Chapitre 30
ไชโย!!! สอบเสร็จสักที! ผมเพิ่งเคลียร์ข้อสอบวิชาฝรั่งเศสเสร็จเป็นวิชาสุดท้าย ซึ่งนัดสอบนอกตารางวันเสาร์หลังจบสัปดาห์การสอบทั้งสองสัปดาห์ และเป็นตัวที่ทำเอาผมเครียดและปวดหัวมากที่สุด ทั้งอ่านเยอะ จำแกรมม่าร์ก็เยอะ แถมอาจารย์ยังออกข้อสอบได้พลิกแพลงต้องงัดความเข้าใจโดยรวมมาใช้ในโจทย์ข้อเดียวอีก เล่นเอาความรู้ที่มี (อย่างน้อยนิด) ของผมตีกันยุ่งเหยิงไปหมดเลย นี่ปวดหัวมากเลยครับ ทั้งๆ ที่ออกจากห้องสอบมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังยืนถกเถียงเรื่องข้อสอบกับเพื่อนอยู่ เพื่อนในกลุ่มผมมีแค่ผม เก็ท แล้วก็โดนัทครับที่เรียนฝรั่งเศส นอกนั้นก็เลือกภาษาที่ 3 อื่นๆ เป็นตัวเลือกแยกๆ กันไป
แต่ผมว่าพอแล้วแหละครับ ยิ่งพูดถึงตัวข้อสอบไป ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่มากขึ้นเท่านั้น เมื่อมานั่งคุยกับเพื่อนๆ บางคนกลับตอบไม่เหมือนกับผม บางทีหันไปถามเก็ทที่นั่งฟังเงียบๆ เก็ทก็ตอบมาแค่ว่า ตอบเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แล้วเอาผมหัวใจหล่นวูบเลย คะแนนผมจะเหลือเท่าไรวะเนี่ย ดีหน่อยที่ข้อสอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด แล้วมันต้องแต่งประโยคขึ้นมาเอง จะมีแค่บางพาร์ทที่ให้เลือกเติม verbe (คำกริยา) ได้ตามใจชอบ แบบไม่มีช้อยส์ ไม่มีตัวเลือกใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือต้องมีคลังศัพท์อยู่ในหัวพอสมควรอ่ะ
ติ๊ด! ติ๊ด!
เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นขัดกับเสียงของโดนัทที่นั่งจ้อเรื่องข้อสอบกับเพื่อนในสาขาอีกคนอย่างออกรสชาติ ผมกลายเป็นฝ่ายนั่งฟังแล้วครับ รู้สึกว่าตัวเองตอบอะไรไปก็ผิดหมดเลย นี่ถ้าใจไม่รักผมคงไม่เรียนจริงๆ นะฝรั่งเศสเนี่ย
หน้าจอโชว์ชื่อของน้องชายผู้ที่พูดปากไม่หยุดขยับนั่นเอง เป็นทาร์ตแหละครับที่บอกผมว่าจะโทรหาหลังสอบเสร็จ ซึ่งเป็นปกติทุกวันแล้วที่ทาร์ตจะโทรมาคุยกับผม ทั้งที่ก็เจอกันที่มอทุกวันนะ แต่ตกดึกก็โทรมาอีกแล้ว แถมยังมักจะหยอดคำหวานให้กับผมเรื่อยๆ ส่วนผมก็เริ่มเปิดใจนิดๆ แล้วแหละครับ จริงๆ จะว่าเปิดใจก็คงไม่ถูกซะทีเดียว ในเมื่อผมไม่ได้คิดจะปิดกั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เลยทำให้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นระหว่างผมกับปาร์ค ทาร์ตก็เข้ามามีส่วนในชีวิตผมมากขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีนะ เพราะมันสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผมมากขึ้นเช่นกัน
“ว่าไง” ผมกรอกเสียงหลังจากกดรับอย่างเคยชิน ทำให้เก็ทที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบตามามองเล็กน้อย
[สอบเป็นไงบ้างพี่ สบายๆ เลยป่ะ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงไม่แพ้กัน
“สบายบ้าไรล่ะ นี่นั่งคุยกันเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ถูกเลย” ผมทำเสียงอ่อย คิดแล้วก็เครียด จะต้องดร๊อปไหมวะเนี่ยกู
[โห้พี่ ผมเห็นพี่อ่านเยอะขนาดนั้น ยังบอกว่าทำไม่ได้อีกเหรอ นี่ถ้าผมไปเรียนด้วย คงแปลโจทย์ไม่ออก แล้วส่งกระดาษเปล่าเลยแหละ]
“มันต้องเอาทุกอย่างที่เรียนๆ มารวบยอดมากกว่า มันไม่ใช่สักแต่อ่าน จำแล้วไปทำข้อสอบอ่ะ แต่มันต้องเข้าใจ วิเคราะห์เป็นไรงี้อ่ะ เลยแบบมันไม่ค่อยจะได้”
[เอาหน่าพี่ มันผ่านไปแล้ว พี่ก็ทำเต็มที่แล้ว ผมเชื่อ! ผลสอบต้องออกมาดีแน่นอน เห็นพี่ตั้งใจซะขนาดนั้น] ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอย่างเป็นกำลังใจ ผมนึกสีหน้าออกเลย สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ โลกรอบข้างก็ดูสดใสเสมอ
“คงงั้นมั้ง” เสียงผมยังดูแผ่วๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยากอ้อนให้คนปลายสายปลอบอย่างไรไม่รู้อ่ะ
[อย่าเศร้าไปเลยพี่ เอางี้ พรุ่งนี้ผมพาไปเลี้ยง ทั้งกินข้าว ดูหนังเลย ถือว่าฉลองที่สอบเสร็จด้วย ดีไหมๆ]
“หึหึ พูดเองนะ เดี๋ยวพ่อจะเล่นให้หมดตัวเลย” ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดด้วยเสียงเหี้ยม ในเมื่อมีคนเสนอมา ฟร๊องก์คนนี้ก็พร้อมสนองให้สมใจเลยครับ งานสบายกระเป๋าตังค์แบบนี้ชอบอยู่แล้ว ฮ่าๆ
[ไม่มีปัญหาเลยครับผม! สำหรับพี่ฟร๊องก์ จะแค่ไหนผมก็ดูแลไหวอยู่แล้ว!]
“จะกลับเลยไหม” จู่ๆ เก็ทก็โพล่งขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมก้มลงมาถามผมหน้านิ่ง
“กลับดิๆ เออทาร์ต แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวไลน์มาบอกก็ได้ว่าที่ไหน กี่โมง” ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นยืนตามทันที ก่อนจะบอกปลายสายว่าจะวางแล้ว ส่วนรายละเอียดให้ไลน์คุยกันเอา ผมกับโดนัทวิ่งตามอย่างงงๆ เมื่อเก็ทเดินด้วยฝีก้าวยาวๆ ตามช่วงขาลงจากตึกไปแล้ว
[โอเคพี่ เดี๋ยวคุยกันในไลน์ก็ได้] ทาร์ตว่าก่อนที่ผมจะกดวางสายไป
หลังจากส่งโดนัทที่คอนโดฯ เสร็จ ภายในรถก็ยังคงเงียบอยู่ จริงๆ เก็ทเงียบมากๆ ตั้งแต่ที่เดินลงมาจากตึกแล้วแหละครับ ผมกับโดนัทเองก็งงๆ ว่าเป็นอะไร เพราะเห็นคุยเรื่องข้อสอบกันก็ยังยิ้มๆ อยู่
“เป็นไรเนี่ย อย่าบอกนะเงียบๆ แบบนี้เพราะทำข้อสอบไม่ได้หลายข้อ” เปิดปากแซวทันทีเพื่อหวังว่ามันจะช่วยดึงบรรยากาศที่น่ากดดันนี้ให้ผ่อนคลายขึ้นได้
“เปล่า” เก็ทตอบสั้นๆ สายตายังคงมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ
“แหนะๆ ยอมรับมาซะดีๆ ว่าทำผิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถึงว่าสินั่งฟังเงียบเลย ฮ่าๆ” ผมยังคงไม่หยุดเอ่ยปากแซว
“สรุปว่าคบกันแล้วเหรอ”
“หืม... หมายถึงอะไร” เสียงหัวเราะก่อนหน้าต้องสิ้นสุดลงทันทีที่เก็ทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ว่ากำลังอยู่ในโหมดไหน
“คบกับทาร์ตแล้วเหรอ” เก็ทหันมาสบตากับผมด้วยสายตาเรียบเฉยเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองท้องถนนเบื้องหน้าเช่นเดิม
“ก็... ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่ก็คุยๆ กันอยู่อ่ะ น้องมันก็ตลกดี คุยด้วยแล้วรู้สึกไม่เกร็ง สบายๆ ไม่กดดัน ฟร๊องก์ไม่อยากรีบแล้วล่ะ ค่อยๆ เรียนรู้กันไปดีกว่า” ผมตอบยิ้มๆ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มที่ฉายแววสดใสจากริมฝีปากคู่นั้น ไหนจะเหล็กดัดฟันสีหวานที่เสริมเข้ามาช่วยให้รอยยิ้มนั้นน่ามองมากขึ้นอีก ก่อนจะหันกลับไปมองทางด้านหน้าเช่นเดียวกับอีกคน
“อืม ถ้าเป็นอย่างงั้นก็ดีแล้ว แต่ก็ดูให้ดีๆ ก่อนแล้วกัน อย่ารีบร้อนเกินไป” ผมหันไปยิ้มให้เก็ทอีกครั้ง ไม่แปลกใจหรอกครับที่มันพูดแบบนั้น เพราะผมรู้ดีว่ามันเป็นห่วงและหวังดีกับผมในแบบเพื่อนเหมือนทุกครั้งที่เคยเป็น อีกอย่างเก็ทก็รู้มาตลอดว่าความรักที่ผ่านของผม ผมต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน จึงไม่แปลกหรอกที่มันจะเตือนผมแบบนั้น
“อืม ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แหละ ขอบใจนะ”
ถ้าวันนี้ผมไม่เหลือใครจริงๆ ขอแค่มีเพียงเพื่อนคนนี้ผมก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว...
**********__________**********
หลังจากเมื่อวานที่แยกกับเก็ทไป ช่วงกลางคืนทาร์ตก็ไลน์มาบอกว่าพรุ่งนี้จะนั่งแท็กซี่มารับผมที่หอ แล้วชวนผมไปไหว้พระที่วัดพระแก้วกันก่อน เพราะมันบอกว่ามันอยากไปมานานแล้ว ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ยังไม่เคยได้แวะไปเลย ผมก็เห็นว่าดีเหมือนกัน ไปไหว้พระทำบุญซะบ้าง เผื่ออะไรๆ ในชีวิตผมจะดีขึ้นบ้าง แล้วหลังจากนั้นค่อยไปดูหนังกินข้าวตามโปรแกรมของคนเลี้ยง ฮ่าๆ
แน่นอนว่าจะไปเดินเที่ยวในวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังตามที่ทาร์ตชวนก็ต้องออกเช้ากว่าปกติหน่อย ถ้าไปช้ามันก็จะกินเวลานานด้วย แถมแดดยังแรงอีกต่างหาก ร้อนตายเลย ผมเลยบอกเวลาทาร์ตให้มาหาผมที่หอตั้งแต่เก้าโมงเช้า ตอนนี้ก็เกือบได้เวลานัดแล้ว ผมจึงลงไปนั่งรอที่เก้าอี้ใต้หอ
นั่งจิ้มหน้าจอไอโฟนอยู่ไม่นานแท็กซี่สีชมพูก็มาจอดที่หน้าหอของผม ก่อนที่ทาร์ตจะเปิดประตูลงมาโบกมือทักทายผมพร้อมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้าง จะว่าไปวันนี้มันดูดีเหมือนกันนะเนี่ย
ทาร์ตที่ยืนยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันนั้นอยู่ในชุดสบายๆ แต่ก็ดูลงตัว ไม่มากไม่น้อยเกินไป มันสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาว แต่ถูกพักแขนขึ้นลวกๆ ไม่เรียบร้อยมากนักไว้ที่บริเวณข้อศอก พร้อมปล่อยชายเสื้อทับขอบกางเกงยีนส์ทรงเดฟสีทึบ ทุกอย่างเข้ากันอย่างลงตัวกับรองเท้าผ้าใบ Converse สีขาวเรียบๆ มีเส้นขลิบดำเล็กๆ ที่ขอบยางของรองเท้า ที่ข้อมือข้างที่กำลังโบกให้ผมนั้นมีเพียงนาฬิกา G-Shock สีดำเท่านั้น ไม่มากตามสไตล์ less is more จริงๆ
ส่วนผมก็เลือกสไตล์การแต่งตัวของวันนี้ไม่ผิด ผมใส่แค่เสื้อยืดสบายๆ ลายขวางสีขาวสลับดำไว้ด้านใน แล้วสวมทับด้วยแจ็กเก็ตยีนส์สีซีดพับแขนนิดหน่อย กับกางเกงยีนส์ขาเดฟเช่นกันแต่สีอ่อนกว่าของทาร์ตและมีรอยขาดแบบเท่ๆ พร้อมรองเท้าผ้าใบแบบหุ้มข้อสีขาวยี่ห้อเดียวกัน ที่ข้อมือผมเองก็มีเพียงนาฬิกาสไตล์วินเทจสายผ้าสีดำไม่มียี่ห้อที่ซื้อมาเก็บไว้จากเจเจ ที่หลังผมมีกระเป๋าเป้สีขาวสกรีนลายมิกกี้เม้าส์น่ารักๆ อีกใบครับ ขนาดไม่ใหญ่เท่าไรนัก ปกติผมไม่ค่อยจะหยิบมาใช้เท่าไรนะ เพราะรู้สึกว่ามันแบ๊วไปหน่อย แต่วันนี้เกิดอยากใช้ขึ้นมา แถมเอามามิกซ์กับชุดนี้ก็ดูน่ารักดี(มั้ง)
“กระเป๋าพี่น่ารักดีว่ะ แต่ตัวคนสะพายน่ารักกว่าเยอะ” ทาร์ตเอ่ยปากชมก่อนจะตบมุกเลี่ยนๆ ทันทีที่ผมเดินไปขึ้นรถ ในรถมีกระเป๋าผ้าสีดำสกรีนตัวหนังสือสีขาวเรียบๆ ของทาร์ตวางอยู่ เออนี่ถ้าแท็กซี่ชิ่งขับหนีไปตอนที่มันลงจากรถมาเรียกผมจะสมน้ำหน้าให้ ก็เล่นวางทิ้งไว้แบบนี้ แต่ช่างเหอะตอนนี้ผมหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดของทาร์ตเมื่อสักครู่มากกว่า
“พูดมากจริง! ว่าแต่เตรียมตัว เตรียมตังค์มาดีแล้วใช่ไหม วันนี้จะผลาญให้เรียบเลย!” ผมพูดด้วยท่าทางทะเล้นเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเอง
“สำหรับพี่ผมยกให้หมดเลย ให้ได้มากกว่าเงินอีก” ทาร์ตเดาะลิ้นพร้อมขยิบตาข้างหนึ่งให้ผมอย่างกวนประสาท
สิ้นเสียงมัน ผมจัดการประเคนฝ่ามือลงบนหัวมันเน้นๆ ให้ดอกหนึ่ง ก่อนที่ตัวเองจะเสมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่ามันมีวิวสวยๆ ให้ดู ทั้งที่มีแต่ตึกกับรถวิ่งสวนไปมา แต่ก็ยังดีกว่ามองหน้าทาร์ตมันล่ะวะ ไอ้ห่านี่ก็ขยันทำให้หัวใจกูเต้นแรงซะจริงๆ ชักจะหยอดมากเกินไปจนใจกูสั่นไหวแล้วนะ!
ใช้เวลาพอสมควรกว่าที่รถแท็กซี่จะพาพวกผมมาถึงด้านหน้าซุ้มประตูทางเข้าของวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วแบบที่เรียกกันง่ายๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนการนัดออกมาตั้งแต่ช่วงสายจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไรเลย เพราะเมื่อก้าวลงจากรถแท็กซี่มา ไอร้อนจากแดดก็เข้าปะทะกับใบหน้าและผิวกายทันที แสงแดดช่วงประมาณสิบโมงก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของมันแล้ว ร้อนฉิบหายเลย! แต่เอ๊ะ! หรือว่าผมจะร้อนเพราะเข้าวัดกันแน่วะ!?!
เมื่อเข้ามาภายในเขตของพระบรมมหาราชวัง ผมกับทาร์ตก็พากันเดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังเดินตามกันเป็นแถวๆ พร้อมทั้งส่งเสียงเอะอะโวยวายล้งเล้งๆ ราวกับว่ากำลังด่ากันอยู่มากกว่าพูดคุยกันธรรมดาก็ไม่ปาน ผมแอบเรียกกรุ๊ปทัวร์คนจีนแบบนี้ว่า ‘ทัวร์ลูกเป็ด’ ทำไมน่ะเหรอ ก็มันดูเหมือนพวกลูกเป็ดกำลังเดินตามแม่เป็ด (ไกด์) ที่กำลังถือธงเดินนำเป็นแถวๆ เห็นแล้วนึกถึงแบบนั้นก็เลยเป็นฉายาใช้เรียกแบบขำๆ
เราสองคนเดินตามมาจนถึงจุดเก็บเงิน จึงแยกไปเข้าทางช่องคนไทยที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม เมื่อเข้ามายังด้านในของตัววัด ทาร์ตก็มองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ไม่แปลกใจหรอกครับสำหรับคนที่เพิ่งเคยมาที่นี่ครับแรก เพราะทุกอย่างมันถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างงดงามและประณีตมากจริงๆ ขนาดคนที่มาแล้วหลายครั้งอย่างผมยังคงชอบอยู่เสมอเลย ไม่ต้องพูดถึงชาวต่างชาติที่แวะเวียนมาเที่ยวชมเลยครับว่าจะประทับใจมากแค่ไหน เพราะที่บ้านเมืองของเขาคงไม่มีอะไรที่วิจิตรบรรจงและอ่อนช้อยแบบบ้านเรา ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สร้างความประทับใจให้คนมากมาย
“โคตรสวยเลยพี่! เสียดายไม่ได้เอากล้องมา” ทาร์ตว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ก็ต้องกลับหงอยลงด้วยความเสียดาย ตอนนี้เรากำลังเดินดูรอบๆ บริเวณวัดครับ ยังไม่ได้เข้าไปกราบองค์พระแก้วมรกต
“ใช้กล้องไอโฟนถ่ายไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวไว้ถ้าจะถ่ายรูป จะพามาใหม่” ผมยิ้มให้กับคนที่เดินอยู่ข้างๆ ที่กำลังแสดงออกถึงสีหน้าเสียดายเต็มประดาที่ไม่ได้ติดกล้องคู่กายมาด้วย
“จริงเหรอพี่! งั้นไว้พาผมมาอีกนะ!” ทาร์ตหันมาพูดกับผมด้วยความดีใจ พลางยิ้มด้วยสายตาทอประกายแห่งความหวังทันทีที่สิ้นเสียงชวนของผม
“จริงดิ อยู่แค่นี้เอง”
“พี่ฟร๊องก์น่ารักที่สุด! ไหนขอกอดหน่อยสิ” ทาร์ตทำท่าทางดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นที่ต้องการ ก่อนที่ตัวผมจะปลิวไปตามแรงโอบเบาๆ ของคนที่กำลังกระโดดโล้ดเต้นอยู่นั้นอย่างเนียนๆ
“นี่! ปล่อยเลย! ไม่ต้องมาเนียน นี่เขตวัดวานะ เดี๋ยวจะโดน!” ผมหันไปโบกหัวมันอีกครั้งของวัน จนทาร์ตต้องยอมปล่อยผมออกจากอ้อมแขนนั้น ก่อนจะยกมือลูบหัวที่โดนผมตบปอยๆ
“ไม่เดี๋ยวแล้วมั้งพี่ เต็มๆ หัวผมขนาดนี้ คืนนี้ผมจะฉี่รดที่นอนเปล่าเนียน โดนพี่ตบกระหน่ำแบบนี้” ทาร์ตทำหน้ามู่พลางบ่นอุบอิบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แต่ผมว่ามันดูตอแหลมากกว่าน่าสงสาร! “ขอกอดนิดกอดหน่อยก็ไม่ให้ ใจร้ายชะมัด!”
“ว่าไงนะ!” ผมง้างมือขึ้นหมายจะซ้ำที่เดิมอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ตามหลังมา อย่าให้รู้ว่าแอบด่ากันลับหลังนะ จะโบกให้หัวหลุดเลย!!
“เปล่าคร้าบบบ” ทาร์ตส่ายหน้ารัวๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้แต่โดยดี ผมถึงกับหัวเราะกับท่าทางติ๊งต๊องของมันเลยครับ
แล้วเราสองคนก็เพลิดเพลินกับการชมสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าและสง่างามสมเป็นสมบัติของชาติ ทาร์ตยังคงดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวมากๆ ใช้เวลาหยุดดูรายละเอียดแต่ละจุดที่สำคัญๆ นานพอสมควรเลยทีเดียว โดยเฉพาะตรงแบบจำลองนครวัด ของประเทศกัมพูชา ทาร์ตถึงกับยืนเล่าให้ผมฟังคร่าวๆ เลยว่ามันไปมาแล้วเป็นอย่างไร สวยขนาดไหน แถมยังบอกอีกด้วยว่ามันกว้างใหญ่มากๆ จนใช้เวลาเดินทั้งวันก็ไม่ทั่ว ผมเองก็ใช้เวลาไม่แพ้กันเพราะเป็นคนชอบดูอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว เลยรู้สึกสนุกและมีความสุขเวลาเจอคนคอเดียวกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
ทาร์ตหยิบไอโฟนขึ้นมาเก็บภาพเป็นพักๆ แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ว่ายังคงเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องมาอยู่ดี แถมเรื่องความคมชัดของรู้ยังสู้กล้องโปรไม่ได้อีกต่างหาก ก็แหงล่ะสิ มันไม่ได้เกิดมาเพื่อถ่ายรูปโดยตรงนี่นา
“พี่รู้ไหม ตอนผมอยู่ที่ภูเก็ต ผมไม่ค่อยมีโอกาสมาเที่ยวอะไรแบบนี้เลย” ตอนนี้เรามาอยู่ที่ด้านหน้าของ
พระอุโบสถที่ภายในประดิษฐานพระคู่บ้านคู่เมืองอย่างพระแก้วมรกตไว้
“ทำไมอ่ะ” ผมหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ
“ก็ไม่เคยมีใครชวนผมไปเที่ยววัด หรืออะไรทำนองนี้เลย ส่วนใหญ่ไม่ไปห้าง ก็ไปเที่ยวอะไรที่สบายๆ ไม่ร้อนอ่ะ”
“แล้วมาเที่ยวแบบนี้ชอบไหมล่ะ”
“ชอบดิพี่ ยิ่งได้มากับพี่ด้วย จะให้ไปที่ไหนผมก็ชอบทั้งนั้น”
“ขออ้วกได้ไหม ฮาๆ” ผมเบ้ปากใส่เล็กน้อยด้วยความหมั่นไส้
“พี่ฟร๊องก์ ถ่ายรูปกัน” ก่อนที่ทาร์ตจะสะกิดไหล่ผมให้หันไปถ่ายรูปด้วย
“เอาดิ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มสดใส ตั้งแต่มาถึงผมเองก็ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลย เอาแต่ดูอย่างเดียว
ทาร์ตเดินมายืนซ้อนที่ด้านหลังของผมตรงช่องบานหน้าต่างที่มองเข้าไปด้านในจะเห็นองค์พระแก้วพอดี ก่อนที่จะเอื้อมมือที่ถือโทรศัพท์มือถือออกไปด้านหน้าของผมอีกที ตอนนี้ร่างกายของเราสองคนอยู่ใกล้กันมากจนได้ยินเสียงหัวใจของเราทั้งคู่ที่แข่งกันเต้นรัวราวกับกลองชุดที่ตีประกอบเพลงร็อคเร้าใจ
ใบหน้าทาร์ตยื่นเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น และจังหวะการหายใจถี่ๆ ที่รดรินอยู่ที่บริเวณข้างแก้มด้านขวาของผม มันยิ่งเพิ่มอุณหภูมิที่ใบหน้าผมให้สูงมากยิ่งขึ้น ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือทำให้ผมได้รู้แจ่มแจ้งว่าเราอยู่ใกล้กันมากขนาดไหน มันใกล้มากจนผมทำตัวไม่ถูก ภาพเมื่อตอนไปเที่ยวเกาะล้านเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากที่ผมแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ ต่างตรงที่ครั้งนี้ใบหน้าของทาร์ตอยู่ใกล้กับผมมากกว่าเดิม ผมทำได้แค่เพียงยืนตัวแข็งนิ่ง ก่อนที่สายตาจะเสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าจอโทรศัพท์
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีกว่าที่เสียงลั่นชัตเตอร์จะสิ้นสุดลง เท่าที่ผมรู้สึกคือทาร์ตกดถ่ายเอาไว้หลายรูปอยู่ แต่ผมไม่ได้มองกล้องเลยสักรูป ก็มันอายนี่หว่า เมื่อถ่ายเสร็จทาร์ตก็รีบเบี่ยงตัวออกห่างจากผมทันที คงเห็นท่าทางไม่ปกติของผมล่ะมั้ง แต่ถึงแม้การถ่ายรูปจะจบลงไปกว่านาทีแล้ว แต่หัวใจของผมยังไม่มีท่าทางว่าจะสงบลงเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นทาร์ตก็สะกิดผมให้เข้าไปไหว้พระด้านใน ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่ยืนนิ่งไปนาน เราทั้งคู่เข้ามานั่งกราบพระเพื่อสงบจิตและสงบหัวใจของตัวเองสักพัก ความรู้สึกก่อนหน้านี้มันกำลังบอกผมถึงการเริ่มต้นใหม่... หรือเปล่า
หลังจากที่ไหว้พระสงบจิตสงบใจกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกจากพระอุโบสถไปยังด้านในของตัวพระบรมมหาราชวัง เวลาสิบเอ็ดโมงเศษๆ แบบนี้เลยทำให้แดดเริ่มแผลงฤทธิ์มากยิ่งขึ้น จนผมจำต้องถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกเนื่องจากความร้อน เสื้อยืดด้านในของผมชุ่มเหงื่อทั่วทั้งแผ่นหลังเลย ทาร์ตเองก็ไม่ต่างกันเท่าไร แล้วยิ่งเป็นเสื้อเชิ้ตด้วยแล้ว เวลาเปียกหรือเหงื่อออกยิ่งเห็นชัดเข้าไปใหญ่
“พี่ฟร๊องก์ ผมขอลงรูปที่ถ่ายในเฟซนะ”
“อืม แต่เลือกรูปดีๆ นะมึง ห้ามแกล้ง!”
“รูปพี่น่ารักทุกรูปแหละ ผมเช็คแล้ว” ทาร์ตพูดยิ้มๆ ก่อนจะก้มหน้ากดโทรศัพท์อีกครั้ง แต่ไม่นานนักก็เงยขึ้นมาส่งยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันให้ผม
“ไหนดูดิว่าลงรูปไหนไป ถ้าไม่ดีเตรียมหัวโนไว้ได้เลย” ผมขู่เล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดโปรแกรมเฟซบุ๊กทันทีเพื่อเช็ครูปที่ทาร์ตเพิ่งเอาลงเมื่อกี้ ขณะที่เท้าของเราก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ในส่วนที่เขาเปิดให้เข้าชม
ผมลุ้นว่าจะได้ตบหัวไอ้ทาร์ตมันอีกครั้ง เมื่อโปรแกรมรันขึ้นมา ผมรีบกดดูที่แถบ notification แจ้งเตือนทันควัน แต่ผิดคาดเมื่อผมได้เห็นรูปดังกล่าวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ แทนที่ผมจะได้บ้องหัวทาร์ต แต่กลับเป็นผมที่หยุดนิ่งทุกอย่าง จะมีก็แค่หัวใจของผมที่เริ่มเต้นแรงขึ้นนั่นเอง
รูปที่ทาร์ตลงในเฟซบุ๊กและแท็กผมมาเป็นรูปที่ผมกำลังเสมองไปอย่างอีกฝั่ง (จริงๆ ผมก็มองแบบนั้นทุกรูปอ่ะ) ริมฝีปากผมเม้มเข้าหากันเล็กน้อย คงเป็นเพราะความเขิน แต่ผมกลับไม่รู้ตัวเลยว่าผมเม้มปากตอนไหน ส่วนใบหน้าทาร์ตเองก็อยู่ใกล้กับผมมากๆ เหมือนที่ผมเห็นในหน้าจอก่อนหน้าที่จะถ่าย เรียกได้ว่าแทบจะแนบชิดติดกันเลยด้วยซ้ำขณะที่สายตาเป็นประกายของทาร์ตเองก็หันมองมายังผม ทำให้มุมนี้ดูเหมือนทาร์ตกำลังหอมแก้มผมด้วยจมูกอยู่อย่างไรอย่างนั้น แถมที่ริมฝีปากนั่นยังเผยรอยยิ้มเล็กๆ แต่กลับดูสดใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอีกต่างหาก
สายตาของผมเลื่อนไปหยุดที่คำบรรยายใต้ภาพ ที่เจ้าตัวระบุสั้นๆ ว่า ‘ความสุขของผม’ ทิ้งท้ายไว้...
**********__________***********
กว่าเราจะออกจากวัดพระแก้วมาก็เป็นเวลาประมาณบ่ายโมง หลายคนอาจจะสงสัยว่าหลังจากที่ผมเปิดดูรูปเสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่พยายามควบคุมสติของตัวเองให้นิ่งมากที่สุด เสมอเหมือนว่าผมไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับรูปที่เห็น ซึ่งโคตรขัดกับหัวใจตัวเองที่มันเต้นโครมครามยิ่งกว่าจังหวะเร้กเก้จนยากจะควบคุม แถมใบหน้าก็ร้อนระอุจนแทบไหม้แข่งกับไอแดดร้อนๆ จากด้านนอกอีกต่างหาก ส่วนทาร์ตนะรึ เมื่อเห็นผมนิ่งไปรายนั้นก็ปฏิบัติการกวนและแซวทันที พอแซวเอามากๆ เลยจัดฝ่ามืออรหัตให้ไปเป็นของกำนัลอีกที โทษฐานที่กวนตีนดีนัก!
เราวนเวียนผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ตลบอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ผมฮาแตกมากตอนที่ทาร์ตมันไปยืนจ้องหน้าทหารที่ยืนเฝ้าเวรอยู่ แต่ไม่ได้ยืนจ้องเข้าทางด้านหน้านะ ไปจ้องเขาข้างๆ แต่ระยะนี่ใกล้ชิดมาก ถ้าเป็นผมคงรู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อย แต่พี่ทหารเขานิ่งมาก ผมที่รับหน้าที่ถ่ายรูปให้ก็ถ่ายไปหัวเราะไป รูปนี่สั่นไหวหมดเลย ไม่รู้จะมีรูปที่ใช้ได้หรือเปล่า ส่วนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็มองกันเป็นแถวๆ บ้างก็ตลกกับท่าทางนิ่งๆ ของทั้งคู่ บางคนก็งงๆ ว่าสองคนนี้มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า แต่เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณและขอโทษเขาด้วย
ก่อนที่จะออกจากที่นั่น ผมพาทาร์ตไปกินไอศกรีมที่ร้านอาหารร้านหนึ่งภายในนั้น เป็นร้านกระจกเล็กๆ ครับ อยู่ทางด้านขวามือถ้าหันหน้าเข้าพระบรมมหาราชวัง เดาว่าน่าจะเป็นร้านของพวกพนักงานที่ทำงานที่นั่น แต่พวกผมดันเสือกไปกัน ฮ่าๆ ก็เพื่อนผมมันเคยพามากิน แล้วติดใจ ไอติมมันอร่อยดี จากนั้นถึงโดยสารรถเมล์กลับเข้าไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อต่อรถไฟฟ้าบีทีเอสไปยังสยาม
ผมกับทาร์ตมาถึงสยามตอนบ่ายสองกว่าๆ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนหรือซีเรียสกับเวลาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เลยไม่ได้กังวลอะไรว่าจะต้องถึงที่ไหนๆ เวลากี่โมง เรื่องเวลาช่างมันเถอะ ตอนนี้หิวมากแล้วแหละครับ ได้เวลาที่เจ้ามือที่เสนอตัวของวันนี้จะต้องกระเป๋าแฟ่บแล้ว!
“หิวยังพี่” เมื่อพ้นประตูพารากอนมาไม่ไกล ทาร์ตก็เอ่ยถามขึ้น รู้เวลาดีชะมัด!
“กำลังจะบอกอยู่พอดีเลย งั้นให้เกียรติเจ้ามือของเราเลือกร้านได้ตามสบายเลย อยากกินอะไรก็จัดเลยครับผม”
“ฮ่าๆ ไอ้เราก็นึกว่าจะลืมไปแล้วซะอีก อุตส่าห์จะเนียนๆ ไปสักหน่อย อดเลย” ทาร์ตหัวเราะร่วนพลางบ่นผมอย่างทะเล้นๆ “พี่แหละอยากกินอะไร ผมกินได้หมดอยู่แล้ว”
“อืม... งั้นไปกินทูดาริล่ะกัน กินอาหารเกาหลีเป็นใช่ป่ะ” ในเมื่อเปิดช่องให้ผมเลือกเอง ผมก็ขอจัดในสิ่งที่ผมอยากกินแล้วกัน หนึ่งในร้านที่กินบ่อยและชอบมากที่สุดเวลามาที่นี่
“สบาย! ยิ่งกว่าอาหารเกาหลีผมก็กินได้” ทาร์ตตอบด้วยความมั่นใจพร้อมกับยิกคิ้วกวนๆ ให้ผม
“งั้นกินนี่ไหม!” ผมว่าก่อนจะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย ทำเอาทาร์ตหัวเราะออกมาเสียงดังเลย
ผมกับทาร์ตขึ้นลิฟต์แก้วไปยังชั้นสี่ทันทีที่ตกลงได้ว่าจะกินอะไร จากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังร้านที่เป็นเป้าหมายทันที ไม่ต้องบอกว่าหิวกันขนาดไหน เออ... จะว่าไปผมลืมนึกถึงแจ็กเก็ตไปเลย ยัดไว้ในกระเป๋านานแล้ว เดี๋ยวถึงร้านค่อยเอาออกมาใส่แล้วกัน เพราะตอนขึ้นไปดูหนังอาจจะหนาว
ไม่นานเราทั้งคู่ก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้าน ด้านในคนเต็มเลยอ่ะ พนักงานจึงมาจดลำดับเพื่อเรียกคิวทีหลัง ซึ่งผมได้เป็นคิวที่สอง แต่ในขณะที่ยืนรออยู่นั้น ผมก็รู้สึกเหมือนถูกใครจ้องมองอยู่จากภายในร้าน จนทำให้ผมต้องหันกลับไปมองตามความรู้สึก
และเมื่อผมมองเข้าไปภายในร้าน ผมก็ถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูกเมื่อสายตาของผมไปปะทะเข้ากับดวงตาคมสีนิลที่ดูขุ่นเคืองของอีกคน เป็นปาร์คที่นั่งกินอยู่ภายในร้านแต่สายตากลับจับจ้องมายังผมที่ยืนอยู่ข้างๆ ทาร์ต นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดอย่างชัดเจน แต่ก็กลับแฝงด้วยความผิดหวังและตัดพ้ออยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่ปาร์คมีสิทธิ์อะไรมองผมด้วยสายตาแบบนั้น ในเมื่อตัวเองก็มากับอีกคน คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคือผู้หญิงที่ชื่อเกลคนนั้น คนที่เขารักและคบหา
“พี่ฟร๊องก์ เราเปลี่ยนร้านกันก็ได้นะพี่” ทาร์ตเอื้อมมือมาแตะไหล่ทำท่าเหมือนกำลังโอบผมอยู่ได้ดึงให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความคิด ทันทีที่ฝามือของทาร์ตแตะลงบนหัวไหล่มนของผมนั้น ปาร์คมีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อยแต่ต้องวางมาดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรในเมื่อตัวเองอยู่กับแฟน คงทำอะไรมากไม่ได้ แต่ช่างเถอะเพราะผมเบนสายตาของตัวเองให้เลิกสนใจคนที่ผม ‘บังเอิญเจอ’ นั่นมาที่ทาร์ตแล้ว
“ไม่ต้องหรอกทาร์ต พี่ไม่ได้เป็นอะไร” ผมพูดด้วยรอยยิ้มที่พยายามแสดงออกมาเพื่อให้ตัวเองดูเข้มแข็ง แต่ข้างในผมกลับรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นภาพของสองคนนั้น
ไม่แปลกหรอกที่เขาสองคนจะมาด้วยกัน ในเมื่อเขาทั้งคู่เป็นแฟนกัน การไปเที่ยว ไปกินข้าว หรือไปไหนมาไหนด้วยกันย่อมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เวลาที่ปาร์คมาตามเทียวไล้เทียวขื่อง้องอนผมนั้นมันคงเป็นแค่เวลาว่างๆ ที่เหลือจากเวลาหลักๆ ที่มอบให้ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น แค่เพียงเศษเสี้ยวเวลาที่ไร้ค่าของอีกคนที่ปาร์คปันมันมาให้กับผม
ผมตัดสินใจไม่ย้ายร้าน เพราะไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่ผมจะต้องหนี ถ้าผมหนีก็หมายความว่าผมจะต้องหนีตลอดไป อีกอย่างปาร์คอาจจะคิดว่าผมยังคงทำใจไม่ได้ และตัดใจจากปาร์คไม่ได้จนต้องหนีหน้า แล้วจะดึงเอาข้ออ้างนี้มาใช้ทำร้ายผมอีก ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด จะได้พิสูจน์ตัวเองด้วยว่าผมสามารถตัดใจได้แล้ว และแสดงให้อีกฝ่ายเห็นด้วยว่าผมไม่ได้เป็นและไม่รู้สึกอะไร ผมจะไม่ยอมแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่าผมอ่อนแอ ไม่ว่าจะต้องฝืนใจและ... ทรมานตัวเองแค่ไหนก็ตาม
à suivre...
จะงงไหม ที่เอาฉาก NC มาแทรกไว้ก่อนหน้า
ลองลำดับเหตุการณ์ดูนะ 555+
ตอนนี้เป็นความมุ้งมิ้งของทาร์ตกับฟร๊องก์
แต่... กลับมีมารมาผจญ มารที่ทุกคนรักกกก 555555+
แถมยังเป็นการเจอกันของฟร๊องก์กับเกลอีก
ตอนหน้าจะเป็นยังไงหนอออ หุหุ