from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]  (อ่าน 35727 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตัดใจแล้วเปลี่ยนมาดูคนข้างๆ แท้ไม่ดีกว่าหรือฟร็อกซ์

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 25 [16/6/2017]
«ตอบ #91 เมื่อ16-06-2017 20:23:33 »

Chapitre 25

   “ออกมาอยู่ที่นี่เอง ไม่หนาวหรือไงออกมายืนอยู่แบบนี้...” หลังจากที่ผมออกมายืนสูดอากาศที่ระเบียงไม่นาน เสียงทุ้มก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของผม

   “เก็ท...” ผมหันกลับไปมองที่ต้นเสียงก่อนจะเอ่ยทักอย่างแผ่วเบา เก็ทปิดประตูบานเลื่อนกระจกนั้นก่อนจะเดินมายืนข้างๆ ผม สายตามองทอดยาวออกไปยังทะเลที่มืดมิดเบื้องหน้า

   “คิดถึงเขา ทำไมไม่โทรไปหาเขาหล่ะ” หลังจากเงียบกันอยู่สักพัก เก็ทกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังเมื่อไหร่ยังคงอบอุ่นสำหรับผมเสมอ

   “ฟะ... ฟร๊องก์ไม่ได้คิดถึง” ผมตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก ผมจะมีสิทธิ์อะไรที่จะไปคิดถึงคนที่ไม่ใช่ของผม

   “ไม่คิดถึงแล้วจะมายืนตากน้ำค้างคิดมากอยู่นี่ทำไม”

   “กะ... ก็...” ผมไม่สามารถเถียงในสิ่งที่เก็ทพูดได้ สิ่งที่เก็ทพูดออกมานั่นเหมือนมันมองเข้าไปในความรู้สึกของผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “ฟร๊องก์แค่อยากรู้ว่าถ้าฟร๊องก์หายไปแบบนี้เขาจะคิดถึงฟร๊องก์บ้างหรือเปล่า... ฮึก ฟร๊องก์แค่อยากรู้ ฮือ...” ในที่สุดน้ำตาผมก็ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้

   “แล้วมันพิสูจน์อะไรได้ไหมล่ะ นอกจากจะมานั่งเป็นทุกข์อยู่คนเดียว” เก็ทหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดพลางลูบเส้นผมอย่างแผ่วเบา

   “ทำไมปาร์คต้องทำแบบนี้กับฟร๊องก์ล่ะ ทั้งที่ปาร์คก็มีแฟนอยู่แล้ว ฮือ... ทำไมต้องมาให้ความหวังฟร๊องก์ด้วย ทำไม... ฮึก! ทำไมต้องทำให้ฟร๊องก์คิดมากด้วย” ผมปล่อยโฮเต็มที่ตรงแผงอกอันแข็งแกร่งของเก็ท พลางระบายสิ่งที่สงสัยและอัดอั้นอยู่ในใจให้เก็ทรับรู้

   “ไม่ต้องหาเหตุผลจากเขาหรอก แต่หาเหตุผลที่ตัวฟร๊องก์เองดีกว่า ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว ฟร๊องก์จะทนเจ็บ ทนทรมานตัวเองต่อไปเพื่ออะไรกัน” น้ำเสียงปลอบโยนพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาผ่านเส้นผมของผมนั้นยังคงไม่เลือนหายไปไหน

   “ฟร๊องก์ควรทำยังไงดีเก็ท... ควรทำไง”

   “ฟร๊องก์ต้องเลิกหวัง อย่าลืมว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว อย่าหยุดตัวเองแค่นี้ ฟร๊องก์ยังมีคนเข้ามาอีกเยอะแยะ แค่เปิดใจแค่นั้นเอง”

   “ฟร๊องก์ควรหยุดใช่ไหม ควรลืมเรื่องทุกอย่างระหว่างเรา แต่... ทำไมมันยากจัง” ขนาดความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันยังต้องใช้เวลาค่อยๆ ก่อมันขึ้นมาเลย แล้วเวลาจะลบมันทิ้ง จะให้ปล่อยมือง่ายๆ ได้อย่างไร

   “ไม่จำเป็นต้องลืม แต่เวลาจะช่วยให้ฟร๊องก์เข็มแข็งขึ้นได้ เก็ทเชื่อว่าอีกไม่นาน ไม่นานหรอก...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ก็ยืนร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเก็ทอยู่แบบนั้น จนรับรู้ได้ถึงความชื้นที่เสื้อเก็ท ผมจึงค่อยๆ ผละตัวเองออก ดูสิทำเสื้อเก็ทเปียกหมดเลย น่าอายชะมัด

   “เสื้อเปียกหมดเลย ขอโทษนะ” ผมพูดยิ้มอย่างอายๆ พลางสำนึกผิด แต่การได้ระบายให้ใครสักคน โดยเฉพาะกับคนที่เราไว้ใจ และเขาเองก็คอยเป็นห่วงและแคร์ความรู้สึกเรา มันยิ่งทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้นเยอะ

   “สบายใจขึ้นบ้างไหม” เก็ทยกมือขึ้นมายีหัวผมอีกครั้ง พร้อมกับผมที่พยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “งั้นไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้อีกวันพักผ่อนให้เต็มที่ อย่าลืม... ยิ้มเข้าไว้”

   “ขอบคุณนะ...” ผมว่าก่อนจะเดินตามหลังเก็ทกลับเข้าไปในห้อง ผมสบายใจขึ้นมากเลยครับ เก็ทพูดถูกทุกอย่างเลย ผมจะดันทุรังต่อไปเพื่ออะไร แม้ในใจจะพยายามคิดว่ายังมีหวัง แต่ความจริงมันปรากฏชัดแล้วครับ มันไม่มีวันที่จะเป็นอย่างที่ผมคิดและหวัง ไม่มีวัน... ฉะนั้นมีแค่ผมที่ต้องปล่อยมือสักที

   ขอบคุณนะเก็ทที่อยู่เคียงข้างฟร๊องก์มาตลอดเลย แม้ว่าเราจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ความรู้สึกที่มีให้มันยิ่งกว่าสิ่งใด ขอบคุณจริงๆ ผมยิ้มตามแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่ดูภายนอกช่างเย็นชา แต่ภายในใจของเขาช่างอบอุ่นยิ่งนัก เราสองคนกลับเขามาในห้องอย่างแผ่วเบา ทุกคนหลับสนิทไปแล้วครับ ผมล้มตัวลงนอนข้างๆ คนที่ไม่ทิ้งผมไปไหน ซุกหน้าเข้าไปแผงอกนั้นอีกครั้งและเข้าสู่ห้วงนิทรา

***********____________***********

   วันที่สองที่เกาะล้าน กว่าพวกผมจะตื่นกันครบก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวันแล้ว ก็แน่ละครับ กินอิ่มหนำแถมยังเมากันซะขนาดนั้น ผมเองก็ตื่นสายอยู่เหมือนกัน แถมตื่นมายังพบว่าตัวเองเข้าไปเบียดเก็ทอาจเพราะความเย็นของแอร์ พร้อมกับศีรษะที่หนุนช่วงไหล่ของเก็ทอยู่อีกต่างหาก ไม่รู้ว่าหนุนนานแค่ไหนด้วย เก็ทที่นอนหงายปล่อยให้ผมหนุนไหล่อยู่แบบนั้นคงเมื่อยน่าดู แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้บ่นอะไร

   แต่จะว่าไปผมก็ตื่นมาด้วยความสดใสกว่าเดิมนะ อย่างน้อยถ้าเมื่อคืนผมไม่ได้เก็ทมาปลอบใจ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนอนหลับไหม และจะยืนอยู่ที่นอกระเบียงนั้นอีกนานเท่าไร บางทีการมีเพื่อนดีๆ ก็เป็นศรีกับชีวิตนะ และสำหรับผมกับปาร์คก็อาจจะเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกันเท่านั้น

   หลังจากอาบน้ำกันเป็นที่เรียบร้อย ก็เป็นเวลากว่าบ่ายโมงทุกคนจะเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกไปหาอะไรกินกัน ก่อนจะออกไปซื้อแพกเกจดำน้ำที่เกาะครก เกาะสากครับ เราได้รอบสุดท้ายเลยคือบ่ายสองโมง แต่ทุกคนก็ยินดีไปนะแม้ว่าแดดมันจะร้อนแค่ไหนก็ตาม เอาเถอะครับ มาทะเลก็ต้องดำชึ้นเป็นธรรมดา แต่ดีนะที่วันนี้ผมรู้ทันเลยใส่เสื้อแขนยาวออกไปดำนำ อย่างน้อยโบกครีมกันแดดไปอีกก็ช่วยได้เยอะ ส่วนขาช่างมันเถอะ ใส่กางเกงขายาวก็ไม่มีใครเห็นล่ะ
 
   เราออกไปดำน้ำดูปลาน้อยและปะการังกันครับ เขาไม่กำหนดเวลานะจริงๆ อ่ะ แต่ให้ลิมิตได้ถึง 5 โมงเย็น ไปถึงก็มีคนเยอะอยู่ครับ น้ำใสโอเคอยู่ มีปลาเยอะมากๆ แต่ปะการังไม่ค่อยสวยเท่าไรในความคิดผมนะ เราใช้เวลากันประมาณสองชั่วโมงได้ ก่อนจะกลับไปที่เกาะอีกครั้ง เหนื่อยมากครับ ร้อนด้วย รู้สึกแสบคอเลย ไหม้แน่ๆ แต่พวกเราก็บ่หยั่นครับ ไปเล่นน้ำกันต่อเลย

   คราวนี้เราไปอีกด้านหนึ่งของเกาะครับ ไปยังหาดตายายที่อยู่อีกด้านของเกาะ คนละฝั่งกับหาดนวลที่เราเล่นกันเมื่อวานเลยครับ แต่ที่นี่หินก็เยอะเหมือนกัน ที่สำคัญมันเป็นโขดหินใหญ่ๆ เลยครับ แผลเก่ายังไม่หาย ได้แผลไหมอีกแล้วครับผมเนี่ย แต่ก็สนุกดีครับ ถือว่ามาเที่ยวครั้งนี้คุ้ม พวกผมได้ตระเวนไปรอบเกาะเลย

   พวกผมเล่นน้ำกันจนฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเป็นทอง แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนกำลัง เราจึงกลับมายังที่พักเพื่ออาบน้ำ เปลี่ยนชุดไปกินมื้อเย็น ขณะที่คนอื่นๆ รีบล้างตัวและเข้าไปอาบน้ำกัน ผมก็ยืนรอเก็ทที่เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะมาล้างตัวที่ก๊อกน้ำด้านหน้าตัวบ้าน

   “คันๆ ตัวยังไงไม่รู้อ่ะ” เก็ทพูดขึ้นขณะที่ผมถือสายยางราดน้ำล้างตัวให้

   “อ้าว เป็นไรอ่ะ” 

   “ไม่รู้ดิ ลองดูให้หน่อย” ยังไม่ทันที่ผมจะรับปากใดๆ เก็ทก็ค่อยๆ เลิกชายเสื้อยืดที่เปียกและลู่ไปตามมัดกล้ามเนื้อนั้นขึ้นทันที

   แม้รู้ดีว่าเก็ทเป็นเพื่อน แต่ก็ปฏิเสธที่จะไม่มองไม่ได้เช่นกัน และแม้ว่าจะเคยเห็นหุ่นของเก็ทผ่านๆ ตอนที่เก็ทมาอยู่เป็นเพื่อนที่หอ แต่มันก็ไม่ชัดเจนเท่าคนตัวโตที่ยืนถอดเสื้ออยู่ด้านหน้าตอนนี้ มือใหญ่ทั้งสองที่จับชายเสื้อยืดนั้นค่อยๆ เลิกมันขึ้นอย่างช้าๆ เหมือนทุกอย่างเป็นภาพสโลโมชัน เผยให้กล้ามเนื้อที่ซุกซ่อนอยู่ภายในปรากฏชัดออกมาสู่สายตา

   ไรขนที่เรียงเส้นลู่ตามสายน้ำไล่จากสะดือลงไป รับกับร่องของกล้ามเนื้อรูปตัววีชัดเจนจากหน้าท้องหายลึกลงไปในกางเกง ตามด้วยมัดกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นลอนเด่นชัดที่ผ่านการเล่นเวทเทรนนิ่งมาเป็นอย่างดี ยิ่งขับกับผิวขาวที่ตอนนี้เริ่มแดงเป็นปื้นจากผื่นคันที่เจ้าตัวบอก เหล่านี้ค่อยๆ เผยเด่นชัดขึ้นเมื่อเสื้อถูกถอดมากขึ้นเรื่อยๆ ตุ่มไตสองเม็ดที่มีสีเข้มกว่าผิวบริเวณรอบข้างเล็กน้อยบริเวณหน้าอกปรากฏขึ้นเมื่อเจ้าตัวถอดเสื้อจนพ้นจากไหล่กว้างนั้นออกมาถือไว้ในมือ ผมไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าคนตรงหน้าผมเซ็กซี่มากแค่ไหน

   ผมได้แต่ยืนถือสายยางที่สายน้ำยังคงไหลกระทบกล้ามเนื้อเป็นมัดแน่นนั้นและไหลลงไปยังด้านล่าง มองภาพเหล่านั้นนิ่ง น้ำลายเริ่มก่อตัวเหนียวและกลืนลงคอได้อย่างยากลำบาก ยิ่งยามเมื่อสายน้ำไหลลู่ไปกับกางเกงผ้าสีเทาเข้ม ที่ตอนนี้ก็แนบสนิทไปกับส่วนกึ่งกลาง ที่นูนเด่นออกมาอย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้สติของผมกระเจิดกระเจิงมากขึ้น

   “ฟร๊องก์! ฟร๊องก์! ได้ยินไหม”

   “ห๊ะๆ” เสียงเรียกของเก็ทกอปรกับฝ่ามือที่ปัดผ่านใบหน้าของผม ดึงให้สติที่หลุดลอยไปของผมกลับมาเข้าร่าง “เก็ทว่าไงนะ”

   “ก็ให้ดูผื่นพวกนี้ให้หน่อย ข้างหลังมันมองไม่เห็น มัวแต่ดูอะไรอยู่ หื่นไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะเราเนี่ย!” เก็ทหัวเราะพลางผลักศีรษะของผมเบาๆ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก ก็หุ่นเก็ท... มันน่ามองจริงๆ นี่

   “กะ... ก็... มันน่ามองจริงๆ นี่”

   “หื่นนักนะ มานี่เลย!”

   “เฮ้ย! ปล่อยเลยนะ ไอ้บ้าเก็ท โอ้ย! ฮาๆ” สิ้นเสียง เก็ทก็แย่งสายยางไปจากมือผม ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปปะทะกับแผงอกแน่นนั้น ก่อนที่คนตัวโตจะราดน้ำใส่หน้าผมพร้อมกับหัวเราะร่าแบบที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

   “ฮาๆ หื่นนัก ต้องโดน” เก็ทยังคงรั้งตัวผมไว้กับแผงอกล่ำนั้น พร้อมกับกระหน่ำราดน้ำลงมาจากสายยาง

   “พะ... พอแล้วๆ นะ... น้ำ... น้ำเข้าจมูก” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะมีน้ำไหลเข้าจมูกจนรู้สึกแสบ เก็ทจึงเลื่อนสายยางลงมาปล่อยให้น้ำไหลลงมาที่ลำตัวแทน

   “แสบจมูกไหม ขอโทษนะ” เก็ทถามขึ้น ขณะที่ผมยกมือขึ้นมาบีบจมูกเบาๆ “เห็นหัวเราะได้แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย สดใสแบบนี้สิถึงสมกับเป็นฟร๊องก์”

   “...” ผมเงยหน้ามองตามน้ำเสียงที่อบอุ่นนั้น พร้อมกับเก็ทที่กำลังมองผมด้วยรอยยิ้มอยู่ด้วยเช่นกัน

   “แต่ต่อจากนี้คงต้องบัญญัติคำว่าหื่นใส่ลงไปด้วยสินะ ฟร๊องก์จอมหื่น หึหึ”

   “ไอ้บ้า! ก็ดันตุงกางเกงเองทำไมล่ะ!” ผมผละตัวออกจากวงแขนของเก็ท พร้อมกับตบฝ่ามือข้างหนึ่งลงไปตรงก้อนเนื้อที่นูนเด่นแนบกับกางเกงนั้นอย่างไม่แรงนัก แต่กลับเต็มไม้เต็มมืออย่างเหลือเชื่อ แต่ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมัวแต่อึ้งอยู่ ผมรีบวิ่งหนีเข้าบ้านไปอาบน้ำทันที ทิ้งให้เก็ทที่ส่งเสียงโว้ยตามหลังมาอย่างช่วยไม่ได้
ก็มันโดดเด่น... จนน่าสัมผัสเองทำไมล่ะ!       

   ค่ำนั้นพวกเราตกลงกันว่าจะไปนั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหารเพราะเหตุผลว่าขี้เกียจทำเองแล้ว ฮ่าๆ แต่ไปกินร้านก็สะดวกดี แค่เสียแพงกว่าหน่อยแค่นั้นเอง ทุกคนใช้เวลาไม่นานนักในการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เหตุผลเพราะทุกคนหิวกันหมดเลย ใช้พลังงานไปเยอะกับการต้องว่ายน้ำลอยตัวตลอดตอนที่ออกไปดำน้ำ เราเลือกร้านที่บรรยากาศดีมากๆ อยู่ติดชายทะเลครับ นั่งรับลมเย็นๆ ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ช่วยให้เพลิดเพลินมากเวลากินอาหาร

   จากนั้นพวกเราก็ไปถ่ายรูปในคืนสุดท้ายแบบครบแก๊งค์ที่ท่าเรือเช่นเดิม แต่เราถ่ายกันอยู่ได้ไม่นานก็มีพวกกลุ่มเด็กแว๊นมาขี่รถปาดไปปาดมาเหมือนโชว์พาวว่านี่ถิ่นกู ทำให้พวกผมตัดสินใจกลับที่พักดีกว่า รู้สึกไม่ดีเลยที่เจอแบบนี้ มันทำให้สถานที่ท่องเที่ยวดีๆ แบบนี้ดูเสื่อมราคาไปในทันที

   แต่ก่อนกลับบ้านพักก็แวะซื้อขนมไปกินกันอีกแล้วครับ รู้สึกว่ามาเที่ยวครั้งนี้กินกันเก่งมากเลย โดยเฉพาะพวกขนมกรุบกรอบเนี่ย เงินหมดไปกับค่าขนมพวกนี้เยอะมาก เพราะราคามันแพงกว่าราคาที่ขายทั่วไป จากนั้นก็กลับมานั่งจับกลุ่มเม้าธ์มอยกันหน้าทีวี ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่อยากกลับ เพราะได้มาเที่ยวแบบนี้มันเหมือนทำให้เราได้ลืมโลกที่วุ่นวายด้านนอกที่เราต้องเจออยู่ทุกๆ วันเลย นี่สินะที่เขาเรียกว่าการมาชาร์จแบตให้ชีวิตโดยแท้

   เวลาห้าทุ่มกว่าๆ พวกผมก็เริ่มแยกย้ายเข้านอนกันแล้วครับ วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ แม้จะไม่ได้ขึ้นเขา ผจญภัยอย่างเมื่อวาน แต่กลับรู้สึกเพลียร่างมากกว่าหลายเท่า อาจจะเป็นเพราะมันสะสมจากเมื่อวานมาด้วยแหละ
 
   “นอนแล้วนะ อย่าลืมปิดประตูให้ดีแล้วกัน” เก็ทว่าก่อนจะลุกเดินเข้าห้องไป วันนี้ดูเก็ทเหมือนนอนไม่พอ เป็นเพราะผมหรือเปล่าที่เมื่อคืนไปนอนหนุนไหล่อยู่แบบนั้นทั้งคืน รู้สึกผิด แต่เรื่องเมื่อเย็น... ก็ถือเป็นกำไรของเพื่อนล่ะกันนะ และดูเหมือนเก็ทก็คงลืมๆ มันไปแล้ว เพราะไม่เห็นพูดถึงหรือทำอะไรผมอีก

   “พี่ ผมขอคุยอะไรกับพี่หน่อยสิ” ทาร์ตเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเข้ม ก่อนเดินนำผมออกไปที่ระเบียง... ระเบียงอีกแล้ว

   “มีอะไรเหรอ” ผมถามออกไป ไม่ใช่ว่าผมไม่สังเกต แต่วันนี้ทาร์ตเองก็ดูไม่ร่าเริงเหมือนปกติที่เคยไป อย่างน้อยก็ไม่ร่าเริงเท่ากับเมื่อวาน ยิ่งตอนนี้ใบหน้าที่ปกติมักจะเปื้อนด้วยรอยยิ้มกลับดูหม่นหมองลงอย่างบอกไม่ถูก

   “พี่กับพี่เก็ท... เป็นอะไรกันเหรอครับ”

   “พี่กับเก็ทเหรอ เพื่อนกันไง” ผมตอบแบบขำๆ ออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ

   “แต่เมื่อคืน ผมเห็นพี่สองคน... เอ่อ... กอดกัน แถมเมื่อเย็นพี่ก็ยังเล่นถึงเนื้อถึงตัวกับพี่เก็ทตอนล้างตัวหน้าบ้านอีก” คำพูดคำสุดท้ายของทาร์ตเบามากจนแทบจะถูกเสียงคลื่นและลมกลบ “เมื่อคืนผมตื่นจะออกมาเข้าห้องน้ำ ไม่เจอพี่สองคนอยู่ในห้อง พอผมออกมาถึงได้เห็นว่าพี่เก็ทกับกอดพี่อยู่”

   “เมื่อคืน... เก็ทกอดพี่จริงๆ แต่เราสองคนไม่ได้กอดกันด้วยความรู้สึกเชิงเสน่หา เก็ทแค่ปลอบใจพี่เท่านั้นเอง แล้วเมื่อเย็นเก็ทมันแค่แกล้งพี่เล่น ไม่ได้มีอะไรเลย” ไม่รู้ทำผมเมื่อเห็นแววตาที่ดูหม่นหมองคู่นั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจจนต้องอธิบายออกไป ผมอยากเห็นดวงตาที่เปล่งประกายสดใสและดูทะเล้นแบบที่ทาร์ตเป็นมากกว่า

   “พี่มีปัญหาอะไรบอกผมได้ไหม ผมไม่ชอบเลยที่เห็นพี่เศร้าแบบนี้” ทาร์ตเอื้อมมือมากุมมือผมทั้งสองข้างไว้

   “...”

   “เกี่ยวกับคนที่เราเจอที่ห้างวันนั้นใช่ไหมที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้”

   “อะ... อืม” ผมพยักหน้าเล็กน้อย

   “จะเป็นไปได้ไหมครับ ถ้าผมจะเข้ามาเป็นคนที่ทำให้พี่... มีความสุขอีกครั้ง” แรงบีบของมือกุมมือผมอยู่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกถึงความจริงจังในสิ่งที่เจ้าตัวพูด เป็นอีกครั้งที่สายตาของเราสองคนต้องกัน นัยต์ตาของทาร์ตจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมราวกับกำลังค้นหาคำตอบ

   “ให้เวลาพี่หน่อยนะทาร์ต” ผมยิ้มให้เล็กน้อย บางทีการเปิดใจให้ตัวเองได้เจอคนใหม่อย่างที่เก็ทบอกก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับผมตอนนี้มันยังเร็วเกินไป ผมรู้สึกดีและไม่ได้รังเกียจความรู้สึกดีๆ ที่ทาร์ตมอบให้ แต่ผมขอเวลาให้ผมหน่อย... สักวันอาจเป็นคนนี้ก็ได้ที่จะมายืนข้างผม แต่นั่นคืออนาคต ซึ่งผมบอกไม่ได้เช่นกัน

   “ผมจะรอนะครับพี่ฟร๊องก์ รออยู่ข้างๆ พี่แบบนี้เสมอ” แรงบีบที่มือทั้งสองข้างของผมบ่งบอกถึงความแน่วแน่ของเจ้าตัว

   “ไปนอนได้แล๊ว!” ผมดึงมือออกจากการจับกุม ก่อนจะผลักหัวทาร์ตเบาๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้ดูร่าเริงขึ้นทันที แม้มันจะดูขัดกับอารมณ์ก่อนหน้าแค่ไหนก็ตาม ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเตรียมเข้าไปนอน

   “ทิ้งกันเลยนะพี่!” ทาร์ตตะโกนเสียงไม่ดังนักไล่หลังผมมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงอย่างที่เคยเป็น ก่อนจะวิ่งตามมากอดผมจากด้านหลัง เล่นเอาผมเหวอไปเลย “ขออยู่แบบนี้สักพักนะพี่”

   ผมยืนนิ่งให้ทาร์ตกอดอยู่แบบนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ และก็ไม่ได้มีท่าทางขัดขืนแต่อย่างใด ทาร์ตโน้นศีรษะลงมาวางคางไว้บนไหล่ผมพร้อมกับดวงตาที่ปิดสนิท บางทีทาร์ตเองก็อาจเหมือนผมที่ต้องการเสาหลักเพื่อยึดให้รู้ว่าตัวเองยังมั่นคง ยังไม่ล้ม ในเมื่อผมยังต้องการเก็ทไว้ให้รู้ว่ายังมีคนอยู่ข้างๆ ทาร์ตเองก็คงต้องการความมั่นใจว่าผมจะยังคงอยู่เหมือนดั่งความหวังที่รอ

   สองคืนที่ผมตัดการติดต่อจากคนหนึ่ง แต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นกับผมถึงสองเหตุการณ์จากคนสองคนที่ผมรับรู้ได้ว่าทั้งคู่อยู่เคียงข้างผม ผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็รู้สึกดีกับทั้งคู่เช่นกัน อย่างเก็ทเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ผมรักและไว้ใจมาก ส่วนทาร์ตเองผมก็มักใจเต้นแรงเสมอเมื่ออยู่ใกล้ เพียงแต่ยังไม่พร้อมจะเปิดใจรับใครใหม่ ตอนนี้ขอแค่กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้เท่านั้นก่อนก็นับว่าดีมากแล้ว

**********___________**********

   แล้วก็มาถึงเช้าวันสุดท้ายที่เกาะล้านแห่งนี้แล้วแหละครับ ผมรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เราต้องเช็คเอ้าท์ออกจากบ้านพักเที่ยงตรงครับ แต่ต้องรีบออกไปก่อนแหละ เพราะถ้าไม่ทันเรือเที่ยวเที่ยง ต้องรออีกทีบ่ายสองเลย และเมื่อคืนเราก็นัดแนะกันว่าเช้านี้จะไปถ่ายรูปเก็บตกตามสถานที่ต่างๆ เลยทำให้เราต้องรีบตื่นกันแต่เช้า แล้วกลับมารอเช็คเอ้าท์สักสิบโมงครึ่ง จะได้กินข้าวเช้าที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ก่อนกลับด้วย เมื่อวานก็พลาดไปแล้วเพราะตื่นสาย

   เราขี่รถมอเตอร์ไซด์ไล่ตามแผนผังเดิมเหมือนวันแรกไล่ไปตามหาดต่างๆ จนไปถึงหาดแสม ที่มีสะพานหรืออะไรสักอย่างผมเรียกไม่ถูกที่ทำจากทุ่นพลาสติกลอยอยู่บนผิวน้ำ มันดูแข็งแรงรับน้ำหนักได้ดี แต่มันโครงเครงมากเวลามีคลื่นซัดมา พวกผมพยายามเดินทรงตัวเกาะกันไปอย่างช้าๆ เพราะกลัวตกน้ำ โดยที่ผมมีทาร์ตคอยประคองไปตลอด ก้มมองลงไปน้ำก็ลึกอยู่ใช่ย่อยครับ แต่ในที่สุดพวกเราก็มาถึงส่วนปลายของสะพานที่เขาจะเสริมความสูงขึ้นอีกชั้น และขยายให้มันกว้างขึ้น ทำให้ไม่ค่อยโครงเครงมากเวลาคลื่นซัดมา และด้วยความที่มันอยู่นอกชายหาดมาไกลพอสมควร ความแรงของคลื่นเลยน้อยกว่าบริเวณใกล้หาด น้ำบริเวณนี้ใสมากๆ และก็ลึกด้วย ผมเห็นปลาตัวเล็กๆ ฝูงใหญ่มากเลยที่บริเวณผิวน้ำใกล้กับทุ่นนี้ ลึกลงไปก็มีฝูงปลาที่ตัวใหญ่ขึ้นแหวกว่ายอยู่เต็มไปหมด น่ารักดีครับ ทาร์ตเองก็มานั่งถ่ายรูปฝูงปลาพวกนั้นใกล้ๆ ผมเหมือนกัน แถมมันยังแกล้งผมด้วยการทำท่าเหมือนจะผลักเล่นเอาผมใจหาย ก่อนที่มันจะดึงตัวผมเข้าไปกอดแบบไม่อายสายตาใคร ผมเลยจัดการประเคนฝ่ามือเข้าไปเต็มๆ หัวมันเลย

   จากนั้นเราแวะถ่ายรูปกันเรื่อยๆ จนแดดเริ่มแรง จึงกลับมายังบ้านพักอีกครั้งซึ่งถือเป็นการจบทริป บางคนก็กลับมาอาบน้ำใหม่ครับ เพราะยังมีเวลาเหลือ เรากลับกันมาเร็ว ยังไม่สิบโมงเลยครับ จากนั้นก็เช็คข้าวของเป็นครั้งสุดท้ายแล้วออกจากบ้านไปตอนสิบเอ็ดโมงเพื่อไปกินข้าว พอใกล้ๆ เที่ยงลุงคนขับรถกะป๋อก็มารับพวกผมไปส่งที่ท่าเรือ ก่อนที่เราจะเดินไปขึ้นเรือตามเที่ยวที่กำหนดไว้ เรือแล่นออกจากเกาะไปผมก็อดหันกลับมามองไม่ได้ เวลาสามวันมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่ผมก็ได้ชาร์จแบตเต็มที่ ไม่ว่าต่อไปจะเผชิญอะไรผมก็พร้อมจะเดินก้าวไปครับ

   เมื่อกลับมาถึงฝั่งพัทยา เราถ่ายรูปกับป้ายที่เขียนว่า PATTAYA city ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่เลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นผมถึงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเพื่อกดเปิดเครื่องและจะโทรบอกแม่ด้วยว่ากำลังจะกลับแล้ว แต่แอบตกใจเล็กน้อยเมื่อล้วงเข้าไปในช่องที่ผมใส่โทรศัพท์ไว้ตอนแรกแล้วไม่เจอ มันกลับไปอยู่ในอีกช่องหนึ่ง สงสัยผมจะเบลอจนจำผิดจำถูก

   เมื่อเปิดเครื่องมาผมถึงกับผงะด้วยความตกใจ เมื่อหน้าจอโชว์สายที่ไม่ได้รับกว่าสามสิบสาย แถมยังมีข้อความ ไลน์ และอินบ็อกซ์ในเฟซบุ๊กอีกต่างหาก ซึ่งล้วนมาจากคนๆ เดียว คนที่ผมหนีมาตลอดในช่วงที่อยู่บนเกาะ ซึ่งก็คือปาร์ค

   ผมยังไม่ได้เปิดอ่านอะไร แต่เลือกที่จะโทรไปหาแม่ก่อน ยังไงคนๆ นี้ก็สำคัญกว่า ส่วนปาร์คขอให้ผมกลับไปถึงกรุงเทพฯ ก่อนค่อยว่ากันล่ะกัน ใช่... ผมเลี่ยงเพราะไม่รู้จะเริ่มก้าวเดินออกจากคนๆ นี้อย่างไร


à suivre...

เขียนฉากโชว์เซ็กซี่ของเก็ทเพิ่มเข้ามานะ ต้องขอขอบคุณคอมเม้นต์ที่กระตุ้นต่อม 55555+
ไม่รู้ว่าจะพอให้ชื่นใจ ให้ฟินกันได้หน่อยหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ก็ต้องขออภัยด้วยนะฮะ พยายามเต็มที่แล้ว 55+
แต่จะว่าไปก็อิจฉาฟร๊องก์นะ คนแต่งก็อยากจับน้องชายที่ 'นูนเด่น' ของเก็ทนั้นบ้างงง!!!


ถ้าถามคนแต่งว่า ไม่มีฉากเก็ทโชว์รูปร่างขโมยความเท่และหัวใจเหล่าคนอ่านบ้างเหรอ... จะโดนติเตียนว่าหื่นไปไหมเนี่ยครับ (หัวเราะ)

จริงๆครับคุณคาเมนลิออน อิจฉาชัญญ่ามาก ทำบุญด้วยอะไร จะไปทำบ้าง (หัวเราะ) ขรึมๆ เท่สุดๆอะ
จัดตามคำเรียกร้อง แต่งเพิ่มเข้าไปให้เลยฮะ แต่ไม่รู้ว่าดีพอหรือเปล่า 5555+ ขอบคุณมากนะฮะ  :mew1:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เดทนสุดๆอยากมีคนมาทำงี้บ้างอยากรู้

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 26 [18/6/2017]
«ตอบ #93 เมื่อ18-06-2017 20:24:37 »

Chaitpre 26

   พวกผมกลับมาถึงกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทริปเกาะล้านสามวันสองคืนผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่ผมก็รู้สึกเต็มอิ่มกับการไปเที่ยวในครั้งนี้ อาจจะมีเรื่องที่ไม่สบายใจมารบกวนอยู่บ้าง แต่เพราะได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สดชื่นจึงทำให้ผมลืมสิ่งเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว

   ตลอดทางผมหลับมาแบบไม่รู้เรื่องเลยครับ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกเก็ทปลุกตอนที่พวกเราจะแวะกินข้าวกันหลังจากเข้าเขตกรุงเทพมหานครมาแล้ว จะว่าไปก็หิวเหมือนกันนะ ข้าวต้ม (ที่เหลืออยู่ไม่มากของบ้านพัก เพราะพวกผมออกไปกินกันช้า) ช่วยได้แค่รองท้องกันคนละนิดละหน่อย มาถึงนี่เลยจัดเต็มกันอีกมื้อเลยครับ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน แน่นอนว่าเก็ทกับดิวก็ไล่ส่งแต่ละคน และก็เป็นผมที่เก็ทมาส่งเป็นคนสุดท้ายตามปกติ

   “ขอบคุณนะ... สำหรับทุกอย่างเลย” ผมหันไปพูดกับเก็ทด้วยรอยยิ้มเมื่อรถของเก็ทมาจอดสนิทที่ด้านหน้าหอพักของผม

   “ชาร์จพลังมาแล้ว ก็ก้าวเดินต่อได้แล้วนะ” เก็ทยกมือขึ้นมายีหัวผมอีกแล้ว รู้สึกหลังๆ มานี้จะเล่นหัวผมบ่อยเกินไปและ แต่ก็ชอบนะครับ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างผมเสมอ

   “ไปและ เดี๋ยวซักผ้าอีก ทำให้เสร็จๆ จะได้นอน ง่วง” ผมบ่นนิดหน่อยก่อนจะลงจากรถไป

   หลังจากนั้นผมก็จัดการเทเสื้อผ้าทั้งหมดในกระเป๋าเป้ลงในตะกร้า ขี้เกียจซักโคตรๆ เลยครับ ไหนจะต้องมารีดเสื้อนิสิตที่ซักตากไว้ (ในห้อง) เมื่อคืนวันพฤหัสอีก ว่าแต่มันเหม็นอับเปล่าวะ! แต่บ่นไปก็เท่านั้น สุดท้ายผมก็ต้องเอาออกไปซักอยู่ดี ยังดีหน่อยครับที่หอผมมีเครื่องซักผ้าอยู่ทุกชั้น ชั้นละเครื่อง ไม่ต้องถ่อลงไปที่ชั้นล่าง

   ผมทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย หลังยัดผ้าลงเครื่องเสร็จก็กลับมารีดผ้าต่อในห้อง แล้วก็ออกไปเอาผ้าที่ปั่นไว้มาตาก กวาดถูห้องอีกนิดหน่อย แค่นี้ก็เล่นเอาผมหอบ(แดก)ได้เหมือนกันนะ เสร็จจากนี้ก็จะอาบน้ำนอนแล้วแหละครับ พรุ่งนี้เรียนเช้าอีก โอ้ย ตาย!!!

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จหมาดๆ โคตรรู้เวลาเลย ใครวะ ผมเดินเช็ดผมไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครโทรมา
 
   หน้าจอปรากฏชื่อของปาร์ค นั่นสิ! ผมลืมคนที่โทรมากว่าสามสิบสายนี้ไปเลยจริงๆ

   ผมควรรับสายไหม...

   [หายไปไหนมา!] ทันทีที่ผมกดรับสาย ยังไม่ทันที่จะได้ส่งเสียงทักทายอะไรไป คนที่อยู่ปลายสายก็แผดเสียงเหี้ยมดังจนเหมือนกับการตะเบงมาซะก่อน

   “อ่ะ... เอ่อปาร์ค ว่าไง” ผมตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย พยายามทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ ทั้งที่คิดมาตลอดว่าผมพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง แต่เอาเข้าจริงๆ แค่ได้เห็นชื่อของปาร์คที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ตั้งแต่กดเปิดเครื่อง มันก็ทำให้ผมใจสั่นด้วยความหวาดวิตกได้ไม่น้อยเลย ไหนล่ะความเข้มแข็งที่ได้จากการไปเติมพลังให้ตัวเองมา?

   [ถามว่าหายไปไหนมา โถ่เว้ย! จะไปไหนทำไมไม่บอกกันบ้างวะ! ไม่รู้หรือไงว่าคนอื่นเขาเป็นห่วงขนาดไหน!! แม่ง!!!] ผมคิดว่าการเอาน้ำเย็นเข้าลูบจะช่วยให้ปาร์คอารมณ์เย็นลงได้บ้าง แต่ไม่เลยครับ มันกลับใส่ผมมาเป็นชุด แถมยังเสียงสบถนั่นอีก มันจะรู้ไหมครับว่ามันทำให้ผมสะดุ้งและเริ่มรู้สึกตะหนกมากแค่ไหน

   “ใจเย็นๆ นะปาร์ค ฟร๊องก์ขอโทษที่ไม่ได้บอก มันกะทันหัน แล้วอีกอย่าง... โทรศัพท์ฟร๊องก์ก็แบตหมดด้วย” ผมโกหกคำโตเลยครับ แต่มันคงไม่เหตุผลอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว

   [กะทันหัน? แบตหมด? แล้วไม่มีใครมีที่ชาร์จเลย หรือแม้แต่จะยืมโทรศัพท์เพื่อนโทรมาไม่ได้เลยหรือไง!] น้ำเสียงปาร์คยังคงเดือดดาลไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง ที่ดูท่าจะสงบลงยากมากด้วย

   “เอ่อ... กะ... ก็ ก็มันกะทันหันไง ฟร๊องก์เบลอๆ เลยลืมไปหมดเลย” คำพูดผมเริ่มติดๆ ขัดๆ มากขึ้นเริ่มๆ เพราะเริ่มคิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรมาอ้างกับคำถามที่ปาร์คจี้มากขึ้นๆ อีก

   [กะทันหันมากจนมีเวลากระหนุงกระหนิงกับไอ้เวรนั่นเลยสินะ!] เสียงปาร์คตะคอกมาดังมากจนผมต้องยื่นโทรศัพท์ออกห่างจากหู ปาร์คพูดเรื่องอะไร ไอ้เวรนั่นคือใครทั้งที่มีแต่เพื่อนๆ ผมทั้งนั้น อีกอย่างปาร์คไปรู้หรือเห็นอะไรเข้า? แต่รูปที่เพื่อนๆ ลงกันในเฟซบุ๊กจากที่ผมเปิดดูหลังเปิดเครื่องมันก็เป็นรูปรวมๆ ทั้งนั้นเลยนะที่แท็กผมมา

   “ปาร์คพูดบ้าอะไร!” ผมถามกลับด้วยความสงสัย สมองผมประมวลผลคำพูดของปาร์คเมื่อสักครู่ไม่ทันจนรู้สึกมึนงงไปหมด

   [หึ! สรุปว่าเป็นอะไรกับไอ้เด็กนั่นจริงๆ สินะ ถึงว่าสิครั้งที่แล้วถึงยอมให้รูปจูบกันโชว์หราในเฟซบุ๊ก จงใจหรืออะไรกันแน่!?!] เสียงปาร์คกลับมาอยู่ในระดับความดังปกติ แต่มันช่างเต็มไปด้วยความประชดประชัน

   “ปาร์คพูดอะไร ฟร๊องก์งงไปหมดแล้ว” มันเกี่ยวอะไรกับรูปจูบ... รูปจูบในเฟซบุ๊ก ทาร์ต! ทาร์ตมาเกี่ยวอะไรด้วย ผมไม่เข้าใจ ปาร์คกำลังพูดถึงอะไร และท่าทางโกรธเกรี้ยวนี้มันดูจะเกินเลยไปกว่าการที่ผมหายไปสามวันแล้วด้วย

   [ช่างมันเถอะ ปาร์คคงคิดเป็นห่วงฟร๊องก์อยู่คนเดียว ทั้งที่ฟร๊องก์มีความสุขขนาดนั้น] ไหงกลายมาเป็นโหมดน้อยใจแบบนี้ล่ะครับ แล้วก่อนหน้าคืออะไรผมยังไม่เคลียร์เลย แถมยังปรับโหมดไม่ทันอีกต่างหาก

   “ฟร๊องก์... ขอโทษ” และก็เป็นผมที่ต้องเอ่ยขอโทษออกไป ผมก็ผิดด้วยส่วนหนึ่งที่หนีปัญหาไป ผมว่าปาร์คก็คงจะเป็นห่วงผมมากจริงๆ เพราะตอนที่ผมโทรไปบอกแม่ว่ากำลังจะกลับ แม่ก็ถามถึงปาร์คว่าได้คุยกันบ้างหรือเปล่า เพราะปาร์คแวะไปหาแม่ที่บ้านด้วยท่าทางร้อนรนและบอกว่าติดต่อผมไม่ได้ แม่ถึงได้บอกว่าผมไปเที่ยวเกาะล้าน ผมก็บอกแม่ไปตรงๆ แหละครับว่าผมตั้งใจปิดเครื่อง ตั้งใจตัดการติดต่อสื่อสารไปเลย เพราะอยากพักสมองจริงๆ แต่สำหรับปาร์ค... จะเป็นห่วงผมด้วยเหตุผลอะไรล่ะ เพื่อนงั้นเหรอ?

   [คราวหน้าอย่าหายไปแบบนี้นะ รู้บ้างไหมว่าปาร์คเป็นห่วงมากแค่ไหน] ปาร์คเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจนฟังดูอ่อนโยนและเว้าวอน

   “ขอโทษนะ”

   [ว่าแต่ฟร๊องก์กับรุ่นน้องคนนั้น... คบกันแล้วเหรอ]

   “เปล่า! ฟร๊องก์บอกปาร์คแล้วไงว่าไม่มีอะไรจริงๆ ฟร๊องก์ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยเลย” ผมรีบแก้ตัวโดยแทบไม่ฉุกคิดเลยทันที จริงอยู่ถึงทาร์ตจะขอโอกาสจากผม และผมคิดว่าจะลองเปิดใจดูสักครั้งก็เถอะ แต่ตอนนี้มันยังไม่ได้ตบลงจะคบกัน ผมแค่... กลัวปาร์คจะเข้าใจผิด

   [งั้นเหรอ แล้วรูป... ช่างมันเถอะ ดีแล้วแหละ ปาร์คดีใจนะที่ฟร๊องก์ยังไม่ได้เป็นอะไรกับใคร] ผมได้ยินปาร์คพูดถึงรูปอะไรสักอย่าง รูปอะไร? จูบที่เกิดจากอุบัติเหตุนั่นผมก็อธิบายไปแล้วนิ แล้วมันมีอะไรอีก แต่... ทำไมปาร์คต้องพูดเหมือนอยากให้ผมอยู่เคียงข้างแบบนี้ด้วย ทั้งที่ปาร์คมีคนๆ นั้นอยู่แล้ว จะให้ผมอยู่ในฐานะอะไร

   “...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่คำพูดเหล่านี้ของปาร์คกลับทำลายกำแพงที่ผมเริ่มก่อมันขึ้นมาให้พังทลายลงได้อย่างง่ายดาย

   [...] ปลายสายเองก็เงียบเหมือนกัน

   “ปาร์ค งั้นฟร๊องก์ไปนอนก่อนนะ เพิ่งกลับมา เพลียๆ น่ะ” ผมตัดปัญหาไปก่อนที่หัวใจตัวเองจะรู้สึกอ่อนแอไปมากกว่านี้ เมื่อไหร่ที่ผมจะเข้มแข็งได้สักที

   [พักผ่อนเถอะ ฝันดีนะครับคนดี... ของปาร์ค]

   คุณเคยเป็นไหมครับ คิดว่าตัวเองก้าวออกมาพ้นจากความรู้สึกนั้นแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งมากพอแล้ว แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากำลังหนีอยู่นั้น มันกลับไม่เป็นอย่างที่เราคิดเลย มันเหมือนว่าเรายังคงย่ำอยู่กับที่และยังคงอ่อนแออยู่เหมือนเดิม

**********__________**********

   หลังจากคืนนั้นที่ปาร์คโทรมาโวยวายกับผมอย่างหัวเสีย ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์จนผมตามไม่ทัน ปาร์คเองก็ยังคงโทรมาหาผมอยู่ทุกวัน ผมสบายใจที่จะคุยมากขึ้น ผมทำใจแล้วแหละครับว่าอย่างไรผมก็เป็นได้แค่เพื่อน แต่มันติดอยู่แค่ว่าปาร์ค... มักจะพูดอะไรที่ทำให้ผมคิดมากอยู่เสมอ แถมยังชอบถามผมถึงเรื่องทาร์ตมากกว่าปกติอีกด้วย แปลกๆ

   เผลอแป๊บเดียวนี่ผ่านไปเกือบอาทิตย์แล้วนะครับที่ผมไปทะเล วันนี้ก็วันพฤหัสแล้ว ตั้งแต่กลับมาจากเกาะล้าน เวลาไปเรียนผมเจอหน้าทาร์ตทุกวันเลยครับ ผมรู้สึกว่ามันกล้ามากขึ้นที่จะแสดงออกให้ผมเห็นว่ามันรู้สึกอย่างไรกับผม ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ยังคงคุยเล่นกับมันตามปกติ ของแบบนี้ต้องขอดูไปก่อน ผมยังไม่รีบตัดสินใจหรอกครับ

   แม้แต่ตอนนี้เอง ทาร์ตมันก็มายืนยิ้มแป้นรอผมเลิกเรียนอยู่หน้าตึก วันนี้พวกผมชวนกันไปดูหนังกันครับ หนังใหม่เพิ่งจะเข้าฉายวันนี้วันแรกเลย ทุกคนลงความเห็นว่าอยากดูก็เลยจะไปจัดกัน แน่นอนว่าผมชวนทาร์ตไปด้วย มันถึงได้มายืนรอพวกผมพร้อมรอยยิ้มกว้างดูร่าเริงแบบนี้ ส่วนผมก็กลับบ้านพรุ่งนี้ล่ะครับ แต่ยังไม่ได้โทรบอกแม่เลย เดี๋ยวไปถึงห้างค่อยโทรล่ะกัน

   ไม่นานพวกเราทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งไกลออกมาจากห้างละแวกมหาวิทยาลัย คืออยากมาเดินดูอะไรใหม่ๆ มากกว่าจะต้องเจอคนหน้าเดิมๆ ในมหา’ลัยเดียวกัน อีกอย่างโรงหนังที่นี่ดีกว่าด้วยแหละ ถึงจะแพงกว่านิดหน่อยก็เถอะ

   “พวกพี่หิวกันไหมอ่ะ” ทาร์ตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเขินอาย

   “หิวดิ ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย” นุ่นเป็นคนตอบครับ

   “ว่าแต่จะกินอะไรกันดี” ป๊อปอายเปิดประเด็นอย่างรวดเร็ว ดีเหมือนกันครับ ไปดูรอบหนังมามีรอบหกโมงเย็นกับสองทุ่มเลยครับ เลยซื้อตั๋วรอบหกโมงเย็นไป ดังนั้นต้องรีบหาอะไรกินก่อนที่หนังจะเริ่มฉาย

   “อยากกินอาหารญี่ปุ่นว่ะ” โดนัทเสนอขึ้น แต่ก็ไม่เชิงเสนอหรอก ออกแนวบังคับเลือกเลยมากกว่า

   “เออๆ กูก็อยากกิน” นุ่นกับไวน์เสริมทัพ ลองสามคนนี้เลือกแล้ว คงเปลี่ยนใจยากครับ ผมเองก็อยากกินอาหารญี่ปุ่นอยู่เหมือนกันเลยส่งยิ้มให้พร้อมพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ

   เป็นอันว่าทุกคนตกลงตามที่โดนัทเสนอครับ ผมที่เดินตีคู่กับทาร์ต โดยมีเก็ทเดินตามหลังมองภาพเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม ช่วงนี้ยอมรับครับว่าทาร์ตเป็นคนหนึ่งที่เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตผมเยอะมากๆ จนผมเองก็เริ่มรู้สึกดีๆ ด้วยเหมือนกัน แต่มันบอกไม่ถูกครับ มันคล้ายกับเวลาที่ผมอยู่กับปาร์ค แต่ก็ไม่ถึงกับความรู้สึกที่ผมมีให้กับปาร์ค ยังไม่ขนาดนั้น แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้คุย ได้หัวเราะด้วยกัน ผมคิดว่านี่คือการเริ่มเปิดใจของตัวเองแล้วแหละ

   เออ จะว่าไปผมเองก็เพิ่งสังเกตนะว่าหน้าตา ผิวพรรณทุกคนดูหมองคล้ำลงหมดเลย ก็ไปทะเลนี่เนอะ ผมเองก็ไม่ต่างกัน เป็นรอยตัดทูโทนเลยครับ เป็นรอยเสื้อกล้ามเลย ต้องบำรุงหนักกว่าปกติเลยช่วงนี้ ยังดีที่ผิวไม่ไหม้นะครับ ไม่งั้นคงแสบน่าดู

   “พวกเรานี่ดูดำลงเยอะเลยเนอะ” ผมหันไปพูดกับทาร์ตขำๆ โดยเฉพาะนุ่นนี่ดำลงเยอะเลยครับ แต่ดูๆ ไปผิวสีแทนๆ แบบนี้เหมาะกับมันอยู่นะ ดูเซ็กซี่ขึ้นเป็นกองเลย ถ้าตัดนิสัยปากหมาของมันออกไปได้ มันคงฮอตกว่านี้เยอะ

   “นั่นดิพี่ ผมนี่ดำอยู่แล้ว ยิ่งดำเข้าไปอีก” ทาร์ตหันมาตอบผมหน้างอ จริงๆ ผิวมันก่อนไปทะเลก็ไม่ได้ดำอะไรหรอกครับ แต่ด้วยความที่มันไม่ได้ขาวมากเมื่อเทียบกับผม มันก็เลยดูคล้ำ แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากตอนแรกเท่าไรเลยนะครับ มันก็พูดเว่อร์ไป อย่างผมนี่สิตอนแรกขาวๆ พอตอนนี้คนละสีชัดเจนเลย

   “ดำที่ไหน พี่นี่ดิ ทูโทนเลย ฮ่าๆ” แล้วเราสองคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนรู้สึกถึงสายตาของบางคนที่มองอยู่ตลอดเวลา จนผมต้องหันกลับไปมองก็เป็นเก็ทแหละครับ เก็มมองพวกผมด้วยสายตานิ่งๆ ตามสไตล์โดยที่ในมือถือโทรศัพท์มือถืออยู่ สงสัยพิมพ์คุยกับชัญญ่ามั้ง ถึงเงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไรเลย

   ด้วยความหิวโหยของทุกคน จึงลงมือสั่งกันอย่างไม่รีรอ ส่วนผมก็สั่งข้าวหน้าปลาแซลมอนของโปรดครับ และก็กินไม่หมดเช่นเดิม เก็ทหันมาทำหน้าตำหนิเล็กน้อย มันชอบเป็นอย่างนี้แหละครับเวลาที่ผมกินอะไรไม่หมด ก็นี่ข้าวเยอะอ่ะ! อีกอย่างทาร์ตก็ตักของตัวเองมาให้ผมอีก บอกให้ผมชิมๆ แต่เล่นให้ชิมซะหลายคำเชียว แล้วจะให้ผมกินของตัวเองหมดได้ไง

   “เออนี่ ดูหนังเสร็จไปร้องเกะกันนะ ไม่ได้ร้องด้วยกันนานแล้ว” นุ่นพูดขึ้นขณะที่ทุกคนอิ่มท้องกันแล้ว

   “ก็ดีเหมือนกัน” ดิวพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันไปขอแรงสนับสนุนจากแก้วซึ่งก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเขินๆ หลังๆ มาครอบครัวแก้วเริ่มปล่อยให้แก้วไปไหนมาไหนได้มากขึ้นครับ ก็ถูกใจว่าที่ลูกเขยในอนาคตอย่างดิวเข้าเต็มเปา

   “ทาร์ตชอบร้องเพลงไหม” ไวน์เท้าคางกับโต๊ะมองทาร์ตที่นั่งฝั่งตรงข้าม (ข้างผม) พร้อมกะพริบตาปริ๊งๆ

   “ก็ชอบนะครับ แต่อาจจะไม่ค่อยเพราะเท่าไร” ทาร์ตตอบพร้อมกับเกาหัวอย่างอายๆ

   “ไม่เป็นไร งั้นร้องให้พี่ฟังนะ อิอิ”

   “ฮ่าๆ ได้เลย แต่อยู่ที่พี่ไวน์จะทนฟังเสียงผมไหวหรือเปล่าแค่นั้นแหละ” ทาร์ตตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมเช่นกัน มึงพูดกับไวน์แล้วจะหันมายิ้มให้กูเพื่อ?

   “ยิ้มไร” ผมทำหน้างงๆ ว่าทาร์ตที่ยังคงยิ้มกว้างให้ผม

   “ไม่รู้สิ มองหน้าบางคนแล้วทำให้ยิ้มออก”

   “งั้นเหรอ งั้นช่วยเอาเศษพริกที่ติดเหล็กดัดฟันออกก่อนดีกว่าไหม ฮ่าๆ”

   “เห้ย! จริงเหรอ! มีใครมีกระจกบ้างไหมครับ” ทาร์ตทำหน้าตาเลิ่กลั่กทันทีที่ผมบอกไปแบบนั้น

   “อ่ะๆ นี่” โดนัทล้วงไปหยิบกระจกแบบเจ้าหญิงสุดหรูหรา (เคยถามมันตอนมันซื้อมาใหม่ๆ รู้สึกว่าจะราคาโคตรแพงเลยครับ ตอนนั้นด่ามันไปเยอะด้วยว่าสิ้นเปลือง) ขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วส่งให้ทาร์ต

   “ไหนอ่ะพี่ ไม่เห็นจะมีเลย ปกติผมกินก็ไม่ค่อยติดนะ” ทาร์ตหันมาทางผมทั้งที่ยังคือยิงฟันส่องกระจกอยู่อย่างนั้น

   “กูหลอกเล่น ฮ่าๆๆๆ เชื่อเป็นตุเป็นตะว่ะ!” ผมปล่อยก๊ากเลยครับ ทุกคนที่เหลือก็หัวเราะกันทั้งโต๊ะเลยที่เห็นคนโดนแกล้ง แถมท่าทางยังตื่นตระหนกสุดขีดอีกต่างหาก

   “โห้ แกล้งกันได้เนอะคนเรา เสียเซลฟ์หมดเลย” ทาร์ตทำหน้างอนๆ ใส่ผมก่อนจะยื่นกระจกคืนให้พี่สาวของตน

   “แกล้งเล่นขำๆ นี่ก็จริงจัง ฮ่าๆ”

   สะใจมากครับที่ได้แกล้งทาร์ต มันก็ทำท่าทางเหมือนเคืองๆ ผมเล็กน้อย แต่พอผมบอกว่าไว้วันหลังจะเลี้ยงไอศกรีมเท่านั้นแหละ ถึงกับยิ้มออกเลย สรุปว่ามันเห็นแก่กินหรือมันแกล้งงอนผมกันแน่เนี่ย

**********__________**********

   และแล้วหนังก็จบไปครับ หนังยาวประมาณสองชั่วโมงได้ รวมๆ กับโฆษณาตอนต้นอีก ทำให้ตอนนี้เราออกมาจากโรงภาพยนตร์ก็ใกล้จะสามทุ่มแล้ว จึงรีบไปจองห้องคาราโอเกะต่อทันทีเลยครับ ไม่งั้นจะดึกไปมากกว่านี้

   จากนั้นเราก็สนุกกันเต็มที่กับการร้องเพลง ผมที่ร้องเพลงไม่ค่อยเก่งก็ทำหน้าที่เป็นแดนเซอร์กับพวกไวน์ โดนัท แล้วก็ป๊อปอายครับ เต้นกันรั่วมากๆ ไม่มีอายเลยครับ คนกันเองทั้งนั้น หน้าที่ร้องเพลงหลักๆ ก็จะเป็นดิว นุ่นแหละครับ ที่ส่วนใหญ่จะครองไมค์ไว้กันแค่สองคน แต่วันนี้พิเศษเหมือนกัน ที่เก็ทลุกมาจับไมค์ร้องเพลงคู่กับดิว เล่นเอาเพื่อนๆ ทุกคนปรบมือชอบใจกันใหญ่เลยครับ ที่สำคัญเสียงเก็ทเพราะมากเลย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะร้องเพลงเพราะขนาดนี้ คราวหน้าต้องให้ร้องให้ฟังบ่อยๆ ซะล่ะ

   “ผมขอขัดจังหวะหน่อยนะครับ ไม่รู้ว่าเสียงผมจะเพราะหรือเปล่า หรือจะทำให้พวกพี่ๆ รำคาญหูกันก็ไม่รู้ แต่... ผมอยากร้องเพลงนี้เพื่อแทนความรู้สึกในใจของผมครับ” จู่ๆ ทาร์ตก็จับไมค์ก่อนจะลุกขึ้นไปด้านหน้าจอทีวี ทำให้ทุกคนมองกันเป็นตาเดียว เว้นก็แต่ดิวกับแก้วที่นั่งหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคน คงรู้ล่วงหน้าแหละครับเพราะดิวเป็นคนคอยกดเพลงนี่ครับ ว่าแต่ทาร์ตไปรีเควสเพลงไว้ตอนไหน

   “ผมขอร้องเพลงนี้ให้ใครคนหนึ่ง ที่ทำให้ผม... เกิดความรู้สึกดีๆ เช่นนี้” ทาร์ตยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ และเมื่อผมหันไปมอง สายตาของเราสองคนก็บรรจบกันพอดี ทาร์ตยิ้มกว้างอวดเหล็กดัดฟันให้ผมอย่างมีเลสนัย “ยังไงผมยังรออยู่เสมอนะครับ”
 
   “ฉันคิดว่ารักมันคือความผูกพัน คิดว่ารักแท้ต้องเดินผ่านวันและเวลา…”

   ดวงตาเป็นประกายนั้นจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาของผมราวกับกำลังหาคำตอบ ขณะที่ปากยังคงเปล่งเสียงออกมา

   “ฉันเพิ่งเข้าใจว่ารักเป็นอย่างนี้ ฉันเพิ่งเข้าใจเมื่อได้มาเจอด้วยตัวเอง
เสี้ยวนาทีก็มีความหมาย เปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ ฉันเพิ่งรู้ในวันนี้ รักไม่ต้องการเวลา...”

   หัวใจของผมเต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจังหวะและเนื้อหาของเพลง หรือบางที่... เวลามันอาจจะไม่ได้พิสูจน์ความรักก็ได้ ทั้งความรักที่ผ่านมา และสิ่งที่กำลังผลิบานตรงหน้า

   “เหมือนหัวใจ เหมือนหยุดไปในห้วงเวลานี้ เมื่อพบเธอ ความรักที่เคยเข้าใจก็เปลี่ยนไป
ไม่ต้องใช้วันเวลา แค่เราได้พบกันในวันนี้ แค่พบเจอกับเธอ ก็รักเธอ... ฉันรักเธอ”

   ตั้งแต่เริ่มร้องจนจบ ทาร์ตไม่ละสายตาไปจากผมเลย ริมฝีปากนั้นขยับขึ้นลงตามจังหวะ เปล่งคำตามเนื้อเพลงเพื่อสื่อมายังหัวใจของผม ที่ก็จับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาและสดใสของทาร์ตไม่วางตาเช่นกัน

   ขณะที่ทาร์ตร้องเพลงไป โดนัทกับไวน์ก็มาสะกิดผมยิกเลยครับ เออ กูรู้แล้วครับ! รู้ว่ามันร้องให้ผม รู้ว่ามันกำลังจีบผม... ต่อหน้าเพื่อนทุกคนอีกต่างหาก! เอาไงดีวะกู

   จะว่าไปเสียงมันก็ดีเหมือนกันนะครับ ดีจนสะกดผมไม่ให้ละลายสายไปไหนเลย รู้ตัวอีกทีก็จบเพลงแล้ว โอ้ย ผมจะทำไงต่อไปดีครับเนี่ย ทำไงดีๆ ไอ้ทาร์ตมันก็ยังมองผมพร้อมกับยิ้มกว้างๆ ให้อีก จนผมทำตัวไม่ถูกแล้ว

   “ฮี้ววว” พวกเพื่อนตัวสนับสนุนส่งเสียงโห่ร้องทันทีที่เพลงจบ พร้อมกับตบมือตาหน้าขาอย่างชอบใจ ส่วนผมยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ

   “เอาแล้วเว้ยมึงๆ ใส่เกียร์รุกใหญ่เลยเว้ย” นุ่นเอ่ยปากแซว ทาร์ตยิ้มด้วยความเขินๆ แต่สายตาก็ยังคงมองมายังผมแบบไม่วางตา

   “เอ่อ... กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ทำไรไม่ถูกครับ นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วสำหรับผม

   เมื่อทำอะไรไม่ถูกและเริ่มลนลาน ผมจึงตัดสินใจรีบเดินออกไปเข้าห้องน้ำทันที อย่างน้อยขอทำสมาธิ สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วกัน หัวใจผมนี่เต้นแรงมากเลย ยิ่งนึกถึงสายตาทะเล้นๆ เป็นประกายนั้น รวมทั้งรอยยิ้มกว้างกับเหล็กดัดฟันที่สดใส มันยิ่งทำให้ใจผมสั่นมากขึ้น หน้าเองก็พลอยร้อนผ่าวขึ้นด้วยเช่นกัน

   เวลานี้ห้างคนน้อยมากแล้วครับ ร้านส่วนมาเริ่มปิดไฟกันหมดแล้ว ห้องน้ำนี่เลยวังเวงพอสมควร ผมเลยจัดการล้างหน้าเพื่อให้สดชื่นและลดอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจนรู้สึกร้อนให้ลดลง อย่างน้อยน้ำเย็นๆ น่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง

   แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจก แล้วพบกับเงาของใครคนหนึ่งที่ยืนจ้องผมสะท้อนอยู่ในกระจก... ด้านหลังของผม


à suivre...

กลับมา ฟร๊องก์ก็ยังยอมปาร์คอยู่
แต่ที่แน่ๆ คือ ทาร์ตรุกหนักมากกกกก โอ้ยยย เขินแทน 5555+


ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เบื่ออิปาร์ค
เบื่อมากกกกกกกกก

ทำไงดี
จะได้ไปให้พ้นๆมัน

+1 ฮับ

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เอาไงเนี้ยๆแล้วผู้หญิงคนนั้นละเอาไง

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เบื่อปาร์คทำเป็นหมาหยอกไก่ไปได้ จะเอายังไงก็รีบๆ เถอะ ส่วนฟร็อกก็เบื่อ เบื่อความใจอ่อนไม่ยอมรีบๆ ตัดใจซะที
จะทนเจ็บไปทำไมให้เมื่อปาร์คแม่งก็มีแฟนผู้หญิงเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วจะอยู่กินน้ำใต้ศอกทำไม

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เบื่อปาร์คทำเป็นหมาหยอกไก่ไปได้ จะเอายังไงก็รีบๆ เถอะ ส่วนฟร็อกก็เบื่อ เบื่อความใจอ่อนไม่ยอมรีบๆ ตัดใจซะที
จะทนเจ็บไปทำไมให้เมื่อปาร์คแม่งก็มีแฟนผู้หญิงเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วจะอยู่กินน้ำใต้ศอกทำไม

+1 ให้
เม้นท์นี้โดนใจ

เน๊อะ ใช่เน๊อะ
อิปาร์คนี่ ลำไยม่อก
เหี้-ย เกลียดแม่งชิ้บ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 27 (Drama) [21/6/2017]
«ตอบ #98 เมื่อ21-06-2017 20:26:24 »

Chapitre 27

   ผมที่ขอปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำเพื่อควบคุมอารมณ์ รวมทั้งหัวใจที่เต้นแรงก่อนหน้าให้สงบลง กลับต้องผงะเมื่อพบเข้ากับใครคนหนึ่งที่ยืนจ้องผมด้วยสายตาดุดันราวกับโกรธแค้นผมมาสักสิบชาติ แต่กลับยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนได้เจอของที่ตามหา
 
   ปาร์ค! คนๆ นั้นคือปาร์ค! ที่กำลังจ้องผมอยู่ด้วยสายตาที่น่ากลัวจนผมเสียวสันหลังวาบ

   “ปะ... ปาร์ค” ผมหันไปยิ้มให้คนที่เจอโดยบังเอิญพร้อมพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น เอาจริงๆ ผมเองก็ยังไม่พร้อมจะเจอปาร์คตัวเป็นๆ ด้วยแหละ เพราะมันทำให้เสียงปาร์คคุยโทรศัพท์ในวันนั้น และคำพูดบอกรักผู้หญิงคนนั้นมันกลับมาดังก้องในหัวผมอีกครั้ง ทั้งที่ผมพยายามจะลืมมันแทบขาดใจ

   มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่เจอปาร์คที่นี่ ผมไม่ได้ว่ามันแปลกที่ปาร์คจะมาที่นี่ แต่ที่แปลกคือทำไมปาร์คถึงอยู่ดึกขนาดนี้ แถมยังเหมือนรู้อีกว่าผมเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน เพราะห้องน้ำที่ผมเข้า มันเป็นห้องน้ำในส่วนของคาราโอเกะและโบว์ลิ่ง ซึ่งปกติถ้าคนไม่ได้มาโยนโบว์ล หรือร้องคาราโอเกะก็ไม่ค่อยมาเข้ากันเท่าไร แต่ทำไมปาร์คถึงมา

    “มาทำไรเนี่ย แล้วมากับใคร” ผมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่พยายามปั้นมันขึ้นมาเพื่อดึงให้บรรยากาศมันผ่อนคลายขึ้น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับปาร์ค กลับไม่มีแววตาล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

   “...” ปาร์คยังคงจ้องผมนิ่ง ผมกลัวสายตาที่จ้องมานั้นมากพูดตรงๆ มันเหมือนกับผมทำอะไรผิดมาอย่างไรอย่างนั้นแหละ

   “ปาร์คไม่สบายหรือเปล่า” ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะเอาหลังมือแตะที่หน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “โอ้ย! เจ็บนะปาร์ค!”

   แล้วอยู่ดีๆ ปาร์คก็จับข้อมือของผมที่ยื่นออกไปนั่นมาบีบไว้ด้านหน้าอย่างแรงจนผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เป็นบ้าอะไรเนี่ย! ผมเจ็บนะเว้ย!

   “ปากบอกว่าไม่ได้มีอะไร ไม่ได้คิดอะไร แต่การกระทำมันตรงกันข้ามหมดเลย!” ปาร์คตวาดผมเสียงแข็ง มือใหญ่ที่บีบข้อมือผมอยู่นั้นเพิ่มแรงกดมากขึ้นราวกับคีมเหล็กที่กำลังจะบดกระดูกผมให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

   “โอ้ย! ปาร์คปล่อยแขนฟร๊องก์ก่อน เจ็บ! แล้วปาร์คพูดเรื่องอะไร ฟร๊องก์ไม่เข้าใจ” ผมพยายามบิดแขนออกจากแรงบีบนั้น แต่มันกลับไม่มีผลใดๆ เลย ปาร์คกลับยิ่งเพิ่มแรงบีบมากขึ้นจนใบหน้าผมเหยเกเพราะแรงบีบดังกล่าว

   “หึ! หลอกคนอื่นนี่มันมีความสุขมากใช่ไหม! ถึงได้แกล้งตีหน้าซื่อได้ขนาดนี้!” เสียงปาร์คยังคงดังก้องในห้องน้ำนี้

   “ใครหลอกอะไร ปาร์คพูดเรื่องบ้าอะไร ฟร๊องก์งงไปหมดแล้วนะ! แล้วก็ปล่อย! ฟร๊องก์เจ็บ!” ผมยังคงไม่ลดละความพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากมือหนานั้น

   “ก็ไอ้เด็กเวรนั่นไง ทำไม! คบกับมันแล้ว! จะมาหลอกกันอีกทำไม!!!”

   “ฟร๊องก์ว่าปาร์คพูดไม่รู้เรื่องแล้วแหละ ไว้อารมณ์ดีๆ ค่อยมาคุยกันแล้วกัน” ผมเองก็หงุดหงิดแล้วเหมือนกัน มาถึงก็เอาแต่ตวาดใส่ผม ทั้งที่ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ปาร์คพูดเลยด้วยซ้ำ ใครหลอกใคร ผมเหรอที่หลอก? ลองถามตัวเองดีกว่าไหมว่าโกหกปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่า!

   “กูรู้เรื่อง! รู้ดีด้วย... แต่อยากจะรู้ว่าถ้าไอ้เด็กนั่นมันได้ของเหลือเดนจากปาร์คไป มันจะยังสนใจใยดีฟร๊องก์อยู่หรือเปล่า หึหึ” ปาร์คแสยะยิ้มมุมปากเหมือนกำลังสะใจอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะออกแรงกระชากผมให้เดินตามไปอย่างรุนแรง ไร้ความปรานี “มานี่!”

   “เจ็บนะปาร์ค! จะพาฟร๊องก์ไปไหน!” ผมพยายามสลัดข้อมือตัวเองให้หลุดจากการจับกุมนั้น ขณะที่ขาก็ก้าวตามคนช่วงขายาวนั้นไม่ทันจนแทบจะล้มหัวทิ่มตั้งหลายรอบ “เพื่อนๆ ฟร๊องก์ยังอยู่กันนะ”

   “เงียบ!” ปาร์คหันมาตวาดเสียงดัง จนคนที่เหลืออยู่เบาบางในห้างนั้นหันมามองเป็นตาเดียว ผมเองก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกกับเสียงตวาดนั้น ปาร์คไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แล้วตอนนี้เป็นอะไรกัน หัวใจผมเต้นแรงด้วยความกลัว พร้อมกับช่วงขาที่ต้องเร่งฝีเท้าให้ทันจังหวะก้าวขายาวๆ นั้นจนแทบจะวิ่ง ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ได้ล้มพับลงกับพื้น

   ในที่สุดปาร์คก็ฉุดกระชากลากถูผมมาจนถึงรถของมัน ก่อนจะเหวี่ยงผมเข้าไปโดยไม่สนว่าผมจะกระแทกกับอะไรบ้าง จนผมระบมไปทั้งตัว ผมจะเปิดประตูออกแต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อปาร์คขึ้นทางฝั่งคนขับก่อนจะกระชากแขนผมไปบีบไว้อย่างแรงอีกครั้ง จนผมต้องนั่งนิ่งอย่างยอมจำนน

   ผมนั่งบีบนวดข้อมือตัวเองเบาๆ เพื่อคลายความปวดที่เกิดจากแรงบีบก่อนหน้า พลางหันหน้าออกไปมองรถที่วิ่งไปมาอยู่บนท้องถนน โดยไม่สนใจคนข้างๆ แม้แต่น้อย

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น สงสัยเพื่อนจะโทรตามเพราะเห็นผมออกมานานแล้ว ผมจึงรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบออกมารับสายทันที อย่างน้อยอาจจะมีคนช่วยผมได้ในเวลาแบบนี้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะกดรับ ปาร์คก็คว้าโทรศัพท์ออกจากมือผมอย่างรวดเร็วก่อนจะโยนส่งๆ ไปที่เบาะหลัง

   “นี่!” ผมชักสีหน้าพร้อมกับทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจ ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อเอี้ยวตัวเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์

   “หยุด! แล้วนั่งดีๆ” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น พลางเหลือบมามองผมเล็กน้อย

   “...” ผมไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้นก่อนจะพยายามเอี้ยวตัวไปยังเบาะหลัง

   “อยากลองดีนักใช่ไหม!” อยู่ๆ ปาร์คก็หักพวงมาลัยมาจอดเทียบริมฟุตบาทโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ทำให้สีข้างผมกระแทกกับข้างเบาะอย่างแรงจากการหักพวงมาลัยกะทันหันนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะพุ่งมาบีบไหล่ทั้งสองของของผมกดไว้กับเบาะอย่างรุนแรง

   “จะทำบ้าอะไร! อุ๊บ!!” ผมตวาดปาร์คกลับด้วยความตกใจก่อนที่เสียงนั้นจะถูกกลืนหายไปด้วยริมฝีปากของอีกคนที่มาประกบริมฝีปากของผมอย่างรุนแรง

   ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบหนีใบหน้าคมคายนั้นที่กำลังทำร้ายผม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหันหนีไปไหนได้เมื่อปาร์คปล่อยมือจากไหล่ข้างหนึ่งของผมแล้วมากระชากท้ายทอยผมให้หน้าเชิดขึ้นรับสัมผัสอันป่าเถื่อนที่มอบให้ ปาร์คบดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างจาบจ้วงและไร้ความปรานี แต่ผมก็ไม่ยอมให้เรียวลิ้นนั้นล้วงล้ำเข้าไปข้างในได้ ผมเม้มปากสุดชีวิต แต่ปาร์คก็กัดเล็มริมฝีปากของผมจนผมรับรู้ได้ถึงความเจ็บจี๊ดๆ ของแผลที่เริ่มปริแตกที่มุมปากและรสคาวคุ้งของเลือด สุดท้ายก็เผลอเผยปากออกด้วยความเจ็บ ทำให้ปาร์คล่วงล้ำเข้ามาได้อย่างสมใจ

   ผมพยายามฝืนร่างและเกร็งตัวทุกวิถีทางเพื่อให้หลุดพ้นจากการกระทำอันโหดร้ายของคนตรงหน้า แต่มันกลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย เมื่อแรงที่ผมมีอยู่ไม่สามารถต่อสู้กับแรงอันมหาศาลของปาร์คได้เลย หนำซ้ำปาร์คยิ่งเค้นแรงกดที่ไหล่และท้ายทอยของผมมากขึ้น มันเจ็บเสียจนผมเริ่มชา

   เสียงโทรศัพท์ของผมยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่บทจูบที่รุนแรงก็ยังคงไม่สิ้นสุดเช่นกัน ผมเจ็บจนหยุดฝืนตัวเองแล้วปล่อยให้ปาร์คทำจนกว่าจะพอใจ แต่น้ำตาเจ้ากรรมดันไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมผิดอะไร ทำไมต้องทำกับผมรุนแรงแบบนี้ด้วย ผมพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลรินลงมา ผมไม่อยากให้ปาร์คเห็นน้ำตา และไม่อยากให้เห็นว่าผมเป็นคนอ่อนแอแล้วมาสมน้ำหน้าผมทีหลัง

   “บอกแล้วว่าอย่าลองดี! ถ้ายังไม่เข้าใจจะลองอีกก็ได้นะ” ปาร์คพูดขึ้นหลังจากถอนริมฝีปากออก ก่อนที่จะกระตุกยิ้มมุมปากราวกับกำลังสะใจกับสิ่งที่เพิ่งจะทำกับผม

   “พอใจแล้วใช่ไหม ถ้าพอใจแล้วจะได้กลับ!” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งงัน พร้อมกับจ้องตาคนตรงหน้าอย่างไม่ลดละ

   “หึ! มันยังไม่จบง่ายๆ หรอก นั่งดีๆ ซะอย่าให้ต้องพูดมากอีก ไม่งั้น... น่าจะรู้นะว่าจะเป็นยังไง” ปาร์คขู่เสียงเหี้ยม ก่อนจะกลับไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับเหมือนเดิม แล้วออกรถไปอย่างรวดเร็ว

   ผมนั่งนิ่งมาตลอดทางไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าปาร์คจะพาผมไปที่ไหน แต่ผมก็รู้อยู่แล้วแหละว่าคงหนีไม่พ้นคอนโดฯ เสียงโทรศัพท์ผมยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องจนปาร์คทนไม่ไหว ต้องจอดรถแล้วเอื้อมไปหยิบมากดปิดเครื่องเหมือนกับโทรศัพท์นั่นเป็นของตัวเอง แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก อยากทำอะไรก็เชิญ!

   ในที่สุดปาร์คก็พาผมมาที่คอนโดฯ ตามที่ผมคิด แต่ผมยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ผมไม่ได้หาเรื่อง แต่ผมไม่ได้เต็มใจจะมา!

   “ลงมา!” ปาร์คกระแทกเสียงใส่ผมหลังจากที่เดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งผมเรียบร้อยแล้ว

   ผมยังคงนั่งนิ่งไม่ใส่ใจกับเสียงดังกล่าว

   “โอ้ย! ปล่อย!” แต่มันยิ่งเหมือนเป็นการสาดน้ำมันใส่กองไฟให้มันโหมกระหน่ำขึ้น เมื่อปาร์คกระชากแขนผมลงจากรถจนแทบจะพยุงตัวไม่อยู่ แรงกระชากนั้นรุนแรงเสียจนตัวผมปลิวเข้าไปปะทะกับแผงอกแข็งแกร่งของปาร์ค

   “ปล่อย เดินเองได้!” ผมกระแทกเสียงกลับก่อนจะสะบัดมือออกจากการจับกุมนั้น แล้วผละออกจากตัวปาร์คทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงละลายไปกับแผงอกและกลิ่นกายนั้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่ครับ ผมโกรธที่ปาร์คไม่มีเหตุผล แล้วที่สำคัญพาผมออกมาอย่างเหวี่ยงๆ บ้าบอแบบนี้ทั้งที่ผมไม่ได้บอกเพื่อนสักคำ แถมยังไม่รู้เหตุผลอีกต่างหากว่าโมโหใส่ผมเรื่องอะไร ตั้งแต่เจอกันก็เอาแต่ขึ้นเสียง และใช้กำลังกับผม ทั้งที่แต่ก่อนปาร์คไม่เคยเป็นแบบนี้เลย แล้วตอนนี้คืออะไร คนตรงหน้าผมใช่ปาร์คคนที่ผมรู้จักหรือเปล่า

   ตุ้บ!

   ทั้งที่ผมบอกว่าจะยอมเดินขึ้นมาเอง แต่สุดท้ายปาร์คก็ไม่ยอมทำตามที่ผมบอก กลับฉุดกระชากผมมาจนถึงห้อง ก่อนจะเหวี่ยงผมลงบนโซฟาอย่างแรง ถึงแม้ว่าผมจะโดนการกระทำจากเรี่ยวแรงอันมหาศาลก่อนหน้าแล้ว แต่มันยังเทียบไม่ได้กับแรงเหวี่ยงครั้งนี้เลย ผมเจ็บร้าวที่สีข้างไปจนถึงกระดูก

   ผมยังคงหาเหตุผลมาตอบตัวเองไม่ได้ว่าปาร์คกำลังโกรธแค้นผมเรื่องอะไร ถึงต้องทำกับผมขนาดนี้ แต่ถ้ามันจะหมายถึงการที่ผมจะคบหรือไม่คบกับทาร์ต แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปาร์คด้วย ในเมื่อ... ตัวเองก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว ปาร์คจะทำแบบนี้เพื่ออะไร หรือเห็นผมเป็นแค่ ‘ของเล่น’ ที่วันดีคืนดีก็เกิดหวงขึ้นมา

   “ไง มีความสุขเหลือเกินนะเวลาอยู่กับมัน” ปาร์คสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ พร้อมนัยน์ตาดุดันที่จ้องมาที่ผม จนผมต้องเริ่มขยับหนี ปาร์คตอนนี้เหมือนนักล่าที่พร้อมจะจัดการเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม!

   ปาร์คเดินมาถึงตัวผมแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากจะตอบคำถามไร้สาระ พาลชวนให้ทะเลาะที่ปาร์คถามขึ้นมานี้หรอก ถึงผมจะคบกับใครยังไงจริงๆ ทำไมผมจะต้องบอก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องบอกเลย ในเมื่อปาร์คเองยังไม่คิดที่จะบอกผมเลยแม้แต่น้อย แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมต้องหาทางเอาตัวรอดไปจากที่นี่ก่อน เพราะดูท่าทางปาร์คจะยากเกินควบคุมหรือทำให้ใจเย็นลงได้แล้ว

   “คิดว่าจะหนีรอดเหรอ!”

   ไวกว่าความคิดที่ผมจะหนีให้พ้นจากโซฟาตัวยาวนี้ ปาร์คโถมตัวลงมาคร่อมเบื้องบนของตัวผมได้แค่ช่วงเสี้ยววินาที ในที่สุดผมก็ตกอยู่ใต้อาณัติของร่างสูงด้านบนเป็นที่เรียบร้อย

   ปาร์คกดตัวผมให้ติดกับโซฟามากขึ้น ทั้งที่ผมพยายามผลัก ทุบ ทั้งจิก ทั้งข่วนคนตรงหน้า แต่มันกลับไม่ระคายผิวปาร์คเลยแม้แต่น้อย แต่ผมกลับได้รับการกระทำที่รุนแรง ป่าเถื่อนกลับมาแทน

   มือของผมทั้งสองข้างถูกรวบไว้เหนือหัวด้วยมือใหญ่ของปาร์คเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างของปาร์คก็มาบีบคางผมให้หันกลับมาสบตากับเขา แรงบีบนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหัว ผมพยายามกระเสือกกระสนหนีจากใต้อาณัตินี้ แต่มันกลับยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น... ผมรู้สึกแสบบริเวณแผลที่ข้างริมฝีปากเหมือนมันถูกย้ำให้ปริแตกขึ้นกว่าเดิม

   ผมมองลึกลงไปยังดวงตาคมสีดำสนิทนั้น ดวงตาที่เคยมองผมด้วยความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด บัดนี้กลับมีเพียงเปลวเพลิงแห่งความโกรธเคือง

   “ปาร์คคิดว่าฟร๊องก์จะเข้าใจความสัมพันธ์ของเราหลังจากวันนั้นแล้วนะ ว่าเราเป็นอะไรกัน แล้วทำไมถึงยังไปยุ่งกับไอ้หมอนั่น หรือต้องให้ปาร์คย้ำอีกสักกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ!”

   “หึ! ความสัมพันธ์ของเราเหรอปาร์ค อะไรล่ะ?... ในเมื่อเรื่องของเรามันไม่มีอะไรเกินกว่าคำๆ หนึ่งเลย! เพื่อนไง! นั่นคือสถานะของเราสองคนไม่ใช่เหรอ!” ผมตวาดกลับอย่างเดือดดาลแม้จะพูดได้อย่างไม่ถนัดนักเนื่องจากแรงบีบร้าวที่ช่วงกราม พร้อมกับใช้แววตาวาวโรจน์จ้องปาร์คอย่างไม่หวั่นเกรง ถึงตรงนี้ผมไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว เพราะอย่างไรซะ สักวันเรื่องของเราก็ต้องชัดเจนอยู่ดี แต่อยู่ที่เราจะทำให้มันดีขึ้นหรือแย่ลง

   “เพื่อนงั้นเหรอ! นี่แกล้งโง่หรืออะไรกันแน่ฟร๊องก์! ต้องการอะไร ต้องการยั่วปาร์ค? ต้องการเรียกร้องความสนใจเหรอ นี่ไงปาร์คสนใจฟร๊องก์แล้ว ปาร์คหัวเสียแล้วนี่ไง! พอใจหรือยัง!?!”

   “ฟร๊องก์ไม่ได้โง่หรอก แต่ฟร๊องก์แค่รู้ธาตุแท้ของใครบางคนมากกว่า สนุกมากไหมที่เล่นกับความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้... ฟร๊องก์ไม่น่าหลงผิดไปรักคนอย่างปาร์คเลย”

   “หลงผิด... หึ! ถ้าไม่หลงผิดก็คงเป็นไอ้เด็กนั่นสินะ!” แรงบีบที่คางผมเพิ่มมาขึ้นจนใบหน้าผมเหยเกอย่างเจ็บปวด ดวงตาสั่นระริก ทำนบน้ำตาที่รั้งอยู่ที่ขอบตาพร้อมที่ไหลรินลงมาทุกเมื่อ ผมมองลึกลงไปที่นัยน์ตาคมของอีกคน เพื่อเรียกร้องหาความอ่อนโยน ของแค่นิดเดียวเท่านั้น แค่สักนิดที่ปาร์คจะอ่อนโยนกับผม... แต่มันกลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย

   “ใช่! ก็ในเมื่อน้องเขาดีกับฟร๊องก์ขนาดนั้น แล้วมันได้เวลาที่ชีวิตจะต้องเริ่มใหม่แล้ว ใครจะอยากมา ‘จมปลัก’ อยู่แต่กับคนเดิมๆ สิ่งเดิมๆ” ผมโพล่งออกไปเพียงหวังว่าเมื่อปาร์คได้รับรู้และตระหนักคิด จะได้ปล่อย... ปล่อยให้ผมไปตามทางของผม ผมเหนื่อยมากเกินพอแล้ว มากเกินกว่าที่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว

   “ดี! งั้นปาร์คก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้ามันรู้ว่าได้ของที่ปาร์คกินเหลือซ้ำแล้วซ้ำอีก มันจะยังรับได้ไหม” ปาร์คพูดเสียงเย็นเฉียบจนน่าขนลุก พร้อมยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

   “จะ... จะทำอะไร!” ผมถามเสียงสั่น ผมรู้ดีถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ผมจะหนีรอดออกไปได้อย่างไร!

   “น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ หึหึ”

   “อย่าาา!!! อุ๊บ!!”

   ปาร์คปิดปากผมด้วยริมฝีปากบางของเขา รุนแรงและป่าเถื่อน ผมพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ลิ้นของปาร์คล่วงล้ำเข้ามาได้ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ปาร์ครุกหนักขึ้นๆ จนแผลเริ่มปริอีกครั้งจากคมเขี้ยวของปาร์ค ทำให้ผมต้องยอมเผยอริมฝีปากออกด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่เต็มใจ

   ผมเบือนหน้าหนีการสัมผัสอย่างหื่นกระหายของปาร์ค ที่ละออกจากริมฝีปากของผมไปซุกไซร้ที่ลำคอแทน จนผมแสบไปทั่วผิวหนัง รอยจ้ำแดงพวกนี้มันคงเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงการกระทำอันโหดร้ายและการตีตราร่างกายของผม ถึงตอนนี้ผมนอนนิ่ง ปล่อยให้ปาร์คแทะโลมร่างกายผมได้ตามอำเภอใจแล้ว มันทำให้ผมรับรู้ว่า สำหรับปาร์คแล้ว มันคงต้องการแค่ร่างกายของผม... แค่นั้น

   “ยอมแล้วรึไง ไม่ดิ้นต่อล่ะ” ปาร์คผละริมฝีปากที่ซอกซอนไปทั่วทั้งใบหน้าและลำคอของผม แล้วเงยขึ้นมาถากถางผมด้วยสายตาแสนเหยียดหยาม

   “...” ผมเลือกที่จะนิ่งไม่ตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น

   “ทำไม! ต้องเป็นไอ้เด็กนั่นหรือไง ห๊า!!!”

   “ปล่อย! ทำไมล่ะ ในเมื่อปาร์คเองยังมีคนอื่นอยู่แล้วเลย! เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะปาร์ค แล้วปาร์คจะทำแบบนี้เพื่ออะไร! ทำทำไมกัน!!” ผมตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง น้ำตาผมยังหลั่งไหลออกมาไม่หยุด หัวใจของผมถูกย้ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

   “งั้นปาร์คจะย้ำให้ฟร๊องก์ได้รู้เอง จะได้จำไว้ว่าเราเป็นอะไรกัน!!!” ปาร์คกัดฟันเสียงเข้ม พร้อมกับสายตาที่แสนเลือดเย็นนั้นจ้องมาที่ผมอย่างเดือดดาลราวกับผมทำอะไรผิดใหญ่หลวงไว้กับเขา แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความใจดำอำมหิตที่เขามอบให้

   “ปล่อยกูนะ!! ปล่อย!!!” ผมกรีดร้องสุดเสียงเพื่อหยุดการกระทำป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์ของปาร์ค ผมดีดดิ้นอย่างสุดแรงเพื่อให้หนีพ้นจากกรงเล็บและคมเชี้ยวนี้ แต่มันยิ่งทำให้พันธนาการของคนตรงหน้าแน่นหนามากขึ้น

   ผมผิดด้วยหรือไง ถึงต้องมารองรับเรื่องแบบนี้!

   เสียงหวีดร้องแทบขาดใจด้วยความเจ็บปวดของผม ไม่ได้กระตุ้นจิตสำนึกของปีศาจตรงหน้าเลย ในใจผมได้แต่ภาวนาว่าให้มันจบไป และตื่นมาขอให้มันเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น ขอให้ผมได้เจอกับปาร์คที่แสนดีของผมคนเดิมเสียที... 


à suivre...

เราเชื่อว่าจบตอนนี้ คนจะรุมด่า รุมทึ้ง รุมกระทืบ รุมเกลียดปาร์คหนักกว่าเดิม แน่นอน!!!
แต่งมาจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนแบบปาร์คกำลังคิดอะไรกันอยู่แน่ 555+
ส่วนฟร๊องก์ เราเองก็ไม่เคยเป็นถึงขั้นนี้นะ แต่ก็พยายามไปให้มันสุดโต่งไปเลย เท่าที่คนๆ หนึ่งจะทำได้

นิยายมึนๆ ตัวละครมึนๆ คนแต่งก็มึน อย่าว่ากันนะฮะ 55555555+

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เหี้ยจริงๆ ตัวเองมีคนอื่นได้ แต่คนอื่นมีไม่ได้ ความจริงมึงต้องอธิบายว่าไอ้ผู้หญิงคนนั้นคือใคร ไม่ใช่มึงมาขมขื่นฟร๊องก์แบบนี้ เหี้ยมากๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ยังจะมีหน้าโผล่มาทำเรื่องเลวทราม
ต่ำช้ายิ่งกว่าเหี้ยอีกนะเมิงไอ่ปาร์ค

ไม่อยากจะด่าเมิงอีกแล้ว
ไอ่สึด

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ซาดิสดีชอบๆ เอาอีก แรงๆ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 28 [29/6/2017]
«ตอบ #103 เมื่อ29-06-2017 20:29:29 »

Chapitre 28

   “อื้อ...” ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว ปวดตามเนื้อตัวและสะโพกอย่างรุนแรง ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดพยุงตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เมื่อคืนผมจำได้แค่ ผมถูกย่ำยีของน้ำมือของคนที่ผมรักมากที่สุด ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนผมเองก็ทนไม่ไหว ก่อนที่สติผมจะดับลงไป แต่ก็ดีแล้วแหละที่ผมสลบไปแบบนั้น จะได้ไม่ต้องทนเห็นและรับรู้ความรู้สึกที่เจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจแบบนั้นอีก

   ร่างกายที่เปลือยเปล่าปรากฏร่องรอยการกระทำอันป่าเถื่อนที่เกิดขึ้น ตอกย้ำผมว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และผมก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพียงแค่ต้องก้มหน้ายอมรับมัน ใช่ผมยอมรับว่าเมื่อคืนผมก็มีส่วนผิดที่ผมปล่อยให้อารมณ์นำพาไป แต่ความโหดร้ายป่าเถื่อนในตอนแรก ผมไม่ได้ต้องการมัน รวมทั้งความผิดบ้าๆ ที่ปาร์คยัดเยียดมาให้ผมอีก แต่ผมไปต่อไม่ไหวแล้ว ผมบอบช้ำมากเกินจะทนไหวแล้ว และผมควรจะหยุดมันสักที

   เรื่องของผมกับปาร์ค ที่ผมคิดไว้ว่าอย่างน้อยเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม มันพังทลายลงแล้ว ในตอนนี้ผมไม่เหลือความรู้สึกดีๆ อีกต่อไปแล้ว แม้แต่คำว่าเพื่อนผมก็ทำใจยอมรับมันไม่ได้!

   ความรู้สึกดีๆ ที่ค่อยๆ สะสมมาเนิ่นนาน กลับถูกทำลายได้ง่ายๆ ด้วยการกระทำสุดเลวทรามแค่ครั้งเดียว!

   “หึหึ” ผมหัวเราะเยาะกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นี่หรือเปล่าที่ผมต้องการมาตลอด อยากได้ อยากครอบครองไม่ใช่เหรอ นี่ไง! ผมได้แล้ว ทั้งที่คิดมาตลอดว่าครั้งแรกของเรามันเกิดขึ้นจากความรู้สึกดีๆ แล้วมันจะค่อยๆ พัฒนาความรักของเราสองคนขึ้นได้เรื่อยๆ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เลย มันทำให้ผมรู้เลยว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเพราะปาร์คแค่อยากเอาชนะคนอื่นๆ ด้วยการได้ครอบครองและประกาศตัวว่าเป็นเจ้าของร่างกายผม ใช้ความรักและหวังดีที่ผมมีให้ มาทำร้ายตัวผมได้อย่างโหดเหี้ยมและเลือดเย็น

   หัวใจดวงนี้หมดแรงที่จะวิ่งตามความรักต่อแล้ว มันแทบไม่เหลือแรงที่จะเต้นต่อแล้วด้วยซ้ำ...

   ผมนั่งหลับตาอยู่แบบนั้นสักพัก ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดที่ไหลรินออกมา แม้ในใจมันจะจุกจนแทบระเบิด แต่ผมกลับรู้สึกเสียดายที่จะร้องไห้คร่ำครวญกับมันอีก ผมแค่อยากปล่อยให้มันผ่านไป เป็นแค่ความทรงจำสุดขมขื่นแล้วลืมมันในที่สุด เมื่อคืนผมร้องไห้อ้อนวอนขอความเมตตาจากอีกคนๆ นี้มามากเกินพอแล้ว

   ต่อจากนี้เรื่องทุกอย่างจะจบ ผมจะเป็นฝ่ายไปเอง ระหว่างผมกับปาร์ค จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ผมจะจำแค่เรา ‘เคย’ เป็นเพื่อนกัน แต่ต่อไปนี้ เราก็แค่คนแปลกหน้าที่รู้จักกันเท่านั้น

   “ตื่นแล้วเหรอ ไปล้างหน้าแล้วออกไปกินข้าว ทำข้าวต้มไว้ให้ เดี๋ยวจะได้กินยา” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงของเจ้าของห้องดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาใบหน้านั้นด้วยสายตาเย็นชา และเก็บอาการเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิดใจ ไม่แสดงออกใดๆ ให้อีกฝ่ายรับรู้

   ผมไม่ตอบอะไร ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนล้า ผมไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียงของคนๆ นี้! ผมอยากออกไปให้พ้นๆ จากห้องๆ นี้แล้วจะไม่เหยียบกลับมาอีก!!

   “ฟร๊องก์! พูดไม่ได้ยินหรือไง!” หึ! คนที่ผมรู้จักมาตั้งนานหลายปี แต่ผมกลับดูไม่ออกถึงตัวตนที่แท้จริงเลย นี่สินะคงเป็นตัวตนจริงๆ ของผู้ชายตรงหน้าผมนี้ เก่งเนอะ! หลอกให้ผมเชื่อว่าดี หลอกให้ผมรักซะสนิทใจเลย

   ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบกลับใดๆ จากผม เว้นแต่เพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ผมยังคงนั่งหลับตาโดยมีผ้าห่มคลุมร่างกายที่เปล่าเปลือยอยู่แบบนั้น

   “ต้องให้จัดการอีกรอบไหม ถึงจะคุยกันดีๆ ได้!” เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ปาร์คที่ตอนผมลืมตาขึ้นมองยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน ก็พุ่งเข้ามากระชากแขนผมจนตัวผมปลิวตามแรงนั้นจนอะไรต่อมิอะไรเกือบโผล่พ้นจากผืนผ้าที่เป็นปราการชิ้นเดียวที่ผมมีในตอนนี้

   “ยังมีอะไรต้องคุยกันอีกงั้นเหรอ” ผมลืมตามองปาร์คด้วยสายตาที่เย็นชาที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มองใครๆ มา ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งไม่ต่างกัน

   “อย่ากวนกันตั้งแต่เช้านะฟร๊องก์! อยากลองดีอีกหรือไง!” ปาร์คพูดเสียงเหี้ยม จ้องหน้าผมจนแทบจะกลืนหัวอยู่แล้ว แรงบีบที่แขนก็เพิ่มมาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ไม่ใช่ไม่เจ็บ แต่มันเจ็บเกินกว่าที่ผมจะดิ้นรนแล้วต่างหาก

   “ปล่อยสิ จะได้ไปเข้าห้องน้ำ” ผมสะบัดแขนเล็กน้อยให้หลุดออกจากการจับกุม ก่อนจะผลักอกปาร์คให้ถอยออกไป แล้วกัดฟันลุกออกจากเตียงอย่างยากลำบากไปคว้าผ้าขนหนูโดยไม่อายเลยแม้แต่น้อยว่าร่างกายของตัวเองกำลังเปลือยเปล่าอยู่ หึ! ยังมีอะไรต้องอายอีกเหรอ ในเมื่อเราถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แถมยังไม่ใช่ครั้งแรกอีกต่างหาก!

   ผมใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ที่หมกตัวอยู่ในห้องน้ำ ความเข้มแข็งที่พยายามแสดงออกมาต่อหน้าปาร์คก่อนหน้าทั้งหมดพังทลายเมื่อร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงกระทบกับสายน้ำเย็นเฉียบที่ไหลลงมาจากฝักบัว ผมปล่อยตัวลงนั่งกอดเข่า ขดตัวร้องไห้อยู่แบบนั้นทั้งที่ห้ามตัวเองแทบตายว่าจะไม่ร้องไห้อีก แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้

   มันมีหลายความรู้สึกเกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง ทุกอย่างมันมาสุมรวมกันจนผมไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในวันหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

   วันที่คนที่เรารักที่สุด... ทำให้เราเจ็บที่สุดเช่นกัน

   ก๊อก! ก๊อก!... ก๊อก!

   เสียงเคาะประตูรัวๆ จากด้านนอกพร้อมกับเงาของร่างสูงที่สะท้อนกับประจกขุ่น ทำให้ผมต้องปาดน้ำตาตัวเองอย่าลวกๆ แล้วล้างหน้าล้างตาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะพันผ้าขนหนูก้าวออกมาจากห้องน้ำ

   ผมเบี่ยงตัวหลบปาร์คที่ยืนขวางประตูอยู่โดยไม่สนใจว่าปาร์คจะทำหน้าอย่างไร จะมองผมอยู่ไหม แต่ผมกำลังทำเหมือนว่าไม่มีเขายืนอยู่ตรงนั้น

   “แต่งตัวเสร็จแล้วออกไปกินข้าวข้างนอกนะ อย่าให้ต้องเข้ามาตามอีกไม่งั้นข้าวก็ไม่ต้องกินมันหรอก!” ปาร์คพูดกระแทกเสียงในตอนท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เสื้อผ้าชุดใหม่ของปาร์คถูกนำมาวางบนเตียงเพื่อรอให้ผมใส่ แต่ผมกลับกวาดสายตามองหาเสื้อผ้าของผมเอง ซึ่งมันอยู่ในตะกร้าผ้าที่จะนำไปซัก ผมจึงหยิบมันมาใส่ แม้ว่าเสื้อนิสิตของผมจะยับยู่ยี่และกระดุมบางเม็ดขาดหายไปจนสภาพดูไม่ได้แค่ไหนก็ตาม แต่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องใส่ชุดของปาร์ค ในเมื่อผมไม่ได้ต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อ

   ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หลังจากนำผ้าเช็ดตัวไปตากผมก็มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง และไปสะดุดกับกีต้าร์ตัวน้อยที่ผมให้เจ้าของห้องเมื่อวันเกิด และของขวัญต่างๆ ที่เคยให้ในตู้กระจก ผมมองมันด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยก็เคยมีช่วงเวลาดีๆ เกิดขึ้นระหว่างผมกับปาร์ค และต่อไปผมจะเลือกจดจำแค่เพียงเรื่องดีๆ เท่านี้ จากนี้ไป... ขอให้ทางใครทางมัน

   “ทำไมใส่ชุดนี้!” ยังไม่ทันที่ขาผมจะก้าวผมประตูห้องนอน ปาร์คก็ถามผมเสียงแข็ง แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ผมอยากกลับไปที่ของผมแล้ว ของผมเองไม่มีอะไรติดตัวมาอยู่แล้ว แม้แต่โทรศัพท์ก็อยู่ในรถปาร์ค    
 
   “ก็ไม่ได้จะอยู่ต่อ”

   “เปลี่ยนชุดแล้วมานั่งกินข้าวดีๆ ถ้าจะกลับเดี๋ยวไปส่ง” ปาร์คเลื่อนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารออก ก่อนจะตบมันปุๆ เพื่อเรียกให้ผมไปนั่ง

   “ช่วยไปเปิดรถเอาโทรศัพท์ให้ด้วย” ผมยังคงพูดต่อโดยไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ปาร์คกำลังทำ

   “บอกให้มากินข้าว!”

   “...” ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผมไม่อยากกิน แต่ผมอยากกลับ!

   “ฟร๊องก์!”

   “พอเถอะปาร์ค! ให้ทุกอย่างมันจบลงเถอะ!” ในที่สุดผมโพล่งออกไปด้วยความทนไม่ไหว

   “เรามานั่งคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม” ปาร์คลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวมายังตัวผม

   “ยังมีอะไรต้องคุยอีกเหรอ มันจบแล้วปาร์ค มันจบตั้งแต่ปาร์คกระทำกับฟร๊องก์อย่างป่าเถื่อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!” ผมตะเบงเสียงออกไปด้วยความโกรธจนเนื้อตัวสั่นเทา ต้องการอะไรจากผมอีก! จะเอาอะไรจากผมอีก! ผมไม่เหลืออะไรให้ปาร์คย่ำยีอีกแล้ว ทั้งร่างกายและหัวใจของผม ปาร์คก็ทำร้ายมันจนยับเยินหมดแล้ว จะเหลือก็แค่วิญญาณ...

   “ไม่! มันไม่จบหรอกฟร๊องก์!” ปาร์คขึ้นเสียงแข็งแต่กลับดูสั่นเครือ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอด
 
   ผมยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดนั้น อ้อมกอดที่ไม่มั่นคง อ้อมกอดที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น อ้อมกอดที่คนกอดยังไม่แน่ใจในความรู้สคกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ!

   “มันจบแล้วปาร์ค มันไม่ใช่แค่เพราะสิ่งปาร์คทำกับฟร๊องก์เมื่อคืนอย่างเดียวหรอก แต่ทั้งที่ปาร์คมีคนของปาร์คอยู่แล้ว จะมาให้ความหวัง จะมารั้งฟร๊องก์ไว้ทำไม ปาร์คมีคนอื่นอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ปล่อยฟร๊องก์ไป...” ผมพูดทั้งน้ำตา ขณะที่ปาร์คกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นราวกับจะบอกเป็นนัยกับผมว่าไม่มีทางปล่อยผมไป

   “ฟร๊องก์... พูดเรื่องอะไร”

   “ผู้หญิงคนนั้นไง คนที่ชื่อเกล ที่ปาร์คไปเดินซื้อของด้วยตอนนั้น ที่ปาร์คคุยโทรศัพท์บอกรักในคืนนั้น ผู้หญิงคนนั้นไงปาร์ค! คนที่ปาร์คกำลังคบกันอยู่ไง!” ผมผละตัวเองออกจากอ้อมแขนของปาร์คอย่างแรงจนเจ้าตัวถอยเซไปหลายก้าว ก่อนที่ผมจะได้ทันเห็นสายตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ยังจะมีข้อแก้ตัวอีกไหมล่ะ!

   “ฟะ... ฟร๊องก์... คือ...” น้ำเสียงสั่นเครือของปาร์คเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด โดยที่เจ้าตัวไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆ  ก่อนที่เขาจะพยายามเดินกลับมาคว้ามือทั้งสองของผมไปกุมไว้

   “ปาร์คมีเขาอยู่แล้ว แล้วจะดึงฟร๊องก์เข้าไปเกี่ยวอีกทำไม หรือเพราะเห็นว่าฟร๊องก์รัก เห็นว่าฟร๊องก์ไม่ไปไหน เลยหลอกปั่นหัวฟร๊องก์เล่น พอเบื่อแล้วก็รอวันที่จะเขี่ยทิ้ง! ปาร์คแค่อยากเอาชนะฟร๊องก์ อยากจะแค่ครอบครองฟร๊องก์สินะ!” แต่ยังไม่ทันที่ปาร์คจะได้กุมมือผม ผมกลับสะบัดมันออกอย่างไม่ใยดี

   “ม่ะ... ไม่ใช่เลยนะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะฟร๊องก์ ฟังปาร์คอธิบายก่อน” แต่ปาร์คก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะจับมือของผม

   “ฟังงั้นเหรอ... แล้วเมื่อคืนทำไมไม่ฟังฟร๊องก์บ้างล่ะ! ไม่ต้องพูดอะไรหรอกปาร์ค มันจะยิ่งทำให้ฟร๊องก์เกลียดและสะอิดสะเอียนปาร์คมากขึ้น ปล่อยให้เรื่องของเรามันจบเถอะนะ ฟร๊องก์จะไม่ลืมว่าเราเคยมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน จะไม่ลืมว่าเราเคยเป็น ‘เพื่อน’ ที่ดีต่อกันและกันแค่ไหน ส่วนต่อจากนี้ไป... ฟร๊องก์ขอให้เราอย่ามาเจอกันอีกเลย ถ้ายิ่งทำเป็นไม่รู้จักกันเลยได้ยิ่งดี” ผมพูดด้วยรอยยิ้มทั้งที่หยาดน้ำตายังไหลรินออกมาไม่หยุด รอยยิ้มที่เป็นเหมือนเล่มมีดที่แหลมคมกรีดลึกลงไปยังรอยแผลที่หัวใจ ตอกย้ำความเจ็บปวดของตัวผมเอง

   “ไม่! ปาร์คทำไม่ได้! ปาร์คจะไม่ยอมปล่อยฟร๊องก์ไปแน่!” ปาร์คเข้ามารวบตัวผมไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง อ้อมกอดที่ไม่เหลือแม้ความอบอุ่นเลยสักนิด

   “แล้วปาร์คยังจะเอาอะไรจากฟร๊องก์อีก ฟร๊องก์ไม่เหลืออะไรให้ปาร์คย่ำยีอีกแล้ว หัวใจ รวมทั้งร่างกายของฟร๊องก์ในวันนี้มันป่นปี้หมดแล้ว มันยับเยินจนไม่เหลือชิ้นดีอีกแล้ว...” ผมออกแรงผลักปาร์คอีกครั้งเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ เลิกกักขังผมไว้สักที ถ้าไม่ได้คิด ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม แถมยังมีคนของตัวเองอยู่แล้ว ก็ปล่อยผมไปสักที! “... ฟร๊องก์ขอให้ปาร์คมีความสุขกับผู้หญิง ‘ที่ปาร์คเลือก’ นะ”
 
   ปาร์คยืนก้มหน้านิ่งตรงหน้าผม ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากการสะอื้น ส่วนผมเองก็ยืนนิ่งปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่อายเช่นกัน ร้องซะให้เต็มที่ ในเมื่อได้พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไปหมดแล้ว อนาคตจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้หรอก ไม่รู้หรอกว่าจะต้องทรมานไปอีกนานแค่ไหน แม้จะอยากลืมปาร์คมากแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ตัวผมเองจะทำได้อย่างที่ตัวเองพูด
 
   เราต่างคนต่างยืนสงบสติอยู่สักพัก ก่อนที่ผมจะขอให้ปาร์คพาไปเอาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในรถ ปาร์คก็ยอมลงไปแต่โดยดีแต่มีข้อแม้ว่าผมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน และขอร้องว่าจะไปส่งผม ตอนแรกผมก็ปฏิเสธไป แต่ปาร์คก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะไปส่ง ผมจึงเลี่ยงการปะทะและจำใจยอมตามความต้องการของปาร์ค ผมเหนื่อยเต็มทีแล้ว

   ในที่สุดปาร์คก็มาส่งผมที่หอ ผมไม่อยากกลับไปให้แม่เห็นสภาพที่น่าตกใจเช่นนี้หรอก ไม่งั้นแม่คงพลอยไม่สบายใจไปด้วย ก่อนที่ผมจะลงจากรถ ปาร์คขอกอดผมอีกครั้งด้วยข้ออ้างเดิม ผมก็ยอมเช่นเดิม อย่างน้อยมันก็เป็นการปลอบใจตัวเองและรับไออุ่นสุดท้ายของคนที่ผมเคยรักมากที่สุด เพราะจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว

   ทันทีที่ผมก้าวลงจากรถ ผมก็รีบเดินเข้าไปในตัวตึกเท่าที่เรียวแรงตัวเองจะทำได้โดยไม่ได้เหลียวกลับมามอง แต่จริงๆ แล้วผมกลับมาแอบมองที่หลังเสา รถของปาร์คยังคงจอดสนิทอยู่นานกว่าสองนาที ก่อนที่จะค่อยๆ แล่นออกไป มันเหมือนเรื่องของผมกับปาร์คที่ค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ เช่นกัน...
ลาก่อนความรักของผม...

**********__________**********

   ผมหอบสังขารที่อ่อนแรงของตัวเองเข้าไปในหอ เห้อ... ลืมไปว่ากระเป๋าตังค์ที่มีบัตรสแกนเข้าประตูกับกุญแจห้องอยู่ในกระเป๋าเป้ ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ใครก็ไม่รู้ ตังค์ก็ไม่มีติดตัวสักบาท สงสัยต้องขอบัตรกับกุญแจสำรองจากลุงเจ้าของหอเอาไว้ แล้วบอกว่าขอติดค่ายืมไว้ก่อน ลุงกับผมค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตากันครับ ผมคุยกับแกบ่อย ไม่น่าจะมีปัญหา เดี๋ยวขึ้นห้องไปค่อยโทรถามว่ากระเป๋าผมใครเก็บไว้ให้ แต่คงไปเอาวันจันทร์โน้นแหละ

   แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดครับ ลุงเขาก็ให้ผมยืมบัตรเข้าออกหอ แล้วก็กุญแจสำรองให้ผมติดตัวไว้ก่อน แต่แน่นอนว่างกๆ แบบลุงก็คิดเงินเป็นธรรมดา แถมคิดเป็นรายวันอีกต่างหาก เขาบอกว่าลุงลดให้พิเศษเลยนะ ปกติเขาจะเก็บหนึ่งร้อย แต่เขาลดให้ผมเหลือวันละห้าสิบบาท ไม่รู้เพราะสภาพของผมที่ดูน่าสงสารนี่ด้วยหรือเปล่า ผมแทบจะหมอบกราบเลย แหม! เค็มเขี้ยวลากดินขนาดนี้ แต่ทำไงได้ล่ะ ผมก็ต้องก้มหน้าก้มตาขอบคุณลุงเขาไปตามมารยาท เพราะผมจำเป็นนิ ไม่งั้นจะเข้าห้องได้ไง

   ผมขึ้นลิฟต์มาอย่างเหน็ดเหนื่อย ภาพของปาร์คที่กอดผมบนรถก่อนหน้า ความรู้สึกในอ้อมกอดนั้นมันย้อนกลับมาทำให้ผมคิดถึงในระยะเวลาอันสั้น ทั้งที่มันเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนหน้าด้วยซ้ำ แค่นี้ผมยังคิดถึงขนาดนี้ แล้ววันต่อไปที่ผมไม่มีปาร์คแล้วจริงๆ ผมจะอยู่ไหวไหม

   “กะ... เก็ท” เมื่อไขประตูห้องเข้าไป ผมถึงกับอุทานด้วยความตกใจจนแทบล้มทั้งยืนเมื่อพบเก็ทนั่งดูทีวีอยู่บนเตียงภายในห้องผม ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ หันมามองผมด้วยสายตาเย็นชาดั่งเช่นปกติ

   “...” คนที่บุกรุกเข้ามาในห้องของผมโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา แต่สายตายังคงจับจ้องมาที่ผมราวกับกำลังสำรวจร่างกายบอบช้ำที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าที่สวมอยู่ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

   “มาได้ไง” หลังจากที่สตั๊นอยู่สักพัก วิญญาณผมก็กลับเข้าร่างอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาเก็ท

   “อ่ะ” เก็ทส่งกระเป๋าเป้ที่วางไว้ข้างตัวส่งให้ผม ที่แท้เก็ทก็เป็นคนเก็บให้ผมนี่เอง แต่เล่นเอามาให้แบบนี้ ผมว่ามันดูรบกวนและลำบากไปหน่อย อีกอย่างผมไม่พร้อมจะเจอใครในสภาพแบบนี้จริงๆ

   “ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องลำบากเอามาให้”

   “หายไปไหนมา” น้ำเสียงเรียบเฉยเปล่งออกมาเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่คำถามนั้นกลับยิงเข้าเป้าเต็มๆ
 
   “เอ่อ... คือ... บังเอิญมีธุระนิดหน่อย” ผมตอบเสียงแผ่ว พลางยิ้มแห้งๆ เพื่อปิดพิรุจ แต่คงไม่ได้แล้วมั้ง เมื่อคิ้วของเก็ทขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแบบนั้น

   “ธุระ? รีบมากถึงขนาดลืมของหมดเลยน่ะเหรอ ธุระแล้วทำไมสภาพที่กลับมาถึงดูไม่ได้ขนาดนี้” เก็ทลุกจากเตียงก่อนจะสาวเท้าเข้ามาหาผมอย่างไม่เร่งรีบนัก
   “เอ่อ...”

   “ธุระที่ว่า... รวมถึงรอยพวกนี้ด้วยหรือเปล่า” เสียงเก็ทยังคงไม่ต่างไปจากตอนแรก ตอนนี้เจ้าตัวเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของผมแล้ว ก่อนที่มือหนานั้นจะยกขึ้นมาแหวกปกคอเสื้อของผมออก เผยให้เห็นรอยจ้ำแดงทั่วทั้งลำคอ ยิ่งแหวกกว้างขึ้น รอยยิ่งมากขึ้นและที่อยู่ลึกลงไปในเสื้อผมก็ยิ่งเผยออกมามากขึ้นเช่นกัน

   “กะ... เก็ท” ผมเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่น ริมฝีปากสั่นระริกและร่างกายที่เริ่มสูญเสียการทรงตัวจนเก็ทต้องรีบคว้าตัวผมไปประคองไว้

   “ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ ไม่เข้าใจอะไรกัน” ร่างผมสั่นกระเพื่อมตามจังหวะสะอื้นอยู่ภายในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของเก็ท ไออุ่นของร่างกายกำยำส่งผ่านมายังผมจนตัวผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและมั่นคง ต่างจากอ้อมกอดที่ผมได้รับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

   “ฟร๊องก์ก็ไม่รู้เก็ท จู่ๆ ปะ... ปาร์คก็โผล่มา โวยวายใส่จนฟร๊องก์งงไปหมด แล้วก็ทำร้ายฟร๊องก์ราวกับฟร๊องก์ไม่ใช่คน เขาทำแบบนี้ทำไมเก็ท ทำทำไม...” ผมปล่อยโฮออกมาระลอกใหญ่ในอ้อมกอดนั้น ผมไม่มีแรงแม้แต่จะยืนด้วยตัวเอง ผมเจ็บเหลือเกิน เจ็บที่ถูกทำร้ายอย่างไร้ความปรานีโดยคนที่ผมรัก

   “...”

   “ทั้งที่ปาร์คก็มีคนๆ นั้นอยู่แล้ว ทำไมปาร์คต้องทำเหมือนรู้สึกอะไรกับฟร๊องก์ ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนหึงหวงฟร๊องก์ ทั้งที่ความรู้สึกเหล่านั้นมันไม่เคยมีอยู่จริง”

   “...”

   “ทั้งที่รู้ว่าฟร๊องก์รักมากขนาดไหน ทำไมถึงทำกับฟร๊องก์ได้ลงล่ะเก็ท เป็นเก็ทจะทำกับคนที่รักเราได้ลงคอเหรอ ปาร์คเคยบอกว่ารักฟร๊องก์เหมือนกัน แล้วทำไมถึงทำกับคนที่รักแบบนี้ล่ะ ทั้งหลอกฟร๊องก์ทั้งที่คบกับคนอื่น แถมยังทำร้ายฟร๊องก์อีก ฮือ...”

   “คนรักกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกนะฟร๊องก์ เว้นแต่... เขาไม่ได้รักฟร๊องก์จริงๆ”

   “หึหึ แสดงว่าที่ผ่านมา ฟร๊องก์โง่เง่า เข้าใจผิดบ้าบอไปคนเดียวสินะ ฮ่าๆ ฟร๊องก์นี่โง่ชะมัดเลย!”

   “ฟร๊องก์ไม่ได้โง่หรอก แต่ฟร๊องก์รักมากไง เขาต่างหากที่โง่ โง่ที่ไม่เป็นค่าในความรักที่ฟร๊องก์มีให้ และยังทำลายความรักของฟร๊องก์... ถึงเวลาหันมารักตัวเองให้มากๆ แล้วนะ เข้มแข็งได้แล้วไอ้ตัวเล็ก” เก็ทพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น มือหนึ่งก็โอบผมเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้กับผม ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นมาลูบเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา

   “ต่อไปนี้ฟร๊องก์จะเข้มแข็ง ฟร๊องก์จะรักตัวเองให้มากๆ แล้วก็... จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเพียงอดีต” ผมพูดอยู่กับแผงอกนั้น รับรู้ได้ถึงไออุ่นที่ส่งผ่านมายังตัวผมเหมือนกำลังใจของร่างสูงที่อยู่เคียงข้างผมเสมอ

   “ดีแล้ว ชีวิตเรายังได้เจออะไรอีกเยอะ วันนี้ฟร๊องก์อาจจะยังอ่อนแอ แต่วันหนึ่งฟร๊องก์จะเข้มแข็งขึ้น เก็ทเองก็ยังอยู่ข้างฟร๊องก์เสมอ”

   “ขอบคุณนะ ขอบคุณมากจริงๆ ที่ไม่เคยทิ้งฟร๊องก์ไปไหนเลย”
 
   คนๆ นี้ไม่เคยทิ้งผมเลย ความรู้สึกเคว้งคว้าง ไร้เรี่ยวแรงก่อนหน้า กลับเติมเต็มด้วยความอบอุ่นที่ได้รับจากอีกคนอย่างเต็มเปี่ยม โลกหม่นๆ ที่ผมอยู่เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง แค่ผมเดินต่อไปยังแสงสว่างนั้น

   ผมหวังว่าผมจะได้พบและสัมผัสกับความสุขอีกครั้ง...


à suivre...


กลับมาแล้ววววว หายไปหน้าวัน ไม่ค่อยจะว่างเลย T^T
เรื่องดำเนินมาถึงช่วงกลางๆ แล้วนะ เนือยบ้าง เอื่อยบ้าง พีคบ้างปนๆ กันไป แต่ก็เป็นความตั้งใจของเรา
ตอนที่แล้วคงก่นด่าปาร์คกันสุดๆ สินะ 555+
แต่ก็นั่นล่ะ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของฟร๊องก์ก็ได้
จริงๆ แต่งฉากมหัศจรรย์ (NC) แยกไว้ด้วยนะ แต่ไม่ได้เอามาลง ลงไว้อีกเว็บทีเดียว
แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อเนื้อเรื่องหรือการดำเนินเรื่อง แต่ถ้าใครอยากอ่านก็ลองหาดูนะ อิอิ

เก็ทยังคงเป็นคนที่อบอุ่นมากอยู่เสมอ
ทาร์ตจะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นหรือเปล่าหลังจากนี้?
ส่วนปาร์ค ก็คงโดนด่าต่อไปอย่างต่อเนื่อง 555+

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะฮะ ขอบคุณทุกกำลังใจมากๆ เลยยย  :mew1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ไปซะได้..ไปซะที
รอจะอ่านตอนนี้อยู่..นานละ

คนแบบนี้ไม่เห็นจะต้องเสียใจให้เสียดายเล๊ยยยย
มันน่าเสียใจตรงไหนฟ่ะ ไอ่ปาร์ค

ไปแล้วไปลับ..อย่ากลับมา
ไปที่ชอบๆ ด้วยเถิ๊ดดดดดด

สาธุ

+1 ฮับ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สาธุ ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะปาร์ค

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ตกลงคนไหนเนี้ยเป็นคนจริง

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 29 [4/7/2017]
«ตอบ #108 เมื่อ04-07-2017 20:17:00 »

Chapitre 29

   แล้วเช้าวันจันทร์ก็มาถึง เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าผมเห็นแก่ตัวมากไปหรือเปล่า ที่ยึดตัวเก็ทให้มาอยู่เป็นเพื่อนผมตลอดสองวัน แน่นอนว่าผมโทรไปบอกชัญญ่าด้วยตัวเอง ซึ่งชัญญ่าก็ไม่ได้ว่าอะไร คงเป็นเพราะน้ำเสียงซึมๆ ของผมล่ะมั้งที่ทำให้ชัญญ่าไม่พูดไม่แซวอะไรมากมาย

   ที่ผมให้เก็ทมาอยู่ด้วย อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและฟุ้งซ่าน การมีเพื่อนคุยตลอดเวลามันทำให้ผมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่าเดิม แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าผมลืมมันได้แล้วจริงหรือเปล่า ผมทุกครั้งที่ผมหลับ ภาพความทรงจำทั้งดีและไม่ดีระหว่างผมกับปาร์คจะยังปรากฏขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่จบสิ้น ระยะเวลากว่าห้าปีที่เรามีความรู้สึกดีๆ ให้กัน จะให้ลืมมันไปเลยคงไม่ง่ายนักหรอก ยิ่งเป็นคนที่เคยรักแล้วด้วย

   ผมแต่งตัวเตรียมไปเรียน สภาพผมดีขึ้นเยอะแล้ว แต่รอยจ้ำที่คอก็ยังไม่จางหายไปซะทีเดียว ยังคงเห็นอยู่บ้าง ผมเลยต้องเอาแป้งตบๆ เพื่อปิดร่องรอยไป เก็ทกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ พอผมอยู่คนเดียวก็อดคิดมากไม่ได้ ปาร์คเองก็หายไปแล้วจริงๆ หัวใจผมแอบสั่นเหมือนกันนะที่รู้ว่าเรื่องของเรามันจบแล้วจริงๆ และผมเองก็เป็นคนขอให้มันจบลงด้วย สายตาผมจับจ้องไปยังโทรศัพท์เหมือนกำลังรอสายจากปาร์คอยู่ ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่โทรมา

   ผมจัดแจงเช็คความเรียบร้อยของตัวเองว่ารอยต่างๆ ถูกปกปิดอย่างมิดชิดแล้วอีกครั้งก่อนจะลงไปรอเก็ทมารับที่ด้านล่างของหอ ระหว่างนั้นก็เตรียมคิดคำตอบต่างๆ ที่คิดว่าจะโดนถามแน่ๆ ไว้ตอบคำถามพวกเพื่อนๆ มัน คิดไปก็ปวดหัวเพราะรู้ดีว่าจะโดนพวกนั้นซักไซร้ขนาดไหน ก็ปากแต่ละคนใช่ย่อยอยู่ซะเมื่อไหร่ แถมบอกไปแล้วมันจะเชื่อกันหรือเปล่า ช่างแม่งเหอะ! ไว้ค่อยคิด อีกอย่างใช้เก็ทคอยช่วยอีกแรง

   แล้วผมก็ไม่รอดปากเหยี่ยวปากกาของพวกนั้นจริงๆ ครับ เมื่อทุกคนพร้อมใจกันกระหน่ำยิงคำถามใส่ผมรัวๆๆ ยิ่งกว่า M16 ซะอีก จนผมตอบไม่ทัน ประเด็นคือคิดคำตอบไม่ทันจนต้องโวยวายไปว่าจะถามหา... อะไรมากมาย ส่วนข้ออ้างผมก็บอกได้แค่ว่าติดธุระด่วนเหมือนที่บอกเก็ทตอนแรก แต่เสริมเหตุผลเข้าไปว่าแม่โทรมาให้รีบกลับบ้านด่วนด้วยเสียงร้อนรน ผมตกใจคิดว่ามีเรื่องอะไรร้ายแรงเลยรีบออกไปเลยทันทีโดยไม่ได้บอกลา ส่วนที่ไม่ได้รับโทรศัพท์เพราะปิดเสียงไว้แถมยังติดสายแม่อย่างโน้นอย่างนี้ บลาๆ เก็ทที่เหลือบตามองถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับข้ออ้างของผม รู้สึกบาปขึ้นมาทันทีทันใดเลยที่ต้องยกแม่ขึ้นมาอ้างทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับท่านเลย แต่มันก็ช่วยทำให้ผมรอดตัวไป แม่งเล่นถามกันยิ่งกว่าสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยอีก

   จากวันนั้นไปชีวิตผมก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ช่วงนี้สมองผมไม่มีเวลาได้คิดเรื่องไร้สาระแล้วเนื่องจากใกล้สอบมิดเทอมเข้ามาทุกที อาทิตย์หน้าก็เริ่มสัปดาห์แห่งการสอบกลางภาคแล้ว ผมเลยต้องเร่งอ่านหนังสือจนหัวปั่น เพราะปกติไม่ค่อยจะอ่านทวนเท่าไร ทำให้ลืมเรื่องของปาร์คไปโดยปริยาย ก็เทอมนี้มีแต่วิชาหนักๆ ทั้งนั้นเลยนี่ครับ แล้วผมที่เรียนฝรั่งเศสด้วย ก็ต้องฝ่าฟันกับข้อสอบสุดหินอีก ยิ่งทำให้เหนื่อยมากขึ้นกว่าคนอื่นๆ เป็นสองเท่า ยังดีที่มีเก็ทเรียนเป็นเพื่อนด้วย แต่หมอนั่นเก่งมากเลยไม่มีปัญหาเท่าไร ค่อยให้มันติวให้เอา ฉะนั้นตอนนี้อะไรไม่สำคัญหรือกวนใจผมตัดออกหมดแหละครับ

   เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้วหลังจากเกิดเรื่อง ปาร์คเริ่มกลับมาโทรหาผมอีกครั้ง แต่ผมไม่เคยรับสายเลยสักครั้งไม่ว่าปาร์คจะกระหน่ำโทรมามากแค่ไหน จนบางครั้งผมถึงกับต้องกดปิดเครื่องไปเลย ผมอยากให้มันจบไปเลยจริงๆ ทำไมไม่ยอมปล่อยผมไปตามทางของผมสักที แต่ปาร์คเองก็ไม่ยอมแพ้ทั้งส่งข้อความ ส่งไลน์ ไหนจะอินบ็อกซ์เฟซบุ๊กมาขอโทษขอโพย ขอให้ผมเห็นใจแล้วกลับไปดีกันเหมือนเดิมอย่างไม่ลดละ หนักสุดคือการมาดักรอผมที่หน้าหอ แต่ดีที่ผมเห็นก่อนที่จะลงจากรถเก็ท เลยให้เก็ทพาผมไปที่อื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาตอนปาร์คไปแล้ว

   ถามว่าสงสารไหม ผมยอมรับครับว่าในใจก็เกิดความสงสารขึ้น ผมใจเต้นแรงและรู้สึกเหมือนหัวใจมันถูกบีบรัดทุกครั้งที่ปาร์คโทรมา หรือแม้แต่เห็นข้อความต่างๆ ของปาร์ค และมันชัดเจนสุดเมื่อได้เห็นร่างสูงของปาร์คปรากฏที่หน้าหอผมวันก่อนนั้น มันพาลทำให้น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลายวันต้องหลั่งออกมาอีกครั้ง แต่ถึงจะเจ็บ จะสงสารแค่ไหนแต่ผมก็จะไม่ยอมกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรอก ผมไม่สามารถทำใจให้ลืมเหตุการณ์ในคืนนั้นได้จริงๆ ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ปาร์คแค่เสียดาย อีกไม่นานปาร์คก็จะหายและลืมคนไม่สำคัญอย่างผมได้ในที่สุด เพราะคนสำคัญจริงๆ นั้นอยู่ข้างกายอยู่แล้ว สักวันผมก็อาจจะหายเป็นปกติเช่นกัน ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ เราอาจจะกลับมายิ้มให้กันอีกครั้งก็ได้

   ส่วนเก็ทเองก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีและทำหน้าที่ปลอบใจผมทุกครั้งที่ผมร้องไห้และอ่อนแอ ไม่เคยทิ้งผมไปไหน แม้ว่าหลังจากที่มาอยู่กับผมสองวันนั้น เขาจะเริ่มกลับสู่โหมดเคร่งขรึมตามปกติ แต่สายตาคู่นั้นที่มองมาที่ผมยังคงแฝงด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและอบอุ่นมากสำหรับผมเสมอ

   อีกคนที่ที่ลืมไปไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อมันเองก็ยังคงเป็นห่วงและคอยสร้างรอยยิ้มให้กับผมอยู่เสมอ คนๆ นั้นไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าของใบหน้าทะเล้นและรอยยิ้มกว้างที่มาพร้อมเหล็กดัดฟันสีสดใสอย่างทาร์ต ที่หมู่นี้มักจะมาปรากฏตัวและอยู่ใกล้ชิดกับผมมากกว่าเดิม ก็เล่นร้องเพลงสารภาพรักให้ขนาดนั้น ผมเองก็แอบเขินอยู่บ้างเหมือนกันแหละ มันตัวติดกับผมมากซะจนทั้งเพื่อนผมและเพื่อนมันต้องเอ่ยปากแซว และมันก็ทำให้ผมพลอยได้รู้จักเพื่อนๆ ของมันไปด้วย ซึ่งก็กวนพอๆ กับตัวมันเลย ถึงว่าสิคบกันได้ ฮ่าๆ แล้วที่มันมาอยู่กับผมออกจะบ่อย มันดูเหมือนเรียนอยู่คณะเดียวกับผมอย่างไงอย่างงั้น

   และวันนี้เองก็เช่นกัน มันขอให้ผมช่วยติวภาษาอังกฤษให้มันหน่อย เพราะมันบอกว่ามันอ่อนภาษามาก แต่ทั้งๆ ที่พี่สาวมันอย่างโดนัทก็เรียนเอกอิ้งเหมือนกับผม ทำไมไม่ให้ติว ลำบากตัวผมต้องมานั่งติวให้อีก แต่ก็แกล้งๆ ด่าไปมันอย่างนั้นล่ะครับ ให้ติวให้ก็ดีเหมือนกัน ทบทวนตัวเองไปด้วยในตัว แต่ผมก็มีข้อแลกเปลี่ยนนะ คือให้มันจัดหาทั้งน้ำ ทั้งขนมมาบริการให้ผมถึงที่ ก็มันจะมาติวที่หอผมนี่ครับ

   ก๊อก! ก๊อก!

   พูดถึงก็มาพอดีเลย เห็นไหมตายยากแค่ไหน แล้วจะให้ผมลืมนึกถึงมันได้ไง

   “มาแล้ววว... ซื้อฟรุ๊ตทาร์ตเจ้าเก่ามาให้ด้วยนะ นี่ๆ คราวนี้ซื้อมาให้สองกล่องเลย เห็นคราวที่แล้วบอกว่าชอบ... ทาร์ต” ทาร์คโผล่มาที่หน้าห้องพร้อมยื่นถุงบรรจุกล่องทาร์ตเจ้าเดิมมาให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มกว้างเป็นเอกลักษณ์ ว่าแต่มันเข้ามาในหอได้ไง สรุปว่าหอผมมันมีความปลอดภัยหลงเหลืออยู่ไหมวะเนี่ย เห็นใครไปใครมาเข้ามากันได้สบายเลย

   “ซื้อมาให้แค่นี้เองเหรอ อะไรวะ!” หลังจากพาทาร์ตเข้ามาในห้อง ผมก็แกล้งทำเป็นไม่พอใจ จริงๆ ไม่ได้เห็นแก่กันขนาดนั้นหรอก แค่อยากกวนตีนมันเฉยๆ

   “โห้พี่ ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลย ดูนี่ซะก่อน แค่นี้พอไหม” เมื่อผมรับถุงทาร์ตมาถือไว้ ทาร์ตก็หมุนกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้านหน้าก่อนจะเปิดมันออก ด้านในเต็มไปด้วยขนมนานาชนิด รวมถึงน้ำอัดลมอีกสองขวด ไม่หนักมั้งเหรอวะแบกมาขนาดนี้ แล้วไหนหนังสือเรียนที่จะเอามาให้ติว?

   “เห้ย! นี่ขนมาขายหรืออะไรเนี่ย กะจะเปิดร้านขายหรือไง หนังสือเรียนเอามามั้งเปล่า”

   “เอามาดิพี่ มันคงโดนทับๆ อยู่ข้างในล่ะมั้ง” ว่าแล้วมันเทขนมต่างๆ ที่มันขนมาลงบนเตียงผม ก่อนที่สมุดและหนังสือจะร่วงตามลงมาตอนท้ายสุด เห็นกระเป๋าใหญ่ๆ ก็นึกว่าจะขยันมากถึงขั้นแบกหนังสือมาเยอะแยะ ที่ไหนได้มีแต่ของกิน (รู้สึกว่าตัวผมเองสั่งให้มันซื้อมานะ)

   “เออ แล้วจะให้ติวเรื่องอะไรอ่ะ เรียนเรื่องไรอยู่” ผมว่าก่อนจะหยิบหนังสือของทาร์ตขึ้นมาดู จริงๆ ปีหนึ่งที่มหา’ลัยผมจะบังคับเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานเหมือนกันหมดอยู่แล้ว แต่อย่างผมเรียนเอกอิ้งโดยตรงเนื้อหาจะค่อนข้างยากกว่าคณะอื่นๆ เพราะถือว่าต้องมีพื้นฐานมาก่อน

   “ไม่รู้เหมือนกันอ่ะพี่ มันเยอะผมจำไม่หมด แต่เดี๋ยวค่อยติวได้ก็ได้ ผมไม่รีบ” ทาร์ตว่าพลางหยิบขวดน้ำอัดลมรวมทั้งพวกช็อคโกแลตต่างๆ ไปแช่ในตู้เย็น แล้วกลับมาหยิบห่อขนมไปแกะกินอย่างสบายใจ มึงไม่รีบแต่ไม่คิดว่าจะเสียเวลากูบ้างเหรอ ไอ้ห่า!

   “เอ้า! ไอ้นี่ ให้มาติวหนังสือนะเว้ย!” ผมโวยวายทันทีก่อนจะง้างมือที่ถือหนังสืออยู่หมายจะฟาดหัวมันสักป้าบ! แต่แม่งเสือกไวกว่า หลบทันซะงั้น ฝากไว้ก่อน เผลอเมื่อไหร่จะซัดให้เต็มแรงเลย!

   “ฮ่าๆ จะเล่นกับผมยังเร็วไปอีกหลายปีพี่” หลังจากที่หลบสันหนังสือจากผมได้ ทาร์ตก็หัวเราะร่วนพลางยักคิ้วกวนๆ อย่างมีชัยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้ น่าหมั่นไส้ฉิบหาย! “ตุ๊กตาตัวนี้หน้าเหมือนพี่เลยอ่ะ ตานี่โตเหมือนกันเลย” ทาร์ตหยิบตุ๊กตาไม้ที่ปาร์คซื้อให้ผมเมื่อวันเกิดของมัน ซึ่งผมวางไว้ที่บนโต๊ะลิ้นชักข้างหัวเตียงขึ้นมาพลิกดูด้วยรอยยิ้ม แต่มันกลับทำให้ผมจุกในอกจนยิ้มด้วยไม่ออก

   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไรหรือแม้แต่จะยิ้มออกไป

   “ซื้อจากไหนอ่ะพี่ น่ารักดีอ่ะ... พ่ะ... พี่ฟร๊องก์” จากเสียงที่ร่าเริงก่อนหน้า กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงหม่นหมองแกมตกใจเล็กๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของผม “ของผู้ชายคนนั้นเหรอครับ”

   “อ่ะ... อืม ช่างมันเถอะ” ผมตอบยิ้มๆ ให้กับทาร์ตซึ่งสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่เป็นอะไรหรอก แล้วอีกอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งด้วย ของบางอย่างเก็บไว้แทนความหมายและช่วงเวลาที่ดีๆ ของความทรงจำ ให้เราได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยมีความสุขกับของสิ่งนี้ รวมถึงกับคนที่มอบให้ด้วย อย่างน้อยวันหนึ่งผมอาจจะมองสิ่งเหล่านี้ด้วยความสุขที่ได้นึกถึงเรื่องราวดีๆ ของมัน

   “ผมขอโทษนะ” ทาร์ตเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าสำนึกผิดทันทีที่วางตุ๊กตาตัวนั้นลงที่เดิม

   “เห้ย! ไม่เป็นไร คิดมากไปได้ ก็แค่... ความทรงจำ” ผมว่าด้วยรอยยิ้มแม้มันจะไม่สดใสนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเศร้าหมอง พลางตบบ่าทาร์ตอย่างปลอบใจว่าผมไม่ได้โกรธอะไรมันจริงๆ

   ก็แค่เรื่องราว... ดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับอีกคน

**********___________***********

   “เข้าใจตรงนี้ยัง จริงๆ มันแค่เปลี่ยนรูป verb เป็นรูปของ part participle แค่นั้นเอง” หลังจากที่ทาร์ตทำสีหน้าสำนึกผิดขอโทษผมไปมา ผมเลยจัดการหยุดเสียงด้วยการหยิบฟรุ๊ตทาร์ตมายัดปากมันซะเลย หลังจากนั้นก็เป็นช่วงของการกิน ทาร์ตหมดไปกล่องหนึ่งแล้ว รวมถึงขนมขบเคี้ยวอีกสองห่อ กว่าจะเริ่มติวกันได้จริงๆ เวลาก็ผ่านไปเป็นชั่วโมง ตอนนี้ก็ติวมาได้เยอะแล้วครับ ทาร์ตมันก็ไม่ได้ถึงกับว่าไม่เก่งหรอก แต่อาจเพราะมันไม่ถนัดภาษาอังกฤษเลยทุลักทุเลไปบ้างนิดหน่อย แต่เท่าที่อธิบายๆ ไปทาร์ตก็เข้าใจได้ดี

   “part part อะไรนั่นมันคืออะไรอ่ะพี่ ผมไม่รู้จัก” ทาร์ตเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมามองผมที่นั่งอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยิ้มแหยๆ ประมาณว่าไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร ไม่แปลกหรอกครับ ถึงจะเป็นศัพท์เฉพาะง่ายๆ ที่คนเรียนภาษาอังกฤษจะรู้จักดี แต่คนที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นธรรมดาที่ไม่รู้จัก

   “ฮ่าๆ part participle ก็คือ verb ช่อง 3 เราๆ เนี่ยล่ะ”

   “อ้าวเหรอ แล้วทำไมไม่เรียก verb ช่อง 3 ไปเลยล่ะ จะทำให้ผมงงทำไม”

   “ก็มันติดใช้คำนั้น เรียนอิ้งเรียก verb ช่อง 3 ก็โดนด่าดิ! อีกอย่างก็จำไว้สิ คราวหน้าถ้าใครพูดถึงจะได้ไม่งงอีกว่ามันคืออะไร” เห็นทาร์ตย่นคิ้วใส่ผม ผมเลยเอาด้ามปากกาเขกหน้าผากให้ที! กวนดีนัก!

   “ซี๊ดดด เจ็บนะพี่” ทาร์ตลูบตรงที่ผมเขกด้ามปากกาใส่พลางทำเสียงซี๊ดซ๊าด เดี๋ยวจะโดนอีกที “สงสัยคงต้องจำล่ะมั้ง แต่ไอ้พาร์ทพาติซิเพิ่ลอะไรนั่นมันเยอะเนอะ ผมจำไม่ค่อยจะได้เลย เขียนผิดตลอด”

   “เออ มันเยอะจริง แต่มันมีหลัก ถ้าจับจุดได้ก็ไม่ยากหรอก ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ จำไป เจอบ่อยๆ ใช้บ่อยๆ เดี๋ยวก็จำได้ แล้วก็คุ้นเคยกับมันมากขึ้น ถึงตอนนั้นก็เขียนและหยิบมาใช้ได้ถูกต้องแล้ว”

   “งั้นเหรอ ต้องเจอบ่อยๆ ใช่ป่ะถึงจะคุ้นเคย”

   “อืม เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็คุ้น ค่อยๆ จดจำไป”

   “อีกนานไหมอ่ะพี่ แล้วต้องใช้สมองหรือหัวใจในการจำ ถึงจะจำได้ยืดยาวกว่ากัน” ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ที่ฟังแล้วแปลกหูกว่าปกติ จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง

   ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรที่ผมกับทาร์ตได้สบตากันแบบนี้ และทุกครั้งหัวใจผมมันมักจะเต้นแรงขึ้นเสมอ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเรียกว่าอะไรหรือจะอธิบายออกมาได้อย่างไร แต่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อผมรับรู้มันได้อย่างชัดเจน

   “เอ่อ... แล้วแต่ล่ะมั้งว่าเราจะคุ้นเคยกับมันได้เร็วแค่ไหน” ผมตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองตัวหนังสืออีกครั้งเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย “บางอย่างมันก็ต้องใช้เวลานะ เพราะอะไรที่จำได้ง่ายๆ มันก็ลืมได้ง่ายเหมือนกัน”

   “ผมจะรอนะ...”

   ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตัดใจจากปาร์คได้อย่างที่ปากพูดจริงๆ และพร้อมจะเปิดใจรับใครคนใหม่ ผมเองก็ยังไม่รู้ตัวเองเลย


à suivre...



หายไปหลายวัน แล้วก็กลับมา 55+ ช่วงนี้ชีพจรลงเท้า
อ่านคอมเม้นต์แล้วก็ขำ ทุกคนแลดูดีใจและสะใจมากที่ปาร์คไปได้สักที  :laugh:
ช่วงนี้ต้องยกให้ทาร์ตเด่นขึ้นมาหน่อย เดี๋ยวน้องจะน้อยใจ
แต่ก็ไม่รู้ว่าความน่ารัก สดใสจะเอาชนะใจฟร๊องก์ได้หรือเปล่า



ไปซะได้..ไปซะที
รอจะอ่านตอนนี้อยู่..นานละ

คนแบบนี้ไม่เห็นจะต้องเสียใจให้เสียดายเล๊ยยยย
มันน่าเสียใจตรงไหนฟ่ะ ไอ่ปาร์ค

ไปแล้วไปลับ..อย่ากลับมา
ไปที่ชอบๆ ด้วยเถิ๊ดดดดดด

สาธุ

+1 ฮับ

สาธุ ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะปาร์ค

555555+ กุสะลา ธัมมาขึ้นเลย

ขอบคุณทุกคนมากนะฮะ ทั้งที่คอมเม้นต์ และแค่เข้ามาอ่าน แค่นี้ก็ดีใจแล้ว  :กอด1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ไป..ไป
ไปลงนรกซะเถิดที่รักฉันจะลงโทษเธอ


เวลาของเธอหมดแล้ว
ไป..ไป


เดี๋ยวเจอสายสิญจน์
ข้าวสารเสก
สาดไล่ นะจ๊ะ
อิผีปาร์ค


+1 ฮับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จะกลับมาทำไมอีกอีปาร์ค ไปที่ชอบ ๆ เถอะ เราขอร้อง

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ลบรอย ลบรอย เก็ทลบรอยเลย! (หัวเราะ) ดูหื่นไปไหมเนี่ยครับ

เอาเรื่องแรกก่อน ผมคิดว่าไม่ควรตัดฉากร่วมเพศออกไปนะครับ มันทำให้ต้องไปตามอ่านจากหลายๆที่ ซึ่งถือว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ในการเผยแพร่วรรณกรรม ถ้าจะใส่ผมคิดว่าใส่ให้หมดดีกว่า และเนื่องจากส่วนตัว ผมคิดว่าฉากร่วมเพศ ถ้ามันมี มันก็จะสื่อถึง progress of story ครับ มันไม่ได้เป็นฉากที่ถึงกับอ่านไม่ได้ ถ้าเราสร้างเนื้อเรื่องมาดี ฉากพวกนี้ก็ถือเป็นองค์ประกอบที่อ่านแล้วเป็นการคืบหน้าของเรื่อง มันอาจสื่อถึงนัยยะหรืออารมณ์ของตัวละครได้ด้วยซ้ำ สำหรับผมจึงถือว่ามันเป็นฉากที่จำเป็นต้องอ่านอยู่ดีครับ เพราะฉากร่วมเพศหรือฉากอัศจรรย์ ก็มีกลวิธีในการเขียนมันออกมาไม่ให้เป็นฉากโป๊ แต่เราจะไม่รู้เลยถ้าเกิดว่ายังไม่เห็นครับ

เรื่องที่สอง จำได้ว่าคุณคนเขียนถามไว้ว่าเขียนฉากเซ็กซี่ออกมาได้เป็นยังไง สำหรับผม อย่างนี้นี่แหละครับถือว่าเป็นฉาก ‘เซ็กซี่’ สำหรับวรรณกรรม ทำออกมาได้ดีมากนะครับ ฉากเซ็กซี่ที่ดี ถ้าตามความหมายทางศิลปะก็คือฉากที่สื่อถึงความคมชัดของแรงกระตุ้น ซึ่งอาจเป็นภาพ สี เสียง แสง หรือกลิ่น ที่ทำให้เกิดการเย้ายวนทางอารมณ์ แต่ไม่ได้มีความรุนแรง (intensity) ที่ทำให้ถึงขั้นของการเสพเมถุนหรือร่วมประเวณี ส่วนมากเราจะเห็นความพอดีของศิลปะเซ็กซี่นี้ในศิลปะถ่ายภาพของชาวต่างชาติ หรือฉากร่วมรักอย่างเป็นนัยๆของวรรณกรรมแฟนตาซีต่างประเทศที่เขียนลง NY Times น่ะครับ เค้าจะสื่อถึงทุกอย่างที่ไม่ใช่การร่วมเพศ แต่สามารถเร้าอารมณ์คนอ่านให้รู้สึกว่าสื่อ (media) นั้นเซ็กซี่ อย่างที่เขียนมาก็ถือว่าดีเลยครับ บรรยายรูปลักษณ์ของเก็ทละเอียดยิบ ซึ่งก็ตรงกับภาพลักษณ์ที่บรรยายไว้ตอนแรกๆ และมีการสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของฝ่ายที่รับแรงกระตุ้น(ฟร็องก์) ดังนั้นถือว่าทำออกมาได้ดีครับ ที่ต้องระบุอีกนิดนึงคือ ฉาก ‘ร่วมเพศ’ กับฉาก ‘เซ็กซี่’ นี่ก็ต่างกันอยู่นิดหน่อยนะครับ อาจมีการเขียนบางส่วนที่ใช้เทคนิคเดียวกัน แต่ฉากร่วมเพศนี่ต้องคำนึงถึงอารมณ์ตัวละครขณะทำกิจกรรมนั้นๆเป็นหลัก ซึ่งก็จะไปสะท้อนถึงความนัยหรือนิสัยตัวละครได้อีกด้วย

ส่วนเรื่องเนื้อเรื่อง นิสัยทาร์ตถือว่าใช้ได้เลยนะครับ ดูน่ารักดี ให้ออร่าสดใสเลยนะครับ ถ้าเทียบกับน้องหมาก็คงจะเป็นโกลเดนพันธ์เต็มวัยนี่แหละ (หัวเราะ) ถือว่าเป็นนิสัยที่คอนทราส์กกับตัวละครที่เหลือดีครับผม ไม่เหมือนเก็ท และไม่เหมือนปาร์คด้วย ถือว่าทำนิสัยตัวละครออกมาได้ดีครับ แต่ก็จะดีกว่านี้ถ้าเพิ่มมิติน้ำหนักของพื้นหลังตัวละครมาด้วย เพื่อทำให้เรารู้จักกับตัวละครตัวนี้มากขึ้น

โดยปกติแล้ว การเพิ่มพื้นหลังของตัวละครหรือการเพิ่มการบรรยาย มันมักจะทำให้น้ำหนักการกระทำของตัวละครสูงขึ้น และทำให้คาแรกเตอร์มีมุมมองที่ลึกขึ้นครับ จึงควรทำกับทุกๆตัวละครหลักที่มี ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเรื่อง The Song of Ice and Fire ที่เอามาทำ Game of Thrones จะเน้นเรื่องนี้หนักมาก ทำให้เรามีข้อมูลและมุมมองที่สามารถ discuss เกี่ยวกับตัวละครหลักได้ดีครับ (แต่เรื่องนี้ตัวละครหลักเยอะมาก เยอะเกินไป ในกรณีนี้เอามาทำเฉพาะตัวละครหลักที่เราวางไว้เป็นตัวดำเนินเรื่องก็ได้ครับ เช่น ฟร็องก์ ทาร์ต ปาร์ค เก็ท หรือจะเพิ่มฝั่งตัวละครหญิงมาสักตัวก็ได้) การเล่าแบบนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านมุมมองของตัวละครนั้นๆก็ได้ จะผ่านตัวละครที่หนึ่ง (ฟร็องก์) อย่างเดียวก็สามารถทำได้ เพราะสิ่งสำคัญคือผู้รับสาส์น (คนอ่าน) จะได้ข้อมูลไปพิจารณาต่อ ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในการนำเสนอพื้นหลังของตัวละครอื่นหรือเพิ่มการบรรยายให้เข้าใจตัวละครอื่นมากขึ้นครับ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ลบรอย ลบรอย เก็ทลบรอยเลย! (หัวเราะ) ดูหื่นไปไหมเนี่ยครับ

เอาเรื่องแรกก่อน ผมคิดว่าไม่ควรตัดฉากร่วมเพศออกไปนะครับ มันทำให้ต้องไปตามอ่านจากหลายๆที่ ซึ่งถือว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ในการเผยแพร่วรรณกรรม ถ้าจะใส่ผมคิดว่าใส่ให้หมดดีกว่า และเนื่องจากส่วนตัว ผมคิดว่าฉากร่วมเพศ ถ้ามันมี มันก็จะสื่อถึง progress of story ครับ มันไม่ได้เป็นฉากที่ถึงกับอ่านไม่ได้ ถ้าเราสร้างเนื้อเรื่องมาดี ฉากพวกนี้ก็ถือเป็นองค์ประกอบที่อ่านแล้วเป็นการคืบหน้าของเรื่อง มันอาจสื่อถึงนัยยะหรืออารมณ์ของตัวละครได้ด้วยซ้ำ สำหรับผมจึงถือว่ามันเป็นฉากที่จำเป็นต้องอ่านอยู่ดีครับ เพราะฉากร่วมเพศหรือฉากอัศจรรย์ ก็มีกลวิธีในการเขียนมันออกมาไม่ให้เป็นฉากโป๊ แต่เราจะไม่รู้เลยถ้าเกิดว่ายังไม่เห็นครับ

เรื่องที่สอง จำได้ว่าคุณคนเขียนถามไว้ว่าเขียนฉากเซ็กซี่ออกมาได้เป็นยังไง สำหรับผม อย่างนี้นี่แหละครับถือว่าเป็นฉาก ‘เซ็กซี่’ สำหรับวรรณกรรม ทำออกมาได้ดีมากนะครับ ฉากเซ็กซี่ที่ดี ถ้าตามความหมายทางศิลปะก็คือฉากที่สื่อถึงความคมชัดของแรงกระตุ้น ซึ่งอาจเป็นภาพ สี เสียง แสง หรือกลิ่น ที่ทำให้เกิดการเย้ายวนทางอารมณ์ แต่ไม่ได้มีความรุนแรง (intensity) ที่ทำให้ถึงขั้นของการเสพเมถุนหรือร่วมประเวณี ส่วนมากเราจะเห็นความพอดีของศิลปะเซ็กซี่นี้ในศิลปะถ่ายภาพของชาวต่างชาติ หรือฉากร่วมรักอย่างเป็นนัยๆของวรรณกรรมแฟนตาซีต่างประเทศที่เขียนลง NY Times น่ะครับ เค้าจะสื่อถึงทุกอย่างที่ไม่ใช่การร่วมเพศ แต่สามารถเร้าอารมณ์คนอ่านให้รู้สึกว่าสื่อ (media) นั้นเซ็กซี่ อย่างที่เขียนมาก็ถือว่าดีเลยครับ บรรยายรูปลักษณ์ของเก็ทละเอียดยิบ ซึ่งก็ตรงกับภาพลักษณ์ที่บรรยายไว้ตอนแรกๆ และมีการสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของฝ่ายที่รับแรงกระตุ้น(ฟร็องก์) ดังนั้นถือว่าทำออกมาได้ดีครับ ที่ต้องระบุอีกนิดนึงคือ ฉาก ‘ร่วมเพศ’ กับฉาก ‘เซ็กซี่’ นี่ก็ต่างกันอยู่นิดหน่อยนะครับ อาจมีการเขียนบางส่วนที่ใช้เทคนิคเดียวกัน แต่ฉากร่วมเพศนี่ต้องคำนึงถึงอารมณ์ตัวละครขณะทำกิจกรรมนั้นๆเป็นหลัก ซึ่งก็จะไปสะท้อนถึงความนัยหรือนิสัยตัวละครได้อีกด้วย

ส่วนเรื่องเนื้อเรื่อง นิสัยทาร์ตถือว่าใช้ได้เลยนะครับ ดูน่ารักดี ให้ออร่าสดใสเลยนะครับ ถ้าเทียบกับน้องหมาก็คงจะเป็นโกลเดนพันธ์เต็มวัยนี่แหละ (หัวเราะ) ถือว่าเป็นนิสัยที่คอนทราส์กกับตัวละครที่เหลือดีครับผม ไม่เหมือนเก็ท และไม่เหมือนปาร์คด้วย ถือว่าทำนิสัยตัวละครออกมาได้ดีครับ แต่ก็จะดีกว่านี้ถ้าเพิ่มมิติน้ำหนักของพื้นหลังตัวละครมาด้วย เพื่อทำให้เรารู้จักกับตัวละครตัวนี้มากขึ้น

โดยปกติแล้ว การเพิ่มพื้นหลังของตัวละครหรือการเพิ่มการบรรยาย มันมักจะทำให้น้ำหนักการกระทำของตัวละครสูงขึ้น และทำให้คาแรกเตอร์มีมุมมองที่ลึกขึ้นครับ จึงควรทำกับทุกๆตัวละครหลักที่มี ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเรื่อง The Song of Ice and Fire ที่เอามาทำ Game of Thrones จะเน้นเรื่องนี้หนักมาก ทำให้เรามีข้อมูลและมุมมองที่สามารถ discuss เกี่ยวกับตัวละครหลักได้ดีครับ (แต่เรื่องนี้ตัวละครหลักเยอะมาก เยอะเกินไป ในกรณีนี้เอามาทำเฉพาะตัวละครหลักที่เราวางไว้เป็นตัวดำเนินเรื่องก็ได้ครับ เช่น ฟร็องก์ ทาร์ต ปาร์ค เก็ท หรือจะเพิ่มฝั่งตัวละครหญิงมาสักตัวก็ได้) การเล่าแบบนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านมุมมองของตัวละครนั้นๆก็ได้ จะผ่านตัวละครที่หนึ่ง (ฟร็องก์) อย่างเดียวก็สามารถทำได้ เพราะสิ่งสำคัญคือผู้รับสาส์น (คนอ่าน) จะได้ข้อมูลไปพิจารณาต่อ ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในการนำเสนอพื้นหลังของตัวละครอื่นหรือเพิ่มการบรรยายให้เข้าใจตัวละครอื่นมากขึ้นครับ

ก่อนอื่นเราต้องขอบคุณคุณ Grey Twillight มากๆ ขอบคุณที่จุดประกายการแก้ ลบ และเพิ่มเติมเนื้อหาในบางส่วนตั้งแต่เริ่มต้น เราได้แรงบันดาลใจดีๆ และความเข้าใจรวมทั้งไอเดียใหม่ๆ เอามาปรับแก้ในเนื้อเรื่องได้เยอะมากๆ

เรื่องแรก เราคงต้องขอโทษกับการเสียมารยาทในการเผยแพร่งานเขียน เราคงต้องลงย้อนหลัง แทรกระหว่างเนื้อหา

remark ตรงนี้ไว้นิดหนึ่งนะ ว่าฉาก NC เป็นฉากที่อยู่ต่อจากตอนที่ 27 ซึ่งเราเอามาลงแทรกไว้ทีหลัง ลองอ่านดู เพราะในฉากนั้น เรามีนัยยะบางอย่างแฝงไว้นิดหน่อย (แบบลึกๆ) อย่างที่คอมเม้นต์บอก แต่อย่างที่บอกว่า เราอาจจะเขียนฉากนี้ออกมาได้ไม่ดีมากนัก 5555+


เรื่องที่สอง ฉากความเซ็กซี่ของเก็ท อันนี้ยอมรับว่าตอนเขียนไป ดู ref. ไป ก็ยังเขินเองไปด้วย 5555+ นึกไปว่าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์นั้น และได้เห็นภาพแบบนั้น แล้วก็เขียนออกมา (สรุปคือใส่ความหื่นของตัวเองเข้าไป 5555+) แต่ก็ดีใจนะฮะที่มีคนถูกใจกับฉากนั้น
 

เรื่องที่สาม ในส่วนของรายละเอียดหรือพื้นหลังของตัวละคร เราจะพยายามสอดแทรกเข้าไปให้ชัดเจนขึ้น และเสริมการกระทำต่างๆ ให้มากขึ้น เรื่องนี้ต้องขอบคุณด้วยเช่นกันที่ไม่ทำให้เรามองข้ามมันไป


สุดท้าย ขอบคุณสำหรับการอ่านจริงๆ ที่มาพร้อมคอมเม้นต์แบบจริงใจและจริงจัง ตั้งแต่ตอนลงเรื่องครั้งแรก ดีใจและรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเม้นต์แบบนี้ มันทำให้เรารู้ว่าจุดผิดพลาดอยู่ตรงไหน เป็นแนวทางว่าควรปรับแก้หรือเพิ่มเติมอย่างไร ขอบคุณมากจริงๆ ฮะ



ไป..ไป
ไปลงนรกซะเถิดที่รักฉันจะลงโทษเธอ


เวลาของเธอหมดแล้ว
ไป..ไป


เดี๋ยวเจอสายสิญจน์
ข้าวสารเสก
สาดไล่ นะจ๊ะ
อิผีปาร์ค


+1 ฮับ

จะกลับมาทำไมอีกอีปาร์ค ไปที่ชอบ ๆ เถอะ เราขอร้อง

ปาร์คมีความเฮี้ยนสูง 55555555+
ต้องจับใส่หม้อ ถ่วงน้ำ
การถูกเกลียดก็สูงด้วยเช่นกัน

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Exclusif 2 (ต่อจาก Chapitre 27) [7/7/2017]
«ตอบ #114 เมื่อ07-07-2017 22:14:53 »

Exclusif 2 NC

    “ปล่อยกูนะ!! ปล่อย!!!” ผมดิ้นสุดแรงพร้อมกับกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงเพื่อเรียกสติปาร์คกลับมา ให้ปาร์คหยุดการกระทำป่าเถื่อน โหดร้ายนี้กับผม แต่เสียงของผมกลับไม่ได้เข้าไปถึงจิตใจที่มืดบอดของปาร์คได้เลย

   ริมฝีปากที่ผมเคยหลงใหลนั้น บัดนี้กลับไล่โลมเลียและดูดเม้มไปตามลำคอของผมอย่างกักฬระและหยาบโลน แรงดูดนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บแสบไปทั่ว ไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะเป็นรอยเด่นชัดขนาดไหน

   แขนทั้งสองข้างของผมยังคงโดนตรึงไว้เหนือหัวเช่นเดิมแต่แรงกดกลับเพิ่มมากขึ้น ส่วนอีกมือปาร์คปล่อยออกจากใบหน้าผมแล้วทำให้ผมดิ้นได้มากขึ้น ผมเบี่ยงศีรษะพัลวันเพื่อหนีหนี้สัมผัสอันน่าสะอิดสะเอียนนั้น แต่ดูเหมือนมันจะยิ่งทำให้ปาร์คโมโหมากขึ้น

   “อยู่นิ่งๆ ได้ไหม!” ปาร์คเงยหน้ามองผมด้วยดวงตาแข็งกร้าวพร้อมกับหยุดการกระทำชั่วครู่ มันเป็นจังหวะดีที่ผมจะหนี แม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิดแต่ก็อาจจะทำให้ผมหลุดพ้นจากสถานการณ์บ้าๆ นี้ได้

   พลั่ก!

   ผมยกขาข้างที่ถนัดแล้วออกแรงส่ง ถีบเข้าที่สีข้างของปาร์คเต็มแรง แม้จะไม่ถนัดเท่าไรเพราะช่วงล่างของปาร์คทับเอาไว้ แต่มันก็แรงพอที่จะทำให้ปาร์คเสียหลัก และผมจะลุกหนีได้ ผมไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ทันทีที่ร่างปาร์คกระเด็นออกจากตัวผม ผมก็รีบลุกวิ่งทันที เป้าหมายคือประตู พ้นไปแล้ว ผมอาจจะรอดก็ได้

   ตุบ! อัก!

   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะวิ่งได้ถึงสามก้าว ผมก็ล้มลงไปวัดพื้นพรมซะแล้ว เป็นปาร์คเองที่กระชากข้อเท้าผมอย่างแรงจนเสียหลักล้มลง ดีที่ผมเอามือยันไว้ทันไม่งั้นหน้าผมคงฟาดกับพื้น ทำไมต้องทำกันขนาดนี้

   “ชอบให้ใช้กำลังใช่ไหม!” ปาร์คถามเสียงเหี้ยม ปาร์คคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว ตรงหน้าผมนี้คือปีศาจชัดๆ ปีศาจที่พร้อมจะจัดการผมให้จมคมเขี้ยวได้ตลอดเวลา

   “โอ้ย!” ปาร์คออกแรงกระชากข้อเท้าผมอีกครั้งเพื่อดึงร่างผมให้กลับไปอยู่ใต้อาณัติเช่นเดิม ผมที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่พยายามจะพลิกตัวหันกลับมาถีบร่างสูงด้านบนอีกครั้ง แต่กลับถูกรวบแขนทั้งสองข้างไว้แล้วกดตรึงไว้ด้านหลังจนผมขยับตัวไม่ได้ ผมต้องเบือนหน้าไปด้านหนึ่งเพื่อให้หายใจออก แต่ก็ถึงกับเบิกตาพร้อมกับขนที่ลุกชันเมื่อเห็นว่าอีกมือของปาร์คกำลังปลดเข็มขัดออกเพื่อนำมามัดข้อมือของผม ผมพยายามดิ้นหนักกว่าเดิมแต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ปาร์คจัดการมัดมือทั้งสองข้างของผมไพร่หลังด้วยเข็มขัด ก่อนจะพลิกตัวผมให้กลับมาเผชิญหน้า

   แรงกดทับของน้ำหนักตัวผมรวมเข้ากับแรงเสียดสีของเข็ดขัดที่มัดไว้มันทำให้ผมเจ็บจนแทบทนไม่ไหว ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาเฉียวสีนิลที่เคยทรงเสน่ห์คู่นั้น พยายามค้นหาความเมตตา ความอ่อนโยนที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ในจิตสำนึกของคนๆ นี้ แต่ไม่เลย ผมไม่สามารถสัมผัสมันจากแววตาคู่นั้นได้เลย ผมสัมผัสได้เพียงความมืดมนจากปีศาจตรงหน้า

   “หมดฤทธิ์รึยัง หื้ม...” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ก่อนจะก้มลงไซร้ซอกคอผมอีกรอบ

   “ออกไป! ไอ้สารเลว! ชั่ว! ชั่วที่... อื้อ...” ปากที่กำลังกร่นด่าของผมถูกปิดด้วยริมฝีปากของปาร์ค แต่หาได้มีความอ่อนโยนอยู่ในสัมผัสนั้นไม่ ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความยัดเยียด เหยียดหยาม และความอยากเอาชนะ

   ผมยังคงดิ้น แม้ว่ายิ่งดิ้น เข็มขัดที่มัดข้อมืออยู่จะยิ่งถูกันมากขึ้น แต่ถ้ามันจะช่วยให้ผมหลุดพ้นผมก็ยอม จนปาร์คจิ๊ปากด้วยความรำคาญ ก่อนหมัดหนักๆ จะต่อยเข้าเต็มๆ ท้องน้อยถึงสองครั้ง จนผมตัวงอด้วยความจุก น้ำตาที่ซึมอยู่ที่ขอบตา ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เจ็บตัวไม่เท่าไร แต่หัวใจที่มีแผลของผมมันเหมือนถูกกรีดซ้ำๆ ลงไปจนแผลยิ่งเปิดกว้าง แผลมันลึกจนไม่สามารถเยียวยาได้ในทุกครั้งที่ปาร์คสัมผัสร่างกายของผมด้วยความหยาบโลนและน่าขยะแขยง

    ปาร์คทำเหมือนผมไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก ทำเหมือนว่าผมเจ็บไม่เป็น ผมผิดอะไร ในเมื่อผมกับปาร์คต่างก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่มีอะไรที่ชัดเจนและแน่นอนตั้งแต่เริ่มต้น ที่สำคัญปาร์คก็มีคนสำคัญของตัวเองอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ปล่อยผมไป ทำไมถึงต้องมาทำกับผมแบบนี้!

    “สิ้นฤทธิ์สักทีสินะ ถ้ายอมดีๆ ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว ทำอย่างกับไม่เคยไปได้” ปาร์คแสยะยิ้มมองผม ก่อนจะพูดสิ่งที่เสียดแทงหัวใจผมให้เจ็บช้ำยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่ร่างสูงจะอุ้มผมที่นอนตัวงออยู่เข้าไปในห้องนอน “มานี่ จะได้เริ่มทบทวนความหลังกันสักที จะได้จำได้สักทีว่าใครเป็นผัว จะได้ไม่ลืมว่าตัวเองเป็นเมียใคร!”

    “ปล่อยฟร๊องก์เถอะนะปาร์ค เราคุยกันดีๆ ก็ได้นี่” ผมพยายามอ้อนวอนหลังจากที่คนตรงหน้าโยนผมลงกับเตียงอย่างไม่ถนอม แม้ว่าเตียงจะสปริงตัวดีและฟูกนุ่มเพียงใด แต่โยนมาแบบนี้ก็ทำเอาผมจุกได้เหมือนกัน ยิ่งบวกกับความจุกที่โดนต่อยท้องก่อนหน้าและมือที่ถูกมัดไว้ด้านหลังอีก ผมยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่

    “เอาเสร็จค่อยคุย หึหึ”

    “ไม่! ม่าย!!” ผมดิ้นก่อนที่ปาร์คจะกระชากเสื้อนิสิตของผมออกจากไร้ความปรานี เม็ดกระดุมที่กระเด็นหลุดออกจากรังดุมบางเม็ดก็ขาดกระเด็นอย่างไม่รู้ทิศทาง ส่วนเม็ดที่เหลือก็มีเพียงด้ายเส้นบางรั้งไว้เท่านั้น

    มือใหญ่ของปาร์คค่อยๆ ลูบผ่านหน้าท้องแบนราบของผมอย่างไม่รีบร้อน เพราะรู้ดีว่าผมหมดหนทางจะหนีแล้ว ในเมื่อถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาแบบนี้ ส่วนอีกมือก็จับใบหน้าผมไม่ให้หันหนีริมฝีปากและเรียวลิ้นอุ่นที่กำลังบดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างจาบจ้วง รสจูบที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด...

    “อ๊ะ... อื้อออ...” ผมร้องออกมาทันทีที่ปาร์คถอนปากออก ความเสียวซ่านโถมเข้ามาเมื่อนิ้วมือเรียวนั้นค่อยๆ เขี่ยติ่งเนื้อสีชมพูที่กำลังแข็งชันของผมอย่างสนุกมือ

    ลิ้นอุ่นๆ นั้นค่อยๆ ไล่เลียจากลำคอผมลงไปเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดขบเม้มที่ตุ่มไตที่หน้าอกอีกด้านของผม ปาร์คตวัดลิ้นเลียอย่างชำนาญจนผมเองก็หลงเคลิ้ม ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเสียว แต่ผมกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดรอดออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน เสียงอันน่าอัปยศที่ผมจะไม่เปล่งออกไปเด็ดขาด

    ปาร์คค่อยๆ เลื่อนมือถอดกางเกงของผมออก แต่ผมที่พยายามบิดขาเพื่อขัดขวาง มันยิ่งทำให้ปาร์คที่ผ่อนแรงลงในตอนแรกกลับมารุนแรงมากขึ้น ปาร์คจับขาผมอ้าออกพร้อมกับออกแรงกระชากกางเกงสแลคเข้ารูปของผมออกจนแสบเพราะแรงเสียดสีระหว่างเนื้อผ้าและผิวหนัง ก่อนที่ตัวเองจะแทรกตัวเข้ามาระหว่างขาของผม ผมพยายามถีบแต่ก็ปาร์คจับแล้วกดแรงบีบข้อเท้าผมถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บและก็ต้องจำใจนิ่งไป

    “อยู่นิ่งๆ ดีกว่านะฟร๊องก์ เพราะถึงยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ปาร์คไม่อยากรุนแรงกับฟร๊องก์” ปาร์คก้มลงมาพูดข้างหูผมด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ เหมือนการปลอบโยน แต่เปล่าเลย เพราะเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากคู่นั้นกำลังยกยิ้มเยาะเย้ยผมที่ไร้ทางสู้อยู่ต่างหาก

    “เลว! ชาติชั่ว! อื้อ... อ่อยอู!!”

    ปาร์คบดจูบปิดเสียงด่าทอของผมอีกรอบ รอยแผลเดิมไม่ต้องบอกว่ามันปริแตกเพิ่มขึ้นจนแสบมากแค่ไหน ผมได้แต่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ในตอนนี้ผมหมดสภาพที่จะสู้แรงคนเบื้องหน้าได้อีกแล้ว

    ปราการสีขาวตัวจิ๋วชิ้นสุดท้ายของผมตอนนี้หลุดไปอยู่ที่ข้อเท้าด้านหนึ่งเรียบร้อยแล้ว โดยที่ปากของผมกับปาร์คยังไม่หลุดออกจากกัน ส่วนนั้นปรากฏออกมาสู่สายตา แต่ผมไม่สามารถปกปิดความอับอายนั้นได้เลย เพราะส่วนนั้นกำลังแข็งขืนตามอารมณ์ที่ปาร์คปลุกปั่น

    มือของปาร์คเลื่อนมากอบกุมตรงนั้นของผม ก่อนจะค่อยๆ ขยับมือขึ้นลงช้าๆ จากที่ไม่รู้สึกอะไร ไอ้ของไม่รักดีของผมก็ตื่นตัวสู้มือที่กำรวบอยู่อย่างน่าอับอาย ปาร์คถอนริมฝีปากออกก่อนจะมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มอย่างชอบใจ มือใหญ่นั้นเริ่มรูดเร็วขึ้นจนผมเริ่มเกร็งตัวตามด้วย... ความเสียวซ่านที่แทรกซึมเข้ามาในความรู้สึก และมันมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปาร์คเลื่อนริมฝีปากมาครอบยอดอกข้างหนึ่งของผม โลมเลียสลับกับการดูดเม้มจนผมต้องจิกนิ้วเท้ากับผ้าปูที่นอนพร้อมหลับตาพริ้วด้วยความเสียวอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนที่ปาร์คจะหยุดการกระทำดังกล่าวลงกลางคัน

    “จุ๊ๆ จะรีบไปไหนล่ะ หื้ม...” ปาร์คผละจากยอดอกผมมากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงกระเส่า พร้อมกับงับติ่งหูที่เป็นจุดอ่อนของผม
    เล่นเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อและยั่วอารมณ์ผมให้คุ้มคลั่ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อถอดชุดของตัวเองออกทั้งหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว

    ผมเบือนหน้าหนีสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า แม้ว่าร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ตามประสาคนเล่นกีฬาจะน่ามองมากแค่ไหน แต่ในเวลานี้ผมกลับรังเกียจจนอยากอาเจียนออกมา ยิ่งประกอบกับอวัยวะตรงกลางลำตัวของปาร์คแข็งขืน ตั้งตรงและใหญ่จนดูน่ากลัวนั้นด้วยแล้ว ผมยิ่งพยายามถดตัวหนีจากสิ่งนั้นให้ไกลที่สุด ทั้งที่เคยเห็น เคยสัมผัสกับสิ่งนั้นมาแล้วด้วยความสุข แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ทั้งอารมณ์และความรู้สึก ตอนนี้มันทำให้ผมกลัวเจ้าสิ่งนี้!

    ปาร์คแทรกตัวเข้ามาอยู่ระหว่างขาของผมอีกครั้ง พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างรวบเอวผมดึงกลับไปหาตัว ก่อนจะยกสะโพกผมลอยขึ้นแล้วเอาหมอนมารองไว้ ทำให้ผมถดตัวหนีได้ยากลำบากมากขึ้น น้ำตาของผมยังไหลไม่หยุด ปาร์คที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่ใช่ปาร์คคนที่ผมเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย

    “จะหนีทำไม ทำอย่างกับไม่เคยไปได้”

    “ยะ... อย่า... ออกไป อ่าาา...” จากที่พยายามถอยหนี อยู่ๆ ตัวผมกลับลอยขึ้นเมื่อปาร์คใช้แขนข้างหนึ่งซ้อนหลังผมขึ้นมา ก่อนจะที่ริมฝีปากสีแดงสดนั้นจะครอบครองที่ยอดอกของผมอีกครั้ง

    ร่างทั้งร่างเหมือนโดนไฟฟ้าสถิต ผมแอ่นอกรับเรียวลิ้นและสัมผัสฉ่ำเยิ้มนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงหอบหายใจถี่ๆ ของผมยิ่งเร่งให้ปาร์คละเลงลิ้นที่ยอดอกทั้งสองของผมมากขึ้น ผมอยากดิ้นหนีจากสัมผัสเหล่านี้... แต่ผมก็ทำไม่ได้
เพราะความต้องการข้างในของผม มันกำลังเรียกร้อง...

    “หึหึ ชอบแล้วล่ะสิ จะได้เริ่มทบทวนความหลังกันสักที” ปาร์คว่าพลางเงยหน้าขึ้นมากระตุกยิ้มให้ผม “เริ่มเลยนะ”
ร่างผมนอนแผ่ลงบนเตียงอีกครั้ง พร้อมกับรสจูบของปาร์คที่ตามลงมา ผมหลับตาพริ้มรับบทจูบที่อ่อนโยน... ก่อนที่ดวงตาที่ปิดสนิทจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อช่องด้านหลังถูกล่วงล้ำโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

    “อ้ะ... อื้อ...” ปาร์คไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ลิ้นที่ล้วงล้ำยังคงกวาดต้อนลิ้นให้ผมเคลิ้ม ขณะที่นิ้วที่ล้วงล้ำก็ค่อยๆ กดแรงดึงเข้าออกเป็นจังหวะถี่ๆ แต่ทุกครั้งที่ดันนิ้วเข้าไป ปาร์คจงใจแหย่เข้าไปลึกขึ้นๆ จนผมแทบคลั่ง อยากใช้มือเพื่อปลดปล่อยตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกมัดไว้อยู่ ปาร์คยังคงสอดนิ้วเข้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนมาหยุดที่สามนิ้ว

    “อย่าเกร็งสิ” ปาร์คผละริมฝีปากที่จูบผมออกพลางเลียริมฝีปากของผมเล่น ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงสั่น

    “จะ... เจ็บ” ผมเกร็งตัวด้วยความปวดหน่วงๆ และจุกที่ช่องท้อง จากความคับแน่นที่ช่องทางด้านหลัง

    “เดี๋ยวจะดีเอง เหมือนอย่างที่เคย...” ปาร์คพยายามพูดปลอบโยน พร้อมกับกัดริมฝีปากล่างของผมเบาๆ เหมือนหยอกล้อ
ผมรู้สึกโล่งทันทีที่ปาร์คดึงนิ้วทั้งสามออกจากตัวผม แต่ยังไม่ทันที่จะหายใจได้ทั่วท้อง เจลเหนียวๆ เย็นๆ ก็ถูกชโลมลงที่ช่องทางรักพร้อมกับนิ้วที่แหย่เข้าไปเปิดทางอีกรอบ ก่อนที่สัมผัสของไออุ่นจากสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วทั้งสามก็เตรียมจะเข้ามาแทนที่ จนผมต้องพยายามถอยหนี แต่ปาร์คที่รู้ทันกลับกดไหล่ผมไว้ไม่ให้ขยับได้

    ปาร์คก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง ก่อนที่เรียวลิ้นนั้นจะค่อยๆ ไล่เลียผ่านลำคอของผม มาดูดเม้มที่ตุ่มไตสีชมพูอย่างเมามัน ขณะเดียวกันเรียวขาทั้งสองข้างของผมก็ถูกยกขึ้นเพื่อให้พร้อมรับแก่นกายใหญ่นั้น

   “โอ้ย! เอาออกไป... อ๊ะ... อ๊า...! จะ... เจ็บ!” ปาร์คแทรกแก่นกายเข้ามาพรวดเดียวจนสุดลำอย่างไม่เบามือ โดยอาศัยจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้มกับการหยอกล้อของเรียวลิ้นนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว ผมรู้สึกได้ถึงการกระตุกของกล้ามเนื้อในตัวของผมที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมและพยายามจะขมิบเพื่อให้แท่งร้อนนั้นหลุดออกไป แม้จะพยายามถอยหนีแต่ด้วยความที่แขนถูกมัด และขาทั้งสองถูกยกให้ลอยขึ้นจึงไม่มีทางเลยที่จะถอยให้แท่งอุ่นขนาดใหญ่นี้หลุดออกจากร่างกาย

   “อื้มมม... ซี๊ดดด... อย่าเกร็งสิ ปล่อยตัวตามสบาย ปาร์คอ่อนโยนกับฟร๊องก์แล้วนะ” เสียงปาร์คครางต่ำ พร้อมกับกดแช่ตัวตนของตัวเองไว้แบบนั้น ก่อนจะวางขาทั้งสองข้างของผมลงกับฟูกเช่นเดิม ขณะที่มือข้างหนึ่งเอื้อมมากุมส่วนนั้นของผม แล้วสาวขึ้นลงช้าๆ เพื่อให้ผมผ่อนคลาย อาการจุกแน่นและอึดอัดด้านหลังค่อยๆ ทุเลาลงด้วยการปรนเปรอที่ด้านหน้าของปาร์ค

   “พร้อมนะ” ร่างสูงว่าพร้อมกระชับสะโพกของผมให้เข้าที่ ก่อนจะค่อยๆ ขยับร่างกายเข้าออกเป็นจังหวะ เริ่มจากช้าๆ เนือบๆ เหมือนไม่เร่งรีบอะไร โดยมือใหญ่ข้างเดิมนั้นยังคงช่วยกระตุ้นอารมณ์ของผมให้พุ่งพล่านมากกว่าเดิม

   สัมผัสเสียดสีที่ช่องด้านหลังเริ่มเร็วและหนักแน่นมากขึ้น จนตัวผมโยกไปตามจังหวะการกระแทกของคนตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องบน ก่อนที่เจ้าตัวจะหยุดเว้นจังหวะสักครู่ แล้วกระแทกร่างทั้งร่างสวนลึกเข้ามาที่ผมจนตัวผมสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อแรงกระแทกนั้นทำให้ส่วนหัวเข้าไปถึงจุดกระสันจนนิ้วเท้าของผมจิกกับผ้าปูด้วยความเสียว น้ำตาเอ่อคลอไหลลงมาอีกรอบจนผมแยกไม่ออกว่าเพราะความเสียวหรือเพราะความเจ็บปวดกันแน่

   “อ๊ะ...” ผมกัดริมฝีปากอีกครั้งเพื่อไม่ให้เสียงหลุดรอดออกมา

   “อย่ากัดปาก... ร้องออกมา” ปาร์คให้นิ้วหัวแม่มือมาลูบวนที่ริมฝีปากเพื่อไม่ให้ผมกัดมัน

   “ไม่! ไอ้ชั่ว!! ปาร์ค... อื้อ... ชั่ว!!”

   ไม่ทันจบในสิ่งที่ผมด่า ปาร์คก็ส่งแรงกระแทกหนักขึ้น และร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่ปรานี จนผมเองยังได้ยินเสียงเตียงที่เคลื่อนไปตามจังหวะการซอยสะโพกของปาร์ค แม้จะเจ็บและจุกจนพูดไม่ออก แต่ขณะเดียวกันมันก็เสียวซ่าน รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

   “ปะ... ปาร์ค เบาหน่อย เจ็บ... อื้อออ”

   “ไม่เกร็งสิคนดี ปล่อยตามอารมณ์ ซี๊ดดด... ถ้าฟร๊องก์ไม่ด่า ไม่ดื้อกับปาร์ค ปาร์คจะแก้มัดให้และจะทำให้เบาลง แต่จะให้ปาร์คหยุดตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ ฟร๊องก์รัดของปาร์คแน่นขนาดนี้” ปาร์คว่าพร้อมกับซู๊ดปากด้วยความเสียว ก่อนจะก้มลงมาละเลงลิ้นปรนเปรอรสกามที่ยอดอกให้ผมมีอารมณ์ร่วมตาม พายุสวาทของเราสองคนตอนนี้ไม่มีอะไรมาหยุดได้อีกต่อไป

   ร่างทั้งสองร่างแนบชิดแทบจะเป็นหนึ่งเดียว ในหูผมมีแต่เสียงครางอย่างเร้าร้อนสลับกันของคนทั้งสอง พร้อมกับเสียงกระทบกันของเนื้อเปลือยเปล่าเป็นจังหวะตามแรงสั่นของร่างทั้งสอง ปาร์คแก้มัดเข็มขัดที่ข้อมือผมออก พร้อมกับจับให้แขนทั้งสองของผมโอบไว้รวบคอระหงส์นั้น ก่อนจะสอดแขนทั้งสองที่หลังแล้วยกร่างของผมขึ้นมาอยู่บนหน้าตัก

   “ซี๊ด... ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วนะว่าฟร๊องก์เป็นของใคร” ปาร์คว่าเสียงกระเส่า พร้อมกับใช้มือจับเอวผมให้ขยับขึ้นลงตามจังหวะที่ตัวเองเป็นผู้ควบคุม โดยไม่ลืมที่จะตอกย้ำในการกระทำอันป่าเถื่อนของตัวเอง 

   “อื้อ... จะไม่ไหวแล้ว อ๊าาา...”  และก็เป็นผม ที่ยอมแพ้ให้กับความต้องการข้างในแม้คนตรงหน้าจะโหดร้ายกับตัวเองแค่ไหน ผมมันช่างอ่อนแอ และ... น่าสมเพช...

   “รีบไปไหน อื้มมม” ปาร์คเด้งสะโพกสวนขึ้นมาจนผมต้องกอดคอเจ้าตัวไว้แน่น เล็บผมจิกข่วนไปทั่วทั้งแผ่นหลังด้วยความเสียว “กัดไหล่ปาร์คได้นะ ถ้าทนไม่ไหว”

   ปาร์คยังคงเด้งสะโพกขึ้นรับขณะที่มือยังคงรวบเอวของผมให้ขยับขึ้นลงตามจังหวะ ร่างของผมสั่นคลอนทุกครั้งที่ถูกกระแทก ความจุกแน่นถูกแทนที่ด้วยความเสียวซ่าน แต่ก็ยังคงเจ็บทุกครั้งที่ปาร์คส่งแรงกระแทกแรงๆ เข้ามา จนผมต้องก้มลงกัดที่บ่าของปาร์คเพื่อระงับอาการเจ็บ... และเสียว

   ปาร์ควางร่างผมลงกับเตียงอีกครั้ง พร้อมกับโน้มตัวมาจูบปากผมอย่างดุเดือด รุนแรงตามอารมณ์สวาทที่กำลังถาโถ้มร่างของเราสองคน มือข้างหนึ่งของปาร์คกลับมาทำหน้าที่แทนผมอย่างรู้ทัน

   “เสียวเป็นบ้าเลย เมียใครก็ไม่รู้ อ่าาา” ปาร์คครางออกมาแทบไม่เป็นภาษา ขณะที่เจ้าตัวเร่งจังหวะรุนแรงและรวดเร็วขึ้นจนผมแทบทนไม่ไหว เช่นเดียวกับมือที่รูดส่วนนั้นให้ผมก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน

   พายุใกล้สงบแล้ว... เมื่อน้ำขาวขุ่นของผมไหลทะลักออกมาเปื้อนเปรอะเต็มหน้าท้องแบนราบและฝ่ามือของปาร์ค ผมหลับตาพริ้ม นิ้วมือและนิ้วเท้าเกร็งจิกผ้าปูที่นอนด้วยความเสียวขั้นสุดจากการปลดปล่อย

   “อื้มมม อ่าาา” ปาร์คเร่งจังหวะมากขึ้นเมื่อผมเสร็จสมอารมณ์หมาย ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะกระแทกแรงๆ อีกหลายทีก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงแรงฉีดของของเหลวที่ปล่อยเข้าไปในตัวผม ก่อนที่เจ้าตัวจะกระแทกหนักๆ ซ้ำอีกสองสามครั้งก่อนแช่ค้างไว้ ผมค่อยๆ ปรือตามองปาร์คทำกำลังมองผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างพึงพอใจ

   “พอใจแล้วใช่ไหม ถ้าพอใจแล้วก็ปล่อย!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เหมือนกับเรี่ยวแรงที่เหมือนเพิ่งถูกปาร์คดูดกลืนไปเมื่อครู่

   “ยังไม่จบง่ายๆ หรอก ในเมื่อไม่จำเองว่าตัวเองเป็นของใคร ฉะนั้นก็ต้องทำให้จำขึ้นใจ ว่าใครคือ ‘ผัว’ ตัวจริง”

   ปาร์คพูดเสียงเหี้ยมพลางยิ้มเหี้ยม ผมถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พายุที่ผ่านไป มันเป็นแค่ลูกแรกเท่านั้น ค่ำคืนนี้ผมต้องเผชิญหน้ากับพายุที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งนี้อีกสักกี่ลูกกัน

   “ม่ายยย!!!”

   ปาร์คทำแบบนี้กับผมทำไมกัน...   


ย้ำอีกที ตอนพิเศษนี้จริงๆ ต้องอยู่ต่อจากตอนที่ 27 นะฮะ พอดีเอามาลงแทรกเอาไว้ตามคำแนะนำ

ตั้งใจทำออกมาให้เป็นฉากที่รุนแรงตามอารมณ์ของตัวละคร
แต่จริงๆ ก็ตั้งใจแทรกความเป็นตัวฟร๊องก์ซ่อนอยู่ในนั้นนิดหน่อย
เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างแรงอารมณ์กับแรงปราถนา...

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 30 [11/7/2017]
«ตอบ #116 เมื่อ11-07-2017 19:45:37 »

Chapitre 30

   ไชโย!!! สอบเสร็จสักที! ผมเพิ่งเคลียร์ข้อสอบวิชาฝรั่งเศสเสร็จเป็นวิชาสุดท้าย ซึ่งนัดสอบนอกตารางวันเสาร์หลังจบสัปดาห์การสอบทั้งสองสัปดาห์ และเป็นตัวที่ทำเอาผมเครียดและปวดหัวมากที่สุด ทั้งอ่านเยอะ จำแกรมม่าร์ก็เยอะ แถมอาจารย์ยังออกข้อสอบได้พลิกแพลงต้องงัดความเข้าใจโดยรวมมาใช้ในโจทย์ข้อเดียวอีก เล่นเอาความรู้ที่มี (อย่างน้อยนิด) ของผมตีกันยุ่งเหยิงไปหมดเลย นี่ปวดหัวมากเลยครับ ทั้งๆ ที่ออกจากห้องสอบมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังยืนถกเถียงเรื่องข้อสอบกับเพื่อนอยู่ เพื่อนในกลุ่มผมมีแค่ผม เก็ท แล้วก็โดนัทครับที่เรียนฝรั่งเศส นอกนั้นก็เลือกภาษาที่ 3 อื่นๆ เป็นตัวเลือกแยกๆ กันไป

   แต่ผมว่าพอแล้วแหละครับ ยิ่งพูดถึงตัวข้อสอบไป ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่มากขึ้นเท่านั้น เมื่อมานั่งคุยกับเพื่อนๆ บางคนกลับตอบไม่เหมือนกับผม บางทีหันไปถามเก็ทที่นั่งฟังเงียบๆ เก็ทก็ตอบมาแค่ว่า ตอบเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แล้วเอาผมหัวใจหล่นวูบเลย คะแนนผมจะเหลือเท่าไรวะเนี่ย ดีหน่อยที่ข้อสอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด แล้วมันต้องแต่งประโยคขึ้นมาเอง จะมีแค่บางพาร์ทที่ให้เลือกเติม verbe (คำกริยา) ได้ตามใจชอบ แบบไม่มีช้อยส์ ไม่มีตัวเลือกใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือต้องมีคลังศัพท์อยู่ในหัวพอสมควรอ่ะ

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นขัดกับเสียงของโดนัทที่นั่งจ้อเรื่องข้อสอบกับเพื่อนในสาขาอีกคนอย่างออกรสชาติ ผมกลายเป็นฝ่ายนั่งฟังแล้วครับ รู้สึกว่าตัวเองตอบอะไรไปก็ผิดหมดเลย นี่ถ้าใจไม่รักผมคงไม่เรียนจริงๆ นะฝรั่งเศสเนี่ย

   หน้าจอโชว์ชื่อของน้องชายผู้ที่พูดปากไม่หยุดขยับนั่นเอง เป็นทาร์ตแหละครับที่บอกผมว่าจะโทรหาหลังสอบเสร็จ ซึ่งเป็นปกติทุกวันแล้วที่ทาร์ตจะโทรมาคุยกับผม ทั้งที่ก็เจอกันที่มอทุกวันนะ แต่ตกดึกก็โทรมาอีกแล้ว แถมยังมักจะหยอดคำหวานให้กับผมเรื่อยๆ ส่วนผมก็เริ่มเปิดใจนิดๆ แล้วแหละครับ จริงๆ จะว่าเปิดใจก็คงไม่ถูกซะทีเดียว ในเมื่อผมไม่ได้คิดจะปิดกั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เลยทำให้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นระหว่างผมกับปาร์ค ทาร์ตก็เข้ามามีส่วนในชีวิตผมมากขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีนะ เพราะมันสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผมมากขึ้นเช่นกัน

   “ว่าไง” ผมกรอกเสียงหลังจากกดรับอย่างเคยชิน ทำให้เก็ทที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบตามามองเล็กน้อย

   [สอบเป็นไงบ้างพี่ สบายๆ เลยป่ะ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงไม่แพ้กัน

   “สบายบ้าไรล่ะ นี่นั่งคุยกันเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ถูกเลย” ผมทำเสียงอ่อย คิดแล้วก็เครียด จะต้องดร๊อปไหมวะเนี่ยกู

   [โห้พี่ ผมเห็นพี่อ่านเยอะขนาดนั้น ยังบอกว่าทำไม่ได้อีกเหรอ นี่ถ้าผมไปเรียนด้วย คงแปลโจทย์ไม่ออก แล้วส่งกระดาษเปล่าเลยแหละ]

   “มันต้องเอาทุกอย่างที่เรียนๆ มารวบยอดมากกว่า มันไม่ใช่สักแต่อ่าน จำแล้วไปทำข้อสอบอ่ะ แต่มันต้องเข้าใจ วิเคราะห์เป็นไรงี้อ่ะ เลยแบบมันไม่ค่อยจะได้”

   [เอาหน่าพี่ มันผ่านไปแล้ว พี่ก็ทำเต็มที่แล้ว ผมเชื่อ! ผลสอบต้องออกมาดีแน่นอน เห็นพี่ตั้งใจซะขนาดนั้น] ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอย่างเป็นกำลังใจ ผมนึกสีหน้าออกเลย สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ โลกรอบข้างก็ดูสดใสเสมอ

   “คงงั้นมั้ง” เสียงผมยังดูแผ่วๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยากอ้อนให้คนปลายสายปลอบอย่างไรไม่รู้อ่ะ

   [อย่าเศร้าไปเลยพี่ เอางี้ พรุ่งนี้ผมพาไปเลี้ยง ทั้งกินข้าว ดูหนังเลย ถือว่าฉลองที่สอบเสร็จด้วย ดีไหมๆ]

   “หึหึ พูดเองนะ เดี๋ยวพ่อจะเล่นให้หมดตัวเลย” ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดด้วยเสียงเหี้ยม ในเมื่อมีคนเสนอมา ฟร๊องก์คนนี้ก็พร้อมสนองให้สมใจเลยครับ งานสบายกระเป๋าตังค์แบบนี้ชอบอยู่แล้ว ฮ่าๆ

   [ไม่มีปัญหาเลยครับผม! สำหรับพี่ฟร๊องก์ จะแค่ไหนผมก็ดูแลไหวอยู่แล้ว!]

   “จะกลับเลยไหม” จู่ๆ เก็ทก็โพล่งขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมก้มลงมาถามผมหน้านิ่ง

   “กลับดิๆ เออทาร์ต แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวไลน์มาบอกก็ได้ว่าที่ไหน กี่โมง” ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นยืนตามทันที ก่อนจะบอกปลายสายว่าจะวางแล้ว ส่วนรายละเอียดให้ไลน์คุยกันเอา ผมกับโดนัทวิ่งตามอย่างงงๆ เมื่อเก็ทเดินด้วยฝีก้าวยาวๆ ตามช่วงขาลงจากตึกไปแล้ว

   [โอเคพี่ เดี๋ยวคุยกันในไลน์ก็ได้] ทาร์ตว่าก่อนที่ผมจะกดวางสายไป

   หลังจากส่งโดนัทที่คอนโดฯ เสร็จ ภายในรถก็ยังคงเงียบอยู่ จริงๆ เก็ทเงียบมากๆ ตั้งแต่ที่เดินลงมาจากตึกแล้วแหละครับ ผมกับโดนัทเองก็งงๆ ว่าเป็นอะไร เพราะเห็นคุยเรื่องข้อสอบกันก็ยังยิ้มๆ อยู่

   “เป็นไรเนี่ย อย่าบอกนะเงียบๆ แบบนี้เพราะทำข้อสอบไม่ได้หลายข้อ” เปิดปากแซวทันทีเพื่อหวังว่ามันจะช่วยดึงบรรยากาศที่น่ากดดันนี้ให้ผ่อนคลายขึ้นได้

   “เปล่า” เก็ทตอบสั้นๆ สายตายังคงมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ

   “แหนะๆ ยอมรับมาซะดีๆ ว่าทำผิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถึงว่าสินั่งฟังเงียบเลย ฮ่าๆ” ผมยังคงไม่หยุดเอ่ยปากแซว

   “สรุปว่าคบกันแล้วเหรอ”

   “หืม... หมายถึงอะไร” เสียงหัวเราะก่อนหน้าต้องสิ้นสุดลงทันทีที่เก็ทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ว่ากำลังอยู่ในโหมดไหน

   “คบกับทาร์ตแล้วเหรอ” เก็ทหันมาสบตากับผมด้วยสายตาเรียบเฉยเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองท้องถนนเบื้องหน้าเช่นเดิม

   “ก็... ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่ก็คุยๆ กันอยู่อ่ะ น้องมันก็ตลกดี คุยด้วยแล้วรู้สึกไม่เกร็ง สบายๆ ไม่กดดัน ฟร๊องก์ไม่อยากรีบแล้วล่ะ ค่อยๆ เรียนรู้กันไปดีกว่า” ผมตอบยิ้มๆ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มที่ฉายแววสดใสจากริมฝีปากคู่นั้น ไหนจะเหล็กดัดฟันสีหวานที่เสริมเข้ามาช่วยให้รอยยิ้มนั้นน่ามองมากขึ้นอีก ก่อนจะหันกลับไปมองทางด้านหน้าเช่นเดียวกับอีกคน

   “อืม ถ้าเป็นอย่างงั้นก็ดีแล้ว แต่ก็ดูให้ดีๆ ก่อนแล้วกัน อย่ารีบร้อนเกินไป” ผมหันไปยิ้มให้เก็ทอีกครั้ง ไม่แปลกใจหรอกครับที่มันพูดแบบนั้น เพราะผมรู้ดีว่ามันเป็นห่วงและหวังดีกับผมในแบบเพื่อนเหมือนทุกครั้งที่เคยเป็น อีกอย่างเก็ทก็รู้มาตลอดว่าความรักที่ผ่านของผม ผมต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน จึงไม่แปลกหรอกที่มันจะเตือนผมแบบนั้น

   “อืม ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แหละ ขอบใจนะ”

   ถ้าวันนี้ผมไม่เหลือใครจริงๆ ขอแค่มีเพียงเพื่อนคนนี้ผมก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว...

**********__________**********

   หลังจากเมื่อวานที่แยกกับเก็ทไป ช่วงกลางคืนทาร์ตก็ไลน์มาบอกว่าพรุ่งนี้จะนั่งแท็กซี่มารับผมที่หอ แล้วชวนผมไปไหว้พระที่วัดพระแก้วกันก่อน เพราะมันบอกว่ามันอยากไปมานานแล้ว ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ยังไม่เคยได้แวะไปเลย ผมก็เห็นว่าดีเหมือนกัน ไปไหว้พระทำบุญซะบ้าง เผื่ออะไรๆ ในชีวิตผมจะดีขึ้นบ้าง แล้วหลังจากนั้นค่อยไปดูหนังกินข้าวตามโปรแกรมของคนเลี้ยง ฮ่าๆ

   แน่นอนว่าจะไปเดินเที่ยวในวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังตามที่ทาร์ตชวนก็ต้องออกเช้ากว่าปกติหน่อย ถ้าไปช้ามันก็จะกินเวลานานด้วย แถมแดดยังแรงอีกต่างหาก ร้อนตายเลย ผมเลยบอกเวลาทาร์ตให้มาหาผมที่หอตั้งแต่เก้าโมงเช้า ตอนนี้ก็เกือบได้เวลานัดแล้ว ผมจึงลงไปนั่งรอที่เก้าอี้ใต้หอ

   นั่งจิ้มหน้าจอไอโฟนอยู่ไม่นานแท็กซี่สีชมพูก็มาจอดที่หน้าหอของผม ก่อนที่ทาร์ตจะเปิดประตูลงมาโบกมือทักทายผมพร้อมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้าง จะว่าไปวันนี้มันดูดีเหมือนกันนะเนี่ย

    ทาร์ตที่ยืนยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันนั้นอยู่ในชุดสบายๆ แต่ก็ดูลงตัว ไม่มากไม่น้อยเกินไป มันสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาว แต่ถูกพักแขนขึ้นลวกๆ ไม่เรียบร้อยมากนักไว้ที่บริเวณข้อศอก พร้อมปล่อยชายเสื้อทับขอบกางเกงยีนส์ทรงเดฟสีทึบ ทุกอย่างเข้ากันอย่างลงตัวกับรองเท้าผ้าใบ Converse สีขาวเรียบๆ มีเส้นขลิบดำเล็กๆ ที่ขอบยางของรองเท้า ที่ข้อมือข้างที่กำลังโบกให้ผมนั้นมีเพียงนาฬิกา G-Shock สีดำเท่านั้น ไม่มากตามสไตล์ less is more จริงๆ

   ส่วนผมก็เลือกสไตล์การแต่งตัวของวันนี้ไม่ผิด ผมใส่แค่เสื้อยืดสบายๆ ลายขวางสีขาวสลับดำไว้ด้านใน แล้วสวมทับด้วยแจ็กเก็ตยีนส์สีซีดพับแขนนิดหน่อย กับกางเกงยีนส์ขาเดฟเช่นกันแต่สีอ่อนกว่าของทาร์ตและมีรอยขาดแบบเท่ๆ พร้อมรองเท้าผ้าใบแบบหุ้มข้อสีขาวยี่ห้อเดียวกัน ที่ข้อมือผมเองก็มีเพียงนาฬิกาสไตล์วินเทจสายผ้าสีดำไม่มียี่ห้อที่ซื้อมาเก็บไว้จากเจเจ ที่หลังผมมีกระเป๋าเป้สีขาวสกรีนลายมิกกี้เม้าส์น่ารักๆ อีกใบครับ ขนาดไม่ใหญ่เท่าไรนัก ปกติผมไม่ค่อยจะหยิบมาใช้เท่าไรนะ เพราะรู้สึกว่ามันแบ๊วไปหน่อย แต่วันนี้เกิดอยากใช้ขึ้นมา แถมเอามามิกซ์กับชุดนี้ก็ดูน่ารักดี(มั้ง)

   “กระเป๋าพี่น่ารักดีว่ะ แต่ตัวคนสะพายน่ารักกว่าเยอะ” ทาร์ตเอ่ยปากชมก่อนจะตบมุกเลี่ยนๆ ทันทีที่ผมเดินไปขึ้นรถ ในรถมีกระเป๋าผ้าสีดำสกรีนตัวหนังสือสีขาวเรียบๆ ของทาร์ตวางอยู่ เออนี่ถ้าแท็กซี่ชิ่งขับหนีไปตอนที่มันลงจากรถมาเรียกผมจะสมน้ำหน้าให้ ก็เล่นวางทิ้งไว้แบบนี้ แต่ช่างเหอะตอนนี้ผมหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดของทาร์ตเมื่อสักครู่มากกว่า

   “พูดมากจริง! ว่าแต่เตรียมตัว เตรียมตังค์มาดีแล้วใช่ไหม วันนี้จะผลาญให้เรียบเลย!” ผมพูดด้วยท่าทางทะเล้นเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเอง

   “สำหรับพี่ผมยกให้หมดเลย ให้ได้มากกว่าเงินอีก” ทาร์ตเดาะลิ้นพร้อมขยิบตาข้างหนึ่งให้ผมอย่างกวนประสาท

   สิ้นเสียงมัน ผมจัดการประเคนฝ่ามือลงบนหัวมันเน้นๆ ให้ดอกหนึ่ง ก่อนที่ตัวเองจะเสมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่ามันมีวิวสวยๆ ให้ดู ทั้งที่มีแต่ตึกกับรถวิ่งสวนไปมา แต่ก็ยังดีกว่ามองหน้าทาร์ตมันล่ะวะ ไอ้ห่านี่ก็ขยันทำให้หัวใจกูเต้นแรงซะจริงๆ ชักจะหยอดมากเกินไปจนใจกูสั่นไหวแล้วนะ!

   ใช้เวลาพอสมควรกว่าที่รถแท็กซี่จะพาพวกผมมาถึงด้านหน้าซุ้มประตูทางเข้าของวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วแบบที่เรียกกันง่ายๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนการนัดออกมาตั้งแต่ช่วงสายจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไรเลย เพราะเมื่อก้าวลงจากรถแท็กซี่มา ไอร้อนจากแดดก็เข้าปะทะกับใบหน้าและผิวกายทันที แสงแดดช่วงประมาณสิบโมงก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของมันแล้ว ร้อนฉิบหายเลย! แต่เอ๊ะ! หรือว่าผมจะร้อนเพราะเข้าวัดกันแน่วะ!?!

   เมื่อเข้ามาภายในเขตของพระบรมมหาราชวัง ผมกับทาร์ตก็พากันเดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังเดินตามกันเป็นแถวๆ พร้อมทั้งส่งเสียงเอะอะโวยวายล้งเล้งๆ ราวกับว่ากำลังด่ากันอยู่มากกว่าพูดคุยกันธรรมดาก็ไม่ปาน ผมแอบเรียกกรุ๊ปทัวร์คนจีนแบบนี้ว่า ‘ทัวร์ลูกเป็ด’ ทำไมน่ะเหรอ ก็มันดูเหมือนพวกลูกเป็ดกำลังเดินตามแม่เป็ด (ไกด์) ที่กำลังถือธงเดินนำเป็นแถวๆ เห็นแล้วนึกถึงแบบนั้นก็เลยเป็นฉายาใช้เรียกแบบขำๆ

   เราสองคนเดินตามมาจนถึงจุดเก็บเงิน จึงแยกไปเข้าทางช่องคนไทยที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม เมื่อเข้ามายังด้านในของตัววัด ทาร์ตก็มองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ไม่แปลกใจหรอกครับสำหรับคนที่เพิ่งเคยมาที่นี่ครับแรก เพราะทุกอย่างมันถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างงดงามและประณีตมากจริงๆ ขนาดคนที่มาแล้วหลายครั้งอย่างผมยังคงชอบอยู่เสมอเลย ไม่ต้องพูดถึงชาวต่างชาติที่แวะเวียนมาเที่ยวชมเลยครับว่าจะประทับใจมากแค่ไหน เพราะที่บ้านเมืองของเขาคงไม่มีอะไรที่วิจิตรบรรจงและอ่อนช้อยแบบบ้านเรา ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สร้างความประทับใจให้คนมากมาย

   “โคตรสวยเลยพี่! เสียดายไม่ได้เอากล้องมา” ทาร์ตว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ก็ต้องกลับหงอยลงด้วยความเสียดาย ตอนนี้เรากำลังเดินดูรอบๆ บริเวณวัดครับ ยังไม่ได้เข้าไปกราบองค์พระแก้วมรกต

   “ใช้กล้องไอโฟนถ่ายไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวไว้ถ้าจะถ่ายรูป จะพามาใหม่” ผมยิ้มให้กับคนที่เดินอยู่ข้างๆ ที่กำลังแสดงออกถึงสีหน้าเสียดายเต็มประดาที่ไม่ได้ติดกล้องคู่กายมาด้วย

   “จริงเหรอพี่! งั้นไว้พาผมมาอีกนะ!” ทาร์ตหันมาพูดกับผมด้วยความดีใจ พลางยิ้มด้วยสายตาทอประกายแห่งความหวังทันทีที่สิ้นเสียงชวนของผม

   “จริงดิ อยู่แค่นี้เอง”

   “พี่ฟร๊องก์น่ารักที่สุด! ไหนขอกอดหน่อยสิ” ทาร์ตทำท่าทางดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นที่ต้องการ ก่อนที่ตัวผมจะปลิวไปตามแรงโอบเบาๆ ของคนที่กำลังกระโดดโล้ดเต้นอยู่นั้นอย่างเนียนๆ

   “นี่! ปล่อยเลย! ไม่ต้องมาเนียน นี่เขตวัดวานะ เดี๋ยวจะโดน!” ผมหันไปโบกหัวมันอีกครั้งของวัน จนทาร์ตต้องยอมปล่อยผมออกจากอ้อมแขนนั้น ก่อนจะยกมือลูบหัวที่โดนผมตบปอยๆ

   “ไม่เดี๋ยวแล้วมั้งพี่ เต็มๆ หัวผมขนาดนี้ คืนนี้ผมจะฉี่รดที่นอนเปล่าเนียน โดนพี่ตบกระหน่ำแบบนี้” ทาร์ตทำหน้ามู่พลางบ่นอุบอิบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แต่ผมว่ามันดูตอแหลมากกว่าน่าสงสาร! “ขอกอดนิดกอดหน่อยก็ไม่ให้ ใจร้ายชะมัด!”

   “ว่าไงนะ!” ผมง้างมือขึ้นหมายจะซ้ำที่เดิมอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ตามหลังมา อย่าให้รู้ว่าแอบด่ากันลับหลังนะ จะโบกให้หัวหลุดเลย!!

   “เปล่าคร้าบบบ” ทาร์ตส่ายหน้ารัวๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้แต่โดยดี ผมถึงกับหัวเราะกับท่าทางติ๊งต๊องของมันเลยครับ

   แล้วเราสองคนก็เพลิดเพลินกับการชมสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าและสง่างามสมเป็นสมบัติของชาติ ทาร์ตยังคงดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวมากๆ ใช้เวลาหยุดดูรายละเอียดแต่ละจุดที่สำคัญๆ นานพอสมควรเลยทีเดียว โดยเฉพาะตรงแบบจำลองนครวัด ของประเทศกัมพูชา ทาร์ตถึงกับยืนเล่าให้ผมฟังคร่าวๆ เลยว่ามันไปมาแล้วเป็นอย่างไร สวยขนาดไหน แถมยังบอกอีกด้วยว่ามันกว้างใหญ่มากๆ จนใช้เวลาเดินทั้งวันก็ไม่ทั่ว ผมเองก็ใช้เวลาไม่แพ้กันเพราะเป็นคนชอบดูอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว เลยรู้สึกสนุกและมีความสุขเวลาเจอคนคอเดียวกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

   ทาร์ตหยิบไอโฟนขึ้นมาเก็บภาพเป็นพักๆ แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ว่ายังคงเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องมาอยู่ดี แถมเรื่องความคมชัดของรู้ยังสู้กล้องโปรไม่ได้อีกต่างหาก ก็แหงล่ะสิ มันไม่ได้เกิดมาเพื่อถ่ายรูปโดยตรงนี่นา

   “พี่รู้ไหม ตอนผมอยู่ที่ภูเก็ต ผมไม่ค่อยมีโอกาสมาเที่ยวอะไรแบบนี้เลย” ตอนนี้เรามาอยู่ที่ด้านหน้าของ
พระอุโบสถที่ภายในประดิษฐานพระคู่บ้านคู่เมืองอย่างพระแก้วมรกตไว้

   “ทำไมอ่ะ” ผมหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ

   “ก็ไม่เคยมีใครชวนผมไปเที่ยววัด หรืออะไรทำนองนี้เลย ส่วนใหญ่ไม่ไปห้าง ก็ไปเที่ยวอะไรที่สบายๆ ไม่ร้อนอ่ะ”

   “แล้วมาเที่ยวแบบนี้ชอบไหมล่ะ”

   “ชอบดิพี่ ยิ่งได้มากับพี่ด้วย จะให้ไปที่ไหนผมก็ชอบทั้งนั้น”

   “ขออ้วกได้ไหม ฮาๆ” ผมเบ้ปากใส่เล็กน้อยด้วยความหมั่นไส้

   “พี่ฟร๊องก์ ถ่ายรูปกัน” ก่อนที่ทาร์ตจะสะกิดไหล่ผมให้หันไปถ่ายรูปด้วย

   “เอาดิ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มสดใส ตั้งแต่มาถึงผมเองก็ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลย เอาแต่ดูอย่างเดียว

   ทาร์ตเดินมายืนซ้อนที่ด้านหลังของผมตรงช่องบานหน้าต่างที่มองเข้าไปด้านในจะเห็นองค์พระแก้วพอดี ก่อนที่จะเอื้อมมือที่ถือโทรศัพท์มือถือออกไปด้านหน้าของผมอีกที ตอนนี้ร่างกายของเราสองคนอยู่ใกล้กันมากจนได้ยินเสียงหัวใจของเราทั้งคู่ที่แข่งกันเต้นรัวราวกับกลองชุดที่ตีประกอบเพลงร็อคเร้าใจ

   ใบหน้าทาร์ตยื่นเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น และจังหวะการหายใจถี่ๆ ที่รดรินอยู่ที่บริเวณข้างแก้มด้านขวาของผม มันยิ่งเพิ่มอุณหภูมิที่ใบหน้าผมให้สูงมากยิ่งขึ้น ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือทำให้ผมได้รู้แจ่มแจ้งว่าเราอยู่ใกล้กันมากขนาดไหน มันใกล้มากจนผมทำตัวไม่ถูก ภาพเมื่อตอนไปเที่ยวเกาะล้านเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากที่ผมแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ ต่างตรงที่ครั้งนี้ใบหน้าของทาร์ตอยู่ใกล้กับผมมากกว่าเดิม ผมทำได้แค่เพียงยืนตัวแข็งนิ่ง ก่อนที่สายตาจะเสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าจอโทรศัพท์

   ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีกว่าที่เสียงลั่นชัตเตอร์จะสิ้นสุดลง เท่าที่ผมรู้สึกคือทาร์ตกดถ่ายเอาไว้หลายรูปอยู่ แต่ผมไม่ได้มองกล้องเลยสักรูป ก็มันอายนี่หว่า เมื่อถ่ายเสร็จทาร์ตก็รีบเบี่ยงตัวออกห่างจากผมทันที คงเห็นท่าทางไม่ปกติของผมล่ะมั้ง แต่ถึงแม้การถ่ายรูปจะจบลงไปกว่านาทีแล้ว แต่หัวใจของผมยังไม่มีท่าทางว่าจะสงบลงเลยแม้แต่น้อย

   จากนั้นทาร์ตก็สะกิดผมให้เข้าไปไหว้พระด้านใน ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่ยืนนิ่งไปนาน เราทั้งคู่เข้ามานั่งกราบพระเพื่อสงบจิตและสงบหัวใจของตัวเองสักพัก ความรู้สึกก่อนหน้านี้มันกำลังบอกผมถึงการเริ่มต้นใหม่... หรือเปล่า

   หลังจากที่ไหว้พระสงบจิตสงบใจกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกจากพระอุโบสถไปยังด้านในของตัวพระบรมมหาราชวัง เวลาสิบเอ็ดโมงเศษๆ แบบนี้เลยทำให้แดดเริ่มแผลงฤทธิ์มากยิ่งขึ้น จนผมจำต้องถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกเนื่องจากความร้อน เสื้อยืดด้านในของผมชุ่มเหงื่อทั่วทั้งแผ่นหลังเลย ทาร์ตเองก็ไม่ต่างกันเท่าไร แล้วยิ่งเป็นเสื้อเชิ้ตด้วยแล้ว เวลาเปียกหรือเหงื่อออกยิ่งเห็นชัดเข้าไปใหญ่

   “พี่ฟร๊องก์ ผมขอลงรูปที่ถ่ายในเฟซนะ”

   “อืม แต่เลือกรูปดีๆ นะมึง ห้ามแกล้ง!”

   “รูปพี่น่ารักทุกรูปแหละ ผมเช็คแล้ว” ทาร์ตพูดยิ้มๆ ก่อนจะก้มหน้ากดโทรศัพท์อีกครั้ง แต่ไม่นานนักก็เงยขึ้นมาส่งยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันให้ผม

   “ไหนดูดิว่าลงรูปไหนไป ถ้าไม่ดีเตรียมหัวโนไว้ได้เลย” ผมขู่เล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดโปรแกรมเฟซบุ๊กทันทีเพื่อเช็ครูปที่ทาร์ตเพิ่งเอาลงเมื่อกี้ ขณะที่เท้าของเราก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ในส่วนที่เขาเปิดให้เข้าชม

   ผมลุ้นว่าจะได้ตบหัวไอ้ทาร์ตมันอีกครั้ง เมื่อโปรแกรมรันขึ้นมา ผมรีบกดดูที่แถบ notification แจ้งเตือนทันควัน แต่ผิดคาดเมื่อผมได้เห็นรูปดังกล่าวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ แทนที่ผมจะได้บ้องหัวทาร์ต แต่กลับเป็นผมที่หยุดนิ่งทุกอย่าง จะมีก็แค่หัวใจของผมที่เริ่มเต้นแรงขึ้นนั่นเอง

   รูปที่ทาร์ตลงในเฟซบุ๊กและแท็กผมมาเป็นรูปที่ผมกำลังเสมองไปอย่างอีกฝั่ง (จริงๆ ผมก็มองแบบนั้นทุกรูปอ่ะ) ริมฝีปากผมเม้มเข้าหากันเล็กน้อย คงเป็นเพราะความเขิน แต่ผมกลับไม่รู้ตัวเลยว่าผมเม้มปากตอนไหน ส่วนใบหน้าทาร์ตเองก็อยู่ใกล้กับผมมากๆ เหมือนที่ผมเห็นในหน้าจอก่อนหน้าที่จะถ่าย เรียกได้ว่าแทบจะแนบชิดติดกันเลยด้วยซ้ำขณะที่สายตาเป็นประกายของทาร์ตเองก็หันมองมายังผม ทำให้มุมนี้ดูเหมือนทาร์ตกำลังหอมแก้มผมด้วยจมูกอยู่อย่างไรอย่างนั้น แถมที่ริมฝีปากนั่นยังเผยรอยยิ้มเล็กๆ แต่กลับดูสดใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอีกต่างหาก

   สายตาของผมเลื่อนไปหยุดที่คำบรรยายใต้ภาพ ที่เจ้าตัวระบุสั้นๆ ว่า ‘ความสุขของผม’ ทิ้งท้ายไว้...

**********__________***********

   กว่าเราจะออกจากวัดพระแก้วมาก็เป็นเวลาประมาณบ่ายโมง หลายคนอาจจะสงสัยว่าหลังจากที่ผมเปิดดูรูปเสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่พยายามควบคุมสติของตัวเองให้นิ่งมากที่สุด เสมอเหมือนว่าผมไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับรูปที่เห็น ซึ่งโคตรขัดกับหัวใจตัวเองที่มันเต้นโครมครามยิ่งกว่าจังหวะเร้กเก้จนยากจะควบคุม แถมใบหน้าก็ร้อนระอุจนแทบไหม้แข่งกับไอแดดร้อนๆ จากด้านนอกอีกต่างหาก ส่วนทาร์ตนะรึ เมื่อเห็นผมนิ่งไปรายนั้นก็ปฏิบัติการกวนและแซวทันที พอแซวเอามากๆ เลยจัดฝ่ามืออรหัตให้ไปเป็นของกำนัลอีกที โทษฐานที่กวนตีนดีนัก!

   เราวนเวียนผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ตลบอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ผมฮาแตกมากตอนที่ทาร์ตมันไปยืนจ้องหน้าทหารที่ยืนเฝ้าเวรอยู่ แต่ไม่ได้ยืนจ้องเข้าทางด้านหน้านะ ไปจ้องเขาข้างๆ แต่ระยะนี่ใกล้ชิดมาก ถ้าเป็นผมคงรู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อย แต่พี่ทหารเขานิ่งมาก ผมที่รับหน้าที่ถ่ายรูปให้ก็ถ่ายไปหัวเราะไป รูปนี่สั่นไหวหมดเลย ไม่รู้จะมีรูปที่ใช้ได้หรือเปล่า ส่วนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็มองกันเป็นแถวๆ บ้างก็ตลกกับท่าทางนิ่งๆ ของทั้งคู่ บางคนก็งงๆ ว่าสองคนนี้มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า แต่เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณและขอโทษเขาด้วย

   ก่อนที่จะออกจากที่นั่น ผมพาทาร์ตไปกินไอศกรีมที่ร้านอาหารร้านหนึ่งภายในนั้น เป็นร้านกระจกเล็กๆ ครับ อยู่ทางด้านขวามือถ้าหันหน้าเข้าพระบรมมหาราชวัง เดาว่าน่าจะเป็นร้านของพวกพนักงานที่ทำงานที่นั่น แต่พวกผมดันเสือกไปกัน ฮ่าๆ ก็เพื่อนผมมันเคยพามากิน แล้วติดใจ ไอติมมันอร่อยดี จากนั้นถึงโดยสารรถเมล์กลับเข้าไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อต่อรถไฟฟ้าบีทีเอสไปยังสยาม

   ผมกับทาร์ตมาถึงสยามตอนบ่ายสองกว่าๆ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนหรือซีเรียสกับเวลาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เลยไม่ได้กังวลอะไรว่าจะต้องถึงที่ไหนๆ เวลากี่โมง เรื่องเวลาช่างมันเถอะ ตอนนี้หิวมากแล้วแหละครับ ได้เวลาที่เจ้ามือที่เสนอตัวของวันนี้จะต้องกระเป๋าแฟ่บแล้ว!

   “หิวยังพี่” เมื่อพ้นประตูพารากอนมาไม่ไกล ทาร์ตก็เอ่ยถามขึ้น รู้เวลาดีชะมัด!

   “กำลังจะบอกอยู่พอดีเลย งั้นให้เกียรติเจ้ามือของเราเลือกร้านได้ตามสบายเลย อยากกินอะไรก็จัดเลยครับผม”

   “ฮ่าๆ ไอ้เราก็นึกว่าจะลืมไปแล้วซะอีก อุตส่าห์จะเนียนๆ ไปสักหน่อย อดเลย” ทาร์ตหัวเราะร่วนพลางบ่นผมอย่างทะเล้นๆ “พี่แหละอยากกินอะไร ผมกินได้หมดอยู่แล้ว”

   “อืม... งั้นไปกินทูดาริล่ะกัน กินอาหารเกาหลีเป็นใช่ป่ะ” ในเมื่อเปิดช่องให้ผมเลือกเอง ผมก็ขอจัดในสิ่งที่ผมอยากกินแล้วกัน หนึ่งในร้านที่กินบ่อยและชอบมากที่สุดเวลามาที่นี่

   “สบาย! ยิ่งกว่าอาหารเกาหลีผมก็กินได้” ทาร์ตตอบด้วยความมั่นใจพร้อมกับยิกคิ้วกวนๆ ให้ผม

   “งั้นกินนี่ไหม!” ผมว่าก่อนจะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย ทำเอาทาร์ตหัวเราะออกมาเสียงดังเลย

   ผมกับทาร์ตขึ้นลิฟต์แก้วไปยังชั้นสี่ทันทีที่ตกลงได้ว่าจะกินอะไร จากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังร้านที่เป็นเป้าหมายทันที ไม่ต้องบอกว่าหิวกันขนาดไหน เออ... จะว่าไปผมลืมนึกถึงแจ็กเก็ตไปเลย ยัดไว้ในกระเป๋านานแล้ว เดี๋ยวถึงร้านค่อยเอาออกมาใส่แล้วกัน เพราะตอนขึ้นไปดูหนังอาจจะหนาว

   ไม่นานเราทั้งคู่ก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้าน ด้านในคนเต็มเลยอ่ะ พนักงานจึงมาจดลำดับเพื่อเรียกคิวทีหลัง ซึ่งผมได้เป็นคิวที่สอง แต่ในขณะที่ยืนรออยู่นั้น ผมก็รู้สึกเหมือนถูกใครจ้องมองอยู่จากภายในร้าน จนทำให้ผมต้องหันกลับไปมองตามความรู้สึก

   และเมื่อผมมองเข้าไปภายในร้าน ผมก็ถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูกเมื่อสายตาของผมไปปะทะเข้ากับดวงตาคมสีนิลที่ดูขุ่นเคืองของอีกคน เป็นปาร์คที่นั่งกินอยู่ภายในร้านแต่สายตากลับจับจ้องมายังผมที่ยืนอยู่ข้างๆ ทาร์ต นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดอย่างชัดเจน แต่ก็กลับแฝงด้วยความผิดหวังและตัดพ้ออยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่ปาร์คมีสิทธิ์อะไรมองผมด้วยสายตาแบบนั้น ในเมื่อตัวเองก็มากับอีกคน คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคือผู้หญิงที่ชื่อเกลคนนั้น คนที่เขารักและคบหา

    “พี่ฟร๊องก์ เราเปลี่ยนร้านกันก็ได้นะพี่” ทาร์ตเอื้อมมือมาแตะไหล่ทำท่าเหมือนกำลังโอบผมอยู่ได้ดึงให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความคิด ทันทีที่ฝามือของทาร์ตแตะลงบนหัวไหล่มนของผมนั้น ปาร์คมีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อยแต่ต้องวางมาดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรในเมื่อตัวเองอยู่กับแฟน คงทำอะไรมากไม่ได้ แต่ช่างเถอะเพราะผมเบนสายตาของตัวเองให้เลิกสนใจคนที่ผม ‘บังเอิญเจอ’ นั่นมาที่ทาร์ตแล้ว

   “ไม่ต้องหรอกทาร์ต พี่ไม่ได้เป็นอะไร” ผมพูดด้วยรอยยิ้มที่พยายามแสดงออกมาเพื่อให้ตัวเองดูเข้มแข็ง แต่ข้างในผมกลับรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นภาพของสองคนนั้น

   ไม่แปลกหรอกที่เขาสองคนจะมาด้วยกัน ในเมื่อเขาทั้งคู่เป็นแฟนกัน การไปเที่ยว ไปกินข้าว หรือไปไหนมาไหนด้วยกันย่อมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เวลาที่ปาร์คมาตามเทียวไล้เทียวขื่อง้องอนผมนั้นมันคงเป็นแค่เวลาว่างๆ ที่เหลือจากเวลาหลักๆ ที่มอบให้ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น แค่เพียงเศษเสี้ยวเวลาที่ไร้ค่าของอีกคนที่ปาร์คปันมันมาให้กับผม

   ผมตัดสินใจไม่ย้ายร้าน เพราะไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่ผมจะต้องหนี ถ้าผมหนีก็หมายความว่าผมจะต้องหนีตลอดไป อีกอย่างปาร์คอาจจะคิดว่าผมยังคงทำใจไม่ได้ และตัดใจจากปาร์คไม่ได้จนต้องหนีหน้า แล้วจะดึงเอาข้ออ้างนี้มาใช้ทำร้ายผมอีก ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด จะได้พิสูจน์ตัวเองด้วยว่าผมสามารถตัดใจได้แล้ว และแสดงให้อีกฝ่ายเห็นด้วยว่าผมไม่ได้เป็นและไม่รู้สึกอะไร ผมจะไม่ยอมแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่าผมอ่อนแอ ไม่ว่าจะต้องฝืนใจและ... ทรมานตัวเองแค่ไหนก็ตาม


à suivre...


จะงงไหม ที่เอาฉาก NC มาแทรกไว้ก่อนหน้า
ลองลำดับเหตุการณ์ดูนะ 555+

ตอนนี้เป็นความมุ้งมิ้งของทาร์ตกับฟร๊องก์
แต่... กลับมีมารมาผจญ มารที่ทุกคนรักกกก 555555+
แถมยังเป็นการเจอกันของฟร๊องก์กับเกลอีก
ตอนหน้าจะเป็นยังไงหนอออ หุหุ

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อดทนไปค่ะ สวยๆ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เกลียดปาร์ว่ะ เมื่อไหร่จะกลับหลุมไปซะทียังจะโผล่มาให้เห็นอีกทำไม พระเอกนะมันทาร์ตไม่ใช่แกหรอกนะปาร์ค

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด