปาร์คสรุปเองเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะคว้ามือผมเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์ เกิดความเบลอและมึนงงชั่วขณะจนผมได้แต่พยักหน้าเออออห่อหมกไปกับปาร์ค ไม่รู้ว่ามันซื้อที่นั่งตรงไหน ไม่รู้มันพูดว่าอะไร ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด จนผมตามไม่ทัน สรุปคือคืนนี้ผมต้องไปนอนกับปาร์คจริงๆ สินะ

**********__________**********

   และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ปาร์คต้องการ สุดท้ายผมก็มานั่งอยู่บนเตียงกว้างภายในห้องนอนที่คอนโดมิเนียมหรูของปาร์คที่ผมเคยมาค้างและก็เคย...

   ปาร์คดูท่าทางมีความสุขมากๆ เลยครับที่หลอกผมให้มาค้างที่นี่ได้ ช่วงบ่ายตั้งแต่ที่เจอปาร์คมา ปาร์คไม่มีท่าทีแปลกไปเลย และก็แทบจะไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่ดูแปลกตาไปของผมเลยด้วยซ้ำ ปาร์คไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมเลย... ไม่เลย

   “หนังสนุกจังเลยเนอะ” ปาร์คเดินเข้ามาหาผมก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างตัวผมแล้วโน้มตัวลงมานอนหนุนตักผมอย่างเนียนๆ
 
   “คงงั้นมั้ง เลือกเองดูเองนิ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

   “อิอิ ที่ฟร๊องก์ยอมดูด้วยไม่ใช่เหรอ แถมยังยอมมานอนกับปาร์คอีก” ปาร์คแหงนหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมอย่างทะเล้น

   “ก็เพราะใครล่ะ หึ! ลุกไปเลยหนัก!” ผมทำเสียงดุพร้อมกับใช้มือผลักหัวปาร์คให้ลุกออกไป แต่มันช่างหนักและยากเย็นเหลือเกิน เมื่อปาร์คที่นอนยิ้มฝืนตัวต้านแรงผลักของผมด้วยท่าทางแสนสบาย น่าหมั่นไส้นัก!   

   “ฟร๊องก์... กำลังโกรธหรือไม่พอใจอะไรปาร์คอยู่หรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าดันหัวของคนจอมดื้อยังไงก็ไม่ได้ผล ผมเลยจำต้องปล่อยให้เจ้าตัวนอนหนุนต้นขาผมอยู่เช่นกัน แล้วจู่ๆ ปาร์คก็ถามขึ้นหลังจากที่เราสองคนเงียบกันอยู่สักพัก และคำถามนั้นของปาร์คก็ช่างจี้จุดสิ่งที่เก็บและกดมันไว้ในใจเหลือเกิน

   “ทำไมถึงคิดงั้นอ่ะ”

   “ก็ฟร๊องก์ดูแปลกๆ ไป ดูเงียบๆ ไม่ค่อยมองหน้า ไม่ค่อยสบตาปาร์ค แล้วก็ทำเหมือน... ไม่อยากอยู่กับปาร์ค”

   “บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรเลย แล้วปาร์คล่ะ มีอะไรจะบอกฟร๊องก์หรือเปล่า” ผมก้มลงมามองปาร์คซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ปาร์คเงยขึ้นมามองผมเช่นกัน เราสบตากันนิ่งครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะตัดสินใจพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “... ถ้ามีอะไรรีบบอกฟร๊องก์เลยนะ ก่อนที่... อะไรมันจะสายเกินไปกว่านี้”

   “หมายความว่าไง” ปาร์คเด้งตัวขึ้นมานั่งมองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังทันทีที่ผมพูดประโยคนั้นจบ สีหน้าที่ดูคาดคั่นนั้นทำให้ผมรู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก แต่จะให้ผมพูดออกไปทั้งที่ผมไม่แน่ใจเรื่องราวทั้งหมดก็ดูจะเป็นการหาเรื่องชวนทะเลาะกันมากกว่า

   “ทำไมต้องทำท่าจริงจังขนาดนั้น ฟร๊องก์แค่พูดเล่นๆ เหอะ ไปอาบน้ำแล้ว!” ผมแกล้งทำเป็นหัวเราะกับท่าทางตื่นตกใจของปาร์ค ใช่ผมแกล้งทำว่าเป็นเรื่องเล่นๆ ทั้งที่ตัวผมเองนั่นแหละที่ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ เลยด้วยซ้ำ

   ผมเข้ามาสงบจิตสงบใจในห้องน้ำ มันรู้สึกจุกที่หน้าอกจนอยากจะร้องไห้ แต่ผมกลับไม่มีน้ำตา มันแน่นร้าวไปหมด ความอึดอัดที่อยู่ในใจผมไม่สามารถพูดหรือถามมันออกไปได้ จะให้ผมเริ่มอย่างไร แล้วถ้าผมเริ่มถามออกไปแล้ว ตัวผมจะรับได้กับคำตอบมากแค่ไหน ผมรู้ดีว่าผมไม่พร้อมที่จะฟังคำตอบที่ตอกย้ำว่าตัวผมเป็นอะไร เพราะตอนนี้ผมก้าวข้ามคำว่าเพื่อนมาจนไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้อีกแล้ว

   ผมใช้เวลาในห้องน้ำพอสมควร ก่อนจะกลับออกมาในเสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงขาสั้นสีฟ้าสดใสที่มันติดมาในกระเป๋าเป้ของผมเอง บางทีมันอาจจะเพิ่มความสดใสให้ตัวผมบ้างก็ได้

   “ยิ้มอะไร” ผมถามอย่างงงๆ เมื่อออกจากห้องน้ำมาเห็นปาร์คนั่งยิ้มมองผมแปลกๆ อย่าบอกนะว่ามันเห็นอะไรต่อมิอะไรของผมผ่านกระจกห้องน้ำอีกแล้ว แต่ผมระวังตัวสุดๆ แล้วนะ มันเป็นประจำทุกครั้งหลังจากครั้งนั้นที่เวลาผมอาบน้ำที่นี่จะต้องระมัดระวังตัวกว่าเดิม ผมโคตรเกลียดไอ้ประตูกระจกขุ่นๆ นี่เป็นบ้า อยากทุบทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด จะทำประตูปกติแบบชาวบ้านชาวช่องก็ไม่ได้

   “หึหึ” ปาร์คส่งเสียงหัวเราะเบาๆ พลางมองสำรวจผมทั้งตัว จนผมก้มลงไปมองขาตัวเองถึงได้รู้เลยว่ามันยิ้มทำไม ก็กางเกงที่ผมใส่อยู่มันสั้นมากเลยน่ะสิ ก็ปกติผมใส่นอนที่หอคนเดียวก็เลยรู้สึกชินจนไม่คิดว่ามันจะสั้นขนาดนี้ แล้วดูสายตาหื่นๆ นั่นดิ รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ผมต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ครับ นอกเหนือจากความรู้สึกที่มันผิดแล้ว อย่าให้เราต้องทำผิดกันไปมากกว่านี้เลย แค่ครั้งเดียวก็ผิดมากพอสำหรับเราสองคนแล้ว

   “ไม่ต้องมาหื่นเลย! ไปอาบน้ำ ฟร๊องก์จะนอนแล้ว ง่วงมาก!” ผมว่าด้วยเสียงดุ

   “จะรีบนอนไปไหน” ปาร์คลุคขึ้นจากเตียงแล้วเดินมาหาผมด้วยท่าทางหื่นกระหายจนผมต้องถอยหนี แต่สุดท้ายก็หมดทางหนีต่อเมื่อแผ่นหลังผมสัมผัสกับผนังห้องเย็นๆ และมันยิ่งทำให้ผมขนลุกมากขึ้นเมื่อปาร์คตามมาสร้างกรงขังผมไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงทั้งสองข้างนั้น

   “ถอยไป!” ผมผลักแผงอกแข็งแกร่งนั้น แต่มันกลับมีขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แถมยังเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ แทน

   “โห้ ขอนิดหนึ่งนะ คิดถึงจะแย่รู้ไหม” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมกับก้มลงมาใช้จมูกโด่งนั้นกดแช่ลงที่แก้มผมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ รุกหนักขึ้นโดยการขยับริมฝีปากพรมจูบไปทั่วข้างแก้มผม ริมฝีปากซุกซนนั้นค่อยๆ ไล่ไปยังใบหูก่อนจะขบเม้มเบาๆ ที่ติ่งหูของผมอย่างอ้อยอิ่งจนผมรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัว เพียงไม่กี่ครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ปาร์คกลับรู้จุดอ่อนของผมเป็นอย่างดี สัมผัสชื้นแฉะจากลิ้นของปาร์คที่บริเวณใบหูของผม ดึงสติผมให้หลุดลอยจนร่างกายแทบทรงตัวไม่อยู่ จุดนี้แหละที่ปาร์คใช้มันปลุกปั่นอารมณ์ของผม

   ปาร์คสนุกกับการเลีย สลับกับการแทะเล็มเบาๆ ตรงบริเวณจุดอ่อนของผมสักพัก ก่อนที่ริมฝีปากบางนั้นจะค่อยๆ ไล่มาหยุดลิ้มรสริมฝีปากของผม สัมผัสแผ่วเบาของปาร์คค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรสจูบที่ร้อนแรงมากขึ้นจนผมต้องหอบหายใจหนักๆ เพราะหายใจไม่ทัน มือใหญ่ของปาร์คเลื่อนจากผนังห้องมาบีบเค้นที่สะโพกของผม แล้วค่อยๆ ล้วงเข้าไปในกางเกงตัวสั้นจิ๋วนั้น ก่อนจะลามลึกผ่านชั้นในตัวบางจนสัมผัสเนื้อเนียนของผมที่อยู่ด้านใน

   “อื้อ... ปาร์คพอแล้ว” เมื่อสถานการณ์ยิ่งยากจะควบคุม รวมถึงอารมณ์ของทั้งผมและปาร์ค ทำให้ผมต้องหันหน้าหนีสัมผัสเร้าร้อนที่พยายามจูบซับอย่างออดอ้อน มือของผมก็จับข้อมือใหญ่ของอีกคนเอาไว้ไม่ให้ล่วงล้ำเข้าไปมากกว่านี้ ผมจำเป็นต้องหยุด... หยุดแค่นี้

   “อีกนิดนะ” ริมฝีปากที่เปล่งเสียงออกมายังคงไม่หยุดพรมจูบใกล้ๆ กับริมฝีปากของผม

   “พอเถอะปาร์ค...” ผมดึงมือปาร์คออกจากบั้นท้ายของผมส่วนอีกมือก็ผลักอกปาร์คให้ถอยห่างออกไป ที่ผมบอกว่าพอเถอะ ไม่ใช่แค่การกระทำนี้ แต่ให้ปาร์คหยุดทำเหมือนคิดอะไรลึกซึ้งกับผมเถอะ บางทีสิ่งที่ปาร์คกำลังเป็นหรือรู้สึกอยู่อาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ หรือความใคร่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นและ... ผมเองก็ไม่ใช่ที่ระบายความใคร่นั้นเหมือนกัน

   “...” ปาร์คเงยหน้ามองผมนิ่ง แต่สายตาคมนั้นกำลังมองผมด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันเหมือนกำลังขุ่นเคือง แต่ก็ดูเหมือนกำลังน้อยใจและผิดหวังในขณะเดียวกัน

   “ไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวฟร๊องก์จะนอนแล้ว” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ก่อนจะหลบสายตานั้นและเบี่ยงตัวเลี่ยงตัวปาร์คที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ไปยังเตียง แล้วจึงล้มตัวลงนอนหันหลังให้ปาร์ค...

   สายตาคู่นั้นหมายถึงอะไร กำลังผิดหวังที่ผมไม่ยอมอย่างนั้นหรือ... หรือว่าโกรธที่ผมหยุดกลางคัน

   ปัง!

   ผมนอนนิ่งอยู่สักพักเสียงปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น มันค่อนข้างดังกว่าปกติ บ่งบอกถึงอารมณ์ของคนในนั้นได้เป็นอย่างดี ผมผิดด้วยเหรอที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก ผิดด้วยเหรอที่ไม่อยากให้มันถลำไปไกลกว่านี้ ปาร์คอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับผมแล้วมันเจ็บ และแค่นี้ผมก็รักปาร์คมากจนไม่สามารถถอนตัวได้แล้ว

   ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกว่าเสียงน้ำนั้นจะสิ้นสุดลงไป ผมยังคงนอนนิ่งไม่เปลี่ยนท่าทางและก็ยังคงไม่หลับ ไม่รู้ทำไมทั้งที่รู้ว่ามันผิด แต่ผมกำลังนอนรออ้อมแขนอันแข็งแกร่งนั้นมาคว้าตัวผมเข้าไปกอดเพื่อส่งผมให้เข้าสู่ห้วงนิทราและฝันดี ผมต้องการแค่นั้น

   “ฟร๊องก์... ฟร๊องก์ หลับแล้วเหรอ” ปาร์คส่งเสียงเรียกผมหลังอาบน้ำเสร็จ แต่ผมเองก็ไม่ได้ขานตอบหรือแสดงปฏิกิริยาอะไร นี่ผมก็หาเหตุผลไม่ได้อีกว่าทำไมผมถึงไม่ตอบรับเสียงเรียกนั้น

   “หลับแล้วเหรอครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นใกล้กับหูผมพร้อมกับฟูกที่ย้วบลงไปด้วยน้ำหนักกายของอีกคน นั่นทำให้ผมรีบหลับตาลงทันที และแกล้งทำเป็นเหมือนกันว่าผมหลับไปแล้ว ทำไมกันนะ? “ขี้เซาชะมัดเลยใครเนี่ย” สัมผัสแผ่วเบาที่เส้นผมและรอยจุมพิตที่ข้างแก้มของปาร์คทำให้ผมรู้สึกดีและอบอุ่นหัวใจขึ้น ก่อนที่ร่างสมส่วนนั้นจะลุกออกจากเตียงไป
   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงริงโทนโทรศัพท์ปาร์คดังขึ้น ดังสติผมที่กำลังเคลิ้มจริงๆ ให้กลับมาอีกครั้ง ใครกันโทรฯ มาดึกดื่นป่านนี้

   “ว่าไงครับ ‘เกล’“ ปาร์ครับสายด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใสขึ้น ผมสะดุดกับคำที่ใช้เรียกชื่อนั้นทันที ‘เกล’ คนนั้นคือใคร จะให้คนที่ผมคิดอยู่ในใจหรือเปล่า... คนๆ นั้นของปาร์ค


à suivre...

จุกแทนฟร๊องก์ งื้ออออ  :hao5:
เรราเลือกพระเอกผิดหรือเปล่า?? 5555+ รอดูความเลวของปาร์คต่อไป  :z6:
แต่เราก็รู้สึกชอบนะ ที่ทำให้คนอ่านรู้สึกกับตัวละครได้แบบนี้ อิอิ ขอบคุณนะฮะ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เป็นเพื่อนกัน นั่นก็ดี ที่สุดแล้ว
ใจไม่แผ่ว ปลิวไหว ให้หม่นหมอง
เขาไม่คิด จะเป็นคู่ ไม่ดูมอง
อย่าทำผิด ซ้ำสอง นองน้ำตา

หลงคารม จมจ่อ รูปหล่อมาก
หลงมารยา กระชาก ใจห่วงหา
หลงรูปรส เสพติด ชิดกายา
จะตกเป็น ทาสกามา นายบำเรอ

ฟ๊องก์คงเป็นได้แค่นี้สำหรับไอ่ปาร์ค
ทาสบำเรอให้ไอ่ตัวเหี้-ย

+1 ฮับ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
นี่จะผิดไหม แต่ไม่สนทาร์ตหงะ อยากให้คู่เก็ท 55555555555555555555555555555555555     ชอบคนแบบเก็ทอ่ะ
เก็ทมีชัญญ่าแล้วอ่ะสิ แต่ส่วนตัวเราก็ชอบตัวละครเก็ทนะ เป็นตัวละครที่เราตั้งใจใส่เข้ามาเพื่อให้รู้สึกถึงความอบอุ่นของการมีคนอยู่เคียงข้าง

ถ้าไม่ติดว่าเก็ทมีชัญญ่าแล้ว
จะเชียร์เก็ทให้สุดตัวเลย
ผู้ชายอะไรฟ่ะ อบอุ่นเมื่ออยู่ด้วย
ใกล้ผู้ชายคนนี้ รู้สึกดี๊ดียยยย

แต่น้องทาร์ตก็น่าเชียร์เหมือนกัน
โสดด้วย น่ารักด้วย ที่สำคัญกินเด็กเป็นอมตะอ่ะ
อิอิ

ส่วนไอ่ปาร์ค เชี้ยยยยยย ไปไกลๆเลย
ชิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

+1 ฮับ
ตัวละครเก็ท เราว่าผู้ชายที่อบอุ่นมีอยู่จริงนะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ
ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง พึ่งพาได้ แต่คนแบบนี้มักมีเจ้าของอยู่แล้ว 555

ส่วนทาร์ตเป็นตัวแทนของความสดใส
ตั้งใจใส่เข้ามาเพื่อเป็นนัยยะบางอย่างให้กับฟร๊องก์
ทั้งนี้ก็อยู่ที่ตัวฟร๊องก์ว่าจะเลือกยังไง
แต่เด็กบ้าอะไรก็ไม่รู้เนอะ ทั้งขี้เล่น ทั้งขี้อ้อน แถมยังน่ารักอีกต่างหาก
ถ้าได้ยิ่งกว่าอมตะ ก็นิพพานแล้ว อิอิ

ส่วนปาร์ค ตัวละครแห่งความสับสน
และความสับสนก็คือสิ่งที่มักเป็นอุปสรรคในการเลือกเดิน
ซึ่งอย่าพูดถึงเลยดีกว่าเนอะ  :z6:

จุ๊บ  :mew1:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เป็ฯฏุนะหาใหม่แม่งน่ารักจะตายหาใหม่ดิกลัวไร

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 22 [10/6/2017]
«ตอบ #76 เมื่อ10-06-2017 20:46:37 »

Chapitre 22

   ผมนอนนิ่งไม่ไหวติง พยายามทำให้เหมือนว่าตัวเองกำลังนอนหลับสนิทให้มากที่สุด เพื่อฟังปาร์คที่กำลังคุยโทรศัพท์ ‘เกล’ ที่อยู่ปลายสายนั้นคือใคร จะใช่คนเดียวกับที่ผมเจอและเห็นในรูปที่แคมป์ส่งมาหรือเปล่า ทั้งที่ยังไม่ทันรู้อะไร หัวใจผมก็เต้นแรงด้วยความตื่นตะหนก แต่ทุกจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายนั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบรัด ยิ่งเต้นแรงและเร็วมากเท่าไร ความเจ็บปวดยิ่งวิ่งซ่านไปทั้งหมดมากเท่านั้น

   “คิดถึงสิครับ นี่ก็กำลังคิดถึงเกลอยู่พอดีเลยนะ” หัวใจผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของปาร์ค ปาร์คคิดถึงคนๆ นั้น แล้วคำที่บอกว่าคิดถึงผมมันเป็นเพียงแค่ลมปาก เพื่อให้ผมหลงคารมหรือเปล่า ทั้งที่คนที่ปาร์คคิดถึงจริงๆ น่าจะเป็นคนที่อยู่ปลายสายมากกว่า

   “จะมีใครล่ะ... ผม ‘รักเกลแค่คนเดียว’ แหละครับ” เสียงปาร์คเริ่มห่างจากผมไปเรื่อยๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน ปาร์คออกไปแล้ว และแม้ว่าประโยคเมื่อสักครู่จะห่างจากตัวผมมากเท่าไร แต่ผมกลับได้ยินมาชัดมาก มากราวกับปาร์คมากระซิบตอกย้ำคนที่ปาร์ครักที่ข้างหู

   ‘ผมรักเกลแค่คนเดียว’ คนที่ปาร์ครักมีแค่คนเดียว หัวใจของปาร์คมีเจ้าของแล้ว และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ของผม หัวใจที่ผมไล่ตามมาจนคิดว่ามาถึงเส้นชัย แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ใช่เลย ข้างหน้ามันกลับเป็นหุบเหวลึกต่างหาก ที่บอกผมว่าผมไม่มีทางจะไปต่อแล้ว และฝั่งตรงข้ามมีผู้ครอบครองหัวใจตัวจริงรออยู่แล้วต่างหาก ผมคงมาถึงสุดเส้นทางแล้ว เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผมก็ไม่สามารถหาจุดที่ผมจะเดินข้ามหุบเหวนี้ไปเลยได้ จะมีก็แต่สะพานที่มันดูไม่มั่นคงนั้นที่ทอดข้ามไป และผมก็เลือกที่จะใช้มันเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้ง จนตอนนี้ผมถึงได้รู้ว่า สะพานนั้นมันทอดไปไม่ถึงอีกฝั่ง ผมกำลังติดอยู่ที่กลางสะพานและไม่สามารถย้อนกลับหรือเดินหน้าไปยังฝั่งใดก็ตามได้เลย มันคงเหมือนความรู้สึกที่ผมมีตอนนี้ ผมไม่สามารถถอยกลับไปยืน ณ จุดๆ เดิมได้แล้ว ผมไม่สามารถคิดกับปาร์คแบบเพื่อนได้แล้ว แต่ผมเองก็ไม่สามารถก้าวข้ามมันไปเป็นคนรักได้เหมือนกัน เพราะที่ตรงนั้นมันไม่ว่างเสียแล้ว

   คนที่ปาร์ครักคือคนๆ นั้น แล้วผมที่นอนอยู่ตรงนี้คือใคร? เป็นอะไรกับปาร์คกันแน่?

   ปาร์คออกไปนานมากแล้ว และตัวผมเองก็ร้องไห้นานมากแล้วเช่นกัน ร้องจนผมรู้สึกปวดกระบอกตามากๆ แถมยังรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกต่างหาก มันปวดมากจนหัวผมเหมือนจะระเบิดออกมา หูผมก้องไปด้วยคำพูดว่าปาร์ครักผู้หญิงคนนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนผมไม่รับรู้ถึงเสียงรอบข้าง ตอนที่ปาร์คออกไปปาร์คไม่ลืมปิดไฟในห้องนี้ด้วย ห้องที่มืดอยู่แล้วกลับมืดมนมากขึ้น ยิ่งผมมองผ่านม่านน้ำตา ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูขุ่นมัวไปหมด มันมืดมนมากจนผมไม่สามารถหาแสงสว่างที่จะส่องนำทางผมยังทางออกได้เลย
 
   ผมบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก ไม่ต้องหาเหตุผลว่าปาร์คทำดีกับผมทำไม ไม่ต้องหาเหตุผลกับอะไรทั้งนั้น แต่ผมกลับทำไม่ได้เลย ภาพเก่าๆ มันหมุนวนเข้ามาในหัวราวกับกำลังแกล้งปั่นป่วนจิตใจที่อ่อนแอของให้อ่อนแอลงอีก รอยยิ้มของปาร์ค อ้อมกอดอบอุ่นนั้น และริมฝีปากที่มอบจุมพิตให้ผมอย่างอ่อนโยน ทุกอย่างที่ปาร์คทำคงเป็นแค่ภาพลวงตา ที่ล่อให้ผมมาติดกับดัก จนสุดท้ายปาร์คก็ได้ในสิ่งที่ปาร์คต้องการไป... ซึ่งก็คือแค่ร่างกายของผม ปาร์คไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าหัวใจดวงนี้มันบอบช้ำเพียงใด ไม่ว่าจะหยิบยื่นให้ปาร์คไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปาร์คก็จะทำเป็นเหมือนเป็นห่วงและดูแลมัน ทำให้คนๆ นี้หลงระเริงว่าปาร์คเองก็มีใจ แต่ท้ายที่สุดปาร์คก็จะส่งหัวใจนั้นกลับมาพร้อมด้วยรอยแผลที่เหวอะหวะมากขึ้นทุกที

   บางทีสิ่งที่เก็ทบอกคงเป็นเรื่องจริงๆ เพราะทุกอย่างระหว่างผมกับปาร์คมันไม่เคยชัดเจนมาตั้งแต่แรก สิ่งที่ชัดเจนอย่างความเป็นเพื่อนที่ตอกย้ำผมอยู่เสมอ แต่ผมก็ทำเป็นเมินเฉยและเลือกเดินตามความรู้สึกตัวเองมากกว่า จนสุดท้ายคนที่เจ็บที่สุดก็เป็นตัวผมเอง เพราะปาร์คไม่เคยคิดอะไรกับผมเลย

   และบางทีสิ่งที่แคมป์พูด ผมก็ควรจะทำตามสิ่งนั้นสักที คือตัดใจและปล่อยมือจากปาร์ค เพราะไม่ว่าอย่างไร ปาร์คก็ไม่มีวันหันกลับมามองผม และไม่มีวันที่ผมจะเลื่อนขั้นขึ้นไปจากคำว่าเพื่อนได้ ผมมันก็แค่เพื่อน... เพื่อนที่ยอมให้ได้ทุกอย่าง

**********__________**********

   วันต่อมาผมตื่นมาด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง ปวดเหมือนกับที่เคยเป็นเมื่อหลายวันก่อน แต่ครั้งนี้ผมพยายามอดทนให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้อีกคนที่นอนกอดผมหลับสนิทอยู่ข้างๆ ต้องรับรู้ ผมนอนหลับตานิ่งอีกครั้งเพื่อพยายามสะกดน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ปาร์คจะมากอดผมทำไม ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งจะคุยกับคนที่อยากกอดจริงๆ ไป

   ผมปวดหัวมากจนผล็อยหลับไปอีกรอบ เมื่อตื่นมาก็พบว่าคนข้างกายลุกออกไปแล้ว และอาการปวดหัวของผมก็ทุเลาลงมากแล้ว ตอนนี้ผมอยากกลับบ้าน อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนอึดอัด และทรมานอยู่อย่างนี้

   ผมจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว ทั้งอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และสุดท้ายก็แบกกระเป๋าเป้ขึ้นหลังเตรียมพร้อมจะกลับบ้านทันที เมื่อออกมาจากห้องนอน ปาร์คมองผมด้วยสีหน้าตกอกตกใจและรีบเข้ามาถามผมยกใหญ่ จนผมต้องโกหกไปว่าแม่โทรมาให้กลับบ้านด่วน ซึ่งปาร์คก็ไม่ได้ว่าอะไร ตอนแรกผมจะกลับเองแต่ปาร์คก็ยังคงยืนยันว่าจะไปส่งผมอยู่ดี

   ตลอดทางที่ปาร์คไปส่งผมที่บ้าน ผมไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ไม่แม้จะหันไปมองหน้าปาร์คด้วยซ้ำ เพราะผมกลัวว่าน้ำตาที่กลั่นไว้จะไหลออกมา ตอนนี้ผมแค่อยากไปให้ไกลจากคนๆ นี้ ผมยังไม่พร้อมจะพูดหรือฟังอะไรทั้งนั้น ผมขอแค่ให้ผมได้อยู่ในที่ของผม แล้ววันหนึ่งที่ผมพร้อม ผมจะกลับมายิ้ม หัวเราะไปกับปาร์คในฐานะ ‘เพื่อน’ ได้อย่างไม่ติดใจ

   “ปาร์คกลับไปก่อนนะ เห็นแม่บอกว่าเดี๋ยวจะไปบ้านย่ากันน่ะ” ผมเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้มันสั่นและดูผิดปกติ

   “งั้นเหรอ งั้นไว้ปาร์คจะโทรหานะ” ปาร์คพูดยิ้มๆ แต่แววตาที่มองมายังผมนั้นแฝงไปด้วยความสงสัยกับท่าทีที่แปลกไปของผม แต่ผมก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ปาร์คได้ถามอะไรต่อ ผมยิ้มตอบบางๆ ก่อนจะรีบลงจากรถเข้าบ้านไปทันที

   ขอเวลาให้ฟร๊องก์หน่อยนะปาร์ค ถ้าฟร๊องก์สามารถถอยกลับไปยืนในฐานะเพื่อนเคียงข้างปาร์คได้เหมือนเดิมจริงๆ วันนั้นฟร๊องก์จะไม่ร้องไห้ จะไม่เสียใจอะไรเลย แต่ตอนนี้ฟร๊องก์อยากให้เราห่างกันก่อนนะ... ผมทำได้แค่บอกปาร์คในใจ ขณะที่น้ำตาก็กำลังไหลออกมา ผมเดินห่างรถยนต์ของปาร์คที่จอดสนิทอยู่ออกมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับหัวใจของผม

   “ฟร๊องก์! เป็นไรลูก” แม่ถามด้วยความตกใจทันทีที่ผมผลักประตูกระจกหน้าบ้านเข้ามาด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา

   “ฟะ... ฟร๊องก์ขออาบน้ำก่อนนะแม่ อึก... เดี๋ยวค่อยว่ากัน” ผมตอบก่อนจะรีบเดินเลี่ยงเข้าห้องไปทันที

   ผมอาบน้ำรอบสอง ทั้งที่อาบไปแล้วที่คอนโดฯ ปาร์ค แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ช่วยยื้อเวลาที่จะต้องคุยกับแม่ออกไปอีก ปกติแล้วผมมีปัญหาก็จะคุยหรือปรึกษาแม่ตลอด และทุกครั้งที่ผมผิดไปจากปกติ ก็จะเป็นแม่ที่สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้จะบอกอย่างไร ผมพอจะรู้แหละว่าแม่รู้ว่าผมคิดยังไงกับปาร์ค เพราะทั้งตอนที่ปาร์คมาบ้านผมตอนนั้น การแกล้ง การหยอกล้อกันระหว่างผมกับปาร์คมันแสดงออกค่อนข้างชัด และแม่มักถามถึงปาร์คเสมอหลังจากวันนั้น แต่ท่านแค่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ออกมาเท่านั้นเอง

   ก๊อก! ก๊อก!

   “แม่เข้าไปนะ” หลังที่อาบน้ำเสร็จ แม่ก็เข้ามาหาผมในห้อง ถึงจะไม่พร้อมยังไง ตอนนี้ก็คงต้องบอกแม่แล้วแหละ

   “...” ผมเดินกลับมานั่งที่เตียงหลังจากที่เปิดประตูให้แม่เข้ามาเป็นที่เรียบร้อย แม่เองก็เดินตามผมมาเงียบแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม

   “ทะเลาะกันมาเหรอลูก” แม่เปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น และไม่ได้กดดันให้ผมต้องตอบคำถามนั้นแต่อย่างใด คำถามที่ไม่ต้องถามว่าใคร แต่เป็นอันรู้ดีว่าแม่รับรู้เรื่องนี้ และรู้มาโดยตลอด

   “เปล่าหรอกครับแม่ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเลย”

   “แล้วเราเป็นอะไร ถ้าไม่ได้ทะเลาะกันแล้วร้องไห้ทำไมล่ะ”

   “เพราะมันไม่มีอะไรเลยต่างหากแม่ ไม่มีและไม่เคยมีอะไรเลย ฮึก ไม่เลย” บ่อน้ำตาผมแตกอีกครั้ง ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ ครับแม่ เพราะจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย ไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรซึ่งกันและกันทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผ่านมามีแค่ผมคนเดียวที่คิดไปเอง บ้าไปเอง

   “ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร ไม่เป็นไรนะ ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” แม่พูดอย่างอบอุ่นพร้อมกับดึงตัวผมเข้าไปกอด และลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ผมซบไหลแม่ปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่อย่างนั้นเนินนานโดยที่แม่ยังคงลูบหัวผมไปเรื่อยๆ โดยไม่บ่นสักคำ “เหนื่อยก็พัก ถ้ามันทรมานก็หยุด ไม่มีอะไรสายไปหรอกนะลูก”

   ผมนั่งกอดแม่ร้องไห้จนเผลอหลับไปคาไหล่ของแม่พร้อมกับอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นและจริงใจกับผมเสมอ

**********__________**********

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   ผมถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์ด้วยความมึนงง นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย ทำไมข้างนอกยังสว่างอยู่เลย ผมกลับมาก็บ่ายๆ แล้วนะ ตอนที่นั่งคุยกับแม่ ร้องไห้ไปก็คงเกือบบ่ายสามแล้ว แต่นี่ฟ้ายังไม่มืดอีกเหรอ

   สงสัยผมจะมึนมากมั้ง เสียงโทรศัพท์ดังจนมันดับไปแล้วผมยังไม่รู้ตัวเลย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันดังขึ้นรอบสอง และก็ทำให้รู้ด้วยว่านี้เป็นวันใหม่แล้ว นี่ผมหลับข้ามวันข้ามคืนเลยเหรอเนี่ย! แต่ได้นอนหลับยาวแบบนี้ตื่นมาก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกนะ เหมือนความกังวล ความเจ็บปวดมันจางหายลงไป แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกไม่รู้ว่าจะนานสักแค่ไหน ผมถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

   “ฮัลโหล ว่าไง” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เนือยๆ หลังจากกดรับสายโดนัทที่โทรมา

   [เพิ่งตื่นหรือไงคะ กูจะโทรมาชวนมึงไปเที่ยวทะเลกัน] โดนัทตอบกลับมาด้วยเสียงร่าเริงและตื่นเต้น ผมได้แต่เกาหัวงงๆ ชวนเที่ยวทะเลอะไรตอนนี้วะ ไม่ใช่ปิดเทอมสักหน่อย

   “วันไหน ยังไม่ปิดเทอมเลยนะมึง เมาเปล่าเนี่ย”

   [ไม่เมาค่ะ ไปกันจริงๆ พอดีพ่อกูไปดีลงานแล้วได้ voucher ที่พักที่เกาะล้านมาฟรี แต่ก็นะ บ้านกูก็อยู่ใกล้ทะเลป่ะ พ่อกูคงลงทุนมา เขาเลยส่งมาให้กู วันอังคารไม่ก็พุธน่าจะได้แหละ นี่กูชวนคนอื่นหมดแล้ว เหลือมึงเนี่ยแหละ ได้เป็นบ้านพักเลยนะมึง] โดนัทพูดอย่างตื่นเต้น บ้านมันอยู่กระบี่ครับ และบ้านก็ฐานะดีเลยแหละ ไม่งั้นคงไม่มีปัญญาซื้อคอนโดฯ แพงๆ ที่มันอยู่ได้หรอก แถมยังโชคดีได้ของอะไรแบบนี้มาประจำเลยเวลาไปดีลงานด้วยกัน

   “เอาดิ จะไปเมื่อไหร่อ่ะ” ก็ดีเหมือนกันครับ ไปพักผ่อนสมองด้วย บางทีผมอาจจะทำใจได้เร็วขึ้น

   [อาทิตย์หน้าเลยค๊า พ่อกูจัดการโทรไปจองให้เรียบร้อยแล้ว แค่เอา voucher ไปยื่นก็เข้าพักไปได้เลย 2 คืน ยังไงพวกเราก็ว่างตั้งแต่วันศุกร์อยู่แล้ว ส่วนไอ้ทาร์ตให้มันโดดเอาถ้าอยากไป ฮ่าๆ]

   “เร็วแท้วะ โคตรกะทันหันเลย เดี๋ยวยังกูลองของที่บ้านดูก่อนล่ะกัน แต่คงไปได้แหละไม่น่าจะมีปัญหา”

   [ไปให้ได้นะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยรายละเอียดกัน แค่นี้แหละ เปลืองตังค์กูค่ะ]

   “เออๆ ค่อยว่ากัน” แล้วนางก็ตัดสายไปทันทีเลยครับ ผมยิ้มเล็กน้อยก็ความป้ำๆ เป้อๆ ของโดนัท แต่มันก็จัดการอะไรเร็วดีนะ ไม่สิต้องขอบคุณพ่อมันมากกว่า จัดการอะไรให้ทุกอย่าง

   ผมลุกออกไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะเดินไปขอพ่อกับแม่ว่าจะไปเที่ยว ซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่ต้องขอเพราะประเด็นมันอยู่ที่เงินไง ฮ่าๆ แม่บอกไปผ่อนคลาย สมองจะได้ปลอดโปร่งด้วย และก็ทิ้งท้ายไว้ว่ากลับมาจะต้องเป็นผมที่สดใสร่าเริงเหมือนเดิม ซึ่งผมจะพยายามทำให้ได้!

**********__________***********

   แล้วก็มาถึงวันศุกร์ที่พวกผมนัดกันไปทะเล เราไปกันครบทีมเลยครับ รวมทาร์ตด้วยก็เก้าคน เลขสวยเลย ผมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ยิ้มได้ หัวเราะได้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นว่าปกติ ผมร่าเริงเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่เก็ทก็ยังคงเป็นคนที่สังเกตได้ว่าผมดูไม่สดใสเท่าเมื่อก่อน และอีกคนที่ผมคิดว่าคอยสังเกตผมอยู่ตลอดเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เจอนัก นั่นคือทาร์ตที่เจอกันที่ไร ต้องแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน และจะพยายามทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้ง

   ส่วนปาร์คน่ะเหรอครับ หลังจากวันนั้นไป มันโทรมาหาผมทุกคืนเลย ผมก็พยายามทำทุกอย่างให้ดูเป็นปกติที่สุด แต่จะไม่ค่อยเล่นหรือตอบโต้มุกอะไรก็ตามที่ปาร์คมักจะหยอดมาให้ เพราะยิ่งปาร์คทำแบบนี้มากเท่าไร มันยิ่งทำให้ผมตัดใจได้ยากขึ้นเท่านั้น มันทรมานนะรู้บ้างไหม

   แต่ผมก็พยายามไม่คิดอะไรมากครับ ยังไงที่ตรงนั้นก็ไม่ใช่ที่ของผมอยู่แล้ว ใจปาร์คเองก็ไม่ใช่ของผมอยู่ดี ไม่ว่าจะฝืนมากเท่าไร ก็มีแต่จะเพิ่มความลึกให้กับรอยแผลที่หัวใจมากขึ้นเท่านั้น อนาคตจะเป็นยังไงผมไม่อาจรู้ได้หรอกครับ ผมแค่อยากให้แต่ละวันของผมมีลมหายใจต่อได้โดยไม่ทรมานแค่นั้นก็พอ

   วันนี้เรานัดกันที่มอตั้งแต่ 7 โมงเช้าเลยแหละครับ ซึ่งทั้งเก็ทและดิวก็รับหน้าที่สารถีขับรถตระเวนรับคนอื่นๆ ตามปกติเหมือนกับเวลาไปเรียน รถในเมืองค่อนข้างติดครับ เพราะวันนี้ยังเป็นวันทำงานกันอยู่ กว่าเราจะฝ่ารถติดไปยังด่านเก็บเงินค่าทางด่วนได้ก็แปดโมงแล้ว ดังนั้นก่อนหน้าเราเลยแวะซื้อของกินรองท้องกันเป็นที่เรียบร้อย

   “กินไหม” ผมยื่นถุงแซนด์วิชไส้ปูอัดสาหร่ายที่ซื้อมาเผื่อให้เก็ทที่กำลังขับรถอยู่อย่างขะมักขเม้น

   “จะกินยังไงล่ะ ขับรถอยู่” เก็ทตอบพร้อมหันมามองผมอย่างเซ็งๆ

   “อ่ะ กินได้ยัง” ผมจัดการแกะห่อแซนด์วิชนั่นแล้วยื่นเข้าไปจ่อปากเก็ทอีกครั้ง

   “หึ!” เก็ทแค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่เผยออกข้างมุมปากเล็กน้อยก่อนจะลงมือกัดแซนด์วิชในมือผม
สรุปผมก็ต้องถือเจ้าแซนด์วิชนั้นให้เก็ทกินไปเรื่อยๆ สลับกับมืออีกข้างที่ถือให้ตัวเองกิน พร้อมกับเสียงแซว เสียงเชียร์ที่มีมาตลอดของไวน์และโดนัท แต่ไม่ยักจะมีเสียงทาร์ตเลยครับ ผมจึงหันไปมองเล็กน้อย ปรากฏว่ามันกำลังกินไส้กรอกมินิค็อกเทลโดยหันออกไปมองนอกตัวรถแบบไม่สนใจใคร

   “กินมั้งดิ” ผมว่าก่อนที่ทาร์ตจะหันมามองผมงงๆ “กินไม่แบ่งเลย”

   “เอาดิพี่” ทาร์ตว่าพลางยื่นถุงไส้กรอกให้ผมยิ้มๆ

   “จะกินได้ไงเล่า มือไม่ว่างเนี่ย” ก็มือผมกำลังถือแซนด์วิชให้ไอ้คุณชายเก็ทมันกินอยู่ไงครับ อีกมือก็ถือแซนด์วิชของตัวเองอยู่ แลดูตระกะเนอะ ของตัวเองก็มียังขอคนอื่นกินอีก แต่พอได้ยินแบบนั้นทาร์ตถึงกับยิ้มกว้างออกมาเลย ยิ้มทำไม! ตลกท่าทางกูอยู่รึไง!

   “อ่ะ” ทาร์ตยื่นไม้ที่จิ้มไส้กรอกลูกเล็กไว้ตรงปลายส่งมายังปากผม ผมก็อ้าปากรับด้วยความยินดี ฮ่าๆ สงสัยผมคงตระกะจริงๆ

   “โอ้ย กูล่ะเบื่อจริงๆ ของตัวเองก็กำลังแดกอยู่ อีกมือก็ป้อนผัวอยู่แท้ๆ แต่กลับมาให้ชู้ป้อนอีก ตะกละแถมยังหลายใจอีกนะมึง!” ไวน์จิกกัดทันที ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่ยักคิ้วกวนๆ ให้ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับไปนั่งแบบเดิม
ผัว... คำที่มาคู่กับคำว่า ‘เมีย’ มันทำให้ผมนึกถึงใครบางคนเคยใช้เรียกผม...

   “เอานมด้วยไหม” ผมยกกล่องนมเป็นเชิงถามว่าเก็ทจะกินไหม ตัวใหญ่ๆ แบบนี้แซนด์วิชแค่ชิ้นเดียวจะอยู่ท้องเปล่าก็ไม่รู้

   “เก็บไว้กินเถอะ พอแล้ว” เก็ทตอบเสียงเรียบโดยไม่ได้หันมามองผม ผมก็เลยจัดการเจาะนมกล่องนั้นกินเอง

   กินเสร็จก็เริ่มง่วงนิดๆ เหมือนกัน ฉะนั้นผมของีบสักหน่อย เมื่อเช้าก็ตื่นเช้าด้วย แถมเมื่อคืนก็นอนดึกอีกต่างหาก ก็เพราะคุยโทรศัพท์นั่นแหละครับ แต่ผมไม่ได้บอกปาร์คหรอกว่าผมจะมาเที่ยววันนี้ ผมกะว่าพอไปถึงตลอดสามวันที่อยู่บนเกาะ ผมจะปิดโทรศัพท์ ปิดการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ผมขอเวลาพักฟื้น ชาร์ตพลังให้ตัวเองสักพัก

**********___________***********

   “ฟร๊องก์ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวหาอะไรกินกันก่อนแล้วค่อยไปขึ้นเรือ” ผมถูกปลุกจากสัมผัสของเก็ทที่เขย่าตัวผมเบาๆ

   “ถึงไหนแล้วอ่ะ” ผมหันไปถามเก็ทพลางบิดขี้เกียจ ตอนนี้ในรถเหลือแค่ผม เก็ทแล้วก็ทาร์ตซึ่งก็กำลังบิดขี้เกียจอยู่เหมือนกัน คงหลับมาเหมือนกับผม ตอนนี้เราจอดกันอยู่ที่จุดแวะพักรถในปั๊ม

   “แถวๆ พัทยาแล้ว ดิวมันบอกให้แวะกินข้าวกันก่อนเลย แล้วก็หาซื้อของสดไปทำกินตอนเย็นอีกที”

   “แล้วไวน์กับโดนัทอ่ะทาร์ต” ผมหันกลับไปถามคนเดียวที่เหลืออยู่ที่เบาะหลัง

   “ไปเข้าห้องน้ำกันครับ นั่นไง” ทาร์ตชี้ออกไปนอกรถ ผมก็เห็นภาพไวน์ โดนัทและนุ่นที่ยืนหัวเราะคิกคักเหมือนพยายามหว่านเสน่ห์ต่อหน้ากลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ใกล้ๆ กันนั้นซึ่งมีอยู่ 6 คน

   “เออ งั้นไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยดิ เก็ทไปด้วยไหม” ผมว่าก่อนจะปลดล็อกสายเข็มขัดนิรภัยออก

   “ไม่อ่ะ ไปเถอะ” เก็ทตอบนิ่งๆ ผมพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะลงมาจากรถไปพร้อมกับทาร์ต

   “ตื่นแล้วเหรอพ่อคุณทั้งสอง” ไวน์ส่งเสียงกระแนะกระแหนทันทีที่ผมเดินไปหาพวกมัน

   “เข้าห้องนะแป๊บ เดี๋ยวออกมาให้จิกกัด!” ผมว่าพร้อมยกมือห้ามปรามเล็กน้อยก่อนจะเดินไปห้องน้ำ ขณะที่กำลังจะเดินไปเหมือนหูผมได้ยินเสียงซุบซิบจากกลุ่มผู้ชายกลุ่มที่ว่านั้นแว่วๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “ทาร์ตเข้าไหม ถ้าไม่เข้ารออยู่นี่ก็ได้นะ ฮ่าๆ” ลากมันมาทิ้งไว้กับพวกนี้เฉยๆ เพื่ออะไรครับผมเนี่ย

   ทาร์ตพยักหน้ารับ แล้วก็ไม่ได้เดินมาห้องน้ำกับผมเป็นอันเข้าใจว่ามันไม่เข้า ผมเข้าไปฉี่ในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาล้างมือและล้างหน้าล้างตานิดหน่อยเพื่อคลายความง่วง

   “เอ่อ... ขอโทษนะครับ ผมขอเบอร์คุณได้ไหม” เมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็พบผู้ชายคนหนึ่ง คุ้นๆ ว่าจะเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในกลุ่มก่อนหน้ายืนดักหน้าผมไว้ เขาตัวสูงพอๆ กับทาร์ต (ทำไมมีแต่คนตัวสูงๆ) ผิวขาว หน้าตาจัดว่าดีอยู่เหมือนกัน
 
   “ขอโทษนะครับ ผมไม่ให้เบอร์คนที่ไม่รู้จัก” ผมบอกปฏิเสธอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงเป็นเชิงขอทาง

   “ถ้างั้นขอไลน์ไว้ได้ไหม ผมชื่อตังค์นะครับ ทีนี่คุณก็รู้จักผมแล้ว” แต่คนที่เพิ่งแนะนำตัวไปเมื่อกี้ไม่ยอมหลีกทางแต่โดยดี แถมยังติ๊ต่างว่ารู้จักกับผมแล้วซะอีก ไหวเปล่าเนี่ย

   “เอ่อ... ขอโทษ...”

   “มีอะไรหรือเปล่าพี่” เสียงทาร์ตดังขึ้น ก่อนจะเดินผ่านคนชื่อตังค์นั้นมาหยุดข้างๆ ผมพร้อมกับวาดวงแขนเอื้อมมาโอบไหล่ผม เนียนเลยนะมึง!

   “ไม่มีอะไรครับ โทษที” คนชื่อตังค์อะไรนั่นพูดขอโทษด้วยเสียงแห้งๆ สายตาจับจ้องไปยังมือที่โอบไหล่ผมอยู่อย่างเนียนๆ นั้นก่อนจะเดินกลับไปยังกลุ่มเพื่อนเขา

   “ปล่อยเลย เนียนเชียวนะมึง!” ผมกระทุ้งศอกเท่าที่สีข้างทาร์ตอย่างแรง
 
   “โห้พี่ ถ้าผมไม่ทำงั้น ไอ้หมอนั่นก็ม่อพี่ถึงไหนต่อไหนแล้วสิ ชอบรึไง” ทาร์ตลูบบริเวณที่โดนข้อศอกผมด้วยท่าทางสำออย พร้อมกับหันมาทำเสียงประชัดประชัน

   “นี่กูต้องเอาดอกไม้ ธูปเทียนมากราบขอบพระคุณเลยไหม” ผมว่าขำๆ ก่อนจะเดินกลับไปหาพวกไวน์ที่ยืนหัวเราะเริงร่ามองผมอยู่ ไม่คิดจะช่วยกันเลย แถมดูท่าทางจะสนับสนุนอีกต่างหาก ถึงได้ยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานสองนาน

   “ทาร์ตแม่งเล่นเกินกว่าที่กูคาดว่ะ มีองมีโอบกันด้วย ลับหลังพวกกู มึงสองคนได้กันแล้วใช่ไหม!” นุ่นปล่อยหมาออกมาเพ่นพ่านทันทีที่ผมกับทาร์ตเดินกลับมาถึง เล่นเอาผมแทบจะสะดุดพื้นตรงนั้นเลยครับ พวกแม่งก็หัวเราะกันสะใจมาก แม้แต่ไอ้ทาร์ตเองก็ด้วย

   “กูเริ่มเกลียดมึงมากขึ้นๆ แล้วว่ะ มึงดูมันดิ! กูมายืนอ่อยก่อนหน้ามันตั้งนาน แต่ไม่เห็นมีใครเข้ามาคุยกับกูแบบนั้นมั้งเลย มึงบอกมาเลยนะเขาคุยอะไรกับมึงบ้าง!” ไวน์ทำท่าโวยแต่เสียงไม่ดังมากนัก พร้อมกับมองผมตาเขียว นี่กูผิดอะไรเนี่ย! ผมไม่ได้อยากให้หมอนั่นเข้ามาทักสักหน่อย แต่ของอย่างนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ ว่ะ คนมันหน้าตาดี ฮ่าๆๆ

   “เพ้อเจ้อนะมึงอ่ะ ไปขึ้นรถกันได้แล้ว คนอื่นรอนานแล้ว” ผมตัดบทแล้วเดินหนีไปที่รถ คันดิวที่มีนุ่นลงมาคนเดียวป่านนี้บ่นกันทั้งรถแล้วมั้งครับ ส่วนเก็ทอาจจะหลับไปแล้วก็เป็นได้

   ขึ้นมาบนรถ ไวน์ก็เปิดปากต่อว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ไม่หยุด แต่มันออกแนวขำขันมากกว่า ผมก็ตอบโต้บ้าง โดนัทกับทาร์ตเองก็เข้ามาเสริมบ้าง ก็สร้างเสียงหัวเราะได้จนคับห้องโดยสารรถ เว้นแต่เก็ทที่ยังคงขับรถนิ่งๆ ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือพูดถึงเหตุการณ์ที่ปั๊มก่อนหน้าแต่อย่างใด ก็อย่างว่าแหละ ขรึมๆ นิ่งๆ อย่างมันจะมามีส่วนร่วมอะไรกับวงตลกอย่างพวกผม ผมสนุกกันจนผมไปลืมว่าสถาวะจิตใจผมไม่ปกติ

   แล้วพวกเราก็มาแวะกินข้าวกันที่ร้านอาหารตามสั่งธรรมดาร้านหนึ่งละแวกนั้น มื้อนี้ไม่เน้นเท่าไรครับเพราะยังไม่ค่อยมีใครหิวมาก ก็เล่นซื้อของกินกันมาก่อนหน้าแล้วนี่ครับ อย่างผมนี่ทั้งแซนด์วิช ทั้งนมอีกกล่อง ไม่รู้สึกหิวเลยแหละตอนนี้ แต่ก็โดนเก็ทบังคับให้กินอะไรสักหน่อย ผมเลยสั่งสุกี้แห้งไป แถมกินไม่หมดอีกต่างหาก ก็คนมันไม่หิวนี่หว่า

   จากนั้นพวกเราก็แวะซื้อกุ้ง หอย ปู ปลาหมึกอะไรจนพอใจ ได้ของมาอย่างกับจะทำเลี้ยงทั้งหมู่บ้าน แล้วเราก็นำของที่ซื้อไปใส่ลังโฟมที่ดิวเอาติดมาด้วยครับ มันนี่โคตรรอบคอบเลย ขัดกับบุคลิกมันมากๆ แต่มันบอกครับว่ามันชอบเที่ยว มันเลยรู้ว่ามาเที่ยวแบบนี้ควรเอาอะไรติดมาบ้าง เยี่ยมไปเลยครับเพื่อนผม! แก้วนี่ยิ้มเขินด้วยความภูมิใจในตัวแฟนสุดๆ

   เมื่อตกลงกันว่าจะไม่ซื้ออะไรกันอีก พวกผมก็มุ่งหน้าไปกันที่ท่าเรือเพื่อขึ้นเรือไปยังเกาะที่ผมจะขาดการติดต่อจากทุกคน และพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่... ชีวิตที่ไม่มีปาร์ค


à suivre...

ไปเที่ยวกันเถอะ!! เอามันไปทิ้งทะเลลลล


เป็นเพื่อนกัน นั่นก็ดี ที่สุดแล้ว
ใจไม่แผ่ว ปลิวไหว ให้หม่นหมอง
เขาไม่คิด จะเป็นคู่ ไม่ดูมอง
อย่าทำผิด ซ้ำสอง นองน้ำตา

หลงคารม จมจ่อ รูปหล่อมาก
หลงมารยา กระชาก ใจห่วงหา
หลงรูปรส เสพติด ชิดกายา
จะตกเป็น ทาสกามา นายบำเรอ

ฟ๊องก์คงเป็นได้แค่นี้สำหรับไอ่ปาร์ค
ทาสบำเรอให้ไอ่ตัวเหี้-ย

+1 ฮับ
ชอบอ่ะ มาเป็นบทประพันธ์เลย 5555+ อยากกดไลค์ให้สักร้อยที  :mew1:

เป็ฯฏุนะหาใหม่แม่งน่ารักจะตายหาใหม่ดิกลัวไร
ใช่ม่ะๆ ถ้านี่น่ารักเหมือนฟร๊องก์คงไปนานแล้ววว

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เก็ทมีอะไรแปลกๆนะ หืมมมมม

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เกลียดปาร์คว่ะ ขอให้มันเจ็บยิ่งกว่าฟร็อกซ์ให้เหมือนตายทั้งเป็นไปเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ CHAMELEON

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อดีตเพื่อน อนาคต... ล่ะ?
...(จุดจุดจุด)ตรงชื่อเรื่องนี่ไว้เติมคำในช่องว่างใช่ไหม เดี๋ยวเติมให้
อดีตเพื่อน อนาคตไม่เผาผี แน่นอน

ตอนแรกที่มีอะไรกันถือว่าผิดทั้งคู่นะ สมยอมกันทั้งสองฝ่าย ถ้าจบตั้งแต่ตอนนั้นก็ผิดคู่ โทษใครหรือตัดพ้อใครไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ที่ดูเกินเลยหลังๆ มานี่ถือว่าเป็นความไม่ชัดเจนของปาร์ค ตอนที่ปาร์คตัดสินใจให้มันยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ปิดบังความจริงเรื่องที่ตัวเองมีคนอื่นอยู่ก่อนแล้วแบบนี้ถือว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์หรือมิตรภาพก่อนหน้านี้เลย เห็นแก่ตัวมาก เหมือนตัวเองไม่อยากปล่อยมือก็จับมันไว้ทั้งคู่ แค่ทำแบบนี้ความเป็นเพื่อนอะไรมันก็หมดแล้ว นี่ฟร๊องก์ยังจะกลับไปเป็นเพื่อนอีก?

หลังกลับจากทะเลนี้หวังว่าฟร๊องก์จะเคลียร์ให้ชัดเจนไปเลย ยุติแค่นั้น เพื่อตัวเองล้วนๆ จะได้ไม่ต้องถูกคนมองว่ามาทีหลังแย่งของคนอื่นและเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองพบคนดีๆ ด้วย


สุดท้ายนี้ อิจฉาชัญญ่ามาก เธอทำบุญด้วยอะไร 555

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 23 [11/6/2017]
«ตอบ #81 เมื่อ11-06-2017 21:46:52 »

Chapitre 23

   อ้าาา~ มาถึงแล้วครับเกาะล้าน!!! แม้ว่าจะเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว แต่อากาศก็ดีมากเลย แถมแดดก็ดีอีกต่างหาก พวกเราใช้เวลาโดยสารเรือข้ามจากท่าเรือฝั่งพัทยามาถึงท่าเรือหน้าบ้านที่เกาะล้านนี้ประมาณครึ่งชั่วโมงครับ เรือแล่นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่เร็ว นั่งรับลมสบายๆ เลยครับ ลงเรือมาผมก็จัดการโทรบอกแม่ทันทีว่าผมมาถึงแล้ว ก่อนจะปิดเครื่องแล้วเก็บเข้าส่วนลึกสุดของกระเป๋า ได้มาสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติๆ แบบนี้มันช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ ความเหนื่อยล้า ความเครียด ความเศร้ามันจางหายไปหมด ผมอยากอยู่แบบนี้นานๆ จัง

   เออ ผมลืมบอกไปว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้นไม่รู้ ยังจำพวกผู้ชายกลุ่มนั้นที่พวกผมเจอที่ปั๊มได้ไหมครับ เราเจอพวกเขาอีกครับตอนกำลังเดินไปขึ้นเรือ แถมคนที่ชื่อตังค์อะไรนั่นยังส่งยิ้มแถมโบกมือทักทายผมด้วย เล่นเอาพวกเพื่อนๆ เขาส่งเสียงแซวกันใหญ่เลย โลกจะกลมอะไรขนาดนั้น

   พวกผมเดินไปรอรถจากทางที่พักที่จะมารับยังศาลา ซึ่งโดนัทจัดการโทรบอกเรียบร้อยแล้วว่าขึ้นเรือรอบอะไรมา ทางที่พักโทรกลับมาตอนกำลังลงจากเรือพอดีเลย ตรงเวลามาก! พวกผมยืนรออยู่ใกล้ๆ กับกลุ่มผู้ชายดังกล่าว ทุกครั้งที่ผมหันไปมอง ตังค์ก็จะมองมาทางผมแล้วยิ้มให้เสมอ ผมก็ยิ้มตอบบ้างตามมารยาท ส่วนคนที่ยิ้มไม่หุบเลยก็คงเป็นไวน์ แลดูมันมีความสุขมากๆ เลยนะครับ ไม่เข้าไปทักเขาซะเลยล่ะ

   “นั่นๆ รถมาแล้ว” โดนัทส่งเสียงร้อง พลางชี้ไปยังรถกะป๊อ (เรียกอย่างนี้เปล่าไม่แน่ใจ) สีแดงๆ คันเล็กๆ น่ารักเชียวครับ เมื่อรถจอดสนิทพวกผมก็เดินไปขึ้นพร้อมสัมภาระ

   “คุณครับ ไอ้ตังค์เพื่อนผมอยากได้ไลน์คุณจริงๆ ให้มันไม่ได้เหรอครับ” ผมที่เดินตามหลังเก็ทตีคู่มากับทาร์ตถูกสะกิดก่อนที่จะเดินไปถึงตัวรถ ผมหันกลับไปมองยังผู้ชายอีกคนที่เป็นเพื่อนของคนที่ชื่อตังค์นั้นอย่างมึนงง
 
   “ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มาครับ แล้วก็ไม่อยากให้ด้วย” ผมตัดบทอย่างรวดเร็ว เพื่อนๆ คนอื่นที่นั่งรออยู่บนรถรอนานแล้วครับ เก็ทเองที่ยังไม่ได้ขึ้นรถก็หันมามองนิ่งๆ แต่ผมว่าสายตานั้นดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้

   “แต่เพื่อนผมมันอยากรู้จักคุณจริงๆ นะ ไอ้ตังค์ๆ มึงมาดิวะ” ชายคนนั้นพูดกับผมก่อนจะหันกลับไปเรียกคนชื่อตังค์ให้เดินมาสมทบ

   ทำไมต้องมาวุ่นวายกับชีวิตผมด้วยเนี่ย อุตส่าห์ตั้งใจมาผ่อนคลาย แต่ยังไม่ทันไรก็หาเรื่องปวดหัวให้ผมอีกแล้ว ก็คนบอกไม่อยากรู้จักๆ แม่งตื้ออยู่ได้ น่ารำคาญว่ะ!! ผมเริ่มฉุนขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

   “คนเขาไม่อยากให้ พวกคุณจะตื้อทำไมมากมาย!” ดีมากครับไอ้น้อง! ทาร์ตพูดในสิ่งที่ผมอยากพูดเป็นที่เรียบร้อย

   “แล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย!” คนชื่อตังค์ว่าด้วยใบหน้าที่ผมว่ามันโคตรหาเรื่องเลยครับ

   “จะไม่เกี่ยวได้ไง ก็นี่เป็น...”

   “มีอะไรกัน ไปขึ้นรถได้แล้ว เสียเวลา” ทาร์ตถูกขัดจังหวะด้วยเก็ทที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึมและน้ำเสียงเย็นชาจนผมสัมผัสได้ถึงพลังงานด้านมืดบางอย่างที่ทำให้ผมขนลุก เก็ทคว้าข้อมือและกระเป๋าของผมแล้วเดินนำไปขึ้นรถ ทาร์ตมองหน้าอีกฝ่ายนิดหน่อย แต่ก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี

   ผมไม่อยากให้มีเรื่องอะไรกัน เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ฝ่ายผมก็ดูเหมือนจะเสียเปรียบด้วย อีกอย่างคือ ปัญหามันเกิดจากตัวผมอีกต่างหาก เก็ทเข้ามาได้จังหวะพอดีไม่งั้นอาจจะมีเรื่องกันจริงๆ ก็ได้ เพราะขึ้นรถมา ทาร์ตทำท่าทางฟึดฟัดเล็กน้อยเหมือนไม่พอใจอีกฝ่ายอย่างเต็มประดา จนผมต้องเอื้อมไปตบไหล่ให้อารมณ์เย็นลง จนเจ้าตัวต้องหัวมายิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันให้ทันที ดีแล้วแหละครับ คลายบรรยากาศที่ตรึงเครียดให้ดีขึ้นหน่อย ผมรู้สึกไม่ดีเหมือนกันนะที่เหมือนตัวเองเป็นคนทำให้การมาเที่ยวนี้กร่อยตั้งแต่มาถึง ยิ่งเก็ทนี่นั่งหน้าขรึมจนผมไม่กล้าสบตาด้วยเลยครับ เก็ทเวลาแบบนี้น่ากลัวจังวะ!

   “ว่าแต่เมื่อกี้จะพูดว่าไร” ผมเปิดประเด็นถามสิ่งที่ทาร์ตพูดค้างไว้ ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกันเลยครับ ก็รถมันคันเล็กมากทันทีที่พวกผมขึ้นมา คิดดูสิ คน 9 คนนั่งเบียดในรถคนเล็กๆ คันเดียว ใครพูดอะไรก็ได้ยินหมดอยู่แล้ว

   “เออ กะ... ก็แค่จะบอกว่าเป็นพี่” ทาร์ตพูดอย่างติดขัดพลางหันออกไปมองนอกรถ ทาร์ตนั่งท้ายสุดตรงข้ามกับเก็ท แต่ผมแอบสังเกตได้ว่าใบหูทาร์ตแดงๆ

   “พี่หรืออะไรกันแน่คะน้อง บอกมาเถอะพวกพี่รับได้” นุ่นที่นั่งอยู่ข้างเก็ทเอ่ยปากแซวขึ้น   

   “นั่นสิ พี่น้อง ท้องชนกันเปล่าน๊า” ไวน์เกาะไหล่ผมแล้วยื่นหน้าออกมาร่วมด้วยอีกคน คนอื่นๆ ก็หัวเราะคิกคักๆ จะมีก็คนเดียวแหละครับ คนที่คุณก็รู้ว่าใคร เป็นคนเดียวที่ยังไม่ยิ้มเลยตั้งแต่ขึ้นรถมา

   “...” ทาร์ตไม่ตอบอะไรแต่หันกลับมายิ้มกว้างเชียว ใบหน้านี่ก็แดงอย่างกับมะเชือเทศ ฮ่าๆ ตลกชะมัด!

   ไม่นานรถกะป๊อคันจิ๋วก็ขับลัดเลาะพาพวกผมมาถึงยังที่พักจนได้ ที่พักที่โดนัทได้มาฟรีนั้นเป็นบ้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ครับ กำลังพอดี อยู่ติดทะเลอีกต่างหาก ถือว่าวิวดีมากเลย ถ้ามาเช่าเองผมว่าราคาน่าจะสูงอยู่นะ ภายในตกแต่งดีเลยครับ มีห้องนั่งเล่น แล้วก็ห้องนอนสองห้อง เป็นห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำในตัวห้องหนึ่ง กับอีกห้องเล็กกว่าไม่มีห้องน้ำ แต่มีห้องน้ำในตัวบ้านให้อีกห้อง มีมินิบาร์เล็กๆ พร้อมกับอุปกรณ์ครัวนิดหน่อย พวกจานชามอะไรพวกนี้ แล้วก็ตู้เย็นอีกตู้ครับ ด้านนอกมีระเบียงกว้าง นั่งดื่มนั่งกินกันได้สบายเลย ลมเย็นมาก!!

   ดิวกับเก็ทช่วยกันยกลังของสดเข้ามา ก่อนจะนำบางส่วนออกมาแช่ไว้ในตู้เย็น โดนัทบอกว่าพวกอุปกรณ์ปิ้งย่างต้องไปขอเขาตอนจะกิน ถ้าจานชามไม่พอก็ขอเพิ่มได้ ส่วนพวกของลวกๆ ให้เขาทำให้ก็ได้แต่คิดค่าปรุงให้นิดหน่อย แต่แลกกับความสะดวกก็โอเคนะครับ เมื่อจัดของกันเสร็จ พวกผมก็จัดการเปลี่ยนชุดพร้อมลุยกันทันที ผมเปลี่ยนเป็นกางเกงผ้าขาสั้นสีสดใสกับเสื้อกล้าม แต่สวมเสื้อคลุมทับอีกชั้นกันแดด เอาไว้ถอดเวลาเล่นน้ำ แล้วก็ไม่ลืมใส่หมวกด้วยครับ ส่วนพวกผู้หญิงไม่มีใครใส่บิกินี่กันครับ กางเกงขาสั้นเสื้อยืดกันหมดเลย นุ่นบอกว่าบิกินี่ของเก็บไว้จัดพรุ่งนี้ เพราะวันนี้พวกผมวางแผนกันว่าจะตะลุยรอบเกาะกันก่อน เพื่อถ่ายรูป ซึ่งทุกคนก็พร้อมมาก พร๊อพแน่นทุกหมวก ทั้งแว่นกันแดด และไม่ลืมที่จะโบกครีมกันแดดกันด้วย ครบเลยครับ

   พวกเราจัดการเช่ามอเตอร์ไซด์ 2 วันเลยครับ เราเช่ากันมา 4 คัน แบ่งไปคันละสองคน มีก็แต่คันเก็ทที่ต้องซ้อนสาม คือเก็ทคนขี่ ป๊อปอาย แล้วก็นุ่น ส่วนผมโดนลากให้ไปซ้อนท้ายทาร์ตครับ ทุกคนดูจับคู่ผมมาก ทาร์ตก็ยิ้มแป้นเชียวแหละ แถมมีการบอกว่าให้ผมกอดเอวไว้ให้แน่นๆ อีกด้วย ชักเอาใหญ่แล้วไอ้นี่!

   จากนั้นการผจญภัยก็เริ่มขึ้น พวกผมเอากล้องมาสองตัวครับคือของดิว ที่เตรียมทุกอย่างจริงๆ กับของทาร์ตที่นั่งเนียนๆ แต่ก็เอามากับเขาเหมือนกัน ระหว่างที่ขี่มอเตอร์ไซด์ไป ผมก็ถามทาร์ตไปว่าชอบถ่ายรูปเหรอ มันก็บอกว่าใช่แล้วก็อะไรมันไม่รู้ ลมมันตีผมไม่ค่อยได้ยินเสียงเท่าไร แต่มันกลับทำให้ผมคิดถึงคนอีกคน ที่ชอบถ่ายรูปเช่นกัน

   เราเริ่มไล่กันไปตั้งแต่หาดทรายริมทะเลด้านล่าง จนตอนนี้พวกผมขึ้นมายังจุดชมวิวบนยอดเขาซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเกาะล้านแล้วครับ เหนื่อยและอันตรายมากกว่าจะขึ้นมาถึงบนนี้ได้ แต่พอขึ้นมาถึงผมว่ามันคุ้มนะ เพราะข้างบนนี้วิวสวยมาก เห็นได้ 360 องศารอบเกาะเลย มองเห็นตัวฝั่งพัทยาด้วย มองเห็นรถที่วิ่งอยู่ด้านล่างคันเล็กนิดเดียวเอง บ่งบอกได้เลยว่าพวกเราขึ้นมาสูงขนาดไหน ลมเย็นและพัดแรงมากๆ แม้แดดจะร้อน เพราะบนนี้ไม่มีร่มเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าทนเหนื่อย ทนสมบุกสมบันมาถึงบนนี้แล้วก็ต้องเก็บภาพเป็นที่ระลึก คนถ่ายหลักๆ ก็คือเจ้าของกล้องแหละครับ กับเก็ทที่เสนอตัวถ่ายแทน เพราะเจ้าตัวเป็นอีกคนที่ไม่ชอบถ่ายรูปสักเท่าไร

   “พี่ฟร๊องก์ ถ่ายรูปกัน” ทาร์ตเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่เป็นเอกลักษณ์ ขณะผมที่ยืนแยกตัวออกมาอีกมุมเพื่อชมวิวและปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป

   “เอาดิ แล้วจะถ่ายยังไง ไม่เรียกใครมาถ่ายให้อ่ะ”

   “selfie ไงพี่ ผมสามารถ มาๆ” ทาร์ตเข้ามายืนซ้อนหลังผมพร้อมจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากๆ จนผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดรินอยู่ที่ต้นคอ ผมแอบขนลุกเหมือนกันนะ เพราะมันใกล้มากเลย

   ทาร์ตถ่ายรูปคู่กับผมหลายรูปมาก โดยเปลี่ยนท่าทางไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าใบหน้ายังคงอยู่ใกล้ชิดกับผมมาก ก่อนที่โดนัทกับไวน์จะเดินเข้ามาสมทบ

   “มากูถ่ายให้กูได้ แลดูลำบาก” โดนัทว่าก่อนจะยื่นมาออกมารับกล้องจากทาร์ต

   “งั้นกูถ่ายด้วยนะ จะเป็น กขคงจ... อิอิ” ไวน์วิ่งเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับทาร์ต ก่อนที่เราจะถ่ายรูปกันต่ออย่างสนุกสนาน จากสามคน ก็ทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อย นุ่นและป๊อปอายก็เข้ามาสมทบ จนสุดท้ายทุกคนก็มายังจุดที่ผมยืนหมดเลย กล้องทาร์ตถูกโยนให้ดิวเรียบร้อย และเก็ทกับดิวก็เป็นตากล้องไป และสุดท้ายก็เหลือแค่เก็ทคนเดียว เพราะดิวก็ขอร่วมเฟรมด้วย รูปสุดท้ายดิวจัดการตั้งกล้องให้ได้มุม แล้วใช้รีโมตกดถ่ายเอา ทำให้พวกเรามีรูปที่ครบทีมเป็นรูปแรก
 
   หลังจากที่ลงมาจากจุดชมวิวบนยอดเขา พวกเราหยุดพักเติมพลังกันที่หาดนวลซึ่งถูกหมายตาไว้ตั้งแต่ตอนมองลงจากบนเขา ที่เลือกพักที่หาดนี้เพราะมองลงมาจากมุมสูง ผืนน้ำที่ทอดยาวลงไปจากหาดนี้ดูสวย และน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน และเมื่อมาถึงมันดูค่อนข้างสงบ มีร่มไม้ไว้ให้ร่มเงาอยู่ประปราย แต่ลมทะเลพัดสร้างความเย็นสบายให้ตลอด พวกผมนั่งพักเหนื่อยจากการผจญภัยใต้ร่มไม้ที่มี ก่อนจะตกลงกันว่าเย็นนี้จะมาเล่นน้ำที่หาดนี้ แต่ตอนนี้ทุกคนลงความเห็นว่าขอกลับไปนอนพักเอาแรงกันก่อน พวกเราเลยมุ่งหน้ากลับที่พักทันที แต่ก่อนจะเข้าที่พัก ก็แวะร้านสะดวกซื้อชื่อดังที่มีอยู่แค่ที่เดียวบนเกาะเพื่อซื้อน้ำ ซื้อขนมไปตุน และก็กลับที่พักโล้ดเลยครับ ขอนอนพักแป๊บหนึ่งนะ

**********__________**********

   ผมตื่นมาในช่วงเวลาเย็นๆ ตอนนี้ก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว คนอื่นๆ ก็ลุกเตรียมตัวไปเล่นน้ำทะเลกันแล้วครับ ผมลุกไปล้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะออกมาปลุกคนที่เหลือ ตอนหลับไปผมฝันไปถึงตอนมอหก ที่ไปเที่ยวทะเล จะว่าสนุกมันก็สนุก แต่มันจะสนุกกว่านี้ ถ้าปาร์คอยู่กับพวกผม และไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผมไม่สามารถหาเหตุผลได้จนถึงปัจจุบันนี้ว่าทำไมปาร์คถึงต้องไปหัวหิน แทนที่จะอยู่เที่ยวกับพวกผม

   เมื่อย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์นั้น ตอนหลังจากที่ผมสำเร็จการศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก และทำการสอบวัดผลต่างๆ เพื่อนำคะแนนไปยื่นแอดมิชชันแล้ว เพื่อนๆ ในกลุ่มรวมทั้งผมก็นัดแนะว่าจะไปเที่ยวทะเลที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงเทพฯ กัน นั่นก็คือที่ชะอำ

   ซึ่งในจำนวนของคนที่คอนเฟิร์มว่าจะไปไม่มีปาร์คอยู่ในนั้น แม้ว่าปอจะพยายามตื้อทุกวันที่คุยโทรศัพท์กัน จนคืนสุดท้ายก่อนที่พรุ่งนี้จะเดินทาง ผมก็ยังตื้อไม่เลิกเช่นเดิม แต่วันนี้คำตอบของปาร์คกลับทำให้ผมยิ้มออก

   ‘สรุปพรุ่งนี้ปาร์คจะไปเปล่าเนี่ย’

   [คงไปแหละ เดี๋ยวตามไปพร้อมวิชญ์] แม้น้ำเสียงจะไม่ได้หนักแน่นและยืนยันได้ชัวร์ แต่ผมก็กลับรู้สึกชื่นใจขึ้นหน่อยว่าอย่างน้อยปาร์คก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนที่ผ่านมาทุกๆ วัน

   ‘ไปให้ได้นะ ฟร๊องก์อยากให้ปาร์คไปด้วยจริงๆ นะ’’ ผมพูดเสียงอ่อนเป็นเชิงอ้อนๆ ก็อยากให้ไปจริงๆ นี่เนอะ

   [รู้ แต่มันก็มีธุระจริงๆ เหมือนกัน คิดมากหน่า ถึงไม่ได้ไป ยังไงก็ยังได้เจอกันอยู่ดี] ปาร์คเป่าปากเล็กน้อยเหมือนลำบากใจและเหนื่อยใจในเวลาเดียวกัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนกำลังปลอบใจผม

   ‘กะ... ก็มันไม่เหมือนกัน’

   [ถ้าไปไม่ได้ เอาไว้วันหลังจะพาไปเที่ยว สองต่อสองเลยโอเคป่ะ] ปาร์คทำเสียงทะเล้น แต่ผมก็ยิ้มออก ถึงแม้ว่าจะรู้ว่ามันพูดเล่นก็เถอะ

   ‘หึ! ก็พูดแบบนี้ตลอด ไม่เห็นพาไปสักที’

   [ฮ่าๆ ไปนอนได้แล๊ว พรุ่งนี้ตื่นเช้าไม่ใช่รึไง]

   ก็นั่นล่ะครับ แม้จะไม่มีอะไรการันตีได้ว่าปาร์คจะไปหรือไม่ไป แต่อย่างน้อยในใจผมก็ยังมีความหวังว่าปาร์คจะตามมาอย่างที่พูดไว้จริงๆ

   หลังจากที่มาถึงทะเล พวกผมก็เอาแต่ขลุกตัวเล่นกันอยู่ที่บ้านพัก จนเกือบห้าโมงเย็น เมื่อแดดร่มลมตกพอสมควรแล้ว จึงออกไปเล่นน้ำกันจนเริ่มมืด กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนชุด ผมเองก็ลืมโทรศัพท์มือถือไปเลย มารู้ตัวเอาอีกทีก็หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำตอนเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ผมจึงรีบหยิบโทรศัพท์มาดูทั้งที่มืออีกข้างยังถือผ้าขนหนูเช็ดผมอยู่ ปรากฏเบอร์ที่ไม่ได้รับจากปาร์คถึงสิบสาย แถมจากวิชญ์อีกสามสาย ตั้งแต่จากเมื่อชั่วโมงที่แล้ว จนล่าสุดคือประมาณสิบห้านาทีที่ผ่านมา

   เห็นดังนั้นผมจึงรีบกดโทรกลับไปหาปาร์คทันที แต่สายกลับไม่ว่าง ก่อนที่แคมป์จะเดินคุยโทรศัพท์เข้ามาในห้องและผ่านหน้าผมออกไปยังระเบียง

   ‘เออๆ มึงเดินเข้าในซอยมาเรื่อยๆ มันเป็นตึกแถวติดๆ กันอ่ะ...อยู่ประมาณกลางๆ ซอย... เออใช่ นั่นล่ะๆ เห็นมึงล่ะ เห็นกูไหมอยู่ที่ระเบียง... โอเครออยู่หน้าบ้านเดี๋ยวลงไปรับ…’

   เมื่อแคมป์วางสายไป ผมรีบออกไปที่ระเบียงทันทีสวนกับแคมป์ที่เดินกลับเข้ามาเพื่อลงไปรับปาร์คกับวิชญ์ เมื่อออกมาที่ระเบียงก็ปรากฏร่างของปาร์คกับวิชญ์ยืนอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน ผมยิ้มกว้าง พร้อมกับโบกมือให้ แต่ปาร์คเพียงเงยขึ้นมามองผมด้วยท่าทางนิ่งๆ เท่านั้น

   ผมรีบจัดการเช็ดและไดร์ผมอย่างลวกๆ ก่อนจะเอามาสางๆ ไม่ให้มันพันและฟู จากนั้นก็รีบลงไปข้างล่างทันที แต่ผมกลับไม่พบแม้แต่เงาของคนที่ผมรอคอยมาทั้งวัน ผมจึงรีบถามจากคนอื่นๆ และได้คำตอบว่าปาร์คกับวิชญ์ออกไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่หน้าปากซอย

   แต่เมื่อรอแล้วรอเล่า จนเวลาผ่านไปกว่ายี่สิบนาที ใจผมก็ยิ่งร้อนรน จริงๆ รู้สึกไม่เข้าใจตั้งแต่ที่ไปเซเว่นก่อนที่จะเอาของเข้ามาเก็บแล้ว แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีกว่าอาจจะลืมอะไรแล้วออกไปซื้อเข้ามาทีเดียวแล้วไม่ออกไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ผมจึงรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องเพื่อกดโทรศัพท์โทรออกไปหาปาร์คทันที

   ใจผมยิ่งเต้นระส่ำระส่ายมากขึ้น เมื่อปาร์คไม่รับโทรศัพท์ จนสายที่สามที่ผมโทรไป

   ‘ปาร์ค อยู่ไหนอ่ะ’ ผมรีบถามออกไปด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจทันทีที่ปาร์ครับสาย

   [เรานั่งรถมาหัวหินแล้ว... พรุ่งนี้คงกลับเลย] ปาร์คตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งงัน และคำตอบนั้นของปาร์คเล่นเอาสมองผมหยุดสั่งการไปชั่วขณะ ปาร์คไปหัวหินแล้ว... ไปทำไม?

   ‘ทำไมอ่ะ โกรธอะไรฟร๊องก์เปล่า’ เสียงผมเริ่มสั่น หยดน้ำตาก็พาลมารั้งอยู่ที่ขอบตาของผม

    [ช่างมันเถอะฟร๊องก์ โทษทีนะ]

   ‘...’ ผมพูดอะไรต่อไม่ถูก ปาร์คมาถึงหน้าบ้านแล้ว และทำไมปาร์คถึงไม่เข้ามา ทำไมต้องนั่งรถไปหัวหิน

   [...] ปาร์คเองก็เงียบเช่นกัน

   ‘ปาร์คโกรธฟร๊องก์เหรอ ที่ฟร๊องก์ไม่ได้ลงไปรับ’ ผมเริ่มถามเข้าประเด็นทันที มันเป็นประเด็นเดียวที่ผมคิดออก ว่าทำไมปาร์คถึงตัดสินใจหนีผมไปแบบนี้

   [ปาร์คคงไม่ต้องอธิบายหรอกนะ ฟร๊องก์น่าจะคิดเองได้] ปาร์คตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

   ‘ฟะ... ฟร๊องก์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ แล้วเห็นว่าแคมป์ลงไปรับ...’

   [ก็เลยไม่สนใจปาร์คเลยว่างั้น!]

   ‘เปล่านะ ฟร๊องก์แค่คิดว่าเดี๋ยวปาร์คก็ขึ้นมาหาฟร๊องก์แล้ว ก็เลย...’

   [ช่างเถอะฟร๊องก์ ยังไงปาร์คก็มาหัวหินแล้ว จะให้กลับไปคงไม่ทันแล้ว]

   ‘แต่พรุ่งนี้...’

   [ก็เหมือนกับฟร๊องก์... ที่ลงมาก็ไม่ทันได้เจอปาร์คแล้ว] ปาร์คตอบผมกลับมานิ่งๆ โดยที่ผมยังพูดไม่จบ แต่ประโยคนั้นเล่นเอาผมจุกและรู้สึกเย็นไปทั้งตัว และเป็นการจบทริปที่ผมไม่อยากจะจดจำเอาไว้เลย

   ก็นั่นล่ะครับ ที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลจนถึงทุกวันนี้ อย่าว่าแต่เรื่องนั้นเลย เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับปาร์คตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลด้วยเหมือนกัน แต่ช่างมันเถอะครับ ยังไงอดีตก็คืออดีต แก้ไขอะไรม่ได้อยู่แล้ว ผมก็แค่ ‘เคย’ แต่ต่อไปมันจะไม่มีอีกแล้วครับ ผมสะบัดเล็กน้อยไล่ความคิดบ้าๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว ไหนว่าจะมาพักผ่อนสมองไง แล้วจะคิดมากทำไม ห๊า! ฟร๊องก์!!

   “เดี๋ยวเอากุ้ง หอยแล้วก็ปูนี่ไปให้ป้าแกปรุงให้เลยแล้วกันนะ” ดิว ผู้ชายที่มาทริปนี้แทบจะจัดการทุกอย่างพูดขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ทยอยเอาสิ่งที่พูดออกมาจากตู้เย็นและลังโฟมขณะที่มีแก้วเป็นลูกมือเพื่อนำของเหล่านั้นไปให้ป้า ในที่นี้ก็คือเจ้าของบ้านพักที่เราอยู่ตอนนี้นั่นเอง

   “เออ อย่าลืมขอจานชามป้าแกมาเพิ่มด้วยล่ะ แก้วด้วย เดี๋ยวไม่มีดริ๊งค์คืนนี้!” นุ่นพูด จานชามไม่เท่าไรหรอกผมว่า แต่แก้วนี่คงสำคัญมากเลย ฮ่าๆ

   “เก็ทอ่ะ” ผมถามขึ้นหลังจากที่มองหาแล้วไม่พบบุคคลดังกล่าว

   “นั่นไง” นุนชี้ไปที่ระเบียง ซึ่งกั้นไว้ด้วยประตูกระจก เออเนอะ ผมก็ไม่รู้จักมอง กระจกก็ใช่ว่าจะทึบสักหน่อย สงสัยคุยกับชัญญ่าอยู่แหละมั้ง ถึงได้แยกตัวออกไปแบบนั้น

   “พี่ฟร๊องก์ มาดูรูปดิ” ทาร์ตโผล่หน้าออกมาจากในห้อง พร้อมกับกวักมือเรียกผมให้ไปหา ขณะที่อีกมือถือกล้องอยู่ เออดีจริงเว้ย กูเป็นพี่แท้ๆ แต่กลับเป็นคนโดนสั่ง

   “รูปที่ถ่ายอ่ะเหรอ เออไหนมาดูดิ๊” แต่ว่ามันใจผมก็ยอมเดินกลับเข้าไปในห้องกับมันนั่นแหละครับ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับมันในห้อง คนอื่นดูทีวีรอไปเล่นน้ำอยู่ที่โซฟาด้านนอกหมดแล้ว

   ผมแย่งกล้องจากมือทาร์ตมานั่งดูข้างๆ มัน โดยที่มันก็ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยใกล้ๆ กับผม แต่ก็ไม่ว่าไรหรอก ก็หน้าจอกล้องมันเล็ก ผมกดเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ทาร์ตเอากล้องออกมาถ่ายตั้งแต่ไปหาดตาแหวนหาดแรกอ่ะครับ ก่อนหน้านั้นใช้กล้องดิวคนเดียว ยังไม่เห็นรูปเหมือนกัน ผมดูรูปไปก็ยิ้มไป บางรูปมันดูตลกมาก เพราะกล้องหลักที่ใช้ถ่ายคือกล้องดิว ทำให้ทุกคนสนใจกล้องนั้นหมด รูปในกล้องทาร์ตส่วนมากจึงเป็นรูปแนวเผลอๆ ของทุกคนมากกว่า แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นรูปเผลอๆ ของผมก็เถอะ ผมนั่งดูไปหัวเราะไป จนมาถึงรูปบนจุดชมวิวที่ทาร์ตถ่ายคู่กับผมแค่สองคน

   นิ้วมือผมกดเลื่อนรูปช้าลงขณะเดียวกันใบหน้าผมก็เริ่มรู้สึกร้อนขึ้น รวมทั้งหัวใจเองก็เต้นแรงขึ้นด้วยเช่นกัน รูปที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอใบหน้าของเราสองคนใกล้กันมาก ตอนนั้นผมก็รู้ตัวว่าหน้าทาร์ตอยู่ใกล้มากเพราะรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่รดรินอยู่เนืองๆ แต่ไม่คิดว่ารูปออกมาจะใกล้มากขนาดนี้

   ผมค่อยๆ หันไปมองทางเจ้าตัวเล็กน้อยและพบว่าทาร์ตเองก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเราสองคนอยู่ในระยะที่ใกล้กันมาก แค่ประมาณคืบหนึ่งเท่านั้น ดวงตาของเราจับจ้องลึกไปยังดวงตาของกันและกัน จังหวะการหายใจของผมเริ่มช้าลงและยากลำบากขึ้น ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายยอมแพ้กลับลงมาก้มมาที่หน้าจอกล้องเหมือนเดิม

   แอ๊ด...

   ในจังหวะเดียวกันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับเก็ทที่เดินเข้ามาและมองมาที่เราสองคนด้วยสายตาที่ยากจะเดาว่าคิดหรือรู้สึกเช่นไร

   “ไม่ไปเล่นน้ำเหรอ” ริมฝีปากของคนหน้านิ่งขยับขึ้นลงปล่อยเสียงออกมาขณะที่ก้มวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างกระเป๋า

   “ไปดิ! ดิวเอาของสดไปให้ป้าเขาแล้วเหรอ” ผมยิ้มก่อนจะส่งกล้องคืนให้ทาร์ต แล้วลุกตามเก็ทออกนอกห้องไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานทาร์ตก็เดินตามออกมาเช่นกัน

   “อืม พร้อมกันยัง” เก็ทตอบผมเบาๆ ก่อนที่จะหันไปถามคนอื่นๆ ทุกคนลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง เป็นอันเข้าใจว่าพร้อมขนาดไหน บางคนเปลี่ยนชุดกันด้วยนะครับ อย่างนุ่น โดนัท แม้แต่ป๊อปอายที่แอบเปลี่ยนเป็นชุดที่เซ็กซี่ขึ้น โดยใส่ชุดว่ายน้ำแบบทูพีซท่อนบนโชว์สะดือและส่วนโครงเว้าของร่างกายและใส่กางเกงขาสั้นท่อนล่าง มีป๊อปอายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวทับอีกที แต่โดนน้ำก็เท่านั้นแหละครับ เห็นเหมือนกัน ส่วนแก้วใส่เป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นครับ แต่พวกผู้หญิงก็ติดเสื้อคลุมกันไปคนละตัวนะครับ ไว้ใส่ตอนนั่งมอเตอร์ไซด์ไปกลับ ส่วนผมก็ชุดเดิมครับ ถอดเสื้อคลุมออกแล้วเหลือแต่เสื้อกล้าม ผู้ชายคนอื่นรวมทั้งไวน์ก็ใส่แค่เสื้อกล้ามเหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ทุกคนพร้อมแล้ว ดิวก็เดินกลับมาแล้วเช่นกัน ฉะนั้นอย่าช้าครับ ไปเล่นน้ำกัน!!

   เรามาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานที่หาดนวลที่ตกลงกันไว้ เวลาเย็นแบบนี้อากาศดีมาก แสงแดดอ่อนๆ กระทบผิวน้ำที่มีระลอกคลื่นเบาๆ ซัดเข้าฝั่งอย่างต่อเนื่อง ดูแล้วสวย สบายตามาก พอลงไปในน้ำนี่น้ำเย็นมากเลยครับ ผิวน้ำด้านบนที่ต้องแสงแดดจะอุ่นๆ หน่อย ส่วนน้ำด้านล่างจะเย็นมาก ช่วงขาผมนี่รู้สึกเย็นเฉียบเลย ที่สำคัญน้ำใสมาก! ใสจนเห็นฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายเต็มเลย ทั้งตัวเล็กที่ผิวน้ำ และตัวใหญ่ๆ ประมาณฝ่ามือที่บริเวณผืนทรายข้างใต้ ผมรู้สึกว่าได้มาผ่อนคลายจริงๆ ครับ ไม่รู้สึกกังวลอะไรเลย เพราะที่เห็นตรงหน้านี้มีเพียงแค่ธรรมชาติที่สวยงาม และความสงบของท้องทะเล

   ที่นี่เขามีให้เช่าแว่นตาดำน้ำกับสน็อกเกิลด้วย พวกผมเลยไปเช่าแว่นตากันมาสองอันกับสน็อกเกิลอีกอัน แล้วแบ่งกันดำดูปลาตัวเล็กๆ ใต้น้ำ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าในระดับน้ำที่ไม่ลึกแบบนี้จะมีฝูงปลาอยู่เยอะและอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ ผมแอบเอามือสัมผัสผืนทรายด้านล่างด้วย มันนุ่มมากๆ เลย แถมยังพยายามเอามือจับปลาอีก แต่ก็จับไม่ได้สักตัว ทั้งนี้ต้องระวังตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อเริ่มออกจากหาดไปไกลขึ้นจะเต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ ผมเองก็ได้แผลกลับมาเป็นที่ระลึกหลายแผลจากการที่โดนหินบาดเช่นกัน

   พวกผมเล่นน้ำกันไป แกล้งกันไปบ้าง แกล้งทั้งสาดน้ำใส่กัน บางทีก็ถึงขั้นกดน้ำก็มี ผมนี่แหละตัวดีเลยครับ กลายร่างเป็นปลิงไปเรียบร้อย เที่ยวไปเกาะหลังคนโน้นที่คนนี้ที โดนผมเกาะกันทั่วหน้าแหละครับ ไม่เว้นแม้แต่แก้ว ที่เพิ่งเคยเห็นเธอได้ปลดปล่อยและร่าเริงอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์คุณหนูแสนหวานได้ขนาดนี้ ตอนแรกทุกคนอึ้งกันมากเลยตอนที่วิ่งลงน้ำแล้วแก้วก็กรี๊ดขึ้นมาเสียงดังมาก ทำให้ทุกคนตกใจว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ที่ไหนได้ เธอดีใจครับที่ได้มาเที่ยวกับเพื่อนแบบนี้ เล่นสาดน้ำใส่พวกผมใหญ่เลย เล่นเอาทุกคนปล่อยก๊ากกับความรั่วของแก้วในวันนี้มาก ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมได้มาปลดปล่อยแค่คนเดียว แต่เท่าที่มองผมรู้สึกว่าทุกคนได้ปลดปล่อยความทุกข์ ความเครียดทิ้งไปกับน้ำทะเล และได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่โดยไม่สนใจสายตาของคนที่เราไม่เคยรู้จัก

   เก็ทที่เป็นเสือยิ้มยากเองผมยังได้เห็นรอยยิ้มที่แทบไม่หุบเลยตั้งแต่ลงเล่นน้ำ แถมยังแกล้งผมอีกต่างหาก พอผมว่ายไปเกาะหลังเก็ทปุ๊บ เจ้าตัวก็ล็อคขาทั้งสองของผมไว้แล้วพาออกไปไกลจากฝั่ง แล้วก็ดำน้ำแบบที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งผมที่โดนจับขาไว้ก็สลัดตัวเองออกไม่ได้ สำลักน้ำหูน้ำตาไหลตั้งหลายรอบ ในขณะที่เจ้าตัวกับคนอื่นๆ หัวเราะสะใจ แต่เห็นภาพแบบนี้ผมรู้สึกมีความสุขมากหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มานาน...


à suivre...

ตอนนี้มาแบบบรรยากาศสบายๆ หน่อยแล้วกัน จะได้รู้สึกไม่ตึงจนเกินไป

แต่ก็น่าจะมีคนก่นด่าปาร์คในตอนที่ไปเที่ยวทะเลตอนมอหก อันนี้ใส่มาเพื่อให้เกิดความรู้สึกไม่เข้าใจมากขึ้นกับตัวฟร๊องก์

ซึ่งเราเองก็ไม่ได้มีเหตุผลมาอธิบายสำหรับปาร์คเช่นกัน ปล่อยให้มันเป็นความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจฟร๊องก์แบบนั้น

(คือตอนที่เขียนก็ไม่ได้คิดเหตุผลไว้เช่นกัน และเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้เคยเกิดกับตัวเราเองในช่วงเวลานั้นเช่นกัน ซึ่งจนถึงตอนนี้เราก็ไม่เข้าใจถึงเหตุผลเช่นเดียวกับตัวละคร)

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 23 [11/6/2017]
«ตอบ #82 เมื่อ11-06-2017 22:19:19 »

อดีตเพื่อน อนาคต... ล่ะ?
...(จุดจุดจุด)ตรงชื่อเรื่องนี่ไว้เติมคำในช่องว่างใช่ไหม เดี๋ยวเติมให้
อดีตเพื่อน อนาคตไม่เผาผี แน่นอน

ตอนแรกที่มีอะไรกันถือว่าผิดทั้งคู่นะ สมยอมกันทั้งสองฝ่าย ถ้าจบตั้งแต่ตอนนั้นก็ผิดคู่ โทษใครหรือตัดพ้อใครไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ที่ดูเกินเลยหลังๆ มานี่ถือว่าเป็นความไม่ชัดเจนของปาร์ค ตอนที่ปาร์คตัดสินใจให้มันยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ปิดบังความจริงเรื่องที่ตัวเองมีคนอื่นอยู่ก่อนแล้วแบบนี้ถือว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์หรือมิตรภาพก่อนหน้านี้เลย เห็นแก่ตัวมาก เหมือนตัวเองไม่อยากปล่อยมือก็จับมันไว้ทั้งคู่ แค่ทำแบบนี้ความเป็นเพื่อนอะไรมันก็หมดแล้ว นี่ฟร๊องก์ยังจะกลับไปเป็นเพื่อนอีก?

หลังกลับจากทะเลนี้หวังว่าฟร๊องก์จะเคลียร์ให้ชัดเจนไปเลย ยุติแค่นั้น เพื่อตัวเองล้วนๆ จะได้ไม่ต้องถูกคนมองว่ามาทีหลังแย่งของคนอื่นและเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองพบคนดีๆ ด้วย


สุดท้ายนี้ อิจฉาชัญญ่ามาก เธอทำบุญด้วยอะไร 555
ขอบคุณมากนะฮะ สำหรับคอมเม้นต์ดีๆ แบบนี้ แอบขำตรงการเติชื่อเรื่องให้เต็ม 5555+ :laugh:
เราไม่ปฏิเสธว่าจงใจแต่งปาร์คออกมาให้เห็นแก่ตัวมาก เห็นแก่ตัวในแง่ของการแคร์แค่ความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่สนว่าใครจะรู้สึกอย่างไร ส่วนตัวฟร๊องก์ สมยอมเพราะทำไปตามความรู้สึก แต่จะว่าโง่ไหม ก็คงโง่ในแง่ของการยึดติด ไม่กล้าปล่อยมือ และไม่อยากเสียปาร์คไป ฟร๊องก์คือคนที่กลัวการจะต้องก้าวต่อ แต่ก็สับสนกับจุดที่ตัวเองยืนอยู่เช่นกัน

ทุกอย่างมันจะมีหนทางให้เลือกเดินอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าตัวละครแต่ละตัวจะเลือกเดินยังไง อิอิ



ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกคำติ ทุกคำชม ทุกข้อคิดเห็นนะ เรานำกลับมาแก้เนื้อหาของเรื่องตลอด ฉะนั้นเนื้อเรื่องอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดตราบใดที่ยังลงไม่จบ แต่ในส่วนพล็อตเรื่องหลัก เราคงไม่แก้ตามที่เราวางไว้ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะฮะ  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
น่ารักอยากให้ปาร์คอกหักและหึงหวงบ้าง

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
จะยึดติดอะไรกับมันเบอร์นั้น
ไม่เห็นจะมีอะไรดี..ปล่อยมันไปได้แล้ว

คนรักดีดียังรอเราอยู่ ยังมีอีกเป็นล้านคนบนโลกใบนี้
ส่วนไอ่ปาร์คน่ะ คิดซะว่ามันเป็นคนบนโลกใบอื่นไปเหอะ

ลำไยมันม่อก..ไอ่เชี่ยปาร์ค

ยังรอเก็ทอยู่เสมอมา
รอนะ..ที่รัก
อิอิ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 24 [13/6/2017]
«ตอบ #85 เมื่อ13-06-2017 20:01:37 »

Chapitre 24

   เราเล่นน้ำกันจนฟ้าเริ่มมืดเลยครับ สนุกกันจนลืมเวลา ลืมเรื่องเครียดๆ ที่เคยทำให้กังวลไปซะหมด ตอนนี้ก็ได้เวลากลับไปเติมพลังด้วยการกิน! พวกเรารีบขี่มอเตอร์ไซด์กลับจากหาดดังกล่าวทันที ด้วยความที่หาดนี้อยู่ไกลจากหาดอื่นๆ มันอยู่สุดด้านหนึ่งของเกาะเลย เลยทำให้ระยะทางค่อนข้างไกลและเปลี่ยว มืดๆ แบบนี้บรรยากาศเลยเริ่มน่ากลัว ขณะที่ขี่มอเตอร์ไซด์กลับ อากาศที่เย็นลงช่วงหัวค่ำ บวกกับเสื้อผ้าที่เปียกทำให้ผมต้องโน้มตัวเข้าหาไออุ่นจะทาร์ตที่กำลังขี่รถอยู่ เจ้าตัวหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อย ก็จะมือข้างหนึ่งจะเอื้อมมาจับมือของผมให้โอบเอวของมันแล้วจับค้างไว้แบบนั้น

   ไม่นานเราก็มาถึงยังชุมชนท่าหน้าบ้านแล้วครับ ไม่ลืมส่งตัวแทนแวะซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับราตรีนี้ด้วย จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผมกับทาร์ตที่ตามมาเป็นคันสุดท้าย ซึ่งคนลำบากไม่ใช่ใครหรอกครับ คือผมเนี่ยแหละที่ต้องหิ้วถุงข้างหนึ่งเป็นเบียร์ อีกข้างเป็นขวดเหล้าและมิกเซอร์ ดีนะที่เซเว่นที่นี้ไม่มีน้ำแข็งขาย ไม่งั้นผมคงต้องใช้ปากคาบเอา

   ผมกลับมาถึงบ้านพัก อาหารส่วนที่ให้ป้าเจ้าของเขาทำให้ก็เสร็จเรียบร้อย พร้อมกับจานชามอีกกว่าสิบใบ แก้วกับป๊อปอายรับหน้าที่จำโต๊ะด้านนอกระเบียงสำหรับมื้ออาหารนี้ ผมเอาพวกเครื่องดื่มที่หิ้วมาจะปวดแขนไปวางไว้ ก่อนจะโดนใช้ต่อให้ไปขอกระติกจากป้าพร้อมกับซื้อน้ำแข็งมาใส่ด้วย ผมเลยจัดการใช้ทาร์ตต่อซะเลย มันก็บ่นผมกระปอดกระแปดแต่ก็ยอมไปแต่โดยดี ต้องใช้ความเป็นพี่ให้เป็นประโยชน์ ฮ่าๆ

   “ช่วยหั่นปลาหมึกหน่อยดิ” นุ่นเดินมาหาผมพร้อมกับถุงใส่ปลาหมึก เราซื้อปลาหมึกมาเยอะมาก 2 กิโลครึ่งอ่ะครับ กะกินกันให้อ้วกไปเลย

   “จะหั่นทำห่าอะไร ย่างก่อนดิค่อยหั่น หั่นก่อนก็หดหมด โง่จริง!” ผมว่าพร้อมกับผลักหัวมัน ได้ทีผมเอามั้งสิครับ ฮ่าๆ นุ่นหน้าเอ๋อไปเลย สงสัยไม่รู้จริงๆ แอบรู้สึกสะใจแรงๆ

   “เออ งั้นมึงย่างเลย เก่งดีนัก!” นุ่นวางถุงปลาหมึกลงบนเก้าอี้ข้างๆ ผม ก่อนจะสะบัดหน้าเดินปึงปังเข้าบ้านไป

   ผมหัวเราะเล็กน้อยกับอาการหน้าแตกของนุ่น นานๆ ทีผมจะเล่นงานมันได้ ตอนนี้นอกระเบียงมีแค่ผมเหลืออยู่คนเดียว คนอื่นอาบน้ำเปลี่ยนชุดกันอยู่ บางส่วนก็เซลฟี่อยู่ในตัวบ้าน ผมเองก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลยครับ ยังคงอยู่ในชุดเปียกๆ ตัวเดิม กลางคืนท่ามกลางลมเย็นๆ  แบบนี้หนาวเหมือนกันนะ

   “มีอะไรให้ช่วยไหม” เสียงเก็ทเอ่ยทักขึ้นทำให้ผมหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องอึ้งเล็กน้อยเหมือนเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าที่มักทำหน้านิ่งและเคร่งขรึมนั้น เก็ทเปลี่ยนชุดแล้วครับ สงสัยอาบน้ำแล้ว เพราะกลับมาถึงที่บ้านพักก่อนผม

   “อ้าวเก็ท อารมณ์ดีมาจากไหนเนี่ย ปกติเห็นตีหน้าขรึมตลอด” ผมแกล้งเอ่ยปากแซวด้วยรอยยิ้มขณะที่กำลังนำหมึกออกมาล้าง

   “ก็ไม่มีอะไร แค่เห็นใครบ้างคนกลับมาร่าเริงได้แล้ว”

   “^_^” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงเรียบทุ้มนั้นด้วยรอยยิ้ม แล้วก็พบรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเสมอปรากฏที่ริมฝีปากนั้นเช่นกัน
ก่อนที่เก็ทจะยื่นมือมายีหัวผมเบาๆ อย่างที่ชอบทำ ผมรู้สึกว่าผมโชคดีและขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ผมได้รู้จักกับเก็ท เพราะทุกครั้งที่มีปัญหา ผมก็มีเก็ทอยู่ข้างๆ เสมอ เก็ทไม่เพียงเป็นกำลังใจ แต่ยังช่วยให้คำแนะนำดีๆ กับผมด้วย

   แล้วเราสองคนก็ลงมือช่วยกันล้างและแบ่งปลาหมึกย่างบนตะแกรงทีละสามตัว เนื่องด้วยเป็นหมึกไซส์ใหญ่ เลยทำให้มันแน่นมากเวลาวางอยู่บนตะแกรงเล็กๆ แบบนี้ ผมอดยิ้มกับสีหน้าที่ดูตั้งใจของคนข้างๆ ไม่ได้ เก็ทดูตั้งใจมากกับการย่างหมึก ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายเย็นชายอย่างเก็ทจะมีมุมน่ารักๆ แบบนี้กับเขาเหมือนกัน

   ผมที่ยืนมองเก็ทย่างปลาหมึกอยู่นั้นต้องเริ่มกอดอกด้วยความหนาว แล้วเริ่มเดินเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ตัวเก็ทและเตาย่างมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองได้รับไอร้อนจากเตา พอมืดแบบนี้แล้วลมทะเลยิ่งแรง ชุดเปียกๆ ของผมยิ่งเพิ่มดีกรีความหนาวให้เข้ามากระทบผิวกายผมมากขึ้น ห้องน้ำว่างยังก็ไม่รู้ ยิ่งเข้าไปอยู่ในห้องแอร์ยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่

   “หนาวก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เก็ทหันมามองผมที่ยืนตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ

   “ช่วยก่อนก็ได้ ไม่เป็นไรมากหรอก”

   “พี่ฟร๊องก์ ห้องน้ำว่างแล้วนะ มาอาบน้ำเถอะพี่” จู่ๆ ประตูกระจกก็ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับใบหน้านิ่งๆ ของเจ้าตัวทะเล้นที่โผล่มาเรียกผมให้เข้าไปอาบน้ำ

   “เหรอ งั้นฟร๊องก์ฝากด้วยนะเก็ท ไปช่วยพี่เขาเลยทาร์ตไม่ต้องมาเนียน” ผมว่าก่อนจะเดินมาดึงแขนทาร์ตให้ออกไปช่วยเก็ทย่างปลาหมึก ส่วนตัวเองก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดครับ เปิดประตูห้องนอนเข้าไปเอาชุดนี่ผมขนลุกเลยครับเมื่อผิวกระทบกับแอร์ในห้อง ในห้องมีไวน์กับโดนัทนั่งอยู่ครับ นั่งถ่ายรูปเล่นกันอยู่ แหมสบายจริงนะพวกมึง ปล่อยให้กูทำอยู่งกๆ เลวจริงๆ ส่วนนุ่นที่งอนๆ ผมก่อนหน้าก็นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟาสบายใจเลย อีกสามคนที่เหลือคงอยู่อีกห้องหนึ่งล่ะมั้ง ช่างเถอะ ขออาบน้ำก่อน!

**********___________**********

   ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ออกมาจากห้อง ตอนนี้ทุกคนรวมตัวกันอยู่นอกระเบียงหมดแล้วครับ ล้อมวงถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานไม่นึกถึงผมเลย ไอ้เพื่อนพวกนี้!

   “ไม่รอกูกันเลยนะ” ผมเปิดประตูกระจกนั้นออกก่อนจะว่าอย่างนอยด์ๆ

   “ก็รอนี่ไง ถ่ายรูปรอมึงอยู่คนเดียวเนี่ย มาเร็วๆ หิว!” โดนัทหันมาเอ็ดผม สรุปผมผิดใช่ไหม

   ผมเดินไปนั่งยังเก้าที่เหลือว่างอยู่เพียงที่เดียวท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนพวกมันจงใจเหลือที่ตรงนี้ไว้ให้ผมโดยเฉพาะ ก็เป็นเก้าอี้ตรงกลางระหว่างเก็ทกับทาร์ตน่ะสิ คนหนึ่งก็ได้รับฉายาว่าเป็นผัว อีกคนก็ถูกเรียกว่าเป็นชู้ แต่ท้ายที่สุดผมกลายเป็นคนที่ดูมั่วมากสุดเลยนะรู้สึก

   อาหารทะเลแน่นจนรู้สึกว่ามันแทบจะล้นโต๊ะเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้สำหรับคนเก้าคน โอ้! ดิวจัดการถ่ายรูปอาหารรวมถึงไล่ถ่ายคนด้วย ทุกคนถ่ายกันเป็นคู่ๆ ก็มีแค่ผมเนี่ยแหละ โดนยัดเยียดให้ถ่ายสามคน แต่ผมก็ไม่อะไรหรอกครับ รู้สึกได้อภิสิทธิ์พิเศษ เลยจัดการโอบคอของทั้งเก็ทและทาร์ตเข้ามาถ่ายรูปเลย ก่อนจะโดนฝ่ามือของเก็ทโบกเบาๆ เข้าที่หัว ฮ่าๆ จากนั้นไวน์ก็รับอาสาลงรูปในเฟซบุ๊กเอง จริงๆ พวกนี้แบ่งกันลงรูปในเฟซแล้วผลัดกันแท็กไปมาตั้งแต่มาถึงแล้วครับ ดิวมันมีตัวปล่อย wi-fi ที่สามารถเป็นการ์ดรีดเดอร์ได้ด้วย ทำให้สามารถส่งรูปจากในกล้องเข้าโทรศัพท์แล้วอัพลงโลกโซเชียลได้เลย

   จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้แตะโทรศัพท์กับเขาเลยตั้งแต่มาถึง และก็ไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องหยิบมันออกมาใช้ได้ ในเมื่อผมตั้งใจจะไม่ใช้งานมันเอง ส่วนใครจะแท็กรูปหรือเช็คอินอะไรก็แล้วแต่เถอะครับ ไม่ได้ต้องการปิดบังใคร แค่ไม่อยากติดต่อกับใครแค่นั้นเอง

   จากนั้นพวกเราก็ลงมือกินอาหารตรงหน้ากันอย่างอิ่มเอม พร้อมกับถ่ายรูปไป แกล้งกันไป ทำให้มื้ออาหารมื้อนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บางที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องหรูหรา แค่เรียบง่ายกับคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อน ก็ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความสุขของการอยู่ร่วมกันได้ เรานั่งกินกันไปเรื่อยๆ จากอาหารที่แน่นโต๊ะ ตอนนี้แทบจะหมดเกลี้ยงแล้วครับ แต่ก็ยังไม่มีใครยอมแพ้นะ หยิบขนมขบเคี้ยวขึ้นมาแกะอีกหลายห่อ แกล้มเบียร์ แกล้มเหล้ากันไป ส่วนใหญ่จะเน้นดื่มเบียร์กันมากกว่า มีแค่ผมกับป๊อปอายที่ดื่มเหล้า เพราะไม่ค่อยชอบเบียร์ ส่วนแก้วก็ลองเหล้าบ้างนิดหน่อย แต่ชงอ่อนๆ ให้แก้วเดียวยังดื่มไม่หมดเลยครับ อย่างว่าแหละ แก้วไม่ค่อยคุ้นชินอะไรกับของแบบนี้ และดิวเองก็ไม่อยากให้แก้วดื่มเยอะด้วย แต่ดีแล้วครับ ให้เหลือดีๆ ไว้สักคน เพราะคนที่เหลือนี่ดูสภาพแล้วคงเมาปลิ้นแน่ๆ

   พวกเรานั่งกันมาราธอนมาก คงเพราะเม้าธ์กันไปเรื่อยๆ เลยทำให้เพลิน ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่เราก็ยังคงอยู่กันนอกระเบียงที่เดิม ขวดเหล้าถูกเก็บไปแล้วครับ ผมพอแล้ว ส่วนเบียร์ยังเหลืออยู่นิดหน่อย ตอนนี้สภาพบางคนก็เริ่มไม่ไหวแล้ว อย่างไวน์กับโดนัท คู่หูสองคนนี้ดูกึ่มๆ แล้วครับ พากันเดินกอดคอไปนั่งแหกปากร้องเพลงที่ฟังดูไม่ค่อยเป็นภาษาสักเท่าไร ร้องผิด ร้องเพี้ยนไป ก็ขำไปอยู่ที่มุมระเบียงด้านหนึ่ง ป๊อปอายเองผมก็เห็นซัดไปหลายแก้วเหมือนกันนะ คงมึนๆ อยู่เหมือนกันเพราะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียบร้อย แก้วเองแค่แก้วเดียวก็ดูทรงตัวไม่อยู่แล้วครับ นั่งซบไหล่ดิวที่ยังคงนั่งดื่มอยู่กับเก็ท ทาร์ตแล้วก็นุ่น ดูคอแข็งกันสุดแล้วครับ แต่ดิวก็คอยหันไปดูแลแก้วอยู่ตลอด สองคนนี้รักกันมากเลยนะ ดิวที่ดูกวนๆ แต่เวลาอยู่กับแก้วนี่ดูแลแก้วเป็นอย่างดี ที่แก้วมาเที่ยวในครั้งนี้ได้ก็เพราะดิวเนี่ยแหละครับ เปิดตัวกับทางบ้านของแก้วแล้ว แถมยังปฏิบัติตัวดีจนพ่อแม่และคุณยายของแก้วนี่ปลื้มซะ เลยยอมให้แก้วได้มาเที่ยว

   ผมที่ยังคงนั่งอยู่กลางวงฟังบทสนทนาที่แต่ละคนที่ยังดื่มอยู่คุยกันก็เพลินดี นุ่นที่ปกติก็ปากหมา คอยสร้างเสียงหัวเราะอยู่แล้ว ยิ่งตอนเมานี่ยิ่งแล้วใหญ่เลยครับ ไปขุดหาเรื่องตลกแบบจัญไรๆ มาเล่าให้ฟังพลอยทำให้ทุกคนขำไม่หยุดไปด้วย ก่อนที่เจ้าตัวจะยอมแพ้และลากป๊อปอายเข้าไปนอนในที่สุด ส่วนดิวเองก็นั่งต่ออีกสักพักก็พาแก้วเข้าไปนอน ก่อนที่ตัวเองจะออกมาสูบบุหรี่ที่นอกระเบียงเช่นเดิม ปกติผมไม่ค่อยเห็นมันสูบเท่าไรนะ จะเห็นก็แค่ตอนที่มันไปเที่ยวหรือดื่มอะไรแบบนี้ เก็ทเองก็เหมือนกัน ผมเพิ่งเคยเห็นมันสูบก็วันนี้แหละครับ เลยต้องเอ่ยปากถาม ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก เล่นเอาผมอยากจะตบให้หัวทิ่ม! ติดแค่มันสูง ผมตบไม่ถึง (จริงๆ กลัวมันถีบเอาครับ)

   “ไปถ่ายรูปเล่นที่ท่าเรือกันไหมครับพี่ๆ” ทาร์ตเอ่ยถามขึ้น

   “เออ ไปดิ มึงไปไหม” ดิวตอบรับก่อนจะหันไปหาเก็ท ทาร์ตเองก็มามองทางผมเหมือนกำลังรอคำตอบ ผมก็พยักหน้ารับครับ ได้หมด ผมไม่เมาอยู่แล้ว แล้วก็ยังไม่ง่วงด้วยแหละ

   “ไปก็ไปดิ ดูท่าทางสองคนนั้นก็จะไปด้วย ไปแล้วจะได้มีคนช่วยดูมันสองคนด้วย” เก็ทตอบนิ่งๆ พร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปยังโดนัทกับไวน์ที่เดินเข้ามาบอกว่าจะออกไปด้วย แต่ดูหน้าสองคนนี้แล้วอยากแนะนำให้ไปนอนมากกว่า หน้าแดงก่ำทั้งคู่เลย

   สรุปแล้วพวกผมหกคนก็ออกไปถ่ายรูปกันที่ท่าเรือหน้าบ้านครับ โดยที่บ้านไว้แล้วเอากุญแจออกมาด้วย ขืนไม่ได้ล็อกก็ซวยสิครับ เพราะสามคนนั้นน่าจะหลับไม่รู้เรื่องแล้ว เราขี่รถออกไปกันแค่สองคันครับ เก็ทกับดิวเป็นคนขี่ ผมนั่งมากับเก็ทแล้วก็ไวน์อีกคน ส่วนโดนัทกับทาร์ตก็ซ้อนไปกับดิว พร้อมกับกล้องอีกสองตัว

   เราขี่รถออกมาถึงท่าเรือ นี่ก็ห้าทุ่มแล้ว แม้จะไม่ครึกครืนเท่าตอนกลางวัน แต่ก็ยังมีผู้คนอยู่แถวหน้าเซเว่นบ้างประปราย เลยไม่ทำให้มันน่ากลัวสักเท่าไร เราขี่รถขึ้นไปจอดบนท่าเรือเลยครับ ลมตอนกลางคืนที่นี่แรงมาก และรู้สึกเหนียวตัวมากเช่นกัน ตรงนี้ถ่ายรูปได้เพราะมีสปอตไลท์ดวงใหญ่อยู่ แม้ตอนนี้จะดึกแล้ว แต่แสงไฟจากทางฝั่งพัทยาก็ยังคงสว่างไสวสมกับเป็นอีกสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเมืองที่ไม่เคยหลับเฉกเช่นกรุงเทพมหานคร แต่มองๆ ไปก็สวยดีนะ อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่า ท่ามกลางท้องทะเลที่มืดมิดและกว้างไกล ยังคงมีแสงสว่างของริมฝั่งที่รอคอยเราอยู่ไม่ไกล ฉะนั้นชีวิตผมเองก็เหมือนกัน... สักวันผมก็จะข้ามท้องทะเลสีดำสนิทนี้ไปยังฝั่งที่สว่างไสวได้...

   “พี่ฟร๊องก์!” ทาร์ตเรียกผมให้หลุดออกจากภวังค์ขณะที่เท้าคางกับขอบสะพานมองไปยังแสงไฟที่ฝั่งพัทยาอย่างเพลินๆ และเมื่อผมหันไปมองทางต้นเสียงก็เจอกับเสียงชัตเตอร์กดจับภาพผมที่โคตรเผลอเลย คงจะออกมาอุบาทว์สุดๆ

   “ไอ้ทาร์ต น่าเกลียด ลบรูปไปเลย!” ผมรีบเดินเข้ามาโวยวายทันที

   “เห้ยพี่ สวยจะตาย ดูหน้าพี่ดิ ตาโตน่ารักเชียว องค์ประกอบภาพก็ได้” ทาร์ตยื่นหน้าจอกล้องมาให้ดู น่ารักตรงไหนของมึงวะ ตลกเป็นบ้า! หน้าผมนี่หันมามองแบบงงๆ กึ่งตกใจเลยครับ โอ้ย!

   “ไม่เอา ลบ อุบาทว์!” ผมยกมือขึ้นมาหมายจะคว้ากล้อง แต่ไม่ทันเจ้าของครับ ไอ้ทาร์ตแม่งไวกว่า

   “ผมชอบ ให้ผม ‘ลบ’ ง่ายๆ ไม่ได้หรอก” ทาร์ตพูดด้วยรอยยิ้มโชว์เหล็กดัดฟันสีหวาน พลางยักคิ้วกวนๆ

   “เก็ท ถ่ายรูปกัน” ผมเบ้ปากใส่ทาร์ตด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกเก็ทที่ยืนเก็กประหนึ่งว่าเล่นเอ็มวีเท่ๆ พิงรถมอเตอร์ไซด์อยู่ ตั้งแต่มายังไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับเก็ทเลย ก็มันไม่ค่อยจะเข้าร่วมเฟรมกับใครเท่าไร แม้แต่ดิวผมยังมีรูปคู่เยอะกว่าเลย แถมไอ้ห่านั่นเวลาถ่ายรูปยังกวนผมอีกต่างหาก ทำให้รูปที่ถ่ายคู่กับมันออกมาแต่ละรูปดูเชี้ยมาก

   “หน้าเมาๆ เนี่ยนะ” เก็ทว่าแต่ก็เดินมาตามที่ผมเรียก

   “ดิวถ่ายให้หน่อยนะ”

   เก็ทเดินเข้ามายืนข้างผมด้วยท่าทางนิ่งๆ ขณะที่ดิวก็จัดการหามุมถ่ายให้ พอดิวให้สัญญาณจะถ่าย ผมที่เห็นเก็ทยืนกอดอกนิ่งเหมือนหุ่น ก็เลยแกล้งเอียงตัวเข้าไปพิงแผงอกแข็งแกร่งของมัน แล้วเงยหน้ามองคนตัวสูงที่กำลังก้มมองผมอยู่เช่นกัน ก่อนที่ริมฝีปากคู่นั้นจะคลี่ยิ้มเล็กๆ มาให้ผม แต่นั่นกลับเรียกรอยยิ้มกว้างให้กับผมได้ไม่ยากเลย

   เราสองคนค้างอยู่ท่านั้น จนดิวต้องบอกให้เปลี่ยนท่า เก็ทจึงเดินมายืนซ้อนหลังผม เล่นเอาผมมองตามแบบงงๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะจับหน้าผมให้หันไปมองกล้อง แล้วใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างดึงแก้มผมให้ยกขึ้นเบาๆ ก่อนที่เก็ทจะโน้มลงมากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างแผ่วเบา

   “ยิ้มเข้าไว้...”

   นิ้วที่ยกช่วงแก้มผมขึ้นนั้น กำลังคืนรอยยิ้มให้ผมอีกครั้ง น้ำเสียงที่อบอุ่นเมื่อครู่ ดึงพลังให้กับตัวผม ให้รู้ว่าผมยังคงยิ้มได้ และยิ้มอย่างสุขใจได้เสมอเพราะผมรู้ว่าคนๆ นี้ยังคงยืนข้างๆ ผมเสมอ ไม่ทิ้งไปไหน

   แล้วก็จบการถ่ายรูปของผมกับเก็ท ด้วยการที่เจ้าตัวก็บอกให้หยุดด้วยหน้าตายๆ ต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ ก่อนจะผลักหัวผมเบาๆ ผมเบ้ปากใส่เล็กน้อยก่อนจะยกขาเตะก้นของเก็ทด้วยความหมั่นไส้

   จากนั้นผมกับเก็ทก็มานั่งมองโดนัทกับไวน์ถ่ายรูปด้วยท่าทางที่ฮาสุดติ่งโดยมีทาร์ตเป็นตากล้อง ไม่รู้แต่ละคนคิดท่าโพสต์มาได้ไง ทาร์ตเองก็ช่วยคิดมุมแปลกๆ ให้อีกต่างหาก มีอยู่รูปหนึ่งไวน์ไปนั่งบนแกลลอนน้ำมันหรืออะไรสักอย่าง แล้วมัดเสื้อให้เห็นสะดือ มันให้คำชื่อคอนเซ็ปต์ว่า ‘พริตตี้น้ำมันเรือ’ เล่นเอาฮาแตกกันทุกคนเลยครับ ทาร์ตหลังจากที่ถ่ายรูปให้ไวน์กับกับพี่สาวมันเสร็จ ก็ถ่ายเก็บบรรยายกาศโดยรอบสักพักก็มายืนพิงรถข้างๆ ผมโดยมีเก็ทยืนอยู่อีกฝั่ง

   “ผมเห็นพี่มีความสุข ยิ้มได้เต็มที่แบบนี้ผมก็ดีใจนะ” ทาร์ตพูดขึ้นพร้อมกับหันมามองหน้าผมด้วยริมฝีปากที่เผยยิ้มบางๆ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความจริงใจจากดวงตาทอประกายคู่นั้น

   “ขอบใจนะที่เป็นห่วงพี่ตลอดเลย” ผมหันไปมองเจ้าของเหล็กดัดฟันสีสดใสด้วยรอยยิ้ม

   “ผมเป็นห่วงพี่เสมอแหละ” ทาร์ตหันมายักคิ้วให้ผมพลางยิ้มมุมปากอย่างกวนๆ “เป็นไงพี่ดูดีม่ะ”

   “หล่อมากเลย หล่อสุดๆ” ผมว่าพร้อมกับผลักหัวมันเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว

   “หึหึ” เสียงเก็ทหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ทำให้ผมหันไปมองด้วยความฉงน หัวเราะบ้าไร หันไปมองแล้วยังจะทำเป็นลอยหน้าลอยตาใส่อีก

   หลังจากนั้นเราก็กลับมายังบ้านพักครับ เวลาก็ผ่านไปประมาณชั่วโมงได้ กลับมาถึงพวกผมก็ล้างเนื้อล้างตัวกันนิดหน่อยเพราะรู้สึกเหนียวตัวจากลมทะเล ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน เก็บแรงไว้ต่อวันพรุ่งนี้ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะตื่นกันกี่โมง เราแยกห้องนอนกันแบบชายหญิงครับ และผู้ชายนอนในห้องที่เล็กกว่า ทำให้การนอนกันห้าคนในห้องที่มีสองเตียงนั้นต้องเบียดหน่อย ไวน์ที่(แอ๊บ)เมานี่เกาะดิวติดอย่างกับเป็นแฟนกันเลยครับ ซึ่งมันก็นอนด้วยกัน (แถมกอดกันอีกต่างหาก) ครองเตียงหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังดีที่มันนอนกอดกันเลยทำให้เหลือที่ว่างที่ผมจะพอแทรกตัวได้ แต่ทาร์ตดันเสนอตัวนอนตรงนั้นแทนครับ เพื่อให้ผมนอนสบายๆ เออ แล้วแต่มึงล่ะกัน อยากลำบากก็ตามใจ

   สุดท้ายผมก็เตียงเดียวกับเก็ทครับ แต่เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยง่วงเท่าไรเลย ตอนนี้ในหัวผมกลับคิดขึ้นมาว่าปาร์คจะโทรมาหรือเปล่า และถ้าโทรมาแล้วผมปิดเครื่องแบบนี้ปาร์คจะทำยังไง จะเป็นห่วงไหม จะโกรธผมหรือเปล่า จะรู้สึกอะไรไหมที่ผมหายไปโดยไม่บอกอะไรเลยแบบนี้ ทั้งที่ผมพยายามไม่คิดเรื่องนี้แถมยังลืมเรื่องที่คิดมากไปหมดแล้วตลอดทั้งวัน แต่มันกลับมาปั่นป่วนผมในเวลานอนนี่ซะอีก

   ผมพยายามข่มตาให้หลับอยู่นานสองนาน จนรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง ท้ายที่สุดผมก็ทนไม่ไหวจนค่อยๆ ย่องออกจากห้องอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่นออกไปสูดอากาศที่ระเบียง เผื่อมันจะทำให้จิตใจผมสงบลงได้บ้าง

   “ออกมาอยู่ที่นี่เอง ไม่หนาวหรือไงออกมายืนอยู่แบบนี้...” เสียงของใครบางคนดังขึ้นที่ด้านหลังของผม


à suivre...

มาแบบบรรยากาศของการอยู่กับเพื่อน ชิวๆ แต่ก็แอบเขินกับการกระทำของเก็ทนะ อิอิ

"ยิ้มเข้าไว้" โอ้ยยย เป็นใครก็ยิ้มออก 555555+

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ถ้าถามคนแต่งว่า ไม่มีฉากเก็ทโชว์รูปร่างขโมยความเท่และหัวใจเหล่าคนอ่านบ้างเหรอ... จะโดนติเตียนว่าหื่นไปไหมเนี่ยครับ (หัวเราะ)

จริงๆครับคุณคาเมนลิออน อิจฉาชัญญ่ามาก ทำบุญด้วยอะไร จะไปทำบ้าง (หัวเราะ) ขรึมๆ เท่สุดๆอะ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
จะพูด จะบอกยังไง
ถึงจะลืมมันไปให้หมดจริงๆ

ทำไมรักแล้วต้องเจ็บปวด
ฟรองก์เป็นมาโซ เหรอ
ถึงไม่รู้จุดสิ้นสุดของความเจ็บปวดจากมันซะที

เห๊อะ..คนอย่างมัน แค่เป็นคนรู้จักกัน ยังดีเกินไปเลย
สันดานคนเห็นแก่ตัว ใครอยากคบก็คบไป
แต่ถ้าเป็นตรู..เลิกคบเลิกรู้จักกัน กับมันไปตั้งนานแล้ว

คนแบบนี้..ไม่มีค่าพอว่ะ
ที่ผ่านมา มันก็นานเกินไป

เกลียดเมิง..ไอ่ปาร์ค

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
น่าสงสารปนใจแข็ง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด