from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]  (อ่าน 35796 ครั้ง)

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
โธ่ อย่าเกลียด อย่าโกรธเก็ทเลยนะฟร็องก์ เก็ทแค่หวังดีอยากให้เปิดใจใหม่เลยเป็นพ่อสื่อให้ แต่จริงๆ เราสงสารเก็ทนะเราว่าเก็ทคงรักฟร็องก์มากกว่าเพื่อนแต่ไม่กล้าบอกเพรากลัวว่าความเป็นเพื่อนก็คงจะไม่เหลือไปด้วย ใจกว้างมากที่ยอมหาคนอื่นมาแทนตัวแทนเพื่อที่จะให้ฟร็องก์เปิดใจกับคนอื่นแทนที่จะสนแต่ปาร์คคนเดียว เกลียดปาร์คว่ะผิดก็ไม่ยอมรับทั้งๆ ที่ตัวเองทำแบบที่เก็ทพูดมาทั้งหมด ยังจะไม่ยอมรับอีก

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
..ผิดเพราะรัก..

ถึงกูจะร้าย..แต่กูก็รักไม่น้อยกว่าเขา
แล้วเหตุใดเล่าจึงเป็นตัวเรา..ที่แพ้เสมอ
                                                 (ตัวร้ายที่รักเธอ)

ทำได้เพียงแค่นี้นะเก็ท
เพราะเราไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเค้า
กาซิก

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เห้ยๆ ยังไงวะเนี้ย

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อู้หูวว อิรุงตุงนังไปหมดเลย ไม่มีใครเป็นสีขาวสักคน ชอบชัญญ่ามาก ตอนแรกๆดูร้ายแต่ความจริงแล้วดีมาก คอยช่วยฟร๊องก์ตลอด ส่วนคนอื่นๆดีแตกทุกคนเลยจ้า จาร้องห้าย
แอบหงุดหงิดนิสัยฟร๊องก์เป็นพักๆ ทำไมต้องยอมคนอื่นตลอดก็ไม่รู้ น่าหงุดหงิดกว่าปาร์คอีก
เพราะว่าสำหรับปาร์คมอบมงสุดยอดความเหรี้ยให้เลยจ้า เอาไปๆ
คบซ้อน ไหนว่ารู้ความรู้สึกตัวเองไง แต่ยังทำเห้ๆใส่ฟร้องก์อีก
อินมากๆ อ่านแต่ละความเห็นแล้วก็ขำ ไม่มีใครเชียร์ปาร์คเลย
ส่วนใหญ่เชียร์เก็ท แต่จากตอนล่าสุด ก็พูดเลยว่า เห้ออออออออ ยังไม่จบสิ้นอีกชีวิตฟร้องก์ ยังจะมีเรื่องอีกเร้อ  :katai1:
เป็นกำลังใจให้นะคะ แต่งนิยายยังไงให้คนด่า(พระเอก)ได้มากขนาดนี้ อินๆ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 47 [1/10/2017]
«ตอบ #215 เมื่อ01-10-2017 19:30:55 »

Chapitre 47


   หลังจากที่ได้รับรู้ว่าเรื่องที่ทาร์ตเข้ามาในชีวิตของผมเป็นเพราะเก็ท ผมก็แทบหยุดหายใจ ขณะที่เจ้าตัวกำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อจะไปส่งผมที่หอ ผมหวังเพียงว่าจะไม่มีอะไรที่ทำให้ผมต้องเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้

   “ไม่คิดจะบอกฟร๊องก์เรื่องที่เกี่ยวกับปาร์คด้วยหรือไง ไม่สงสัยเหรอฟร๊องก์ว่าเราพาปาร์คมาทำไม ถ้ามันไม่เกี่ยวอะไรกับปาร์ค” ก่อนที่เก็ทจะทันได้เก็บของลงกระเป๋าของผมหมดและพาผมกลับหอ ก็ถูกเบรกไว้ก่อนด้วยคำพูดของชัญญ่า และประโยคนั้นก็ตอบโจทย์สิ่งที่ยังค้างอยู่ในใจของผมว่าทำไมปาร์คถึงต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย

   “เรื่องของปาร์คงั้นเหรอ... เก็ทยังมีอะไรต้องบอกฟร๊องก์อีกใช่ไหม” น้ำตาที่หยุดไหลไปได้ไม่นาน ตอนนี้มันเริ่มกลับมาตีรั้งที่ขอบตาอีกครั้งเมื่อข้อสงสัยอีกอย่างมันเป็นเรื่องของคนที่ผม... เคยรัก... มากๆ คนนี้

   “...” เก็ทชะงักมือที่กำลังรูดซิบกระเป๋าของผมอยู่ทันที

   “ถึงขั้นนี้แล้วเธอยังเลือกจะหนีปัญหาอีกเหรอเก็ท กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลของเธอมันคืออะไร แต่นั่นมันคือสิ่งที่เธอลงมือทำไปแล้ว!” ชัญญ่าต่อว่าเสียงดัง “ปาร์คบอกฟร๊องก์ไปสิว่าเก็ทเคยติดต่อไปหาหรือเปล่า”

   สิ่งที่ชัญญ่าพูดมาทำให้ผมอึ้งและหัวใจผมรู้สึกเหมือนถูกบีบมากกว่าเรื่องของทาร์ตที่รู้ก่อนหน้าเสียอีก เก็ทเคยติดต่อไปหาปาร์ค ติดต่อกันเรื่องอะไร มีเหตุผลอะไรถึงต้องติดต่อกัน อย่าบอกนะว่าเก็ทเองก็วางแผนไม่ดีกับปาร์คด้วย

   “ปะ... ปาร์ค...” ผมหันไปมองหน้าปาร์คด้วยดวงตาที่น้ำตาเอ่อล้น

   “ขอโทษนะที่ไม่เคยบอก ขอโทษที่เคยโมโหใส่ เคยทำร้ายด้วยเรื่องงี่เง่านี่” ปาร์คเดินเข้ามาหาผม ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด โดยที่ตัวเองยังไม่ได้บอกอะไรยกเว้นแต่คำขอโทษ

   “ที่ปาร์คเคยโกรธ เคยทำร้ายฟร๊องก์ก็เพราะมีข้อมูลที่มันคอยส่งให้! โดยที่ก่อนหน้าปาร์คไม่รู้อะไรเลย เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ ขอโทษที่รู้ตัวช้า ขอโทษที่เพิ่งมาบอกความจริงตอนนี้ เพราะไม่อยากให้แผนล่มจึงต้องเก็บไว้ ทั้งที่จริงๆ อยากจะซัดหน้ามันสองคนให้หนักๆ จริงๆ แล้วปาร์คแอบติดต่อกับชัญญ่ามาสักพักแล้ว หลังจากที่ได้เจอพร้อมฟร๊องก์ครั้งนั้น ชัญญ่าก็ติดต่อมาหาปาร์คบอกให้คอยระวังฟร๊องก์จากรุ่นน้องคนนี้ ตอนแรกปาร์คก็ไม่เข้าใจหรอก แต่... ในใจของปาร์คก็ไม่ค่อยพอใจอยู่แล้วที่เห็นฟร๊องก์มีคนมายุ่งด้วยทั้งๆ ที่รู้ก่อนหน้าแล้วว่าเด็กนี่มาจีบฟร๊องก์ และตัวปาร์คเองก็กำลังคุยกับคนอื่นอยู่ แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของปาร์คเองด้วย แล้วยิ่งได้รู้ว่ามันเข้าหาฟร๊องก์ได้เพราะอะไร มันทำให้ปาร์คยิ่งเดือด แต่สุดท้ายปาร์คก็ไม่สามารถช่วยฟร๊องก์ได้ทัน” ปาร์คอธิบายยืดยาวด้วยอารมณ์ที่เดือดดาลจนผมที่อยู่ในอ้อมแขนรู้สึกได้ถึงลำตัวที่สั่นเล็กน้อยด้วยโทสะ

   “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว!” ผมผละตัวออกจากวงแขนของปาร์คก่อนจะกวาดตามองทุกคนด้วยความไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดตรงหน้า รวมทั้งเรื่องที่ผ่านๆ มาเลยจริงๆ ทำไมทุกอย่างกลับตาลปัตรได้ถึงขนาดนี้ ทำไมทุกคนที่อยู่ใกล้ตัวผมถึงเต็มไปด้วยความลับ เต็มไปด้วยเล่ห์กลที่ผมไม่สามารถไล่ตามได้ทันเลยแม้แต่น้อย

   “ลองดูนี่ มันอาจจะทำให้ฟร๊องก์เข้าใจอะไรมากขึ้น” ปาร์คที่ยืนอยู่ใกล้ผมที่สุดพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มแฝงความเป็นห่วงพร้อมยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ ก่อนจะหันไปพูดกับเก็ทด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป เสียงที่ดูจริงจังแต่เหยียดหยาม “จริงๆ มึงลืมไปอย่างหนึ่งนะ เวลาจะส่งอะไรให้ใคร ควรคำนึงด้วยว่าเขาจะสามารถเก็บมันไว้เป็นหลักฐานได้หรือเปล่า แม้ว่าจะรอบคอบด้วยการส่งข้อความในไลน์ที่เป็นแบบกำหนดเวลาเปิดอ่านมาแล้วก็เถอะ แต่กูก็แคปทันอยู่ดีว่ะ” 

   ผมค่อยๆ เปิดดูรูปถ่ายและข้อความต่างๆ ที่ถูกแคปไว้อย่างช้าๆ ทั้งรูป ทั้งข้อความต่างๆ ที่ปรากฏนั้น ผมได้แต่พยายามบอกตัวเองว่ามันไม่จริง แต่สิ่งที่ผมเห็นผ่านหน้าจอนั้นก็แทบทำให้ผมทรงตัวไม่อยู่อีกครั้ง ยังดีที่ปาร์คคว้าตัวเอาไว้ทันไม่งั้นคงได้ล้มไปกับพื้น หัวใจผมถูกบีบจนมันจุกที่หน้าอกข้างซ้ายยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าเก็ทอยู่เบื้องหลังการเข้ามาในชีวิตผมของทาร์ตซะอีก

   เพราะ... รูปที่ปรากฏบนจอผ่านนิ้วมือของผมที่ค่อยๆ เลื่อนไป ลำคอผมรู้สึกแห้งผากมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตอนนี้แม้แต่จะกลืนน้ำลายยังยากลำบาก

   มีทั้งรูปถ่ายคู่กับทาร์ตต่างๆ ทั้งตอนไปเที่ยว และตอนอื่นๆ ที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ารูปนั้นถูกถ่ายที่ไหนและตอนไหน อีกทั้งข้อความที่เป็นข้อมูลอธิบายเพิ่มเติมต่างๆ ว่าผมกับทาร์ตทำอะไรกันอยู่ที่ถูกส่งให้ปาร์ค รูปและข้อความมันเริ่มต้นครั้งแรกตอนที่ไปเกาะล้านด้วยกัน ถ้างั้นตอนที่กลับจากทะเลแล้วปาร์คโมโหเป็นฝืนเป็นไฟแถมยังพูดขึ้นมาเรื่องรูปอะไรนั่น ก็คือรูปที่ผมถ่ายกับทาร์ตนี่สินะ แถมมันยังถูกส่งผ่านข้อความด้วยเบอร์โทรศัพท์ของผมอีกต่างหาก แสดงว่าตอนนั้นที่มือถือของผมมันย้ายช่องเองได้ก็เพราะเก็ทสินะ

   และที่ทำให้ผมเจ็บปวดสุดคือคลิปวีดีโอที่ถูกถ่ายไว้ตอนไหนไม่รู้ในวันที่พวกผมไปร้องคาราโอเกะ และทาร์ตสารภาพรักกับผมผ่านเสียงเพลง พร้อมกับข้อความที่ส่งให้ปาร์คเพื่อบอกสถานที่ และผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันนั้นปาร์คถึงตามผมไปถูก ไม่แปลกใจเลยที่ปาร์ครู้ว่าผมอยู่ที่นั่น

   เพราะแบบนี้ที่ทำให้ผมต้องเผชิญกับคืนอันเลวร้ายคืนนั้น!!

   แม้ทุกครั้งรูปหรือข้อความที่ถูกส่งไปจะไม่ได้ส่งจากเบอร์หรือไลน์ที่เก็ทใช้ประจำก็ตาม ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่าจะใช่เก็ทแน่หรือเปล่าที่เป็นคนส่งรูปและข้อความเหล่านี้ให้ปาร์ค แต่ความรู้สึกของผมมันกลับคิดว่าใช่เก็ทแน่ๆ แม้จะไม่อยากเชื่อแค่ไหนก็ตาม เพราะคนที่ใกล้ชิดและรู้เรื่องของผมมากสุดก็คือเขา แต่หลักฐานพวกนี้ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมปักใจเชื่อว่าเก็ทจะเป็นคนทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดระหว่างผมกับปาร์ค

   “น่ะ... นี่มันคืออะไรกันเก็ท” ผมยื่นหน้าจอมือถือให้เก็ทดูด้วยความสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ พร้อมเอ่ยปากถามอย่างยากลำบาก

   “แบบนี้ใครก็กล่าวหากันได้ ไม่มีอะไรยืนยันตัวตนเลยด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเก็ทยังคงราบเรียบ แต่เจ้าตัวกลับเบือนหน้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

   “เธอคิดว่าถ้าฉันไม่พร้อม ฉันจะมาเหรอ” ชัญญ่าพูดอย่างเยือกเย็นก่อนจะกระตุกยิ้มร้ายเช่นเดียวกับที่เคยทำกับเกล แต่ที่ทำให้ผมขนลุกมากกว่าคือคนที่เธอกำลังท้าทายด้วยนั้นคือแฟนของตัวเอง “ฉันลงทุนสืบเรื่องของเธอขนาดนี้ แค่เบอร์เติมเงินที่ต้องลงทะเบียนผู้ใช้แบบนี้คิดว่ามันจะตามยากเหรอ เอกสารเหล่านี้คือหลักฐานอย่างดีเลยว่าเบอร์ที่ใช้ส่งหาปาร์คเป็นของเธอ รวมทั้งไลน์ที่ลงทะเบียนด้วยเบอร์นั้นด้วย ถ้าคิดจะทำก็ต้องรอบคอบกว่านี้นะ!”

   “น่ะ... นี่มัน...” ชัญญ่าล้วงเอาม้วนกระดาษในกระเป๋ายื่นมาให้ผม หลักฐานที่มัดตัวเก็ทจนดิ้นไม่หลุด ทั้งชื่อที่ใช้ลงทะเบียนซิม ทั้งวันที่เปิดใช้งานจากเครือข่าย เบอร์ที่ส่งรูปและข้อมูลต่างๆ ให้กับปาร์คคือเก็ทจริงๆ

   ผมเม้มปากเป็นเส้นตรงมองไปที่เก็ทด้วยสายตาผิดหวัง แววตาที่เลือนรางในม่านน้ำตาทำให้มองเห็นเก็ทได้ไม่ชัด มันไม่ชัดเหมือนตอนนี้ คนที่ผมคิดว่าไว้ใจได้ เชื่อใจได้มากที่สุด แต่ผมกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเก็ทอย่างชัดเจนเลย เนี่ยเหรอคนที่ผมเคยไว้ใจมาตลอด คนที่ผมเชื่อใจและกล้าที่จะเล่าและปรึกษาแทบจะทุกอย่างในชีวิต ทำไมถึงได้ทำกับผมขนาดนี้ ทำกับผมยิ่งกว่าคนที่เกลียดชังกันซะอีก ผมจะไม่เจ็บใจเท่านี้เลยถ้าคนตรงหน้าผมไม่ใช่คนที่ผมคุ้นเคย ไม่ใช่คนที่ผมเคยเชื่อใจอย่างไม่มีข้อกังขา เขาทำแบบนี้ทำไม ผมคือเพื่อนเขานะ เขาทำได้อย่างไร!

   “เรื่องของเกลก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนเธอด้วยสินะ” ชัญญ่าพูดต่อ เรื่องของเกลก็ด้วยงั้นเหรอ นี่มันคือทุกอย่างที่สร้างความวุ่นวายกับชีวิตผม รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปาร์คด้วย ทำไมกันล่ะเก็ท เหตุผลของมันคืออะไรกัน!?

   “ผู้หญิงคนนั้นด้วยงั้นเหรอ...” ตอนนี้ผมร้องไห้อย่างไม่อาย และไม่มีทีท่าจะหยุด แต่กลับยิ่งมากขึ้นๆ เมื่อความจริงถูกเปิดเผยออกมามากขึ้น

   “มันไม่ใช่แค่เก็ทพาทาร์ตเข้ามาในชีวิตฟร๊องก์หรอก แต่ผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นก็เป็นเก็ทด้วยเหมือนกันที่มีส่วนดึงผู้หญิงคนนั้นเข้าในชีวิตของปาร์ค ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างฟร๊องก์กับปาร์คไง คงเพราะอยากให้ทั้งคู่ห่างกัน ทำให้ฟร๊องก์ตัดใจจากปาร์คเมื่อรู้ว่าปาร์คมีคนที่คบเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่เรื่องนี้มันเนียนมากจนตอนแรกเราก็แทบจะไม่สงสัยเลยด้วยซ้ำว่าเป็นเพราะเก็ทเอง ตอนแรกเราก็แค่อยากจะเตือนฟร๊องก์ให้คอยจับตาผู้หญิงคนนั้นที่มาคบกับปาร์ค อาจเป็นเพราะเซ้นส์ของผู้หญิงเหมือนกันมั้ง เลยทำให้เราไล่สืบลึกลงไปถึงเรื่องของเกลตอนที่ช่วยฟร๊องก์ตอนนั้น เราถึงได้รู้ แต่ข้อดีคือเก็ทไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้เลย คงคิดว่ามันไกลตัวและฟร๊องก์เองก็เจ็บเพราะเรื่องนี้มาก คงไม่คิดจะหาความจริงอยู่แล้ว ฉันเดาถูกไหม”

   ชัญญ่าอธิบายยืดยาว สิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากเรียวปากสวยนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยินเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ผมไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะยืนได้อีกต่อไป ผมลงไปนั่งกอดเข่าแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก มันไม่ใช่เรื่องทาร์ต ไม่ใช่แค่การทำให้ผมกับปาร์คเข้าใจกันผิดเรื่องทาร์ต แต่เรื่องผู้หญิงคนนั้นที่เข้ามาในชีวิตปาร์ค รวมทั้งที่ผมต้องโดยปาร์คทำร้ายเพราะคำของผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างมันเกิดเพราะคนที่ผมสนิทใจมากที่สุด คนที่ใกล้ชิดกับผมมากที่สุดคนนี้!

   “เพราะมึงที่ทำให้กูกับฟร๊องก์ต้องเป็นแบบนี้ มึงทำลายความรักของกูกับฟร๊องก์!!!” ปาร์คพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อ ก่อนจะปล่อยกำปั้นหนักๆ เข้าที่แก้มข้างหนึ่งของเก็ทอย่างเต็มแรง พร้อมตะคอกราวกับไฟที่สุมในอกก่อนหน้านั้นถึงเวลาระเบิดออกมา

   พลั่ก!

   “ไอ้สัด!” เก็ทตั้งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสวนหมัดที่หนักไม่แพ้กันใส่ปาร์ค

   “หยุด! หยุดสักที!” ผมตะโกนสุดเสียง ทั้งที่ตัวผมทำได้แค่นั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม แม้จะอยากเข้าไปห้ามมวยสองคนนั้น แต่ผมไม่เหลือพลังงานที่จะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมทำได้เพียงมองเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้าแล้วยิ่งร้องไห้หนักขึ้น

   “หยุดได้แล้วครับ ทั้งคู่เลย!” เป็นทาร์ตที่หาญกล้าเข้าไปกลางดงหมัดแล้วพยายามที่จะแยกทั้งคู่ออกจากกัน โดยที่มีชัญญ่าคอยยื้อตัวปาร์คไว้ ส่วนเก็ทก็มีโดนัทที่คอยยึดตัวไว้เช่นกัน “ไม่สงสารพี่ฟร๊องก์บ้างหรือไงครับ ที่พวกพี่มาต่อยกันแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้พี่ฟร๊องก์รู้สึกดีขึ้นหรอก!”

   “ฟร๊องก์!” ปาร์ครีบผละตัวจากชัญญ่ามาหาผมทันที ก่อนจะลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างมันจบแล้ว”

   “ฟร๊องก์...” เก็ทเปล่งชื่อของผมออกมาอย่างสั่นเทา และทำท่าจะเข้ามาหาผม แต่ก็ถูกปาร์คขวางไว้ก่อน

   “อย่ามายุ่งกับฟร๊องก์ ที่มึงทำมันยังไม่พออีกหรือไง!” ปาร์คยืนประจันหน้ากับเก็ทพร้อมเอ่ยถามอย่างฉุนเฉียว

   “ทำไมกัน! เก็ททำแบบนี้ทำไมกัน!!” ผมเงยหน้ามองเก็ทผ่านดวงตาที่บวมช้ำจนรู้สึกปวดและฉ่ำด้วยหยาดน้ำตา พยายามมองให้ทะลุม่านหมอกที่บดบังสิ่งที่อยู่ภายในใจดวงนั้นของเก็ท ว่าข้างในนั้นทำด้วยอะไร ถึงได้ทำกับผมได้อย่างเจ็บแสบขนาดนี้

   “ทุกอย่างที่เก็ททำ เก็ททำเพื่อฟร๊องก์... ที่เก็ทดึงทาร์ตเข้ามาในชีวิตฟร๊องก์ก็เพื่ออยากให้ฟร๊องก์ได้มีความสุขกับคนที่รักฟร๊องก์ เห็นฟร๊องก์ในสายตาบ้าง ส่วนเรื่องเกล... เก็ทเจอผู้หญิงคนนั้นตอนที่ไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยมัธยม แล้วผู้หญิงคนนั้นพยายามเข้าหาเพื่อนเก็ท แล้วก็กลายเป็นเซ็กส์เฟรนด์กับเพื่อนเก็ทไป เก็ทจึงลองยื่นข้อเสนอในเธอทำงานแลกกับค่าตอบแทน และเธอยังอาจจะได้แฟนที่แทบจะสมบูรณ์แบบคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเก็ทก็คิดไม่ผิดหรอกที่เลือกผู้หญิงคนนั้น เพราะดูออกตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหน เธอก็ตกลงรับงานนี้ และบังเอิญว่าเธอรู้จักและสนใจปาร์คอยู่แล้ว จึงทำให้ทุกอย่างมันง่ายมากขึ้น”

   “นั่นเลยทำให้เกลที่ตอนแรกแค่คุยกันเล่นๆ เข้าหาและแสดงตัวกับกูมากขึ้นใช่ไหม!” ปาร์ดว่าอย่างเดือดดาล

   “โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเองก็เล็งเพื่อนของปาร์คไว้ด้วยเช่นกันใช่ไหม พอมีเรื่องนี้เข้ามาประกอบกับที่ฉันคอยช่วยเหลือฟร๊องก์ให้จบเรื่องเกลซะ มันเลยทำให้แผนเธอพัง โดยที่เธอเพิ่งมารู้ตอนหลัง ผู้หญิงคนนั้นคงไปคุยกับเธอด้วยสินะ หลังจากที่โดนจับได้เรื่องที่ให้เข้าไปคบหากับปาร์คแล้ว นั่นจึงทำให้เธอพยายามจะกันโดนัทกับทาร์ตให้อยู่ห่างๆ ฟร๊องก์ และพยายามอยู่ใกล้ๆ กับฟร๊องก์ตลอดเพราะเธอกลัวว่าฟร๊องก์จะรู้ความจริงใช่ไหมล่ะ”

   ชัญญ่าเป็นคนเข้าเสริมทัพ บอกข้อมูลเพิ่มเติมในมุมมองของเธอที่สามารถอ่านแผนและแก้แผนการได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ขณะเดียวกันก็กันท่าระหว่างปาร์คกับเก็ทไม่ให้เปิดศึกอีกรอบ

   “... อืม” เก็ทยอมรับเสียงอ่อน ก่อนจะหันไปหัวเราะเบาๆ ให้กับชัญญ่า “หึหึ เธอไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ สินะ”

   “เรารู้จักกันดีนิ” ชัญญ่าแสยะยิ้มอย่างมีชัย

   “เก็ทแค่ติดต่อผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นไป พร้อมบอกแผนการคร่าวๆ แต่ด้วยความที่เธอหัวดื้อและมั่นใจในตัวเองสูง หลายๆ อย่างเธอก็เลยมักจะทำมันด้วยตัวเธอเอง”

   “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอเก็ท แล้วเก็ททำแบบนี้เพื่ออะไรกัน ทั้งๆ ที่ฟร๊องก์ไว้ใจและเชื่อในเก็ทที่สุด เชื่ออย่างเต็มหัวใจ แต่ทำไมถึงหักหลังฟร๊องก์ได้ขนาดนี้  ทนเห็นฟร๊องก์เจ็บปวด ทนเป็นที่ปรึกษา คอยรับฟังปัญหาที่บางอย่างตัวเองเป็นต้นเหตุได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยได้ไงกัน เก็ทโกรธเกลียดอะไรฟร๊องก์เหรอเก็ท! บอกมาสิว่าโกรธเกลียดอะไรฟร๊องก์ ถึงต้องทำกันขนาดนี้!”

   “เปล่าเลย เก็ทไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดอะไรฟร๊องก์ ไม่เคยเลย แต่เก็ททำทุกอย่างลงไปก็เพื่อฟร๊องก์ เก็ทอยากเห็นฟร๊องก์มีความสุข ยิ้มและหัวเราะไปกับเก็ทและเพื่อนๆ คนอื่น มากกว่าจะมานั่งซึมหรือแอบร้องไห้เวลาอยู่คนเดียว คนที่ฟร๊องก์รัก บางทีเขาอาจไม่ได้เกิดมาคู่กับฟร๊องก์ คนที่เห็นแก่ตัวและไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองแบบนี้ไม่เหมาะกับฟร๊องก์หรอก เก็ทแค่อยากให้ฟร๊องก์เอาตัวเองออกห่างจากมัน”

   “เก็ททำเพื่อตัวเองต่างหาก เก็ททำโดยไม่ถามฟร๊องก์สักคำว่าต้องการมันหรือเปล่า”

   “แล้วผลลัพธ์ที่ได้มันทำให้ฟร๊องก์รู้อะไรมากขึ้นไหม ที่เก็ทดึงผู้หญิงคนนั้นเข้ามา เกลอาจจะเป็นบททดสอบความรักที่หมอนี่มีต่อฟร๊องก์ก็ได้ มันก็แสดงออกได้ชัดไม่ใช่เหรอ ในตอนที่เกิดเรื่องว่าหมอนั่นเลือกที่จะเข้าข้างใคร หรือฟร๊องก์จะปฏิเสธว่ามันไม่จริง ถ้าใจมันไม่โลเล มันก็คงไม่เล่นกับเกลหรอก ถ้ามันจริงใจกับฟร๊องก์ ส่วนทาร์ต พอฟร๊องก์ลองเปิดใจมองใครสักคน ฟร๊องก์จะได้รู้สึกถึงความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับ แต่บททดสอบของมันกลับทำให้ตัวมันเองไปต่อไม่ได้เพราะความไม่ยับยั้งช่างใจของตัวมันเอง”

   “แต่นั่น...” ผมเถียงไม่ออก เพราะเรื่องของเกลมันชัดเจนมากในตอนนั้นว่าปาร์คเลือกที่จะเข้าข้างและปกป้องผู้หญิงคนนั้น

   “มึงอย่ามาพูดพล่อยๆ!” ปาร์คสบถอย่างมีน้ำโห

   “หรือมันไม่จริงที่มึงทำร้ายฟร๊องก์!” เก็ทเองก็เสียงเข้มอย่างไม่ยอมกัน

   “...” ปาร์คไม่พูดอะไรต่อ เพราะยังไงความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ

   “ฟร๊องก์ขอบคุณในความหวังดีของเก็ทนะ ฮึก!” ผมว่าก่อนจะค่อยๆ ลุกแล้วเดินเข้าไปหาเก็ทด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา “แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เก็ททำฟร๊องก์ไม่สามารถยอมรับมันได้อยู่ดี ฮึก... ชีวิตฟร๊องก์ต้องวุ่นวายมากแค่ไหนเก็ทรู้หรือเปล่า ความหวังดีบ้าบออะไรของเก็ท ฟร๊องก์ไม่อยากจะรับมันไว้ด้วยซ้ำ เพราะนี่คือชีวิตของฟร๊องก์ ฟร๊องก์มีเลือดเนื้อ มีหัวใจ มีความรู้สึก แต่ฟร๊องก์สามารถเลือกและตัดสินใจที่จะทำอะไร จะเลือกอะไรสำหรับชีวิตตัวเองเองได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำหนด เก็ททำเหมือนฟร๊องก์เป็นแค่แผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่จะเอาเขียนอะไรลงไปก็ได้ โดยไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าแรงกดจากการเขียนนั้นมันจะรุนแรงเกินกว่าที่กระดาษแผ่นนี้จะทนได้หรือเปล่า”

   “เก็ทขอโทษ...” 

   คำขอโทษที่เก็ทเปล่งออกมานั้นดูหนักแน่น แต่ก็แฝงด้วยความเศร้าหมองด้วยเช่นกัน ไม่ต่างจากสีหน้าของเก็ทตอนนี้ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สีหน้าที่ดูหมองหม่นและสายตาที่ดูเหมือนกำลังตำหนิตัวเองอยู่นั่น ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นหรือต้องมาเห็นสีหน้าลำบากใจอะไรแบบนี้

   “เก็ทไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่าคำว่าขอโทษ ขอโทษที่ทำอะไรไปโดยไม่เคยเป็นห่วงความรู้สึกของฟร๊องก์เลย เก็ทคิดเพียงแค่มันจะทำให้ฟร๊องก์มีความสุข คิดแค่ว่ามันจะเป็นบทพิสูจน์ความรักที่จะเข้ามาหาฟร๊องก์ โดยลืมไปว่าหัวใจฟร๊องก์ ฟร๊องก์ต้องเลือกมันด้วยตัวเอง”

   “ฉันพอเข้าใจความหวังดีของเธอที่มีต่อฟร๊องก์นะ แต่เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้หรอก” ชัญญ่าเดินเข้ามาแตะไหล่เก็ทเหมือนให้กำลังใจ ผมสัมผัสได้ว่าชัญญ่าไม่ได้ทำไปเพราะโกรธเคืองเก็ทหรอก แต่ที่เธอทำอาจเป็นเพราะเธอคงไม่อยากให้เก็ททำเรื่องที่ผิดไปมากกว่านี้ “มันก็เหมือนกับตอนที่เราเลือกจะคบกันไง ทั้งที่ใครๆ ต่างก็บอกว่าฉันหยิ่งและอันตราย ส่วนเธอก็ขึ้นเรื่องความเย็นชาและเข้าถึงยาก แต่เราก็เลือกที่จะเรียนรู้ชีวิตของกันและกัน”

   “อืม... ขอโทษนะที่ให้ชีวิตวุ่นวาย” เก็ทว่าพร้อมกับยื่นมือที่แอบสั่นเทาเล็กน้อยมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา “ขอโทษที่ดึงใครต่อใครเข้ามาทำให้ชีวิตฟร๊องก์ยุ่งยากขึ้น ขอโทษที่ทำให้ความรักที่เคยสวยงามสำหรับฟร๊องก์ต้องเป็นแบบนี้ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ความเชื่อใจที่ฟร๊องก์มีต้องพังทลายลงแบบนี้ เก็ทไม่ขอให้ฟร๊องก์ยกโทษให้หรอกนะ เพราะเป็นใครก็คงกลับไปไว้ใจเหมือนเดิมไม่ได้เหมือนกัน”

   “ฟร๊องก์ไม่ได้เกลียดเก็ทหรอกนะ เรายังคงเป็นเพื่อนกัน แต่... ฟร๊องก์คงเชื่อใจเก็ทอย่างสนิทใจไม่ได้อีกแล้ว” ผมยิ้มตอบเก็ททั้งน้ำตา

   “โลกมันไม่ได้สวยงามเสมอหรอกนะ ทุกอย่างที่ฟร๊องก์ได้เห็นหรือสัมผัส มันอาจจะไม่ได้มีแต่ด้านที่ดีอย่างเดียวก็ได้ แม้แต่ตัวเก็ทเอง...” ฝ่ามือใหญ่ของเก็ทยังคงลูบศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา อย่างเช่นที่เคยทำ

   “ฟร๊องก์พยายามที่จะทำความเข้าใจความหวังดีของเก็ทนะ ขอบคุณที่พาทาร์ตเข้ามาทำให้ชีวิตฟร๊องก์มีสีสันขึ้น แม้ว่า... ตอนจบมันจะไม่สวยงามสักเท่าไร ส่วนเรื่องของเกลและเรื่องเข้าใจผิดของฟร๊องก์กับปาร์ค จริงๆ เรื่องนั้น... มันจบไปแล้วแหละ ขอแค่หลังจากนี้เก็ทอย่าทำอะไรแบบนี้อีก ฟร๊องก์อยากใช้ชีวิตและเลือกทางเดินด้วยตัวเอง”

   “หมายความไงที่บอกว่าจบ!” ปาร์คถามเสียงเข้มกอปรกับรั้งแขนผมให้หันกลับไปมองที่เขา

   “...” ผมไม่ตอบอะไรปาร์ค ก่อนจะเบินหน้าและบิดแขนหนีจากการจับกุมนั้น เพราะสำหรับผมแล้วเรื่องของผมและปาร์คมันจบลงแล้วตั้งแต่วันนั้น “คงไม่มีอะไรที่ฟร๊องก์ต้องรู้อีกแล้วใช่ไหมเก็ท หวังว่ามันคงไม่มีอะไรอีกแล้วนะ โดนัทกูเข้าใจนะว่ามึงก็รักน้องมึง เลยเลือกทำสิ่งที่ผิดแม้จะรู้ว่ามันผิด แต่จะให้กูโกรธจนเกลียดมึงกูก็คงทำไม่ได้หรอก เพราะมึงมาวันนี้เพื่อยอมรับผิด และอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกูก็นับถือน้ำใจมึง ยังไงมึงก็ยังเป็นเพื่อนกู แต่กูก็คงให้มึงได้ไม่เต็มร้อยเหมือนเดิมเช่นกัน”

   “กูเข้าใจ แล้วก็ขอบใจมึงมากนะ ที่ยังเห็นว่ากูเป็นเพื่อน ฮึก... ขอบใจมากจริงๆ” โดนัทพูดเสียงสะอื้นพร้อมกับพยายามปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม

   “ส่วนทาร์ต... พี่ขอโทษจริงๆ ที่พี่... กลับไปรู้สึกดีกับทาร์ตไม่ได้อีกแล้ว พี่ไม่สามารถลืมสิ่งที่ทาร์ตทำไว้กับพี่ได้จริงๆ ความรู้สึกของพี่มันถูกทำลายหมดไปตั้งแต่คืนนั้น แต่พี่ก็ไม่ได้เกลียดทาร์ตนะ แต่พี่ก็ทำใจรักและเอ็นดูทาร์ตเหมือนน้องคนเดิมที่พี่เคยรู้จักไม่ได้เช่นกัน”

   ผมเลื่อนสายตาไปบรรจบกับดวงตาที่เคยเป็นประกายของทาร์ตทุกครั้งที่มองผม แต่ตอนนี้กลับเหลือไว้แค่เพียงเงาสะท้อนในนัยน์ตาที่เศร้าหม่นนั้น ก่อนจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ความรู้สึกสุดท้ายที่อยากจะบอกทาร์ตมัน อย่างน้อยก็ในฐานะคนที่เคยดีต่อกัน แต่ผมก็ไม่ได้เป็นพ่อพระจิตใจประเสริฐ ที่สามารถเปิดใจยอมรับและให้อภัยได้ทุกอย่าง เพราะผมก็เป็นแค่เพียงมนุษย์คนหนึ่ง ที่ยังคงมีความรัก โลภ โกรธ และหลงอยู่ในตัว

   “ผมเข้าใจครับ ผมเข้าใจ... แค่พี่ไม่เกลียดผม ผมก็ดีใจมากแล้ว พี่รู้ไหม หลังจากวันนั้น ผมถึงได้เห็นคลิปที่พี่ทำเพื่อเซอร์ไพรส์วันเกิดผม ผมได้เห็นความรัก ความเอ็นดูที่พี่มีต่อผมผ่านวีดีโอนั้น มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกละลายใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเพียงเพราะความอยากได้ อยากครอบครอง ผมรู้ได้เลยว่าผมไม่ได้ทำลายแค่ความรู้สึกของพี่ แต่ผมทำลายความรักอันบริสุทธิ์ที่พี่มีให้ผมมาตลอดต่างหาก ผมไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่าคำว่าขอโทษ”

   ทาร์ตว่าพลางยิ้มโชว์เหล็กจัดฟันที่ดูคุ้นตา แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เพราะดวงตาที่มีน้ำใสๆ ไหลออกมาด้วย รอยยิ้มนั้นมันไม่สดใสดั่งเมื่อก่อนอีกแล้ว มันกลับรู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มจากหนุ่มน้อยยิ้มสวยที่คอยอวยเหล็กจัดฟันสีสันสดใสให้ผมนี้เป็นครั้งสุดท้าย

   “ต่อจากนี้ผมจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก”

   “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก เจอกันเราก็ยังคงทักทายและยิ้มให้กันได้ ในฐานะคนเคยรู้จัก” ผมให้ทาร์ตได้แค่นี้ ความรู้สึกที่เสียไปมันดึงกลับมาไม่ได้หรอก

   ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากปาร์ค ที่ผมเองก็ไม่สามารถลืมภาพความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องฝืนในตัวเองและเลือกให้ปาร์คเดินออกไปจากชีวิตของผม มันแค่ต่างกับทาร์ตตรงที่ผม... ยังคงรักปาร์คอยู่แม้คืนวันในอดีตจะยังตามหลอกหลอนผมอยู่แค่ไหนก็ตาม แต่ผมไม่สามารถหนีจากหัวใจดวงนี้ของผมได้สักที

   “สุดท้ายเรื่องก็จบหมดแล้วนะ เหลือก็แต่... เรื่องของเธอสองคน” ชัญญ่าพูดด้วยรอยยิ้มกับผมพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปทางปาร์คด้วย “ที่ผ่านมาคงเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับทั้งคู่แล้วนะ เรื่องความรักถ้ามัวแต่ถือทิฐิ ก็ไม่มีใครหรอกที่เป็นสุข”

   “เก็ทขอโทษนะ...”


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ ขอโทษที่หายไปนาน ไม่ว่างเลยจริงๆ  :hao5:

กลับมาตอนนี้เป็นตอนที่เฉลยเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ทั้งหมดเกิดขึ้นเริ่มต้นจากเก็ทจริงๆ ฮะ แต่ที่เรื่องบานปลายมากขึ้นๆ เป็นเพราะนิสัยอื่นๆ ของตัวละครเอง
ความเห็นของคุณ Jibbubu เป็นสิ่งที่เราคิดเอาไว้ฮะ อย่างที่บอกว่าเราไม่เฉลยอยู่ที่ดีนะว่าสุดท้ายเก็ทรู้สึกยังไงกับฟรีองก์
แต่สิ่งที่เก็ททำ ไม่ใช่เพราะความเกลียด แต่เป็นเพราะความหวังดีจริงๆ
ซึ่งเจ้าตัวกลับลืมคิดไปว่าความหวังดีที่มีมันเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายความรู้สึกของฟร๊องก์ได้ด้วยเช่นกัน

แต่พอสุดท้ายฟร๊องก์ได้รู้ความจริงหมดแล้ว ก็กลับไม่กล้าที่จะโกรธหรือเกลียดใครเลย
นี่คือนิสัยที่ฟร๊องก์เป็นมาตั้งแต่แรก (ที่ทำให้หลายๆ คนรำคาญ) ก็นั่นล่ะ
มองอีกมุมคือฟร๊องก์เป็นคนที่อยู่และเติบโตมาในครอบครัวและสังคมที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร
จึงส่งผลให้ฟร๊องก์ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี อะไรเลี่ยงที่จะรุนแรงได้ก็จะเลี่ยง บางอย่างยอมได้ก็ยอม จนดูลำไยในบางที
แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราวางปมต่างๆ ให้วุ่นวายและค่อนข้างรุนแรงต่อความรู้สึกนิดหน่อย
เพื่อให้เป็นบทเรียนสำหรับตัวละครต่อไป

ปมใกล้หมดแล้วล่ะ ใกล้ถึงจุดหมายเข้าไปทุกทีแล้ว 5555+

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โอ้โหเก็ท เลวบริสุทธิ์จริงๆ จะด่าว่ายังไงล่ะทีนี้
คิดเองเออเองทั้งหมด ไม่ถามเจ้าตัวสักคำเลยว่าอยากได้แบบนี้ไหม ชีวิตฟร้องก์จากที่สีขาว สีรุ้งกลายเป็นสีเทา สีดำไปเลย
ฟร้องก์ไปบวชมะ เจอหนักขนาดนี้นี้ ท่าทางราหูจะอม หลายเรื่องเหลือเกิน
ยังคงชอบชัญญ่าที่สุด นางฉลาดทันคน
แล้วชัญญ่ากับเก็ทนี่ยังไง ตอนนี้ดูไม่เหมือนคนรักกันเลย เหมือนเพื่อนมากกว่า
ปาร์คจะรุกฟร้องก์ไหม ไม่อยากเชียร์ใครแล้ว ให้ฟร้องก์อยู่คนเดียวไปเหอะ เห้อออ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ถ้าหากเค้าเห็นว่า..เรามีความรัก ทุ่มเทให้เค้า..มากมายเพียงพอ
เค้าคงไม่ไปเลือกคนอื่นก่อนเรา..แต่เมื่อผิดหวังจากคนนั้น..จึงหวนกลับมาหาเลือกเราทีหลัง

คนรักกันจริงๆ..คือคนที่ใช่..ยังไงก็ใช่ มันใช่อยู่วันยันค่ำ
แล้วก็ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรๆๆๆๆๆๆ มากมาย พูดให้เมื่อยปาก ฟังลำบากหู

แค่เป็นคนที่ไม่ใช่สำหรับคุณ ไม่ได้เลือกให้เป็นตัวจริงตั้งแต่ต้นนั่นล่ะ
ก็สามารถอธิบายได้ในตัวมันเองเพียงพอแล้ว ว่าคุณตัดสินใจเลือกใคร

..มันคือความจริง..

ความเชื่อใจไม่ได้มีกันง่ายๆ นะ คุณปาร์ค
หุหุ

ความรักเหรอ..ทิฐิเหรอ
วันใดที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
คงไม่กล้าจะบอกตัวเองหรอกนะ..ว่าเมิงอ่ะ ควายยยยยยยยยย

คหสต. ล้วนๆฮะ
ไม่มีใครจ้างมา
ฮ่าฮ่า

+1 ให้กับความหน้าด้านของพระเอกเรื่องนี้

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เข้าใจเก็ทนะ แต่ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะความใจโลเล และคิดจับปลาสองมือของปาร์คเลย ถ้าปาร์ครักมั่นในตัวฟร็องก์จริงๆ เรื่องต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้นหรอก เก็ทอาจจะผิดที่ดึงทาร์ตหรือเกลเข้ามาแต่ถ้าปาร์ครักมั่นเราว่ายังไงๆ ฟร็องก์ก็ไม่สนทาร์ตหรอก แต่ที่เรื่องเป็นแบบนี้เพราะใครล่ะ จะโทษคนอื่นดูตัวเองก่อนนะปาร์คว่ามีเรื่องทีไรไม่เคยที่จะเข้าข้างฟร็องก์เลย และมีเรื่องก็ไม่เคยที่จะถามฟร็องก์เลยทั้งๆ ที่น่าจะรู้นิสัยฟร็องก์ดีว่าเป็นคนยังไงจะมาตบผญ.แบบที่นางว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไงๆ เราก็เกลียดปาร์คว่ะ รักมากก็เกลียดมากได้เหมือนกันนะ ฟร็องก์แกก็ใจแข็งอย่าไปใจอ่อนยกโทษให้ง่ายๆ เราว่าคนแบบปาร์คท่ายอมยกโทษให้ง่ายๆ เดี๋ยวก็ทำอีก เรายังไม่เห็นเลยว่าปาร์คแม่งจะรักฟร็องก์จริงตรงไหน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
น่าสงสาร แล้วปาร์คละยังไง

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 48 [10/10/2017]
«ตอบ #221 เมื่อ10-10-2017 19:20:03 »

Chapitre 48

   ผ่านสัปดาห์แห่งการสอบมาได้เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว และก็เป็นเวลากว่าสามอาทิตย์หลังจากเหตุการณ์ที่คอนโดฯ เก็ทวันนั้น ทุกอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำของผม แม้จะพยายามพับมันเก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดก็ตาม

   ช่วงอาทิตย์สอบอันแสนหฤโหดตัวผมแทบไม่มีสมาธิในการทำข้อสอบเลยด้วยซ้ำ หัวผมมันมีหลายต่อหลายเรื่องเข้ามาประดังประเดจนตั้งรับไม่ทัน แต่มาถึงตอนนี้ผมไม่ค่อยคิดอะไรมากแล้ว ผมคิดแค่ว่าเรื่องวุ่นวายมันจบไปแล้ว และก็ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดเรื่องราวที่ทำให้หัวผมแทบระเบิดนี้เข้ามาในชีวิตของผมอีก

   ชัญญ่าเองก็มาขอโทษผมอีกครั้งที่ไม่ได้บอกผมเกี่ยวกับเรื่องที่เธอรู้และวางแผนทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่ติดต่อกับปาร์ค แต่ไม่ยอมให้ปาร์คบอกผม เพราะกลัวเสียแผน ชัญญ่ารู้เรื่องของเก็ทมานานพอสมควรแล้ว เพราะเคยเห็นรูปของผมกับทาร์ตในโน้ตบุ๊ค รวมทั้งเบอร์ของปาร์คและผู้หญิงคนนั้นที่ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ใคร เธอเลยแอบบันทึกมาแล้วติดต่อไปหาในตอนหลัง เลยทำให้ได้รู้ทุกอย่างเวลาที่เก็ทส่งอะไรมาให้ปาร์ค แม้ว่าจะผ่านเบอร์ที่เก็ทไม่ได้ใช้ประจำก็ตาม

   ส่วนแผนการต่างๆ เธอก็มีวิธีการของเธอในการสืบหรือติดตามว่าเก็ทจะทำอะไร แต่ผมไม่ได้ถามลงลึกในรายละเอียด ไม่ได้ต้องการให้ชัญญ่าเล่าเรื่องทั้งหมดหรอกครับ ในเมื่อทุกอย่างมันเคลียร์จบด้วยตัวของมันเองแล้ว

   ผมยอมรับว่ารู้สึกแย่กับสิ่งที่เก็ททำ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าเกลียดจนอภัยให้ไม่ได้ เพราะตัวเก็ทเองก็กล้าที่จะยอมรับว่าเป็นฝีมือของตัวเอง ผมพยายามเข้าใจในเหตุผลของเก็ทแม้ว่าวิธีการที่เลือกนั้นมันจะเป็นวิธีที่ผิดก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้อะไรหลายๆ อย่างชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องของทาร์ตและโดนัท รวมทั้งเรื่องของ... ปาร์คด้วย

   และตอนนี้ชัญญ่าเองก็เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของผมมากขึ้น กลายมาเป็นเพื่อนคนใหม่ที่ผมกลับรู้สึกว่าสนิทกันเหมือนรู้จักกันมาเนิ่นนาน และชัญญ่าเป็นเพียงคนเดียวที่ผมเลือกที่จะติดต่อในช่วงนี้ และตั้งใจว่าช่วงปิดเทอม ผมไม่อยากจะติดต่อกับใครเลย ผมอยากที่จะพักผ่อนสมอง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง อยู่และมีความสุขกับตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบงการอีก

   ส่วนตัวชัญญ่าเองก็ลดสถานะของเก็ทลงมาเป็นแค่เพื่อน ที่อาจจะมีอะไรพิเศษมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ เก็ทเองก็ไม่ได้โกรธในสิ่งที่ชัญญ่าทำ เพราะเข้าใจดีถึงเหตุผล และเข้าใจดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด ทั้งคู่จึงสามารถคบกันต่อได้ แม้จะในสถานะที่เปลี่ยนไปก็ตาม

   ส่วนโดนัทกับทาร์ตตอนนี้คงบินกลับบ้านที่ภาคใต้ไปเรียบร้อย หลังจากจบเรื่องที่ห้องเก็ทวันนั้น ผมกับโดนัทสามารถมองหน้าและยิ้มให้กันได้มองขึ้น มีบทสนทนาต่อกันเหมือนแต่ก่อนมากขึ้น แต่ก็มีบ้างที่สีหน้าของเราทั้งคู่ยังคงลำบากใจที่จะคุยกันในบางเรื่อง ผมกับโดนัทกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง แม้ความรู้สึกที่ผมมีกลับไม่เท่าเดิม ไม่เท่ากับที่ผมมีให้ต่อพวกนุ่น ป๊อปอาย หรือคนอื่นๆ ในกลุ่ม

   ส่วนทาร์ตเราเจอกันบ้างประปราย แต่เมื่อเจอกันไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือตั้งใจ (ของอีกฝ่าย) ผมทำได้เพียงยกยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะมีหลายครั้งที่เจ้าตัวพยายามที่จะเปิดบทสนทนากับผม แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับ เว้นเพียงแต่รอยยิ้มจางๆ เท่านั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากกว่าส่งรอยยิ้มโชว์เหล็กจัดฟันที่ดูสดใสนั้นกลับมา แม้นัยน์ตาจะแฝงด้วยความเหงาเศร้าก็ตาม อย่างที่ผมบอกคือผมไม่ได้เกลียดทาร์ต แต่ก็ทำใจให้กลับไปรู้สึกดีไม่ได้เช่นกัน อย่างน้อยก็อาจจะในตอนนี้ 

   ระหว่างผมกับเก็ทหลายอย่างยังคงเหมือนเดิม คือช่วงที่มีสอบเก็ทยังคงมีหน้าที่มารับส่งผมอยู่ แต่บทสนทนาระหว่างเราน้อยลง คำพูด รอยยิ้มที่มีให้ผมรู้สึกว่าบางครั้งมันอึดอัดและไม่เป็นตัวเองต่างจากแต่ก่อน ผมรู้สึกได้ว่าเก็ทดูเงียบขรึมขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่เฉพาะกับผม แต่กับทุกๆ คน เสียงแซวจากนุ่นผู้สร้างฟาร์มสุนัขในปากก็เพลาลงเช่นเดียวกัน ทำให้คนอื่นๆ ในกลุ่มก็พลอยไม่กล้าแซวกันไปด้วย


   ผมกับเก็ทเป็นแบบนี้จนวันสุดท้ายของการสอบ ก่อนที่เก็ทจะเดินเข้ามาบอกกับผมว่ามีเรื่องจะคุยด้วย

   เย็นวันนั้นก่อนที่เก็ทจะมาส่งผมที่หอตามปกติ เก็ทพาผมไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยและไม่ได้ไกลจากหอของผมมากนัก ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าเก็ทมีเรื่องอะไรจะพูดกับผมอีก แต่ผมกลับรู้สึกกลัวอยู่ข้างใน กลัวว่ามันยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ความรู้สึกของผมต้องเสียไปอีก

   ‘เก็ทมีอะไรจะพูดกับฟร๊องก์เหรอ’ หลังจากที่เราเดินเข้ามาด้านในของสวนสาธารณะแห่งนี้ได้สักพัก

   ผมเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใต้ร่มของต้นจามจุรีต้นใหญ่ที่บดบังแสงแดดอ่อนๆ สีส้มของดวงอาทิตย์ยามเย็น มีผู้คนประปรายทั้งวิ่งและเดินออกกำลังบนบาทวิถีขนาดไม่กว้างมากอยู่บ้าง ฝั่งตรงข้ามกับเก้าที่ผมนั่งเป็นบ่อน้ำขนาดกลางที่อยู่ใจกลางสวนแห่งนี้ ผมนั่งมองผืนน้ำที่ทอแสงสีส้มทองจากแสงแดดไหวเป็นระลอกคลื่นบางๆ ตามสายลมอยู่สักพัก ก่อนที่จะหันไปถามเก็ทที่ยังคงยืนอยู่ด้านข้างของเก้าอี้ 

   ‘เก็ทขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะ’ เก็ทที่สายตาทอดมองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพูดโดยไม่ได้หันมามองผม

   ‘มันจบไปแล้วนี่เก็ท แล้วเก็ทเองก็ขอโทษฟร๊องก์ไปแล้วด้วย จะมาขอโทษอีกทำไม’ ผมละสายตาจากเก็ทหันกลับไปยังวิวที่ดูก่อนหน้า ลมที่พัดเอื่อยๆ อยู่ตลอดไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจากความอึดอัดที่เกิดขึ้นนี้เลย ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเก็ทจะขอโทษผมเรื่องนั้นอีกทำไม ทั้งที่มันจบไปตั้งแต่วันนั้น ผืนน้ำที่สั่นไหวทุกครั้งที่มีลมพัด มันไม่ต่างจากใจของผมตอนนี้ที่มันกระวนกระวายไม่นิ่งเลย

   ผมกลัวว่ายังมีบางเรื่องที่ผมยังไม่ได้รับรู้อีก

   ‘ไม่อยากรู้เหตุผลที่เก็ททำเหรอ’ เก็ทก้มลงมามองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของผมที่ยังคงมองไปยังบ่อน้ำนั่น

   ‘เหตุผลที่เก็ทบอกฟร๊องก์ไปวันนั้นไง ฟร๊องก์พยายามที่จะเข้าใจมันนะ พยายามเข้าใจว่าเก็ททำเพราะเป็นห่วงฟร๊องก์ ไม่อยากให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บเพราะ... จมอยู่กับความรักเก่า’ ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะหันกลับมามองเก็ทที่กำลังมองผมอยู่เช่นกันอีกครั้ง

   ‘นั่นคือส่วนหนึ่ง ที่เก็ทอยากทำให้ฟร๊องก์จริงๆ แต่จริงๆ แล้ว... เหตุผลที่เก็ททำเรื่องพวกนั้นขึ้น มันมีอะไรมากกว่านั้น’ น้ำเสียงของเก็ทยังคงอยู่ในระดับปกติ แต่มันกลับทำให้ผมขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เหตุผลที่ลึกกว่านั้นเหรอ อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เก็ททำแบบนั้นกัน

   ‘อะ... อะไร’ ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น แต่ผมกลับไม่สามารถเห็นหรือรับรู้ได้เลยว่ามีอะไรส่งผ่านออกมา

   ‘ครอบครัวของเก็ท... ไม่ได้สมบูรณ์แบบนักหรอก’ เก็ททรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผม ก่อนจะหันไปมองด้านหน้าแบบที่หาจุดโฟกัสไม่เจอ แต่แว้บหนุ่งก่อนที่เก็ทจะให้ไป ผมได้เห็นความสั่นระริกในแววตานั่น

   ‘หมายความว่าไง’ ผมไม่เคยรู้เรื่องของครอบครัวเก็ทมาก่อน ด้วยความที่เจ้าตัวไม่เคยเล่าให้ฟัง และด้วยนิสัยของผมที่ไม่ได้เซ้าซี่อะไรกับเพื่อนมากนัก ผมจึงไม่เคยตั้งข้อสงสัยหรือรับรู้เรื่องที่เป็นส่วนตัวของเก็ทมาก่อน

   ‘ที่เก็ทเลือกที่จะไม่พูดออกไปวันนั้น เพราะเก็ทไม่อยากให้ใครต้องมารู้เรื่องครอบครัวของเก็ท... คนคงจะสมน้ำหน้าเมื่อรู้ว่าเบื้องหลังของเก็ทไม่ได้มาจากครอบครัวที่อบอุ่นเลย’ ปากที่ขยับไปมาตามคำพูดของเก็ทช่างขัดกับแววตาที่ดูเลื่อนลอย นี่คือเก็ทแบบที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อน เก็ทที่ไม่เหลือความเย็นชา ความเขร็งขรึม ผมเห็นเพียงความว่างเปล่าจากผู้ชายคนนี้เท่านั้น

   ‘...’ ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แต่ยังคงมองใบหน้าหล่อเหลาด้านข้างของเก็ทอยู่อย่างนั้น

   ‘พ่อกับแม่ของเก็ทไม่ได้เริ่มต้นชีวิตคู่กันด้วยความรักหรอก แต่จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะแม่รักพ่อ รักมาก เหมือนกับที่ฟร๊องก์รักหมอนั่น... เข้าใจคำว่าแต่งงานกันเพราะธุรกิจใช่ไหม นั่นแหละคือพ่อกับแม่เก็ท’ สายตาของเก็ทยังคงทอดยาวไปยังทิวทัศน์ของสวนสาธารณะที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจุดโฟกัสอยู่ที่ตรงไหนเหมือนกัน

   ‘...’ และผมก็ยังคงเลือกที่จะเงียบอยู่อย่างนั้น

   ‘ปู่กับตาเป็นเพื่อนสนิทกัน ธุรกิจที่ท่านทั้งสองทำ มันสามารถร่วมมือกันเพื่อให้พัฒนาได้มากขึ้น รวมทั้งได้รับผลตอบแทนได้มากขึ้นเช่นกัน นั่นคือสาเหตุของการนำลูกชายและลูกสาวมาเกี่ยวดองกัน พ่อกับแม่เจอกันตั้งแต่เด็กและได้รับการมั่นหมายไว้ตั้งแต่นั้น พ่อเป็นคนที่อยู่ในใจของแม่มาตั้งแต่ตอนนั้นเช่นกัน และท่านไม่เคยรักใครอีกเลยนอกจากพ่อ แต่ต่างกับพ่อที่เห็นแม่เป็นแค่น้องสาวคนหนึ่ง เป็นเพียงลูกสาวของเพื่อนสนิทพ่อเท่านั้น ไม่ว่าแม่จะพยายามทำให้พ่อรับรู้แค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจพ่อได้ แต่ในความคิดของผู้ใหญ่ ปู่กับตาคิดว่าเมื่อแต่งงานและอยู่ด้วยกันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง ดังนั้นงานแต่งงานจึงถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต แขกเหรื่อมากมายมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งแบบคลุมถุงชนนี้ โดยน้อยคนนักจะรู้ว่าเบื้องหลังการแต่งงานเกิดขึ้นเพราะเรื่องของธุรกิจ...’

   ‘...’

   ‘หลังจากแต่งงาน พ่อทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แม้ว่าพ่อจะไม่ได้รักแม่ในแบบชู้สาวหรือเสน่หา แต่พ่อก็ดูแลแม่เป็นอย่างดีด้วยความเอ็นดูในฐานะที่แม่เป็นน้องสาวคนหนึ่งที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนแม่ก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลายในความรักที่มีให้กับพ่อ ส่วนธุรกิจของทั้งสองบ้านก็รวมกันเป็นหนึ่ง เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งมากขึ้น ภายใต้การบริหารร่วมของเพื่อนรักอย่างปู่และตา โดยมีพ่อเป็นผู้ช่วยประธานบริษัทเพื่อเรียนรู้งาน หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ถูกโอนให้เพื่อเป็นของขวัญในพิธีแต่งงานของพ่อและแม่ ทำให้ทำคู่ถือครองหุ้นในบริษัทคนละครึ่งของสิบห้าเปอร์เซ็นต์นั้น ส่วนหุ้นที่เหลือก็กระจายอยู่ในมือของกรรมการบริหารคนละเล็กละน้อย และที่เหลืออีกกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ก็อยู่ในมือของปู่และตา ชีวิตคู่ที่เหมือนจะสงบสุขดำเนินต่อไปแบบนั้นอยู่เป็นปี ก่อนที่เก็ทจะเกิดมา แต่ฟร๊องก์รู้อะไรไหม เก็ทไม่ได้เกิดมาจากความรักของพ่อและแม่หรอกนะ แต่มันเพราะปู่ขู่เชิงบังคับให้พ่อกับแม่มีลูกด้วยกันต่างหาก ไม่อย่างนั้นบริษัทที่มีปู่กับตาจะไม่ยกให้พ่อและแม่ นั่นหมายความว่าหุ้นก้อนใหญ่ที่เหลือก็จะถูกขายทอดออกไปด้วย ด้วยเหตุผลนั้นจึงทำให้เก็ทได้เกิดมา’

   ‘เก็ท...’ ผมเอื้อมมือไปจับมือที่ใหญ่กว่าของคนที่นั่งข้างๆ ผมไม่เคยได้รู้ความเจ็บปวดที่เก็ทมีเลย รอยแผลที่ยังคงติดอยู่ในใจของเก็ท แผลเป็นที่ไม่มีวันลบเลือนไปได้

   ‘แต่เก็ทก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดหรอกนะ แม่มอบความรักให้เก็ทอย่างเต็มที่ เพราะสำหรับแม่แล้ว เก็ทเกิดมาด้วยความรัก ส่วนพ่อก็ไม่ได้ละเลย ท่านยังคงดูแลผมตามหน้าที่ของความเป็นพ่อ แต่ส่วนมากท่านจะยุ่งอยู่กับงานเสียมากกว่า เพราะหลังจากมีเก็ทได้ไม่นาน พ่อก็ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัท และแม่ก็เป็นกรรมการผู้ถือหุ้นสูงสุดร่วมกับพ่อ หุ้นอีกสิบสามเปอร์เซ็นต์จากหุ้นก้อนใหญ่นั้นถูกแบบในน้องชายของพ่ออีกคน แต่อาเลือกจะไปเปิดธุรกิจใหม่กับญาติฝั่งพ่อที่เป็นคนอาหรับกับภรรยาที่ดูไบ จึงไม่มายุ่งเกี่ยวกับงานในบริษัท ชีวิตที่คนภายนอกมองก็ต่างอิจฉา นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงกับภรรยาแสนสวย พร้อมกับลูกชายที่น่ารัก เป็นใครก็ต้องอิจฉาถูกไหมล่ะ แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่ง เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ พ่อที่ฝืนแต่งงานกับแม่มาตั้งแต่แรกก็เริ่มหาความสุขให้ตัวเองบ้าง ท่านกลับบ้านช้าลง หรือบางครั้งก็ไม่กลับเลย และบ่อยครั้งขึ้นที่พ่อมีปากเสียงกับแม่ ทุกอย่างเริ่มเลวร้ายลงเมื่อเก็ทได้เห็นพ่อลงมือทำร้ายแม่ นั่นก็เป็นเพียงครั้งเดียวที่พ่อทำแบบนั้นกับแม่ แต่สิ่งที่ทำให้แม่ทรมานกว่าคือพ่อไม่เคยลงมือกับแม่ ไม่มีการทะเลาะเกิดขึ้นอีก กลายเป็นว่าพ่อเริ่มเย็นชากับแม่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ แม้จะมีบทสนทนามากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ปัญหาที่มันเรื้อรังมานาน ยังไงมันก็ไม่มีวันดีขึ้นกว่านี้ได้ เก็ทรู้ว่าแม่ยังคงรักพ่ออยู่ และที่พ่อไม่หย้าก็คงเพราะความผูกพัน... ความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่มันก็ไม่ใช่ความรัก’

   ‘กะ... เก็ท’

   ‘เก็ทอยู่กับมันมาตลอดฟร๊องก์ เก็ทถึงได้รู้ว่าการรักคนที่ไม่ได้รักเรา มันเจ็บแค่ไหน เพราะบ่อยครั้งที่แม่มานอนกับเก็ทแล้วแอบร้องไห้ การคบกันที่ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความรักของคนทั้งสองคน มันไม่ทำให้ใครมีความสุขหรอก คนที่รักก็ต้องเจ็บเพราะอีกคนไม่ได้รัก ส่วนอีกคนเมื่อถึงวันหนึ่งที่รู้ว่าความรู้สึกที่มีมันไม่ใช่ มันก็ต้องฝืนเพราะความไม่รัก เพราะแบบนี้ ฟร๊องก์ที่เป็นเพื่อนที่เก็ทรัก เป็นเหมือนน้องชายของเก็ท เป็นคนที่เก็ทรักและเป็นห่วงมาก เก็ทถึงได้วางแผนแบบนั้นขึ้นมา เพราะไม่อยากให้ฟร๊องก์ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับแม่ของเก็ท ที่เก็ทนำทาร์ตเข้ามาเพราะอยากให้ฟร๊องก์ลองมองคนอื่นดูบ้าง ส่วนเกล ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเข้ามาทำให้ปาร์ครู้ตัวมากขึ้น แต่ยังไงเก็ทก็ต้องขอโทษฟร๊องก์อยู่ที่ ถึงเก็ทจะเป็นห่วงอย่างไร แต่เก็ทก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องหัวใจของฟร๊องก์ ซึ่งก็เหมือนกับพ่อและแม่ของเก็ท ที่ถึงจะฝืนกันมาแต่ท่านทั้งสองก็ยังคงจับมือกันจนถึงทุกวันนี้’

   ‘ฟะ... ฟร๊องก์เข้าใจแล้วเก็ท... ฟร๊องก์เข้าใจเหตุผลของเก็ทแล้ว’ ผมมองหน้าเก็ทที่หันมามองผมด้วยนัยน์ตาเศร้าหมอง ความรู้สึกหลากหลายในแววตาที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าผมนั้น ทำให้ผมเข้าใจทุกสิ่ง ผมไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจในเหตุผลของเก็ทอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่เก็ทระบายออกมา รวมทั้งแววตาที่สื่อความหมายนั้นมันบอกให้ผมเข้าใจได้ทุกอย่าง เพราะรอยแผลที่เก็ทเก็บไว้ และความเจ็บปวดในครอบครัวที่เก็ทต้องเผชิญ เก็ทไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับผมอีก

   ‘ที่เก็ทเล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้ฟร๊องก์มาสงสาร แต่เก็ทอยากให้ฟร๊องก์เข้าใจ เก็ทอยู่กับมันจนเคยชิน จนไม่ได้รู้ว่ามันทำให้ชีวิตเก็ทมีปัญหา เพราะอย่างน้อยเก็ทก็ยังมีพ่อและแม่ที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา’ เก็ทยิ้มจางๆ ให้กับผม

   เก็ทไม่ได้ทำมันเพื่อตัวเองเลยจริงๆ แต่เก็ทวางแผนขึ้นมาก็เพื่อผม เพื่อตัวผมอย่างที่เขาบอกจริงๆ มันคงไม่น่าภูมิใจนักหรอกที่ต้องเอาความแตกร้าวในครอบครัวมาบอกคนอื่นแบบนี้ แต่การที่เก็ทมาบอกผม มันไม่ใช่เพียงแค่เป็นข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด หากแต่มันคือการทำให้ความตั้งใจที่มีชัดขึ้นต่างหาก เก็ทแสดงให้ผมเห็นต่างหากว่าเก็ทที่ผมรู้จักตั้งแต่วันแรกนั้น ยังคงเป็นเก็ทคนเดิมอยู่ เก็ทที่จะอยู่ข้างๆ ผมเสมอ เก็ทที่ผมไว้ใจได้เสมอ และเก็ทที่เปิดใจกับผมมากขึ้นแล้วเช่นกัน

   วันนั้นเป็นอีกวันที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำของผม ว่าผมได้เพื่อนคนเดิมกลับมาแล้ว ทำให้ผมได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้หายไปไหนเลย แต่เขายอมเป็นคนที่เราเข้าใจผิดเพื่อปกป้องเราและได้อยู่เคียงข้างเขาตลอดไปอย่างมีความสุข

**********__________**********

   หลังจากวันที่เก็ทมาเปิดใจคุยกับผม และทำให้ผมเข้าใจเขามากขึ้น ความโกรธที่มีก่อนหน้าก็หมดไป ผมกลับมาเป็นเพื่อนกับเก็ทเหมือนเดิม และกลับมาสนิทใจกันมากขึ้นกว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้น แม้ช่วงปิดเทอมเช่นนี้จะไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไร จะมีก็แค่ผมที่ชอบทักไลน์ไปกวน หรือบางครั้งที่ชัญญ่าโทรมาก็จะมีประชุมสายกับเก็ทติดสอยห้อยตามมาด้วยบ่อยครั้ง แต่เก็ทก็ยังคงเป็นเก็ทที่ชอบทำตัวขรึมอยู่แบบนั้น

   เวลาในช่วงปิดเทอมเพียงไม่กี่อาทิตย์นี้ สำหรับผมมันหมดไปกับการหมกตัวอยู่บ้าน ดูหนังบ้าง ฟังเพลงบ้าง อ่านหนังสือนิยายหรือหนังสือต่างๆ บ้างก็มี แต่มันก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่ยาก

   แม่ยังคอยหมั่นถามอยู่เสมอ หลังจากที่เห็นอาการของผมไม่ค่อยดีตอนที่เรื่องต่างๆ ถาโถมเข้ามาจนไม่ทันได้ตั้งตัว บวกเข้ากับการสอบที่ผ่านมาอีก ถึงตอนนี้ผมก็ยิ้มตอบแม่ได้อย่างสบายใจว่ามันไม่มีอะไรแล้ว จะมีเพียงคำถามที่สะกิดบาดแผลในใจผมเพียงข้อเดียว คือเรื่องของปาร์ค...

   คนที่คอยโทรหาและส่งข้อความมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผม แต่ผมมักจะไม่รับสายเสมอ แถมหนักขึ้นเจ้าตัวยังคอยแวะมาหาผมที่บ้านหลายต่อหลายครั้ง เรียกได้ว่าเกือบจะทุกวันเลยก็ว่าได้ จนมันกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผมและพ่อแม่ของผมด้วยที่มักจะเห็นรถของปาร์คมาจอดที่หน้าบ้านในช่วงเวลาเดิมๆ แทบทุกวัน

   แรกๆ ผมแทบจะไม่ออกจากห้องไปให้เจ้าตัวเห็นหน้าด้วยซ้ำ แต่หลังๆ ก็ทนลูกตื้อของปาร์คไม่ไหว บวกกับที่แม่มาบอกว่าสงสารปาร์คด้วยที่เดินหน้าหงอยคอตกกลับไปแบบนั้น จึงออกมาเจอทุกครั้งที่ปาร์คมา แต่พยายามอยู่ห่างกว่าปกติ ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะผมกลัวใจตัวเองมากกว่า กลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ตามที่ตัวเองบอกไว้ก่อนหน้า ทั้งที่เป็นคนขอให้ปาร์คไปจากชีวิตเอง แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่รถยนต์คันงามของคนที่ผมพูดถึงมาจอดอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน

   หน้าที่เปิดประตูรั้วให้ปาร์คตกเป็นของผมไปโดยปริยายหลังจากที่ก่อนหน้าจะเป็นแม่ที่ไปเปิดให้ แต่ก็ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรกันมากมาย นอกจากคำทักทายกับใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสของปาร์คในทุกๆ ครั้ง

   “มาทุกวี่ทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง ว่างมากเหรอ” ผมเหน็บแนบหลังจากจบคำทักทายของปาร์ค

   “ก็ที่นี่มีคนที่อยากเจออยู่ จะให้มาอยู่ที่นี่เลยก็ไม่เบื่อหรอก” ปาร์ครีบเดินเข้ามาจับมือเคียงข้างไปกับผมอย่างรวดเร็ว ยังคงเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยน

   “นี่! ปล่อยเลยนะ!” ผมดึงมือตัวเองกลับ ก่อนจะรีบจ้ำเข้าบ้านไปโดยไม่รออีกคนที่หัวเราะร่าอยู่ด้านหลัง ไอ้บ้าเอ๊ย! แค่นี้หัวใจผมก็ทำงานหนักแล้ว นี่ถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้ปาร์คมาไง เพราะถ้ายิ่งปาร์คมาทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ผมยิ่งไม่สามารถทำใจได้สักที

   “อ้าว สวัสดีลูก กินอะไรมาหรือยังล่ะ” แม่ผมเอ่ยทักทายและให้การต้อนรับปาร์คเป็นอย่างดีโดยไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย ผิดกับผมที่ตอนนี้นั่งหน้าบึ้งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีไม่ใกล้ไม่ไกลจากแม่เท่าไร

   “ยังเลยครับแม่ ว่าแต่วันนี้มีอะไรให้ปาร์คช่วยหรือเปล่า” เป็นประจำที่ปาร์คจะถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ปาร์คมาบ้านผมไม่ได้มาเฉยๆ นะครับ มันช่วยแม่ทำเอกสารเอย บางวันก็ลงไปช่วยพ่อตัดต้นไม้บ้าง ล้างรถบ้างก็มี

   “วันนี้แม่จะวานให้ปาร์คไปซื้อของให้แม่หน่อยได้ไหมลูก ไปกับเจ้าฟร๊องก์มันก็ได้” แม่พยักเพยิดมาทางผม อ้าว! ทำไมอยู่ๆ ถึงดึงผมเข้าไปเกี่ยวด้วยล่ะ

   “อะไรล่ะแม่ ฟร๊องก์ไม่ไปหรอก ใครอยากอาสาไปก็ไปเองสิ”

   “เอ๊ะ! ลูกคนนี้ ไปเปลี่ยนชุดแล้วออกไปกับปาร์คเลย อย่าให้แม่ต้องดุ!” ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่อีกคนกลับยิ้มไม่หุบ

   หลังจากนั้นไม่นาน ผมที่อยู่ในชุดใหม่ก็นั่งหน้าบูดอยู่ภายในห้องโดยสารของรถคันหรูนี้แล้ว ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าปาร์คจะมาตามตอแยผมอยู่ทำไม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเองไม่เคยแน่ใจเลยด้วยซ้ำว่ารู้สึกอย่างไรกับผม แถม... ยังเคยทำร้ายผมอีก แม้แต่ในรถคันนี้ก็ด้วย ผมยังคงไม่ลืมความเจ็บปวดที่มีได้เลย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะผ่านมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม

   “เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านปาร์คนะ ปาร์คบอกแม่ฟร๊องก์เอาไว้แล้ว” ปาร์คพูดอย่างอารมณ์ดี แต่เล่นเอาผมอึ้งไปเลยถึงแผนการที่ปาร์ควางเอาไว้ แม่ผมก็พลอยเห็นดีเห็นงานไปด้วยอีก

   “เมื่อไรปาร์คจะเลิกยุ่งกับฟร๊องก์สักที” ผมหันไปมองหน้าปาร์คด้วยหน้าตาที่จริงจังและต้องการคำตอบ แม้คำตอบนั้นจะมีผลโดยตรงกับหัวใจของผมเองก็ตาม

   “ไม่มีวัน” ปาร์คตอบพร้อมรอยยิ้มโดยที่เจ้าตัวยังคงมองถนนเบื้องหน้าไมได้หันกลับมามองผม

   “ฟร๊องก์จริงจังนะปาร์ค เราคุยเรื่องนี้กันแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราไม่ควรทำอะไรให้มันถลำลึกมากเกินไปกว่าการเป็นเพื่อน”

   “ปาร์คก็ไม่ได้บอกว่าปาร์คไม่จริงจังนิ ที่ปาร์คทำอยู่ตอนนี้ปาร์คทำเกินกว่านั้นเหรอ ปาร์คมาหาฟร๊องก์ คุยกับฟร๊องก์ ไปไหนมาไหนกับฟร๊องก์แบบนี้ เพื่อนคนอื่นก็ทำได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมฟร๊องก์ต้องห้ามไม่ให้ปาร์คยุ่งกับฟร๊องก์ด้วยล่ะ” ปาร์คหันกลับมาตอบผมด้วยประโยคที่ยาวและจริงจังเช่นกัน

   “แต่...”

   “ถ้ามันทรมานก็อย่าฝืนความรู้สึกตัวเองเลยฟร๊องก์” ปาร์คหันกลับไปยังถนนเหมือนเดิม และก็ไม่มีการพูดคุยเกิดขึ้นอีก มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเราสองคนดังสลับกันไปมา

   ผมเองก็กำลังฝืนอยู่สินะ ฝืนที่ทำเหมือนไม่อยากให้ปาร์คกลับเข้ามาในชีวิต ทั้งที่ภายในใจของผมยังเรียกร้องหาปาร์คอยู่ตลอด ทำไมกันนะ ทั้งที่คนที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้เป็นคนที่ทำร้ายตัวเองแท้ๆ เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องร้องไห้และจมอยู่กับความเจ็บปวดหลายต่อหลายครั้งแท้ๆ แต่ทำไมใจผมกลับไม่เคยรู้สึกเกลียดคนๆ นี้ได้เลย

   ไม่ว่าผมจะพยายามตัดใจเท่าไร ไม่ว่าผมจะพยายามบอกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับปาร์คสักแค่ไหน หรือไม่ว่าความทรงจำอันเลวร้ายจะยังคงตามหลอกหลอนผมว่าคนๆ นี้ทำร้ายผมจนไม่น่าให้อภัยแค่ไหน แต่หัวใจผมกลับไม่ยอมฟังเลย

   ทุกครั้งที่หลับตาภาพใบหน้าและรอยยิ้มของปาร์ค รวมทั้งดวงตาอันทรงเสน่ห์ที่ผมหลงใหลนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผมเสมอ ความทรงจำดีๆ ที่เคยมีมันมักจะเข้ามากลบความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง เพียงแต่ผมไม่กล้าพอที่จะก้าวต่อไปกับปาร์ค


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ งื้ออออออออ นานจัด 555+

ปมของเก็ทหมดแล้วนะ หมดแล้วจริงๆ เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันสมเหตุสมผลไหม
ถ้าไม่เห็นด้วยหรือขัดแย้งอะไรยังไงก็ขอน้อมรับทุกความเห็นนะฮะ
ตัวเก็ทก็เป็นตัวละครที่ก็เจอมาหนักไม่แพ้กัน ความหวังดีของเก็ทเราตั้งใจให้มันออกมาจากใจจริงๆ นั่นล่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ว่าคนที่อ่านแต่ละคนจะตีความไปเช่นไร

สำหรับปาร์ค ถึงเวลาที่ต้องเป็นฝ่ายตามบ้างล่ะมั้ง หุหุ
ฟร๊องก์จะใจแข็งหรือใจอ่อน อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไปบวชก็ได้มั้ง 555+ (ล้อเล่น)

ขอบคุณสำหรับทุกคนที่อ่านและทุกคอมเม้นต์เลยนะฮะ
แม้จะไม่ค่อยว่างเข้ามาอัปเดต แต่ทุกครั้งที่เข้ามาและได้อ่านความเห็น ก็จะปลื้มใจทุกครั้ง

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ไม่ชอบปาร์คเลยดูยังไงก็ไม่เห็นความจริงใจ กะหลิ่มกะเหลี่ยไปเรื่อย

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
 o16
เอาตามที่สบายใจเลยฟร๊องก์

เห๊อะ
#โลกสวยเกิ๊นนนนนน


แหวนสองวง ตรงกับใจ มีให้เลือก
ใจหนึ่งเกลือก อีกใจกลิ้ง ทิ้งหนึ่งแหวน
หยิบแหวนสวย รวยราคา ว่าเป็นแฟน
ส่วนอีกแหวน ไร้คุณค่า ไม่น่าดู

กาลเวลา เนิ่นนาน พาลหดหู่
เจ้าแหวนคู่ ย้ายนิ้ว หิ้วอดสู
หวนกลับหลัง คุ้ยหาแหวน คือแฟนกู
อยากเอามา ใส่เชิดชู ดูนิ้วงาม

เน๊าะ..ไอ่ปาร์ค

+1 ฮับ
อ่านแล้ว..นุ๊กกกกกกหนุก
อิอิ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อะราย เตี้ย ใจอ่อนซักที

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 49 [19/10/2017]
«ตอบ #226 เมื่อ19-10-2017 19:21:54 »

Chapitre 49

   และแล้วก็ถึงวันเปิดเทอมเสียที ผมจะไม่ต้องอยู่อย่างไร้ประโยชน์ หรือต้องมาคอยต้อนรับขับสู้ปาร์คที่วนเวียนมาที่บ้านอีก
วันนั้นที่ผมจำต้องออกไปกับปาร์ค ตอนเย็นผมก็ไปนั่งจุมปุ๊กอยู่บนโต๊ะอาหารที่บ้านของปาร์คอย่างปฏิเสธไม่ได้ พ่อกับแม่ของปาร์คที่เจอผมเคยเจอไม่กี่ครั้งทำให้ผมเกร็งอย่างบอกไม่ถูก แต่ทั้งคู่ก็ต้อนรับผมเป็นอย่างดี

   แม่ของปาร์คเป็นคนตลกมาก และดูท่าทางจะสนิทกับปาร์คมากๆ ด้วยเช่นกัน เพราะทั้งคู่พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง แถมท่านยังชวนผมคุยเรื่องตลกนั่นนี่จนผมคลายคสามกังวลที่มีก่อนหน้า ผมไม่รู้ว่าท่านทั้งสองรู้เรื่องของผมกับปาร์คหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าพวกท่านคงคิดว่าผมเป็นแค่เพื่อนปาร์คคนหนึ่ง โชคดีที่พี่ปอนด์ไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วย ไม่เช่นนั้นผมคงยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่

   ที่ทำให้ผมคิดว่าทั้งพ่อและแม่ของปาร์คเข้าใจว่าผมเป็นแค่เพื่อน เพราะตอนที่ท่านถามว่ามารู้จักกับปาร์คได้ยังไง ผมก็ได้แค่ตอบไปอย่างแผ่วเบาว่าเป็นเพื่อนตั้งแต่มัธยม ซึ่งก็ไม่ได้มีคำอธิบายเพิ่มเติมจากทั้งปาร์คและผมอีก พ่อแม่ของปาร์คเองก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมานอกจากความเป็นกันเองอย่างที่เป็นก่อนหน้า

   ปาร์คยังคงแวะเวียนมาที่บ้านของผมอย่างสม่ำเสมอจนสองวันก่อนที่จะเปิดเทอม ซึ่งมหาวิทยาลัยของเราทั้งคู่เปิดพร้อมกัน ปาร์คไม่ได้แวะมาที่บ้านผม คงเตรียมตัวสำหรับการเปิดเทอมล่ะมั้ง ผมลืมบอกไปอีกอย่างว่าเรื่องที่ปาร์ควนเวียนอยู่ที่บ้านของผมแทบทุกวันตลอดช่วงปิดเทอมนั้น เรื่องทั้งหมดตกถึงหูของชัญญ่าด้วยตัวผมเอง และชัญญ่าไม่คิดจะขัดขวาง แถมยังแอบเชียร์ให้ปาร์คกับผมได้คบกันอีกต่างหาก

   แต่ถึงอย่างนั้น ชัญญ่าก็เลือกที่จะเป็นเพียงผู้ฟังที่ดี ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายเรื่องระหว่างเราสองคน เก็ทเองก็พอรู้เรื่องอยู่บ้างเพราะผมบอก แต่เจ้าตัวก็บอกเพียงแค่ว่า ถึงเวลาที่ผมจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองแล้ว เก็ทเพียงแค่ดูอยู่ห่างๆ แต่ก็จะอยู่ข้างๆ เสมอไม่ว่าผมจะเลือกทางไหนก็ตาม

   เทอมนี้ผมเลือกลงเรียนเหมือนกับเก็ทเหมือนเทอมที่ผ่านมา แต่ก็เกือบจะไม่ได้ลงเซคเรียนเดียวกัน เพราะระบบการลงทะเบียนเรียนแสนน่าหงุดหงิดของมหาวิทยาลัย จนผมเกือบเลือกเซคเดียวกับเก็ทไม่ทัน ส่วนคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ลงเรียนเซคเดียวกันเหมือนกัน เว้นแต่วิชาเลือกบางวิชาและภาษาที่สาม ที่เรียนต่างกันนิดหน่อย

   ส่วนมากพวกผมเลือกที่จะเรียนอัดกันสี่วันเหมือนเดิม จะมีก็แต่ป๊อปอายกับนุ่นที่ต้องเรียนจีนในวันศุกร์ แต่เทอมนี้ผมคงกลับบ้านวันพฤหัสบดีเหมือนเทอมที่แล้วไม่สะดวกนัก เพราะวิชาสุดท้ายเลิกเรียนตั้งสองทุ่ม ผมจึงตั้งใจว่าจะเปลี่ยนเป็นกลับบ้านวันศุกร์แทน

   “ผัวเมียคู่นี้กลับมาดีกันเหมือนเดิมแล้วเหรอ” เปิดเทอมมาวันแรกก็มาพร้อมนุ่นในลุคใหม่ที่ดูสวยหวานขึ้น เสียอย่างเดียวที่ปากยังหมาเหมือนเดิม “เห็นก่อนหน้านี้ง้องแง้งใส่กัน กูเป็นห่วงหรอกเลยถาม”

   “ไม่น่าเชื่อเนอะว่าคนอย่างมึงห่วงคนอื่นเป็นด้วย” ผมเบ้ปากมองบนพลางอมยิ้มไปด้วยอย่างไม่จริงจังนัก

   “คนอย่างกูเนี่ยล่ะที่เป็นห่วงเพื่อนที่สุดเว้ย! มึงกับโดนัทก็เหมือนกัน กูก็ไม่รู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างมึงสองคน แต่ยังไงก็เพื่อนกันนะเว้ย” ผมกับโดนัทหันมองหน้ากันทันทีที่จบประโยคของนุ่น ก่อนจะยิ้มกึ่งหัวเราะให้กัน

   “นอกจากมึงจะปากหมาแล้ว มึงยังมีมโนที่ล้ำเลิศด้วยนะ กูกับโดนัทไมได้มีอะไรกันสักหน่อย ใช่ไหมมึง” ผมพยักหน้าไปทางโดนัท

   “เออ มึงแม่งมโนแจ่มจริงๆ” ผมคิดว่าอะไรที่ผ่านมาแล้ว ถ้าเรามัวแต่ยึดติดมันก็ทำให้เราเดินต่อไปไม่ได้ ดังนั้นสำหรับโดนัทตอนนี้ผมไม่มีอะไรกับเธอแล้ว

   แล้ว... สำหรับปาร์คหล่ะ ทำไมผมยังคงยึดติดกับมันอยู่...

   “เออกูอาจจะมโนแจ่ม แต่พวกมึงไม่มีอะไรกันก็ดีแล้ว” นุ่นดึงตัวผมกับโดนัทเข้าไปกอดด้วยแรงอันมหาศาลที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นแรงของผู้หญิง แต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผม โดนัท รวมทั้งเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มด้วย อย่างน้อยในตอนนี้เพื่อนที่ผมมี ก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ ทุกคนยังอยู่ข้างๆ ผมอยู่ แม้ว่าจะผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากมายก็ตาม

**********__________**********

   ชีวิตผมกลับมาราบเรียบอย่างที่เคยเป็น ผมหัวเราะอย่างเต็มเสียงกับเพื่อนๆ ได้เหมือนเคย แต่ที่น่าแปลกก็คือ เริ่มมีคนเข้าหาผมมากขึ้น โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร รวมทั้งพี่หมากก็เช่นกัน ที่เดี๋ยวนี้มักมาวนเวียนให้ผมเจออยู่บ่อยครั้ง

   “บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะครับ” พี่หมากเอ่ยทักทายผมที่ตึกคณะคล้ายกับความบังเอิญ แต่ผมว่าไม่ใช่หรอก เพราะผมเห็นพี่เขาเพิ่งลุกจากเก้าอี้ภายในตึกก่อนที่ผมจะเดินเข้ามานี่เอง

   “ช่วงนี้บังเอิญบ่อยจังเลยนะครับ ฮ่าๆ นี่คงไม่ได้บังเอิญมารอผมด้วยหรอกใช่ไหม” ผมแซวพลางหัวเราะ ทำให้พี่เขาเกาหัวอย่างเก้อเขิน แต่พี่หมากก็ยังคงดูดีและดูอบอุ่นอยู่เสมอครับ เหมือนกับตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง

   “รู้ทันตลอดเลยนะเรา”

   “แล้วนี่ไม่มีเรียนแล้วเหรอครับ” ผมหัวเราะเล็กน้อยกับท่าทางของพี่หมาก ก่อนจะหันไปบอกกับเก็ท “เออ...เก็ทขึ้นห้องไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวฟร๊องก์ตามไป”

   “มีครับ บ่ายโมงนี่แหละ”

   “เอ้า! นี่ก็จะบ่ายโมงแล้วนะ ไม่ขึ้นเรียนล่ะครับ” พี่กำลังจะทำให้ผมเข้าเรียนสายไปด้วยนะ ผมได้แต่พูดในใจ

   “ก็... รอขึ้นไปพร้อมฟร๊องก์นี่แหละ”

   “งั้นก็รีบไปเลยครับ เดี๋ยวได้สายกันทั้งคู่”

   ผมพอรู้ครับว่าพี่หมากคิดอะไรอยู่ รู้ตั้งนานแล้วด้วยว่าพี่เขาคิดยังไงกับผม แต่ที่ทำให้ผมไม่ได้ปิดกั้นก็เพราะการวางตัวของเขา ที่ไม่เกินเลยมากเกินไป พี่หมากรู้ว่าสามารถหยอกล้อผมได้ระดับไหน และค่อยข้างให้เกียรติและให้เวลากับผม ไม่ได้จู่โจมผมจนตั้งตัวไม่ทัน

   ระหว่างผมกับพี่หมากก็ดำเนินไปอย่างราบเรียบ แต่สม่ำเสมอ พี่หมากมีการโทรมาหาผมบ้าง แต่ส่วนมากจะไลน์มาพูดคุยกันมากกว่า เพราะเขากลัวว่าการโทรจะเป็นการรบกวนผมมากเกินไป ผมปล่อยให้มันค่อยๆ พัฒนาไปตามที่มันควรจะเป็น แต่ความสัมพันธ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ปาร์คไม่รู้ และผมเองก็ไม่คิดหรือไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องบอกด้วย ส่วนเก็ทเองก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไร เพียงแต่คอยดูผมอยู่ห่างๆ เท่านั้น

   บางทีผมก็ควรจะเป็นคนที่พาตัวเองเดินออกมาบ้าง   

   แต่แม้จะพยายามเดินจากมากอย่างไร อีกเรื่องที่ทำให้ผมประหลาดใจอีกอย่างก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของปาร์ค ที่จะคอยมารอรับผมกลับบ้านในทุกวันศุกร์ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าตัวถึงรู้ว่าผมไม่มีเรียนและต้องกลับบ้าน และที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์ไปมากกว่านั้นคือปาร์คเลือกจัดตารางเรียนเพื่อไม่ให้ตัวเองมีเรียนวันศุกร์เช่นเดียวกันกับผม รวมถึงในวันอาทิตย์ที่ปาร์คก็จะคอยไปส่งที่หอพักเช่นเดียวกัน

   ถึงแม้ว่าผมจะบ่นหลายต่อหลายครั้งว่าไม่จำเป็นต้องมารับก็ได้ ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากเจอปาร์คหรอก แต่มันสิ้นเปลืองต่างหาก คอนโดฯ บ้าน รวมทั้งมหาวิทยาลัยของปาร์คอยู่ใกล้บ้านผมมากกว่า ส่วนมหาวิทยาลัยผมมันต้องย้อนมา ก็เท่ากับว่าปาร์คต้องขับรถเพื่อมารับผม แล้วก็ย้อนกลับไปส่งที่บ้านอีก แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธเสียงแข็งด้วยรอยยิ้ม พร้อมบอกว่าเต็มใจจะทำให้
แต่วันนี้ต่างออกไป เพราะผมเลือกตอบกลับไลน์ของปาร์ค เพื่อบอกให้เขาไม่ต้องมารับในตอนเช้า เนื่องจากวันนี้ผมนัดกับเก็ทไว้เพื่อไปหาซื้อของขวัญวันเกิดให้กับชัญญ่า

   จริงๆ จะเรียกว่าไปหาซื้อของขวัญก็คงไม่ถูก เพราะผมเตรียมไว้ให้แล้ว เป็นสมุดจดบันทึกเก๋ๆ เล่มไม่เล็กไม่ใหญ่มาก ที่ความพิเศษอยู่บนหน้าปก ที่วาดเป็นภาพล้อเลียนของเธอ ซึ่งผมให้รุ่นพี่ที่แซนด์รู้จักวาดให้ วันนี้คงเสร็จแล้วเหมือนกัน

   ผมคิดว่าเย็นนี้จะเข้าไปเอา ส่วนที่จะไปกับเก็ทวันนี้คือไปช่วยเก็ทเลือกแหวนที่จะมอบเป็นของขวัญและเพื่อเป็นการง้อแบบกลายๆ ที่ตอนแรกที่เก็ทเสนอความคิดมา ผมแทบไม่เชื่อหูเลยด้วยซ้ำว่าเก็ทผู้เขร็งขรึมจะมีมุมหวานๆ แบบนี้ด้วย แต่ผมก็ว่ามันเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลยทีเดียว

   ไม่นานทั้งเก็ทและผมก็มายืนจังก้าอยู่ในร้านราชินีอัญมณีชื่อดัง พนักงานที่ยืนประจำที่อยู่ด้านหลังตู้โชว์ที่เต็มไปด้วยแหวน รวมทั้งสร้อยคอและสร้อยข้อมือ กล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ เก็ทยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยุดที่ตู้โชว์ตรงกลางร้านที่ด้านในส่วนมากจะเป็นเครื่องประดับจำพวกแหวน ในขณะที่ผมเองก็ยิ้มและมองไปรอบๆ ร้านอย่างประหม่า ทำตัวไม่ถูกครับ กลัวทำอะไรเซ่อซ่าแล้วก็กลัวข้าวของเขาจะเสียหายด้วย เพราะเครื่องประดับแต่ละชิ้นในร้านใช่ว่าราคาจะถูกๆ เสียเมื่อไร อีกอย่างผมคาดไม่ถึงด้วยว่าเก็ทจะเล่นของแพงแบบนี้ ตอนแรกคิดว่าจะดูเป็นพวกแหวนทองเฉยๆ แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ในร้านเพชรซะอย่างนั้น

   “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายกำลังมองหาอะไรเป็นพิเศษไหมคะ” พนักงานสาวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อผมและเก็ทมาหยุดที่ด้านหน้าตู้โชว์ ประกายแวบวับของเพชรที่ถูกเจียระไนจนมุมต่างๆ เล่นกับแสงไฟที่สาดส่องลงมายิ่งทำให้มันดูมีมูลค่ามากขึ้น

   “อยากดูเป็นแหวนครับ พอดีจะซื้อเป็นของขวัญให้... เอ่อ... แฟนครับ” เก็ทยกมือขึ้นเกาท้ายทอย ผมแอบเห็นใบหูของเขาแดงด้วย สงสัยจะเขิน

   “ลองดูเป็นแบบนี้ก็ได้นะคะ ไม่ใหญ่มากจนเกินไป กำลังน่ารัก หรือจะเป็น...” พนักงานทยอยหยิบแหวนจากด้านในตู้ออกมาให้เลือกประมาณสองถึงสามวง ขณะที่สายตาของทั้งเก็ทและผมก็ก้มๆ เงยๆ เพื่อกวาดตาดูไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอวงที่ถูกใจ

   “ผมขอดูวงนั้นหน่อยได้ไหมครับ” เก็ทว่าพลางชี้ไปยังแหวนวงที่ผมกำลังเล็งไว้พอดี

   แหวนวงนั้นตัวเรือนทำจากทองคำขาว มีเพชรชูหนามเตยตรงกลางขนาดเพชรไม่ใหม่มากจนดูเทอะทะ ล้อมด้วยเพชรขนาดเล็กลงมาเรียงเป็นเส้นตามตัวเรือน ด้านล่างของตัวเรือนเป็นทรงเรียบๆ สำหรับผมแหวนวงนี้ขนาดกำลังพอดีสำหรับวัยแบบพวกเรา ไม่ดูมีอายุเกินไปแม้จะใส่แหวนเพชร ถึงแม้ว่าราคาจะไม่ได้ดูน่ารักไปด้วยก็ตาม

   “ฟร๊องก์ว่าไง วงนี้โอเคไหม” เก็ทละสายตาจากการดูแหวนเพชรวงนั้นก่อนจะหันมาถามความเห็นจากผม สำหรับผมแล้วรูปทรงของแหวนวงนี้ถูกใจผมมากเลยแหละ เพียงแต่ราคา...

   “อืม... ทรงสวยนะ ฟร๊องก์ว่าเหมาะกับชัญญ่าดี ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แต่... ราคาแรงอยู่นะ” ผมว่าก่อนจะเขยิบเข้าไปกระซิบข้างหูเก็ทในตอนท้ายของประโยค

   “พอดีว่าผมไม่รู้ไซส์อ่ะครับ ถ้าจะเอามาเพิ่มหรือลดไซส์ทีหลังได้ไหม”

   “ไม่มีปัญหาค่ะ คุณผู้ชายสามารถนำแหวนกลับมาปรับไซส์ได้ฟรีในครั้งแรกเลยค่ะ แต่ถ้าครั้งต่อไปอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แล้วถ้าต้องการเพิ่มน้ำ เพิ่มกะรัตให้มากขึ้น ก็กลับมาที่ร้านได้เช่นกันนะคะ ทางร้านจะมีใบเซอร์ฯ ให้ทุกชิ้นค่ะ รับประกันได้เลยว่าเอาไปให้ที่ไหนส่องก็แท้ชัวร์ค่ะ แบรนด์เรามีชื่อเสียงอยู่แล้วค่ะ”

   “งั้นเอาเป็นวงนี้แล้วกันครับ” เก็ทตกลงซื้ออย่างง่ายดาย เหมือนที่หลายๆ คนว่าจริงๆ ว่าเวลาผู้ชายเลือกซื้อมักจะตัดสินใจไวเมื่อเจอของที่ถูกใจ แม้ว่าของนั้นจะมีราคาที่ทำให้ผมแทบลมจับก็ตาม

   “ทางร้านรับผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์ผ่านบัตรด้วยนะคะ” พนักงานจัดแจงให้ผ้าเช็ดทำความสะอาดแหวน ก่อนจะบรรจุลงในตลับอย่างสมราคา “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายจะให้ห่อเป็นของขวัญให้ด้วยไหมคะ”   

   “ได้ครับถ้าไม่รบกวน ส่วนนี่รูดเต็มเลยครับ” เก็ทตอบเสียงนิ่งพร้อมยิ้มรับเล็กน้อย ก่อนจะยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน

   “โคตรพ่อบุญทุ่มเลย” ผมแอบกัดเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มอย่างปลื้มใจ ถ้าผมเป็นชัญญ่าก็คงปลาบปลื้มไม่น้อย มันไม่ใช่เพียงเพราะมูลค่าของของ แต่มันเป็นคุณค่าทางจิตใจจากผู้ที่มอบให้มากกว่า ถึงแม้เป็นแหวนหลักสิบ หลักร้อย แต่มอบให้ด้วยใจมันก็มีค่าขึ้นมาได้เช่นกัน และมันอาจจะทำให้สถานะที่ลดลงกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้

   “แค่นี้เอง ที่ชัญญ่าทำให้เรามากกว่านี้เยอะ ว่าแต่ของขวัญที่ฟร๊องก์เคยบอกเสร็จยังอ่ะ จะได้พาไปเอา”

   “น่าจะเสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวกินข้าวกันก่อนค่อยไปเองก็ได้ หิวแล้ว”

**********__________**********

   หลังจากเก็ทได้แหวนเพชรวงสวยเป็นของขวัญสำหรับชัญญ่าเรียบร้อย เราสองคนก็หาอะไรลงท้องกันด้วยความหิว ก็นี่ล่อเข้าไปเกือบบ่ายสามโมงแล้ว ผมที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยก็ย่อมต้องหิวเป็นธรรมดา และตั้งใจว่าจะแวะไปเอาสมุดที่จ้างพี่เขาวาดรูปเอาไว้ซึ่งผมโทรไปถามและได้รับคำตอบว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าไปรับได้เลย

   แต่ผมต้องไปเอาคนเดียว เพราะชัญญ่าโทรมาหาเก็ท และบอกว่าจะมาหา ซึ่งผมก็บอกให้เก็ทอยู่รอ โดยที่ผมจะแยกออกไปเองเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าเราอยู่ด้วยกันเพื่อหาของขวัญมาเซอร์ไพรส์เธอ

   จากนั้นผมก็แยกตัวกับเก็ทเพื่อจะไปขึ้นแท็กซี่ไปยังบ้านพี่คนที่แซนด์แนะนำ

   “ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรไม่ชอบมาพากลรีบโทรมาเลยนะ” คำพูดที่เก็ทพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ผมจะแยกออกมาทำเอาผมฉงน แต่เก็ทอาจจะคิดมากไปมั้ง ผมแค่แวะไปเอาสมุดนั่นแล้วก็คงกลับบ้านเลย เพราะบ้านของพี่เขาอยู่ใกล้กับบ้านผมมากกว่าหอพัก
ติ๊ด! ติ๊ด!

   “หวัดดีครับพี่หมาก” ผมนั่งแท็กซี่ออกมาได้ไม่นาน สายเรียกเข้าจากพี่หมากก็ดังขึ้น

   [ดีครับน้องฟร๊องก์ ทำอะไรอยู่เนี่ย พี่ไลน์ไปตั้งแต่เช้าไม่เห็นตอบ พี่เป็นห่วงเลยโทรมา]

   “อ๋อ โทษทีครับพี่หมาก พอดีวันนี้ฟร๊องก์ออกมาทำธุระกับเก็ท เลยลืมตอบ”

   [โห้ ลืมกันได้ พี่เสียใจนะ]

   “ฮ่าๆ ฟร๊องก์ไม่ได้ตอบทุกคนแหละ นี่ยังไม่ได้จับโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ จนพี่โทรมานี่แหละ” ผมแอบขำกับน้ำเสียงหงอยๆ ที่พี่หมากทำเมื่อกี้ แม้จะรู้ว่าเขาแกล้งทำก็เถอะ

   [แล้วนี่เสร็จธุระหรือยังครับ ให้พี่ไปรับไหม]

   “ใกล้แล้วฮะ พอดีฟร๊องก์สั่งของขวัญไว้ให้เพื่อน เดี๋ยวไปเอาเสร็จก็กลับแล้ว ไม่ลำบากพี่หมากหรอกครับ”

   [โอเคครับ งั้นพี่ไม่รบกวนเราล่ะ ยังไงกลับถึงห้องแล้วไลน์บอกพี่หน่อยนะครับ] พี่หมากบอกเสียงนุ่มก่อนจะวางสายไป
หลังวางสายจากพี่หมากได้ไม่นาน รถแท็กซี่ก็มาจอดหน้าบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้ที่สภาพบ่งบอกถึงการสร้างมานาน แต่ก็ไม่ถึงกับเก่าจนน่ากลัว ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ที่ค่อนข้างลึกเข้ามาจากถนนสายหลัก และภายในซอยค่อนข้างเปลี่ยว ครั้งที่แล้วที่ผมมากับแซนด์แล้วก็เก็ท เพราะเก็ทขับรถเข้ามาเลยไม่รู้สึกว่ามันลึกมากขนาดนี้

   “โห้พี่ เจ๋งมากเลย!” ผมตาลุกวาวเมื่อเห็นหน้าปกของสมุดที่ตอนแรกเป็นเพียงพื้นสีดำเรียบๆ ธรรมดา แต่นี้ถูกเนรมิตด้วยลายเส้นสีขาวที่ดูเป็นเอกลักษณ์ เป็นรูปใบหน้าของชัญญ่ากำลังยิ้มแป้นอยู่บนนั้น จริงๆ ผมเคยเห็นงานของพี่เขาหลายครั้งในเฟซบุ๊ก ผลงานของพี่เขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แบบนี้มองปุ๊บก็รู้เลยว่าลายเส้นแบบนี้เป็นของคนๆ เดียวกัน แต่ก็เพิ่งเคยได้ติดต่อกับเขานี่แหละ

   “แค่น้องถูกใจก็ปลื้มแล้ว อย่าลืมเอาไปเคลือบด้วยนะ เดี๋ยวอยู่ไปเรื่อยๆ มันอาจจะซีดลง” พี่เติร์ก ชายหนุ่มตัวขาว ผมสั้นเกือบติดหนังหัว เจาะหูทั้งสองข้าง ข้างละหลายรู ที่อยู่ในเสื้อลายมัดย้อมกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ดูท่าทางแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะรังสรรค์ลายเส้นพลิ้วไหวแบบนี้ได้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

   “อ่ะนี่ ผมซื้อมาฝาก” ผมหยิบถุงขนมที่ซื้อติดมือมาจากห้างแล้วส่งให้พี่เติร์ก “แทนค่าจ้างนะ ฮ่าๆ” เพราะครั้งที่แล้วที่มาแซนด์แนะนำให้รู้จัก และก็พอสังเกตว่าพี่เขาก็เป็นคนไม่ค่อยซีเรียสและกวนประสาทใช่ย่อย ผมจึงกล้าที่จะแซว

   “งั้นเอาไปกลับไปเถอะ”

   “ล้อเล่น อ่ะนี่ครับ” ผมว่าพร้อมควักเงินตามจำนวนที่เหลือจากมัดจำ ซึ่งก็เอาเรื่องอยู่ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ งานศิลปะมันก็มีคุณค่าในตัวของมัน ค่าจ้างก็ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนของการเพียรฝึกฝน

   “ขอบใจมากเว้ย คราวหน้าใช้บริการอีกได้นะ เป็นงานกราฟิกก็ได้นะ” พี่เติร์กรับเงินด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะโปรโมทตัวเองเพิ่มเติม

   “งั้นผมกลับแล้วนะพี่ ถ้าครั้งหน้าอยากให้ช่วย คงต้องขอรบกวนด้วยนะครับ” ผมยกมือไหว้เพื่อบอกลา แล้วเดินออกจากตัวบ้านมา ตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว แต่แสงแดดยังไม่ลดกำลังการเผาไหม้ลงเลย ผมยืนรถวินมอเตอร์ไซด์อยู่ใต้ร่มไม้ข้างๆ บ้านอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีแม้แต่รถอื่นๆ วิ่งผ่านสักคัน นี่คนในซอยนี้เขาออกไปทำธุระข้างนอกกันยังไง   

   เมื่อเห็นว่ายืนรอต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ผมจึงเลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆ ถ้าโชคดีเจอแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์ผ่านมาก็ดีไป แต่ถ้าโชคไม่ดีก็เดินไปจนถึงปากซอยแล้วกัน อย่างที่บอกผมยืนรออยู่พักใหญ่ จนทำให้ตอนนี้แดดร่มลมตกลงมากแล้ว แถทยังได้ตึกและบ้านอีกฝั่งของถนนบังไว้ให้ด้วย ก็เลยไม่ได้รู้สึกร้อนมากเท่าไร ขืนรอต่อไปคงมืดก่อนแน่ๆ อย่างน้อยเดินไปตอนยังมีแสงสว่างก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าไร เอาวะ! ถือว่าออกกำลังกายไปในตัว

   เดินมาไกลพอสมควรก็ไม่เห็นวี่แววของรถแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์สักคัน อย่าว่าแต่สองอย่างนี้เลย รถอื่นๆ ยังไม่มีเลย ที่เห็นตอนนี้มีแค่รถเก๋งคันหนึ่งที่ขับอยู่ด้านหลัง ร้อนเหมือนกันนะจะว่าไป แต่ผมก็พยายามสลัดความเหนื่อยทิ้ง เดินใส่หูฟังฟังเพลงไปพลาง ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหม่นและแสงจากดวงอาทิตย์ก็ยิ่งน้อยลงทุกทีๆ ผมจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย

   เอี๊ยด!!


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ พอดีไม่ค่อยสบายนิดหน่อย

ปาร์คกลับไปคุ้ยหาแหวนที่ตัวเองทิ้งไปเองแล้ว ซึ่งจะเจอหรือเปล่าไม่รู้ 55+
แถมยังมีคู่แข่งเข้ามาอีก หุหุ
พี่หมากจะมาเป็นม้ามืดหรือเปล่านะ โผล่มาตอนต้นเรื่อง แล้วก็หายไป กลับมาคราวนี้จะเป็นยังไง

ขอบคุณทุกคนนะฮะ
บอกไว้ล่วงหน้าเลยนะฮะว่าจะกลับมาอัปเดตอีกทีหลังจากวันที่ 26 ต.ค. ไปแล้วนะฮะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:


ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ทางข้างหน้า ถึงว่างเปล่า มีเขากั้น
ก็จะยอม บุกฝ่าฟัน ดั้นด้นถึง
มีแม่น้ำ ไหลหลากเชี่ยว เลี้ยวกั้นกึง
แค่ใจถึง ก้าวดึงขา พาออกไป

ทิ้งเบื้องหลัง ฝังรันทด เลิกจดจ่อ
ไม่มีข้อ ให้กังขา หน้ายิ้มใส
อโหสิ แล้วกรวดน้ำ คว่ำขันไป
เลิกสนใจ ใครคนก่อน ไม่ย้อนคืน

ตั้งใจแต่งกลอนบทนี้ ให้เขาโดยเฉพาะเลยนะ
หึหึ คุณปาร์คผู้โลเล และ เรรวนในความรัก

ไม่ขอให้โชคดี
ฮ่าฮ่า

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 50 [30/10/2017]
«ตอบ #230 เมื่อ30-10-2017 18:38:44 »

Chapitre 50
         
   เอี๊ยด!!
            
   ผมที่กำลังเดินฟังเพลงไปด้วยอย่างเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งจนต้องก้าวถอยหลังหลายก้าวด้วยความตระหนกตกใจ เมื่อจู่ๆ รถเก๋งสีดำแต่งเครื่องไม่มีป้ายทะเบียนขับมาตัดหน้าผมเหมือนกับจงใจ ก่อนที่ผู้ชายร่างผอมสูง ท่าทางไม่น่าไว้ใจสามคนจะก้าวลงมาจากรถแล้วตรงมาที่ผม
            
   เมื่อเห็นท่าไม่ดี ผมอาศัยจังหวะนี้หันหลังและวิ่งหนีย้อนกลับไปทางเดินที่ผมเดินมา อย่างที่บอกว่าซอยนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่ค่อยมีรถรา หรือแม้แต่ผู้คนออกมาเดินกันนอกตัวบ้านเลย ดังนั้นความหวังเดียวที่ผมจะขอความช่วยเหลือได้ก็คือที่บ้านของพี่เติร์ก ที่ผมเองก็เดินห่างออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
            
   “อ่ะ!” วิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ผู้ชายหน้าตาน่ากลัวหนึ่งในสามคนนั้นก็รีบเร่งสปีดมาดักหน้าผมไว้ ก่อนที่อีกสองคนจะตามมาดักผมไว้ทั้งสามด้าน ส่วนด้านหลังเป็นกำแพงที่ถูกพ่นสีจากพวกป่วนเมือง ทำให้ตอนนี้ผมตกอยู่ในวงล้อมของคนแปลกหน้าทั้งสามนี้
            
   ผมมองหน้าทั้งสามอย่างหวาดหวั่น พร้อมทั้งพยายามรวบกระเป๋าเป้มาบังไว้ด้านหน้า ผมไม่มีอะไรให้ปล้นหรอกนะ “พะ... พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร”
            
   “หึหึ” ไม่มีใครสนใจคำถามของผม ผมได้รับเพียงเสียงหัวเราะเหี้ยมๆ จากพวกมัน
            
   “อยากได้เงินเหรอ เอาไปเลย อยากได้อะไรเอาไปเลย แล้วปล่อยฉันไป” ยอมรับเลยครับว่าตอนนี้ผมกลัวมาก ท่าทางของคนพวกนี้ดูเหมือนพวกติดยา ถ้าทำให้มันไม่พอใจผมอาจจะเป็นอันตรายได้ พวกมันอาจจะแค่ต้องการเงินไปซื้อยาแค่นั้นก็ได้
            
   “พวกกูไม่อยากได้ตังค์มึงหรอก พวกกูอยากได้มึงเป็นเมียมากกว่า!” ไอ้คนหน้าเหี้ยมที่วิ่งมาดักหน้าผมพูดขึ้นมาด้วยเสียงหื่นกาม ก่อนจะพยายามสาวเท้าเข้ามาหาผม “แต่ก่อนอื่นมึงเคลียร์กับคู่กรณีมึงก่อนแล้วกัน”
            
   ปึก!
            
   “ว่าไงอีตุ๊ด!” เกล! เธอก้าวลงมาจากรถเก๋งคันดังกล่าว แล้วตรงมาที่ผม ผู้หญิงคนนี้เป็นคนวางแผนทำเรื่องอุกอาจนี้งั้นเหรอ
            
   “กะ... แก! ต้องการอะไร!” ผมจ้องหน้าเกลที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นๆ ด้วยสายตาวาวโรจน์ “โอ้ย!”
            
   โดยไม่ทันได้ระวัง ผมถูกหนึ่งในพวกมันรวมแขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ทำให้กระเป๋าที่ผมรวมไว้ด้านหน้าในตอนแรกร่วงลงไปกองกับพื้น “คิดว่ากูจะปล่อยมึงไปง่ายๆ เหรอ! ไงล่ะ! ตอนนี้ไม่มีเพื่อนคอยปกป้องแล้ว กูอยากจะรู้ว่ามึงจะเอาตัวรอดได้ยังไง”
            
   “ปล่อยนะ! โอ้ย!!” แขนที่ถูกล็อคจากด้านหลัง ถูกดึงแน่นขึ้นจนผมรู้สึกร้าวไปทั้งกระดูก ก่อนที่เส้นผมจะถูกมือของเกลขยุ้มไว้แล้วออกแรงกระชากไปด้านหลังจนหนังหัวแทบหลุด ผมจำต้องเงยหน้าขึ้นตามแรงกระชากนั้น แต่ก็จ้องหน้าผู้หญิงใจโฉดคนนี้อย่างแช่งชักหักกระดูก
            
   “กูไม่มีความสุข มึงก็ต้องไม่มีความสุขเหมือนกัน เอ๊ะ! แต่ไม่สิ กูเอาความสุขมามอบให้คนร่านๆ แบบมึงต่างหาก ตุ๊ดอย่างมึงคงคันมากสินะ วันนี้จะได้มีผัวพร้อมกันสามคน คงดีใจจนตัวสั่นเลยสิ!”
            
   “กะ... แกอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ!” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการเหล่านั้น แต่กลับไม่เป็นผลเลย คนตัวผอมแห้งแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรี่ยวแรงเยอะขนาดนี้ “แกทำแบบนี้ไม่กลัวเข้าคุกหรือไง!”
            
   “มึงมองรอบข้างมึงก่อนว่าใครจะมาช่วยมึงได้ตอนนี้ แต่ถ้าแลกกับความสะใจที่จะเห็นมึงตกเป็นเมียของพวกนี้ กูก็ยอมเสี่ยงนะ อีกอย่างถึงกูต้องติดคุก แต่คลิปของมึงคงประจานหลาอยู่บนอินเตอร์เน็ตจนมึงไม่มีหน้าไปไหนมาไหน และที่สำคัญ กูก็อยากจะรู้ว่าปาร์คจะยังเอามึงอยู่หรือเปล่า ถ้ารู้ว่ามึงเป็นแค่ของเหลือเดนที่ไอ้พวกนี้มันเอาซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”
            
   “ช่วยด้ะ...!!”
            
   เพี๊ยะ!
            
    “ลองแหกปากดูอีกที คราวนี้เลือดมึงได้กลบปากแน่!” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตะโกนร้องเรียกให้ใครมาช่วย หน้าผมก็ต้องสะบัดด้วยแรงตบจากเกลก่อนที่เจ้าตัวจะบีบแก้มผมให้หันกลับไปมองนัยน์ตาที่กำลังจ้องผมอย่างเคียดแค้น
            
   “แกทำแบบนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นหรอก! ปาร์คกับดินก็ไม่กลับไปหาผู้หญิงเลวๆ อย่างแกอยู่แล้ว”
            
   “ได้ความสะใจไง สะใจที่เห็นชีวิตมึงพังพินาศไง!” เกลหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางกระตุกเส้นผมของผมแรงขึ้น ก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “อ๋อ! มึงคงยังไม่รู้ความจริงอีกอย่างสินะ ที่ว่ากูเข้ามาในชีวิตปาร์คได้ก็เพราะฝีมือของเพื่อนสนิทของมึงเอง! ชีวิตมึงนี่น่าสมเพชจริงๆ เลยนะ ว่าไหม ฮ่าๆ”
            
   “เก็ททำไปเพราะมีเหตุผล เธอมันก็แค่หมากตัวหนึ่งในเกมเท่านั้นแหละ” ผมที่รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วตอกกลับให้อีกฝ่ายเจ็บใจ
            
   “หึ! ถึงกูจะเป็นแค่หมากหรืออะไรก็เถอะ แต่มันก็ทำให้มึงเจ็บได้เหมือนกัน แถมยังได้ปาร์คที่มึงอยากได้นักอยากได้หนา อยากได้จนตัวสั่นเป็นของแถมอีกต่างหาก ถึงจะเป็นอะไรกูก็ไม่สนหรอก อีกอย่างวันนี้มึงก็ไม่รอดอยู่ดี”
            
   “แกมันไม่ใช่คน! เลวกว่าสัตว์ซะอีก!”
            
   เพี๊ยะ!
            
   “กูบอกว่าอย่ามาปากดีกับกู!”
            
   ถุย!!!
            
   “อี๊! ไอ้บ้า!!” ผมแสยะยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวทั้งที่ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาตัวรอดจากเกลและพวกขี้ยาที่น่ากลัวสามคนนี้อย่างไร ก่อนที่ถ่มน้ำลายผสมกับเลือดที่ออกเพราะถูกตบเมื่อกี้รดหน้าของเกลเต็มรัก “มึง!!”
ตุบ! อั๊ก! พลั่ก!
            
   “อึก...”
            
   ยังไม่ทันที่ผมจะได้สะใจที่ถ่มน้ำลายหยามหน้าเกลได้ เธอก็ประเคนทั้งกำปั้น ทั้งฝ่ามือกระหน่ำมาที่ทั้งหน้าและลำตัวของผมอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเจ็บและจุกจนร้องไม่ออก ก่อนที่จะถูกกระชากหัวให้เงยขึ้นอีกครั้งเพื่อมองใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างสะใจของเกลสำทับด้วยดวงตาแดงก่ำจากไฟพิโรธ ผมรู้สึกถึงการปริแตกของมุมปากและรสเฝื่อนปร่าจากเลือด แต่ถึงกระนั้นผมก็เลือกที่จะแสยะยิ้มให้เหมือนเดิม
            
   “อย่างแกคงมีปัญญาทำได้แค่นี้แหละ! พวกหมาหมู่!”
            
   “ปากดีเหมือนกันนี่หว่า กูอยากจะรู้ว่าอย่างอื่นจะดีด้วยไหม” ไอ้คนที่วิ่งมาดักหน้าผมในตอนแรกเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะเอามือสกปรกๆ นั่นมาลูบหน้าผม แม้จะพยายามดิ้นและเบือนหน้าหนีสัมผัสอันกักฬระนั่นแค่ไหน แต่แรงล็อคจากด้านหลังก็ยิ่งแน่นขึ้นจนตอนนี้แขนทั้งสองชาแทบไร้ความรู้สึก กอปรกับกลุ่มเส้นผมที่ถูกทึ้งรั้งไว้ทำให้ไม่สามารถขยับได้เลย
            
   “เอามือสกปรกๆ ของแกออกไปนะ ไอ้ทุเรศ!”        

   “ปากดีนักนะมึง!”

   ไอ้เลวนั่นซัดหมัดมาเต็มสีข้าง ก่อนจะปล่อยอีกหมัดเข้าที่กลางลำตัวจนตัวผมงอเป็นกุ้ง หยดน้ำตาเริ่มก่อตัวรั้งอยู่ที่ขอบตาด้วยความเจ็บปวดและความกลัว ใครก็ได้มาช่วยผมที

   พลั่ก!

   ก่อนที่ทั้งเกลและคนที่ล็อคผมอยู่ด้านหลังจากพร้อมใจกันปล่อยร่างของผมให้ร่วงลงไปกองกับพื้นไม่ต่างกับประเป๋าเป้ที่ร่วงไปก่อนหน้า

   “ชะ... ช่วย...”

   เพี๊ยะ!

   ผมพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายร้องเรียกให้คนมาช่วย และพาผมให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายที่ผมมองไม่เห็นทางออกตรงนี้ ผมยอมรับว่าผมกลัวมาก กลัวมากจริงๆ และไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าทำอะไรแบบนี้

   “กูว่ารีบไปพามันไปก่อนที่จะมีคนมาเห็นดีกว่า กูอยาก... แล้วด้วย” หนึ่งในสามคนนั้นพูดขึ้น แต่ผมไม่ได้ดูหรอกว่าคนไหน ก่อนที่อีกสองคนจะเข้ามาพยุงตัวผมขึ้น แล้วพยายามลากไปยังรถที่จอดห่างออกไประยะหนึ่ง

   “ปล่อย! ปล่อยกู!” ผมรวบรวมเรี่ยวแรงที่ยังเหลือสะบัดตัวเองให้หลุดจากการจับกุมนั้น ก่อนจะวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้ต้องตายผมก็ไม่มีวันยอมให้ไอ้พวกนรกส่งมาเกิดนี้ทำระยำกับผมได้หรอก

   “จับมันสิ!” เสียงเกลตะโกนไล่หลังผมมาประกอบกับเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้ผมมาทุกขณะ
            
   ผมรีบล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อกดหาใครสักคนที่พอจะช่วยผมได้ ขณะที่ขาก็ยังคงวิ่งอย่างไม่ลดละ ใครก็ได้ในตอนนี้ ใครก็ได้มาช่วยผมที ผมตั้งสติก่อนจะรีบกดหาเบอร์โทรออกล่าสุด ซึ่งเป็นเบอร์ของเก็ท
            
   “โอ้ย!” แต่ยังไม่ทันที่จะกดลงไปยังชื่อที่ปรากฏนั้น ตัวผมถลาลงไปกองอยู่กับพื้นคอนกรีต พร้อมกับโทรศัพท์ที่ร่วงลงมาอยู่ข้างตัว เมื่อถูกผลักอย่างแรงจากด้านหลัง ผมรู้สึกได้ถึงความแสบจากแผลถลอกที่หัวเข่าและแขนที่ผมเอามาค้ำตอนที่ล้ม
            
   “ฤทธิ์เยอะนักนะมึง!”
            
   “อึก!” หมัดหนักๆ ซัดเข้ามาที่หน้าท้องของผมอีกครั้ง เรียกน้ำตาที่รั้งอยู่ให้ล้นขอบตาออกมา พร้อมกับเรี่ยวแรงที่เหมือนถูกสูบออกไปจนหมด
            
   “รีบเอามันไปขึ้นรถก่อนดีกว่า!” เกลเดินเข้ามาสมทบก่อนที่คนที่ปล่อยหมัดใส่ผมจะกระชากแขนผมให้ลุกตามพวกมันไปอย่างไร้ความเมตตา
            
   ผมพยายามขืนตัวอย่างเต็มที่ แต่ด้วยร่างกายที่บอบช้ำและเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็ม จึงทำให้แรงของผมเป็นเพียงเศษเสี้ยวของแรงที่ไอ้หมอนี่ลากผม
            
   นี่ผมจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้พวกมันทำระยำกับผมงั้นเหรอ เพราะความแค้นทำให้คนๆ หนึ่งทำกับชีวิตของอีกคนได้โดยไร้ซึ่งสามัญสำนึก ไม่นึกถึงมนุษยธรรมเลยอย่างนั้นหรือ น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่อยากรับรู้สิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญต่อไป ไม่อยากแม้แต่จะต้องหายใจร่วมกับคนพวกนี้
            
   ได้โปรด... ส่งใครสักคนมาช่วยผมที พ่อแม่ช่วยลูกด้วย เก็ทช่วยด้วย 
            
   ปาร์ค... ช่วยฟร๊องก์ด้วย…
            
   ฟร๊องก์กลัว...
            
   “เร็วเข้าสิ!” เกลเร่ง พร้อมกับจังหวะการก้าวของพวกมันก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน ผมเห็นรถลางๆ อยู่ด้านหน้าไม่ไกล นั่นมันเหมือนขุมนรกที่ผมกำลังจะก้าวลงไป
            
   บางทีปาฏิหาริย์อาจไม่มีจริงสำหรับผม ปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย...
            
   แม้พระเจ้าก็คงไม่ได้ยินคำขอร้องอ้อนวอนจากผม...และคงไม่มีใครรับรู้ได้ถึง...
            
   ความกลัว... จับขั้วหัวใจ
            
   ผมหลับตายอมรับชะตากรรมอันแสนโหดร้ายของตัวเอง ใบหน้าและรอยยิ้มของทุกๆ คนลอยเข้ามาในห้วงความคิดของผม พาลเรียกน้ำตาให้ยิ่งล้นทะลักออกมา ก่อนภาพที่สวยงามนั้นจะพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้ารังเกียจจากความแปดเปื้อนและโสมมของผม
            
   “พวกมึงจะทำอะไร!”
            
   พลั่ก!
            
   เสียงที่คุ้นหูของใครบางคนดังขึ้น ก่อนที่ร่างของชายผอมแห้งที่อยู่ข้างผมจะกระเด็นไปไกลด้วยแรงกระโดดถีบของผู้มาเยือนเข้าที่กลางลำตัว ผมเหลือบไปมองใบหน้าของคนๆ นั้นทั้งที่ยังโดนอีกคนจับเอาไว้ก่อนจะยิ้มออกมา

   ปาร์ค... มาช่วยผมจริงๆ

   “ปะ... ปาร์ค! มาได้ไง!” เกลร้องออกมาด้วยสีหน้าที่ตระหนกตกใจ

   “ปล่อยฟร๊องก์ซะ!” ปาร์คพูดเสียงเหี้ยมพร้อมยืนเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว แม้เขาจะมาเพียงคนเดียวก็ตาม

   “ถอยออกไปนะ! ไม่งั้นอย่าหาว่าเกลไม่เตือน” ไอ้ชั่วที่ลากผมมาผลักผมให้เกล ก่อนที่จะเธอจะล็อคตัวผมจากด้านหลังไว้พร้อมด้วยมือที่ยกมีดพกคมกริบมาจ่อคอผม “จัดการมันสิ ยืนบื้อกันอยู่ทำไม!”

   ผมพยายามฮึดแรงอีกสักเฮือกเพื่อดิ้นจากการจับกุมของเกล แม้จะเสี่ยงบาดเจ็บจากใบมีดนั่นก็ตาม แต่ปาร์คกำลังจะโดนไอ้สามคนนั้นรุมทำร้าย แม้หุ่นของปาร์คจะเป็นต่อทั้งสาม แต่ยังไงน้ำน้อยก็ย่อมสู้เพลิงที่โหมกระหน่ำได้ยาก

   “อยู่นิ่งๆ สิ! อยากตายหรือไง!” เกลกระชับใบมีดเข้ามาใกล้คอของผมมากขึ้น

   “ฟร๊องก์อย่าขยับ ไม่ต้องเป็นห่วงปาร์ค!”

   พลั่ก!

   สิ้นเสียงของปาร์ค ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็หันด้วยแรงปะทะจากกำปั้นอย่างรุนแรง ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมาสวนหมัดหนักไม่แพ้กันเข้าที่ใบหน้าของคนที่ต่อย พร้อมประเคนพื้นรองเท้าเข้าที่กลางลำตัวของอีกคน ปาร์คมีเลือดที่ออกจากแผลแตกที่มุมปากยิ่งทำให้ผมเป็นห่วง

   ตุบ! พลั่ก! ผลั๊วะ! อั๊ก!

   ทั้งสามคนเข้าตะลุมบอนปาร์ค ขณะที่ปาร์คเองก็คอยหลบหลีกและออกอาวุธอย่างมีชั้นเชิง เสียงกำปั้นกระทบกับเนื้อดังระงมไปทั่ว จนผมมองไม่ออกจริงๆ ว่าผลจะเป็นอย่างไร รู้ตัวอีกทีพวกขี้ยาทั้งสามก็กองกับพื้นในสภาพยับเยิน แต่ปาร์คเองก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ล้มกองบนพื้น แต่รอยฟกช้ำกอปรกับรอยแผลแตกทำให้สภาพของปาร์คตรงหน้าดูแย่ไม่ต่างกัน

   “ยะ... หยุดนะ! ไม่งั้นกูเฉือดอีตุ๊ดนี่จริงๆ ด้วย!” เกลลากผมขยับถอยหลัง แต่ก็ไม่ลดมีดออกจากคอผมเลย

   “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะเกล!” ปาร์คพูดอย่างเดือดดาล พร้อมพยายามก้าวตามมาอย่างระแวดระวัง

   “ถอยไปนะ!” ผมรู้สึกได้ถึงใบมีดที่เข้าใกล้คอของผมมากขึ้น ความเย็นจากคมมีดสัมผัสผิวจนทำให้ผมขนลุก

   “ใจเย็นนะเกล ปล่อยฟร๊องก์ก่อน เราคุยกันได้นะเกล อย่าให้มันต้องรุนแรงไปกว่านี้เลย” ปาร์คเสียงอ่อนลง พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างมาด้านหน้าอย่างจำยอม เพื่อพยายามกล่อมให้เกลเย็นลง

   “ยังมีอะไรต้องคุยกันอีกเหรอ”

   “ยังไงเราก็กลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อยู่ดีเกล ต่อให้เกลทำอะไรไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”

   “หุบปากไปเลย! กูไม่หวังจะไปคืนดีกับมึงหรือเพื่อนมึงหรอก แต่กูจะทำให้ชีวิตอีตุ๊ดนี่มันพัง ความรักของพวกมึงก็เหมือนกัน!”

   พลั่ก!

   ผมอาศัยจังหวะที่เกลเผลอและเสียสมาธิจากความโมโหจับข้อมือข้างที่เธอถือมีดไว้แล้วยกขึ้นบีดอย่างแรง ก่อนจะผลักตัวเองให้ออกจากการจับกุมนั้น เช่นเดียวกับปาร์คที่รีบพุ่งเข้ามาหาผมทันที

   “มึง! ปล่อยนะ!”

   ฉึก!

   เกลกรีดร้องพร้อมกับสะบัดแขนที่ผมจับไว้อย่างบ้าคลั่ง ในจังหวะเดียวกับที่ปาร์ครวบตัวผมเข้าไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับมือของเกลที่สะบัดหลุดจากผมแล้วเหวี่ยงคมมีดมาทางผมพอดี ก่อนที่ผมจะตั้งสติเพื่อสำรวจความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกมีดบาดที่ผมได้รับเมื่อกี้ แต่แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของบาดแผลนั้นเลย แต่กลับเป็นปาร์คที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลลึกบริเวณต้นแขน

   “ปาร์ค!”

   เคร้ง!     

   “นี่ตำรวจ วางอาวุธลง!” เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายมาพร้อมอาวุธครบมือวิ่งกรูกันลงมาจากรถตำรวจ ก่อนจะรวบตัวพวกขี้ยาทั้งสาม รวมทั้งเกลที่กำลังยืนอึ้งจนมีดที่ถือร่วงลงพื้นในเวลาอันรวดเร็ว

   “ฟร๊องก์! ปาร์ค! เป็นยังไงบ้าง!” ชัญญ่ารีบวิ่งลงมาจากรถที่ตามมาหลังรถตำรวจด้วยใบหน้าตื่นตระหนก พร้อมด้วยเก็ทที่จะรีบเข้ามาหาผมเช่นกัน

   “ฟร๊องก์ไม่เป็นไร แต่ปาร์ค...”

   “ปาร์คไม่เป็นอะไร แค่เห็นฟร๊องก์ปลอดภัยปาร์คก็ดีใจแล้ว”

   “แก!”

   เพี๊ยะ!

   “ตอนแรกฉันว่าจะปล่อยแกกับครอบครัวแกไปแล้วนะ แต่คนชั่วๆ อย่างแกคงไม่เหมาะกับคนว่าเมตตาหรอก เตรียมเข้าคุกทั้งโคตรได้เลย!” ชัญญ่าปรี่เข้าไปหาเกลที่ถูกตำรวจรวบตัวไว้ ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรงจนเกลหน้าสะบัด พร้อมกับตะโกนด่าอย่างเดือดดาล

   “คุณพอแล้วครับ ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจและกฎหมายดีกว่า”

   “จับมันไปเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยให้ปากคำด้วย และฉันจะเอามันให้ถึงที่สุด!”

   “รีบพาปาร์คไปโรงพยาบาลเถอะ เดี๋ยวจะเสียเลือดไปมากกว่านี้ ฟร๊องก์เองก็ต้องทำแผลเหมือนกัน” เก็ทว่าก่อนจะประคองปาร์คที่เลือดไหลออกมาจากแผลบริเวณต้นแขนมากขึ้นๆ ทุกที จนเสื้อชุ่มไปด้วยเลือด ก่อนที่ชัญญ่าจะรีบกลับมาประคองผมไปยังรถ

   “ยังไงทางตำรวจต้องขอให้พวกคุณไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยนะครับ”

   “ได้ครับ” ผมตอบกลับด้วยเสียงแหบแห้ง ก่อนที่เก็ทจะออกรถมุ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ส่วนชัญญ่าขับรถของปาร์คตามมาทีหลัง

   ผมนั่งใจสั่นกับบาดแผลของปาร์คมาตลอดทางที่มาโรงพยาบาล เพราะเลือดไม่มีท่าทีว่าจะหลุดไหลเลย มันยิ่งไหลเพิ่มออกมาเรื่อยๆ ไหนจะแผลและรอยช้ำที่เกิดจากการต่อสู้ที่ดูแย่ลงทุกทีนั่นอีก บางจุดเริ่มเป็นรอยม่วงช้ำจนน่ากลัว แต่ปาร์คก็ยังคงไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ออกมา เพียงแค่ยิ้มจางๆ ให้ผมพร้อมมืออีกข้างที่เอื้อมมากุมมือของผมไว้แน่น

    แม้ผมจะเป็นห่วงปาร์คมากแค่ไหน แต่ความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดก่อนหน้าก็เริ่มออกฤทธิ์กับร่างกายของผมมากขึ้นเช่นกัน ก่อนที่เปลือกตาของผมจะค่อยๆ ปิดหลังอย่างอ่อนล้า...


มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 50 [30/10/2017]
«ตอบ #231 เมื่อ30-10-2017 18:42:19 »

vvv
vv
v


   ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน ก่อนจะค่อยๆ กระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับรูม่านตา ตอนนี้ผมนอนอยู่ในห้องสีขาวสะอาด และอบอวลไปด้วยกลิ่นขาวแอลกอฮอล์และยาฆ่าเชื้อ ที่โซฟาสีครีมด้านข้างมีเก็ทและชัญญ่านั่งอยู่

   “นะ... น้ำ ฟร๊องก์ขอน้ำหน่อย” ผมเอ่ยออกไปอย่างยากลำบากด้วยเสียงที่แห้งอยู่ในลำคอ

   “นี่ๆ ค่อยๆ ดื่มไม่ต้องรีบ” ชัญญ่ารีบรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ผมทันทีด้วยสีหน้าดีใจ

   “ขอบใจนะ” ผมยิ้มตอบจางๆ ก่อนหันมองรอบห้องเพื่อหาใครคนหนึ่ง “ปาร์คล่ะ ปาร์คเป็นยังไงบ้าง!”

   “ปาร์ค...”

   “ปาร์คเป็นอะไร! ปาร์คอยู่ที่ไหน!” เมื่อเห็นชัญญ่าเว้นจังหวะการพูด ผมยิ่งใจคอไม่ค่อยดี เกิดอะไรกับปาร์คหรือเปล่า ปาร์คจะเป็นอันตรายหรือเปล่า

   “ฟร๊องก์ใจเย็น ปาร์คเย็บแผลอยู่ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ปาร์คไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” ชัญญ่ากดตัวเบาๆ ผมให้ลงไปนอนเหมือนเดิม “ตอนนี้ฟร๊องก์พักผ่อนก่อน ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ถึงมือหมอแล้ว”

   แกร๊ก!

   ไม่นานประตูห้องพักก็เปิดออกพร้อมปรากฏร่างของคนที่ผมเป็นห่วงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม แขนข้างที่ถูกมีดฟันได้รับการรักษาเป็นอย่างดีเพราะมีผ้าพันแผลพันไว้อย่างหนาแน่น พร้อมด้วยที่พยุงแขนเพื่อไม่ให้แขนข้างนั้นต้องทำงานมากเกินไป โชคดีที่ถูกฟันข้างซ้าย ทำให้การใช้ชีวิตของปาร์คคงไม่ลำบากมากนัก ที่ใบหน้าปาร์คมีพลาสเตอร์และผ้าก๊อตปิดอยู่ประปราย ที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างคือรอยช้ำที่มุมปากซึ่งตอนนี้ยิ่งสีเข้มขึ้นจนน่ากลัว

   “ปะ... ปาร์ค เจ็บมากไหม” ผมพยายามลุกจากเตียงอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วตรงไปยังปาร์คที่ยืนหน้าเปื้อนยิ้มอยู่

   “ปาร์คไม่เป็นไร ฟร๊องก์ร้องไห้ทำไม เจ็บเหรอ หื้อ” ปาร์คค่อยๆ จรดปลายนิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา

   “...” ผมส่ายหน้าพลางร้องไห้อย่างไม่อาย ผมเป็นห่วงคนตรงหน้าจนลืมความเจ็บของแผลถลอกเป็นทางยาวที่แขนและหัวเข่าไปเลย

   “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีใครทำอะไรฟร๊องก์ได้แล้ว” ใบหน้าปาร์คยังคงแต้มด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับมือใหญ่ๆ ของเจ้าตัวที่ยกมาลูบหัวผมอย่างอบอุ่น “ปาร์คขอโทษนะที่ไปช่วยฟร๊องก์ช้า ทำให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บ”

     “ฟร๊องก์สิต้องขอบคุณปาร์ค ขอบคุณมากจริงๆ ฟร๊องก์กลัว กลัวมากเลยรู้ไหม ฟร๊องก์คิดว่าฟร๊องก์จะต้องโดนพวกชั่วนั่น... ” ยิ่งพูด ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นน้ำตายิ่งไหลออกมามากขึ้นๆ ก่อนที่จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับผม ก่อนที่ปาร์คจะมา ผมกลัวมากจริงๆ กลัวว่าจะต้องเป็นที่ระบายความใคร่ของพวกนั้น และเป็นที่รองรับความแค้นของผู้หญิงคนนั้นด้วย

   “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว แค่เห็นฟร๊องก์ปลอดภัย ปาร์คก็สบายใจแล้ว” ปาร์คใช้แขนเพียงข้างเดียวรวบตัวผมเข้าไปแนบกาย

   “แล้วปาร์ครู้ได้ไงว่าฟร๊องก์อยู่ที่นั่น”

   “ชัญญ่าโทรบอก”

   “ชัญญ่างั้นเหรอ” ผมผละตัวออกจากปาร์คเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองทางชัญญ่า

   “หลังจากที่ฟร๊องก์แยกตัวไป เก็ทเห็นเกลแอบตามฟร๊องก์ไปด้วยท่าทางไม่น่าไว้ใจ” เก็ทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

   “ไม่นานญ่าก็ไปถึง เก็ทเลยบอกเรื่องนี้กับญ่า แล้วให้ญ่าโทรไปหาปาร์ค เพราะบ้านที่ฟร๊องก์ไป ปาร์คน่าจะไปถึงก่อนญ่ากับเก็ท ก่อนที่พวกเราจะรีบไปแจ้งตำรวจ”

   “นั่นแหละ ปาร์คก็เลยรีบไป แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี”

   “ไม่อยากจะเชื่อว่าอีนังนั่นมันจะกล้าทำขนาดนี้ นี่ถ้าเก็ทไม่บังเอิญเห็นซะก่อน หรือไม่มีคนไปช่วยฟร๊องก์ไว้ เราไม่อยากจะคิดเลยว่าจะลงเอยยังไง” ชัญญ่าพูดอย่างมีน้ำโห ผมเองก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเกลจะกล้าทำขนาดนี้ “ครั้งที่แล้วคิดว่าจะปล่อยเลยตามเลยไปแล้วนะ แต่คราวนี้ขอเถอะ จะเล่นยกครัวเลย!”

   “เธอก็ใจเย็นๆ หน่อย” เก็ทพยายามปราม

   “เธอยังจะเย็นได้อีกเหรอ มันทำกับเพื่อนเราขนาดนี้เลยนะเว้ย! ต้องให้ฟร๊องก์เจ็บหนักหรือเป็นอะไรมากกว่านี้ก่อนหรือไง คนพรรค์นี้ปล่อยไปก็ได้ใจ ต้องทำให้มันรู้ว่าอะไรคือของจริง อีกอย่างนะเรื่องที่ครอบครัวมันทำ ปล่อยไว้ก็รังแต่จะทำให้คนอื่นๆ เดือดร้อนเพราะยานรกนั่น!”

   ที่ชัญญ่าพูดก็ถูก ผมว่าการกระทำของเกลครั้งนี้มันมากเกินไปจริงๆ เพราะถ้าไม่ได้ปาร์คมาช่วย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะเป็นอย่างไร ไม่แค่นั้น ผมคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะใช้ชีวิตต่อได้อย่างไร ผมว่ามันสมควรแล้วที่เธอจะต้องถูกลงโทษจากผลของการกระทำของเธอ ส่วนครอบครัวของเกลก็เหมือนกัน เราไม่ควรเพิกเฉยกับสิ่งผิดกฎหมายและทำลายคนแบบนี้ ผลของมันเห็นได้ชัดๆ เลยคือไอ้สามคนนั้นที่ร่วมลงมือกับเกล ผมว่านี่คือกรรมของคนเหล่านี้แล้วล่ะ

   “ฟร๊องก์เจ็บแผลหรือเปล่า” ผมส่ายหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ ก่อนที่มือใหญ่ของปาร์คจะยื่นออกมาลูบศีรษะของผมอีกครั้ง “พักผ่อนซะนะ”

   แกร๊ก!

   “ฟะ... ฟร๊องก์...” เสียงประตูเปิดออก ก่อนที่ร่างของพี่หมากที่ท่าทางเหนื่อยหอบและตื่นตูมจะปรากฏขึ้น “เอ่อ... ฟร๊องก์เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

   “พี่หมาก... มาได้ไงครับ” ผมผละออกจากปาร์คเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยถามผู้มีเยือน แต่กลับก้มหน้าเหมือนคนที่เพิ่งทำอะไรผิด ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ดีที่พี่หมากเข้ามาเห็นผมอยู่กับปาร์คแบบนี้

   “พอดีพี่จะโทรมาถามว่าฟร๊องก์กลับบ้านหรือยัง แต่เพื่อนฟร๊องก์รับสายแล้วบอกว่าฟร๊องก์เกิดอุบัติเหตุอยู่โรงพยาบาลนี้ พี่เลยรีบมา” พี่หมากอธิบาย พลางมองไปรอบห้องอย่างประหม่า คงทำตัวไม่ถูกที่มีเพื่อนผมอยู่ด้วย

   “เห็นเขาโทรมาหลายรอบ เลยรับสายให้” เก็ทอธิบายเพิ่มเติมด้วยเสียงเรียบ

   “เจ็บมากหรือเปล่าครับ พี่ตกใจมากเลยรู้ไหม” พี่หมากค่อยๆ เดินเข้ามาหาผม ทั้งที่ปาร์คยังคงยืนอยู่ข้างๆ

   “ฟร๊องก์ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ เพื่อน... ช่วยไว้ได้ทัน ขอบคุณพี่หมากมากนะครับที่เป็นห่วง”

   “นี่... นี่ใครอ่ะฟร๊องก์” ปาร์คก้าวออกมาขวางระหว่างผมกับพี่หมาก ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเข้มพร้อมมองพี่หมากอย่างไม่ละสายตา พี่หมากเองก็มองปาร์คสลับกับผมที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งคู่เคยเจอกันมาแล้ว แต่ดูท่าทางจะจำกันไม่ได้

   “คือ...” ผมถึงกับใบ้กิน พูดอะไรไม่ออก ผมแคร์ความรู้สึกของพี่หมากนะ ผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเปิดใจรับเขา แต่... ความรู้สึกที่ผมมีต่อปาร์คมันก็ยังคงอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

   “.../...” ทั้งปาร์คและพี่หมากต่างเงียบ แต่บรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้นไม่ได้จางหายไปเลย ยิ่งสายตาที่แอบสั่นไหวของพี่หมากที่มองมายังผมยิ่งทำให้ผมลำบากใจมากยิ่งขึ้น ความเงียบของทั้งคู่นั้นเหมือนคำถามที่กำลังรอคำตอบ

   “ผมว่าพี่กลับไปก่อนเถอะ นายเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ฟร๊องก์เองก็ควรได้พัก เจอเรื่องแย่ๆ มาทั้งวันแล้ว” เมื่อเห็นผมอึกอักและสีหน้าคงแย่มากขึ้น เก็ทก็ตัดบทโดยการออกปากไล่ทั้งคู่ตรงๆ อย่างสุภาพ ช่วยคลายความตึงเครียดของบรรยากาศลงได้นิดหน่อย

   “ถ้างั้นพี่กลับก่อนแล้วกันนะ พักผ่อนเยอะๆ หายไวๆ นะครับ” ทั้งคู่ยืนมองกันอยู่ราวนาทีก่อนที่จะเป็นพี่หมากที่ละสายตาคู่นั้นมามองที่ผมเพื่อบอกลา ก่อนที่พี่เขาจะเดินออกจากห้องไป

   “เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” คล้อยหลังพี่หมากไม่นาน ปาร์คที่ยังอยู่กับหันกลับมามองผมด้วยสายตาผิดหวัง พร้อมประโยคราบเรียบแต่แฝงด้วยความกดดัน

   “ไว้คุยกันตอนหลังเถอะ เราว่าปาร์คเองก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนดีกว่านะ” ชัญญ่าเข้ามาช่วยห้ามทัพ ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนของปาร์คออกไปจากห้อง ขณะที่ปาร์คก็เอาแต่มองผมด้วยสายตาแบบนั้นจนกระทั่งประตูปิดลง   

   หลังจากนั้นปาร์คและพี่หมากออกจากห้องไป แต่กว่าที่ผมจะสงบสติลงได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เก็ทได้แต่เพียงมองโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่ผมจะเพลียและหลับไปอีกครั้ง

**********__________**********
            
   ผมกับปาร์คจะออกจากโรงพยาบาลพร้อมด้วยเก็ทและชัญญ่าที่อยู่เฝ้าเราตลอดในตอนเช้าของอีกวัน ทั้งผมและปาร์คยังไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับที่บ้าน เพราะไม่อยากให้พวกท่านเป็นห่วง แต่ก็ไม่คิดจะปกปิดเพราะเรื่องมันค่อนข้างใหญ่ ไว้หาเวลาอธิบายทีหลังแล้วกัน

   เราทุกคนไปยังโรงพักเพื่อให้ปากคำในตอนสายๆ ผมในฐานะของผู้เสียหายก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ใช่เพราะความแค้น แต่เป็นเพราะมันคือสิ่งที่สมควรทำมากกว่า คนที่ทำผิดก็ควรได้รับผลกรรม ส่วนคนอื่นๆ ก็ต่างเข้าให้ปากคำไปตามลำดับ รวมทั้งชัญญ่าที่ให้เบาะแสรวมทั้งหลักฐานที่เธอได้มาตั้งแต่ครั้งก่อนเรื่องครอบครัวของเกลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

   สรุปเกลก็ดำเนินคดีไปตามลำดับ ซึ่งมีผลต่อเรื่องเรียนของเธอไปโดยปริยาย รวมทั้งสามคนที่มีส่วนร่วมด้วย และในช่วงบ่ายวันเดียวกันนั้นตำรวจก็สนนกำลังบุกจับพ่อและพี่ชายของเกลในคดีมียาเสพติดหลายประเภทไว้ในครอบครอง รวมทั้งยังมีอาวุธสงครามประเภทปืนที่ไม่ถูกจดทะเบียนอย่างถูกกฏหมายไว้ในครอบครองด้วย จึงทำให้โดนไปอีกกระทง

   “จบเรื่องสักทีเนอะ หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วนะ ต่อไปฟร๊องก์ก็ต้องระวังให้มากๆ นะ” ชัญญ่าเอ่ยอย่างโล่งอกในขณะที่พวกเราทั้งสี่คนกินมื้อแรกของวันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง กว่าจะให้ปากคำกันเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวันเหมือนกัน “ต่อไปจะไปไหนมาไหนก็ให้ปาร์คคอยไปรับไปส่งซะ ใช่ไหมปาร์ค”

   “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก” ผมว่าพลางตักอาหารเข้าปากด้วยความประหม่า จริงๆ ผมกับปาร์คต่างเงียบใส่กันตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวาน แม้สายตาปาร์คที่มองมาทุกครั้งเหมือนยังต้องการคำอธิบายอยู่ก็ตาม

   “ไม่ลำบากเลยสักนิด” กลับเป็นปาร์คที่ยิ้มกว้าง ผมแอบเห็นชัญญ่าขยิบตาให้ปาร์คด้วยหลังจากที่พูดจบ สองคนนี้ต้องมีแผนการอะไรกันอีกแน่เลย

   “ฟร๊องก์ดูแลตัวเองได้”

   “แต่ถ้ามีอีกคนช่วยดูแลก็ยิ่งดีขึ้น” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น

   “ฮี้ววว” ชัญญ่ารีบเสริมทัพทันที
            
   “จริงๆ ก็มีอีกคนคอยเป็นห่วงอยู่ไม่ต่างกัน” เก็ทพูดเสียงเรียบตามสไตล์ขัดจังหวะของปาร์คและชัญญ่าอย่างไร้เยื้อไย และไม่ต้องขยายความเพิ่มก็เข้าใจดีกว่าเจ้าตัวกำลังหมายถึงใคร
            
   “จะพูดขึ้นมาให้เสียบรรยากาศทำไม!” ชัญญ่ากัดฟันกรอด พร้อมหันมาทุบเข้าที่หลังของเก็ทด้วยความหมั่นไส้ แม้จะไม่แรงนักก็ตาม
            
   “ก็แค่อยากเตือนสติใครบางคนว่าถึงเวลาต้องแข่งขันแล้ว เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่ของตายอีกต่อไป”
            
   “...”
            
   “ไม่ว่าจะต้องแข่งกับใคร ยังไง ปาร์คก็จะทำให้ฟร๊องก์เห็น” ปาร์คยื่นมือออกมากุมมือของผมพลางกระชับฝ่ามือนั้นแน่นขึ้น เหมือนกำลังยืนยันหนักแน่นในคำพูดเมื่อครู่ เฉกเช่นเดียวกับแววตาจริงจังและมั่นคงที่จ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาของผม “คบกับปาร์คนะ”
            
   “...” ผมได้แต่นั่งอึ้งกับคำร้องขอของปาร์คที่ชิ่งบอกอย่างขี้โกง เหมือนใครเอาค้อนขนาดใหญ่มาทุบหัวผมจนมันมึนไปหมด
            
   “นะครับ”
            
   “มะ... ไม่รู้เว้ย!”
            
   “ยังไม่ทันได้แข่ง ก็หาทางลัดเข้าเส้นชัยซะแล้ว” ชัญญ่าแอบกัดเบาๆ พลางหัวเราะคิกคักกับ...

   ทางลัดเพื่อชนะหัวใจของผมที่ปาร์คเลือกใช้...


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ หมดช่วงไว้ทุกข์เป็นที่เรียบร้อย เราก็กลับมาทำหน้าที่อัปเดตนิยายของเราต่อ

ถึงตอนนี้ มารผจญอย่างเกลยังจะย้อนกลับมาทำร้ายฟร๊องก์ผู้น่าสงสารของเราอีก โอ้ยยย!!!
แต่โชคดีที่มีเจ้าชาย (หรือเปล่า?) ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ได้ทัน แต่ก็เจ็บทั้งคู่อยู่ดี
แถมตอนหลังยังเจอคู่แข่งของหัวใจอีกต่างหาก 555+

ขอบคุณคุณ broke-back สำหรับบทกลอนนะฮะ กรวดน้ำคว่ำขันกันไป 5555+

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
 :o10:





 o16



หมดคำพูด
หุหุ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 51 [5/11/2017]
«ตอบ #234 เมื่อ05-11-2017 18:48:07 »

Chapitre 51

   หลังจากจบคดีความดังกล่าว ผมตั้งใจว่าจะไปทำใจที่หอก่อนจะเล่าเรื่องนี้ให้ครอบครัวฟัง แต่ปาร์คกลับบอกว่าอย่าทำให้คนที่รักและเป็นห่วงเราที่สุดรู้เรื่องของเราเป็นคนสุดท้าย

   ปาร์คจึงวานให้ชัญญ่าช่วยขับรถไปจอดที่คอนโดฯ ของตนให้ ก่อนที่ผมกับปาร์คจะนั่งแท็กซี่ออกมา แล้วตอนนี้ผมรวมทั้งปาร์คที่ยืนยันว่าจะอยู่ด้วยก็มานั่งอยู่ที่โซฟาภายในบ้านของผม ท่ามกลางสายตาที่ทั้งเป็นห่วงและสงสัยเพราะรอยบาดแผลที่เกิดขึ้นกับเราสองคน

   “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นฟร๊องก์ ทำไมถึงมีแผลเต็มตัวมาทั้งคู่แบบนี้” แม่ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจ พร้อมสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนด้วยความเป็นห่วงและกังวล

   “แม่... ใจเย็นก่อนนะ มันไม่มีอะไรแล้ว” ผมพยายามบอกให้แม่ใจเย็นลง พลางยิ้มและเข้าไปโอบทั้งพ่อและแม่

   “จะไม่ให้พ่อกับแม่เป็นห่วงได้ไง ดูรอยแผลสิเนี่ย” พ่อว่าพลางเอามือข้างหนึ่งจับหน้าผมพลิกไปมาเบาๆ

   “มันเกิดอะไรขึ้น” แม่เสริมทัพ พร้อมกับมองหน้าผมด้วยแววตาจริงจังเพื่อเค้นเอาคำตอบ

   “คือ...” ผมอ้ำอึ้ง ไม่ใช่เพราะไม่อยากเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง แต่เพราะผมจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าควรเริ่มเล่าจากตรงไหนดี ถ้าบอกว่าถูกคนดักทำร้าย แล้วเหตุผลที่จะเข้ามาเสริมการกระทำของคนเหล่านั้นล่ะ ผมจะบอกอย่างไร

   “ให้ผมเล่าให้คุณพ่อ คุณแม่ฟังเองนะครับ... เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ผมเองก็มีส่วนผิด” เมื่อเห็นสีหน้าของผมเริ่มแย่ลง ปาร์คก็ออกตัวเพื่อพูดแทนทันที “เรื่องมันมีอยู่ว่า...”

   ปาร์คเริ่มเล่าจากการที่ผมถูกคนดักทำร้าย แต่เพื่อนของผมเห็นเข้าซะก่อนว่าคนที่จะทำร้ายผมแอบสะกดรอยตามผมไป จึงโทรบอกปาร์คเพื่อให้ปาร์ครีบตามมาช่วยผม ส่วนเจ้าตัวก็ไปเจ้าความและพาตำรวจมาในตอนท้าย คนร้ายถูกดำเนินคดีไปตามกฎหมายแล้ว เรื่องราวเหมือนจะไม่มีอะไรต่างไปจากตอนที่ผมได้ฟัง แต่มันต่างตรงสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นมาดักทำร้ายผมที่ปาร์คได้อธิบายเพิ่มเติม

   สาเหตุนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากตัวปาร์คที่เคยคบหากับผู้หญิงคนดังกล่าว และผมรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หวังดีด้วยกับปาร์ค จึงหาทางเข้าไปช่วยให้ปาร์คออกห่างจากผู้หญิงคนนั้น จึงทำให้เกิดความแค้นขึ้นมา เธอหายไปพักใหญ่จนพวกเราคิดว่าเธอคงจะไม่มาวุ่นวายกับชีวิตผมหรือปาร์คแล้ว

   แต่ไม่เลยเมื่อจู่ๆ เธอกลับมาพร้อมแผนการที่ตั้งใจจะทำร้ายผมและทำให้ผมเสื่อมเสีย ปาร์คได้แต่กล่าวขอโทษพ่อกับแม่ของผมว่าเป็นความผิดของเขา และยังบอกอีกว่าเพราะปาร์คไปช่วยผมช้า จึงทำให้ผมต้องเจ็บตัว ปาร์คบอกเพียงแค่ว่าเรื่องร้ายๆ แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าปาร์คไม่เริ่มต้นสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่เริ่ม

   แต่สำหรับผมแล้ว... เรื่องนี้จะว่าปาร์คผิดฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูก ผมเองก็มีส่วนสร้างความแค้นให้ผู้หญิงคนนั้น สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความแค้นด้วยซ้ำไป แต่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตจากการกระทำของเราได้หรอก จนเมื่อมันเกิดขึ้น ถึงวันนั้นเราก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีตได้แล้ว

   “จะต้องทำร้ายกันขนาดนี้เลยเหรอ จิตใจคนสมัยนี้มันทำด้วยอะไรกัน” แม่ที่นั่งฟังปาร์คจนจบด้วยตัวผมเข้าไปกอดแน่นขึ้น

   “เพราะปาร์คเอง ฟร๊องก์ถึงต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ ขอโทษนะครับ” ปาร์คยกมือไหว้พ่อกับแม่อย่างยากลำบากเพราะแขนฝั่งหนึ่งยกได้ไม่ถนัดนักด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

   “ไม่ใช่เพราะปาร์คหรอก เป็นเพราะฟร๊องก์ที่แส่หาเรื่อง ทำให้คนๆ นั้นโกรธและแค้นฟร๊องก์”

   “ไม่ใช่ความผิดของทั้งคู่แหละลูก มันเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่างหาก พ่อรู้ว่าที่ปาร์คคบกับผู้หญิงคนนั้นก็เพราะความไม่รู้ และไม่คิดว่าจะก่อให้เกิดปัญหา ส่วนฟร๊องก์ลูก... พ่อกับแม่ก็รู้ว่าที่หนูทำไปเพราะความหวังดี และความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อปาร์ค ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าสิ่งเหล่านั้นจะชักนำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้”

   “แค่ลูกทั้งสองปลอดภัย แม่กับพ่อก็ดีใจแล้ว ถือว่ามันเป็นบทเรียนนะลูก ต่อไปจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง คิดหน้าคิดหลังให้มากๆ ส่วนคนที่เขาทำผิดเขาก็ได้รับโทษจากการกระทำของเขาทำแล้ว เราก็ควรที่จะอโหสิกรรมให้กับเขา อย่าไปจองเวรนะลูก เพราะหนูก็ได้เห็นและได้ประสบแล้วว่าความแค้นไม่ได้ส่งผลดีต่อใครเลย”     

   นี่สินะที่เขาเรียกว่าผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน พ่อกับแม่อ่านเหตุการณ์และสาเหตุออกทั้งหมดโดยไม่ต้องพูดอะไรเยอะเลย และมันคงเป็นเพราะประสบการณ์ที่พวกท่านได้เคยประสบพบเจอและเก็บเกี่ยวมาจนถึงป่านนี้ ที่ทำให้ท่านทั้งสองสอนให้พวกผมรู้จักการปล่อยวางและให้อภัยได้แบบนี้ เพราะลำพังเด็กอย่างพวกผมคงไม่สามารถคิดและปล่อยวางแบบนี้ได้ ความสงบที่เกิดขึ้นจากภายในจริงๆ ขอบคุณที่ผมมีครอบครัวดีๆ แบบนี้

   “แล้วปาร์คเล่าให้ที่บ้านฟังหรือยังลูก” แม่ผมเอ่ยถาม

   “ยังไม่ได้เล่ารายละเอียดหรอกครับ แต่ก็บอกเรื่องที่เกิดไปแล้ว เดี๋ยวผมก็คงต้องกลับไปอธิบายถึงสาเหตุ” ปาร์คยิ้มตอบจางๆ

   “ดีแล้วลูก เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แม่ยิ้มตอบพลางเอื้อมมืออีกข้างไปตบไหล่ปาร์คที่นั่งถัดจากผมไปเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ

   “ครับ...” ปาร์คยิ้มรับพร้อมก้มหน้าเล็กน้อย “อย่างน้อยเกิดเรื่องนี้ขึ้น มันก็ทำให้ผมมั่นใจและจะได้ถือโอกาสพูดบางเรื่องกับป๊ากับแม่ผมด้วยเหมือนกัน... รวมทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ฟร๊องก์ด้วย”

   ผมหันมองหน้าปาร์คอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด ถือโอกาสพูด ‘บางเรื่อง’ อย่างนั้นเหรอ 

   “เรื่องอะไรเหรอลูก” แม่ผละตัวออกจากผม พร้อมตั้งคำถามกับปาร์คด้วยความสงสัย

   “คือผม...” จู่ๆ ปาร์คก็ลุกขึ้นแล้วทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น

   “...” นั่นยิ่งทำให้ผมกับพ่อแม่งงในการกระทำของปาร์คมากขึ้น และยิ่งลุ้นว่าปาร์คกำลังจะทำหรือพูดอะไร

   “ผมต้องกราบขอโทษพ่อกับแม่ของฟร๊องก์นะครับ” ปาร์คยกมือขึ้นมาพนมที่อกอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ก้มตัวลงกราบพ่อกับแม่ของผม นั่นทำให้แม่รีบลุกไปจับมือทั้งสองที่พนมไว้ของปาร์คไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะวางมันลงที่พื้น

   “ขอโทษพ่อกับแม่ทำไมกันลูก ถ้าเพราะเรื่องทีเกิดขึ้น ปาร์คไม่ได้ผิดลูก ไม่ต้องขอโทษ ลุกขึ้นๆ” แม่ค่อยๆ ประคองตัวปาร์คให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะลูบหลังอย่างปลอบโยน

   “ไม่ใช่... ไม่ใช่ครับ ผมขอโทษ... ขอโทษที่ผม... เคยทำร้ายฟร๊องก์ ขอโทษที่ผมเคย... ข่มขืนฟร๊องก์...” ปาร์คพูดอย่างติดขัดและแผ่วเบา พลางก้มหน้าด้วยท่าทางที่ไม่มั่นคง ผมมองลึกเข้าไปยังนัยต์ตาที่กำลังสั่นไหวคู่นั้นซึ่งเปี่ยมด้วยความรู้สึกผิดด้วยความคาดไม่ถึง ผมไม่คิดว่าปาร์คจะกล้าพูดเรื่องราวเลวร้ายที่เคยทำไว้กับผมต่อหน้าพ่อกับแม่แบบนี้

   “ว่าไงนะ” แม่ผละตัวออกจากปาร์ค ก่อนจะถามเสียงสั่น

   “ผะ... ผมขอโทษครับ”

   เพี๊ยะ!

   “ทำกับลูกแม่แบบนี้ได้ไงกัน! ที่ฟร๊องก์เสียใจตอนนั้นเพราะเรื่องนี้ใช่ไหมปาร์ค! ทำไมมีอะไรไม่คุยกันดีๆ ทำไมต้องรุนแรงใส่กัน!” แม่ว่าเสียงดังใส่ปาร์คอย่างเดือดดาล แบบที่ผมไม่เคยเห็นแม่เป็นมาก่อน จนพ่อต้องลุกขึ้นไปดึงตัวแม่มาปลอบให้ใจเย็นลง

   “ผมขอโทษครับ ขอโทษที่ทำให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บ ขอโทษที่ผมใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ขอโทษจริงๆ ครับ” ปาร์คพูดพร้อมเสียงสะอื้น ภายใต้ใบหน้าที่ก้มอยู่นั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา “ผมแค่อยากขอโอกาสให้ผมได้ชดใช้ในสิ่งที่ผมทำลงไป ผมอยากจะขอดูแลฟร๊องก์จากนี้ตลอดไป”

   “พ่อไม่เคยรังเกียจสิ่งที่ลูกพ่อเป็นนะ และพ่อก็ไม่เคยสอนให้ฟร๊องก์ทำร้ายใครหรือใช้อารมณ์เป็นใหญ่ แต่ถ้าวันหนึ่งจะมีคนเข้ามาดูแลลูกของพ่อคนนี้ต่อแทนพ่อกับแม่ คนๆ นั้นก็ต้องทำให้พ่อมั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ทำร้าย และไม่ทิ้งขว้างลูกของพ่อ ปาร์คคิดว่าพ่อควรเชื่อใจปาร์คไหม” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจในสิ่งที่ปาร์คทำ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าเปิดโอกาสให้ปาร์คเช่นกัน

   “จะให้แม่ไว้ใจคนที่เคยทำร้ายลูกของแม่งั้นเหรอ แม่รู้จักลูกของแม่ดี แต่กับปาร์ค แม่ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าฟร๊องก์เองจะรู้จักดีหรือเปล่า” เสียงของแม่ยังคงแฝงด้วยอารมณ์โกรธอยู่เนืองๆ

   “ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำไว้มันคงเกินอภัย แต่ผมอยากขอโอกาสให้ผมได้พิสูจน์ ผมมั่นใจว่าผมจะไม่มีวันทำร้ายฟร๊องก์อีก และไม่มีวันทำให้ฟร๊องก์เสียใจ ผมเสียเวลามาหลายปีแล้วที่ไม่ยอมรับความรู้สึกในหัวใจตัวเอง และเห็นแก่ตัวที่เก็บฟร๊องก์ไว้ข้างกายเสมอในฐานะเพื่อน แต่ตอนนี้ผมมั่นใจในความรู้สึกตัวเองแล้ว ว่าผมรักฟร๊องก์... รักในแบบที่มากกว่าเพื่อนจะมีให้กัน” ปาร์คเงยหน้ามาสบตาพ่อและแม่ด้วยแววตาที่จริงจังและมั่นคง เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่กำลังแสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจในสิ่งที่เขาพูด รวมทั้งความรู้สึกของเขาด้วยเช่นกัน

   “ตอนนี้มันคงยังพิสูจน์อะไรที่แน่นอนไม่ได้ เอาเป็นว่าเรื่องที่แล้วมาก็ให้มันแล้วไป เพราะเรากลับไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดไม่ได้หรอก แต่ปาร์คคงต้องกลับไปถามตัวเองว่าที่ปาร์คทำอยู่ เพียงเพราะอยากชดใช้ความผิดแค่นั้นหรือเปล่า หรือทำมันออกมาจากข้างในหัวใจจริงๆ และที่สำคัญการตัดสินใจมันไม่ได้อยู่ที่พ่อกับแม่หรอก แต่อยู่ที่เจ้าฟร๊องก์ต่างหาก” พ่อว่าก่อนจะหันมามองทางผม

   “ฟะ... ฟร๊องก์...” ผมไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้รักปาร์คแล้ว แต่เพราะความสับสนที่มีต่างหาก ผมกลัวจะเป็นอย่างที่พ่อบอก คือปาร์คทำไปเพียงเพราะรู้สึกผิดกับผม ไม่ใช่ความรัก และเมื่อถึงวันหนึ่งที่ความรู้สึกผิดนั้นมันจางหายไปแล้ว เมื่อปาร์ครู้ตัวแล้วว่าจริงๆ เขาไม่ได้รักผม วันนั้นผมจะต้องเสียใจอีก และมันคงมากกว่าวันนี้ มากกว่าที่เคยเกิดขึ้น

   ผมเชื่อว่าปาร์คคงไม่ทำร้ายผมอีก เพราะสิ่งที่ปาร์คเคยทำ มันมีเหตุมีผลของมัน แต่นั่นก็ไม่ได้มีอะไรมารับประกันอยู่ดี เพราะความทรงจำอันเจ็บปวดมันยังคงฝังอยู่ภายในใจของผมเสมอ แม้บางครั้งเราต้องปล่อยผ่านกับความผิดพลาดในอดีต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ารอยแผลเป็นนั้นจะหายไป

   “ปาร์ครักฟร๊องก์นะ...” ปาร์คหันมาพูดกับผมอย่างอ่อนโยน ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยม่านน้ำตา แม้ท่าทางจะอยากลุกขึ้นมาหาผม แต่ก็ทำได้เพียงนั่งมองผมนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่เดินเข้ามา

   “แม่ว่าปาร์คกลับไปก่อนดีกว่า วันนี้คงไม่มีคำตอบจากใครทั้งนั้นสำหรับปาร์ค และแม่เองก็ยังทำใจไม่ได้เหมือนกันที่เห็นคนที่แม่เอ็นดูเหมือนลูกอีกคน แต่กลับเป็นคนที่ทำร้ายลูกของแม่อย่างเลือดเย็นนั่งอยู่ตรงนี้ แม่ขอบใจที่ครั้งนี้ช่วยฟร๊องก์เอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้ลบล้างสิ่งที่เคยทำได้ ลองกลับไปถามใจตัวเองดูอย่างที่พ่อว่า ถ้าเมื่อไรมั่นใจในคำตอบตัวเองแล้ว แม่และพ่อก็พร้อมที่จะรับฟัง”

   “...” ผมสบตากับปาร์คแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลบสายตาเศร้าหมองนั้น

   “... ผมกลับก่อนก็ได้ครับ แต่พ่อกับแม่จะได้คำตอบจากผมในไม่ช้านี้แน่นอน ยังไงผมก็ต้องขอโทษอีกครั้งนี้ครับกับทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น และขอบคุณที่พ่อกับแม่เข้าใจ” ปาร์คยกมือไหว้พ่อและแม่ของผมอย่างจริงใจ ก่อนจะหันกลับมาพูดกับผมอีกครั้ง
“ปาร์คกลับก่อนนะ ปาร์คยังยืนว่าปาร์คชัดเจนในความรู้สึกของตัวเองแล้ว และปาร์คก็รู้สึกได้ว่าฟร๊องก์เองก็รู้สึกไม่ต่างกับปาร์ค วันหนึ่งปาร์คจะกลับมาเพื่อดูแลหัวใจที่ปาร์คเคยทำร้ายของฟร๊องก์ด้วยตัวปาร์คเอง ไม่ว่าจะต้องแข่งกับใครก็ตาม ขอโทษนะ...”

   ผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ความรู้สึกสับสนที่ผมมีทั้งกับปาร์คที่ยังคงอยู่เสมอ และความรู้สึกแปลกใหม่ที่มีต่อพี่หมาก ผมจะสามารถจัดการมันได้ไหม และคำตอบของปาร์คจะยังคงเดิมหรือเปล่าเมื่อเวลาผ่านไป ผมไม่อาจล่วงรู้ได้เลย... 

   หลังจากที่ปาร์คกลับไป โดยไม่มีใครออกไปส่ง แม่เข้ามากอดผมที่นั่งนิ่งตั้งแต่ปาร์คจากไปด้วยน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้า สุดท้ายเราสามคนก็นั่งเปิดอกคุยกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมปรึกษาเรื่องความรักอย่างไม่ปกปิดกับทั้งพ่อและแม่

   “ฟร๊องก์โอเคหรือเปล่าลูก ถ้าต่อจากนี้ไม่อยากให้ปาร์คมาที่บ้านเราอีกก็บอกแม่นะ” แม่กอดปลอบผมไป พร้อมทั้งท่านเองก็ร้องไห้ตามผมไปด้วย จนตอนนี้กลายเป็นว่าพ่อต้องปลอบทั้งแม่และผม

   “ฟร๊องก์ไม่เป็นอะไรแล้วครับแม่ ฟร๊องก์... ไม่อยากนึกถึงมันอีกแล้ว”

   “ลูกพ่อเข็มแข็งอยู่แล้ว... ใช่ไหม” พ่อว่าพลางลูบศีรษะผมอย่างแผ่วเบา

   “ครับ ฟร๊องก์จะเข้มแข็ง และจะเข็มแข็งให้มากขึ้น”

   “ที่ผ่านมาแล้วให้มันผ่านไป พ่อรู้ว่าฟร๊องก์เจ็บ แต่มาถึงตอนนี้ฟร๊องก์ก็ผ่านมันมาได้ ดังนั้นเก็บมันไว้เป็นบทเรียนคอยเตือนตัวเองในเรื่องของการใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ส่วนเรื่องที่ต่อจากนี้ระหว่างฟร๊องก์กับปาร์คจะเป็นอย่างไรต่อไป พ่อเคารพการตัดสินใจของหนูเสมอ”

   “แม่รู้ว่ามันทำใจให้ลืมเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมาได้ แต่แม่อยากให้ลูกของแม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้เป็น ถ้าอยากใช้ชีวิตคู่กับคนๆ นั้น ฟร๊องก์ก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาดที่เขาเคยผ่านมาเช่นกัน แม่โกรธปาร์คนะที่ทำแบบนั้น แต่แม่ก็ให้หนูเป็นคนเลือกเองเช่นกัน”

   “ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ” ผมควรจะยอมรับและเรียนรู้กับเรื่องเลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ใช้มันเป็นบทเรียนและเป็นเกราะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้อีกอย่างที่พ่อกับแม่ผมบอก


à suivre...


ครอบครัวฟร๊องก์นี่เขาใจดีกันทุกคนเลยเนอะ 555+
รู้ว่าปาร์คทำอะไรฟร๊องก์แล้วพ่อแม่ยังให้โอกาสอีก ดี๊ดี

ใกล้จบจริงๆ แล้วนะฮะ อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจทุกคน ก็ขอน้อมรับจากใจ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:


ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
จะดีจะชั่วก็ผัวเธอ
หุหุ

เชื่อล่ะ
หล่อเลือกได้


ฟิ้วววววววว
ปลิวตัวเองไปดาวดวงอื่น

+1 ฮับ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 52 [15/11/2017]
«ตอบ #237 เมื่อ15-11-2017 20:02:37 »

Chapitre 52

   ผมไปมหาวิทยาลัยตามปกติในวันจันทร์ต่อมาท่ามกลางสายตาและคำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยจากเพื่อนๆ ผมบอกแค่ว่าโดนรุมทำร้ายจากความเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกไปกว่านั้น ทุกคนก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเพราะความปากหนักปากแข็งของผม

   หลังจากที่เปิดใจคุยกับพ่อแม่ไป ผมก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น แม้ว่าการได้พูดออกไปนั้นมันไม่ได้ช่วยให้เรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาดีขึ้น แต่อย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็จะยังมีพ่อกับแม่ที่อยู่ข้างๆ ผมอยู่เสมอ

   ปาร์คที่แม้จะยอมกลับไปในวันนั้น ก็ยังคงส่งข้อความในไลน์มาถามไถ่อาการบาดเจ็บของผมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า ผมก็ตอบกลับและก็ถามไถ่อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายเช่นกัน อย่างน้อยที่ปาร์คต้องบาดเจ็บส่วนหนึ่งก็เพราะผม รวมทั้งพี่หมากที่โทรมาหาผมด้วยความเป็นห่วง

   หมดคาบเรียนในตอนเย็น ผมก็เจอพี่หมากนั่งอยู่ที่หน้าตึก ทันทีที่เขาเห็นผมรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูปนั้น ก่อนจะลุกเดินมาหาผม

   “หวัดดีครับน้องๆ” พี่หมากเอ่ยทักทายผมกับเพื่อนๆ คนอื่นที่เดินมาพร้อมกันด้วยรอยยิ้มการค้า ก่อนที่จะหันมาคุยกับผม “เรียนเป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม”

   “ไม่เลยครับ สบายมาก ว่าแต่พี่หมากเถอะ โดดเรียนมาหรือเปล่าเนี่ย” ผมยิ้มทักทายพลางชวนคุย อาจเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาผมกับพี่หมากคุยกันบ่อยมากขึ้น หลังจากที่ห่างๆ กันไปหลังจบช่วงรับน้องตอนปีหนึ่งก็เพิ่งได้กลับมาคุยกันมากขึ้นแบบนี้ก็ตอนนี้นี่แหละ แม้ว่าความหมายในการ ‘คุยกัน’ นั้นมันจะต่างออกไปก็ตาม

   “วันนี้มีเทสต์ย่อย พี่ทำเสร็จเร็วก็เลยออกมาก่อนต่างหาก ใครจะไปโดดเรียนกัน หื้ม... แล้วนี่ไม่มีเรียนกันแล้วใช่ไหม” พี่หมากตอบขำๆ ก่อนจะหันไปถามคำตอบที่ต้องการจากแนวร่วม

   “แหม อยากรู้ว่าพวกหนูมีเรียนไหม นี่จะพาตัวเพื่อนหนูไปไหนหรือเปล่าคะเนี่ย” นุ่นเปิดปากแซวตามประสาทันที เล่นเอาพี่หมากยิ้มร่าด้วยอาการหน้าแดงแทนคำตอบ “พักหลังๆ นี่ไม่รู้ฟร๊องก์มันไปทำเสน่ห์ที่ไหนมานะคะ เสน่ห์แรงเหลือเกิน แต่ยังไงก็เชิญเอาตัวมันไปได้เลยค่ะ”

    “ห่านุ่น พี่เขาอาจจะแค่ถามเฉยๆ ก็ได้เถอะ” ผมหันกลับไปทำเสียงดุกับนุ่นที่พยายามดันหลังผมเข้าไปหาพี่หมาก

   “ถ้าจะรู้ทันขนาดนี้ งั้นพี่ขอตัวเพื่อนเราไปเลยแล้วกันนะครับ”
 
   “เอามันไปเลยค่ะ เอามันไปปู้ยี่ปู้ยำได้เต็มที่เลย”

   “เลว!!” ผมหันกลับไปด่าพร้อมถลึงตาใส่มันอย่างหมั่นไส้ เกลียดในความปากหมาของมันจริงๆ ส่วนพี่หมากก็เอาแต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี นี่คงไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับคำพูดนุ่นด้วยหรอกนะ

   “ยังไงฝากส่งมันให้ถึงห้องด้วยนะ” เก็ทที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะยกมือขึ้นมายีผมของผมเบาๆ

   “ไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะดูแลฟร๊องก์อย่างดี” พี่หมากยิ้มตอบด้วยสายตามุ่งมั่น ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือของผม “ไปกินข้าวกับพี่นะ”

   “เอาสิครับ กำลังหิวพอดีเลย” ผมค่อยๆ ดึงมือที่ถูกจับกุมออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะนำมาลูบท้องเป็นนัยยะ

   “งั้นพี่ไปก่อนนะครับ วันนี้ขอยืมตัวเพื่อนเราไปก่อน” พี่หมากว่าก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้เพื่อนคนอื่นๆ ของผม ก่อนที่ทั้งผมและเขาจะเดินไปยังรถด้วยกัน

   ระหว่างที่ผมกับพี่หมากกำลังเดินไปยังรถของเขาที่จอดที่ลานจอดรถ จังหวะเดียวกันนั้นทาร์ตก็ลงมาจากรถที่ออกมาใหม่ของตัวเอง ผมหันไปสบตากับทาร์ตเสี้ยวนาทีหนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายก็หยุดมองผมกับพี่หมากด้วยสายตาหลากหลาย มันทั้งดูหมองหม่น เศร้า แต่ก็เหมือนจะดีใจที่ได้เจอ

   ผมเลือกที่จะยิ้มให้เหมือนอย่างที่เคยพูดว่าเรายังคงยิ้ม ทักทายกันได้ในฐานะคนเคยรู้จัก และไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากในมากไปกว่านี้ เมื่ออีกฝ่ายได้เห็นรอยยิ้มจากผม รอยยิ้มในแบบที่ผมเคยเห็นเมื่อครั้งก่อนก็พลันปรากฏขึ้นพร้อมเหล็กจัดฟันสีสดใสเช่นเดิม

   บางทีทาร์ตอาจจะเหมาะกับการมีรอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าแบบนี้มากกว่าใบหน้าและแววตาเศร้าหมอง แม้ว่ารอยยิ้มนั้นมันเป็นได้แค่เพียงช่วงหนึ่งของความทรงจำผมก็ตาม   

     ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น มีเพียงแค่รอยยิ้มจางๆ ที่ทั้งผมและทาร์ตมอบให้กัน ก่อนที่ผมกับพี่หมากจะเดินสวนทางไป ผมไม่ได้หันกลับมาสนใจทาร์ตอีก แต่ก็หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายของรอยยิ้มที่ผมสื่อไปให้แบบเดียวกับที่ผมเข้าใจความหมายของรอยยิ้มที่สดใสนั้น

   จากนั้นพี่หมากพาผมมายังร้านอาหารไทยสุดชิคแห่งหนึ่ง ที่ตัวร้านและการจัดแต่งดูไม่เหมือนร้านอาหารไทยเลยแม้แต่น้อย ตัวร้านด้านนอกเป็นอาคารลักษณะแบบโกดัง ผนังฉาบปูนแบบเปลือย ให้บรรยากาศที่ดูเก่า แต่ก็คลาสสิก มีที่จอดรถกว้างขวาง

   ด้านในค่อนข้างกว้าง ผนังสีส้มอิฐด้วยการก่ออิฐมอญ สลับกับปูนเปลือยบางช่วง ถูกประดับด้วยภาพต่างๆ รวมทั้งกระถางต้นไม้แบบแขวน ซึ่งสีเขียวของเหล่าพันธุ์ไม้เล็กๆ ที่ห้อยย้อยลงมาจากกระถางก็ช่วยให้ลดความแข็งกระด้างและดูดิบของปูนเปลือยเปล่าลงได้ ทำให้รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สบายๆ อยู่ไม่น้อย

   เราทั้งคู่เลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ใกล้กับกำแพงเพราะค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากกว่าตรงอื่น แม้ว่าภายในร้านจะไม่ได้มีคนมากมายนักก็ตาม นั่งตรงนี้ผมสามารถมองเห็นเหล่าพ่อครัวทำครัวได้บ้างจากครัวที่ทำแบบเปิดโล่ง

   “อยากกินอะไรสั่งเลยนะ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่หมากพูดขึ้นหลังจากที่พนักงานนำเมนูอาหารมาให้

   “ไม่เป็นไรพี่หมาก กินด้วยกันก็ช่วยกันจ่ายนี่แหละ แฟร์ดี”

   “เอางั้นเหรอ” พี่หมากเลิกคิ้วถามพลางยิ้มมุมปาก “อุตส่าห์จะรื้อฟื้นความเป็นพี่เทคนี้ต้องคอยดูแลน้องเทคสักหน่อย อดเลย”

   “ดูแลไม่ได้แปลว่าต้องเลี้ยงนั่นนี่ตลอดก็ได้นิครับ” ผมอดขำไม่ได้กับข้ออ้างที่พี่หมากหยิบยกขึ้นมาเพื่อจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้

   “ถ้างั้นพี่ก็ดูแลในเรื่องอื่นได้ใช่ไหม” รอยยิ้มยังคงเปื้อนอยู่บนใบหน้าหล่อของคนตรงข้ามนั้น แต่นัยน์ตาสื่อความหมายกลับดูหนักแน่นผิดกับรอยยิ้มที่แสดงออกมา

   “เอ่อ... สั่งอาหารเถอะครับ เขารอนานแล้ว อีกอย่าง... หิวแล้วด้วย” ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ตัดบทโดยการใช้พนักงานที่รอจดออเดอร์ที่ยืนยิ้มรอให้บริการมาอ้าง ก่อนจะโน้มตัวไปหาพี่หมากเพื่อกระซิบประโยคที่เป็นใจความหลัก

   “ฮ่าๆ โอเคครับ หิวก็หิว” แต่กลายเป็นว่าพี่หมากแซวผมกลับอย่างไม่ไว้หน้าเลย เล่นเอาพนักงานกลั้นขำไว้เกือบไม่อยู่เหมือนกัน

   เราสั่งอาหารกันไปคนละสองสามอย่าง และก็ตกลงกันว่าจะจ่ายด้วยกันทั้งคู่ สรุปเรื่องเลี้ยงไม่เลี้ยงก็จบไป

   “ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า ขอพี่ดูหน่อยได้ไหม”

   “ตอนนี้ไม่ค่อยแสบแล้วครับ แต่มันก็ตึงๆ เจ็บนิดหน่อยเวลายืดแขน ยืดขา เพราะตรงขอบแผลมันเริ่มแห้ง” ผมค่อยๆ พับแขนเสื้อนิสิตที่ปิดแผลถลอกบริเวณแขนเอาไว้ขึ้นเพื่อให้พี่หมากดู หมอบอกให้ล้างและใส่ยาแต่ไม่ต้องปิดแผลเพราะจะทำให้แผลอับชื้น ผมเลยต้องเปิดแผลเอาไว้ แต่ใช้เสื้อนิสิตที่ใส่มาปิดไว้แทน โชคดีที่เลือดหรือน้ำเหลืองไม่ไหลแล้ว ไม่งั้นคงเปื้อนเสื้อหมด

   “แผลเริ่มแห้งแล้ว แต่ยังไงก็ต้องหมั่นล้างแผลและห้ามลืมทายาเด็ดขาดเลยนะ รู้มั้ย” ท่าทางพี่หมากดูพอใจที่เห็นแผลผมดีขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือข้างนั้นของผมไปกุมเอาไว้ “พี่เป็นห่วงเรามากนะ”

   “ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มตอบบางๆ แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกจากการจับกุมนั้น จนกระทั่งอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ พี่หมากจึงปล่อยมือ และเริ่มลงมือตักอาหารให้ผม
      
**********__________**********

   “อิ่มไหม” หลังจากอาหารมาได้พักใหญ่ ตอนนี้บนโต๊ะส่วนมากเหลือเพียงจานที่ว่างเปล่า บ่งบอกถึงความไม่ค่อยหิวของผม รวมทั้งพี่หมากเองก็ตาม

   “ต้องถามอีกเหรอครับ เกลี้ยงจานขนาดนี้ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะกับคำถาม ก็หลักฐานมันปรากฏอยู่บนโต๊ะชัดเจนซะขนาดนั้น

   “กินเก่งขึ้นเยอะเลยนะ ยังจำตอนปีหนึ่งได้อยู่เลย ตอนนั้นเรานี่ข้าวกล่องยังกินไม่หมดเลย” ยังจะจำได้อีกนะครับ ที่พี่หมากพูดถึงก็คือตอนที่ยังมีกิจกรรมรับน้องและประชุมเชียร์ เขาจะมีข้าวกล่องแจก แต่ผมไม่เคยกินหมดเลย โดนพี่หมากดุประจำในตอนนั้น

   “ก็มันไม่อร่อยนิ ถ้าอร่อยๆ แบบนี้ก็กินหมดอยู่แล้ว”

   “ถ้างั้นไว้พี่พามากินอะไรอร่อยๆ แบบนี้บ่อยๆ เลยดีมั้ย”

   “โห้ กินบ่อยๆ ก็จนแย่สิครับ” อาหารอร่อยจริงครับ แต่ราคาก็เอาเรื่องไม่แพ้รสชาติเลย

   “เราคนเดียวพี่ดูแลได้สบายๆ แต่ก็อย่ากินเยอะกว่านี้แล้วกัน หึหึ” พี่หมากว่าอย่างติดตลก “พี่อยาก...”

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นขัดจังหวะการพูดของพี่หมาก ทำให้ผมรีบหยิบสิ่งที่กำลังสั่นพร้อมกับส่งเสียงในกระเป๋ากางเกงออกมาดูทันทีว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา แต่เมื่อได้เห็นชื่อของสายเรียกเข้าปรากฏอยู่บนทัชสกรีน ผมถึงกลับทำสีหน้าไม่ถูก

   ‘Park (“:’

   ผมกดตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่หมากที่กำลังมองผมด้วยความสงสัยว่าใครโทรมา และทำไมผมต้องตัดสายทิ้ง ผมได้แค่ส่งยิ้มแห้งๆ พร้อมกับส่ายหัวเบาๆ เป็นเชิงว่าไม่มีอะไร

   ติ๊ง! ติ๊ง!.. ติ๊ง!

   เสียงข้อความในไลน์เด้งเข้ามารัวๆ หลังจากผมตัดสายได้ไม่ถึงนาที ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเป็นข้อความจากใคร แต่หลังจากเสียงจากแอปพลิเคชั่นสีเขียวหมดลง ทุกอย่างก็กลับหยุดนิ่งเป็นปกติอีกครั้ง

   “มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า” พี่หมากยังคงมองผมด้วยความสงสัยเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่ดูแปลกไปของผม

   “อ๋อ เปล่าๆ หรอกครับ ไม่มีอะไร ว่าแต่เมื่อกี้พี่หมากจะพูดอะไรกับฟร๊องก์หรือเปล่าครับ” ผมเปลี่ยนประเด็นวกกลับไปหาตัวเขาเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม

   “คนที่โทรมาใช่คนที่พี่เจอที่โรงพยาบาลวันก่อนหรือเปล่า... ถ้าพี่จำไม่ผิดเป็นคนเดียวกับที่เจอกันที่พารากอนด้วยใช่ไหม” ทั้งที่ผมพยายามเบี่ยงเบนประเด็น แต่เหมือนพี่หมากจะไม่ยอมให้ผมตีเนียนได้ง่ายๆ แถมสิ่งที่พี่หมากพูดยังกดดันผมมากกว่าเดิมเมื่อเขายังจำเหตุการณ์ที่ผมกับเขาเจอกับปาร์คที่พารากอนได้ด้วย
 
   จริงๆ ที่พี่หมากไม่ยอมปล่อยให้ประเด็นนี้ผ่านไปง่ายๆ อาจเป็นเพราะพี่เขาเองก็อยากรู้คำตอบที่แน่นอนตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ที่เขาไปโรงพยาบาลแล้ว และดูเหมือนว่าครั้งนี้ผมจะไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากจะต้องพูดถึงเรื่องบางอย่างระหว่างผมกับปาร์ค

   “เอ่อ...”

   “บอกพี่มาเถอะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก บางทีให้พี่ได้รู้จักเรา ได้รู้เรื่องของเรามากขึ้น พี่จะได้รู้ว่าพี่ควรทำตัวอย่างไร”

   “คือ... ใช่ครับ คนที่โทรมาเมื่อกี้คือปาร์ค คนที่พี่หมากเจอที่โรงพยาบาลนั่นแหละครับ”

   “ฟร๊องก์นัดกับเขาไว้หรือเปล่า พี่รบกวนเวลาฟร๊องก์ไหม” น้ำเสียงและสีหน้าที่ดูร่าเริงของพี่หมากเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและตึงเครียดมากยิ่งขึ้น นั่นยิ่งกดดันผมมากขึ้นอีก

   “เปล่าๆ ครับ ไม่ได้นัด ไม่ได้อะไรกันไว้เลย ฟร๊องก์เองก็ไม่รู้ว่าเขาโทรมาทำไมเหมือนกัน” ผมบอกไปตามจริง “ที่ฟร๊องก์ไม่ได้รับสาย เพราะคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องคุยก็เท่านั้น”

   “พี่ขอถามได้ไหมว่าระหว่างฟร๊องก์กับเขา... เป็นอะไรกัน” ผมถึงกับนิ่งไปเพราะไม่คิดว่าพี่หมากจะถามกันตรงๆ แบบไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้

   “เอ่อ...”

   “เขาไม่ใช่แค่เพื่อนใช่ไหม”

   “พะ... เพื่อนครับ” ผมตอบออกไปอย่างยากลำบาก เหมือนมีก้อนบางอย่างฝืดอยู่ในลำคอ

   “เพื่อนแบบที่ฟร๊องก์รู้สึกกับเพื่อนคนอื่นๆ หรือมากกว่านั้น”

   “คือ... คือฟร๊องก์...”

   “...” พี่หมากไม่ได้พูดอะไร แต่ยังคงมองมาที่ผมนิ่งเหมือนกำลังรอคำตอบ

   “คือ... ฟร๊องก์กับปาร์ค...”

   “พี่ว่าพี่รู้คำตอบแล้วล่ะ” พี่หมากถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยิ้มจางๆ ออกมาด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม “ฟร๊องก์ไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ เพราะพี่คิดว่าพี่รู้คำตอบสำหรับตัวพี่เองแล้ว เอาเป็นว่าที่พี่บอกว่าพี่เป็นห่วงเรา พี่ก็ยังคงเป็นห่วงอยู่เสมอ และพี่จะรอที่จะได้ดูแลฟร๊องก์ เมื่อถึงเวลา”

   “พี่หมาก...”

   “อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิ พี่รู้ว่าพี่มาทีหลัง และเข้าใจว่าฟร๊องก์พยายามมากแล้ว พี่ถึงได้บอกไงว่าพี่จะรอ วันที่ฟร๊องก์จะเปิดใจให้พี่ได้เข้าไปบ้าง” แต่ผมไม่อยากให้พี่รอเลย ผมไม่กล้าให้ความหวังกับใครอีกแล้ว เพราะผมกลัวว่าการรอคอยมันจะทำให้คนเราหมดความอดทน และทำอะไรที่เลวร้ายกว่าที่คิดได้... แบบที่ทาร์ตเคยทำ

   “พี่หมาก... อย่ารอฟร๊องก์เลยครับ อย่าเสียเวลากับฟร๊องก์เลย บางทีมันอาจจะนานกว่าที่พี่คิดก็ได้ เพราะขนาดตัวฟร๊องก์เอง... ยังไม่รู้เลยว่าจะอีกนานแค่ไหน”

   “นี่เป็นการปฏิเสธพี่หรือเปล่า” แม้ใบหน้าของพี่หมากยังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับดูสั่นเครือจนรู้สึกได้ ผมรู้ว่าเขากลัวคำตอบที่ผมจะตอบ และคงแอบหวังว่าผมจะเหลือความหวังให้บ้าง

   “ฟร๊องก์... ขอโทษ...” มันอาจจะดูใจร้ายเกินไปสักหน่อย แต่ผมคิดว่ามันคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำร้ายความรู้ของพี่หมากมากไปกว่านี้ ถ้าผมยังคงให้ความหวังกับเขาต่อไป โดยที่ในใจของผมเองยังคงลืมปาร์คไม่ได้ คงเป็นผมเองที่เห็นแก่ตัว และถ้าถึงวันนั้นพี่หมากที่เคยดีกับผม อาจจะกลายเป็นแบบทาร์ตที่แทบมองหน้ากันไม่ติดเลยก็ได้

   “หึหึ เล่นปฏิเสธกันตรงๆ แบบนี้ เจ็บเหมือนกันนะครับ สำหรับฟร๊องก์ พี่คงไม่มีความหวังเลยสินะ ไม่ว่าจะตั้งแต่ปีหนึ่ง จนกระทั่งตอนนี้...” ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบรอยยิ้มของพี่หมากในตอนนี้เลย รอยยิ้มที่ดูขัดกับนัยน์ตาฉายแววแห่งความเสียใจและผิดหวัง ยิ่งคำพูดที่ฟังดูน่าน้อยใจนั่นด้วย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก

   “ขอโทษ... จริงๆ นะครับ”

   “เห้ยๆ อย่าเศร้าดิ พี่มากกว่าที่ต้องเศร้าไม่ใช่ฟร๊องก์ บอกพี่ตรงๆ แบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยพี่ก็ได้มีเวลาทำใจได้เร็วขึ้น ฟร๊องก์ไม่ได้ผิดอะไรเลย คนไม่ใช่... ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดี ไม่ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน”

   “...”

   “แต่ถึงฟร๊องก์จะไม่อยากให้พี่รอก็ตาม แต่พี่ก็จะขอรออยู่ในจุดที่จะยังคงมีความหวังได้ หวังว่าฟร๊องก์คงจะไม่ว่าอะไรพี่นะ เพราะถึงอย่างไร ความรู้สึกที่พี่มีให้กับฟร๊องก์มันจะยังมีอยู่เสมอ” พี่หมากว่า ก่อนจะเอื้อมมือมายีผมของผมเป็นครั้งแรกอย่างแผ่วเบา แม้มือข้างนั้นจะแอบสั่นเทาอยู่บ้างก็ตาม “พี่ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่ฟร๊องก์มีต่อเขามันเป็นอย่างไร แต่ท่าทางกระอักกระอ่วนที่ฟร๊องก์มีมันทำให้พี่รู้ว่าฟร๊องก์เองก็ยังไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองเช่นกัน และพี่ก็รู้ว่าฟร๊องก์เองก็ลำบากใจ ถ้าพี่จะช่วยให้ฟร๊องก์ดีขึ้นได้พี่ก็ยินดี”

   “นั่นคือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมฟร๊องก์ถึงไม่อยากให้พี่รอ” นอกจากที่ผมจะไม่มั่นใจในสถานะของผมกับปาร์คที่มีมาตลอดแล้ว ผมก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าความรู้สึกที่มีต่อปาร์คมันก็ยังคงอยู่เช่นกัน “พี่หมาก... ถ้าพี่ยินดีจะช่วยฟร๊องก์ อย่างนั้นฟร๊องก์ขออะไรสักอย่างได้ไหม”

   “อยากให้พี่ช่วยอะไรเหรอ”

   สิ่งที่ผมอยากให้พี่หมากช่วย บางทีมันอาจจะทำให้ผมพิสูจน์อะไรบ้างอย่างให้ชัดเจนขึ้นได้ก็ได้...


à suivre...


หายไปนานเบอร์ไหน ถามใจดู 555+
เป็นสิบวันกันเลยทีเดียว พอดีมีงานเข้ามานิดหน่อยฮะ
เลยไม่ว่างมาอัปเดตกันเลย จริงๆ ไม่ว่างแม้จะจับคอมพ์ฯ เลยด้วยซ้ำ  :hao5:

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จะให้พี่หมากช่วยลองใจปาร์คหรือ ทำอย่างงี้พี่หมากก็น่าสงสารแย่นะซิ ไหนบอกว่าไม่อยากให้พี่หมากต้องเสียใจไงล่ะแล้วจะมาทำแบบนี้เพื่อตอกย้ำพี่หมากอีกทำไม อย่าเห็นแก่ตัวนักเลยนะฟร๊องก์

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด