พิมพ์หน้านี้ - from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: PorschePor ที่ 22-04-2017 22:36:33

หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 22-04-2017 22:36:33
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Welcome to FRANC's diary...

from PAST to FUTURE...
อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ?


(https://lh3.googleusercontent.com/hKKlPQRfI6H9QI7Q20WJtewsBHQSU4lce6DN0XRoPdyYz-2AKElf45ie3RpTmApBeVPa3O_5qEmPYYvjahjzqzDVpZs16PUpjPlJgXOzVqTa0moJimJ8PdBU9KKF_sVBOiNX-5Jab2cb1FtkyHm33OxTd65lExIhtwIdEAEc82zS26EBrpjbM3xyWPh9Ps9qRckTwe3Vk3R_GXeGZNE0bglhlEIpbiKWxhDU2UIx3LYZjVLnHi1qJBvaomFSE6DXe4-0nJdJIqRNojfMxODwKJKrNvaBVxWOOXggjfp4DlOzS4RLFZVFUiYjeD6UVNmMp-qKpbjwLct-WMjtbE8lgIPIVAW2T5NID28oycd9MB9FlnId3dk11SpZ_V_r96o52lnI4g3xEYX7yTnTYCe-d2-jI3UBiyqWJW2bLS6QkEh4I5UwVIz7-PXiS3w3DAKyITDiVFzlWiLDyN2A5ketaVF17AmGTqli0K4PFfeoLszx8ygeIso8j3xvqIvce_Y5jyLACqaooTBHd9HWeGjtBixVzz8xFk7_lDrXjVNe7K3-As5UBizu8R9aOCTM45yVkSqITS1VzaLA11KV6FNtkZEC-IDYt2TzDV1MU5DskVZ4bz05RGX-=s500-no)

'เพื่อน' คนที่คอยยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันเมื่อมีความสุข
'เพื่อน' คนที่คอยปลอบใจและร้องไห้ไปด้วยกันเมื่อมีความทุกข์
'เพื่อน' คนที่สำคัญในชีวิตที่แทบทุกคนจะต้องมี
แต่ความสัมพันธ์ของเพื่อน ที่มีต่อเพื่อนด้วยกัน มันก็มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างความสนิทกับ 'ความรัก'

เพราะ 'เขา' คือคนที่อยู่ในใจของผมมาโดยตลอด
และ 'เรา' ก็อยู่ในความสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อนกัน
แต่ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเป็นเพื่อน แต่สำหรับหัวใจของผมนั้น มันไม่ใช่เลย
เขาเป็นมากกว่านั้น
เขาเป็นรอยยิ้ม เขาเป็นความสุข
เขาเป็นคราบน้ำตา เขาเป็นความทุกข์
และที่สำคัญ เขา... เป็น 'ความรัก' ของผม

ผมเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อเขามันผิดหรือเปล่า
การเดินทางของความรักของผมนี้ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
และผมก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะลงเอยเช่นไร


จาก 'อดีตเพื่อน'
จะเปลี่ยน 'อนาคต' ของเราสองคนไปเป็นเช่นไร
คำตอบของความรักนี้คงไม่มีใครตอบแทนได้ นอกจาก 'หัวใจ... ของคนสองคน'
มาร่วมลุ้นไปกับเส้นทางหัวใจของผมดวงนี้ได้...


 :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7:

Hi ทุกคน!!
ไม่รู้ว่าจะมีคนจำได้หรือเปล่า แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอโทษก่อนเลยนะฮะ
เนื่องจาก นิยายเรื่องนี้เคยลงในเล่าแล้วครั้งหนึ่ง และประกาศว่าจะ re-write แต่เพราะปัญหาส่วนตัวบางประการ
จึงทำให้ไม่สามารถแก้จนจบได้ และทำให้การลงนิยายในเล่าเป็นอันต้องยุติตามไปด้วย
ต้องขอโทษจริงๆ นะฮะ

 o1

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ รวมทั้งช่วงเวลา เป็นเพียงสิ่งที่สมมติขึ้นมา อาจมีบางส่วนที่ใช้ชื่อสถานที่จริงมาประกอบ แต่ก็เป็นเพียงฉากเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นแนวเพื่อนรักเพื่อน ที่ไม่รู้ว่าฟรุ้งฟริ้งไหม และก็ไม่รู้ว่าดราม่าหรือเปล่า อยากให้ลองติดตามดู
การเล่าเรื่องจะเป็นการเล่าจากนายเอกเพียงฝ่ายเดียว และไม่มีพาร์ทเสริมของตัวละครอื่นๆ นะฮะ เป็นความตั้งใจของผู้เขียนเอง เพื่อต้องการให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับชีวิตจริงของคนเรามากที่สุด ที่จะรับรู้สิ่งต่างๆ จากเราแค่ด้านเดียว

โทนเรื่องอาจจะเรื่อยๆ เอื่อยๆ หน่อยนะฮะ มีสูง มีต่ำบ้าง ยังไงก็ฝากติดตามและติชมกันได้ฮะ
คอมเม้นต์ให้กันบ้างสักนิด เพื่อนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
สุดท้ายนี้ ของฝาก ไดอารี่ ของ 'ฟร๊องก์' เล่มนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยน๊าาา

PorschePor
หัวข้อ: from PAST to FUTURE: Le Prologue [22/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 22-04-2017 22:44:07
Le prologue

          ‘เพื่อน’ คนสำคัญที่คนทุกคนต้องมี หลายคนแสวงหาเพื่อนที่จะอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังใจให้กันเพื่อให้ผ่านพ้นในยามที่ทุกข์ และร่วมยิ้มและแบ่งปันเสียงหัวเราะไปด้วยกันในยามสุข เพื่อนที่ทุกคนต่างเรียกว่าเพื่อนแท้ ซึ่งมันต้องเกิดจากความผูกพัน ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และที่สำคัญก็คือความรักที่มีให้กัน

          มิตรภาพแห่งเพื่อนนั่นลึกซึ้งมาก จนไม่สามารถหาคำมานิยามได้ แต่ความรู้สึกดีที่มีต่อกันนั้นก็มีเส้นแบ่งอย่างชัดเจนที่ย้ำเตือนไม่ให้ความสัมพันธ์เกินเลยไป โดยความรักที่มอบให้นั้นจะต้องไม่ลึกซึ่งจนเกินไปกว่าคำว่าเพื่อน แต่คุณเคยไหมที่จะรู้สึกดีกับใครสักคน ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘เพื่อน’ และที่สำคัญเพื่อนคนนั้นเป็นคนที่ทะเลาะและคอยแกล้งเราตลอด แต่ก็คอยอยู่เคียงข้าง ช่วยเหลือเราตลอดเหมือนกัน

          ผมไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดหรือเปล่า กับสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ ‘รัก’ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ‘เขา’ เป็นเพื่อน แม้จะไม่ใช่เพื่อนที่สนิทมากมายนัก แต่ความรู้สึกผูกพันที่มีให้ต่อกันมันก็มากกว่าแค่ความเป็นเพื่อนร่วมรุ่น แต่ผมก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้รู้สึกดีกับเขาเกินไปกว่าคำว่าเพื่อนได้

          ผมยอมรับว่าผมรู้สึกกับเขาเกินคำว่าเพื่อน แต่มันเกิดขึ้นตอนไหนผมก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน รู้ตัวอีกที ผมก็มอบความรักให้เขาไปมากเกินเส้นแบ่งของคำว่าเพื่อนแล้ว

          หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับเราสองคน กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกของผมที่ก้าวล้ำเส้นไป แต่ความสัมพันธ์ทางกายของเรากลับล้ำไปมากกว่าที่เพื่อนจะมีกัน

          อนาคตระหว่างผมกับ ‘เขา’ จะเป็นเช่นไรกันก็ไม่รู้ ผมมองไม่เห็นทางจริงๆ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางที่เรากำลังเดินไปมันจะเป็นแบบไหน แต่สำหรับผม ความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ยังคงมากเกินสถานะเพื่อนอยู่เสมอ มากจนไม่สามารถถอนตัวได้   

          แล้วความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่แบบนี้ ผมนั้นผิดหรือเปล่า???


à suivre...
หัวข้อ: from PAST to FUTURE: Chapitre 1 [23/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 23-04-2017 19:27:23
Chapitre 1

        ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงเรียกเข้าแบบคลาสสิกของสมาร์ตโฟนยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่งดังขึ้นขณะที่ผมนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นของบ้าน

   ผมคว้ามันขึ้นมาเพื่อจะกดรับโดยแทบไม่ต้องดูว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา ขณะนี้เวลาห้าทุ่มครึ่งซึ่งเป็นเวลาประจำที่ ‘เขา’ จะโทรเข้ามาในทุกๆ วัน

   “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงสดใสเข้าไปในกระบอกเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปไม่รู้กี่ร้อย กี่พันครั้งที่ต้องรับสายของคนคนนี้ แต่มันก็ไม่เคยไม่ทำให้หัวใจของผมทำงานหนักเลย แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้คุยโทรศัพท์กับคนคนนี้

   [นอนยัง] คำถามง่ายๆ ถูกถามกลับมาทันที

        “ยัง” ผมตอบ พลางอมยิ้มไปด้วย

   [แล้วทำไรอยู่อ่ะ ทำไมไม่นอน] เขาถามผมต่อด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วจะรู้สึกอบอุ่นเสมอ

   “ก็นอนดูทีวีอยู่ แล้วทำไมปาร์คไม่นอนล่ะ” ผมถามเขากลับ

   [ก็... โทรมาหาฟร๊องก์อยู่นี่ไง] แค่นั้นแหละครับ ผมนี่รู้สึกร้อนหน้าผ่าวขึ้นมาทันที เป็นธรรมดาที่เขาจะปล่อยคำพูดเลียนๆ แบบนี้ออกมา และก็เป็นธรรมดาที่ผมจะต้องเขิน ทำใจให้ชินไม่ได้สักที
 
   เขาที่ผมพูดถึงก็คือคนนี้แหละครับ เพื่อนสมัยมัธยมของผมเอง ชื่อก็อย่างที่ทุกคนได้ยินผมเรียกเขาในโทรศัพท์แหละครับ ‘ปาร์ค’ คือชื่อของเขาครับ ปาร์คเป็นคนที่ตัวสูงมาก สูงตั้งประมาณ 185 เซ็นต์ได้เลยแหละ ไม่รู้ว่าจะเปรตไปไหน แต่มันก็ไม่ใช่สูงแต่ผอมแห้งเป็นต้นเสานะครับ ปาร์คน่ะเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนที่เคยเข้าแข่งในระดับประเทศมาแล้ว (ตอนนั้นมันมาอวดผมใหญ่เลยแหละ) เลยทำให้มันมีหุ่นที่ดูสมส่วน มีกล้ามแต่ไม่ได้ใหญ่และน่ากลัวเหมือนพวกที่เล่นกล้ามจนเป็นกล้ามปูนะ แต่เป็นกล้ามแบบนักกีฬาทั่วไปน่ะครับ และที่มันตัวสูงอาจมีส่วนมาจากการเล่นบาสของมันด้วย

   ส่วนหน้าตามันก็... ดีเลยแหละ ต้องบอกว่าดีมากเลยด้วยซ้ำ ใบหน้าเรียวได้รูป คิ้วเข้มที่เรียงเส้นเฉียงขึ้นเล็กน้อย ตาคมสีนิลที่แฝงด้วยความทะเล้น แต่ก็ดูน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน จมูกโด่งเป็นสันราวกับมีใครบรรจงปั้นเอาไว้นั้นอยู่เหนือริมฝีปากเรียวบางแต่หยักลึกสีแดงระเรื่อดูน่าสัมผัส ที่ผมมองทีไรมักเผลอคิดว่าอยากลองจุมพิตริมฝีปากบางคู่นั้นเสมอ ผิวสีแทนแต่เนียนละเอียดดูเป็นลูกผู้ดีมีสกุล แต่มันก็จริงแหละครับ บ้านของปาร์ครวยมาก ที่บ้านมันประกอบธุรกิจส่วนตัว นั่นคือนำเข้าเครื่องปรับอากาศจากต่างประเทศ และพ่อของปาร์คเองก็ถือหุ้นใหญ่ของโรงแรมที่จังหวัดภูเก็ตอีกด้วย ไม่รู้จะรวยไปไหน แต่ปาร์คเองก็ไม่ใช่คนอวดรวยอะไร อยู่แบบคนปกติทั่วไป

   นี่ก็คือเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่กล้าคิดและหวังอะไรกับมันมาก ก็ดูสิครับมันดูสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง หน้าตา และชาติตระกูล ที่สำคัญมีคนติดตามทางสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ และตามจีบมันเยอะแยะมากมายอีกต่างหาก ส่วนผมก็เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งแค่นั้นเอง

   ไหนๆ ก็ได้รู้จักปาร์ค คนที่ผมรู้สึกดีด้วยแล้ว ก็มารู้จักผมกันบ้างแล้วกัน ผมชื่อฟร๊องก์ ชื่ออาจจะฟังดูแปลกๆ นะครับ แต่ฟังประวัติความเป็นมาของชื่อผมก่อน แล้วคุณจะเข้าใจ มันเริ่มจากแม่ผมเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาก่อน ก็เลยตั้งชื่อผมตามภาษาฝรั่งเศสเลย ก็คือ France หรือ ฟร๊องซ์ ที่แปลว่าประเทศฝรั่งเศส แม่ผมก็เลยเกิดไอเดียขึ้นมา ดัดแปลงไปมาเลยกลายมาเป็น ฟร๊องก์อย่างในปัจจุบัน แม่เปลี่ยนตัวการันเป็นก.ไก่แทนเพราะผมเป็นคนไทย เกิดที่ไทย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนแม่ตั้งคิดอะไรของเขาเหมือนกัน แต่เวลาผมเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็จะเขียนตัวสะกดเป็นภาษาฝรั่งเศสเสมอ ก็คือ Franc และด้วยความที่เป็นก.ไก่การันผมเลยตัดตัว e ออกเหลือแค่ตัว c ต่อท้ายแทน

   ผมตัวเล็กกว่าปาร์คพอสมควรครับ ผมสูง 173 เซ็นต์ ซึ่งก็ถือเป็นมาตรฐานชายไทยนะ ไม่เตี้ย แต่รูปร่างของผมค่อนข้างบางคล้ายกับแม่ของผม เลยโดนปาร์คด่าประจำว่าแห้งบ้าง เตี้ยบ้าง และมันก็มักพูดเสมอว่าถ้าไปอยู่กับมันนะ มันจะขุนให้อ้วนเลย ผมก็รอมันอยู่นะครับว่าเมื่อไหร่มันจะพาผมไปอยู่ด้วยสักที ฮ่าๆ หน้าตาผมเหรอครับ พูดไปจะหาว่าผมหลงตัวเอง แต่ผมมั่นใจนะว่าหน้าตาผมโอเคอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าหลายคนมักบอกว่าผมหน้าหวานและยังชอบทำตาโตแบ๊วๆ อีกต่างหาก แต่ที่ทำให้ผมมั่นใจว่าหน้าตาดี เพราะปาร์คเคยบอกว่าชอบเวลาผมยิ้ม รอยยิ้มผมดูสดใส

   [เงียบไปเลย ฮ่าๆ เขินอยู่อ่ะดิ๊] ปาร์คส่งเสียงล้อเลียนมาทางกระบอกเสียงไฮเทคทำให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์ กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ปาร์คมันรู้ครับว่าผมคิดยังไงกับมัน แต่ผมก็บอกมันเสมอว่าผมจะไม่ทำอะไรเกินเลย และไม่ยุ่งวุ่นวายกับมันมากเกินไป ยังไงผมจะยังรักษาระยะของความเป็นเพื่อนไว้อยู่ ทำให้มันเชื่อใจว่าผมไม่ได้คิดเกินเลยอะไรไปกับมันมาก แต่ที่จริงผมก็แอบรู้สึกนะ แต่ก็ได้แค่เก็บมันเอาไว้ ไม่สามารถพูดหรือแสดงออกไปออกไปได้

   “เขินบ้าไร นั่งดูทีวีอยู่ต่างหาก เลยไม่พูด” ผมก็แก้ตัวไปงั้นแหละ จริงๆ ผมเขินจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว ป่านนี้หน้าผมคงแดงเป็นลูกตะลึงสุกแล้ว

   [เหรอออ~] เนี่ยแหละครับปาร์ค กวนประสาทผมเป็นที่หนึ่ง

   “อืม” ผมตอบรับสั้นๆ เวลามันโทรมาผมจะไม่ค่อยพูดหรอก ไม่ใช่ว่าเป็นคนพูดไม่เก่งนะ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า แต่ปาร์คเนี่ยสิ ไม่รู้ว่าสรรหาเรื่องพูดมาจากไหน ถึงเอามาเล่าให้ผมฟังได้ทุกวัน แต่ผมก็ชอบนะ เพราะถ้าวันไหนมันไม่โทรมา วันนั้นผมจะนั่งมองนาฬิกาอยู่ตลอดและรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไป

   [วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง] ปาร์คเอ่ยถามถึงสารทุกข์สุกดิบของผม เป็นประจำทุกวันที่ปาร์คจะถามผมว่าวันนี้เป็นไงบ้าง ผมก็จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ส่วนเรื่องของปาร์ค ผมก็ไม่ค่อยรู้นักหรอก เพราะเวลาผมถามมัน มันก็มักจะเนียนๆ เปลี่ยนประเด็นอยู่เสมอ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรจะต้องปิดบัง

   ที่ปาร์คถึงถามผมแบบนั้น เพราะเราสองคนเรียนอยู่คนละมหาวิทยาลัยกัน ตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ปีสองแล้ว แต่มหา’ลัยเราก็อยู่ไม่ไกลกันมากนะ ยังพอไปมาหาสู่กันได้ ที่สำคัญคือปาร์คมีรถยนต์ ไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปาร์คมาหาผมบ่อยๆ หรอกครับ ปาร์คแทบไม่เคยมาหาผมเลยด้วยซ้ำ มีแต่ผมที่นั่งรถไปหาปาร์คที่มหา’ลัยบ่อยๆ

   ทุกคนคงอยากรู้ล่ะสิว่าเรื่องของผมกับปาร์คมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่ก่อนอื่นขอให้คุณเข้าใจไว้ก่อนนะ ว่าผมกับปาร์คเป็นแค่เพื่อนกัน แม้ว่าผมจะคิดไปเกินเพื่อนก็เถอะ แต่ก็รู้ตัวดีว่ามันไม่สามารถก้าวล้ำเส้นไปมากกว่านี้แล้ว

   เอาล่ะ ผมจะเล่าเรื่องตอนที่ผมรู้ตัวว่าเริ่มมีใจให้กับปาร์คเลยก็แล้วกัน

**********__________**********

   สี่ปีก่อน

   ‘เพื่อนแฟนมึงเดินมาโน้นแล้ว!’ เสียงก้อย เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นในขณะที่ผมกำลังเดินไปส่งงานครูที่หน้าชั้นเรียน ผมสะดุ้งเฮือกเพราะคนที่กำลังเดินสวนมาก็คือเนส เพื่อนสนิทของปาร์ค ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ตอนนี้ผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ เพื่อนส่วนมากก็จะเป็นเพื่อนห้องเดิมที่ไม่ได้ย้ายออก และก็จะมีเพื่อนที่มาจากต่างห้องในตอนมัธยมต้น นั่นก็คือปาร์ค เนสและคนอื่นๆ ห้องผมไม่ค่อยมีเด็กเข้าใหม่เท่าไร มีไม่ถึงสิบคนน่ะครับ หนึ่งในนั้นก็คือก้อย

   ผมยืนหน้างงใส่พวกก้อยที่นั่งยิ้มเยาะเย้ยผมอยู่ราวกับกำลังมีความลับเด็ดๆ เกี่ยวกับผมที่พร้อมจะแฉอยู่ ซึ่งผมก็งงสิครับว่าเรื่องอะไร แล้วเพื่อนแฟนที่ว่านั่นคือใครกันแน่ ผมงงไปหมด ผมไม่มีแฟนนะ แล้วใครจะเป็นเพื่อนแฟนของผมล่ะ (เพื่อนๆ รู้กันนะครับว่าผมมีรสนิยมแบบไหน ผมเองก็ไม่ได้จะปกปิดอะไรอยู่แล้ว)

   ‘เพื่อนแฟนอะไรของมึงวะ’ ผมเดินเข้าไปถามในสิ่งที่สงสัยทันที หลังจากที่ส่งงานครูเสร็จเรียบร้อยแล้ว

   ‘อย่าคิดว่าพวกกรูไม่รู้ เมิงแอบชอบใครอยู่บอกกูมา ไม่งั้นกูไปบอกเจ้าตัวจริงๆ ด้วย’ ผมก็งงเป็นไก่ตาแตกสิครับว่ามันพูดถึงใคร ผมไปชอบใครตอนไหน คนที่เคยชอบก็มีนะ แต่มันเป็นตอนมัธยมต้น พวกนี้ยังไม่เข้าโรงเรียนนี้เลยด้วยซ้ำ อีกอย่างตอนนี้พี่เขาก็จบจากโรงเรียน ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแล้วด้วย

   ‘มึงหมายถึงอะไรกันวะ กูไม่เข้าใจ’ ผมถามมันอย่างไม่เข้าใจ

   ‘มึงชอบเพื่อนไอ้เนสใช่มั้ย’ คนที่มันหมายถึงนั่นคือปาร์คน่ะเหรอ เห้ย!!! พวกมันรู้ได้ไง ผมไม่ได้แสดงออกเลยนะ หรือว่าแสดงออกแต่ผมไม่รู้ตัว ก็ไม่น่าจะใช่ ผมแค่กลับบ้านไปนั่งดูรูปของปาร์คที่เคยถ่ายเอาไว้ตอนไปทัศนศึกษาตอนเทอมหนึ่งเท่านั้นเอง อ๋อ... ลืมบอกไป ตอนนี้เป็นเทอมสองของม.4 แล้วครับ และก็เพิ่งจะเปิดเรียนมาจากการหยุดในเทศกาลคริสมาสต์ โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนในเครือของคริสตศาสนจักร จะมีการหยุดในเทศกาลคริสมาสต์ทุกปี

   ‘มะ...มึงรู้ได้ไง’ ผมพูดตะกุกตะกัก

   ‘แน่ๆ เลยแบบเนี่ย ไหนมึงลองเล่าดิ ว่ามึงชอบมันได้ไง’ ใบเฟิร์นเพื่อนในกลุ่มก้อยเริ่มปฏิบัติการเค้นความจริงจากผม ไอ้พวกนี้ไปเอาข้อมูลมาจากไหนเนี่ย หรือมันมีกล้องสอดแนมอยู่ที่บ้านผม เลยทำให้รู้ว่าผมนั่งดูรูปปาร์คแล้วยิ้มอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน

   ‘มึงรู้ได้ไงว่ากูชอบมัน’ ผมถามกลับไปโดยไม่เอ่ยชื่อ เพราะปาร์คและเนสนั่งอยู่ถัดไปจากก้อยและใบเฟิร์นเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น

   ‘ก็สายตาที่มึงมองมัน ท่าทางมึงบ่งบอกซะขนาดนั้น’ พวกนี้น่ากลัววะ เพิ่งเข้ามารู้จักกับผมไม่นาน แต่ทำไมมองผมออกได้เยอะขนาดนี้ แสดงว่าสายตาผมที่มองปาร์คมันฟ้องมากเลยว่าผมชอบมัน

   ‘เหรอ’ ผมพูดต่อไม่ออก ได้แต่หันไปมองปาร์คอย่างระแวง กลัวว่ามันจะได้ยิน ผมไม่อยากให้มันรู้ เพราะผมกลัวว่าความรู้สึกของมันจะเปลี่ยนไป ผมกลัวว่ามันจะเกลียดผม

   ‘แล้วมึงชอบมันได้ไง ชอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่’ ก้อยยิงคำถามกับผมต่อ

   ‘กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูเริ่มชอบมันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็ไม่รู้ว่าชอบมันได้ไง พูดแล้วก็เหมือนน้ำเน่าเนอะ กูมารู้ตัวอีกทีกูก็รู้สึกว่ากูชอบมันไปแล้ว’ ผมไม่บอกหรอกครับว่ากลับบ้านแล้วผมดูรูปปาร์คทุกวัน แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงใจอ่อนมาเล่าให้คนอื่นฟังง่ายๆ แบบนี้ แต่มันก็จริงอย่างที่ผมพูดนะครับ ผมไม่รู้ตัวจริงๆ ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นได้ยังไง เพราะความรู้สึกมันไม่ค่อยชัดเจน แต่ผมจำได้นะว่าวันแรกที่ผมเริ่มนั่งดูรูปปาร์คคือคืนวันที่ 25 ธันวาคม นั่นก็คือในวันคริสมาสต์ ซึ่งผมก็งงว่าตอนกลางวันของวันก่อนหน้าก็คือวันที่ 24 ที่โรงเรียนผมให้นักเรียนแต่ละห้องจัดปาร์ตี้สำหรับวันคริสมาสต์และปีใหม่ได้ ถือเป็นการให้เด็กผ่อนคลายและสนุกกับเทศกาลแห่งความสุขนี้ วันนั้นผมยังด่าปาร์ค และยังทะเลาะกับมันอยู่เลย แต่ทำไมถัดมาอีกวันผมถึงมานั่งดูรูปมันแล้วยิ้มซะแล้วก็ไม่รู้

   ‘เออ กูเข้าใจว่ะ แล้วมันรู้ยังว่ามึงชอบ’ ก้อยเอ่ยต่อ

   ‘ยังหรอกมึง แต่พวกมึงอย่าบอกมันนะ กูไม่อยากให้มันรู้’ ผมรีบชิ่งบอกพวกก้อยให้ปิดปากไว้ทันที

   ‘ทำไมวะ ถ้ามันรู้ มึงจะได้เดินหน้าเต็มที่แบบไม่ต้องกลัวอะไร เพื่อนคนอื่นไม่มีใครว่ามึงหรอก เชื่อดิ กูว่าจะคอยเชียร์กันด้วยซ้ำ ดูมันก็ท่าทางเหมือนเกย์อยู่นะ มึงมีโอกาสนะเว้ย’ ก้อยพล่ามยาว มันก็จริงอย่างที่ก้อยว่า ปาร์คดูท่าทางคล้ายๆ กับเกย์อยู่บ้าง เพราะมันค่อนข้างเป็นระเบียบแล้วก็ชอบเล่นชอบแกล้งพวกผม แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะ แต่ผมไม่กล้าบอกให้มันรู้จริงๆ ผมกลัวอย่างเดียว กลัวว่ามันจะเกลียดผม

   ‘แต่กูกลัว... กลัวว่าถ้ามันรู้แล้ว มันจะเกลียดกู’ ผมบอกความจริง

   ‘เชื่อดิว่ามันไม่เกลียดมึงหรอก มันไม่ใช่คนใจร้ายสักหน่อย’ ก้อยพยายามกล่อมผม

   ‘ยังไงก็เถอะ กูยังไม่พร้อมว่ะ พวกมึงอย่าเพิ่งบอกมันนะ’ ผมพูดทิ้งท้ายเชิงข้อร้องเอาไว้ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ที่นั่งของตัวเอง ผมนั่งอยู่กลางๆ ห้องแถวติดกับปาร์คนั่นแหละครับ แต่ที่นั่งอยู่เยื้องกันนิดหน่อย ปาร์คนั่งอยู่แถวหลังเยื้องไปทางขวามือของผมหนึ่งแถว ถ้าอยู่แถวเดียวก็ปาร์คก็จะนั่งหลังผมอ่ะครับ

**********__________**********

   หลายวันต่อมา หลังเลิกเรียน เนสเข้ามาทักผม แล้วถามผมว่าผมชอบปาร์คเหรอ ผมนี่หน้าเหวอเลยครับ เนสรู้ได้ไง ถ้าเนสรู้ ปาร์คก็ต้องรู้อ่ะดิ

   ‘เนสรู้?’ ผมถามเสียงสูงด้วยความตกใจ

   ‘ก็พวกก้อยมาบอก’ พวกก้อยงั้นเหรอ! ผมสั่งไว้แล้วว่าห้ามบอก ทำไมเอาไปบอกล่ะ เดี๋ยวปั๊ดจะด่าให้ลืมโลกเลย

   ‘ละ... แล้ว เอ่อ... ปาร์ครู้รึเปล่า’ ผมพูดติดๆ ขัดๆ ได้แต่ภาวนาว่าปาร์คยังไม่รู้เรื่อง

   ‘รู้ดิ ก็ก้อยพูดต่อหน้าไอ้ปาร์คเลย’ พอได้ฟังคำตอบ ผมแทบจะเป็นลมหายไปตรงนั้นเลย ปาร์ครู้แล้ว แล้วผมจะทำยังไง จะสู้หน้ากับมันยังไง

   ‘และ... แล้วมันว่าอะไรหรือเปล่า’ ผมเป็นคนติดอ่างไปแล้ว

   ‘ก็ไม่เห็นว่าอะไร มันก็ยิ้มๆ อยากรู้ไรลองไปถามมันดูดิ พรุ่งนี้แลกที่นั่งกันก็ได้นะ ฮ่าๆๆ’ แล้วเนสก็เดินจากไปอย่างกวนๆ สองคนนี้กวนประสาทพอๆ กันแหละครับ แถมหน้าตายังดีเหมือนกันอีก แต่เนสหน้าจะหล่อแบบไทยๆ หน่อย แต่ก็ไม่ได้หล่อเข้มนะครับ เนสจะดูหล่อแบบเป็นสุภาพบุรุษ และก็ผิวขาว อะไรแบบนั้น

   แต่เนสจะหล่อยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมเครียดมาก พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปจะมองหน้าปาร์คยังไงแล้วปาร์คจะเกลียดผมหรือเปล่า จะคุยกับผมไหม โอ๊ย!!! ผมคิดไม่ตกจริงๆ ก้อยนะก้อย ทำกันได้ บอกไม่ให้บอกแล้วยังจะบอกอีก น่าโมโหนัก!

**********__________**********

   ปัจจุบัน

   นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นของความรู้สึกของผมที่มีต่อปาร์ค จริงๆ ผมต้องขอบคุณพวกก้อยเหมือนกันนะ เพราะถ้าก้อยไม่ทักผมในวันนั้น ผมคงไม่รู้ใจตัวเองแบบนี้ และก็ต้องขอบคุณที่ก้อยบอกเรื่องนี้กับปาร์ค เพราะมันทำให้ผมได้ใกล้ชิดและสนิทกับปาร์คมากขึ้นจนถึงปัจจุบันนี้
 
   เพราะหลังจากวันที่ปาร์ครู้ว่าผมชอบนั้น ปาร์คก็ไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเลย ยังคงคุยกับผม แกล้งผม แล้วก็ด่ากับผมเหมือนเดิม อาจจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ส่วนผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกก้อย ก็แค่เคืองๆ อยู่สองสามวัน

   [นอนได้แล้ว จะตีหนึ่งแล้ว] ปาร์คพูดเสียงเข้มเป็นเชิงคำสั่ง ผมคุยโทรศัพท์กันเกือบชั่วโมงหรือไม่ก็ชั่วโมงกว่าๆ แบบนี้ทุกวัน ผมรู้ว่าปาร์คคิดกับผมแค่เพื่อนที่สนิทและไว้ใจมากๆ คนหนึ่ง แต่เพราะการที่ปาร์คเป็นแบบนี้มันก็ทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าปาร์คเองก็คงมีใจให้กับผมเช่นกัน

   “อืม วางดิ” ผมบอก จริงๆ อยากบอกนะครับว่าฝันดี แต่ปากมันหนัก ไม่กล้าพูด

   [วางก่อนดิ] ยังคงกวนประสาทผม

   “ก็วางดิ จะได้นอน” ผมไม่ยอมครับ

   [อืมๆ ฝันดีล่ะกันนะครับฟร๊องก์]

   “อืม... ฝันดี” แล้วปาร์คก็กดวางสายไป

   ผมได้แต่มองโทรศัพท์แล้วยิ้มอยู่แบบนั้น แค่ได้คุยทุกวันแบบนี้ผมก็ดีใจแล้ว จริงๆ ปาร์คก็ใช้โทรศัพท์รุ่นเดียวกับผมนะ มันเคยบอกว่าลองเปิดกล้องคุยกันสิ จะได้เห็นหน้ากัน แต่ผมไม่กล้าครับ อายแล้วก็เขินด้วย ไม่กล้าสู้หน้ามัน ดวงตามันมีเสน่ห์มากเกินไป

   ผมลืมบอกไปอีกอย่างครับ ปกติผมจะอยู่หอนะ แต่วันนี้เป็นวันพฤหัสผมจึงกลับบ้าน วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ผมไม่มีเรียนน่ะ จริงๆ แม่จะไม่ให้ผมอยู่หอด้วยซ้ำ เพราะบ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลจากมหา’ลัยมากเท่าไร นั่งรถไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง แต่ผมก็ขี้เกียจน่ะครับ มันต้องต่อรถหลายต่อจะเร็วหน่อยก็ต้องพึ่งแท็กซี่ไปเลย ก็เลยอ้างโน้นนี่ว่าเรียนหนักบ้างแหละ อยู่ปีสองต้องทำกิจกรรมให้น้องปีหนึ่งบ้างแหละ ไหนจะมีสอบย่อยอีก บลาๆๆ สารพัดจะอ้างแหละครับ จนสุดท้ายแม่ก็ใจอ่อน ยอมให้ผมไปอยู่หอแต่โดยดี

   แต่ถึงกระนั้นแม่ผมให้ก็ให้ผมหารูมเมทมาร่วมหารค่าห้องด้วย ทั้งๆ ที่ผมอยากอยู่คนเดียวมากกว่า แต่ก็เข้าใจพวกท่านนะว่าอยู่คนเดียวค่าใช้จ่ายมันก็ค่อนข้างสูง ผมก็เลยจะหาเมทมาอยู่ด้วย แค่นั้นแหละครับ ผมโดนปาร์คด่าเลย ตั้งแต่ขอไปอยู่หอแล้ว มันบอกว่าบ้านอยู่แค่นี้จะไปอยู่หอทำไม อยู่หอมันอันตรายอะไรแบบนี้ ผมก็อยากจะถามนะครับว่าที่มันอยู่คอนโดฯ ทุกวันนี้มันไม่อันตรายหรือไง (ก็ที่ผมเคยบอกแหละครับ บ้านมันรวย พ่อแม่มันก็เลยซื้อคอนโดฯ ที่อยู่ไม่ไกลกับมหา’ลัยมันเท่าไรให้ แต่ถ้าผมจะไปหามันที่คอนโดฯ ผมก็ต้องนั่งรถไปอีกต่อหนึ่ง หรือไม่ก็ต้องขึ้นแท็กซี่ไป) แล้วยิ่งมันรู้ว่าผมจะหาเมทมาอยู่ด้วยนะครับ มันด่าผมนี่หูแทบชาไปเลย

   ‘จะหาเมททำไม อยู่คนเดียวสบายๆ ไม่ชอบหรือไง!’

   ‘ก็แม่อยากให้หาคนช่วยหารค่าห้อง’

   ‘ค่าห้องมันจะสักเท่าไรเชียว บอกแม่ฟร๊องก์เลยนะว่าฟร๊องก์จะอยู่คนเดียว!’ มันเอาแต่ใจแค่ไหนล่ะครับ ลองดูสิ

   ‘แต่...’

   ‘ไม่มีแต่ บอกแม่เลยว่าจะอยู่คนเดียว ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่เชื่อกันก็ลองดู!’ นิสัยมันเป็นแบบเนี่ยแหละครับ ชอบขู่ผม ถ้าผมไม่ทำตามที่มันต้องการมันก็จะโกรธ พาลหาเรื่องผม แถมยังงอนไม่คุยด้วยเป็นอาทิตย์ๆ ทั้งที่เป็นเพื่อนกันแต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงชอบสั่งให้ผมทำโน้นนี่แบบนี้

   ‘เออๆ แต่ไม่รับปากนะว่าแม่จะให้หรือเปล่า’ ผมยอมรับปากกับคนเผด็จการ

   ‘ต้องรับปาก ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปอยู่ หออ่ะ!’ ดูมันสิครับ มันจะเป็นพ่อแทนพ่อแท้ๆ ของผมแล้ว ตัดสินใจแทนทุกอย่าง ไอ้บ้าเอ๊ย! ปากก็บอกว่าเป็นแค่เพื่อน แต่ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย มันทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองนะ!

   ‘ปาร์คอย่าเอาแต่ใจดิ มีเหตุผลหน่อย’
 
   ‘ไม่รู้แหละ คุยกับแม่ให้ได้ว่าจะอยู่คนเดียว ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปอยู่!’ สิ้นเสียงคำสั่งปาร์คก็วางสายไปเลย แล้วผมทำอะไรผิดหละ ก็แค่จะไปอยู่หอ แล้วต้องหาเมทอยู่ด้วยแค่เนี่ย

   แต่ในที่สุดผมก็ได้อยู่หอสมใจครับ แต่ก็แลกมาด้วยการโดนแม่ด่า จนสุดท้ายก็ได้อยู่คนเดียวสมใจคุณชายปาร์คเขาล่ะ หึ! วันที่ไปดูหอกับผมนี่ยิ้มหน้าบานเลย ได้ดั่งใจแล้วนี่ครับ ทำไมไม่มาอยู่หอผมแทนเลย ผมจะได้ไปอยู่คอนโดฯ มันแทน คงจะหรูกว่าหอผมเยอะเลย

   แม่กับพ่อผมรู้จักปาร์คครับ อาจจะไม่ได้เจอกันมากเท่าไร แต่ก็รู้ครับว่าปาร์คเป็น ‘เพื่อน’ ที่ผมค่อนข้างสนิทและใกล้ชิดมากที่สุด ส่วนพ่อแม่ปาร์คเองก็คงพอรู้จักผมครับ เคยเจอกันอยู่บ้างแต่แค่ไม่กี่ครั้ง พ่อปาร์คดูนิ่งๆ เงียบๆ แต่ใจดีมาก ส่วนแม่ปาร์คนี่เฮฮา เข้าใจและเข้ากับลูกได้ดี น่ารักมากๆ เลยแหละ ถึงว่าปาร์คขี้อ้อนกับแม่ ปาร์คมีพี่อีกคนแต่รายนั้นผมไม่เคยเจอกันหรอกครับ

   พอได้มาอยู่หอผมก็คิดถึงบ้านครับ ตั้งแต่เล็กจนโต (โอ้แม่ถนอม) ผมอยู่บ้านมาตลอดเลยครับ ถือว่าเป็นเด็กติดบ้านเลยก็ว่าได้ พอเวลามาอยู่หอก็เลยออกอาการ Homesick เกิดขึ้น ทำให้ผมกลับบ้านบ่อย (แทบจะทุกอาทิตย์อ่ะครับ) พอวันพฤหัสฯ ปุ๊บ แล้วสุดสัปดาห์ว่างก็จะรีบนั่งรถกลับบ้านทันทีอย่างไม่ลังเล
 
   ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรเด่นมากเนอะ ก็เรียนๆ เล่นๆ ไปวันๆ รอโทรศัพท์จากปาร์ค นั่งยิ้มคนเดียว ฮ่าๆ เหมือนคนบ้าเลย แต่ผมก็ยังไม่มีแฟนนะ ตั้งแต่มัธยมแล้ว จนตอนนี้เข้ามหา’ลัยมาเป็นปีล่ะ ยังหาแฟนไม่ได้เลย แต่ผมก็ไม่สงสัยนะ ก็ผมไม่สนใจใครเลยนี่ครับ อาจจะมีมองและก็ปลื้ม ก็ชอบอยู่บ้างประปราย แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะจีบหรือจริงจัง เพราะยังไงใจผมก็มีแต่ปาร์คคนเดียว (น้ำเน่าเนอะ)

   ผมเป็นพวกไม่ค่อยสนใจโลกด้วยมั้งครับ แต่เป็นคนที่แคร์คนรอบข้างมากๆ นะ ยิ่งสนิทมากเท่าไรผมก็จะยิ่งแคร์ความรู้สึกเขามากเท่านั้น ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละ เลยโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ ผมโกรธบ้างนะเวลาโดนแกล้งแรงๆ แต่ผมไม่เคยโกรธใครได้นานหรอก เพราะผมมักจะใจอ่อนเสมอเวลาเห็นเพื่อนหรือคนที่ผมรักเป็นทุกข์หรือมีปัญหา ผมไม่ค่อยเกลียดใคร แต่ถ้าถึงขั้นเกลียดเมื่อไหร่ ไม่ต้องพูดกันครับ ผมจะทำเหมือนคนๆ นั้นเป็นธาตุอากาศ ไม่มีความหมายใดๆ กับชีวิตผมเลย


à suivre...

ตอนแรกๆ จะยังเป็นการปูเรื่องก่อนนะฮะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ?
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 23-04-2017 22:46:16
เจิมมมมมมมม  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:         ชอบคะสนุกดีมากต่ออีกนะ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 2 [25/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 25-04-2017 20:40:51
Chapitre 2

   วันจันทร์มาเยือนอีกแล้ว ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์สามวันผ่านไปเร็วเนอะ ผมรู้สึกว่ายังพักผ่อนไม่เต็มที่เลย ต้องมาเผชิญกับบทเรียนอีกแล้ว วันนี้ผมนั่งรถกลับหอตั้งแต่เช้าตรู่ครับ เอาของกลับหอก่อน แล้วก็รอเวลาไปเรียนทีเดียวครับ อยากจะบอกว่า... ผมไม่ได้อาบน้ำออกมาจากบ้าน! ก็มันเช้าอ่ะ แค่ล้างหน้าแปรงฟัน ฉีดน้ำหอมอีกหน่อยก็นั่งรถมาเลย ถ้าไปสายๆ รถมันจะติด แล้วคนจะเยอะ ซึ่งมันน่าอาย 

   ผมมีเรียนเช้าครับวันนี้เลยต้องรีบกลับมา เป็นวันเดียวที่เรียนเช้า ปกติผมมีเรียนบ่ายโมงครับ เพราะผมเรียนอยู่ภาคพิเศษหรือภาคเปลที่หลายๆ มหา’ลัยใช้เรียกกัน จะเริ่มเรียนตอนบ่ายถึงหัวค่ำครับ ผมจะเลิกเรียนหกโมงเย็น หรือไม่ก็สองทุ่มแบบนี้สลับกันในแต่ละอาทิตย์ ซึ่งผมก็คิดว่าดีนะ ไม่ต้องรีบแหกขี้ตาตื่นไปเรียน ผมเลยคุยโทรศัพท์กับปาร์คดึกๆ ดื่นๆ ได้ไงครับ ส่วนมันน่ะเหรอ มีเรียนเช้ามันก็ไม่หวั่นหรอก เพราะมันนั่งเล่นเกมออนไลน์ดึกกว่าที่คุยโทรศัพท์กับผมเสียอีกมั้ง แต่เห็นแบบนั้นมันเรียนเก่งนะครับ หัวดีอยู่ แต่อาจจะติดขี้เกียจไปบ้าง

   “ทำงานเสร็จยังอ่ะฟร๊องก์” เสียงป๊อปอายเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มเอ่ยทักผมหลังจากที่ผมเดินเข้าไปที่ศูนย์อาหารหลังเลิกเรียนในวิชาแรกตอนเก้าโมง ที่นี่มักจะเป็นจุดนัดพบของกลุ่มผม ถ้าว่างไม่ติดอะไรทุกคนจะมากินข้าวด้วยกันก่อน ก่อนที่จะไปเรียน ในเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วรอเรียนบ่ายโมง แต่ส่วนใหญ่วันจันทร์ตอนประมาณสิบเอ็ดโมงแบบนี้จะเป็นที่ประจำทุกอาทิตย์เลยครับ
 
   “งานอะไรอ่ะ” ผมหันไปถามป๊อป (เรียกสั้นๆ) หลังจากวางกระเป๋าลงข้างๆ กับเก็ทเพื่อนชายอีกคนที่ผมอาศัยรถยนต์มาเรียนด้วยเสมอ

   กลุ่มผมมีอยู่แปดคน รวมผมแล้วนะ มีผู้หญิงอยู่สี่คน อีกสี่ก็ผู้ชาย แต่ก็จะมีผมกับไวน์ที่ไม่ใช่ผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ไวน์จะออกสาวๆ อย่างชัดเจนเลยครับ ส่วนผมถ้าดูผิวเผินจะไม่ค่อยแสดงออกมากเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ปกปิดอะไร ไวน์ตัวเล็กกว่าผมอีกครับ จัดว่าเป็นคนที่น่ารักเลยแหละ ตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าตาจิ้มลิ้มดูแบ๊วๆ จัดฟัน ที่สำคัญมีแฟนแล้วนะครับ แฟนหวงมากซะด้วย

   ทุกคนในกลุ่มผมเรียนมัธยมมาจากคนละที่ทั้งนั้นเลย เพิ่งมาเจอและรู้จักกันที่นี่ ตอนแรกๆ ที่เข้ามาเรียนมหา’ลัยผมมีเพื่อนแค่สองคนก็คือไวน์กับโดนัท เพราะสองคนนี้เป็นคนเข้ากับคนง่าย เฮฮา ก็เลยสนิทกับผมค่อนข้างเร็ว

   ไวน์ก็อย่างที่ผมบอกไว้ในตอนแรกแหละครับ ร่างเป็นผู้ชาย แต่จิตใจออกไปทางผู้หญิงเยอะกว่า แต่ก็น่ารักดีนะครับผมว่า ถึงไวน์จะแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ก็ไม่ได้ทำตัวน่าเกลียด ผมว่าไวน์ยังวางตัวในสังคมได้ดีกว่าคนที่เป็นแบบนี้อีกหลายๆ คนด้วยซ้ำไป ด้วยความที่มีหน้าตาน่ารัก แถมยังตัวเล็ก ทำให้ไวน์ป๊อปปูล่าไม่เบาทั้งในคณะ จนถึงมหา’ลัย แต่ไวน์ก็ไม่เล่นกับใครมั่วๆ นะ อาจจะมีออกท่าทางชอบบ้าง แต่ไม่มากนัก เป็นเพราะตัวเองมีแฟนแล้วด้วย เลยไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนที่เข้ามาผัวพัน จะมีก็แค่เล่นกัน (ค่อนข้างแรง) กับผู้ชายอีกสองคนในกลุ่ม ไวน์เป็นคนจริงใจครับ ถึงบางทีคำพูดจะดูหนักและรุนแรงไปหน่อย แต่ก็พูดออกมาเพราะคิดแบบนั้นจริงๆ นิสัยก็คล้ายๆ ผมแหละครับ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แต่ผมจะพูดไว้หน้าบ้าง แต่ไวน์นี่ ไม่ชอบด่าเละครับ

   ส่วนโดนัทเป็นผู้หญิงครับ รู้จักกับไวน์มาก่อนเพราะเคยคุยกันทางเฟซบุ๊กก่อนที่มหา’ลัยจะเปิดเรียน (ตอนปีหนึ่ง) เธอเป็นคนหน้าตาดีครับ หุ่นก็อวบนิดๆ เรียกว่าเป็นผู้หญิงมีเนื้อ นม ไข่? ดีกว่า เห็นอย่างนี้คนตามจีบเยอะนะครับขอบอก อาจเป็นเพราะความอวบอึ๋มของเธอด้วย แต่ถ้าผู้ชายที่ตามจีบเธอได้มาเห็นความโก๊ะ เปิ่น ฮาแตกของเธอก็อาจจะพากันหนีหายไปหมด โดนัทเป็นคนเฮฮามากครับ คอยสร้างสีสันให้กับกลุ่มเสมอ แต่แปลกเวลาเมาเมื่อไหร่จะกลายเป็นคนนิ่งเงียบ นั่งตาเย้มอยู่เฉยๆ ไม่คุยกับใครเลย ก็แปลกดี

   “ก็งานลิทไง” ป๊อปอายพูด ผมก็ถึงบางอ้อทันที พวกผมเรียนอยู่คณะศิลปศาสตร์ครับ เอกภาษาอังกฤษ เลยต้องเรียนวิชาบังคับคือวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าลิท (Lit) ซึ่งย่อมาจาก Literature

   ป๊อปอายคือเพื่อนอีกคนในกลุ่ม พวกผมสามคนเข้ามาอยู่กลุ่มป๊อปอายทีหลัง ก็ประมาณเมื่อเทอมที่แล้ว ปีหนึ่งเทอมสอง เพราะเรียนในคลาสเดียวกันก็เลยเริ่มสนิทกันมากขึ้น ป๊อปอายพวกผมจะเรียกสั้นๆ ว่าป๊อป เพราะเธอป๊อปมากในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ป๊อปอายเป็นคนหน้าสวยมากๆ ชอบแต่งตาเฉียวๆ หุ่นดี แต่งตัวเก่ง บุคลิกของเธอจะออกแนวผู้หญิงเปรี้ยวๆ ไม่ใช่กลิ่นตัวนะครับ ฮ่าๆ เลยทำให้เป็นที่หมายปองในบรรดาผู้ชาย ซึ่งที่มหา’ลัยผมมันจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วมั้งครับ ที่ผู้ชายวิศวะจะต้องคู่กับผู้หญิงศิลปศาสตร์ แต่ก็ยังไม่ใช่กับป๊อปอายนะ เพราะเธอยังไม่คิดจะมีแฟนเลย ป๊อปอายเคยบอกว่าตอนนี้ขอมอบความสุขกับตัวเองให้เต็มที่ก่อน อีกอย่างยังไม่มีใครถูกใจด้วย ผมว่ามันก็เป็นความคิดที่ดีนะ

   “อ๋อ เสร็จแล้ว อยู่ในกระเป๋าอ่ะหยิบเอานะ เดี๋ยวเราไปซื้อข้าวก่อน” ผมหยิบกระเป๋าเป้ส่งให้ป๊อปอาย “เก็ทไปซื้อข้าวเป็นเพื่อนหน่อยดิ” ก่อนที่ผมจะหันไปหาเก็ทที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่อย่างขะมักเขม้น

   เก็ท ผู้ชายร่างใหญ่ สูงกว่าปาร์คเสียงอีก และกล้ามเนื้อค่อนข้างหนาครับ เพราะเก็ทมีเชื้อแขกขาวชาวอาหรับ เนื่องจากปู่ของเป็นลูกครึ่งดูไบ ใบหน้าเก็ทจะออกไปทางแขกๆ มากกว่า หล่อนะครับ ตาคม หน้าเรียวดูเข้มๆ แต่ตัวขาวมากๆ เป็นแขกขาวน่ะครับ เก็ทเป็นเพื่อนที่ผมสนิทและไว้ใจที่สุดในกลุ่ม มันมีแฟนอยู่แล้วครับ แต่อยู่คนละมหา’ลัยกัน เหมือนผมกับปาร์คนั่นแหละ (แต่รู้สึกว่าผมกับปาร์คจะไม่ใช่แฟนกันนะ) และเก็ทก็รู้ครับว่าผมมีคนที่รักอยู่แล้ว เก็ทเป็นคนเงียบๆ นะครับ ไม่ค่อยพูด ถ้าคนไม่รู้จักจะมองว่าเย็นชาก็ไม่แปลก แต่เก็ทกลับเป็นที่ปรึกษาที่ดีมากๆ ของผม

   “น่ารำคาญจริงๆ เลย จะต้องให้อุ้มไปด้วยเลยไหม” เมื่อกี้ผมบอกว่าเก็ทเป็นคนเงียบๆ ใช่ไหม แต่ผมขอแก้คำพูดนิดหนึ่ง ไอ้นี่มันเงียบกับคนอื่น แต่กับผมนี่บางทีมันกวนประสาทมากเลยทีเดียว

   “ก็ดีนะจะได้ไม่ต้องเดิน ฮ่าๆ” กวนมาผมก็กวนกลับสิ ใครจะไปยอม ผมน่ะปากใช่ย่อยนะ บอกไว้ก่อน

   “จะไปก็ไปสิ เดี๋ยวเที่ยงคนเยอะก็อดกินอีก แค่นี้ยังผอมไม่พอหรือไง” ว่าแล้วเก็ทก็ลุกเดินนำหน้าผมไป แล้วมันรู้ได้ไงว่าผมจะกินอะไร ร้านไหน

   “รอด้วยดิเก็ท!” ผมเรียกก่อนจะวิ่งไล่หลังไป หมอนี่ขายาวฉิบหายลุกไปแป๊บเดียว เดินไปได้ตั้งไกลล่ะ “เดี๋ยวมานะ เออป๊อปอย่าลอกนะ ลองๆ แปลงประโยค แปลงคำเอาหน่อยแล้วกัน” ก่อนที่ผมหันไปคุยกับเพื่อนที่อยู่ที่โต๊ะ

   ตุบ! โอ๊ย!

   ผมล้มลงกับพื้นเพราะชนเข้ากับกำแพงมนุษย์อย่างจัง ผมมัวแต่หันไปคุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ เลยวิ่งไม่ดูทางเลยชนเข้ากับใครไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าเขาตัวใหญ่กว่าผม และที่สำคัญคือผมเจ็บก้นมาก!

   “เป็นอะไรไหมครับ... น้องฟร๊องก์” เสียงทุ่มเอ่ยถามพร้อมกับมือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้า

   “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับ” ผมปฏิเสธที่จะจับมือนั้นอย่างสุภาพ ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

   “มีไรหรือเปล่าฟร๊องก์ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” เก็ทเดินกลับมาหา คำถามแรกแลดูเป็นห่วง แต่ทำไมหลังมันเหมือนด่ากันเลยอ่ะ

   “ไม่เป็นไรเก็ท” ผมหันไปตอบเก็ทที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะกล่าวขอโทษคนตรงหน้าที่ผมชนเข้าเมื่อกี้ “ฟร๊องก์ขอโทษพี่หมากด้วยนะครับ ฟร๊องก์รีบไปหน่อยเลยไม่ทันได้ระวัง” ผมก้มหน้างุดๆ ขอโทษพี่หมาก รุ่นพี่ปีสามในคณะเดียวกัน แต่อยู่คนละสาขา

   พี่หมากเคยเป็นพี่เทคผมตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง เขาคอยปลอบเวลาประชุมเชียร์แล้วพวกผมโดนพี่ว๊ากด่า เลยทำให้ผมรู้จักกับเขา พี่หมากตัวสูงครับ แต่เตี้ยกว่าเก็ทหน่อย แต่ก็สูงพอๆ กับปาร์ค แต่ตัวหนากว่านิดหน่อย (มีแต่คนตัวสูงๆ เนอะ มันเลยทำให้ผมดูเตี้ยไง ทั้งๆ ที่จริงผมก็สูงในระดับมาตรฐาน) ผมจำได้ว่าพี่หมากชอบเข้าฟิตเนต เพราะตอนปีหนึ่งชอบชวนผมไปด้วย แต่ผมขี้เกียจเลยปฏิเสธเป็นประจำ หน้าตาดีเลยแหละครับ เขามีงานพิเศษเป็นนายแบบด้วย เลยต้องฟิตร่างกายตลอดมั้ง เพื่อให้หุ่นคงที่ ล่าสุดผมเห็นเขาเล่นมิวสิกวีดีโอด้วย ถือว่าเป็นที่หมายปองของทั้งสาวแท้และสาวเทียม รวมทั้งเก้งกวางด้วย แต่ความรู้สึกผมบอกว่าพี่เขาเป็นเกย์เหมือนกันนะ แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร

   “ไม่เป็นไรครับ แล้วนี่จะรีบไปไหนล่ะ” พี่หมากโปรยยิ้มหวานมาให้ผม ผมยอมรับนะครับว่าเคยปลื้มๆ พี่เขาอยู่เหมือนกัน ผมชอบเวลาพี่เขายิ้ม ตานี้หยีเลย พี่เขายิ้มสวยดีครับผมว่า

   “รีบไปซื้อข้าวน่ะครับ” ผมตอบพลางยิ้มให้

   “ฟร๊องก์รีบไปเหอะ คนเริ่มเยอะแล้ว” เก็ทขัดขึ้นมา มันไม่ค่อยชอบหน้าพี่หมากครับ มันเคยบอกว่าพี่เขาไม่น่าไว้ใจ ไม่อยากให้ผมเข้าใกล้ แต่ผมก็รู้สึกว่าพี่เขาไม่เห็นมีอะไรเลย

   “ผมไปก่อนนะครับ” ผมก้มหน้าให้พี่หมากอีกครั้ง ก่อนจะถูกเก็ทคว้ามือแล้วกระชากออกจากพี่เขาไปทันที

   “เก็ทเป็นอะไร ปล่อยมือฟร๊องก์ก่อน” ผมพยายามหยุดเดินและสะบัดมือออกจากการจับกุมของเก็ทเพราะผมรู้สึกว่าเก็ทบีบมือผมแรงมาก

   “ทำไมขอโทษมันเสร็จแล้วไม่รีบเดินหนีมา” เก็ทเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่มันทำผมเสียงสันหลังวาบ

   “ก็แค่คุยกับเขาตามมารยาท” ผมตอบกลับ ตอนนี้เก็ทปล่อยมือผมแล้ว แต่คนรอบข้างก็เริ่มมองแล้วเช่นกัน จริงๆ เขามองกันตั้งแต่ที่ผมชนพี่หมากแล้วล้มเมื่อกี้แล้วแหละ

   “ไม่เห็นสายตาที่มันมองหรือไง มันจะกินฟร๊องก์เข้าไปทั้งตัวแล้ว บอกแล้วไม่เชื่อฟังกันเลย บอกแล้วว่ามันไม่น่าไว้ใจ ยังชอบไปยุ่งกับมันอีก” เก็ทบ่นยืดยาวเล่นเอาผมอารมณ์เดือดขึ้นเหมือนกัน

   “แล้วจะให้ฟร๊องก์ทำยังไง! ฟร๊องก์เดินชนเขาก็แค่ขอโทษแล้วเขาถามก็ตอบไปตามมารยาท เก็ทจะด่าฟร๊องก์ให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ทำไม” ผมเริ่มเสียงดังขึ้นมาแล้ว ผมไม่ใช่คนยอมคนที่จะปล่อยให้ใครมาด่าฉอดๆ แล้วยืนร้องไห้อยู่เฉยๆ นั่นไม่ใช่ผมแล้ว

   “ช่างเหอะ เก็ทแค่อยากเตือนฟร๊องก์เอาไว้ รีบไปซื้อข้าวซะ คนเริ่มเยอะแล้ว” เก็ทรู้ครับว่าผมเป็นคนยังไง ถ้ายิ่งแรงมา ผมก็ยิ่งแรงกลับ ผมจึงเดินไปซื้อข้าว หงุดหงิดอยู่เหมือนแหละ แต่ก็ไม่ใช่ไม่สามารถควบคุมได้

**********__________**********

   ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ ส่วนเก็ทก็เดินตามหลังผมมาเงียบๆ ผมกับเก็ทมักทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องประจำแหละครับ แต่แป๊บเดียวก็หายโกรธแล้ว ผมบอกแล้วไงครับว่าผมโกรธง่ายแต่หายเร็ว

   “เมื่อกี้เกิดไรขึ้นวะ” นุ่นถามหลังที่เก็ทหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้ข้างขวาของผม

   “ไม่มีอะไร เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” ผมตอบ

   “อืม พวกกูจะลุกไปช่วยกันอยู่แล้วตอนที่มึงล้มอ่ะ แต่เห็นไอ้เก็ทมาพอดีเลยให้มันช่วยเลย” นุ่นพูดต่อ

   นุ่น ผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผิดกับนิสัยและบุคลิกที่เหมือนทอมบอย ทั้งการพูดจาที่ห้าวหาญและเลี้ยงหมาไว้ในปากเยอะมาก รวมทั้งความบ้าดีเดือดที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ผู้ชายหลายคนที่มาลองดีเป็นต้องหน้าหงายกลับไปทุกราย แต่นุ่นก็ยังคงปฏิญาณตนนะว่าตัวเองยังชอบผู้ชายอยู่ ผมก็งงเหมือนกันทั้งๆ ที่มีผู้ชายตั้งหลายคนเข้ามาให้เลือก แต่นุ่นกลับแสดงบทเป็นยักษ์ เป็นมารใส่จนผู้ชายชิ่งหนีหายไปกันหมด

   “...” ผมไม่ตอบอะไร พลางเหลือบตามองเก็ทนิดหน่อย ส่วนมันก็เหมือนรู้ตัว มองผมอยู่เช่นกัน ผมเลยก้มลงกินข้าวในจานของตัวเอง วันนี้ผมกับเก็ทมาช้าครับ เลยกินข้าวทีหลังอยู่สองคน เพราะมัวแต่คุยกับอาจารย์เรื่องงานอยู่ ปกติแล้วผมจะมามหา’ลัยพร้อมกับเก็ท รวมถึงโดนัทและไวน์ด้วย จะมารถเก็ทด้วยกัน ส่วนที่เหลือจะมากับเพื่อนอีกคน เพราะบ้านเก็ทผ่านหอที่พวกผมอยู่พอดี แล้วเวลาเรียนยังตรงกันตลอดอีก

   “ไม่อยากเรียนลิทเลย” เสียงหวานๆ ของแก้วดังขึ้น
 
   แก้วเป็นคนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มก็ว่าได้ หน้าตาสะสวยแบบไทยๆ  เป็นคนมีมารยาทเพราะที่บ้านอบรม สั่งสอนมาดีมาก เห็นป๊อปอายเคยบอกว่าบ้านแก้วเป็นตระกูลผู้ดีเก่า แก้วเลยถูกสอนมาให้เรียบร้อยแบบนี้ น้ำเสียงหวานๆ เข้ากับตัวและหน้าตาครับ ดูจากผิวพรรณก็รู้แล้วว่าเป็นลูกผู้ดี แก้วตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเลย จึงกลายเป็นคนที่ทุกคนเกรงใจและทะนุถนอมมากที่สุด ไม่มีใครพูดคำหยาบหรือใช้กูมึงกับแก้วเลย

   “เรียนๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็ผ่านไป” จะมีก็แต่คนนี้แหละครับ ที่เพื่อนในกลุ่มก็พอดูออกว่าคิดยังไงกับแก้ว

   มันชื่อดิวครับ เข้ากลุ่มมาพร้อมกับเก็ท มีแค่สองคนนี้แหละครับที่จบมาจากโรงเรียนเดียว เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม ดิวสูงกว่าผมไม่เยอะมากครับ น่าจะประมาณ 180 เซ็นต์เห็นจะได้ ผิวไม่ขาวมาก ออกขาวเหลืองน่ะครับ หน้าตาใช้ได้เลยทีเดียว ดิวเป็นคนที่ชอบแซวคนอื่นครับ แต่บางทีก็มากเกินไป แต่ก็เป็นสีสันดีนะครับ ดิวกับนุ่นมักจะเป็นตัวยุ ตัวชงกันประจำ คนหนึ่งปล่อยมุก อีกคนรับมุกได้ทันควัน สนุกไปอีกแบบ พวกผมพอรู้นะครับว่าดิวกำลังจีบแก้วอยู่ ถึงจะชอบพูดจากวนไปหน่อยก็เถอะ แต่บางครั้งก็แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน รวมทั้งสีหน้าและแววตาเวลามองแก้วด้วย พวกผมก็ไม่ได้ห้ามนะครับ อยากให้ได้ลองศึกษากันเอง

   แนะนำไปแนะนำมาก็ครบแปดคนพอดี (นับรวมผมด้วยนะ) เป็นไงล่ะเพื่อนผมแต่ละคน ใช้ได้เลยใช่มั้ยล่ะ เอาล่ะครับ ผมขอกินข้าวให้หมดจานก่อน (ซึ่งก็ไม่เคยกินหมดได้สักที) เดี๋ยวจะต้องไปเรียนต่อตอนบ่ายอีก วิชาที่จะไปเรียนก็ไม่พ้นลิทหรอกครับ ผมว่าวิชามันน่าสนใจนะ สนุกดี อาจารย์จะสอนให้อ่านวรรณคดี นิทาน เรื่องเล่าภาษาอังกฤษแล้วให้วิเคราะห์แก่นเรื่อง รวมถึงดูภาพยนตร์ด้วย แต่เวลาเรียนกดดันไปหน่อยครับ อาจารย์แกชอบกดดัน นิสิตส่วนมากเลยไม่ค่อยอยากจะเข้าเรียน แล้วอาจารย์จะชอบเช็คชื่อครับ ถ้าวันไหนคนขาดเยอะๆ ผมยังเคยโดนเช็คขาดเลย แอบโดดเรียน

   วู้ววว~ เรียนเสร็จสักทีครับ วันนี้ผมเลิกเรียนตอนหกโมง ซึ่งเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้า มีพักแค่ตอนสิบโมงครึ่งถึงบ่ายโมง หลังจากนั้นก็ยิงยาวเลย เหนื่อยมากกก ที่สำคัญหิวมากด้วย (อันนี้ประเด็นสำคัญกว่า)
ผมรีบชวนเพื่อนไปกินข้าวทันทีครับ พวกผมจะแบ่งกันไปรถสองคัน นั่นก็คือรถเก็ทกับรถดิว สองคนนี้บ้านรวยครับเลยมีรถขับรับส่งเพื่อนๆ

   เกือบชั่วโมงต่อมาพวกผมก็นั่งจดจ่ออยู่กับมื้อเย็นในห้างดังครับ มันเป็นที่ประจำของพวกผมเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยมานะครับ มาแค่บางครั้งบางคราว มาบ่อยมีหวังจนตาย กินกันเสร็จพวกผมก็มีคิวดูหนังกันต่อ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการไปร้องคาราโอเกะ ไม่ต้องห่วงเรื่องการกลับดึกอยู่แล้วนี่ครับ พรุ่งนี้เรียนตั้งบ่ายโมงกลัวอะไร

   “ฟร๊องก์!” เสียงผู้หญิงที่ไหนเรียกผม หลังจากที่เดินออกมาจากร้านอาหาร

   “อ้าวเนส พัด มาทำไรกันเนี่ย” ผมหันไปตามแหล่งก็ก็พบกับเพื่อนสมัยมัธยมสองคน คือเนสกับพัด สองคนนี้เป็นแฟนกัน เพิ่งเปิดตัวหลังจากที่เข้าเรียนมหา’ลัย ตอนมัธยมไปแอบชอบกันตอนไหนไม่มีใครรู้เลยสักคน

   “มาดูหนังน่ะ พรุ่งนี้เนสเรียนบ่าย แล้วพัดก็ไม่มีเรียน ก็เลยมาเที่ยวกัน” พัดพูดอย่างยิ้มแย้ม ก็แหมคู่นี้หวานกันจะตายไป น่าอิจฉาจริงๆ

   เนสเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับผม แค่คนละคณะ เนสเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนพัดเรียนมหา’ลัยเดียวกับปาร์ค แล้วก็เรียนวิศวะเหมือนกับเนสอีกต่างหาก หนุ่มวิศวะคู่กับสาววิศวะ หวานซะไม่มี

   “มดเดินตามมาเป็นทางแล้วมั้งเนี่ย ว่าแต่พัดจะกลับยังไงล่ะ”

   “เดี๋ยวเราไปส่งเองแหละ” เนสว่าครับ สองคนนี้คบกันอย่างเปิดเผย พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายรู้ เนสเลยสามารถไปส่งหรือไปรับพัดออกมาเที่ยวได้ แต่ทั้งคู่ก็รู้ขอบเขตนะ พัดออกจะเรียบร้อย เนสเองก็เป็นสุภาพบุรุษ

   “แล้วฟร๊องก์มากับใครล่ะ” พัดเอ่ยถาม
 
   “อ๋อ เรามากับเพื่อนน่ะ เดินไปนู้นกันหมดแล้ว” ผมชี้ไปที่กลุ่มเพื่อนที่นั่งรออยู่แถวโซฟาเพื่อรอดูหนัง

   “งั้นฟร๊องก์ไปเถอะ แล้วเจอกันใหม่”

   “คราวหน้าก็ชวนไอ้ปาร์คมันมาด้วยสิ จะได้ดูหนังด้วยกันสองคนมั้งไง ฮ่าๆ” เนสกวนประสาทผมทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ชิ! ถ้าชวนมันมาง่ายๆ ก็ดีน่ะสิ ผมกับมันเคยดูหนังด้วยกันนับครั้งได้เลย ผมชวนเท่าไรก็ไม่เคยว่าง
สรุปแล้วผมและเพื่อนก็เขาไปดูหนังเรื่องเดียวและรอบเดียวกับเนสและพัด ตอนออกจากโรงหนังเนสยังกวนเส้นผมไม่เลือก กวนประสาทพอๆ กันเลยทั้งปาร์คทั้งเนส

   หนังที่เลือกดูวันนี้สนุกมากเลยครับ พวกผมชอบดูหนังฝรั่ง ถูกใจผมมากๆ เรื่องนี้ ตอนนั่งอยู่ในโรงหนัง บรรยากาศทำให้ผมนึกย้อนกลับไปในเวลาที่ผมไปดูหนังกับปาร์ค ถึงมันจะเป็นเพียงไม่กี่ครั้ง แต่มันก็ประทับใจผมทุกครั้ง โดยเฉพาะครั้งแรกที่ปาร์คชวนผมไปดู แม้จะผ่านมาปีกว่าแล้ว แต่ผมยังจำภาพ เสียงและบรรยากาศวันนั้นได้อย่างไม่ลืมเลือน ไหล่ที่ผมซบในฉากที่ผีออกมา กลิ่นกายผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ปั่นป่วนสติของผมให้กระเจิดกระเจิง ทุกอย่างของปาร์คในวันนั้นยังวนเวียนอยู่ในความรู้สึกและความทรงจำของผมอย่างไม่เสื่อมคลาย

   หลังจากแยกกับเนสและพัดไป ผมกับเพื่อนๆ ก็ไปร้องคาราโอเกะกันต่อครับ ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว แต่จะกลัวอะไร อยู่หอคนเดียวกลับดึกแค่ไหนก็ไม่มีใครด่า โฮะๆ

   แต่พวกผมอยู่ร้องคาราโอเกะกันไม่ครบหรอกนะครับ ดิว แก้ว ป๊อปอายต้องกลับก่อน สามคนนี้อยู่บ้านครับ จริงๆ สำหรับดิวไม่มีปัญหาเรื่องกลับดึกหรอก มันชอบไปร้านเหล้ากับพวกผมประจำ แต่ที่กลับเร็วเพราะเป็นห่วงแก้วมากกว่า รวมถึงนุ่นด้วยที่อยู่บ้านเช่นกัน แต่พ่อแม่ของนุ่นค่อนข้างปล่อย เพราะรู้ว่านุ่นดูแลตัวเองได้ นุ่นเลยไม่ซีเรียสเรื่องที่บ้านจะเป็นห่วงเท่าไร เก็ทเองก็อยู่บ้าน แต่ก็ผู้ชายนะครับ ถ้าพ่อแม่จะห่วงหวงขนาดนั้นก็กระไรอยู่

   พวกผมร้องคาราโอเกะกันจนเวลาล่วงเลยไปจนถึงห้าทุ่ม เก็ทอาสาไปส่งทุกคน และแน่นอนผมเป็นคนสุดท้ายที่เก็ทจะไปส่ง เพราะหอผมเป็นทางผ่านของบ้านเก็ท และก็ไม่ไกลกันเท่าไร นั่นจึงเป็นเหตุให้ผมกลับหอเป็นคนสุดท้ายเสมอเวลาไปไหนมาไหน


à suivre...  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 2 [25/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 25-04-2017 21:51:18
เก็ทจะเป็นแค่เพื่อนที่จริงใจ หรือเพื่อนอะไรกันน้าาาาาา   :o8: :-[
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Exclusif 1 [26/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 26-04-2017 19:26:48
Exclusif 1

     เกือบสองปีก่อน

     ตอนนี้ผมจบม.6 แล้วครับ เวลาไปผ่านไปเร็วมากจริงๆ ผมกับปาร์คต้องแยกจากกันแล้วสิ ผมไม่อยากให้วันนี้มาถึงเลย ตอนนี้ผมยังไม่มีที่เรียนเลยครับ ส่วนปาร์คน่ะเหรอ ได้ที่เรียนตั้งนานแล้วแหละครับ แต่มันก็ไม่ทิ้งผมน่ะ มันก็คอยหาโควต้าโน้นนี่มาให้ผมตลอด แต่ส่วนมากไม่ค่อยถูกใจผมหรอกครับ ก็ผมน่ะอยากเรียนอะไรที่เกี่ยวกับภาษา เกี่ยวกับศาสตร์แห่งศิลป์ หรือไม่ก็ด้านวารสารอะไรพวกนั้น แต่มันกลับหาแต่ด้านวิทยาศาสตร์ หรือไม่ก็คำนวณอะไรมาให้แบบเนี่ย ผมถนัดที่ไหนล่ะ ลำพังคณิตที่โรงเรียนก็จะตกแหล่ไม่ตกแหล่อยู่แล้ว

     ปาร์คเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ครับ มหา’ลัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านมันเท่าไร ส่วนบ้านผมอยู่ไกลออกมาพอสมควร ผมอยากเรียนมหา’ลัยนี้เหมือนกันนะครับ มันเป็นมหา’ลัยในฝันที่ผมอยากเข้าเลยแหละ แต่ถึงบ้านปาร์คจะอยู่ไม่ไกลจากระแวกนั้น มันก็ยังอ้อนแม่ให้ซื้อคอนโดฯ ให้มัน มันบอกว่ามันอยากอยู่คนเดียว ดูแลตัวเองเพราะมันโตแล้วอะไรของมันก็ไม่รู้ แม่มันก็ยอมครับ ก็แหงล่ะ บ้านรวยนี่ครับ คอนโดฯ แค่นั้นทำไมจะให้ลูกไม่ได้ล่ะ จริงไหม ได้คอนโดฯ แล้วมันก็ยังได้รถยนต์ใหม่อีกคันด้วย เพราะแม่เป็นห่วงเรื่องการเดินทางของมัน คราวนี้มันก็มีพร้อมเลยแหละครับ

     ติ๊ด! ติ๊ด!

     เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมเอื้อมมือไปหยิบมันมาดูว่าใครโทรมา พอได้เห็นหน้าจอที่มีไฟกระพริบแค่นั้นแหละ ริมฝีปากของผมก็กระตุกยิ้มระรื่นขึ้นมาทันที

     ‘ฮัลโหลปาร์ค’ ใช่ครับ คนที่โทรเข้ามาแล้วทำให้ผมยิ้มได้แบบนี้ก็มีคนเดียวเท่านั้นก็คือปาร์ค

     [อยู่ไหนเนี้ย ทำอะไรอยู่] ปลายสายส่งเสียงกลับมาอย่างร่าเริง อารมณ์ดีอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย

     ‘อยู่บ้านอ่ะดิ กำลังอ่านหนังสือ ใกล้จะสอบแล้ว คราวนี้ต้องทำคะแนนให้ได้เยอะๆ ไม่งั้นมีหวังไม่มีมหา’ลัยแน่ๆ’ ผมพล่ามยาว แต่ก็จริงนี่ครับ ถ้าผมไม่อ่านหนังสือ ผมก็จะไม่ได้เข้ามหา’ลัยดีๆ อย่างที่ผมหวัง

     [แล้วอ่านเข้าใจป่ะน่ะ อ่านอะไรอยู่ GAT อ่ะดิ] ปาร์คพูดอย่างกับมานั่งอยู่ข้างๆ ผมงั้นแหละ

     ‘อือ ไม่รู้เรื่องเลย’ ผมบอก

     [ก็ทำแบบที่สอนให้ในเอ็มเมื่อคืนดิ] เมื่อคืนปาร์คเล่น MSN เพื่อสอนข้อสอบวิเคราะห์ของ GAT ให้ผมครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี พยายามแล้วนะ แต่มันไม่ได้อ่ะ งงลูกศรบ้าบออะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด

     ‘ก็กำลังทำอยู่ แต่ไม่รู้ถูกเปล่า ไม่ค่อยเข้าใจ’ ผมพูดเสียงอ่อน

     [โง่จริงเลย] ดูมัน! แทนที่จะให้กำลังใจกลับมาด่าผมซะอย่างงั้น [ไม่เข้าใจใช่ม่ะ งั้นไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็เตรียมหนังสือไว้เดี๋ยวเข้าไปรับ จะได้ติวให้]

     ปาร์คจะมารับผมไปติวครับ! นี่มันลงทุนถึงขนาดเลยเหรอ

     ‘เอ่อ... อืมๆ จะมาตอนไหนอ่ะ’


     [ให้เวลาครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเข้าไปรับ ถ้าไปถึงต้องเสร็จแล้วนะ ไม่งั้นก็ไม่ติว] ไม่ต้องตกใจครับ ตั้งแต่ที่ผมเริ่มสนิทกับมันมา มันก็เผด็จการแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

     ‘เออๆ วางสายดิจะได้รีบไปอาบน้ำ’ ผมกระแทกเสียงใส่ก่อนจะกดวางสายเอง ถ้าไม่ติดว่าจะให้ติวให้ก็ไม่ง้อหรอก! เหอะ!

**********__________**********

     สี่สิบห้านาทีต่อมา

     ไหนมันว่าครึ่งชั่วโมงจะมาไง โธ่! ไอ้ปาร์ค ช้าตลอด!

     เอี๊ยด!!! ปี๊มๆ

     เสียงเบรกรถ เครื่องยนต์ และเสียงบีบแตรดังขึ้นที่หน้าบ้าน มาช้าแล้วยังจะกวนประสาทอีก

     ผมเดินสะพายกระเป๋าเป้ที่บรรจุหนังสือออกไปอย่างเชื่องช้า กะจะกวนมันกลับ ลืมบอกไปครับวันนี้ผมอยู่บ้านคนเดียว พ่อกับแม่ไปธุระตั้งแต่เช้ามืด นี่ก็เกือบสิบเอ็ดโมงแล้วล่ะ

     ‘เดินให้มันเร็วหน่อยดิ หนักตูดหรือไง’ ทีตัวเองมาช้าล่ะ ผมตอกมันกลับในใจ

     ‘เออ หนักตูด มาอุ้มหน่อยดิ’ ผมแกล้งกวนกลับ

     ปึง!

     มันลงมาจากรถพุ่งตรงมาหาผมที่กำลังล็อคประตูรั้วอยู่พร้อมทำท่าเหมือนจะอุ้มผมจริงๆ เล่นเอาใจผมร่วงไปอยู่ที่ตาตุ้มเลยครับ ตกใจน่ะครับไม่ใช่อะไร

     ‘เฮ้ย! เล่นอะไรเนี่ย’ ผมร้องออกมาเสียงดัง พร้อมกับผลักอกปาร์คอย่างแรงทันทีที่ตั้งตัวได้

     ‘ก็อยากให้อุ้มไม่ใช่เหรอ’ ปาร์คยักคิ้วเยาะเย้ยผมอย่างไม่สำนึก ไอ้บ้าเอ๊ย เล่นไรไม่รู้เรื่องเลย เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้าแล้วเอาไปบอกพ่อกับแม่ขึ้นมาทำไง

     ถึงผมจะคิดว่าพ่อและแม่รู้ว่าผมเป็นยังไง แต่ผมก็ไม่อยากให้ท่านต้องมานั่งคิดมาก และต้องเป็นกังวลว่าผมให้ผู้ชายมาหาแถมยังทำอะไรไม่ดีไม่งามยันบ้าน

     ‘ประชดเว้ย!’ ผมตะโกนใส่หน้ามัน แต่ด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก ก็คนมันตกใจนี่ ถึงผมจะแอบดีใจก็เถอะ แต่เล่นแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ ‘จะไปกันยังอ่ะ เดี๋ยวก็ไม่ได้ติวพอดี’

     ‘ขึ้นรถสิ หรือจะต้องให้อุ้มขึ้นจริงๆ’ มันยังกวนผมไม่เลือก แถมยังทำท่าอุ้มเด็กล้อเลียนอีก

     ‘ไม่ต้อง!’ ผมรีบก้าวขึ้นรถทันที รถใหม่ของมันครับ เพิ่งออกใหม่มาไม่นานนี้เอง ป้ายแดง แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้หรอก รู้แค่ว่ายี่ห้อ Mercedes Benz แต่ไม่รู้ว่ารุ่นอะไร รู้อย่างเดียวว่าราคาแพง!!

     วันนี้ปาร์คแต่งตัวธรรมดามากเลยครับ เสื้อยืดสีขาวมีลายสกรีนตัวหนังสือว่า ‘CLEAN’ กับกางเกงผ้าสีเข้มขาสั้นเท่าหัวเข่า พร้อมกับรองเท้าแตะคู่หนึ่ง มีแอคเซสเซอรี่อย่างเดียวคือนาฬิกาข้อมือ ซึ่งมันเคยบอกราคาเอาไว้ แต่ผมจำไม่ได้เหมือนกัน จำได้อย่างเดียวว่ามันแพง แม้จะแต่งตัวดูธรรมดาถึงธรรมดามาก แต่ไม่รู้สิ มันก็ยังดูดีในสายตาของผมอยู่ดี

     ‘ไปติวที่ไหนดีล่ะ’ ปาร์คเอ่ยถามขึ้นหลังจากขับออกมาจากบ้านผมได้สักพัก ผมนั่งเงียบมาตลอดทางเลย ไม่ได้โกรธมันหรอกนะ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรต่างหาก อยู่กับมันสองต่อสองแบบนี้ผมชอบประหม่า ทำอะไรไม่ถูก

     ‘แล้วแต่เลย’ ผมให้มันเลือกเลย เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะไปติวที่ไหนดี

     ‘งั้นเข้าไปติวในม.ปาร์คแล้วกัน’ ปาร์คตัดสินใจเสร็จสรรพ ก่อนจะขับตรงไปยังมหา’ลัยที่ผมอยากเข้าที่สุดทันที มันเป็นรางบอกเหตุที่ดีหรือเปล่าเนี่ย

     ไปถึงมหา’ลัยที่ปาร์คจะเข้าไปใช้ชีวิตนักศึกษาในอนาคตก็ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ผมชักหิวข้าวแล้วสิครับ แต่ก็ไม่กล้าบอกมัน ยังไม่เริ่มติวเลย จะไปที่อื่นก่อนซะแล้ว เกรงใจมันอุตส่าห์ไปรับมาติวให้ เดี๋ยวเสียความตั้งใจของมันหมด

     ‘กินข้าวก่อนมั้ย’ ปาร์คหันมาถามขณะที่หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในมหา’ลัย

     ‘ปาร์คหิวป่ะล่ะ ถ้าหิวก็ไปกินก่อนก็ได้’ ผมเป็นเงี้ยแหละครับเวลาอยู่กันสองต่อสอง ประหม่าไปหมด ไม่ค่อยกล้าพูด แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าเพื่อนก็อีกเรื่องหนึ่ง มันจะไม่ค่อยเขิน (ถ้าไม่โดนแซว)

     ‘ก็หิวอ่ะ ยังไม่ได้กินอะไรเลย’ เข้าทางผมเลยครับ กำลังหิวพอดี

     เป็นอันว่าปาร์คต้องวนรถออกจากมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ก่อนที่เราสองคนจะมานั่งกันที่ร้านดังแถวมหา’ลัยนี้

     ผมกับปาร์คนั่งกินข้าวกันไปเรื่อยๆ ผมกินช้ามากๆ มัวแต่ละเมียดละไมอยู่ ก็มันเขินนิ ปาร์คนั่งอยู่ตรงข้ามก็ชอบเหลือบตามามองอยู่นั่นแหละ ทำตัวไม่ถูกเว้ย! สุดท้ายผมก็ต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับความร้อนของอุณหภูมิร่างกาย

     ‘เดี๋ยว! กินน้ำแก้วปาร์คดีกว่า ขอบแก้วมันมีรอยร้าว ไม่รู้จะมีเศษแก้วร่วงลงไปในน้ำเปล่าไม่รู้ ไม่ปลอดภัย’ ปาร์คว่าพร้อมกับดึงแก้วน้ำที่ผมกำลังจะก้มลงไปดูดออก ก่อนจะเลื่อนแก้วตัวเองมาให้ ผมไม่ได้สังเกตจริงๆ นะว่าตรงขอบแก้วของตัวเองมันมีรอยแตกเล็กๆ อยู่ เพราะรอยมันไม่ใหญ่ ดูไม่ชัดเลยด้วยซ้ำ

     นี่แสดงว่าปาร์คก็เป็นห่วงผมอยู่เหมือนกันน่ะสิ คิดแล้วก็เขิน ได้ดูดน้ำหลอดเดียวกันด้วย ก็เหมือนได้จูบกันทางอ้อม ไม่รู้ว่าปาร์คสั่งน้ำอะไรมา แต่รู้ว่ามันหวานจัง

     ‘รีบกินข้าวให้หมดจะได้ไปติวกัน แล้วจะได้รีบไปดูหนังกันต่อ’ อะไรนะ ดูหนังงั้นเหรอ ปาร์คชวนผมไปดูหนังครับ เป็นครั้งแรกเลย ก่อนหน้านี้ผมเคยชวนหลายรอบ แต่ปาร์คไม่เคยไปด้วยเลยสักครั้ง แต่วันนี้ไม่รู้อะไรดลใจให้ปาร์คเอ่ยปากชวนผมเอง มีหรือครับที่ผมจะปฏิเสธ

     ‘ฟร๊องก์อิ่มแล้ว’ ผมบอกไปครับ ผมเป็นคนกินน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่เคยกินข้าวหมดจานเลยสักครั้ง ผมก็รู้สึกเสียดายนะสงสารชาวนาที่ปลูกข้าวเหมือนกัน แต่ก็ยัดเข้าไปไม่ไหวหรอก ท้องแตกพอดี

     ‘กินหรือดม กินแบบนี้ไงมันถึงได้ผอมแบบเนี่ย ไม่แมนเลย กล้ามไม่มี’ ใครจะเหมือนปาร์คล่ะ! เป็นนักกีฬานิ

     ‘ก็อิ่มแล้วจริงนี่ แล้วฟร๊องก์ไม่ได้ผอมแห้งขนาดนั้นสักหน่อย’ ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

     ‘อย่างนี้น่าจะพามาอยู่บ้านด้วยสักเดือน จะเลี้ยงให้อ้วนเลย’

     ‘มองฟร๊องก์เป็นตัวไรเนี่ย!’

     ‘ก็คนเนี่ยแหละ แต่ปาร์คจะเลี้ยงฟร๊องก์ให้อ้วนๆ จะได้มีเนื้อนิ่มๆ ไว้ให้กอด’ ปาร์คพูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า ปาร์คบอกจะกอดผม มันทำให้ผมคิดมากนะ แค่นี้ก็เพ้อจะแย่แล้ว ได้ยินแบบนี้ยิ่งเพ้อเข้าไปใหญ่

     ‘รีบไปติวเหอะ จะบ่ายโมงแล้ว’ ผมตัดบท เปลี่ยนเรื่องด้วยความเขินอาย
กินข้าวมื้อนี้ผมมีความสุขมากๆ ได้กินน้ำแก้วเดียวกับปาร์ค ได้รู้ว่าปาร์คก็เป็นห่วงผมอยู่เหมือนกัน แถมปาร์คยังบอกว่าอยากขุนผมให้อ้วนเพื่อเอาไว้กอดอีก โอ๊ย! อะไรจะมีความสุขขนาดนี้ ผมรู้สึกเลยว่าหัวใจผมพองโตมาก ถึงจะมีคำว่าเพื่อนค้ำคออยู่ แต่หัวใจมันชุ่มชื่นเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงอย่าห้ามไม่ได้

**********__________**********

     ปาร์คนั่งติวให้ผมไปเรื่อย แล้วก็เอาหนังสือของตัวเองมาให้ผมลองทำเป็นแบบฝึกหัด ตอนแรกผมทำไม่ค่อยได้หรอก มันยากอ่ะ แต่ปาร์คก็มีความพยายามสูงมาก พยายามสอนและอธิบายจนผมเข้าใจในที่สุด นอกจากจะอยากให้เป็นมากกว่าเพื่อนแล้ว ยังถือได้ว่ามันเป็นครูของผมคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

     เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว ตอนนี้ผมเข้าใจวิธีวิเคราะห์ข้อสอบแล้วแหละ ปาร์คให้ผมทำแบบฝึกหัดเยอะมาก พอผมเริ่มงอแงก็จะถูกดุทุกครั้ง จนในที่สุดก็ทำแบบฝึกหัดจนหมดหนังสือ และผมก็รู้สึกเหนื่อยแล้วด้วย

     ‘พอเข้าใจแล้วใช่ไหม ทำได้แล้วนิ’ ปาร์คว่าพลางหยิบขนมเข้าปาก ปาร์คแยกออกไปซื้อขนมมาตอนที่บอกให้ผมลองทำแบบฝึกหัด

     ‘อืม ก็พอได้แล้ว ก็เล่นให้ฟร๊องก์แบบฝึกหัดเยอะขนาดนี้’ ผมเงยหน้าขึ้นมามองปาร์คพลางยู่หน้าใส่อย่างหมั่นไส้

     ‘ก็ต้องฝึกเยอะๆ แบบนี้แหละ จะได้คุ้นเคย จะได้สอบได้คะแนนเยอะๆ ไง’ ปาร์คยิ้มก่อนจะยืนมือที่หยิบขนมกินมายีหัวผม

     ‘มือเลอะขนมแล้วมาเช็ดหัวฟร๊องก์อีก!’ ผมบริภาษเบาๆ ขณะที่ต้นเหตุได้แต่หัวเราะชอบใจอย่างไม่รู้สำนึก ก่อนที่มือใหญ่นั้นจะหยิบชิ้นขนมยื่นมาตรงหน้าของผม ผมทำหน้างงๆ แต่ก็อ้าปากงับ แต่แล้ว...

     ‘ฮ่าๆ อยากกินก็หยิบเองดิ’ ปาร์คหัวเราะร่า มันกวนผมได้ตลอดจริงๆ สินะ!

     ‘ไม่กินก็ได้วะ ชิ!’ ผมเชิดหน้าแกล้งงอนกลับ

     ‘โอ้ๆ ไม่ง้อนะ ฮ่าๆ’ ดูมันดิครับ ดูความกวนประสาทของมัน มันยังมีหน้ามาหัวเราะผมอีกนะ ถึงจะรู้สึกดีด้วย แต่บางทีที่โมโหผมก็อยากจะเอาเท้าลูบหน้ามันเหมือนกันนะ

     ‘เออ!’ ผมสบถใส่ ชิ! ง้อสักหน่อยก็ไม่ได้ ใช่สิ ผมมันไม่ใช่แฟนนิ ผมมันก็แค่เพื่อนคนหนึ่ง!

     ‘เก็บของได้แล้ว ไอ้เตี้ยขี้งอนเอ๊ย!’ ปาร์คพูดด้วยรอยยิ้มพลางเอื้อมมือข้างเดิมมาผลักหัวผมเบาๆ แต่แล้วมันเปื้อนไหมล่ะ! แต่นั่นก็ทำให้ผมแอบอมยิ้มนะ อาจจะไม่ง้อตรงๆ แต่ก็รู้ว่าปาร์คกำลังง้อผมอยู่ ‘พวกแบบฝึกหัดที่เหลือเอากลับไปทำบ้าน ปาร์คให้หนังสือไปเลย’

     ‘ปาร์คจะกลับแล้วเหรอ’ ผมหันหน้ากลับมามองปาร์คอีกครั้ง ยังไม่อยากกลับเลยอ่ะ อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้นานๆ

     ‘อะไรจำไม่ได้เหรอ ที่บอกว่าจะพาไปดูหนังอ่ะ อะไรวะ แค่นี้ก็ลืม’ เออจริงด้วย ปาร์คบอกว่าจะพาผมไปดูหนังนี่นา ดูหนังกับปาร์คสองคน แค่คิดก็เขินแล้ว

     ‘อ๋อ ลืมแค่นิดเดียวเอง ก็มันมึนๆ กับข้อสอบนิ’ ผมแก้ตัว

     ‘รีบเก็บของเข้า ได้รีบไป เดี๋ยวจะเย็นไปกว่านี้ ว่าแต่กลับบ้านดึกได้เปล่าเนี่ย’

     ‘คงได้แหละ พ่อกับแม่น่าจะกลับประมาณสองทุ่ม เดี๋ยวโทรบอกเขาไว้ก่อนก็ได้’

     ‘ไม่งั้นก็นอนคอนโดฯ ปาร์ค จะได้พาไปดูคอนโดฯ ใหม่ เพิ่งแต่งเสร็จสดๆ ร้อนๆ เลยนะ ฟร๊องก์จะเป็นคนแรกที่ได้เห็นเลยนะ’ น้ำเสียงเต็มใจนำเสนอมาก แต่ผมก็อยากเห็นนะ ยิ่งรู้ว่าจะได้เป็นคนแรกด้วย ยิ่งอยากเห็นเข้าไปใหญ่

     ‘คงนอนไม่ได้หรอก แต่อยากไปดูห้องนะว่าเป็นยังไง อยากรู้ว่ารสนิยมปาร์คจะดีขนาดไหน’ ผมพูดยิ้ม พร้อมกับก้มเก็บของไปด้วย

     ‘รสนิยมปาร์คดีมากเลยแหละ ถ้าฟร๊องก์เห็นนะ อึ้งแน่ๆ งั้นเดี๋ยวหลังดูหนังเสร็จจะพาไปดู’ ปาร์คพูดจบผมก็เก็บของใส่กระเป๋าเสร็จพอดี พร้อมไปด้วยกันต่อแล้ว เย้!

**********__________**********

     เกือบชั่วโมงต่อมาผมกับปาร์คก็มาอยู่ที่ห้างดังใกล้ๆ กับมหา’ลัยของปาร์ค ปาร์คกำลังยืนดูโปรแกรมหนังอยู่ ส่วนผมก็ยืนรออยู่ด้านหลัง ผมดูเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ได้ดูกับปาร์คสองคนก็มีความสุขมากๆ แล้ว

     ‘สรุปเอาเรื่อง...’ ปาร์คหันกลับมาบอกผม แต่เรื่องนั้นมันเป็นหนังผีไม่ใช่เหรอ ผมน่ะกลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง

     ‘เอ่อ... นั่นมันหนังผีไม่ใช่เหรอ’

     ‘อืม ก็มันไม่มีอะไรน่าดูอ่ะ ดูเนี่ยแหละ สนุก เร้าใจดี’ เมื่อตัดสินใจได้ ปาร์คก็เดินนำผมไปซื้อตั๋วทันที ก่อนจะเดินไปซื้อน้ำและป๊อปคอร์น ทั้งผมและปาร์คอ่ะไม่ได้อยากกินหรอก แต่คนตัวใหญ่อีกคนเนี่ยสิ อยากได้แก้วที่เป็นเซ็ตป๊อปคอร์นพร้อมน้ำ ถึงจะเป็นแก้วเจ้าปัญหานั่น สรุปก็เลยต้องซื้อทั้งเซ็ตนั้นมา

     และแล้วปาร์คกับผมก็เข้าไปดูหนังจนจบครับ ครั้งนี้ปาร์คเลี้ยงผมทั้งตั๋วหนังและเซ็ตป๊อปคอร์น ฮั่นแน่! อยากรู้ล่ะสิว่าในโรงหนังเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับปาร์คบ้าง ผมจะเล่าคร่าวๆ ให้ได้รู้กันก็ได้ แต่ขอบอกก่อนนะว่าคร่าวๆ จะให้เล่าหมด ผมก็อายเป็นนะ

     จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกครับ พอเข้าไปในโรงหนังตอนแรกผมก็จัดการเก็บขาตัวเองขึ้นมาไว้บนเบาะพร้อมเอี้ยวตัวไปทางปาร์คเล็กน้อยเลยครับ ก็คนมันกลัวนี่ ส่วนปาร์คก็มองตามการกระทำของผมแล้วก็ขำเยาะเย้ยเบาแบบที่ได้ยินกันแค่สองคน ก็คนมันกลัว ผิดด้วยรึไงเล่า!

     เราสองคนนั่งติดกันมากๆ ปาร์คซื้อตั๋วที่นั่งที่โซฟาแบบสวีตที่ไม่มีที่กั้นตรงกลาง ทำให้ไม่มีอะไรมากั้นระหว่างผมกับปาร์คเลย ศีรษะของผมอยู่ใกล้กับไหล่ของปาร์คมากๆ แทบจะเรียกว่าเหมือนผมกำลังซบไหล่ดูหนังอยู่เลยแหละ แต่พอถึงฉากผีออกมาเมื่อไหร่ ผมก้มหน้าติดไหล่ปาร์คแน่นเลยแหละครับ ส่วนเจ้าตัวก็แอบหัวเราะผมแทบทุกครั้ง รวมทั้งในบางครั้งก็จะวาดแขนมาโอบผมเป็นเชิงปลอบขวัญอีกด้วย ตอนซบลงไปไหล่กว้างๆ นั้นผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของปาร์ค มันทำให้สมองผมเบลอไปหมดเลยครับ ไม่ใช่เหม็นนะ แต่มันดูมีเสน่ห์มากเลยต่างหาก ผมนั่งดูอย่างนี้อยู่แทบทั้งเรื่อง ถ้าตั๋วราคาหลายร้อยบาท ผมคงได้ดูไม่ถึงห้าสิบหรอก แต่ก็ถือว่าได้กำไรอยู่นะ ได้ใกล้ชิดปาร์คขนาดนี้

     ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอกครับ อย่าลืมว่าเราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน หลังจากภาพยนตร์ที่ผมดูไม่รู้เรื่องเลยนั้นจบ ปาร์คก็พาผมไปดูคอนโดฯ ตามที่สัญญาเอาไว้ คอนโดฯ ของมันอยู่เลยออกมาจากมหา’ลัยมันพอสมควรครับ แต่ไม่ไกลมาก ขับรถได้ค่อนข้างสะดวก เพราะแค่ขึ้นทางด่วนก็สามารถไปถึงมหา’ลัยได้เลย มันเลือกทำเลซื้อคอนโดฯ ดีมากเลยแหละ

     ส่วนห้องมันก็ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ผนังห้องถูกติดด้วยวอลเปเปอร์สีเขียวอ่อนดูผ่อนคลาย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ก็จะมีรูปทรงแปลกตาไม่เหมือนใคร ส่วนมากจะเป็นโทนสีขาว ดำและเทา ให้ความรู้สึกของความเป็นผู้ชาย แต่ดูสดใสด้วยผนังสีเขียวอ่อน ห้องจึงดูเป็นธรรมชาติ โซฟาสีเทาวางอยู่ที่ห้องนั่งเล่นและมีไว้รับแขก เข้าชุดกันดีกับโต๊ะรับแขกสีขาวสูงประมาณหนึ่งฟุตครึ่ง ด้านหน้าเป็นทีวีจอเอลซีดีขนาดใหญ่ติดอยู่บนผนัง มีมุมเล็กๆ จัดไว้เป็นครัว มีมินิบาร์กั้นแบ่งเป็นห้องอาหาร พร้อมกับโต๊ะอาหารขนาดปานกลางอยู่ด้านหน้าครัวนั้น

     คอนโดฯ ของปาร์คมีห้องนอนสองห้อง และห้องน้ำสองห้อง คือห้องน้ำด้านนอก และห้องน้ำในห้องนอนอีกห้องหนึ่ง ห้องนอนห้องแรกผมเดาว่าน่าจะมีไว้รับแขก ปาร์คน่าจะทำเผื่อไว้เผื่อเวลามีเพื่อนหรือใครมานอน ห้องนี้ถูกจัดอย่างเรียบง่ายแต่ก็มีของต่างๆ วางรกอยู่เหมือนกัน เลยกลายเป็นว่าเหมือนเป็นห้องเก็บของเสียมากกว่า ส่วนอีกห้องมีขนาดใหญ่กว่าพอสมควรและมีห้องน้ำในตัว ถูกจัดแต่งให้ดูโปร่ง ประตูกระจกกั้นระหว่างตัวห้องกับระเบียง ถูกประดับไว้ด้วยผ้าม่านยาวจรดพื้นสีเทา เตียงสีขาวบริสุทธิ์มีผ้าห่มสีขาวคาดดำเป็นลายดูสะอาดตาปูทับอยู่ ในห้องนี้ยังมีทีวีติดผนังไว้ด้วยเช่นกัน แต่เป็นขนาดจอเล็กกว่าด้านนอก

     ห้องน้ำด้านนอกถูกตกแต่งด้วยพื้นกระเบื้องลายแปลกตา พร้อมกับสุขภัณฑ์ที่ดูมีสไตล์ไม่เหมือนใครเช่นกัน แต่พอผมได้เห็นห้องน้ำในห้องนอนของปาร์คเท่านั้นแหละ ผมนี่ยืนอึ้งไปเลย ผมสงสัยมากว่าจะมีประตูไว้ทำไม ในเมื่อประตูที่ปิดห้องน้ำนั้นเป็นกระจก ถึงจะไม่ใช่กระจกใสก็เถอะ แต่เวลาอาบน้ำก็สามารถมองเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจนอยู่ดี ลองนึกภาพกระจกที่มันจะสะท้อนเงาคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงเราจะไม่เห็นหน้าตา แต่เราจะเห็นทรวดทรงได้ชัดเจน แบบนั้นเลยครับ ส่วนด้านในพื้นถูกปูด้วยกระเบื้องแบบก้อนหินมน ออกแนวรักษ์ธรรมชาตินะครับ สัมผัสธรรมชาติแบบไม่มีปกปิดจริง
 
     และสิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ในการได้มาเห็นคอนโดฯ ปาร์คครั้งนี้ ก็คือ ผมได้เห็นว่าของขวัญทุกอย่างที่ผมเคยให้ปาร์คเอาไว้ ไม่เว้นแม้กระทั่งกล่อง กระดาษห่อของขวัญ หรือแม้แต่ริปบิ้น ปาร์คได้เก็บมันไว้เป็นอย่างดี เมื่อผมเห็นผมก็ยิ้มออก ส่วนปาร์คก็ยิ้มพร้อมยักคิ้วให้แบบกวนๆ เหมือนจะบอกให้ผมชื่นชมในสิ่งที่เขาทำ

     ‘จำได้ใช่ไหมว่าของใคร’

     ‘จำไม่ได้ก็บ้าล่ะ ให้เองกับมือทุกอัน’ ผมตอบพลางยิ้มอย่างเขินอาย รู้สึกว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้ามากเป็นพิเศษจนมันร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า ตลอดจนใบหู

     ‘ขอบคุณนะ ปาร์คจะเก็บรักษามันไว้อย่างดีตลอดไป’ ปาร์คเอื้อมมือมาโยกศีรษะผมเล่นเบาๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ทำให้ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้
 
     ‘ขอบคุณเช่นกันนะที่เก็บของพวกนี้อย่างดี แล้วก็... ขอบคุณสำหรับวันนี้ด้วยนะ’

     ‘ยินดีเสมอ’ ใบหน้าของปาร์คยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ชวนให้หัวใจของผมทำงานหนักขึ้นทุกครั้งที่ได้มอง

     หลังจากที่ผมสำรวจคอนโดฯ ของปาร์คเรียบร้อย ปาร์คก็ออกมาส่งผมที่บ้าน แต่ก่อนหน้าที่ผมจะถึงบ้าน เราทั้งคู่ก็แวะกินข้าวเย็นกันก่อน ผมกลับถึงบ้านก็สี่ทุ่มกว่าน่ะครับ แต่ผมก็รู้สึกดีนะ วันนี้คือวันดีวันหนึ่งของผมเลย ผมได้ใช้เวลาอยู่กับปาร์คสองต่อสองตลอดทั้งวัน และมันเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม ผมก็หวังว่าวันนี้ปาร์คเองก็จะมีความสุขไม่ต่างกัน เพราะสำหรับผมนั้นคงไม่มีวันลืมวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตอย่างวันนี้แน่นอน


à suivre...
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 3 [27/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 27-04-2017 19:46:25
Chapitre 3

     หลังจากส่งโดนัทเป็นคนสุดท้าย เก็ทก็ขับรถมุ่งหน้าไปส่งผมที่หอ ตอนนี้เกือบห้าทุ่มครึ่งแล้วครับ ช่วงนี้ถนนไม่ค่อยมีรถมากเท่าตอนหัวค่ำแล้ว เก็ทจึงค่อนข้างใช้ความเร็วได้เต็มที่

     ติ๊ด! ติ๊ด!

     เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นขณะที่เก็ทหักพวงมาลัยเข้ามาในซอยที่หอผมตั้งอยู่

     ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร เวลาแบบนี้มีคนเดียวแหละครับ อย่างที่ทุกคนรู้กัน ปาร์คนั่นเองแหละครับ จะรอให้ถึงหอก่อนค่อยโทรฯ มาก็ไม่ได้

     “ฮัลโหลๆๆ” ผมหยิบลูกแอ๊บเปิ้ลทรงแบนที่สามารถสื่อสารได้ขึ้นมากดรับสาย พร้อมกับกรอกเสียงไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ

     [ฮัลเหลๆๆๆๆ] ดูมันครับ กวนไปก็กวนกลับ ไม่มียอมกันเลย

     “ว่าไง”

     [อยู่ไหนเนี่ย เหมือนมีเสียงเครื่องยนต์รถเลย] หูโคตรดีเลย ขนาดเสียงเครื่องยนต์รถเก็ทเบามากแล้วนะ มันยังอุตส่าห์ได้ยินอีก หูดีเหมือน...

     “ก็อยู่บนรถ” ผมตอบกลับไปห้วนๆ

     [รถใคร]

     “รถเพื่อนอ่ะดิ หรือจะให้บอกว่ารถแฟนดีอ่ะ มีแฟนมาส่งถึงหออะไรแบบนี้” ผมพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงกวนเล็กน้อย พลางหันมองเก็ทที่กำลังมองผมตาเขียว ก็ดันไปบอกว่ามันเป็นแฟนนี่ครับ ฮ่าๆ
     [อ๋อ ฮอตเนอะ มีฟงมีแฟนมาส่งด้วย ไปไหนกันมาล่ะ ถึงได้กลับดึกดื่นขนาดนี้ เสร็จไปกี่ยกล่ะ] ไอ้นี่ก็บ้าจี้ตาม แล้วดูน้ำเสียงมัน โคตรประชดประชันเลย มันพูดแบบนี้ มันทำให้ผมคิดนะครับว่ามันกำลังหึงหวงผมอยู่ แต่ก็รู้แหละครับว่ามันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น อาจจะแค่กวนประสาทผมเล่น หรือไม่ก็แกล้งล้อเลียนแค่นั้นแหละ

     “ก็นิดหน่อย” ผมก็เล่นไม่เลิกครับ อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะพูดกับผมว่าอะไร

     [พ่อแม่ส่งมาเรียนนะฟร๊องก์ ไม่ใช่มาหา...] มันพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ผมก็พอเดาได้แหละครับ แต่ก็ไม่แน่ใจ

     “หาอะไรมิทราบ” ผมยังคงยียวนต่อไปเรื่อยๆ แกล้งมันก็สนุกดี นานๆ ทีจะได้แกล้งมันแบบนี้ ส่วนมากมันจะรู้ทันผมตลอด หรือไม่ก็จะแก้เกมเป็นฝ่ายกลับมาแกล้งผมแทน เรื่องคิดแผน วางแผน ทำแผนซ้อนแผนเนี่ย มันถนัดนัก!

     [ไม่บอก! แล้วเมื่อไหร่จะถึงหอ] แล้วมันก็เปลี่ยนเรื่องไปเลยครับ กวนจริงๆ

     “ถึงพอดีเลยเนี่ย ไปก่อนนะที่รัก” ผมแกล้งหันไปพูดกับเก็ท จนมันยกกำปั้นมาขู่ผมเลย อะไรอ่ะเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้

     [ไปก่อนนะที่รัก (ดัดเสียงสุดฤทธิ์) จะอ้วกว่ะ] ไม่อยากจะบอกว่าเสียงตอนที่มันพูดเนี่ย ดัดจริตมาก

     “ท้องหรอก น่าเสียดาย ฟร๊องก์ยังไม่ได้ทำไรปาร์คเลย” ผมกวนมันต่อหลังจากที่ลงมาจากรถเก็ทเรียบร้อยแล้ว รถเก็ทค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้า ผมเองก็โบกมือลาให้ในระหว่างที่อีกมือถือโทรศัพท์แนบหูอยู่

     [พอได้และ เล่นมากไปและ!] เอ้า! บทจะจบก็จบซะงั้น แถมยังกระแทกเสียงใส่อีกต่างหาก

     “ใครเริ่มก่อนล่ะ ถามหน่อย” ผมตอบไปเสียงเข้ม ผมไม่ผิด กวนผมก่อนเองทำไม ถึงจะรักก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมง่ายๆ หรอกนะ!

     [ฟร๊องก์!] ดูมัน!

     “กล้าพูดเนอะ!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

     [เออๆ ปาร์คผิดเอง จบป่ะ] น้ำเสียงโคตรจะพอใจเลย [แล้วไปไหนมาเนี่ย ทำไมกลับดึก]

“ไปกินข้าว ดูหนังแล้วก็ร้องคาราโอเกะ”

     [สบายจริงๆ] ประชดผมหรือเปล่า

     “แน่น๊อน!” พูดด้วยเสียงสูง “เออ วันนี้เจอเนสกับพัดด้วย”

     [อืม เป็นไงบ้างล่ะ หวานกันเหมือนเดิม]

     “ใช่ๆ เห็นแล้วอิจฉาเลย น่ารักดีนะฟร๊องก์ว่า” ผมว่าพลางยิ้ม เมื่อนึกถึงภาพเนสและพัด ผมอยากให้ผมกับปาร์คเป็นแบบนั้นบ้าง ฮ่าๆ

     [น่าอิจฉาสองคนนั้นเนอะ ปาร์คอยากมีแบบนี้มั้งจัง]

     “ฟร๊องก์ก็อยู่นี่แล้วไงปาร์ค มองข้ามไปไหนล่ะ” หยอดกลับไปสักหน่อยครับ ขำๆ

     [เออเนอะ ลืมฟร๊องก์ไปได้ไง ถุยยย... เอามากระทืบอ่ะดิ] ชิ! ใช่สิกูมันก็แค่เพื่อน!

     “เลว! แต่เดี๋ยวนี้ไม่เจอปาร์คเลย” จริงๆ ครับ ผมกับมันไม่เจอกันนานแล้ว หลายเดือนแล้วแหละครับ ได้แต่โทรศัพท์คุย ได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นหน้า บางทีก็เหงานะครับ

     [ก็ตั้งแต่ฟร๊องก์ไปอยู่หอนั่นแหละ เลยไม่ได้เจอกัน บอกแล้วว่าจะไปอยู่ทำไม] ซะงั้นครับ มันผิดเพราะผมมาอยู่หอใช่ไหมเนี่ย

     “เอ้า! ปาร์คมีรถนิ ขับมาหาได้นิ ไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่เลย แต่ก็อย่างว่าแหละ ปาร์คจะมาหาฟร๊องก์ทำไม” ผมพูดอย่างน้อยใจ ก็จริงแหละครับ มันจะมาหาผมทำไม ธุระอะไรก็ไม่มี แค่มันโทรฯ มาทุกวันๆ ก็ดีแค่ไหนแล้ว

     [น้อยใจเหรอ ปาร์คก็โทรมาหาฟร๊องก์แทนอยู่ทุกวันนี่ไง] วันนี้ผมเป็นอะไรของผมเนี่ย ตอนแรกๆ ก็กวนมันอยู่ แล้วทำไมตอนนี้กลับรู้สึกน้อยใจขึ้นมาซะงั้น หรือเพราะผมได้เห็นคู่เนสกับพัดสวีทหวานกัน เลยรู้สึกว่าอยากให้ผมกับปาร์คเป็นแบบนั้นมั้ง

     “เปล่า ไม่ได้น้อยใจสักหน่อย ก็แค่บอกว่าไม่ได้เจอเลย ไม่ได้อะไรสักหน่อย” ผมบอกปัดๆ ไม่อยากให้มันต้องมานั่งคิดมาก เพราะผมบอกมันเองนี่ครับว่าเป็นเพื่อนกันแบบนี้ก็พอใจแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นแฟนหรอก

     [ไว้ว่างๆ จะไปหาแล้วกัน จะไปนอนด้วยที่หอเลย ดีป่ะ] อย่าพูดให้กูดีใจเล่นได้ไหม รู้ไหมว่ากูคิดจริง และจะรอมึงจริงๆ

     “พูดงี้ทุกทีอ่ะ”

     [จริงๆ เปิดห้องรอไว้เลย] เปิดห้องรอ? ทำอะไร???

     “พูดมีเลศนัยแบบนี้ฟร๊องก์คิดลึกนะ”

     [เดี๋ยวจะเล่นให้เหนื่อยจนไปเรียนไม่ไหวเลยค่อยดู ฮ่าๆ] ก็เล่นต่อเนอะ เนี่ยแหละครับ เสน่ห์ของมัน มันเป็นคนขี้เล่น เล่นมากจนบางครั้งก็รู้สึกว่ามากเกินไป แต่ผมก็ยังชอบนะ

     “ขนาดนั้นเชียว” ผมถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาทกลับไป

     [แน่นอน!]

     แล้วผมกับปาร์คก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนเกือบชั่วโมงครึ่ง ปาร์คก็วางสายไป ผมจะมีความสุขทุกวันก่อนนอน ถึงได้ยินแค่เสียงผมก็มีความสุขแล้ว เพราะผมรู้ว่าจะให้มันมาหาผมบ่อยๆ คงเป็นไปไม่ได้ ส่วนมากก็จะมีแต่ผมที่ไปหามันมากกว่า

     บางทีผมก็รู้สึกเหงาๆ เหมือนกันนะ ผมมักชอบเข้าไปแอบดูเฟซบุ๊กของปาร์คอยู่เสมอ แต่ไม่ได้โพสต์หรือแชทอะไร ได้แต่นั่งอ่านนั่งดูคนมาคอมเม้นต์ มากดไลค์เยอะแยะนั้น อย่างที่บอกว่ายอดคนติดตามปาร์คในเฟซบุ๊กถือว่าไม่น้อยเลยแหละครับ หรือไม่ก็ถามข่าวคราวจากเพื่อนๆ ที่อยู่มหา’ลัยเดียวกับมัน ผมมีเพื่อนสนิทชื่อแคมป์ ที่เป็นเกย์เหมือนกันเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับปาร์ค ผมมักจะถามข่าวคราวกับแคมป์เป็นประจำ (มันรู้ครับว่าผมชอบปาร์ค ไม่ใช่แค่มัน เพื่อนทั้งห้อง  เพื่อนต่างห้อง รวมทั้งครูและรุ่นน้องบางคนก็รู้ครับ ผมไม่ปกปิด แต่ก็ไม่ได้เปิดเผย ส่วนปาร์คเองก็ไม่ได้อะไร) ก็มักจะได้ข่าวที่ผมฟังแล้วรู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจทุกครั้ง

     อย่างเช่นเรื่องที่ปาร์คกำลังคบอยู่กับผู้หญิงต่างสาขาที่อยู่คณะเดียวกันบ้าง ปาร์คชอบไปกินข้าว หรือไปไหนมาไหนกับรุ่นพี่ รุ่นน้องต่างคณะ บลาๆ ผมไม่รู้หรอกครับว่าเรื่องพวกนี้มันจริงหรือเปล่า แต่ผมก็หาเหตุผลที่ว่าแคมป์จะหลอกหรือกุเรื่องให้ผมเชื่อขึ้นมาเองไม่ได้ ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่มันก็เสียดแทงหัวใจผมให้เจ็บได้เหมือนกัน

     ส่วนเรื่องเฟซบุ๊ก ผมไม่ค่อยแชทหรือโพสต์หามันเท่าไหร่ เพราะมันไม่ค่อยตอบผม แปลกเหมือนนะครับ โทรมาหาผมทุกคืน แต่เวลาคุยกันทางเฟซบุ๊ก ไลน์หรืออื่นๆ มันกลับไม่ค่อยคุยกับผมเลย ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากคิดมาก ผมมักบอกตัวเองเสมอว่ามันคงไม่ว่าง คงกำลังเล่นเกม หรือไม่ก็ออนไลน์ทิ้งเอาไว้ หรือถ้าเป็นโพสต์ที่มันไม่ตอบก็เพราะจะมาคุยกันในโทรศัพท์แทน พยายามคิดเข้าข้างตัวเองเข้าไว้

     บางทีผมก็เหนื่อยเหมือนกันนะ กับการวิ่งตามหัวใจของตัวเอง คุณเคยไหมล่ะ การที่ได้แต่เฝ้ามองใครสักคนที่คุณรัก ทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ไกลจากเราเลย แต่คุณกลับคว้าตัวเขาไว้ไม่ได้สักที คุณได้แต่ไล่ตามเขาไปเรื่อยๆ โดยที่เขาแทบจะไม่หันมามองคุณเลย เขาเพียงแค่หันกลับมาให้อาหารและน้ำตอนที่เหนื่อย แล้วก็ให้เราวิ่งตามต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีหยุดพัก แม้ตัวคุณเองจะเหนื่อยแค่ไหน แต่คุณก็จะไม่อยากหยุด เพราะทุกครั้งที่คุณเหนื่อย เขาจะมองกลับมาและให้กำลังใจกับคุณเสมอ และเมื่อใดที่คุณหยุด ก็เท่ากับคุณแพ้ให้กับหัวใจที่คุณไล่ตามมันมาแสนนาน

     พูดถึงเรื่องเฟซบุ๊กขึ้นมา ที่ผมไม่อยากโพสต์อะไรมากเพราะมันเคยมีเรื่องมีราวมาก่อน มันเคยเกิดเรื่องๆ หนึ่งที่ทำให้ผมไม่พอใจพี่ชายของปาร์คขึ้นมา ผมลืมบอกไปครับ ปาร์คไม่ใช่ลูกคนเดียว มันมีพี่อีกคน ชื่อปอนด์ พี่เขาเป็นเกย์ครับ ผมไม่เคยเจอตัวจริงหรอก แล้วก็ไม่อยากจะเจอด้วย ทำไมน่ะเหรอ เรื่องมันมีอยู่ว่า

**********__________**********

   ย้อนกลับไปเมื่อตอนผมอยู่ปีหนึ่ง ระบุวันและเวลาที่แน่นอนไม่ได้...
 
   วันนี้ผมมีนัดที่เพื่อนสมัยมัธยมมาเจอกันครับ ง่ายๆ คือนัดไปเจอกันที่โรงเรียน เพราะที่โรงเรียนกำลังจัดกีฬาสีวันสุดท้ายอยู่ครับ พวกผมเลยไปดูการแสดงและการเชียร์ของพวกน้องๆ เขาหน่อย เพื่อนๆ ก็ไปกันไม่เยอะเท่าไรหรอกครับ เพราะไม่ได้บังคับ ใครว่างมาได้ก็มา ก็มีกลุ่มของผมบางคนรวมทั้งผม แล้วก็กลุ่มปาร์ค และกลุ่มก้อยบางส่วน มีแค่เนี้ยแหละครับ
 
   พวกผมก็เจอกันต่างแต่ช่วงสายๆ เกือบๆ เที่ยงวันน่ะครับ แต่รอจนเพื่อนมากันครบก็ตกบ่ายสามโมงเย็น พวกผมก็นั่งรอไป คุยเล่น แกล้งกัน ถ่ายรูปกันบ้างเพื่อรอให้มากันครบ พอเพื่อนมากันครบ ก็นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนโรงเรียนเลิกเรียน งานกีฬาเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จะว่าไปพวกผมไม่ได้สนใจกีฬาสีนั่นกันเท่าไรหรอกครับ มัวแต่นั่งคุย ก็คนไม่ค่อยได้เจอกันนี่เนอะ เจอกันที่ก็คุยกันยาวเป็นธรรมดา ถึงเวลานี่พวกผมก็ได้เวลาลาจากโรงเรียนที่แสนรักนี้เหมือนกัน พวกผมทุกคนมุ่งหน้าไปยังร้านหมูกระทะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก แต่ก็หลายป้ายรถเมล์อยู่ ใครมีรถก็ขับพาเพื่อนบางส่วนไป ส่วนคนที่เหลือๆ ก็ต้องนั่งรถเมล์ตามไปสมทบ แน่นอนว่าผมได้อานิสงส์ติดสอยห้อยตามไปกับปาร์ค
 
   แต่กว่าผมและเพื่อนคนอื่นๆ ที่จะรอไปพร้อมมันจะได้ออกจากโรงเรียนก็ล่อไปเกือบหกโมงเย็น เพราะมัวแต่นั่งรอมันเล่นบาสเก็ตบอลดวลกับรุ่นน้องที่มันสนิทๆ อยู่ ก็มีมันกับเนสเล่นกันสองคน ส่วนผมและเพื่อนอีกสองคนก็นั่งรอมันไปตามระเบียบ
 
   จากนั้นพวกผมก็ไปรวมตัวกันที่ร้านหมูกระทะที่ว่านั่นอีกครั้ง ต่อโต๊ะยาวมากๆ และที่สำคัญ เสียงดังมากครับ ฮ่าๆ เป็นปกติธรรมดาของพวกผมที่เวลาไปไหนมักจะเสียงดัง โดยเฉพาะกลุ่มผม ดังแบบไม่แคร์สื่อใดๆ ทั้งสิ้น
 
   ผมไม่ได้นั่งติดกับปาร์คหรอกครับ มีเพื่อนคนอื่นๆ มานั่งคั้นอีกสองคน ส่วนมากทุกคนจะไม่ได้สนใจการกินเท่าไร จะมุ่งเน้นอยู่แต่กับการพูดคุยและถ่ายรูปมากกว่า ก็บอกแล้วว่านานๆ เจอที ก็ต้องเต็มที่กันหน่อย ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก โดยเฉพาะผม แคมป์และแซนด์ เพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มที่มันอุตส่าห์กลับมาจากบางแสนเพื่อการนี้ สองคนนี้ผมค่อนข้างสนิทมากกว่าคนอื่นๆ เป็นเพื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยและมีอะไรจะช่วยกันตลอด
 
   ผมนั่งกิน นั่งถ่ายรูป สนุกๆ กันไปอยู่สักพัก ปาร์คก็บอกเพื่อนๆ ว่าจะขอตัวกลับก่อน มีธุระ มันจะกลับพร้อมกับ  วิชญ์ครับ สองคนนี้ก็สนิทกันพอสมควร แต่ยอมรับว่าผมรู้สึกไม่ดีเท่าไร เวลาปาร์คไปไหนมาไหนกับวิชญ์สองคน เพราะผมกับแคมป์รู้สึกว่าวิชญ์จะเป็นเกย์ด้วยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมไม่อยากคิดมากครับ ไม่อยากมองปาร์คไม่ดีด้วย
 
   พอได้ยินว่าปาร์คใกล้จะกลับ ผมก็เลยเข้าไปขอถ่ายรูปกับมัน ก็ตั้งแต่เจอกัน ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปกับมันเลย มัวแต่ถ่ายกับคนอื่นรอบโต๊ะแล้ว เหลือแต่มัน ผมเป็นอย่างงี้แหละครับ ไม่ค่อยกล้าขอมันถ่าย เพราะรู้ว่ามันเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูป แต่นานๆ จะเจอกันทีแบบนี้ผมต้องขอถ่ายด้วยครับ ไม่งั้นเสียดายแย่ ผมอยากเก็บทุกช่วงเวลาไว้เป็นความทรงจำระหว่างผมกับมัน
 
   เวลามันอยู่ต่อหน้าคนอื่นมันจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเหมือนเวลามันคุยกับผมในโทรศัพท์ บางครั้งก็ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าแบบไหนคือตัวตนที่แท้จริงของมันกันแน่ เพราะเวลาอยู่กับคนอื่นๆ มันแทบจะไม่สนใจผมเลยด้วยซ้ำ นานๆ ทีจะมาคุยหรือเล่นด้วย มันยังเล่นกับแคมป์มากกว่าผมเลยครับ แต่ผมก็ไม่อะไรหรอก แค่ได้เห็น ได้เจอมันก็พอใจแล้ว
 
   ‘ปาร์ค ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยดิ’ ผมเดินเข้าไปบอกมันตอนที่มันกำลังจะกลับ ก่อนจะส่งโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้เครื่องใหม่เยี่ยมที่เพิ่งถอยออกมาไม่นานให้เพื่อน
 
   ‘เอาดิ’ แล้วผมก็เริ่มถ่ายรูปกับมันครับ ค่อนข้างหลายรูปอยู่เหมือนกัน จนเพื่อนส่งโทรศัพท์คืนมา ปาร์คก็หยิบมาแล้วกดเปลี่ยนเป็นโหมดกล้องหน้าแล้วตัวเองเป็นคนกดถ่ายเองครับ
 
   ‘...’ ผมไม่พูดอะไรเมื่อปาร์คส่งโทรศัพท์คืนมาให้ผม ไม่รู้จะพูดอะไรครับ มันเขิน สมองมันตึบๆ ไปหมด
 
   ‘กลับแล้วนะ ไว้เจอกันใหม่ ไอ้เตี้ย!’ มันแซวผมทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเอาไว้อีกหนึ่งดอกพลางเอามือมายีหัวผมอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่ปาร์คจะหันหลังเดินจากไป
 
   ‘อืม ไว้เจอกัน’ ผมโบกมือลามันพร้อมวิชญ์ที่เดินตามหลังมันไป

   และในที่สุดทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้านกัน ผมกลับมาถึงบ้านก็ตกสี่ทุ่มแล้วครับ มาราธอนมากๆ แต่ก็เป็นวันที่สนุกและมีความสุขมากๆ อีกวันหนึ่ง ได้เจอเพื่อนๆ ที่แทบไม่ได้มีเวลาเจอกัน ผมนั่งเปิดดูรูปในโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยๆ จนมาถึงเซตรูปที่ผมถ่ายคู่กับปาร์ค รูปแรกๆ ที่เพื่อนถ่ายให้ก็รู้สึกดีแล้ว แต่รูปที่ผมชอบที่สุดคงไม่พ้นรูปที่ปาร์คเป็นคนถ่ายเอาไว้เอง

   รูปนี้หน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก เรียกได้ว่าติดกันเลยด้วยซ้ำ แต่หน้าปาร์คจะอยู่เหนือหน้าของผมอยู่นิดหน่อย ผมว่ารูปนี้ปาร์คดูดีมากครับ หล่อเข้ม ดวงตาคมคู่นั้นดูเป็นประกาย มีการอมยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ส่วนผมเหรอครับ ก็ ยิ้ม... ยิ้มแบบเขินๆ แต่ก็ยังดูดี (ชมตัวเองนิดหนึ่ง) ผมอัพโหลดลงในเฟซบุ๊กทันทีครับแล้วก็ไม่ลืมติดแท็กด้วย แต่ไม่ได้อัพโหลดรูปเดียวนะ ผมอัพรูปเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็ด้วยเหมือนกัน เพื่อความเนียน มันมีรูปอื่นๆ ที่มีปาร์คติดมาด้วย ผมก็ติดแท็กไปด้วยเช่นกันจะได้ไม่เป็นที่สังเกต

   แต่วันรุ่งขึ้น รูปถ่ายคู่ของผมกับปาร์คกลับกลายเป็นปัญหาขึ้นมาซะงั้น เมื่อพี่ปอนด์ พี่ชายของปาร์คเข้ามาคอมเม้นต์ใต้ภาพว่า
 
   ‘เป็นอะไรกับน้องชั้น มายุ่งกับปาร์คทำไม’
 
   ตอนนั้นผมเดาอารมณ์ของประโยคดังกลาวไม่ถูกเลย ว่าพี่เขาแซวเล่นๆ หรือเอาจริง แต่ผมก็ทำใจดีสู้เสือ ตอบกลับไปว่า
 
   ‘เป็นเพื่อนกันครับ เพื่อนกันถ่ายรูปด้วยกันไม่ได้หรอครับ’
 
   มันจะว่ากวน ก็กวนนะครับ แต่ก็เป็นเพื่อนกันจริงๆ นี่ แม้ว่าผมจะคิดไม่ซื่อกับปาร์คก็เถอะ แต่ในรูปก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อนเลย แต่ผมก็เดาไว้ไม่ผิดหรอกครับว่าพี่ปอนด์จะต้องมาตอบกลับ
 
   ‘ให้จริงอย่างที่ว่าแล้วกัน อย่าคิดว่าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่’
 
   ‘ผมรู้ตัวเสมอฮะ ว่าผมกับปาร์คเป็นเพื่อนกัน’ ผมกลั่นใจพิมพ์ตอบกลับไป ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรกับประโยคที่ตัวเองพิมพ์ แต่ผมเองก็ไม่อยากให้ปาร์ครู้สึกลำบากใจในการคบหรือคุยกับผมต่อ แม้ในฐานะเพื่อนก็ตาม ผมว่าการบอกแบบนี้คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับปาร์ค
 
   ‘จำคำพูดตัวเองไว้ด้วยนะ’
 
   เมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้น ปาร์คจึงเป็นฝ่ายมาห้ามทัพ ด้วยกันคอมเม้นต์ย้ำสถานะของเราสองคนไป นั่นคือ ‘เพื่อนกัน’ จึงเป็นการสิ้นสุดการสนทนา แต่ผมเองก็ยังได้แต่สงสัยว่าเพราะอะไรพี่ปอนด์ถึงได้มาแสดงออกแบบนี้กับผม นี่แค่ขนาดไม่ได้เป็นอะไรลึกซึ้งกัน อุปสรรคยังเข้ามาแล้วเลยครับ แค่ความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อน ยังมีปัญหาขนาดนี้เลย เรื่องของผมกับปาร์คในแบบที่ผมอยากให้มันเป็นคงไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ

**********__________**********

   กลับสู่โลกปัจจุบัน

   นั่นแหละครับเรื่องราวว่าทำไมผมถึงไม่ชอบหน้าพี่ชายของปาร์ค และผมเองก็คิดว่าเขาก็คงไม่ค่อยชอบผมเท่าไรเหมือนกัน อาจจะดูไร้เหตุผลเนอะ แต่ผมก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจหรอกครับ เรื่องมันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้วด้วย ปาร์คเองก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ แม้แต่วันถัดๆ มาจากวันที่เกิดเรื่อง เมื่อคุยโทรศัพท์กันตามปกติ ปาร์คก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลย ผมว่าก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้งครับ

   อีกอย่างระหว่างผมกับพี่ปอนด์ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เพราะเรื่องราวของผมกับปาร์คก็คงไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนเช่นกัน

   แต่วันนี้ผมเป็นอะไรของผมเนี่ย คุยโทรศัพท์กับปาร์คแบบมีความสุขอยู่ดีๆ พอวางสายแล้วกลับคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องซะงั้น เฮ้อออ... ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน


à suivre...
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 3 [27/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 27-04-2017 20:06:52
คือจะมีแต่ฟร็องที่แอบรักไปเรื่อยแบบนี้ ยอมตามปาร์คไปแบบนี้ใช่มั้ย คนแต่งช่วยบอกเราหน่อย เพราะว่า เราไม่ชอบแนวนายเอกแบบนี้เท่าไหร่ เราอ่านแล้วอึดอัดอทนอะ ถ้ายหร็องจะตามแต่ปาร์ค อย่างเดียวบอกเราหน่อยนะ เราจะได้หยุดอ่าน เราอึดอัดแทน กับการกะทำของทั้งสองคน อีกใจอยากให้ฟร็อง ถอยออกมามากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 3 [27/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 27-04-2017 22:09:37
คือจะมีแต่ฟร็องที่แอบรักไปเรื่อยแบบนี้ ยอมตามปาร์คไปแบบนี้ใช่มั้ย คนแต่งช่วยบอกเราหน่อย เพราะว่า เราไม่ชอบแนวนายเอกแบบนี้เท่าไหร่ เราอ่านแล้วอึดอัดอทนอะ ถ้ายหร็องจะตามแต่ปาร์ค อย่างเดียวบอกเราหน่อยนะ เราจะได้หยุดอ่าน เราอึดอัดแทน กับการกะทำของทั้งสองคน อีกใจอยากให้ฟร็อง ถอยออกมามากๆๆๆ

ไม่เชิงซะทีเดียวฮะ คาแรคเตอร์ของฟร๊องก์ที่วางไว้คือจะค่อนข้างยึดติดกับความรักที่มีต่อปาร์คมากๆ เพราะปาร์คคือรักแรก แต่เมื่อเรื่องผ่านไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มมีอะไรเข้ามามากขึ้นๆ เรื่อย เพื่อให้ฟร๊องก์ ปาร์ค รวมทั้งตัวละครตัวอื่นๆ ได้ทดสอบความรู้สึกของตัวเอง อาจจะไม่ใช่ฟร๊องก์ที่เป็นฝ่ายตาม อาจจะไม่ได้มีแค่ปาร์คก็ได้ฮะ

เรื่องนี้ฟร๊องก์เป็นตัวเอกก็จริง แต่เราเองก็วางบทของตัวละครตัวอื่นๆ ให้มีผลกับโทนของเรื่องเช่นกันฮะ ยังไงลองติดตามดูก่อนนะฮะ ดีไม่ดียังไงติชมได้เต็มที่เลย เพราะเราเองก็อยากรู้ว่าคนที่อ่านรู้สึกอย่างไร

ยังไงก็ขอบคุณมากนะฮะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 3 [27/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 27-04-2017 23:09:01
ดำเนินเรื่องแบบอึดอัดมันได้นะคะ แต่ว่าควรไปทีละเรื่อง2เรื่องนะ ถ้าเอา หลายๆ situation มารวมกันในตอนเดียว มันจะทำให้เรื่องดูอึดอัด( แต่ไม่ใช่อึดอัดแบบอารมณ์บีบคั้นนะคะ อึดอัดแบบไม่โอเคหนะ)    แต่ถ้าคนแต่งบอกว่ามันมีเหตุของมัน เราก็จะคอยเชียร์ต่อไปจ้า   :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 3 [27/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-04-2017 00:17:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 4 [28/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 28-04-2017 18:59:22
Chapitre 4

   เกือบสองปีก่อน

   วันนี้เป็นอีกวันที่ผมต้องโทรถามปาร์คว่าจะมาเรียนหรือเปล่า ช่วงหลังๆ ของการเรียนมอหกปาร์คมักจะมาโรงเรียนสายเป็นประจำ เวลาผมถามว่าทำไมมาสายมันก็บอกว่าตื่นสาย เล่นเกมดึกอะไรของมันก็ไม่รู้ ผมล่ะเซ็ง แต่ก็เข้าใจครับ มันเรียนเก่งแล้วก็ได้โควต้าของมหาวิทยาลัยแล้ว เลยไม่ค่อยห่วงมันสักเท่าไร ห่วงตัวเองที่ยังไม่มีที่เรียนเลยมากกว่า

   ‘ปาร์คอยู่ไหน มาเรียนเปล่าเนี่ย’ ผมโทรไปหามันตอนพักเบรก 20 นาทีตอนเวลาสิบโมงเช้า โรงเรียนผมมีพักสามเวลาครับ จะมีตอนเช้าคือสิบโมงเช้า พัก 20 นาทีของนักเรียนทั้งโรงเรียน ส่วนพักกลางวันนักเรียนประถมจะพักตอนสิบเอ็ดโมงถึงเที่ยง ส่วนเด็กมัธยมจะพักตอนเที่ยงสิบนาที ถึงบ่ายโมง และตอนบ่ายสามโมงเย็นจะมีพักเล็กๆ สำหรับเด็กป.1 - 4 ให้อีก 10 นาที แต่เด็กมัธยมจะชอบลงไปซื้อของกินเวลานี้ประจำ

   [อยู่บ้าน กำลังจะไปโรงเรียนแล้ว อีกประมาณสิบห้านาที] ปลายสายตอบกลับมา มันมาเวลานี้เป็นประจำแหละครับ แล้วที่สำคัญ มันมาโรงเรียนสายแต่ไม่เคยโดนเข้าห้องปกครองเลยสักพัก มันบอกว่าพวกที่เข้าสายตอนก่อนสิบโมงอ่ะโง่ เพราะช่วงเวลานั้นครูฝ่ายปกครองจะยังยืนดักอยู่หน้าประตูเข้าโรงเรียน แต่ถ้าเลยสิบโมงไปแล้วทางจะปลอดโปร่ง มีแค่กล้องวงจรปิด เดินเนียนๆ เข้ามาก็ไม่มีใครรู้หรอก ดูความคิดมันสิครับ

   ‘รีบๆ มาแล้วกัน ครูแมวด่าถึงปาร์คจนไม่ได้ผุดได้เกิดแล้ว’ ครูแมวที่ผมพูดถึงก็คือครูประจำที่พวกผมทุกคนรักมากๆ แหละครับ ท่านเป็นครูที่ปากค่อนข้างจัด พูดตรง ด่าแรงและเจ็บ แต่ท่านก็หวังดีนะครับ เวลาเด็กมีปัญหา ท่านจะช่วยเสมอๆ และก็เฮฮาไปตามภาษาด้วย

   [บอกครูแมวอย่าบ่นให้มากไป เดี๋ยวเถอะ!] ปาร์คมันว่า ผมรู้ครับว่ามันก็พูดเล่นๆ ไปงั้น เวลาเจอครูแมวด่าเข้าจริงๆ ก็หงอยไปเหมือนกันแหละ ฮ่าๆ

   ‘เหรอออ... อย่างปาร์คจะทำอะไรเขา’ ผมแกล้งหยอกมันกลับ ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆ อีกบางส่วนนั่งกันอยู่บนห้องครับ จริงๆ พักทุกพักนักเรียนทุกคนจะต้องลงจากตึก ห้ามอยู่บนห้องเรียนโดยเด็ดขาด เพื่อกันของหาย แต่พวกผมไม่ค่อยเชื่อหรอกครับ กฎมันมีไว้แหกอยู่แล้ว พักแค่ 20 นาทีจะเดินขึ้นเดินลงตึกทำไมให้เสียเวลา ห้องเรียนผมอยู่ตั้งชั้นสี่ เมื่อยจะตาย แต่ถึงกระนั้นพวกผมก็ต้องคอยระวังครูฝ่ายปกครองที่จะเดินตรวจตึกด้วยนะครับ จะมีคนเฝ้าที่บันด้วยคนหนึ่ง เพื่อกระจายบอกห้องอื่นๆ ที่อยู่ในชั้นเดียวกัน เป็นไงล่ะ ทำงานกันเป็นระบบดีไหม อีกอย่าง ห้องผมเป็นห้องประธานนักเรียนของปีนี้ครับ ดังนั้นสิทธิพิเศษ (ที่ตั้งกันขึ้นมาเอง) จึงเยอะกว่าห้องอื่นๆ

   [แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน] มันว่าก่อนจะตัดสายทิ้งไป

   มาถึงคาบเรียนในตอนบ่าย วันนี้มีเรียนวิชาชีววิทยาครับ กับครูแมว ครูประจำชั้นของเรานี่เอง ผมเป็นคนที่ถ้าสนใจวิชาไหน หรือวิชาไหนครูสอนน่าสนใจผมจะตั้งใจเรียนมากครับ จะจดทุกอย่างอย่างละเอียด ไม่เข้าใจตรงไหนจะถาม (เป็นตัวอย่างที่ดี น่าลอกเลียนแบบ ฮ่าๆ) เพื่อไม่ต้องไปนั่งรื้อฟื้นก่อนสอบครับ ผมจะได้มานั่งอ่านทวนในชีทที่จดๆ เอาไว้ได้เลย

   วันนี้เรียนเรื่องโครงสร้างของ DNA และ RNA ครับ ค่อนข้างซับซ้อนนะ เพราะต้องจำคู่ของมันว่ากรดอะมิโนตัวไหนคู่กับตัวไหน แต่ผมก็เข้าใจแหละครับ พยายามฟังและจดในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ ส่วนปาร์คน่ะแหละ ก็นั่งเล่นนั่งจดสลับกันไปมา แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยจดนะ

   อ๋อ ลืมบอกไป ปาร์คนั่งติดกับผมเลย ห้องเรียนผมจะใช้โต๊ะแลกเชอร์ทั้งหมด และจะจัดเป็นคู่ๆ แน่นอน ผมคู่กับปาร์ค แต่ก่อนหน้านั้น ตอนม.6 เทอมหนึ่งผมไม่ได้นั่งติดกับปาร์คหรอก ช่วงแรกๆ ผมโกรธอะไรมันไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่าโกรธมาตั้งแต่ม.5 ตอนเกือบๆ จบเทอม แต่สุดท้ายก็ดีกัน ผมเลยขอแลกที่แต่จำไม่ได้แล้วว่าแลกกับใคร พวกผมนั่งกันเป็นติ่ง คู่สุดท้ายหลังสุดของห้องเลยครับ แต่ไม่ใช่เด็กขี้เกียจ (สักเท่าไร) นะ ก็ตั้งใจได้เหมือนกัน

   ‘เข้าใจไหม’ เสียงครูแมวถามขึ้น หลังจากอธิบายการจับคู่กรดต่างๆ ในสาย DNA เรียบร้อย

   ‘ก็พอได้ แหะๆ/...’ มีการแบ่งออกเป็นส่วนพวก คือพวกที่ตอบกับพวกที่เงียบ ผมเดาว่าพวกที่เงียบคงไม่รู้เรื่องหรือไม่ก็ยังมึนๆ กันอยู่ ไม่ต้องตกใจว่าทำไมพวกผมพูดกับครูไม่มีหางเสียง แต่มันเป็นความเคยชินครับ ด้วยความสนิทสนม ครูเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรกับแค่เรื่องหางเสียง แต่พวกผมก็ไม่ได้ลามปามจนเกินไปนะครับ รู้ว่าอย่างไหนควรและอย่างไหนไม่ควร

   ‘เออๆ เดี๋ยวให้พักสิบนาทีล่ะกัน ครูไปเข้าห้องน้ำก่อน’ ครูแมวพูดก่อนที่จะวางปากกาไวท์บอร์ดแล้วเดินออกจากห้องเรียนไป

   ทุกคนในห้องเริ่มผ่อนคลายครับ แน่นอนว่าวิธีการพักผ่อนของทุกคนในยามบ่ายแบบนี้นั่นคือการนอนหลับ แม้จะเป็นเวลาเพียงสิบนาทีก็เถอะ

   ผมหันไปมองปาร์คซึ่งตอนนี้ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เร็วจริงๆ ผมก็เลยหันไปซบมันที่หลังครับ แต่ก็กลัวมันหนักแล้วจะตื่นมาด่า ผมก็เอาแขนท้าวหัวตัวเองเอาไว้หน่อยไม่ให้ทิ้งน้ำหนักลงไปที่หลังมันตรงๆ ผมหลับอยู่อย่างนั้นสักพัก เผลอหลับไปจริงๆ เลยครับ จนครูแมวส่งเสียงด่าแบบเล่นๆ มา

   'ไอ้ปาร์คกับฟร๊องก์อ่ะตื่นได้แล้ว รักกันจริงๆ รักปานจะแหกตูดดม’ ได้ยินแบบนั้นผมก็เลยค่อยๆ เงยหน้ากลับขึ้นมาด้วยหน้าสะลึมสะลือ ส่วนปาร์คก็ค่อยๆ เงยหน้าตามผมขึ้นมา แต่ผมก็ต้องตาโตเพราะเพื่อนทั้งห้องกำลังมองมาที่ผมกับปาร์คเป็นตาเดียวกัน หลายๆ คนอมยิ้ม บางคนก็แอบขำ แต่ที่ชัดๆ ก็กลุ่มเพื่อนผมเลยครับ ขำกันแบบไม่เกรงใจ ขำกันแบบเยาะเย้ยมากๆ
ในระหว่างที่หลับ ผมรู้สึกว่าหัวผมอยู่ติดกับหัวปาร์ค แต่ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพื่อคลายความสงสัยนี้ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมจึงถามเพื่อนในกลุ่มที่เห็นเหตุการณ์ซะเลย

   ‘เมื่อตอนที่กูหลับอ่ะ มันเป็นยังไงมั้งวะ’ ผมถามเพื่อนตรงๆ เลยครับ ไม่รู้จะอ้อมค้อมทำไม

   ‘มึงก็ซบที่หลังมัน ส่วนตัวมันก็เอนๆ ไปหาตัวมึง’ จริงเหรอครับ ถึงว่าทำไมผมถึงรู้สึกว่าหัวเราสองคนติดกัน

   ‘เหรอ’

   ‘เออ เชี้ย แม่งโคตรเหมือนคู่รักเลย นอนหนุนกันซะ’ มันว่าพลางยิ้มเยาะๆ

   ‘...’ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อครับ เขิน รู้สึกอย่างเดียวว่าตอนนี้หน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมา

**********__________**********

   เฮือก!

   ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ครับ นี่ผมฝันไปหรอกเนี่ย ฝันถึงเหตุการณ์เมื่อตอนม.6 สงสัยผมจะคิดถึงมันมากๆ จนถึงขั้นเก็บเอามาฝัน

   จะว่าไปมันก็นานแล้วสินะที่ผมไม่ได้เจอปาร์ค รวมทั้งเพื่อนหลายๆ คนในกลุ่มเลย เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวคงได้เจอกับปาร์ค เพราะใกล้จะถึงวันเกิดมันเลยครับ ส่วนเรื่องของขวัญไม่ต้องเป็นห่วง ผมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

   อีกแค่สามวันก็จะถึงวันเกิดปาร์คแล้วแหละครับ ปกติปาร์คไม่เคยจัดงานวันเกิดที่ไหน มันบอกว่าวันเกิดควรอยู่กับแม่ กับครอบครัว ดูแลแม่ เพราะเป็นวันที่แม่เจ็บที่สุด ปีนี้ก็คงเหมือนกันแหละครับ ผมคิดว่าปาร์คก็คงอยู่กับพ่อแม่เหมือนทุกๆ ปี

   วันนี้ผมก็ไปเรียนตามปกติครับ กลับห้องมาก็รีบอาบน้ำ รอโทรศัพท์ของปาร์ค เป็นกิจวัตที่ทำประจำทุกวัน แต่วันนี้จะต้องนัดเจอมัน เพื่อเอาของขวัญวันเกิดไปให้

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   พูดไม่ทันขาดคำ มันก็โทรมาเลยครับ

   “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงสดใสลงไป พร้อมกับรอยยิ้มที่ฉายออกมาบนใบหน้าของตัวเอง

   ทำไรอยู่ นอนยังอ่ะ] ปาร์คเองก็เสียงดูสดใสๆ เหมือนกัน

   “นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ยังไม่หลับอ่ะ”

   [ว่างเนอะ] มันกัดผมกลับมาเบาๆ

   “แน่นอนสิ”

   [ฟร๊องก์ วันศุกร์นี้ว่างป่ะ] ปาร์คเริ่มพูดเข้าประเด็น วันศุกร์ที่มันพูดถึงก็คือวันเกิดมันเองครับ นี่มันรู้ใช่ไหมว่าผมจะต้องนัด เลยชิงถามผมก่อน

   “ก็ว่างนะ ทำไมเหรอ” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้

   [ก็วันเกิดปาร์คอ่ะ กะจะชวนไปเที่ยวเป็นเพื่อนหน่อย แล้วก็ปาร์ตี้นิดหน่อยตอนกลางคืน] นี่ผมได้ยินไม่ผิดใช่ป่ะ ปาร์คชวนผมไปเที่ยวในวันเกิด โอ้ยยย! เขิน

   “อืมๆ ไปสิ ฟร๊องก์ไม่มีเรียนวันศุกร์อยู่แล้ว” ผมตอบไปอย่างดีใจ ตอนนี้ยิ้มแก้มจะปริอยู่แล้ว

   [แล้วปาร์ตี้ตอนกลางคืนอ่ะ อยู่ได้ป่าว วันศุกร์กลับบ้านไม่ใช่เหรอ] เออ นั่นสิ ผมลืมนึกไปเลย ปกติถ้าผมออกไปเที่ยวกลางคืน ผมจะเลือกไปเที่ยวเฉพาะวันที่อยู่หอ เพราะพ่อแม่ผมไม่ชอบให้ไปเที่ยวอะไรแบบนี้ ผมเลยไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนตอนกลางคืนหรอกครับ

   “เออ นั่นสิ” เสียงเศร้าขึ้นทันทีเลยครับ เสียดาย

   [งั้นเอางี้ดิ อาทิตย์นี้ก็ไม่ต้องกลับบ้าน วันศุกร์ก็มานอนค้างคอนโดฯ ปาร์คแทน เอาแบบนี้ล่ะกัน] พูดเอง คิดเอง ตัดสินใจแทนเองเสร็จสรรพครับ ใช้ระบบเผด็จการของจริง เหลือก็แต่ผมที่จะต้องโทรบอกที่บ้านว่าอาทิตย์นี้ไม่ได้กลับบ้านเพราะมีงานบลาๆๆ ฮาๆ หัดเป็นเด็กเลี้ยงแกะตั้งแต่เมื่อไหร่

   “งั้นก็ตามนั้น แล้ววันศุกร์จะให้ไปเจอที่ไหน กี่โมง” ผมถามรายละเอียดจะได้เตรียมตัวถูก

   [รอที่หอนั่นแหละ เดี๋ยวไปรับ ประมาณสิบโมงล่ะกัน] ปาร์คแจงรายละเอียด นี่เป็นครั้งที่สามเองนะ ที่ปาร์คจะมาหอผม ครั้งแรกคือวันที่มาดูและจองหอ ครั้งที่สองคือมาช่วยผมขนของไปหอ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม มาเพื่อรับผมไปเที่ยวด้วย ตอนนี้ไม่ต้องสงสัยว่าผมเป็นยังไง ยิ้มไม่หุบเลยแหละครับ หน้านี่ร้อนๆ บอกไม่ถูก

   “โห้ๆ จริงเปล่าเนี่ย คุณชายปาร์คจะมารับฟร๊องก์ที่หอเนี่ย” ผมแกล้งกัดกลับไป

   [ถ้าพูดมากจะให้นั่งรถมาเอง] โห้ย โหดร้ายมาก เล่นนิดเล่นหน่อยก็ไม่ได้

   “ชิๆ แล้วจะรอแล้วกัน เลี้ยงด้วยนะวันเกิดอ่ะ”

   [เออหน่า พาหมามาก็ต้องเลี้ยงให้ดีอยู่แล้วสิ]

   “ไอ้ปาร์ค ไอ้เลว ฟร๊องก์ไม่ใช่หมานะ!” ผมปั๊ดด่าให้ ทำเป็นเนียนใจดี แต่กลับมาว่าผมเป็นหมาซะงั้น เดี๋ยวกัดแม้งเลย หื้อ? กัด?

   [อย่าโหดดิ ปาร์คไม่ชอบหมาดุ ปาร์คชอบหมาเชื่องๆ ฮ่าๆๆๆ] มันยังไม่หยุดครับ แล้วยังหัวเราะเยาะมาอีก

   “ยังไม่หยุดนะ! เดี๋ยวเจอหน้าจะต่อยให้หน้าแหก!” ผมทำเสียงโหด ทำโหดไปงั้นแหละ เจอมันจริงๆ ผมก็ได้แต่ยิ้ม

   [ต่อยหน้าปาร์คถึงเหรอ เตี้ยขนาดนั้น ไม่เจอนานแล้วสูงขึ้นมั้งป่าว] ไอ้เลว มันกัดผมไม่หยุดเลยอ่ะ ดูมันดิครับ กวนประสาทนี่เป็นที่หนึ่ง

   “ไม่คุยด้วยแล้ว แม่ง!” ผมงอนแล้วนะ งอนจริงๆ ด้วย แล้วมันก็ต้องง้อด้วย ไม่รู้แหละ

   [โอ้ๆ ขี้งอนจริงๆ เลยว่ะไอ้เตี้ยเอ๊ย] เห็นไหมล่ะ ยังไงมันก็ต้องง้อ
หลังจากนั้นผมก็คุยกับมันต่ออีกสักพัก มันก็ต้องวางสายไปก่อน เพราะพรุ่งนี้มีพรีเซ็นต์งานอะไรของมันก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้าเลยต้องรีบนอนเร็วกว่าปกติ

**********__________**********

   และแล้วก็มาถึงวันที่ผมรอคอย วันศุกร์ที่เป็นวันเกิดของปาร์ค และเป็นวันที่ผมกับปาร์คจะไปเที่ยวด้วยกัน ผมไม่อยากจะบอกว่าเมื่อคืนหลังจากคุยโทรศัพท์กัน ผมก็ตื่นเต้น ถึงขั้นมานอนเอาใกล้เช้า นี่เลยตื่นสายนิดหน่อย

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   ใกล้ถึงเวลานัด ปาร์คก็โทรมา มันมาถึงหอผมก่อนเวลา 15 นาที จึงบอกให้ผมรีบลงไปเลย มันจอดรออยู่หน้าหอแล้ว ผมก็จัดแจงคว้ากระเป๋าสะพายข้างแล้วรีบสวมรองเท้าแล้วกดลิฟต์ลงไปทันที

   “ทำไมมาเร็วจังอ่ะ” ผมถามมันหลังจากขึ้นมานั่งบนรถมันเรียบร้อย

   “ก็ได้เที่ยวด้วยกันนานๆ ไง” มันตอบพร้อมยักคิ้วเท่ๆ

   ปาร์คดูดีขึ้นมากเลยครับ ผมไม่ได้เจอมันนานแล้ว เพราะต่างคนต่างไม่มีเวลา เรียนหนักด้วยกันทั้งคู่ เวลาผมว่าง ปาร์คก็มักจะไม่ว่าง เวลาปาร์คว่างผมก็ไม่รู้ เพราะปาร์คไม่ค่อยจะบอก

   ตอนนี้ปาร์คดูหล่อแบบมีสไตล์มาก ผมที่ไม่สั้นไม่ยาวมาก ตัดรองหวีด้านข้างใบหูและด้านหลังให้ดูสั้น ส่วนด้านบนก็ยาวลงมาปิด ผมสีดำไม่ได้ผ่านการย้อมแต่อย่างใดถูกจัดเซตมาให้ดูดีขึ้น ปาร์คดูขาวขึ้นนิดๆ ด้วยแหละครับ แต่เพราะสีผิวออกแทนเป็นทุนอยู่แล้ว จึงไม่ได้ดูขาวมาก ซึ่งต่างกับผม ที่ค่อนข้างจะขาวมากเหมือนกัน วันนี้มันใส่ชุดชิลล์ครับ แต่ดูรวมๆ แล้วหล่อมากๆ เสื้อยืดสีดำลายกราฟฟิกแนวๆ ที่กำลังฮิตในตอนนี้ กางเกงยีนส์สกินนี่สีดำ ตัดด้วยรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีพื้นขาว ลายสีน้ำเงิน ยอมรับเลยครับว่ามันดูดีมากๆ

   ส่วนผมก็แต่งคล้ายๆ กัน เสื้อยืดสีขาวเป็นลายทั้งตัวยี่ห้อของสตรีทแฟชั่นชื่อดัง กางเกงยีนส์สกินนี่สีดำเช่นกัน รองเท้าหนังสีดำส้นแพลตฟอร์ม ช่วยเสริมให้ตัวเองสูงขึ้นอีกประมาณหนึ่งนิ้วครึ่ง ใส่กำไรเท่ๆ กับแหวนเพิ่มให้ดูเยอะอีกหน่อย ผมเป็นคนชอบแต่งตัวนะครับ เวลาว่างๆ ก็จะเข้าไปดูเว็บที่พวกฝรั่งจะโพสต์รูปแฟชั่นลงกัน

   “กินไรมา ทำไมดูสูงขึ้น” แล้วมันก็กวนผมต่อทันที

   “กินส้นรองเท้าไง อยากลองไหมล่ะ” ผมทำเป็นยกเท้าขึ้นมาขู่

   “ฮ่าๆๆ ส้นหนาขนาดนี้ ถึงว่าดิทำไมถึงดูสูงขึ้น ข้างในเสริมด้วยป่าวเนี่ย ฮาๆ” มันหัวเราะเย้ยผมพลางยักคิ้วอีกที

   “เออๆ เตี้ยแล้วผิดรึไงวะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ผมมาตรฐานชายไทยนะ ไม่ได้เตี้ยสักหน่อย ใครจะสูงเหมือนตัวเองละ อย่างกับเปรต ชิ!

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย จะบอกว่าน่ารักดี” หะ... ห๊ะ เมื่อกี้มันชมผมว่าน่ารัก! ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม ปาร์คชมผมว่าผมน่ารัก 

   “อะ... เอ่อ แล้วจะไปเที่ยวไหนเนี่ย” ผมถามพลางเกาหัวเก้อๆ บรรเทาอาการเขินของตัวเอง ไอ้บ้าเอ๊ย บทจะชมก็ชมกันต่อหน้าเลย เขินเป็นเหมือนกันนะ ถึงจะเป็นแค่... เพื่อนก็เถอะ...

   “ไปเดินสยามล่ะกัน หาไรกิน ดูหนัง แล้วตอนเย็นค่อยไปต่อ ปาร์คจองร้านไว้แล้ว” ผมพูดก่อนจะขับรถออกไป

   “ไหนว่าวันเกิดจะอยู่กับแม่ไง เห็นทุกปีอยู่กับแม่ไม่ใช่เหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย เพราะปกติปาร์คจะไม่ฉลองวันเกิดอะไรแบบนี้ แต่ปีนี้นึกยังไงขึ้นมาถึงได้ฉลองเฉยเลย

   “ก็อยู่กับแม่มาตั้ง 20 ปีแล้ว ปีนี้ก็เลยเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” มันหันมายิ้มกวนๆ

   อ๋อ ลืมบอกไป ผมไม่ได้ลืมเอาของขวัญวันเกิดมันมานะครับ แต่พอดีว่ากล่องมันเล็ก เลยใส่กระเป๋าสะพายของผมมาได้ แอบบอกก็ได้ว่าผมให้อะไรมัน มันเป็นกีต้าร์ตัวเล็กๆ ครับ เป็นโมเดลจำลอง แต่ดีดแล้วมีเสียง และสามารถสลักชื่อไว้ที่ตัวกีต้าร์ได้ มีตัวเดียวในโลกเพราะสั่งทำครับ แต่เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ ราคาเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ ผมลืมบอกไปอีกอย่างใช่ไหม ที่ซื้อโมเดลกีต้าร์ให้เพราะปกติปาร์คชอบเล่นกีต้าร์ครับ มันมักจะถ่ายวีดีโอร้องเพลงและดีดกีต้าร์ลงเฟซบุ๊กอยู่บ่อยครั้ง แต่แต่ละวีดีโอมักจะเห็นหน้าปาร์คไม่ชัด เบลอๆ หรือเห็นแค่ช่วงตัวก็มี อีกอย่างตอนม.6 เวลาว่างๆ มันก็เล่นกีต้าร์และร้องเพลงให้ผมและเพื่อนคนอื่นๆ ได้ฟังประจำ

   ไปถึงพารากอน เราสองคนก็ตรงดิ่งไปหาอะไรกินกันทันที ระหว่างที่อยู่ในร้านอาหาร ปาร์คไม่ลืมถามถึงของขวัญ ผมก็แกล้งเล่นละครครับ บอกว่าเออลืมไปเลย ไม่มีเวลาไปซื้อ เล่นเอาปาร์คงอนผมใหญ่เลยแหละครับ แต่ก็แกล้งมันไปอย่างนี้ก่อน เดี๋ยวค่อยให้ ผมอยากให้มันเป็นคนสุดท้าย

   หลังจากกินอะไรกันเสร็จ เราก็เดินดูของกันเรื่อยเปื่อย ปาร์คก็ซื้อพวกเสื้อผ้าครับ แถมยังใจดีซื้อให้ผมด้วย มากับคนรวยนี่โชคดี ฮ่าๆๆ เสร็จแล้วตกบ่ายๆ เราก็ไปดูหนังกัน ผมก็แอบฉวยโอกาสซบไหล่มันซะเลย เนียนๆ ไป

   พอมืดๆ หน่อยเราก็ไปยังร้านที่ปาร์คจองเอาไว้ครับ เป็นร้านอาหารกึ่งผับ ดูแล้วค่อนข้างจะมีระดับอยู่เหมือนกัน ปาร์คบอกไว้ว่านัดเพื่อนๆ ไว้มาปาร์ตี้กัน แต่อยู่ไม่ดึกมาก เพราะบางคนที่ชวนมีเรียนต่อตอนเช้า ส่วนใครอยู่ดึก หรืออยากไปต่อก็แล้วแต่ เพื่อนที่ปาร์คชวนมาก็มีทั้งเพื่อนใหม่ที่มหา’ลัย แล้วก็เพื่อนเก่าๆ ตอนมัธยมที่สนิทกัน จึงทำให้ผมไม่รู้สึกกร่อย เพราะปาร์คชวนแคมป์กับแซนด์มาด้วยเหมือนกัน

   พวกเราปาร์ตี้กัน เต้น ดื่มกันหนักพอสมควร ปาร์คได้ของขวัญเยอะมากๆ เพื่อนใหม่ที่มหา’ลัยหลายๆ คนให้ของขวัญหรูมาก บางคนเป็นของแบรนด์เนมด้วยซ้ำ ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไร มัวแต่ดื่มและแดนซ์อยู่กับพวกแคมป์กับแซนด์ แต่ผมยังพอมีสติอยู่นะ เวลาก็ล่วงเลยมาจนดึกแล้วเหมือนกัน หลายๆ คนก็เริ่มทยอยกลับกันไปแล้ว เหลืออยู่แค่ไม่กี่คน ที่นัดกันไปเที่ยวต่อที่อื่น

   “เรากลับกันเถอะฟร๊องก์” ปาร์คเดินเข้ามาหาผม ท่าทางดูกึ่มๆ มึนๆ เหมือนกัน

   “ขับรถกลับไหวหรอ สภาพแบบเนี่ย” ผมถามกลับด้วยความไม่มั่นใจ ดูปาร์คจะดื่มไปเยอะเหมือนกัน

   “ไหวๆ ยังไหวอยู่ รีบกลับเหอะ ง่วงแล้ว” มันพูดจบก็คว้ามือผมออกจากร้านไปทันที แต่ก็ไม่ลืมบอกลาเพื่อนๆ

   “ไหวไหมเนี่ยปาร์ค ไม่ไหวก็กลับแท็กซี่ก็ได้” ผมพยายามโน้มน้าว เพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุ

   “รีบขึ้นรถเถอะน่า ขับไหว ไม่ไกลหรอก” มันว่าแล้วก็เปิดประตูยัดผมเข้าไปในรถ

   “ขับดีๆ ล่ะ” ผมพูดเตือนสติมันหลังจากที่มันเดินอ้อมมาขึ้นฝั่งคนขับ

   “รู้แล้วๆ บ่นจริงๆ บ่นเป็นเมียไปได้” มันว่าก่อนจะสตาร์ทเครื่อง แล้วขับออกไป แต่คำพูดนั้นก็ทำกระตุ้นการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือดของผมได้ไม่น้อย


à suivre...

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะฮะ ยังไงจะเอามาปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อๆ ไปฮะ  :pig4:  :mew1:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 5 [28/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 28-04-2017 21:25:54
Chapitre 5

   เราทั้งคู่มาถึงที่หมายคือคอนโดฯ ของปาร์คโดยสภาพยังครบสามสิบสอง แม้ว่าปาร์คจะขับรถเสียวจนผมนั่งเกร็งฉี่แทบราดก็ตาม แต่ปลอดภัยก็ถือว่าดีแล้ว

   “ลุกไปอาบน้ำก่อนสิปาร์ค!” ผมดุเมื่อปาร์คล้มตัวลงนอนทันทีที่มาถึงห้อง

   “ฟร๊องก์ไปอาบเหอะ ปาร์คไม่ไหวแล้ว ง่วงมาก เมื่อเช้าก็ตื่นเช้า อาบเสร็จแล้วก็มานอน เสื้อผ้าหยิบเอาเลยในตู้ กางเกงในใหม่อยู่ในลิ้นชักชั้นล่าง รู้สึกจะมีฟรีไซส์ ส่วนผ้าขนหนูในห้องน้ำมีอีกผืน” มันพูดโดยไม่ได้ลืมตา

   ผมนั่งมองมันอยู่สักพัก จนในที่สุดเสียงลมหายใจของมันก็เริ่มดังสม่ำเสมอ สงสัยหลับไปแล้ว ผมจึงลุกไปอาบน้ำ แล้วก็หาเสื้อผ้าจากในตู้ของปาร์คมาใส่ มีแต่เสื้อกับกางเกงตัวใหญ่ๆ ใส่ทีนี่หลวมโคร่งมากๆ แน่เลย แต่ปาร์คก็หลับไปแล้วเลยไม่อยากปลุก นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้ของขวัญมันเลย แต่ช่างมันเหอะ ให้พรุ่งนี้ก็เหมือนกัน เพราะของขวัญอื่นๆ ที่คนให้ก็ยังอยู่ในรถ ไม่ได้เอาขึ้นมา

   ผมหยิบของขวัญออกมาจากกระเป๋า เอามาวางไว้บนโต๊ะข้างๆ เตียงที่เวลาปาร์คตื่นมาจะเห็นได้ชัดๆ ก่อนจะปิดไฟแล้วเดินอ้อมมายังเตียงอีกฝั่ง

   ผมนอนมองปาร์คหลับในความมืดสลัวอยู่อย่างนั้น มันอดไม่ได้นะที่จะคิดว่าเราเป็นแฟนกัน วันนี้ผมได้นอนร่วมเตียงกับปาร์ค แต่กลับเป็นในฐานะเพื่อน ผมอยากให้ช่องว่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างเรามันหายไปซักที อยากให้เส้นที่คั้นกลางมันหายไป ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับปาร์ค ถึงจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในใจผมมันรั้น มันเจ็บเหลือเกิน

   หลายคนอาจจะบอกว่าความรัก คือการมองคนที่เรารักเดินจากไปอย่างมีความสุข แต่ผมคิดว่ามันทำใจยากนะ ที่จะเห็นคนที่เรารักมีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่เรา บางครั้งผมก็สงสัยนะว่าใครเป็นคนให้นิยามนี้ และสงสัยว่าเขาเคยรักใครจริงๆ บ้างหรือป่าว เพราะถ้าเขามีรักจริง ทำไมเขาถึงทำใจได้ง่ายขนาดนั้น

   แต่ถึงจะเจ็บปวดขนาดไหน แต่ผมก็คงต้องทำใจอยู่และยอมรับมันให้ได้แหละ เพราะเมื่อถึงวันหนึ่ง ปาร์คก็ต้องมีคนที่ตัวเองรัก และผมก็หยุดอยู่ได้แค่ในสถานะของความเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะสนิทมากขนาดไหน มันก็ไม่สามารถก้าวล้ำเส้นเกินเลยไปได้

   ผมยังคงนอนมองหน้าปาร์คที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ปาร์คยังคงดีดูเสมอ แต่ผมก็คงใกล้ได้เพียงเท่านี้ ได้แค่มองปาร์คอยู่ในที่มืด ที่แสงสว่างไม่มีวันส่องมาถึง ดีที่สุดที่ผมเป็นคนคงเป็นได้แค่ ‘เพื่อน’ คู่ใจ ที่อยู่ข้างหัวใจ แต่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปครอบครองพื้นที่ในหัวใจได้

   ไม่รู้ว่าผมนอนมองปาร์คผ่านความมืดอยู่นานแค่ไหน จนในที่สุดผมก็คล้อยหลับไป วันนี้เหนื่อยแต่ก็มีความสุขมากๆ ผมคงจะหลับฝันดีมากกว่าทุกวัน เพราะผมได้ใช้เวลาอยู่กับปาร์คทั้งวัน แถมยังนอนใกล้กันขนาดนี้อีก

**********__________**********

   ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาปรับสภาพแสงหลังจากที่เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่เอ๊ะ! รู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆ พาดอยู่บนตัว

   “ปะ... ปาร์ค” ปาร์คกำลังนอนกอดผมอยู่ มาเต็มที่แขนและขาเลย

   “อื้อ... ตื่นแล้วหรอ” ปาร์คขยับริมฝีปากเรียวได้รูปนั้นทั้งที่ยังไม่ลืมตา และยังไม่ปล่อยผมออกจากอ้อมกอด

   “เอ่อ... ปาร์คปล่อยฟร๊องก์ก่อนดีกว่าไหม” ผมพูดเสียงเบา พร้อมกับลมหายใจถี่และหนัก หัวใจผมเองก็ทำงานหนักมากเลยตอนนี้

   “ไม่ปล่อย! ตัวฟร๊องก์นิ่มจะตาย อยากเอามาเป็นหมอนข้างไว้นอนกอดทุกคืนเลย” ปาร์คว่าโดยไม่ลืมตาเช่นเดิม แถมยังกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก

   “บะ... บ้า! ฟร๊องก์เป็นคนนะไม่ใช่หมอนข้าง ปล่อยได้แล๊ว! อึดอัด” ผมทำเป็นดิ้นเล็กน้อย จริงๆ ไม่ได้อึดอัดอะไรหรอกครับ แต่หัวใจผมนี่สิ มันเต้นแรงจนจะเด้งออกนอกตัวผมแล้ว ผมกลัวปาร์คจะได้ยิน ยิ่งใกล้กันขนาดนี้ด้วย ผมยิ่งคิดไม่ซื่ออยู่ อย่าทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากไปกว่านี้เลย

   “...” ปาร์คไม่พูดอะไร แถมยังเอาหน้ามาซุกต้นแขนผมอีก โอ้ย!! ปาร์คจะรู้ไหมเนี่ยว่ากำลังทำให้ผมหวั่นไหว กำลังทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าปาร์คก็มีใจให้กับผมเหมือนกัน

   แต่เอ๊ะ! อะไรแข็งๆ มันทิ่มอยู่ที่ต้นขาผม

   “ปาร์ค... เอ่อ... คือ... ของปาร์คมันทิ่ม... ขาฟร๊องก์อยู่” ผมบอกด้วยน้ำเสียงติดขัด รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวหนักกว่าเดิม เลือดสูบฉีดอย่างหนักขึ้นมาที่ใบหน้า

   “เห้ย!! ขอโทษๆ พอดี... ก็ตัวฟร๊องก์หอม...” ปาร์คอุทานเสียงดังพร้อมกับร่างกายที่เด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยประโยคหลังอย่างแผ่วเบาจนผมแถบไม่ได้ยิน

   “ไอ้หื่นเอ๊ย!! เข้าห้องน้ำไปเลยไป!” ผมลุกขึ้นนั่งแล้วทำเป็นพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินของตัวเอง หัวใจผมสูบฉีดอย่างหนัก ไอ้บ้าปาร์ค มาแข็งอะไรตอนนี้

   “มันเป็นปกติของผู้ชายเว้ย ที่เช้าๆ มันจะ... ‘แข็ง’ แบบนี้” ปาร์คแก้ตัวเสียงเข้ม โดยไม่หันมามองผม แต่ผมแอบเห็นใบหูของปาร์คแดงนะ สงสัยจะอาย ฮ่าๆ

   “จริงหรอออ...” เห็นแบบนั้นก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาส อยากแกล้งผมก่อนดีนัก ดังนั้นแกล้งกลับซะเลย

   “แน่นอนสิ! ปาร์ค ‘แข็ง... แรง’ ไง มันก็ต้องฟิตเป็นธรรมดา อยากลองไหมล่ะ” แล้วอยู่ๆ ปาร์คก็หันกลับมายิ้ม พร้อมมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ปน... หื่น

   “เอ่อ...” ผมอึ้งจนพูดไม่ออก นี่ปาร์คคิดจะมีอะไรกับผมจริงเหรอ หรือปาร์คกำลังคิดอะไรกับผมเหมือนที่ผมคิดกับปาร์คมาตลอด หรือว่ารักของผมกำลังจะสมหวังแล้ว

   “หื้ม ว่าไง อยากลองพิสูจน์ไหมล่ะ” ปาร์คขยับตัวเข้ามาหาผมเรื่อยๆ พร้อมพูดด้วยเสียงลม แหบเล็กน้อย แต่มันชวนให้เกิดอะไรมากในสถานการณ์แบบนี้ ปาร์คคิดจะทำอะไรอยู่เนี่ย!

   “ปะ... ปาร์ค” ผมมองหน้าปาร์คนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน ผมแอบหวั่น แต่ก็ตื่นเต้น ดีใจ ความรู้สึกมันผสมปนเปกันไปหมดจนไม่รู้จะทำยังไงดี ผมไม่เคยนี่ครับ อีกอย่างคนตรงหน้าผมตอนนี้คือคนที่ผม... รักอีกต่างหาก

   “ฟร๊องก์...” ปาร์คโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของปาร์คที่รินรดใบหน้าผมอยู่ หัวใจผมเต้นแรงมากราวกับเสียงกลองตีรัวๆ จนผมเองยังได้ยิน ปาร์คยังคงไม่หยุดการกระทำดังกล่าว จนตอนนี้ริมฝีปากเราอยู่ใกล้กันมาก “ฮ่าๆ หน้าฟร๊องก์โคตรตลกเลย”

   สุดท้ายปาร์คก็หลุดขำออกมา แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากผมอย่างแรง จนผมนี่หงายเงิบไปเลย สรุปมันแกล้งผมเหรอครับเนี่ย ตอนแรกตั้งใจจะเป็นฝ่ายแกล้ง แต่สุดท้ายก็โดนมันพลิกเกมแกล้งผมกลับซะผมตายสนิทเลย เล่นบ้าอะไรของมันเนี่ย รู้ไหมว่าผมคิดจริงนะ!! ผมแอบหวังว่าริมฝีปากเราจะสัมผัสกันด้วยซ้ำ โมโหชะมัด!!

   “ไอ้บ้า!! ปากเหม็น ลุกไปเลยไป!! ผมว่าพร้อมจะผลักอกปาร์คออกจากรุนแรง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีทันที

   “ฮ่าๆ หน้าฟร๊องก์ตอนเขินตลกชะมัด เขินจนทำอะไรไม่ถูกเลย” ปาร์คยังคงไม่เลิกล้อเลียนผม “ปาร์คหล่อล่ะสิ ถึงจ้องตาไม่กระพริบเลย”

   “เหอะ! หลงตัวเองโคตร” ผมหันมาเบะปากใส่มัน หมั่นไส้ อยากเอาคืนแต่ทำอะไรไม่ได้ มันแค้นนน!!!

   “นอกจากหลงตัวเอง แล้วก็ทำให้ใครบางคนหลงได้เหมือนกันน๊า” ปาร์คยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง แต่ประโยคนั้นทำให้ใจผมเริ่มทำงานหนักอีกแล้ว หัวใจจะวายไหมเนี่ย

   “บ้า! ไปอาบน้ำแล้ว ขี้เกียจพูดด้วย!!” ผมว่าก่อนจะเชิดหน้าเดินลงจากเตียงแล้วรีบตรงดิ่งไปในห้องน้ำทันที

   โอ้ยยย!! เช้านี้ผมรู้สึกเหนื่อยจัง รู้สึกเหมือนผมเพิ่งไปออกกำลังกายมา หัวใจผมทำงานหนักมาก แบบที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมปาร์คต้องทำท่าทางแปลกๆ แกล้งผมแบบนี้ด้วย รู้ว่าผมมีใจด้วยแต่ยังมาเล่นกับผมอีก คิดว่าผมเป็นไม่รู้สึกหรือไง หรือปาร์คจะแอบไหวหวั่นกับผมแล้วจริงๆ ก็... ปาร์คพูดว่าตัวผมหอม อร๊ายยย... เขิน เลิกคิดๆ อาบน้ำดีกว่า

   ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานพอสมควร โชคดีที่ปาร์คมีแปรงสีฟันใหม่พอดี ผมเลยจิ๊กมาใช้ตั้งแต่เมื่อคืน ฮ่าๆ ที่อาบนานไม่ใช่อะไรหรอก ทำใช้อยู่ว่าถ้าออกไปเจอหน้าปาร์คแล้วจะทำหน้ายังไง ก็แหม มันยังเขินอยู่นิ ลองให้คนที่รักมาทำแบบนี้กับคุณบ้างสิ แล้วคิดจะรู้ว่าผมไม่ได้เว่อร์เลย ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวแกล้งก็เถอะ
   ผมก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อผ้าที่หลวมโคตรๆ ตัวเดิมของปาร์ค ผมมัวแต่เขินจนลืมหยิบชุดเข้าไปเปลี่ยนน่ะสิ อย่ามองว่าผมซกมก หันไปมองปาร์คที่ยังคงนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง แต่ที่โต๊ะข้างๆ เตียงไม่มีกล่องของขวัญของผมแล้ว!

   “หึหึ” ปาร์คส่งเสียงหัวเราะอย่างมีเลศนัย พลางมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม

   “หัวเราะอะไร อาบน้ำแป๊บเดียว เป็นบ้าไปแล้วเหรอ” ผมจิกกัดไป ขณะที่ตัวเองกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมอยู่

   “ป๊าววว... หึหึ” ปาร์คยังคงไม่หยุดมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
 
   “มีอะไร บอกมานะ!” ผมเดินเข้าไปหาปาร์ค ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไปเลย

   “ก็... เซ็กซี่ดีนะ” ปาร์คว่า ทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก เซ็กซี่อะไร ใครเซ็กซี่ นี่มันพูดกับผมอยู่เปล่าวะเนี่ย ทีวีก็ไม่ได้เปิด ปาร์คเองก็ไม่ได้ดูอะไรในโทรศัพท์มือถืออยู่ด้วย

   “ใครเซ็กซี่ เป็นอะไรเนี่ย งงหมดแล้ว!” ผมแหวเสียงเข้มใส่ปาร์คที่ยังนอนยิ้มมองผมเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรว่าผมกำลังจะเดือด

   “ฟร๊องก์ไง เห็นแห้งๆ อย่างงี้แอบซ้อนรูปเหมือนกันนะ” ห๊า!! ผมเนี่ยนะ อะไรของมันวะ มึงพูดบ้าอะไร ไอ้ปาร์ค!

   “พูดอะไรฟร๊องก์งงไปหมดแล้ว” ผมยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูด

   “ก็ลองดูที่ประตูห้องน้ำสิ หึหึ”

   เพียงแค่ผมหันกลับไปมองยังประตูห้องน้ำที่เพิ่งออกมาเท่านั้นแหละครับ ผมนี่เห็นภาพเลยทีเดียว ผมลืมไปเลยว่าประตูมันเป็นกระจกขุ่น!! แม้จะไม่ได้เห็นในห้องน้ำทั้งหมด แต่เวลาที่เดินผ่านหน้าประตูนี่เห็นสัดส่วนเต็มๆ เลยแหละครับ และที่สำคัญ ฝักตัวมันอยู่เยื้องกับประตูบ้านี่ด้วย งั้นก็แปลว่าปาร์คเห็นสัดส่วนผมหมดเลยสินะ!!

   “อะ... ไอ้โรคจิต ไอ้ @$&%##^%%#%!!” ผมก้มหน้างุดๆ พร้อมปากที่ขยับด่าเสียงดัง หมดกันผม จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ปาร์คต้องแซวผมจนแก่แน่ๆ เลย พลาดมาก! ไอ้ผมก็มัวแต่เขินบ้าบอ ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ ไม่แหกตาดูอะไรเลย

   “ใครใช้ให้มองเล่า!” ผมยังคงก้มหน้าอยู่ ไม่กล้าสบตากับปาร์ค มันจะเห็นเงาช้างน้อยของผมด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้

   “ก็เห็นหุ่นน่ามอง ก็เลยเผลอมองไป ไม่เป็นไรหรอกน่า คนกันเอง ฮ่าๆ” ปาร์คว่าพลางหัวเราะเยาะผมเสียงดัง “เอางี้ ฟร๊องก์นอนดูของปาร์คดิ จะได้ถือว่าหายกัน ฮ่าๆๆๆ”

   “ใครจะไปดู... ของเล็กๆ ชิ!” ผมว่าและเชิดหน้าใส่ ก่อนจะเดินเอาผ้าขนหนูไปตาก

   “ลองแล้วหรอ ถึงว่าเล็ก โดนของพี่แล้วจะร้องไม่ออกนะน้อง” ปาร์คยังคงเล่นไม่หยุด ไม่ต้องตกใจไป มันเป็นแบบนี้ตลอดแหละ เล่นเยอะจนบางทีผมก็คิดเยอะตามไปด้วย

   “ไปอาบน้ำเลยไป! จะออกไปรอข้างนอก เร็วๆ ด้วยหิวข้าวแล้ว” ผมว่าก่อนจะรีบออกนอกห้องไปทันที จะอยู่ให้ตัวเองพรุนเพิ่มหรือไง ทำไมผมสู้ปาร์คไม่เคยได้เลยเนี่ย ไม่ยอม!!

   ว่าจะถามเรื่องของขวัญสักหน่อยว่าเห็นยังหรือหายไปไหน เพราะผมออกมาดูที่กระเป๋าของผมที่อยู่นอกห้อง ก็ไม่เจอของขวัญนะ ผมจำได้ว่าวางไว้แล้วเมื่อคืน แต่มันหายไปไหนเนี่ยสิ มัวแต่ทะลึ่งอยู่ เลยไม่ได้ถามเลย

**********__________**********

   ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ผมนั่งดูทีวีที่โซฟารับแขกรอคุณชายปาร์คอาบน้ำ ก่อนนี้ผมแอบไปสำรวจตู้เย็นมาแล้ว กะว่าจะทำอะไรกินด้วยกัน แต่ปรากฏว่าเปิดตู้เย็นไปแล้วแทบจะหน้าหงายกลับมาเลย แทบจะไม่มีของสดอยู่เลยด้วยซ้ำ มีแค่ไส้กรอกสำเร็จรูปนิดหน่อย และไข่ไก่อีก 3-4 ฟอง นอกนั้นอัดแน่นไปด้วยเบียร์ เหตุผลที่ไม่ค่อยเที่ยวก็คงเพราะแบบนี้สินะ

   “เสร็จแล้วครับผม น้องฟร๊องก์ของพี่รีบไปเปลี่ยนชุดเร็ว จะได้ออกไปกินข้าวกัน” ปาร์คเดินออกมาจากห้องในชุดใหม่พร้อมเที่ยว

   ปาร์คแต่งตัวค่อนข้างชิลล์ แต่ก็หล่อและดูดีมาก เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อน ต้องการจะสื่ออะไรหรือเปล่าเนี่ย พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอกแบบเท่ๆ และไม่ติดกระดุมที่ต้นคอสองเม็ด และห้อยแว่นกันแดดเอาไว้ มันก็เผยให้เห็นกล้ามอกนิดหน่อย กับกางเกงผ้าขาสั้นสีน้ำตาล ใส่ถุงเท้าด้วย แสดงว่าคงไม่ได้คีบแตะไป ที่ข้อมือมีเพียงนาฬิกาเหมือนเดิม แม้จะดูธรรมดา แต่มันก็ดูเต็มมากสำหรับการออกไปกินข้าว

   “ว่าแต่พี่ปาร์คจะแต่งตัวออกไปเที่ยวไหนหรอครับ แค่ออกไปกินข้าวจะต้องแต่งเต็มขนาดนี้เชียวเหรอ” เล่นมาผมก็เล่นกลับครับ มันชอบเล่นแบบนี้บ่อยๆ อยู่แล้ว

   “พี่ปาร์คจะพาน้องฟร๊องก์ไปเที่ยวด้วยนี่ครับ เลยต้องหล่อหน่อย” ปาร์คว่าพลางยิ้มสดใส แต่ก็เหมือนพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ด้วย

   “พาน้องฟร๊องก์ไปเที่ยว ต้องเลี้ยงน้องฟร๊องก์ดีๆ ด้วยนะ” ผมเดินเข้าไปใกล้ปาร์คมากขึ้น พร้อมพยายามยิ้มในแบบที่คิดว่าทำแล้วดูยั่วมากที่สุด ซึ่งมันอาจจะดูทุเรศในสายตาปาร์คก็ได้ แต่เล่นมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องเอาให้สุด เผื่อรอบนี้ผมจะชนะบ้าง

   “รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะครับ เดี๋ยวพี่ปาร์คอดใจไม่ไหว แล้วจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี” น็อคดาวน์เลยครับเจอแบบนี้ ชอบพูดให้ไหวหวั่นอยู่เรื่อยเลย บางทีมันแหย่ผมเล่นทางโทรศัพท์ มันก็ไม่เขินขนาดนี้หรอกครับ แต่นี่มันเล่นต่อหน้าผมอย่างนี้ ไม่ไหวครับๆ ขอชิ่งหนีก่อนดีกว่า

   วันนี้อะไรกันเนี่ย ตั้งแต่ตื่นแล้วนะ แปลกทั้งปาร์ค และแปลกทั้งความรู้สึกของตัวเอง รู้สึกว่าหัวใจมันกระชุ่มกระชวยยังไงไม่รู้ มันเหมือนกับต้นไม้ที่แม้จะไม่ได้ขาดน้ำหล่อเลี้ยง แต่มันก็ไม่ได้รับการใส่ปุ๋ย จนมาถึงวันนี้ มันเหมือนมีปุ๋ยวิเศษมาใส่ให้ต้นไม้ต้นนี้มันงอกงามต่อ นี่ปาร์คกำลังจะทำให้ผมสมหวังหรือเปล่า ผมกำลังจะสมหวังกับคนที่ผมรอคอยมาตลอดใช่ไหม

   ที่วันเกิดของปาร์คปีนี้พิเศษกว่าปีอื่นๆ แปลกกว่าปีอื่น เพราะมันกำลังมี ‘บางอย่าง’ เปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม ทั้งการกระทำในวันนี้ของปาร์คมันคือสื่อถึงบางอย่างในใจ เช่นเดียวกับจังหวะหัวใจของผมและปาร์ค ที่มันกำลังจะบรรจบกันเป็นจังหวะเดียวแล้วสินะ

   ผมกลับออกมาในชุดที่ซื้อเมื่อวาน โดยที่ยังไม่ได้ซัก รู้สึกว่าตัวเองซกมกยังไงไม่รู้ ก็ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนนิ ไม่คิดว่าจะออกไปไหน คิดว่ามาค้างคืนเดียว แล้ววันนี้ก็กลับ แต่ปาร์คกลับออกไปเที่ยวอีกซะงั้น ออกมาก็เห็นปาร์คใส่รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลนั่งรอเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

   “เชิญครับน้องฟร๊องก์” ปาร์ควาดแขนพร้อมยักคิ้วกวนๆ ให้ผม ไอ้นี่เล่นไม่เลิกจริงๆ

   ตอนแรกผมคิดว่าจะไปกินข้าวกันใกล้ๆ คอนโด แต่ที่ไหนได้ปาร์คพาผมออกมาไกลพอสมควรเลยครับ ร้านที่มันพามาเป็นร้านอาหารเล็กๆ ครับ แต่ดูภายนอกแล้วร่มรื่นมากเลย ต้นไม้เยอะมากและไม่คิดว่าจะมีร้านแบบนี้ในเมือง แต่เจ้าตัวบอกว่าอร่อยมากๆ มันมากินประจำ ส่วนผมไม่รู้จักหรอกครับ ไม่ค่อยผ่านมาแถวนี้ด้วยเพราะมันค่อนข้างไกลจากมหา’ลัย และบ้านของผม

   พอเข้ามาด้านใน ร้านนี้ตกแต่งได้น่ารักมาก ตรงกลางร้านมีต้นไม้ที่แขวนกระดาษซึ่งเป็นพรที่แต่ละคนเขียนแล้วนำมาแขวน ผนังทาด้วยสีอ่อน ประดับด้วยแจกันดอกไม้น่ารักๆ ติดผนัง ไฟสีส้มนวลๆ ให้ความรู้สึกอยากอาหารเพิ่มขึ้น จำนวนโต๊ะมีไม่มากครับ ซึ่งคนก็เต็มทุกโต๊ะ แต่โชคดีที่ยังเหลือที่ว่างอยู่ แถมยังเป็นมุมดีที่มองเห็นต้นไม้ร่มรื่นด้านนอกอีกต่างหาก

   เมื่อมาถึงโต๊ะ ผมก็เอาที่มองออกไปดูพวกต้นไม้ ใบไม้ด้านนอกทันที เพิ่งเห็นว่ามีบ่อปลาคาร์ฟด้วย เหมือนว่าตอนกลางคืนร้านจะยังคงเปิดอยู่ และสามารถเลือกนั่งด้านนอกได้ เห็นมีโต๊ะอยู่สี่ที่ จริงๆ เวลานี้ก็น่าจะออกไปนั่งได้นะ เพราะผมออกมาถึงนี่ก็ประมาณบ่ายสองแล้ว (คงไม่ต้องบอกว่าพวกผมตื่นสายกันแค่ไหน) ผมเป็นคนที่ชอบธรรมชาติ ชอบไปเที่ยวทะเล ภูเขา แต่ก็ไม่ได้ไปบ่อยนักหรอกครับ เคยไปเที่ยวแบบนี้กับปาร์คแค่สองครั้งเอง แต่ไม่ได้ไปสองคนนะ ไปกับเพื่อนๆ เนี่ยล่ะครับ แต่ว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันเนอะที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ตอนมอหกโน้น แถมยังไม่น่าจดจำสำหรับผมอีกต่างหาก

   นั่งที่โต๊ะได้ไม่นานพนักงานก็เอาเมนูมาให้ แต่ผมยังไม่รู้ตัวหรอกครับในตอนแรก มัวแต่ชื่นชมธรรมชาติอยู่ ก็ไม่คิดนี่ครับว่าจะมีร้านที่บรรยากาศดีๆ ในกรุงเทพฯ แบบนี้ บรรยากาศเหมาะมากสำหรับการมาออกเดท อ๊ะ! ออกเดต? ผมกับปาร์ค ออกเดต? แค่คิดผมก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที

   “ฟร๊องก์จะกินอะไรสั่งเลยนะ ปาร์คเลี้ยงเอง เลี้ยงขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” ผมเลิกสนใจธรรมชาติรอบข้าง หันมามองทางต้นเสียงที่พูดเสียงทุ้มหวาน พร้อมกับสายตาเป็นประกายที่มองผมอยู่เช่นกัน ริมฝีปากของปาร์คกระตุกยิ้มบางๆ แต่มันกระแทกเต็มๆ หัวใจผมเลย นี่ผมออกเดทกับปาร์คอยู่จริงๆ หรือเนี่ย ฝันของผมกำลังจะเป็นจริงแล้วใช่ไหม เรื่องของผมกับปาร์ค...

   “อะ... อืม ใจดีจัง” ผมแกล้งพูด แต่ปากนี่ส่งยิ้มหวานออกไปเรียบร้อย ผมยิ้มจนตาโตๆ ของตัวเองแทบปิด อ่านเมนูไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ สมองมันวิ๊งๆ ไปหมด รอยยิ้มของปาร์คเมื่อกี้มันคว้าหัวใจผมให้หลุดลอยไปทั้งดวงแล้ว

   แล้วเราสองคนก็สั่งอาหารกันเป็นที่เรียบร้อย ส่วนใหญ่จะเป็นปาร์คล่ะครับที่เป็นคนสั่ง ผมไม่รู้ว่าที่นี่อะไรอร่อย และก็ไม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษ แค่มากินสองคนกับปาร์คก็อิ่มแล้ว ฮ่าๆ ก็เลยให้ปาร์คเป็นคนจัดการซะเป็นส่วนใหญ่

   สั่งอาหารเสร็จปาร์คก็ใช้สองมือนั่งท้าวคางมองผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไอ้คนที่โดนจ้องอย่างผมก็ทำตัวไม่ถูกสิครับ ยิ่งหวั่นไหวตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ทำอะไรไม่ถูกแล้ว มันเขิน มันเกร็งนะเว้ย!

   “มองอะไรเล่า!” ผมว่าอย่างอายๆ ก่อนจะหันออกไปมองนอกร้านเช่นเดิม

   “มองคนเขิน”

   “ใครเขิน บ้าป่าว” ผมยิ้มไม่หุบเลยครับ ใบหน้าก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ลามไปยังใบหูแล้วตอนนี้

   “ใครไม่รู้ นั่งหน้าแดง หูแดงอยู่ตอนนี้ ฮ่าๆ” ปาร์คว่าเล่นเอาผมอายแทบมุดโต๊ะหนีเลยครับ อย่าแกล้งกันได้ไหมเนี่ย เพื่อนบ้าบออะไรปากหวานขนาดนี้!

   “ร้อนเถอะ!” ผมว่า แต่ยังไม่ยอมหันไปมองหน้าปาร์ค

   “ร้อนหรอ พี่ครับ พี่...”

   “เห้ย! จะทำอะไร” ผมร้องอย่างตกใจรีบหันกลับมาคว้าแขนที่กำลังชูขึ้นของปาร์คลงทันที

   “ไม่มีอะไรแล้วครับ โทษทีครับ” ปาร์คหันไปตอบพนักงานที่เขาเดินมาจริงๆ ก่อนจะหันกลับมายิ้มเยาะเย้ยผม “ก็เห็นว่าร้อน เลยจะบอกให้เขาลดอุณหภูมิแอร์ให้ไง”

   “ก็ใครแกล้งล่ะ!” ผมแถกลับไป พลางหันไปมองรอบร้าน ที่หลายๆ คนกำลังอมยิ้มกับท่าทางของเราสองคนอยู่ จนในที่สุดพนักงานก็ทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟจนครบ จึงถือเป็นการยุติการแซว และการแถของคนสองคน ผมค่อนข้างหิวครับ พออาหารมาก็ลงมือทานเลย ปาร์คเองก็คงหิวมากเช่นกัน เพราะเปลี่ยนจากท่าทางเล่นๆ เมื่อกี้มาก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวเลย ฮ่าๆๆ แพ้ความหิวด้วยกันทั้งคู่


à suivre...

มาลงให้อีกตอนฮะ เดี๋ยวไม่อยู่หลายวัน (":
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 4-5 [28/4/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 30-04-2017 11:26:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 6 [3/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 03-05-2017 21:16:07
Chapitre 6


   “นี่เราจะไปไหนกันต่ออ่ะ หรือว่ากลับห้องเลย” ผมเอ่ยถามหลังจากออกมาจากร้านอาหาร

   “อยากไปไหนต่อไหมล่ะ”

   “อืม... งั้นไปเอเชียทีคกันไหม เคยไปยัง” ผมบอกยิ้มๆ อยากไปเดินเล่น เย็นๆ แบบนี้บรรยากาศมันค่อนข้างดีเลย

   “เคยแต่ไม่บ่อยอ่ะ ขี้เกียจขับรถไป รถแม่งติด!” ปาร์คว่า

   “ก็ไม่ต้องขับรถไปสิ”

   “ไม่ขับรถไปจะไปยังไง เดินไป?” ปาร์คหันมาถามหลังจากเราสองคนขึ้นมานั่งประจำที่บนรถ

   “นั่งเรือไปไง ปาร์คก็ขับรถไปจอดไว้ในห้างหรือที่ไหนที่ใกล้ๆ ท่าเรือ ถ้าไม่มีก็ค่อยนั่งบีทีเอสไปอีกทีก็ได้”

   “นะ... นั่งเรือเนี่ยนะ” ปาร์คว่าด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนกำลังวิตกกับการนั่งเรือข้ามฟาก

    “ใช่ นั่งเรือ ไม่เคยนั่งหรอ” ผมถามพลางอมยิ้ม

   “ก็ไม่เคยนิ มันจะปลอดภัยเหรอฟร๊องก์” สีหน้าปาร์คยังคงแย่เหมือนเดิม

   “ปลอดภัยสิ มีฟร๊องก์อยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร” ผมยิ้มพร้อมกับตบอกอย่างภูมิใจ ภูมิใจกับอะไร?

   “เป็นคนขับเรือรึไง ฮ่าๆ พูดมาได้” ปาร์คยิ้มออกแล้วครับ แสดงว่ายอมไป

   “เอาน่า ลองดูสักครั้ง เดี๋ยวจะติดใจนะ”

   สุดท้ายปาร์คก็ยอมไป แม้สีหน้าจะดูกังวลบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าตอนแรก คนเรามันต้องลองอะไรที่ไม่เคยลองสักครั้ง จะได้ทำให้เรารู้ว่าเราทำมันได้และมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด

   ปาร์คขับรถมาจอดไว้ยังสถานที่หนึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือสาทรนัก ตอนขับรถหน้าปาร์คดูผ่อนคลายลงมากนะ แต่พอมาถึงท่าเรือที่มันค่อนข้างจะโครงเครงแค่นั้นแหละ หน้าปาร์คดูซีดไปทันที ถ้าจะกลัวจริงๆ

   “ฮ่าๆ หน้าซีดเลย” ผมทำเป็นหัวเราะเยาะ

   “ปลอดภัยแน่นะ” ปาร์คถามย้ำ ไม่รู้รอบที่เท่าไรแล้ว ถามตั้งแต่ออกมาจากร้าน

   ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มที่ขอบฟ้า แต่ยังพอมีแสงแดดอ่อนๆ รำไร ไม่ได้ร้อนอะไร ผมว่ามันกลับสวยงามมากด้วยซ้ำ เพราะแสงแดดที่สะท้อนกับผืนน้ำที่ทอดยาวของแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดเป็นประกายสีทองอร่ามขึ้นมา ทำให้รู้สึกอบอุ่นมากเลย พบมองกลับไปเห็นปาร์คยืนอยู่ข้างๆ แล้วผมยิ่งรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจ แม้จะเป็นแค่เพื่อนแต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้ยืนเคียงข้างกันในเวลานี้

   “อืม เชื่อสิ นั่นเรือมาแล้ว” ผมว่าก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือปาร์คเอาไว้ ให้รู้ว่าผมจะไม่ทิ้งเขาไปไหน

   เมื่อเรือมาเทียบท่า ผมก็ก้าวขึ้นเรือโดยไม่ลืมที่จะกระชับมือที่จับกับปาร์คอยู่แล้วออกแรงดึงเล็กน้อยเพื่อให้ปาร์คก้าวตามผมเข้ามาในเรือ จากนั้นผมก็พาปาร์คไปนั่งบริเวณกลางลำเรือ เพื่อไม่ให้ปาร์คเมา คนในเรือค่อนข้างแน่น แต่ก็ยังพอมีที่นั่งว่างเหลืออยู่ แม้จะได้ที่นั่งแล้ว แต่มือของเราก็ยังไม่ปล่อยออกจากกัน ผมรู้สึกได้ว่าปาร์คเองก็กระชับมือตัวเองเช่นกัน

   ผมหันไปยิ้มให้ปาร์ค ซึ่งตอนนี้สีหน้ากลับเป็นปกติแล้ว ปาร์คไม่ได้หันกลับมามอง แต่สายตาที่ทอดยาวไปข้างหน้านั้นผมรับรู้ได้ถึงประกายแห่งความสุข ปาร์คเองก็กำลังมีความสุขใช่ไหม สุขเหมือนกับผมในตอนนี้

   “เป็นไง โอเคใช่ไหมล่ะ บอกแล้วว่ามันไม่มีอะไรหรอก” ผมพูดพลางอมยิ้ม

   “^_^” ปาร์คไม่ตอบอะไร แค่เพียงหันมาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มจางๆ ให้ผม

   ไม่นานผมสองคนก็มาถึงเอเชียทีค ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเรือ มือของเราสองคนจับกันไว้ตลอด ถ้ามองจากสายตาของคนอื่น เราคงไม่ต่างจากคู่รัก ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น ขอให้ผมได้มีความสุขสักหน่อยเถอะ

   ตอนลงเรือผมเป็นคนก้าวนำไปก่อน แต่พอขึ้นจากเรือกลับเป็นปาร์คที่จูงมือผมนำไป คงหายจากการกังวลแล้วสินะ ถึงได้มีท่าทางมั่นใจได้แบบนี้

   “ยิ้มร่าเชียว ไม่กลัวแล้วหรือไง” หลังจากขึ้นฝั่งมา ผมกับปาร์คก็ปล่อยมือกันครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไรหรอก เพราะมันไม่มีเหตุผลที่จำเป็นจะต้องจับมือกันไว้แล้วนิ

   “ใครกลัว ไหนๆ ใครกลัว” ปาร์คพูดพร้อมทำท่าดูนักเลงๆ แต่ผมว่ามันดูตลกมากกว่า

   “จ้า ไม่มีใครกลัวเลย หน้านี่ซีดเชียว” ผมเบะปากพลางยิ้มเบาๆ หมั่นไส้จริงๆ ค่อยดูนะตอนกลับจะแกล้งให้เข็ด

   จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นกัน ดูของโน้นนี่ เวลาเย็นๆ แบบนี้คนเริ่มมากันเยอะพอสมควร ปาร์คบ่นเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องมา ปาร์คเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมาก แต่ไม่ค่อยถ่ายรูปตัวเองเท่าไร แถมยังไม่ชอบให้ใครถ่ายด้วย ผมเองก็มีรูปปาร์คอยู่แค่ไม่กี่รูป ยิ่งรูปคู่นี่นับได้เลยครับ

   เราใช้เวลาเดินดูของกันพอสมควร จนตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งผมและปาร์คได้ของเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกันทั้งคู่ ที่ใช้เวลาเดินนานเพราะส่วนใหญ่ปาร์คจะหยุดถ่ายรูปตามจุดแนวๆ โดยใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายเนี่ยล่ะครับ แต่ภาพก็ออกมาสวยอยู่ แถมบางทียังแอบถ่ายผมเวลาเผลอๆ อีกด้วย ผมแอบเห็นบางครั้งที่ปาร์คกำลังเล็งกล้องมาทางผม หน้าผมนี่คงตลกมาก บอกให้ลบก็ไม่ยอม เราเดินกันเรื่อยเปื่อยจนตอนนี้มาหยุดอยู่หน้าร้านขายตุ๊กตาไม้ทำมือร้านหนึ่ง ผมว่ามันน่ารักมากเลยนะ เป็นงานทำมือที่ละเอียดมาก

   “เห้ยฟร๊องก์ ดูตุ๊กตาตัวนี้ดิ หน้าเหมือนฟร๊องก์เลย ฮ่าๆ” ปาร์คกวักมือเรียกผมให้ไปดูตุ๊กตาไม้ตัวเล็กๆ ขนาดประมาณฝ่ามือที่กำลังนั่งขัดสมาธิทำหน้าแบ๊วอยู่

   “ไม่เห็นจะเหมือนเลย ตุ๊กตานี่แบ๊วจะตาย ดูสิตาโตเชียว” ผมเดินเข้าไปหาปาร์คที่ยิ้มกว้างถือตุ๊กตาตัวนั้นอยู่ ถ้าตุ๊กตาตัวนี้หน้าเหมือนผมจริง ปาร์คก็เป็นคนที่คว้ามันเอาไว้แล้วสินะ

   “ฟร๊องก์ก็ตาโตเถอะ เอาไหม เดี๋ยวซื้อให้ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิด” ปาร์คถามแต่ไม่รอฟังคำตอบจากผมเลย เดินไปหาคนขายเพื่อจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย

   “วันเกิดปาร์คเนี่ยนะ แล้วมาให้ของขวัญฟร๊องก์ทำไม” หลังจากที่ปาร์คจ่ายเงินเรียบร้อย ก็เดินกลับมาพร้อมยื่นตุ๊กตามาให้ผม

   “ก็วันเกิด เราต้องเป็นผู้ให้บ้างสิ” ปาร์คยิ้ม แต่ผมนี่สิ ยิ้มแก้มปริเลย

   ผมยินดีรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ แล้วเอามันมากอดไว้ที่อกทันที มันมีค่ามากสำหรับผม ถึงจะไม่ใช่ของแพงหรือมีมูลค่าอะไรมากมายนัก แต่คุณค่าทางจิตใจสำหรับผมแล้ว อะไรก็มาแทนที่มันไม่ได้

   “ยิ้มไม่หุบเชียวนะ ว่าแต่ของขวัญของปาร์คอยู่ไหนล่ะ ไหนบอกว่าจะให้” นั่นสิ ผมลืมนึกถึงเจ้ากีต้าร์ตัวน้อยที่ผมอุตส่าห์ไปตามหามาให้ปาร์ค ยิ่งปาร์คถามมาแบบนี้ผมยิ่งสงสัย แสดงว่าปาร์คยังไม่เห็นของขวัญเหรอ แล้วมันหายไปไหน หรือว่าผมเมาจนคิดว่าวางไว้ที่ข้างหัวเตียงในห้องปาร์คแล้วทั้งที่จริงผมลืมหยิบไปจากหัวเตียงของผมเอง

   “ฟร๊องก์ว่าฟร๊องก์วางไว้ที่โต๊ะข้างๆ หัวเตียงปาร์คนะ แต่...”

   “ปาร์คไม่เห็นเห็นเลย ฟร๊องก์เบลอหรือเปล่า” ปาร์คทำหน้างง

   “นั่นสิ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฟร๊องก์กลับไปดูที่หอให้อีกที ถ้าอยู่ที่หอเดี๋ยวฟร๊องก์เอามาให้ทีหลังนะ” ผมบอกด้วยความกังวล

   “โห้ แค่ของขวัญฟร๊องก์ยังลืมเลย ปาร์คไม่สำคัญสินะ” ปาร์คว่าด้วยท่าทางน้อยใจ พร้อมเดินหนี

   “เห้ยๆ ไม่ใช่นะ ปาร์คสำคัญกับฟร๊องก์เสมอแหละ แต่ฟร๊องก์เองยังงงเลยว่าของขวัญมันหายไปไหน” ผมรีบวิ่งไปจับแขนปาร์คไว้ทันที ผมกลัวปาร์คจะเสียความรู้สึก

   “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องให้ปาร์คก็ได้” ปาร์คหันมาตอบยิ้มๆ แต่ดูเป็นรอยยิ้มที่ฉายแววแห่งความเศร้า

   “งั้นไปกินไอติมกัน มีร้านหนึ่งอร่อยมาก เดี๋ยวฟร๊องก์เลี้ยงเอง ถือว่าไถ่โทษแล้วกันนะ อย่าโกรธฟร๊องก์เลยนะ” ผมว่าก่อนจะอวยโอกาสคว้ามือปาร์คให้เดินตามไป

   แล้วเราก็มาหยุดที่หน้าร้านไอศกรีมโฮมเมดร้านหนึ่ง เวลาผมมาเที่ยวที่นี่ ผมต้องแวะซื้อกินเป็นประจำ เป็นไอศกรีมแบบโคน มีให้เลือกหลายรส แต่ผมว่าที่นี่รสนมจัดว่าเด็ด รู้สึกได้ว่าเขาใช้นมสดจริงๆ มาทำ

   “ปาร์คเอารสอะไร” ผมหันกลับไปถาม

   “เอาเหมือนฟร๊องก์ล่ะ ไม่รู้อะไรอร่อย” หน้าปาร์คดีขึ้น แถมยังอมยิ้มอีกด้วย

   “พี่ครับ เอารสนมสองอัน” ผมหันไปบอกคนขาย แต่ก็ต้องยืนรอสักพักถึงจะได้ เพราะคิวค่อนข้างเยอะ

   “อ่ะนี่ได้แล้ว อร่อยมากกก” ผมว่าพลางทำหน้าฟินสุดฤทธิ์

   “ไปหาที่นั่งกัน เมื่อยอ่ะ” ปาร์คว่าหลังรับไอศกรีมจากผมไป จากนั้นเราก็ไปหาที่นั่งกัน ได้ที่ดีพอดีเลย ใกล้ริมน้ำ ลมพัดเย็นๆ กับแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว

   ไอศกรีมวันนี้มันอร่อยกว่าทุกครั้งที่ผมเคยมากิน ผมกินไอศกรีมไปก็แอบลอบมองปาร์คที่นั่งอยู่ข้างๆ ไป นั่งพิจารณาใบหน้าเรียบเนียนได้รูป เส้นคิ้วที่เรียงสวย จมูกโด่งเป็นสัน และปากสีแดงระเรื่อที่กำลังจัดการกับไอศกรีมอยู่นั้นอย่างเพลินๆ จนปาร์คเองก็หันมามองผมเช่นกัน เราสองคนสบตากันพอดี ดวงตาคมเป็นประกายของปาร์คที่มองเข้ามายังนัยน์ตาของผม ก่อนที่นิ้วเรียวของปาร์คจะค่อยๆ เอื้อมมาแตะที่ริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

   “กินดีๆ สิ เลอะหมดแล้ว รู้ว่ามันอร่อยแต่ไม่ต้องรีบก็ได้” ปาร์คพูดติดตลก พร้อมใบรอยยิ้มบางๆ แต่น้ำเสียงเข้มเจือความเป็นห่วง นิ้วหัวแม่มือเรียวค่อยๆ บรรจงเช็ดไอศกรีมที่เลอะปากผมออก

   “อ๊ะ... อืม ขอบคุณนะ” ผมก้มหน้าหนีจากสายตานั้น มันทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมอายและอาจจะถึงขั้นละลายลงไปกองกับพื้นราวกับไอศกรีมนี้ได้

**********__________**********

   ผมกับปาร์คนั่งกันสักพัก ไอศกรีมหมดไปนานแล้ว เราสองคนก็นั่งเงียบกันตั้งแต่ที่ปาร์คเช็ดปากให้ผมนั่นเป็นต้นมา ผมก็แอบเหลือบมองปาร์คอยู่บ้าง แต่ไม่กล้ามองตรงๆ แล้วครับ อายมาก ยอมรับว่าแพ้ดวงตาคู่นั่น ส่วนปาร์คก็นั่งอมยิ้มมองยังผืนน้ำเบื้องหน้าอยู่เงียบๆ โดยที่ผมเองก็เดาความคิดของปาร์คไม่ถูกเหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่

   “นี่ไปนั่งชิงช้าสวรรค์กัน มาที่นี่ยังไม่เคยขึ้นเลย” อยู่ๆ ปาร์คก็หันมาพูดกับผม เล่นเอาผมที่แอบมองอยู่สะดุ้งเลย

   “เอาดิ ฟร๊องก์ยังไม่เคยขึ้นเหมือนกัน” ผมตอบยิ้มๆ

   “ป่ะ ไปกัน” แล้วอยู่ๆ ปาร์คก็คว้ามือผมไปทันที

   ไม่นานเราก็มาอยู่บนชิงช้าสวรรค์ที่เป็นแลนด์มาร์กของที่นี่เรียบร้อย แน่นอนครับว่าปาร์คเป็นคนจ่ายเงิน สบายไป เราสองคนนั่งฝั่งเดียวกันครับ ทั้งที่กระเช้าก็ถือว่ากว้างพอสมควร แต่ปาร์คกลับมานั่งติดกับผมซะงั้น จะว่าไปวิวมันก็ไม่ได้สวยเท่าไรหรอกครับบนนี้ เพราะมองไปทางไหนกรุงเทพฯ ก็เต็มไปด้วยตึกอยู่แล้ว จะมีก็แต่แสงไฟที่สะท้อนผืนน้ำที่สั่นไหวเป็นระลอกคลื่นนั้น ที่ทำให้เงาสะท้อนของแสงไฟนั้นเป็นประกายระยิบระยับเหมือนแสงดาวกลางท้องน้ำ

   แล้วอยู่ๆ กระเช้าเราก็มาหยุดอยู่ตรงจุดยอดของชิงช้า เพราะให้คนขึ้นกระเช้าที่ด้านล่าง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือปาร์คโน้มหัวลงมาอิงที่ไหล่ผม เล่นเอาผมนั่งนิ่ง ค้างเติ่งเหมือนกระเช้าที่หยุดอยู่กับที่ไปเลย

   “บรรยากาศดีเนอะว่าไหม” ปาร์คพูดเสียงแผ่ว

   “อ่ะ... อืม” ผมตอบกลับไปเบาๆ เช่นกัน แต่ตอนนี้ตัวผมเกร็งมาก

   “ถ้าได้อยู่กับแฟนแบบนี้ก็คงดี” ปาร์คเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงอีกครั้ง

   ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ที่หัวใจผมทำงานหนักแบบนี้ ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้นานๆ จัง อยากให้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป มีความสุขด้วยกันแบบนี้ อยากเก็บมันไว้นานๆ เพราะไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหม

   ผมไม่รู้และไม่กล้าฟันธงหรอกว่าการกระทำของปาร์คในวันนี้ ปาร์คจะคิดยังไงกับผม อนาคตผมไม่รู้ แต่ตอนนี้คนที่อยู่ข้างๆ ผม คนที่กำลังซบไหล่ผมอยู่นี้ทำให้ผมมีความสุข ทำให้หัวใจผมเต้นแรง ทำให้ผมยิ้มได้อย่างไม่มีข้อกังขา และเขาคนนี้คือคนให้ชีวิตผมมีแสงสว่างที่สดใส เขาอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้ตลอดไปก็พอ

   ปาร์คยังคงซบไหล่ผมอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านานเท่าไร จนกระทั่งสิ้นสุดรอบของเราทั้งคู่ ผมไม่อยากให้ชิงช้าสวรรค์หมดรอบเลย แต่จะทำไงได้ล่ะ แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขจนปริ่มล้นแทบสำลักออกมาแล้ว

   “กลับกันเถอะ เดี๋ยวดึก ยังไม่ได้แกะของขวัญเลย” ปาร์คว่าพลางเดินนำผมไปยังท่าเรือ

   ขากลับนี้ปาร์คไม่มีท่าทีกลัวเรือเหมือนตอนแรกครับ คงรู้แล้วแหละว่ามันไม่ได้อันตรายอะไร ผมก็พอเข้าใจนะครับ คนไม่เคยทำ แล้วลองทำอะไรครั้งแรก ก็ย่อมมีกลัวกันบ้าง แต่ดูคราวนี้สิ เป็นผู้นำเชียว

**********__________**********

   ใช้เวลามากพอสมควรกว่าที่จะฝ่ารถติดมาถึงคอนโดฯ ของปาร์คได้ เมื่อมาถึงคอนโดฯ พวกผมก็ต้องเหนื่อยกันอีกรอบ กับการขนของขวัญ ทั้งกล่องเล็กกล่องใหญ่ (แต่ก็ยังคงไม่เห็นกล่องของขวัญของผมเช่นเดิม) ขึ้นห้อง

   “ฮ้า หมดซะที” ปาร์คล้มตัวลงนั่งที่โซฟาทันทีที่ขนของขวัญเที่ยวสุดท้ายขึ้นมาบนห้อง แต่ทำเหมือนว่าขนกันหลายรอบมาก ทั้งที่จริงแค่สองรอบเอง ของขวัญมันไม่ได้มีเยอะอะไรมากมายหรอกครับ แต่มีอยู่สองกล่องที่ใหญ่ เดาได้เลยว่าคงเป็นตุ๊กตา โคตรเข้ากับปาร์คเลย ให้ตุ๊กตา ฮ่าๆ

   “ทำเป็นเหนื่อย ฟร๊องก์เห็นถือกล่องใหญ่แค่กล่องเดียวเอง โถ่” ผมแซว ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างๆ ปาร์ค

   “มันหนักนะ” ปาร์คทำเสียงอ้อน เห็นแล้วขำครับ ไม่น่าเชื่อนะว่าปาร์คจะดูตลกได้ขนาดนี้ และผมคิดว่าคงไม่มีใครเคยเห็นมุมนี้ของปาร์คหรอก เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น ปาร์คเฮฮาก็จริง แต่ก็ค่อนข้างจะเคร่งขรึมอยู่พอสมควร ไม่ได้มีมุมน่ารักๆ บวกกับความปัญญาอ่อนแบบที่ผมได้เห็นอยู่นี่หรอก

   “เริ่มแกะเถอะ อยากเห็นของขวัญแล้ว ถ้าน่ารักจะได้จิ๊ก ฮ่าๆ”

   “แหนะๆ ไม่ต้องมาเนียนเลย ของขวัญตัวเองก็ไม่มี” ปาร์คจี้จุดเล่นเอาผมเศร้าลงทันที

   “...” ผมหุบยิ้มไม่ได้พูดอะไรต่อ

   “ฟร๊องก์... เห้ย ปาร์คขอโทษ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย โอ๋ๆ” ปาร์คหันมามองหน้าผมหน้าเสียเลยครับ ก่อนจะดึงผมไปซบอกแล้วลูบผมปลอบ “ไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่ของขวัญเอง ยังไง ‘ตัวคน’ ก็ต้องสำคัญกว่าสิ”

   “ฟร๊องก์ไม่เป็นไรหรอก ขอโทษนะที่ลืมเอาของขวัญมา แต่มีให้แน่นอน” ผมขืนตัวออกจากแผงอกนั้น พร้อมกับขอบตาที่ร้อนผ่าวและห้ามหยดน้ำไม่ให้ร่วงหล่นจากขอบตานั้น “แกะเถอะ ดึกแล้ว” ผมตัดบท ก่อนจะก้มหน้าไปหยิบกล่องของขวัญมาไว้ในมือ

   “อืม ของฟร๊องก์ไว้ทีหลังก็ได้ไม่เป็นไรหรอกเนอะ จริงๆ ไม่ต้องให้ปาร์คก็ไม่ว่าอะไรหรอก ได้มาทุกปีแล้ว” ปาร์คเอื้อมมือมาโยกหัวของผมเบาๆ ทำให้ผมยิ้มออก แล้วเราสองคนก็ลงมือแกะของขวัญนับสิบกล่องตรงหน้า

   ไม่นานของขวัญตรงหน้าก็ถือแกะออกจากกล่องจนหมด มีของหลายอย่างครับ ทั้งถูกและไม่ถูกใจปาร์ค แต่ปาร์คบอกว่าก็ดีใจหมดแหละ เพราะทุกคนตั้งใจให้ จิตใจหล่อจริงๆ ครับ

   “เอ๊... รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง” ปาร์คทำท่านึกอะไรบางอย่างก่อนจะลุกจากโซฟาก่อนหายเข้าไปในห้องนอน ผมมองตามด้วยความสงสัย ไม่นานปาร์คก็กลับออกมาพร้อมกับกล่องของขวัญคุ้นตาในมือ

   “ของใครน๊า ลืมทิ้งไว้ในห้อง” ปาร์คทำท่าล้อเลียน ผมที่เหลียวกลับไปมอง เห็นแล้วถึงกับยิ้มแก้มปริเลยครับ นึกว่ามันจะหายไปซะแล้ว เพราะผมจำได้ว่าผมวางไว้ให้ปาร์คแล้วเมื่อคืน ที่แท้ก็แกล้งผมนี่เอง เล่นซะเนียนเลย

   “นี่แกล้งกันเหรอเนี่ย รู้ไหมฟร๊องก์ใจไม่ดีเลยนะ นึกว่าของขวัญจะหายไปแล้วซะอีก” ผมเดินไปหาปาร์คที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนจะต่อว่าด้วยใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มอยู่ไม่เปลี่ยน

   “ข้างในนี้คืออะไรนะ อยากรู้จัง แกะเลยนะ”

   “อืมมม” แล้วปาร์คก็บรรจงแกะห่อของขวัญของผมอย่างเบามือ และดูระมัดระวังมาก อย่างที่ผมบอกว่าแหละครับ ปาร์คเก็บของขวัญทุกอย่างของผมเป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้กระทั่งกระดาษห่อของขวัญ จึงไม่แปลกที่จะเห็นปาร์คตั้งใจแกะขนาดนี้ ซึ่งต่างจากอันก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

   “จะเปิดแล้วนะ” พอแกะกระดาษออกจนหมด ปาร์คก็วางกระดาษนั้นไว้ที่ชั้นหนังสือข้างๆ ประตู แล้วค่อยๆ เปิดฝากล่องของขวัญนั้นอย่างทะนุถนอม ส่วนผมนี่ยิ้มไม่หุบเลยครับ ก้มมองมือปาร์คที่กำลังเปิดฝากล่องอย่างตื่นเต้น ยิ่งกว่าเปิดดูผลสอบอีก

   “น่ารักมากเลยฟร๊องก์ มีเสียงด้วย แถมยังมีชื่อปาร์คด้วย โคตรชอบเลย” ปาร์คยิ้มกว้างทันทีที่ได้เห็นของขวัญ แถมยังเอานิ้วดีดสายกีต้าร์เบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาที่สดใสแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

   “เป็นไง น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ” ปาร์คที่ว่ายิ้มกว้างแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างกว่าอีก ปากนี่จะฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว

   “โคตรน่ารัก น่ารักเหมือนคนให้ ถูกใจมากเลย” เมื่อกี้ผมหูฝาดหรือเปล่า ปาร์คพูดว่าผมน่ารักอีกแล้ว ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

   “ปาร์คว่าอะไรนะ ฟร๊องก์ได้ยินไม่ชัดเลย” ผมแกล้งถามต่อ

   “น่ารักครับ น่ารักเหมือนฟร๊องก์เลย แต่ฟร๊องก์น่ารักกว่าอีก ชัดพอไหมครับ หื้ม” ปาร์คว่าพร้อมกับยื่นมืออีกข้างมาบีบจมูกผมส่ายไปมา

   “เจ็บ!” ผมว่าพลางสะบัดหน้าหนีมือใหญ่นั้น พลางย่นจมูกใส่ แต่ริมฝีปากก็ยังคงเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

   “ขอบคุณนะฟร๊องก์ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย ขอบคุณที่อยู่ข้างปาร์คมาโดยตลอด ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข วันนี้ฟร๊องก์ทำให้ปาร์คมีความสุขมาก เป็นวันที่ปาร์คมีความสุขมากๆ และจะจดจำไว้ตลอดไปเลย ขอบคุณจริงๆ” ปาร์คปรับเข้าสู่โหมดซึ้ง ก่อนจะหันไปวางของขวัญที่ชั้นหนังสือเดิม แล้วดึงตัวผมเข้าไปกอด

   ปาร์คกำลังกอดผมอีกแล้ว ผมไม่ได้ฝันไป ผมรับรู้ได้ถึงท่อนแขนแข็งแรงที่กำลังโอบกอดรอบกายผมอยู่ ฝ่ามือที่กำลังลูบหลังผมอย่างแผ่วเบา และคางที่เกยอยู่บนไหล่ผม ผมรับรู้ถึงมันได้ ผมค่อยๆ ยกแขนตัวเองขึ้นกอดปาร์คกลับเช่นกัน เรายืนกอดกันอยู่แบบนั้นโดยไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมมีความสุขเหลือเกิน มันสุขยิ่งกว่าสุขจากการที่เราได้รับ เพราะผมเองก็ทำให้ปาร์คมีความสุขที่ได้อยู่กับผมเช่นกัน

   “ขอบคุณนะ” แล้วปาร์คก็ผละตัวออกแล้วใช้มือมาประคองใบหน้าผมไว้แทน

   “อ่ะ... อืม มีความสุขมากๆ นะ” ผมพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ผ่านริมฝีปาก

   “ฟร๊องก์คือคนที่ทำให้ปาร์คมีความสุขที่สุด และเป็น ‘คนพิเศษ’ ที่สุดสำหรับปาร์ค”

   “ปะ... ปาร์ค” ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ‘คนพิเศษที่สุดสำหรับปาร์ค’ ผมคือคนพิเศษของปาร์ค หมายถึงผมกับปาร์ค... ผมสมหวังแล้วใช่ไหม

   “รักนะครับ คนพิเศษของปาร์ค” ผมแทบอ่อนละทวยเหมือนได้ยินคำบอกรักจากปากของปาร์ค ปาร์ครักผม เช่นเดียวกับที่ผมรักปาร์ค แต่มันจะใช่ความรักแบบเดียวกันหรือเปล่านะ

   “...” ผมพูดอะไรต่อไม่ถูก ตอนนี้ทุกอย่างมันล้มปริ่มที่อกข้างซ้ายของผมแล้ว ปาร์คปล่อยมือจากใบหน้าผมก่อนจะยีเส้นผมของผมเบาๆ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้

   วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ปาร์คมีความสุข แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นวันที่วิเศษที่สุดเลย ตั้งแต่ตื่นถึงตอนนี้ ไม่มีวินาทีไหนแล้วที่ผมไม่มีความสุข ผมลืมความทุกข์ทุกอย่าง และปาร์คคือคนเดียวที่ทำให้ผมก้าวผ่านความทุกข์มาได้


à suivre...
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 6 [3/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-05-2017 22:29:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 6 [3/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 03-05-2017 22:40:03
รู้สึกใจไม่ดีแปลกๆ  :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 7 [5/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 05-05-2017 20:01:55
Chapitre 7

   หลังจากที่เราสองคนผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ผมก็ขอตัวไปอาบน้ำก่อน ขืนอยู่ต่อหัวใจผมจะวายเอาได้ ในระหว่างที่ผมอาบน้ำ ปาร์คก็อาสาเอาเสื้อผ้าผมไปซักและอบแห้งให้ สำหรับใส่ต่อวันพรุ่งนี้ หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็กลับออกมาในเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของปาร์ค กับกางเกงกีฬาแบบยางยืดขาสั้นที่ผมต้องผูกเชือกไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้มันหลุด ส่วนปาร์คอาบน้ำด้านนอกเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน

   เมื่อตากผ้าขนหนูและเสื้อผ้าผมเสร็จเรียบร้อย เราสองคนก็ล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แต่มันไม่เหมือนกับเมื่อคืนก่อน เพราะตอนนี้เรานอนมองตากันและกันอยู่

   “ฝันดีนะ” และก็เป็นผมที่ต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ไม่ไหวจริงๆ ครับ หน้าผมจะไหม้อยู่แล้ว

   “ฝันดีเช่นกันนะ... ฟร๊องก์” ปาร์คยิ้มบางๆ ก่อนจะปิดไฟ

   ตอนนี้เรานอนอยู่ใกล้กันมาก แม้จะไม่ได้กอดกัน แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากตัวปาร์ค ซึ่งมันทำให้ผมอบอุ่นใจมาก แม้วันนี้สถานะของเราสองคนมันจะดูเหมือนเกินเส้นของคำว่าเพื่อนไปแล้ว แต่ผมก็ยังมั่นใจไม่ได้เพราะทุกอย่างมันก็ยังดูคลุมเครืออยู่เช่นกัน 

   ไม่นานปาร์คก็หลับไปพร้อมกับผมหายใจแผ่วและถี่เป็นจังหวะ ผมมองไล่รายละเอียดบนโครงหน้าของปาร์คที่กำลังหลับสนิทอยู่ และพิจารณาว่าปาร์คกำลังคิดอะไรกับผมอยู่ แล้วจะรู้ไหมว่าหัวใจผมมันถูกกระตุ้นให้มีความหวังมากขึ้น แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะทำอะไรมากกว่านี้ ผมกลัวว่าสิ่งที่ผมทำจะทำให้เขาไม่สบายใจ และบางทีปาร์คอาจจะห่างเหินกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เพื่อรักษาระยะก็ได้ ผมไล่มองมาหยุดที่ริมปีปากบางสีแดงนั้น ผมอยากลองสัมผัสเรียวปากอิ่มสีระเรื่อนั้นจัง ตั้งแต่เมื่อเช้าที่ปาร์คแกล้งผมแล้ว ถ้าวันนี้ผมขอก้าวล้ำเส้นของความเป็นเพื่อน จะเป็นอะไรไหม

   ผมค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ปาร์คมากขึ้น ก่อนจะก้มลงจริดริมฝีปากของผมกับริมฝีปากของปาร์คอย่างแผ่วเบา ใจผมเต้นรั่วยิ่งกว่าเสียงกลองในเพลงร็อคหนักๆ มันเต้นเหมือนจะหลุดออกมาจากช่องอก ผมกลัวว่าปาร์คจะรู้ตัวว่าผมกำลังทำในสิ่งที่น่าอับอายอยู่

   “อื้อ” ผมถึงกับสะดุ้ง เมื่อปาร์คขยับตัว หัวใจผมเต้นเร็วมากด้วยความตกใจเหมือนเพิ่งไปวิ่งมาสักร้อยรอบ และไม่กล้าที่จะทำอะไรมากกว่านี้ จึงถอยตัวกลับมานอนข้างๆ ผมยังคงนอนมองปาร์คต่อไปเรื่อยๆ จนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

**********__________**********

   “ฟร๊องก์...” เสียงใครปลุกผมแต่เช้าเนี่ย คนกำลังหลับสบาย

   “...” ผมพลิกตัวหนีความรำคาญ

   “ฟร๊องก์ ตื่นได้แล้ว” โอ๊ย! ใครวะแม่ง คนจะหลับจะนอน ใครบังอาจเข้ามาในห้องกูวะ!

   “อื้อออ...” ผมพลิกตัวพร้อมกับเอามือปัดไปมาด้วยความรำคาญ พลางเอาหน้ามุดกับหมอนข้าง

   ว่าแต่ ทำไมหมอนข้างมันแข็งๆ วะ ผมจำได้ว่าผมเลือกซื้อหมอนข้างนิ่มๆ มานี่ แต่ทำไมตอนนี้มันแข็ง แถมยังขยับเองได้ด้วย

   “เห้ย!” เมื่อผมลองลืมตาขึ้นมองก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจทันที ผมกำลังนอนซุกอกปาร์คอยู่ แถมตอนนี้ปาร์คอยู่ในสภาพเปลือยทอนบนอยู่อีกต่างหาก!

   “ตื่นได้แล้ว สายแล้ว ได้รีบกินข้าว จะได้พาไปส่ง” ปาร์คพูดเสียงเรียบแต่ก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

   “ปะ... ปาร์คจะทำอะไรฟร๊องก์!” ผมผละออกจากอกปาร์ค ก่อนจะถามด้วยความตกใจ ก็ตกใจจริงๆ นี่ อยู่ๆ ตื่นมาก็เจอปาร์คกำลังแก้ผ้านอนอยู่ข้างๆ แบบนี้

   “เปล่า” ปาร์คยังคงตอบเสียงเรียบ ผมเงยหน้ามองปาร์ค สายตาปาร์คดูแปลกๆ ไป รวมทั้งน้ำเสียงด้วย ทำไมมันดูเย็นชาไปหมด

   “ปาร์ค เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว

   “เมื่อคืน... ฟร๊องก์ทำอะไร” ปาร์คยังคงพูดคงเสียงราบเรียบในโทนเดิม แต่เริ่มดันตัวเองออกห่างจากผม ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

   “ทะ... ทำอะไร” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ลุกขึ้นมานั่งตามปาร์ค เมื่อคืนผมแอบขโมยจูบปาร์ค แต่เขาหลับไม่ใช่เหรอ แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่าผมทำอะไร ผมมั่นใจว่าเขาหลับนะ เขาต้องหลับไปแล้วสิ

   “ตอนที่ปาร์คหลับ ฟร๊องก์ทำอะไรกับปาร์ค” น้ำเสียงปาร์คเริ่มแข็งมากขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องทะลุเข้ามายังดวงตาของผม ที่ตอนนี้ได้แต่ก้มหลบสายตา ผมกลัว ถ้าปาร์คไม่ได้หลับ ถ้าปาร์ครู้ว่าผมแอบครอบครองริมฝีปากนั้น ผมจะทำยังไง ปาร์คจะเกลียดผมหรือเปล่า ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำถามตีกันวุ่นวายไปหมด

   “ปะ... เปล่านะปาร์ค ฟร๊องก์ได้ทำอะไรที่ไหน ละเมอไปเองล่ะมั้ง” ผมแกล้งหัวเราะและเล่นมุกตลกเพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่ทำไว้

   “กูจะถามมึงเป็นครั้งสุดท้ายนะฟร๊องก์ เมื่อคืนมึงทำอะไรกับกู!” สิ้นเสียงของปาร์ค ผมถึงกับต้องเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจ ทั้งที่ปกติปาร์คไม่เคยพูดจาแรงและจริงจังขนาดนี้กับผมเลย ส่วนใหญ่ปาร์คจะเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ และเรียกผมว่าฟร๊องก์เสมอ แต่ครั้งนี้ทำไมปาร์คถึงเปลี่ยนไป แถมหน้าของปาร์คตอนนี้ก็ดูไม่เหมือนปาร์คคนเดิมที่ผมเคยรู้จักด้วย

   “ปาร์ค!” ผมได้แต่เรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ

   “เมื่อคืนมึงทำอะไรไว้อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ ที่กูยอมให้มึง ‘จูบ’ อยู่แบบนั้น เพื่อกูจะพิสูจน์ว่ามึงจะหยุดตัวเองได้หรือเปล่า แต่แล้วมึงก็ไม่หยุดมัน จนกูต้องเป็นฝ่ายหยุดการกระทำบ้าๆ นั้นเอง!” ปาร์คพูดเล่นเอาผมอึ้ง นี่เขารู้ตัว เขารู้ตัวตลอดว่าผมทำอะไรเขา เป็นไปได้ไง ในเมื่อเขาดูเหมือนคนหลับสนิทขนาดนั้น แล้วตอนที่เขาขยับตัว นั่นแปลว่าเขาเตือนผมให้หยุดใช่ไหม นี่ผมทำอะไรลงไป

   “ปาร์ค... ฟร๊องก์ไม่ได้ตั้งใจนะ ฟร๊องก์ขอโทษ อย่าโกรธฟร๊องก์เลยนะ” ผมรีบปรี่เข้าไปแกะแขนกำยำนั้นไว้ทันที “ฟร๊องก์สัญญานะว่าต่อไปนี้ฟร๊องก์จะไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นอีก ฟร๊องก์สัญญาว่าฟร๊องก์จะคิดกับปาร์คแค่เพื่อน แค่เพื่อนเท่านั้น...” น้ำตาผมไหลออกมาไม่หยุด ผมพูดรัวๆ รวดเดียวเพราะกลัวว่าปาร์คจะไม่อยู่รอฟังผม ผมจะต้องทำยังไง เขาจะหายโกรธผมไหม เขาจะเกลียดผมหรือเปล่า ผมจะต้องเสียคนที่ผมรักไปไหม หรือแม้แต่ความเป็นเพื่อนผมก็ยังไม่สามารถเป็นได้อีกต่อไป

   ปาร์คเงียบไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้สลัดแขนออก เขายังคงนั่งนิ่ง ปล่อยให้ผมเกาะแขนและร้องไห้เป็นคนบ้าอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ทุกอย่างมันมืดไปหมด ผมคิดอะไรไม่ออก ผมรู้แต่ว่าผมผิด ผิดที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป แล้วผมจะต้องทำยังไงเพื่อชดเชยความผิดนี้

   “ฟร๊องก์ขอโทษนะปาร์ค ฮึกๆ ฟร๊องก์ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ฮึก ก็เมื่อวานปาร์คทำเหมือน... มีใจให้ฟร๊องก์” ผมขอร้องพลางสะอื้น 

   “ปล่อยปาร์คเถอะ ปาร์คขอโทษที่การกระทำของปาร์คมันทำให้ฟร๊องก์เข้าใจผิด” ปาร์คแกะมือผมออกจากแขนของเขา ก่อนจะจับเอาไว้ “ปาร์คอยากให้ฟร๊องก์ลองกลับไปทบทวนนะ เราเคยพูดกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะเป็นแค่เพื่อนกัน และฟร๊องก์ก็รับปากว่าจะไม่คิดเกินเลย แต่ฟร๊องก์กลับทำลายความไว้ใจที่ปาร์คมีให้ กลับทำลายความเชื่อใจในตัวฟร๊องก์ ฟร๊องก์กลับทำลายมันหมด ลองคิดทบทวนดูให้ดีนะ ถ้าฟร๊องก์ยังคิดเกินเลยกับปาร์คอยู่ ปาร์คว่าเราคง... เป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกต่อไป”

   แค่ปาร์คพูดจบ ผมก็ปล่อยโฮออกมาอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายผมกับปาร์คก็เป็นไม่ได้แม้แต่เพื่อนกัน ทุกอย่างผมเป็นคนก่อเอง ผมเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันพังเอง ทำลายความรู้สึกดีๆ ความไว้ใจของปาร์คเอง นี่ใช่ไหมสิ่งที่ผมสมควรจะได้รับ เพราะการเผลอใจให้กับความต้องการของตัวเอง

   “รีบไปอาบน้ำเถอะ จะได้ไปหาอะไรกิน” ปาร์คพูดแล้วก็เดินจากไป ก่อนจะหันกลับมาพูดต่อ “เสื้อผ้าฟร๊องก์ ปาร์คเอาไปไว้ห้องน้ำ ‘ข้างนอก’ แล้วนะ”

   ผมยังคงนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง ร่างกายผมรู้สึกอ่อนแอไปหมด ตอนนี้ผมเหมือนคนไม่มีแรง ไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจต่อ หัวใจผมเหมือนกำลังถูกใครบีบเอาไว้อย่างแรง จนผมปวดแน่นที่ทรวงอก สถานที่ที่ผมจะไปชำระล้างร่างกายคือห้องน้ำด้านนอก ที่ของผมก็คือข้างนอก นอกใจของปาร์คเช่นกัน...

**********__________**********

   ผมใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าที่จะลากสังขารออกไปอาบน้ำยังห้องน้ำด้านนอกได้ หลังจากประโยคสุดท้ายที่ปาร์คพูดเอาไว้ ก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนอีก ตอนนี้ปาร์คคงเกลียดผมไปแล้ว ส่วนผมก็ไม่รู้จะขอโทษยังไงอีก แม้จะอยากพูด อยากปรับความเข้าใจแทบตาย แต่เพราะผมทำผิดเอาไว้จริงๆ พูดไปก็ยิ่งเหมือนผมแก้ตัว

   คุณเคยเป็นไหม เวลาที่ทำผิดอะไรสักอย่างแล้วถูกจับได้ มันจะเหมือนมีชนักติดไว้ที่หลังคุณตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน หรือไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ความผิดนั้นก็ไม่มีวันหลุดไปถ้าเราไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน สำหรับตอนนี้ปาร์คคงไม่อยากจะฟังคำอธิบายใดๆ จากผมอีกแล้วแหละ

   เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงที่ผมใช้เวลาอาบน้ำ สลับกับการร้องไห้อย่างหนักอยู่ในห้องน้ำ สายน้ำที่ไหลผ่านร่างกายผมไปมันจะช่วยล้างความผิดของผมออกไปได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ในที่สุดผมก็ก้าวออกมาจากในนั้น ปาร์คที่แต่งตัวเสร็จนานแล้วนั่งกดโทรศัพท์รอผมอยู่ตรงโซฟา ผมอยากเดินเข้าไปนั่งคุยด้วยจัง แต่ก็ทำได้แค่เช็คผมแล้วเอาผ้าขนหนูไปตาก

   ผมเข้าไปเอากระเป๋สะพายในห้อง และไม่ลืมหยิบตุ๊กตาไม้ที่ปาร์คซื้อให้ติดมาด้วย อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้เก็บช่วงเวลาดีๆ ไว้สักหน่อย เพราะมันคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว จากนั้นผมก็ออกมาจากห้อง สายตาพยายามมองหาของขวัญที่วางไว้บนชั้นหนังสือเมื่อคืน แต่ก็ไม่พบ ผมได้แต่ถอนหายใจและคิดว่าปาร์คคงทิ้งไปแล้ว เพราะคงไม่อยากได้อะไรที่เป็นของผมอีกแล้ว

   “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ แล้วก็... ขอโทษ” ผมพูดด้วยเสียงแผ่วเบาหลังจากเดินมาหยุดที่โซฟา

   “...” ปาร์คไม่ตอบอะไร ก่อนจะหยุดเล่นโทรศัพท์แล้วหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์เดินนำออกไป ผมจึงเดินตามปาร์คออกไปอย่างเงียบๆ โดยทิ้งระยะห่างจากเขาพอสมควร

   “จะกินอะไรก่อนไหม” ปาร์คเริ่มบทสนทนาใหม่หลังจากที่เราสองคนขึ้นประจำที่บนรถ

   ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ผมไม่รู้สึกหิวใดๆ ทั้งสิ้น ผมแทบไม่มีความรู้สึกอะไรกับสิ่งรอบตัวเลยด้วยซ้ำ นอกเสียจากความรู้สึกปวดหน่วงๆ ที่อกด้านซ้าย เหมือนมีใครเอาแผ่นเหล็กร้อนๆ มาทาบเอาไว้ที่หัวใจของผม

   ปาร์คก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สรุปคือบทสนทนาของเราสองคนจบลงแค่นี้ ปาร์คขับรถออกไปเรื่อยๆ ไม่ช้า แต่ก็ไม่เร็ว ไร้ซึ่งเสียงสื่อสารใดๆ มีเพียงแต่เสียงแอร์คอนดิชั่นเนอร์ และเสียงลมหายใจแผ่วๆ ของผมและปาร์คสลับกันอยู่เท่านั้น มันช่างเป็นสภาวะที่กดดันและทรมานเหลือเกิน

   ใจจริงก็อยากถามอยู่เหมือนกันนะว่าของขวัญอยู่ไหนหรือไปไว้ไหนแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าถามออกไป เพราะกลัวได้ยินคำตอบแล้วจะเสียใจเอง ปาร์คเองก็ดูไม่ได้สนใจผมเท่าไร เขาตั้งใจกับการขับรถมาก จนในที่สุดก็มาถึงหอผม

   “ฟร๊องก์ไปก่อนนะ” ผมพูดเสียงเศร้าก่อนจะลงจากรถไป

   ปาร์คขับรถออกไปช้าๆ ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมมันกำลังจะแตกสลายเหมือนรถที่วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายก็ได้ที่ผมจะได้เห็นหน้าปาร์ค และคงเป็นวันสุดท้ายที่เป็นเพื่อน และ ‘คนพิเศษ’ ของกันและกัน

   “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจ ก่อนจะหอบร่างที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ต่อไปนี้ผมคงต้องเข้มแข็งขึ้น อยู่กับความเป็นจริง ทำเพื่อพ่อแม่ อยากเป็นคนที่แข็งแรงและร่าเริงเหมือนเดิม แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ผมถึงจะเป็นฟร๊องก์คนเดิม

**********__________**********


ต่อด้านล่าง...
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 7 [5/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 05-05-2017 20:03:03
ต่อๆ


   เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงวันจันทร์ ผมไม่อยากออกไปไหนเลย ตลอดวันที่ผ่านมาตั้งแต่ที่ปาร์คมาส่งผมที่หอตอนสายๆ ผมก็ไม่ได้ออกจากห้องเลย ผมไม่หิว ไม่ได้กินข้าว เอาแต่นอนร้องไห้ ตอนนี้ผมไม่พร้อมจะเจอใครทั้งนั้น หลังจากที่ปาร์คมาส่งผมที่หอ เราสองคนก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ปาร์คไม่โทรมาหาผม และผมเองก็ไม่กล้าจะโทรหาเขา

   เมื่อวานที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่าผมร้องไห้ไปเยอะแค่ไหน และไม่รู้ว่าตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร ผมแค่อยากร้อง คุณเคยเป็นไหม ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาออกมาแล้ว ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ร้องจนเหนื่อย เหนื่อยแล้วหลับไป ตื่นมาเมื่อไร ผมก็จะร้องไห้ออกมาอีก

   ถึงแม้จะไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากพบเจอใคร แต่ผมก็จำเป็นจะต้องออกไปเรียน ผมไม่อยากให้พ่อแม่ผิดหวัง ไม่อยากให้ท่านเสียเงินส่งเสียผมฟรีๆ ค่าเทอม ค่าอะไรต่อมิอะไรก็แพงไม่ใช่น้อย ฉะนั้นผมต้องทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดเหมือนกัน

   ผมจัดการตัวเอง อาบน้ำ แต่งตัว ทำตัวเองให้ดูดีที่สุดเท่าที่สภาพจะเอื้ออำนวยได้ เพราะแค่ผมได้ส่องกระจก ก็ต้องตกใจกับสภาพที่ดูไม่ได้ของตัวเอง ตาที่บวมและช้ำมากๆ หน้าตาเศร้าหมอง แววตาเหมือนคนที่ไร้วิญญาณ ผมเผ้ายุ่งเหยิง บอกตรงๆ ว่าสภาพของผมตอนนี้ดูไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้

   เมื่อจัดแจงตัวเองให้ดูดีขึ้น (นิดหน่อย) พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็รู้สึกปวดหัวมากขึ้น จริงๆ มันมึนๆ ตั้งแต่ผมตื่นแล้วแหละ แต่ก็พยายามอดทน เมื่อแต่งตัวเสร็จผมก็ไม่ลืมหยิบแว่นตากันแดดมาสวมเพื่อปิดบังดวงตาทั้งสองที่บวมคล้ำ ถึงผมจะเศร้า จะท้อหรือมีปัญหาแค่ไหน แต่ถ้าผมจะต้องออกไปเจอผู้คน ผมจะแสดงให้เขาเห็นไม่ได้ว่าเราอ่อนแอ ผมเป็นพวกไม่ชอบให้ใครมาสงสาร

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ ผมก็รีบพุ่งตัวไปหามันทันที ผมหวังว่าปาร์คจะโทรมา แต่ก็ไม่ใช่ แต่เป็นเก็ทต่างหาก คงจะมาถึงหอผมแล้วจึงโทรมา

   “เสร็จแล้ว เดี๋ยวลงไป” ผมกรอกเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด

   [อืม] เก็ทตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะตัดสาย

   ผมคว้าหนังสือ สวมรองเท้า แล้วไม่ลืมจะเช็คตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายว่าดูปกติไหม ก่อนเดินลงไปหายังรถเก็ทที่จอดรออยู่ด้านล่าง

   “ใส่แว่นดำทำไม แดดก็ไม่ได้แรง เป็นอะไรหรือเปล่า” เก็ทตั้งคำถามทันทีที่ผมขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งข้างคนขับ ซึ่งเป็นที่ประจำของผม

   “เปล่า” ผมตอบและทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

   “เอาดีๆ มีอะไรก็บอก” เก็ทเริ่มจะเค้นคำตอบ

   “บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ไปเถอะ คนอื่นรออยู่ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน” ผมตัดบท ก่อนจะหันออกไปมองนอกรถแทนเพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่าให้หยุด

   “อืม” มักจะเป็นประจำของเขา ที่จะเฉยชาแบบนี้ เก็ทมักจะไม่เซ้าซี้ ถ้าอีกฝ่ายอยากพูด เก็ทก็จะรับฟังและเป็นที่ปรึกษาที่ดี ผมเองก็ค่อนข้างสนิทกับเก็ทนะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่าเก็ทมักใส่ใจผมเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะผมหรอกนะ เก็ทใส่ใจเพื่อนทุกๆ คน

   เมื่อมาถึงมหา’ลัย แน่นอนว่าทุกคนถามผมว่าเป็นอะไร ทำไมต้องใส่แว่นกันแดด ซึ่งก็แน่นอนอีกว่าผมไม่บอกใคร และจะไม่ตอบปฏิเสธอะไรออกไป ทุกคนก็คงสงสัยกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไร มีก็แต่เก็ท ที่ค่อยจับผิดผมมาตั้งแต่เช้า (ทุกวันจันทร์ผมมีเรียนเช้าครับเก้าโมงเช้าจนถึงหกโมงเย็น เรียนบ้าไปเลยใช่ไหมล่ะ จะมีพักช่วงสายๆ สิบโมงครึ่งถึงบ่ายโมง จากนั้นก็เรียนต่อยาวๆ)

   ความปวดหัวของผมทวีความรุนแรงมากขึ้น ผมเองก็ไม่ได้พกยามากินด้วย ก็อย่างว่า แค่เมื่อเช้าว่าจะกินยังลืมเลย แต่ผมก็ไม่ได้บอกใครนะครับ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ทุกคนไปซื้อข้าวกัน ส่วนผมนั่งจองเฝ้าโต๊ะไว้ และบอกพวกนั้นว่าผมไม่หิว ก็มันไม่หิวจริงๆ แหละ ตอนนี้ผมอยากนอน แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าปาร์คเป็นยังไง ป่านนี้จะเกลียดผมไปแล้วหรือยัง จะนึกถึงผมบ้างหรือเปล่า จะรู้บ้างไหมว่าผมเป็นยังไง

   หลายคนคงคิดนะครับว่าผมใส่แว่นกันแดดเข้าเรียนได้ยังไง ผมอ้างกับอาจารย์ว่าตาผมเพิ่งหายแพ้มาครับ หมอสั่งห้ามโดนแสงจ้า จึงทำให้ยังไม่มีใครได้เห็นว่าผ่านใต้เลนส์แว่นตาบางๆ นั้น สภาพดวงตาผมทุเรศแค่ไหน

   ปึก!

   “กินซะ!” จานข้าวถึงวางที่ด้านหน้าของผม พร้อมด้วยคำสั่งห้วนๆ ของเก็ท

   “วู้วๆ ผัวซื้อข้าวมาให้เมียด้วยเว้ย” นุ่นส่งเสียงแซวทันทีเมื่อเธอเดินมาถึงโต๊ะ ทำให้พวกที่เหลือ ไม่เว้นแม้แต่แก้ว ที่ตอนนี้ดูจะมีซัมธิงกับดิวไปซะแล้ว ก็ยังไม่วายหัวเราะคิกคักเยาะผม

   “ไม่กิน ไม่หิวอ่ะ” ผมว่าพร้อมกับพลักจานข้าวออกไป

   “กินซะหน่อย จะได้มีแรง สภาพดูไม่ได้แล้วรู้ตัวบ้างไหม” เก็ททำเสียงดุ เขากำลังใช้สายตากดดันผม แถมยังดูเหมือนดวงตาคู่นั้นสามารถมองทะลุแว่นที่ผมใช้ปิดบังได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

   “ไม่หิวจริงๆ เดี๋ยวขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมว่าก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไปเพื่อตัดปัญหา ผมไม่ชอบให้ใครมาคอยจับผิดแบบนี้!

   “มานี่หน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย” ผมเดินมาใกล้ถึงห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังโรงอาหาร อยู่ๆ ก็มีมือใหญ่ก็มาคว้าแขนผมให้เดินตามไปทันที

   ปึก!
 
   เก็ทผลักผมเข้าไปในรถของเขา ก่อนจะแทรกตัวเข้ามานั่งด้วย ทำให้ผมต้องขยับตัวไปนั่งอีกเบาะ เขาไม่ลืมที่จะสตาร์ทรถเพื่อไล่ความร้อน และไม่ต้องกลัวใครจะเห็นเพราะรถเก็ทติดฟิล์มทึบมากๆ

   “มีไร! อยู่ๆ ก็ลากตัวมา ตกใจหมด” ผมพูดอย่างหงุดหงิด

   “...” เก็ทไม่พูดแต่ยื่นมือมาคว้าแว่นกันแดดผมออกทันที

   “เห้ย! เอาคืนมานะ!” ผมรีบคว้าคืน แต่ก็ไม่ทัน แถมยังถูกเก็ทคว้าข้อมือรวบไว้อีกต่างหาก

   “ทำไมสภาพถึงเป็นแบบนี้” เก็ทเค้นเสียงถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง

   “ไม่ได้เป็นอะไร แค่นอนน้อย” ผมก้มหน้างุดๆ เพื่อกลบเกลื้อนสิ่งที่กำลังโกหก

   “นอนน้อยแต่ทำไมตาถึงบวมเหมือนคนที่ร้องไห้ไม่หยุดแบบนี้” เก็ทยังคงคงน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงด้วยความกดดันและดูเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก นี่เป็นเหตุผลที่ผมค่อนข้างจะสนิทกับเก็ท เขาใส่ใจคนอื่น แม้ว่าภายนอกจะดูขรึมๆ แต่จริงๆ แล้วเขาสังเกตเพื่อนๆ เสมอ

   “ไม่มีอะไรหรอกน่า เอาแว่นคืนมาได้แล้ว” ผมพูดพลางแกะแขนออกจากการจับกุมของเขา

   “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายคนที่เป็นห่วง รู้จักรักตัวเองซะบ้าง เดี๋ยวกลับไปที่โต๊ะแล้วกินข้าวซะด้วย อย่าให้ต้องพูดซ้ำอีก ไม่งั้นจะจับกรอกปากซะให้รู้แล้วรู้รอด” เก็ทพูดยาวด้วยเสียงดุ ก่อนจะคืนแว่นผมแล้วเปิดประตูลงจากรถไป ผมจึงตามออกไป

   แต่ก้าวออกจากรถมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ความปวดหัวที่สะสมมาก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ โลกมันดูหมุนไปหมดจนหน้าเวียนหัว แล้วจู่ๆ สติผมก็วูบดับไปพร้อมกับเสียงแว่วสุดท้าย

   “เห้ย! ฟร๊องก์!”

**********__________***********

   “อื้อ” ผมรู้สึกตัวด้วยอาการปวดหัวและกระบอกตาอย่างรุนแรง

   “ฟื้นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างๆ ผม ทำให้ผมต้องค่อยๆ ปรับสายตาเพื่อมอง

   “ฟร๊องก์อยู่ที่ไหน” 

   “อยู่โรงพยาบาล ฟร๊องก์เป็นลมไป เก็ทเลยพามาที่นี่” เก็ทลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะก้มลงมาเอามือมาอังที่หน้าผากของผม “เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวไหม”

   “ปวดหัวมากเลยเก็ท ฟร๊องก์เหนื่อย ฟะ... ฟร๊องก์...” ผมพูดติดๆ ขัดๆ เหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว ทำไมผมถึงอ่อนแอแบบนี้

   ผมไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหน แต่ร่างกายผมยังรู้สึกอ่อนเพลีย รวมทั้งจิตใจของผมด้วย หัวใจของผมตอนนี้แทบไม่มีแรงที่จะเต้นต่อไปด้วยซ้ำ

   “เหนื่อยก็หยุดพักก่อนสิ” เก็ทพูดเสียงนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ มือใหญ่ที่แตะหน้าผากเมื่อสักครูเลื่อนมาลูบผมของผมอย่างแผ่วเบา

   “ฟร๊องก์... ทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ฟร๊องก์ทำลายความเชื่อใจที่มีต่อกัน ฟร๊องก์... ฮือๆ เขาต้องเกลียดฟร๊องก์แล้วแน่ๆ เลยเก็ท เขาคงเกลียดฟร๊องก์ไปแล้ว” ผมระบายสิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

   “ไม่มีความผิดใดที่คนเราจะให้อภัยกันไม่ได้หรอกนะ แต่ตอนนี้เขาอาจจะแค่อยู่ในอารมณ์โกรธ ฟร๊องก์ก็หมั่นง้อเขาสิ ถ้าเขารู้ว่าฟร๊องก์แคร์เขามากขนาดนี้ เก็ทเชื่อว่าเขาไม่มีทางเกลียดฟร๊องก์ได้หรอก” เก็ทยังคงลูบหัวผมอย่างแผ่วเบาอย่างให้กำลังใจ

   การที่คนเราเจอเรื่องอะไรที่เลวร้ายมา บางทีเราก็แค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ ใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างเรา ไม่ทิ้งให้เราเผชิญกับปัญหาอย่างเดียวดาย ผมก็แค่ต้องการใครสักคนเพื่อรับฟัง ผมเจ็บปวดเหลือเกินที่เก็บไว้คนเดียวโดยไม่รู้ว่าทางออกมันจะเป็นแบบไหน ผมไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ไม่รู้จะเผชิญปัญหานี้อย่างไร

   ปาร์คจะรู้หรือเปล่าว่าผมไม่สบาย จะรู้ไหมว่าผมสำนึกผิดและเจ็บปวดกับการกระทำที่เลวร้ายของตัวเองแค่ไหน หรือว่าปาร์คไม่สนใจผมแล้ว

   “ฟร๊องก์ไม่รู้ว่าฟร๊องก์จะต้องทำอย่างไรต่อไป ฟร๊องก์กลัวเขาเกลียดฟร๊องก์ ฟร๊องก์กลัว...” ผมพูดรัวๆ พร้อมกับเสียงสะอื้น

   “ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตอนนี้ก็พักก่อน ดูแลตัวเองก่อน เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นเอง”

   “...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เก็ทปลอบผมอยู่อย่างนั้นจนเผลอหลับไปอีกครั้ง     

   ผมตื่นมาอีกครั้งพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงที่หอแล้วครับ ส่วนคนที่พามาก็นั่งดูทีวีที่ปิดเสียงเอาไว้อยู่ ปิดเสียงไว้แล้วจะดูรู้เรื่องไหมล่ะนั่น

   “เก็ท... หิวน้ำ” ผมพูดเสียงแผ่วเบา แต่ก็ยังพอทำให้ผู้ที่อยู่ร่วมห้องด้วยได้ยิน ตอนนี้ผมรู้สึกเพลีย และคอแห้งมาก ส่วนตาไม่ค่อยปวดเท่าไรแล้ว เพราะผมคงนอนหลับไปนานพอสมควร เพราะดูจากฟ้าแสงนอกผ้าม่านแล้ว มันมืดมาก แสดงว่าตอนนี้ก็คงมืดแล้ว แต่แค่ไม่รู้ว่ากี่โมง

   “อ่ะ เดี๋ยวกินข้าว กินยาแล้วก็นอนพักซะ พรุ่งนี้ไม่ต้องไปเรียนหรอก สภาพอย่างนี้” เก็ทลุกจากการจ้องหน้าจอทีวีไปเทน้ำมาให้ผม ก่อนจะเดินกลับไปอุ่นโจ๊กในไมโครเวฟให้ผมอีกครั้ง

   “ไม่ค่อยหิวเลยอ่ะ อยากนอนมากกว่า” ผมพูดเสียงอ่อยหลังจากดื่มน้ำเสร็จ

   “ไม่หิวก็ต้องกิน หมอบอกว่าฟร๊องก์อดอาหาร นี่ไม่ได้กินข้าวมากี่วันแล้ว” เก็ทพูดเสียงเข้ม เดินไปที่โต๊ะทำงานพร้อมกับโจ๊กที่อุ่นเมื่อครู่ “กินเองไหวไหม หรือต้องให้ป้อน”

   “กินเองได้” ผมว่าก่อนจะค่อยๆ ลุกลงจากเตียงไปยังโต๊ะ

   ผมนั่งทานโจ๊กได้ไม่กี่คำก็วางช้อนลง มันรู้สึกขมคอไปหมด ไม่มีความอร่อยเลย แต่เก็ทก็บังคับให้ผมทานต่ออีกตั้งหลายคำ จนผมต้องบอกว่าไม่ไหวแล้วจริงๆ เก็ทถึงยอมให้กินยาแล้วพากลับไปนอนที่เตียง

   ผมไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันนะว่าจะมีสภาพแย่ได้ถึงขนาดนี้ และไม่อยากจะเชื่อด้วยว่ามันเพิ่งจะผ่านวันที่ผมมีความสุขที่สุดมาแค่ไม่กี่วัน วันที่ทั้งสุขมากจนแทบสำลักและทุกข์อย่างแสนสาหัส มันคงจริงอย่างที่เขาว่าสินะ ความสุขอยู่กับเราไม่นาน เมื่อใดที่สุขก็ตักตวงมันให้เต็มที่ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าทุกข์มันจะย้อนกลับมาเมื่อไหร่ ในเมื่อความสุขมันอยู่กับเราไม่นาน แต่ทำไมความทุกข์ ความเศร้ามันกลับอยู่กับเรายาวนานเหลือเกิน หรือว่าจริงๆ แล้วความสุขที่แท้จริงนั้นมันไม่มีจริง แค่เมื่อใดที่ความทุกข์ทุเลาลง ช่วงเวลานั้นเราถึงเรียกว่าเราสุขมากขึ้น

   วันนี้คงเป็นวันที่ผมล้ม หมดแรงที่จะวิ่งตามหัวใจตัวเองต่อแล้ว ไม่ใช่เพราะมันหนีผมไปไกลหรอก แต่มันเข้ามาใกล้เกินจนผมอดใจไม่ไหวที่จะต้องคว้ามันมาเชยชม แต่แค่มือของผมจับมันไม่มั่นคงพอ นั่นจึงทำให้มันเตลิด หนีผมไปไกลกว่าเดิม จนตอนนี้ผมคงตามมันไม่ทัน และหามันไม่เจออีกแล้ว
 
   เพราะผมทรยศหัวใจตัวเอง ผมก้าวล้ำสถานะของตัวเอง ทั้งที่ผมเป็นคนสัญญาไว้แท้ๆ แต่ผมกลับทำมันพังด้วยตัวของผมเอง อย่างว่าแหละ ขนาดตัวเองยังเจ็บใจเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนที่โดนทำลายความเชื่อใจล่ะ ถ้าผมเป็นปาร์ค ผมคงเกลียดคนที่ทำกับผมแบบนี้มาก ทั้งที่ผมเชื่อใจและไว้ใจ

   “ฮึก...” คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาตลอด ทั้งที่ผมไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะผม แต่ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมห้ามมันไม่อยู่จริงๆ

   “ร้องวันนี้ซะให้พอ แล้วพรุ่งนี้ฟร๊องก์จะต้องเข้มแข็งกว่านี้นะ” เก็ทเดินเข้ามานั่งข้างๆ พลางเอามือลูบผมอย่างแผ่วเบาเป็นกำลังใจ

   “ฟร๊องก์ขอโทษ... นะ ฮึก... ที่ทำให้เก็ท... ต้องลำบากแบบนี้” ผมพูดติดขัด พร้อมเสียงสะอื้นประปราย

   “เพื่อนกัน ก็ต้องดูแลกันสิ” เก็ทยังคงลูบหัวผมอยู่ “ทุกคนมีวันที่อ่อนแอทั้งนั้นแหละ แต่เราต้องข้ามมันไปให้ได้ ยังมีอีกหลายคนนะที่อยู่ข้างๆ เรา” เก็ทว่าพลางยิ้มบางๆ

   “ขอบคุณนะ ขอบคุณ...”

   คืนนี้เก็ทอยู่เป็นเพื่อนผมทั้งคืน โดยที่เขาอ้างว่า กลัวผมอยู่คนเดียวแล้วจะฟุ้งซ่าน คิดทำร้ายตัวเอง แต่ก็ดีแล้วครับที่เก็ทอยู่เป็นเพื่อน เพราะถ้าผมอยู่คนเดียว ผมคงจมอยู่กับความเศร้า ดูอะไรเศร้าๆ ฟังเพลงเศร้าๆ อย่างเดียว แต่คงไม่ถึงขั้นฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเองหรอกครับ

   วันต่อมาผมและเก็ทไม่ได้ไปเรียนด้วยกันทั้งคู่ เก็ทอยู่ดูแลผมทั้งวัน ส่วนใหญ่จะนอนหลับมากกว่าเพราะเมื่อคืนเก็ทแทบไม่ได้นอนเลย เพราะต้องนั่งปลอบและฟังผมร้องไห้และระบายความอึดอัด ความทรมานในใจแทบทั้งคืน ผมเองก็เพลียสะสมมาหลายวัน ตื่นมาล้างหน้า กินข้าวกินยา แล้วก็นอนหลับต่อเช่นกัน

   เพื่อนคนอื่นไม่ต้องเป็นห่วงครับ เก็ทเป็นคนโทรบอกและรับสายจากบางคนเรียบร้อยหมดแล้ว รวมทั้งฝากลาอาจารย์ให้ด้วย ได้พักพร้อมทั้งมีคนอยู่ด้วยแบบนี้ก็ค่อยดีขึ้นหน่อยครับ อย่างน้อยวันนี้ผมก็ไม่ค่อยฟุ้งซ่านมากเท่าไร ผมไม่ร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังคงซึมๆ อยู่ เก็ทก็ดูแลผมเป็นอย่างดีครับ โดยเฉพาะเรื่องอาหารและยา บังคับให้ผมกินอย่างกับเป็นหมอซะเอง


à suivre...

อ้าววว!!! กำลังมีความสุขอยู่ดีๆ ทำไมปาร์คทำแบบนี้ล่ะ!!  :hao5:

สงสารฟร๊องก์ แต่ก็แอบอิจฉาที่ฟร๊องก์โชคดีมีเพื่อนอย่างเก็ท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรมากไปกว่าเพื่อนหรือเปล่า

ส่วนไอ้ปาร์ค มันจะกลับมาไหมก็ไม่รู้ ใจร้ายเกิน!!   :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 7 [5/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 05-05-2017 20:12:00
รอติดตามนะค๊ะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 7 [5/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 05-05-2017 23:30:21
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด ว่าแล้วว่าใจไม่ดี๊ ไม่ดี มาเจอตนนี้เข้าไป อินน้ำตาซึมเลยค่ะ  :sad4: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 7 [5/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 05-05-2017 23:43:35
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 8 50% [6/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 06-05-2017 19:49:10
Chapitre 8
50%

   วันเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ แต่อาการผมยังคงไม่ดีขึ้นเลย หลังจากที่ผมป่วย ผมก็กลับไปเรียนตามปกติ เพื่อนๆ ในกลุ่มก็เข้ามาถามไถ่ แต่ไม่มีใครเซ้าซี้ถึงเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นมากนัก คงเพราะอาการที่ยังไม่คงที่ของผม ถามมาเดี๋ยวบ่อน้ำตาผมแตกอีก

   เวลาไปเรียนและอยู่ต่อหน้าเพื่อน ผมพยายามทำตัวร่าเริง เหมือนปกติที่ ‘เคย’ เป็น แต่พอกลับมาอยู่ที่หอคนเดียวทีไร ผมก็มักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเบอร์ของปาร์ค ดูรูป แม้แต่ของขวัญชิ้นพิเศษที่ผมได้รับในวันนั้น แล้วร้องไห้ประจำ ผมอยากกดโทรออกแต่ใจผมไม่กล้าพอ และวันนี้เองก็เช่นกัน ผมนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังโชว์เบอร์ของปาร์คที่เตรียมเพื่อกดโทรออกอยู่

   ติ๊ด ติ๊ด!

   แต่ไม่ทันที่ผมจะกดอะไร หน้าจอก็ตัดไปเป็นภาพคู่ระหว่างผมกับปาร์คโชว์ขึ้นมาทันที ปาร์คโทรหาผมครับ เขากลับมาแล้วจริงๆ

   “...” ผมรีบกดรับทันที แต่ยังไม่ได้พูดอะไรกับไป มือที่จับมือถืออยู่นั้นกำลังสั่นจนรู้สึกได้

   [ฟร๊องก์] เสียงราบเรียบที่ละมุนหูนั่นดังขึ้น พร้อมกับหยาดน้ำตาของผมที่ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่

   “ปะ... ปาร์ค ฮึก” ผมส่งเสียงกลับไปพร้อมเสียงสะอื้น ทั้งที่ไม่อยากให้ปาร์คได้ยิน ไม่อยากให้ปาร์ครู้ว่าผมกำลังร้องไห้

   [ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไร หื้ม...] เสียงนุ่มทุ้ม ดูอบอุ่นของปาร์คที่ผมเฝ้ารอมาหลายวัน มันกระตุ้นบ่อน้ำตาของผมได้ดีเลยทีเดียว

   “ปะ... เปล่า” ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นและหยดน้ำตาไม่ให้ออกมา ผมไม่ได้ร้องเพราะเสียใจ แต่ผมร้องเพราะผมดีใจ ดีใจมากที่ได้คุยกับคนๆ นี้อีกครั้ง หลังจากไม่ได้ยินเสียงเป็นเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ แต่สำหรับผมกลับรู้สึกว่าเราทั้งคู่ห่างกันไปเป็นเดือน เป็นปี

   [ยังขี้แยเหมือนเดิมเลยนะ โตขนาดนี้แล้ว] ปาร์คพูดติดตลก แต่น้ำเสียงนุ่มทุ้มแสนคุ้นหูนั้นยังคงแฝงด้วยความเป็นห่วงที่มีอยู่อย่างชัดเจน

   “ปาร์คเป็นไงบ้าง ไม่โกรธฟร๊องก์แล้วใช่ไหม” ผมถามออกไปอย่างร้อนรน

   [สบายดี ปาร์คไม่ได้โกรธอะไรฟร๊องก์สักหน่อย แค่... ให้เวลาฟร๊องก์ได้คิดทบทวนดู ยังไงเราก็ยังเป็น ‘เพื่อน’ กันนิ] นี่สินะครับ คำยืนยันที่ชัดเจน ปาร์คยังคงยืนยันคำเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และมันคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างที่ผมคิด ผมเพ้อเข้าข้างตัวเองด้วย ผมควรจะรู้ตัวได้แล้วสินะครับ

   “อืม... ’เป็นเพื่อนกัน’ แค่ปาร์คไม่โกรธ ไม่เกลียดฟร๊องก์ก็ดีใจแล้ว” ผมยิ้มทั้งน้ำตา ใจหนึ่งก็ดีใจที่ปาร์คไม่โกรธผม แต่อีกใจกลับสมเพศตัวเองที่ทำได้แค่ย้ำกับตัวเองให้กลับไปอยู่ ณ จุดๆ เดิม
 
   [อย่าคิดมากนะ ยังไงเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม เหมือนที่เคยเป็น] มันไม่เหมือนเดิมหรอกปาร์ค เพราะหลังจากวันนั้น ที่ฟร๊องก์คิดเข้าข้างตัวเอง ความรู้สึกฟร๊องก์มันก็ถลำลึกลงไปกว่าเดิม จนฟร๊องก์ไม่สามารถถอนตัวจากปาร์คได้แล้ว

   ใครจะว่าผมโง่ ผมงี่เง่า ผมจมปลัก ผมก็ไม่สนใจหรอก ถ้าคุณได้เรียนรู้ถึงความหมายและคุณค่าของคำว่ารักที่มีให้กับใครสักคน คุณจะรู้ว่าคำๆ นี้มันศักดิ์สิทธิ์และมีค่ามาก มันทำให้คุณยอมได้ทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข แม้จะเป็นรักแค่ข้างเดียวก็ตาม

   ผมนอนคุยโทรศัพท์กับปาร์คไปเรื่อยๆ ถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสา หลังจากที่ไม่ได้คุยกันหลายวัน อาการผมดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยต่อไปนี้ผมก็คงไม่ต้องนอนร้องไห้แทบทุกคืน แค่ผมได้คุยกับปาร์คเหมือนเมื่อก่อน ก็ถือเป็นโชคดีของผมแล้ว จากนี้มันขึ้นอยู่กับตัวผมเองที่จะต้องห้ามใจ และบังคับใจตัวเองไม่ให้คิดเกินเลยอีก และหยุดอยู่ในที่ๆ ตัวผมควรอยู่

**********__________**********

   หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกอย่างก็ดู (เหมือน) จะเข้าที่เข้าทาง กลับมาเป็น ‘ปกติ’ ปาร์คยังคงโทรหาผมบ้าง แต่อาจจะไม่ทุกคืนเหมือนแต่ก่อน คุยสั้นบ้างยาวบ้าง แต่ผมก็โอเคแล้วแหละ ด้านสภาพจิตใจผมไม่ค่อยคิดอะไรมากแล้ว คงเป็นอีกหนึ่งความโชคดีของผมมั้งครับ ที่เมื่ออะไรผ่านไปแล้ว และทุกอย่างมันคลี่คลายแล้วผมจะไม่ค่อยหยิบมาคิดอีก ถ้าไม่มีประเด็นมาสะกิด อีกอย่างผมก็ยินดีรับสถานภาพแบบนี้มาอยู่ตลอดแล้วนี่ครับ

   วันนี้นึกยังไงไม่รู้ เก็ทถึงชวนผมออกมาทานข้าวก่อนตั้งแต่สิบโมง ทั้งที่เรียนตั้งบ่ายโมง ตอนโทรมานี่ผมกำลังงัวเงียเพิ่งตื่นเลยครับ ก็เล่นโทรปลุกตั้งแต่แปกโมงเช้า มึงจะรีบไปหนายยย! เมื่อคืนหลังคุยโทรศัพท์กับปาร์คผมก็นั่งเล่นเฟซบุ๊กและทำงานต่ออีก จนตีสามได้นอนไปแป๊บเดียวเอง ต้องตื่นอีกแล้ว แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังออกไปทานข้าวกับเก็ทนะครับ อย่างน้อยมันก็เป็นคนที่อยู่ข้างผมในยามที่ผมทุกข์อีกคน

   “นึกยังไงถึงมากินข้าวไวขนาดนี้” ผมเปิดประเด็นถามทันทีที่เก็ทมาถึง

   “ก็ไม่อะไร แค่เบื่อๆ” เก็ทว่าเสียงเรียบ สีหน้าไม่สบอารมณ์ เป็นไรของมันวะ ปกติก็นิ่งอยู่แล้วนะ แต่วันนี้ยิ่งดูนิ่งผิดปกติ

   “มีอะไรบอกได้นะ ขนาดเก็ทยังคอยช่วยฟร๊องก์เลย” ผมพูดยิ้มๆ มองมันเป็นกำลังใจให้ ผมรู้ครับว่ามันเป็นยังไง ถ้ามันอยากจะเล่าเดี๋ยวมันก็เล่าเอง แต่คงยากหน่อย ถ้ายิ่งไปเซ้าซี้ ก็เหมือนกับผมแหละครับ มันจะยิ่งหงุดหงิด

   “ไปกินข้าวก่อนเถอะ ไว้จะเล่าให้ฟัง” เก็ทตัดบทก่อนจะขับรถไปที่ร้านอาหารแถวละแวกมหา’ลัย

   บอกว่าจะพามากินข้าว แต่ไหนพามานั่งร้านอาหารอิตาเลียนซะงั้น ไหนข้าว?? ฮ่าๆ พอมาถึงร้าน ผมสองคนก็รีบเดินเข้าไปในร้านทันที นี่ขนาดเพิ่งจะสิบโมงเช้าเองนะ แต่โคตรร้อนเลย!! ที่รีบเข้ามาข้างไหนร้านก็เพราะมันเป็นร้านติดแอร์ครับ ตอนนี้คนไม่เยอะ เรียกว่าแทบจะไม่มีคนเลยด้วยซ้ำ

   ติ๊ด ติ๊ด!

   เมื่อก้นหย่อนลงบนเก้าอี้นวม เสียงโทรศัพท์ของเก็ทก็ดังขึ้นทันที สีหน้าเก็ทเองก็เปลี่ยนไปทันทีเช่นกัน คิ้วนี่ขมวดเป็นโบว์เลยครับ เพิ่งเคยเห็นท่าทางหงุดหงิดของมันขนาดนี้

   “เดี๋ยวมานะ สั่งก่อนได้เลย” เก็ทว่าก่อนจะเดินออกนอกร้านไปพร้อมกับโทรศัพท์

   พนักงานเอาเมนูมาให้ที่โต๊ะ แต่ผมบอกไปว่ายังไม่สั่งอาหาร ขอรอเพื่อนสักครู่ พนักงานก็ยิ้มแล้วเดินจากไป ไม่ได้ว่าอะไร
 
   “ทายสิใครเอ่ย” ระหว่างที่ผมนั่งกดโทรศัพท์มือถือรอเก็ทคุยโทรศัพท์อยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีคนเอามือมาปิดตาผม พร้อมกับส่งเสียงยียวนกวนประสาทที่ฟังดูไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย ใครแกล้งกูวะเนี่ย

   “เห้ย! ใครอ่ะ เล่นบ้าอะไรเนี่ย!” ผมว่าก่อนจะดิ้นและสะบัดหน้าออกจากฝ่ามือนั้นทันที

   “เห้ย!/อะไรวะ!” ผมกับชายนิรนามสบถออกมาพร้อมกัน ด้วยสีหน้าที่ตกใจทั้งคู่ แต่ผมดูจะเป็นความหงุดหงิดมากกว่า เล่นบ้าอะไร รู้จักกันเหรอ!

   “ผะ... ผมขอโทษครับ นึกว่าเพื่อน” ชายในชุดนิสิตเรียบร้อยคนนั้นก้มหัวขอโทษเป็นระวิง ด้วยสีหน้าเจื่อน

   “คราวหน้าก็ดูให้ดีๆ หน่อยสิ ไม่ใช่เล่นอะไรแบบนี้ ตกใจหมด” ผมไม่ได้ด่าอะไรกลับไปมากมายหรอกครับ ตอนแรกก็โมโหนะ แต่พอเห็นหน้าสำนึกผิดของเขาแล้วผมก็ใจอ่อนลง เพราะรู้ว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

   “ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ไม่ได้ตั้งใจ” สีหน้าเขายังคงไม่ดีขึ้น

   “อืม... ไม่เป็นไรหรอก” ผมตอบ พร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้เป็นเชิงบอกว่าผมไม่ได้ไม่พอใจอะไร

   “ขอบคุณครับ” แล้วใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มขึ้นมาทันที

   ผู้ชายตรงหน้าผมนี้น่าจะเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับผมนี่แหละครับ แต่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย เขาเป็นผู้ชายตัวสูง แต่ไม่มากเท่าไร แต่ก็สูงกว่าผม (แค่เล็กน้อย) น่าจะประมาณ 180 นิดๆ ผิวไม่ขาวมาก ผมไถข้าง ด้านบนยาวลงมาปิดพอสมควร ถูกจัดทรงไว้เป็นอย่างดี เข้ากับใบหน้าเรียวที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างที่ดูสดใส ซึ่งมาพร้อมกับเหล็กดัดฟันสีน้ำเงิน จมูกเป็นสัน แต่ไม่ถึงกับโด่งมาก กับดวงตาสีดำเป็นประกายบ่งบอกว่าเป็นคนร่าเริงอย่างเห็นได้ชัด ดูโดยรวมเขาเป็นคนที่หน้าตาดีมาก แต่ออกแนวหล่อแบบสดใสๆ มากกว่า

   “...” ผมไม่ได้ว่าอะไรต่อ เพราะถือว่าเรื่องโอเคแล้ว ผมก็นั่งลงที่เดิมไม่ได้สนใจเขาอีก

   “เอ่อ... ให้ผมเลี้ยงคุณเป็นการไถ่โทษนะครับ” อยู่ๆ เขาก็เดินมาพูดกับผมที่ด้านข้างของเก้าอี้

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องลำบาก” ผมตอบยิ้มๆ กลับไปตามมารยาท

   “นะครับ ไม่งั้นผมคงไม่สบายใจแน่ๆ”

   “แต่...”

   “มีอะไรกันหรือเปล่า” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เสียงเก็ทก็ดังขึ้นมาจากหน้าร้านครับ จริงๆ ตอนนี้คนในร้านก็เริ่มมองๆ มาแล้วแหละ น่าจะมองตั้งแต่ที่ผมโวยวายแล้วล่ะครับ แต่ยังดีที่มีอยู่ไม่กี่คน เลยไม่อายเท่าไร

   “แฟนหรอครับ” เขาถามสีหน้าหม่นลงทันที

   “ป่ะ... เปล่า เพื่อนน่ะ”

   “อ๋อ งั้นผมขอเบอร์ไว้หน่อยนะครับ ไว้ผมจะเลี้ยงขอโทษ อย่าปฏิเสธกันเลยนะครับ” เขาว่าก่อนจะล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งมาให้ผม

   “เอ่อ... เอางั้นก็ได้” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมกดเบอร์ของตัวเองให้เขาไป แค่หันไปมองหน้าเขาแล้วเห็นรอยยิ้มมีเสน่ห์นั้น ก็ทำให้ผมตัดสินใจให้เบอร์เขาไปเลย

   “ขอบคุณนะครับ แล้วผมจะ ‘โทรหา’ ครับ” แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้มสดใสนั้น และไม่ลืมโค้งหัวเล็กน้อยให้กับเก็ทที่เดินเข้ามาเช่นกัน

   “ใครอ่ะ มีอะไรกัน” เก็ทเดินกลับมายังโต๊ะ ก็เอ่ยปากถามทันที

   “อ๋อ... เขาทักคนผิดน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ

   “อืม สั่งอะไรหรือยัง” สีหน้าเก็ทดูเครียดกว่าตอนมาถึงอีก มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ

   “ยังเลย รอเก็ทเนี่ยล่ะ จะได้กินพร้อมกัน” ผมพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เหมือนเก็ทจะไม่เล่นกับผมเลย

   จากนั้นผมกับเก็ทก็สั่งอาหารตามที่ตัวเองต้องการไปคนละอย่าง ผมกินน้อยอยู่แล้วครับ เลยไม่สั่งอะไรมากินเล่น ส่วนเก็ทก็สั่งๆ ไปเหมือนไม่ได้อยากกินอะไรมากมาย เห็นเพื่อนเป็นแบบนี้ผมก็อึดอัดแทนนะครับ และก็พอเข้าใจล่ะว่าทำไมตอนที่ผมไม่สบายใจ เก็ทถึงได้ดูเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้น มันก็คงเหมือนกับผมในตอนนี้แหละ อยากรู้ว่าเป็นอะไรจะได้ช่วยได้ถูกจุด

   ไม่นานอาหารที่เราสั่งก็มาเสิร์ฟ เมื่อเห็นเก็ทไม่พูดอะไร ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร เป็นคนไม่ชอบเซ้าซี้ใครและไม่ชอบให้ใครเซ้าซี้อยู่แล้ว เลยไม่ซักไซ้ แล้วผมกับเก็ทก็นั่งทานกันจนอิ่ม เก็ทที่ปกติก็ทานเยอะตามประสาคนที่ตัวค่อนข้างใหญ่ แต่วันนี้กลับพร่องไปเพียงเล็กน้อย

   “ถ้าแฟนฟร๊องก์ทะเลาะกับฟร๊องก์ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง และเป็นเรื่องที่มันไม่เป็นจริงอีกต่างหาก ฟร๊องก์จะทำยังไง” อยู่เก็ทก็ถามขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำเสร็จ ทำให้ผมเงยหน้ามองเก็ทอย่างงงๆ

   “อืม... ฟร๊องก์ก็คงพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจแหละ แล้วก็พิสูจน์ว่าเรื่องที่เขาคิดมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ”

   “แต่ถ้าเราพยายามพูด พยายามอธิบายทุกอย่างแล้วหล่ะ” เก็ทถามกลับเสียงเข้ม และสีหน้าจริงจัง

   “ก็คงให้เวลาหรือปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ล่ะมั้ง คนคบกันก็ต้องเชื่อใจกัน ฟร๊องก์เชื่อนะ ถ้าคนสองคนเชื่อใจกัน อุปสรรคอะไรก็มาขวางไม่ได้หรอก” ผมว่าพลางยิ้มเล็กน้อยเป็นกำลังใจ

   “แฟนเก็ทเขาคิดว่าเก็ทกับฟร๊องก์มีอะไรกัน” เก็ทว่าเล่นเอาผมตาค้างไปเลย

   “ห๊ะ! เก็ทกับฟร๊องก์เนี่ยนะ!” ผมตาโตจ้องหน้าเก็ทอย่างตกใจและเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

   “อืม ที่เก็ทไปเฝ้าฟร๊องก์ตอนที่ฟร๊องก์ไม่สบายนั่นล่ะ เขาคิดว่าเก็ทไปมีอะไรกับฟร๊องก์ เก็ทก็พยายามอธิบายแล้วนะ แต่เขาก็ไม่ฟัง” เก็ทพูดเครียดๆ “ขอโทษนะที่ต้องทำให้ฟร๊องก์ซวยไปด้วย แต่เก็ทสัญญาว่าจะไม่ให้ฟร๊องก์เดือดร้อนเด็ดขาด”

   “เห้ย! ฟร๊องก์เองก็มีส่วนผิด ที่ต้องให้เก็ทอยู่เฝ้า เรื่องนี้ฟร๊องก์ก็มีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบ” ผมไม่ยอมให้เก็ททะเลาะกับแฟนเพราะผมหรอกครับ เรื่องนี้คนผิดก็คือผมเลย ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่าง

   “ไม่ต้องหรอก”

   “ไม่ได้! ยังไงฟร๊องก์ต้องรับผิดชอบ เก็ทจะมาทะเลาะกับแฟนเพราะฟร๊องก์ไม่ได้!” ผมตอบกลับเสียงเข้มบอกถึงจุดยืนอันชัดเจนของตัวเอง

   “ยังไงเก็ทจะลองคุยดูก่อนอีกที ถ้าเรื่องมันถึงที่สุดแล้วจริงๆ ฟร๊องก์ค่อยช่วย” ผมรู้นะครับว่าเก็ทลำบากใจ เพราะปกติตัวเก็ทจะคอยเป็นฝ่ายช่วยเหลือเพื่อนอยู่ตลอด ฉะนั้นพอเก็ทมีปัญหา เพื่อนอย่างผมจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไปได้ไง ยิ่งเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับผมด้วย ผมยิ่งต้องยุ่งเลย

   “ยังไงเก็ทก็ต้องให้ฟร๊องก์ช่วยนะ เดี๋ยวฟร๊องก์จะช่วยอธิบายเองว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ” ผมพูดอย่างมาดมั่น

   “อืม แต่ต้องสัญญานะ ว่าฟร๊องก์จะไม่คิดมากกับเรื่องนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหนักหรอก แค่ไม่เข้าใจกันมากกว่า” เก็ทว่า แต่ผมดูจากสีหน้าและท่าทางของเก็ทตอนที่ออกไปคุยโทรศัพท์ มันดูมากกว่าสิ่งที่เก็ทพูด แต่เอาเถอะ ผมจะช่วยเต็มที่ในส่วนของผม ถ้าไปก้าวก่ายมากเรื่องอาจยิ่งยุ่งไปกันใหญ่

   แล้วเราก็นั่งคุยกันต่ออีกพัก โดยบรรยากาศดีขึ้น เพราะเมื่อลงลึกถึงรายละเอียด ผมกับเก็ทก็ต้องขำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เพราะแฟนเก็ทเข้าใจว่าที่ผมป่วยเพราะเก็ทเป็นคนทำ คงไม่ต้องสงสัยนะว่าทำอะไร รุนแรงแค่ไหนผมถึงป่วยหนักขนาดนั้น เออ!! ก็คิดได้เนอะคนเรา ฮ่าๆๆ

   แต่ในเสียงหัวเราะของเราสองคนนั้น มันก็จะแอบมีประเด็นซีเรียสซ้อนอยู่นะ และผมว่าเก็ทเองก็คงจะคิดเหมือนกัน ว่าทำไมแฟนเก็ทที่อยู่ต่างมหา’ลัย และไม่เคยสงสัยหรือกังวลเรื่องของผมกับเก็ทมาตลอด ทั้งที่เราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมาระแคะระคาย ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่เรายังไม่รู้แน่ๆ

**********___________***********


เดี๋ยวมาต่ออีก 50% ที่เหลือให้นะฮะ

มีตัวละครใหม่โผล่มาอีก 2 คน จะเข้ามามีบทบาทอะไรในชีวิตฟร๊องก์หรือเปล่านะ  :hao7: :katai2-1:
แล้วมาลุ้นกันว่าแฟนเก็ทที่เกิดเข้าใจผิดเรื่องของเก็ทกับฟร๊องก์จะเป็นอย่างไร
แล้วจริงๆ แล้วระหว่างเก็ทกับฟร๊องก์มีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า?

คอมเม้นต์ติชมได้เต็มที่เลยนะฮะ เป็นกำลังใจเล็กๆ ให้พัฒนาต่อไป (":  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 8 (50%) [6/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 06-05-2017 22:17:59
อืมมม. เราว่าปาร์คแปลกๆอ่ะ เพื่อน ชายที่ไหนเขาทำกันขนาดนี้เหรอ งงใจ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 8 (100%) [7/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 07-05-2017 20:01:08
50% พาร์ทหลัง

   เวลาล่วงเลยมาถึงเวลาเรียนแล้วครับ หลังจากที่ได้คุยเรื่องปัญหาของเก็ทกับแฟนเขา ท่าทางเก็ทก็ดูสบายใจขึ้น และทำตัวนิ่งๆ เหมือนปกติ เนียนมากจนไม่มีใครสงสัยเลยว่าเก็ทกำลังมีปัญหา อาจเป็นเพราะเก็ทได้ระบายออกมาด้วยมั้งครับ บางทีการเก็บอะไรไว้คนเดียว มันจะยิ่งทำให้เราจมอยู่กับความทุกข์มากกว่านะ

   แต่ในช่วงกลางวันที่เรียน เก็ทก็มีปลีกตัวออกไปคุยโทรศัพท์บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก แต่พอกลับเข้ามาในห้องทุกครั้งเก็ทจะมีสีหน้าและอาการที่ดีขึ้น ผมว่าคงคุยกัน เข้าใจกันมากขึ้นแล้วล่ะมั้งครับ แต่ดูท่าทางเก็ทจะรักแฟนมากเลยนะ ไม่งั้นคงไม่มานั่งเครียดหรือคิดมากแบบนี้หรอก ดูแล้วน่าจะเป็นอีกหนึ่งคู่ที่น่าอิจฉา รองลงมาจากดิวและแก้ว ที่ตอนนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

   “ดีกันแล้วหรอ ยิ้มหน้ามามาเขียว” ผมแกล้งแซวทันทีที่เก็ทกลับมาถึงที่นั่ง ส่วนมากผมจะนั่งติดกับเก็ทครับ โดยบางครั้งก็จะมีไวน์มานั่งด้วย ไวน์มันชอบแกล้งเก็ทครับ แกล้งเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัว เล่นทะลึ่งๆ และที่สำคัญ เวลาอยู่กับดิวสองคนนี้ทะลึ่งมากๆ ครับ แต่เก็ทก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เก็ทเคยบอกว่าแตะโน้นนี่ได้ แต่ถ้าจับตรงน้องชาย โดนต่อยแน่

   “ก็ยังไม่มากหรอก เหมือนยังระแวงๆ อยู่นิดๆ” เก็ทว่าพลางอมยิ้มที่มุมปากแบบว่าอารมณ์ดี

   “งั้นให้ฟร๊องก์ช่วยยืนยันไหมล่ะ คิดแล้วยังขำอยู่เลย ฟร๊องก์กับเก็ทเนี่ยนะ นอกจากจะมีอะไรกันแล้ว มันคงต้องรุนแรงมากสินะ ฟร๊องก์ถึงได้ป่วยขนาดนั้น ฮ่าๆๆๆ” ผมหัวเราะคิกคัก

   “อยากช่วยเหรอ งั้นเลิกเรียนพาไปเจอเอาไหม จะได้เคลียร์กันไปเลย” เก็ทหันมายักคิ้ว ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด หรือไม่มีอะไรต้องปิดบัง

   “ห๊า! นี่จะได้เจอแฟนเก็ทตัวเป็นๆ หรือนี่” ผมแกล้งท่าทางโอเว่อร์แอคติ้ง แต่ไม่ได้กระโตกกระตากนะ อย่าลืมว่าคนอื่นไม่รู้เรื่อง

   “เว่อร์ไปมั้ง เรียนได้แล้ว” แล้วเราหันกลับไปสนใจการเรียนเหมือนเดิม

   “แหนะ ผัวเมียสองคนนี้แอบคุยอะไรกันกุ๊กกิ๊กๆ ฟร๊องก์ แกมันร้ายนักนะ! ฉันเฝ้าถนอมของฉันมาตั้งนาน” แต่ไม่ทันไร ไวน์ก็ส่งเสียงกระแนะกระแหนจิกกัดผมมา

   “ของอย่างงี้มันอยู่ที่เบ้าหน้าและ ‘ลีลา’ จ้ะ” ผมว่าพลางขยิบตาให้ไวน์ ผมกับไวน์ชอบเล่นกันขำๆ แบบนี้แหละครับ ช่วยให้ชีวิตมีสีสัน ไม่น่าเบื่อเกินไป

   “ต๊ายยย!! กล้าพูดนะ เสียซิงให้มันแล้วหรือไง” ไวน์ว่าต่อ ผมกับเก็ทมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาทันที นี่ทำไมต้องมีแต่คนคิดว่าผมกับเก็ทมีอะไรกันต้องเนี่ย

   “ของเคยๆ กันเนอะ ตัวเองเนอะ” ไอ้ผมก็ไม่ยอมหยุดนะครับ ไม่แปลกใจแล้วแหละว่าทำไมแฟนเก็ท ที่ขนาดไม่ได้มาเห็นกับตาของตัวเองยังเข้าใจผิด

   “กรี๊ดดด! อีฟร๊องก์ ออกตัวแรงนะ ทำไมไม่แบ่งกูบ้าง!! เก็ทอ่ะใจร้าย ทำไมไม่ ‘กิน’ เค้าบ้างล่ะ” ไวน์ดีดดิ้นเบาๆ พอน่ารัก แต่ก็ดูดัดจริตมากเหมือนกัน ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นกับเก็ทที่นิ่งเงียบแต่ก็แอบขำอยู่

   “พอเถอะ กูจะอ้วกว่ะ” เงิบกันทุกคน จริงๆ ปล่อยให้เก็ทมันเงียบก็ดีอยู่แล้ว เล่นนิดเล่นหน่อยก็ไม่ได้

   “เออ กูกลับไปหาผัวกูก็ได้วะ! เนอะที่รัก” แล้วไวน์มันก็หันไปเล่นกับดิวต่อ เพื่อนในกลุ่มคนอื่นก็หัวเราะกันไปตามประสา โดยไม่ได้สนใจอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียนเลย จริงๆ มันก็ไม่ค่อยน่าเรียนเท่าไหร่นักหรอกครับ อาจารย์ก็แค่เปิดสไลด์ แล้วก็พูดๆ ตามสิ่งที่อยู่บนหน้าจอไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแฮนด์เอ้าท์ที่เขาแจก อ่านเองก็ได้ครับ เลยไม่ต้องตั้งใจเรียนอะไรมาก แต่เห็นพวกผมเล่นๆ เรียนๆ กันแบบนี้ เกรดที่ออกมาก็ถือว่าดีใช้ได้อยู่นะครับ

   “อย่าเอ็ดไปสิที่รัก เดี๋ยวคนอื่นรู้ว่าก้นที่รักหลวมมันจะดูไม่ดีนะ” สิ้นเสียงดิวแค่นั้นล่ะครับ ทุกคนก็ปล่อยก๊ากออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งแก้วที่นั่งยิ้มๆ อยู่ตอนแรก จนอาจารย์เริ่มหันมามองแล้วครับ ถึงต้องทำเป็นเรียบร้อยกันหน่อย ส่วนไวน์นี่แทบเงิบครับ แต่มีหรือที่คนอย่างมันจะยอมแพ้

   “ก็ของที่รักเล็กเองทำไมล่ะ หาว่าของเค้าหลวม” เจอไวน์ตอกกลับ ดิวก็เงิบไปเหมือนกันล่ะครับ แก้วนี่หน้าแดงเลย ไม่รู้ว่าไปคบกันได้ไง คนหนึ่งก็ทะลึ่ง ปากหมาเป็นที่หนึ่ง ส่วนอีกคนก็เรียบร้อยเหลือเกิน แปลกดีเหมือนกันนะ

   “หยุดๆ เลยมึงสองคน จะเอาเรื่องผัวๆ เมียๆ มาประจานกันเองทำไมวะ พวกมึงดูสองคนนั้นสิ กินกันเงียบกริบ ไม่มีใครรู้เลย” เอาแล้วไงครับ สุดท้ายก็แว้งกลับมาที่ผมกับเก็ทอีกแล้ว นุ่นเลยครับ สาวห้าวประจำกลุ่มเรา ดึงประเด็นกลับมาหาตัวผมอีกแล้ว อุตส่าห์ผลักให้พ้นตัวไปได้แล้วแท้ๆ ที่สำคัญทุกคนทำท่าทางถูกใจกว่าตอนที่ดิวแซวไวน์อีกต่างหาก ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ถูกพาดพิงอีกคน ที่นั่งหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกรู้สา สมควรแล้วไหมล่ะที่แฟนจะชวนทะเลาะ เล่นไม่แก้ตัวอะไรเลย

   “อ้าวอีเหี้ย กูอุตส่าห์เก็บเงียบแล้วนะ ฮ่าๆ” เล่นมาก็เล่นกลับครับ ใสๆ 18+

   “นั่นไง ว่าแล้วไหมล่ะ” ป๊อปอายตบเข่าอย่างถูกใจ

   “ห๊ะ! จริงหรอฟร๊องก์” ไม่เว้นแม้แต่แก้วที่ส่งเสียงสดใสมาถามผม นี่เรียบร้อยๆ ยังไม่วายเล่นกับเขาด้วย

   “เห็นเงียบๆ แดกเรียบนะคะ ใช่ไหมมึง” โดนัทครับ หันไปพยักหน้าล้อเลียนกับไวน์ สรุปคือผมโดนรุมครับ แกล้งผมกันครบทุกคน เป็นเรื่องสนุกกันไปเลย ไอ้ที่น่าตบสุดก็คงเป็นเก็ทเนี่ยล่ะครับ แม้งไม่คิดจะช่วยเลย นั่งขำอย่างเดียว

   “เห้ยมึง ทำไมมึงได้ของดีๆ แล้วไม่แบ่งกูบ้างวะ” หมาในปากโผล่มาอีกตัวแล้วครับสำหรับดิวที่หันไปถามเก็ท โอ้ย!! ไปกันใหญ่แล้วครับ ตอนแรกก็เป็นไวน์ ไหงกลายเป็นผมที่โดนรุมซะงั้นอ่า

   “พอเลยพวกมึง ไอ้ดิวมึงนี่มันดีแค่หนังหน้าจริงๆ เลยนะ กูจะแช่งให้มึงเลิกกับแก้ว!” ผมว่าไอ้ดิวหน้าซีดเลยครับ รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยผมแทบจะหมอบกราบแทบเท้า

**********__________***********
   
   สุดท้ายก็จบการเรียนสำหรับวันนี้แล้วครับ แน่นอนว่าผมพรุนไปทั้งตัว ขนาดผมบอกให้พวกมันหยุดแล้วนะ แต่มันก็ยังแซวกันไม่หยุด หาเรื่องมาแซวกันอยู่นั่น โดนกันทั่วหน้าครับ ไม่เว้นแม้กระทั่งแก้ว แต่ที่โดนหนักสุดก็เห็นจะเป็นผมเนี่ยล่ะครับ คนมีกรรม โดนแกล้งตลอด!
   
   ผมกับเก็ทแยกกับทุกคนทันทีหลังจากออกจากห้องเรียน และก็กลายเป็นประเด็นเด็ดสุดท้ายที่พวกนั้นแซวผม หาว่าผมสองคนจะรีบไปกินตับกัน เพราะทนไม่ไหวที่เพื่อนแซวให้เกิดอารมณ์ เลยต้องรีบไป ดูความคิดของพวกมันสิครับ เพื่อนสารเลว!!

   ผมสองคนมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้าที่เก็ทนัดแฟนเอาไว้ ทำไมต้องเป็นร้านอาหารตลอด ฮ่าๆ คงเพราะมันสะดวกสุดมั้ง มีที่นั่งอะไรด้วย แล้วก็ได้อิ่มท้องด้วย

   เราสองคนมาถึงกันก่อนที่แฟนเก็ทจะมาถึง ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดของแฟนเก็ทนักหรอกครับ แค่ชื่อยังไม่รู้เลย เพราะเก็ทเก็บเป็นความลับมาก จริงๆ จะเรียกว่าเก็บเป็นความลับก็คงไม่ถูก แค่รู้ว่าเก็ทมีแฟน แต่แค่ไม่เคยพูดรายละเอียดหรือเล่าให้ใครฟังมากกว่า ประมาณว่าคบก็ไม่เห็นจะต้องมานั่งพูดให้คนนอกรู้เห็น

   “ขอโทษนะมาช้าไปหน่อย ขอโทษฟร๊องก์ด้วยนะคะ” ไม่นานก็มีเสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างเพรียวบางราวกับนางแบบจะปรากฏต่อสายตาของผม โห้!! ที่แฟนเก็ทหรือเนี่ย สวยมาก หุ่นดีอย่างกับนางแบบ

   ผู้หญิงที่เดินมาหยุดตรงหน้าของผมและเก็ทนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนโค้งเว้าชัดเจน แสดงถึงการรักษารูปร่างเป็นอย่างดี ขนาดเธอใส่ชุดนักศึกษาที่ไม่ได้เข้ารูปอะไรนัก แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดรูปร่างที่ดีนั้นได้ ช่วงขาเรียวยาวเสริมด้วยรองเท้าส้นสูงเพิ่มให้เธอดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก บวกกับท่าทางมั่นใจของเธอ ยิ่งทำให้ดูสวยสง่าเหมือนพวกดารา เซเล็บจนคนอื่นๆ ในร้านต้องมองเหลี่ยวหลัง

   ไม่ต้องบอกว่าหน้าเธอสวยแค่ไหน หน้าของเธอดูมีเอกลักษณ์ครับ ดูท่าทางจะเป็นลูกครึ่งเหมือนกัน เธอสวยแต่ไม่ได้สวยแบบที่เห็นทั่วๆ ไป แต่จะดูสวยคม ปนสายตาหยิ่งๆ หน่อย ผมว่าทำให้เธอดูน่าสนใจ ริมฝีปากบางแต้มด้วยลิปสติกสีอ่อนที่กำลังเหยียดยิ้มบางๆ ให้กับผมและเก็ท โดยรวมเธอเหมาะกับการเป็นนางแบบมากเลยครับ หน้าได้ หุ่นได้ เลิศเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเก็ทที่ท่าทางเย็นชา นิ่งๆ แบบนั้นจะมีแฟนที่ดูโฉบเฉี่ยว มั่นใจได้ขนาดนี้

   “อ่ะ... อ๋อ เรากับเก็ทก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง” ผมตอบพร้อมส่งรอยยิ้มกลับเป็นมารยาท จะว่าไปก็แอบเกร็งอยู่เหมือนกันนะ แฟนเก็ทที่ผมคิดไว้ตอนแรกคงจะเป็นผู้หญิงน่ารักๆ หวานๆ อะไรแบบนั้นไง ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่ยืนอยู่ข้างหน้าตอนนี้

   “งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ จะได้ไม่เสียเวลาฟร๊องก์ด้วย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ก่อนจะก้าวไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างเก็ท

   “เข้าใจที่เราอธิบายให้ฟังแล้วใช่ไหม ว่าเรากับฟร๊องก์ไม่ได้มีอะไรกัน” เก็ทเปิดฉากพูดทันที

   “เธอเงียบๆ ไปเลย ฉันเบื่อที่จะฟังเธอพูดล่ะ ฉันอยากฟังจากปากฟร๊องก์มากกว่า” เธอหันไปจิกกันด้วยคำพูดพร้อมกับส่งสายตาพิฆาตไปยังเก็ท ผมนี่หายใจไม่ทั่วท้องเลย ถ้าผมพูดอะไรไม่ดีออกได้จะโดนเล่นงานไหมเนี่ย

   “อ่ะ... เอ่อ”

   “เราชื่อ ‘ชัญญ่า’ นะ เรียกว่า ‘ญ่า’ เฉยๆ ก็ได้” เธอหันกลับมาส่งยิ้มให้ผม แต่ดูเป็นรอยยิ้มที่เคลือบพิษเอาไว้ ถ้าผมเผลอทำอะไรไม่ถูกใจเธอสงสัยผมคงไม่ได้กลับหอในสภาพสมบูรณ์แน่ๆ

   “อืม... ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

   “เอาล่ะ ไหนๆ เราก็รู้จักกันแล้วนะ ญ่าจะคุยกับฟร๊องก์แบบตรงไปตรงมาตามประสาคนรู้จักกันเลยก็แล้วกัน”

   “อ่ะ... ได้ๆ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปเลยครับ

   “ฟร๊องก์เป็นอะไรกับเก็ทกันแน่” เอาแล้วครับ เรื่องเปิดประเด็นแล้ว

   “เพื่อนไง เพื่อน!” ผมรีบพูดออกไปอย่างรวดเร้ว ราวกับว่ากำลังเล่นเกมถามตอบแบบจับเวลาก็ไม่ปาน

   “เพื่อนสุขสันต์ ฟันกันเองหรือเปล่า” ชัญญ่าพูดพลางแสยะยิ้มเหี้ยมแบบที่เล่นเอาใจผมสั่น


à suivre...


แฟนเก็ทออกโรงแล้ว แถมยังถามถึงความสัมพันธ์ของเก็ทและฟร๊องก์ซึ่งๆ หน้าเลย
คราวนี้จะเป็นยังไงต่อไปนะ

ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กัน เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นต่อๆ ไป  :mew1:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 9 [9/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 09-05-2017 20:30:34
Chapitre 9

   “เพื่อนสุขสันต์ ฟันกันเองหรือเปล่า” ชัญญ่าพูดพลางแสยะยิ้ม ผมนี่อึ้งไปเลยครับ ไม่คิดว่าจะเจอคุยพูดแรงๆ และสีหน้าเหยียดหยามแบบนี้

   “ขอโทษนะ แต่เราขอพูดตรงๆ บ้างแล้วกันว่าเรากับเก็ทเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีและไม่เคยมีอะไรเกินเลยจากคำว่าเพื่อน” ผมพูดด้วยเสียงจริงจังขึ้นทันที เหมือนกันอารมณ์ของผมในตอนนี้ที่มันชักร้อนๆ ขึ้นมาแล้วเหมือนกัน “จะเชื่อไม่เชื่อก็อยู่ที่ญ่าแล้วแหละ เพราะทุกอย่างที่เราพูดมันคือความจริง และเราก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากด้วย มันอยู่ที่ใจของญ่ากับเก็ทเองมากกว่าว่าคบกันแล้วเชื่อใจกันมากแค่ไหน ถ้าคบกันแต่ไม่เชื่อใจกัน ไม่ไว้ใจกัน ต่อให้เราขนคนมาอีกเป็นร้อยเป็นพันก็ช่วยยืนยันอะไรไม่ได้หรอก!” ผมบอกยืดยาวรัวๆ แทบไม่หายใจ

   “ฮ่าๆ เพื่อนคนนี้เลิศว่ะเธอ ฉันชอบ!” แล้วอยู่ๆ ชัญญ่าก็หันไปหัวเราะพลางตบไหล่เก็ท เล่นเอาผมนี่งงไปหมด ไหนเมื่อกี้ยังดูซีเรียส จริงจังอยู่เลย

   “ก็บอกแล้วว่าไอ้นี่มันพูดตรง แล้วเชื่อเรายังล่ะว่ามันไม่เป็นอย่างที่เธอคิด” เก็ทถามกลับ สองคนนี้แทนตัวเองได้น่ารักดีเหมือนกันนะ ฉัน-เธอ สำหรับชัญญ่า และเรา-เธอ สำหรับเก็ท

   “จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ปักใจเชื่อตั้งแต่แรกแล้วแหละ แต่... มันมีคนส่งรูปนี้มาให้ฉัน” ชัญญ่าพูดก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าหนังแบบถือสีแดงใบเล็กยี่ห้อดังกับราคาที่แสนแพงของเธอ แล้วหยิบรูปขึ้นมา 3-4 ใบ

   “ไม่เห็นบอกก่อนว่ามีรูปอะไรมาด้วย” เก็ทว่าก่อนจะหยิบรูปพวกนั้นขึ้นมาดู ผมเองก็ชะเง้อคอมองเช่นกัน ก็อยากเห็นว่ามันเป็นรูปอะไร ถึงได้มีประเด็นบ้าบอแบบนี้ขึ้นมา “เห้ย!! นี่มันรูปบ้าบออะไรกันวะ” แล้วเก็ทสบถออกมาทันทีที่เห็นรูปพวกนั้น

   “ไหนเอามาดูดิ!” ผมว่าก่อนจะแย่งรูปในมือเก็ทมาดูทันทีเช่นกัน และผมก็ต้องตะลึ่งเมื่อได้เห็นรูป ใครแอบถ่ายรูปบ้าๆ พวกนี้เนี่ย เลือกช็อตถ่ายได้สาวเลวและสื่อความในเชิงลบมาก! ผมมองรูปที่อยู่ในมือสลับไปมาหลายรอบ รูปหนึ่งเป็นรูปตอนที่เก็ทจับมือผมที่ใส่แว่นตาดำอยู่ อีกรูปเป็นรูปที่เก็ทก้มลงมามองผมที่นอนกองอยู่บนพื้น ส่วนอีกสองรูปเป็นรูปตอนที่เก็ทอุ้มผมไปยังรถ

   “เธอไปได้รูปพวกนี้จากไหนมา” เก็ทถามชัญญ่าด้วยสีหน้าจริงจัง เหมือนเรื่องทุกอย่างมันกำลังจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่อยู่ๆ กลับมีพายุลูกใหญ่ซัดมาเต็มๆ ซะงั้น

   “เอาเป็นว่ามีคนส่งมาให้ฉันก็แล้วกัน ทีนี้จะปฏิเสธยังไงล่ะ กล้าพูดไหมว่ามันไม่จริง กล้าพูดไหมล่ะฟร๊องก์ว่ารูปพวกนี้เป็นรูปตัดต่อ!”

   “เราไม่แก้ตัวหรอกนะกับรูปพวกนี้ แต่ดูจากมุมกล้อง และช็อตที่เลือกมาแล้ว เราก็รู้เลยว่าคนที่ส่งรูปมาให้น่ะไม่หวังดี” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจัง

   “งั้นเหรอ แต่มันก็เป็นจริงอย่างในรูปใช่ไหมล่ะ” เธอกดดันผมต่อ
 
   “ใช่ มันเป็นอย่างที่เธอเห็นแหละ เก็ทคงอุ้มเราจริงๆ อย่างในรูปจริง แต่ตอนนั้นเราไม่มีสติด้วยซ้ำ ดูไม่ออกหรอ คนบ้าอะไรจะคุยกันขณะที่อีกคนนอนหมดท่ากลางแดดเปรี้ยงๆ แบบนั้น”

   “ตอนนั้นฟร๊องก์ไม่สบายแล้วเป็นลมไป เราก็เลยอุ้มฟร๊องก์เพื่อพาไปโรง’บาล” เก็ทอธิบายเสริม

   “กะ... ก็ที่ฟร๊องก์ไม่สบายก็เพราะว่า... เธอไม่ใช่เหรอ เก็ท!” ชัญญ่าพูดหน้าแดง ไม่รู้เพราะโกรธจัดหรือกำลังอาย

   “เพราะเราบ้าอะไรหล่ะ! เราพูดกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่เกี่ยวกับเรา ไม่เกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าเลย!” เก็ทว่าเสียงเข้ม

   “ก็เพื่อนฉันบอกว่าเห็นเธอสองคนอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันศุกร์” ชัญญ่าพยายามหาข้ออ้างขึ้นมาเสริมทัพตัวเอง ผมเนี่ยนะอยู่กับเก็ทตั้งแต่วันศุกร์ บ้าแล้ว ผมอยู่กับปาร์ค ไปเที่ยวกับปาร์ค และผมยังนอนกับปาร์คอีกต่างหาก จะเอาเวลาที่ไหนไปอยู่กับเก็ท

   “เอ่อ... เดี๋ยวนะ เราเนี่ยนะอยู่กับเก็ทตั้งแต่วันศุกร์” ผมขัดขึ้นมาอย่างงงๆ เก็ทเองก็ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจเช่นกัน

   “ใช่ เพื่อนญ่าบอกว่ามันเห็นเก็ทกับฟร๊องก์อยู่ด้วยกัน... ที่หอของฟร๊องก์” ผมพอรู้แหละครับว่าใครเป็นคนสร้างข่าวมั่วๆ นี่ขึ้นมา

   “ถ้างั้นก็ไม่ใช่แหละ เราว่าญ่าโดนเพื่อนหลอก ไม่ก็สร้างเรื่องแล้วแหละ เรากับเก็ทไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะเราไม่ได้อยู่หอตั้งแต่วันศุกร์ และเราก็กลับมาอีกทีสายๆ วันอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ เราอยู่กับ... เอ่อ... ‘เพื่อน’ อีกคนหนึ่งทั้งวันศุกร์และวันเสาร์” ผมบอกความจริงไป

   “ส่วนของฟร๊องก์เราไม่รู้นะ แต่เราไปบ้านยายกับแม่มาตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ แล้วก็กลับมาเช้าวันจันทร์ พอส่งแม่เสร็จก็เปลี่ยนชุดออกไปรับฟร๊องก์ไปเรียนเลย จนถึงเหตุการณ์ในรูปเนี่ยแหละ” เก็ทอธิบายยาว น่าจะเป็นหนึ่งใจประโยคที่ยาวที่สุดที่ผมเคยได้ยินเก็ทพูดเลยล่ะ

   “งั้นก็แสดงว่าฉันเข้าใจเธอผิดล่ะสิ รวมทั้งฟร๊องก์ด้วย” ชัญญ่าที่มีสีหน้ามั่นใจมาโดยตลอด ถึงกับเกิดอาการหน้าเจื่อน ซีดลงไปในทันที

   “เราไม่อะไรหรอก ออกแนวงง ปนตลกด้วยซ้ำ ทั้งที่เรากับเก็ทก็รู้จัก และเป็นเพื่อนกันมาก็นานพอสมควร โดยที่ญ่าไม่สงสัยหรือไม่ระแคะระคายด้วยซ้ำ แต่อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นมา เราว่าเพื่อนคนที่ ‘กุเรื่อง’ มาหลอกญ่าคงไม่ได้หวังดีกับญ่าหรอก” ผมพูดไปตามเนื้อผ้า ตามสถานการณ์ที่ผมอ่านเอาไว้

   “ญ่าก็คิดนะ มาถึงตอนนี้ญ่ายิ่งมั่นใจเลย เพื่อนคนนั้นไม่ได้สนิทหรือคุยกับญ่าเท่าไรหรอก แต่อยู่ๆ ทักมา ญ่าเองก็งงๆ เหมือนกัน ได้รู้แบบนี้แล้วญ่ามั่นใจเลยว่าเรื่องที่หลายๆ คนบอกญ่ามาตลอดตั้งนานแล้วมันเป็นความจริง ที่เพื่อนญ่าคนนั้นมันแอบชอบเก็ท หึ! ปั่นหัวฉันซะป่วนเชียว เดี๋ยวแม่จะเล่นกลับให้หนักเลย!” ชัญญ่าพูดพร้อมชูกำปั้นทำท่าทางหมายมั่นปั้นมืออย่างหนักแน่น เมื่อได้รู้ความจริงทุกอย่าง ผมว่าแล้วว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง ผมแอบแค้นอยู่เหมือนกันนะที่ดึงผมเข้าไปเกี่ยวด้วย แต่ก็ช่างเถอะครับ เพราะสองคนตรงหน้าผมนี้เข้าใจกันแล้ว และผมเองก็ได้มีส่วนช่วยแก้ปัญหาให้เก็ทแล้ว

   “คราวหน้ารับข่าวอะไรมาก็พิจารณาก่อนนะว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า ไม่ใช่มาโวยวายแบบนี้” เก็ททำหน้าเบื่อหน่ายเหมือนไม่ค่อยพอใจ ฮ่าๆ ผมเพิ่งเคยเห็นเก็ทงอนแบบนี้ งอนนิ่งๆ แอบประชดประชันเล็กๆ แต่ก็ดูน่ารักดีนะ ในมุมที่ใช้อ้อนแฟน

   “ย่ะ ดิฉันขอโทษค่ะ! คราวหน้าดิฉันจะพิจารณาอย่างดีเลย พอใจไหมยะ!” ชัญญ่าเบะปากกลับ ว่าไปคู่นี้ก็ดูน่ารักดีนะครับ แอบกัดกันไปมา คนหนึ่งก็กัดนิ่งๆ อีกคนก็กัดแรงๆ แต่ดูแล้วก็รู้เลยว่ารักกันมากขนาดไหน ถ้าคนไม่เข้าใจ ไม่เชื่อใจกันจริงๆ เรื่องคงไม่จบง่ายๆ แบบนี้หรอกครับ

   “^_^” ผมนั่งผมภาพตรงหน้ายิ้มๆ ผมเองก็อยากมีโมเม้นต์แบบนี้บ้างนะ มีแฟนที่ไม่ต้องหวานเลียน แต่ก็รักกัน เข้าใจกันแบบนี้... ถ้า... ผมกับปาร์ค... เป็นแบบนี้ได้ก็ดีสินะ

   “คอยดูนะ ฉันจะหาวิธีแก้เผ็ดยัยนั่นให้เจ็บแสบเลย” ชัญญ่าว่า

   “ให้มันจบๆ ไปเถอะ ยิ่งต่อความยาว เดี๋ยวมันก็วุ่นวายกว่านี้หรอก” เก็ทดุกลับเบาๆ

   “ไม่รับปากย่ะ! ฉันหมั่นไส้ เนอะฟร๊องก์เนอะ อย่างนี้มันต้องสั่งสอน” แล้วชัญญ่าก็หันมาหาแนวร่วม ซึ่งบนโต๊ะมีสามคน ก็แน่นอนว่าแนวร่วมจะต้องเป็นผม

   “ฮ่าๆ อยากทำอะไรก็เอาเลย เราว่าชัญญ่าจัดอ่ะเด็ดๆ ได้อยู่แล้ว” ผมพูดเหมือนไม่ได้สนับสนุนอะไร แต่จริงๆ แล้วมันโคตรจะสนับสนุนเลยล่ะครับ

   แล้วพวกเราก็นั่งทานอาหารกันไป คุยกันไป ผมเข้าขากับชัญญ่าได้ดีมากๆ พูดคุยๆ แล้วเธอดูตลก กวนๆ มากกว่า แต่เธอบอกว่าเธอชอบดึงหน้าครับ คนเลยไม่ค่อยกล้าคุยกับเธอเท่าไรเพราะคิดว่าเธอเหวี่ยง แล้วก็เผาเก็ทให้ผมฟังด้วยครับ ว่ามีเก็ทเนี่ยแหละที่กล้าเข้ามาจีบชัญญ่า แล้วมาจีบแบบนิ่งๆ หน้าตายๆ ตอนแรกๆ ก็โดนด่ากลับไปแหละครับ แต่ชัญญ่ามากกว่าที่เจ็บใจเพราะด่าอะไรไปเก็ทก็เหมือนไม่มีความรู้สึกอะไร เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนในที่สุดต่างคนก็ต่างรู้ใจตัวเอง จนคบกันในที่สุด โรแมนติกชะมัด ฟังแล้วผมก็แอบอิจฉาครับ ชัญญ่าเม้าธ์อะไรให้ผมฟังเยอะแยะมากมาย เธอคุยเก่ง คุยตลกมาก แต่มักจะมีเสียงขัดคอขึ้นมาประจำ โดยเก็ทผู้นิ่งเงียบ แต่เธอก็ไม่สนใจครับ เม้าธ์ต่ออย่าไม่แคร์

   “ว่าแต่น่ารักๆ อย่างฟร๊องก์นี่แฟนคงหวงมากเลยสินะ” นั่งคุยไปกินไปจนถูกคอกันสักพัก อยู่ๆ ชัญญ่าก็ถามผมขึ้นมา ทำเอาผมหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างเลย ‘แฟน’ คำนี้อยู่ห่างไกลจากตัวผมเหลือเกิน

   “ญ่าก็พูดเกินไป หน้าอย่างเราเนี่ยนะจะมีแฟน” ผมตอบกลับไปแบบยิ้มเจื่อนๆ พยายามไม่ทำให้เสียบรรยากาศ สภาวะอารมณ์ผมยังไม่ค่อยนิ่งเท่าไร ถึงจะดีกับปาร์คแล้วก็เถอะ แต่มันก็ยังไม่สนิทใจเหมือนแต่ก่อน จะว่าไปผมกับปาร์คก็ช่างห่างไกลคำว่าแฟนเหลือเกิน

   “เห้ย!! อย่ามาอำกันนะ อย่างฟร๊องก์ไม่มีแฟน แล้วพวกหน้าเสล่อๆ ที่เดินควงกันไปมานั้นเรียกว่าอะไร” ชัญญ่าว่าด้วยน้ำเสียงตกใจ “ฟร๊องก์ไม่มีแฟนจริงเหรอเธอ” ก่อนจะหันไปถามเก็ทต่อ

   “ไม่รู้สิ...” เก็ทตอบเรียบๆ “แต่ก็ไม่รู้ว่าคนที่ทำให้ร้องไห้จะเป็นจะตายนั้นเรียกว่าอะไรเหมือนกัน” จึก! เห็นเงียบๆ พิษสงเพียบนะครับ เล่นเอาซะผมจุกเลย

   “อะไรกันเนี่ย แอบรักเขาข้างเดียวหรือว่ายังไง” ชัญญ่าทำตาปิ๊งๆ เหมือนจะอ้อนให้ผมพูด

   “กะ... ก็คงประมาณนั้น แหะๆ” ผมตอบหน้าเจื่อน “เก็ทแม่งพูดมากว่ะ!” ผมหันไปแว้ดใส่เก็ทเบาๆ พร้อมค้อนกลับอย่างไม่พอใจ

   “ไม่ต้องเครียดนะๆ เขาไม่สนใจก็ไม่ต้องไปแคร์ หน้าอย่างฟร๊องก์หาได้สบายอยู่แล้ว เชื่อเราดิ” ชัญญ่าพูดด้วยความมั่นใจ แต่ทำไมผมไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลย ไม่เห็นมีใครเข้ามาจีบผมเลยสักคน

   “หึหึ” เก็ทส่งเสียงหัวเราะในลำคอเหมือนรู้อะไรสักอย่าง จากนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อชัญญ่าเห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดี เธอเลยเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาแทน และไม่วกกลับไปเรื่องนั้นอีก

   จะให้ผมไม่แคร์ปาร์ค ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ เพราะหัวใจผมมีแค่มันนิ อีกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ชัญญ่าพูดด้วยซ้ำ เพราะผมไม่มีคนมาสนใจจริงๆ ครับ ผมคงเกิดมาเป็นได้แค่ ‘คนข้างใจ’ ที่ไม่มีวันเข้าไปอยู่ในใจ 

   เรานั่งคุยกันจนดึกเลยครับ รู้ตัวอีกที ร้านต่างๆ ภายในห้างก็เริ่มปิดร้านไปกันหมดแล้ว แน่นอนครับว่าเก็ทต้องไปส่งผมที่หอ ส่วนชัญญ่าขับรถมาเองครับ ก็เลยต้องแยกกันตั้งแต่ที่ห้าง ก่อนกลับเธอได้ขอแลกเบอร์กับผมเอาไว้ด้วย แถมยังแกล้งแซวเก็ทอีกต่างหากว่าอย่าล่วงเกินผม เพราะเธอบอกว่าผมตัวจริงน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้เดี๋ยวเก็ทจะอดใจไม่ไหว ซึ่งผมว่ามันไม่จริงอย่างที่เธอว่าเลย


à suivre...
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 9 [9/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 09-05-2017 20:47:25
ฟร็องมะไหร่จะเปิดใจให้คนอื่นสักที จมอยู่กับคนๆเดียวอยู่ได้
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 10 (50%) [10/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 10-05-2017 21:09:38
Chapitre 10

50%

   หลังจากแยกจากชัญญ่ามา เก็ทก็เป็นสารถีประจำตัวที่ต้องขับรถมาส่งผมในถึงหน้าหอ ฮ่าๆ รู้ว่าชีวิตตัวเองสบายดีจัง ไม่นานผมก็กลับมาถึงหอเป็นที่เรียบร้อย เวลานี้ก็ใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าปาร์คจะโทรมาหาหรือเปล่า ถึงหลังจากวันนั้นปาร์คจะไม่ได้โทรหาผมทุกวันเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็ยังคงรอโทรศัพท์จากปาร์ค ณ เวลาเดิมทุกคืนเช่นเคย

   เวลาเลยห้าทุ่มครึ่งไปแล้วครับ สงสัยปาร์คคงจะไม่โทรมา งั้นผมไปอาบน้ำดีกว่า จะได้นอน วันนี้เหนื่อยๆ ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว แถมยังมีเรื่องวุ่นวายอีกต่างหาก ขอพักร่างสักหน่อยแล้วกัน

   และแล้วผมเข้าไปอยู่ในห้อง รู้สึกสดชื่นมากเมื่อสายน้ำไหลรินลงมาบนผิวกายเปลือยเปล่า แต่ในขณะที่ผมอาบน้ำอยู่ ผมว่าผมได้ยินเสียงโทรศัพท์นะ หรือหูผมแว่วไปเองเพราะมัวแต่คิดถึงปาร์ค แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รีบอาบน้ำให้เสร็จอย่างรวดเร็ว แล้วรีบออกมากดดูโทรศัพท์ทันที

   ทันทีที่เห็นหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นโชว์เบอร์ที่ไม่ได้รับ ผมก็ยิ้มกว้างออกมาทันที ก่อนจะรีบจัดแจงทาครีมและใส่ชุดนอนอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบโทรศัพท์อีกรอบเพื่อกดโทรออกทันที

   ตู๊ดดด... ตู๊ดดด...

   [ทำไมไม่รับโทรศัพท์] น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดของปาร์คลอดออกมาจากโทรศัพท์ทันทีที่รับสาย

   “อ๋อ ฟร๊องก์อาบน้ำอยู่เลยไม่ได้รับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง ก็ดีใจนี่ครับที่ได้คุยกับมัน

   [เหรอ ปกติเห็นอาบน้ำไว แล้วทำไมวันนี้อาบน้ำดึกจัง] เสียงปาร์คดูเย็นลงแล้วครับ แต่ผมก็แอบงงเหมือนกันนะว่าทำไมต้องหงุดหงิดแค่ไม่ได้รับโทรศัพท์ ปกติก็ไม่เห็นเป็น

   “พอดีฟร๊องก์เพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อตอนห้าทุ่มนี่เอง วันนี้เลยอาบน้ำดึก”

   [แล้วไปไหนมา ทำไมกลับดึกดื่นเอาป่านนี้] เสียงปาร์คเริ่มแข็งขึ้นอีกแล้วนะ และรู้ไหมว่ามันทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าปาร์คกำลังหวง และเป็นห่วงผมอยู่ ทั้งที่จริง...

   “เอ่อ... พะ... พอดีฟร๊องก์กับเพื่อนมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องไปเคลียร์ปัญหาอ่ะ เลยกลับช้า” ไม่รู้เพราะอะไร ผมถึงได้รู้สึกกลัวและกดดันกับน้ำเสียงดุๆ ของปาร์ค ผมกลัวว่าปาร์คจะโกรธผมอีก ทั้งที่เราเพิ่งจะดีกันได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ด้วยซ้ำ

   [เพื่อนคนไหนล่ะ คนที่ชอบมาส่งตอนดึกๆ นั่นหรือเปล่า หึ! เพื่อนหรือผัวกันแน่วะ!] ปาร์คว่าด้วยน้ำเสียงประชดประชันกึ่งดูถูกดูแคลน ผมไม่ชอบเวลาที่ปาร์คพูดแบบนี้กับผมเลย จะทำแบบนี้ให้ผมเข้าใจผิดและคิดไปเองอีกเพื่ออะไร

   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปาร์คล่ะ ปาร์คจะหงุดหงิดทำไม” ผมบอกกลับอย่างไม่พอใจ แต่ยังคงพยายามรักษาระดับเสียงให้คงที่

   [เออ! มันไม่เกี่ยวกับปาร์คหรอก ขอโทษแล้วกัน] ปาร์คกระแทกเสียง

   “ปาร์ค...” ผมเรียกชื่อมันเสียงอ่อย

   [ขอโทษนะที่ปาร์ควุ่นวาย ถ้ามันกวนใจฟร๊องก์มาก ปาร์คจะได้ไม่รบกวนอีก] น้ำเสียงปาร์คอ่อนลง และฟังดูตัดพ้อมาก ผมไม่เข้าใจเลยว่าปาร์คเป็นอะไร ดูหงุดหงิด ไม่พอใจ พอไม่ได้ดั่งใจก็ประชด ผมตั้งตัวไม่ถูกและรับมือไม่ทัน

   “ปะ... ปาร์ค ฟร๊องก์ไม่ได้...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ปาร์คก็ตัดสายไปทันที ทั้งที่เราเพิ่งคุยได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าในอารมณ์แบบนี้ผมไม่กล้าโทรกลับไปอีกหรอกครับ กลัวว่าเรื่องมันจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเปล่าๆ ผมเองก็อารมณ์ไม่นิ่งแล้วเหมือนกัน รอให้ปาร์คอารมณ์เย็นลงแล้วค่อยอธิบายก็แล้วกัน

   จะว่าไปที่ผมพยายามคิด พยายามทำให้ทุกอย่างเหมือนปกติ มันคล้ายกับว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่เหมือนกันนะ เพราะเอาตามจริง ผมรู้สึกว่าปาร์คเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่เราทะเลาะกันแล้วแหละ ถึงปาร์คจะเป็นฝ่ายโทรมาหาผมก่อน แต่ผมก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี แค่ผมพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ และคิดว่าทุกอย่างมันกลับไปเป็นเหมือนเดิม

   ยิ่งผมพยายามกลับเข้าใกล้ปาร์คเหมือนเดิมเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าปาร์คเดินห่างออกไปจากผมมากเท่านั้น คงเหมือนกับแก้วที่ร้าวล่ะครับ ยังไงมันก็สมานกันไมได้เหมือนเก่า ความรู้สึกผิดหวังของปาร์คที่มีกับผมก็เช่นกัน

   คืนที่ผ่านมาผมนอนไม่ค่อยหลับเลยครับ ทั้งที่ตัวเองง่วงและเพลียมาก แต่จิตใจมันกระวนกระวายจนข่มตานอนยังไงก็ไม่หลับ ผมอยากเคลียร์กับปาร์คให้รู้เรื่อง และอยากรู้ว่าปาร์คเป็นอะไร

   เมื่อถึงเวลาสายๆ ผมตัดสินใจกดโทรฯ ออกหาปาร์คอีกครั้ง ผ่านมาคืนหนึ่ง ถ้าปาร์คได้นอนพักผ่อนก็คงอารมณ์ดีขึ้นแล้วแหละ แต่สุดท้ายก็รอสายอยู่นานปาร์คก็ไม่รับโทรศัพท์

   ‘อาจจะยังไม่ตื่นก็ได้มั้ง’ ผมคิดเข้าข้างตัวเอง แต่จิตใจผมตอนนี้กระสับกระส่าย จนอยู่ไม่เป็นสุขมาก

   จากนั้นผมก็อาบน้ำแต่งตัว รอเก็ทมารับเพื่อไปกินข้าวกับเพื่อนคนอื่นๆ แม้จะพยายามทำตัวเหมือนปกติ แต่ภายในใจผมนี้ร้อนรนมาก ผมอยากพูดคุยกันให้รู้เรื่องกันไป ไม่ชอบให้อะไรค้างคาแบบนี้เลย

   “เป็นไรอีกล่ะ ดูเหมือนมีเรื่องเครียดๆ นะ” เก็ทถามขึ้นหลังจากที่เดินตามผมออกมาเมื่อผมปลีกตัวออกไปซื้อข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย คงมีแต่เก็ทแหละมั้งครับที่สังเกตอาการกระวนกระวายใจของผมออก ทั้งที่ผมพยายามข่มมันไว้ และตีสีหน้าเรียบเฉย

   “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่... เข้าใจกันผิดนิดหน่อย แล้วยังไม่ได้อธิบาย” ผมบอกออกไป โดยที่รู้สึกว่าผมอยากจะพูดมันออกไปบ้าง และรู้สึกอยากมีคนรับฟัง มีคนให้คำปรึกษามากขึ้น

   “มีอะไรที่อยากระบายก็เล่าให้ฟังได้นะ ถ้ามันจะทำให้สบายใจขึ้น” เก็ทพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เขาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ แม้เราสองคนจะเพิ่งรู้จักกันตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ผมกลับรู้สึกสนิทใจและผูกพันกับผู้ชายตรงหน้าเหมือนเป็นเพื่อนกันมาแสนนาน

   แล้วในระหว่างที่ต่อแถวซื้อข้าวกัน ผมก็เล่าคร่าวๆ ให้เก็ทฟังถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยที่เก็ทฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีการพูดขัดหรือแทรกอะไร จนผมเองก็เดาไม่ถูกว่าเขารู้สึกเช่นใด

   “เก็ทก็ไม่รู้รายละเอียดระหว่างฟร๊องก์กับหมอนั่นมากมายหรอกนะ แต่เก็ทอยากถามฟร๊องก์คำถามหนึ่งว่า ‘ตอนนี้ฟร๊องก์กับเขาเป็นอะไรกัน’ เพราะดูท่าทางของหมอนั่นแล้ว เขาดู ‘หวง’ ฟร๊องก์มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ นะ” เมื่อผมเล่าจบ เก็ทก็พูดขึ้นหลังจากที่เงียบฟังผมอยู่นาน

   ผมย้อนคิดถึงประโยคบอกเล่าของเก็ทที่ทิ้งประโยคคำถามกลับมายังผมแล้วผมยิ่งหาคำตอบไม่ได้ นั่นสิ ผมกับปาร์คเป็นอะไรกันแน่ ก่อนหน้าที่ไปเที่ยวด้วยกัน ท่าทางของปาร์คก็ดูเหมือนว่ากำลังมีใจให้กับผม แต่พอผมก้าวล้ำเส้น ก็เสียความรู้สึก และย้ำสถานะหนักแน่นว่าเราสองคนเป็น ‘เพื่อน’ กัน ดันให้ผมกลับมายังสถานะเดิมที่เคยเป็น แต่พอมาเมื่อวาน กลับแสดงอาการราวกับว่ากำลัง ‘หึง’ และ ‘หวง’ ผมอยู่ จนตอนนี้ความรู้สึกผมมันตีกันยุ่งเหยิ่งไปหมด

   สรุปว่าผมอยู่ในตำแหน่งไหนกันแน่ ?

   “กินข้าวเถอะ ไม่ต้องคิดมาก บางทีช่วงนั้นหมอนั่นอาจจะแค่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ได้” เก็ทพูดพลางยิ้มจางๆ ที่มุมปากเป็นกำลังใจผม ผมก็ยิ้มรับและพยายามไม่คิดมาก

   แต่คำถามที่ว่า ‘ตอนนี้ฟร๊องก์กับเขาเป็นอะไรกัน’ มันยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท เหมือนก้อนปุยเมฆของกลุ่มคำพูดล่องลอยอยู่ทุกหนทุกแห่งในห้วงความคิดของผม โดยที่ผมไม่สามารถหาคำตอบมาตอบคำถามให้สมบูรณ์ได้
   
**********__________**********

   ตลอดวันผมยังคงพยายามติดต่อกลับไปหาปาร์คนะ ถึงจะเว้นช่วงการโทรฯ ค่อนข้างนานเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนมากเกินไป และยิ่งทำให้ทำอย่างแย่ลง แต่ทุกครั้งปาร์คก็จะไม่รับโทรศัพท์ของผม ผมยิ่งรู้สึกว่าปาร์คอยู่ห่างออกไปจากผมมากขึ้นทุกที ทั้งที่ปกติปาร์คไม่เคยไม่รับโทรศัพท์ ถ้าจะโกรธกัน งอนกัน แต่ก็จะต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่องทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป จริงๆ มันต่างไปตั้งแต่ ‘วันนั้น’ แล้ว

   เมื่อกลับมาถึงหอ ผมตัดสินใจกดโทรศัพท์หาปาร์คอีกครั้ง อารมณ์ของผมเองก็ใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว ผมรู้สึกน้อยใจ และฉงนสงสัยกับตัวเองบ้างว่าถ้าวันหนึ่งผมหายไป แล้วปาร์คจะรู้สึกไหม และจะตามหาผมหรือเปล่า

   [...] ปลายสายกดรับโทรศัพท์ แต่ไม่ส่งเสียงกลับมา

   “ปาร์ค” ผมเอื้อนเอ่ยชื่อของคนปลายสายอย่างแผ่วเบา

   “อืม... มีอะไร” เสียงปาร์คตอบกลับมาอย่างเยือกเย็นและเย็นชา แต่ผมก็พยายามฝืนยิ้ม และทำใจดีเข้าสู้ แค่ปาร์คยอมรับสายผมก็ดีใจแล้ว

   “ฟร๊องก์แค่อยาก ‘คุย’ กับปาร์ค” ผมตอบกลับด้วยการพยายามทำให้น้ำเสียงดูร่าเริง

   “อืม” ยังคงนิ่ง และดูเย็นชา จนผมเริ่มจะไปต่อไม่ถูก ผมเคยบอกแล้วนิครับว่าปกติปาร์คจะเป็นฝ่ายชวนคุยมากกว่า พอให้ผมเป็นคนชวนคุยโดยที่อีกฝ่ายแทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้ คำพูดก็เริ่มกลืนหายไปพร้อมกับลำคอที่เริ่มตีบตัน

   “ปาร์คไม่อยากคุยกับฟร๊องก์เหรอออ...” ผมพยายามทำเสียงอ้อน เผื่อปาร์คจะหลุดขำ

   “ฟร๊องก์มีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็วางสายเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาด้วย” นอกจากจะไม่เล่น ไม่รับมุกผมแล้ว ปาร์คยังตอกผมกลับอย่างไม่ไว้หน้าด้วย หัวใจผมเริ่มเต้นแรงพร้อมทั้งรู้สึกปวดร้าวราวกับคีมเหล็กอันใหญ่และแข็งแรงมาบีบมันเอาไว้ มันผสมปนเปกันระหว่างความโกรธและความน้อยใจ

   “ไม่เลยนะปาร์ค ไม่เสียเวลาเลย ปาร์คยังโกรธฟร๊องกอยู่เหรอ ฟร๊องก์ขอโทษนะ เมื่อคืนที่พูดไปฟร๊องก์ไม่ตั้งใจ... และก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ผมรีบพูดอย่างร้อนรนเพราะกลัวว่าปาร์คจะวางสายหนีผมเหมือนครั้งที่แล้ว

   “ปาร์คไม่ได้โกรธ” ปาร์คตอบกลับมาเสียงเรียบ แต่ผมไม่ได้รู้สึกยินดี หรือดีใจที่ได้ยินแบบนั้นเลย ผมกลับรู้สึกว่าปาร์คตอบส่งๆ เหมือนเลี่ยงปัญหาให้มันจบๆ ไป “... แค่ไม่อยาก ‘รบกวน’ เวลาฟร๊องก์”

   “ไม่เลย ปาร์คไม่ได้รบกวน ไม่ได้วุ่นวายเลย ฟร๊องก์ดีใจด้วยซ้ำที่ได้คุยกับปาร์ค”

   “งั้นเหรอ นึกว่าดีใจที่ได้อยู่กับคนอื่น”

   “แต่ก็ไม่มีใครทำให้ฟร๊องก์ดีใจและมีความสุขได้เท่าปาร์คหรอกนะ” ได้จังหวะที่ดูเหมือนปาร์คอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ผมก็หยอดมุกหวาน อ้อนกลับไป

   “ช่างมันเถอะ ปาร์คไม่ได้โกรธฟร๊องก์อยู่แล้ว” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงปกติกลับมา ผมยิ้มออกทันที อย่างน้อยเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง

   “จริงนะ” ผมแกล้งถามย้ำแบบติดตลก

   “อืม ถามมาก!”

   “น่ารักที่สุดเลยยย”
 
   แล้วผมก็คุยกับปาร์คต่ออีกสักพัก จนจู่ๆ ปาร์คก็ขอวางสายไป โดยบอกผมว่ามีธุระ เอาไว้ค่อยคุยกันที่หลัง แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ดูไม่ปกติ รวมทั้งอาการปาร์คด้วย แม้จะดูเหมือนปาร์คไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองอะไรผมแล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่าปาร์คยังดูหมางเมินชอบกล หรือมันเป็นการบอกผมทางอ้อมถึงจุดที่ผมอยู่ เป็นการสร้างกำแพงไม่ให้ผมรุกล้ำเข้าไปเกินกว่าที่ควรเป็นอีก

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   หลังจากที่วางสายจากปาร์คไปไม่นาน ยังไม่ทันที่ผมจะเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เสียงโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนเตียงนอนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงเปลี่ยนทางจากที่กำลังจะเปิดโน้ตบุ๊กที่โต๊ะทำงาน กลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงแทน

   ‘08x-xxx-xxxx’

   ผมทำหน้าฉงนเมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยขึ้นโชว์อยู่บนหน้าจอ ผมจ้องมองโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องนั้นนิ่งๆ จนสุดท้ายสายก็ถูกตัดไป แต่เพียงไม่ถึง 10 วินาที มันก็ส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเบอร์เดิม

   “สวัสดีครับ” แม้จะสงสัย แต่ผมก็ตัดสินใจกดรับสายในที่สุด

   [สวัสดีครับบบ] น้ำเสียงทะเล้นๆ ที่ฟังดูไม่คุ้นเคยเหมือนกับเบอร์โทรศัพท์ดังกลับมาตามสาย

   “นั่นใครเหรอครับ” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบรักษาระดับให้ดูปกติ

   [จำผมได้ไหมครับ ที่แกล้งปิดตาคุณเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพื่อน] บุคคลปริศนาก่อนหน้านี้ไขข้อข้องใจให้แก่ผมด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสดใส เบิกบาน (จะอารมณ์ดีไปไหน)

   “อ๋อครับ จำได้ครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”

   [อะไรกันครับ นี่คุณลืมแล้วเหรอว่าผมสัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการขอโทษ] เขาแกล้งทำเสียงเศร้า แต่ฟังดูก็รู้ครับว่าเขาไม่ได้เศร้าจริงๆ

   “อ๋อครับ” ผมตอบกลับไปนิ่งๆ

   [งั้นคุณสะดวกเมื่อไหร่ครับ พรุ่งนี้เลยไหม]

   “จริงๆ ไม่ต้องลำบากก็ได้นะครับ” ผมตอบกลับอย่างมารยาท และรักษาน้ำใจ จริงๆ ผมเกรงใจมากกว่า แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเลิ้งอะไรหรอกครับ

   [ไม่ได้ครับ ผมสัญญาแล้ว ผิดคำสัญญามันดูไม่ดีนะครับ] เขายังคงตื๊อผมต่อ

   “งั้นก็ได้ครับ วันพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ผมเลิกเรียนหกโมงเย็นนะ คุณสะดวกหรือเปล่า ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องเลี้ยงอะไรผมก็ได้ครับ ผมไม่ติดใจอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ผมยังคงพยายามโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจ เพราะผมเองไม่ได้เก็บมาคิดตั้งแต่วันนั้นแล้ว จริงๆ ผมลืมเหตการณ์ที่เกิดในวันนั้นไปแล้วด้วยซ้ำ

   [แหน่ะ อีกแล้วนะครับ ให้ผมได้ ‘เลี้ยง’ คุณน่ะดีแล้ว โอเคครับ พรุ่งนี้หลังหกโมงเย็น คุณเลิกเรียนแล้วผมจะโทรหานะครับ] เขาสรุปทุกอย่างด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริงกว่าปกติ ดูๆ เขาเป็นคนอารมณ์ดีมากเลยนะครับ

   “ครับ ตามนั้น ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

   [ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ผมสิต้องขอบคุณคุณ ที่ยอมให้ผมได้เลี้ยงตอบแทน]

   “ครับๆ” ผมตอบกลับ แต่ทำไมผมต้องอมยิ้มด้วย รู้สึกถึงความน่ารัก น่าเอ็นดูของคนปลายสายอย่างบอกไม่ถูก

   [งั้น... ผมไม่รบกวนคุณแล้วล่ะครับ ยังไงพรุ่งนี้อย่าลืม ‘สัญญาของเรา’ นะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะโทรหาใหม่] พูดเสร็จเขาก็กดวางสายไป แต่ผมยังคงอดที่จะอมยิ้มกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ผมรู้สึกว่าแค่ได้คุยกับคนๆ นี้แล้วอะไรๆ มันก็ดูสดใสขึ้น

**********__________**********

   “เมื่อไหร่มึงสองคนจะมีข่าวดีกันวะ” นุ่นสาวห้าวของเราเปิดประเด็นทันทีที่ทุกคนนั่งรวมตัวกันที่ร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัย ไม่ต้องสงสัยหรือเบื่อกันนะครับว่าทำไมพวกผมถึงอยู่กันแค่ร้านอาหาร ไม่ก็โรงอาหารในเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงแบบนี้ ก็เพราะพวกผมจะนัดกันเป็นปกติอยู่แล้ว เวลาที่เรียนบ่ายโมงก็จะมากินข้าว นั่งเม้าธ์มอยกันก่อน

   “มึงถามใคร” ผมถามกลับไปอย่างสงสัย เพราะไอ้คำถามไม่ระบุตัวคนของนุ่นนั้น มันมุ่งตรงมาที่ผมกับเก็ท

   “อย่ามาทำเป็นไก๋ รู้ๆ กันอยู่ ดูอย่างดิวกับแก้วดิ๊ รักกันก็เปิดตัวคบกันให้เพื่อนได้รู้ได้เห็น ไม่เหมือนมึงสองตัว จะปิดเงียบไปถึงไหน” เอาอีกแล้วครั้ง วันก่อนก็เพิ่งโดนเล่นงานไปซะเละ ยังไม่ทันไร ผมโดนอีกแล้วเหรอเนี่ย!

   “ฮิ้ววว!” พวกตัวเสริมทัพทำงานแล้วครับ

   “พอเถอะพวกมึง วันก่อนกูเพิ่งโดนไป พรุนหมดแล้วเนี่ย” ผมว่าพร้อมทำหน้าซังกะตาย

   “พรุนหมดแล้ว!! เก็ท ตัวเองทำรุนแรงขนาดนั้นเลยหรอ” ผมแทบหงายหลังให้หัวฟาดพื้นยิ่งนัก เมื่อคำพูดแก้ตัวของผมกลายเป็นดาบสองคมกลับเข้ามาเล่นงานตัวผมเอง

   “โอ้ยยย!! กูหมายถึง กูเหนื่อยจนไมมีแรงเล่นกับพวกมึงแล้ว” ผมแก้ตัวเสียงดังด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

   “อุ๊ตะ! เล่นกันจนหมดแรงเลยเว้ย ฮ่าๆๆ” ครับ ผมพูดอะไรมันก็ต่อได้หมดเลยครับ ผมยอมแพ้แล้ว

   “ล้อเล่นหน่ามึง คิดมาก รักก็บอกว่ารัก จะคบกันเพื่อนไม่ว่าหรอก จะเชียร์ซะด้วยซ้ำ เนอะๆ” นุ่นยังไม่จบครับ อยากจะกระโดดถีบขาคู่แบบไม่ต้องเกรงใจว่ามันเป็นผู้หญิง

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   แล้วโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นมาช่วยชีวิตผมไว้พอดี

   “ฮัลโหลครับ” ผมกดรับสายต่อหน้าเพื่อนๆ คนอื่นที่มองอย่างสงสัย พวกมึงจะมองคนคุยโทรศัพท์ทำซากอะไร! ผมหันไปถลึงตาใส่เพื่อนๆ ก่อนที่พวกมันจะทำท่าหัวเราะเยาะผม แล้วก้มหน้าลงอ่านเมนู

   [เรียนอยู่หรือเปล่าครับ ผมรบกวนหรือเปล่า] เสียงปลายสายทักมาอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงที่ฟังกี่ครั้งก็ยังสดใสเหมือนเดิม

   “อ๋อ เปล่าครับ กำลังจะทานข้าว” ผมตอบพลางหยิบเมนูขึ้นมาดูเช่นกัน แต่พอเงยหน้าขึ้นมาแค่นั้นแหละ ทุกคนมองหน้าผมเป็นตาเดียวเลย ทำไมเหรอ หน้าผมมีอะไรติด? 

   [ผมแค่จะโทรมาเตือนน่ะครับ เรื่อง ‘นัดของเรา’ เย็นนี้] คนปลายสายพูดมาต่อ

   “เฮ้ย!” แต่ตอนนี้ไอ้ไวน์เอาหูมาแนบข้างโทรศัพท์ผมแล้วครับ “ทำไรเนี่ย” ผมหันไปแว้ดใส่ ก่อนที่มันจะหัวเราะพร้อมทำปากขยุบขยิบล้อเลียน

   [มีอะไรหรือเปล่าครับ] เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย

   “อ๋อๆ เปล่าหรอกครับ พอดีเมื่อกี้เพื่อนแกล้ง”

   [ไอ้เราก็นึกว่าว่าเราซะอีก] ปลายสายตอบกลับมาด้วยเสียงเศร้าแบบติดตลก ทำให้ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อย [งั้นคุณทานข้าวกับเพื่อนเถอะครับ แล้วตอนเย็นค่อยมาทานกับผม]

   “คะ... ครับ แล้วเจอกันครับ” แล้วเขาก็วางสายไป พร้อมกับผมที่รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

   “แหนะๆ ผัวอยู่ด้วยทั้งคน แต่กลับคุยกับชู้” นุ่นเปิดประเด็นอีกรอบ นี่พวกมันจะไม่สั่งข้าวกันใช่ไหมครับ หรือว่าอยากกินส้นพระบาทของผมเป็นมื้อกลางวัน

   “แล้วเจอกันนะครับ” ไวน์ทำเสียงใหญ่ล้อเลียน “ก็ไม่รู้สินะ แอบไปหว่านเสน่ห์กับใคร ที่ไหน เล่ามาเลยนะ”

   “หว่านเสน่ห์หว่านเสน่ออะไรล่ะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เขาไม่ได้มาจีบสักหน่อย” ผมบอกปัดๆ ก็จริงนี่ครับ เขาก็แค่อยากจะขอโทษ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

   “เหรอออ... ใครเชื่อก็แดกหญ้าแล้ว” ไวน์ว่าต่อ

   “พอๆ กินข้าวเถอะ เดี๋ยวก็ไม่ได้กินกันพอดี หรือพวกมึงอยากกินตีนกูแทน” ผมตัดบทแล้วเรียกพนักงานมารับออเดอร์ทันที ตัดปัญหาไปเดี๋ยวจะต่อความยาวสาวความยืดมากไปกว่านี้ แต่งเรื่องกันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ไปแต่งนิยายขายเถอะครับ ทั้งที่เรื่องจริงมันไม่มีอะไรเลย


เหลืออีก 50% นะฮะ...

คนที่โทรมาคนนั้นจะเป็นใครกันนะ??  :hao6:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 10 (50%) [10/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 10-05-2017 22:58:29
อ่านมาเรื่อยๆ เพลงก็ลอยเข้ามาในหัว เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วแม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย . . . .
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 10 (50%) [10/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 10-05-2017 23:18:12
เชียร์ฟร็อง ใหเลิกยึดติด กับปาร์คได้ไว ปาร์ค คงเคยชิน กับการ มีฟร็อง คอย ยอม ทำตามสะเคยตัวจนตัวนิสัยเสีย หวง ทั้งๆที่คิดยังไงก้อไม่ทำให้ชัดเจน อยากให้ฟร็องถอย ออกมา แล้วดู สิปาร์จะก้าวเขามาหาเองมั้ย
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 10 (50%) [10/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-05-2017 12:44:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 10 (50%) [10/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 12-05-2017 19:47:50
อ่านมาเรื่อยๆ เพลงก็ลอยเข้ามาในหัว เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วแม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย . . . .

ฉันก็ยังยินดี แม้ไม่ใช่คนพิเศษ ไม่ได้สำคัญสำหรับเธอ...  :mew6:


เชียร์ฟร็อง ใหเลิกยึดติด กับปาร์คได้ไว ปาร์ค คงเคยชิน กับการ มีฟร็อง คอย ยอม ทำตามสะเคยตัวจนตัวนิสัยเสีย หวง ทั้งๆที่คิดยังไงก้อไม่ทำให้ชัดเจน อยากให้ฟร็องถอย ออกมา แล้วดู สิปาร์จะก้าวเขามาหาเองมั้ย

รอลุ้นดูว่าฟร๊องก์จะทำยังไงต่อไปฮะ  ขอบคุณมากนะฮะ :mew1:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 10 (100%) [12/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 12-05-2017 20:20:32
Chapitre 10

100%

   “เลิกเรียนซะที!! หิวข้าวจะตายห่าอยู่แล้ว” โดนัทพูดอย่างออกอาการดีใจอย่างจัดเจนจนอาจารย์ที่กำลังเก็บของหัวมามองหน้า พวกผมเลยต้องยิ้มแหยๆ กลับไป

   “ว่าแต่จะไปกินข้าวที่ไหนกันดี อยากกินซูชิ” ป๊อปอายว่า

   “เอาดิๆ ไปร้าน U สิ ของสดดี ไปด้วยกันหมดเลยไหม จะได้โทรไปจองก่อน ร้านนี้ชอบเต็ม” โดนัทรับบทเป็นแม่งาน สงสัยจะหิวจริงจังครับ (ตัวถึงได้อวบแบบนี้ ฮ่าๆ)

   “กูไม่ไปนะ พอดีมีธุระ” ผมพูดมาในขณะที่ทุกคนพนักหน้าตอบตกลง

   “ปล่อยนางไปเถอะ นางมีนัดแล้ว” ไวน์จิกกัดผมด้วยท่าทางหมั่นไส้แบบเต็มเปา

   “ทำอะไรก็เกรงใจผัวมั้งนะมึง ผัวก็มีอยู่แล้วทั้งคน” นุ่นปากหมาขาประจำทำหน้าที่อีกแล้วครับ

   “เออๆ ผัวกูไม่ว่าหรอกเนอะ แค่นี้เอง ใช่ไหม... โอ้ย! เจ็บนะเฟ้ย!” ผมหันไปเล่นกับเก็ท เลยโดนเก็ทดีดหน้าผากอย่างแรง เจ็บชะมัดเลย! เล่นก็ไม่ได้ ทีคนอื่นเล่นเสือกไม่แก้ตัว

   “ประเด็นเด็ดวันนี้ ผัวเมียคู่ซี้ตีกัน เพราะผัวจับได้ว่าเมียมีชู้ ฮ่าๆ” นุ่นเหมือนเดิมครับ นอกจากจะห้าวแล้ว สมองที่ใช้คิดมุกนี่ไวเหลือเกิน

   ติ๊ด! ติ๊ด!   

   แล้วเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะอีกครั้ง ทุกคนมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่แก้วที่ส่งยิ้มหวานให้แต่ออกแนวล้อเลียนผมอยู่มากกว่า

   “เอาแล้วเว้ยๆ ชู้โทรหาต่อหน้าผัวบังเกิดเกล้าเลย งานนี้จะเป็นยังไงต้องติดตามนะคะท่านผู้โชมมม” นุ่นทำทาท่าทางล้อเลียนเหมือนตัวเองกำลังเป็นนักข่าวรายงานข่าวสดก็ไม่ปาน

   “มะเหงก!” ผมว่าพร้อมกำมือทำท่าเฉกเช่นคำพูดใส่นุ่น ก่อนจะเดินแยกตัวห่างจากพวกนั้นเพื่อนรับโทรศัพท์ แน่นอนว่าผมถูกแซวทันที ก่อนที่พวกมันจะเลิกสนใจและหันไปเก็บข้าวของของตัวเอง เหลือเพียงแต่เก็ทที่ยังคงมองอยู่ คนอื่นที่เห็นเก็บๆ ของกันไม่ใช่ว่าจะเลิกสนใจผมไปเลยหรอกนะครับ หูนี่คงผึ่งกันเป็นแถว

   “ครับ” ผมเลื่อนนิ้วบนหน้าจอสัมผัสเพื่อรับสาย ก่อนจะส่งเสียงกลับไป

   [ดีครับผม สรุปเราไปกินที่ไหนกันดีเอ่ย] คนปลายสายส่งเสียงกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสดใสเหมือนเดิม

   “แล้วแต่เลยครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว”

   [งั้นไปกินที่ร้าน... ไหมครับ คุณรู้จักไหม]

   “อ๋อ รู้จักครับ” ผมตอบกลับไป ร้านที่เขาชวนไปเป็นร้านอาหารอีสานครับ พวกส้มตำ ไก่ย่างอะไรแบบเนี่ย ร้านอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยครับ ที่สำคัญรสชาติเด็ดสะดิ้งมาก 

   [ว่าแต่คุณจะไปยังไง]

   “เดี๋ยวให้เพื่อนไปส่งครับ เจอกันที่ร้านเลยนะครับ”

   [โอเคครับผม แล้วเจอกัน] เขาว่าด้วยน่าเสียงร่าเริงก่อนจะวางสายไป

   “เจอกันที่ร้านเลยนะครับ” นุ่นทำเสียงล้อเลียน “กูล่ะอยากเห็นหน้าผู้โชคร้ายคนนั้นซะจริง ฮ่าๆ”

   “เก็ทเดี๋ยวแวะส่งฟร๊องก์ที่ร้าน... หน่อยนะ” ผมทำเป็นไม่สนใจนุ่น จนมันต้องสะบัดหน้าอย่างไม่พอใจ ฮ่าๆ โคตรสะใจผมเลย ก่อนจะหันไปบอกเก็ทให้แวะส่งผม

   “อืม” เก็ทตอบนิ่งๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป เพื่อนคนอื่นๆ ก็เก็บของกันแล้วครับ แล้วก็ทยอยๆ เดินออกจากห้องไป โดยที่โดนัทก็กำลังโทรฯ จองโต๊ะที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่พวกนั้นตกลงกันก่อนหน้า ผมเลยรีบกวาดๆ ของลงกระเป๋าแล้วรีบเดินตามออกไปสมทบ

   แล้วพวกผมก็แยกกันขึ้นรถครับ แบ่งออกเป็นรถเก็ท 4 คน และรถดิวอีก 4 คน โดยรถเก็ทมีเก็ทเป็นคนขับ ผมนั่งหน้าซึ่งเป็นที่ประจำของผมอยู่แล้ว ด้านหลังจากเป็นไวน์และโดนัทครับ ส่วนอีกคันก็แน่นอนว่ามีดิวกับแก้ว แล้วก็นุ่นกับป๊อปอาย ปกติเวลามาเรียนก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ ยกเว้นว่าใครมีธุระ หรือเหตุจำเป็นอื่นๆ ก็จะมาเอง

   “แกๆ จะว่าไปฉันก็อยากกินส้มตำเหมือนกันนะ อิอิ” รถออกมาได้นาน ไวน์ก็พูดกระแนะกระแหนผมขึ้นมาทันที พร้อมทั้งโผล่หน้ามาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมอีก

   “ฮ่าๆ แกก็สงสารเพื่อนหน่อยสิ คนเขาอุตส่าห์จะไปอะจึ๊ย อะจึ๊ยกันสองคน” อะไรของโดนัทมันเนี่ย อะจึ๊ยบ้าบอคอแตกอะไร คนแค่ไปกินข้าว ที่สำคัญผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขาด้วยซ้ำ แค่ชื่อยังไม่รู้เลย

   “นุ่นไม่มาคันนี้ด้วย กูนึกว่าชีวิตกูจะสงบสุขแล้วซะอีก” ผมหันไปกัดแบบขำๆ
   
**********__________***********

   ไม่นานรถเก็ทก็พาผมมายังร้าน... ซึ่งเป็นที่นัดหมาย ก่อนผมจะลงจากรถ ไวน์ยังไม่วายกวนผมอีก บอกให้ผมถ่ายรูปผู้ชายมาให้นางดูด้วยว่าถูกใจไหม สรุปคือมันอยากได้เองใช่ไหม??

   ผมเดินไปที่หน้าร้าน พยายามสอดส่ายสายตามองหา ‘เขา’ คนนั้น

   “อ้าวคุณ มาแล้วหรอครับ ขอโทษทีที่มาช้า” แล้วเขาที่ว่าก็มาสะกิดผมจากทางด้านหลัง ผมแอบตกใจเล็กน้อยเหมือนกัน แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมามาก

   “อ๋อ เพิ่งมาถึงเหมือนกันครับ ไม่ได้รอนานอะไรเลย” ผมตอบกลับแบบยิ้มๆ

   “งั้นเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ เชิญครับ” แล้วเขาก็ผายมือให้ผมเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปด้านใน

   ร้านนี้เป็นร้านแบบเปิดโล่งครับ ไม่ได้เลิศหรูอะไร ก็สไตล์ร้านอาหารปกติ มีเคาน์เตอร์ทำครัวอยู่ด้านหน้าร้าน ด้านในก็มีโต๊ะอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่เยอะครับเพราะไม่ใช่ร้านใหญ่ แม้มันจะไม่ได้หรูหรา หรือดูแพงยังไง แต่ผมชอบนะครับ มาทานบ่อยอยู่เวลาอยากกินอะไรพวกนี้ เพราะมันแซ่บจริงอะไรจริง ร้านส้มตำมันต้องบรรยากาศแบบนี้แหละครับ ถึงจะเด็ด ให้นั่งทานส้มตำในร้านติดแอร์ผมว่ามันไม่ได้ฟิลลิ่งสักเท่าไร

   “หิวไหมครับเนี่ย” เขาถามขึ้นเมื่อมาถึงโต๊ะ เราได้โต๊ะริมๆ ด้านในครับ อยู่ใกล้ๆ กับรัวที่เป็นต้นไม้ปลูกติดๆ กัน แต่มันไม่อึดอัด เพราะร้านนี้เปิดโล่งทุกด้าน

   “ไม่ค่อยครับ” ผมบอกไป แต่...

    โครก... คราก...

   เสียงท้องผมเองแหละครับ น่าอายมากเลย ก็ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่มื้อกลางวันนี่ครับ ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามนี่หัวเราะเสียงดังเชียว ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ อย่างอายเลยครับ

   “ท่าทางจะไม่ค่อยหิวจริงๆ นะครับ แต่ดูหิวมากๆ เลย ยังไงสั่งได้เต็มที่เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” เขาว่าพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างๆ ที่ทำให้เห็นเหล็กดัดฟันสีน้ำเงินอย่างชัดเจน “แต่ผมขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้พาไปเลี้ยงร้านหรูๆ แพงๆ”

   “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร แค่พามาเลี้ยงนี่ผมก็ต้องขอบคุณมากแล้วครับ” ผมรีบพูดขัดขึ้นมาทันที ผมไม่ได้ยึดติดกับความหรูหรา หรือความสบายขนาดนั้น “แบบนี้ดีแล้วครับ เป็นกันเองดี จะได้ไม่เกร็ง” แล้วผมก็พูดต่อยิ้มๆ

   “คิดเหมือนผมเลยครับ มานั่งกินร้านแบบนี้แล้วมันรู้สึก ‘เป็นกันเอง’ และ ‘ใกล้ชิด’ กันมากกว่า” รอยยิ้มกว้างดูสดใสนั้นยังคงฉายออกมาจากใบหน้าหล่อแบบน่ารักของคนตรงไหน “สั่งได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมเขียนใบให้เอง” แล้วเขาก็หยิบใบสั่งอาหารขึ้นมาจดครับ ร้านนี้ใช้วิธีการจดแล้วส่งให้แม่ครัวครับ ที่กระดาษจะมีหมายเลขโต๊ะอยู่เลยทำให้คนเสิร์ฟรู้ว่าเป็นของโต๊ะไหน

   แล้วเราสองคนก็สั่งอาหารกันครับ ผมเผลอสั่งอะไรที่อยากกินๆ แบบแบบลืมตัวเล็กน้อย เงยหน้าจากเมนูขึ้นมาเจอกับรอยยิ้มกึ่งหัวเราะของคนตรงหน้า เล่นเอาผมต้องหลบตาเลย เผลอทำอะไรบ๋องๆ ออกไปอีกแล้ว ก่อนหน้าก็ท้องร้อง นี่ยังสั่งอาหารแบบไม่เกรงใจอีก น่าอายชะมัดเลย!

   “สั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว รออีกนิดนะครับ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” เขาเอ่ยปากแซวหลังจากที่เดินกลับมาจากที่เอาใบสั่งอาหารไปให้คนขาย “คุณ... ผมชื่อ ‘ทาร์ต’ นะ แล้วคุณชื่ออะไร”

   “ชื่อ ฟร๊องก์ ครับ ยินที่ได้รู้จักนะครับ” ผมตอบกลับยิ้มๆ ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยจัง คงเพราะรอยยิ้มที่สดใสมากๆ ของคนตรงหน้า มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาแบบไม่ตั้งใจ

   “ยินดีมากๆ ที่ได้รู้จักกันนะครับ... ฟร๊องก์” ตั้งแต่เจอหน้ากันนี่ผมยังไม่เห็นเขาหุบยิ้มเลย จะอารมณ์ดีไปไหน

   “ครับ”

   “ว่าแต่นี่ฟร๊องก์อยู่ปีหนึ่งป่ะ ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าเลย” ทาร์ตถามต่อด้วยใบหน้าสงสัย แต่ริมฝีปากนั้นก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่

   “ผมอยู่ปีสองแล้วครับ” ผมตอบกลับแบบขำๆ

   “อ้าว จริงดิ หน้ายังดูเหมือนเด็กมัธยมอยู่เลยด้วยซ้ำ งั้นผมก็ต้องเรียก ‘พี่’ สินะ” ทาร์ตทำหน้าเหมือนตกใจมากครับ แต่ผมรู้ครับว่าเขาแกล้ง จริงๆ หน้าผมไม่ได้ดูเด็กอะไรขนาดนั้นหรอก ก็เว่อร์ไป อีกอย่างปีสองกับปีหนึ่งนี่มันไม่ได้ต่างกันเท่าไรด้วยซ้ำครับ

   “ก็เว่อร์ไป ฮ่าๆ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเขา

   “นี่ถ้าผมอยู่ปีสูงๆ แล้วนะ ผมคงนึกว่าพี่เป็นรุ่นน้องเฟรชชี่แน่ๆ” ทาร์ตยังคงแซวผม พร้อมกับส่งยิ้มกว้าง

   “^o^” ผมยิ้มร่าด้วยความเขิน

   “ว่าแต่พี่ฟร๊องก์เรียนคณะอะไร”
 
   “อ๋อ ศิลปศาสตร์ ภาษาอังกฤษน่ะ เราล่ะ”

   “ผมอยู่นิเทศฯ คณะก็ไม่ได้ไกลกันมากนะ แต่ทำไมผมไม่ยักจะเคยเห็นหน้าพี่เลย” เขาว่าขำๆ กับสิ่งที่ตัวเองคิด

   “ก็อาจจะเคยเห็นกันบ้างล่ะมั้ง แต่ไม่รู้จักกันไงเลยไม่ได้สังเกต” ผมบอกกลับด้วยรอยยิ้ม

   “คงงั้นมั้งพี่ แต่ต่อไปนี้เราคงได้เจอกันบ่อยขึ้นแล้ว”

   “ทำไมอ่ะ” ผมทำท่าฉงนสงสัย

   “ก็เรารู้จักกันแล้วไงพี่ พอรู้จักแล้ว คุ้นหน้ากันแล้ว ก็เจอกัน ทักกันบ่อยขึ้น”

   “ฮ่าๆ คงงั้นมั้ง” ผมหัวเราะออกมา

   แล้วผมก็นั่งคุย นั่งหัวเราะกับทาร์ตไปเรื่อยเปื่อย ทาร์ตเป็นคนตลกมากครับ มุกเพียบ เป็นคนอารมณ์ดีมากๆ จนทำให้ผมต้องยิ้มและหัวเราะตามไปด้วย

   “ว่าแต่พี่อยู่หอไหนหรอ อยู่ไกลเปล่าเดี๋ยวผมได้ส่งไปเป็นเพื่อน” ทาร์ตถามขึ้นมาหลังจากที่เรานั่งกินไปคุยไปจนอาหารใกล้จะหมด ผมเองอิ่มมากๆ แล้ว ท้องจะแตก ก็คุยไปด้วยมันเลยเพลินทำให้กินไม่หยุดเลย มารู้ตัวอีกทีตอนที่ผมกำลังจะจิ้มคอหมูย่างชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แล้วทาร์ตนั่งมองผมแบบขำๆ ทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองกินเข้าไปเยอะมาก

   “อยู่หอ... ไม่ไกลจากนี้มากหรอก ไม่ต้องไปส่งก็ได้” ผมตอบกลับไปอย่างเกรงใจ

   “เห้ย จริงดิพี่ อยู่ทางเดียวกับหอผมเลย งั้นเดี๋ยวกลับด้วยกันก็ได้” เขาว่าอย่างร่าเริง ตั้งแต่มาถึงนี่ผมยังไม่เห็นทาร์ตหยุดยิ้มเลยครับ ยิ้มเก่งและอารมณ์ดีมากจริงๆ

   “งั้นก็ได้ ฮ่าๆ ได้หารค่ารถกันด้วย ประหยัดดี”

   “แอบขี้เหนียวเหมือนกันนะพี่เนี่ย ฮ่าๆ” ทาร์ตแกล้งแซวผม

   “เขาเรียกว่าประหยัดโว้ย” ผมทำเป็นแย้งแบบติดตลก

   จากนั้นทาร์ตก็เรียกคิดเงิน แน่นอนว่าเขาเป็นคนเลี้ยงทั้งหมด แม้ว่าผมจะพยายามบอกว่าให้หารกัน แต่เขาก็ไม่ยอมอยู่ดี แถมยังบอกว่าคราวหน้าค่อยว่ากัน

   “ป่ะครับพี่ กลับกันเถอะ” ทาร์ตลุกออกจากเก้าอี้แล้วใช้มือแตะที่ไหล่ผมเป็นเชิงบอกให้ไปได้แล้ว

   ทาร์ตจัดการเรียกแท็กซี่ก่อนจะบอกที่หมาย

   “แล้วนี่พี่อยู่ห้องไหนอ่ะ อยู่คนเดียวหรอ”

   “อยู่คนเดียว ห้อง 611 อ่ะ ทำไมหรอ” ผมหันไปมองหน้าทาร์ตด้วยความสงสัย

   “เปล่าครับๆ เผื่อจะแวะไปหาไง” ทาร์ตหัวเราะ ผมก็หัวเราะตามกับท่าทางตลกโปกฮาของเขา

   ไม่นานผมก็มาถึงหอครับ ค่าแท็กซี่ผมจัดการยัดใส่มือทาร์ตเรียบร้อย แล้วรีบลงจากรถเลย กลัวว่ามันจะไม่รับครับ ให้เขาจ่ายโน้นนี่คนเดียวทั้งที่เพิ่งรู้จักกันมันดูน่าเกลียด

   “ไว้เจอกันนะพี่ฟร๊องก์ วันนี้ขอบคุณมากเลยครับ” ทาร์ตเปิดกระจกแล้วโผล่หน้าออกมาพูดกับผมด้วยท่าทางทะเล้น พร้อมกับโบกมือบ๊ายบายผม

   “อืม” ผมยิ้มตอบพลางโบกมือให้เช่นกัน ก่อนที่รถแท็กซี่จะค่อยๆ เคลื่อนออกไป


à suivre...

ตัวละครอีกตัวที่ชื่อทาร์ตมาอีกคนแล้ว
หนุ่มน้อยรอยยิ้มชวนฝันคนนี้จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของฟร๊องก์ได้ไหมนะ
จะเข้ามาเป็นรอยยิ้มให้กับฟร๊องก์หรือเปล่า...
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 10 (50%) [10/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-05-2017 20:20:44
จำได้เคยอ่านหลายตอนเลยแต่ยังไม่จบ
ถ้าคนแต่งกลับมาแต่งให้จบก็จะดีมาก

ตอนนี้ยังไม่ลุ้นนะเพราะเคยอ่านมากกว่าตอนนี้ไปแล้ว
แต่กำลังจะเข้มข้นขึ้นทุกทีๆ#ไม่สปอยด์ดีกว่า หุหุ

จะรออ่านจนกว่าจะถึงตอนที่เคยอ่านล่าสุดนะ
ขอบคุณฮับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 10 P.2 [12/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-05-2017 21:22:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 10 (50%) [10/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 12-05-2017 22:36:40
จำได้เคยอ่านหลายตอนเลยแต่ยังไม่จบ
ถ้าคนแต่งกลับมาแต่งให้จบก็จะดีมาก

ตอนนี้ยังไม่ลุ้นนะเพราะเคยอ่านมากกว่าตอนนี้ไปแล้ว
แต่กำลังจะเข้มข้นขึ้นทุกทีๆ#ไม่สปอยด์ดีกว่า หุหุ

จะรออ่านจนกว่าจะถึงตอนที่เคยอ่านล่าสุดนะ
ขอบคุณฮับ

เราเห็นชื่อคุณมาคอมเม้นต์ปุ๊บ เราจำคุณได้ปั๊บเลย คราวนี้กลับมาต่อจนจบแน่นอนฮะ
ขอโทษด้วยนะฮะที่หายไปนานมาก และก็ขอบคุณมากๆ ที่ยังกลับเข้ามาอ่าน  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 10 P.2 [12/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 13-05-2017 00:35:59
เพราะอยากรู้จุดจบของอิปาร์ค ม่อกๆๆๆๆ
#เจ็บแสบนัก
หึหึ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 11 [14/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 14-05-2017 19:58:17
Chapitre 11

   เมื่อคืนหลังจากที่กลับจากร้านส้มตำที่ไปกินกับทาร์ต ผมก็ยังคงแอบรอโทรศัพท์ของปาร์คอยู่ พร้อมกับนั่งเล่นเฟซบุ๊กรอไปด้วย แต่สุดท้ายปาร์คก็ไม่ได้โทรมา

   ส่วนเฟซบุ๊กผมก็มีอีกหนึ่งคำขอเป็นเพื่อนเข้ามาใหม่ เมื่อได้เห็นชื่อผมก็ยิ้มทันทีโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะยิ้มทำไม เป็นทาร์ตครับที่แอดเพื่อนผมมา แถมยังส่งอินบ๊อกมาหาผมเพื่อยืนยันชื่อเสียงเรียงนามให้ผมรับแอดอีกต่างหาก เจ้านี่ก็ดูแปลกๆ แต่ก็ตลกดี

   ผมกดเข้าไปดูในหน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของทาร์ต ก็แอบงงๆ เล็กน้อยว่าทำไมมีเพื่อนผม คือโดนัทและไวน์เป็นเพื่อนร่วมกันอยู่ด้วย แสดงว่าไวน์ต้องแอบไปเหร่น้องเขาไว้แล้วแน่ๆ เลย ถึงได้รู้จักกัน   

   ติ๊ง!

   ‘รับแอดผมไวมาก’ แทบจะทันทีที่ผมกดรับเพื่อนของทาร์ต เขาก็ทักมาทันที ใครกันแน่วะที่เร็วกว่า

   ‘นี่นั่งเฝ้าหน้าจออยู่รึไง รับปุ๊บทักปั๊บ ;”p’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป

   ‘คงงั้นมั้งคับ ผมกลัวว่าพี่จะลืม’

   ‘ถ้าจะลืมง่ายขนาดนั้นก็เป็นปลาทองล่ะ’ ผมว่ากลับไปพลางอมยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าทะเล้นที่ประดับด้วยรอยยิ้มอันสดใสของทาร์ต

   ‘555+ แต่รูปโปรพี่ก็เหมือนอยู่นะ ดูสิตาโต แก้มป่องเชียว’ ผมตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปหน้าผมที่กำลังทำปากเหมือนเป็ด แก้มป่องๆ ส่วนตาผมมันดูโตอยู่แล้ว พอทำแบบนี้มันยิ่งดูโตเข้าไปอีก ดูแล้วมันตลกดีผมเลยเอามาตั้ง

   ‘55 ซะงั้น’

   แล้วเราก็นั่งพิมพ์คุยกันในช่องแชทเฟซบุ๊กอยู่นานพอสมควร ขนาดคุยกันที่ร้านตั้งเยอะแล้วนะ เจ้านี่ยังสามารถหาเรื่องมาพูดกับผมได้อีกเยอะแยะมากมาย แถมยังแอบเข้าไปส่องรูปของผมในเฟซฯ แล้วเอามาแซวอีกต่างหาก ผมเลยเอามั้งครับ เข้าไปดูรูปของทาร์ตแล้วมาวิจารณ์บ้าง พอได้เข้าไปดูรูปส่วนใหญ่ของเจ้านี้ มีแต่รูปยิ้มๆ ทั้งนั้นเลยครับ น้องยิ้มเก่งมากจริงๆ และที่สำคัญองค์ประกอบรูปสวยมากๆ อย่างว่าล่ะ เรียนนิเทศฯ นี่เนอะ

   ผมพิมพ์คุยกับน้องเขาจนดึก มองนาฬิกาอีกทีก็เกือบตีหนึ่งแล้ว เลยต้องขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อน การคุยกับทาร์ตเมื่อคืนทำให้ผมลืมคิดไปเลยว่าตัวเองกำลังรอโทรศัพท์จากปาร์คอยู่

   หนึ่งอาทิตย์ต่อมา

   ตลอดช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านไป ผมได้คุยโทรศัพท์กับปาร์คแค่ 2 วันครับ และทั้งสองครั้งที่ได้คุยกัน ปาร์คจะโทรมาไวกว่าปกติแล้วก็จะขอวางสายไปก่อนเสมอทั้งที่เพิ่งโทรมาได้ไม่นาน บางคนอาจจะสงสัยครับว่าทำไมผมถึงไม่โทรไปหาปาร์คเองเลยล่ะ จะนั่งรอโทรศัพท์อยู่ทำไม ผมโทรหาปาร์คอยู่บ้างนะครับ แต่ปาร์คไม่รับสายและบ่อยครั้งที่ผมจะโทรในช่วงเวลาเดิม แต่สายไม่ว่าง ผมก็พยายามคิดในแง่ดี ส่วนหนึ่งคือคิดเข้าข้างตัวเองไม่ให้คิดมาก ว่าปาร์คอาจจะต้องธุระหรือมีงานเยอะเลยไม่ค่อยว่างก็ได้

   ชัญญ่าที่หายไปตั้งแต่วันที่เจอกัน อยู่ๆ เธอก็ทักไลน์ผมมาครับ แต่ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก เธอทักมาแกล้ง มาแซวผม แล้วก็บอกว่าอยากเจอกันอีก อยากเม้าธ์กับผม เธอบอกว่าผมเป็นคนคุยสนุก ผมว่าตัวชัญญ่าเองมากกว่าที่ทำให้บรรยากาศการคุยนั้นสนุก หลังจากที่เธอทักมา เราก็คุยกันในไลน์บ่อยขึ้น วันละนิดละหน่อย แต่ผมรู้สึกสนิทกับชัญญ่ามากขึ้นนะ ผมรู้สึกได้ว่าเธอเป็นคนตรงๆ แต่จริงใจ อีกอย่างผมยังได้รู้ความลับฮาๆ อะไรหลายๆ อย่างของเก็ทจากชัญญ่าด้วย เธอเผาซะเละเลย

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น

   “ว่าไง โทรมาแต่เช้าเลย” คิดว่าปาร์คกันหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ คุณคิดผิดแล้ว

   เจ้านี่เป็นอีกคนที่ทั้งทักไลน์ บ้างก็แชทเฟซบุ๊ก และบ่อยครั้งที่โทรหาผม จนตอนนี้ผมกับทาร์ตเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องต่างคณะที่สนิทกันไปโดยปริยาย จริงๆ ก็ไม่อยากพูดว่าสนิทหรอกครับ แต่หลังจากที่รับแอดเฟซบุ๊กมันได้แค่วันเดียว มันก็โทรมาแล้วพูดจากวนผม จนผมพูดออกไปว่า ‘มึงจะไปไหนก็ไปเลย’ แค่นั้นล่ะครับ มันก็ตู่เอาว่าผมพูดกูมึงกับมัน แสดงว่าสนิทกันแล้ว จนตอนนี้ก็ดูเหมือนสนิทกันมากกว่าเดิม มันโทรมาหาผมแทบทุกวันเลยครับ ถ้าวันไหนไม่โทรมันก็จะไลน์มาบอกว่าไม่ว่าง แต่ก็ยังกวนผมในไลน์แทน

   [หิวข้าว ไปกินกับผมหน่อยดิ] ทาร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

   “ก็ชวนเพื่อนไปสิ มายุ่งอะไรกับพี่” ผมแกล้งตอบกลับเสียงแข็ง แต่จริงๆ ผมพยายามกลั้นหัวเราะอยู่

   [โห้พี่ ใจร้ายว่ะ เพื่อนผมมันไม่กินข้าวกันหรอกตอนนี้ วันนี้ผมเรียนบ่ายสอง กว่าพวกแม่งจะตื่นก็ก่อนเข้าเรียนแค่ 10 นาทีแค่นั้นแหละ]

   “นี่ก็ยังไม่ตื่นเถอะ คร่อกกก...”

   [ไม่ตื่นแล้วหมาที่ไหนคุยกับผมอยู่ ฮาๆ] อ้าว ไอ้เด็กเวร หลอกด่าผมซะงั้น

   “ว่ากูเป็นหมาเลย เดี๋ยวจะโดน!” อยู่ใกล้จะถีบให้ครับ จะตบหัวก็กลัวตบไม่ถึง ฮาๆ มันกวนผมแบบนี้เป็นประจำ แต่ผมไม่ค่อยถือหรอกครับ อายุไม่ได้ต่างกันมากมายขนาดที่เล่นกันไม่ได้ อีกอย่างผมก็รู้ว่ามันแกล้งเล่น ไม่ได้จริงจัง และไม่ได้เล่นอะไรแรงข้ามเส้นเกินไป

   [โคตรดุเลย!] เสียงสดใสแบบเดิมๆ ของทาร์ตดังกลับมาจากปลายสาย [ไปกินข้าวกับผมหน่อยนะ ผมเลี้ยงก็ได้]

   “น่ารำคาญจริงๆ เลยว่ะ เออๆ เดี๋ยวอาบน้ำก่อน จะไปกินร้านไหนอ่ะ” จริงๆ ไม่ได้รำคาญหรอกครับ ผมเองก็หิวแล้วเหมือนกัน อีกอย่างมีคนอาสาเลี้ยง ก็เอาซะหน่อย ฮ่าๆ

[ไปร้าน... ก็ได้ครับ แล้วก็ไปม.พร้อมกันเลย] หลังจากบอกที่หมายเสร็จ ทาร์ตก็ยังกวนผมต่อ กว่าจะวางสายได้ก็เสียเวลาไปกว่าสิบห้านาที แล้วบอกว่าให้ผมรีบๆ ด้วยเพราะมันหิวมาก เดี๋ยวเจอจะจับเอาข้าวยัดปาก!

   ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็มาถึงที่ร้าน... มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดาๆ ครับ แต่อร่อยอยู่นะ อยู่ติดๆ กับคอนโดฯ ที่โดนัทอยู่เลยครับ ซึ่งไม่ไกลจากหอของผมมากนัก นั่งวินมอเตอร์ไซด์มา 20 บาทก็ถึงครับ เลยทำให้ผมเคยมาลิ้มลอง ร้านนี้ต้องก๋วยเตี๋ยวต้มยำเลยครับ รสเด็ดมาก

   “มานานยังพี่” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อทาร์ตมาจิ้มเอวผมจากด้านหลังในขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์อยู่ “ฮ่าๆ ขวัญอ่อนจัง แค่นี้ถึงกลับสะดุ้ง” ผมมองค้อนใส่เจ้าตัวที่กำลังยิ้มร่า

   “เล่นพิเรนๆ แบบนี้ใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว” ผมแหวใส่เสียงดัง แต่ทาร์ตยังคงยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันอย่างไม่สะทกสะท้าน

   “ก็รู้ไงว่าเป็นพี่เลยกล้าเล่น”

   “คราวหน้าขอให้เล่นผิดคนอีก แล้วโดนต่อย!” ผมเบ้ปากก่อนจะเชิดหน้าใส่อย่างหมั่นไส้

   “โหดจริงอะไรจริง” ทาร์ตทำหน้าทะเล้นล้อเลียน

   “แล้วนี่มายังไง” ผมหันไปถามทาร์ตที่ยังคงนั่งยิ้มกว้างแบบกวนๆ มองผมอยู่

   “เดินมา”

   “อยู่แถวนี้หรอ”

   “อยู่คอนโดฯ... นี่เองครับ อยู่ติดร้านนิดเดียวเอง” มันอยู่คอนโดฯ เดียวกับโดนัทเลยครับ

   “อ้าว แล้วตอนนั้นจะนั่งรถเลยไปส่งที่หอทำไม ทั้งที่คอนโดฯ ตัวเองก็ถึงก่อน”

   “ผมกลัวพี่ทำอะไรคนขับแท็กซี่ครับเลยนั่งไปส่งเป็นเพื่อนลุงเขา”

   “ไอ้ $#%##@$%” ผมด่าเป็นชุดเลยครับ

   “ล้อเล่น แหม สาดกระสุนใส่ผมกระจุยเลย ดูดิ๊ คนมองทั้งร้านแล้ว” ทาร์ตหัวเราะอย่างสะใจ ผมเหลือบตามองรอบๆ ร้าน เห็นบอกคนหันมามองพวกผมด้วย ไอ้บ้าเอ๊ย! เสียภาพพจน์หมด

   “เฮียครับ เอาเส้นเล็กหมูแดงต้มยำพิเศษครับ พี่เอาไร” ทาร์ตตัดบทด้วยการเรียกเฮียเจ้าของร้านที่เพิ่งเก็บเงินโต๊ะใกล้ๆ มาสั่งอาหาร

   “ผมเอาบะหมี่หมูแดงต้มยำ ไม่ใส่กุ้งแห้งครับ แล้วก็น้ำเก็กฮวยครับ” ผมหันไปสั่งเฮียที่ยืนพุงพุ้ยรอรับออเดอร์อยู่

   “ผมเอาน้ำเปล่าครับ” เมื่อรับออเดอร์ครบ เฮียแกก็เดินกลับไป

   “พี่ไม่กินกุ้งแห้งหรอ” แล้วทาร์ตก็หันมาถามผมครับ ขณะที่ผมกำลังจะหยิบมือถือมาเล่นต่อ เลยทำให้ผมต้องวางมันลงกับโต๊ะเช่นเดิม

   “ไม่กินอ่ะ ไม่ชอบรสชาติของกุ้ง มันยังไงไม่รู้อ่ะ กลิ่นมันแปลกๆ แต่เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ก็เคยชอบกินนะ แต่พอโตมาก็ไม่กินแล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ฮ่าๆ” ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกันเวลามีคนถามว่าทำไมผมถึงไม่กินกุ้ง ผมแพ้หรือเปล่า บอกได้เลยครับว่าผมไม่ได้แพ้กุ้ง แต่จะมีบางครับที่กินแล้วปากจะเจ่อบวมเล็กน้อย แต่ไม่บ่อยครับ ผมสามารถกินได้นะ แต่ผมไม่ชอบ ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงดีกว่า

   “ฮาๆ พี่นี่ก็แปลกดีเนอะ จากเคยชอบ พอเวลาผ่านไปกลับเลิกชอบแบบหาสาเหตุไม่ได้ซะงั้น”

   “มันคงเบื่อล่ะมั้ง เลยกลายเป็นไม่ชอบไปในที่สุด” ผมตอบกลับขำๆ

**********__________**********

   “แล้วนี่พี่มีเรียนกี่โมง ทำไมต้องรีบขนาดนี้เนี่ย” หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวแบบเพลินไปหน่อย เก็ทโทรเข้ามาบอกจะเข้ามารับ ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือแทบจะพุ่งตัวออกจากร้านทันที

   “เรียนบ่ายอ่ะดิ วันนี้มีเทสต์ย่อยด้วย สายไม่ได้” ผมรีบจ่ายตังค์แบบลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าทาร์ตมันจะเลี้ยง ดันกลายเป็นผมที่เลี้ยงเอง แล้วคว้าแขนทาร์ตให้วิ่งตามผมออกมาเรียกแท็กซี่ทันที ส่วนเก็ทผมบอกแล้วว่าจะไปเอง มันก็ไม่ถามผมต่อครับ ก็วางสายไป

   “ฮ่าๆ ทันอยู่แล้วพี่ นี่ยังไม่เที่ยงครึ่งเลย”

   “ไม่ต้องมาหัวเราะเลย เพราะใครล่ะ กวนอยู่ได้ กินเสร็จช้าเลยเห็นไหม” ผมหันค้อนใส่ทาร์ตอีกครั้งหลังจากที่วิ่งออกจากร้านมารอแท็กซี่

   “ก็ใครมาแย่งหมูแดงผมกินก่อนล่ะ”

   “ไม่ได้แย่งเว้ย ก็สั่งพิเศษมันเยอะกว่า เลยขอแบ่งเฉยๆ นี่กูเป็นคนจ่ายนะเว้ย” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ครับ ฮ่าๆ ผมแย่งหมูแดงมันกินจริงๆ ครับ ของมันสั่งพิเศษเยอะมาก ส่วนของผมธรรมดา ก็เยอะนะครับ ผมกินเส้นไม่หมดด้วย แต่หมูนี่หมดเกลี้ยง

   “โห้ คนเรา เป็นรุ่นพี่แท้ๆ ไม่รู้จักเสียสละ” ทาร์ตทำหน้าน่าสงสาร แต่ผมว่ามันน่าถีบมากกว่า แล้วมันก็กวักมือเรียกแท็กซี่ครับ “แท็กซี่มาแล้วพี่ ไปกัน”

   ประมาณ 20 นาทีผมก็มาถึงมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าผมให้แท็กซี่เข้าไปส่งถึงหน้าตึกคณะเลย ส่วนทาร์ตให้มันเดินไปคณะเองครับ หมั่นไส้!

   “เห็นไหม บอกแล้วว่ายังไงก็ทัน” ทันทีที่ลงจากรถ ทาร์ตก็ยิ้มมุมปากพร้อมยักคิ้วเท่ๆ เหมือนโชว์ว่าตัวเองเก่งที่คาดเดาไว้ถูกต้อง

   “โชคดีที่รถไม่ติดหรอก กลับคณะเองแล้วกันนะ” ผมว่าพลางแลบลิ้น

   “อ้าวฟร๊องก์! แล้วไม่ได้มากับเก็ทเหรอ” เสียงดิวดังขึ้นจากด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าในตึก

   “ฮั่นแน่ๆ มีหนุ่มมาส่งด้วยเว้ย” ฟาร์มหมาประจำกลุ่มมาแล้วครับ นุ่นเปิดปากแซวทันที

   “เพื่อนพี่ฟร๊องก์เหรอครับ สวัสดีครับพี่ๆ” ทาร์ตส่งยิ้มประจำตัวก่อนจะยกมือไหว้ดิว แก้ว นุ่นและป๊อปอายอย่างนอบน้อม ไม่ค่อยจะประจบเลย ทีกับผมนี่กวนเอาๆ

   “รุ่นน้องด้วยว่ะมึง” ป๊อปอายเสริมทัพทันที ส่วนแก้วกับดิวนี่ยืนจับมือยิ้มหวานเป็นกำลังใจให้ผมมากเลยครับ

   “อะไรของพวกมึงเนี่ย แค่น้องที่รู้จักเว้ย” ผมแก้ตัว ก็แค่รุ่นน้องที่รู้จักจริงๆ นี่ครับไม่ได้มีอะไรอย่างที่พวกมันคิดกัน

   “น้องที่รู้จัก แล้วทำไมพวกกูไม่เคยเห็นกันเลยวะ ไปรู้จักกันได้ไง” นุ่นยังคงซักไซร้

   “ทำไม มึงต้องรู้จักทุกคนที่กูรู้จักหรือไง” ผมถามเสียงเข้มแต่กวนๆ กลับไป พร้อมยักคิ้วกวนๆ ให้อีกด้วย

   “อ้าว ทาร์ต มาคณะพี่ทำไม” เสียงโดนัทดังขัดขึ้น พร้อมกับเก็ทและไวน์ที่เดินมาพร้อมกัน

   “น้องทาร์ตสุดหล่อของพี่” ไวน์เสียงแหลมวิ่งตรงมาเกาะแขนทาร์ตทันที ผมล่ะอยากให้ผัวมันมาเห็นภาพตอนนี้จริงๆ เลย ไม่ค่อยจะแรดเท่าไร ว่าแต่สองคนนี้รู้จักทาร์ตได้ไง เห็นมีเฟซบุ๊ก แต่ไม่คิดว่าจะดูสนิทกันขนาดนี้

   “นี่มึงสองคนรู้จักทาร์ตด้วยเหรอ” ผมถามอย่างงงๆ

   “รู้สิ ก็มันเป็น ‘น้องชาย’ กู” โดนัทตอบเล่นเอาผมอึ้งเลย “ว่าแต่มึงเถอะ รู้จักกับน้องกูได้ไง”

   “เอ่อ... เรื่องมันยาว รีบไปสอบเถอะมึง เดี๋ยวไม่ทันนะ” ผมว่าก่อนจะรีบหันหนีแล้ววิ่งขึ้นตึกไปทันที

   “ไม่ต้องเลย...” เสียงพวกนั้นตะโกนตามหลังผมมาแต่ผมไม่สนใจแล้วครับ ชิ่งก่อนดีกว่า ถึงผมกับทาร์ตจะไม่ได้มีหรือเป็นอะไรที่ลึกซึ้งก็เถอะ แต่เชื่อสิ ปากแต่ละคนน่ะ สามารถสร้างเรื่องได้ทั้งนั้นแหละ


à suivre...

ตอนนี้ยกให้ทาร์ตเลย จะใช่คนที่เข้ามาทำให้ใจของฟร๊องก์เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่านะ

เชียร์ใครดีนะ

กด 1 เลือก ปาร์ค
กด 2 เลือก เก็ท
กด 3 เลือก ทาร์ต
กด 4 หาคนใหม่
หรือกด 5 อยู่คนเดียวไปเถอะฟร๊องก์
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 11 P.2 [14/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 14-05-2017 22:19:33
คือถ้าเป็นเราอ่ะนะ เราชอบ คนแบบเก็ท ซึ่งได้แค่ชอบแต่จะให้ถึงขั้นแย่งเขามา เราก็คงกลายเป็น อิคนบาป2017  555  :laugh:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 11 P.2 [14/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 14-05-2017 22:48:59
มายกมือว่าเป็นนักอ่านดั้งเดิมเรื่องนี้อีกคนครับ (หัวเราะ) ยังไงก็รอติดตามครับ เรื่องนี้สนุกเลย ไว้เดี๋ยวถึงตอนพีคๆจะกลับมา edit ให้ความเห็นครับผม

Ultimately, every story have it own unfolding. It is intriguing to see how this one shall do.

+ 8 มิ.ย. 60 + (ถึงตอนที่ 21)

ไม่รู้มีใครเคยบอกไหม แต่ปกติ ผู้ชายจะไม่ยีหัวคนที่เขาไม่เอ็นดูนะครับ (หัวเราะ) เก็ทนี่ผมว่าคาแรกเตอร์เข้าวินพระเอกมากเลยนะครับ เสียแต่มีแฟนแล้วเนี่ยละสิ เท่าที่ผมมอง ผมว่าเก็ทมีความรู้สึกต่อฟร็องก์นะครับ มากน้อยเท่าไหร่ไม่รู้ แต่มีแน่ และผมชอบเขาเพราะคาแรกเตอร์เขาเท่มาก นอกเหนือจากรูปลักษณ์เป็นลูกครึ่งอาหรับที่ทางกายภาพก็เปิดตัวมาว่าเท่กว่าปาร์ค (ซึ่งผมเดาจากทอล์ค ปาร์คคงจะเป็นพระเอก...) และเป็นคนเงียบๆขรึมๆไม่พูดมาก เลยทำให้ผมมองว่าการกระทำเขาค่อนข้างตีความยาก คือมันไม่ชัดเจนแต่ก็ตามสไตล์นิสัยคนเงียบๆแบบเก็ทอยู่แล้ว ทำให้เวลามีโมเมนท์นี่เราก็ลุ้น แต่จะเชียร์ก็เชียร์ได้ไม่สุดเพราะความไม่ชัดเจนแบบขรึมๆของเก็ท อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวละครตัวนี้มีความน่าสนใจมากครับ

ส่วนปาร์คนี่ก็ดูเหยียบเรือสองแคมดีนะครับ (หัวเราะ) ปาร์คนี่ผมว่ามีปัญหาตรงที่ว่าช่วงแรกที่ฟร็องก์แอบแทะเล็มเล็กๆน้อยๆตอนหลับ ปาร์คดูมีปฏิกิริยาตอบรับแรงมากครับ แต่พอกลับมาแล้วดูจะเล่นหยอกเล่นหยอกเอิน รวมถึงมีการคบหญิงซ้อนไปด้วย มันดูเหมือนจะสื่อว่าปาร์คมองว่าการอยู่กับฟร็องก์เหมือนกับการมีกิ๊กในสถานะเพื่อน เพราะถ้าได้จ้ำจี้กับฟร็องก์ มันคงจะทำให้ปาร์คได้ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศด้วย และฟร็องก์เองก็คงไม่ปฏิเสธ แนวคิดนี้มันก็เป็นพื้นฐานผู้ชายดีอยู่หรอกนะครับ เสียแต่ว่ามันทำร้ายจิตใจฟร็องก์น่ะสิ เพราะแนวคิดนี้มันไม่ได้สื่อว่าปาร์คจะต้องมา ‘รัก’ ฟร็องก์เลย อาจจะมีความรู้สึกดีๆให้ แต่พอปาร์คมีแฟน ความรู้สึกของปาร์คมันก็ต้องทุ่มไปให้แฟนมากกว่ากิ๊กในสถานะเพื่อนอยู่แล้ว เลยทำให้ฟร็องก์ถ้าจะมีแฟนจริงๆ อาจจะไม่เหมาะกับปาร์คสักเท่าไหร่
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 12 P.2 [16/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 16-05-2017 19:54:17
Chapitre 12

   หลังจากที่ทุกคนได้เจอผมมากับทาร์ต แน่นอนว่ามันกลายเป็นประเด็นเด็ดประเด็นร้อนประจำกลุ่มไปในบัดดล ผมที่อุตส่าห์หนีรอดไปในตอนแรก แต่หลังจากสอบเสร็จนั่นคงไม่ต้องเล่านะครับว่าเจอกับความโหดร้ายของเพื่อนแต่ละคนขนาดไหน คิดดูสิ แม้แต่แก้วที่ยิ้มๆ ขำๆ อย่างสุภาพ แต่เจอคำพูดเธอทีเดียว ผมนี่จุกเลยครับ

   ทุกคนเค้นเรื่องราวจากผมแบบหมดเปลือก ตอนแรกผมก็พยายามบอกว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ แต่ไม่มีใครเชื่อผมเลยครับ ยิ่งโดนัทนะ เสริมเข้ามาอีกประมาณว่า ‘ถึงว่าหมู่นี้เห็นเจ้าทาร์ตมันคุยโทรศัพท์ แล้วยิ้ม หัวเราะบ่อยๆ นึกว่าคุยกับใคร’ แค่นั้นล่ะครับ ผมนี่โดนยิ่งคำถามรัวอย่างกับกระสุนปืนเอ็มสิบหก

   แต่ผมก็เล่าแค่คร่าวๆ นะครับ ก็บอกแค่ว่าเจอกันได้ไง อะไรประมาณนั้น ส่วนเรื่องโทรคุยกัน ผมก็บอกเลี่ยงๆ ว่าไม่ได้คุยกันบ่อย แล้วก็ยืนยันว่าผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยจริงๆ ก็แค่รุ่นพี่รุ่นน้องจริงๆ นี่ครับ

   “เออ นี่รู้กันยังว่าเสาร์หน้าจะมีกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างคณะนะ สงสัยมหา’ลัยงบเหลือ” ป๊อปอายพูดเปลี่ยนประเด็ดออกจากเรื่องของผมหลังจากที่เลิกเรียนตอนเย็น

   “พวกเราต้องเข้าร่วมด้วยเหรอ ไม่ใช่เฉพาะปีหนึ่งเหรอ” แก้วถามเสียงหวาน

   “เหมือนเขาบังคับปีหนึ่งกับปีสองนะ ได้หน่วยกิจกรรม แล้วก็เหมือนเป็นการกระชับมิตรระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องอ่ะ เพิ่งมีปีนี้ปีแรก คณะเราคู่กับนิเทศฯ ต้องเข้าฐานและทำกิจกรรมร่วมกัน” ป๊อปอายว่าต่อ “งานนี้เหมือนจะเป็นงานใหญ่มากเลย แต่ทำไมดูไม่มีใครเตรียมตัวอะไรเลยก็ไม่รู้”

   “เห็นพวกพี่ปีสามเข้าทำฐานกันอยู่นะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของกิจกรรมอันนี้หรือเปล่า คงใช่แล้วแหละถ้างั้น” โดนัทเสริมต่อ ทำไมพวกนี้ข้อมูลเยอะกันจัง ผมนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย อย่างว่าแหละครับ ผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจอะไรมากอยู่แล้ว ไปมหาวิทยาลัยก็อยู่แต่กับเพื่อนๆ พวกนี้ ไม่ค่อยรู้จักหรือเป็นที่รู้จักของใคร

   “แล้วพวกเราต้องทำอะไรไหม หมายถึงปีสองอ่ะ” นุ่นถามต่อ

   “ก็ไม่เห็นมีใครมาบอกอะไรเลยนิ คงไม่ต้องมั้ง ขี้เกียจมาด้วย เอาจริงๆ” ผมว่า อยากกลับบ้านนี่ครับ ถึงจะกลับทุกอาทิตย์ก็เถอะ วันเสาร์ทั้งทียังต้องมาทำกิจกรรมอีก

   “สนุกๆ ไงแก ได้เหร่หนุ่มๆ ด้วยนะ” ไวน์แสดงท่าทางดีดดิ้น ดูท่าทางดีใจจนเนื้อเต้น ไม่ใช่ประเด็นว่าจะได้ทำกิจกรรมหรอกครับ แต่คงเป็นเรื่องได้เหร่ผู้ชายมากกว่า

   “แกจะได้เจอกับน้องทาร์ตยิ้มหวานของมึงด้วยไงฟร๊องก์” วกกลับมาประเด็นเดิมจนได้ครับ เออ... นั่นสิ ผมก็ลืมไปเลยว่าทาร์ตมันเรียนนิเทศฯ

   “ไม่เกี่ยวกันเลย กลับกันเถอะ” ผมตัดบทแล้วลากเก็ทที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์เงียบๆ กับดิวให้ลุกกลับทันที

   “แหม รีบอ้อนผัวพาหนีเชียวนะมึง ระวังโดนซ้อมล่ะ วันนี้จับชู้ได้ต่อหน้าต่อตา ดูสิเงียบทั้งวันเลย” นุ่นเจ้าเดิมยังไม่ยอมจบครับ

   “สงสารกูบ้างเถอะ กูไม่มีแรงจะสู้รบปรบมือกับพวกมึงแล้ว กูโดนมาทั้งวันแล้ว พวกมึงก็แม้งยัดข้อหาให้กูอยู่นั่นล่ะ บอกไม่มีอะไรๆ ห่า” ผมว่าเสียงเข้ม ไม่ได้โกรธหรอกครับ แต่แกล้งทำเป็นเคือง เพราะอยากให้พวกมันจบประเด็นสักที ผมไม่มีพื้นที่จะให้พวกมายิงแล้วครับ

   “โอเค กูเข้าใจเว้ย ต่อหน้าผัวมึงก็ต้องบอกอยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน เอาเป็นว่าพวกกูเข้าใจมึงนะ ผัวเก็ทของมึงเผลอเมื่อไหร่ เดี๋ยวพวกกูช่วยดันผัวน้อยของมึงด้วยแล้วกัน ฮ่าๆๆ ไปๆ กลับพวกเรา ให้ผัวเมียคู่นี้ได้มีเวลาเคลียร์กัน” จบครับ จบเลยชีวิตผม ระเบิดลูกสุดท้ายเล่นผมซะน็อคเลย

   ในที่สุดก็พากันกลับครับ ในรถโดนัทกับไวน์ก็แนะนำสรรพคุณของทาร์ตอย่างโน้นอย่างนี้ นี่โดนัทไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ ถ้าสมมติน้องชายของตัวเองเป็นเกย์ เชียร์กันซะขนาดนี้ ผมกับเก็ทต้องนั่งฟังทั้งคู่จนไปส่งทั้งสองคนตามที่หมายล่ะครับ รถถึงกลับเข้าสู่ความเงียบ

   “ชอบเด็กคนนั้นเหรอ” อยู่ๆ เก็ทก็ถามขึ้นมา เป็นประโยคแรกของวันเลยมั้งครับที่เก็ทเอ่ยปากคุยกับผม เห็นวันนี้เก็ทดูเงียบๆ นั่งกดโทรศัพท์อยู่ทั้งวันเลย

   “เปล่า ก็แค่พี่น้องกัน” ผมตอบไปตามความจริงครับ เพราะผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆ ส่วนตัวน้องเขาผมไม่รู้

   “อืม ว่าไปน้องมันก็ดูโอเคนะ ไม่ลองเปิดใจดูหน่อย” ผมหันไปมองเก็ทที่พูดโดยที่สายตายังมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างสงสัย

   “หื้ม... ไม่น่าเชื่อว่าคุณเก็ทจะเอ่ยปากชมคนอื่น” ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วยิ้มล้อเลียน

   “ไม่ได้ชม แค่พูดตามที่เห็น เด็กนั่นมันดูซื่อๆ ดี” เก็ทว่าต่อพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งมาดันหัวผมให้ถอยห่างออกมา

   “ไม่รู้ดิ น้องก็น่ารักดีนะ ฟร๊องก์เองก็ชอบรอยยิ้มน้องเขานะ รอยยิ้มน้องดูจริงใจ เห็นแล้วเหมือนมันเปลี่ยนโลกรอบข้างให้ดูสดใส แต่ความรู้สึกฟร๊องก์ยังติดอยู่ที่... คนนั้น” ผมพูดในโหมดจริงจังขึ้น พลางเหมอมองออกไปนอกกระจก ใจผมยังคงคิดถึงปาร์คตลอดครับ ปาร์คยังคงเป็นรักเดียวของผม ถึงจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

   เก็ทเป็นคนเดียวที่ผมกล้าพูด กล้าเล่า และเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวของผมมากที่สุด ยิ่งหลังจากตอนที่ผมป่วย แล้วเก็ทเป็นคนไปดูแลผม ผมยิ่งรู้สึกว่าเก็ทอบอุ่น และเชื่อใจได้ เก็ทสามารถเป็นที่พึ่ง ที่ปรึกษา และเป็นเพื่อนที่ดีได้ในเวลาเดียวกัน

   “อยู่ที่ตัวฟร๊องก์ แต่เก็ทก็อยากให้ฟร๊องก์ลองมองคนรอบข้าง ลองเปิดใจดูบ้าง เผื่อบางทีฟร๊องก์อาจจะก้าวออกมาจากจุดที่ฟร๊องก์เป็นอยู่ก็ได้” ต่อหน้าคนอื่นเก็ทอาจจะดูเงียบๆ ดูเย็นชานะครับ แต่เมื่อยามที่เพื่อนมีปัญหา เก็ทเป็นอีกคนที่จะคอยอยู่ข้างๆ ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจที่ดีๆ เสมอ

   “อืม ให้มันเป็นไปตามทางของมันล่ะกัน” ผมคงเป็นคนที่ดื้อมากนะครับ รับฟังแต่ไม่ค่อยปฏิบัติตาม ไม่มีใครเป็นผม ไม่มีใครเข้าใจหรอกครับ การที่เรารักใครสักคน มันยากมากนะครับที่จะหยุดรัก และปันความรักไปให้คนอื่น

   แล้วผมก็มาถึงหอครับ หลังจากประโยคของผม ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก เก็ทเคารพการตัดสินใจของทุกคน และเราสองคนก็เหมือนกันตรงที่จะไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของกันและกันมากเกินไป อาจเป็นเพราะแบบนี้ที่ทำให้ผมเลือกที่จะพูดอะไรหลายๆ อย่างกับเก็ท

**********__________**********

   กิจกรรมมหาวิทยาลัย

   และแล้ววันเสาร์ที่มีกิจกรรมก็มาถึง จริงๆ ตอนแรกผมไม่ได้อยากมานักหรอกครับ แต่ทาร์ตสิครับ บอกให้ผมไปให้ได้ เพราะคณะเราต้องทำกิจกรรมด้วยกัน แถมเพื่อนแต่ละคนก็เชียร์กันสุดฤทธิ์ บอกให้ผมสานความสัมพันธ์ คือถามตัวผมกับทาร์ตก่อนไหม

   กิจกรรมวันนี้คล้ายกับการรับน้องเลยครับ แต่แค่เป็นการจับคู่ระหว่างปีหนึ่ง ปีสองจากต่างคณะ ซึ่งจะเป็นคู่คณะที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดมา ซึ่งแน่นอนว่าผมได้คู่กับทาร์ต เพราะเป็นคนเดียวที่ผมรู้จักในคณะนิเทศฯ แถมกองเชียร์ก็ยังเชียร์กันเสียงดัง จนสุดท้ายคู่ของผมต้องกลายเป็นคิงและควีนจำเป็นของกลุ่มไปโดยปริยาย

   ผมนี่อายจนแทบทำอะไรไม่ถูกเลยครับ ส่วนทาร์ตนี้ยังดูชิลล์มาก ยังคงยืนโชว์ยิ้มโชว์เหล็กดัดฟันอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

   การทำกิจกรรม พวกปีหนึ่งที่จับคู่ปีสองอย่างพวกผมจะต้องเวียนไปตามฐานของแต่ละคณะไปเรื่อยๆ ครับ เกณฑ์กับจับคู่คณะก็คือ เลือกเอาคณะที่อยู่ใกล้ๆ กันที่สุดมาคู่กันครับ เพราะเวลาทำฐานกิจกรรม จะได้ร่วมกันจัดเป็นฐานเดียว โดยคนที่จัดฐานหลักๆ คือปีสาม แต่ในวันนี้มีปีสี่บางส่วนมาร่วมทำกิจกรรมด้วย คือมาเป็นคนช่วยแกล้งน้องๆ ด้วยนั่นล่ะครับ

   ฐานแรกที่พวกผมต้องไป คือฐานของคณะศึกษาศาสตร์กับจิตรกรรมครับ ไปถึงก็โดนต้อนรับก่อนเลยครับ ด้วยมัดผม และป้ายสีที่หน้า แน่นอนคิงและควีนอย่างผมและทาร์ตโดนหนักเป็นพิเศษ แต่ผมถึงกับหัวเราะลั่นเมื่อมีพี่คนหนึ่งเอามะเขือยาวผูกกับเชือก แล้วมาผูกไว้ที่เอวของทาร์ต โดยให้มะเขือยาวห้อยลงมาตรงหว่างขา

   ฐานนี้เหมือนจะไม่มีอะไรมากนะครับ แต่พอเล่นจริงๆ แล้วเหนื่อยมาก เกมก็คือให้ผลัดกันแบกคู่ของตัวเองวิ่งขึ้นลงอัฒจรรย์ เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนสุดก็ต้องเป่าลูกโป่งทั้งที่ยังแบกอีกคนอยู่ แล้วขากลับต้องสลับกับคนแบก แล้วต้องใช้ลำตัวของทั้งคู่พยุงลูกโป่งกลับลงมาด้านล่างโดยห้ามหล่น เพราะถ้าหล่นต้องกลับขึ้นไปเริ่มใหม่จากด้านบน

   โดยในกลุ่มจะแบ่งทีมเป็น 5 ทีม แข่งกันรอบละ 5 คู่ ทีมไหนทำครบทุกคู่ก่อนเป็นทีมที่ชนะ สองทีมสุดท้ายที่แพ้ต้องโดนทำโทษ ขาขึ้นผมเป็นคนแบกทาร์ตขึ้นหลังครับ หนักมาก ก้าวไม่ไปกันเลยทีเดียว แถมยังต้านแรงโน้มถ่วงของโลกอีกต่างหาก แต่อย่างก็ยังดีที่คู่ผมไม่ได้เป็นคู่สุดท้ายที่ขึ้นไปถึงด้านบนของอัฒจรรย์ จากนั้นผมก็รีบหยิบลูกโป่งมาเป่าทันที แต่เป่าเท่าไรมันก็ไม่ใหญ่ครับ เพราะผมเหนื่อยและหนักมาก จนในที่สุดทาร์ตต้องแย่งลูกโป่งจากมือผมไปเป่าแทน และผมก็ต้องเปลี่ยนไปขี่หลังทาร์ต ซึ่งตัวทาร์ตคงสบายๆ มาก แต่ความยากคือมือทาร์ตก็ต้องจับขาผมเพื่อให้ผมตก มือผมก็ต้องเกาะไหล่ทาร์ตเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเช่นกัน ปัญหาคือเจ้าลูกโป่งเนี่ยล่ะ มันหล่นหลายรอบมาก จนสุดท้ายทีมผมก็เป็นทีมสุดท้ายที่ทำเสร็จ

   บทลงโทษไม่หนักหนามากครับ แค่... ให้เต้นท่าเซ็กซี่ที่สุดกับคู่ของตัวเอง โดยที่คิงและควีนอย่างคู่ผม ต้องไปเต้นข้างบนอัฒจรรย์ ซึ่งคณะอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ มองเห็นครับ ไม่ค่อยหนักเท่าไรเลย บทลงโทษ ทุกคนก็หัวเราะชอบใจกันมาก ทาร์ตเองก็หัวเราะไปกับเขาด้วย มันดูไม่ซีเรียสกับอะไรเลย แต่ผมนี่สิ อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยิ่งอีตอนเต้นนะ เสียงเชียร์ เสียงดูดปากเหมือนนกหวีดดังมาก เพราะผมได้สิทธิพิเศษได้เต้นเป็นคู่สุดท้าย ถือเป็นการปิดฟลอร์ อายมากครับ นี่ขนาดแค่ฐานแรกนะ

   “เป็นไงบ้างพี่ เหนื่อยไหม” ทาร์ตถามขณะที่พวกเรากำลังเดินไปยังฐานสุดท้ายของคณะวิศวกรรมศาสตร์และนิติศาสตร์ ซึ่งเป็นฐานที่กวนที่สุดแล้ว เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ถึงจะมีผู้หญิงก็ค่อนข้างห้าวและห่าม

   “เหนื่อยดิ ร้อนด้วยเนี่ย อยากกลับไปอาบน้ำนอนล่ะ” ผมบ่นอย่างอิดออด อากาศร้อนมากครับ แล้วกิจกรรมแต่ละฐานที่ผ่านมาก็หนักๆ ทั้งนั้น

   “น้องๆ มากันแล้วคร้าบบบ” เสียงโห่ร้อง ไม่รู้โห่รับหรือโห่ไล่ของพวกรุ่นพี่ประจำฐานก็ดังขึ้นทันที

   “ไหนใครเป็นคิง เป็นควีนประจำกลุ่มนี้ มาจากคณะไรกัน” พี่ผู้ชาย (หน้าตาดี) อีกคนเดินออกมาถาม ไวน์ผลักผมออกไปทันทีเลยครับ ดูมันทำกับเพื่อน

   “ว้าว! ‘คิงกับควีน’ กลุ่มนี้สมชื่อจริงๆ ฮ่าๆ” ผมรู้ความหมายดีครับ คงไม่ต้องอธิบาย

   “ฐานพวกพี่เล่นง่ายๆ ครับ พวกพี่รู้ว่าน้องๆ เหนื่อยกันแล้ว เลยมีของกินมาเสิร์ฟให้ จับคู่กันไว้แล้วใช่ไหม” เสียงพี่ผู้ชายคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

   “ใช่ครับ/ค่ะ” ทุกคนตอบพร้อมเพรียง

   “แต่กติกามีอยู่ว่า พวกน้องต้องแบ่งคนเป็นสามทีมหลักๆ ก่อน เพื่อแข่งเกมกับพวกพี่สามรอบ ใครชนะสองเกมก่อนเป็นฝ่ายชนะ ถ้าน้องๆ ชนะพี่ถึงจะมีน้ำ มีขนมอร่อยๆ ให้กิน เกมก็คือคล้ายกับลิงชิงบอล แต่เราจะใช้ลูกบอลเป็นอาวุธในการขว้างใส่ทีมของผู้ต่อสู้ ถ้าใครถูกปาลูกบอลใส่จะต้องตกเป็นเชลยของทีมคู่แข่ง ทีมไหนถูกจับเป็นเชลยหมดก่อนก็ถือว่าแพ้” พี่คนเดิมอธิบายวิธีการและกติกาการเล่นเกมคร่าวๆ ก่อนจะแบ่งให้พวกผมจับกลุ่มกันเป็นสามทีม

   ฐานนี้เป็นเกมที่สนุกมาก แบ่งข้างโดยใช้ถนนในมหาวิทยาลัยแล้วกั้นเขต ห้ามวิ่งหนีเกินเขตแดนของทีมตัวเอง แต่เวลาแย่งลูกบอล สามารถวิ่งข้ามเขตของกันและกันได้ แต่ถ้าข้ามไปแล้วต้องมั่นใจว่าจะไม่โดนลูกบอลปาใส่ ไอ้ผมนี่โดนปาไปคนแรกๆ เลยครับ ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าพวกพี่เขาจ้องจะปาผมอย่างเดียวเลย ผมวิ่งหนีไปทางไหนก็โดนเขวี้ยงลูกบอลตาม แต่แรกๆ ทาร์ตเข้ามาช่วยป้องกันให้ ถ้าปาลูกบอลมาแล้วอีกทีมรับได้ ถือว่าไม่ตายครับ สามารถใช้เป็นอาวุธต่อได้เลย แต่ถ้าโดนปาแล้วรับไม่ได้ถือว่าตาย หนีไปหนีมาสุดท้ายผมก็โดนปาใส่จนได้ โดยพี่หน้ากวนที่ส่งเสียงโห่ดังลั่นตั้งแต่เข้าฐาน แถมยังยักคิ้วกวนๆ ให้ผมอีกต่างหาก

   เกมทั้งสามรอบกินระยะเวลานานพอสมควร เพราะถือเป็นฐานสุดท้ายแล้ว แต่ละคณะจะเต็มที่กับกิจกรรมมากๆ สรุปคือพวกผมชนะไปในรอบแรก แต่แพ้รวดในสองรอบหลัง พวกพี่เขาเล่นกันเก่งมากๆ แถมยังโหดมากๆ อีก ขว้างบอลมาทีแรงมาก สรุปพวกผมไม่ได้ของรางวัลคือพวกน้ำหวานและขนมครับ แต่ก็แกล้งทำเป็นเสียดายกันอะไรแบบนี้ จะได้ดูมีส่วนร่วมกับกิจกรรมหน่อย ไม่ใช่เล่นไปส่งๆ

   “อยากกินขนมกันไหม” พี่คนหนึ่งถามขึ้นมา

   “อยากคร้าบบบ/ค้าาา”

   “โอเค พวกพี่ใจดี จะให้กินแล้วกัน” พี่คนนั้นพูด พลางยิ้มอย่างมีเลศนัย ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ กับรอยยิ้มนั้นไม่รู้ทำไม

   “เย้ๆๆ” เสียงดีใจคนทุกคนก็ดังขึ้น

   “แต่เราต้องให้เกียรติคิงกับควีนของกลุ่มได้กินก่อนนะ เชิญคิงกับควีนพะยะค่ะ” พี่คนนั้นทำท่าผายมือเชิญผมกับทาร์ตให้ออกไปยืนด้านหน้า พร้อมกับพวกพี่คนอื่นๆ รวมถึงลูกทีมของผมก็ต้องเฮ ปรบมือตามๆ กัน กูว่าแล้วว่ามันจะต้องมีอะไรแน่ๆ

   “ท่าทางคิงกับควีนจะเหนื่อยมากนะ งั้นพี่เอาขนมให้เนอะ” พี่เขาว่าก่อนที่เพื่อนเขาจะหยิบปลาสวรรค์ทาโร่เส้นยาวๆ ส่งมาให้จำนวนหนึ่งเส้น “นี่ครับขนม แต่เป็นคิงกับควีนจะต้องกินแบบพิเศษๆ หน่อย ต้องสวีทหวานกันนิดหนึ่ง”

   “เอ่อ... พี่ผมไม่ได้กินก็ได้นะ ซื้อกินเองก็ได้” ผมพูด เหงื่อตกเลยครับ วิธีกินมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

   “^o^” ส่วนทาร์ตนี่ยิ้มร่าเชียวครับ

   “ถ้าควีนไม่กิน เพื่อนๆ คนอื่นก็อดกินด้วยนะครับ เพื่อนๆ ยอมเหรอ”

   “ไม่เอา พี่/มึง/ฟร๊องก์/นาย กินดิๆๆ” โอ้โห้ เสียงเชียร์ไม่เกรงใจและไม่เห็นใจกูเลยครับพวกมึง

   “เออๆ กูเล่นก็ได้ พวกเห็นแก่กิน” ผมหันกลับไปแหวใส่แบบงอนๆ รู้จักไม่รู้จักช่างมันเถอะครับ ฮ่าๆ

   “เยี่ยมเลยครับ เอาล่ะ กติกาไม่ยากครับ แค่ทั้งคู่ต้องกินทาโร่เส้นนี้โดยใช้แค่ปากกัดจากปลายทั้งสองด้าน ถ้าทาโร่เหลือเกินหนึ่งเซนฯ เพื่อนๆ อดกินขนมกันนะ” Your father died! (พูดตามในวีดีโอฝรั่ง) สิ หนึ่งเซนฯ นี่ผมไม่อยากจะนึกภาพตามเลยครับ

   “ถอนตัวทันไหม” ผมบ่นกระปอดกระแปด

   “สนุกๆ นะพี่ ผมไม่จูบพี่หรอก แต่... ก็ไม่แน่” ทาร์ตเขยิบเข้ามากระซิบข้างหู ยิ่งทำให้ผมขนลุกเขาไปใหญ่ แค่เข้ามากระซิบก็ขนลุกแล้ว ยิ่งคำพูด ผมขอลืมมันไปเลยก็แล้วกัน

   “โอ๊ะๆ มีกระซิบกระซาบ วางแผนกันด้วย อย่าหวานเกินหน้าเกินตานะครับ เดี๋ยวพวกพี่อิจฉา” ทุกคนหัวเราะผมกับทาร์ตกันหมดเลยครับ ตอนนี้ใจผมเต้นแรงมาก มันทั้งตื่นเต้นและกลัวในเวลาเดียวกัน

   “เริ่มกันเลยครับ เพื่อนๆ รอกินขนมอยู่” แล้วพี่เขาก็หยิบเส้นทาโร่ส่งมาให้ผมกับทาร์ต พวกผมรับมันไว้แล้วจับที่ปลายทั้งสองด้าน ทาร์ตมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่มีเหล็กดัดฟันสีน้ำเงินเด่นอยู่ด้านหน้าแค่ประมาณหนึ่งฟุต ส่วนผมก็ก้มๆ เงยๆ ไม่กล้าสบตาครับ ผมอาย ก่อนที่จะทาร์ตจะเอาเส้นทาโร่ใส่ปาก ผมจึงต้องทำตาม ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงเฮของคนในฐานนั้น ตอนนี้ผมปิดการรับรู้รอบข้างแล้วครับ อับอายมาก

   “เริ่มเลยครับ” แล้วทาร์ตก็เริ่มขยับปากเคี้ยงเส้นทาโร่เข้ามาเรื่อยๆ ผมมองนิ่งๆ อยู่หลายวินาทีก่อนจะเริ่มกัดเส้นทาโร่ขยับเข้าไปเช่นกัน จนใบหน้าของเราสองคนขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงกรี๊ดจากรอบข้างที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

   แชะ! แชะ! แชะ!

   เสียงชัตเตอร์จากทั้งกล้อง DSLR  ทั้งกล้องโทรศัพท์มือถือดังระงมอย่างไม่หยุดแข่งกับเสียงกรี๊ดที่ดังอย่างเกรียวกราว ขณะที่ปลายจมูกของผมกับทาร์ตห่างกันแค่ไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร

   ผมหยุดตัวเองไว้ที่แค่นั้น ทาร์ตเองก็เช่นกัน ใบหน้าผมร้อนผ่าวจนไม่กล้าจะเหลือบตามขึ้นไปมองหน้าของคนตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าสีหน้าของทาร์ตจะเป็นเช่นไร เราทั้งคู่ ‘หยุด’ อยู่ที่ ‘ระยะ’ แค่นี้เนิ่นนานกว่านาที แต่แล้วก็...


à suivre...

ตอนนี้ก็ยังคงมาเพื่อทาร์ต ซึ่งจะมีลุ้นพัฒนาความสัมพันธ์รึป่าวก็... ไม่บอก 555+
และเกิดอะไรขึ้นระหว่างฟร๊องก์กับทาร์ต รอลุ้นตอนต่อไป...  :impress2:

ขอขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความเห็น และก็ทุกคนที่เข้ามาอ่านด้วยนะฮะ ชอบไม่ชอบยังไงก็คอมเม้นต์ให้กันได้เลยฮะ


คือถ้าเป็นเราอ่ะนะ เราชอบ คนแบบเก็ท ซึ่งได้แค่ชอบแต่จะให้ถึงขั้นแย่งเขามา เราก็คงกลายเป็น อิคนบาป2017  555  :laugh:
ผู้ชายอบอุ่นอ่ะเนอะ ใครๆ ก็ชอบ 55555+ ฟร๊องก์อยากเป็นคนบาป 2017 ด้วยไหม??  :hao6: :laugh:

มายกมือว่าเป็นนักอ่านดั้งเดิมเรื่องนี้อีกคนครับ (หัวเราะ) ยังไงก็รอติดตามครับ เรื่องนี้สนุกเลย ไว้เดี๋ยวถึงตอนพีคๆจะกลับมา edit ให้ความเห็นครับผม

Ultimately, every story have it own unfolding. It is intriguing to see how this one shall do.
บอกตรงๆ แอบลุ้นว่าคุณจะกลับมาอ่านอีกไหม ถ้าเอากลับมาลงอีก เพราะหายไปนานมากกกกกกก แต่ก็ต้องขอบคุณอย่างสูงที่เป็นแรงบันดาลใจเราทำการรีไรท์ใหม่ และขอบคุณมากๆ ที่วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา เป็นแนวทางและกำลังใจให้เราอย่างมากในการทำงานให้ดีขึ้น  :กอด1: (แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นจากเดิมมากหรือเปล่า 5555+) ยังไงรอลุ้นว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปยังไงนะฮะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 12 P.2 [16/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 16-05-2017 21:48:48
แบบว่า ขอข้ามตอนไปตอนฟร็องเริ่มเปิดใจให้คนอื่นบ้างไลยได้มั่ย แบบว่า สนใจ ใส่ใจ ปาร์คน้อยลงไป อยากรู้ ฝั่งปาร์ค จะเปนไง ข้ามเลย ได้มั้ย 555555555
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 12 P.2 [16/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-05-2017 22:37:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 13 [18/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 18-05-2017 19:54:31
Chapitre 13

   ผมกับทาร์ตหยุดตัวเองในระยะห่างที่เหลืออยู่น้อยนิด ใบหน้าผมร้อนผ่าวจนไม่กล้าจะเหลือบตามขึ้นไปมองหน้าของคนตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าสีหน้าของทาร์ตจะเป็นเช่นไร เราทั้งคู่ ‘หยุด’ อยู่ที่ ‘ระยะ’ แค่นี้เนิ่นนานกว่านาที แต่แล้วก็...

   พลั่ก! จุ๊บ! แชะ! แชะ! กรี๊ด!!

   เส้นทาโร่ที่เหลือเพียงเล็กน้อยร่วงหล่นลงกับพื้นเบื้องล่าง ดวงตาของคนสองคนเบิกกว้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ขณะที่ริมฝีปากของทั้งคู่กระทบกันในเสี้ยววินาที ก่อนที่ร่างทั้งสองจะผละออกจากกันด้วยความตกใจสุดขีด

   ผมยืนหอบหายใจ พร้อมดวงตาที่เบิกกว้างมองทาร์ต และหัวใจที่เต้นแรงมากๆ ด้วยความตกใจ ปนอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่ถึงนาทีก่อนหน้า ผมกับทาร์ต... ปากของเรา... สัมผัสกัน!!!

   ในช่วงนาทีที่ผมกับทาร์ตหยุดนิ่งจากการกินเส้นทาโร่ ใครสักคนมาพลักหัวเราทั้งสองคนเข้าหากัน จน... ปากเรา... ‘จุ๊บ’ กัน เสียงตื่นเต้น เสียงกรีดร้องของคนโดยรอบยังคงดังระงมอยู่ไม่ขาด รวมทั้งเสียงรัวชัตเตอร์จากรอบทิศทาง แต่ตอนนี้สมองผมกลับไม่รับรู้อะไรแล้ว ผมกำลังตกใจและไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

   ทาร์ตที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของผมในระยะห่างที่ไม่แตกต่างจากตอนเริ่มเกมนัก ยังคงยืนตาโตกับสถานการณ์เช่นเดียวกัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำพูดใดๆ

   “โอ้ว จ้องกันขนาดนี้ระวังท้องนะครับ” เสียงของรุ่นพี่ดึงผมกับทาร์ตหลุดออกจากภวังค์

   ผมหันไปมองคนอื่นๆ ที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ บางคนก็ยังอึ้งกับสิ่งที่เกิดเมื่อครู่ บางคนก็ยิ้มปนหัวเราะคิกคัก บางคนก็ทำท่าทางเหมือนกำลังอายจนตัวม้วนไปพิงคนข้างๆ แต่ผมนี่สิครับ มันมึนๆ งงๆ ไปหมด อายจนไม่กล้าสบตากับใครเลยในตอนนี้

   “เส้นทาโร่ที่เหลือมันยาวเกินหนึ่งเซนฯ นะ เท่าที่พี่กะเอาทางสายตา แต่เอาเถอะ เพราะได้เห็นอะไรที่เด็ดกว่า พวกพี่ให้น้องทุกคนกินขนมล่ะกัน ฮ่าๆ” นี่ผมต้องเสียสละตัวเองขนาดนี้เชียวรึนี่

**********__________**********

   “พี่อย่าคิดมากนะ” ทาร์ตพูดขึ้น หลังจากเสร็จกิจรรม ผมกับเพื่อนๆ ที่กลับรถคันเดียวกับเก็ทรวมทั้งทาร์ตก็ล้างหน้าล้างตาแล้วพากันย้ายร่างไปรวมตัวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างๆ คอนโดฯ ที่โดนัทอยู่เจ้าเดิมครับ

   “ไม่เลยเว้ย อย่าพูดถึงมันเลย อายว่ะ” ผมส่ายหน้าหน่ายๆ พลางยิ้มเจื่อนให้ทาร์ต ตัวผมพยายามจะไม่นึกถึงมันนะ อีกอย่างมันจะทำให้น้องเขาไม่สบายใจด้วย

   “เอาหน่ามึง กูอยากจูบน้องทาร์ตจะตาย แต่น้องเขาไม่ยอมเลย มึงน่ะโชคดีแค่ไหนแล้ว” ไวน์เสนอหน้าเข้ามาทันทีทันใดเลยครับ

   “เอ่อ...” ทาร์ตยิ้มแต่ถึงกับพูดต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

   “จูบตีนกูก่อนก็ได้นะ ถือว่าแทนปากน้องกูก็แล้วกัน” โดนัทกัดขึ้น เล่นเอาทุกคนขำกร๊ากกันระนาว

   “อี๊! ตีนสากๆ ของมึงเก็บไว้ขัดพื้นห้องน้ำเถอะจ้ะ!” นางก็ตอกกลับแรงใช่เล่น เลยโดนฝ่ามืออรหันต์ของโดนัทโบกเข้าให้เต็มๆ กะโหลกเลย

   “คืนนี้มึงเตรียมตัวดังได้เลย ดูสิๆ กูถ่ายช็อตเด็ดไว้ด้วย” แล้วไวน์ก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู พอผมเห็นรูป ผมจะแย่งมาเพื่อกดลบ แต่มันกลับชักมือกลับอย่างเร็วปานฟ้าแล๊บไปซะก่อน

   รูปในจอมือถือนั้นก็เป็นช็อตที่ปากผมกับทาร์ตกำลังบรรจบกันพอดีเลยครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเองนะ แต่อีนี่มีความสามารถมาก สามารถถ่ายมาได้ แถมยังชัดเจนแจ่มแจ้งอีกต่างหาก

   “มึงสงสารน้องมั้งเถอะ” ผมรีบหาข้ออ้างทันที โอ้ย! นี่แค่กล้องไวน์คนเดียวนะครับ แล้วไอ้เสียงชัตเตอร์รัวๆ จากใครต่อใครอีก ตายๆ ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย

   “ผมสบายๆ ครับ ผมยินดีรับผิดชอบอยู่แล้ว” เอาเข้าไป แต่ละคน มึงจะรับผิดชอบอะไรของมึง ไอ้ทาร์ต!!

   “โอ้ย! พอๆ เลย มึงห้ามเอาไปเผยแพร่ที่ไหนนะมึง กูขอร้อง กูอาย!” ผมพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารที่สุด เพื่อเรียกร้องหาความเห็นใจจากเพื่อนผู้น่ารัก (เหรอ?)

   “ไม่รับปากค่ะ เว้นแต่ว่าจะมีอะไรมาเป็นค่าปิดปาก” ไวน์ยักคิ้วพร้อมแสยะยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า

   “เดี๋ยวกูเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว”

   “ถุ๊ย! กูมีปัญญาจ่ายเองค่ะ! ไม่รู้ล่ะ รีบๆ กินเถอะ กรูอยากกลับไปลงรูปแล้ว ฮ่าๆ” แล้วนางก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พลางเบะปากแสดงความสะใจให้ผม อยากจะจับกดชามก๋วยเตี๋ยวให้จมน้ำก๋วยเตี๋ยวตายเลยครับ

   “อีเพื่อนเลว!” อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ ยังไงผมก็อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว

   “ฮ่าๆ” แล้วทุกคนก็หัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่เก็ทที่นั่งทำหน้าเย็นชา แต่มุมปากกระตุกยิ้มพร้อมกับดวงตาที่เหล่มาทางผมเล็กน้อย แต่ละคน ขนาดไอ้คนที่มีประเด็นด้วยยังไม่มีท่าทีเดือดร้อนเลย

   แล้วผมก็ไม่รอดครับ ไวน์จัดการลงรูปพร้อมแต่งสติกเกอร์แบ๊วๆ ให้ด้วย มันคงจะน่ารักกว่านี้ถ้าคนในรูปเป็นแฟนหรือคนรักกันจริงๆ แต่นี่ไม่ใช่ครับ ที่สำคัญมันแท็กผมมาด้วยครับแถมยังตั้งแชร์แบบสาธารณะอีกต่างหาก กว่าผมจะเปิดดูเฟซบุ๊ก คนก็กดไลค์กันตรึมแล้ว แถมคอมเม้นต์อีกนับไม่ถ้วน ผมรีบจัดการซ่อนจากไทม์ไลน์ทันทีครับ ปาร์คจะเห็นรูปนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าเห็นปาร์คจะรู้สึกอะไรบ้างไหม

**********__________**********

   วันอาทิตย์คือวันพักผ่อนของผมโดยแท้ หลังจากที่เหนื่อยมากๆ จากเมื่อวาน แถมยังเกิดเหตุการณ์ช็อกโลกอีก ผมเลยสละร่าง พักสมองอย่างเต็มที่เลยครับ รู้ตัวอีกทีก็บ่ายโมงแล้ว

   ตื่นมาก็จัดการหยิบโทรศัพท์มือถือมาเช็คเฟซบุ๊กก่อนเลยครับ พอเปิดขึ้นมาเท่านั้นแหละ จากตาที่ยังลืมไม่เต็มดวงถึงกับโตจนแถบจะถล่นออกมา ผมเด้งตัวขึ้นนั่งทันทีที่ได้เห็นจำนวนคนที่แอดเพื่อนมาเพิ่ม เวลาแค่ประมาณครึ่งวัน คนแอดมาหาผมเยอะมาก ไม่ต้องเดาเลยครับว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงแอดมา ที่สำคัญคนที่แอดมาส่วนใหญ่มีแต่พวกเกย์ทั้งนั้นเลย อะไรกันเนี่ย!

   ในช่องแชทก็มีข้อความเข้ามาเช่นกัน มีทั้งทักมาว่าอยากรู้จัก ให้รับแอดหน่อย แล้วก็ยังมี... ‘มีแฟนยังครับ’ เอิ่ม... ผมไม่ตอบได้ไหม พวกเขาจะด่าผมหรือเปล่า แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะไม่ตอบใคร ตอบแค่กับทาร์ตที่ทักมาด้วยความเป็นห่วง แล้วก็ขอโทษกับภาพนั้น ผมเลยดุกลับไปว่าจะมาขอโทษทำไม ในเมื่อไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แน่นอนครับ ผมจัดการพิมพ์แชทไป ‘ด่า’ เจ้าตัวที่ลงรูปทันที พิมพ์รัวๆ เลยครับ มันอ่านแล้วจะได้ด่ากลับไม่ทัน ฮ่าๆ จากนั้นจึงลุกไปอาบน้ำ แต่งตัวเพื่อจะออกไปกินข้าว หิวแล้วนี่ครับ บ่ายโมงกว่าแล้ว

   ผมอาบน้ำ และพยายามไม่คิดถึงเรื่องรูปนั้นอีก เดี๋ยวกระแสมันก็จางหายไปเองแหละ อีกอย่างตัวผมไม่ได้โด่งดังหรืออยู่ในกระแสอยู่แล้ว แต่ถามว่าแค้นไหม แน่นอนครับ อยากจะตบบ้องหูไวน์แรงๆ สักที แม่งทำกันได้!

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่ผมกำลังใช้ไดร์เป่าผมให้แห้ง และเป็นการจัดทรงไปในตัว

   ผมวางไดร์ลง ก่อนจะเดินแบบไม่เร่งรีบนัก คงจะเป็นทาร์ต หรือไม่ก็ไวน์ล่ะมั้ง ถ้าเป็นไวน์จะด่าให้ไม่เป็นผู้เป็นคนเลยครับ ฮ่าๆ แต่เมื่อเห็นหน้าจอโทรศัพท์ ผมกลับคิดผิดถนัด

   ‘Park (“:’

   ชื่อและรูปของคนที่ผมคิดถึงอยู่เสมอโชว์หลาอยู่บนหน้าจอเพื่อรอการสัมผัสตอบสนอง

   “ฮัลโหลปาร์ค” ผมเลื่อนหน้าจอสัมผัส ก่อนจะกรอกเสียงร่าเริงพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้างที่ส่องสะท้อนกับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมดีใจมากแค่ไหนเวลาที่ได้คุยกับมัน

   [หวัดดีฟร๊องก์ ทำไรอยู่] น้ำเสียงที่ดูสดใสร่าเริงตอบกลับมาตามสาย วันนี้อารมณ์ดีอะไรมาเนี่ย

   “เพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังไดร์ผมอยู่เลย ปาร์คโทรมาซะก่อน” ผมยังคงยิ้มไม่หุบ เสียงแจ่มใสของปาร์คทำให้ผมรู้สึกถึงบรรยากาศเดิมๆ ที่กำลังหวนกลับคืนมา

   [งั้นไดร์ผมก่อนก็ได้นะ ฮ่าๆ]

   “ฟร๊องก์ไดร์ผมนานน้าาา” ผมแกล้งทำเสียงยานแบบกวนๆ

   [เดี๋ยวไปไดร์ให้เอาป่ะ] แปร๊ดดด!! หัวใจสูบเลือดพุ่งขึ้นมาหล่อเลี้ยงใบหน้าอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกได้ถึงไออุ่นร้อนของหยาดเลือดที่หน้าเลยครับ

   “ไม่ต้องทำมาเป็นพูดหรอก” ผมประชดกลับเบาๆ

   [พูดจริง ใกล้จะถึงหอฟร๊องก์แล้วด้วย]

   “ห๊า! ว่ะ... ว่าไงนะ” ผมเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน

   [แต่งตัวน่ารักๆ รอไว้เลย อีกไม่เกินสิบนาทีถึง] นี่ปาร์คพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย ปาร์คมาหาผม มาทำไม แล้ว... โอ้ย!! ผมคิดบวก ลบ คูณ หารหาเหตุผลต่างๆ นานา ก็ไม่เข้าใจอยู่ที่ว่าทำไมจู่ๆ ปาร์คถึงได้ขับรถมาหาผม แถมยังมีท่าทีอารมณ์ดีแบบนี้ด้วย

   “เห้ย! ปาร์คเล่นอะไรเนี่ย”

   [ไม่ได้เล่นครับผม ถ้าสิบนาทีปาร์คไปถึงแล้วยังไม่แต่งตัว จะ... หึหึ] ปาร์คพูดทิ้งท้ายไว้อย่างมีเลศนัยก่อนจะวางสายไป ปล่อยผมที่กำลังมึนงงนั่งเอ๋ออยู่คนเดียว

   สิบนาทีต่อมา ผมอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่ ไม่ได้แต่งอะไรมากครับ แค่เสื้อยืดลายมิกกี้เม้าส์ สีสันสดใส กับกางเกงยีนส์ขาสั้นพับขานิดหน่อย ความยาวไม่ถึงหัวเข่า เตรียมรองเท้าผ้าใบเข้ากับสีเสื้อไว้ด้วย เผื่อต้องออกไปไหน พร้อมกับจัดทรงผมใหม่ให้ดูดีมีสไตล์มากขึ้น วันนี้ออกแนวสดใส เหมือนกับอารมณ์ของผมล่ะครับ

   ก๊อก! ก๊อก!

   ขณะที่ผมกำลังสำรวจตัวเองพร้อมกับนำผ้าขนหนูไปตาก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น โดยที่ผมส่องช่องตาแมวก็ไม่เห็นใครอยู่ที่หน้าห้อง จึงตัดสินเปิดออกไปดู

   “จ๊ะเอ๋!/เห้ย!” เสียงของผมและปาร์คดังขึ้นในจังหวะไล่เลี่ยกัน หลังจากที่ผมเปิดประตูออกไปแล้วปาร์คที่หลบอยู่ตรงผนังข้างๆ ประตูก็พุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ผมไม่ต่อยหน้าหงายก็ดีเท่าไรแล้ว

   ปาร์คที่ยืนหัวเราะอยู่หน้าห้องผมนี้มีท่าทีที่สดใสมาก ผมไม่ได้เจอปาร์คเลยตั้งแต่วันนั้น แต่ปาร์คมาปรากฏตัวตรงหน้าผมตรงนี้ ความรู้สึกผมบอกว่านี่คือปาร์คคนเดิม ใบหน้าคมคายที่ฉายแววขี้เล่นแต่ก็เคร่งขรึมในเวลาเดียวกัน รอยยิ้มกินใจผมยังคงเป็นอย่างนั้นเสมอ 

   “เล่นบ้าอะไรเนี่ย!” ผมเอ็ดปาร์คด้วยใบหน้าบึ้งตึง

   “ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ ฮ่าๆ” ปาร์คไม่มีท่าทีสำนึกเลยครับ ใบหน้ายียวนที่กำลังหัวเราะผมอยู่นั่นทำให้ผมหมั่นไส้มาก

   “เออดิ เกือบต่อยแล้วด้วย ถ้ารู้ว่าเป็นปาร์คนะ จะต่อยเลยแหละ ไม่แค่เกือบ!”

   “โหดจริงๆ เข้าไปในห้องเถอะ เดี๋ยวห้องข้างๆ ด่าเอา” แล้วปาร์คก็ดันผมเข้าไปในห้อง และไม่ลืมปิดประตูให้ด้วย

   “แล้วขึ้นมาได้ไง” ผมกับปาร์คเดินมานั่งจุ้มปุ๊กลงบนเตียง ก็แหม หอผมไม่ได้กว้างใหญ่ มีห้องนั่งเล่น มีโซฟารับแขกเหมือนคอนโดฯ ปาร์คนี่ครับ ก็ต้องนั่งบนเตียงแบบนี้แหละ อย่าคิดลึก! (รู้สึกว่าจะยังไม่มีใครคิดอะไรเลย) ผมถามปาร์คแบบนั้นก็เพราะปกติหน้าหอจะเป็นประตูที่ต้องใช้การสแกนนิ้วไม่ก็ใช้บัตรแตะที่แถบแม่เหล็กหรืออะไรสักอย่างเพื่อให้ประตูมันเปิดนี่ครับ ก็เหมือนระบบรักษาความปลอดภัยของหอพักทั่วไป แต่คนที่นั่งข้างๆ ผมอยู่ตอนนี้เข้ามาได้ไง

   “โถ่ๆ ประตูระบบกระจอกๆ แบบนั้น ไม่ระคายฝีมือพี่หรอกไอ้น้อง” ปาร์คว่าพร้อมกับตบไหล่ผมและยักคิ้วอย่างเท่ๆ อารมณ์ว่า ‘กูเนี่ยเก่งมาก’

   “โคตรขี้โม้เลย” ผมหันไปผลักปาร์คอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้อย่างเต็มประดา แต่แทนที่คนถูกผลักจะกระเด็น กลับเป็นตัวผมเองที่กระเด็นห่างออกไปจากตัวปาร์คเอง

   “หะๆๆ” ปาร์คหัวเราะร่า แล้วลุกหยิบตุ๊กตาไม้ที่ตนซื้อให้ขึ้นมามองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินสำรวจห้องผม หยิบโน้น จับนี่ พลิกกระดาษตรงนั้นตรงนี้เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

   “แล้วนี่ทำไมอยู่ๆ ถึงมาหาฟร๊องก์” ผมเอามือทั้งสองข้างเท้ากับฟูกแล้วเอียงตัวอย่างสบายไปด้านหลัง

   “ไม่รู้สิ... อยากเจอ... คิดถึงมั้ง” ปาร์คพูดเสียงเบา โดยเฉพาะคำหลัง ซึ่งผมฟังไม่ค่อยถนัดเท่าไร ขณะที่ตัวเองไม่ได้หันมามองผม แต่กำลังก้มๆ เงยๆ สำรวจหน้าโต๊ะทำงานของผมต่อไป

   “หาอะไร รื้ออยู่ได้ เดี๋ยวห้องรก!”

   “หึหึ ไปกินข้าวกัน” ปาร์คไม่ตอบ แต่ตัดบทเป็นเรื่องอื่นทันที

   “อืม ไปดิ หิวอยู่พอดี”

   ปาร์คพาผมไปกินข้าวไกลเลยครับ ไปแถวมหาวิทยาลัยเขาเลย กินไป มันก็แกล้งผมไป แต่ก็เป็นอีกมื้อที่ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ ครับ

   ผมมีความสุขเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปาร์คมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ผมไม่อยากหาเหตุผลหรอกครับว่าทำไม แค่ตอนนี้คนที่สร้างความสุขให้ผมอยู่ตรงหน้าผมแล้วจริงๆ

   หลังจากที่กินข้าวอะไรกันเสร็จ ก็เริ่มเย็นพอสมควรแล้วครับ เพราะกว่าพวกผมจะออกจากหอผมมาก็บ่ายสองกว่าๆ แล้ว นั่งกินข้าว แกล้งกัน เล่นกันอีกนานชั่วโมง นี่ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้วครับ ปาร์คไม่ได้บอกว่าจะไปไหนต่อ เดี๋ยวคงพาผมกลับหอล่ะมั้งครับ เออ! ว่าแต่ทำไมปาร์คถึงรู้ว่าอาทิตย์นี้ผมอยู่หอ ?

   “เออนี่ ทำไมถึงรู้ว่าอาทิตย์นี้ฟร๊องก์ไม่ได้กลับบ้านล่ะ” ผมถามออกไปในสิ่งที่ตัวเองสงสัย หลังที่ขึ้นมาประจำที่บนรถของปาร์คเรียบร้อย

   “ก็เห็นว่ามีกิจกรรม” ปาร์คตอบเสียงเรียบ

   “อ่ะ... อ้าว แล้ว...” แล้วรู้ได้ไงว่าผมมีกิจกรรม เพราะปาร์คโทรมาผมก็ไม่ได้บอกนะว่าจะมีกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย

   “แล้วทำไมถึงรู้ว่ามีกิจกรรมที่มอน่ะเหรอ” ปาร์คหันมายักคิ้วพร้อมกับมุมปากที่กระตุกยิ้มแปลกๆ

   “อืม นั่นล่ะๆ” ผมก้มหน้าหลบตาเจ้าเล่ห์นั้น

   “ก็รูปในเฟซบุ๊กไง” แต่พอได้ยินคำพูดราบเรียบที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากปากของปาร์คแค่นั้นแหละ ผมถึงกับตาโต ขนลุกซู่ หันไปมองหน้าปาร์คที่กำลังยิ้มมองผมอยู่เช่นกันด้วยความตกใจทันที

   “หะ... เห็นด้วยเหรอ” ผมเปล่งเสียงออกไปอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกกลัว และแคร์ความรู้สึกของปาร์คมากขนาดนี้

   “หึหึ ไปคอนโดฯ ปาร์คก่อนแล้วค่อยคุยก็แล้วกัน” 


à suivre...

ปาร์คโผล่กลับมาอีกแล้ว อย่าว่าเค้าน๊าาา
ว่าแต่ปาร์คจะพาฟร๊องก์ไปคุยอะไรที่คอนโดฯ ??
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 13 P.2 [18/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 18-05-2017 20:01:56
เริ่มยืดเยื้อแล้ว ลำคานฟร็อง
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 13 P.2 [18/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-05-2017 20:13:47
รำคาญปาร์คจริงจะกั๊กฟร็องก์เอาไว้หรือไงไหนเมื่อตัวเองก็ไม่ยอมรับเขาเป็นแฟนเองพอมีคนสนนี่เป็นหมาหวงก้างทันทีเลยนะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 13 P.2 [18/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-05-2017 10:32:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 14 [20/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 20-05-2017 20:12:10
Chapitre 14

“หึหึ ไปคอนโดฯ ปาร์คก่อนแล้วค่อยคุยก็แล้วกัน” น้ำเสียงทะแม้งๆ ของปาร์คเพิ่งจะสิ้นสุดไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า แต่รอยยิ้มแปลกที่ยังคงฉายแววอยู่บนดวงหน้าเรียวนั้นยิ่งทำให้ผมตะหนก แต่สมองผมนี่เบลอไปหมดเลยครับ
 
   ผมนั่งนิ่งไม่พูดอะไรต่อ แต่รู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นแปลกๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ ผมรู้สึกประหม่า รู้สึกกลัวและกังวลในเวลาเดียวกัน โดยที่ผมไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมตัวเองจะต้องกลัว ทั้งที่คนที่อยู่ข้างๆ ผมนั้นเป็นแค่เพื่อน และเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่ผมแค่กลัว... ปาร์คจะเสียความรู้สึก

   ผมตกอยู่ภายใต้สภาวะกดดันในห้องโดยสารรถที่จริงๆ แล้วก็กว้างพอสมควร แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันแคบและอึดอัดมากในเวลาแบบนั้น แต่เพียงไม่นานรถยนต์ของปาร์คก็มาจอดสนิทที่ลานจอดรถของคอนโดฯ

   ปาร์คเปิดประตูลงไปแล้วครับ บรรยากาศกดดันในรถหายวับไปทันที แต่สุดท้ายผมก็ต้องลงมาจากรถคันนั้น ให้นั่งร้อนอยู่ในรถคงไม่ไหวมั้งครับ ปาร์คเดินนำผมไปยังลิฟต์เพื่อจะไปยังห้องของเขา ผมเดินมองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งกังวลว่าปาร์คจะรู้สึกยังไงกับรูปนั้น ทั้งไม่เข้าใจท่าทีที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนแต่กลับดูแปลกๆ นั้น และก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองเล็กน้อย แค่หน่อยเดียวจริงๆ ครับ ว่าปาร์คอาจจะกำลังหวงผมอยู่ก็ได้ แต่ผมเดาไม่ถูกจริงๆ กับสิ่งที่อยู่ภายในท่าทีแปลกตาของปาร์คนั้นว่ามันคืออะไรกันแน่

   จริงๆ แล้วมันอาจเป็นเพราะไม่เคยล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในใจของปาร์คมาตลอดเลยต่างหาก ไม่ใช่แค่เพียงเวลาที่น่าอึดอัดนี้ แต่มันอาจจะตลอดเวลาที่เรารู้จักและสนิทกันมาเลยด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ปาร์คทำให้ผมดีใจ และคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็หลายครั้งที่ผมไม่สามารถระบุสถานะที่แท้จริงให้กับตัวเองได้

   แล้วบรรยากาศที่แสนอึดอัดแบบภายในรถ แถมยังมากกว่าด้วยซ้ำก็กลับมาอีกครั้ง ทั้งที่ท่าทางของปาร์คยังคงดูร่าเริง แต่ในใจของผมกลับหวาดวิตก ความรู้สึกมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด จนไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามว่าทำไมต้องพามาที่นี่

   “เอ่อ...” และก็เป็นผมเองครับที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวกับสภาวะแบบนี้ จนต้องส่งเสียงออกมาให้ผู้อยู่ร่วมห้องอีกคนไม่ลืมว่ายังมีผมอีกคนที่อยู่ในห้องด้วยเหมือนกัน

   “มีแฟนแล้วเหรอ” น้ำเสียงเรียบๆ ส่งคำถามแบบตรงๆ มาเสียดแทงหัวใจผมจนทำให้ผมยิ่งรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม

   “ป่ะ... เปล่า อย่างฟร๊องก์จะมีได้ไงเล่า” ผมพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ และควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเทา

   “แล้ว... รูปในเฟซ... คือใคร” ปาร์คยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ จนผมเดาไม่ถูกกว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ดีใจที่เห็นผมมีแฟน ตัดพ้อ หรือหวง ผมไม่รู้จริงๆ

   “รูปไหน...” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง จริงๆ แล้วผมกำลังกลัวมากกว่า

   “ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แฟนเหรอ ที่... จูบกัน” ปาร์คหันมามองผมด้วยสีหน้าราบเรียบเฉกเช่นเดียวกับโทนเสียง แต่ผมแอบเห็นนัยน์ตาคมคู่นั้นแอบสั่นไหวเล็กน้อย แค่เล็กน้อยจริงจนถ้าผมไม่ทันสังเกตซะก่อนก็คงไม่เห็น

   “คือ...” ผมพูดอะไรไม่ ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมถึงไม่ปฏิเสธออกไปว่าทาร์ตไม่ใช่แฟน ผมแค่อยากรู้ว่าปาร์คจะรู้สึกอะไรไหม ผมแค่อยากลองดูเท่านั้น

   “ดีใจด้วยนะ ไอ้เตี้ยของเรามีขายออกกับเขาสักที” ปาร์คพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริง ผิดไปจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง สรุปคือไม่ว่าผมจะมีแฟนหรือไม่มี มันก็ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ใช่ไหม ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะหวงหรือห่วงผมเลย

   “จริงๆ แล้ว...”

   “เปิดตัวมาก็เล่นเอาทุกคนช็อคหมดเลยนะ” ผมยังพูดไม่ทันจบ ปาร์คก็ขัดขึ้นอีกด้วยท่าทางอารมณ์ดี จริงๆ แล้วผมแค่จะบอกว่า มันไม่ได้เป็นอย่างที่ปาร์คคิดเลย

   “ไม่ใช่นะ มันไม่ใช่อย่างนั้น” ผมพยายามแก้ตัว

   “เอาหน่าฟร๊องก์ มันชัดเจนขนาดนั้น เราเข้าใจเว้ยๆ” ปาร์คยังคงส่งยิ้มพลางตบบ่าเป็นกำลังใจให้ผม

   “โอ้ย! ฟังกันก่อนสิ คนนั้นไม่ใช่แฟนเว้ย! เป็นแค่รุ่นน้อง! แล้วในรูปอ่ะ มัน... เป็นแค่อุบัติเหตุ” ผมหันไปพูดกับปาร์คเสียงดัง ด้วยสีหน้าที่จริงจัง แต่ภายในผมกลับรู้สึกเจ็บเหลือเกิน กับการเมินเฉยของปาร์ค ในใจปาร์คไม่มีผมอยู่เลยสักนิดใช่ไหม

   “รุ่นน้อง? อุบัติเหตุ?” ปาร์คมองหน้าผมด้วยความสงสัย

   “ใช่ แค่อุบัติเหตุ แล้วบังเอิญเพื่อนมันถ่ายเอาไว้ มันเลยแกล้งฟร๊องก์” ผมอธิบายพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้นราวกับกำลังค้นหาสิ่งที่ซ้อนอยู่ในใจดวงนั้น

   “...” เงียบ ไร้สัญญาณตอบกลับใดๆ จากคนตรงหน้าทั้งสิ้น

   “จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย แค่เล่นเกมกันอยู่ แล้วพวกรุ่นพี่ที่ทำกิจกรรมมันแกล้งเอา ไอ้เพื่อนตัวดีของฟร๊องก์ดันถ่ายรูปได้ช็อตเด็ดพอดี แล้วเล่นพิเรนทร์ ฟร๊องก์ยอมรับว่า... ปากฟร๊องก์กับน้องโดนกันจริงๆ แต่มันแค่แป๊บเดียวนะ ไม่ถึงวิด้วยซ้ำ” ผมพูดต่ออย่างยืดยาวเป็นหางว่าว ไม่รู้ทำไม แต่ผมไม่อยากให้ปาร์คเข้าใจผมผิด และผมแค่อยากให้ปาร์คได้รู้ความจริง ทั้งที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะอยากรู้หรือเปล่า แต่ผมไม่อยากให้มันคิดอะไรไปเอง เพราะอย่างไร คนตรงหน้าผมตรงนี้ก็ยังคงเป็นคนผมรักและเป็นห่วงความรู้สึกมากที่สุดอยู่ดี

   “งั้นเหรอ” ปาร์คยังคงจ้องผมไม่ได้เปลี่ยนท่าทางไปไหน

   “ใช่ ฟร๊องก์น้องเขาไม่ได้จูบกันด้วยซ้ำ มันแค่อุบัติเหตุ ที่ฟร๊องก์ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำ” ผมอาศัยจังหวะที่ปาร์คกำลังคล้อยตามแบบนี้เสริมทัพเข้าไปอีกครับ

   “อืม...” ปาร์คตอบรับสั้นๆ

   มันเหมือนมีพลังงานดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสองคนต่างสบตากันโดยไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะหลบตาก่อน

   “ถ้างั้น... ปาร์ค...” ก่อนที่ปาร์คจะค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ดวงตาของเราสองคนยังคงมองลึกเข้าไปยังนัยน์ตาของอีกคน “ปาร์คจะลบรอยนั้นให้ฟร๊องก์เอง...”

   สิ้นเสียงนั้น ริมฝีปากนุ่มของคนตรงหน้าก็กดประทับลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา เปลือกตาของผมค่อยๆ ปิดลง ขณะที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่นั้นยังคงกดแช่อยู่แบบนั้นเนิ่นนาน

   ช่วงเวลานี้ผมไม่รับรู้อะไรรอบข้างอีกเลยครับ ทุกอย่างมันดูขาวโพลนไปหมด สติสัมปะชัญญะของผมหลุดประเด็นไปอย่างกระเจิดกระเจิง ผมรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆนุ่มๆ ที่ผมกำลังจูบกับปาร์ค ผมกำลังทุกมันอยู่จริงๆ ไม่ได้ฝันไป ผมรับรู้ถึงรสสัมผัสที่หอมหวานของริมฝีปากสีแดงสดนั้นได้ ริมฝีปากอันนุ่มนวลที่กำลังบดเบียดริมฝีปากของผมอยู่อย่างแผ่วเบา

   ตอนนี้ผมรับรู้แค่ว่าหัวใจผมมันพองโตเหลือเกิน แถมยังเต้นจนจับจังหวะไม่ได้อีกต่างหาก รสจูบที่ทำให้ผมมีความสุข ช่างต่างกับครั้งก่อนยิ่งนัก ถึงรู้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ผิด แต่ครั้งนี้ขอให้ผมได้รับและรู้สึกถึงมันสักหน่อยเถอะ

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์มือถือของปาร์คดังขึ้นขัดจังหวะ? ของเราสองคน ทำให้ต้องผละออกจากกันด้วยความตกใจ ผมก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าสบตากับปาร์ค เพราะสมองผมกับมึนงงและสับสนกับสิ่งที่ผ่านมา ส่วนปาร์คเองก็กุลีกุจ้อล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู

   “สวัสดีครับ...” ปาร์คหันมองหน้าผมเล็กน้อย เหมือนจะบอกว่าขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อน แต่คงเห็นว่าผมก้มหน้าอยู่ เลยเดินออกไปเลย

   ผมมองตามแผ่นหลังนั้นที่เดินออกไปด้านนอกระเบียง พลางคิดถึงการกระทำเมื่อครู่นี้ ผมยอมรับว่าทั้งตื่นเต้น ทั้งตกใจ และดีใจในเวลาเดียวกัน ผมกำลังสับสน และก็แอบไม่เข้าใจอยู่ดีล่ะครับ ผมอาจคิดมากเรื่องจูบครั้งก่อนด้วย ที่ทำให้เราสองคนทะเลาะกัน (อย่างหนัก) ผมเลยไม่เข้าใจว่าครั้งนี้ปาร์คจะจูบผมทำไม ‘จูบเพื่อลบรอย’ ผมไม่เข้าใจความหมายของมัน และผมเองก็ไม่เข้าใจความหมายของการกระทำนั้นด้วย แต่ขอแค่อะไรๆ หลังจากนี้มันจะไม่แย่ไปกว่าเดิมก็พอ

   ปาร์คใช้เวลาคุยโทรศัพท์อยู่นานพอสมควร ส่วนผมที่นั่งรอ แรกก็คิดทบทวนโน้นนี่ไปมา แต่ก็หาเหตุผลหักล้างให้ตัวเองไม่ได้สักที จนปวดหัว สุดท้ายเลยเปิดทีวีดูดีกว่าครับ จะเพราะอะไรก็ช่างมันเถอะ

   แกร๊ก!

   ปาร์คกลับเข้ามาแล้วครับ ก่อนหน้าที่อาการผมเริ่มเป็นปกติแล้ว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจผมทำงานหนักอีกแล้ว ยิ่งตอนนี้ปาร์คล้มตัวลงนั่งที่โซฟาที่เดิม ข้างๆ ผม ใจผมยิ่งเต้นแรงขึ้นไปอีก ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ผมแกล้งทำเป็นดูทีวีไม่หันไปมองหน้ามันเลย

   “เอ่อ... เมื่อกี้...” เสียงปาร์คพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ผมแอบเห็นหางตาว่าปาร์คกำลังส่ายหัวไปมาด้วย “หิวไหม” ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไป ดีแล้วแหละครับ

   “เพิ่งจะกินมาเอง ฮ่าๆ” ผมดึงบรรยากาศให้ดูร่าเริงขึ้น เพื่อลดความประหม่า แต่ก็ยังไม่ยอมหันไปมองปาร์คเหมือนเดิม

   “นั่นสินะ หะๆ” ปาร์คหัวเราะแห้งๆ

   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สายตายังจับจ้องตรงไปยังภาพที่ฉายอยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยมด้านหน้า แต่ถามว่าผมรู้เรื่องไหม ไม่เลยครับ เพราะผมไม่ได้สนใจเนื้อหาในโทรทัศน์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังดูช่องอะไรอยู่

   “...” ปาร์คเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเช่นกัน และก็กลายเป็นผมที่กดดันตัวเองซะเอง เลยคว้ารีโมตกดเปลี่ยนช่องไปมารัวๆ เลยครับ ไม่รู้จะทำไร เขินด้วย อะไรด้วย

   “เขินหรือไง หื้ม” น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะคว้าตัวผมที่กดเปลี่ยนช่องไปมาอยู่อย่างนั้นให้หันไปมอง

   “อ่ะ... เอ่อ...” ผมสบตาได้แค่เสี้ยววินาที ก็ต้องก้มหน้าหลบเช่นเดิม

   “หึหึ หน้าเหน้อหูเหอแดงหมดเลย... รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ารักแค่ไหน” น้ำเสียงปาร์คยังคงละมุน แต่คำพูดที่เข้ามากระแทกโสตประสาท กระดูกค้อน ทั่ง โกรนผมพร้อมใจกันทำงาน ให้เกิดเสียงสะท้อนก้องในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   ‘รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ารักแค่ไหน’ มันดังซ้ำๆ ในหูของผมราวกับมีใครกรอเทปเสียงให้มันเล่นซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่หยุดหย่อน
 
   ไม่รู้ว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไรที่ปาร์คเอ่ยปากชมผมว่าน่ารัก แต่ผมพูดได้เลยว่าทุกครั้ง คำๆ นี้ที่เปล่งออกมาจากปากของคนๆ นี้มันทำให้หัวใจผมทำงานผิดปกติได้เสมอ

   “อะไรเล่า” ผมก้มหน้าต่ำลงไปกว่าเดิมอีกครับ โอ้ย! เชินมาก!!!

   “เมื่อกี้... ถือว่าลบสัมผัสจากเด็กคนนั้นออกก็แล้วกันนะ” ปาร์คยังคงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มและอบอุ่น “คราวหน้าอย่าให้ใครสัมผัสมันแบบนั้นอีกนะ” ก่อนที่เสียงนี้จะดังขึ้นที่ข้างหูผมในระยะประชิด มันดังแข่งกับเสียงเต้นเร็วแรงของหัวใจผม
   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่แอบอมยิ้มกับตัวเอง

   ฟอด!

   “รอปาร์คอยู่นี่ก่อนนะ ปาร์คออกไปธุระแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวกลับมา” แล้วอยู่ๆ ปาร์คก็ชิงหอมแก้มผม ทำเอาผมตาค้างเลย ก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์เดินออกจากห้องไป


à suivre...

อ้าววว... ครั้งก่อนโมโหฟร๊องก์ที่มาแอบจูบเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วทำไมคราวนี้ปาร์คถึงมาจูบฟร๊องก์เองล่ะ??
ฟร๊องก์เองก็ใจอ่อนตลอดเลย เฮ้อออ...

เราเชื่อว่าอ่านๆ มีหลายคนคงรำคาญฟร๊องก์ กับความจมปลักและรักชนิดที่โงหัวไม่ขึ้น แต่เราวางบุคลิกของฟร๊องก์ไว้แบบนี้ตั้งแต่แรก ฟร๊องก์เป็นเหมือนตัวแทนของคนที่มุ่งมั่นและเชื่อมั่นในรักแท้ แม้จะรู้ว่าตัวเองอาจไม่สมหวัง ดังนั้นทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของฟร๊องก์มันจึงเป็นเหมือนบทพิสูจน์และบทเรียนให้ตัวละครฟร๊องก์เรียนรู้อะไรมากขึ้น

ส่วนตัวปาร์ค เป็นตัวละครหนึ่งที่สำหรับเราคิดว่าน่าสนใจและน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน ปาร์คคือตัวละครที่แสดงถึงความไม่มั่นคงและสับสนในตัวเอง เราเชื่อว่ามีคนแบบนี้อยู่นะ คนที่เป็นที่สนใจของใครหลายๆ พบเห็นอะไรมาเยอะ จนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองต้องการแบบไหนกันแน่

ส่วนเรื่องราวจะเป็นไปในทิศทางไหนต่อ ก็ต้องมาดูกัน  :hao3:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 14 P.2 [20/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-05-2017 20:34:56
รำคาญทั้งคู่ว่ะ แต่ยอมอ่านต่อเพราะอยากรู้จริงๆ ว่าเมื่อไหร่ปาร์คจะรู้ตัวซะที หรือแม่งจะรู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว แต่เราขอภาวนาให้แม่งรู้ตัวเมื่อสายไปแล้วดีกว่า โทษฐานรู้ตัวช้า
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 15 [23/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 23-05-2017 19:34:22
Chapitre 15

   ฟอด!

   ปาร์คออกจากห้องไปสักพักแล้ว แต่ผมยังคงนั่งอึ้ง ตะลึงกับสิ่งที่ปาร์คทำก่อนจะออกไปนั้นอยู่

   ผมมีความสุขนะครับ มีความสุขมากๆ แต่อีกด้านของหัวใจผมก็กำลังกลัว กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้งว่าปาร์คจะมีใจให้ผม แต่ผมก็ไม่รู้จริงๆ ครับว่าที่ปาร์คทำนั้นเพื่ออะไร

   จะบอกว่าเพื่อน ผมก็คงมองโลกในแง่ดีมากเกินไปหน่อย ผมไม่ได้อินโนเซ้นต์ขนาดที่ไม่รู้หรอกนะครับว่าเพื่อนเขาทำกันแบบนี้หรือเปล่า แต่ทำผมหาคำถามให้กับการกระทำนี้ไม่ได้ ผมกำลังไม่เข้าใจสถานภาพของตัวเองมากกว่า ว่าตอนนี้จุดยืนของผมคืออะไรกันแน่ เพื่อน... หรือมากกว่านั้น

   ผมไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้น ไม่กล้าแม้แต่จะพูดเกินเลยออกไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้นด้วยซ้ำ แต่ทำไมกลับเป็นปาร์คที่คอยย้ำผมมาตลอดว่าไม่ให้ก้าวล้ำเส้น เป็นคนเลือกที่จะทำมันซะเอง

   ผมไม่เข้าใจจริงๆ และผมเองก็กำลังกลัวอยู่ด้วย กลัวที่อยู่ๆ เรื่องก็ดีขึ้นอย่างน่าตกใจ และกลัวว่าไม่นานเรื่องมันจะแปรเปลี่ยนเป็นเลวร้ายกว่าเดิม ผมกลัวมันเป็นเหมือนครั้งที่แล้ว ผมกลัวใจตัวเองที่จะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้ ผมกลัวว่าผมจะหยุดความรักของตัวเองให้อยู่ในสถานะเพื่อนไม่ได้อีกต่อไป

   ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเรียกหรือนิยามความรู้สึกแบบนี้ว่าอะไร ความรู้สึกที่มันมีทั้งความอิ่มเอมใจ อบอุ่นใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็กลับรู้สึกหวาดหวั่นและระแวงอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก

   ผมพยายามหยุดคิดเพราะมันเริ่มทำให้ผมปวดหัว ก่อนจะหันไปตั้งสมาธิกับการดูโทรทัศน์แทน

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   แล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ขัดความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าจะดูทีวีให้รู้เรื่อง (โคตรตั้งใจ)

   “ฮัลโหล ว่าไงทาร์ต” ใช่ครับ ทาร์ตโทรมา แต่มันทำให้ผมพาลนืกไปถึงจูบที่ปาร์คมอบให้เมื่อไม่นานนี้

   “หวัดดีครับพี่” น้ำเสียงที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไหร่ ก็ยังคงความสดใสปนทะเล้นไว้เหมือนเดิม

   “อืม” ผมตอบกลับสั้นๆ

   “พี่ยังคิดมากเรื่องรูป แล้วก็... เรื่องนั้นอีกเหรอ” ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนลง และคำหลังเหมือนมันพยายามหาคำเพื่อให้ผมไม่คิดมากด้วย แต่อยากจะบอกมากเลยว่าผมไม่ได้คิดเรื่องนั้นตั้งนานแล้ว แต่ยิ่งมันพูด มันยิ่งย้ำภาพที่หน้าปาร์คเลื่อนเข้ามาใกล้กับหน้าผม ก่อนที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่จะสัมผัสกันให้ชัดขึ้นในความคิดของผมมากกว่า

   “เห้ย! เปล่าๆ ไม่ได้คิดอะไรแล้ว” ผมสะบัดหัวเพื่อพยายามสลัดภาพที่ติดอยู่ก่อนหน้าออกจากความคิด มันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข แต่ผมต้องไม่ลืมว่าตัวเองไม่เป็นอะไรเกินเลยกับปาร์ค นอกจากคำว่าเพื่อน

   “อ้าว เห็นพี่ดูเงียบๆ ไป ผมทักแชทเฟซก็ไม่ตอบ ทักไลน์ก็ไม่อ่าน นึกว่าพี่คิดมาก” เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามันทักมา รู้สึกนะว่าโทรศัพท์มันสั่น แต่ไม่ได้ใส่ใจมากกว่า เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมใส่ใจแค่กับคนตรงหน้า

   “ทักมาเหรอ พอดีไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาดูอ่ะ เลยไม่รู้ ฮ่าๆ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใส
 
   “แหนะๆ อยู่กับใครหรือเปล่าเนี่ย ถึงหายไปทั้งวันเลย” ไอ้หมอนี่มันรู้เยอะเกินไปแล้วครับ แอบ (ดมกลิ่น) ตามผมมาเปล่าเนี่ย รู้ดีจริงๆ

   “อย่ามาทำเป็นรู้ดี” ผมแกล้งทำเสียงดุ แต่จริงๆ ก็แอบขำอยู่เหมือนกันครับ

   “นั่นแน่ แฟนอ่ะเปล่า ใช่ม่ะๆ” ดูมันๆ ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลย

   “แฟนบ้าบอไรเล่า พอเลยๆ” ผมตัดบทก่อนที่มันจะลามปามไปมากกว่านี้ ไม่อยากให้มันเซ้าซี้มากครับ เพราะสุดท้ายจะเป็นผมเองที่จนมุม แค่เจอคำถามว่าแฟนหรือเปล่าผมก็ไปต่อไม่ถูกแล้วครับ เพราะทุกอย่างมันดูก้ำกึ่งไปหมด

   “ก็ได้ครับๆ เดี๋ยวผมจะไปสืบมาเองว่าใครคือแฟนพี่ ว่าแต่เขาอยู่มอเดียวกับเราป่ะ”

   “เปล่า คนละที่” ผมตอบกลับ อ้าวเห้ย! นี่ผมเผลอพูดอะไปเนี่ย ผมกำลังหมายถึงปาร์ค ซึ่งห่างไกลจากคำว่าแฟนสำหรับผมด้วยซ้ำ

   “อืม แล้วอายุเท่ากันเปล่าน๊า”

   “พอๆ ไม่หลงกลแล้ว!” ผมกระแทกเสียงกลับไป อย่าคิดว่าจะได้แอ้มผมเป็นครั้งที่สอง แต่แม่งครั้งแรกเสียรู้กับจนได้ เล่นเอาซะเนียนเชียวนะมึง!

   “โห้ อดเลยเรา” ทาร์ตทำเสียงอ่อยแบบขำๆ “ว่าแต่พี่มีแฟนแล้วเหรอ... ครับ”

   “เอ่อ... คือ...” ผมตอบอย่างอ้ำอึ้ง เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าสถานะของผมกับปาร์คคืออะไรกันแน่ รวมทั้งเรื่อง... จูบเมื่อกี้ก็ด้วย

   “พี่ไม่สะดวกใจตอบก็ไม่เป็นไรนะ” ทาร์ตว่าเสียงนิ่งๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไป

   จากตอนแรกที่บรรยากาศดูอึดอัด แต่ทาร์ตก็กลับเปลี่ยนเป็นสนุกสนานได้อย่างรวดเร็ว ผมไม่ค่อยรู้สึกแปลกเท่าไรแล้วครับที่คุยโทรศัพท์กับมันแล้วแซวโน้น เล่นนี่ ก็เล่นคุยกันแทบทุกวันนี่ครับ ผมเองก็เพิ่งมารู้ตัวตอนเล่าให้คุณๆ อ่านกันเนี่ยล่ะ ว่าทาร์ตมันโทรหาผมแทบทุกวันเลย มันเลยทำให้ผมคุยโทรศัพท์กับมันแบบไม่ตะขิดตะขวงใจมั้งครับ

   แต่เวลาได้คุยกับมันก็ดีนะครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มและหัวเราะบ่อยมากๆ เวลาที่คุย เพราะมันชอบเล่นมุกมาสารพัด บางทีก็ฮาแตก แต่บางทีก็แป๊กไม่เป็นท่า แต่ความน่ารักสดใสของมันก็ทำให้ผมยิ้มออกอยู่ดีแหละครับ ยิ่งเวลานึกถึงรอยยิ้มกว้างๆ ที่มีเหล็กดัดฟันออกมาทักทายเสมอนั้นด้วย ยิ่งทำให้ผมยิ้มตามอย่างบอกไม่ถูก

   ผมคุยโทรศัพท์อยู่นานพอสมควรเลยครับ จนฟ้าด้านนอกเริ่มเป็นสีม่วงเข้มแล้ว และผมเองก็รู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน จะว่าไปปาร์คก็ออกไปนานมากแล้วนะ มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่า หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงยังไม่กลับมาสักที

   “นี่พี่กินข้าวยัง” ปลายสายยังคงส่งเสียงมาไม่หยุด ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงครับ พูดมากฉิบหายเลย ฮ่าๆๆๆ แอบด่านิดหนึ่ง!

   “ยังไม่ได้กินเลย เริ่มหิวแล้วด้วย” ผมตอบกลับไปตามตรง

   “ไปกินข้าวกันไหม เดี๋ยวผมนั่งรถไปหาที่หอ”

   “ตอนนี้ไม่ได้อยู่หอว่ะ ออกมาธุระข้างนอกอ่ะ”

   “ว้า! อดกินข้าวกับพี่เลย” ทาร์ตทำเป็นเหมือนกำลังเสียดายอย่างเต็มประดา แต่ผมรู้ครับว่ามันแกล้ง

   “เว่อร์ๆ ไปกินข้าวไป คุยนานแล้วร้อนหู” ผมตัดบท

   “โอเคคร้าบบบ พรุ่งนี้... หวังว่าจะได้เจอกันที่มอนะ” มันทำเสียงทะเล้นมาตามสาย ก่อนจะวางสายไป ผมขำเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวกับความบ๋องของมัน

   หลังจากที่ทาร์ตวางสายไป ผมก็ยังคงนั่งๆ นอนๆ แก่วอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีเช่นเดิม ท้องผมก็เริ่มปฏิบัติการแจ้งเตือนให้ยัดของกินเข้าไปให้มันพอใจได้แล้ว นี่ก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้วแต่ปาร์คก็ยังไม่กลับมา มันออกจากห้องไปตั้งแต่ยังไม่ห้าโมงด้วยซ้ำ นี่ก็เกือบสามชั่วโมงได้แล้วนะครับ แต่อาจจะเป็นธุระสำคัญก็ได้มั้ง

   เมื่อเสียงท้องของผมเริ่มประท้วงหนักมากขึ้น จึงบีบบังคับให้ผมต้องเดินไปยังโซนครัว เพื่อสำรวจหาของกิน จริงๆ แล้วนี่เกรงใจ๊เกรงใจ ไม่ค่อยอยากจะรื้อของเท่าไรเลย แต่ไม่ไหวแล้วล่ะ ตอนนี้ต้องยอมจำนนให้กับความหิวโหยอย่างเลี่ยงไม่ได้

   แน่นอนครับว่าเปิดตู้เย็นที่ห้องปาร์คมันไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่มีของสำเร็จรูปที่กินได้เยอะขึ้น ผมเลยจัดการหยิบไส้กรอกออกมาถุงหนึ่ง ฉีกนิดๆ แล้วยัดเข้าไมโครเวฟทันทีเลยครับ ขอกินแก้หิวก่อนแล้วกันนะ แค่นี้ปาร์คไม่ว่าหรอก ฮ่าๆ

   หลังจากอบไส้กรอกแค่ประมาณหนึ่งนาที ผมก็ได้ขอรองท้องเป็นที่เรียบร้อย ผมหยิบส้อมมาแล้วเดินไปกินไป ดูอะไรในห้องไปเรื่อยเปื่อย ระยะเวลาเดือนกว่าๆ ที่ผมไม่ได้มาที่นี่ มันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ผมสำรวจโดยรอบ ก่อนจะตัดสินใจเปิดเข้าไปในห้องนอน ที่ผมเคยทั้งมีความสุขมากๆ และก็เป็นที่ที่ผมทุกข์มากเช่นเดียวกัน

   ผมยังคงอมยิ้มกับเหล่าของขวัญที่ผมให้ ซึ่งปาร์คยังคงเก็บรักษามันไว้อย่างดี แล้วก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นกีต้าร์ตัวจิ๋วนั่นตั้งอยู่ที่โต๊ะข้างหัวเตียง พร้อมกับกระดาษโน้ตแปะไว้หนึ่งแผ่น

   ‘My best gift… My Franc’

   ผมยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงใบหูทันทีที่ได้เห็นข้อความบนโน้ตแผ่นนั้น ข้อความสั้นๆ แต่มันแทนความหมายมากมาย ผมรู้สึกใจสั่นกับคำว่า ‘My Franc’ ปาร์คสื่อถึงอะไร ถึงผมจะดีใจจนน้ำตามันเอ่อล้น แต่ในใจผมกลับสับสน ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดอะไรไปเอง ไม่กล้าจะตัดสินใจอะไรเองอีกแล้ว ผมคงขี้ขลาดเกินไปมั้งครับ แต่ผมกลัวว่าถ้าผมคิดอะไรเลยเถิดไปอีก เรื่องจะกลายเป็นแย่เหมือนครั้งที่แล้ว

   ภาพในวันนั้นยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่ ถ้าผมก้าวล้ำเส้นไปอีก เราจะยังคงมองหน้ากันได้ไหม แต่ของที่อยู่ตรงหน้านี้ อีกทั้งการกระทำเมื่อเย็นนั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ ผมหาทางออกไม่เจอจริงๆ แม้ว่าหัวใจที่ผมวิ่งตามจะหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ผมกลับไม่กล้าคว้ามันเอาไว้ จริงๆ ผมไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือออกไปสัมผัสมันอีกครั้งด้วยซ้ำ เพราะผมกลัวว่ามันจะหนีผมไปไกลกว่าเดิม และจะไม่ย้อนกลับมาอีก

   ผมเลือกที่จะเลิกสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันหลังกลับออกไปด้านนอก มันคงไม่ดีเท่าไรที่ผมยุ่มย่ามกับห้องคนอื่นมากเกินไป

   และแล้วผมก็พาร่างมาทิ้งไว้บนโซฟาตัวเดิม ที่เดิม แค่เปลี่ยนอิริยาบถ และเปลี่ยนช่องทีวี ผมเบื่อเหมือนกันนะ รู้สึกเหมือนตัวเองถูกขังอยู่ในห้องยังไงไม่รู้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่กลับสักที คงเพราะปาร์คทิ้งท้ายให้ผมรอมั้งครับ ที่ทำให้ผมนั่งแหง็กอยู่อย่างนี้

   ไม่รู้เวลาผ่านไปเนินนานแค่ไหนขณะที่ผมนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา สติสัมปชัญญะและประสาทการรับรู้ของผมเริ่มปิดการทุกงานของตัวเองลงมากขึ้นๆ ทุกที จนในที่สุดผมก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

**********__________**********

   “ฟร๊องก์ๆ” เสียงดังที่ข้างหูสร้างความรำคาญให้ผมเป็นอย่างมาก แล้วยังตามมาด้วยแรงเขย่าที่ต้นแขนอีก โอ้ย! คนจะนอนมากวนทำไมเนี่ย!

   “อื้อ” ผมส่งเสียงอู้อี้ออกไปอย่างไม่ชอบใจ

   “ลุกก่อนเร็ว เข้าไปนอนในห้องจะได้สบายๆ” โอ้ย! บ่นจริงๆ เลยวุ้ย! พูดอะไรไม่รู้เรื่อง!

   “อื้ม จะนอน!” ผมบอกเสียงแข็งก่อนจะพลิกตัวหนีแรงเขย่าที่น่ารำคาญนั้น

   “ก็จะพาไปนอนไงครับ ลุกเร็ว” สัมผัสนั้นยังคงตามมา โถ่เว้ย! จะวุ่นวายไปไหนวะเนี่ย คนจะนอนมากวนอยู่ได้

   แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าตัวผมลอยขึ้นผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกโหว่งๆ ในช่องท้องทำให้ต้องลืมตาขึ้นมามองว่าเกิดขึ้นอะไรขึ้นกับผมกันแน่

   “อ่ะอืม... ปาร์ค” ผมมองปาร์คที่กำลังอุ้มผมเข้าไปในห้อง โดยที่เจ้าตัวก้มลงมามองและยิ้มบางๆ ให้ผม แต่ตัวปาร์คเหมือนมีกลิ่นเหล้าเลยอ่ะ นี่กินเหล้ามาเหรอ

   “กำลังจะพาไปนอนนะ จะได้นอนได้สบายๆ” ปาร์คพาผมเข้ามาในห้องนอนเป็นที่เรียบร้อย และใบหน้าของเจ้าตัวยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่ปาก แค่นี้ก็ทำให้ผมนอนฝันดีแล้ว

   “ไปไหนมา ทำไมกลับช้าจัง” ผมพูดด้วยเสียงอ่อนด้วยความง่วงงัวเงียหลังจากที่ปาร์ควางผมลงบนฟูกเตียงนุ่มๆ อย่างเบามือ

   “พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ ยุ่งๆ เลยกลับช้า รอนานเลยเหรอ” ปาร์คที่อยู่ด้านบนตัวผมยังคงมีรอยยิ้ม

   “นานมากกก ขโมยกินไส้กรอกไปด้วยแหละ หะๆ” ทำไมรู้สึกว่าคำพูดของผมมันฟังดูปัญญาอ่อนจังวะ แต่ตอนนี้รู้แค่ว่าผมง่วงมาก และตาใกล้จะปิดลงทุกที แต่ใจมันยังคงอยากเห็นหน้าคนตรงหน้าอยู่

   “ขโมยกินของคนอื่นแบบนี้ ต้องโดนทำโทษนะรู้ไหม”

   “จะทำโทษอะไรฟร๊องก์ ไม่ยอมหรอก นี่แหน่ะๆ” ผมยกมือขึ้นตีไปยังตัวปาร์ค แต่ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดเหล่านั่นจะออกมาจากปากผม แต่ก็มีคนเคยบอกนะครับว่าถ้าผมงัวเงียๆ หรือไม่ก็เมา ผมจะขี้อ้อนและปัญญาอ่อนเป็นพิเศษ ซึ่งก็คงจะจริงมั้งครับ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองปัญญาอ่อนเลย

   “เจ็บๆ ดื้อจริงๆ เลย” แล้วจู่ๆ ปาร์คก็รวบมือทั้งสองข้างของผมไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียว

   “อื้อ... จะทำอะราย ปล่อยเลยน๊า” เสียงผมยังคงอู้อี้ พูดไม่จับใจความไม่ถูก

   “อย่ายั่วกันนะฟร๊องก์” เสียงปาร์คเริ่มแหบพร่า พร้อมด้วยใบหน้าที่ก้มลงมาใกล้ผมมาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่มือนั้นจะปล่อยมือทั้งสองของผมให้เป็นอิสระ

   ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อผมได้เห็นดวงตาคมเบื้องหน้านี้ อาการงัวเงียของผมก็แทบจะหายไปในทันที มือข้างหนึ่งของผมเอื้อมออกไปจับใบหน้าเรียบเนียนเอาไว้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา นี่ผมกำลังฝันไปหรือเปล่า ตรงหน้าผมตอนนี้คือปาร์คจริงๆ หรือเป็นแค่เพียงแค่ฝัน

   “รู้ไหมว่าปาร์คไม่อยากก้าวไปเกินคำว่าเพื่อนระหว่างเราเลย” ริมฝีปากของปาร์คขยับขึ้นลงเปล่งเสียงนุ่มทุ้มที่ผมชอบฟังออกมา ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น และกลิ่นแอลกอฮอล์จากคนตรงหน้า “แต่ปาร์คก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ทุกทีที่อยู่ใกล้ฟร๊องก์”
 
   “ปะ... ปาร์ค” ผมเอ่ยเบาๆ ฝ่ามือนั้นยังคงลูบแก้มข้างหนึ่งของปาร์ค ราวกับกำลังกลัวว่ามันจะหายลับไป รู้สึกถึงไอร้อนผ่าวละที่ขอบตา ก่อนที่หยดน้ำอุ่นๆ จะเอ่อล้นออกมา

   “เรากำลังทำผิดคำสัญญากันอยู่หรือเปล่า” เสียงนั้นค่อยๆ เบาลงจนหัวใจผมเริ่มสั่นเทาด้วยความกังวล ผมมองปาร์คด้วยภาพจางๆ จากม่านน้ำตา และกำลังกลัวว่าปาร์คตรงหน้าจะหายไป

   “ลองทำตามเสียงหัวใจสักครั้ง” ผมพูดออกไปอย่างแผ่วเบา ไม่รู้หรอกว่ามันจะผิดอย่างที่ปาร์คพูดหรือเปล่า แต่มันก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอที่คนเราจะลองทำตามหัวใจตัวเอง

   “อย่างนั้น... ปาร์ค ‘ขอ’ ทำตามเสียงใจตัวเองนะ” ปาร์คพูดเอื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มเบา ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะปิดกั้นคำพูดต่อๆ ไปของตัวเองไว้ด้วยริมฝีปากของผม

   รสจูบอันหอมหวานที่เราสองคนต่างมอบให้แก่กันและกัน เรียวลิ้นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่ร่างกายของเราทั้งสองจะเริ่มปลดเปลื้องเปลือยเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงเนื้อเนียนที่บดเบียดแนบชิดกัน ความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นไว้ด้วยความกลัวของเราสองคนตอนนี้มันได้พังทลายลงมาหมดแล้ว และเราทั้งสองก็ต่างถ่ายทอดความรู้สึกลึกซึ้งให้กันและกันโดยไม่สนใจกฏเกณฑ์ที่มาขว้างกั้น

   และผมจะไม่ลืม... วินาทีที่เราสองคนได้ทำตามเสียงหัวใจของกันและกัน 


à suivre...

รำคาญตัวละครได้ แต่อย่ารำคาญเค้าน๊าาา 5555555555+
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 15 P.2 [23/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 23-05-2017 19:59:09
อย่าว่าเค้าน้า เค้าทนอ่านนิสัยฟร็องไม่ไหว ขอพักก่อน ไว้ตอนที่ 20 ค่อยกลับมาอ่าน ขอช้ามตอนพวกนี้ไปก่อนละกัน อึด อัด ลำคาน นิสัยฟร็อง ปนกันไปหมด
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 15 P.2 [23/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 23-05-2017 21:55:16
รู้สึกเหมือนเรื่องร้ายๆ กำลังจะเข้ามาเลย -0-
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 15 P.2 [23/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-05-2017 23:00:47
รู้สึกว่าถ้าตื่นขึ้นมาหายเมาแล้วสติกลับมาแล้ว เหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นยังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 15 P.2 [23/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-05-2017 11:44:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 16 [25/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 25-05-2017 20:32:21
Chapitre 16

   ผมตื่นมาอย่างสะลึมสะลือพร้อมด้วยอาการปวดบริเวณสะโพกและบั้นท้าย ครั้งแรกนี่มันเจ็บชะมัด แต่สิ่งที่แลกกับความเจ็บนั้นก็คือความสุข สุขจากคู่กรณีที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ที่ยังคงนอนกอดผมหมดสภาพไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างๆ ผมพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความง่วง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวอย่างเบาแรงเพื่อไม่ให้คนที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ รู้สึกตัว

   “จะรีบไปไหน นอนต่อก่อนสิ” คนแกล้งหลับกระชับอ้อมแขนกอดผมแน่นขึ้นไม่ให้ผมลุกหนีไปไหน

   “ปวดฉี่ จะเข้าห้องน้ำ” ผมบอกออกไปตามตรง จริงๆ ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมอายมากกว่า กะ... ก็เมื่อคืน เอ่อ... ช่างมันเถอะครับ ผมอายยย!

   “เดี๋ยวค่อยไปนะ ขออีกสิบนาที” คนดื้อยังคงพูดอย่างเอาแต่ใจ แถมยังกดหัวผมให้ซบลงไปที่บริเวณอกเปลือยเปล่าของมันอีก แต่... มันก็ทำให้ผมได้รู้นะ ว่าใจของปาร์คเองก็เต้นแรงไม่แพ้ใจของผมเลย

   “โห้ย! ฉี่จะแตกอยู่แล้ว” ผมต่อรองพร้อมกับขืนตัวออกจากแผงอกแข็งแรงและอบอุ่นนั้น หัวใจผมก็เต้นแรงมาก สติสตังค์ผมก็อยู่ไม่นิ่งแล้วครับ

   “ฮ่าๆ หอมแก้มก่อน แล้วจะปล่อย” คนเอาแต่ใจว่าทั้งที่ตายังไม่ลืมพร้อมกับทำแก้มป่องข้างหนึ่ง ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะครับ แต่... ก็ชอบนะ

   “ไม่เอา อย่าแกล้งดิ ปวดฉี่จริงๆ” ผมทำโวยครับ แต่ตัวเองกลับก้มหน้างุดๆ ด้วยความเคอะเขิน

   “งั้นก็ไม่ปล่อย ให้ฉี่ราดที่นอนนี่ล่ะ” โอ้ย! จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว

   “ไอ้บ้า!” ผมทุบอกของคนตรงหน้าเบาๆ เพราะถูกกอดอยู่จึงทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก “ทีเดียวนะ”

   “อืมมม” คนตัวใหญ่ว่าด้วยเสียงยาน และริมฝีปากที่กระตุกยิ้มบางๆ ด้วยความพอใจ

   ฟอด!

   ผมชะเง้อคอขึ้นไปหอมที่แก้มของคนที่สูงกว่าที่กำลังทำแก้มป่องๆ รออยู่แล้วด้วยความเขินขั้นสุดยอด

   จุ๊บ!

   แต่ไอ้คนขี้โกงก็เอาเปรียบผมอีกจนได้ หลังที่ผมถอนริมฝีปากออกจากแก้มไม่ถึงวินาที มือใหญ่ทั้งคู่ก็จับใบหน้าของผมประคองไว้ ก่อนที่ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อนั้นจะชิงจูบผมอีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง

   “มอนิ่งคิสครับ ฟร๊องก์ของปาร์ค” ปาร์คพูดอย่างแผ่วเบาและอบอุ่นไปถึงหัวใจหลังจากที่ถอนริมฝีปากออก และคำพูดนั้นก็เล่นเอาใบหน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมาแทบจะทันที

   “ไอ้บ้า! ฉวยโอกาส ปล่อยเลย!” ผมว่า แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มออกมาอย่างหักห้ามตัวเองไม่ได้ ก่อนจะผลักตัวเองให้ออกห่างจากคนเจ้าเล่ห์นี้

   “ฮ่าๆ ‘เมีย’ ใครไม่รู้ น่ารักเป็นบ้า” เมื่อกี้หูผมแว่วไปเองหรือเปล่า ผมได้ยินอะไร เมียๆ นะ ผมได้ยินผิดไปหรือเปล่า ปาร์คเรียกผมว่า... เมีย!

   “บ้า!” ผมว่าเสียงดังก่อนจะรีบวิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำแบบลืมความเจ็บที่ช่องด้านหลังไปทันที โอ้ย! หัวใจผมเต้นแรงมากจนมันจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว แถมใบหน้าผมก็ร้อนจนแทบไหม้

   ผมยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมเองก็มีความกังวลอยู่ไม่น้อย ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ผมรู้ว่ามันจะต้องมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน ผมนอนด้วยความหวาดหวั่นว่าตื่นมาในวันนี้ผมกับปาร์คจะมองหน้ากันได้อยู่ไหม เราจะมองกันด้วยสายตาแบบไหน และความรู้สึกเราจะแปรเปลี่ยนไปเป็นเช่นใด เพราะการกระทำนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของผมไปตลอดกาล

   ตลอดทั้งคืนผมนอนคิดมากและกลัวมากว่าปาร์คจะเปลี่ยนไปอีก กลัวปาร์คจะทิ้งผมไป โดยไม่หันมามองผมอีก แต่ตอนนี้หัวใจผมกลับพองโต กลืนกินความกังวล ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้หมดแล้ว เพราะการกระทำข้างคนที่อยู่ข้างกายผมเมื่อครู่ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปจริงๆ แต่มันไม่ได้เปลี่ยนไปในแบบที่ผมคิด ผมคงเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากนะครับ ที่มักจะคิดอะไรร้ายๆ ไปก่อนแล้ว ทั้งที่มันยังไม่เกิดหรืออาจจะไม่ได้เกิดเลยด้วยซ้ำ

   ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกระทำและการตัดสินใจเรื่องเมื่อคืนของปาร์ค ได้ครอบครองพื้นที่หัวใจของผมไปจนเต็มเปี่ยมเป็นที่เรียบร้อย ผมมีความสุขมากจนแทบจะสำลักมันออกมา สถานะที่แปรเปลี่ยนมันเหมือนเสียงระฆังที่ดังสนั่นอยู่ที่เส้นชัย พร้อมกับหัวใจดวงนั้นที่ผมวิ่งตามมานานแสนนาน ตอนนี้ผมได้มาหยุดอยู่ที่จุดหมายแล้ว หยุดพร้อมกับหัวใจที่มาอยู่เคียงข้างผมโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยไขว่คว้ามันอีก

**********__________**********

   ผมใช้เวลาในห้องน้ำทำธุระส่วนตัว แล้วก็จัดการอาบน้ำเพื่อความสดชื่น ก่อนจะกลับออกมาในชุดของปาร์คชุดเดิมที่ใส่นอนเมื่อคืน เมื่อออกมา ผมก็เดินไปรื้อชุดเปลี่ยนในตู้เสื้อผ้าของเจ้าของห้องราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของอีกคนก็ไม่ปาน ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบในห้องน้ำ

   “เมื่อกี้มีคนโทรมา!” ปาร์คพูดเสียงแข็งขณะที่มือถือโทรศัพท์ของผมอยู่ เป็นอะไรขึ้นมา อยู่ๆ ก็อารมณ์เสีย ก่อนหน้ายังกวนอยู่เลย

   “ใครอ่ะ” ผมเดินเช็ดหัวพลางๆ ไปนั่งลงบนเตียงข้างๆ ปาร์ค

   “ไม่รู้!” ปาร์คว่าแล้วเอาโทรศัพท์มาวาง (กระแทก) ลงใกล้ๆ ขาผม แล้วลุกออกจากเตียงไป

   “อะไรของมัน“ ผมทำหน้างงๆ กับท่าทางของปาร์ค แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู

   ไม่เห็นมีสายที่ไม่ได้รับเลย เมื่อผมเปิดเช็คว่าใครโทรฯ มาเมื่อกี้ตามที่ปาร์คบอก แต่ก็ต้องไปสะดุดกับเบอร์ของเก็ทที่เพิ่งโทรฯ เข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้ปาร์ครับโทรศัพท์ แต่ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนกำลังโกรธผมแบบนั้นด้วย

   “ฮัลโหลเก็ท” ผมโทรกลับไปหาเก็ททันที เผื่อมีเรื่องด่วน

   [อืม รู้แล้วว่าวันนี้ไม่ไปเรียน] เก็ทตอบกลับมาเสียงราบเรียบ ผมถึงออกว่าวันนี้ผมมีเรียน! ลืมไปเลยจริงๆ ที่เก็ทโทรฯ มาก็คงเพราะจะมารับผมหรือไม่ก็มาถึงหน้าหอแล้ว วันนี้วันจันทร์ผมมีเรียนเช้าด้วย

   “อ่ะ... อืม แวะมารับแล้วหรอ โทษทีไม่ได้โทรฯ บอกก่อน ลืมเลยเหมือนกันว่ามีเรียน ฮ่าๆ”

   [ไม่เป็นไร แค่นี้แหละ ไม่รบกวนล่ะ] เก็ทว่าก่อนจะวางสายไป

   ผมยักไหล่เล็กน้อยกับอาการแปลกๆ ของทั้งสองคน ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม แล้วตากผ้าขนหนู ว่าไปก็หิวอยู่เหมือนกันนะ ออกไปหาอะไรรองท้องหน่อยดีกว่า เมื่อวานเย็นก็กินแค่ไส้กรอก แถมตอนกลางคืนยัง... ใช้พลังการไปเยอะ

   แน่นอนว่าในตู้เย็นก็ไม่ค่อยมีอะไรที่ทำกินได้เท่าไรหรอก ผมเชื่อว่าปาร์คแทบจะไม่เคยทำอาหารกินเองในห้องเลย อย่างมากก็คงแค่อบไส้กรอก ไม่ก็ทอดไข่แค่นั้นแหละ แต่เป็นผมไปซื้อกินก็สะดวกกว่านะ ไม่ต้องเตรียม ไม่ต้องเก็บล้างอีกต่างหาก
 
   ผมหยิบไส้กรอกออกมาถุงหนึ่ง ไข่อีก 2 ฟอง โชคดีที่มีผักอยู่ ที่มีคือกะหล่ำปลี ผมเลยหยิบมันออกมาด้วยเลย กะจะผัดมาม่าเนี่ยล่ะ ง่ายดี ว่าแล้วผมหยิบซองมาม่ามาลวกน้ำให้เส้นมันสุกก่อน ก่อนจะจัดการหั่นกะหล่ำปลี

   “ทำไรอ่ะ!” จู่ๆ ปาร์คก็โผล่มาข้างหลังพร้อมกับทำเสียงดังที่ข้างหูผม

   “โอ้ย!” ผมร้องออกมาเพราะถูกมีดบาดเข้าที่นิ้วเต็มๆ เลย เพราะมันเลย! แม่งโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมด! โอ้ย! เจ็บชิบ!

   “เห้ย! ขอโทษๆ เจ็บไหม” ปาร์คพูดด้วยท่าทีตระหนกทันที ก่อนจะคว้ามือข้างที่ถูกมีดบาดขึ้นไปดูแผล

   “เจ็บดิ!” ผมตอบกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง ไม่ได้โกรธมันหรอกครับ แต่กำลังเจ็บอยู่มากกว่า

   “ขอโทษนะ” ปาร์คว่าก่อนจะคว้านิ้วที่ถูกมีดบาดนั้นไปดูด เป็นแวมไพร์เหรอ ดูดเลือดเนี่ย มันเรียนที่ไหนมาว่าให้ดูดห้ามเลือด เขามีแต่ดูดเลือดเพื่อดูดพิษออกไม่ใช่เหรอ 

   “ปาร์ค” ผมมองหน้าปาร์คด้วยความตกใจ ส่วนปาร์คก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะยิ้มบางๆ ทั้งที่ปากยังดูดนิ้ว นิ้วนั้นของผมอยู่

   “ล้างแผล แล้วทายาก่อน เดี๋ยวปาร์คมาช่วยทำต่อ” แล้วปาร์คก็พาผมมานั่งทำแผล จริงๆ แผลไม่ได้ลึกมากเท่าไรหรอกครับ แต่ก็แสบใช้ได้เลย ดีที่ผมไม่ได้หั่นไปเต็มแรง ไม่งั้นมีหวังนิ้วผมคงได้ขาดไปแล้ว

   ผมนั่งมองปาร์คที่กำลังทำแผลให้ผมอย่างตั้งใจ ใบหน้าที่ดูหมองลงนิดหน่อย คงเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้ผมต้องเจ็บตัวแบบนี้ล่ะมั้ง ปาร์คทายาและติดพลาสเตอร์ยาให้ผมอย่างเบามือ ก่อนที่เป่าที่แผลเบาๆ เหมือนพ่อแม่ที่ชอบเป่าแผลให้ตอนเด็กๆ แบบขอให้หายเร็วๆ อะไรแบบนั้น มันทำให้ผมยิ้มออกกับภาพความน่ารักของคนตรงหน้า

   “เสร็จแล้ว หายไวๆ นะ” ปาร์คเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะแอบเศร้าไปหน่อย

   “ขอบใจนะ” ผมยิ้มตอบ

   “จะทำอะไรให้ปาร์คกินเนี่ย ไปทำต่อกัน” แล้วปาร์คก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมทั้งดึงผมให้ลุกตามด้วย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง

   แล้วเราก็กลับมาทำอาหารด้วยความสนุกสนาน สนุกมากจนมันเหมือนจะเป็นความวุ่นวายเล็กๆ มากกว่า ต่างคนก็ต่างแกล้งกันไปมา จากแค่ล้างผักธรรมดาก็กลายเป็นการเล่นสงกรานต์ วักน้ำใส่กันจนเปียกไปหมด แผลที่ทำไว้ก่อนหน้า พลาสเตอร์ที่ปิดแผลไว้ก็เปียกซกเลยครับ พื้นห้องครัวก็เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำ แต่หลังเล่นกันสักพักก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อผมเริ่มจับกระทะเพื่อจะผัดสักที ไม่งั้นคงไม่ได้กินล่ะครับวันนี้

   ผมประจำหน้าที่เชฟ ส่วนปาร์คเป็นผู้ช่วยครับ แต่ช่วยให้เละหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆ ระหว่างผัดไป ผมก็หันไปสั่งให้ปาร์คหยิบโน้นนี่ใส่ไปด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็เชื่องดีครับ ทำตามทุกอย่างเลย ใช้ได้ๆ เชื่อฟังคำสั่งได้ดี

   “น่ากินอ่ะ” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แค่ผัดมาม่าเนี่ยนะ เว่อร์ไปเปล่าไอ้นี่

   “หมายถึงฟร๊องก์หรือผัดมาม่า” ผมหันกลับมองปาร์คก่อนจะยักคิ้วกวนๆ กลับไป

   “อย่ามากวน เดี๋ยวจะไม่ได้กลับหออีกวัน!” ปาร์คว่าพร้อมกับส่งหลังมือมาเขกหัวผมเบาๆ

   “ไอ้หื่น! ไปเอาจานมาเลย เสร็จแล้ว” ผมด่าออกไปด้วยความเขิน ก่อนจะไล่มันไปเอาจานทันที เล่นเอง เจ็บเอง บ้าที่สุด!

   ในที่สุดมาม่าผัดสูตรเด็ดของผมก็เสร็จเรียบร้อยครับ พูดให้ดูดีไปงั้น ทั้งที่จริงมันไม่ได้มีอะไรเลย แค่เส้นมาม่า ไข่ ไส้กรอกยี่ห้อดีหน่อย แล้วก็กะหล่ำปลี ผัดๆ ปรุงรส(ตามใจผม)แค่นั้นเอง กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็ต้องกิน สำหรับมันผมบังคับให้กินสถานเดียวครับ!

   “เห้ยอร่อยเหมือนกันนี่!” หลังจากที่เราสองคนยกมานั่งกินกันหน้าทีวี ชิมไปแค่คำเดียวปาร์คก็พูดออกมาด้วยเสียงตื่นเต้นปนทึ่ง

   “แน่น๊อน! ฟร๊องก์ซะอย่าง” ผมหันไปยักคิ้วให้อีกรอบพลางยิ้มกวนๆ

   “หลงตัวเองโคตรเลย!” ปาร์คว่าขำๆ พร้อมกับผลักหัวผมเบาๆ

   แล้วผมกับปาร์คก็นั่งกินกันไป หัวเราะกันไป รวมทั้งแกล้งกันไปด้วย ท่าทางอารมณ์เสีย หรือแอบเคืองของปาร์คก่อนหน้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมเองก็ลืมๆ ไปเหมือนกันครับ ส่วนเจ้าตัวนี่คงลืมไปเสียสนิทเลยแหละ นั่งแกล้งผมขนาดนี้

   “เออ... คนที่โทรมาเป็นเพื่อนเหรอ” เมื่อกินหมด เราก็นั่งพักท้องกันครู่หนึ่ง อยู่ๆ ปาร์คก็ถามขึ้น นึกว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก

   “เก็ทอ่ะเหรอ เพื่อนที่ม.แหละ” ผมตอบสบายๆ ไปตามความเป็นจริง

   “งั้นเหรอ แล้วใช่คนนี้หรือเปล่าที่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันตอนดึกๆ” ปาร์คพูดเสียงเรียบ สายตาจ้องมองตรงไปยังโทรทัศน์เบื้องหน้าอย่างเดาอารมณ์และความคิดไม่ถูก

   “อืม คนนี้แหละ จริงๆ ไม่ได้ไปด้วยกันตอนดึกๆ สักหน่อย เว่อร์ไป เก็ทเป็นเพื่อนในกลุ่มฟร๊องก์เนี่ยล่ะ แค่ฟร๊องก์จะติดรถไปไหนมาไหนด้วยตลอด” ผมทำเป็นพูดติดตลกเพื่อพยายามดึงบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียด

   “แล้ว... เคยมีอะไรกันเปล่า”

   “เห้ย! บ้าแล้ว! ฟร๊องก์กับเก็ทเป็นแค่เพื่อนกันนะปาร์ค!” ผมว่าเสียงดังด้วยท่าทางที่จริงจังและไม่พอใจ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วตัวเองขมวดเป็นโบว์

   “ก็ปาร์ค... หวง” ปาร์คพูดเสียงแผ่วเบาจนผมเองก็แทบไม่ได้ยิน แต่มันก็ทำให้ผมยิ้มเขินได้เหมือนกัน

   “หวงเหรอ” ผมแกล้งเอาไหล่ไปกระแซะๆ ปาร์ค

   “เปล่า!”

   “จริงอ่ะ” ผมไม่ยอมเลิกง่ายๆ หรอกครับ อยากได้ยินชัดๆ

   ตุบ!

   เพราะผมเล่นไม่เลิก ปาร์คเลยหันมาจับไหลทั้งสองข้างของผมแล้วกดตัวผมนอนราบลงไปกับโซฟา โดยที่ตัวมันจ้องหน้าผมอยู่ด้านบน

   “หวง! หวงมากด้วย!” ปาร์คว่าด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจัง พร้อมกับดวงตาคมกริบที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมราวกับกำลังบอกให้ผมรับรู้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้จริงจังแค่ไหน

   “...” ผมพูดอะไรไม่ออก ดวงตาโตๆ ของผมก็ไม่อาจต้านทานดวงตาคมดุจดวงตาเหยี่ยวคู่นั้นจนต้องหลบสายตาเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่หัวใจของผมที่แพ้พ่ายอย่างราบคราบให้กับคนตรงหน้า

   “อย่าทำแบบนี้กับใครรู้ไหม” เสียงของปาร์คอ่อนลง น้ำเสียงที่แฝงด้วยความออดอ้อน เว้าวอน

   “อืม... ปาร์คปล่อยฟร๊องก์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะได้ไปล้างจาน” ผมรับปาก ก่อนจะดันตัวปาร์คให้ลุกขึ้นเบาๆ บรรยากาศแบบนี้ผมเดาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และตัวผมยังไม่พร้อมจะรับศึกหนักอีกครั้ง แค่เมื่อคืน... ก็เหนื่อยพอแล้วครับ

**********__________**********

   ตอนนี้ผมกลับมาถึงหอตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรน่ะเหรอ คุณกำลังคิดว่าอะไรอยู่ล่ะ ลองเดาดูดิ ฮ่าๆ ติ๊กตอกๆ ...

   อ๊ะๆ บอกก็ได้ มันไม่มีอะไรเลยครับ แค่ปาร์คพาผมออกไปดูหนัง แล้วก็เดินเล่นนิดๆ หน่อย และก่อนกลับเราสองคนก็หาอะไรยัดลงกระเพาะกันอีกหน่อย แต่ปาร์คสิครับโคตรเอาเปรียบผมเลย ก็มันเล่นแต่งตัวซะหล่อเชียว เสื้อเท่ๆ กับกางเกงยีนส์ขายาว ในระหว่างที่ผมใส่ชุดเดิม(อีกแล้ว)ของเมื่อวาน ลองย้อนกลับไปอ่านดูแล้วกันว่าผมแต่งอย่างไร แต่เอาง่ายๆ ว่ามาเดินคู่กับปาร์คแล้ว เหมือนเป็นเด็กถือของ เด็กรับใช้ที่บ้านอย่างไรอย่างนั้น แต่เรื่องมันน่าตื่นเต้นขึ้นอีกนิด แทนที่จะน่าเบื่อเกินไป คือในระหว่างที่เราเดินเลือกร้านอาหารอยู่นั้น ส่วนมากจะเถียงกันมากกว่าว่าตกลงแล้วจะกินอะไร เราบังเอิญเจอกับชัญญ่า แฟนของเก็ทเข้าครับ

   “อ้าว ฟร๊องก์!” ร่างเพรียวบางในชุดนักศึกษาปรากฏขึ้นตรงหน้าผมของและปาร์คพร้อมกับน้ำเสียงหวานแหลมที่ดูมั่นใจ

   “อ้าวญ่า เป็นไงมาไงเนี่ย” ผมส่งยิ้มร่าทักทาย จะว่าไปผมกับชัญญ่าก็คุยกันบ่อยเหมือนกันนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นในไลน์ แต่ก็จะมีฝ่ายสาวเจ้าที่โทรมาสนทนาในประเด็นเด็ดประเด็นร้อนด้วย อย่างล่าสุดที่เธอโทรมาคุยก็เป็นเรื่องของเพื่อนตัวปัญหาของเธอคนนั้น ยังจำได้ไหมครับ คนที่กุเรื่องให้ชัญญ่าเข้าใจผมกับเก็ทผิด เธอไปจัดการมาเรียบร้อยแล้ว

   ผมก็นั่งฟังคร่าวๆ นะครับ เพราะมันคงดูไม่ดีนักถ้าจะแสดงความเห็นหรือใส่อารมณ์มากเกินไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ของผม แต่ก็พอจับใจความได้ประมาณว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของชัญญ่า ซึ่งแม่นั่นก็ชอบเก็ทมาตั้งแต่มัธยม แต่ด้วยความที่เก็ทเป็นคนที่ท่าทางเย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม่นั่นเลยไม่ประสบความสำเร็จ จนเก็ทเปิดตัวว่าคบกับชัญญ่า เธอก็ค่อยๆ ตีสนิทกับชัญญ่าและกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอเพื่อคอยหาเรื่อง แต่งเรื่องบ้างเล็กๆ น้อยๆ ให้ทั้งเก็ทและชัญญ่าต้องทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่หนักหนานัก เพราะทั้งคู่ค่อนข้างเชื่อใจกัน แถมยังมีโลกส่วนตัวสูงทั้งคู่อีกต่างหาก จนมาล่าสุดที่เธอมากุเรื่องของผมกับเก็ทเนี่ยแหละครับ เพราะเธออยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผม คงจะเห็นมั้งว่าผมไปไหนมาไหนกับเก็ทตลอด เลยเก็บข้อมูล ประจวบกับวันที่เกิดเรื่อง เธอเลยได้หลักฐานชิ้นเด็ดเพื่อมาใช้ยืนยันว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง และที่แย่ไปกว่านั้นคือชัญญ่ากับเก็ทก็แอบงอนง้อกันมาก่อนหน้านั้นแล้วด้วย พอมีเรื่องนี้เข้ามาอีกเลยทะเลาะกันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต

   ส่วนชัญญ่าจัดการกับแม่นั่นอย่างไร ผมก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันครับ แต่รู้สึกว่าจะเจ็บแสบพอสมควรเลย ชัญญ่าบอกว่าใช้เวลารวบรวมข้อมูล หลักฐานพฤติกรรมของผู้หญิงคนนั้นอยู่นานพอสมควร ทั้งสืบจากคนใกล้ตัวโน้นนี่เต็มไปหมดเลยครับ จนสุดท้ายเธอก็ได้หลักฐานเด็ดๆ มาจัดการกับเจ้าหล่อน โดยส่งทุกอย่างไปให้แฟนผู้หญิงคนนั้นมั้ง จนทะเลาะกันใหญ่โต ถึงขั้นเลิกกันเลย ตอนแรกผมก็พูดๆ กลับไปนะว่าชัญญ่าทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า แต่ชัญญ่าก็อธิบายมาครับว่าก่อนหน้านี้เธอก็คิดอยู่ว่ามันจะเป็นบาปกรรมไหม แต่พอเธอสืบประวัติเพื่อนตัวร้ายคนนี้ของเธอเรียบร้อย เธอก็ได้รู้ว่า แฟนที่เจ้าหล่อนนั่นคบยาวนานที่สุดก็เพราะว่ารวย คบเพื่อหลอกเอาเงิน ทั้งที่ตัวเองก็ยังมีกิ๊ก และมีอะไรต่อมิอะไรกับผู้ชายอื่นไปทั่ว เห้อ... คนเราก็เนอะ บางทีรอปล่อยให้กรรมตามสนองอย่างเดียวก็อาจจะไม่พอจริงๆ หลังจากจบเรื่องนั้น ชัญญ่าก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัวกับการที่จะถูกแก้แค้นอีกนะครับ เพราะประวัติอันฉาวโฉ่ของหล่อนนางนั้นมีเยอะมากจนถ้าชัญญ่างัดออกมาโชว์เพิ่มจริงๆ แม่นั่นคงไม่ได้ผุดได้เกิด งานนี้ทำให้ผมรู้สึกเลยครับว่ามีเรื่องกับผู้หญิง อันตรายมากจริงๆ มันเท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ส่งยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้

   “ก็เลิกเรียนแล้วก็มาอ่ะ เบื่อๆ ว่าแต่ฟร๊องก์เถอะ ทำไมวันนี้มาไกลจัง แล้วมากับใครเนี่ย” ชัญญ่าตอบคำถามของผมอย่างฉะฉาน ก่อนจะส่งคำถามกลับมายังผมเช่นกัน เธอมองผมด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเหลือบมองไปยังปาร์คที่ยืนงงๆ กับบทสนทนาของเราสองคนอยู่ข้างๆ ผม

   “อ่ะ... อ๋อ นี่... เพื่อนฟร๊องก์น่ะ ชื่อปาร์ค” ผมแค่นยิ้มก่อนจะพูดออกไปอย่างยากลำบากกับสถานะที่มันยังดูคลุมเครือ ไม่ชัดเจน แต่ก็ต้องพูดออกไป ผมเน้นคำว่าเพื่อนหนักกว่าคำอื่นๆ เพราะตอนนี้มันคงเป็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับผมและปาร์ค

   “อ๋อออ... เพื่อนนน...” ชัญญ่าทำเสียงยาวพร้อมยิ้มให้ผมอย่างมีเลศนัย “เราชัญญ่านะ เป็นเพื่อนฟร๊องก์เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก” ก่อนที่เธอจะหันไปทำความรู้จักกับปาร์คอย่างสนิทสนม ผมเองก็แอบขำกับท่าทางของชัญญ่าเหมือนกัน แต่ไม่ได้หันไปมองปาร์คว่าจะมีสีหน้าอย่างไรกับการโจมตีแบบซึ่งๆ เช่นนี้

   “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” ปาร์คตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ

   “แล้วนี่จะไปไหนกันต่อเหรอ”

   “ว่าจะไปหาอะไรกินน่ะ” ผมตอบ

   “ชัญญ่าไปด้วยกันไหม” เป็นปาร์คครับที่ถามขึ้นมา ปกติแล้วปาร์คเป็นคนเข้ากับคนได้ง่ายครับ แล้วยิ่งคนที่เป็นกันเองอย่างชัญญ่าด้วย เลยไม่แปลกที่จะเริ่มทำความรู้จักกันได้ไว ดูอย่างผมที่การเข้าสังคมเกือบติดลบสิ ยังสนิทกับชัญญ่าได้ไวขนาดนี้เลย เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องพิธีรีตอง ไม่ต้องวางตัว ใส่หน้ากากเข้าหากันมั้งครับ เลยทำให้ผมรู้สึกว่าชัญญ่าเป็นอีกคนที่น่าคบหาสมาคมด้วย

   “อุ๊ย! ว่าจะชวนอยู่พอดีเลย ไปสิๆ จะได้คุยกันยาวๆ” เพราะแบบนี้แหละครับ ถึงทำให้สนิทกับเธอได้ง่าย แม้บุคลิกภายนอกจะดูเข้าถึงยาก ดูหยิ่งดูแรง แต่พอได้รู้จักจริงๆ ผู้หญิงที่แต่งตัวเปรี้ยวแบบนี้ก็มีนิสัยน่ารักๆ อยู่เหมือนกัน

   “นี่ยังเถียงกับปาร์คอยู่เลยว่าจะกินอะไรกันดี ฟร๊องก์อ่ะอยากกินปิ้งย่าง แต่ปาร์คอยากกินอะไรต้มๆ” ผมว่าพลางเหลือบมองปาร์คที่ยังคงเดินข้างๆ แบบงอนๆ ชอบบรรยากาศแบบนี้จัง

   “งั้นเอางี้... ไปกินร้านส้มตำกัน ฟร๊องก์สั่งไก่ย่าง ส่วนปาร์คก็สั่งต้มแซ่บ เป็นไง ได้กินอย่างที่ต้องการ ครบเป๊ะ!” ชัญญ่าดีดนิ้วอย่างถูกใจ เล่นเอาผมสองคนหลุดขำออกมาอย่างไม่ได้นัดหมาย เออมันก็จริงของชัญญ่านะครับ ได้ทั้งอาหารปิ้งย่างและอาหารแบบน้ำต้มๆ เลย ก็คิดได้เนอะ

   “ฮ่าๆ ตามนั้นก็ได้” ปาร์ครับคำอย่างชอบใจ พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

   จากนั้นเราก็ไปจบกันอยู่ในร้านส้มตำสไตล์ร้านขึ้นห้างล่ะครับ บรรยากาศบนโต๊ะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ โดยมีชัญญ่าเป็นตัวชูโรง รวมทั้งปาร์คเองที่ก็ผลัดกันเล่นรับส่งมุกกันไปมา ส่วนผมก็มีเสริมๆ บ้างแต่ตามไม่ค่อยทันเท่าไร ส่วนใหญ่จะนั่งขำอย่างเดียวเลยครับ เผลอแป๊บเดียว สองคนนี้ก็ดูสนิทกันไปซะแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกว่าชัญญ่าเนียนมากในการแทรกคำถามที่เป็นการล้วงข้อมูลระหว่างผมกับปาร์ค ซึ่งบางทีเราก็รู้ทัน และบางครั้งใครสักคนก็หลุดพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ผมว่าชัญญ่าเก็บข้อมูลไปได้เพียบเลยแหละครับ หลังจากจบมื้ออาหารที่มีบรรยากาศไม่ต่างจากตลกคาเฟ่ เราสามคนก็เดินคุยกันต่อสักพักจนในที่สุดที่บ้านชัญญ่าก็โทรมาตามบอกว่ามีธุระด่วนจึงต้องแยกกัน ผมว่าถ้าทางบ้านของชัญญ่าไม่โทรมา พวกเราคงคุยกันยันห้างปิด ฮ่าๆ ผมอยากเห็นเหมือนกันนะ เวลาที่เก็ทกับชัญญ่าอยู่ด้วยกันสองคน มันจะเป็นอย่างไร คนหนึ่งก็มาดนิ่ง ขี้เก็ก เย็นชาซะเหลือเกิน แต่อีกคนก็วางท่าเปรี้ยวมั่นใจซะ แต่จริงๆ แล้วกลับตบมุกตลกได้เพียบ เป็นคู่ที่แปลกดีเหมือนกันนะ และวันนี้ผมก็ได้เห็นอีกมุมของปาร์คกับคนที่เพิ่งจะรู้จัก ปาร์คเองก็สามารถวางตัวและเข้ากับคนได้ดีและเป็นกันเองมากๆ ที่สำคัญ มันดูน่ารักมากในสายตาผม      

   เรื่องยังมีต่ออีกนิด แต่ก็แค่... เอ่อ... ตอนที่ปาร์คมาส่งผมที่หอแล้ว ก่อนที่ผมจะลงจากรถ ปาร์คก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด ก่อนจะหอมผมฟอดใหญ่ที่แก้มทั้งสองข้าง ก่อนจะคลอเคลียใบหน้าตัวเองอยู่ที่หัวไหล่ของผมอยู่สักพักจึงปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ส่วนผมหลังจากลงจากรถก็รีบเข้าหอไปทันทีเลยครับ เห็นตัวเองผ่านกระจกภายในลิฟต์ก็รู้ทันทีว่าผมกำลังเขินแค่ไหน ก็หน้าและใบหูที่แดงราวกับลูกตำลึงสุกของผมที่สะท้อนอยู่บนกระจกนั่นสิครับ เป็นหลักฐานมัดตัวชั้นดี ยังไงผมก็ยังไม่ชินหรอกครับ ที่จะให้ปาร์คมันมากอด มาหอม หรือแม้แต่... จูบ

   สำหรับผมในตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือความสมหวังหรือเปล่าที่คนที่ผมรัก มาอยู่เคียงข้าง แต่ผมคงไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้แล้ว จริงๆ ผมไม่ได้หวังและไม่เคยหวังว่าผมจะได้รับอะไรมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ แม้ว่าในวันนี้สถานะด้านความสัมพันธ์ของผมกับปาร์คจะยังไม่เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน แต่ผมรับรู้ได้ว่าหัวใจและความรู้สึกของเราสองคนนั้นเด่นชัดและแจ่มแจ้งเพียงใด

   วันพรุ่งนี้ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะต้องเผชิญอะไร ผมพร้อมจะจับมือปาร์คแล้วเดินต่อไป ผมอยากให้ปาร์ครับรู้ว่ามันยังคงมีผมอยู่เคียงข้างเสมอ ไม่ว่าทางจะไกลแค่ไหน แค่ขอให้มันพร้อมจะจับมือผมไปเช่นกัน

   หลังจากวันนั้นมา ผมรู้สึกว่าอะไรมันก็ดีขึ้น โลกของผมดูสดใสขึ้น ปาร์คโทรหาผมบ่อยขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่เราทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันเหมือนแต่ก่อน แต่ผมว่าก็ไม่อึดอัดเท่าเดิม แถมทุกครั้งที่โทรมา การพูดจาของปาร์คก็ดูหยอกล้อผมมากขึ้น หรือแม้แต่บางครั้งก็มีแอบเลียนจนผมเองก็อยากจะอ้วกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ช่วงเวลาที่ได้คุยกับมันก็ยังคงเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอยู่ดี


à suivre...

ยังไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น 555+ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดีกันแบบนี้ต่อไปหรือเปล่า หุหุ

เราขอน้อมรับทุกคอมเม้นต์น๊า ขอบคุณมากๆ ที่ทำให้เรารู้ข้อดี และข้อผิดพลาดในงานของเรา  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 16 P.2 [25/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 25-05-2017 21:34:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 16 P.2 [25/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 25-05-2017 22:27:55
มันดูพันพันและมีสัญญา บางอย่าง ไม่รู้สึกแฮปปี้เลยเรา รู้สึกหน่วงล่วงหน้ามาก 555
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 16 P.2 [25/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-05-2017 01:39:05
มันรู้สึกแปลกๆ อ่ะ คงเพราะยังไม่รู้ความรู้สึกจริงๆ ของปาร์คมั้งว่ารักฟร็องจริงหรือเปล่า ถึงไม่ได้มีความรู้สึกยินดีไปด้วยกับฟร็อง แต่เราขอถามหน่อยเถอะนะปาร์คเพื่อนกันเขาไม่เอากันแบบนี้หรอกนะ รีบๆ รู้ใจตัวเองเร็วๆ ล่ะก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 17 P.2 [28/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 28-05-2017 19:51:45
Chapitre 17

   วันนี้วันเสาร์ครับ แน่นอนว่าผมอยู่บ้าน กลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ เด็กติดบ้านก็งี้แหละ อย่างไรซะอยู่กับพ่อแม่ก็สบายใจสุด แต่เดี๋ยวผมจะออกไปเที่ยวล่ะครับ (ไหนว่าจะอยู่กับพ่อแม่) แคมป์กับแซนด์นัดเอาไว้ พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกันนะ ตั้งแต่หลังวันเกิดปาร์คมา ไม่ได้เจอกันเลย ปกติพวกผมไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครับ นัดเดินช้อปปิ้ง นัดกินข้าว เม้าธ์มอยตามประสา แต่ส่วนใหญ่จะรอแซนด์กลับมาบ้านก่อนครับ ถึงจะนัดกัน เพราะแซนด์เป็นคนเดียวที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างที่ ทางภาคตะวันออกแหละครับ ไปอยู่หอที่โน้นแล้วก็ไม่ได้กลับมาบ่อยเท่าไร มันบอกว่าขี้เกียจนั่งรถครับ

   วันนี้เรานัดกันไปเดินชิลล์ๆ กันที่หอศิลป์ฯ กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นที่โปรด ที่ประจำของแซนด์เลย มันเรียนศิลปกรรมครับ ที่นี่เลยเป็นทางของมันเลย อยู่ได้เป็นวันๆ ผมเองก็ชอบเรื่องพวกนี้นะ แค่วาดรูปอะไรไม่เก่ง ฮ่าๆ แต่ก็ชอบดูมันเพลินดี ส่วนแคมป์ไม่ต้องพูดถึงครับ เวลานัดมาที่นี่มันก็มักจะบ่นเป็นต่อยหอย บอกพามาทำไมน่าเบื่อ ว่าไปนั่น! อย่างว่าล่ะครับ ความชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนี่เนอะ

   “นัดกูมาที่นี่อีกและ มึงเลยอีแซนด์” มาถึงแคมป์บ่นทันทีเลยครับ แคมป์มาพร้อมกับแซนด์ ส่วนผมมาเจอที่นี่เลยครับ ผมรู้เลยว่าก่อนหน้านี้แคมป์คงบ่นแซนด์มาตลอดทาง

   “หัดดูศิลปะจรรโลมจิตใจบ้างเถอะมึงอ่ะ ดูแต่ผู้ชาย!” แซนด์กัดตอบเบาๆ ผมหัวเราะร่ากับการเถียงกันของสองคนนั้น จริงๆ เราสามคนชอบกัดกันไปมาแบบนี้อยู่แล้วแหละครับ แต่ก็น่าแปลกที่กลับสนิทกันอย่างกับอะไรดี

   เราเดินดูอะไรกันเรื่อยๆ ใช้เวลาอย่างไม่เร่งรีบนัก หยุดถ่ายรูปบ้าง นั่งบ้าง เมื่อเริ่มเหนื่อยเราก็แวะพักทานไอศกรีมกันก่อนครับ แล้วกะว่าจะไปออกไปหาอะไรทานกันฝั่งสยาม

   “มึงกับผัวเป็นไงบ้าง” แคมป์ถามขึ้นหลังจากที่เราสั่งไอศกรีมมานั่งกินที่โต๊ะเรียบร้อย มันไม่ได้ถามผมนะครับ ไม่ต้องตกใจ มันถามแซนด์ครับ เพราะก่อนหน้าเห็นแซนด์บ่นๆ ว่ามันมีปัญหากับแฟนนิดหน่อย

   “ก็จับได้ว่ามันคุยกับผู้หญิงอีกคนอยู่ กูเห็นในแชท สงสัยลืมลบมั้ง กรูเลยถามเลยว่าจะเอายังไง จะเลือกกูหรือชะนีนั่น” แซนด์พูดท่าทางสบายๆ เหมือนไม่ได้จริงจังเท่าไร แต่จริงๆ ผมก็รู้ครับว่ามันก็แอบเครียดอยู่เหมือนกัน

   “แฟนมึงก็ดีเนอะ กูเห็นมึงพูดแบบนี้ตลอดเวลาทะเลาะกัน แต่แม่งก็ไม่เลิก” ผมบอกขำๆ นี่เรื่องจริงเลยครับ เวลาที่แซนด์ทะเลาะกับแฟน มันก็จะชอบท้าว่าเลิกกันเลยไหม อะไรแบบเนี่ย แต่แฟนมันไม่เคยเลิกเลย มันเลยใช้มุกนี้เป็นข้ออ้างตลอด แต่ถ้าสักวันเกิดเลิกขึ้นมาจริงๆ คนที่เจ็บที่สุดคงไม่พ้นแซนด์หรอกครับ แต่มันก็เคยเปรยๆ ไว้ว่าที่มันพูดแบบนี้มันก็ทำใจไว้เสมอแหละ ยิ่งทะเลาะกันหนักๆ อย่างเรื่องนอกใจนี่ด้วย มันบอกว่ามันยิ่งต้องทำใจเลย ถ้าอยากไปมันก็จะปล่อย ไม่รั้งเอาไว้

   “แล้วมันว่าไง” แคมป์ถามต่อ

   “มันก็เลือกกูแหละ บอกกูว่าจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่รู้ว่ะ นี่ก็ครั้งที่สองแล้วนะ กูก็ไม่ค่อยเชื่อใจเหมือนเดิมแล้วว่ะ” แซนด์ว่าอย่างปลงๆ ผมก็พอเข้าใจแหละครับ เป็นใครก็ต้องเสียความรู้สึก แค่ครั้งแรกก็เสียความรู้สึกมากแล้วนะผมว่า แต่นี่สองครั้งแล้ว จะมีครั้งต่อไปเปล่าก็ไม่รู้

   “อย่าคิดมากมึง บอกฟรานด้วยว่าถ้าเหงา เรียกกูได้” ฟรานนี่คือชื่อแฟนแซนด์ครับ ผมเคยเจอเป็นคนแรกเลย ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวว่าคบกัน มันเหมือนเป็นการดูตัวอะไรแบบเนี่ยครับ แซนด์ก็ถามผมว่าเป็นยังไงดีไหม

   แฟนแซนด์ก็สไตล์เดียวกับแซนด์ล่ะครับ ติสๆ เหมือนกัน แนวๆ ครั้งแรกที่เจอฟรานไว้ผมยาวเหมือนผู้หญิงเลย ตัวผอมเหมือนกันทั้งคู่ แต่จัดว่าเป็นผู้ชายเซอร์ๆ ที่หน้าตาดีมากเลยทีเดียว ผมเห็นครั้งแรกนึกถึงพี่ซิน วง Singular เลย เหมือนมาก! ส่วนแคมป์เจอทีหลังผมครับ เจอตอนที่ฟรานตัดผมแล้ว ยิ่งดูหล่อขึ้นไปอีกครับ แคมป์เลยหลงเลย ชอบเข้าไปแหย่เล่นๆ เสมอ แต่ฟรานดูเป็นคนขี้อายเล็กๆ คงเพราะไม่ชินและไม่ได้สนิทกับพวกผมมากด้วยแหละ หรือจะกลัวก็ไม่รู้นะ เลยไม่ค่อยกล้าเล่นอะไรเท่าไร

   “เออ กูว่าจะบอกมันอยู่ แบ่งๆ กันกิน” แซนด์พูดไปหัวเราะไป ก่อนจะส่งฝ่ามือเล็กๆ แห้งๆ โบกเข้าเต็มๆ หัวแคมป์เลยครับ แต่มันก็เป็นการเล่นกันขำๆ มากกว่า แคมป์มันชอบแซวอะไรทะลึ่งๆ แบบนี้อยู่แล้ว สไตล์เดียวกับไวน์เลยเนอะ ทำไมเพื่อนแต่ละคนของผมถึงมีแต่แบบนี้ เอ๊ะ! หรือว่าผมเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ฮ่าๆ

   “ว่าแต่มึงเถอะ ได้ข่าวว่าผัวจับได้เหรอว่าแอบไปกินนอกบ้าน” ผมแกล้งหันไปแซวแคมป์ต่อทันที ตามข่าวที่ได้มา

   “แหมมึงก็ นิดหน่อย แต่จะว่าไปก็ไม่หน่อยนะมึง ใหญ่เชียว” ดูมันสิครับ ไม่ได้สำนึกอะไรเลย อาจจะฟังดูมั่วๆ นะครับ ซึ่งจริงๆ มันก็อาจจะมั่วจริง แคมป์เป็นคนที่ค่อนข้างรักสนุก (แต่ไม่อยากผูกพัน) แต่มันก็ป้องกันตัวเองทุกครั้ง และก็ไม่ได้กินมั่วซั่วแบบใครเข้ามาก็กินหมดอะไรแบบนั้น เรียกให้ถูกน่าจะต้องเรียกว่าไม่ได้มั่ว แต่ทั่วถึงมั้งครับ (ไม่ได้ต่าง)

   “สัด! ระวังเป็นเอดส์นะเมิง ถึงร้อยหรือยังล่ะ” ผมจิกกัดต่อ บางทีก็แอบอิจฉาแคมป์เบาๆ เหมือนกันนะ แต่ไม่ใช่อิจฉาในเรื่องอย่างว่านะ แต่เป็นเรื่องที่มันมีแต่คนเข้ามาขายขนมจีบเป็นประจำ เมื่อเทียบกับผมนี่ยังไม่เคยจะมีเป็นตัวเป็นตนเลยครับ ถ้าไม่นับ... ปาร์คที่เราเพิ่ง... มีอะไรกันไป... แถมมันยังเป็นครั้งแรกของผมอีกต่างหาก

   “พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกนะ พวกกูจะได้เตรียมทำโรงแก้วติดแอร์อย่างดีเอาไว้ให้” จัดว่าเป็นคำกัดที่เด็ดครับ โรงจำปาไม่เอาครับ อย่างมันต้องโรงแก้วอย่างดีไปเลย หมายถึงโรงศพอ่ะนะ

   “เออ! สัด” แคมป์ว่าขำๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาแทะเล็มไอศกรีมตรงหน้าต่อ อีกมือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย ผมที่นั่งข้างๆ ก็ทำหน้าที่เสือก เอ๊ย! ส่องสิครับว่าคุยอะไรกับใคร หึหึ ไม่ต้องเดาครับ มีแต่ผู้ชาย ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมาสนใจไอศกรีมตะโก้ของตัวเองต่อ

   “มาแอบดูของกู! ว่าแต่มึงเถอะ กับไอ้ปาร์คน่ะ ถึงไหนกันแล้ว ได้กันยัง” แค่นั่นล่ะครับ ไอติมแทบจะพุ่งออกจากปากเลยทีเดียว

   “แค่กๆ กะ... ก็เหมือนเดิม” ผมไม่รู้จะพูดอะไร จะให้บอกเรื่องนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดเท่าไร

   “ใจเย็น! ไอ้เหี้ยตกใจอย่างกับได้แล้วจริงๆ เออ! สรุปมันเป็นเกย์ป่ะวะ ทุกวันนี้กูยังสงสัย” แซนด์แทรกเข้ามาอย่างมีส่วนร่วม “แต่กูดูยังไงแม่งก็เกย์ว่ะ”

   “มันเป็นไบ! แดกได้หมด แต่ตอนนี้กูเห็นมันควงชะนีอยู่คนหนึ่ง กูเห็นที่มอหลายครั้งและ” แคมป์พูดด้วยท่าทางปกติ แต่ผมที่กำลังละเลียดไอศกรีมอยู่ถึงกับกลืนลงคออย่างยากลำบาก ปาร์คคบกับคนอื่นอยู่ นี่คือใจความที่ผมจับได้จากประโยคข้างต้น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ในใจผมกลับรู้สึกกระวนกระวายไปแล้ว

   “ไอ้นี่แม่งน่ากลัว” แซนด์เสริมทัพ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองผม แล้วก็เงียบไป คงเพราะสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไรนักของผมมั้งครับ พวกเราเลยจบบทสนาของเรื่องเอาไว้ที่แค่นั้น

**********__________**********

   เรานั่งกินไอศกรีมกันเสร็จสักพักแล้วแหละครับ ทั้งสองคนนั่งกดโทรศัพท์กันอย่างขะมักเขม้น ส่วนผมน่ะเหรอ ก็นั่งกดโทรศัพท์ดูนู้นนี่ไปพลางๆ แหละครับ เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมากเรื่องที่แคมป์พูด เพราะมันไม่มีหลักฐาน จริงไม่จริงก็ไม่รู้ บางทีผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะเป็นแค่เพื่อนก็ได้ ผมยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเลยนี่ครับ นี่คือที่ผมพยายามบอกตัวเองอยู่นะ แต่จริงๆ แล้วผมควบคุมจิตใจตัวเองให้หยุดคิดไม่ได้เลยมากกว่า แต่จะให้คิดว่าแคมป์ใส่ความก็คงไม่ใช่เรื่องนัก สุดท้ายก็ต้องพยายามบอกตัวเองให้เลิกฟุ้งซ้านสักที

   “อ้าวน้องฟร๊องก์” ขณะที่ผมกำลังเลื่อนดูภาพในโทรศัพท์เพลินๆ เสียงทุ้มๆ ที่ร้องทักชื่อผมของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกล

   “... อ้าวพี่หมาก หวัดดีฮะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองทางต้นเสียงก็พบกับพี่เทคสุดหล่อของผมยืนยิ้มกว้างจนตาแทบปิดอยู่ บังเอิญจังเลย ไม่ได้เจอพี่เขาสักพักแล้วเหมือน มีแค่เดินสวนกันบ้างที่มหาวิทยาลัย แต่ก็ได้แค่ส่งยิ้มทักทายตามมารยาท

   “มาเที่ยวเหรอ” น้ำเสียงอบอุ่นและรอยยิ้มสดใสของพี่เขายังคงเป็นแบบนี้เสมอ ตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง บางทีโดยรับน้อง โดยแรงกดดันจากการประชุมเชียร์มา พอได้ยินเสียงทุ้มๆ นี้พร้อมกับรอยยิ้มก็ทำให้ผมผ่อนคลายได้เหมือนกัน

   “ครับ มากับเพื่อนฟร๊องก์ นี่แคมป์ นี่แซนด์ครับ” ผมยิ้มตอบก่อนจะแนะนำแคมป์กับแซนด์ที่นั่งทำหน้างงๆ ว่าคนตรงหน้าเป็นใครให้พี่หมากได้รู้จัก

   “ยินดีที่ได้รู้นะครับน้องๆ ว่าแต่นี่จะไปไหนกันต่อ” พี่หมากยังคงส่งยิ้มหวานให้พวกผม ก่อนจะเดินมายังโต๊ะที่พวกเรานั่งกันอยู่

   “ว่าจะไปกินข้าวกันฝั่งสยามน่ะครับ แล้วพี่หมากล่ะ”

   “พี่ยังไม่มีโปรแกรมเลยครับ ถ้างั้นขอไปกินข้าวร่วมโต๊ะอีกคนพวกน้องจะรังเกียจไหม” พี่หมากหยอดคำหวานพร้อมกับรอยยิ้มนั้น ทำเอาทุกคนยิ้มออกกับภาพตรงหน้าเลยครับ

   “ไม่รังเกียจหรอกครับ ไปหลายๆ คนก็สนุกดี” แคมป์ชิงตอบพร้อมส่งยิ้มกว้างกลับไปทันที เร็วเหมือนกันนะเนี่ย เห็นใครหล่อหน่อยไม่ได้เลย

   “แล้วฟร๊องก์ว่าไงครับ” พี่หมากหันมารอฟังคำตอบจากผม แหม เพื่อนเปิดทางให้ขนาดนั้น จะไปก็ไปเถอะครับพี่

   “เพื่อนว่าไงก็ตามนั้นล่ะครับ” ผมตอบพร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้เขา

   จากนั้นไม่นานพวกเรา สี่กุมารหาญกล้า เห้ย! ไม่ใช่ พวกเราสี่คน ก็มาถึงร้านอาหารที่ตกลงว่าจะมากินกันก่อนหน้า แหมเล่นซะเก่าเลย สี่กุมาร ตั้งแต่สมัยไหนวะนั่น! แล้วเราทั้งสี่คนก็ย้ายร่างมาที่ร้านอาหารเด็ดร้านหนึ่งที่พี่หมากแนะนำ ซึ่งเดินจากหอศิลป์ฯ มาไกลพอสมควรเลยทีเดียว โชคดีที่ตอนนี้คนไม่ค่อยเท่าไรนัก พวกเราเลือกขึ้นไปนั่งชั้นบนเลยครับ เพราะมันรู้สึกสบาย สะอาดตา แถมยังไม่พลุกพล่านด้วย

   “อยากทานอะไรกันสั่งเลยนะครับ เดี๋ยวมื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่หมากพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นไม่เปลี่ยน แถมยังเป็นป๋าเลี้ยงพวกเราอีกต่างหาก ดูจากฐานะพี่หมากที่ชอบพาผมไปเลี้ยงบ่อยๆ ตอนปีหนึ่งแล้ว เขาก็ดูเป็นคนที่มีเงินอยู่ไม่ใช่น้อยเลยแหละครับ

   “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ หารๆ กันก็ได้” ผมตอบอย่างรักษามารยาท มันคงไม่ดีนักหรอกที่จะให้คนที่เพิ่งเจอโดยบังเอิญมาเลี้ยง

   “ใช่ครับ หารๆ กันก็ได้” แคมป์เสริมขึ้นมาอีกคน ส่วนแซนด์นั่งเงียบๆ ส่วนมากจะอยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์มากกว่า มันเคยโดยพวกผมด่าไปหลายรอบแล้วครับ ว่าเพื่อนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ในโทรศัพท์

   “ได้ไง พี่ขอมาด้วย อีกอย่างพี่ก็อายุมากสุด ให้พี่เลี้ยงนั่นแหละดีแล้ว” เหตุผลแรกพอไหวนะครับ แต่ไอ้ที่บอกว่าตัวเองแก่กว่าแล้วต้องเลี้ยงนี่ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเท่าไร แต่เอาเถอะครับ มีคนอาสาเสียตังค์ก็อย่าขัดศรัทธาเลย ถือเป็นลาภปากและโชคดีของกระเพาะล่ะกัน

   “งั้นก็ตามใจครับ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังนะพวกฟร๊องก์กินเยอะ” ผมทำเป็นแซวกลับ

   “ตัวเองน่ะกินให้เยอะก่อนเถอะครับ พี่เห็นเมื่อก่อนกินนิดเดียวตลอด” พี่หมากคงหมายถึงตอนปีหนึ่งที่เขาพาผมไปกินข้าวบ่อยๆ ล่ะครับ โดนบ่นประจำว่าผมกินน้อย แต่ตอนนี้ก็ไม่ต่างเท่าไรหรอกครับ

   “ฮ่าๆ เดี๋ยวคอยดูแล้วกัน” ผมยักคิ้วกวนๆ ให้เขา ก่อนจะก้มหน้าดูเมนูอาหาร

    เพียงไม่นานหลังจากที่อาหารมาเสิร์ฟจนครบ เผลออีกทีสิ่งตรงหน้าก็เหลือเพียงจานเปล่าซะแล้ว แคมป์นั่งคุยกับพี่หมากที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันอย่างออกหน้าออกตา ถามไถ่เรื่องโน้นนี่สารพัด ผมก็นั่งฟังๆ เรื่องที่ทั้งคู่คุยกันแหละครับ มีแทรกบ้างบางครั้ง เวลาที่พี่หมากถามเรื่องของผมกับแคมป์ แล้วแคมป์แม่งจะเผาผม ก็ต้องมีแก้ตัวกันหน่อย ภาพพจน์เสียหมด!

   “พี่ครับเช็คบิลเลย” พี่หมากเรียกเก็บเงินหลังจากที่พี่เรานั่งแช่กันเป็นชั่วโมงๆ ส่วนใหญ่นั่งคุยกันจนเพลินมากกว่า ฮ่าๆ “แล้วจะกลับกันเลยหรือเปล่าครับนี่”

   “แคมป์กับแซนด์คงกลับเลยฮะ มืดแล้ว เมื่อยมากแล้วด้วย” แคมป์ตอบ ผมเองก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกันครับ วันนี้เดินทั้งวันเพลียๆ อยู่

   “แล้วเราล่ะ กลับเลยหรือเปล่า” พี่หมากหันมาถามผมที่นั่งข้างๆ

   “ก็ว่าจะกลับเลยแหละครับ แต่เดี๋ยวข้ามไปซื้อของที่พารากอนก่อน” ผมตอบก่อนที่พนักงานจะนำใบเสร็จมาให้ พี่หมากจัดการจ่ายด้วยบัตรเครดิต ผมมองไม่เห็นเหมือนกันว่าค่าอาหารทั้งหมดเท่าไร แต่ร้านนี้ก็แพงใช่ย่อยอยู่ สั่งหลายอย่างด้วยน่าจะหมดเยอะพอสมควรเลย

   “งั้นเดี๋ยวพี่ไปเดินเป็นเพื่อน” เมื่อส่งบัตรเครดิตให้พนักงานเรียบร้อย พี่หมากก็ให้มาส่งยิ้มให้ผมอีก

   ออกจากร้านมาผมกับพี่หมากก็ส่งแคมป์กับแซนด์ขึ้นบีทีเอสกลับครับ สองคนนี้บ้านอยู่ทางเดียวกัน ส่วนบ้านผมอีกทาง  จากนั้นก็เข้าไปในพารากอนครับ จริงๆ ไม่ได้ซื้ออะไรนานหรอก ผมแค่จะซื้อครีมบำรุงหนังหน้าเอง ผมใช้อยู่แล้วเดินไปถึงเคาน์เตอร์บอกเขาว่าเอาอันนี้ๆ จ่ายตังค์ก็เสร็จแล้ว

   “แล้วนี่เรียนเป็นไงบ้าง” พี่หมากถามขึ้นหลังจากเดินผ่านเครื่องจับวัตถุอันตรายตรงประตูห้างไม่นาน

   “ก็สบายๆ อ่ะพี่หมาก แต่ก็เครียดๆ กับลิทอยู่เหมือนกัน อาจารย์สั่งงานยาก เขียน essay ทีปวดหัวเป็นวันๆ” ผมตอบแบบเว่อร์ๆ ไปครับ จริงๆ มันก็ไม่ถึงกับปวดหัวอะไรเป็นวันขนาดนั้นหรอก แต่เวลาทำงานวิชานี้ทีก็เล่นเอาสมองทำงานหนักมากเช่นกัน

   “อาจารย์แกก็ซีเรียสแบบนั้นแหละ แต่เรียนแล้วได้ความรู้เยอะนะ แต่มีอะไรก็ถาม ปรึกษาพี่ได้” ที่พี่หมากรู้รายละเอียดโดยไม่ต้องอธิบายเพราะพี่เขาเรียนเอกเดียวกับผมครับ

   “นั่นล่ะๆ เขาทำให้ดูหนังสนุกขึ้น ชอบ” ผมยิ้มปลื้มปริ่ม ตั้งแต่เริ่มเรียนและต้องดูหนังเพื่อวิเคราะห์ไปด้วย มันทำให้ผมใส่ใจในเนื้อหาและรายละเอียดปลีกย่อยของหนังมากขึ้นมากๆ และการดูหนังจะสนุกขึ้นด้วย เพราะเราจะเห็นได้ลึกและกว้างกว่าที่เราเคยมอง ไม่เชื่อคุณลองเริ่มดูหนังแบบละเอียดๆ ดูสิ จะเห็นอะไรเยอะเลย

   “ว่าแต่สนิทกับเพื่อนที่ชื่อ... อะไรนะ... ที่สูงๆ ขาวๆ นั่นอ่ะ”

   “เก็ทน่ะเหรอ ก็สนิทนะครับ ทำไมเหรอครับ” ผมหันไปถามพี่หมากอย่างงงๆ ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา และตอนนี้เราสองคนหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์เครื่องสำอางยี่ห้อดังที่ผมใช้อยู่แล้วครับ

   “อ๋อเปล่าหรอก... แล้วเป็นแฟนกันเหรอ”

   “พี่ครับเอาเซรั่มอันนี้ขวดหนึ่ง” ผมบอกสิ่งที่ต้องการกับพนักงานขายสาวสวยแต่แต่งหน้าจัดไปหน่อยที่ยืนยิ้มรอให้บริการอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ได้เจอพนักงานขายยิ้มๆ ใบหน้ารับแขกแบบนี้ก็ดีครับ รู้สึกอยากซื้อ อยากอุดหนุน แต่บ่อยครั้งที่ผมเดินผ่านเคาน์เตอร์แบรนด์อื่นเห็นหน้าบึ้งเป็นตูดแล้วผมกลัวเลยครับ แค่เดินผ่านมันจะฆ่ากูไหมเนี่ย! ว่าแต่เมื่อกี้ผมได้ยินพี่หมากพูดอะไรบางอย่าง ได้ยินไม่ชัดเหมือนกันครับ

   “เมื่อกี้พี่หมากว่าอะไรนะครับ” ผมหันกลับไปถามพี่หมากถึงประโยคเลือนลางที่ได้ยินเมื่อครู่หลังจากที่พนักงานรับคำก่อนจะเดินกลับไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อหยิบสินค้าให้

   “เปล่าหรอกครับ ว่าแต่นี่เรามีแฟนกับเขายังเนี่ย คนจีบเยอะแยะเลยดิ เห็นตอนปีหนึ่งมีแต่คนมาขอเบอร์” ผมรู้สึกเหมือนพี่หมากตัดบทเปลี่ยนเรื่องไปซะเฉยๆ เลยครับ แต่ช่างเถอะ คงไม่มีอะไรล่ะมั้ง แต่ที่เขาพูดก็เว่อร์ไปครับ ตอนปีหนึ่งมีคนมาขอเบอร์ผมก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้น และที่สำคัญผมไม่ค่อยให้ไปหรอกครับ ส่วนใหญ่จะให้เฟซบุ๊กไป มากสุดก็คือไลน์ ต้องเป็นคนที่ผมรู้จักจริงๆ ครับถึงจะให้เบอร์ เพราะผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายมาก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีบ้างนะครับ แต่ไม่เยอะเท่าตอนปีหนึ่ง อาจเพราะผมเรียนหนักจนไม่ค่อยได้เจอคนอื่นต่างคณะ ต่างสาขาด้วยมั้ง

   “เขาก็ขอไปงั้นแหละครับ ฟร๊องก์เคยให้ใครที่ไหนล่ะ” ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถามโดยตรง และก็ยังคงรักษารอยยิ้มให้ประดับอยู่บนหน้าตลอด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้เลยว่าพี่หมากรู้สึกอย่างไรกับผม แต่ในเมื่อผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาเกินพี่น้อง ผมก็ไม่ควรไปให้ความหวังเขาถูกไหมครับ

   “สินค้าตามที่สั่งได้แล้วค่ะ มีบัตร... ไหมคะ” เสียงพนักงานคนเดิมดังขัดขึ้นมา ทำให้บทสนาของเราขาดตอนอีกครั้ง พี่หมากก็มองภาพของที่กำลังซื้อของด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนผมก็จัดการจ่ายเงินแล้วยืนรอรับของไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย

   “แล้วนี่พี่หมากกลับยังไง” ผมกับพี่หมากเดินออกจากโซนความงามมาหยุดที่หน้าช้อป Prada เพื่อจะแยกทางแล้วครับ ผมก็เหนื่อยๆ แล้วเหมือนกัน

   “รถพี่จอดอยู่ฝั่งสยามสแควร์น่ะครับ กลับด้วยกันไหม”

   “ไม่รบกวนดีกว่าครับ!” เสียงตอบกลับห้าวและห้วนดังขึ้น แต่นี่ไม่ใช่เสียงผมนะ “ฟร๊องก์รอนานไหม”

   “ปาร์ค!” และแล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวจากทางด้านหลังของผม ผมร้องทักด้วยความตกใจเลยครับ อะไรมันจะบังเอิญซ้ำซ้อนขนาดนี้

   “รู้จักด้วยเหรอครับน้องฟร๊องก์” พี่หมากหน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนจะถามผมกลับมาด้วยน้ำเสียงมึนงง

   “รู้จักครับ รู้จักดีด้วย จริงไหม” จู่ๆ แขนยาวๆ ของปาร์คก็วาดมาโอบไหล่ผม ก่อนจะดึงผมเข้าไปแนบชิดกับตัวมันอย่างสนินสนม ท่าทางของมันยังคงพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์และท้าทาย
 
   “พะ... พี่หมากกลับก่อนเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวฟร๊องก์กลับเองได้” ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดเพื่อนรักษาน้ำใจ อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นพี่อีกคนที่ผมเคารพ

   “ไม่มีอะไรแน่นะครับ” พี่หมากยังคงมองปาร์คด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ

   “ไม่มีหรอกครับ ฟร๊องก์ให้ปาร์คมารับเอง” ผมจำต้องโกหกตามน้ำออกไปเพื่อให้จบปัญหาและทำให้บรรยากาศดีขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้พี่หมากสบายใจขึ้นหน่อย แถมยังทำให้ปาร์คเย็นลงด้วย เพราะดูจากสีหน้าที่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ

   “โอเคครับ ถ้างั้นพี่กลับก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วย” พี่หมากพูดทิ้งทายไว้ด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเช่นเดิมก่อนจะเดินจากผมกับปาร์คที่ยังคงโอบไหล่ผมอยู่ไป เขายังคงหันมามองผมเป็นระยะจนลับสายตาไป

   “ไม่เจอกันแป๊บเดียว ฮอตใหญ่นะ” ปาร์คเปิดปากแซวทันทีที่พี่หมากเดินหายไปจากสายตา

   “ฟร๊องก์มากับแคมป์แล้วก็แซนด์เถอะ เพิ่งมาเจอพี่เขาตอนหลัง”

   “ไม่รู้แหละ แอบมาเที่ยวกับคนอื่น ต้องโดนลงโทษ” ปาร์คพูดอย่างมีเลศนัยก่อนจะนำผมเดินไปยังลานจอดรถ และออกรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของผมเอง...


à suivre...
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 17 P.2 [28/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-05-2017 22:56:03
ถ้าเรื่องนี้คนแต่งจะให้ปาร์คเป็นพระเอก
จะไหวเหรอ ไม่ไหวมั้ง

เลวได้บริสุทธิ์จริงๆ
ไม่มีดีเจือปนเลย

หรือว่าชอบคนเลวกันนัก
เชี่ยยยยยยยยเอ๊ยยยยย
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 17 P.2 [28/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 28-05-2017 23:07:41
สำหรับเรานะ จะให้ฟร๊องอยู่ใน ฐานะใหนอ่ะ ? คู่นอนหรอ เปลี่ยนบรรยากาศงี้ ? เหอะๆ ตอนแรกก็อยากเป็นแฟนนะ แต่จากรูปการณ์แบบนี้ แค่เพื่อนยังไม่อยากเป็นเลย "มันน่ารังเกียจ"  :beat: :beat:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 18 [31/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 31-05-2017 19:50:37
Chapitre 18

   หลังจากออกจากสยามมา หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ หลังจากนั้นรถคันสวยคู่ใจของปาร์คก็เข้ามาจอดสนิทภายในเขตรั้วบ้านผมเรียบร้อย ระหว่างทางผมก็ถามว่าจะมาบ้านผมทำไม แต่กลับได้คำตอบพร้อมกับการหันมายักคิ้วกวนๆ กลับมาว่าจะไปไหว้พ่อตาแม่ยาย ดูมัน! แต่เอาเถอะครับ อยากมาก็มา

   “อ้าว รถใครน่ะฟร๊องก์” แม่เปิดประตูบ้านออกมาดูเมื่อเห็นรถปาร์คจอดสนิทอยู่ก่อนที่เจ้าของรถจะลงมา

   “สวัสดีครับคุณแม่” ปาร์คที่เพิ่งลงมาจากรถส่งเสียงพร้อมกับไหว้ทักทายแม่ของผมอย่างมีมารยาท ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มนั่นน่าหมั่นไส้มากเลยครับ แถมยังมีการหันมาเหล่ผมเป็นเชิงก่อกวนอีก
 
   “เพื่อนน่ะแม่ บ้านช่องไม่มีอยู่ สงสารเลยพามาบ้าน” ได้ทีผมกัดซะเลย

   “ไปว่าเพื่อน! ว่าแต่คนนี้ชื่อ... ภาคหรือปาร์คอะไรนั่นป่ะ แม่คุ้นๆ หน้า” แม่ผมมองหน้าปาร์คอย่างพิจารณา ถึงจะเคยเจอกันมาก่อนหน้า แต่ปกติพ่อกับแม่ผมจะจำชื่อเพื่อนไม่ค่อยจะได้หรอกครับ จะจำได้แค่คนที่เคยไปส่งบ้านหรือเจอบ่อยๆ หน่อย แต่อย่างปาร์คนี้ไม่ค่อยบ่อยมากนักครับ ยังดีที่แม่พอคุ้นชื่ออยู่บ้าง

   “ปาร์คครับผม” เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส

   “มาๆ เข้าบ้านก่อนสิ ว่าแต่เพื่อนกินอะไรมาหรือยัง”

   “ช่างมันเถอะแม่ โตแล้วให้กินเอาเอง โอ้ย!” ผมที่เดินตามแม่เข้ามาติดๆ พอพูดออกไปแบบนั้นเลยโดนแม่หันมาตีที่ต้นแขนเต็มๆ ครับ แสบมาก!

   “พูดแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวเถอะ!” ไม่เดี๋ยวแล้วมั้งแม่ เต็มแรงขนาดนั้น

   “ฮ่าๆ ยังไม่ได้ทานอะไรมาเลยครับ โดนเด็กดื้อลากมาบ้านซะก่อน” ปาร์คหัวเราะร่า แต่เดี๋ยวนะ! ใครเป็นคนลากมากันแน่ ไอ้นี่แม่งเนียนตลอด!!

   “เหรอออ!” ผมหันไปกัดแทบจะทันที

   “งั้นหาข้าวปลาให้เพื่อนกินด้วย แม่ทำงานก่อน” จากนั้นแม่ก็แยกตัวไปทำงานที่หน้าคอมพ์ฯ ต่อครับ ส่วนปาร์คก็ไหว้ทักทายพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟา ก่อนจะเดินตามผมเข้าไปในครัว

   “มีแกงคั่วหน่อไม้กับผัดผักคะน้าอยู่ กินได้เปล่า เดี๋ยวทอดไข่ดาวให้อีกอย่าง” ผมจัดการเปิดฝาชีดูสำรับอาหารว่าจะมีอะไรให้คุณชายปาร์ครับประทานบ้าง

   “กินได้หมดแหละ อยาก ‘กิน’ เจ้าของบ้านด้วย” ปาร์คเดินตามผมมา ก่อนจะสวมกอดและกระซิบเสียงแหบ (หื่น) ที่ด้านหลังขณะที่ผมกำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบไข่ออกมาทอดให้อีกฟอง

   “ไม่ต้องมาเนียนเลย! ปล่อยเดี๋ยวพ่อกับแม่เห็น” ผมดิ้นขลุกขลักใบอ้อมกอดนั้นก่อนจะที่ปาร์คจะหัวเราะอย่างร่าเริงที่ได้แกล้งผมแล้วจึงยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระไป

   “ว่าแต่จะได้กินเปล่าน๊า” ไอ้นี่ตั้งแต่ ‘คืนนั้น’ มาเริ่มแสดงออกและหื่นมากขึ้นทุกวันๆ แล้ว

   “กินหมัดนี่ก่อนไหมถ้ายังไม่หยุดพูดมาก!” ผมแกล้งหันมาทำหน้าตาบึ้งตึงใส่ พร้อมทั้งยกกำปั้นตัวเอาขู่

   “เร็วๆ นะ หิวแล้ว” ปาร์คหัวเราะกับท่าทางตลกของผม พลางเอามือมายีหัวผมเบาๆ

   “ตักข้าวไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวเลย ทอดไข่แป๊บเดียวแหละ” ผมสั่งก่อนจะลงมือทอดไข่ดาวให้มัน

   ไม่นานข้าวคำสุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในปากของคนที่นั่งยิ้มไปเคี้ยวข้าวไปตรงข้ามกับผม ส่วนผมไม่ได้กินหรอกครับ แต่โดยบังคับให้นั่งเป็นเพื่อน ไอ้คนที่นั่งกินข้าวก็ไม่ได้พูดอะไรมากหรอกครับ ซึ่งยังถือว่ามีมารยาทอยู่หน่อยที่ไม่กินข้าวไปพูดไป แต่ก็นั่งมองและส่งยิ้มให้ผมตลอดมื้ออาหารนั้น ส่วนผมเป็นยังไงน่ะเหรอ จะเป็นไงล่ะ ก็เขินสิครับ โดนจ้องแถมยังมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ๆ ที่ส่งมาให้ตลอดอีก ผมนี่อยากจะมุดใต้โต๊ะแล้วไปโผล่ที่ดาวอังคารมากเลย จ้องอยู่ได้ แล้วจะยิ้มอะไรมากมายก็ไม่รู้!

   “อ่า กับข้าวฝีมือแม่ฟร๊องก์อร่อยจัง” ปาร์คพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างก่อนจะวางช้อนส้อมลง

   “ใครว่าฝีมือแม่ ซื้อมาต่างหาก ฮ่าๆ” ผมบอกออกไป แต่จริงๆ แล้วเป็นฝีมือแม่แหละครับ

   “อ้าว นึกว่าจะได้กินฝีมือแม่... ยาย” ปาร์คพูดกวนๆ ขณะที่พูดคำสุดท้ายด้วยเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองคน

   “เป็นยังไงบ้าง กับข้าวฝีมือแม่พอใช้ได้ไหม” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อแม่เดินมาข้างหลัง เมื่อกี้แม่จะได้ยินไหมเนี่ย แล้วที่สำคัญปาร์คมันนั่งหันหน้าไปทางแม่พอดีด้วย ถึงไม่ได้ยินแต่ก็อาจจะอ่านปากออกก็ได้

   “สรุปนี่ฝีมือแม่เหรอครับ อร่อยมากเลยครับ ผมยังชมกับฟร๊องก์อยู่หยกๆ แต่ฟร๊องก์สิกลับบอกผมว่าแม่ซื้อมา ไม่ชมแม่ตัวเองเลย” ปาร์คพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน พร้อมทำท่าทำทางประจบประแจงยิ่งนัก

   “อ้าวไอ้ลูกคนนี้ ฝีมือแม่ตัวเองไม่ชม มันน่าตีนัก!” นั่นไงครับ ไอ้คนที่นั่งตรงข้ามกับผมถึงกับหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เลย ท่าทางมันสะใจมากครับทีได้แกล้งผม แล้วเห็นผมโดนแม่ดุ

   “ก็เห็นปกติแม่ซื้อมาตลอดนิ ใครจะไปรู้ว่าแม่ทำเอง” ผมพูดงอนๆ “แต่ฝีมือแม่ก็อร่อยที่สุดในโลกอยู่แล้ว” ก่อนที่จะเอาหัวไปไถๆ กับแขนแม่ เรื่องอะไรจะปล่อยให้คนอื่นเอาหน้าคนเดียวหล่ะ แม่ตัวเองก็ต้องอ้อนกันหน่อยสิ ทีไอ้คนที่ไม่ใช่ลูกยังอ้อนเอาๆ

   “ฟร๊องก์ไม่ได้กินไม่ใช่หรอ แล้วรู้ได้ไงว่าอร่อย” ปาร์คยังไม่จบครับ ตัวมันเองนี่พยายามกลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์จนหน้าดำหน้าแดงหมดเลย เวลามันพูดนี่ยิ้มเยาะแบบสะใจมากที่กำลังถือไพ่เหนือกว่าผม

   “เงียบไปเลย! ปกติฟร๊องก์ก็กินอยู่ตลอดเถอะ ฝีมือแม่อ่ะ ชิ!” ผมเถียงข้างๆ คูๆ ไม่ยอมๆ

   “แล้วบอกว่าปกติแม่ซื้อมา เอ๊ะ! ลูกคนนี้นี่ยังไง ฮ่าๆ” แม่ผมก็เป็นไปกับเขาด้วย นี่ผมเป็นลูกแม่นะ ไม่ใช้ไอ้คนที่นั่งหัวเราะร่าอยู่ตรงหน้า!

   “แม่อ่า! ไม่คุยด้วยแล้ว” ผมว่าพลางทำแก้มป่องๆ เหมือนเด็กไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีทั้งสองคนที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุย หึ! รุมแกล้งกันชัดๆ โกรธแล้วจริงๆ ด้วย

   “ไปลูกปาร์ค ไม่ต้องไม่สนใจคนขี้งอนหรอก ไปๆ” เอาเข้าไป ไม่คิดจะง้อผมกันสักคน ยิ่งเห็นแม่ผมทำแบบนี้ ไอ้คนที่เริ่มก่อกวนตอนแรกก็ถึงกับหัวเราะเสียงดังอย่างออกหน้าออกตาเลย สะใจมากสินะที่ชนะน็อคผมได้เลย แถมยังมีแม่เป็นพวกอีก โอ้ย! แค้นนน!!!

   “ไปอาบน้ำแล้ว ชิ!” ผมลุกออกจากโต๊ะอาหารอย่างงอนๆ ไม่สนใจกันเลย เสียใจ

**********__________**********

   อาบน้ำเสร็จผมก็จัดการแต่งตัวในห้องนอน ก่อนหน้าผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเลยครับ คงไม่ต้องแบบเหตุผลว่าเพราะอะไร ออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงของปาร์คกับแม่ แถมยังมีเสียงพ่อแทรกเข้ามาด้วย ท่าทางคุยกันสนุกสนานเลย ปกติแล้วพ่อผมจะเป็นคนที่คุยเก่งอยู่แล้วครับ ส่วนแม่ก็เฮฮาตามประสา ครอบครัวผมค่อนข้างมีเสียงหัวเราะ สนุกสนานครับ เลยเป็นอีกเหตุผลที่ผมเป็นคนติดบ้าน เพราะอยู่แล้วมีความสุข ใครก็อยากอยู่ใช่ไหมล่ะครับ แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นหมาหัวเน่าแล้ว มีขวัญใจคนใหม่นั่งคุยกันออกรสออกชาติเชียว อ๋อ ลืมบอกไปครับ ผมไม่ใช่ลูกคนเดียวเหมือนกับปาร์คนั่นล่ะ ผมมีพี่ชายอีกคนครับ แต่วันนี้ไม่อยู่บ้าน เสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จะไปบ้านแฟนครับ ถ้าวันปกติทั้งพี่และแฟนก็จะมาอยู่ที่บ้านของผม เพราะทำงานที่เดียวกัน

   ผมขลุกตัวอยู่ในห้องนอนนั่นล่ะครับ แถมยังกดล็อกประตูเอาไว้ด้วย ถ้าปาร์คจะกลับบ้านผมก็ไม่ออกไปส่งหรอกครับ กลับเอง! อยากแกล้งผมดีนัก ผมนั่งดูโทรทัศน์ในห้องอย่างไม่ทุกข์ร้อน พลางเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย (แบ่งตาข้างละอย่างครับ ข้างหนึ่งดูทีวี อีกข้างดูจอมือถือ ก็เทพเกิ๊น!)

   ก๊อก! ก๊อก!

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นดึงผมที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกจากภวังค์ กำลังดูวีดีโอที่คนแชร์ในเฟซบุ๊กอยู่เลยครับ ฮามาก! ขำท้องขดท้องแข็งกันเลยทีเดียว

   “...” ผมลดเสียงหัวเราะตัวเองลง ทั้งที่คลิปกำลังดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุด สงสัยปาร์คจะกลับแล้วแหละมั้ง

   ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก...!

   เสียงเคาะประตูรัวๆ ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นจังหวะการเคาะแบบสามช่าที่ปวดประสาทมาก เคาะแบบนี้อยากให้แม่เดินมาด่านัก ผมจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย!

   “กลับไปเลย ไม่ออกไปส่งหรอก หมั่นไส้!” ผมตะโกนบอกออกไปเสียงดัง ก่อนที่จะนั่งหัวเราะกับตัวเอง เสมอกันคนละยก อยากแกล้งผมก่อนดีนัก

   จากนั้นเสียงเคาะประตูก็เงียบไปครับ ผมแอบหวิวเหมือนกันนะ ไม่คิดจะง้อกันเลย สรุปว่าใครกันแน่ที่ชนะ ผมรู้สึกว่าปาร์คเป็นคนกำชัยไปเต็มๆ เลย กะจะแกล้งเขา แต่ตัวผมเองดันมานั่งเศร้าซะเอง

   สงสัยปาร์คจะกลับไปแล้วจริงๆ ครับ เสียงหน้าห้องหายไปนานแล้ว ไม่แม้แต่จะง้อ หรือจะส่งไลน์ ข้อความ หรืออะไรก็ได้มาบอกผมเลยแม้แต่น้อย แค่แกล้งงอนแค่นี้ก็ง้อกันไม่ได้ ผมก็น้อยใจเหมือนกันนะ สรุปแล้วผมสำคัญกับมันจริงหรือเปล่า หรือแค่อยากลองใจสนุกๆ กับผมแค่นั้น

   ผมนอนเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย สายตาที่มองที่หน้าจอก็หาจุดโฟกัสไม่ได้เช่นกัน ผมเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลาไปอย่างนั้นแหละ แต่ในใจผมมันกำลังกระวนกระวาย คิดมากเรื่องที่เกิดขึ้นมากก่อน ทุกอย่างที่มันกำลังจะดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปยืนอยู่ที่เดิม เหมือนที่ผมเคยเป็นมา ทุกอย่างที่มันไม่ชัดเจน ใจและความรู้สึกของปาร์คเองก็ยังไม่ชัดเจนเหมือนกัน
 
   แกร๊ก...

   ผมถึงกับสะดุ้งจนต้องเด้งตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อตัวเองกำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ แต่จู่ๆ กลับมีเสียงไขกุญแจก็ดังขึ้น เห้ย! ผมว่าผมเก็บลูกกุญแจของห้องผมมาหมดแล้วนะ ไปเอามาจากไหน!

   “งอนหรือไง” ปาร์คปรากฏตัวขึ้นหลังประตูบานนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ และกำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ที่เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่เป็นลอนสวย ขับกับผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดราวกับผิวที่ผ่านการบำรุงมาอย่างดี กับท่อนล่างที่มีเพียงผ้าขนหนูที่ซึ่งมัดอย่างหมิ่นเหม่เกาะอยู่ที่ช่วงสะโพก ไรขนอ่อนๆ ไล่จากสะดือลงไปจนถึง... ส่วนนั้น พอๆ ผมเองก็จะเป็นลมกับภาพตรงหน้าแล้วเหมือนกัน

   “เอากุญแจมาได้ไง!” ผมถามเสียงเข้ม ก่อนที่ปาร์คจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับกดล็อกประตูอีกครั้ง แล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมที่นั่งอยู่บนเตียง

   “ระดับนี้แล้วไอ้น้อง ไม่ใช่เรื่องยาก” ปาร์คยักคิ้วกวนๆ พร้อมทั้งตัวเองที่มาหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียงของผมแล้ว สถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมเกินไปแล้ว ผมเกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัยต่อตัวผม

   “ไปแต่งตัวเลย เสื้อผ้าหาๆ เอาตัวใหญ่ๆ หน่อยในตู้อ่ะ ไม่รู้มีเปล่า” ผมเอ่ยปากไล่ส่งๆ ไม่ไหวครับ ตอนนี้หัวใจผมเริ่มเต้นแรงแล้ว ขืนมันอยู่ในสภาพนี้นานกว่านี้ผมได้หัวใจวายตายซะก่อน

   “แต่งทำไม ยังไงเดี๋ยวก็ต้องถอด” ปาร์คว่าพร้อมกับยื่นหน้าและโน้มตัวเข้ามาหาผม เห็นไหมล่ะครับ ว่าหลังจากคืนนั้นมามันหื่นมากขนาดไหน

   “อย่ามาทะลึ่ง ไปแต่งตัวเลย!” ผมดันแผงอกแน่นนั้นให้ห่างออกจากตัวผม ก่อนที่ปาร์คจะหัวเราะเล็กน้อยแล้วยอมเดินไปหาชุดในตู้เสื้อผ้าของผม ไม่รู้ว่ามันจะใส่เสื้อผ้าของผมได้หรือเปล่า แต่เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ น่าจะมีอยู่นะ แบบฮิปฮอปๆ ตัวใหญ่ๆ อ่ะเคยมีอยู่ ส่วนกางเกงก็ใส่กางเกงบอลยางยืดไปแล้วกัน

   ผมนั่งมองปาร์คที่คว้าเอาเสื้อตัวใหญ่ๆ (สำหรับผม) ที่บอกก่อนหน้ากับกางเกงบ็อกเซอร์ที่ปกติผมไม่ค่อยชอบใส่เท่าไรอีกตัวมาใส่ มันก็เป็นการสวมเสื้อผ้าปกติเนี่ยล่ะ ติดแค่ว่าปาร์คมันลืมหรือเปล่าว่ามีผมนั่งอยู่ในห้องด้วย ก็จังหวะที่มันยกขาเพื่อใส่บ็อกเซอร์น่ะสิครับ ผมเห็นทะลุเข้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว (ถึงจะเคยเห็นก่อนหน้านี้แล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ชินอยู่ดีแหละ) เข้าใจถูกแล้วครับ ปาร์คไม่ได้ใส่กางเกงใน มึงจะชิลล์ไปไหน ไม่ได้นอนที่คอนโดฯ หรือบ้านตัวเองนะเห้ย!

   “แอบมองเหรอ!” ปาร์คเหวี่ยงผ้าเช็ดตัวมาคลุมหัวผม ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ว่าฟูกข้างๆ จะยวบลงไปด้วยน้ำหนักตัวของคนที่ทิ้งตัวลงมา

   “เล่นอะไรสกปรก!” ผมดึงผ้าขนหนูที่ปาร์คใช้เช็ดไข่ ? ออกจากหัว ก่อนจะหันไปแหวใส่ แต่... ต้องผงะเมื่อใบหน้าเรียวสีน้ำผึ้งเนียนใสของปาร์คอยู่ห่างจากหน้าผมเพียงไม่ถึงคืบ

   “แล้วแอบมองทำไม อยากดูบอกดีๆ ก็ได้” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ปนหื่นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทผม เล่นเอาผมขนลุกได้เหมือนกัน แถมรอยยิ้มนั้นยังไม่น่าไว้ใจอีกต่างหาก

   “หลงตัวเอง ถอยออกไปเลย!” ผมว่าพร้อมกับผลักแผงอกปาร์คให้ถอยห่างออกไป แต่มีหรือที่ปาร์คจะยอมง่ายๆ มันขืนตัวไว้ครับ จนผมที่เป็นคนดันมันตอนแรกกลับร่นถอยหลังไปซะเอง ตัวหนักฉิบหาย!

   “ว่าแต่เมื่อหัวค่ำนี่ยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ” ปาร์คยังคงมองหน้าผมในระยะใกล้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมจ้องลึกเข้ามายังดวงตาผมราวกับจะบีบบังคับให้ผมยอมจำนนทางสายตา

   “เคลียร์อะไร ก็บอกไปแล้วว่าไปกับแคมป์ กับแซนด์” ผมว่าก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งใหม่ เป็นขยับห่างออกจากปาร์คแล้วนั่งพิงที่หัวเตียงแทน มือก็คว้ามือถือมากดเพื่อเบี่ยงความสนใจ

   “แล้วไหนกลายมาเป็นไอ้ผู้ชายขี้เก็กนั่น” ปาร์คไม่ยอมให้ผมหนีได้ครับ เอื้อมมือมาคว้าโทรศัพท์ออกจากมือผม พร้อมกับเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของปาร์คที่รดรินข้างแกมของผมในระยะแค่ไม่กี่นิ้ว

   “เจอกันโดยบังเอิญ ไม่เชื่อถามแซนด์มันดูก็ได้ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย” ผมเหลือบตาไปมองปาร์คที่อยู่ใกล้จนได้กายกลิ่นสบู่อ่อนๆ ก่อนจะอธิบายว่ามันไม่ได้มีหรือเป็นอย่างที่ปาร์คคิดเลย

   “หึหึ ดีแล้ว ถ้างั้นต้องเปลี่ยนบทลงโทษมาเป็นให้รางวัลแทน” ยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ ปาร์คก็คว้าตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเป็นทีเรียบร้อย แถมเจ้าตัวยังล้มตัวลงนอนกับเตียง ทำให้สภาพของผมตอนนี้กำลังดิ้นขลุกขลักอยู่บนตัวปาร์คซะแล้ว

   “อื้อ อึดอัด” ผมพูดเสียงอ่อน

   “ก็หยุดดิ้นสิ” ปาร์คว่าพร้อมกับริมฝีปากที่กำลังขบเม้มติ่งหูของผมอย่างแผ่วเบา

   “วันนี้เหนื่อยแล้ว” เสียงของผมยังคงดังแผ่วๆ เป็นเชิงขอความเห็นใจ วันนี้เหนื่อยแล้วจริงๆ ครับ อีกอย่างมันเป็นข้ออ้างด้วย ครั้งที่แล้วผมเองก็สติไม่เต็มร้อย เพราะกำลังสะลืมสะลือ ส่วนปาร์คเองก็ดูเมาเล็กน้อย แต่วันนี้สติของเราทั้งคู่ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ผม... ไม่พร้อม

   “งั้นขอแค่... จูบนะ” ปาร์คที่ยังไม่หยุดเล่นกับใบหูของผมเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า

ริมฝีปากเรียวสีแดงระเรื่อนั้นจะค่อยๆ ซุกซนมากขึ้นเรื่อยๆ จากใบหูก็เริ่มลามลงไปยังลำคอของผมอยู่สักพัก และขึ้นมากดฝังจมูกและริมฝีปากหนักๆ ที่แก้มด้านซ้าย มือใหญ่ของปาร์คที่สอดเข้ามาภายในเสื้อยืดตัวบางของผมนั้นก็เริ่มอยู่ไม่นิ่งเช่นกัน อารมณ์ของผมพุ่งพล่านจนหยุดไม่อยู่เมื่อฝ่ามือนั้นลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของผมอย่างสะเปะสะปะ เสียงหายใจหอบหนัก ถี่ๆ ของเราสองคนดังสลับกัน ก่อนที่ริมฝีปากคู่นั้นจะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของผม

   ปาร์คคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยิ้มรับ ริมฝีปากนั้นก็กดประทับรสจุมพิตหวานละมุนลงบนริมฝีปากผมเป็นที่เรียบร้อย บทจูบกินเวลาเนิ่นนานหลายนาที จากจูบแผ่วเบาแสนหวานค่อยๆ ร้อนแรงมากขึ้นตามลำดับ จนผมเองเริ่มหายใจไม่ทัน และสุดท้ายปาร์คก็จำต้องถอนริมฝีปากออกด้วยท่าทางเสียดาย

   “เหนื่อยก็นอนเถอะ” ปาร์คบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงฉายแววอยู่บนหน้า ก่อนจะผละตัวผมออกจากอ้อมกอด แล้วเปลี่ยนเป็นจัดท่านอนให้ผมแทน ผมที่ยังคงมึนกับเหตุการณ์ก่อนหน้า รู้สึกว่าร่างกายมันอ่อนระทวยไปตามแรงของปาร์คไปหมด

   “ฟร๊องก์... รักปาร์คนะ” ผมพูดออกไปอย่างแผ่วเบา จนขนาดตัวผมเองยังแทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง

   “รักฟร๊องก์เช่นกันครับ ฝันดีนะ” ปาร์คก้มลงมาจูบที่เปลือกตาผมเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะลุกไปปิดไฟ แล้วกลับขึ้นมาดึงผมเข้าไปในอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง อ้อมกอดอันอบอุ่นของคนที่ผมรักซึ่งผมพยายามไขว้คว้ามาเนินนาน และอ้อมกอดนี้ก็เป็นของผมแล้วในตอนนี้...

**********__________**********

   ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนเล็กน้อย แสงแดดเริ่มส่องมาแยงตาแล้ว แสดงว่าสายแล้ว ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่ความง่วงก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ แต่กลับพบกับเตียงที่ว่างเปล่า ปาร์คหายไปไหน

   ผมสะบัดหน้ารัวๆ ไล่ความมึนอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากเตียงเพื่อออกไปล้างหน้าและตามหาคนที่หายไปว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน หรือว่าจะหนีกลับไปแล้ว ถ้ากลับแล้วไม่บอกผมโกรธจริงๆ ครับ จะบอกกันสักนิดก็ไม่มี

   “แค่นี้ใช้ได้ยังครับ” เสียงปาร์คแว่วดังเข้ามาในหูผมเมื่อผมเปิดประตูห้องนอนออกมา

   “อีกสักแป๊บลูก เดี๋ยวมันจะแข็งเกินไป” เสียงแม่ผมเองครับ ทำอะไรกันตั้งแต่เช้าเชียว (จริงๆ นี่มันจะ 11 โมงแล้ว ไม่เช้าแล้วมั้ง)

   ผมเดินตามไปยังต้นเสียง แล้วก็ต้องอมยิ้มกับภาพตรงหน้า ปาร์คกำลังเรียนรู้การทำอาหารจากแม่ผมครับ แบบนี้เขาเรียกว่าการฝากเนื้อฝากตัวหรือเปล่า ดูท่าทางปาร์คจะตั้งใจมากเลยครับ เพราะทั้งสีหน้าและท่าทางดูจริงจังและแอบเกร็งเล็กๆ คงกลัวทำพลาดล่ะมั้ง

   “ทำอะไรกันอยู่อ่ะ” ผมโผล่เข้าไปข้างหลังของทั้งสองคน

   “สปาเก็ตตี้ไวท์ซอส ทำอาหารหรูๆ ต้อนรับเพื่อนเราหน่อย” แม่ผมหันมาตอบยิ้มๆ ให้กับผม

   “คุณแม่ก็เว่อร์ไปครับ ฝีมือผมจะกินกันลงเปล่าก็ไม่รู้” ปาร์คยิ้มพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหัวอย่างเก้อๆ

   “ออกมาอร่อยแน่นอน มีแม่อยู่ทั้งคน ว่าแต่เจ้านี่เถอะ รีบไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา จะได้มากิน” แม่พูดกับปาร์ด้วยท่าทางที่มั่นใจ ก่อนจะหันมาไล่ผมให้ไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย สภาพผมตอนนี้คงแย่มากเลยสินะ ฮ่าๆ

   “ทำเร็วๆ นะ จะรีบมากิน หวังว่าจะไม่ท้องเสีย ฮ่าๆ” ผมหันไปหยอกล้อปาร์คที่เพิ่งเห็นว่าใส่ผ้ากันเปื้อนลายสติทช์สีฟ้า ตัวการ์ตูนตัวโปรดของผมเองแหละ (รู้สึกว่าปาร์คเองก็ชอบเหมือนกันนะ บอกว่ามันฟันเหลืองตลกดี ฮ่าๆ) ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้มันหรอก แต่พอเห็นปาร์คใส่แล้วผมถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ มันทั้งน่ารักและดูตลกในคราวเดียวกัน

   “ดูถูก! ค่อยดูแล้วกัน” ปาร์คผลักหัวผมเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยักคิ้วกวนๆ ให้แทน

   แม่มองภาพการหลอกล้อของผมกับปาร์คยิ้มๆ ครับ ไม่ได้ว่าหรือแสดงท่าทีอะไร ผมไม่รู้ว่าแม่จะรู้หรือดูออกหรือเปล่าว่าผมกับปาร์คมันเกินกว่าเพื่อนปกติ ถึงแม้ว่าทางบ้านผมจะรู้ก็เถอะว่าผมเป็นแบบไหน

   จากนั้นผมก็ปล่อยให้ปาร์คเป็นลูกมือทำสปาเก็ตตี้กับแม่ต่อครับ ส่วนผมก็ไปทำธุระส่วนตัวเล็กน้อย โดยไม่ได้อาบน้ำครับ ขี้เกียจ (สกปรกเนอะ) ก็แหม... เพิ่งอาบไปก่อนนอนเองนี่ครับ ไม่ได้เปรอะเปื้อนอะไรสักหน่อยจะอาบอีกทำไม เปลืองน้ำเปล่าๆ ยุคนี้เราต้องช่วยกันประหยัด ฮ่าๆ (โคตรอ้างเลย)

   “เสร็จยางงง” ผมแหกปากร้องโอดโอยหลังจากที่ทาครีมบำรุงผิวอะไรเสร็จ มันก็ต้องมีบ้างแหละ เห็นผมอย่างนี้ เจ้าสำอางเหมือนกันนะ ฮ่าๆ ตอนแรกที่ตื่นก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอกครับ แต่ตอนนี้โคตรหิวเลย

   “เดี๋ยวปาร์คใส่แป้งสาลีในกระปุกนั้นลงไปหน่อย แล้วเทนมใส่เลยนะลูก ผัดแป๊บหนึ่งก็ปิดไฟได้เลย” แม่อธิบายขั้นตอนกับปาร์ค แม่ผมเป็นคนทำอาหารเก่งครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไทยมากกว่า แต่อาหารฝรั่งก็พอได้อยู่นะ ผมได้วิชามาจากแม่เนี่ยแหละครับ ว่าแต่ไม่มีใครได้ยินเสียงผมเหรอ ไม่สนใจกันเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว!

   “หิวแล้ววว” ผมยังไม่เลิกราครับ คราวนี้เดินไปแทรกกลางระหว่างแม่กับปาร์คเลย

   “หิวก็ไปจัดเส้นสปาเก็ตตี้ใส่จานเลย ซอสนี่จะเสร็จแล้ว ปาร์คทำอร่อยมากเลยนะ” ชมกันออกนอกหน้าเชียว เจ้าตัวที่ได้รับคำชมก็ถึงกับยิ้มหน้าบานเลย แต่จะว่าไปไวท์ซอสขาวๆ ข้นๆ ในกระทะที่ปาร์คกำลังคนอยู่นั้นดูน่ากินมากเลยทีเดียว มีพรสวรรค์เหมือนกันนะเนี่ย

   “ว่าแต่พ่อไปไหนอ่ะแม่” ผมถามขึ้น ตั้งแต่ตื่นมาก็ไม่เห็นพ่อเลย ไม่ได้เดินออกไปดูด้วยว่ารถอยู่เปล่า แต่ถามไปก่อน ฮ่าๆ

   “รายนั้นออกไปตั้งแต่สายๆ แล้ว ก็ออกไปส่องพระตามเคยแหละ ธุรกิจส่วนตัวของเขา” ฟังไม่ผิดหรือครับ พ่อผมเป็นนักส่องพระตัวยงเลย อาชีพหลักของพ่อกับแม่ผมเป็นครูครับ ส่วนอาชีพลองของพ่อก็อย่างที่บอก ส่วนแม่เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานบ้าน ทำเอกสาร ถ้าว่างหน่อยก็มีตัดชุดทำงานใส่เองบ้าง รับตัดบ้าง แต่หลังๆ มานี้งานเอกสารแม่เยอะครับ ผมไม่ค่อยเห็นแม่ตัดเสื้อผ้ามานานแล้ว แต่แม่ผมจะต้องหาอะไรทำตลอดครับ เหมือนเป็นคนไฮเปอร์ ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ วันดีคืนดีออกไปตัดแต่งต้นไม้ในบ้านเองด้วยซ้ำ แต่เพราะพ่อกับแม่ผมเป็นครูด้วยมั้งครับ ผมเลยโตมาในแบบที่ค่อนข้างมีกรอบอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับว่าทุกอย่างจะต้องเป๊ะ ต้องเป็นระเบียบซะหมด แต่เพื่อนผมชอบบอกว่าผมน่ะเรียบร้อยโดยเฉพาะต่อหน้าผู้ใหญ่หรือคนที่อาวุโสกว่า เรื่องนี้ผมโดนพ่อย้ำมาตั้งแต่เด็กๆ ครับ

   “ตลอด! บ้านช่องไม่เคยอยู่เลย ว่าแต่ทำไมเส้นมันมันจังอ่ะแม่” ผมบ่นอุบอิบถึงพ่อตัวเองแบบไม่จริงจัง เพราะเป็นกิจวัตของพ่อทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ก่อนที่จะใช้มือหยิบเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อจัดใส่จาน

   “แล้วทำไมไม่ใช้ส้อม!” แม่พุ่งมาตีมือผมทันทีเลยครับ แถมลูกทีมตัวดียังหัวเราะเสียงดังเยาะเย้ยผมอีก เลยเจอผมค้อนกลับไปวงใหญ่

   “ก็เส้นคลุกน้ำมันมะกอกไว้นิ จะไม่มันได้ไง” ปาร์คว่าขณะที่ยกกระทะลงจากเตามาวางไว้ที่วางของร้อน

   “ใส่ทำไมอ่ะ” ผมถามแบบงงๆ

   “ก็ให้เส้นมันไม่ติดกันไง อีกอย่างเส้นมันจะได้เงาสวยด้วย” ปาร์คหันมายิ้มอย่างภาคภูมิกับความรู้ที่ตนเองมี

   “บร๊ะ! เก่งจริงอะไรจริง” ผมแกล้งกัดกลับไปก่อนจะแลบลิ้นใส่อย่างหมั่นเขี้ยว ตอนนี้มอบหน้าที่จัดเส้นสปาเก็ตตี้ใส่จานให้แม่เรียบร้อยแล้วครับ ถ้าผมทำเองมีหวังเละกินไม่ได้แน่ๆ (แต่ผมว่าไม่เละหรอกแต่จะสกปรกมากกว่า)

   “ได้คนเทรนด์ดี มีแม่สวยเก่งขนาดนี้ อยากจะมาสมัครเป็นลูกด้วยอีกสักคนเลย” ปาร์คพูดทีเล่นทีจริง แต่ผมหน้าร้อนผ่าวเลยครับ มันเป็นการเปิดตัวและเปิดช่องทางหรือเปล่า

   “ปากหวานเชียวนะ ถ้าว่างก็มาเที่ยวบ่อยๆ สิ บอกเจ้าฟร๊องก์ไว้ก็ได้” แม่ผมก็ไม่มีปฏิเสธเลยครับ ตบปากรับคำง่ายเชียว ทำเอาคนพูดก่อนหน้ายิ้มหน้าบานเชียวครับ แถมยังยักคิ้วกวนๆ ให้ผมอีกต่างหาก

   หลังจากนั้นเราสามคนก็มานั่งรวมตัวที่โต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับจานสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสที่หน้าตาน่าทานมากๆ คนละจาน กลิ่นหอมของซอสนมสดผสมกับพริกไทที่โรยมาด้านบนโชยเตะจมูกผมจนน้ำลายสอ และก็ไม่รอช้า ผมจัดการหมุนเส้นสีเหลืองอ่อนซึ่งถูกเคลือบไว้ด้วยซอสขาวข้นเข้าปากทันที ก็หิวมากนี่ครับ เห้ย! จะว่าไปมันก็อร่อยเหมือนกันนะ ไม่อยากจะเชื่อ

   “เป็นไง ฝีมือปาร์คใช้ได้ป่ะ” ปาร์คหันมาเลิกคิ้วถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   “อร่อย! ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย” ผมหันไปยิ้มตอบทั้งที่ยังคงเคี้ยวเส้นสปาเก็ตตี้อยู่เต็มปาก

   “นี่ปาร์คปรุงเอง ผัดซอสเองหมดเลยนะ แม่แค่บอกขั้นตอนเฉยๆ” แม่ผมเสริมทัพอีกคนครับ เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับยิ้มหน้าบานเลยทีเดียว

   “เก่งนี่หว่า” ผมแซวต่อไม่หยุดปาก แต่ซอสที่ปาร์คทำถือว่าอร่อยใช้ได้เลยครับ รสชาติกลมกล่อม น้ำซอสก็ไม่ได้ข้นมากเกินไป แถมเส้นสปาเก็ตตี้ก็ยังมีกลิ่นอ่อนๆ ของน้ำมันมะกอกด้วย โดยรวมถือว่าดีมากเลย

   ไม่นานเราทั้งสามก็จัดการสิ่งที่อยู่ในจานตรงหน้าจนหมดครับ แม่ผมขอตัวลุกไปทำงานต่อก่อน และก็ทิ้งจานไว้ให้ผมล้าง ซึ่งกะว่าจะโยนให้ไอ้คนที่นั่งข้างๆ ล้างให้อีกที ไม่รู้ว่าผมหิวมากหรือว่าอะไร เลยทำให้ผมกินสปาเก็ตตี้ตรงหน้านี้หมดเกลี้ยง มันไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกันนะครับ ถ้าเทียบกับปริมาณอาหารที่ผมกินปกติ แต่ผมกลับกินมันหมดโดยไม่ได้รู้สึกว่ากำลังทรมานตัวเอง หรืออาจเป็นเพราะ... มันเป็นฝีมือของปาร์คด้วย


à suivre...

ทุกคนเตรียมยำเล็บมือนางไว้ให้ปาร์คกันเต็มเลย 5555555+
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 18 P.3 [31/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-05-2017 21:07:55
ทั้งหมดมันคือภาพลวงตา
มันไม่เคยมีจริง

ไม่มีอยู่จริง

หลอกลวงทั้งเพ
มีแต่สัด และก็ เหี้....ย

+1 คนแต่ง
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 18 P.3 [31/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-06-2017 00:14:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 18 P.3 [31/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-06-2017 11:04:05
รอดูว่าปาร์คจะทำยังไงกับความสัมพันธ์นี้ต่อไป ระวังเถอะความไม่แน่นอนของปาร์คจะทำตัวเองเจ็บซะเองนะปาร์ค
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 19 [4/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 04-06-2017 20:10:06
Chapitre 19

   หลังจากที่อิ่มหนำจากมื้ออาหารสไตล์ยุโรปฝีมือปาร์ค ผมกับปาร์คก็กลับมานอนเล่นกันในห้อง ปาร์คที่นอนดูโทรทัศน์ไปกอดผมไป อยู่ๆ ก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปซะงั้น แล้วยังกอดผมซะแน่นไม่ยอมปล่อยอีกต่างหากครับ จนสุดท้ายผมก็หลับตามไปติดๆ และสะดุ้งตื่นมาอีกทีเพราะปวดฉี่จนทนไม่ไหว เลยต้องจำใจปลุกคนที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ ให้ปล่อยผมออกจากอ้อมกอดนั้น
   เมื่อลุกไปเข้าห้องน้ำเสร็จ กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็ต้องหลุดหัวเราะกับปาร์คที่นั่งตาปิดผมเผ้ารุงรัง หมดสภาพคนหล่อชอบวางมาดเลยครับ เห็นแล้วอยากถ่ายรูปแท็กลงเฟซบุ๊กให้รู้กันทั่วเลย ผมเดินไปเปิดม่านที่ปิดกันแสงแดดเมื่อตอนบ่ายออก ปรากฏว่าฟ้าด้านนอกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงทะมึนแล้วครับ นี่เราสองคนนอนยาวเหมือนกันนะ ผมที่หลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เลยบอกไม่ได้ว่านอนไปนานแค่ไหน

   “จะกลับหอเลยหรือเปล่า” ปาร์คถามทั้งที่ยังคงนั่งในสภาพแบบเดิม

   “กลับเลยก็ได้ เดี๋ยวจะดึก” ผมตอบออกไป ก่อนจะเก็บของใช้บางส่วนที่เอากลับบ้านใส่กระเป๋า จริงๆ ว่าจะเก็บตั้งแต่บ่ายแล้วครับ แต่... โดนกอดอยู่ให้ทำไง

   “งั้นปาร์คไปอาบน้ำก่อนนะ” แล้วปาร์คก็คว้าผ้าขนหนูที่มันเหวี่ยงคลุมหัวผมเมื่อคืนออกไปด้วยสภาพที่งัวเงียเต็มพิกัด ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้วยังไม่หายง่วง ผมนั่งรถโดยสารสาธารณะกลับก็ได้นะ ปลอดภัยกว่าอีกดูๆ แล้ว

   ในที่สุดผมก็มาถึงหออย่างปลอดภัยครับ ก่อนออกมาจากบ้าน แม่ผมรีบบอกปาร์คใหญ่เลยว่าให้แวะไปที่บ้านอีกบ่อยๆ เดี๋ยวจะสอนทุกอาหารโน้นนี่สารพัด ดูท่าทางหญิงแม่ผมจะปลื้ม... ลูกเขย? คนนี้มากเลยครับ ปาร์คเองก็ดูท่าทางปลื้มอกปลื้มใจที่เข้ากันได้ดีกับแม่ของผม

   ก่อนที่ผมจะได้ลงจากรถ มีหรือที่ปาร์คจะปล่อยให้ผมจากไปง่ายๆ มันคว้าท้ายทอยของผมเข้าไปหา ก่อนจะบดจูบอย่างหื่นกระหายราวกับไม่ได้สัมผัสมันมาเป็นปีๆ ทั้งที่เพิ่งจะจูบผมไปเมื่อคืน ผมทำเป็นดิ้นเล็กน้อย แต่ก็ปล่อยเลยตามเลยจนปาร์คพอใจ มันถึงได้ปล่อยผมให้เป็นอิสระครับ ผมก็รีบคว้ากระเป๋าลงจากรถทันที ขืนอยู่ต่อก็โดนเอาเปรียบอีกสิ

***********__________************

   วันจันทร์กลับมาเยือนอีกแล้วครับ ผมต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้มีเรียนเช้าครับ แต่งตัวเสร็จไม่นานเก็ทก็โทรมาบอกว่ามาถึงหอผมแล้วตามปกติ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติครับ มีแต่ตัวผมนี่แหละที่อารมณ์ดี สดชื่นและร่าเริงกว่าปกติ ก็เพราะความน่ารักของปาร์คก่อนหน้านี้แหละครับ เวลานึกถึงทีไรมันก็ทำให้ผมยิ้มไม่หุบ ทั้งตอนที่เรานอนกอดกัน รอยจุมพิตที่เปลือกตาของผม ไหนจะเส้นสปาเก็ตตี้ที่ผมคิดว่ามันอร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมานั่นอีก แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องเขินจนกลั้นยิ้มไม่อยู่มากที่สุดคงเป็น... รสจูบอันหอมหวานนั้นที่ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง ผมก็ไม่รู้สึกเบื่อ

   “เป็นอะไรนั่งยิ้มอยู่คนเดียว ตั้งแต่ที่หอล่ะ” เก็ทถามขึ้นหลังจากที่รับผมออกมาจากหอได้สักพัก และกำลังมุ่งหน้าไปยังคอนโดฯ ของโดนัทที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก

   “เปล่าๆ อารมณ์ดีไม่ได้หรือไง” ผมหันมาทำหน้าบึ้งใส่ คนจะมีความสุขบ้างไม่ได้หรือไง

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไร เห็นยิ้มได้ก็ดีแล้ว” เก็ทว่าเสียงนิ่งๆ ตามสไตล์ แต่กลับมีผ่ามือใหญ่อุ่นๆ มายีผมของผมเบาๆ

   “หัวยุ่งหมดแล้ว!” ผมคว้ามือใหญ่นั้นออกจากหัว พร้อมกับแกล้งทำหน้ามุ่ยๆ ใส่

   “มีความสุขแบบนี้ไปนานๆ ล่ะ” เก็ทหันมามองผมก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับถนนด้านหน้าต่อ นี่แหละครับเพื่อนดีๆ ของผมอีกคน คนที่อยู่กับผมตลอดทั้งเวลาสุขและทุกข์ เก็ทไม่เคยทิ้งผมไปไหน

   “แน่นอนอยู่แล้ว” ผมทำท่าล้อเลียนพิธีกรชื่อดัง โดยใช้นิ้วชี้ชี้ไปยังเก็ท

   “หึหึ” เก็ทส่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยกับท่าทางของผม แต่ไม่ได้หันมามอง “ยังไงก็อย่าก้าวเร็วเกินไปแล้วกัน ค่อยเป็นค่อยไป เผื่ออะไรๆ อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด” เก็ททิ้งท้ายประโยคที่ทำให้ผมต้องตีความ แต่ก็ถือว่าเป็นข้อคิดที่ดีมากๆ แต่ตอนนี้ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าระหว่างผมกับปาร์คมันก้าวไปเร็วเกินไปหรือเปล่า จากเมื่อก่อนความสัมพันธ์ของเราก็คงที่มาอยู่ตลอด จนมาถึงตอนที่เราทะเลาะกัน มันเหมือนกับว่าเราห่างกันไปแล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันกลับดีขึ้นมากๆ อย่างน่าประหลาด ทุกอย่างมันดูก้าวกระโดดไปหมด แล้วทางที่เราก้าวเดินไปมันจะมีช่องว่างที่ทำให้คนใดคนหนึ่งหรือเราทั้งคู่ก้าวพลาดหรือเปล่า

   ผมเก็บคำพูดของเก็ทมานั่งคิดในคาบเรียน จนผมรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างกับบทเรียน ก็มีเก็ทคนเดิมแหละครับที่ต้องเรียกสติของผมให้อยู่กับตัว ผมคงเป็นคนที่คิดมากไปมั้ง มีอะไรมาสะกิดนิดหน่อยผมก็คิดมากไปหมด ผมแค่กลัว... กลัวเรื่องของผมกับปาร์ค เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยมีอะไรชัดเจนเกี่ยวกับเราสองคนเลย หรือแม้แต่ตอนนี้ ผมอาจจะคิดไปคนเดียวก็ได้ว่าเรากำลังเป็น... แฟนกัน

   “คิดมากอะไรอีก เมื่อเช้ายังยิ้มๆ อยู่เลย” เก็ทถามขึ้นขณะที่พวกเรากำลังเก็บของหลังจากเลิกเรียนเพื่อไปกินข้าว

   “ก็เรื่องเดิมๆ แหละ ฟร๊องก์แค่รู้สึกไม่มั่นใจ ฟร๊องก์กลัวจะไม่เป็นไปตามที่คิดอย่างที่เก็ทพูด” เมื่อเพื่อนคนอื่นเดินออกจากห้องไปหมดแล้ว ผมจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเก็ทด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ

   “คิดเยอะไปแล้วนะเรา เก็ทแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ สักหน่อย” เก็ทเอื้อมมือมาโยกหัวผมเบาๆ ก่อนจะยิ้มเป็นกำลังใจให้ผมคลายความกังวลลง ถึงจะรู้สึกขึ้น แต่ก็ยังแอบคิดอยู่เล็กๆ เหมือนกัน ผมกลัวว่าคำพูดของเก็ทจะเป็นจริง

   “ไปกินข้าวกันเถอะ พวกนั้นรอแย่แล้ว” ผมยิ้มแห้งๆ ตัดบท ผมรู้ว่าเก็ทเองก็เป็นห่วงความรู้สึกของผมอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นจะให้มันมาคิดมากไปกับผมด้วยคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ผมเลยเลือกจะปล่อยให้มันผ่านไปดีกว่า อย่างน้อยผมคิดมากคนเดียวก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นต้องมาเป็นกังวลหรือเดือดร้อนไปด้วย

   “กูล่ะเบื่อผัวเมียคู่นี้จริงๆ เลย รอจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย” นุ่นขาประจำปล่อยหมาออกจากปากทันทีที่ผมออกมาจากตึกไปยังรถที่พวกเพื่อนๆ ผมรออยู่

   “หวัดดีพี่ ดีครับพี่เก็ท” เสียทะเล้นๆ ของทาร์ตดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ยืนอยู่กับพวกนั้นก่อนหน้าโบกมือทักทายผมกับเก็ทด้วยรอยยิ้มกว้าง โชว์เหล็กดัดฟันสีใหม่ คราวนี้มาเป็นสีชมพูเชียวครับ มึงจะหวานไปป่ะ?

   “อ้าวทาร์ตไม่มีเรียนเหรอ” ผมยิ้มทักทายผู้มาเยือนคนใหม่ ผมไม่ได้เจอหน้ามันมาเป็นอาทิตย์แล้วครับ ตั้งแต่หลังจากกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างคณะวันนั้น ก็เพิ่งเจอมันเนี่ยแหละ จะมีก็แค่คุยกันทางโทรศัพท์

   “โห้พี่ นี่เที่ยงแล้วนะ” ทาร์ตทำหน้าตากวนๆ เออๆ ก็ลืมบ้างอะไรบ้าง

   “นี่ผัวหลวง ผัวน้อย แล้วก็คุณเมีย มึงจะคุยกันอีกนานไหมคะ กูหิวข้าวมากเลยค่ะ” นุ่นขัดบทสนทนาระหว่างผมกับทาร์ตขึ้นมา ทำให้ทุกคนขำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะตกลงว่าไปกินที่ไหนกัน สรุปคือออกไปกินร้านนอกมหาวิทยาลัยครับ เพราะพวกผมมีเรียนอีกทีก็บ่ายสอง ส่วนทาร์ตไม่มีเรียนแล้วครับ เลยยังไงก็ได้ แล้วจึงแยกย้ายไปประจำที่ในรถ แน่นอนว่ารถเก็ทแน่นขึ้นเพราะมีทาร์ตติดสอยห้อยตามมาด้วย แถมยังยิ้มหน้าสล่อนอีกต่างหาก ไวน์ก็ชอบเชียวครับ มันชอบเล่นๆ กับน้องอยู่แล้ว พอต้องนั่งเบียดๆ ไวน์ก็ทำเนียนนั่งติดซะจนแทบจะขึ้นไปนั่งตัก เจ้าตัวที่โดนเบียดก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ ยังคงยิ้มโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อยู่แบบนั้น

   “พี่ฟร๊องก์เย็นนี้ว่างไหม” ทาร์ตถามขึ้นในรถที่เงียบ เลยกลายเป็นจุดสนใจคนทุกคนทันที ก็เล่นถามผมคนเดียวซะแบบนี้

   “ก็ว่างนะ หลังเลิกเรียนก็ไม่มีโปรแกรมอะไรต่อ” ผมหันไปตอบคนที่นั่งถามผมด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่ที่เบาะหลัง

   “ถึงมันไม่ว่าง พี่ก็ว่างนะ” ไวน์เสริมเข้ามาทันทีเลยครับ ทำให้ทาร์ตหันไปยิ้มหน้าแหย่ๆ ให้

   “กูว่ากูจะได้น้องสะใภ้เป็นเพื่อนตัวเองแล้วว่ะ” โดนัทเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์แล้วเอ่ยปากแซวทันที

   “ฮ่าๆ แล้วพี่นัทจะว่าไหมล่ะ” ไอ้นี่ก็เล่นกับเขาด้วยอีกคน สรุปมันจะจีบผมจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย “เย็นนี้ไปเดินเล่นกันนะพี่ แล้วเดี๋ยวผมพาไปร้านอร่อยแถวๆ เอกมัย ผมไปชิมมาแล้ว อร่อยมาก บรรยากาศก็ดีด้วย” ทาร์ตหันกลับมาพูดกับผมต่อด้วยประโยคยืดยาว พร้อมรอยยิ้มกว้างที่ยังคงฉายแววอยู่บนใบหน้า

   “อืม ไปดิ ไม่ชวนพวกนี้ไปด้วยล่ะ”

   “โอ้ย! กูไม่ไปเป็นก้างหรอกค่ะ ถ้าเป็นมึงกูจะช่วยเชียร์น้องกู” โดนัทพูดด้วยเสียงจิ๊จ๊ะอย่างมีจริตจะก้าน

   “เห้อ... โดนมึงคาบไปแดกอีกแล้ว ขอให้มึงทะเลาะกับเก็ท ทาร์ตเองก็เหมือนกัน ผัวเขานั่งอยู่ด้วยทั้งคน ดันชวนซึ่งๆ หน้า” ไวน์เองก็อีกคนครับ ทำท่าทางและน้ำเสียงขัดใจมาก

   “อ้าว สรุปพี่สองคนเป็นแฟนกันเหรอ” ทาร์ตถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงงงๆ ที่กำลังเชื่อในสิ่งที่ไวน์พูดอย่างเต็มประดา

   “เชื่อไวน์มันก็ออกลูกเป็นควายแล้ว” ผมว่า ก่อนที่ทุกคนจะหลุดหัวเราะเสียงดังคับรถ ไม่เว้นแม้แต่เก็ทที่ขับรถเงียบๆ มาโดยตลอดยังแอบหัวเราะเบาๆ ในลำคอ จะมีก็แต่ทาร์ตที่เกาหัวเก้อๆ ด้วยความอาย ไอ้นี่ก็เชื่อคนง่ายซะจริง

   ติ๊ง!

   เสียงไลน์ผมเด้งเข้ามาหลังจากที่พวกผมจัดการอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง ท่าทางนุ่นจะหิวจริงครับ เพราะตอนกินกันนั้นแทบไม่ได้ยินเสียงพูดของมันเลย ถึงว่าสิ โมโหหิวขนาดนั้น ถ้าช้ากว่านี้หน่อยมีหวังมันได้กินหัวผมแท้ข้าวล่ะมั้งครับ

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครเป็นคนทักไลน์เข้ามา ปรากฏว่าเป็นแคมป์ครับ แอบงงเล็กน้อยที่อยู่ๆ มันก็ทักมา แต่ก็เปิดอ่านเผื่อมันมีธุระอะไรสำคัญหรือธุระด่วนหรือเปล่า แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่มันส่งมา ผมก็เกือบทำโทรศัพท์ร่วงจากมือ

   ในไลน์มีข้อความมาว่า ‘นี่แหละคนที่กูบอกมึงเมื่อวันเสาร์ มันคงคบกันอยู่ ตาสว่างสักทีนะมึง เป็นห่วงและอยู่ข้างมึงเสมอนะ’ ถัดจากข้อความดังกล่าวไปก็เป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่ถ่ายรูปคู่กัน ในภาพเป็นผู้หญิงที่มองแล้วถือว่าสวยนั่งข้างๆ ผู้ชายอีกคน โดยที่ผู้ชายกำลังหันข้างอยู่ ดูๆ แล้วก็น่ารักดี ถ้าใบหน้าของผู้ชายในรูปไม่ใช่คนที่คุ้นเคยและจำได้แม่นแม้จะเห็นเพียงด้านข้าง ผมจะไม่ตกใจเลยถ้าคนในรูปนั้นไม่ใช่... ปาร์ค!

   ‘ตอนนี้กูเห็นมันควงชะนีอยู่คนหนึ่ง กูเห็นที่มอหลายครั้งและ’ คำพูดของแคมป์เมื่อวันเสาร์ไหลหลั่ง วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้ามาในความคิดของผมอย่างหยุดไม่ได้ ภาพที่แคมป์ส่งมาเป็นภาพที่แคปมาจากเฟซบุ๊กของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นลงรูปคู่กับปาร์ค แม้ว่าผมจะไม่เห็นแท็กนี้ในเฟซบุ๊กของปาร์ค แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าการคบกันของสองคนนี้นั้นมีคนอื่นรับรู้ และไม่มีการปิดบังใดๆ

   แล้วถ้าปาร์คกำลังคบกับคนๆ นี้อยู่จริงๆ ปาร์คกลับมาทำดีกับผมทำไม สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เมื่อวันเสาร์ หรือแม้แต่เมื่อหลายวันก่อนมันคืออะไร คำพูดของปาร์คที่ออกมาจากริมฝีปากที่เคยจุมพิตผมนั้นมันหมายความว่าอะไร แล้วคำว่ารักที่ปาร์คบอกผมนั้นมันมีความหมายบ้างไหม... มันเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถหาคำตอบได้

   “พี่ฟร๊องก์เป็นอะไรไหม หน้าซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า” ทาร์ตที่นั่งข้างๆ ผมถามขึ้น ก่อนที่จะยื่นมือมาแตะที่หน้าผากของผม ดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์ของความวิตกกังวล

   “เป็นไรไหม” เก็ทถามผมด้วยน้ำเสียงนุ่มที่แสนราบเรียบเช่นกัน ทำให้ทุกคนหันมาสนใจผมเป็นจุดเดียว

   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก อยู่ๆ มันก็เวียนหัวขึ้นมานิดหน่อย สงสัยกินเยอะไป แหะๆ” ผมบอกปัดพลางหัวเราะแห้งๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนและกลบเกลื่อนความกังวลที่อยู่ในใจ ผมยังไม่พร้อมจะเล่าให้ใครฟังหรือจะให้ใครรับรู้ทั้งนั้น ทุกอย่างมันยังไม่ชัดเจน บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นแค่เพื่อนที่บังเอิญถ่ายรูปด้วยกันก็ได้ ผมพยายามคิดในแง่ดีเพื่อระงับความคิดมากของตัวเอง ตอนนี้ผมต้องจดจ่ออยู่กับปัจจุบันก่อน อะไรที่เรายังไม่รู้ ไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งด่วนสรุป บางทีแคมป์อาจจะเข้าใจผิด และภาพนั้นที่ผมกำลังตีความไปต่างๆ นานาอาจจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดก็ได้

   “ถ้าไม่สบายกลับไปนอนก็ได้นะ เดี๋ยวเช็คชื่อให้” เก็ทยังคงพูดด้วยความเป็นห่วง

   “เห้ย! ไม่ได้เป็นอะไรขนาดนี้ สงสัยอากาศมันร้อนมั้งเลยเวียนหัว ไม่เห็นต้องซีเรียสขนาดนั้นเลย ฮ่าๆ” ผมส่งยิ้มกลับไปให้เก็ทเพื่อให้มั่นใจว่าผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แต่รอยยิ้มนั้นมันช่างกลั่นออกมาได้ยากเย็นเหลือเกินในเวลาแบบนี้

   “ไปนอนพักที่คอนโดฯ ผมก่อนก็ได้นะพี่” ทาร์ตก็อีกคน ผมบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

   “เนียนเชียวนะคะน้อง คิดจะรวบหัวรวบหางเพื่อนพี่เหรอ” นุ่นที่กินอิ่มหนำก็เริ่มใช้ปากปฏิบัติการณ์ต่อเลยครับ

   “ฮ่าๆ ผมแค่จะดูแลพี่เขาเฉยๆ ครับ เผื่อเป็นอะไรหนัก อย่างน้อยพี่เขาก็ ‘ยังมีผม’ อยู่ใกล้ๆ” ทาร์ตพูดด้วยรอยยิ้มสดใส ทำให้ผมต้องอมยิ้มกับคำพูดและรอยยิ้มที่ดูน่ารักนั้น

   “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก จริงจังกันแท้ รีบจ่ายตังค์ รีบไปเรียนเถอะ” ผมตัดบททันทีครับ ก่อนที่จะถูกซักไซ้ไปมากกว่านี้

**********__________**********

   ตลอดเวลาช่วงบ่าย ผมแทบไม่รับรู้บทเรียนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ในหัวผมมีแต่ภาพนั้นฉายซ้ำๆ เข้ามา พร้อมกับเสียงพูดของแคมป์ที่ดังก้องในหูของผมเหมือนมีใครกรอม้วนเทปวนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีวันจบสิ้น ยิ่งคิดผมก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ และเหมือนคนที่นั่งข้างๆ ผมอย่างเก็ทจะรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของผมได้ครับ เพราะเก็ทหันมามองผมบ่อยมากๆ จนผมต้องหันไปพยายามฝืนยิ้มที่ดูปกติที่สุดให้กับเก็ท

   หมดคาบเรียนในตอนสี่โมงเย็น ผมเดินตามเพื่อนๆ ออกมาจากห้องด้วยท่าทางไร้ชีวิตชีวา โดยมีเก็ทเดินตามหลังผมออกมา เก็ทเป็นคนเดียวที่ดูผมออกว่าตอนนี้จิตใจผมกำลังไม่ปกติ แม้ผมจะพยายามเก็บซ่อนและทำทุกอย่างให้เหมือนปกติ แต่เก็ทก็ยังเป็นเก็ทที่ดูผมออกได้อย่างง่ายดาย

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก่อนหน้า

   [พี่ไหวไหม ถ้าไม่ไหววันนี้ไม่ต้องไปก็ได้นะครับ] ทาร์ตที่อยู่ปลายสายส่งเสียงตอบกลับมาด้วยความเป็นห่วง

   “ไหวดิ พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่(พยายาม)ทำให้สดใสเหมือนปกติ

   [ถ้างั้นเดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปหาพี่ที่ตึกคณะนะ จะได้ไปพร้อมกันเลย พี่เรียนตึก L ใช่ป่ะ] เมื่อเห็นว่าผมไม่เป็นอะไร เสียงทาร์ตก็ฟังดูร่าเริงขึ้นอีกครั้ง มันก็ทำให้ผมยิ้มบางๆ ได้กับความสดใสของเด็กคนนี้

   “อืม งั้นรออยู่หน้าตึก L นะ ถ้าใกล้ๆ ถึงก็โทรฯ ไม่ก็ทักไลน์มาแล้วกัน” ผมว่าก่อนที่จะวางสายไป

   “เดี๋ยวออกไปกับทาร์ตใช่ไหม” เก็ทที่เดินตามหลังผมมาเอ่ยถามขึ้นเมื่อผมวางสายทาร์ตไปหมาดๆ

   “อืม กลับไปก่อนเลย” ผมหันไปตอบคนตัวใหญ่ที่ตอนนี้มาเดินอยู่ข้างๆ ผมแล้ว

   “หน้าซีดขนาดนี้จะปล่อยทิ้งให้อยู่คนเดียวได้ไง” เก็ทดุผมเสียงเข้มเป็นอันรู้กันว่าเก็ทจะอยู่รอจนกว่าทาร์ตจะมาถึง และแน่นอนว่าคนที่กลับกับเก็ทก็ต้องรอเช่นกัน เป็นการมัดมือชกทางอ้อมว่าให้อยู่เป็นเพื่อนผม

   สุดท้ายทุกคนก็นั่งรอเป็นเพื่อนผมหมดเลยครับ แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร อาจเป็นเพราะผมที่ตอนนี้คงหน้าซีดจริงๆ อย่างที่เก็ทบอกมั้งครับ เลยทำให้ทุกคนอยู่รอเป็นเพื่อนเพราะกลัวผมจะเป็นอะไรไป แต่จริงๆ ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อยแค่นั้นเอง แต่จะให้ถึงขั้นเป็นลมเป็นแล้งคงเว่อร์ไปหน่อยมั้งครับ เก็ทนั่นแหละที่เว่อร์ไปเลยทำให้คนอื่นต้องอยู่รอด้วย พลอยทำให้ผมรู้สึกผิดไปด้วยที่ทำให้คนอื่นต้องลำบาก

   “โห้ ทำไมอยู่กันเยอะจัง” น้ำเสียงสดใสของคนที่เพิ่งมาถึงต้องแอบสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ ของผมนั่งอยู่อย่างครบองค์ประชุม

   “กลัวใครจะมาฉุดมันไง เลยอยู่รอเป็นเพื่อน” โดนัทพี่สาวผู้มาเยือนตอบเป็นเชิงจิกกัด ผมอมยิ้มเล็กน้อยกับสีหน้าของเธอ แต่ลึกๆ ก็รู้ครับว่าที่ทุกคนอยู่รอก็เพราะเป็นห่วงผม

   “ฝากด้วยแล้วกัน ถ้าไม่ไหวยังไงโทรมา ไม่ก็รีบไปส่งที่หอเลย” เก็ทลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดเป็นเชิงสั่งกับทาร์ตด้วยเสียงเข้มและจริงจัง แล้วจึงเดินออกจากกลุ่มไป

   “เอาแล้วเว้ย ผัวหลวงเริ่มออกอาการหึงแล้วว่ะ” นุ่นแซวขำๆ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มแยกย้ายกันไป

   “อย่ากลับดึกนักล่ะ แล้วก็... อย่าปล้ำเพื่อนกูด้วย” โดนัทตบไหล่ทาร์ตหนักๆ ก่อนจะเดินจากไป จนตอนนี้เหลือแค่ผมกับทาร์ตสองคน

   “พี่ไหวไหมเนี่ย หน้าซีดมากเลย” รอยยิ้มที่สดใสของเจ้าตัวหุบลงทันทีที่เห็นผม ผมเองก็ยังสงสัยว่าหน้าผมจะซีดมากขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรมากเลยด้วยซ้ำ

   “เห้ย! ไหวดิ รีบไปเถอะ ให้แท็กซี่จอดรอไม่ใช่เหรอ ป่านนี้เขาด่าพ่อแล้วมั้ง” ผมยิ้มก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปยังแท็กซี่ที่รู้สึกว่าจะจอดรอนานพอสมควรแล้ว อีกอย่างมิเตอร์คงวิ่งไปเยอะแล้วด้วย

   ทาร์ตยิ้มรับ แต่ใบหน้ายังแฝงด้วยความเป็นห่วงเล็กๆ อยู่ ก่อนจะเดินนำผมไปยังแท็กซี่ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปยังห้างดังที่แยกอโศก ซึ่งรถโคตรติดเลยครับในช่วงเวลาเลิกงานแบบนี้ ตอนแรกผมบอกให้ลงบีทีเอสใกล้ๆ แล้วขึ้นบีทีเอสไป แต่ทาร์ตก็ไม่ยอมครับ โดยอ้างว่าบีทีเอสตอนนี้คนเยอะ ซึ่งก็จริง เลยกลัวผมจะเป็นลม แต่อันนี้โคตรเว่อร์เลยครับ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมนั่งแท็กซี่มาจนถึงที่นี่แหละครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าทาร์ตเป็นคนจ่ายเงินค่าแท็กซี่

   ปกติผมไม่ค่อยมาทีนี่เท่าไร เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไร เคยมาแค่ช่วงที่มันเปิดห้างแรกๆ อ่ะครับ มาถ่ายรูป พอหลังๆ ก็ไม่ค่อยแวะเวียนมาเท่าไร วันนี้ก็เหมือนเดิมแหละครับ แต่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อเพราะคนที่มาด้วยคอยสร้างเสียงหัวเราะให้ผมตลอด ทั้งผมและทาร์ตเดินเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ไปเรื่อยๆ ครับ

   แล้วอยู่ๆ สายตาผมก็พลันเหลือบไปเห็นบุคคลที่คุ้นเคยที่ร้านเสื้อผ้าฝั่งตรงข้าม ผมเจอปาร์คครับ และกำลังจะเดินเข้าไปทัก แต่ก็ต้องหยุดขาของตัวเองทันทีที่เห็นผู้หญิง... คนเดียวกับในรูปที่แคมป์ส่งมาเมื่อกลางวันเดินตามหลังปาร์คออกมาจากร้านเดียวกันนั้น ก่อนจะเข้าไปคล้องแขนปาร์คอย่างสนิทสนม

   ผมหยุดนิ่งมองภาพนั้นไม่ไหวติง รู้สึกเหมือนหัวใจผมกำลังถูกบีบรัดจากอะไรบางอย่าง และมันกำลังรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกจุกแน่นในอก ปาร์คกับผู้หญิงคนนั้นเดินจากไปแล้ว แต่ผมยังคงไม่ขยับไปไหน ขาผมไม่มีแรงที่จะก้าวออกไป ตอนนี้แม้แต่จะหายใจผมยังทำได้อย่างยากลำบาก...


à suivre...

เชิญกระทำชำเราปาร์คได้ตามสะดวก!! เราเตรียมศาลาวัดเอาไว้ให้แล้ว 55555
แต่ก็แอบอิจฉาฟร๊องก์นะ (แต่งเอง อิจฉาเอง 555+) ถึงจะน่ารำคาญ แต่ก็มีคนคอยอยู่ข้างๆ ตลอดเลย ชิ!

ทั้งหมดมันคือภาพลวงตา
มันไม่เคยมีจริง

ไม่มีอยู่จริง

หลอกลวงทั้งเพ
มีแต่สัด และก็ เหี้....ย

+1 คนแต่ง
โอ้ยยย!! สะใจมาก  :laugh: :laugh: :laugh:
ขอบคุณมากนะฮะ

:pig4: :pig4: :pig4:
:mew1: :mew1:

รอดูว่าปาร์คจะทำยังไงกับความสัมพันธ์นี้ต่อไป ระวังเถอะความไม่แน่นอนของปาร์คจะทำตัวเองเจ็บซะเองนะปาร์ค
หางเริ่มโผล่มาล่ะ 555+
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 19 P.3 [4/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-06-2017 20:41:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 19 P.3 [4/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 04-06-2017 23:25:18
หางเหี้-ย
โผล่แล้ว

ไอ่ปาร์คมันคือเหี้-ย
ตัวแท้ไม่ใช่เทียม

หรือว่าคนเราชอบรักแต่คนเลว
คนเลวๆๆๆๆๆๆๆ เสมอมา
หุหุ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 20 [6/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 06-06-2017 19:45:12
Chapitre 20

   ปาร์คกับผู้หญิงคนนั้นเดินควงแขนกันอย่างกระหนุงกระหนิง... ภาพนั้นผ่านสายตาผมไปนานกว่านาทีแล้วครับ แต่ร่างกายผมยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวอยู่แบบนั้น หัวใจผมเริ่มเจ็บปวดมากๆ ขึ้นทุกที ในขณะที่ขอบตาผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

   “พี่ฟร๊องก์... พี่” เสียงเรียกชื่อผมและสัมผัสของทาร์ตทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองคนที่สะกิดผม “เห้ย! พี่ร้องไห้ทำไม!” ก่อนจะเห็นสีหน้าตกใจของคนตรงหน้า นี่ผมกำลังร้องไห้อยู่หรอกหรือเนี่ย ผมไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกได้ตอนนี้คือผมเจ็บ... เจ็บที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย

   “ห๊ะ! เปล่าๆ ฝุ่นเข้าตาน่ะ” ผมตอบกลับด้วยมุกสุดเชยที่ยกขึ้นมาอ้างก่อนจะยกมือปาดน้ำตาลวกๆ

   “พี่รู้จักสองคนนั้นด้วยเหรอ” ทาร์ตถามผมด้วยสีหน้าสงสัย รอยยิ้มสดใสที่มักจะปรากฏอยู่บนใบหน้านี้ตอนนี้เจ้าตัวกลับเม้มปากนิ่งมองผมด้วยแววตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงอย่างไม่ปกปิด

   “กะ... ก็แค่ ‘เพื่อน’ น่ะ” ผมพูดออกไปอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่ดูเหมือนคู่สนทนาของผมจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมแก้ตัวออกไปแม้แต่น้อย

   “ผู้ชายคนนั้นเป็น...”

   “ไม่มีอะไรหรอก เราไปกันเถอะ เริ่มหิวแล้วอ่ะ ไหนว่าจะพาไปร้านอะไรนั่นไง” ผมรีบตัดบททันที ก่อนจะพยายามฟื้นยิ้มอย่างยากลำบาก

   “... งั้นก็ได้ครับ” ทาร์ตเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อ พลางยิ้มบางๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วพาออกจากห้างไป ผมรับรู้ได้ถึงแรงบีบเป็นระยะของมือที่จับผมอยู่นั้น ผมรู้ว่าทาร์ตเองก็ไม่สบายใจเหมือนกันที่เห็นผมเป็นแบบนี้ เป็นผมก็คงหมดอารมณ์เหมือนกันแหละครับ อุตส่าห์ชวนมาเที่ยวด้วยทั้งที แต่คนที่มาด้วยกลับไม่มีอารมณ์ร่วมแบบนี้ ในความไม่สบายใจนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงกำลังใจผ่านแรงบีบเบาๆ นั้นมาเช่นกัน

   ทาร์ตเรียกแท็กซี่ก่อนจะบอกที่หมาย ผมได้ยินไม่ชัดนัก แต่พอรู้ว่าเป็นร้านแถวเอกมัยอย่างที่เจ้าตัวบอกไว้ก่อนหน้า ซึ่งก็แน่นอนอีกแหละว่ารถยังคงติดอยู่ ระหว่างทางมีเพียงเสียงจากวิทยุของแท็กซี่เท่านั้นที่ส่งเสียงไม่หยุดหย่อน กับเสียงลมหายใจแผ่วๆ ของผม มีเพียงเท่านั้นที่ผมรับรู้ได้

   ผมนั่งเหม่อมองออกไปนอกกระจก มองรถราที่แล่นไปบนถนนสายเดียวกัน จะมีใครสักคนไหมที่กำลังเป็นเหมือนผม แม้จะพยายามหาเหตุผลต่างๆ นานา พยายามคิดในแง่ดีอย่างไร แต่ในหัวก็มีความคิดอีกด้านที่คอยขัดแย่งขึ้นมาเสมอ ‘ตอนนี้กูเห็นมันควงชะนีอยู่คนหนึ่ง กูเห็นที่มอหลายครั้งและ’ เมื่อใดที่ผมพยายามคิดว่าปาร์คกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไรเกินเลย ประโยคนี้ของแคมป์ก็มักจะแว๊บเข้ามาในความคิดเพื่อขัดแย้งเหตุผลของผมเสมอ ทำนบน้ำตาของผมที่พยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถมันก็ใกล้จะพังทลายลงมาเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะห้ามมันไม่ไหว

   “^_^” จู่ๆ ฝ่ามือของคนที่นั่งอยู่ภายในรถข้างๆ ผมเอื้อมมือมาจับมือผมอีกครั้ง พร้อมกับส่งรอยยิ้มบางๆ แบบไม่เห็นเหล็กดัดฟันสีสดใสนั้นให้ผมอย่างเป็นกำลังใจ
 
   ผมยิ้มตอบเจ้าของรอยยิ้มนั้น ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ และไม่นานนักแท็กซี่ก็ขับลัดเลาะพาเรามาจนถึงที่หมาย

   ร้านที่ทาร์ตพามาเป็นร้านสไตล์ญี่ปุ่นตกแต่งแบบโมเดิร์น บรรยากาศน่านั่งดีครับ ตัวร้านเป็นกระจกดูโปร่งสบาย โล่งตาดีครับ ช่วยคลายอารมณ์ผมได้เล็กน้อย ตอนมาถึงนี่ก็เริ่มมืดแล้วครับ ตัวร้านและหน้าร้านประดับด้วยไฟสีส้ม ถือว่าเป็นร้านที่น่านั่งอีกร้านเลยครับ

   “เป็นไงพี่ ร้านนี้โอเคไหม” ทาร์ตถามยิ้มๆ

   “อืม ดีเลยแหละ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ ผมพยายามไม่นึกถึงสิ่งที่เห็นก่อนหน้า หรือเรื่องที่ทำให้คิดมาก อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ควรจะให้ความสำคัญกับคนตรงหน้าหน่อย ไม่ใช่พาเสียบรรยากาศ ผมจึงต้องพยายามฟื้นทำทุกอย่างให้ดูเป็นปกติ แม้ว่าในใจจะปั่นป่วนแค่ไหนก็ตาม

   “งั้นพี่ต้องอารมณ์ดีขึ้นเหมือนบรรยากาศของร้านนะ ยังไงพี่ยังมีผมอยู่... ข้างๆ” ทาร์ตยังคงยิ้มให้ผมอยู่ แต่เป็นรอยยิ้มที่กว้างและสดใสกว่าเดิม มันทำให้ผมยิ้มออกกับรอยยิ้มนั้นเช่นกัน

   เราเข้าไปสั่งเมนูต่างๆ ที่หน้าเคาน์เตอร์ ร้านนี้มีทั้งอาหารคาวและหวาน แน่นอนว่าเราสองคนจัดอาหารคาวกันก่อน แต่ก็สั่งของหวานไว้ล่วงหน้าเลย เมื่อสั่งเมนูครบตามต้องการ ทาร์ตก็เดินนำผมขึ้นไปยังชั้นสองของร้านครับ ซึ่งแบ่งเป็นสองโซน เป็นห้องกระจกมีชั้นหนังสือไว้ให้อ่าน และอีกโซนเป็นแบบระเบียงเอ้าท์ดอร์ครับ คล้ายๆ กับสถานที่แฮงค์เอ้าท์แบบย่อมๆ เพราะสังเกตโต๊ะข้างๆ และในเมนูก่อนหน้ามีพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ด้วย

   “พี่ฟร๊องก์... อย่าหาว่าผมละลาบละล้างเลยนะ แต่ผมเห็นพี่เป็นแบบนี้แล้วไม่สบายใจเลย” เรานั่งนิ่งๆ กันอยู่สักพัก ทาร์ตที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็พูดขึ้นดึงให้ผมที่เสมองบรรยากาศรอบๆ อยู่อย่างเพลินๆ ต้องหันกลับมามองที่ต้นเสียง “ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นอะไรกับพี่กันแน่” ก่อนที่ประโยคคำถามซึ่งเป็นใจความหลักของบทสนทนานี้จะถูกถามขึ้น

   “เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้งกับการตอบคำถามดังกล่าว ไม่เชิงว่าไม่อยากพูดหรอกครับ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าคนตรงหน้าไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ผมสับสนกับคำตอบมากกว่าว่าผมควรบอกไปว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องระหว่างผมกับปาร์ค

   “ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารครับ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดต่อ พนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟซะก่อน จึงเป็นการตัดบทสนทนาไปอย่างอ้อมๆ

   “เออ พี่ครับ ขอมาร์การิต้าเพิ่มแก้วหนึ่งครับ เอาด้วยไหม” ผมหันไปสั่งค็อกเทลเบาๆ มาเผื่อมันจะทำให้ผมหายฟุ้งซ่าน ก่อนจะหันกลับมาถามผู้ร่วมโต๊ะ

   “ไม่ครับ” ทาร์ตหันไปยิ้มบอกพนักงานด้วยตัวเอง “จัดตั้งแต่หัวค่ำเลยเหรอพี่”

   “นิดหน่อยๆ กินเลยนะ หิวแล้ว” ผมยิ้มตอบบางๆ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบหมูชุบขนมปังเสียบเป็นไม้ๆ แล้วราดด้วยซอสโชยุมาหนึ่งไม้ เมนูมันเรียกว่าอะไรไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูน่ากินดี

   “...” ทาร์ตไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยังคงมองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้น

   เรื่องคิดมากก่อนหน้าเริ่มบางเบาไปจากความคิดของผมแล้ว ด้วยบรรยากาศของตัวร้านที่แม้จะมีคนเยอะอยู่พอสมควร แต่ก็กลับรู้สึกสบายและผ่อนคลาย อีกทั้งคนที่นั่งยิ้มตรงหน้าผมนี้ด้วย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทาร์ตช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่ายังมีใครสักคนที่เคียงข้างผม ยิ้มให้ผมในยามที่ผมอ่อนแอ

   “ไม่กินรึไง นั่งยิ้มอยู่ได้” ผมเงยหน้ามองทาร์ตที่มันยังคงนั่งยิ้มไม่แตะต้องอาหารตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยจิกกัดทั้งที่ปากยังคงเคี้ยงเนื้อหมูนั่นอยู่ คงเป็นภาพและมารยาทที่ทุเรศน่าดู

   “เวลาพี่กินนี่ก็ตลกดีเนอะ ไม่ห่วงภาพพจน์ตัวเองเลย ดูดิ๊ ปากเลอะหมดแล้ว” ทาร์ตขำเล็กน้อยกับท่าทางของผม ก่อนจะยื่นกระดาษทิชชูส่งมาให้ ก็คนกินจะให้วางมาดขนาดไหนวะ แล้วอีกอย่างปากจะเลอะบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนิ

   “เลิกพูดมากแล้วกินเข้าไปซะ!” ผมเบ้ปากใส่คนที่นั่งขำก่อนจะหยิบหมูไม้ๆ ดังกล่าวยื่นไปจ่อที่ปาก

   ทาร์ตยกมือขึ้นมาจับไม้แต่โดยดีก่อนที่ผมจะปล่อยมือ หลังจากนั้นอาหารก็ค่อยๆ ทยอยมาเสิร์ฟจนครบ เหลือแต่ของหวานครับ ที่พนักงานจะเอามาให้ตอนหลัง ส่วนเครื่องดื่มพิเศษผมได้มาแล้วครับ แล้วก็เกือบหมดแก้วแล้วด้วย ร้านนี้ผสมแรงพอสมควรเลยครับ ดื่มแล้วรู้สึกถึงรสขมปร่าของแอลกอฮอล์ดีกรีสูงพอตัวเลย

   ผมลืมเรื่องเครียด เรื่องที่ทำให้คิดมากก่อนหน้าไปชั่วขณะ และทาร์ตเองก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งมันสร้างเสียงหัวเราะให้ผมได้เช่นเดิม ของหวานที่สั่งมาเสิร์ฟแล้ว เราสองคนก็ลงมือจัดการกับมันทันที แต่ด้วยความที่ผมดื่มไปก่อนหน้า แม้จะไม่มาก แต่พอมาเจอกับครีมข้นๆ ของพุดดิ้งมัทฉะกับพาฟโลวาที่เป็นเมอแรงค์ ก็ทำให้ผมมึนหัวขึ้นมาได้เหมือนกัน ยิ่งบวกกับอาการปวดหัวที่มีก่อนหน้าแล้ว ยิ่งทำให้อาการหนักขึ้น

   “เมาแล้วเปล่าเนี่ยพี่” ทาร์ตถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ

   “มึนหัวนิดหน่อยแหละ ไม่ได้เป็นไรมาก” ผมตอบยิ้มๆ สติผมยังอยู่ครบครับ มีแค่อาการมึนๆ เล็กน้อยแค่นั้นเอง

   “งั้นเรากลับกันเลยก็ได้ พี่จะได้พักผ่อนด้วย” จากนั้นเราก็เดินลงมาจ่ายเงินค่าอาหารที่เคาน์เตอร์ด้านล่างเช่นเดิม หารกันครับ เพราะอาหารที่นี่ราคาสูงอยู่ อีกอย่างค็อกเทลที่ผมสั่งนั่นล่ะตัวดีเลย

   ทาร์ตเรียกแท็กซี่แล้วบอกที่หมายเป็นหอของผมครับ เมื่อขึ้นมาบนรถผมก็นั่งหลับตาพิงเบาะเพื่อคลายความมึนที่เป็น ภาพเมื่อตอนเย็นกลับมาในหัวผมอีกครั้ง แม้ว่าจะพยายามขจัดมันออกอย่างไร แต่ภาพนั้นกลับยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

   “พี่อย่าคิดมากนะ พักผ่อนให้เยอะ” ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเข้มที่มันฟังดูอบอุ่นกว่าทุกครั้ง

   “ฮึก... สองคนนั้น... ไม่ได้เป็นอะไรกันใช่ไหม” ทำนบน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้เนิ่นนานอยู่ๆ ก็พังทลายลงมาเมื่อได้ยินเสียงอันอบอุ่นนั้น

   “ผมคงบอกอะไรไม่ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพี่จะต้องไม่คิดมากทั้งที่ยังไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง” น้ำเสียงของทาร์ตฟังดูอบอุ่นมากขึ้น ก่อนที่วงแขนกว้างจะเอื้อมมาโอบไหล่ผมเข้าไปหาตัว ผมโน้มศีรษะอิงบนไหล่นั้นอย่างว่าง่าย ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่อายคนที่อยู่ข้างๆ หรือแม้แต่คนขับแท็กซี่ ผมอ่อนแอเหลือเกิน และต้องการเพียงใครสักคนที่ให้ผมยึดเหนี่ยวไม่ให้ผมล้มลงไป

   ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดๆ ต่อ มีเพียงเสียงลมพัดเบาๆ จากแอร์คอนดิชั่นเนอร์ ผมยังคงซบไหล่ทาร์ตพร้อมกับร้องไห้เงียบๆ อยู่อย่างนั้น ปล่อยอารมณ์ไปตามความรู้สึก ตอนนี้ผมอยากพัก ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป

   ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวขั้นรุนแรง เมื่อคืนทาร์ตขึ้นมาส่งผมถึงบนห้อง ก่อนจะลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน (ลามปามมาก!) กับคำพูดที่พยายามพูดมาตลอดเพื่อไม่ให้ผมคิดมาก หลังจากนั้นผมอาบน้ำเสร็จก็แทบสลบเลยครับ แต่สิ่งที่รบกวนอยู่ในใจมันกลับทำให้ผมหลับไม่ลง น้ำตาผมไหลออกไปมากเท่าไรไม่รู้ ร้องไห้จนปวดหัวมากขึ้นๆ เรื่อย จนผมต้องกินยาดักไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไหงตื่นมาแล้วถึงได้ปวดหัวมากขนาดนี้

   “ฮัลโหลเก็ท วันนี้เราไม่ไปเรียนนะ” ผมหยิบโทรศัพท์มือถือมาเพื่อโทรบอกจุดประสงค์กับปลายสายด้วยน้ำเสียงเนื่อยๆ

   “เป็นไรเปล่า น้ำเสียงดูไม่ค่อยดีเลยนะ” ปลายสายถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้มแฝงด้วยความเป็นห่วง

   “ปวดหัวน่ะ เดี๋ยวกินยานอนพักอีกสักหน่อยก็คงหายแหละ”

   “อืม ถ้างั้นเดี๋ยวก่อนไปเรียนแวะซื้อข้าวไปให้ล่ะกัน”

   “ขอบใจนะ ถ้ามาถึงแล้วโทรมาแล้วกัน จะได้ลงไปเปิดประตูให้” ผมว่าก่อนจะกดวางสายไป

   ผมยังรู้สึกง่วงอยู่ เพราะเมื่อคืนกว่าผมจะหลับไปก็ไม่รู้ว่าตีอะไร ภาพแขนเรียวบางของผู้หญิงคนนั้นกำลังคล้องแขนอันแข็งแกร่งที่เคยโอบกอดตัวผมของปาร์ค รูปที่แคมป์ส่งมาให้ผม ทุกสิ่งที่อย่างมันถาโถมเข้ามาในจิตใจของผมจนผมไม่สามารถรั้งน้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนสายน้ำ และไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ผมจำได้เพียงแค่เมื่อคืนผมเหนื่อยกับการร้องไห้มาก จิตใจผมอ่อนล้ากับการคิดมากของตัวเอง จนหลับไปตอนรุ่งสาง คิดดูว่าผมร้องไห้นานขนาดไหน

   แต่ผมไม่สามารถนอนต่อได้ในตอนนี้ เพราะเป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว อีกไม่นานเก็ทก็คงมาถึงหอ ถ้าผมหลับไปตอนนี้ก็คงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เป็นแน่ ผมจึงฟื้นสังขารไปล้างหน้าล้างตาให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น แต่สายน้ำเย็นๆ ไม่ได้ช่วยให้จิตใจผมสงบขึ้นเลย แค่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ความคิดต่างๆ ก็กลับเข้ามาทำร้ายจิตใจผมอีกครั้ง

   ผมแทบไม่อยากมองกระจกด้วยซ้ำว่าดวงตาผมปวดช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักแค่ไหน เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมย้อนนึกไปถึงตอนนั้นที่ทะเลาะกับปาร์ค แต่ผมกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มันหนักกว่า ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวผมโง่และเราสองคนกำลังจะห่างกันโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ 

   ก๊อก! ก๊อก!   

   หลังออกจากห้องน้ำไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

   “อ่ะ ข้าวต้ม กินซะแล้วก็กินยาด้วย นอนพักเยอะๆ แล้วก็หยุดร้องไห้ได้แล้วนะ ขี้เกียจมานั่งปลอบแล้ว” ผมเปิดประตูออกไปก็พบกับเก็ทที่ยืนมองผมด้วยสีหน้านิ่งจนคาดเดาความคิดไม่ถูก ก่อนที่จะพูดประโยคเชิงคำสั่งที่ยืดยาวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นเดียวกัน

   “ขอบใจนะ” ผมไม่รู้จะบอกคำไหนกลับไปได้ดีกว่าคำๆ นี้ มีแค่คนๆ นี้สินะที่คอยอยู่ข้างผม และใส่ใจความรู้สึกของผมอยู่ตลอด แล้วกับปาร์คล่ะ... เคยรู้สึกกับผมแบบนี้บ้างหรือเปล่า

   “อย่าคิดอะไรไปล่วงหน้า ถ้ามีอะไรรีบโทรมานะรู้ไหม” มือหนาของเก็ทยื่นออกมายีผมอย่างแผ่วเบาเฉกเช่นที่ชอบทำกับผม พร้อมกับเสียงที่อบอุ่นเสมอ

   “ไปเรียนได้แล้ว วันนี้พูดมากจริง!” ผมว่าด้วยรอยยิ้มจางๆ

   ผมจัดการเทข้าวต้มที่เก็ทซื้อมาให้ใส่ชาม แต่ก็กินได้อยู่ไม่กี่คำก็ต้องวางช้อน มันขมคอไปหมด ผมไม่ค่อยหิว ไม่รู้สึกอยากกินอะไรเท่าไรด้วย ผมจึงเอาไปใส่ตู้เย็นไว้ก่อนจะกินยา แล้วก็หลับไปในที่สุด

**********__________**********

   ก๊อก! ก๊อก!

   “อื้อ...” ผมตื่นมาพร้อมกับความสะลึมสะลือเพราะเสียงเคาะประตูห้องที่ดังอย่างต่อเนื่อง ผมกระพริบตานิดหน่อยเพื่อไล่ความมึนงงที่ถูกปลุกกระทันหัน อาการปวดหัวผมทุเลาลงมากแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูปรากฏว่ายังไม่หกโมงเย็นเลย เก็ทเลิกเรียนหกโมง แล้วใครมาเวลานี้วะ

   ผมลุกจากเตียงไปยังประตูด้วยความงัวเงีย ก่อนจะกระชากประตูเปิดออกไม่แรงนัก

   “ไงพี่ เคาะประตูเยอะไปหน่อย ผมนึกว่าพี่จะเป็นอะไร” เมื่อประตูเปิดออกก็เจอกับทาร์ตซึ่งอยู่ในชุดนิสิตกำลังโบกมือพร้อมกับส่งยิ้มแป้นทักทายผมอยู่หน้าห้อง

   “มาได้ไงเนี่ย” ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย มันรู้ห้องผมได้ไง แล้วอีกอย่างมันขึ้นมาบนนี้ได้ไง

   “ก็นั่งแท็กซี่มา แล้วก็ขึ้นลิฟต์มา” ดูคำตอบมัน ยียวนกวนประสาทเสียจริง

   “งั้นมึงก็ลงลิฟต์แล้วนั่งแท็กซี่กลับไปเลยป่ะ!” ผมแกล้งตอบเสียงเข้มอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะทำท่าเหมือนจะปิดประตูไล่ สีหน้าทาร์ตที่ดูเล่นๆ ก่อนหน้านี่ซีดเผือดลงราวกับขาดเลือกมาหล่อเลี้ยงทันที นี่ผมพยายามกลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์เลยนะครับ ขำหน้าตาและท่าทางของมันมาก

   “เห้ยๆ เดี๋ยวดิพี่ โหดจังเลย” มันรีบเอามือมายันประตูไว้ทันทีเพราะกลัวว่าผมจะปิด แถมยังทำหน้าตาเหมือนหมาหงอยอีกต่างหาก

   “ฮ่าๆ หน้ามึงตลกว่ะ” ในที่สุดผมก็ต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมา

   “นี่แกล้งกันเหรอเนี่ย ไรวะ ตกใจหมด!” ทาร์ตถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “กวนแบบนี้ท่าทางจะหายเป็นปกติแล้วสิพี่เนี่ย”

   “ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ผมพูดเสียงอ่อนลงพลางเสมองไปทางอื่น

   “ผมขอโทษ... นี่พี่ เพิ่งตื่นเหรอ ดูงัวเงียเชียว” ทาร์ตคงสังเกตได้ว่าสีหน้าผมดูหม่นหมองลงเลยตัดบทด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเช่นกัน

   “อืม หลับตั้งแต่ตอนเที่ยงๆ อ่ะ ว่าแต่นี่รู้ห้องพี่ได้ไง”

   “เห้ยพี่! ลืมหรือไง ตัวเองเป็นคนบอกเองแท้ๆ” ทาร์ตพูดพร้อมหัวเราะเยาะผมเบาๆ กูบอกมึงตอนไหนวะ?

   “กูเนี่ยนะเป็นคนบอก ช่างเหอะๆ” ผมตัดบท งงเหมือนกันว่าผมบอกไปตอนไหน และบอกไปทำไม และก็งงตัวเองด้วยที่จะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าอะไรกันแน่ ฮ่าๆ เดี๋ยวพี่ เดี๋ยวกู “แล้วนี่มาทำไม ไม่มีเรียนเหรอ”

   “ก็มาเยี่ยมพี่อ่ะแหละ เห็นพี่เก็ทบอกว่าพี่ไม่สบายผมเลยเป็นห่วง ส่วนตัวผมอ่ะ เลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสามแล้ว นี่ผมแวะไปซื้อทาร์ตเจ้าอร่อยมาฝากพี่ด้วย” เจ้าตัวพูดด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดิม พร้อมกับชูถุงที่ใส่กล่องขนมโชว์ผม

   “ขอบใจนะ เข้ามาก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวขอล้างหน้าแป๊บหนึ่ง” ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรสำหรับวันนี้สำหรับคำขอบคุณ ผมว่าก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ ทาร์ตเองก็เดินตามผมเข้ามาในห้องโดยไม่ลืมปิดประตู แต่มันไม่ได้กดล็อกหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับผม

   ผมจัดการล้างหน้าล้างตารอบสอง น้ำท่ายังไม่ได้อาบตั้งแต่เช้าเลยครับ ดูเป็นคนสกปรกมาก อย่างที่บอกก่อนหน้า ผมไม่ค่อยปวดหัวแล้ว และก็ไม่ค่อยคิดมากแล้วเหมือนกัน ผมปล่อยครับ ถึงคิดมากไปผมก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี ปาร์คเองก็ไม่ได้มารับรู้ด้วยว่าผมจะเป็นอะไรอย่างไร จะร้องไห้มากแค่ไหน

   มันคงเป็นความน้อยใจและความสับสนของผมเองมากกว่า ถ้าปาร์คจะมีแฟนมันก็ไม่ผิดหรอก แต่มันผิดที่ตัวผมเองที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าปาร์คเองก็มีใจให้ผมเหมือนกัน และก็ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับช่วงอารมณ์ ณ เวลานั้น

   ผมโง่เองแหละครับที่ ‘ยอม’ ง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้าก็มีบทเรียนมาแล้วว่าปาร์คไม่ได้คิดอะไรกับผม วันนั้นมันอาจเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ และฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ปาร์คดื่มมาก็ได้ แต่ตัวผมดันคิดเข้าข้างตัวเอง และคิดว่าอะไรๆ ระหว่างคงจะดีขึ้น ทั้งที่จริงความสัมพันธ์และทุกๆ อย่างระหว่างเรายังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

   “เห็นเงียบๆ ผมนึกว่าพี่เป็นลมในห้องน้ำซะแล้ว” ทาร์ตหันมาพูดกับผมทันทีที่เดินออกมาจากห้องน้ำ โทรทัศน์ในห้องถูกเปิดเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เยี่ยมไปเลย!

   “เว่อร์ไป ไหนทาร์ตที่ว่าอะไร หิวๆ เหมือนกันว่ะ” ผมถามออกไปอย่างไม่อาย จะว่าไปดูเหมือนผมตะกละเหมือนกันนะ ออกมาก็ถามถึงของกินเลย ก็เมื่อกลางวันผมกินข้าวต้มไปหน่อยเดียวเองนี่ครับ มันกินไม่ลง แต่ตอนนี้เริ่มหายดีแล้ว ท้องไส้ก็เลยเริ่มปฏิบัติการแล้วเหมือนกัน (อย่างกับผีปอบ)

   “นั่งอยู่นี่ไงครับ พี่หิวก็กินได้เลย อร่อยนะจะบอกให้...” ทาร์ตพูดกวนๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้มเจ้าเล่าห์มาให้ “โอ้ย!” ผมเลยจัดฝ่ามือโบกเข้าให้เต็มๆ หัวมันเลยครับ โทษฐานที่กวนส้นเท้าดีนัก!

   “พี่ใจร้ายว่ะ ทำร้ายร่างกายอีกต่างหาก” ทาร์ตลูบหัวที่โดนผมตบปอยๆ พลางหัวมาทำหน้ามู่ทู่ใส่ผมอย่างเคืองๆ “ขนมอยู่นั่นไงพี่ เดี๋ยวผมหยิบให้ก็ได้”

   “น่ากินอ่ะ ซื้อร้านไหนมา” ผมพูดอย่างตื่นเต้นเมื่อกล่องกระดาษสีสันสดใสที่บรรจุทาร์ตอยู่ภายในถูกเปิดออก ข้างในมีฟรุ๊ตทาร์ตอยู่หกชิ้น แต่หน้าตามันดูน่ากินมากเลย ผลไม้ที่ประดับบนหน้าทาร์ตเป็นพวกเบอร์รีนานาพันธุ์แข่งกันอวดสีสัน ยั่วยวนกระเพาะของผมมากจนน้ำลายแอบไหลเบาๆ

   “ร้านละแวกคอนโดฯ ผมนั่นล่ะ ผมลองแล้วชอบเลย วันนี้เลยซื้อมาฝากพี่ เผื่อพี่จะชอบ ‘ทาร์ต’ มากขึ้น” ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูต่างไปจากปกติจึงทำให้ผมต้องหันไปมอง เพราะน้ำเสียงและคำพูดมีนัยยะแอบแฝงนั้นมันทำให้หัวใจผมเริ่มเต้นแรงและเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

   สายตาของเราสองคนมองซึ่งกันและกันนิ่ง นัยต์ตาเป็นประกายสดใสคู่นั้นมันแฝงด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนยากจะอธิบาย ก่อนที่ใบหน้าที่มักจะชอบทำท่าทางทะเล้นนั้นจะค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนรุ่มของคนตรงหน้า... และเสียงหัวใจที่เต้นถี่ของเราสองคน

   ทาร์ตหยุดมองผมนิ่ง ขณะที่ผมเองก็ยังไม่หลบสายตาไปไหน ก่อนที่จะค่อยๆ ก้มเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นๆ จนปลายจมูกของเราสองคนชนกัน เรียกสติผมกลับมาจนต้องรีบหันหน้าหนีทันทีที่รู้สึกตัว

   “เอ่อ... พี่กินได้เลยนะ ผมขอเข้าห้องน้ำก่อน” ทาร์ตว่าก่อนจะลุกไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมที่ยังคงนั่งอึ้งด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ใต้ผิว เมื่อกี้เราสองคนเกือบทำอะไรลงไป...

   ผมก้มมองกล่องทาร์ตที่อยู่บนตักนิ่งๆ ผมไม่เข้าใจความรู้ที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้เลย ใบหน้าร้อนระอุเมื่อครู่นี้ และเส้นหัวใจที่เต้นระส่ำของเราสองคนมันหมายถึงอะไร ผมพอเข้าใจสิ่งที่ทาร์ตต้องการจะสื่อและบอกผม

   แต่กับตัวผมล่ะ... ความรู้สึกแบบนี้คืออะไร

   ความรู้สึกที่คล้ายๆ กับที่ผมอยู่กับปาร์ค...


à suivre...

อยากกินทาร์ตบ้าง 555555+
ความรู้สึกที่คล้ายๆ กับที่มีให้ปาร์คของฟร๊องก์ นั่นคือฟร๊องก์จะชอบ 'ทาร์ต' ขึ้นมาบ้างแล้วหรือเปล่าน๊าาา

หางเหี้-ย
โผล่แล้ว

ไอ่ปาร์คมันคือเหี้-ย
ตัวแท้ไม่ใช่เทียม

หรือว่าคนเราชอบรักแต่คนเลว
คนเลวๆๆๆๆๆๆๆ เสมอมา
หุหุ
ฆ่าปาร์คได้คงฆ่าไปแล้ววว 5555+ สะใจในทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณนะฮะ  :man1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 20 P.3 [6/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 06-06-2017 22:15:39
นี่จะผิดไหม แต่ไม่สนทาร์ตหงะ อยากให้คู่เก็ท 55555555555555555555555555555555555     ชอบคนแบบเก็ทอ่ะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 20 P.3 [6/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 06-06-2017 23:00:09
ถ้าไม่ติดว่าเก็ทมีชัญญ่าแล้ว
จะเชียร์เก็ทให้สุดตัวเลย
ผู้ชายอะไรฟ่ะ อบอุ่นเมื่ออยู่ด้วย
ใกล้ผู้ชายคนนี้ รู้สึกดี๊ดียยยย

แต่น้องทาร์ตก็น่าเชียร์เหมือนกัน
โสดด้วย น่ารักด้วย ที่สำคัญกินเด็กเป็นอมตะอ่ะ
อิอิ

ส่วนไอ่ปาร์ค เชี้ยยยยยย ไปไกลๆเลย
ชิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

+1 ฮับ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 21 [8/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 08-06-2017 20:25:15
Chapitre 21

   หลังจากเหตุการณ์ที่ผมกับทาร์ตเกือบ... เอ่อ... ช่างเถอะ หลังจากทาร์ตออกมาจากห้องน้ำ เราสองคนก็ไม่มีบทสนทนาอะไรกันอยู่นานเลยครับ ผมพยายามผ่อนคลายตัวเองด้วยการนำฟรุ๊ตทาร์ตเข้าปากแล้วลิ้มรสชาติของมันอย่างเต็มที่ โดยไม่ได้หันไปมองว่าคนที่นั่งอยู่บนเตียงเดียวกันข้างๆ นั้นจะมีสีหน้าหรือท่าทางเป็นอย่างไร

   บรรยากาศตอนนั้นอึดอัดมากครับ เหมือนเราสองคนทำผิดอะไรกันมาสักอย่าง แล้วรอให้อีกฝ่ายสารภาพออกมา มันอึดอัดมากจนเป็นผมเสียเองที่ต้องเปิดปากพูดออกมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ขอโทษหรืออธิบายอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แค่บอกมันว่าทาร์ตนั้นอร่อยมาก แล้วก็ยื่นกล่องกระดาษนั้นไปยังตรงหน้าของคนที่นั่งก้มหน้านิ่งอีกคน เมื่อเห็นผมทำแบบนั้น เจ้าตัวถึงกับยิ้มออกเลยครับ ก่อนจะหยิบฟรุ๊ตทาร์ตอีกชิ้นขึ้นมากิน ผมก็ลดความกดดันของเราสองคนต่อด้วยการเล่นมุกแซวไปว่าถ้าทำเศษแป้งหล่นใส่ที่นอนจะเตะให้ดิ้น เท่านั้นแหละครับ ทาร์ตถึงกับหัวเราะออกมาเลย แล้วก็ตอบกลับมุกของผมอย่างเฮฮา จนสุดท้ายก็กลับมาเป็นทาร์ตเจ้าเก่าคนเดิม

   วันนั้นผมกับทาร์ตอยู่กันสองคนสักพักพวกเก็ทก็แวะมาเยี่ยม ซึ่งก็มีแค่โดนัทกับไวน์ครับ ส่วนคนอื่นๆ ฝากเยี่ยมแล้วก็ฝากขอโทษที่ไม่ได้มา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าหรือคิดมากอะไรหรอกครับ พวกนั้นโผล่มาพร้อมกับข้าวต้มเครื่อง (อีกแล้ว) ของผม และอาหารปรุงสำเร็จนานาชนิดของพวกมัน โคตรยุติธรรมเลย ทำอย่างกับผมป่วยมากจนกินอะไรไม่ได้อย่างไงอย่างงั้น ทั้งที่ฟรุ๊ตทาร์ตก่อนหน้าผมจัดคนเดียวไปซะสี่ชิ้น มันอร่อยมากจริงๆ ครับ เบอร์รี่สดมากและดูๆ แล้วราคาก็คงใช่ย่อยเพราะวัตถุดิบดีซะขนาดนั้น

   หลังจากที่พวกนี้มา(บุก)ห้องผม ก็มีปาร์ตี้อาหารกันในห้องผมเนี่ยแหละครับ ห้องที่ผมอยู่คนเดียวก็ถือว่ากว้าง พอมีพวกนี้มาห้องดูแคบไปถนัดตา ส่วนผมก็โดนบังคับให้กินข้าวต้มไปตามระเบียบ ซึ่งผมก็บ่นๆ ว่าของเก่ายังไม่หมดเลยจะซื้อมาให้อีกทำไม เคืองครับที่พวกมันไม่ยอมให้ผมกินอย่างอื่น แต่ก็มีคนใจดี ทั้งเก็ท ทั้งทาร์ตเลยที่คอยหา option เสริมให้ผมอยู่ตลอด จนผมแทบจะโยนชามข้าวต้มทิ้งแล้วรับเฉพาะของที่คอยยื่นมาป้อนให้ถึงปาก

   ถือว่าโชคดีที่พวกมันล้างจานชามและเก็บห้องผมให้มีสภาพเหมือนเดิมก่อนจะกลับไป โดนัทกับไวน์ก็อวยพรให้ผมหายไวๆ สองคนนี้ไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ผมป่วย แต่วันนี้มันสองคนก็ไม่ค่อยกวนไม่ค่อยแซวผมเท่าไร ซึ่งถือเป็นเรื่องดีในรอบปี นี่ถ้ามีนุ่นมาด้วยแล้วสงบเสงี่ยมแบบนี้จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลยทีเดียว ทาร์ตเองย้ำให้ผมไม่ต้องคิดมาก(อีกแล้ว) ก่อนจะยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันสีชมพูที่เพิ่งเปลี่ยนมาไม่นานให้ผมอีกรอบ ส่วนเก็ทก็พูดด้วยน้ำเสียงเข้มๆ กับส่งสายตาดุๆ มาให้ผม บอกให้ผมกินยา(ก็ไม่ลืมหรอกน่า) ก่อนจะยีหัวผมเป็นครั้งที่สองของวันแล้วเดินออกจากห้องไปเป็นคนสุดท้าย หลังจากที่ประตูห้องปิดลง ผมยังคงมองภาพที่ผ่านไปนั้นด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่พวกนี้อยู่ที่ห้องผม มันก็ไม่ทำให้ผมต้องคิดมาก และไม่มีอะไรเข้ามารบกวนจิตใจผมได้ อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว

   นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วจากวันที่ผมเจอปาร์คกับผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่ร้องไห้อีกหลังจากวันนั้น แต่ภายในใจปฏิเสธไม่ได้ว่ามันยังคงเจ็บหน่วงๆ อยู่เป็นระยะๆ และก็ยังคงหยุดการคิดมากไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางครั้งผมก็ยังคงมีอาการซึมอยู่บ้าง โดยเฉพาะเวลาที่อยู่คนเดียว และบางครั้งภาพนั้นก็เข้าไปฉายวนเวียนซ้ำในความฝันของผมจนเมื่อตื่นมาพบว่ามีคราบน้ำตาอยู่บนใบหน้าของตัวเอง
 
   ปาร์คเองก็ยังคงเหมือนเดิม ยังคงโทรหาผมและคุยอย่างปกติ มันปกติมากจนผมเองก็รู้สึกอึดอัดจนอยากจะถามออกไปตรงๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร และระหว่างเรามันคืออะไรกันแน่ ที่ทำเป็นเหมือนทุกอย่างมันเป็นปกตินี้คืออะไร แต่ก็เป็นตัวผมอีกเช่นกันไม่กล้าพอ... ที่จะรับฟังคำตอบ ผมยอมรับว่าผมกลัวคำตอบของปาร์ค เพราะผมรู้คำตอบนั้นดี คำตอบที่ตอกย้ำสถานะความเป็น ‘เพื่อน’ ของผม และที่สำคัญ เพื่อนน่ะไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเพื่อนหรอก ดังนั้นทุกครั้งที่ปาร์คโทรมา ผมมักจะพูดน้อยกว่าเดิมที่เคยเป็น และวันนี้เองก็เช่นกัน

   [ฟร๊องก์... เป็นไรหรือเปล่า ฟังดูเหมือนไม่ค่อยอยากคุยกับปาร์คเลย ฟร๊องก์เป็นแบบนี้หลายวันแล้วนะ] เสียงปลายสายของปาร์คถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ฟังดูแข็งขึ้นด้วยอารมณ์ที่ผมคาดว่าจะเริ่มขุ่นมัวขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

   “เปล่านี่ ไม่เป็นไรเลย ทำไมถึงคิดว่าฟร๊องก์จะไม่อยากคุยกับปาร์คล่ะ” ผมฝืนตอบกลั้วกับการหัวเราะแห้งๆ กลับไปด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ดูร่าเริงกว่าปกติ แต่มันช่างขัดแย้งกับหัวใจที่เจ็บปวดของผม ทุกครั้งที่ผมคุยโทรศัพท์กับปาร์ค ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมกำลังถูกบีบ แน่นขึ้นและแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องรีบหาทางวางสาย

   [ก็ไม่รู้สิ ฟร๊องก์ดูแปลกๆ ไป โกรธอะไรผมหรือเปล่าครับคนดี] ยิ่งปาร์คถามผมด้วยเสียงนุ่มทุ้มอันคุ้นหูนั้นมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจมากขึ้นเท่านั้น เจ็บและอึดอัดมากจนผมต้องปล่อยให้น้ำตาที่พยายามสะกัดกั้นไว้อย่างสุดความสามารถต้องไหลรินออกมา เพื่ออะไรกันปาร์ค ให้ความหวังกับผมแบบนี้เพื่ออะไรกัน

   “จะโกรธอะไรเล่า ไม่มีอะไรเลยต่างหาก... ไม่มีเลย” ผม(พยายาม)พูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุด กลั่นเสียงสะอื้นให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้รับรู้และได้ยิน ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ... ใช่ไหม?

   [ปาร์คเป็นห่วงฟร๊องก์นะ แล้วก็แคร์ความรู้สึกฟร๊องก์มากด้วย] คำพูดปาร์คยิ่งที่ให้น้ำตาผมไหลมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าปาร์คแคร์ความรู้สึกผม แล้วปาร์คกำลังแคร์ผมในฐานะใด เป็นห่วงผมเพราะอะไร ห่วงว่าผมจะเจ็บเพราะตัวเองไม่ได้เลือกผมอย่างนั้นหรือ

   “ฟร๊องก์ไม่ได้เป็นไร” ผมตอบกลับนิ่งๆ พลางหลับตาปล่อยน้ำตาให้ไหลต่อไป “ปาร์ค... ฟร๊องก์ขอทำงานก่อนนะ ช่วงนี้งานเยอะมากเลย” ก่อนที่จะพูดต่อด้วยเหตุผลที่ผมมักหยิบมาอ้างตลอดในช่วงนี้ ถ้ายิ่งคุยกันนานกว่านี้ ผมกลัว... ว่าปาร์คจะรู้ว่าผมกำลังร้องไห้

   [โอเค อย่าโหมงานหนักนะ พักผ่อนเยอะๆ ด้วย คิดถึงนะครับ ฝันดีนะคนดีของปาร์ค] สิ้นเสียงของปาร์คผมก็ตัดสายไปทันที ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างกลั่นไม่อยู่

   ทำไมกันปาร์ค ทำดีให้ผมคิดมากทำไมกัน ทำให้ผมสับสนทำไม ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับผมทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่ในฐานะเดิม ทำไมไม่ย้ำสถานะเพื่อนของเราให้ชัดเจน จะปล่อยให้ผมก้าวข้ามไปทำไม และปาร์คเองก็จะทำในสิ่งที่เพื่อนกันไม่ควรทำ ไม่ควรพูด หรือแม้แต่ทำให้ผมรู้สึกทำไมกัน หรือมันเป็นโทษทัณฑ์ของคนที่คิดไม่ซื่อกับเพื่อน... อย่างผม

**********__________**********

   วันนี้เป็นวันศุกร์ นี่ก็บ่ายสามโมงกว่าๆ แล้วครับ และผมกำลังเก็บของกลับบ้าน เมื่อวานเย็นไม่ได้กลับเพราะเพื่อนนัดไปเที่ยวต่อตอนกลางคืน เลยอยู่เที่ยวกับพวกมันหน่อย อย่างน้อยก็ได้ไปปลดปล่อย บางทีเหล้ามันอาจจะทำให้ผมลืม แต่เอาจริงๆ มันก็ลืมความทุกข์ ความเจ็บปวดแค่ชั่วขณะแหละครับ สุดท้ายตื่นมาทุกอย่างมันก็ยังคงตอกย้ำผมอยู่อย่างชัดเจน จะมีก็แต่เรื่องของผมกับปาร์คนี่แหละที่มันไม่มีอะไรชัดเจนเลย

   ผมสะพายกระเป๋าเป้ลงลิฟต์มายังด้านล่างของหอ เพื่อออกไปขึ้นรถกลับบ้าน แต่เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านหน้าของหอผ่านประตูกระจกนั้นก็ทำให้ผมต้องผงะ ผมยังไม่พร้อมเจอคนๆ นี้ในเวลานี้ ผมจะหันกลับเพื่อนขึ้นห้องอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทันแล้วครับเมื่อสายตาคมกริบสีนิลนั้นตวัดมามองยังผมราวกับพบสิ่งที่ต้องการเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงจำใจต้องกดเปิดกดประตูออกไปเผชิญหน้ากับคนๆ นั้น เผชิญหน้ากับความจริง

   “กำลังจะกลับบ้านเหรอ” ปาร์คเอ่ยทักผมด้วยรอยยิ้ม

   “อื้ม แล้วนี่รู้ได้ไงว่ายังอยู่หอ” ผมยิ้มตอบจางๆ เท่าที่ทำได้ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นปกติมากที่สุด

   “เมื่อตอนบ่ายแวะไปหาที่บ้านมา แม่บอกว่ายังไม่กลับ ก็เลยมาหาที่นี่แทน”

   “อ๋อ แล้วมีธุระอะไรเปล่าเนี่ย” ผมถามออกไปโดยไม่ได้มองหน้าปาร์ค แต่ก็ทำเป็นเนียนโดยการมองไปยังสิ่งที่อยู่รอบข้างแทน

   “ไม่มีธุระแล้วมาหาไม่ได้หรือไง หื้ม...” ปาร์คเอื้อมมือมายีหัวผมเบาๆ พร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มหูที่ผมชอบฟัง แต่ไม่ใช่สำหรับเวลานี้ “แค่คิดถึง”

   “...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงเล็กน้อย หวังเพียงอยากจะเห็นในแววตาคู่นั้นว่ามันแสดงความรู้สึกจริงๆ ของปาร์คที่มีต่อคำพูดนั้นออกมาหรือเปล่า แต่แล้วไม่นานก็ต้องก้มหลบสายตาอันทรงอิทธิพลกับผมคู่นั้นเหมือนเดิม ผมบอกแล้วว่าผมมันป๊อด ไม่กล้าแม้แต่จะรับรู้เสี้ยวหนึ่งของคำตอบ... คำตอบที่รู้อยู่แก่ใจ

   “ป่ะ ไปหาอะไรกินกันก่อนค่อยกลับ” ปาร์คยิ้มก่อนจะคว้ามือผมให้เดินตามไปอย่างเอาแต่ใจ

   “ฟะ... ฟร๊องก์ต้องรีบกลับน่ะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” ผมหาข้ออ้างพร้อมกับพยายามดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมที่แน่นหนานั้น แต่มือใหญ่นั้นยิ่งกุมมือผมแน่นขึ้นกว่าเดิม

   “รีบกลับไปทำไม ปาร์คบอกแม่แล้วว่าปาร์คจะมารับ แม่ไม่ได้ว่าอะไร อีกอย่างท่านก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย ดังนั้นไม่เห็นต้องรีบกลับเลยจริงไหม” ปาร์คพาผมมาถึงรถก่อนจะเปิดประตูด้านที่นั่งข้างคนขับ แล้วเอามือเท้ากับตัวรถกั้นตัวผมอยู่ในวงแขนนั้นแล้วยกเหตุผลมากดดันผม แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยอมก้มตัวเข้าไปนั่งที่เบาะรถแต่โดยดี

   “อยากดูหนังไหม” หลังที่ปาร์คขับรถออกจากหอผม เราสองคนก็นั่งเงียบกันมาตลอด ผมได้แต่มองออกไปนอกกระจกซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังมองอะไร รู้เพียงแค่ความอึดอัดในใจผมมันเพิ่มขึ้นๆ จนปาร์คต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบนั้น

   “ไม่อ่ะ กินข้าวเสร็จกลับเลยก็ได้ ฟร๊องก์เพลียๆ น่ะ” ผมปฏิเสธอย่างรวดเร็วโดยไม่หันมามองคนถามด้วยซ้ำ

   “งั้นดูเรื่อง... แล้วกัน” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงขัดแย้งกับสิ่งที่ผมบอกจนผมต้องหันไปมองหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ปาร์คที่มองผมอยู่ตั้งแต่แรกส่งยิ้มกวนๆ ให้พร้อมกับยักคิ้วสองทีก่อนจะหันกลับไปสนใจถนนด้านหน้าต่อโดยยังมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ที่มุมปาก

   ผมไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจดังๆ แสดงความไม่พอใจโดยจงใจให้ปาร์คได้ยิน ยังคงเอาแต่ใจตัวเองอยู่เหมือนเดิมสินะ!

   ปาร์คขับรถต่อไปด้วยท่าทางสบายใจและถูกใจที่ได้แกล้งผม แถมยังผิวปากเยาะเย้ยผมอีกต่างหาก ส่วนผมที่ทำอะไรไม่ได้ก็ทำได้แค่นั่งส่งสายตาอาฆาตเป็นระยะๆ สลับกับการถอนหายใจเมื่อเห็นว่าสายตาดุสุดๆ ที่พยายามส่งไปมันไม่มีผลอะไรต่อคนที่ผิวปากอย่างไม่สะทกสะท้านนั่นเลย

   ไม่นานเราก็มาถึงห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลนัก ปาร์คพาผมไปยังร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดข้องใจอะไร ผมกินอะไรก็ได้แหละ เพราะจริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ แต่อย่างที่เห็น อีกคนไม่มีท่าทีสนใจผมที่กำลังหงุดหงิดอยู่เลยแม้แต่น้อย มันยิ่งทำให้ผมอึดอัด ทำไมปาร์คถึงไม่อธิบาย! แต่ก็อย่างว่า... จะให้ปาร์คอธิบายอะไรในเมื่อเจ้าตัวยังไม่รู้ปัญหาที่เกิดเลยด้วยซ้ำ มีแค่ผมที่บ้าบอคิดมากไปอยู่คนเดียว

   “สั่งเลยนะครับ เดี๋ยวกระผมเลี้ยงเอง” ปาร์คพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เราได้ที่นั่งในร้านเป็นที่เรียบร้อย

   “ป๋าสุดๆ” ผมประชดกลับเบาๆ โดยสายตาจับจ้องไปยังเมนู

   “แน่นอนสิ ฟร๊องก์คนเดียวปาร์คเลี้ยงได้อยู่แล้ว”

   “อิอิ” เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ของพนักงานผู้ชายหน้าตาโอเคที่กำลังยืนรอรับออเดอร์ดังขึ้นทำให้ทั้งผมและปาร์คต้องหันไปมอง ปาร์คยิ้มรับอย่างเต็มภาคภูมิ แต่ผมถึงกับก้มหน้าหลบด้วยความเขินอายแทบไม่ทัน

   “ปาร์คมี... แค่ฟร๊องก์คนเดียวจริงๆ เหรอ” ผมก้มหน้าพูดออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกำลังรำพันกับตัวเอง ขัดกับหัวใจของผมที่เริ่มเต้นแรงและเร็วขึ้น

   “ฟร๊องก์ว่าอะไรนะ ปาร์คไม่ค่อยได้ยินเลย”

   “ป่ะ... เปล่าหรอก สั่งอาหารเถอะ เขารอนานแล้ว” ผมตัดบทก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฝืนยิ้มให้ปาร์คที่กำลังมองหน้าผมด้วยความสงสัย

   ผมจำต้องก้มหน้าลงไปยังเมนูอีกครั้งทั้งที่สายตาไม่ได้มองชื่ออาหารให้เมนูเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะน้ำตาผมมันกำลังจะไหลต่างหาก ผมถึงต้องก้มลงมาห้ามน้ำตาตัวเองเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าเมื่อกี้ที่เงยหน้าขึ้นไปมอง ปาร์คจะเห็นแววตาสั่นไหวคู่นั้นของผมหรือเปล่า...

   ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารก็ผ่านพ้นไป แต่ยังไงผมก็ยังคงต้องอยู่ดูหนังกับปาร์คต่ออีก เพราะเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยให้ผมกลับ อีกอย่างกระเป๋าเป้ผมอยู่บนรถของปาร์คด้วย ไม่ได้เอาอะไรลงมาเลยเว้นแต่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงแค่เครื่องเดียว เงินสักบาทก็ไม่มี แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะ ก็ต้องเป็นไปตามที่ปาร์ควางโปรแกรมไว้

   ตลอดช่วงที่กินอาหารอยู่ ปาร์คก็ชวนผมคุยโน้นนี่ แล้วก็คีบปลาดิบบ้าง ยื่นช้อนที่ตักซุปบ้าง ส่งข้ามโต๊ะมายังปากผม จนผมเคี้ยวไม่ทัน และที่สำคัญโต๊ะข้างๆ มองแล้วหัวเราะกันคิ๊กคักด้วย จนผมต้องบอกให้ปาร์คหยุด ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะดีใจและเขินจนแทบละลาย แต่คราวนี้ไม่เลยครับ ผมกลับยิ่งอึดอัดใจและทรมานใจมากยิ่งขึ้นที่ปาร์คปฏิบัติกับผมราวกับผมเป็น ‘แฟน’ ซึ่งแท้จริงแล้วผมคงไม่มีวันอยู่ในสถานะนั้นเลยด้วยซ้ำ

   “ปาร์คไม่ต้องดูหนังหรอก มันมีแต่รอบมืดเลยอ่ะ เดี๋ยวกลับบ้านดึก” ผมว่าเมื่อมาเราสองคนมาหยุดยืนดูรอบหนังที่ตู้โชว์ไทม์แล้วพบว่าหนังเรื่องที่ปาร์คต้องการดูมีแต่รอบสองทุ่มกว่าๆ กับห้าทุ่ม ซึ่งตอนนี้ก็เย็นมากแล้วด้วย ถ้าดูหนังรอบสองทุ่มนั้นกว่าหนังจะเริ่มจริงๆ ก็คงสามทุ่ม แล้วหนังเรื่องนี้ก็นานด้วย กว่าผมจะได้กลับบ้านก็คงดึกน่าดู แถมแม่จะต้องมานั่งรอเปิดประตูให้อีก ที่สำคัญคือผมจะต้องอยู่กับปาร์คและต้องทนอึดอัดแบบนี้นานขึ้นด้วยเช่นกัน

   “กลับดึกก็ไม่ต้องกลับไง” ปาร์คหันกลับมาพูดด้วยสีหน้าทะเล้น “ปาร์คบอกแม่ฟร๊องก์แล้วว่าคืนนี้ปาร์คจะพาฟร๊องก์ไปค้างด้วย แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร” ตาผมถึงกับเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินประโยคเรียบๆ ของคนตรงหน้า นี่ปาร์ควางแผนมาหมดแล้วใช่ไหมครับ

   “เห้ย! ไม่ได้ ฟร๊องก์... ฟร๊องก์ต้อง... ต้องกลับไปเอาของที่บ้าน” ผมปฏิเสธด้วยความตะกุกตะกัก เวลาคับขันแบบนี้คิดข้ออ้างอะไรไม่ถูกเลย

   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ปาร์คพาไปเอาก็ได้ เสาร์ อาทิตย์ก็ว่างทั้งวัน”

   “เอ่อ... ฟร๊องก์ เอ่อ...”

   “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ อีกอย่างปาร์คซื้อตั๋วผ่านแอพฯ เรียบร้อยแล้วด้วย ไปดูหนังกัน!” ปาร์คสรุปเองเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะคว้ามือผมเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์ เกิดความเบลอและมึนงงชั่วขณะจนผมได้แต่พยักหน้าเออออห่อหมกไปกับปาร์ค ไม่รู้ว่ามันซื้อที่นั่งตรงไหน ไม่รู้มันพูดว่าอะไร ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด จนผมตามไม่ทัน สรุปคือคืนนี้ผมต้องไปนอนกับปาร์คจริงๆ สินะ

**********__________**********

   และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ปาร์คต้องการ สุดท้ายผมก็มานั่งอยู่บนเตียงกว้างภายในห้องนอนที่คอนโดมิเนียมหรูของปาร์คที่ผมเคยมาค้างและก็เคย...

   ปาร์คดูท่าทางมีความสุขมากๆ เลยครับที่หลอกผมให้มาค้างที่นี่ได้ ช่วงบ่ายตั้งแต่ที่เจอปาร์คมา ปาร์คไม่มีท่าทีแปลกไปเลย และก็แทบจะไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่ดูแปลกตาไปของผมเลยด้วยซ้ำ ปาร์คไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมเลย... ไม่เลย

   “หนังสนุกจังเลยเนอะ” ปาร์คเดินเข้ามาหาผมก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างตัวผมแล้วโน้มตัวลงมานอนหนุนตักผมอย่างเนียนๆ
 
   “คงงั้นมั้ง เลือกเองดูเองนิ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

   “อิอิ ที่ฟร๊องก์ยอมดูด้วยไม่ใช่เหรอ แถมยังยอมมานอนกับปาร์คอีก” ปาร์คแหงนหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมอย่างทะเล้น

   “ก็เพราะใครล่ะ หึ! ลุกไปเลยหนัก!” ผมทำเสียงดุพร้อมกับใช้มือผลักหัวปาร์คให้ลุกออกไป แต่มันช่างหนักและยากเย็นเหลือเกิน เมื่อปาร์คที่นอนยิ้มฝืนตัวต้านแรงผลักของผมด้วยท่าทางแสนสบาย น่าหมั่นไส้นัก!   

   “ฟร๊องก์... กำลังโกรธหรือไม่พอใจอะไรปาร์คอยู่หรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าดันหัวของคนจอมดื้อยังไงก็ไม่ได้ผล ผมเลยจำต้องปล่อยให้เจ้าตัวนอนหนุนต้นขาผมอยู่เช่นกัน แล้วจู่ๆ ปาร์คก็ถามขึ้นหลังจากที่เราสองคนเงียบกันอยู่สักพัก และคำถามนั้นของปาร์คก็ช่างจี้จุดสิ่งที่เก็บและกดมันไว้ในใจเหลือเกิน

   “ทำไมถึงคิดงั้นอ่ะ”

   “ก็ฟร๊องก์ดูแปลกๆ ไป ดูเงียบๆ ไม่ค่อยมองหน้า ไม่ค่อยสบตาปาร์ค แล้วก็ทำเหมือน... ไม่อยากอยู่กับปาร์ค”

   “บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรเลย แล้วปาร์คล่ะ มีอะไรจะบอกฟร๊องก์หรือเปล่า” ผมก้มลงมามองปาร์คซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ปาร์คเงยขึ้นมามองผมเช่นกัน เราสบตากันนิ่งครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะตัดสินใจพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “... ถ้ามีอะไรรีบบอกฟร๊องก์เลยนะ ก่อนที่... อะไรมันจะสายเกินไปกว่านี้”

   “หมายความว่าไง” ปาร์คเด้งตัวขึ้นมานั่งมองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังทันทีที่ผมพูดประโยคนั้นจบ สีหน้าที่ดูคาดคั่นนั้นทำให้ผมรู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก แต่จะให้ผมพูดออกไปทั้งที่ผมไม่แน่ใจเรื่องราวทั้งหมดก็ดูจะเป็นการหาเรื่องชวนทะเลาะกันมากกว่า

   “ทำไมต้องทำท่าจริงจังขนาดนั้น ฟร๊องก์แค่พูดเล่นๆ เหอะ ไปอาบน้ำแล้ว!” ผมแกล้งทำเป็นหัวเราะกับท่าทางตื่นตกใจของปาร์ค ใช่ผมแกล้งทำว่าเป็นเรื่องเล่นๆ ทั้งที่ตัวผมเองนั่นแหละที่ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ เลยด้วยซ้ำ

   ผมเข้ามาสงบจิตสงบใจในห้องน้ำ มันรู้สึกจุกที่หน้าอกจนอยากจะร้องไห้ แต่ผมกลับไม่มีน้ำตา มันแน่นร้าวไปหมด ความอึดอัดที่อยู่ในใจผมไม่สามารถพูดหรือถามมันออกไปได้ จะให้ผมเริ่มอย่างไร แล้วถ้าผมเริ่มถามออกไปแล้ว ตัวผมจะรับได้กับคำตอบมากแค่ไหน ผมรู้ดีว่าผมไม่พร้อมที่จะฟังคำตอบที่ตอกย้ำว่าตัวผมเป็นอะไร เพราะตอนนี้ผมก้าวข้ามคำว่าเพื่อนมาจนไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้อีกแล้ว

   ผมใช้เวลาในห้องน้ำพอสมควร ก่อนจะกลับออกมาในเสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงขาสั้นสีฟ้าสดใสที่มันติดมาในกระเป๋าเป้ของผมเอง บางทีมันอาจจะเพิ่มความสดใสให้ตัวผมบ้างก็ได้

   “ยิ้มอะไร” ผมถามอย่างงงๆ เมื่อออกจากห้องน้ำมาเห็นปาร์คนั่งยิ้มมองผมแปลกๆ อย่าบอกนะว่ามันเห็นอะไรต่อมิอะไรของผมผ่านกระจกห้องน้ำอีกแล้ว แต่ผมระวังตัวสุดๆ แล้วนะ มันเป็นประจำทุกครั้งหลังจากครั้งนั้นที่เวลาผมอาบน้ำที่นี่จะต้องระมัดระวังตัวกว่าเดิม ผมโคตรเกลียดไอ้ประตูกระจกขุ่นๆ นี่เป็นบ้า อยากทุบทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด จะทำประตูปกติแบบชาวบ้านชาวช่องก็ไม่ได้

   “หึหึ” ปาร์คส่งเสียงหัวเราะเบาๆ พลางมองสำรวจผมทั้งตัว จนผมก้มลงไปมองขาตัวเองถึงได้รู้เลยว่ามันยิ้มทำไม ก็กางเกงที่ผมใส่อยู่มันสั้นมากเลยน่ะสิ ก็ปกติผมใส่นอนที่หอคนเดียวก็เลยรู้สึกชินจนไม่คิดว่ามันจะสั้นขนาดนี้ แล้วดูสายตาหื่นๆ นั่นดิ รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ผมต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ครับ นอกเหนือจากความรู้สึกที่มันผิดแล้ว อย่าให้เราต้องทำผิดกันไปมากกว่านี้เลย แค่ครั้งเดียวก็ผิดมากพอสำหรับเราสองคนแล้ว

   “ไม่ต้องมาหื่นเลย! ไปอาบน้ำ ฟร๊องก์จะนอนแล้ว ง่วงมาก!” ผมว่าด้วยเสียงดุ

   “จะรีบนอนไปไหน” ปาร์คลุคขึ้นจากเตียงแล้วเดินมาหาผมด้วยท่าทางหื่นกระหายจนผมต้องถอยหนี แต่สุดท้ายก็หมดทางหนีต่อเมื่อแผ่นหลังผมสัมผัสกับผนังห้องเย็นๆ และมันยิ่งทำให้ผมขนลุกมากขึ้นเมื่อปาร์คตามมาสร้างกรงขังผมไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงทั้งสองข้างนั้น

   “ถอยไป!” ผมผลักแผงอกแข็งแกร่งนั้น แต่มันกลับมีขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แถมยังเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ แทน

   “โห้ ขอนิดหนึ่งนะ คิดถึงจะแย่รู้ไหม” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมกับก้มลงมาใช้จมูกโด่งนั้นกดแช่ลงที่แก้มผมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ รุกหนักขึ้นโดยการขยับริมฝีปากพรมจูบไปทั่วข้างแก้มผม ริมฝีปากซุกซนนั้นค่อยๆ ไล่ไปยังใบหูก่อนจะขบเม้มเบาๆ ที่ติ่งหูของผมอย่างอ้อยอิ่งจนผมรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัว เพียงไม่กี่ครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ปาร์คกลับรู้จุดอ่อนของผมเป็นอย่างดี สัมผัสชื้นแฉะจากลิ้นของปาร์คที่บริเวณใบหูของผม ดึงสติผมให้หลุดลอยจนร่างกายแทบทรงตัวไม่อยู่ จุดนี้แหละที่ปาร์คใช้มันปลุกปั่นอารมณ์ของผม

   ปาร์คสนุกกับการเลีย สลับกับการแทะเล็มเบาๆ ตรงบริเวณจุดอ่อนของผมสักพัก ก่อนที่ริมฝีปากบางนั้นจะค่อยๆ ไล่มาหยุดลิ้มรสริมฝีปากของผม สัมผัสแผ่วเบาของปาร์คค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรสจูบที่ร้อนแรงมากขึ้นจนผมต้องหอบหายใจหนักๆ เพราะหายใจไม่ทัน มือใหญ่ของปาร์คเลื่อนจากผนังห้องมาบีบเค้นที่สะโพกของผม แล้วค่อยๆ ล้วงเข้าไปในกางเกงตัวสั้นจิ๋วนั้น ก่อนจะลามลึกผ่านชั้นในตัวบางจนสัมผัสเนื้อเนียนของผมที่อยู่ด้านใน

   “อื้อ... ปาร์คพอแล้ว” เมื่อสถานการณ์ยิ่งยากจะควบคุม รวมถึงอารมณ์ของทั้งผมและปาร์ค ทำให้ผมต้องหันหน้าหนีสัมผัสเร้าร้อนที่พยายามจูบซับอย่างออดอ้อน มือของผมก็จับข้อมือใหญ่ของอีกคนเอาไว้ไม่ให้ล่วงล้ำเข้าไปมากกว่านี้ ผมจำเป็นต้องหยุด... หยุดแค่นี้

   “อีกนิดนะ” ริมฝีปากที่เปล่งเสียงออกมายังคงไม่หยุดพรมจูบใกล้ๆ กับริมฝีปากของผม

   “พอเถอะปาร์ค...” ผมดึงมือปาร์คออกจากบั้นท้ายของผมส่วนอีกมือก็ผลักอกปาร์คให้ถอยห่างออกไป ที่ผมบอกว่าพอเถอะ ไม่ใช่แค่การกระทำนี้ แต่ให้ปาร์คหยุดทำเหมือนคิดอะไรลึกซึ้งกับผมเถอะ บางทีสิ่งที่ปาร์คกำลังเป็นหรือรู้สึกอยู่อาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ หรือความใคร่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นและ... ผมเองก็ไม่ใช่ที่ระบายความใคร่นั้นเหมือนกัน

   “...” ปาร์คเงยหน้ามองผมนิ่ง แต่สายตาคมนั้นกำลังมองผมด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันเหมือนกำลังขุ่นเคือง แต่ก็ดูเหมือนกำลังน้อยใจและผิดหวังในขณะเดียวกัน

   “ไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวฟร๊องก์จะนอนแล้ว” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ก่อนจะหลบสายตานั้นและเบี่ยงตัวเลี่ยงตัวปาร์คที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ไปยังเตียง แล้วจึงล้มตัวลงนอนหันหลังให้ปาร์ค...

   สายตาคู่นั้นหมายถึงอะไร กำลังผิดหวังที่ผมไม่ยอมอย่างนั้นหรือ... หรือว่าโกรธที่ผมหยุดกลางคัน

   ปัง!

   ผมนอนนิ่งอยู่สักพักเสียงปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น มันค่อนข้างดังกว่าปกติ บ่งบอกถึงอารมณ์ของคนในนั้นได้เป็นอย่างดี ผมผิดด้วยเหรอที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก ผิดด้วยเหรอที่ไม่อยากให้มันถลำไปไกลกว่านี้ ปาร์คอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับผมแล้วมันเจ็บ และแค่นี้ผมก็รักปาร์คมากจนไม่สามารถถอนตัวได้แล้ว

   ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกว่าเสียงน้ำนั้นจะสิ้นสุดลงไป ผมยังคงนอนนิ่งไม่เปลี่ยนท่าทางและก็ยังคงไม่หลับ ไม่รู้ทำไมทั้งที่รู้ว่ามันผิด แต่ผมกำลังนอนรออ้อมแขนอันแข็งแกร่งนั้นมาคว้าตัวผมเข้าไปกอดเพื่อส่งผมให้เข้าสู่ห้วงนิทราและฝันดี ผมต้องการแค่นั้น

   “ฟร๊องก์... ฟร๊องก์ หลับแล้วเหรอ” ปาร์คส่งเสียงเรียกผมหลังอาบน้ำเสร็จ แต่ผมเองก็ไม่ได้ขานตอบหรือแสดงปฏิกิริยาอะไร นี่ผมก็หาเหตุผลไม่ได้อีกว่าทำไมผมถึงไม่ตอบรับเสียงเรียกนั้น

   “หลับแล้วเหรอครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นใกล้กับหูผมพร้อมกับฟูกที่ย้วบลงไปด้วยน้ำหนักกายของอีกคน นั่นทำให้ผมรีบหลับตาลงทันที และแกล้งทำเป็นเหมือนกันว่าผมหลับไปแล้ว ทำไมกันนะ? “ขี้เซาชะมัดเลยใครเนี่ย” สัมผัสแผ่วเบาที่เส้นผมและรอยจุมพิตที่ข้างแก้มของปาร์คทำให้ผมรู้สึกดีและอบอุ่นหัวใจขึ้น ก่อนที่ร่างสมส่วนนั้นจะลุกออกจากเตียงไป
   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงริงโทนโทรศัพท์ปาร์คดังขึ้น ดังสติผมที่กำลังเคลิ้มจริงๆ ให้กลับมาอีกครั้ง ใครกันโทรฯ มาดึกดื่นป่านนี้

   “ว่าไงครับ ‘เกล’“ ปาร์ครับสายด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใสขึ้น ผมสะดุดกับคำที่ใช้เรียกชื่อนั้นทันที ‘เกล’ คนนั้นคือใคร จะให้คนที่ผมคิดอยู่ในใจหรือเปล่า... คนๆ นั้นของปาร์ค


à suivre...

จุกแทนฟร๊องก์ งื้ออออ  :hao5:
เรราเลือกพระเอกผิดหรือเปล่า?? 5555+ รอดูความเลวของปาร์คต่อไป  :z6:
แต่เราก็รู้สึกชอบนะ ที่ทำให้คนอ่านรู้สึกกับตัวละครได้แบบนี้ อิอิ ขอบคุณนะฮะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 21 P.3 [8/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-06-2017 23:12:58
เป็นเพื่อนกัน นั่นก็ดี ที่สุดแล้ว
ใจไม่แผ่ว ปลิวไหว ให้หม่นหมอง
เขาไม่คิด จะเป็นคู่ ไม่ดูมอง
อย่าทำผิด ซ้ำสอง นองน้ำตา

หลงคารม จมจ่อ รูปหล่อมาก
หลงมารยา กระชาก ใจห่วงหา
หลงรูปรส เสพติด ชิดกายา
จะตกเป็น ทาสกามา นายบำเรอ

ฟ๊องก์คงเป็นได้แค่นี้สำหรับไอ่ปาร์ค
ทาสบำเรอให้ไอ่ตัวเหี้-ย

+1 ฮับ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 21 [8/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 09-06-2017 00:22:51
นี่จะผิดไหม แต่ไม่สนทาร์ตหงะ อยากให้คู่เก็ท 55555555555555555555555555555555555     ชอบคนแบบเก็ทอ่ะ
เก็ทมีชัญญ่าแล้วอ่ะสิ แต่ส่วนตัวเราก็ชอบตัวละครเก็ทนะ เป็นตัวละครที่เราตั้งใจใส่เข้ามาเพื่อให้รู้สึกถึงความอบอุ่นของการมีคนอยู่เคียงข้าง

ถ้าไม่ติดว่าเก็ทมีชัญญ่าแล้ว
จะเชียร์เก็ทให้สุดตัวเลย
ผู้ชายอะไรฟ่ะ อบอุ่นเมื่ออยู่ด้วย
ใกล้ผู้ชายคนนี้ รู้สึกดี๊ดียยยย

แต่น้องทาร์ตก็น่าเชียร์เหมือนกัน
โสดด้วย น่ารักด้วย ที่สำคัญกินเด็กเป็นอมตะอ่ะ
อิอิ

ส่วนไอ่ปาร์ค เชี้ยยยยยย ไปไกลๆเลย
ชิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

+1 ฮับ
ตัวละครเก็ท เราว่าผู้ชายที่อบอุ่นมีอยู่จริงนะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ
ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง พึ่งพาได้ แต่คนแบบนี้มักมีเจ้าของอยู่แล้ว 555

ส่วนทาร์ตเป็นตัวแทนของความสดใส
ตั้งใจใส่เข้ามาเพื่อเป็นนัยยะบางอย่างให้กับฟร๊องก์
ทั้งนี้ก็อยู่ที่ตัวฟร๊องก์ว่าจะเลือกยังไง
แต่เด็กบ้าอะไรก็ไม่รู้เนอะ ทั้งขี้เล่น ทั้งขี้อ้อน แถมยังน่ารักอีกต่างหาก
ถ้าได้ยิ่งกว่าอมตะ ก็นิพพานแล้ว อิอิ

ส่วนปาร์ค ตัวละครแห่งความสับสน
และความสับสนก็คือสิ่งที่มักเป็นอุปสรรคในการเลือกเดิน
ซึ่งอย่าพูดถึงเลยดีกว่าเนอะ  :z6:

จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 21 P.3 [8/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 10-06-2017 14:32:20
เป็ฯฏุนะหาใหม่แม่งน่ารักจะตายหาใหม่ดิกลัวไร
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 22 [10/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 10-06-2017 20:46:37
Chapitre 22

   ผมนอนนิ่งไม่ไหวติง พยายามทำให้เหมือนว่าตัวเองกำลังนอนหลับสนิทให้มากที่สุด เพื่อฟังปาร์คที่กำลังคุยโทรศัพท์ ‘เกล’ ที่อยู่ปลายสายนั้นคือใคร จะใช่คนเดียวกับที่ผมเจอและเห็นในรูปที่แคมป์ส่งมาหรือเปล่า ทั้งที่ยังไม่ทันรู้อะไร หัวใจผมก็เต้นแรงด้วยความตื่นตะหนก แต่ทุกจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายนั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบรัด ยิ่งเต้นแรงและเร็วมากเท่าไร ความเจ็บปวดยิ่งวิ่งซ่านไปทั้งหมดมากเท่านั้น

   “คิดถึงสิครับ นี่ก็กำลังคิดถึงเกลอยู่พอดีเลยนะ” หัวใจผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของปาร์ค ปาร์คคิดถึงคนๆ นั้น แล้วคำที่บอกว่าคิดถึงผมมันเป็นเพียงแค่ลมปาก เพื่อให้ผมหลงคารมหรือเปล่า ทั้งที่คนที่ปาร์คคิดถึงจริงๆ น่าจะเป็นคนที่อยู่ปลายสายมากกว่า

   “จะมีใครล่ะ... ผม ‘รักเกลแค่คนเดียว’ แหละครับ” เสียงปาร์คเริ่มห่างจากผมไปเรื่อยๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอน ปาร์คออกไปแล้ว และแม้ว่าประโยคเมื่อสักครู่จะห่างจากตัวผมมากเท่าไร แต่ผมกลับได้ยินมาชัดมาก มากราวกับปาร์คมากระซิบตอกย้ำคนที่ปาร์ครักที่ข้างหู

   ‘ผมรักเกลแค่คนเดียว’ คนที่ปาร์ครักมีแค่คนเดียว หัวใจของปาร์คมีเจ้าของแล้ว และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ของผม หัวใจที่ผมไล่ตามมาจนคิดว่ามาถึงเส้นชัย แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ใช่เลย ข้างหน้ามันกลับเป็นหุบเหวลึกต่างหาก ที่บอกผมว่าผมไม่มีทางจะไปต่อแล้ว และฝั่งตรงข้ามมีผู้ครอบครองหัวใจตัวจริงรออยู่แล้วต่างหาก ผมคงมาถึงสุดเส้นทางแล้ว เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผมก็ไม่สามารถหาจุดที่ผมจะเดินข้ามหุบเหวนี้ไปเลยได้ จะมีก็แต่สะพานที่มันดูไม่มั่นคงนั้นที่ทอดข้ามไป และผมก็เลือกที่จะใช้มันเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้ง จนตอนนี้ผมถึงได้รู้ว่า สะพานนั้นมันทอดไปไม่ถึงอีกฝั่ง ผมกำลังติดอยู่ที่กลางสะพานและไม่สามารถย้อนกลับหรือเดินหน้าไปยังฝั่งใดก็ตามได้เลย มันคงเหมือนความรู้สึกที่ผมมีตอนนี้ ผมไม่สามารถถอยกลับไปยืน ณ จุดๆ เดิมได้แล้ว ผมไม่สามารถคิดกับปาร์คแบบเพื่อนได้แล้ว แต่ผมเองก็ไม่สามารถก้าวข้ามมันไปเป็นคนรักได้เหมือนกัน เพราะที่ตรงนั้นมันไม่ว่างเสียแล้ว

   คนที่ปาร์ครักคือคนๆ นั้น แล้วผมที่นอนอยู่ตรงนี้คือใคร? เป็นอะไรกับปาร์คกันแน่?

   ปาร์คออกไปนานมากแล้ว และตัวผมเองก็ร้องไห้นานมากแล้วเช่นกัน ร้องจนผมรู้สึกปวดกระบอกตามากๆ แถมยังรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกต่างหาก มันปวดมากจนหัวผมเหมือนจะระเบิดออกมา หูผมก้องไปด้วยคำพูดว่าปาร์ครักผู้หญิงคนนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนผมไม่รับรู้ถึงเสียงรอบข้าง ตอนที่ปาร์คออกไปปาร์คไม่ลืมปิดไฟในห้องนี้ด้วย ห้องที่มืดอยู่แล้วกลับมืดมนมากขึ้น ยิ่งผมมองผ่านม่านน้ำตา ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูขุ่นมัวไปหมด มันมืดมนมากจนผมไม่สามารถหาแสงสว่างที่จะส่องนำทางผมยังทางออกได้เลย
 
   ผมบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก ไม่ต้องหาเหตุผลว่าปาร์คทำดีกับผมทำไม ไม่ต้องหาเหตุผลกับอะไรทั้งนั้น แต่ผมกลับทำไม่ได้เลย ภาพเก่าๆ มันหมุนวนเข้ามาในหัวราวกับกำลังแกล้งปั่นป่วนจิตใจที่อ่อนแอของให้อ่อนแอลงอีก รอยยิ้มของปาร์ค อ้อมกอดอบอุ่นนั้น และริมฝีปากที่มอบจุมพิตให้ผมอย่างอ่อนโยน ทุกอย่างที่ปาร์คทำคงเป็นแค่ภาพลวงตา ที่ล่อให้ผมมาติดกับดัก จนสุดท้ายปาร์คก็ได้ในสิ่งที่ปาร์คต้องการไป... ซึ่งก็คือแค่ร่างกายของผม ปาร์คไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าหัวใจดวงนี้มันบอบช้ำเพียงใด ไม่ว่าจะหยิบยื่นให้ปาร์คไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปาร์คก็จะทำเป็นเหมือนเป็นห่วงและดูแลมัน ทำให้คนๆ นี้หลงระเริงว่าปาร์คเองก็มีใจ แต่ท้ายที่สุดปาร์คก็จะส่งหัวใจนั้นกลับมาพร้อมด้วยรอยแผลที่เหวอะหวะมากขึ้นทุกที

   บางทีสิ่งที่เก็ทบอกคงเป็นเรื่องจริงๆ เพราะทุกอย่างระหว่างผมกับปาร์คมันไม่เคยชัดเจนมาตั้งแต่แรก สิ่งที่ชัดเจนอย่างความเป็นเพื่อนที่ตอกย้ำผมอยู่เสมอ แต่ผมก็ทำเป็นเมินเฉยและเลือกเดินตามความรู้สึกตัวเองมากกว่า จนสุดท้ายคนที่เจ็บที่สุดก็เป็นตัวผมเอง เพราะปาร์คไม่เคยคิดอะไรกับผมเลย

   และบางทีสิ่งที่แคมป์พูด ผมก็ควรจะทำตามสิ่งนั้นสักที คือตัดใจและปล่อยมือจากปาร์ค เพราะไม่ว่าอย่างไร ปาร์คก็ไม่มีวันหันกลับมามองผม และไม่มีวันที่ผมจะเลื่อนขั้นขึ้นไปจากคำว่าเพื่อนได้ ผมมันก็แค่เพื่อน... เพื่อนที่ยอมให้ได้ทุกอย่าง

**********__________**********

   วันต่อมาผมตื่นมาด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง ปวดเหมือนกับที่เคยเป็นเมื่อหลายวันก่อน แต่ครั้งนี้ผมพยายามอดทนให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้อีกคนที่นอนกอดผมหลับสนิทอยู่ข้างๆ ต้องรับรู้ ผมนอนหลับตานิ่งอีกครั้งเพื่อพยายามสะกดน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ปาร์คจะมากอดผมทำไม ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งจะคุยกับคนที่อยากกอดจริงๆ ไป

   ผมปวดหัวมากจนผล็อยหลับไปอีกรอบ เมื่อตื่นมาก็พบว่าคนข้างกายลุกออกไปแล้ว และอาการปวดหัวของผมก็ทุเลาลงมากแล้ว ตอนนี้ผมอยากกลับบ้าน อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนอึดอัด และทรมานอยู่อย่างนี้

   ผมจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว ทั้งอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และสุดท้ายก็แบกกระเป๋าเป้ขึ้นหลังเตรียมพร้อมจะกลับบ้านทันที เมื่อออกมาจากห้องนอน ปาร์คมองผมด้วยสีหน้าตกอกตกใจและรีบเข้ามาถามผมยกใหญ่ จนผมต้องโกหกไปว่าแม่โทรมาให้กลับบ้านด่วน ซึ่งปาร์คก็ไม่ได้ว่าอะไร ตอนแรกผมจะกลับเองแต่ปาร์คก็ยังคงยืนยันว่าจะไปส่งผมอยู่ดี

   ตลอดทางที่ปาร์คไปส่งผมที่บ้าน ผมไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ไม่แม้จะหันไปมองหน้าปาร์คด้วยซ้ำ เพราะผมกลัวว่าน้ำตาที่กลั่นไว้จะไหลออกมา ตอนนี้ผมแค่อยากไปให้ไกลจากคนๆ นี้ ผมยังไม่พร้อมจะพูดหรือฟังอะไรทั้งนั้น ผมขอแค่ให้ผมได้อยู่ในที่ของผม แล้ววันหนึ่งที่ผมพร้อม ผมจะกลับมายิ้ม หัวเราะไปกับปาร์คในฐานะ ‘เพื่อน’ ได้อย่างไม่ติดใจ

   “ปาร์คกลับไปก่อนนะ เห็นแม่บอกว่าเดี๋ยวจะไปบ้านย่ากันน่ะ” ผมเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้มันสั่นและดูผิดปกติ

   “งั้นเหรอ งั้นไว้ปาร์คจะโทรหานะ” ปาร์คพูดยิ้มๆ แต่แววตาที่มองมายังผมนั้นแฝงไปด้วยความสงสัยกับท่าทีที่แปลกไปของผม แต่ผมก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ปาร์คได้ถามอะไรต่อ ผมยิ้มตอบบางๆ ก่อนจะรีบลงจากรถเข้าบ้านไปทันที

   ขอเวลาให้ฟร๊องก์หน่อยนะปาร์ค ถ้าฟร๊องก์สามารถถอยกลับไปยืนในฐานะเพื่อนเคียงข้างปาร์คได้เหมือนเดิมจริงๆ วันนั้นฟร๊องก์จะไม่ร้องไห้ จะไม่เสียใจอะไรเลย แต่ตอนนี้ฟร๊องก์อยากให้เราห่างกันก่อนนะ... ผมทำได้แค่บอกปาร์คในใจ ขณะที่น้ำตาก็กำลังไหลออกมา ผมเดินห่างรถยนต์ของปาร์คที่จอดสนิทอยู่ออกมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับหัวใจของผม

   “ฟร๊องก์! เป็นไรลูก” แม่ถามด้วยความตกใจทันทีที่ผมผลักประตูกระจกหน้าบ้านเข้ามาด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา

   “ฟะ... ฟร๊องก์ขออาบน้ำก่อนนะแม่ อึก... เดี๋ยวค่อยว่ากัน” ผมตอบก่อนจะรีบเดินเลี่ยงเข้าห้องไปทันที

   ผมอาบน้ำรอบสอง ทั้งที่อาบไปแล้วที่คอนโดฯ ปาร์ค แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ช่วยยื้อเวลาที่จะต้องคุยกับแม่ออกไปอีก ปกติแล้วผมมีปัญหาก็จะคุยหรือปรึกษาแม่ตลอด และทุกครั้งที่ผมผิดไปจากปกติ ก็จะเป็นแม่ที่สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้จะบอกอย่างไร ผมพอจะรู้แหละว่าแม่รู้ว่าผมคิดยังไงกับปาร์ค เพราะทั้งตอนที่ปาร์คมาบ้านผมตอนนั้น การแกล้ง การหยอกล้อกันระหว่างผมกับปาร์คมันแสดงออกค่อนข้างชัด และแม่มักถามถึงปาร์คเสมอหลังจากวันนั้น แต่ท่านแค่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ออกมาเท่านั้นเอง

   ก๊อก! ก๊อก!

   “แม่เข้าไปนะ” หลังที่อาบน้ำเสร็จ แม่ก็เข้ามาหาผมในห้อง ถึงจะไม่พร้อมยังไง ตอนนี้ก็คงต้องบอกแม่แล้วแหละ

   “...” ผมเดินกลับมานั่งที่เตียงหลังจากที่เปิดประตูให้แม่เข้ามาเป็นที่เรียบร้อย แม่เองก็เดินตามผมมาเงียบแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม

   “ทะเลาะกันมาเหรอลูก” แม่เปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น และไม่ได้กดดันให้ผมต้องตอบคำถามนั้นแต่อย่างใด คำถามที่ไม่ต้องถามว่าใคร แต่เป็นอันรู้ดีว่าแม่รับรู้เรื่องนี้ และรู้มาโดยตลอด

   “เปล่าหรอกครับแม่ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันเลย”

   “แล้วเราเป็นอะไร ถ้าไม่ได้ทะเลาะกันแล้วร้องไห้ทำไมล่ะ”

   “เพราะมันไม่มีอะไรเลยต่างหากแม่ ไม่มีและไม่เคยมีอะไรเลย ฮึก ไม่เลย” บ่อน้ำตาผมแตกอีกครั้ง ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ ครับแม่ เพราะจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย ไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรซึ่งกันและกันทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผ่านมามีแค่ผมคนเดียวที่คิดไปเอง บ้าไปเอง

   “ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร ไม่เป็นไรนะ ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” แม่พูดอย่างอบอุ่นพร้อมกับดึงตัวผมเข้าไปกอด และลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ผมซบไหลแม่ปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่อย่างนั้นเนินนานโดยที่แม่ยังคงลูบหัวผมไปเรื่อยๆ โดยไม่บ่นสักคำ “เหนื่อยก็พัก ถ้ามันทรมานก็หยุด ไม่มีอะไรสายไปหรอกนะลูก”

   ผมนั่งกอดแม่ร้องไห้จนเผลอหลับไปคาไหล่ของแม่พร้อมกับอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นและจริงใจกับผมเสมอ

**********__________**********

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   ผมถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์ด้วยความมึนงง นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย ทำไมข้างนอกยังสว่างอยู่เลย ผมกลับมาก็บ่ายๆ แล้วนะ ตอนที่นั่งคุยกับแม่ ร้องไห้ไปก็คงเกือบบ่ายสามแล้ว แต่นี่ฟ้ายังไม่มืดอีกเหรอ

   สงสัยผมจะมึนมากมั้ง เสียงโทรศัพท์ดังจนมันดับไปแล้วผมยังไม่รู้ตัวเลย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันดังขึ้นรอบสอง และก็ทำให้รู้ด้วยว่านี้เป็นวันใหม่แล้ว นี่ผมหลับข้ามวันข้ามคืนเลยเหรอเนี่ย! แต่ได้นอนหลับยาวแบบนี้ตื่นมาก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกนะ เหมือนความกังวล ความเจ็บปวดมันจางหายลงไป แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกไม่รู้ว่าจะนานสักแค่ไหน ผมถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

   “ฮัลโหล ว่าไง” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เนือยๆ หลังจากกดรับสายโดนัทที่โทรมา

   [เพิ่งตื่นหรือไงคะ กูจะโทรมาชวนมึงไปเที่ยวทะเลกัน] โดนัทตอบกลับมาด้วยเสียงร่าเริงและตื่นเต้น ผมได้แต่เกาหัวงงๆ ชวนเที่ยวทะเลอะไรตอนนี้วะ ไม่ใช่ปิดเทอมสักหน่อย

   “วันไหน ยังไม่ปิดเทอมเลยนะมึง เมาเปล่าเนี่ย”

   [ไม่เมาค่ะ ไปกันจริงๆ พอดีพ่อกูไปดีลงานแล้วได้ voucher ที่พักที่เกาะล้านมาฟรี แต่ก็นะ บ้านกูก็อยู่ใกล้ทะเลป่ะ พ่อกูคงลงทุนมา เขาเลยส่งมาให้กู วันอังคารไม่ก็พุธน่าจะได้แหละ นี่กูชวนคนอื่นหมดแล้ว เหลือมึงเนี่ยแหละ ได้เป็นบ้านพักเลยนะมึง] โดนัทพูดอย่างตื่นเต้น บ้านมันอยู่กระบี่ครับ และบ้านก็ฐานะดีเลยแหละ ไม่งั้นคงไม่มีปัญญาซื้อคอนโดฯ แพงๆ ที่มันอยู่ได้หรอก แถมยังโชคดีได้ของอะไรแบบนี้มาประจำเลยเวลาไปดีลงานด้วยกัน

   “เอาดิ จะไปเมื่อไหร่อ่ะ” ก็ดีเหมือนกันครับ ไปพักผ่อนสมองด้วย บางทีผมอาจจะทำใจได้เร็วขึ้น

   [อาทิตย์หน้าเลยค๊า พ่อกูจัดการโทรไปจองให้เรียบร้อยแล้ว แค่เอา voucher ไปยื่นก็เข้าพักไปได้เลย 2 คืน ยังไงพวกเราก็ว่างตั้งแต่วันศุกร์อยู่แล้ว ส่วนไอ้ทาร์ตให้มันโดดเอาถ้าอยากไป ฮ่าๆ]

   “เร็วแท้วะ โคตรกะทันหันเลย เดี๋ยวยังกูลองของที่บ้านดูก่อนล่ะกัน แต่คงไปได้แหละไม่น่าจะมีปัญหา”

   [ไปให้ได้นะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยรายละเอียดกัน แค่นี้แหละ เปลืองตังค์กูค่ะ]

   “เออๆ ค่อยว่ากัน” แล้วนางก็ตัดสายไปทันทีเลยครับ ผมยิ้มเล็กน้อยก็ความป้ำๆ เป้อๆ ของโดนัท แต่มันก็จัดการอะไรเร็วดีนะ ไม่สิต้องขอบคุณพ่อมันมากกว่า จัดการอะไรให้ทุกอย่าง

   ผมลุกออกไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะเดินไปขอพ่อกับแม่ว่าจะไปเที่ยว ซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่ต้องขอเพราะประเด็นมันอยู่ที่เงินไง ฮ่าๆ แม่บอกไปผ่อนคลาย สมองจะได้ปลอดโปร่งด้วย และก็ทิ้งท้ายไว้ว่ากลับมาจะต้องเป็นผมที่สดใสร่าเริงเหมือนเดิม ซึ่งผมจะพยายามทำให้ได้!

**********__________***********

   แล้วก็มาถึงวันศุกร์ที่พวกผมนัดกันไปทะเล เราไปกันครบทีมเลยครับ รวมทาร์ตด้วยก็เก้าคน เลขสวยเลย ผมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ยิ้มได้ หัวเราะได้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นว่าปกติ ผมร่าเริงเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่เก็ทก็ยังคงเป็นคนที่สังเกตได้ว่าผมดูไม่สดใสเท่าเมื่อก่อน และอีกคนที่ผมคิดว่าคอยสังเกตผมอยู่ตลอดเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เจอนัก นั่นคือทาร์ตที่เจอกันที่ไร ต้องแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน และจะพยายามทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้ง

   ส่วนปาร์คน่ะเหรอครับ หลังจากวันนั้นไป มันโทรมาหาผมทุกคืนเลย ผมก็พยายามทำทุกอย่างให้ดูเป็นปกติที่สุด แต่จะไม่ค่อยเล่นหรือตอบโต้มุกอะไรก็ตามที่ปาร์คมักจะหยอดมาให้ เพราะยิ่งปาร์คทำแบบนี้มากเท่าไร มันยิ่งทำให้ผมตัดใจได้ยากขึ้นเท่านั้น มันทรมานนะรู้บ้างไหม

   แต่ผมก็พยายามไม่คิดอะไรมากครับ ยังไงที่ตรงนั้นก็ไม่ใช่ที่ของผมอยู่แล้ว ใจปาร์คเองก็ไม่ใช่ของผมอยู่ดี ไม่ว่าจะฝืนมากเท่าไร ก็มีแต่จะเพิ่มความลึกให้กับรอยแผลที่หัวใจมากขึ้นเท่านั้น อนาคตจะเป็นยังไงผมไม่อาจรู้ได้หรอกครับ ผมแค่อยากให้แต่ละวันของผมมีลมหายใจต่อได้โดยไม่ทรมานแค่นั้นก็พอ

   วันนี้เรานัดกันที่มอตั้งแต่ 7 โมงเช้าเลยแหละครับ ซึ่งทั้งเก็ทและดิวก็รับหน้าที่สารถีขับรถตระเวนรับคนอื่นๆ ตามปกติเหมือนกับเวลาไปเรียน รถในเมืองค่อนข้างติดครับ เพราะวันนี้ยังเป็นวันทำงานกันอยู่ กว่าเราจะฝ่ารถติดไปยังด่านเก็บเงินค่าทางด่วนได้ก็แปดโมงแล้ว ดังนั้นก่อนหน้าเราเลยแวะซื้อของกินรองท้องกันเป็นที่เรียบร้อย

   “กินไหม” ผมยื่นถุงแซนด์วิชไส้ปูอัดสาหร่ายที่ซื้อมาเผื่อให้เก็ทที่กำลังขับรถอยู่อย่างขะมักขเม้น

   “จะกินยังไงล่ะ ขับรถอยู่” เก็ทตอบพร้อมหันมามองผมอย่างเซ็งๆ

   “อ่ะ กินได้ยัง” ผมจัดการแกะห่อแซนด์วิชนั่นแล้วยื่นเข้าไปจ่อปากเก็ทอีกครั้ง

   “หึ!” เก็ทแค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่เผยออกข้างมุมปากเล็กน้อยก่อนจะลงมือกัดแซนด์วิชในมือผม
สรุปผมก็ต้องถือเจ้าแซนด์วิชนั้นให้เก็ทกินไปเรื่อยๆ สลับกับมืออีกข้างที่ถือให้ตัวเองกิน พร้อมกับเสียงแซว เสียงเชียร์ที่มีมาตลอดของไวน์และโดนัท แต่ไม่ยักจะมีเสียงทาร์ตเลยครับ ผมจึงหันไปมองเล็กน้อย ปรากฏว่ามันกำลังกินไส้กรอกมินิค็อกเทลโดยหันออกไปมองนอกตัวรถแบบไม่สนใจใคร

   “กินมั้งดิ” ผมว่าก่อนที่ทาร์ตจะหันมามองผมงงๆ “กินไม่แบ่งเลย”

   “เอาดิพี่” ทาร์ตว่าพลางยื่นถุงไส้กรอกให้ผมยิ้มๆ

   “จะกินได้ไงเล่า มือไม่ว่างเนี่ย” ก็มือผมกำลังถือแซนด์วิชให้ไอ้คุณชายเก็ทมันกินอยู่ไงครับ อีกมือก็ถือแซนด์วิชของตัวเองอยู่ แลดูตระกะเนอะ ของตัวเองก็มียังขอคนอื่นกินอีก แต่พอได้ยินแบบนั้นทาร์ตถึงกับยิ้มกว้างออกมาเลย ยิ้มทำไม! ตลกท่าทางกูอยู่รึไง!

   “อ่ะ” ทาร์ตยื่นไม้ที่จิ้มไส้กรอกลูกเล็กไว้ตรงปลายส่งมายังปากผม ผมก็อ้าปากรับด้วยความยินดี ฮ่าๆ สงสัยผมคงตระกะจริงๆ

   “โอ้ย กูล่ะเบื่อจริงๆ ของตัวเองก็กำลังแดกอยู่ อีกมือก็ป้อนผัวอยู่แท้ๆ แต่กลับมาให้ชู้ป้อนอีก ตะกละแถมยังหลายใจอีกนะมึง!” ไวน์จิกกัดทันที ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่ยักคิ้วกวนๆ ให้ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับไปนั่งแบบเดิม
ผัว... คำที่มาคู่กับคำว่า ‘เมีย’ มันทำให้ผมนึกถึงใครบางคนเคยใช้เรียกผม...

   “เอานมด้วยไหม” ผมยกกล่องนมเป็นเชิงถามว่าเก็ทจะกินไหม ตัวใหญ่ๆ แบบนี้แซนด์วิชแค่ชิ้นเดียวจะอยู่ท้องเปล่าก็ไม่รู้

   “เก็บไว้กินเถอะ พอแล้ว” เก็ทตอบเสียงเรียบโดยไม่ได้หันมามองผม ผมก็เลยจัดการเจาะนมกล่องนั้นกินเอง

   กินเสร็จก็เริ่มง่วงนิดๆ เหมือนกัน ฉะนั้นผมของีบสักหน่อย เมื่อเช้าก็ตื่นเช้าด้วย แถมเมื่อคืนก็นอนดึกอีกต่างหาก ก็เพราะคุยโทรศัพท์นั่นแหละครับ แต่ผมไม่ได้บอกปาร์คหรอกว่าผมจะมาเที่ยววันนี้ ผมกะว่าพอไปถึงตลอดสามวันที่อยู่บนเกาะ ผมจะปิดโทรศัพท์ ปิดการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ผมขอเวลาพักฟื้น ชาร์ตพลังให้ตัวเองสักพัก

**********___________***********

   “ฟร๊องก์ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวหาอะไรกินกันก่อนแล้วค่อยไปขึ้นเรือ” ผมถูกปลุกจากสัมผัสของเก็ทที่เขย่าตัวผมเบาๆ

   “ถึงไหนแล้วอ่ะ” ผมหันไปถามเก็ทพลางบิดขี้เกียจ ตอนนี้ในรถเหลือแค่ผม เก็ทแล้วก็ทาร์ตซึ่งก็กำลังบิดขี้เกียจอยู่เหมือนกัน คงหลับมาเหมือนกับผม ตอนนี้เราจอดกันอยู่ที่จุดแวะพักรถในปั๊ม

   “แถวๆ พัทยาแล้ว ดิวมันบอกให้แวะกินข้าวกันก่อนเลย แล้วก็หาซื้อของสดไปทำกินตอนเย็นอีกที”

   “แล้วไวน์กับโดนัทอ่ะทาร์ต” ผมหันกลับไปถามคนเดียวที่เหลืออยู่ที่เบาะหลัง

   “ไปเข้าห้องน้ำกันครับ นั่นไง” ทาร์ตชี้ออกไปนอกรถ ผมก็เห็นภาพไวน์ โดนัทและนุ่นที่ยืนหัวเราะคิกคักเหมือนพยายามหว่านเสน่ห์ต่อหน้ากลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ใกล้ๆ กันนั้นซึ่งมีอยู่ 6 คน

   “เออ งั้นไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยดิ เก็ทไปด้วยไหม” ผมว่าก่อนจะปลดล็อกสายเข็มขัดนิรภัยออก

   “ไม่อ่ะ ไปเถอะ” เก็ทตอบนิ่งๆ ผมพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะลงมาจากรถไปพร้อมกับทาร์ต

   “ตื่นแล้วเหรอพ่อคุณทั้งสอง” ไวน์ส่งเสียงกระแนะกระแหนทันทีที่ผมเดินไปหาพวกมัน

   “เข้าห้องนะแป๊บ เดี๋ยวออกมาให้จิกกัด!” ผมว่าพร้อมยกมือห้ามปรามเล็กน้อยก่อนจะเดินไปห้องน้ำ ขณะที่กำลังจะเดินไปเหมือนหูผมได้ยินเสียงซุบซิบจากกลุ่มผู้ชายกลุ่มที่ว่านั้นแว่วๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “ทาร์ตเข้าไหม ถ้าไม่เข้ารออยู่นี่ก็ได้นะ ฮ่าๆ” ลากมันมาทิ้งไว้กับพวกนี้เฉยๆ เพื่ออะไรครับผมเนี่ย

   ทาร์ตพยักหน้ารับ แล้วก็ไม่ได้เดินมาห้องน้ำกับผมเป็นอันเข้าใจว่ามันไม่เข้า ผมเข้าไปฉี่ในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาล้างมือและล้างหน้าล้างตานิดหน่อยเพื่อคลายความง่วง

   “เอ่อ... ขอโทษนะครับ ผมขอเบอร์คุณได้ไหม” เมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็พบผู้ชายคนหนึ่ง คุ้นๆ ว่าจะเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในกลุ่มก่อนหน้ายืนดักหน้าผมไว้ เขาตัวสูงพอๆ กับทาร์ต (ทำไมมีแต่คนตัวสูงๆ) ผิวขาว หน้าตาจัดว่าดีอยู่เหมือนกัน
 
   “ขอโทษนะครับ ผมไม่ให้เบอร์คนที่ไม่รู้จัก” ผมบอกปฏิเสธอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงเป็นเชิงขอทาง

   “ถ้างั้นขอไลน์ไว้ได้ไหม ผมชื่อตังค์นะครับ ทีนี่คุณก็รู้จักผมแล้ว” แต่คนที่เพิ่งแนะนำตัวไปเมื่อกี้ไม่ยอมหลีกทางแต่โดยดี แถมยังติ๊ต่างว่ารู้จักกับผมแล้วซะอีก ไหวเปล่าเนี่ย

   “เอ่อ... ขอโทษ...”

   “มีอะไรหรือเปล่าพี่” เสียงทาร์ตดังขึ้น ก่อนจะเดินผ่านคนชื่อตังค์นั้นมาหยุดข้างๆ ผมพร้อมกับวาดวงแขนเอื้อมมาโอบไหล่ผม เนียนเลยนะมึง!

   “ไม่มีอะไรครับ โทษที” คนชื่อตังค์อะไรนั่นพูดขอโทษด้วยเสียงแห้งๆ สายตาจับจ้องไปยังมือที่โอบไหล่ผมอยู่อย่างเนียนๆ นั้นก่อนจะเดินกลับไปยังกลุ่มเพื่อนเขา

   “ปล่อยเลย เนียนเชียวนะมึง!” ผมกระทุ้งศอกเท่าที่สีข้างทาร์ตอย่างแรง
 
   “โห้พี่ ถ้าผมไม่ทำงั้น ไอ้หมอนั่นก็ม่อพี่ถึงไหนต่อไหนแล้วสิ ชอบรึไง” ทาร์ตลูบบริเวณที่โดนข้อศอกผมด้วยท่าทางสำออย พร้อมกับหันมาทำเสียงประชัดประชัน

   “นี่กูต้องเอาดอกไม้ ธูปเทียนมากราบขอบพระคุณเลยไหม” ผมว่าขำๆ ก่อนจะเดินกลับไปหาพวกไวน์ที่ยืนหัวเราะเริงร่ามองผมอยู่ ไม่คิดจะช่วยกันเลย แถมดูท่าทางจะสนับสนุนอีกต่างหาก ถึงได้ยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานสองนาน

   “ทาร์ตแม่งเล่นเกินกว่าที่กูคาดว่ะ มีองมีโอบกันด้วย ลับหลังพวกกู มึงสองคนได้กันแล้วใช่ไหม!” นุ่นปล่อยหมาออกมาเพ่นพ่านทันทีที่ผมกับทาร์ตเดินกลับมาถึง เล่นเอาผมแทบจะสะดุดพื้นตรงนั้นเลยครับ พวกแม่งก็หัวเราะกันสะใจมาก แม้แต่ไอ้ทาร์ตเองก็ด้วย

   “กูเริ่มเกลียดมึงมากขึ้นๆ แล้วว่ะ มึงดูมันดิ! กูมายืนอ่อยก่อนหน้ามันตั้งนาน แต่ไม่เห็นมีใครเข้ามาคุยกับกูแบบนั้นมั้งเลย มึงบอกมาเลยนะเขาคุยอะไรกับมึงบ้าง!” ไวน์ทำท่าโวยแต่เสียงไม่ดังมากนัก พร้อมกับมองผมตาเขียว นี่กูผิดอะไรเนี่ย! ผมไม่ได้อยากให้หมอนั่นเข้ามาทักสักหน่อย แต่ของอย่างนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ ว่ะ คนมันหน้าตาดี ฮ่าๆๆ

   “เพ้อเจ้อนะมึงอ่ะ ไปขึ้นรถกันได้แล้ว คนอื่นรอนานแล้ว” ผมตัดบทแล้วเดินหนีไปที่รถ คันดิวที่มีนุ่นลงมาคนเดียวป่านนี้บ่นกันทั้งรถแล้วมั้งครับ ส่วนเก็ทอาจจะหลับไปแล้วก็เป็นได้

   ขึ้นมาบนรถ ไวน์ก็เปิดปากต่อว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ไม่หยุด แต่มันออกแนวขำขันมากกว่า ผมก็ตอบโต้บ้าง โดนัทกับทาร์ตเองก็เข้ามาเสริมบ้าง ก็สร้างเสียงหัวเราะได้จนคับห้องโดยสารรถ เว้นแต่เก็ทที่ยังคงขับรถนิ่งๆ ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือพูดถึงเหตุการณ์ที่ปั๊มก่อนหน้าแต่อย่างใด ก็อย่างว่าแหละ ขรึมๆ นิ่งๆ อย่างมันจะมามีส่วนร่วมอะไรกับวงตลกอย่างพวกผม ผมสนุกกันจนผมไปลืมว่าสถาวะจิตใจผมไม่ปกติ

   แล้วพวกเราก็มาแวะกินข้าวกันที่ร้านอาหารตามสั่งธรรมดาร้านหนึ่งละแวกนั้น มื้อนี้ไม่เน้นเท่าไรครับเพราะยังไม่ค่อยมีใครหิวมาก ก็เล่นซื้อของกินกันมาก่อนหน้าแล้วนี่ครับ อย่างผมนี่ทั้งแซนด์วิช ทั้งนมอีกกล่อง ไม่รู้สึกหิวเลยแหละตอนนี้ แต่ก็โดนเก็ทบังคับให้กินอะไรสักหน่อย ผมเลยสั่งสุกี้แห้งไป แถมกินไม่หมดอีกต่างหาก ก็คนมันไม่หิวนี่หว่า

   จากนั้นพวกเราก็แวะซื้อกุ้ง หอย ปู ปลาหมึกอะไรจนพอใจ ได้ของมาอย่างกับจะทำเลี้ยงทั้งหมู่บ้าน แล้วเราก็นำของที่ซื้อไปใส่ลังโฟมที่ดิวเอาติดมาด้วยครับ มันนี่โคตรรอบคอบเลย ขัดกับบุคลิกมันมากๆ แต่มันบอกครับว่ามันชอบเที่ยว มันเลยรู้ว่ามาเที่ยวแบบนี้ควรเอาอะไรติดมาบ้าง เยี่ยมไปเลยครับเพื่อนผม! แก้วนี่ยิ้มเขินด้วยความภูมิใจในตัวแฟนสุดๆ

   เมื่อตกลงกันว่าจะไม่ซื้ออะไรกันอีก พวกผมก็มุ่งหน้าไปกันที่ท่าเรือเพื่อขึ้นเรือไปยังเกาะที่ผมจะขาดการติดต่อจากทุกคน และพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่... ชีวิตที่ไม่มีปาร์ค


à suivre...

ไปเที่ยวกันเถอะ!! เอามันไปทิ้งทะเลลลล

เป็นเพื่อนกัน นั่นก็ดี ที่สุดแล้ว
ใจไม่แผ่ว ปลิวไหว ให้หม่นหมอง
เขาไม่คิด จะเป็นคู่ ไม่ดูมอง
อย่าทำผิด ซ้ำสอง นองน้ำตา

หลงคารม จมจ่อ รูปหล่อมาก
หลงมารยา กระชาก ใจห่วงหา
หลงรูปรส เสพติด ชิดกายา
จะตกเป็น ทาสกามา นายบำเรอ

ฟ๊องก์คงเป็นได้แค่นี้สำหรับไอ่ปาร์ค
ทาสบำเรอให้ไอ่ตัวเหี้-ย

+1 ฮับ
ชอบอ่ะ มาเป็นบทประพันธ์เลย 5555+ อยากกดไลค์ให้สักร้อยที  :mew1:

เป็ฯฏุนะหาใหม่แม่งน่ารักจะตายหาใหม่ดิกลัวไร
ใช่ม่ะๆ ถ้านี่น่ารักเหมือนฟร๊องก์คงไปนานแล้ววว
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 22 P.3 [10/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 10-06-2017 21:02:22
เก็ทมีอะไรแปลกๆนะ หืมมมมม
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 22 P.3 [10/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-06-2017 22:37:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 22 P.3 [10/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-06-2017 00:36:41
เกลียดปาร์คว่ะ ขอให้มันเจ็บยิ่งกว่าฟร็อกซ์ให้เหมือนตายทั้งเป็นไปเลย
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 22 P.3 [10/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: CHAMELEON ที่ 11-06-2017 03:39:37
อดีตเพื่อน อนาคต... ล่ะ?
...(จุดจุดจุด)ตรงชื่อเรื่องนี่ไว้เติมคำในช่องว่างใช่ไหม เดี๋ยวเติมให้
อดีตเพื่อน อนาคตไม่เผาผี แน่นอน

ตอนแรกที่มีอะไรกันถือว่าผิดทั้งคู่นะ สมยอมกันทั้งสองฝ่าย ถ้าจบตั้งแต่ตอนนั้นก็ผิดคู่ โทษใครหรือตัดพ้อใครไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ที่ดูเกินเลยหลังๆ มานี่ถือว่าเป็นความไม่ชัดเจนของปาร์ค ตอนที่ปาร์คตัดสินใจให้มันยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ปิดบังความจริงเรื่องที่ตัวเองมีคนอื่นอยู่ก่อนแล้วแบบนี้ถือว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์หรือมิตรภาพก่อนหน้านี้เลย เห็นแก่ตัวมาก เหมือนตัวเองไม่อยากปล่อยมือก็จับมันไว้ทั้งคู่ แค่ทำแบบนี้ความเป็นเพื่อนอะไรมันก็หมดแล้ว นี่ฟร๊องก์ยังจะกลับไปเป็นเพื่อนอีก?

หลังกลับจากทะเลนี้หวังว่าฟร๊องก์จะเคลียร์ให้ชัดเจนไปเลย ยุติแค่นั้น เพื่อตัวเองล้วนๆ จะได้ไม่ต้องถูกคนมองว่ามาทีหลังแย่งของคนอื่นและเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองพบคนดีๆ ด้วย


สุดท้ายนี้ อิจฉาชัญญ่ามาก เธอทำบุญด้วยอะไร 555
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 23 [11/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 11-06-2017 21:46:52
Chapitre 23

   อ้าาา~ มาถึงแล้วครับเกาะล้าน!!! แม้ว่าจะเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว แต่อากาศก็ดีมากเลย แถมแดดก็ดีอีกต่างหาก พวกเราใช้เวลาโดยสารเรือข้ามจากท่าเรือฝั่งพัทยามาถึงท่าเรือหน้าบ้านที่เกาะล้านนี้ประมาณครึ่งชั่วโมงครับ เรือแล่นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่เร็ว นั่งรับลมสบายๆ เลยครับ ลงเรือมาผมก็จัดการโทรบอกแม่ทันทีว่าผมมาถึงแล้ว ก่อนจะปิดเครื่องแล้วเก็บเข้าส่วนลึกสุดของกระเป๋า ได้มาสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติๆ แบบนี้มันช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ ความเหนื่อยล้า ความเครียด ความเศร้ามันจางหายไปหมด ผมอยากอยู่แบบนี้นานๆ จัง

   เออ ผมลืมบอกไปว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้นไม่รู้ ยังจำพวกผู้ชายกลุ่มนั้นที่พวกผมเจอที่ปั๊มได้ไหมครับ เราเจอพวกเขาอีกครับตอนกำลังเดินไปขึ้นเรือ แถมคนที่ชื่อตังค์อะไรนั่นยังส่งยิ้มแถมโบกมือทักทายผมด้วย เล่นเอาพวกเพื่อนๆ เขาส่งเสียงแซวกันใหญ่เลย โลกจะกลมอะไรขนาดนั้น

   พวกผมเดินไปรอรถจากทางที่พักที่จะมารับยังศาลา ซึ่งโดนัทจัดการโทรบอกเรียบร้อยแล้วว่าขึ้นเรือรอบอะไรมา ทางที่พักโทรกลับมาตอนกำลังลงจากเรือพอดีเลย ตรงเวลามาก! พวกผมยืนรออยู่ใกล้ๆ กับกลุ่มผู้ชายดังกล่าว ทุกครั้งที่ผมหันไปมอง ตังค์ก็จะมองมาทางผมแล้วยิ้มให้เสมอ ผมก็ยิ้มตอบบ้างตามมารยาท ส่วนคนที่ยิ้มไม่หุบเลยก็คงเป็นไวน์ แลดูมันมีความสุขมากๆ เลยนะครับ ไม่เข้าไปทักเขาซะเลยล่ะ

   “นั่นๆ รถมาแล้ว” โดนัทส่งเสียงร้อง พลางชี้ไปยังรถกะป๊อ (เรียกอย่างนี้เปล่าไม่แน่ใจ) สีแดงๆ คันเล็กๆ น่ารักเชียวครับ เมื่อรถจอดสนิทพวกผมก็เดินไปขึ้นพร้อมสัมภาระ

   “คุณครับ ไอ้ตังค์เพื่อนผมอยากได้ไลน์คุณจริงๆ ให้มันไม่ได้เหรอครับ” ผมที่เดินตามหลังเก็ทตีคู่มากับทาร์ตถูกสะกิดก่อนที่จะเดินไปถึงตัวรถ ผมหันกลับไปมองยังผู้ชายอีกคนที่เป็นเพื่อนของคนที่ชื่อตังค์นั้นอย่างมึนงง
 
   “ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มาครับ แล้วก็ไม่อยากให้ด้วย” ผมตัดบทอย่างรวดเร็ว เพื่อนๆ คนอื่นที่นั่งรออยู่บนรถรอนานแล้วครับ เก็ทเองที่ยังไม่ได้ขึ้นรถก็หันมามองนิ่งๆ แต่ผมว่าสายตานั้นดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้

   “แต่เพื่อนผมมันอยากรู้จักคุณจริงๆ นะ ไอ้ตังค์ๆ มึงมาดิวะ” ชายคนนั้นพูดกับผมก่อนจะหันกลับไปเรียกคนชื่อตังค์ให้เดินมาสมทบ

   ทำไมต้องมาวุ่นวายกับชีวิตผมด้วยเนี่ย อุตส่าห์ตั้งใจมาผ่อนคลาย แต่ยังไม่ทันไรก็หาเรื่องปวดหัวให้ผมอีกแล้ว ก็คนบอกไม่อยากรู้จักๆ แม่งตื้ออยู่ได้ น่ารำคาญว่ะ!! ผมเริ่มฉุนขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

   “คนเขาไม่อยากให้ พวกคุณจะตื้อทำไมมากมาย!” ดีมากครับไอ้น้อง! ทาร์ตพูดในสิ่งที่ผมอยากพูดเป็นที่เรียบร้อย

   “แล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย!” คนชื่อตังค์ว่าด้วยใบหน้าที่ผมว่ามันโคตรหาเรื่องเลยครับ

   “จะไม่เกี่ยวได้ไง ก็นี่เป็น...”

   “มีอะไรกัน ไปขึ้นรถได้แล้ว เสียเวลา” ทาร์ตถูกขัดจังหวะด้วยเก็ทที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึมและน้ำเสียงเย็นชาจนผมสัมผัสได้ถึงพลังงานด้านมืดบางอย่างที่ทำให้ผมขนลุก เก็ทคว้าข้อมือและกระเป๋าของผมแล้วเดินนำไปขึ้นรถ ทาร์ตมองหน้าอีกฝ่ายนิดหน่อย แต่ก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี

   ผมไม่อยากให้มีเรื่องอะไรกัน เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ฝ่ายผมก็ดูเหมือนจะเสียเปรียบด้วย อีกอย่างคือ ปัญหามันเกิดจากตัวผมอีกต่างหาก เก็ทเข้ามาได้จังหวะพอดีไม่งั้นอาจจะมีเรื่องกันจริงๆ ก็ได้ เพราะขึ้นรถมา ทาร์ตทำท่าทางฟึดฟัดเล็กน้อยเหมือนไม่พอใจอีกฝ่ายอย่างเต็มประดา จนผมต้องเอื้อมไปตบไหล่ให้อารมณ์เย็นลง จนเจ้าตัวต้องหัวมายิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันให้ทันที ดีแล้วแหละครับ คลายบรรยากาศที่ตรึงเครียดให้ดีขึ้นหน่อย ผมรู้สึกไม่ดีเหมือนกันนะที่เหมือนตัวเองเป็นคนทำให้การมาเที่ยวนี้กร่อยตั้งแต่มาถึง ยิ่งเก็ทนี่นั่งหน้าขรึมจนผมไม่กล้าสบตาด้วยเลยครับ เก็ทเวลาแบบนี้น่ากลัวจังวะ!

   “ว่าแต่เมื่อกี้จะพูดว่าไร” ผมเปิดประเด็นถามสิ่งที่ทาร์ตพูดค้างไว้ ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกันเลยครับ ก็รถมันคันเล็กมากทันทีที่พวกผมขึ้นมา คิดดูสิ คน 9 คนนั่งเบียดในรถคนเล็กๆ คันเดียว ใครพูดอะไรก็ได้ยินหมดอยู่แล้ว

   “เออ กะ... ก็แค่จะบอกว่าเป็นพี่” ทาร์ตพูดอย่างติดขัดพลางหันออกไปมองนอกรถ ทาร์ตนั่งท้ายสุดตรงข้ามกับเก็ท แต่ผมแอบสังเกตได้ว่าใบหูทาร์ตแดงๆ

   “พี่หรืออะไรกันแน่คะน้อง บอกมาเถอะพวกพี่รับได้” นุ่นที่นั่งอยู่ข้างเก็ทเอ่ยปากแซวขึ้น   

   “นั่นสิ พี่น้อง ท้องชนกันเปล่าน๊า” ไวน์เกาะไหล่ผมแล้วยื่นหน้าออกมาร่วมด้วยอีกคน คนอื่นๆ ก็หัวเราะคิกคักๆ จะมีก็คนเดียวแหละครับ คนที่คุณก็รู้ว่าใคร เป็นคนเดียวที่ยังไม่ยิ้มเลยตั้งแต่ขึ้นรถมา

   “...” ทาร์ตไม่ตอบอะไรแต่หันกลับมายิ้มกว้างเชียว ใบหน้านี่ก็แดงอย่างกับมะเชือเทศ ฮ่าๆ ตลกชะมัด!

   ไม่นานรถกะป๊อคันจิ๋วก็ขับลัดเลาะพาพวกผมมาถึงยังที่พักจนได้ ที่พักที่โดนัทได้มาฟรีนั้นเป็นบ้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ครับ กำลังพอดี อยู่ติดทะเลอีกต่างหาก ถือว่าวิวดีมากเลย ถ้ามาเช่าเองผมว่าราคาน่าจะสูงอยู่นะ ภายในตกแต่งดีเลยครับ มีห้องนั่งเล่น แล้วก็ห้องนอนสองห้อง เป็นห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำในตัวห้องหนึ่ง กับอีกห้องเล็กกว่าไม่มีห้องน้ำ แต่มีห้องน้ำในตัวบ้านให้อีกห้อง มีมินิบาร์เล็กๆ พร้อมกับอุปกรณ์ครัวนิดหน่อย พวกจานชามอะไรพวกนี้ แล้วก็ตู้เย็นอีกตู้ครับ ด้านนอกมีระเบียงกว้าง นั่งดื่มนั่งกินกันได้สบายเลย ลมเย็นมาก!!

   ดิวกับเก็ทช่วยกันยกลังของสดเข้ามา ก่อนจะนำบางส่วนออกมาแช่ไว้ในตู้เย็น โดนัทบอกว่าพวกอุปกรณ์ปิ้งย่างต้องไปขอเขาตอนจะกิน ถ้าจานชามไม่พอก็ขอเพิ่มได้ ส่วนพวกของลวกๆ ให้เขาทำให้ก็ได้แต่คิดค่าปรุงให้นิดหน่อย แต่แลกกับความสะดวกก็โอเคนะครับ เมื่อจัดของกันเสร็จ พวกผมก็จัดการเปลี่ยนชุดพร้อมลุยกันทันที ผมเปลี่ยนเป็นกางเกงผ้าขาสั้นสีสดใสกับเสื้อกล้าม แต่สวมเสื้อคลุมทับอีกชั้นกันแดด เอาไว้ถอดเวลาเล่นน้ำ แล้วก็ไม่ลืมใส่หมวกด้วยครับ ส่วนพวกผู้หญิงไม่มีใครใส่บิกินี่กันครับ กางเกงขาสั้นเสื้อยืดกันหมดเลย นุ่นบอกว่าบิกินี่ของเก็บไว้จัดพรุ่งนี้ เพราะวันนี้พวกผมวางแผนกันว่าจะตะลุยรอบเกาะกันก่อน เพื่อถ่ายรูป ซึ่งทุกคนก็พร้อมมาก พร๊อพแน่นทุกหมวก ทั้งแว่นกันแดด และไม่ลืมที่จะโบกครีมกันแดดกันด้วย ครบเลยครับ

   พวกเราจัดการเช่ามอเตอร์ไซด์ 2 วันเลยครับ เราเช่ากันมา 4 คัน แบ่งไปคันละสองคน มีก็แต่คันเก็ทที่ต้องซ้อนสาม คือเก็ทคนขี่ ป๊อปอาย แล้วก็นุ่น ส่วนผมโดนลากให้ไปซ้อนท้ายทาร์ตครับ ทุกคนดูจับคู่ผมมาก ทาร์ตก็ยิ้มแป้นเชียวแหละ แถมมีการบอกว่าให้ผมกอดเอวไว้ให้แน่นๆ อีกด้วย ชักเอาใหญ่แล้วไอ้นี่!

   จากนั้นการผจญภัยก็เริ่มขึ้น พวกผมเอากล้องมาสองตัวครับคือของดิว ที่เตรียมทุกอย่างจริงๆ กับของทาร์ตที่นั่งเนียนๆ แต่ก็เอามากับเขาเหมือนกัน ระหว่างที่ขี่มอเตอร์ไซด์ไป ผมก็ถามทาร์ตไปว่าชอบถ่ายรูปเหรอ มันก็บอกว่าใช่แล้วก็อะไรมันไม่รู้ ลมมันตีผมไม่ค่อยได้ยินเสียงเท่าไร แต่มันกลับทำให้ผมคิดถึงคนอีกคน ที่ชอบถ่ายรูปเช่นกัน

   เราเริ่มไล่กันไปตั้งแต่หาดทรายริมทะเลด้านล่าง จนตอนนี้พวกผมขึ้นมายังจุดชมวิวบนยอดเขาซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเกาะล้านแล้วครับ เหนื่อยและอันตรายมากกว่าจะขึ้นมาถึงบนนี้ได้ แต่พอขึ้นมาถึงผมว่ามันคุ้มนะ เพราะข้างบนนี้วิวสวยมาก เห็นได้ 360 องศารอบเกาะเลย มองเห็นตัวฝั่งพัทยาด้วย มองเห็นรถที่วิ่งอยู่ด้านล่างคันเล็กนิดเดียวเอง บ่งบอกได้เลยว่าพวกเราขึ้นมาสูงขนาดไหน ลมเย็นและพัดแรงมากๆ แม้แดดจะร้อน เพราะบนนี้ไม่มีร่มเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าทนเหนื่อย ทนสมบุกสมบันมาถึงบนนี้แล้วก็ต้องเก็บภาพเป็นที่ระลึก คนถ่ายหลักๆ ก็คือเจ้าของกล้องแหละครับ กับเก็ทที่เสนอตัวถ่ายแทน เพราะเจ้าตัวเป็นอีกคนที่ไม่ชอบถ่ายรูปสักเท่าไร

   “พี่ฟร๊องก์ ถ่ายรูปกัน” ทาร์ตเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่เป็นเอกลักษณ์ ขณะผมที่ยืนแยกตัวออกมาอีกมุมเพื่อชมวิวและปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป

   “เอาดิ แล้วจะถ่ายยังไง ไม่เรียกใครมาถ่ายให้อ่ะ”

   “selfie ไงพี่ ผมสามารถ มาๆ” ทาร์ตเข้ามายืนซ้อนหลังผมพร้อมจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากๆ จนผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดรินอยู่ที่ต้นคอ ผมแอบขนลุกเหมือนกันนะ เพราะมันใกล้มากเลย

   ทาร์ตถ่ายรูปคู่กับผมหลายรูปมาก โดยเปลี่ยนท่าทางไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าใบหน้ายังคงอยู่ใกล้ชิดกับผมมาก ก่อนที่โดนัทกับไวน์จะเดินเข้ามาสมทบ

   “มากูถ่ายให้กูได้ แลดูลำบาก” โดนัทว่าก่อนจะยื่นมาออกมารับกล้องจากทาร์ต

   “งั้นกูถ่ายด้วยนะ จะเป็น กขคงจ... อิอิ” ไวน์วิ่งเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับทาร์ต ก่อนที่เราจะถ่ายรูปกันต่ออย่างสนุกสนาน จากสามคน ก็ทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อย นุ่นและป๊อปอายก็เข้ามาสมทบ จนสุดท้ายทุกคนก็มายังจุดที่ผมยืนหมดเลย กล้องทาร์ตถูกโยนให้ดิวเรียบร้อย และเก็ทกับดิวก็เป็นตากล้องไป และสุดท้ายก็เหลือแค่เก็ทคนเดียว เพราะดิวก็ขอร่วมเฟรมด้วย รูปสุดท้ายดิวจัดการตั้งกล้องให้ได้มุม แล้วใช้รีโมตกดถ่ายเอา ทำให้พวกเรามีรูปที่ครบทีมเป็นรูปแรก
 
   หลังจากที่ลงมาจากจุดชมวิวบนยอดเขา พวกเราหยุดพักเติมพลังกันที่หาดนวลซึ่งถูกหมายตาไว้ตั้งแต่ตอนมองลงจากบนเขา ที่เลือกพักที่หาดนี้เพราะมองลงมาจากมุมสูง ผืนน้ำที่ทอดยาวลงไปจากหาดนี้ดูสวย และน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน และเมื่อมาถึงมันดูค่อนข้างสงบ มีร่มไม้ไว้ให้ร่มเงาอยู่ประปราย แต่ลมทะเลพัดสร้างความเย็นสบายให้ตลอด พวกผมนั่งพักเหนื่อยจากการผจญภัยใต้ร่มไม้ที่มี ก่อนจะตกลงกันว่าเย็นนี้จะมาเล่นน้ำที่หาดนี้ แต่ตอนนี้ทุกคนลงความเห็นว่าขอกลับไปนอนพักเอาแรงกันก่อน พวกเราเลยมุ่งหน้ากลับที่พักทันที แต่ก่อนจะเข้าที่พัก ก็แวะร้านสะดวกซื้อชื่อดังที่มีอยู่แค่ที่เดียวบนเกาะเพื่อซื้อน้ำ ซื้อขนมไปตุน และก็กลับที่พักโล้ดเลยครับ ขอนอนพักแป๊บหนึ่งนะ

**********__________**********

   ผมตื่นมาในช่วงเวลาเย็นๆ ตอนนี้ก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว คนอื่นๆ ก็ลุกเตรียมตัวไปเล่นน้ำทะเลกันแล้วครับ ผมลุกไปล้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะออกมาปลุกคนที่เหลือ ตอนหลับไปผมฝันไปถึงตอนมอหก ที่ไปเที่ยวทะเล จะว่าสนุกมันก็สนุก แต่มันจะสนุกกว่านี้ ถ้าปาร์คอยู่กับพวกผม และไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผมไม่สามารถหาเหตุผลได้จนถึงปัจจุบันนี้ว่าทำไมปาร์คถึงต้องไปหัวหิน แทนที่จะอยู่เที่ยวกับพวกผม

   เมื่อย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์นั้น ตอนหลังจากที่ผมสำเร็จการศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก และทำการสอบวัดผลต่างๆ เพื่อนำคะแนนไปยื่นแอดมิชชันแล้ว เพื่อนๆ ในกลุ่มรวมทั้งผมก็นัดแนะว่าจะไปเที่ยวทะเลที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงเทพฯ กัน นั่นก็คือที่ชะอำ

   ซึ่งในจำนวนของคนที่คอนเฟิร์มว่าจะไปไม่มีปาร์คอยู่ในนั้น แม้ว่าปอจะพยายามตื้อทุกวันที่คุยโทรศัพท์กัน จนคืนสุดท้ายก่อนที่พรุ่งนี้จะเดินทาง ผมก็ยังตื้อไม่เลิกเช่นเดิม แต่วันนี้คำตอบของปาร์คกลับทำให้ผมยิ้มออก

   ‘สรุปพรุ่งนี้ปาร์คจะไปเปล่าเนี่ย’

   [คงไปแหละ เดี๋ยวตามไปพร้อมวิชญ์] แม้น้ำเสียงจะไม่ได้หนักแน่นและยืนยันได้ชัวร์ แต่ผมก็กลับรู้สึกชื่นใจขึ้นหน่อยว่าอย่างน้อยปาร์คก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนที่ผ่านมาทุกๆ วัน

   ‘ไปให้ได้นะ ฟร๊องก์อยากให้ปาร์คไปด้วยจริงๆ นะ’’ ผมพูดเสียงอ่อนเป็นเชิงอ้อนๆ ก็อยากให้ไปจริงๆ นี่เนอะ

   [รู้ แต่มันก็มีธุระจริงๆ เหมือนกัน คิดมากหน่า ถึงไม่ได้ไป ยังไงก็ยังได้เจอกันอยู่ดี] ปาร์คเป่าปากเล็กน้อยเหมือนลำบากใจและเหนื่อยใจในเวลาเดียวกัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนกำลังปลอบใจผม

   ‘กะ... ก็มันไม่เหมือนกัน’

   [ถ้าไปไม่ได้ เอาไว้วันหลังจะพาไปเที่ยว สองต่อสองเลยโอเคป่ะ] ปาร์คทำเสียงทะเล้น แต่ผมก็ยิ้มออก ถึงแม้ว่าจะรู้ว่ามันพูดเล่นก็เถอะ

   ‘หึ! ก็พูดแบบนี้ตลอด ไม่เห็นพาไปสักที’

   [ฮ่าๆ ไปนอนได้แล๊ว พรุ่งนี้ตื่นเช้าไม่ใช่รึไง]

   ก็นั่นล่ะครับ แม้จะไม่มีอะไรการันตีได้ว่าปาร์คจะไปหรือไม่ไป แต่อย่างน้อยในใจผมก็ยังมีความหวังว่าปาร์คจะตามมาอย่างที่พูดไว้จริงๆ

   หลังจากที่มาถึงทะเล พวกผมก็เอาแต่ขลุกตัวเล่นกันอยู่ที่บ้านพัก จนเกือบห้าโมงเย็น เมื่อแดดร่มลมตกพอสมควรแล้ว จึงออกไปเล่นน้ำกันจนเริ่มมืด กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนชุด ผมเองก็ลืมโทรศัพท์มือถือไปเลย มารู้ตัวเอาอีกทีก็หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำตอนเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ผมจึงรีบหยิบโทรศัพท์มาดูทั้งที่มืออีกข้างยังถือผ้าขนหนูเช็ดผมอยู่ ปรากฏเบอร์ที่ไม่ได้รับจากปาร์คถึงสิบสาย แถมจากวิชญ์อีกสามสาย ตั้งแต่จากเมื่อชั่วโมงที่แล้ว จนล่าสุดคือประมาณสิบห้านาทีที่ผ่านมา

   เห็นดังนั้นผมจึงรีบกดโทรกลับไปหาปาร์คทันที แต่สายกลับไม่ว่าง ก่อนที่แคมป์จะเดินคุยโทรศัพท์เข้ามาในห้องและผ่านหน้าผมออกไปยังระเบียง

   ‘เออๆ มึงเดินเข้าในซอยมาเรื่อยๆ มันเป็นตึกแถวติดๆ กันอ่ะ...อยู่ประมาณกลางๆ ซอย... เออใช่ นั่นล่ะๆ เห็นมึงล่ะ เห็นกูไหมอยู่ที่ระเบียง... โอเครออยู่หน้าบ้านเดี๋ยวลงไปรับ…’

   เมื่อแคมป์วางสายไป ผมรีบออกไปที่ระเบียงทันทีสวนกับแคมป์ที่เดินกลับเข้ามาเพื่อลงไปรับปาร์คกับวิชญ์ เมื่อออกมาที่ระเบียงก็ปรากฏร่างของปาร์คกับวิชญ์ยืนอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน ผมยิ้มกว้าง พร้อมกับโบกมือให้ แต่ปาร์คเพียงเงยขึ้นมามองผมด้วยท่าทางนิ่งๆ เท่านั้น

   ผมรีบจัดการเช็ดและไดร์ผมอย่างลวกๆ ก่อนจะเอามาสางๆ ไม่ให้มันพันและฟู จากนั้นก็รีบลงไปข้างล่างทันที แต่ผมกลับไม่พบแม้แต่เงาของคนที่ผมรอคอยมาทั้งวัน ผมจึงรีบถามจากคนอื่นๆ และได้คำตอบว่าปาร์คกับวิชญ์ออกไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่หน้าปากซอย

   แต่เมื่อรอแล้วรอเล่า จนเวลาผ่านไปกว่ายี่สิบนาที ใจผมก็ยิ่งร้อนรน จริงๆ รู้สึกไม่เข้าใจตั้งแต่ที่ไปเซเว่นก่อนที่จะเอาของเข้ามาเก็บแล้ว แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีกว่าอาจจะลืมอะไรแล้วออกไปซื้อเข้ามาทีเดียวแล้วไม่ออกไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ผมจึงรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องเพื่อกดโทรศัพท์โทรออกไปหาปาร์คทันที

   ใจผมยิ่งเต้นระส่ำระส่ายมากขึ้น เมื่อปาร์คไม่รับโทรศัพท์ จนสายที่สามที่ผมโทรไป

   ‘ปาร์ค อยู่ไหนอ่ะ’ ผมรีบถามออกไปด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจทันทีที่ปาร์ครับสาย

   [เรานั่งรถมาหัวหินแล้ว... พรุ่งนี้คงกลับเลย] ปาร์คตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งงัน และคำตอบนั้นของปาร์คเล่นเอาสมองผมหยุดสั่งการไปชั่วขณะ ปาร์คไปหัวหินแล้ว... ไปทำไม?

   ‘ทำไมอ่ะ โกรธอะไรฟร๊องก์เปล่า’ เสียงผมเริ่มสั่น หยดน้ำตาก็พาลมารั้งอยู่ที่ขอบตาของผม

    [ช่างมันเถอะฟร๊องก์ โทษทีนะ]

   ‘...’ ผมพูดอะไรต่อไม่ถูก ปาร์คมาถึงหน้าบ้านแล้ว และทำไมปาร์คถึงไม่เข้ามา ทำไมต้องนั่งรถไปหัวหิน

   [...] ปาร์คเองก็เงียบเช่นกัน

   ‘ปาร์คโกรธฟร๊องก์เหรอ ที่ฟร๊องก์ไม่ได้ลงไปรับ’ ผมเริ่มถามเข้าประเด็นทันที มันเป็นประเด็นเดียวที่ผมคิดออก ว่าทำไมปาร์คถึงตัดสินใจหนีผมไปแบบนี้

   [ปาร์คคงไม่ต้องอธิบายหรอกนะ ฟร๊องก์น่าจะคิดเองได้] ปาร์คตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

   ‘ฟะ... ฟร๊องก์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ แล้วเห็นว่าแคมป์ลงไปรับ...’

   [ก็เลยไม่สนใจปาร์คเลยว่างั้น!]

   ‘เปล่านะ ฟร๊องก์แค่คิดว่าเดี๋ยวปาร์คก็ขึ้นมาหาฟร๊องก์แล้ว ก็เลย...’

   [ช่างเถอะฟร๊องก์ ยังไงปาร์คก็มาหัวหินแล้ว จะให้กลับไปคงไม่ทันแล้ว]

   ‘แต่พรุ่งนี้...’

   [ก็เหมือนกับฟร๊องก์... ที่ลงมาก็ไม่ทันได้เจอปาร์คแล้ว] ปาร์คตอบผมกลับมานิ่งๆ โดยที่ผมยังพูดไม่จบ แต่ประโยคนั้นเล่นเอาผมจุกและรู้สึกเย็นไปทั้งตัว และเป็นการจบทริปที่ผมไม่อยากจะจดจำเอาไว้เลย

   ก็นั่นล่ะครับ ที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลจนถึงทุกวันนี้ อย่าว่าแต่เรื่องนั้นเลย เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับปาร์คตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลด้วยเหมือนกัน แต่ช่างมันเถอะครับ ยังไงอดีตก็คืออดีต แก้ไขอะไรม่ได้อยู่แล้ว ผมก็แค่ ‘เคย’ แต่ต่อไปมันจะไม่มีอีกแล้วครับ ผมสะบัดเล็กน้อยไล่ความคิดบ้าๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว ไหนว่าจะมาพักผ่อนสมองไง แล้วจะคิดมากทำไม ห๊า! ฟร๊องก์!!

   “เดี๋ยวเอากุ้ง หอยแล้วก็ปูนี่ไปให้ป้าแกปรุงให้เลยแล้วกันนะ” ดิว ผู้ชายที่มาทริปนี้แทบจะจัดการทุกอย่างพูดขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ทยอยเอาสิ่งที่พูดออกมาจากตู้เย็นและลังโฟมขณะที่มีแก้วเป็นลูกมือเพื่อนำของเหล่านั้นไปให้ป้า ในที่นี้ก็คือเจ้าของบ้านพักที่เราอยู่ตอนนี้นั่นเอง

   “เออ อย่าลืมขอจานชามป้าแกมาเพิ่มด้วยล่ะ แก้วด้วย เดี๋ยวไม่มีดริ๊งค์คืนนี้!” นุ่นพูด จานชามไม่เท่าไรหรอกผมว่า แต่แก้วนี่คงสำคัญมากเลย ฮ่าๆ

   “เก็ทอ่ะ” ผมถามขึ้นหลังจากที่มองหาแล้วไม่พบบุคคลดังกล่าว

   “นั่นไง” นุนชี้ไปที่ระเบียง ซึ่งกั้นไว้ด้วยประตูกระจก เออเนอะ ผมก็ไม่รู้จักมอง กระจกก็ใช่ว่าจะทึบสักหน่อย สงสัยคุยกับชัญญ่าอยู่แหละมั้ง ถึงได้แยกตัวออกไปแบบนั้น

   “พี่ฟร๊องก์ มาดูรูปดิ” ทาร์ตโผล่หน้าออกมาจากในห้อง พร้อมกับกวักมือเรียกผมให้ไปหา ขณะที่อีกมือถือกล้องอยู่ เออดีจริงเว้ย กูเป็นพี่แท้ๆ แต่กลับเป็นคนโดนสั่ง

   “รูปที่ถ่ายอ่ะเหรอ เออไหนมาดูดิ๊” แต่ว่ามันใจผมก็ยอมเดินกลับเข้าไปในห้องกับมันนั่นแหละครับ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับมันในห้อง คนอื่นดูทีวีรอไปเล่นน้ำอยู่ที่โซฟาด้านนอกหมดแล้ว

   ผมแย่งกล้องจากมือทาร์ตมานั่งดูข้างๆ มัน โดยที่มันก็ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยใกล้ๆ กับผม แต่ก็ไม่ว่าไรหรอก ก็หน้าจอกล้องมันเล็ก ผมกดเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ทาร์ตเอากล้องออกมาถ่ายตั้งแต่ไปหาดตาแหวนหาดแรกอ่ะครับ ก่อนหน้านั้นใช้กล้องดิวคนเดียว ยังไม่เห็นรูปเหมือนกัน ผมดูรูปไปก็ยิ้มไป บางรูปมันดูตลกมาก เพราะกล้องหลักที่ใช้ถ่ายคือกล้องดิว ทำให้ทุกคนสนใจกล้องนั้นหมด รูปในกล้องทาร์ตส่วนมากจึงเป็นรูปแนวเผลอๆ ของทุกคนมากกว่า แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นรูปเผลอๆ ของผมก็เถอะ ผมนั่งดูไปหัวเราะไป จนมาถึงรูปบนจุดชมวิวที่ทาร์ตถ่ายคู่กับผมแค่สองคน

   นิ้วมือผมกดเลื่อนรูปช้าลงขณะเดียวกันใบหน้าผมก็เริ่มรู้สึกร้อนขึ้น รวมทั้งหัวใจเองก็เต้นแรงขึ้นด้วยเช่นกัน รูปที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอใบหน้าของเราสองคนใกล้กันมาก ตอนนั้นผมก็รู้ตัวว่าหน้าทาร์ตอยู่ใกล้มากเพราะรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่รดรินอยู่เนืองๆ แต่ไม่คิดว่ารูปออกมาจะใกล้มากขนาดนี้

   ผมค่อยๆ หันไปมองทางเจ้าตัวเล็กน้อยและพบว่าทาร์ตเองก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเราสองคนอยู่ในระยะที่ใกล้กันมาก แค่ประมาณคืบหนึ่งเท่านั้น ดวงตาของเราจับจ้องลึกไปยังดวงตาของกันและกัน จังหวะการหายใจของผมเริ่มช้าลงและยากลำบากขึ้น ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายยอมแพ้กลับลงมาก้มมาที่หน้าจอกล้องเหมือนเดิม

   แอ๊ด...

   ในจังหวะเดียวกันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับเก็ทที่เดินเข้ามาและมองมาที่เราสองคนด้วยสายตาที่ยากจะเดาว่าคิดหรือรู้สึกเช่นไร

   “ไม่ไปเล่นน้ำเหรอ” ริมฝีปากของคนหน้านิ่งขยับขึ้นลงปล่อยเสียงออกมาขณะที่ก้มวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างกระเป๋า

   “ไปดิ! ดิวเอาของสดไปให้ป้าเขาแล้วเหรอ” ผมยิ้มก่อนจะส่งกล้องคืนให้ทาร์ต แล้วลุกตามเก็ทออกนอกห้องไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานทาร์ตก็เดินตามออกมาเช่นกัน

   “อืม พร้อมกันยัง” เก็ทตอบผมเบาๆ ก่อนที่จะหันไปถามคนอื่นๆ ทุกคนลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง เป็นอันเข้าใจว่าพร้อมขนาดไหน บางคนเปลี่ยนชุดกันด้วยนะครับ อย่างนุ่น โดนัท แม้แต่ป๊อปอายที่แอบเปลี่ยนเป็นชุดที่เซ็กซี่ขึ้น โดยใส่ชุดว่ายน้ำแบบทูพีซท่อนบนโชว์สะดือและส่วนโครงเว้าของร่างกายและใส่กางเกงขาสั้นท่อนล่าง มีป๊อปอายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวทับอีกที แต่โดนน้ำก็เท่านั้นแหละครับ เห็นเหมือนกัน ส่วนแก้วใส่เป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นครับ แต่พวกผู้หญิงก็ติดเสื้อคลุมกันไปคนละตัวนะครับ ไว้ใส่ตอนนั่งมอเตอร์ไซด์ไปกลับ ส่วนผมก็ชุดเดิมครับ ถอดเสื้อคลุมออกแล้วเหลือแต่เสื้อกล้าม ผู้ชายคนอื่นรวมทั้งไวน์ก็ใส่แค่เสื้อกล้ามเหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ทุกคนพร้อมแล้ว ดิวก็เดินกลับมาแล้วเช่นกัน ฉะนั้นอย่าช้าครับ ไปเล่นน้ำกัน!!

   เรามาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานที่หาดนวลที่ตกลงกันไว้ เวลาเย็นแบบนี้อากาศดีมาก แสงแดดอ่อนๆ กระทบผิวน้ำที่มีระลอกคลื่นเบาๆ ซัดเข้าฝั่งอย่างต่อเนื่อง ดูแล้วสวย สบายตามาก พอลงไปในน้ำนี่น้ำเย็นมากเลยครับ ผิวน้ำด้านบนที่ต้องแสงแดดจะอุ่นๆ หน่อย ส่วนน้ำด้านล่างจะเย็นมาก ช่วงขาผมนี่รู้สึกเย็นเฉียบเลย ที่สำคัญน้ำใสมาก! ใสจนเห็นฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายเต็มเลย ทั้งตัวเล็กที่ผิวน้ำ และตัวใหญ่ๆ ประมาณฝ่ามือที่บริเวณผืนทรายข้างใต้ ผมรู้สึกว่าได้มาผ่อนคลายจริงๆ ครับ ไม่รู้สึกกังวลอะไรเลย เพราะที่เห็นตรงหน้านี้มีเพียงแค่ธรรมชาติที่สวยงาม และความสงบของท้องทะเล

   ที่นี่เขามีให้เช่าแว่นตาดำน้ำกับสน็อกเกิลด้วย พวกผมเลยไปเช่าแว่นตากันมาสองอันกับสน็อกเกิลอีกอัน แล้วแบ่งกันดำดูปลาตัวเล็กๆ ใต้น้ำ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าในระดับน้ำที่ไม่ลึกแบบนี้จะมีฝูงปลาอยู่เยอะและอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ ผมแอบเอามือสัมผัสผืนทรายด้านล่างด้วย มันนุ่มมากๆ เลย แถมยังพยายามเอามือจับปลาอีก แต่ก็จับไม่ได้สักตัว ทั้งนี้ต้องระวังตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อเริ่มออกจากหาดไปไกลขึ้นจะเต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ ผมเองก็ได้แผลกลับมาเป็นที่ระลึกหลายแผลจากการที่โดนหินบาดเช่นกัน

   พวกผมเล่นน้ำกันไป แกล้งกันไปบ้าง แกล้งทั้งสาดน้ำใส่กัน บางทีก็ถึงขั้นกดน้ำก็มี ผมนี่แหละตัวดีเลยครับ กลายร่างเป็นปลิงไปเรียบร้อย เที่ยวไปเกาะหลังคนโน้นที่คนนี้ที โดนผมเกาะกันทั่วหน้าแหละครับ ไม่เว้นแม้แต่แก้ว ที่เพิ่งเคยเห็นเธอได้ปลดปล่อยและร่าเริงอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์คุณหนูแสนหวานได้ขนาดนี้ ตอนแรกทุกคนอึ้งกันมากเลยตอนที่วิ่งลงน้ำแล้วแก้วก็กรี๊ดขึ้นมาเสียงดังมาก ทำให้ทุกคนตกใจว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ที่ไหนได้ เธอดีใจครับที่ได้มาเที่ยวกับเพื่อนแบบนี้ เล่นสาดน้ำใส่พวกผมใหญ่เลย เล่นเอาทุกคนปล่อยก๊ากกับความรั่วของแก้วในวันนี้มาก ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมได้มาปลดปล่อยแค่คนเดียว แต่เท่าที่มองผมรู้สึกว่าทุกคนได้ปลดปล่อยความทุกข์ ความเครียดทิ้งไปกับน้ำทะเล และได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่โดยไม่สนใจสายตาของคนที่เราไม่เคยรู้จัก

   เก็ทที่เป็นเสือยิ้มยากเองผมยังได้เห็นรอยยิ้มที่แทบไม่หุบเลยตั้งแต่ลงเล่นน้ำ แถมยังแกล้งผมอีกต่างหาก พอผมว่ายไปเกาะหลังเก็ทปุ๊บ เจ้าตัวก็ล็อคขาทั้งสองของผมไว้แล้วพาออกไปไกลจากฝั่ง แล้วก็ดำน้ำแบบที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งผมที่โดนจับขาไว้ก็สลัดตัวเองออกไม่ได้ สำลักน้ำหูน้ำตาไหลตั้งหลายรอบ ในขณะที่เจ้าตัวกับคนอื่นๆ หัวเราะสะใจ แต่เห็นภาพแบบนี้ผมรู้สึกมีความสุขมากหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มานาน...


à suivre...

ตอนนี้มาแบบบรรยากาศสบายๆ หน่อยแล้วกัน จะได้รู้สึกไม่ตึงจนเกินไป

แต่ก็น่าจะมีคนก่นด่าปาร์คในตอนที่ไปเที่ยวทะเลตอนมอหก อันนี้ใส่มาเพื่อให้เกิดความรู้สึกไม่เข้าใจมากขึ้นกับตัวฟร๊องก์

ซึ่งเราเองก็ไม่ได้มีเหตุผลมาอธิบายสำหรับปาร์คเช่นกัน ปล่อยให้มันเป็นความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจฟร๊องก์แบบนั้น

(คือตอนที่เขียนก็ไม่ได้คิดเหตุผลไว้เช่นกัน และเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้เคยเกิดกับตัวเราเองในช่วงเวลานั้นเช่นกัน ซึ่งจนถึงตอนนี้เราก็ไม่เข้าใจถึงเหตุผลเช่นเดียวกับตัวละคร)
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 23 [11/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 11-06-2017 22:19:19
อดีตเพื่อน อนาคต... ล่ะ?
...(จุดจุดจุด)ตรงชื่อเรื่องนี่ไว้เติมคำในช่องว่างใช่ไหม เดี๋ยวเติมให้
อดีตเพื่อน อนาคตไม่เผาผี แน่นอน

ตอนแรกที่มีอะไรกันถือว่าผิดทั้งคู่นะ สมยอมกันทั้งสองฝ่าย ถ้าจบตั้งแต่ตอนนั้นก็ผิดคู่ โทษใครหรือตัดพ้อใครไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ที่ดูเกินเลยหลังๆ มานี่ถือว่าเป็นความไม่ชัดเจนของปาร์ค ตอนที่ปาร์คตัดสินใจให้มันยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ปิดบังความจริงเรื่องที่ตัวเองมีคนอื่นอยู่ก่อนแล้วแบบนี้ถือว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์หรือมิตรภาพก่อนหน้านี้เลย เห็นแก่ตัวมาก เหมือนตัวเองไม่อยากปล่อยมือก็จับมันไว้ทั้งคู่ แค่ทำแบบนี้ความเป็นเพื่อนอะไรมันก็หมดแล้ว นี่ฟร๊องก์ยังจะกลับไปเป็นเพื่อนอีก?

หลังกลับจากทะเลนี้หวังว่าฟร๊องก์จะเคลียร์ให้ชัดเจนไปเลย ยุติแค่นั้น เพื่อตัวเองล้วนๆ จะได้ไม่ต้องถูกคนมองว่ามาทีหลังแย่งของคนอื่นและเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองพบคนดีๆ ด้วย


สุดท้ายนี้ อิจฉาชัญญ่ามาก เธอทำบุญด้วยอะไร 555
ขอบคุณมากนะฮะ สำหรับคอมเม้นต์ดีๆ แบบนี้ แอบขำตรงการเติชื่อเรื่องให้เต็ม 5555+ :laugh:
เราไม่ปฏิเสธว่าจงใจแต่งปาร์คออกมาให้เห็นแก่ตัวมาก เห็นแก่ตัวในแง่ของการแคร์แค่ความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่สนว่าใครจะรู้สึกอย่างไร ส่วนตัวฟร๊องก์ สมยอมเพราะทำไปตามความรู้สึก แต่จะว่าโง่ไหม ก็คงโง่ในแง่ของการยึดติด ไม่กล้าปล่อยมือ และไม่อยากเสียปาร์คไป ฟร๊องก์คือคนที่กลัวการจะต้องก้าวต่อ แต่ก็สับสนกับจุดที่ตัวเองยืนอยู่เช่นกัน

ทุกอย่างมันจะมีหนทางให้เลือกเดินอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าตัวละครแต่ละตัวจะเลือกเดินยังไง อิอิ


ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกคำติ ทุกคำชม ทุกข้อคิดเห็นนะ เรานำกลับมาแก้เนื้อหาของเรื่องตลอด ฉะนั้นเนื้อเรื่องอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดตราบใดที่ยังลงไม่จบ แต่ในส่วนพล็อตเรื่องหลัก เราคงไม่แก้ตามที่เราวางไว้ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะฮะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 23 P.3 [11/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 11-06-2017 23:45:38
น่ารักอยากให้ปาร์คอกหักและหึงหวงบ้าง
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 23 P.3 [11/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-06-2017 01:44:48
จะยึดติดอะไรกับมันเบอร์นั้น
ไม่เห็นจะมีอะไรดี..ปล่อยมันไปได้แล้ว

คนรักดีดียังรอเราอยู่ ยังมีอีกเป็นล้านคนบนโลกใบนี้
ส่วนไอ่ปาร์คน่ะ คิดซะว่ามันเป็นคนบนโลกใบอื่นไปเหอะ

ลำไยมันม่อก..ไอ่เชี่ยปาร์ค

ยังรอเก็ทอยู่เสมอมา
รอนะ..ที่รัก
อิอิ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 24 [13/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 13-06-2017 20:01:37
Chapitre 24

   เราเล่นน้ำกันจนฟ้าเริ่มมืดเลยครับ สนุกกันจนลืมเวลา ลืมเรื่องเครียดๆ ที่เคยทำให้กังวลไปซะหมด ตอนนี้ก็ได้เวลากลับไปเติมพลังด้วยการกิน! พวกเรารีบขี่มอเตอร์ไซด์กลับจากหาดดังกล่าวทันที ด้วยความที่หาดนี้อยู่ไกลจากหาดอื่นๆ มันอยู่สุดด้านหนึ่งของเกาะเลย เลยทำให้ระยะทางค่อนข้างไกลและเปลี่ยว มืดๆ แบบนี้บรรยากาศเลยเริ่มน่ากลัว ขณะที่ขี่มอเตอร์ไซด์กลับ อากาศที่เย็นลงช่วงหัวค่ำ บวกกับเสื้อผ้าที่เปียกทำให้ผมต้องโน้มตัวเข้าหาไออุ่นจะทาร์ตที่กำลังขี่รถอยู่ เจ้าตัวหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อย ก็จะมือข้างหนึ่งจะเอื้อมมาจับมือของผมให้โอบเอวของมันแล้วจับค้างไว้แบบนั้น

   ไม่นานเราก็มาถึงยังชุมชนท่าหน้าบ้านแล้วครับ ไม่ลืมส่งตัวแทนแวะซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับราตรีนี้ด้วย จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผมกับทาร์ตที่ตามมาเป็นคันสุดท้าย ซึ่งคนลำบากไม่ใช่ใครหรอกครับ คือผมเนี่ยแหละที่ต้องหิ้วถุงข้างหนึ่งเป็นเบียร์ อีกข้างเป็นขวดเหล้าและมิกเซอร์ ดีนะที่เซเว่นที่นี้ไม่มีน้ำแข็งขาย ไม่งั้นผมคงต้องใช้ปากคาบเอา

   ผมกลับมาถึงบ้านพัก อาหารส่วนที่ให้ป้าเจ้าของเขาทำให้ก็เสร็จเรียบร้อย พร้อมกับจานชามอีกกว่าสิบใบ แก้วกับป๊อปอายรับหน้าที่จำโต๊ะด้านนอกระเบียงสำหรับมื้ออาหารนี้ ผมเอาพวกเครื่องดื่มที่หิ้วมาจะปวดแขนไปวางไว้ ก่อนจะโดนใช้ต่อให้ไปขอกระติกจากป้าพร้อมกับซื้อน้ำแข็งมาใส่ด้วย ผมเลยจัดการใช้ทาร์ตต่อซะเลย มันก็บ่นผมกระปอดกระแปดแต่ก็ยอมไปแต่โดยดี ต้องใช้ความเป็นพี่ให้เป็นประโยชน์ ฮ่าๆ

   “ช่วยหั่นปลาหมึกหน่อยดิ” นุ่นเดินมาหาผมพร้อมกับถุงใส่ปลาหมึก เราซื้อปลาหมึกมาเยอะมาก 2 กิโลครึ่งอ่ะครับ กะกินกันให้อ้วกไปเลย

   “จะหั่นทำห่าอะไร ย่างก่อนดิค่อยหั่น หั่นก่อนก็หดหมด โง่จริง!” ผมว่าพร้อมกับผลักหัวมัน ได้ทีผมเอามั้งสิครับ ฮ่าๆ นุ่นหน้าเอ๋อไปเลย สงสัยไม่รู้จริงๆ แอบรู้สึกสะใจแรงๆ

   “เออ งั้นมึงย่างเลย เก่งดีนัก!” นุ่นวางถุงปลาหมึกลงบนเก้าอี้ข้างๆ ผม ก่อนจะสะบัดหน้าเดินปึงปังเข้าบ้านไป

   ผมหัวเราะเล็กน้อยกับอาการหน้าแตกของนุ่น นานๆ ทีผมจะเล่นงานมันได้ ตอนนี้นอกระเบียงมีแค่ผมเหลืออยู่คนเดียว คนอื่นอาบน้ำเปลี่ยนชุดกันอยู่ บางส่วนก็เซลฟี่อยู่ในตัวบ้าน ผมเองก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลยครับ ยังคงอยู่ในชุดเปียกๆ ตัวเดิม กลางคืนท่ามกลางลมเย็นๆ  แบบนี้หนาวเหมือนกันนะ

   “มีอะไรให้ช่วยไหม” เสียงเก็ทเอ่ยทักขึ้นทำให้ผมหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องอึ้งเล็กน้อยเหมือนเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าที่มักทำหน้านิ่งและเคร่งขรึมนั้น เก็ทเปลี่ยนชุดแล้วครับ สงสัยอาบน้ำแล้ว เพราะกลับมาถึงที่บ้านพักก่อนผม

   “อ้าวเก็ท อารมณ์ดีมาจากไหนเนี่ย ปกติเห็นตีหน้าขรึมตลอด” ผมแกล้งเอ่ยปากแซวด้วยรอยยิ้มขณะที่กำลังนำหมึกออกมาล้าง

   “ก็ไม่มีอะไร แค่เห็นใครบ้างคนกลับมาร่าเริงได้แล้ว”

   “^_^” ผมหันไปมองเจ้าของเสียงเรียบทุ้มนั้นด้วยรอยยิ้ม แล้วก็พบรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นเสมอปรากฏที่ริมฝีปากนั้นเช่นกัน
ก่อนที่เก็ทจะยื่นมือมายีหัวผมเบาๆ อย่างที่ชอบทำ ผมรู้สึกว่าผมโชคดีและขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ผมได้รู้จักกับเก็ท เพราะทุกครั้งที่มีปัญหา ผมก็มีเก็ทอยู่ข้างๆ เสมอ เก็ทไม่เพียงเป็นกำลังใจ แต่ยังช่วยให้คำแนะนำดีๆ กับผมด้วย

   แล้วเราสองคนก็ลงมือช่วยกันล้างและแบ่งปลาหมึกย่างบนตะแกรงทีละสามตัว เนื่องด้วยเป็นหมึกไซส์ใหญ่ เลยทำให้มันแน่นมากเวลาวางอยู่บนตะแกรงเล็กๆ แบบนี้ ผมอดยิ้มกับสีหน้าที่ดูตั้งใจของคนข้างๆ ไม่ได้ เก็ทดูตั้งใจมากกับการย่างหมึก ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายเย็นชายอย่างเก็ทจะมีมุมน่ารักๆ แบบนี้กับเขาเหมือนกัน

   ผมที่ยืนมองเก็ทย่างปลาหมึกอยู่นั้นต้องเริ่มกอดอกด้วยความหนาว แล้วเริ่มเดินเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ตัวเก็ทและเตาย่างมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองได้รับไอร้อนจากเตา พอมืดแบบนี้แล้วลมทะเลยิ่งแรง ชุดเปียกๆ ของผมยิ่งเพิ่มดีกรีความหนาวให้เข้ามากระทบผิวกายผมมากขึ้น ห้องน้ำว่างยังก็ไม่รู้ ยิ่งเข้าไปอยู่ในห้องแอร์ยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่

   “หนาวก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เก็ทหันมามองผมที่ยืนตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ

   “ช่วยก่อนก็ได้ ไม่เป็นไรมากหรอก”

   “พี่ฟร๊องก์ ห้องน้ำว่างแล้วนะ มาอาบน้ำเถอะพี่” จู่ๆ ประตูกระจกก็ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับใบหน้านิ่งๆ ของเจ้าตัวทะเล้นที่โผล่มาเรียกผมให้เข้าไปอาบน้ำ

   “เหรอ งั้นฟร๊องก์ฝากด้วยนะเก็ท ไปช่วยพี่เขาเลยทาร์ตไม่ต้องมาเนียน” ผมว่าก่อนจะเดินมาดึงแขนทาร์ตให้ออกไปช่วยเก็ทย่างปลาหมึก ส่วนตัวเองก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดครับ เปิดประตูห้องนอนเข้าไปเอาชุดนี่ผมขนลุกเลยครับเมื่อผิวกระทบกับแอร์ในห้อง ในห้องมีไวน์กับโดนัทนั่งอยู่ครับ นั่งถ่ายรูปเล่นกันอยู่ แหมสบายจริงนะพวกมึง ปล่อยให้กูทำอยู่งกๆ เลวจริงๆ ส่วนนุ่นที่งอนๆ ผมก่อนหน้าก็นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟาสบายใจเลย อีกสามคนที่เหลือคงอยู่อีกห้องหนึ่งล่ะมั้ง ช่างเถอะ ขออาบน้ำก่อน!

**********___________**********

   ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ออกมาจากห้อง ตอนนี้ทุกคนรวมตัวกันอยู่นอกระเบียงหมดแล้วครับ ล้อมวงถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานไม่นึกถึงผมเลย ไอ้เพื่อนพวกนี้!

   “ไม่รอกูกันเลยนะ” ผมเปิดประตูกระจกนั้นออกก่อนจะว่าอย่างนอยด์ๆ

   “ก็รอนี่ไง ถ่ายรูปรอมึงอยู่คนเดียวเนี่ย มาเร็วๆ หิว!” โดนัทหันมาเอ็ดผม สรุปผมผิดใช่ไหม

   ผมเดินไปนั่งยังเก้าที่เหลือว่างอยู่เพียงที่เดียวท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักเหมือนพวกมันจงใจเหลือที่ตรงนี้ไว้ให้ผมโดยเฉพาะ ก็เป็นเก้าอี้ตรงกลางระหว่างเก็ทกับทาร์ตน่ะสิ คนหนึ่งก็ได้รับฉายาว่าเป็นผัว อีกคนก็ถูกเรียกว่าเป็นชู้ แต่ท้ายที่สุดผมกลายเป็นคนที่ดูมั่วมากสุดเลยนะรู้สึก

   อาหารทะเลแน่นจนรู้สึกว่ามันแทบจะล้นโต๊ะเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้สำหรับคนเก้าคน โอ้! ดิวจัดการถ่ายรูปอาหารรวมถึงไล่ถ่ายคนด้วย ทุกคนถ่ายกันเป็นคู่ๆ ก็มีแค่ผมเนี่ยแหละ โดนยัดเยียดให้ถ่ายสามคน แต่ผมก็ไม่อะไรหรอกครับ รู้สึกได้อภิสิทธิ์พิเศษ เลยจัดการโอบคอของทั้งเก็ทและทาร์ตเข้ามาถ่ายรูปเลย ก่อนจะโดนฝ่ามือของเก็ทโบกเบาๆ เข้าที่หัว ฮ่าๆ จากนั้นไวน์ก็รับอาสาลงรูปในเฟซบุ๊กเอง จริงๆ พวกนี้แบ่งกันลงรูปในเฟซแล้วผลัดกันแท็กไปมาตั้งแต่มาถึงแล้วครับ ดิวมันมีตัวปล่อย wi-fi ที่สามารถเป็นการ์ดรีดเดอร์ได้ด้วย ทำให้สามารถส่งรูปจากในกล้องเข้าโทรศัพท์แล้วอัพลงโลกโซเชียลได้เลย

   จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้แตะโทรศัพท์กับเขาเลยตั้งแต่มาถึง และก็ไม่มีเหตุจำเป็นจะต้องหยิบมันออกมาใช้ได้ ในเมื่อผมตั้งใจจะไม่ใช้งานมันเอง ส่วนใครจะแท็กรูปหรือเช็คอินอะไรก็แล้วแต่เถอะครับ ไม่ได้ต้องการปิดบังใคร แค่ไม่อยากติดต่อกับใครแค่นั้นเอง

   จากนั้นพวกเราก็ลงมือกินอาหารตรงหน้ากันอย่างอิ่มเอม พร้อมกับถ่ายรูปไป แกล้งกันไป ทำให้มื้ออาหารมื้อนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บางที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ต้องหรูหรา แค่เรียบง่ายกับคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อน ก็ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความสุขของการอยู่ร่วมกันได้ เรานั่งกินกันไปเรื่อยๆ จากอาหารที่แน่นโต๊ะ ตอนนี้แทบจะหมดเกลี้ยงแล้วครับ แต่ก็ยังไม่มีใครยอมแพ้นะ หยิบขนมขบเคี้ยวขึ้นมาแกะอีกหลายห่อ แกล้มเบียร์ แกล้มเหล้ากันไป ส่วนใหญ่จะเน้นดื่มเบียร์กันมากกว่า มีแค่ผมกับป๊อปอายที่ดื่มเหล้า เพราะไม่ค่อยชอบเบียร์ ส่วนแก้วก็ลองเหล้าบ้างนิดหน่อย แต่ชงอ่อนๆ ให้แก้วเดียวยังดื่มไม่หมดเลยครับ อย่างว่าแหละ แก้วไม่ค่อยคุ้นชินอะไรกับของแบบนี้ และดิวเองก็ไม่อยากให้แก้วดื่มเยอะด้วย แต่ดีแล้วครับ ให้เหลือดีๆ ไว้สักคน เพราะคนที่เหลือนี่ดูสภาพแล้วคงเมาปลิ้นแน่ๆ

   พวกเรานั่งกันมาราธอนมาก คงเพราะเม้าธ์กันไปเรื่อยๆ เลยทำให้เพลิน ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่เราก็ยังคงอยู่กันนอกระเบียงที่เดิม ขวดเหล้าถูกเก็บไปแล้วครับ ผมพอแล้ว ส่วนเบียร์ยังเหลืออยู่นิดหน่อย ตอนนี้สภาพบางคนก็เริ่มไม่ไหวแล้ว อย่างไวน์กับโดนัท คู่หูสองคนนี้ดูกึ่มๆ แล้วครับ พากันเดินกอดคอไปนั่งแหกปากร้องเพลงที่ฟังดูไม่ค่อยเป็นภาษาสักเท่าไร ร้องผิด ร้องเพี้ยนไป ก็ขำไปอยู่ที่มุมระเบียงด้านหนึ่ง ป๊อปอายเองผมก็เห็นซัดไปหลายแก้วเหมือนกันนะ คงมึนๆ อยู่เหมือนกันเพราะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียบร้อย แก้วเองแค่แก้วเดียวก็ดูทรงตัวไม่อยู่แล้วครับ นั่งซบไหล่ดิวที่ยังคงนั่งดื่มอยู่กับเก็ท ทาร์ตแล้วก็นุ่น ดูคอแข็งกันสุดแล้วครับ แต่ดิวก็คอยหันไปดูแลแก้วอยู่ตลอด สองคนนี้รักกันมากเลยนะ ดิวที่ดูกวนๆ แต่เวลาอยู่กับแก้วนี่ดูแลแก้วเป็นอย่างดี ที่แก้วมาเที่ยวในครั้งนี้ได้ก็เพราะดิวเนี่ยแหละครับ เปิดตัวกับทางบ้านของแก้วแล้ว แถมยังปฏิบัติตัวดีจนพ่อแม่และคุณยายของแก้วนี่ปลื้มซะ เลยยอมให้แก้วได้มาเที่ยว

   ผมที่ยังคงนั่งอยู่กลางวงฟังบทสนทนาที่แต่ละคนที่ยังดื่มอยู่คุยกันก็เพลินดี นุ่นที่ปกติก็ปากหมา คอยสร้างเสียงหัวเราะอยู่แล้ว ยิ่งตอนเมานี่ยิ่งแล้วใหญ่เลยครับ ไปขุดหาเรื่องตลกแบบจัญไรๆ มาเล่าให้ฟังพลอยทำให้ทุกคนขำไม่หยุดไปด้วย ก่อนที่เจ้าตัวจะยอมแพ้และลากป๊อปอายเข้าไปนอนในที่สุด ส่วนดิวเองก็นั่งต่ออีกสักพักก็พาแก้วเข้าไปนอน ก่อนที่ตัวเองจะออกมาสูบบุหรี่ที่นอกระเบียงเช่นเดิม ปกติผมไม่ค่อยเห็นมันสูบเท่าไรนะ จะเห็นก็แค่ตอนที่มันไปเที่ยวหรือดื่มอะไรแบบนี้ เก็ทเองก็เหมือนกัน ผมเพิ่งเคยเห็นมันสูบก็วันนี้แหละครับ เลยต้องเอ่ยปากถาม ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก เล่นเอาผมอยากจะตบให้หัวทิ่ม! ติดแค่มันสูง ผมตบไม่ถึง (จริงๆ กลัวมันถีบเอาครับ)

   “ไปถ่ายรูปเล่นที่ท่าเรือกันไหมครับพี่ๆ” ทาร์ตเอ่ยถามขึ้น

   “เออ ไปดิ มึงไปไหม” ดิวตอบรับก่อนจะหันไปหาเก็ท ทาร์ตเองก็มามองทางผมเหมือนกำลังรอคำตอบ ผมก็พยักหน้ารับครับ ได้หมด ผมไม่เมาอยู่แล้ว แล้วก็ยังไม่ง่วงด้วยแหละ

   “ไปก็ไปดิ ดูท่าทางสองคนนั้นก็จะไปด้วย ไปแล้วจะได้มีคนช่วยดูมันสองคนด้วย” เก็ทตอบนิ่งๆ พร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปยังโดนัทกับไวน์ที่เดินเข้ามาบอกว่าจะออกไปด้วย แต่ดูหน้าสองคนนี้แล้วอยากแนะนำให้ไปนอนมากกว่า หน้าแดงก่ำทั้งคู่เลย

   สรุปแล้วพวกผมหกคนก็ออกไปถ่ายรูปกันที่ท่าเรือหน้าบ้านครับ โดยที่บ้านไว้แล้วเอากุญแจออกมาด้วย ขืนไม่ได้ล็อกก็ซวยสิครับ เพราะสามคนนั้นน่าจะหลับไม่รู้เรื่องแล้ว เราขี่รถออกไปกันแค่สองคันครับ เก็ทกับดิวเป็นคนขี่ ผมนั่งมากับเก็ทแล้วก็ไวน์อีกคน ส่วนโดนัทกับทาร์ตก็ซ้อนไปกับดิว พร้อมกับกล้องอีกสองตัว

   เราขี่รถออกมาถึงท่าเรือ นี่ก็ห้าทุ่มแล้ว แม้จะไม่ครึกครืนเท่าตอนกลางวัน แต่ก็ยังมีผู้คนอยู่แถวหน้าเซเว่นบ้างประปราย เลยไม่ทำให้มันน่ากลัวสักเท่าไร เราขี่รถขึ้นไปจอดบนท่าเรือเลยครับ ลมตอนกลางคืนที่นี่แรงมาก และรู้สึกเหนียวตัวมากเช่นกัน ตรงนี้ถ่ายรูปได้เพราะมีสปอตไลท์ดวงใหญ่อยู่ แม้ตอนนี้จะดึกแล้ว แต่แสงไฟจากทางฝั่งพัทยาก็ยังคงสว่างไสวสมกับเป็นอีกสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเมืองที่ไม่เคยหลับเฉกเช่นกรุงเทพมหานคร แต่มองๆ ไปก็สวยดีนะ อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่า ท่ามกลางท้องทะเลที่มืดมิดและกว้างไกล ยังคงมีแสงสว่างของริมฝั่งที่รอคอยเราอยู่ไม่ไกล ฉะนั้นชีวิตผมเองก็เหมือนกัน... สักวันผมก็จะข้ามท้องทะเลสีดำสนิทนี้ไปยังฝั่งที่สว่างไสวได้...

   “พี่ฟร๊องก์!” ทาร์ตเรียกผมให้หลุดออกจากภวังค์ขณะที่เท้าคางกับขอบสะพานมองไปยังแสงไฟที่ฝั่งพัทยาอย่างเพลินๆ และเมื่อผมหันไปมองทางต้นเสียงก็เจอกับเสียงชัตเตอร์กดจับภาพผมที่โคตรเผลอเลย คงจะออกมาอุบาทว์สุดๆ

   “ไอ้ทาร์ต น่าเกลียด ลบรูปไปเลย!” ผมรีบเดินเข้ามาโวยวายทันที

   “เห้ยพี่ สวยจะตาย ดูหน้าพี่ดิ ตาโตน่ารักเชียว องค์ประกอบภาพก็ได้” ทาร์ตยื่นหน้าจอกล้องมาให้ดู น่ารักตรงไหนของมึงวะ ตลกเป็นบ้า! หน้าผมนี่หันมามองแบบงงๆ กึ่งตกใจเลยครับ โอ้ย!

   “ไม่เอา ลบ อุบาทว์!” ผมยกมือขึ้นมาหมายจะคว้ากล้อง แต่ไม่ทันเจ้าของครับ ไอ้ทาร์ตแม่งไวกว่า

   “ผมชอบ ให้ผม ‘ลบ’ ง่ายๆ ไม่ได้หรอก” ทาร์ตพูดด้วยรอยยิ้มโชว์เหล็กดัดฟันสีหวาน พลางยักคิ้วกวนๆ

   “เก็ท ถ่ายรูปกัน” ผมเบ้ปากใส่ทาร์ตด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกเก็ทที่ยืนเก็กประหนึ่งว่าเล่นเอ็มวีเท่ๆ พิงรถมอเตอร์ไซด์อยู่ ตั้งแต่มายังไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับเก็ทเลย ก็มันไม่ค่อยจะเข้าร่วมเฟรมกับใครเท่าไร แม้แต่ดิวผมยังมีรูปคู่เยอะกว่าเลย แถมไอ้ห่านั่นเวลาถ่ายรูปยังกวนผมอีกต่างหาก ทำให้รูปที่ถ่ายคู่กับมันออกมาแต่ละรูปดูเชี้ยมาก

   “หน้าเมาๆ เนี่ยนะ” เก็ทว่าแต่ก็เดินมาตามที่ผมเรียก

   “ดิวถ่ายให้หน่อยนะ”

   เก็ทเดินเข้ามายืนข้างผมด้วยท่าทางนิ่งๆ ขณะที่ดิวก็จัดการหามุมถ่ายให้ พอดิวให้สัญญาณจะถ่าย ผมที่เห็นเก็ทยืนกอดอกนิ่งเหมือนหุ่น ก็เลยแกล้งเอียงตัวเข้าไปพิงแผงอกแข็งแกร่งของมัน แล้วเงยหน้ามองคนตัวสูงที่กำลังก้มมองผมอยู่เช่นกัน ก่อนที่ริมฝีปากคู่นั้นจะคลี่ยิ้มเล็กๆ มาให้ผม แต่นั่นกลับเรียกรอยยิ้มกว้างให้กับผมได้ไม่ยากเลย

   เราสองคนค้างอยู่ท่านั้น จนดิวต้องบอกให้เปลี่ยนท่า เก็ทจึงเดินมายืนซ้อนหลังผม เล่นเอาผมมองตามแบบงงๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะจับหน้าผมให้หันไปมองกล้อง แล้วใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างดึงแก้มผมให้ยกขึ้นเบาๆ ก่อนที่เก็ทจะโน้มลงมากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างแผ่วเบา

   “ยิ้มเข้าไว้...”

   นิ้วที่ยกช่วงแก้มผมขึ้นนั้น กำลังคืนรอยยิ้มให้ผมอีกครั้ง น้ำเสียงที่อบอุ่นเมื่อครู่ ดึงพลังให้กับตัวผม ให้รู้ว่าผมยังคงยิ้มได้ และยิ้มอย่างสุขใจได้เสมอเพราะผมรู้ว่าคนๆ นี้ยังคงยืนข้างๆ ผมเสมอ ไม่ทิ้งไปไหน

   แล้วก็จบการถ่ายรูปของผมกับเก็ท ด้วยการที่เจ้าตัวก็บอกให้หยุดด้วยหน้าตายๆ ต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ ก่อนจะผลักหัวผมเบาๆ ผมเบ้ปากใส่เล็กน้อยก่อนจะยกขาเตะก้นของเก็ทด้วยความหมั่นไส้

   จากนั้นผมกับเก็ทก็มานั่งมองโดนัทกับไวน์ถ่ายรูปด้วยท่าทางที่ฮาสุดติ่งโดยมีทาร์ตเป็นตากล้อง ไม่รู้แต่ละคนคิดท่าโพสต์มาได้ไง ทาร์ตเองก็ช่วยคิดมุมแปลกๆ ให้อีกต่างหาก มีอยู่รูปหนึ่งไวน์ไปนั่งบนแกลลอนน้ำมันหรืออะไรสักอย่าง แล้วมัดเสื้อให้เห็นสะดือ มันให้คำชื่อคอนเซ็ปต์ว่า ‘พริตตี้น้ำมันเรือ’ เล่นเอาฮาแตกกันทุกคนเลยครับ ทาร์ตหลังจากที่ถ่ายรูปให้ไวน์กับกับพี่สาวมันเสร็จ ก็ถ่ายเก็บบรรยายกาศโดยรอบสักพักก็มายืนพิงรถข้างๆ ผมโดยมีเก็ทยืนอยู่อีกฝั่ง

   “ผมเห็นพี่มีความสุข ยิ้มได้เต็มที่แบบนี้ผมก็ดีใจนะ” ทาร์ตพูดขึ้นพร้อมกับหันมามองหน้าผมด้วยริมฝีปากที่เผยยิ้มบางๆ แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความจริงใจจากดวงตาทอประกายคู่นั้น

   “ขอบใจนะที่เป็นห่วงพี่ตลอดเลย” ผมหันไปมองเจ้าของเหล็กดัดฟันสีสดใสด้วยรอยยิ้ม

   “ผมเป็นห่วงพี่เสมอแหละ” ทาร์ตหันมายักคิ้วให้ผมพลางยิ้มมุมปากอย่างกวนๆ “เป็นไงพี่ดูดีม่ะ”

   “หล่อมากเลย หล่อสุดๆ” ผมว่าพร้อมกับผลักหัวมันเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว

   “หึหึ” เสียงเก็ทหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ทำให้ผมหันไปมองด้วยความฉงน หัวเราะบ้าไร หันไปมองแล้วยังจะทำเป็นลอยหน้าลอยตาใส่อีก

   หลังจากนั้นเราก็กลับมายังบ้านพักครับ เวลาก็ผ่านไปประมาณชั่วโมงได้ กลับมาถึงพวกผมก็ล้างเนื้อล้างตัวกันนิดหน่อยเพราะรู้สึกเหนียวตัวจากลมทะเล ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน เก็บแรงไว้ต่อวันพรุ่งนี้ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะตื่นกันกี่โมง เราแยกห้องนอนกันแบบชายหญิงครับ และผู้ชายนอนในห้องที่เล็กกว่า ทำให้การนอนกันห้าคนในห้องที่มีสองเตียงนั้นต้องเบียดหน่อย ไวน์ที่(แอ๊บ)เมานี่เกาะดิวติดอย่างกับเป็นแฟนกันเลยครับ ซึ่งมันก็นอนด้วยกัน (แถมกอดกันอีกต่างหาก) ครองเตียงหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังดีที่มันนอนกอดกันเลยทำให้เหลือที่ว่างที่ผมจะพอแทรกตัวได้ แต่ทาร์ตดันเสนอตัวนอนตรงนั้นแทนครับ เพื่อให้ผมนอนสบายๆ เออ แล้วแต่มึงล่ะกัน อยากลำบากก็ตามใจ

   สุดท้ายผมก็เตียงเดียวกับเก็ทครับ แต่เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยง่วงเท่าไรเลย ตอนนี้ในหัวผมกลับคิดขึ้นมาว่าปาร์คจะโทรมาหรือเปล่า และถ้าโทรมาแล้วผมปิดเครื่องแบบนี้ปาร์คจะทำยังไง จะเป็นห่วงไหม จะโกรธผมหรือเปล่า จะรู้สึกอะไรไหมที่ผมหายไปโดยไม่บอกอะไรเลยแบบนี้ ทั้งที่ผมพยายามไม่คิดเรื่องนี้แถมยังลืมเรื่องที่คิดมากไปหมดแล้วตลอดทั้งวัน แต่มันกลับมาปั่นป่วนผมในเวลานอนนี่ซะอีก

   ผมพยายามข่มตาให้หลับอยู่นานสองนาน จนรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง ท้ายที่สุดผมก็ทนไม่ไหวจนค่อยๆ ย่องออกจากห้องอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่นออกไปสูดอากาศที่ระเบียง เผื่อมันจะทำให้จิตใจผมสงบลงได้บ้าง

   “ออกมาอยู่ที่นี่เอง ไม่หนาวหรือไงออกมายืนอยู่แบบนี้...” เสียงของใครบางคนดังขึ้นที่ด้านหลังของผม


à suivre...

มาแบบบรรยากาศของการอยู่กับเพื่อน ชิวๆ แต่ก็แอบเขินกับการกระทำของเก็ทนะ อิอิ

"ยิ้มเข้าไว้" โอ้ยยย เป็นใครก็ยิ้มออก 555555+
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 24 P.3 [13/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 13-06-2017 21:40:08
ถ้าถามคนแต่งว่า ไม่มีฉากเก็ทโชว์รูปร่างขโมยความเท่และหัวใจเหล่าคนอ่านบ้างเหรอ... จะโดนติเตียนว่าหื่นไปไหมเนี่ยครับ (หัวเราะ)

จริงๆครับคุณคาเมนลิออน อิจฉาชัญญ่ามาก ทำบุญด้วยอะไร จะไปทำบ้าง (หัวเราะ) ขรึมๆ เท่สุดๆอะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 24 P.3 [13/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 13-06-2017 22:28:23
จะพูด จะบอกยังไง
ถึงจะลืมมันไปให้หมดจริงๆ

ทำไมรักแล้วต้องเจ็บปวด
ฟรองก์เป็นมาโซ เหรอ
ถึงไม่รู้จุดสิ้นสุดของความเจ็บปวดจากมันซะที

เห๊อะ..คนอย่างมัน แค่เป็นคนรู้จักกัน ยังดีเกินไปเลย
สันดานคนเห็นแก่ตัว ใครอยากคบก็คบไป
แต่ถ้าเป็นตรู..เลิกคบเลิกรู้จักกัน กับมันไปตั้งนานแล้ว

คนแบบนี้..ไม่มีค่าพอว่ะ
ที่ผ่านมา มันก็นานเกินไป

เกลียดเมิง..ไอ่ปาร์ค
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 24 P.3 [13/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-06-2017 00:23:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 24 P.3 [13/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 14-06-2017 17:01:27
น่าสงสารปนใจแข็ง
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 24 P.3 [13/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-06-2017 17:12:09
ตัดใจแล้วเปลี่ยนมาดูคนข้างๆ แท้ไม่ดีกว่าหรือฟร็อกซ์
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 25 [16/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 16-06-2017 20:23:33
Chapitre 25

   “ออกมาอยู่ที่นี่เอง ไม่หนาวหรือไงออกมายืนอยู่แบบนี้...” หลังจากที่ผมออกมายืนสูดอากาศที่ระเบียงไม่นาน เสียงทุ้มก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของผม

   “เก็ท...” ผมหันกลับไปมองที่ต้นเสียงก่อนจะเอ่ยทักอย่างแผ่วเบา เก็ทปิดประตูบานเลื่อนกระจกนั้นก่อนจะเดินมายืนข้างๆ ผม สายตามองทอดยาวออกไปยังทะเลที่มืดมิดเบื้องหน้า

   “คิดถึงเขา ทำไมไม่โทรไปหาเขาหล่ะ” หลังจากเงียบกันอยู่สักพัก เก็ทกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังเมื่อไหร่ยังคงอบอุ่นสำหรับผมเสมอ

   “ฟะ... ฟร๊องก์ไม่ได้คิดถึง” ผมตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก ผมจะมีสิทธิ์อะไรที่จะไปคิดถึงคนที่ไม่ใช่ของผม

   “ไม่คิดถึงแล้วจะมายืนตากน้ำค้างคิดมากอยู่นี่ทำไม”

   “กะ... ก็...” ผมไม่สามารถเถียงในสิ่งที่เก็ทพูดได้ สิ่งที่เก็ทพูดออกมานั่นเหมือนมันมองเข้าไปในความรู้สึกของผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง “ฟร๊องก์แค่อยากรู้ว่าถ้าฟร๊องก์หายไปแบบนี้เขาจะคิดถึงฟร๊องก์บ้างหรือเปล่า... ฮึก ฟร๊องก์แค่อยากรู้ ฮือ...” ในที่สุดน้ำตาผมก็ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้

   “แล้วมันพิสูจน์อะไรได้ไหมล่ะ นอกจากจะมานั่งเป็นทุกข์อยู่คนเดียว” เก็ทหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดพลางลูบเส้นผมอย่างแผ่วเบา

   “ทำไมปาร์คต้องทำแบบนี้กับฟร๊องก์ล่ะ ทั้งที่ปาร์คก็มีแฟนอยู่แล้ว ฮือ... ทำไมต้องมาให้ความหวังฟร๊องก์ด้วย ทำไม... ฮึก! ทำไมต้องทำให้ฟร๊องก์คิดมากด้วย” ผมปล่อยโฮเต็มที่ตรงแผงอกอันแข็งแกร่งของเก็ท พลางระบายสิ่งที่สงสัยและอัดอั้นอยู่ในใจให้เก็ทรับรู้

   “ไม่ต้องหาเหตุผลจากเขาหรอก แต่หาเหตุผลที่ตัวฟร๊องก์เองดีกว่า ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว ฟร๊องก์จะทนเจ็บ ทนทรมานตัวเองต่อไปเพื่ออะไรกัน” น้ำเสียงปลอบโยนพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาผ่านเส้นผมของผมนั้นยังคงไม่เลือนหายไปไหน

   “ฟร๊องก์ควรทำยังไงดีเก็ท... ควรทำไง”

   “ฟร๊องก์ต้องเลิกหวัง อย่าลืมว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว อย่าหยุดตัวเองแค่นี้ ฟร๊องก์ยังมีคนเข้ามาอีกเยอะแยะ แค่เปิดใจแค่นั้นเอง”

   “ฟร๊องก์ควรหยุดใช่ไหม ควรลืมเรื่องทุกอย่างระหว่างเรา แต่... ทำไมมันยากจัง” ขนาดความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันยังต้องใช้เวลาค่อยๆ ก่อมันขึ้นมาเลย แล้วเวลาจะลบมันทิ้ง จะให้ปล่อยมือง่ายๆ ได้อย่างไร

   “ไม่จำเป็นต้องลืม แต่เวลาจะช่วยให้ฟร๊องก์เข็มแข็งขึ้นได้ เก็ทเชื่อว่าอีกไม่นาน ไม่นานหรอก...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ก็ยืนร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเก็ทอยู่แบบนั้น จนรับรู้ได้ถึงความชื้นที่เสื้อเก็ท ผมจึงค่อยๆ ผละตัวเองออก ดูสิทำเสื้อเก็ทเปียกหมดเลย น่าอายชะมัด

   “เสื้อเปียกหมดเลย ขอโทษนะ” ผมพูดยิ้มอย่างอายๆ พลางสำนึกผิด แต่การได้ระบายให้ใครสักคน โดยเฉพาะกับคนที่เราไว้ใจ และเขาเองก็คอยเป็นห่วงและแคร์ความรู้สึกเรา มันยิ่งทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้นเยอะ

   “สบายใจขึ้นบ้างไหม” เก็ทยกมือขึ้นมายีหัวผมอีกครั้ง พร้อมกับผมที่พยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “งั้นไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้อีกวันพักผ่อนให้เต็มที่ อย่าลืม... ยิ้มเข้าไว้”

   “ขอบคุณนะ...” ผมว่าก่อนจะเดินตามหลังเก็ทกลับเข้าไปในห้อง ผมสบายใจขึ้นมากเลยครับ เก็ทพูดถูกทุกอย่างเลย ผมจะดันทุรังต่อไปเพื่ออะไร แม้ในใจจะพยายามคิดว่ายังมีหวัง แต่ความจริงมันปรากฏชัดแล้วครับ มันไม่มีวันที่จะเป็นอย่างที่ผมคิดและหวัง ไม่มีวัน... ฉะนั้นมีแค่ผมที่ต้องปล่อยมือสักที

   ขอบคุณนะเก็ทที่อยู่เคียงข้างฟร๊องก์มาตลอดเลย แม้ว่าเราจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ความรู้สึกที่มีให้มันยิ่งกว่าสิ่งใด ขอบคุณจริงๆ ผมยิ้มตามแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่ดูภายนอกช่างเย็นชา แต่ภายในใจของเขาช่างอบอุ่นยิ่งนัก เราสองคนกลับเขามาในห้องอย่างแผ่วเบา ทุกคนหลับสนิทไปแล้วครับ ผมล้มตัวลงนอนข้างๆ คนที่ไม่ทิ้งผมไปไหน ซุกหน้าเข้าไปแผงอกนั้นอีกครั้งและเข้าสู่ห้วงนิทรา

***********____________***********

   วันที่สองที่เกาะล้าน กว่าพวกผมจะตื่นกันครบก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวันแล้ว ก็แน่ละครับ กินอิ่มหนำแถมยังเมากันซะขนาดนั้น ผมเองก็ตื่นสายอยู่เหมือนกัน แถมตื่นมายังพบว่าตัวเองเข้าไปเบียดเก็ทอาจเพราะความเย็นของแอร์ พร้อมกับศีรษะที่หนุนช่วงไหล่ของเก็ทอยู่อีกต่างหาก ไม่รู้ว่าหนุนนานแค่ไหนด้วย เก็ทที่นอนหงายปล่อยให้ผมหนุนไหล่อยู่แบบนั้นคงเมื่อยน่าดู แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้บ่นอะไร

   แต่จะว่าไปผมก็ตื่นมาด้วยความสดใสกว่าเดิมนะ อย่างน้อยถ้าเมื่อคืนผมไม่ได้เก็ทมาปลอบใจ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนอนหลับไหม และจะยืนอยู่ที่นอกระเบียงนั้นอีกนานเท่าไร บางทีการมีเพื่อนดีๆ ก็เป็นศรีกับชีวิตนะ และสำหรับผมกับปาร์คก็อาจจะเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกันเท่านั้น

   หลังจากอาบน้ำกันเป็นที่เรียบร้อย ก็เป็นเวลากว่าบ่ายโมงทุกคนจะเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกไปหาอะไรกินกัน ก่อนจะออกไปซื้อแพกเกจดำน้ำที่เกาะครก เกาะสากครับ เราได้รอบสุดท้ายเลยคือบ่ายสองโมง แต่ทุกคนก็ยินดีไปนะแม้ว่าแดดมันจะร้อนแค่ไหนก็ตาม เอาเถอะครับ มาทะเลก็ต้องดำชึ้นเป็นธรรมดา แต่ดีนะที่วันนี้ผมรู้ทันเลยใส่เสื้อแขนยาวออกไปดำนำ อย่างน้อยโบกครีมกันแดดไปอีกก็ช่วยได้เยอะ ส่วนขาช่างมันเถอะ ใส่กางเกงขายาวก็ไม่มีใครเห็นล่ะ
 
   เราออกไปดำน้ำดูปลาน้อยและปะการังกันครับ เขาไม่กำหนดเวลานะจริงๆ อ่ะ แต่ให้ลิมิตได้ถึง 5 โมงเย็น ไปถึงก็มีคนเยอะอยู่ครับ น้ำใสโอเคอยู่ มีปลาเยอะมากๆ แต่ปะการังไม่ค่อยสวยเท่าไรในความคิดผมนะ เราใช้เวลากันประมาณสองชั่วโมงได้ ก่อนจะกลับไปที่เกาะอีกครั้ง เหนื่อยมากครับ ร้อนด้วย รู้สึกแสบคอเลย ไหม้แน่ๆ แต่พวกเราก็บ่หยั่นครับ ไปเล่นน้ำกันต่อเลย

   คราวนี้เราไปอีกด้านหนึ่งของเกาะครับ ไปยังหาดตายายที่อยู่อีกด้านของเกาะ คนละฝั่งกับหาดนวลที่เราเล่นกันเมื่อวานเลยครับ แต่ที่นี่หินก็เยอะเหมือนกัน ที่สำคัญมันเป็นโขดหินใหญ่ๆ เลยครับ แผลเก่ายังไม่หาย ได้แผลไหมอีกแล้วครับผมเนี่ย แต่ก็สนุกดีครับ ถือว่ามาเที่ยวครั้งนี้คุ้ม พวกผมได้ตระเวนไปรอบเกาะเลย

   พวกผมเล่นน้ำกันจนฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเป็นทอง แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนกำลัง เราจึงกลับมายังที่พักเพื่ออาบน้ำ เปลี่ยนชุดไปกินมื้อเย็น ขณะที่คนอื่นๆ รีบล้างตัวและเข้าไปอาบน้ำกัน ผมก็ยืนรอเก็ทที่เดินตามมาเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะมาล้างตัวที่ก๊อกน้ำด้านหน้าตัวบ้าน

   “คันๆ ตัวยังไงไม่รู้อ่ะ” เก็ทพูดขึ้นขณะที่ผมถือสายยางราดน้ำล้างตัวให้

   “อ้าว เป็นไรอ่ะ” 

   “ไม่รู้ดิ ลองดูให้หน่อย” ยังไม่ทันที่ผมจะรับปากใดๆ เก็ทก็ค่อยๆ เลิกชายเสื้อยืดที่เปียกและลู่ไปตามมัดกล้ามเนื้อนั้นขึ้นทันที

   แม้รู้ดีว่าเก็ทเป็นเพื่อน แต่ก็ปฏิเสธที่จะไม่มองไม่ได้เช่นกัน และแม้ว่าจะเคยเห็นหุ่นของเก็ทผ่านๆ ตอนที่เก็ทมาอยู่เป็นเพื่อนที่หอ แต่มันก็ไม่ชัดเจนเท่าคนตัวโตที่ยืนถอดเสื้ออยู่ด้านหน้าตอนนี้ มือใหญ่ทั้งสองที่จับชายเสื้อยืดนั้นค่อยๆ เลิกมันขึ้นอย่างช้าๆ เหมือนทุกอย่างเป็นภาพสโลโมชัน เผยให้กล้ามเนื้อที่ซุกซ่อนอยู่ภายในปรากฏชัดออกมาสู่สายตา

   ไรขนที่เรียงเส้นลู่ตามสายน้ำไล่จากสะดือลงไป รับกับร่องของกล้ามเนื้อรูปตัววีชัดเจนจากหน้าท้องหายลึกลงไปในกางเกง ตามด้วยมัดกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นลอนเด่นชัดที่ผ่านการเล่นเวทเทรนนิ่งมาเป็นอย่างดี ยิ่งขับกับผิวขาวที่ตอนนี้เริ่มแดงเป็นปื้นจากผื่นคันที่เจ้าตัวบอก เหล่านี้ค่อยๆ เผยเด่นชัดขึ้นเมื่อเสื้อถูกถอดมากขึ้นเรื่อยๆ ตุ่มไตสองเม็ดที่มีสีเข้มกว่าผิวบริเวณรอบข้างเล็กน้อยบริเวณหน้าอกปรากฏขึ้นเมื่อเจ้าตัวถอดเสื้อจนพ้นจากไหล่กว้างนั้นออกมาถือไว้ในมือ ผมไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าคนตรงหน้าผมเซ็กซี่มากแค่ไหน

   ผมได้แต่ยืนถือสายยางที่สายน้ำยังคงไหลกระทบกล้ามเนื้อเป็นมัดแน่นนั้นและไหลลงไปยังด้านล่าง มองภาพเหล่านั้นนิ่ง น้ำลายเริ่มก่อตัวเหนียวและกลืนลงคอได้อย่างยากลำบาก ยิ่งยามเมื่อสายน้ำไหลลู่ไปกับกางเกงผ้าสีเทาเข้ม ที่ตอนนี้ก็แนบสนิทไปกับส่วนกึ่งกลาง ที่นูนเด่นออกมาอย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้สติของผมกระเจิดกระเจิงมากขึ้น

   “ฟร๊องก์! ฟร๊องก์! ได้ยินไหม”

   “ห๊ะๆ” เสียงเรียกของเก็ทกอปรกับฝ่ามือที่ปัดผ่านใบหน้าของผม ดึงให้สติที่หลุดลอยไปของผมกลับมาเข้าร่าง “เก็ทว่าไงนะ”

   “ก็ให้ดูผื่นพวกนี้ให้หน่อย ข้างหลังมันมองไม่เห็น มัวแต่ดูอะไรอยู่ หื่นไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะเราเนี่ย!” เก็ทหัวเราะพลางผลักศีรษะของผมเบาๆ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก ก็หุ่นเก็ท... มันน่ามองจริงๆ นี่

   “กะ... ก็... มันน่ามองจริงๆ นี่”

   “หื่นนักนะ มานี่เลย!”

   “เฮ้ย! ปล่อยเลยนะ ไอ้บ้าเก็ท โอ้ย! ฮาๆ” สิ้นเสียง เก็ทก็แย่งสายยางไปจากมือผม ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปปะทะกับแผงอกแน่นนั้น ก่อนที่คนตัวโตจะราดน้ำใส่หน้าผมพร้อมกับหัวเราะร่าแบบที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

   “ฮาๆ หื่นนัก ต้องโดน” เก็ทยังคงรั้งตัวผมไว้กับแผงอกล่ำนั้น พร้อมกับกระหน่ำราดน้ำลงมาจากสายยาง

   “พะ... พอแล้วๆ นะ... น้ำ... น้ำเข้าจมูก” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะมีน้ำไหลเข้าจมูกจนรู้สึกแสบ เก็ทจึงเลื่อนสายยางลงมาปล่อยให้น้ำไหลลงมาที่ลำตัวแทน

   “แสบจมูกไหม ขอโทษนะ” เก็ทถามขึ้น ขณะที่ผมยกมือขึ้นมาบีบจมูกเบาๆ “เห็นหัวเราะได้แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย สดใสแบบนี้สิถึงสมกับเป็นฟร๊องก์”

   “...” ผมเงยหน้ามองตามน้ำเสียงที่อบอุ่นนั้น พร้อมกับเก็ทที่กำลังมองผมด้วยรอยยิ้มอยู่ด้วยเช่นกัน

   “แต่ต่อจากนี้คงต้องบัญญัติคำว่าหื่นใส่ลงไปด้วยสินะ ฟร๊องก์จอมหื่น หึหึ”

   “ไอ้บ้า! ก็ดันตุงกางเกงเองทำไมล่ะ!” ผมผละตัวออกจากวงแขนของเก็ท พร้อมกับตบฝ่ามือข้างหนึ่งลงไปตรงก้อนเนื้อที่นูนเด่นแนบกับกางเกงนั้นอย่างไม่แรงนัก แต่กลับเต็มไม้เต็มมืออย่างเหลือเชื่อ แต่ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมัวแต่อึ้งอยู่ ผมรีบวิ่งหนีเข้าบ้านไปอาบน้ำทันที ทิ้งให้เก็ทที่ส่งเสียงโว้ยตามหลังมาอย่างช่วยไม่ได้
ก็มันโดดเด่น... จนน่าสัมผัสเองทำไมล่ะ!       

   ค่ำนั้นพวกเราตกลงกันว่าจะไปนั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหารเพราะเหตุผลว่าขี้เกียจทำเองแล้ว ฮ่าๆ แต่ไปกินร้านก็สะดวกดี แค่เสียแพงกว่าหน่อยแค่นั้นเอง ทุกคนใช้เวลาไม่นานนักในการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เหตุผลเพราะทุกคนหิวกันหมดเลย ใช้พลังงานไปเยอะกับการต้องว่ายน้ำลอยตัวตลอดตอนที่ออกไปดำน้ำ เราเลือกร้านที่บรรยากาศดีมากๆ อยู่ติดชายทะเลครับ นั่งรับลมเย็นๆ ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ช่วยให้เพลิดเพลินมากเวลากินอาหาร

   จากนั้นพวกเราก็ไปถ่ายรูปในคืนสุดท้ายแบบครบแก๊งค์ที่ท่าเรือเช่นเดิม แต่เราถ่ายกันอยู่ได้ไม่นานก็มีพวกกลุ่มเด็กแว๊นมาขี่รถปาดไปปาดมาเหมือนโชว์พาวว่านี่ถิ่นกู ทำให้พวกผมตัดสินใจกลับที่พักดีกว่า รู้สึกไม่ดีเลยที่เจอแบบนี้ มันทำให้สถานที่ท่องเที่ยวดีๆ แบบนี้ดูเสื่อมราคาไปในทันที

   แต่ก่อนกลับบ้านพักก็แวะซื้อขนมไปกินกันอีกแล้วครับ รู้สึกว่ามาเที่ยวครั้งนี้กินกันเก่งมากเลย โดยเฉพาะพวกขนมกรุบกรอบเนี่ย เงินหมดไปกับค่าขนมพวกนี้เยอะมาก เพราะราคามันแพงกว่าราคาที่ขายทั่วไป จากนั้นก็กลับมานั่งจับกลุ่มเม้าธ์มอยกันหน้าทีวี ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่อยากกลับ เพราะได้มาเที่ยวแบบนี้มันเหมือนทำให้เราได้ลืมโลกที่วุ่นวายด้านนอกที่เราต้องเจออยู่ทุกๆ วันเลย นี่สินะที่เขาเรียกว่าการมาชาร์จแบตให้ชีวิตโดยแท้

   เวลาห้าทุ่มกว่าๆ พวกผมก็เริ่มแยกย้ายเข้านอนกันแล้วครับ วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ แม้จะไม่ได้ขึ้นเขา ผจญภัยอย่างเมื่อวาน แต่กลับรู้สึกเพลียร่างมากกว่าหลายเท่า อาจจะเป็นเพราะมันสะสมจากเมื่อวานมาด้วยแหละ
 
   “นอนแล้วนะ อย่าลืมปิดประตูให้ดีแล้วกัน” เก็ทว่าก่อนจะลุกเดินเข้าห้องไป วันนี้ดูเก็ทเหมือนนอนไม่พอ เป็นเพราะผมหรือเปล่าที่เมื่อคืนไปนอนหนุนไหล่อยู่แบบนั้นทั้งคืน รู้สึกผิด แต่เรื่องเมื่อเย็น... ก็ถือเป็นกำไรของเพื่อนล่ะกันนะ และดูเหมือนเก็ทก็คงลืมๆ มันไปแล้ว เพราะไม่เห็นพูดถึงหรือทำอะไรผมอีก

   “พี่ ผมขอคุยอะไรกับพี่หน่อยสิ” ทาร์ตเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเข้ม ก่อนเดินนำผมออกไปที่ระเบียง... ระเบียงอีกแล้ว

   “มีอะไรเหรอ” ผมถามออกไป ไม่ใช่ว่าผมไม่สังเกต แต่วันนี้ทาร์ตเองก็ดูไม่ร่าเริงเหมือนปกติที่เคยไป อย่างน้อยก็ไม่ร่าเริงเท่ากับเมื่อวาน ยิ่งตอนนี้ใบหน้าที่ปกติมักจะเปื้อนด้วยรอยยิ้มกลับดูหม่นหมองลงอย่างบอกไม่ถูก

   “พี่กับพี่เก็ท... เป็นอะไรกันเหรอครับ”

   “พี่กับเก็ทเหรอ เพื่อนกันไง” ผมตอบแบบขำๆ ออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ

   “แต่เมื่อคืน ผมเห็นพี่สองคน... เอ่อ... กอดกัน แถมเมื่อเย็นพี่ก็ยังเล่นถึงเนื้อถึงตัวกับพี่เก็ทตอนล้างตัวหน้าบ้านอีก” คำพูดคำสุดท้ายของทาร์ตเบามากจนแทบจะถูกเสียงคลื่นและลมกลบ “เมื่อคืนผมตื่นจะออกมาเข้าห้องน้ำ ไม่เจอพี่สองคนอยู่ในห้อง พอผมออกมาถึงได้เห็นว่าพี่เก็ทกับกอดพี่อยู่”

   “เมื่อคืน... เก็ทกอดพี่จริงๆ แต่เราสองคนไม่ได้กอดกันด้วยความรู้สึกเชิงเสน่หา เก็ทแค่ปลอบใจพี่เท่านั้นเอง แล้วเมื่อเย็นเก็ทมันแค่แกล้งพี่เล่น ไม่ได้มีอะไรเลย” ไม่รู้ทำผมเมื่อเห็นแววตาที่ดูหม่นหมองคู่นั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจจนต้องอธิบายออกไป ผมอยากเห็นดวงตาที่เปล่งประกายสดใสและดูทะเล้นแบบที่ทาร์ตเป็นมากกว่า

   “พี่มีปัญหาอะไรบอกผมได้ไหม ผมไม่ชอบเลยที่เห็นพี่เศร้าแบบนี้” ทาร์ตเอื้อมมือมากุมมือผมทั้งสองข้างไว้

   “...”

   “เกี่ยวกับคนที่เราเจอที่ห้างวันนั้นใช่ไหมที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้”

   “อะ... อืม” ผมพยักหน้าเล็กน้อย

   “จะเป็นไปได้ไหมครับ ถ้าผมจะเข้ามาเป็นคนที่ทำให้พี่... มีความสุขอีกครั้ง” แรงบีบของมือกุมมือผมอยู่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกถึงความจริงจังในสิ่งที่เจ้าตัวพูด เป็นอีกครั้งที่สายตาของเราสองคนต้องกัน นัยต์ตาของทาร์ตจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมราวกับกำลังค้นหาคำตอบ

   “ให้เวลาพี่หน่อยนะทาร์ต” ผมยิ้มให้เล็กน้อย บางทีการเปิดใจให้ตัวเองได้เจอคนใหม่อย่างที่เก็ทบอกก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับผมตอนนี้มันยังเร็วเกินไป ผมรู้สึกดีและไม่ได้รังเกียจความรู้สึกดีๆ ที่ทาร์ตมอบให้ แต่ผมขอเวลาให้ผมหน่อย... สักวันอาจเป็นคนนี้ก็ได้ที่จะมายืนข้างผม แต่นั่นคืออนาคต ซึ่งผมบอกไม่ได้เช่นกัน

   “ผมจะรอนะครับพี่ฟร๊องก์ รออยู่ข้างๆ พี่แบบนี้เสมอ” แรงบีบที่มือทั้งสองข้างของผมบ่งบอกถึงความแน่วแน่ของเจ้าตัว

   “ไปนอนได้แล๊ว!” ผมดึงมือออกจากการจับกุม ก่อนจะผลักหัวทาร์ตเบาๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้ดูร่าเริงขึ้นทันที แม้มันจะดูขัดกับอารมณ์ก่อนหน้าแค่ไหนก็ตาม ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเตรียมเข้าไปนอน

   “ทิ้งกันเลยนะพี่!” ทาร์ตตะโกนเสียงไม่ดังนักไล่หลังผมมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงอย่างที่เคยเป็น ก่อนจะวิ่งตามมากอดผมจากด้านหลัง เล่นเอาผมเหวอไปเลย “ขออยู่แบบนี้สักพักนะพี่”

   ผมยืนนิ่งให้ทาร์ตกอดอยู่แบบนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ และก็ไม่ได้มีท่าทางขัดขืนแต่อย่างใด ทาร์ตโน้นศีรษะลงมาวางคางไว้บนไหล่ผมพร้อมกับดวงตาที่ปิดสนิท บางทีทาร์ตเองก็อาจเหมือนผมที่ต้องการเสาหลักเพื่อยึดให้รู้ว่าตัวเองยังมั่นคง ยังไม่ล้ม ในเมื่อผมยังต้องการเก็ทไว้ให้รู้ว่ายังมีคนอยู่ข้างๆ ทาร์ตเองก็คงต้องการความมั่นใจว่าผมจะยังคงอยู่เหมือนดั่งความหวังที่รอ

   สองคืนที่ผมตัดการติดต่อจากคนหนึ่ง แต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นกับผมถึงสองเหตุการณ์จากคนสองคนที่ผมรับรู้ได้ว่าทั้งคู่อยู่เคียงข้างผม ผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็รู้สึกดีกับทั้งคู่เช่นกัน อย่างเก็ทเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ผมรักและไว้ใจมาก ส่วนทาร์ตเองผมก็มักใจเต้นแรงเสมอเมื่ออยู่ใกล้ เพียงแต่ยังไม่พร้อมจะเปิดใจรับใครใหม่ ตอนนี้ขอแค่กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้เท่านั้นก่อนก็นับว่าดีมากแล้ว

**********___________**********

   แล้วก็มาถึงเช้าวันสุดท้ายที่เกาะล้านแห่งนี้แล้วแหละครับ ผมรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เราต้องเช็คเอ้าท์ออกจากบ้านพักเที่ยงตรงครับ แต่ต้องรีบออกไปก่อนแหละ เพราะถ้าไม่ทันเรือเที่ยวเที่ยง ต้องรออีกทีบ่ายสองเลย และเมื่อคืนเราก็นัดแนะกันว่าเช้านี้จะไปถ่ายรูปเก็บตกตามสถานที่ต่างๆ เลยทำให้เราต้องรีบตื่นกันแต่เช้า แล้วกลับมารอเช็คเอ้าท์สักสิบโมงครึ่ง จะได้กินข้าวเช้าที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ก่อนกลับด้วย เมื่อวานก็พลาดไปแล้วเพราะตื่นสาย

   เราขี่รถมอเตอร์ไซด์ไล่ตามแผนผังเดิมเหมือนวันแรกไล่ไปตามหาดต่างๆ จนไปถึงหาดแสม ที่มีสะพานหรืออะไรสักอย่างผมเรียกไม่ถูกที่ทำจากทุ่นพลาสติกลอยอยู่บนผิวน้ำ มันดูแข็งแรงรับน้ำหนักได้ดี แต่มันโครงเครงมากเวลามีคลื่นซัดมา พวกผมพยายามเดินทรงตัวเกาะกันไปอย่างช้าๆ เพราะกลัวตกน้ำ โดยที่ผมมีทาร์ตคอยประคองไปตลอด ก้มมองลงไปน้ำก็ลึกอยู่ใช่ย่อยครับ แต่ในที่สุดพวกเราก็มาถึงส่วนปลายของสะพานที่เขาจะเสริมความสูงขึ้นอีกชั้น และขยายให้มันกว้างขึ้น ทำให้ไม่ค่อยโครงเครงมากเวลาคลื่นซัดมา และด้วยความที่มันอยู่นอกชายหาดมาไกลพอสมควร ความแรงของคลื่นเลยน้อยกว่าบริเวณใกล้หาด น้ำบริเวณนี้ใสมากๆ และก็ลึกด้วย ผมเห็นปลาตัวเล็กๆ ฝูงใหญ่มากเลยที่บริเวณผิวน้ำใกล้กับทุ่นนี้ ลึกลงไปก็มีฝูงปลาที่ตัวใหญ่ขึ้นแหวกว่ายอยู่เต็มไปหมด น่ารักดีครับ ทาร์ตเองก็มานั่งถ่ายรูปฝูงปลาพวกนั้นใกล้ๆ ผมเหมือนกัน แถมมันยังแกล้งผมด้วยการทำท่าเหมือนจะผลักเล่นเอาผมใจหาย ก่อนที่มันจะดึงตัวผมเข้าไปกอดแบบไม่อายสายตาใคร ผมเลยจัดการประเคนฝ่ามือเข้าไปเต็มๆ หัวมันเลย

   จากนั้นเราแวะถ่ายรูปกันเรื่อยๆ จนแดดเริ่มแรง จึงกลับมายังบ้านพักอีกครั้งซึ่งถือเป็นการจบทริป บางคนก็กลับมาอาบน้ำใหม่ครับ เพราะยังมีเวลาเหลือ เรากลับกันมาเร็ว ยังไม่สิบโมงเลยครับ จากนั้นก็เช็คข้าวของเป็นครั้งสุดท้ายแล้วออกจากบ้านไปตอนสิบเอ็ดโมงเพื่อไปกินข้าว พอใกล้ๆ เที่ยงลุงคนขับรถกะป๋อก็มารับพวกผมไปส่งที่ท่าเรือ ก่อนที่เราจะเดินไปขึ้นเรือตามเที่ยวที่กำหนดไว้ เรือแล่นออกจากเกาะไปผมก็อดหันกลับมามองไม่ได้ เวลาสามวันมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่ผมก็ได้ชาร์จแบตเต็มที่ ไม่ว่าต่อไปจะเผชิญอะไรผมก็พร้อมจะเดินก้าวไปครับ

   เมื่อกลับมาถึงฝั่งพัทยา เราถ่ายรูปกับป้ายที่เขียนว่า PATTAYA city ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่เลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นผมถึงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเพื่อกดเปิดเครื่องและจะโทรบอกแม่ด้วยว่ากำลังจะกลับแล้ว แต่แอบตกใจเล็กน้อยเมื่อล้วงเข้าไปในช่องที่ผมใส่โทรศัพท์ไว้ตอนแรกแล้วไม่เจอ มันกลับไปอยู่ในอีกช่องหนึ่ง สงสัยผมจะเบลอจนจำผิดจำถูก

   เมื่อเปิดเครื่องมาผมถึงกับผงะด้วยความตกใจ เมื่อหน้าจอโชว์สายที่ไม่ได้รับกว่าสามสิบสาย แถมยังมีข้อความ ไลน์ และอินบ็อกซ์ในเฟซบุ๊กอีกต่างหาก ซึ่งล้วนมาจากคนๆ เดียว คนที่ผมหนีมาตลอดในช่วงที่อยู่บนเกาะ ซึ่งก็คือปาร์ค

   ผมยังไม่ได้เปิดอ่านอะไร แต่เลือกที่จะโทรไปหาแม่ก่อน ยังไงคนๆ นี้ก็สำคัญกว่า ส่วนปาร์คขอให้ผมกลับไปถึงกรุงเทพฯ ก่อนค่อยว่ากันล่ะกัน ใช่... ผมเลี่ยงเพราะไม่รู้จะเริ่มก้าวเดินออกจากคนๆ นี้อย่างไร


à suivre...

เขียนฉากโชว์เซ็กซี่ของเก็ทเพิ่มเข้ามานะ ต้องขอขอบคุณคอมเม้นต์ที่กระตุ้นต่อม 55555+
ไม่รู้ว่าจะพอให้ชื่นใจ ให้ฟินกันได้หน่อยหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ก็ต้องขออภัยด้วยนะฮะ พยายามเต็มที่แล้ว 55+
แต่จะว่าไปก็อิจฉาฟร๊องก์นะ คนแต่งก็อยากจับน้องชายที่ 'นูนเด่น' ของเก็ทนั้นบ้างงง!!!

ถ้าถามคนแต่งว่า ไม่มีฉากเก็ทโชว์รูปร่างขโมยความเท่และหัวใจเหล่าคนอ่านบ้างเหรอ... จะโดนติเตียนว่าหื่นไปไหมเนี่ยครับ (หัวเราะ)

จริงๆครับคุณคาเมนลิออน อิจฉาชัญญ่ามาก ทำบุญด้วยอะไร จะไปทำบ้าง (หัวเราะ) ขรึมๆ เท่สุดๆอะ
จัดตามคำเรียกร้อง แต่งเพิ่มเข้าไปให้เลยฮะ แต่ไม่รู้ว่าดีพอหรือเปล่า 5555+ ขอบคุณมากนะฮะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 25 P.4 [16/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 17-06-2017 13:36:26
เดทนสุดๆอยากมีคนมาทำงี้บ้างอยากรู้
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 26 [18/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 18-06-2017 20:24:37
Chaitpre 26

   พวกผมกลับมาถึงกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทริปเกาะล้านสามวันสองคืนผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่ผมก็รู้สึกเต็มอิ่มกับการไปเที่ยวในครั้งนี้ อาจจะมีเรื่องที่ไม่สบายใจมารบกวนอยู่บ้าง แต่เพราะได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สดชื่นจึงทำให้ผมลืมสิ่งเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว

   ตลอดทางผมหลับมาแบบไม่รู้เรื่องเลยครับ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกเก็ทปลุกตอนที่พวกเราจะแวะกินข้าวกันหลังจากเข้าเขตกรุงเทพมหานครมาแล้ว จะว่าไปก็หิวเหมือนกันนะ ข้าวต้ม (ที่เหลืออยู่ไม่มากของบ้านพัก เพราะพวกผมออกไปกินกันช้า) ช่วยได้แค่รองท้องกันคนละนิดละหน่อย มาถึงนี่เลยจัดเต็มกันอีกมื้อเลยครับ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน แน่นอนว่าเก็ทกับดิวก็ไล่ส่งแต่ละคน และก็เป็นผมที่เก็ทมาส่งเป็นคนสุดท้ายตามปกติ

   “ขอบคุณนะ... สำหรับทุกอย่างเลย” ผมหันไปพูดกับเก็ทด้วยรอยยิ้มเมื่อรถของเก็ทมาจอดสนิทที่ด้านหน้าหอพักของผม

   “ชาร์จพลังมาแล้ว ก็ก้าวเดินต่อได้แล้วนะ” เก็ทยกมือขึ้นมายีหัวผมอีกแล้ว รู้สึกหลังๆ มานี้จะเล่นหัวผมบ่อยเกินไปและ แต่ก็ชอบนะครับ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างผมเสมอ

   “ไปและ เดี๋ยวซักผ้าอีก ทำให้เสร็จๆ จะได้นอน ง่วง” ผมบ่นนิดหน่อยก่อนจะลงจากรถไป

   หลังจากนั้นผมก็จัดการเทเสื้อผ้าทั้งหมดในกระเป๋าเป้ลงในตะกร้า ขี้เกียจซักโคตรๆ เลยครับ ไหนจะต้องมารีดเสื้อนิสิตที่ซักตากไว้ (ในห้อง) เมื่อคืนวันพฤหัสอีก ว่าแต่มันเหม็นอับเปล่าวะ! แต่บ่นไปก็เท่านั้น สุดท้ายผมก็ต้องเอาออกไปซักอยู่ดี ยังดีหน่อยครับที่หอผมมีเครื่องซักผ้าอยู่ทุกชั้น ชั้นละเครื่อง ไม่ต้องถ่อลงไปที่ชั้นล่าง

   ผมทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย หลังยัดผ้าลงเครื่องเสร็จก็กลับมารีดผ้าต่อในห้อง แล้วก็ออกไปเอาผ้าที่ปั่นไว้มาตาก กวาดถูห้องอีกนิดหน่อย แค่นี้ก็เล่นเอาผมหอบ(แดก)ได้เหมือนกันนะ เสร็จจากนี้ก็จะอาบน้ำนอนแล้วแหละครับ พรุ่งนี้เรียนเช้าอีก โอ้ย ตาย!!!

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จหมาดๆ โคตรรู้เวลาเลย ใครวะ ผมเดินเช็ดผมไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครโทรมา
 
   หน้าจอปรากฏชื่อของปาร์ค นั่นสิ! ผมลืมคนที่โทรมากว่าสามสิบสายนี้ไปเลยจริงๆ

   ผมควรรับสายไหม...

   [หายไปไหนมา!] ทันทีที่ผมกดรับสาย ยังไม่ทันที่จะได้ส่งเสียงทักทายอะไรไป คนที่อยู่ปลายสายก็แผดเสียงเหี้ยมดังจนเหมือนกับการตะเบงมาซะก่อน

   “อ่ะ... เอ่อปาร์ค ว่าไง” ผมตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย พยายามทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ ทั้งที่คิดมาตลอดว่าผมพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง แต่เอาเข้าจริงๆ แค่ได้เห็นชื่อของปาร์คที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ตั้งแต่กดเปิดเครื่อง มันก็ทำให้ผมใจสั่นด้วยความหวาดวิตกได้ไม่น้อยเลย ไหนล่ะความเข้มแข็งที่ได้จากการไปเติมพลังให้ตัวเองมา?

   [ถามว่าหายไปไหนมา โถ่เว้ย! จะไปไหนทำไมไม่บอกกันบ้างวะ! ไม่รู้หรือไงว่าคนอื่นเขาเป็นห่วงขนาดไหน!! แม่ง!!!] ผมคิดว่าการเอาน้ำเย็นเข้าลูบจะช่วยให้ปาร์คอารมณ์เย็นลงได้บ้าง แต่ไม่เลยครับ มันกลับใส่ผมมาเป็นชุด แถมยังเสียงสบถนั่นอีก มันจะรู้ไหมครับว่ามันทำให้ผมสะดุ้งและเริ่มรู้สึกตะหนกมากแค่ไหน

   “ใจเย็นๆ นะปาร์ค ฟร๊องก์ขอโทษที่ไม่ได้บอก มันกะทันหัน แล้วอีกอย่าง... โทรศัพท์ฟร๊องก์ก็แบตหมดด้วย” ผมโกหกคำโตเลยครับ แต่มันคงไม่เหตุผลอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว

   [กะทันหัน? แบตหมด? แล้วไม่มีใครมีที่ชาร์จเลย หรือแม้แต่จะยืมโทรศัพท์เพื่อนโทรมาไม่ได้เลยหรือไง!] น้ำเสียงปาร์คยังคงเดือดดาลไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง ที่ดูท่าจะสงบลงยากมากด้วย

   “เอ่อ... กะ... ก็ ก็มันกะทันหันไง ฟร๊องก์เบลอๆ เลยลืมไปหมดเลย” คำพูดผมเริ่มติดๆ ขัดๆ มากขึ้นเริ่มๆ เพราะเริ่มคิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรมาอ้างกับคำถามที่ปาร์คจี้มากขึ้นๆ อีก

   [กะทันหันมากจนมีเวลากระหนุงกระหนิงกับไอ้เวรนั่นเลยสินะ!] เสียงปาร์คตะคอกมาดังมากจนผมต้องยื่นโทรศัพท์ออกห่างจากหู ปาร์คพูดเรื่องอะไร ไอ้เวรนั่นคือใครทั้งที่มีแต่เพื่อนๆ ผมทั้งนั้น อีกอย่างปาร์คไปรู้หรือเห็นอะไรเข้า? แต่รูปที่เพื่อนๆ ลงกันในเฟซบุ๊กจากที่ผมเปิดดูหลังเปิดเครื่องมันก็เป็นรูปรวมๆ ทั้งนั้นเลยนะที่แท็กผมมา

   “ปาร์คพูดบ้าอะไร!” ผมถามกลับด้วยความสงสัย สมองผมประมวลผลคำพูดของปาร์คเมื่อสักครู่ไม่ทันจนรู้สึกมึนงงไปหมด

   [หึ! สรุปว่าเป็นอะไรกับไอ้เด็กนั่นจริงๆ สินะ ถึงว่าสิครั้งที่แล้วถึงยอมให้รูปจูบกันโชว์หราในเฟซบุ๊ก จงใจหรืออะไรกันแน่!?!] เสียงปาร์คกลับมาอยู่ในระดับความดังปกติ แต่มันช่างเต็มไปด้วยความประชดประชัน

   “ปาร์คพูดอะไร ฟร๊องก์งงไปหมดแล้ว” มันเกี่ยวอะไรกับรูปจูบ... รูปจูบในเฟซบุ๊ก ทาร์ต! ทาร์ตมาเกี่ยวอะไรด้วย ผมไม่เข้าใจ ปาร์คกำลังพูดถึงอะไร และท่าทางโกรธเกรี้ยวนี้มันดูจะเกินเลยไปกว่าการที่ผมหายไปสามวันแล้วด้วย

   [ช่างมันเถอะ ปาร์คคงคิดเป็นห่วงฟร๊องก์อยู่คนเดียว ทั้งที่ฟร๊องก์มีความสุขขนาดนั้น] ไหงกลายมาเป็นโหมดน้อยใจแบบนี้ล่ะครับ แล้วก่อนหน้าคืออะไรผมยังไม่เคลียร์เลย แถมยังปรับโหมดไม่ทันอีกต่างหาก

   “ฟร๊องก์... ขอโทษ” และก็เป็นผมที่ต้องเอ่ยขอโทษออกไป ผมก็ผิดด้วยส่วนหนึ่งที่หนีปัญหาไป ผมว่าปาร์คก็คงจะเป็นห่วงผมมากจริงๆ เพราะตอนที่ผมโทรไปบอกแม่ว่ากำลังจะกลับ แม่ก็ถามถึงปาร์คว่าได้คุยกันบ้างหรือเปล่า เพราะปาร์คแวะไปหาแม่ที่บ้านด้วยท่าทางร้อนรนและบอกว่าติดต่อผมไม่ได้ แม่ถึงได้บอกว่าผมไปเที่ยวเกาะล้าน ผมก็บอกแม่ไปตรงๆ แหละครับว่าผมตั้งใจปิดเครื่อง ตั้งใจตัดการติดต่อสื่อสารไปเลย เพราะอยากพักสมองจริงๆ แต่สำหรับปาร์ค... จะเป็นห่วงผมด้วยเหตุผลอะไรล่ะ เพื่อนงั้นเหรอ?

   [คราวหน้าอย่าหายไปแบบนี้นะ รู้บ้างไหมว่าปาร์คเป็นห่วงมากแค่ไหน] ปาร์คเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจนฟังดูอ่อนโยนและเว้าวอน

   “ขอโทษนะ”

   [ว่าแต่ฟร๊องก์กับรุ่นน้องคนนั้น... คบกันแล้วเหรอ]

   “เปล่า! ฟร๊องก์บอกปาร์คแล้วไงว่าไม่มีอะไรจริงๆ ฟร๊องก์ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไม่ได้มีอะไรเกินเลยเลย” ผมรีบแก้ตัวโดยแทบไม่ฉุกคิดเลยทันที จริงอยู่ถึงทาร์ตจะขอโอกาสจากผม และผมคิดว่าจะลองเปิดใจดูสักครั้งก็เถอะ แต่ตอนนี้มันยังไม่ได้ตบลงจะคบกัน ผมแค่... กลัวปาร์คจะเข้าใจผิด

   [งั้นเหรอ แล้วรูป... ช่างมันเถอะ ดีแล้วแหละ ปาร์คดีใจนะที่ฟร๊องก์ยังไม่ได้เป็นอะไรกับใคร] ผมได้ยินปาร์คพูดถึงรูปอะไรสักอย่าง รูปอะไร? จูบที่เกิดจากอุบัติเหตุนั่นผมก็อธิบายไปแล้วนิ แล้วมันมีอะไรอีก แต่... ทำไมปาร์คต้องพูดเหมือนอยากให้ผมอยู่เคียงข้างแบบนี้ด้วย ทั้งที่ปาร์คมีคนๆ นั้นอยู่แล้ว จะให้ผมอยู่ในฐานะอะไร

   “...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่คำพูดเหล่านี้ของปาร์คกลับทำลายกำแพงที่ผมเริ่มก่อมันขึ้นมาให้พังทลายลงได้อย่างง่ายดาย

   [...] ปลายสายเองก็เงียบเหมือนกัน

   “ปาร์ค งั้นฟร๊องก์ไปนอนก่อนนะ เพิ่งกลับมา เพลียๆ น่ะ” ผมตัดปัญหาไปก่อนที่หัวใจตัวเองจะรู้สึกอ่อนแอไปมากกว่านี้ เมื่อไหร่ที่ผมจะเข้มแข็งได้สักที

   [พักผ่อนเถอะ ฝันดีนะครับคนดี... ของปาร์ค]

   คุณเคยเป็นไหมครับ คิดว่าตัวเองก้าวออกมาพ้นจากความรู้สึกนั้นแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งมากพอแล้ว แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากำลังหนีอยู่นั้น มันกลับไม่เป็นอย่างที่เราคิดเลย มันเหมือนว่าเรายังคงย่ำอยู่กับที่และยังคงอ่อนแออยู่เหมือนเดิม

**********__________**********

   หลังจากคืนนั้นที่ปาร์คโทรมาโวยวายกับผมอย่างหัวเสีย ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์จนผมตามไม่ทัน ปาร์คเองก็ยังคงโทรมาหาผมอยู่ทุกวัน ผมสบายใจที่จะคุยมากขึ้น ผมทำใจแล้วแหละครับว่าอย่างไรผมก็เป็นได้แค่เพื่อน แต่มันติดอยู่แค่ว่าปาร์ค... มักจะพูดอะไรที่ทำให้ผมคิดมากอยู่เสมอ แถมยังชอบถามผมถึงเรื่องทาร์ตมากกว่าปกติอีกด้วย แปลกๆ

   เผลอแป๊บเดียวนี่ผ่านไปเกือบอาทิตย์แล้วนะครับที่ผมไปทะเล วันนี้ก็วันพฤหัสแล้ว ตั้งแต่กลับมาจากเกาะล้าน เวลาไปเรียนผมเจอหน้าทาร์ตทุกวันเลยครับ ผมรู้สึกว่ามันกล้ามากขึ้นที่จะแสดงออกให้ผมเห็นว่ามันรู้สึกอย่างไรกับผม ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ยังคงคุยเล่นกับมันตามปกติ ของแบบนี้ต้องขอดูไปก่อน ผมยังไม่รีบตัดสินใจหรอกครับ

   แม้แต่ตอนนี้เอง ทาร์ตมันก็มายืนยิ้มแป้นรอผมเลิกเรียนอยู่หน้าตึก วันนี้พวกผมชวนกันไปดูหนังกันครับ หนังใหม่เพิ่งจะเข้าฉายวันนี้วันแรกเลย ทุกคนลงความเห็นว่าอยากดูก็เลยจะไปจัดกัน แน่นอนว่าผมชวนทาร์ตไปด้วย มันถึงได้มายืนรอพวกผมพร้อมรอยยิ้มกว้างดูร่าเริงแบบนี้ ส่วนผมก็กลับบ้านพรุ่งนี้ล่ะครับ แต่ยังไม่ได้โทรบอกแม่เลย เดี๋ยวไปถึงห้างค่อยโทรล่ะกัน

   ไม่นานพวกเราทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งไกลออกมาจากห้างละแวกมหาวิทยาลัย คืออยากมาเดินดูอะไรใหม่ๆ มากกว่าจะต้องเจอคนหน้าเดิมๆ ในมหา’ลัยเดียวกัน อีกอย่างโรงหนังที่นี่ดีกว่าด้วยแหละ ถึงจะแพงกว่านิดหน่อยก็เถอะ

   “พวกพี่หิวกันไหมอ่ะ” ทาร์ตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเขินอาย

   “หิวดิ ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย” นุ่นเป็นคนตอบครับ

   “ว่าแต่จะกินอะไรกันดี” ป๊อปอายเปิดประเด็นอย่างรวดเร็ว ดีเหมือนกันครับ ไปดูรอบหนังมามีรอบหกโมงเย็นกับสองทุ่มเลยครับ เลยซื้อตั๋วรอบหกโมงเย็นไป ดังนั้นต้องรีบหาอะไรกินก่อนที่หนังจะเริ่มฉาย

   “อยากกินอาหารญี่ปุ่นว่ะ” โดนัทเสนอขึ้น แต่ก็ไม่เชิงเสนอหรอก ออกแนวบังคับเลือกเลยมากกว่า

   “เออๆ กูก็อยากกิน” นุ่นกับไวน์เสริมทัพ ลองสามคนนี้เลือกแล้ว คงเปลี่ยนใจยากครับ ผมเองก็อยากกินอาหารญี่ปุ่นอยู่เหมือนกันเลยส่งยิ้มให้พร้อมพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ

   เป็นอันว่าทุกคนตกลงตามที่โดนัทเสนอครับ ผมที่เดินตีคู่กับทาร์ต โดยมีเก็ทเดินตามหลังมองภาพเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม ช่วงนี้ยอมรับครับว่าทาร์ตเป็นคนหนึ่งที่เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตผมเยอะมากๆ จนผมเองก็เริ่มรู้สึกดีๆ ด้วยเหมือนกัน แต่มันบอกไม่ถูกครับ มันคล้ายกับเวลาที่ผมอยู่กับปาร์ค แต่ก็ไม่ถึงกับความรู้สึกที่ผมมีให้กับปาร์ค ยังไม่ขนาดนั้น แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้คุย ได้หัวเราะด้วยกัน ผมคิดว่านี่คือการเริ่มเปิดใจของตัวเองแล้วแหละ

   เออ จะว่าไปผมเองก็เพิ่งสังเกตนะว่าหน้าตา ผิวพรรณทุกคนดูหมองคล้ำลงหมดเลย ก็ไปทะเลนี่เนอะ ผมเองก็ไม่ต่างกัน เป็นรอยตัดทูโทนเลยครับ เป็นรอยเสื้อกล้ามเลย ต้องบำรุงหนักกว่าปกติเลยช่วงนี้ ยังดีที่ผิวไม่ไหม้นะครับ ไม่งั้นคงแสบน่าดู

   “พวกเรานี่ดูดำลงเยอะเลยเนอะ” ผมหันไปพูดกับทาร์ตขำๆ โดยเฉพาะนุ่นนี่ดำลงเยอะเลยครับ แต่ดูๆ ไปผิวสีแทนๆ แบบนี้เหมาะกับมันอยู่นะ ดูเซ็กซี่ขึ้นเป็นกองเลย ถ้าตัดนิสัยปากหมาของมันออกไปได้ มันคงฮอตกว่านี้เยอะ

   “นั่นดิพี่ ผมนี่ดำอยู่แล้ว ยิ่งดำเข้าไปอีก” ทาร์ตหันมาตอบผมหน้างอ จริงๆ ผิวมันก่อนไปทะเลก็ไม่ได้ดำอะไรหรอกครับ แต่ด้วยความที่มันไม่ได้ขาวมากเมื่อเทียบกับผม มันก็เลยดูคล้ำ แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากตอนแรกเท่าไรเลยนะครับ มันก็พูดเว่อร์ไป อย่างผมนี่สิตอนแรกขาวๆ พอตอนนี้คนละสีชัดเจนเลย

   “ดำที่ไหน พี่นี่ดิ ทูโทนเลย ฮ่าๆ” แล้วเราสองคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนรู้สึกถึงสายตาของบางคนที่มองอยู่ตลอดเวลา จนผมต้องหันกลับไปมองก็เป็นเก็ทแหละครับ เก็มมองพวกผมด้วยสายตานิ่งๆ ตามสไตล์โดยที่ในมือถือโทรศัพท์มือถืออยู่ สงสัยพิมพ์คุยกับชัญญ่ามั้ง ถึงเงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไรเลย

   ด้วยความหิวโหยของทุกคน จึงลงมือสั่งกันอย่างไม่รีรอ ส่วนผมก็สั่งข้าวหน้าปลาแซลมอนของโปรดครับ และก็กินไม่หมดเช่นเดิม เก็ทหันมาทำหน้าตำหนิเล็กน้อย มันชอบเป็นอย่างนี้แหละครับเวลาที่ผมกินอะไรไม่หมด ก็นี่ข้าวเยอะอ่ะ! อีกอย่างทาร์ตก็ตักของตัวเองมาให้ผมอีก บอกให้ผมชิมๆ แต่เล่นให้ชิมซะหลายคำเชียว แล้วจะให้ผมกินของตัวเองหมดได้ไง

   “เออนี่ ดูหนังเสร็จไปร้องเกะกันนะ ไม่ได้ร้องด้วยกันนานแล้ว” นุ่นพูดขึ้นขณะที่ทุกคนอิ่มท้องกันแล้ว

   “ก็ดีเหมือนกัน” ดิวพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันไปขอแรงสนับสนุนจากแก้วซึ่งก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเขินๆ หลังๆ มาครอบครัวแก้วเริ่มปล่อยให้แก้วไปไหนมาไหนได้มากขึ้นครับ ก็ถูกใจว่าที่ลูกเขยในอนาคตอย่างดิวเข้าเต็มเปา

   “ทาร์ตชอบร้องเพลงไหม” ไวน์เท้าคางกับโต๊ะมองทาร์ตที่นั่งฝั่งตรงข้าม (ข้างผม) พร้อมกะพริบตาปริ๊งๆ

   “ก็ชอบนะครับ แต่อาจจะไม่ค่อยเพราะเท่าไร” ทาร์ตตอบพร้อมกับเกาหัวอย่างอายๆ

   “ไม่เป็นไร งั้นร้องให้พี่ฟังนะ อิอิ”

   “ฮ่าๆ ได้เลย แต่อยู่ที่พี่ไวน์จะทนฟังเสียงผมไหวหรือเปล่าแค่นั้นแหละ” ทาร์ตตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมเช่นกัน มึงพูดกับไวน์แล้วจะหันมายิ้มให้กูเพื่อ?

   “ยิ้มไร” ผมทำหน้างงๆ ว่าทาร์ตที่ยังคงยิ้มกว้างให้ผม

   “ไม่รู้สิ มองหน้าบางคนแล้วทำให้ยิ้มออก”

   “งั้นเหรอ งั้นช่วยเอาเศษพริกที่ติดเหล็กดัดฟันออกก่อนดีกว่าไหม ฮ่าๆ”

   “เห้ย! จริงเหรอ! มีใครมีกระจกบ้างไหมครับ” ทาร์ตทำหน้าตาเลิ่กลั่กทันทีที่ผมบอกไปแบบนั้น

   “อ่ะๆ นี่” โดนัทล้วงไปหยิบกระจกแบบเจ้าหญิงสุดหรูหรา (เคยถามมันตอนมันซื้อมาใหม่ๆ รู้สึกว่าจะราคาโคตรแพงเลยครับ ตอนนั้นด่ามันไปเยอะด้วยว่าสิ้นเปลือง) ขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วส่งให้ทาร์ต

   “ไหนอ่ะพี่ ไม่เห็นจะมีเลย ปกติผมกินก็ไม่ค่อยติดนะ” ทาร์ตหันมาทางผมทั้งที่ยังคือยิงฟันส่องกระจกอยู่อย่างนั้น

   “กูหลอกเล่น ฮ่าๆๆๆ เชื่อเป็นตุเป็นตะว่ะ!” ผมปล่อยก๊ากเลยครับ ทุกคนที่เหลือก็หัวเราะกันทั้งโต๊ะเลยที่เห็นคนโดนแกล้ง แถมท่าทางยังตื่นตระหนกสุดขีดอีกต่างหาก

   “โห้ แกล้งกันได้เนอะคนเรา เสียเซลฟ์หมดเลย” ทาร์ตทำหน้างอนๆ ใส่ผมก่อนจะยื่นกระจกคืนให้พี่สาวของตน

   “แกล้งเล่นขำๆ นี่ก็จริงจัง ฮ่าๆ”

   สะใจมากครับที่ได้แกล้งทาร์ต มันก็ทำท่าทางเหมือนเคืองๆ ผมเล็กน้อย แต่พอผมบอกว่าไว้วันหลังจะเลี้ยงไอศกรีมเท่านั้นแหละ ถึงกับยิ้มออกเลย สรุปว่ามันเห็นแก่กินหรือมันแกล้งงอนผมกันแน่เนี่ย

**********__________**********

   และแล้วหนังก็จบไปครับ หนังยาวประมาณสองชั่วโมงได้ รวมๆ กับโฆษณาตอนต้นอีก ทำให้ตอนนี้เราออกมาจากโรงภาพยนตร์ก็ใกล้จะสามทุ่มแล้ว จึงรีบไปจองห้องคาราโอเกะต่อทันทีเลยครับ ไม่งั้นจะดึกไปมากกว่านี้

   จากนั้นเราก็สนุกกันเต็มที่กับการร้องเพลง ผมที่ร้องเพลงไม่ค่อยเก่งก็ทำหน้าที่เป็นแดนเซอร์กับพวกไวน์ โดนัท แล้วก็ป๊อปอายครับ เต้นกันรั่วมากๆ ไม่มีอายเลยครับ คนกันเองทั้งนั้น หน้าที่ร้องเพลงหลักๆ ก็จะเป็นดิว นุ่นแหละครับ ที่ส่วนใหญ่จะครองไมค์ไว้กันแค่สองคน แต่วันนี้พิเศษเหมือนกัน ที่เก็ทลุกมาจับไมค์ร้องเพลงคู่กับดิว เล่นเอาเพื่อนๆ ทุกคนปรบมือชอบใจกันใหญ่เลยครับ ที่สำคัญเสียงเก็ทเพราะมากเลย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะร้องเพลงเพราะขนาดนี้ คราวหน้าต้องให้ร้องให้ฟังบ่อยๆ ซะล่ะ

   “ผมขอขัดจังหวะหน่อยนะครับ ไม่รู้ว่าเสียงผมจะเพราะหรือเปล่า หรือจะทำให้พวกพี่ๆ รำคาญหูกันก็ไม่รู้ แต่... ผมอยากร้องเพลงนี้เพื่อแทนความรู้สึกในใจของผมครับ” จู่ๆ ทาร์ตก็จับไมค์ก่อนจะลุกขึ้นไปด้านหน้าจอทีวี ทำให้ทุกคนมองกันเป็นตาเดียว เว้นก็แต่ดิวกับแก้วที่นั่งหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคน คงรู้ล่วงหน้าแหละครับเพราะดิวเป็นคนคอยกดเพลงนี่ครับ ว่าแต่ทาร์ตไปรีเควสเพลงไว้ตอนไหน

   “ผมขอร้องเพลงนี้ให้ใครคนหนึ่ง ที่ทำให้ผม... เกิดความรู้สึกดีๆ เช่นนี้” ทาร์ตยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ และเมื่อผมหันไปมอง สายตาของเราสองคนก็บรรจบกันพอดี ทาร์ตยิ้มกว้างอวดเหล็กดัดฟันให้ผมอย่างมีเลสนัย “ยังไงผมยังรออยู่เสมอนะครับ”
 
   “ฉันคิดว่ารักมันคือความผูกพัน คิดว่ารักแท้ต้องเดินผ่านวันและเวลา…”

   ดวงตาเป็นประกายนั้นจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาของผมราวกับกำลังหาคำตอบ ขณะที่ปากยังคงเปล่งเสียงออกมา

   “ฉันเพิ่งเข้าใจว่ารักเป็นอย่างนี้ ฉันเพิ่งเข้าใจเมื่อได้มาเจอด้วยตัวเอง
เสี้ยวนาทีก็มีความหมาย เปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ ฉันเพิ่งรู้ในวันนี้ รักไม่ต้องการเวลา...”

   หัวใจของผมเต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจังหวะและเนื้อหาของเพลง หรือบางที่... เวลามันอาจจะไม่ได้พิสูจน์ความรักก็ได้ ทั้งความรักที่ผ่านมา และสิ่งที่กำลังผลิบานตรงหน้า

   “เหมือนหัวใจ เหมือนหยุดไปในห้วงเวลานี้ เมื่อพบเธอ ความรักที่เคยเข้าใจก็เปลี่ยนไป
ไม่ต้องใช้วันเวลา แค่เราได้พบกันในวันนี้ แค่พบเจอกับเธอ ก็รักเธอ... ฉันรักเธอ”

   ตั้งแต่เริ่มร้องจนจบ ทาร์ตไม่ละสายตาไปจากผมเลย ริมฝีปากนั้นขยับขึ้นลงตามจังหวะ เปล่งคำตามเนื้อเพลงเพื่อสื่อมายังหัวใจของผม ที่ก็จับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาและสดใสของทาร์ตไม่วางตาเช่นกัน

   ขณะที่ทาร์ตร้องเพลงไป โดนัทกับไวน์ก็มาสะกิดผมยิกเลยครับ เออ กูรู้แล้วครับ! รู้ว่ามันร้องให้ผม รู้ว่ามันกำลังจีบผม... ต่อหน้าเพื่อนทุกคนอีกต่างหาก! เอาไงดีวะกู

   จะว่าไปเสียงมันก็ดีเหมือนกันนะครับ ดีจนสะกดผมไม่ให้ละลายสายไปไหนเลย รู้ตัวอีกทีก็จบเพลงแล้ว โอ้ย ผมจะทำไงต่อไปดีครับเนี่ย ทำไงดีๆ ไอ้ทาร์ตมันก็ยังมองผมพร้อมกับยิ้มกว้างๆ ให้อีก จนผมทำตัวไม่ถูกแล้ว

   “ฮี้ววว” พวกเพื่อนตัวสนับสนุนส่งเสียงโห่ร้องทันทีที่เพลงจบ พร้อมกับตบมือตาหน้าขาอย่างชอบใจ ส่วนผมยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ

   “เอาแล้วเว้ยมึงๆ ใส่เกียร์รุกใหญ่เลยเว้ย” นุ่นเอ่ยปากแซว ทาร์ตยิ้มด้วยความเขินๆ แต่สายตาก็ยังคงมองมายังผมแบบไม่วางตา

   “เอ่อ... กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ทำไรไม่ถูกครับ นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วสำหรับผม

   เมื่อทำอะไรไม่ถูกและเริ่มลนลาน ผมจึงตัดสินใจรีบเดินออกไปเข้าห้องน้ำทันที อย่างน้อยขอทำสมาธิ สงบสติอารมณ์ก่อนแล้วกัน หัวใจผมนี่เต้นแรงมากเลย ยิ่งนึกถึงสายตาทะเล้นๆ เป็นประกายนั้น รวมทั้งรอยยิ้มกว้างกับเหล็กดัดฟันที่สดใส มันยิ่งทำให้ใจผมสั่นมากขึ้น หน้าเองก็พลอยร้อนผ่าวขึ้นด้วยเช่นกัน

   เวลานี้ห้างคนน้อยมากแล้วครับ ร้านส่วนมาเริ่มปิดไฟกันหมดแล้ว ห้องน้ำนี่เลยวังเวงพอสมควร ผมเลยจัดการล้างหน้าเพื่อให้สดชื่นและลดอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจนรู้สึกร้อนให้ลดลง อย่างน้อยน้ำเย็นๆ น่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง

   แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจก แล้วพบกับเงาของใครคนหนึ่งที่ยืนจ้องผมสะท้อนอยู่ในกระจก... ด้านหลังของผม


à suivre...

กลับมา ฟร๊องก์ก็ยังยอมปาร์คอยู่
แต่ที่แน่ๆ คือ ทาร์ตรุกหนักมากกกกก โอ้ยยย เขินแทน 5555+
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 26 P.4 [18/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 18-06-2017 23:12:13
เบื่ออิปาร์ค
เบื่อมากกกกกกกกก

ทำไงดี
จะได้ไปให้พ้นๆมัน

+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 26 P.4 [18/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 19-06-2017 13:05:42
เอาไงเนี้ยๆแล้วผู้หญิงคนนั้นละเอาไง
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 26 P.4 [18/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-06-2017 13:27:19
เบื่อปาร์คทำเป็นหมาหยอกไก่ไปได้ จะเอายังไงก็รีบๆ เถอะ ส่วนฟร็อกก็เบื่อ เบื่อความใจอ่อนไม่ยอมรีบๆ ตัดใจซะที
จะทนเจ็บไปทำไมให้เมื่อปาร์คแม่งก็มีแฟนผู้หญิงเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วจะอยู่กินน้ำใต้ศอกทำไม
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 26 P.4 [18/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 19-06-2017 15:22:39
เบื่อปาร์คทำเป็นหมาหยอกไก่ไปได้ จะเอายังไงก็รีบๆ เถอะ ส่วนฟร็อกก็เบื่อ เบื่อความใจอ่อนไม่ยอมรีบๆ ตัดใจซะที
จะทนเจ็บไปทำไมให้เมื่อปาร์คแม่งก็มีแฟนผู้หญิงเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วจะอยู่กินน้ำใต้ศอกทำไม

+1 ให้
เม้นท์นี้โดนใจ

เน๊อะ ใช่เน๊อะ
อิปาร์คนี่ ลำไยม่อก
เหี้-ย เกลียดแม่งชิ้บ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 27 (Drama) [21/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 21-06-2017 20:26:24
Chapitre 27

   ผมที่ขอปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำเพื่อควบคุมอารมณ์ รวมทั้งหัวใจที่เต้นแรงก่อนหน้าให้สงบลง กลับต้องผงะเมื่อพบเข้ากับใครคนหนึ่งที่ยืนจ้องผมด้วยสายตาดุดันราวกับโกรธแค้นผมมาสักสิบชาติ แต่กลับยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนได้เจอของที่ตามหา
 
   ปาร์ค! คนๆ นั้นคือปาร์ค! ที่กำลังจ้องผมอยู่ด้วยสายตาที่น่ากลัวจนผมเสียวสันหลังวาบ

   “ปะ... ปาร์ค” ผมหันไปยิ้มให้คนที่เจอโดยบังเอิญพร้อมพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น เอาจริงๆ ผมเองก็ยังไม่พร้อมจะเจอปาร์คตัวเป็นๆ ด้วยแหละ เพราะมันทำให้เสียงปาร์คคุยโทรศัพท์ในวันนั้น และคำพูดบอกรักผู้หญิงคนนั้นมันกลับมาดังก้องในหัวผมอีกครั้ง ทั้งที่ผมพยายามจะลืมมันแทบขาดใจ

   มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่เจอปาร์คที่นี่ ผมไม่ได้ว่ามันแปลกที่ปาร์คจะมาที่นี่ แต่ที่แปลกคือทำไมปาร์คถึงอยู่ดึกขนาดนี้ แถมยังเหมือนรู้อีกว่าผมเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน เพราะห้องน้ำที่ผมเข้า มันเป็นห้องน้ำในส่วนของคาราโอเกะและโบว์ลิ่ง ซึ่งปกติถ้าคนไม่ได้มาโยนโบว์ล หรือร้องคาราโอเกะก็ไม่ค่อยมาเข้ากันเท่าไร แต่ทำไมปาร์คถึงมา

    “มาทำไรเนี่ย แล้วมากับใคร” ผมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่พยายามปั้นมันขึ้นมาเพื่อดึงให้บรรยากาศมันผ่อนคลายขึ้น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับปาร์ค กลับไม่มีแววตาล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

   “...” ปาร์คยังคงจ้องผมนิ่ง ผมกลัวสายตาที่จ้องมานั้นมากพูดตรงๆ มันเหมือนกับผมทำอะไรผิดมาอย่างไรอย่างนั้นแหละ

   “ปาร์คไม่สบายหรือเปล่า” ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะเอาหลังมือแตะที่หน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “โอ้ย! เจ็บนะปาร์ค!”

   แล้วอยู่ดีๆ ปาร์คก็จับข้อมือของผมที่ยื่นออกไปนั่นมาบีบไว้ด้านหน้าอย่างแรงจนผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เป็นบ้าอะไรเนี่ย! ผมเจ็บนะเว้ย!

   “ปากบอกว่าไม่ได้มีอะไร ไม่ได้คิดอะไร แต่การกระทำมันตรงกันข้ามหมดเลย!” ปาร์คตวาดผมเสียงแข็ง มือใหญ่ที่บีบข้อมือผมอยู่นั้นเพิ่มแรงกดมากขึ้นราวกับคีมเหล็กที่กำลังจะบดกระดูกผมให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

   “โอ้ย! ปาร์คปล่อยแขนฟร๊องก์ก่อน เจ็บ! แล้วปาร์คพูดเรื่องอะไร ฟร๊องก์ไม่เข้าใจ” ผมพยายามบิดแขนออกจากแรงบีบนั้น แต่มันกลับไม่มีผลใดๆ เลย ปาร์คกลับยิ่งเพิ่มแรงบีบมากขึ้นจนใบหน้าผมเหยเกเพราะแรงบีบดังกล่าว

   “หึ! หลอกคนอื่นนี่มันมีความสุขมากใช่ไหม! ถึงได้แกล้งตีหน้าซื่อได้ขนาดนี้!” เสียงปาร์คยังคงดังก้องในห้องน้ำนี้

   “ใครหลอกอะไร ปาร์คพูดเรื่องบ้าอะไร ฟร๊องก์งงไปหมดแล้วนะ! แล้วก็ปล่อย! ฟร๊องก์เจ็บ!” ผมยังคงไม่ลดละความพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากมือหนานั้น

   “ก็ไอ้เด็กเวรนั่นไง ทำไม! คบกับมันแล้ว! จะมาหลอกกันอีกทำไม!!!”

   “ฟร๊องก์ว่าปาร์คพูดไม่รู้เรื่องแล้วแหละ ไว้อารมณ์ดีๆ ค่อยมาคุยกันแล้วกัน” ผมเองก็หงุดหงิดแล้วเหมือนกัน มาถึงก็เอาแต่ตวาดใส่ผม ทั้งที่ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ปาร์คพูดเลยด้วยซ้ำ ใครหลอกใคร ผมเหรอที่หลอก? ลองถามตัวเองดีกว่าไหมว่าโกหกปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่า!

   “กูรู้เรื่อง! รู้ดีด้วย... แต่อยากจะรู้ว่าถ้าไอ้เด็กนั่นมันได้ของเหลือเดนจากปาร์คไป มันจะยังสนใจใยดีฟร๊องก์อยู่หรือเปล่า หึหึ” ปาร์คแสยะยิ้มมุมปากเหมือนกำลังสะใจอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะออกแรงกระชากผมให้เดินตามไปอย่างรุนแรง ไร้ความปรานี “มานี่!”

   “เจ็บนะปาร์ค! จะพาฟร๊องก์ไปไหน!” ผมพยายามสลัดข้อมือตัวเองให้หลุดจากการจับกุมนั้น ขณะที่ขาก็ก้าวตามคนช่วงขายาวนั้นไม่ทันจนแทบจะล้มหัวทิ่มตั้งหลายรอบ “เพื่อนๆ ฟร๊องก์ยังอยู่กันนะ”

   “เงียบ!” ปาร์คหันมาตวาดเสียงดัง จนคนที่เหลืออยู่เบาบางในห้างนั้นหันมามองเป็นตาเดียว ผมเองก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกกับเสียงตวาดนั้น ปาร์คไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แล้วตอนนี้เป็นอะไรกัน หัวใจผมเต้นแรงด้วยความกลัว พร้อมกับช่วงขาที่ต้องเร่งฝีเท้าให้ทันจังหวะก้าวขายาวๆ นั้นจนแทบจะวิ่ง ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ได้ล้มพับลงกับพื้น

   ในที่สุดปาร์คก็ฉุดกระชากลากถูผมมาจนถึงรถของมัน ก่อนจะเหวี่ยงผมเข้าไปโดยไม่สนว่าผมจะกระแทกกับอะไรบ้าง จนผมระบมไปทั้งตัว ผมจะเปิดประตูออกแต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อปาร์คขึ้นทางฝั่งคนขับก่อนจะกระชากแขนผมไปบีบไว้อย่างแรงอีกครั้ง จนผมต้องนั่งนิ่งอย่างยอมจำนน

   ผมนั่งบีบนวดข้อมือตัวเองเบาๆ เพื่อคลายความปวดที่เกิดจากแรงบีบก่อนหน้า พลางหันหน้าออกไปมองรถที่วิ่งไปมาอยู่บนท้องถนน โดยไม่สนใจคนข้างๆ แม้แต่น้อย

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น สงสัยเพื่อนจะโทรตามเพราะเห็นผมออกมานานแล้ว ผมจึงรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบออกมารับสายทันที อย่างน้อยอาจจะมีคนช่วยผมได้ในเวลาแบบนี้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะกดรับ ปาร์คก็คว้าโทรศัพท์ออกจากมือผมอย่างรวดเร็วก่อนจะโยนส่งๆ ไปที่เบาะหลัง

   “นี่!” ผมชักสีหน้าพร้อมกับทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจ ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อเอี้ยวตัวเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์

   “หยุด! แล้วนั่งดีๆ” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น พลางเหลือบมามองผมเล็กน้อย

   “...” ผมไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้นก่อนจะพยายามเอี้ยวตัวไปยังเบาะหลัง

   “อยากลองดีนักใช่ไหม!” อยู่ๆ ปาร์คก็หักพวงมาลัยมาจอดเทียบริมฟุตบาทโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ทำให้สีข้างผมกระแทกกับข้างเบาะอย่างแรงจากการหักพวงมาลัยกะทันหันนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะพุ่งมาบีบไหล่ทั้งสองของของผมกดไว้กับเบาะอย่างรุนแรง

   “จะทำบ้าอะไร! อุ๊บ!!” ผมตวาดปาร์คกลับด้วยความตกใจก่อนที่เสียงนั้นจะถูกกลืนหายไปด้วยริมฝีปากของอีกคนที่มาประกบริมฝีปากของผมอย่างรุนแรง

   ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบหนีใบหน้าคมคายนั้นที่กำลังทำร้ายผม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหันหนีไปไหนได้เมื่อปาร์คปล่อยมือจากไหล่ข้างหนึ่งของผมแล้วมากระชากท้ายทอยผมให้หน้าเชิดขึ้นรับสัมผัสอันป่าเถื่อนที่มอบให้ ปาร์คบดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างจาบจ้วงและไร้ความปรานี แต่ผมก็ไม่ยอมให้เรียวลิ้นนั้นล้วงล้ำเข้าไปข้างในได้ ผมเม้มปากสุดชีวิต แต่ปาร์คก็กัดเล็มริมฝีปากของผมจนผมรับรู้ได้ถึงความเจ็บจี๊ดๆ ของแผลที่เริ่มปริแตกที่มุมปากและรสคาวคุ้งของเลือด สุดท้ายก็เผลอเผยปากออกด้วยความเจ็บ ทำให้ปาร์คล่วงล้ำเข้ามาได้อย่างสมใจ

   ผมพยายามฝืนร่างและเกร็งตัวทุกวิถีทางเพื่อให้หลุดพ้นจากการกระทำอันโหดร้ายของคนตรงหน้า แต่มันกลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย เมื่อแรงที่ผมมีอยู่ไม่สามารถต่อสู้กับแรงอันมหาศาลของปาร์คได้เลย หนำซ้ำปาร์คยิ่งเค้นแรงกดที่ไหล่และท้ายทอยของผมมากขึ้น มันเจ็บเสียจนผมเริ่มชา

   เสียงโทรศัพท์ของผมยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่บทจูบที่รุนแรงก็ยังคงไม่สิ้นสุดเช่นกัน ผมเจ็บจนหยุดฝืนตัวเองแล้วปล่อยให้ปาร์คทำจนกว่าจะพอใจ แต่น้ำตาเจ้ากรรมดันไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมผิดอะไร ทำไมต้องทำกับผมรุนแรงแบบนี้ด้วย ผมพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลรินลงมา ผมไม่อยากให้ปาร์คเห็นน้ำตา และไม่อยากให้เห็นว่าผมเป็นคนอ่อนแอแล้วมาสมน้ำหน้าผมทีหลัง

   “บอกแล้วว่าอย่าลองดี! ถ้ายังไม่เข้าใจจะลองอีกก็ได้นะ” ปาร์คพูดขึ้นหลังจากถอนริมฝีปากออก ก่อนที่จะกระตุกยิ้มมุมปากราวกับกำลังสะใจกับสิ่งที่เพิ่งจะทำกับผม

   “พอใจแล้วใช่ไหม ถ้าพอใจแล้วจะได้กลับ!” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งงัน พร้อมกับจ้องตาคนตรงหน้าอย่างไม่ลดละ

   “หึ! มันยังไม่จบง่ายๆ หรอก นั่งดีๆ ซะอย่าให้ต้องพูดมากอีก ไม่งั้น... น่าจะรู้นะว่าจะเป็นยังไง” ปาร์คขู่เสียงเหี้ยม ก่อนจะกลับไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับเหมือนเดิม แล้วออกรถไปอย่างรวดเร็ว

   ผมนั่งนิ่งมาตลอดทางไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าปาร์คจะพาผมไปที่ไหน แต่ผมก็รู้อยู่แล้วแหละว่าคงหนีไม่พ้นคอนโดฯ เสียงโทรศัพท์ผมยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องจนปาร์คทนไม่ไหว ต้องจอดรถแล้วเอื้อมไปหยิบมากดปิดเครื่องเหมือนกับโทรศัพท์นั่นเป็นของตัวเอง แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก อยากทำอะไรก็เชิญ!

   ในที่สุดปาร์คก็พาผมมาที่คอนโดฯ ตามที่ผมคิด แต่ผมยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ผมไม่ได้หาเรื่อง แต่ผมไม่ได้เต็มใจจะมา!

   “ลงมา!” ปาร์คกระแทกเสียงใส่ผมหลังจากที่เดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งผมเรียบร้อยแล้ว

   ผมยังคงนั่งนิ่งไม่ใส่ใจกับเสียงดังกล่าว

   “โอ้ย! ปล่อย!” แต่มันยิ่งเหมือนเป็นการสาดน้ำมันใส่กองไฟให้มันโหมกระหน่ำขึ้น เมื่อปาร์คกระชากแขนผมลงจากรถจนแทบจะพยุงตัวไม่อยู่ แรงกระชากนั้นรุนแรงเสียจนตัวผมปลิวเข้าไปปะทะกับแผงอกแข็งแกร่งของปาร์ค

   “ปล่อย เดินเองได้!” ผมกระแทกเสียงกลับก่อนจะสะบัดมือออกจากการจับกุมนั้น แล้วผละออกจากตัวปาร์คทันที ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงละลายไปกับแผงอกและกลิ่นกายนั้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่ครับ ผมโกรธที่ปาร์คไม่มีเหตุผล แล้วที่สำคัญพาผมออกมาอย่างเหวี่ยงๆ บ้าบอแบบนี้ทั้งที่ผมไม่ได้บอกเพื่อนสักคำ แถมยังไม่รู้เหตุผลอีกต่างหากว่าโมโหใส่ผมเรื่องอะไร ตั้งแต่เจอกันก็เอาแต่ขึ้นเสียง และใช้กำลังกับผม ทั้งที่แต่ก่อนปาร์คไม่เคยเป็นแบบนี้เลย แล้วตอนนี้คืออะไร คนตรงหน้าผมใช่ปาร์คคนที่ผมรู้จักหรือเปล่า

   ตุ้บ!

   ทั้งที่ผมบอกว่าจะยอมเดินขึ้นมาเอง แต่สุดท้ายปาร์คก็ไม่ยอมทำตามที่ผมบอก กลับฉุดกระชากผมมาจนถึงห้อง ก่อนจะเหวี่ยงผมลงบนโซฟาอย่างแรง ถึงแม้ว่าผมจะโดนการกระทำจากเรี่ยวแรงอันมหาศาลก่อนหน้าแล้ว แต่มันยังเทียบไม่ได้กับแรงเหวี่ยงครั้งนี้เลย ผมเจ็บร้าวที่สีข้างไปจนถึงกระดูก

   ผมยังคงหาเหตุผลมาตอบตัวเองไม่ได้ว่าปาร์คกำลังโกรธแค้นผมเรื่องอะไร ถึงต้องทำกับผมขนาดนี้ แต่ถ้ามันจะหมายถึงการที่ผมจะคบหรือไม่คบกับทาร์ต แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปาร์คด้วย ในเมื่อ... ตัวเองก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว ปาร์คจะทำแบบนี้เพื่ออะไร หรือเห็นผมเป็นแค่ ‘ของเล่น’ ที่วันดีคืนดีก็เกิดหวงขึ้นมา

   “ไง มีความสุขเหลือเกินนะเวลาอยู่กับมัน” ปาร์คสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ พร้อมนัยน์ตาดุดันที่จ้องมาที่ผม จนผมต้องเริ่มขยับหนี ปาร์คตอนนี้เหมือนนักล่าที่พร้อมจะจัดการเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม!

   ปาร์คเดินมาถึงตัวผมแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากจะตอบคำถามไร้สาระ พาลชวนให้ทะเลาะที่ปาร์คถามขึ้นมานี้หรอก ถึงผมจะคบกับใครยังไงจริงๆ ทำไมผมจะต้องบอก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องบอกเลย ในเมื่อปาร์คเองยังไม่คิดที่จะบอกผมเลยแม้แต่น้อย แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมต้องหาทางเอาตัวรอดไปจากที่นี่ก่อน เพราะดูท่าทางปาร์คจะยากเกินควบคุมหรือทำให้ใจเย็นลงได้แล้ว

   “คิดว่าจะหนีรอดเหรอ!”

   ไวกว่าความคิดที่ผมจะหนีให้พ้นจากโซฟาตัวยาวนี้ ปาร์คโถมตัวลงมาคร่อมเบื้องบนของตัวผมได้แค่ช่วงเสี้ยววินาที ในที่สุดผมก็ตกอยู่ใต้อาณัติของร่างสูงด้านบนเป็นที่เรียบร้อย

   ปาร์คกดตัวผมให้ติดกับโซฟามากขึ้น ทั้งที่ผมพยายามผลัก ทุบ ทั้งจิก ทั้งข่วนคนตรงหน้า แต่มันกลับไม่ระคายผิวปาร์คเลยแม้แต่น้อย แต่ผมกลับได้รับการกระทำที่รุนแรง ป่าเถื่อนกลับมาแทน

   มือของผมทั้งสองข้างถูกรวบไว้เหนือหัวด้วยมือใหญ่ของปาร์คเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างของปาร์คก็มาบีบคางผมให้หันกลับมาสบตากับเขา แรงบีบนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหัว ผมพยายามกระเสือกกระสนหนีจากใต้อาณัตินี้ แต่มันกลับยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น... ผมรู้สึกแสบบริเวณแผลที่ข้างริมฝีปากเหมือนมันถูกย้ำให้ปริแตกขึ้นกว่าเดิม

   ผมมองลึกลงไปยังดวงตาคมสีดำสนิทนั้น ดวงตาที่เคยมองผมด้วยความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด บัดนี้กลับมีเพียงเปลวเพลิงแห่งความโกรธเคือง

   “ปาร์คคิดว่าฟร๊องก์จะเข้าใจความสัมพันธ์ของเราหลังจากวันนั้นแล้วนะ ว่าเราเป็นอะไรกัน แล้วทำไมถึงยังไปยุ่งกับไอ้หมอนั่น หรือต้องให้ปาร์คย้ำอีกสักกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ!”

   “หึ! ความสัมพันธ์ของเราเหรอปาร์ค อะไรล่ะ?... ในเมื่อเรื่องของเรามันไม่มีอะไรเกินกว่าคำๆ หนึ่งเลย! เพื่อนไง! นั่นคือสถานะของเราสองคนไม่ใช่เหรอ!” ผมตวาดกลับอย่างเดือดดาลแม้จะพูดได้อย่างไม่ถนัดนักเนื่องจากแรงบีบร้าวที่ช่วงกราม พร้อมกับใช้แววตาวาวโรจน์จ้องปาร์คอย่างไม่หวั่นเกรง ถึงตรงนี้ผมไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว เพราะอย่างไรซะ สักวันเรื่องของเราก็ต้องชัดเจนอยู่ดี แต่อยู่ที่เราจะทำให้มันดีขึ้นหรือแย่ลง

   “เพื่อนงั้นเหรอ! นี่แกล้งโง่หรืออะไรกันแน่ฟร๊องก์! ต้องการอะไร ต้องการยั่วปาร์ค? ต้องการเรียกร้องความสนใจเหรอ นี่ไงปาร์คสนใจฟร๊องก์แล้ว ปาร์คหัวเสียแล้วนี่ไง! พอใจหรือยัง!?!”

   “ฟร๊องก์ไม่ได้โง่หรอก แต่ฟร๊องก์แค่รู้ธาตุแท้ของใครบางคนมากกว่า สนุกมากไหมที่เล่นกับความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้... ฟร๊องก์ไม่น่าหลงผิดไปรักคนอย่างปาร์คเลย”

   “หลงผิด... หึ! ถ้าไม่หลงผิดก็คงเป็นไอ้เด็กนั่นสินะ!” แรงบีบที่คางผมเพิ่มมาขึ้นจนใบหน้าผมเหยเกอย่างเจ็บปวด ดวงตาสั่นระริก ทำนบน้ำตาที่รั้งอยู่ที่ขอบตาพร้อมที่ไหลรินลงมาทุกเมื่อ ผมมองลึกลงไปที่นัยน์ตาคมของอีกคน เพื่อเรียกร้องหาความอ่อนโยน ของแค่นิดเดียวเท่านั้น แค่สักนิดที่ปาร์คจะอ่อนโยนกับผม... แต่มันกลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย

   “ใช่! ก็ในเมื่อน้องเขาดีกับฟร๊องก์ขนาดนั้น แล้วมันได้เวลาที่ชีวิตจะต้องเริ่มใหม่แล้ว ใครจะอยากมา ‘จมปลัก’ อยู่แต่กับคนเดิมๆ สิ่งเดิมๆ” ผมโพล่งออกไปเพียงหวังว่าเมื่อปาร์คได้รับรู้และตระหนักคิด จะได้ปล่อย... ปล่อยให้ผมไปตามทางของผม ผมเหนื่อยมากเกินพอแล้ว มากเกินกว่าที่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว

   “ดี! งั้นปาร์คก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้ามันรู้ว่าได้ของที่ปาร์คกินเหลือซ้ำแล้วซ้ำอีก มันจะยังรับได้ไหม” ปาร์คพูดเสียงเย็นเฉียบจนน่าขนลุก พร้อมยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

   “จะ... จะทำอะไร!” ผมถามเสียงสั่น ผมรู้ดีถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ผมจะหนีรอดออกไปได้อย่างไร!

   “น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ หึหึ”

   “อย่าาา!!! อุ๊บ!!”

   ปาร์คปิดปากผมด้วยริมฝีปากบางของเขา รุนแรงและป่าเถื่อน ผมพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ลิ้นของปาร์คล่วงล้ำเข้ามาได้ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ปาร์ครุกหนักขึ้นๆ จนแผลเริ่มปริอีกครั้งจากคมเขี้ยวของปาร์ค ทำให้ผมต้องยอมเผยอริมฝีปากออกด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่เต็มใจ

   ผมเบือนหน้าหนีการสัมผัสอย่างหื่นกระหายของปาร์ค ที่ละออกจากริมฝีปากของผมไปซุกไซร้ที่ลำคอแทน จนผมแสบไปทั่วผิวหนัง รอยจ้ำแดงพวกนี้มันคงเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงการกระทำอันโหดร้ายและการตีตราร่างกายของผม ถึงตอนนี้ผมนอนนิ่ง ปล่อยให้ปาร์คแทะโลมร่างกายผมได้ตามอำเภอใจแล้ว มันทำให้ผมรับรู้ว่า สำหรับปาร์คแล้ว มันคงต้องการแค่ร่างกายของผม... แค่นั้น

   “ยอมแล้วรึไง ไม่ดิ้นต่อล่ะ” ปาร์คผละริมฝีปากที่ซอกซอนไปทั่วทั้งใบหน้าและลำคอของผม แล้วเงยขึ้นมาถากถางผมด้วยสายตาแสนเหยียดหยาม

   “...” ผมเลือกที่จะนิ่งไม่ตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น

   “ทำไม! ต้องเป็นไอ้เด็กนั่นหรือไง ห๊า!!!”

   “ปล่อย! ทำไมล่ะ ในเมื่อปาร์คเองยังมีคนอื่นอยู่แล้วเลย! เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะปาร์ค แล้วปาร์คจะทำแบบนี้เพื่ออะไร! ทำทำไมกัน!!” ผมตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง น้ำตาผมยังหลั่งไหลออกมาไม่หยุด หัวใจของผมถูกย้ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

   “งั้นปาร์คจะย้ำให้ฟร๊องก์ได้รู้เอง จะได้จำไว้ว่าเราเป็นอะไรกัน!!!” ปาร์คกัดฟันเสียงเข้ม พร้อมกับสายตาที่แสนเลือดเย็นนั้นจ้องมาที่ผมอย่างเดือดดาลราวกับผมทำอะไรผิดใหญ่หลวงไว้กับเขา แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความใจดำอำมหิตที่เขามอบให้

   “ปล่อยกูนะ!! ปล่อย!!!” ผมกรีดร้องสุดเสียงเพื่อหยุดการกระทำป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์ของปาร์ค ผมดีดดิ้นอย่างสุดแรงเพื่อให้หนีพ้นจากกรงเล็บและคมเชี้ยวนี้ แต่มันยิ่งทำให้พันธนาการของคนตรงหน้าแน่นหนามากขึ้น

   ผมผิดด้วยหรือไง ถึงต้องมารองรับเรื่องแบบนี้!

   เสียงหวีดร้องแทบขาดใจด้วยความเจ็บปวดของผม ไม่ได้กระตุ้นจิตสำนึกของปีศาจตรงหน้าเลย ในใจผมได้แต่ภาวนาว่าให้มันจบไป และตื่นมาขอให้มันเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น ขอให้ผมได้เจอกับปาร์คที่แสนดีของผมคนเดิมเสียที... 


à suivre...

เราเชื่อว่าจบตอนนี้ คนจะรุมด่า รุมทึ้ง รุมกระทืบ รุมเกลียดปาร์คหนักกว่าเดิม แน่นอน!!!
แต่งมาจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนแบบปาร์คกำลังคิดอะไรกันอยู่แน่ 555+
ส่วนฟร๊องก์ เราเองก็ไม่เคยเป็นถึงขั้นนี้นะ แต่ก็พยายามไปให้มันสุดโต่งไปเลย เท่าที่คนๆ หนึ่งจะทำได้

นิยายมึนๆ ตัวละครมึนๆ คนแต่งก็มึน อย่าว่ากันนะฮะ 55555555+
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 27 P.4 [21/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-06-2017 20:56:26
เหี้ยจริงๆ ตัวเองมีคนอื่นได้ แต่คนอื่นมีไม่ได้ ความจริงมึงต้องอธิบายว่าไอ้ผู้หญิงคนนั้นคือใคร ไม่ใช่มึงมาขมขื่นฟร๊องก์แบบนี้ เหี้ยมากๆ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 27 P.4 [21/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-06-2017 00:35:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 27 P.4 [21/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-06-2017 23:10:17
ยังจะมีหน้าโผล่มาทำเรื่องเลวทราม
ต่ำช้ายิ่งกว่าเหี้ยอีกนะเมิงไอ่ปาร์ค

ไม่อยากจะด่าเมิงอีกแล้ว
ไอ่สึด
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 27 P.4 [21/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 24-06-2017 17:44:16
ซาดิสดีชอบๆ เอาอีก แรงๆ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 28 [29/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 29-06-2017 20:29:29
Chapitre 28

   “อื้อ...” ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว ปวดตามเนื้อตัวและสะโพกอย่างรุนแรง ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดพยุงตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เมื่อคืนผมจำได้แค่ ผมถูกย่ำยีของน้ำมือของคนที่ผมรักมากที่สุด ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนผมเองก็ทนไม่ไหว ก่อนที่สติผมจะดับลงไป แต่ก็ดีแล้วแหละที่ผมสลบไปแบบนั้น จะได้ไม่ต้องทนเห็นและรับรู้ความรู้สึกที่เจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจแบบนั้นอีก

   ร่างกายที่เปลือยเปล่าปรากฏร่องรอยการกระทำอันป่าเถื่อนที่เกิดขึ้น ตอกย้ำผมว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และผมก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพียงแค่ต้องก้มหน้ายอมรับมัน ใช่ผมยอมรับว่าเมื่อคืนผมก็มีส่วนผิดที่ผมปล่อยให้อารมณ์นำพาไป แต่ความโหดร้ายป่าเถื่อนในตอนแรก ผมไม่ได้ต้องการมัน รวมทั้งความผิดบ้าๆ ที่ปาร์คยัดเยียดมาให้ผมอีก แต่ผมไปต่อไม่ไหวแล้ว ผมบอบช้ำมากเกินจะทนไหวแล้ว และผมควรจะหยุดมันสักที

   เรื่องของผมกับปาร์ค ที่ผมคิดไว้ว่าอย่างน้อยเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม มันพังทลายลงแล้ว ในตอนนี้ผมไม่เหลือความรู้สึกดีๆ อีกต่อไปแล้ว แม้แต่คำว่าเพื่อนผมก็ทำใจยอมรับมันไม่ได้!

   ความรู้สึกดีๆ ที่ค่อยๆ สะสมมาเนิ่นนาน กลับถูกทำลายได้ง่ายๆ ด้วยการกระทำสุดเลวทรามแค่ครั้งเดียว!

   “หึหึ” ผมหัวเราะเยาะกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นี่หรือเปล่าที่ผมต้องการมาตลอด อยากได้ อยากครอบครองไม่ใช่เหรอ นี่ไง! ผมได้แล้ว ทั้งที่คิดมาตลอดว่าครั้งแรกของเรามันเกิดขึ้นจากความรู้สึกดีๆ แล้วมันจะค่อยๆ พัฒนาความรักของเราสองคนขึ้นได้เรื่อยๆ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เลย มันทำให้ผมรู้เลยว่าจริงๆ แล้วมันเป็นเพราะปาร์คแค่อยากเอาชนะคนอื่นๆ ด้วยการได้ครอบครองและประกาศตัวว่าเป็นเจ้าของร่างกายผม ใช้ความรักและหวังดีที่ผมมีให้ มาทำร้ายตัวผมได้อย่างโหดเหี้ยมและเลือดเย็น

   หัวใจดวงนี้หมดแรงที่จะวิ่งตามความรักต่อแล้ว มันแทบไม่เหลือแรงที่จะเต้นต่อแล้วด้วยซ้ำ...

   ผมนั่งหลับตาอยู่แบบนั้นสักพัก ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดที่ไหลรินออกมา แม้ในใจมันจะจุกจนแทบระเบิด แต่ผมกลับรู้สึกเสียดายที่จะร้องไห้คร่ำครวญกับมันอีก ผมแค่อยากปล่อยให้มันผ่านไป เป็นแค่ความทรงจำสุดขมขื่นแล้วลืมมันในที่สุด เมื่อคืนผมร้องไห้อ้อนวอนขอความเมตตาจากอีกคนๆ นี้มามากเกินพอแล้ว

   ต่อจากนี้เรื่องทุกอย่างจะจบ ผมจะเป็นฝ่ายไปเอง ระหว่างผมกับปาร์ค จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ผมจะจำแค่เรา ‘เคย’ เป็นเพื่อนกัน แต่ต่อไปนี้ เราก็แค่คนแปลกหน้าที่รู้จักกันเท่านั้น

   “ตื่นแล้วเหรอ ไปล้างหน้าแล้วออกไปกินข้าว ทำข้าวต้มไว้ให้ เดี๋ยวจะได้กินยา” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงของเจ้าของห้องดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาใบหน้านั้นด้วยสายตาเย็นชา และเก็บอาการเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิดใจ ไม่แสดงออกใดๆ ให้อีกฝ่ายรับรู้

   ผมไม่ตอบอะไร ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งอย่างอ่อนล้า ผมไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียงของคนๆ นี้! ผมอยากออกไปให้พ้นๆ จากห้องๆ นี้แล้วจะไม่เหยียบกลับมาอีก!!

   “ฟร๊องก์! พูดไม่ได้ยินหรือไง!” หึ! คนที่ผมรู้จักมาตั้งนานหลายปี แต่ผมกลับดูไม่ออกถึงตัวตนที่แท้จริงเลย นี่สินะคงเป็นตัวตนจริงๆ ของผู้ชายตรงหน้าผมนี้ เก่งเนอะ! หลอกให้ผมเชื่อว่าดี หลอกให้ผมรักซะสนิทใจเลย

   ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบกลับใดๆ จากผม เว้นแต่เพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ผมยังคงนั่งหลับตาโดยมีผ้าห่มคลุมร่างกายที่เปล่าเปลือยอยู่แบบนั้น

   “ต้องให้จัดการอีกรอบไหม ถึงจะคุยกันดีๆ ได้!” เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ปาร์คที่ตอนผมลืมตาขึ้นมองยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน ก็พุ่งเข้ามากระชากแขนผมจนตัวผมปลิวตามแรงนั้นจนอะไรต่อมิอะไรเกือบโผล่พ้นจากผืนผ้าที่เป็นปราการชิ้นเดียวที่ผมมีในตอนนี้

   “ยังมีอะไรต้องคุยกันอีกงั้นเหรอ” ผมลืมตามองปาร์คด้วยสายตาที่เย็นชาที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มองใครๆ มา ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งไม่ต่างกัน

   “อย่ากวนกันตั้งแต่เช้านะฟร๊องก์! อยากลองดีอีกหรือไง!” ปาร์คพูดเสียงเหี้ยม จ้องหน้าผมจนแทบจะกลืนหัวอยู่แล้ว แรงบีบที่แขนก็เพิ่มมาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ไม่ใช่ไม่เจ็บ แต่มันเจ็บเกินกว่าที่ผมจะดิ้นรนแล้วต่างหาก

   “ปล่อยสิ จะได้ไปเข้าห้องน้ำ” ผมสะบัดแขนเล็กน้อยให้หลุดออกจากการจับกุม ก่อนจะผลักอกปาร์คให้ถอยออกไป แล้วกัดฟันลุกออกจากเตียงอย่างยากลำบากไปคว้าผ้าขนหนูโดยไม่อายเลยแม้แต่น้อยว่าร่างกายของตัวเองกำลังเปลือยเปล่าอยู่ หึ! ยังมีอะไรต้องอายอีกเหรอ ในเมื่อเราถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แถมยังไม่ใช่ครั้งแรกอีกต่างหาก!

   ผมใช้เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ที่หมกตัวอยู่ในห้องน้ำ ความเข้มแข็งที่พยายามแสดงออกมาต่อหน้าปาร์คก่อนหน้าทั้งหมดพังทลายเมื่อร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงกระทบกับสายน้ำเย็นเฉียบที่ไหลลงมาจากฝักบัว ผมปล่อยตัวลงนั่งกอดเข่า ขดตัวร้องไห้อยู่แบบนั้นทั้งที่ห้ามตัวเองแทบตายว่าจะไม่ร้องไห้อีก แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้

   มันมีหลายความรู้สึกเกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ ทั้งเสียใจ ทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง ทุกอย่างมันมาสุมรวมกันจนผมไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในวันหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

   วันที่คนที่เรารักที่สุด... ทำให้เราเจ็บที่สุดเช่นกัน

   ก๊อก! ก๊อก!... ก๊อก!

   เสียงเคาะประตูรัวๆ จากด้านนอกพร้อมกับเงาของร่างสูงที่สะท้อนกับประจกขุ่น ทำให้ผมต้องปาดน้ำตาตัวเองอย่าลวกๆ แล้วล้างหน้าล้างตาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะพันผ้าขนหนูก้าวออกมาจากห้องน้ำ

   ผมเบี่ยงตัวหลบปาร์คที่ยืนขวางประตูอยู่โดยไม่สนใจว่าปาร์คจะทำหน้าอย่างไร จะมองผมอยู่ไหม แต่ผมกำลังทำเหมือนว่าไม่มีเขายืนอยู่ตรงนั้น

   “แต่งตัวเสร็จแล้วออกไปกินข้าวข้างนอกนะ อย่าให้ต้องเข้ามาตามอีกไม่งั้นข้าวก็ไม่ต้องกินมันหรอก!” ปาร์คพูดกระแทกเสียงในตอนท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เสื้อผ้าชุดใหม่ของปาร์คถูกนำมาวางบนเตียงเพื่อรอให้ผมใส่ แต่ผมกลับกวาดสายตามองหาเสื้อผ้าของผมเอง ซึ่งมันอยู่ในตะกร้าผ้าที่จะนำไปซัก ผมจึงหยิบมันมาใส่ แม้ว่าเสื้อนิสิตของผมจะยับยู่ยี่และกระดุมบางเม็ดขาดหายไปจนสภาพดูไม่ได้แค่ไหนก็ตาม แต่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องใส่ชุดของปาร์ค ในเมื่อผมไม่ได้ต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อ

   ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หลังจากนำผ้าเช็ดตัวไปตากผมก็มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง และไปสะดุดกับกีต้าร์ตัวน้อยที่ผมให้เจ้าของห้องเมื่อวันเกิด และของขวัญต่างๆ ที่เคยให้ในตู้กระจก ผมมองมันด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยก็เคยมีช่วงเวลาดีๆ เกิดขึ้นระหว่างผมกับปาร์ค และต่อไปผมจะเลือกจดจำแค่เพียงเรื่องดีๆ เท่านี้ จากนี้ไป... ขอให้ทางใครทางมัน

   “ทำไมใส่ชุดนี้!” ยังไม่ทันที่ขาผมจะก้าวผมประตูห้องนอน ปาร์คก็ถามผมเสียงแข็ง แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ผมอยากกลับไปที่ของผมแล้ว ของผมเองไม่มีอะไรติดตัวมาอยู่แล้ว แม้แต่โทรศัพท์ก็อยู่ในรถปาร์ค    
 
   “ก็ไม่ได้จะอยู่ต่อ”

   “เปลี่ยนชุดแล้วมานั่งกินข้าวดีๆ ถ้าจะกลับเดี๋ยวไปส่ง” ปาร์คเลื่อนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารออก ก่อนจะตบมันปุๆ เพื่อเรียกให้ผมไปนั่ง

   “ช่วยไปเปิดรถเอาโทรศัพท์ให้ด้วย” ผมยังคงพูดต่อโดยไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ปาร์คกำลังทำ

   “บอกให้มากินข้าว!”

   “...” ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผมไม่อยากกิน แต่ผมอยากกลับ!

   “ฟร๊องก์!”

   “พอเถอะปาร์ค! ให้ทุกอย่างมันจบลงเถอะ!” ในที่สุดผมโพล่งออกไปด้วยความทนไม่ไหว

   “เรามานั่งคุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม” ปาร์คลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวมายังตัวผม

   “ยังมีอะไรต้องคุยอีกเหรอ มันจบแล้วปาร์ค มันจบตั้งแต่ปาร์คกระทำกับฟร๊องก์อย่างป่าเถื่อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!” ผมตะเบงเสียงออกไปด้วยความโกรธจนเนื้อตัวสั่นเทา ต้องการอะไรจากผมอีก! จะเอาอะไรจากผมอีก! ผมไม่เหลืออะไรให้ปาร์คย่ำยีอีกแล้ว ทั้งร่างกายและหัวใจของผม ปาร์คก็ทำร้ายมันจนยับเยินหมดแล้ว จะเหลือก็แค่วิญญาณ...

   “ไม่! มันไม่จบหรอกฟร๊องก์!” ปาร์คขึ้นเสียงแข็งแต่กลับดูสั่นเครือ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอด
 
   ผมยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดนั้น อ้อมกอดที่ไม่มั่นคง อ้อมกอดที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น อ้อมกอดที่คนกอดยังไม่แน่ใจในความรู้สคกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ!

   “มันจบแล้วปาร์ค มันไม่ใช่แค่เพราะสิ่งปาร์คทำกับฟร๊องก์เมื่อคืนอย่างเดียวหรอก แต่ทั้งที่ปาร์คมีคนของปาร์คอยู่แล้ว จะมาให้ความหวัง จะมารั้งฟร๊องก์ไว้ทำไม ปาร์คมีคนอื่นอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ปล่อยฟร๊องก์ไป...” ผมพูดทั้งน้ำตา ขณะที่ปาร์คกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นราวกับจะบอกเป็นนัยกับผมว่าไม่มีทางปล่อยผมไป

   “ฟร๊องก์... พูดเรื่องอะไร”

   “ผู้หญิงคนนั้นไง คนที่ชื่อเกล ที่ปาร์คไปเดินซื้อของด้วยตอนนั้น ที่ปาร์คคุยโทรศัพท์บอกรักในคืนนั้น ผู้หญิงคนนั้นไงปาร์ค! คนที่ปาร์คกำลังคบกันอยู่ไง!” ผมผละตัวเองออกจากอ้อมแขนของปาร์คอย่างแรงจนเจ้าตัวถอยเซไปหลายก้าว ก่อนที่ผมจะได้ทันเห็นสายตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ยังจะมีข้อแก้ตัวอีกไหมล่ะ!

   “ฟะ... ฟร๊องก์... คือ...” น้ำเสียงสั่นเครือของปาร์คเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด โดยที่เจ้าตัวไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆ  ก่อนที่เขาจะพยายามเดินกลับมาคว้ามือทั้งสองของผมไปกุมไว้

   “ปาร์คมีเขาอยู่แล้ว แล้วจะดึงฟร๊องก์เข้าไปเกี่ยวอีกทำไม หรือเพราะเห็นว่าฟร๊องก์รัก เห็นว่าฟร๊องก์ไม่ไปไหน เลยหลอกปั่นหัวฟร๊องก์เล่น พอเบื่อแล้วก็รอวันที่จะเขี่ยทิ้ง! ปาร์คแค่อยากเอาชนะฟร๊องก์ อยากจะแค่ครอบครองฟร๊องก์สินะ!” แต่ยังไม่ทันที่ปาร์คจะได้กุมมือผม ผมกลับสะบัดมันออกอย่างไม่ใยดี

   “ม่ะ... ไม่ใช่เลยนะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะฟร๊องก์ ฟังปาร์คอธิบายก่อน” แต่ปาร์คก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะจับมือของผม

   “ฟังงั้นเหรอ... แล้วเมื่อคืนทำไมไม่ฟังฟร๊องก์บ้างล่ะ! ไม่ต้องพูดอะไรหรอกปาร์ค มันจะยิ่งทำให้ฟร๊องก์เกลียดและสะอิดสะเอียนปาร์คมากขึ้น ปล่อยให้เรื่องของเรามันจบเถอะนะ ฟร๊องก์จะไม่ลืมว่าเราเคยมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน จะไม่ลืมว่าเราเคยเป็น ‘เพื่อน’ ที่ดีต่อกันและกันแค่ไหน ส่วนต่อจากนี้ไป... ฟร๊องก์ขอให้เราอย่ามาเจอกันอีกเลย ถ้ายิ่งทำเป็นไม่รู้จักกันเลยได้ยิ่งดี” ผมพูดด้วยรอยยิ้มทั้งที่หยาดน้ำตายังไหลรินออกมาไม่หยุด รอยยิ้มที่เป็นเหมือนเล่มมีดที่แหลมคมกรีดลึกลงไปยังรอยแผลที่หัวใจ ตอกย้ำความเจ็บปวดของตัวผมเอง

   “ไม่! ปาร์คทำไม่ได้! ปาร์คจะไม่ยอมปล่อยฟร๊องก์ไปแน่!” ปาร์คเข้ามารวบตัวผมไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง อ้อมกอดที่ไม่เหลือแม้ความอบอุ่นเลยสักนิด

   “แล้วปาร์คยังจะเอาอะไรจากฟร๊องก์อีก ฟร๊องก์ไม่เหลืออะไรให้ปาร์คย่ำยีอีกแล้ว หัวใจ รวมทั้งร่างกายของฟร๊องก์ในวันนี้มันป่นปี้หมดแล้ว มันยับเยินจนไม่เหลือชิ้นดีอีกแล้ว...” ผมออกแรงผลักปาร์คอีกครั้งเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ เลิกกักขังผมไว้สักที ถ้าไม่ได้คิด ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม แถมยังมีคนของตัวเองอยู่แล้ว ก็ปล่อยผมไปสักที! “... ฟร๊องก์ขอให้ปาร์คมีความสุขกับผู้หญิง ‘ที่ปาร์คเลือก’ นะ”
 
   ปาร์คยืนก้มหน้านิ่งตรงหน้าผม ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากการสะอื้น ส่วนผมเองก็ยืนนิ่งปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่อายเช่นกัน ร้องซะให้เต็มที่ ในเมื่อได้พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไปหมดแล้ว อนาคตจะเป็นอย่างไรผมไม่รู้หรอก ไม่รู้หรอกว่าจะต้องทรมานไปอีกนานแค่ไหน แม้จะอยากลืมปาร์คมากแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ตัวผมเองจะทำได้อย่างที่ตัวเองพูด
 
   เราต่างคนต่างยืนสงบสติอยู่สักพัก ก่อนที่ผมจะขอให้ปาร์คพาไปเอาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในรถ ปาร์คก็ยอมลงไปแต่โดยดีแต่มีข้อแม้ว่าผมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน และขอร้องว่าจะไปส่งผม ตอนแรกผมก็ปฏิเสธไป แต่ปาร์คก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะไปส่ง ผมจึงเลี่ยงการปะทะและจำใจยอมตามความต้องการของปาร์ค ผมเหนื่อยเต็มทีแล้ว

   ในที่สุดปาร์คก็มาส่งผมที่หอ ผมไม่อยากกลับไปให้แม่เห็นสภาพที่น่าตกใจเช่นนี้หรอก ไม่งั้นแม่คงพลอยไม่สบายใจไปด้วย ก่อนที่ผมจะลงจากรถ ปาร์คขอกอดผมอีกครั้งด้วยข้ออ้างเดิม ผมก็ยอมเช่นเดิม อย่างน้อยมันก็เป็นการปลอบใจตัวเองและรับไออุ่นสุดท้ายของคนที่ผมเคยรักมากที่สุด เพราะจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว

   ทันทีที่ผมก้าวลงจากรถ ผมก็รีบเดินเข้าไปในตัวตึกเท่าที่เรียวแรงตัวเองจะทำได้โดยไม่ได้เหลียวกลับมามอง แต่จริงๆ แล้วผมกลับมาแอบมองที่หลังเสา รถของปาร์คยังคงจอดสนิทอยู่นานกว่าสองนาที ก่อนที่จะค่อยๆ แล่นออกไป มันเหมือนเรื่องของผมกับปาร์คที่ค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ เช่นกัน...
ลาก่อนความรักของผม...

**********__________**********

   ผมหอบสังขารที่อ่อนแรงของตัวเองเข้าไปในหอ เห้อ... ลืมไปว่ากระเป๋าตังค์ที่มีบัตรสแกนเข้าประตูกับกุญแจห้องอยู่ในกระเป๋าเป้ ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ใครก็ไม่รู้ ตังค์ก็ไม่มีติดตัวสักบาท สงสัยต้องขอบัตรกับกุญแจสำรองจากลุงเจ้าของหอเอาไว้ แล้วบอกว่าขอติดค่ายืมไว้ก่อน ลุงกับผมค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตากันครับ ผมคุยกับแกบ่อย ไม่น่าจะมีปัญหา เดี๋ยวขึ้นห้องไปค่อยโทรถามว่ากระเป๋าผมใครเก็บไว้ให้ แต่คงไปเอาวันจันทร์โน้นแหละ

   แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดครับ ลุงเขาก็ให้ผมยืมบัตรเข้าออกหอ แล้วก็กุญแจสำรองให้ผมติดตัวไว้ก่อน แต่แน่นอนว่างกๆ แบบลุงก็คิดเงินเป็นธรรมดา แถมคิดเป็นรายวันอีกต่างหาก เขาบอกว่าลุงลดให้พิเศษเลยนะ ปกติเขาจะเก็บหนึ่งร้อย แต่เขาลดให้ผมเหลือวันละห้าสิบบาท ไม่รู้เพราะสภาพของผมที่ดูน่าสงสารนี่ด้วยหรือเปล่า ผมแทบจะหมอบกราบเลย แหม! เค็มเขี้ยวลากดินขนาดนี้ แต่ทำไงได้ล่ะ ผมก็ต้องก้มหน้าก้มตาขอบคุณลุงเขาไปตามมารยาท เพราะผมจำเป็นนิ ไม่งั้นจะเข้าห้องได้ไง

   ผมขึ้นลิฟต์มาอย่างเหน็ดเหนื่อย ภาพของปาร์คที่กอดผมบนรถก่อนหน้า ความรู้สึกในอ้อมกอดนั้นมันย้อนกลับมาทำให้ผมคิดถึงในระยะเวลาอันสั้น ทั้งที่มันเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนหน้าด้วยซ้ำ แค่นี้ผมยังคิดถึงขนาดนี้ แล้ววันต่อไปที่ผมไม่มีปาร์คแล้วจริงๆ ผมจะอยู่ไหวไหม

   “กะ... เก็ท” เมื่อไขประตูห้องเข้าไป ผมถึงกับอุทานด้วยความตกใจจนแทบล้มทั้งยืนเมื่อพบเก็ทนั่งดูทีวีอยู่บนเตียงภายในห้องผม ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ หันมามองผมด้วยสายตาเย็นชาดั่งเช่นปกติ

   “...” คนที่บุกรุกเข้ามาในห้องของผมโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา แต่สายตายังคงจับจ้องมาที่ผมราวกับกำลังสำรวจร่างกายบอบช้ำที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าที่สวมอยู่ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

   “มาได้ไง” หลังจากที่สตั๊นอยู่สักพัก วิญญาณผมก็กลับเข้าร่างอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาเก็ท

   “อ่ะ” เก็ทส่งกระเป๋าเป้ที่วางไว้ข้างตัวส่งให้ผม ที่แท้เก็ทก็เป็นคนเก็บให้ผมนี่เอง แต่เล่นเอามาให้แบบนี้ ผมว่ามันดูรบกวนและลำบากไปหน่อย อีกอย่างผมไม่พร้อมจะเจอใครในสภาพแบบนี้จริงๆ

   “ขอบใจนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องลำบากเอามาให้”

   “หายไปไหนมา” น้ำเสียงเรียบเฉยเปล่งออกมาเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่คำถามนั้นกลับยิงเข้าเป้าเต็มๆ
 
   “เอ่อ... คือ... บังเอิญมีธุระนิดหน่อย” ผมตอบเสียงแผ่ว พลางยิ้มแห้งๆ เพื่อปิดพิรุจ แต่คงไม่ได้แล้วมั้ง เมื่อคิ้วของเก็ทขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแบบนั้น

   “ธุระ? รีบมากถึงขนาดลืมของหมดเลยน่ะเหรอ ธุระแล้วทำไมสภาพที่กลับมาถึงดูไม่ได้ขนาดนี้” เก็ทลุกจากเตียงก่อนจะสาวเท้าเข้ามาหาผมอย่างไม่เร่งรีบนัก
   “เอ่อ...”

   “ธุระที่ว่า... รวมถึงรอยพวกนี้ด้วยหรือเปล่า” เสียงเก็ทยังคงไม่ต่างไปจากตอนแรก ตอนนี้เจ้าตัวเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของผมแล้ว ก่อนที่มือหนานั้นจะยกขึ้นมาแหวกปกคอเสื้อของผมออก เผยให้เห็นรอยจ้ำแดงทั่วทั้งลำคอ ยิ่งแหวกกว้างขึ้น รอยยิ่งมากขึ้นและที่อยู่ลึกลงไปในเสื้อผมก็ยิ่งเผยออกมามากขึ้นเช่นกัน

   “กะ... เก็ท” ผมเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่น ริมฝีปากสั่นระริกและร่างกายที่เริ่มสูญเสียการทรงตัวจนเก็ทต้องรีบคว้าตัวผมไปประคองไว้

   “ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ ไม่เข้าใจอะไรกัน” ร่างผมสั่นกระเพื่อมตามจังหวะสะอื้นอยู่ภายในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของเก็ท ไออุ่นของร่างกายกำยำส่งผ่านมายังผมจนตัวผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและมั่นคง ต่างจากอ้อมกอดที่ผมได้รับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

   “ฟร๊องก์ก็ไม่รู้เก็ท จู่ๆ ปะ... ปาร์คก็โผล่มา โวยวายใส่จนฟร๊องก์งงไปหมด แล้วก็ทำร้ายฟร๊องก์ราวกับฟร๊องก์ไม่ใช่คน เขาทำแบบนี้ทำไมเก็ท ทำทำไม...” ผมปล่อยโฮออกมาระลอกใหญ่ในอ้อมกอดนั้น ผมไม่มีแรงแม้แต่จะยืนด้วยตัวเอง ผมเจ็บเหลือเกิน เจ็บที่ถูกทำร้ายอย่างไร้ความปรานีโดยคนที่ผมรัก

   “...”

   “ทั้งที่ปาร์คก็มีคนๆ นั้นอยู่แล้ว ทำไมปาร์คต้องทำเหมือนรู้สึกอะไรกับฟร๊องก์ ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนหึงหวงฟร๊องก์ ทั้งที่ความรู้สึกเหล่านั้นมันไม่เคยมีอยู่จริง”

   “...”

   “ทั้งที่รู้ว่าฟร๊องก์รักมากขนาดไหน ทำไมถึงทำกับฟร๊องก์ได้ลงล่ะเก็ท เป็นเก็ทจะทำกับคนที่รักเราได้ลงคอเหรอ ปาร์คเคยบอกว่ารักฟร๊องก์เหมือนกัน แล้วทำไมถึงทำกับคนที่รักแบบนี้ล่ะ ทั้งหลอกฟร๊องก์ทั้งที่คบกับคนอื่น แถมยังทำร้ายฟร๊องก์อีก ฮือ...”

   “คนรักกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกนะฟร๊องก์ เว้นแต่... เขาไม่ได้รักฟร๊องก์จริงๆ”

   “หึหึ แสดงว่าที่ผ่านมา ฟร๊องก์โง่เง่า เข้าใจผิดบ้าบอไปคนเดียวสินะ ฮ่าๆ ฟร๊องก์นี่โง่ชะมัดเลย!”

   “ฟร๊องก์ไม่ได้โง่หรอก แต่ฟร๊องก์รักมากไง เขาต่างหากที่โง่ โง่ที่ไม่เป็นค่าในความรักที่ฟร๊องก์มีให้ และยังทำลายความรักของฟร๊องก์... ถึงเวลาหันมารักตัวเองให้มากๆ แล้วนะ เข้มแข็งได้แล้วไอ้ตัวเล็ก” เก็ทพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น มือหนึ่งก็โอบผมเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้กับผม ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นมาลูบเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา

   “ต่อไปนี้ฟร๊องก์จะเข้มแข็ง ฟร๊องก์จะรักตัวเองให้มากๆ แล้วก็... จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเพียงอดีต” ผมพูดอยู่กับแผงอกนั้น รับรู้ได้ถึงไออุ่นที่ส่งผ่านมายังตัวผมเหมือนกำลังใจของร่างสูงที่อยู่เคียงข้างผมเสมอ

   “ดีแล้ว ชีวิตเรายังได้เจออะไรอีกเยอะ วันนี้ฟร๊องก์อาจจะยังอ่อนแอ แต่วันหนึ่งฟร๊องก์จะเข้มแข็งขึ้น เก็ทเองก็ยังอยู่ข้างฟร๊องก์เสมอ”

   “ขอบคุณนะ ขอบคุณมากจริงๆ ที่ไม่เคยทิ้งฟร๊องก์ไปไหนเลย”
 
   คนๆ นี้ไม่เคยทิ้งผมเลย ความรู้สึกเคว้งคว้าง ไร้เรี่ยวแรงก่อนหน้า กลับเติมเต็มด้วยความอบอุ่นที่ได้รับจากอีกคนอย่างเต็มเปี่ยม โลกหม่นๆ ที่ผมอยู่เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง แค่ผมเดินต่อไปยังแสงสว่างนั้น

   ผมหวังว่าผมจะได้พบและสัมผัสกับความสุขอีกครั้ง...


à suivre...


กลับมาแล้ววววว หายไปหน้าวัน ไม่ค่อยจะว่างเลย T^T
เรื่องดำเนินมาถึงช่วงกลางๆ แล้วนะ เนือยบ้าง เอื่อยบ้าง พีคบ้างปนๆ กันไป แต่ก็เป็นความตั้งใจของเรา
ตอนที่แล้วคงก่นด่าปาร์คกันสุดๆ สินะ 555+
แต่ก็นั่นล่ะ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของฟร๊องก์ก็ได้
จริงๆ แต่งฉากมหัศจรรย์ (NC) แยกไว้ด้วยนะ แต่ไม่ได้เอามาลง ลงไว้อีกเว็บทีเดียว
แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อเนื้อเรื่องหรือการดำเนินเรื่อง แต่ถ้าใครอยากอ่านก็ลองหาดูนะ อิอิ

เก็ทยังคงเป็นคนที่อบอุ่นมากอยู่เสมอ
ทาร์ตจะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นหรือเปล่าหลังจากนี้?
ส่วนปาร์ค ก็คงโดนด่าต่อไปอย่างต่อเนื่อง 555+

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะฮะ ขอบคุณทุกกำลังใจมากๆ เลยยย  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 28 P.4 [29/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-06-2017 22:22:26
ไปซะได้..ไปซะที
รอจะอ่านตอนนี้อยู่..นานละ

คนแบบนี้ไม่เห็นจะต้องเสียใจให้เสียดายเล๊ยยยย
มันน่าเสียใจตรงไหนฟ่ะ ไอ่ปาร์ค

ไปแล้วไปลับ..อย่ากลับมา
ไปที่ชอบๆ ด้วยเถิ๊ดดดดดด

สาธุ

+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 28 P.4 [29/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 30-06-2017 00:03:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 28 P.4 [29/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-06-2017 07:57:25
สาธุ ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะปาร์ค
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 28 P.4 [29/6/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 01-07-2017 22:40:37
ตกลงคนไหนเนี้ยเป็นคนจริง
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 29 [4/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 04-07-2017 20:17:00
Chapitre 29

   แล้วเช้าวันจันทร์ก็มาถึง เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าผมเห็นแก่ตัวมากไปหรือเปล่า ที่ยึดตัวเก็ทให้มาอยู่เป็นเพื่อนผมตลอดสองวัน แน่นอนว่าผมโทรไปบอกชัญญ่าด้วยตัวเอง ซึ่งชัญญ่าก็ไม่ได้ว่าอะไร คงเป็นเพราะน้ำเสียงซึมๆ ของผมล่ะมั้งที่ทำให้ชัญญ่าไม่พูดไม่แซวอะไรมากมาย

   ที่ผมให้เก็ทมาอยู่ด้วย อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและฟุ้งซ่าน การมีเพื่อนคุยตลอดเวลามันทำให้ผมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่าเดิม แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าผมลืมมันได้แล้วจริงหรือเปล่า ผมทุกครั้งที่ผมหลับ ภาพความทรงจำทั้งดีและไม่ดีระหว่างผมกับปาร์คจะยังปรากฏขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่จบสิ้น ระยะเวลากว่าห้าปีที่เรามีความรู้สึกดีๆ ให้กัน จะให้ลืมมันไปเลยคงไม่ง่ายนักหรอก ยิ่งเป็นคนที่เคยรักแล้วด้วย

   ผมแต่งตัวเตรียมไปเรียน สภาพผมดีขึ้นเยอะแล้ว แต่รอยจ้ำที่คอก็ยังไม่จางหายไปซะทีเดียว ยังคงเห็นอยู่บ้าง ผมเลยต้องเอาแป้งตบๆ เพื่อปิดร่องรอยไป เก็ทกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ พอผมอยู่คนเดียวก็อดคิดมากไม่ได้ ปาร์คเองก็หายไปแล้วจริงๆ หัวใจผมแอบสั่นเหมือนกันนะที่รู้ว่าเรื่องของเรามันจบแล้วจริงๆ และผมเองก็เป็นคนขอให้มันจบลงด้วย สายตาผมจับจ้องไปยังโทรศัพท์เหมือนกำลังรอสายจากปาร์คอยู่ ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่โทรมา

   ผมจัดแจงเช็คความเรียบร้อยของตัวเองว่ารอยต่างๆ ถูกปกปิดอย่างมิดชิดแล้วอีกครั้งก่อนจะลงไปรอเก็ทมารับที่ด้านล่างของหอ ระหว่างนั้นก็เตรียมคิดคำตอบต่างๆ ที่คิดว่าจะโดนถามแน่ๆ ไว้ตอบคำถามพวกเพื่อนๆ มัน คิดไปก็ปวดหัวเพราะรู้ดีว่าจะโดนพวกนั้นซักไซร้ขนาดไหน ก็ปากแต่ละคนใช่ย่อยอยู่ซะเมื่อไหร่ แถมบอกไปแล้วมันจะเชื่อกันหรือเปล่า ช่างแม่งเหอะ! ไว้ค่อยคิด อีกอย่างใช้เก็ทคอยช่วยอีกแรง

   แล้วผมก็ไม่รอดปากเหยี่ยวปากกาของพวกนั้นจริงๆ ครับ เมื่อทุกคนพร้อมใจกันกระหน่ำยิงคำถามใส่ผมรัวๆๆ ยิ่งกว่า M16 ซะอีก จนผมตอบไม่ทัน ประเด็นคือคิดคำตอบไม่ทันจนต้องโวยวายไปว่าจะถามหา... อะไรมากมาย ส่วนข้ออ้างผมก็บอกได้แค่ว่าติดธุระด่วนเหมือนที่บอกเก็ทตอนแรก แต่เสริมเหตุผลเข้าไปว่าแม่โทรมาให้รีบกลับบ้านด่วนด้วยเสียงร้อนรน ผมตกใจคิดว่ามีเรื่องอะไรร้ายแรงเลยรีบออกไปเลยทันทีโดยไม่ได้บอกลา ส่วนที่ไม่ได้รับโทรศัพท์เพราะปิดเสียงไว้แถมยังติดสายแม่อย่างโน้นอย่างนี้ บลาๆ เก็ทที่เหลือบตามองถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับข้ออ้างของผม รู้สึกบาปขึ้นมาทันทีทันใดเลยที่ต้องยกแม่ขึ้นมาอ้างทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรกับท่านเลย แต่มันก็ช่วยทำให้ผมรอดตัวไป แม่งเล่นถามกันยิ่งกว่าสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยอีก

   จากวันนั้นไปชีวิตผมก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ช่วงนี้สมองผมไม่มีเวลาได้คิดเรื่องไร้สาระแล้วเนื่องจากใกล้สอบมิดเทอมเข้ามาทุกที อาทิตย์หน้าก็เริ่มสัปดาห์แห่งการสอบกลางภาคแล้ว ผมเลยต้องเร่งอ่านหนังสือจนหัวปั่น เพราะปกติไม่ค่อยจะอ่านทวนเท่าไร ทำให้ลืมเรื่องของปาร์คไปโดยปริยาย ก็เทอมนี้มีแต่วิชาหนักๆ ทั้งนั้นเลยนี่ครับ แล้วผมที่เรียนฝรั่งเศสด้วย ก็ต้องฝ่าฟันกับข้อสอบสุดหินอีก ยิ่งทำให้เหนื่อยมากขึ้นกว่าคนอื่นๆ เป็นสองเท่า ยังดีที่มีเก็ทเรียนเป็นเพื่อนด้วย แต่หมอนั่นเก่งมากเลยไม่มีปัญหาเท่าไร ค่อยให้มันติวให้เอา ฉะนั้นตอนนี้อะไรไม่สำคัญหรือกวนใจผมตัดออกหมดแหละครับ

   เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้วหลังจากเกิดเรื่อง ปาร์คเริ่มกลับมาโทรหาผมอีกครั้ง แต่ผมไม่เคยรับสายเลยสักครั้งไม่ว่าปาร์คจะกระหน่ำโทรมามากแค่ไหน จนบางครั้งผมถึงกับต้องกดปิดเครื่องไปเลย ผมอยากให้มันจบไปเลยจริงๆ ทำไมไม่ยอมปล่อยผมไปตามทางของผมสักที แต่ปาร์คเองก็ไม่ยอมแพ้ทั้งส่งข้อความ ส่งไลน์ ไหนจะอินบ็อกซ์เฟซบุ๊กมาขอโทษขอโพย ขอให้ผมเห็นใจแล้วกลับไปดีกันเหมือนเดิมอย่างไม่ลดละ หนักสุดคือการมาดักรอผมที่หน้าหอ แต่ดีที่ผมเห็นก่อนที่จะลงจากรถเก็ท เลยให้เก็ทพาผมไปที่อื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาตอนปาร์คไปแล้ว

   ถามว่าสงสารไหม ผมยอมรับครับว่าในใจก็เกิดความสงสารขึ้น ผมใจเต้นแรงและรู้สึกเหมือนหัวใจมันถูกบีบรัดทุกครั้งที่ปาร์คโทรมา หรือแม้แต่เห็นข้อความต่างๆ ของปาร์ค และมันชัดเจนสุดเมื่อได้เห็นร่างสูงของปาร์คปรากฏที่หน้าหอผมวันก่อนนั้น มันพาลทำให้น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลายวันต้องหลั่งออกมาอีกครั้ง แต่ถึงจะเจ็บ จะสงสารแค่ไหนแต่ผมก็จะไม่ยอมกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรอก ผมไม่สามารถทำใจให้ลืมเหตุการณ์ในคืนนั้นได้จริงๆ ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ปาร์คแค่เสียดาย อีกไม่นานปาร์คก็จะหายและลืมคนไม่สำคัญอย่างผมได้ในที่สุด เพราะคนสำคัญจริงๆ นั้นอยู่ข้างกายอยู่แล้ว สักวันผมก็อาจจะหายเป็นปกติเช่นกัน ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ เราอาจจะกลับมายิ้มให้กันอีกครั้งก็ได้

   ส่วนเก็ทเองก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีและทำหน้าที่ปลอบใจผมทุกครั้งที่ผมร้องไห้และอ่อนแอ ไม่เคยทิ้งผมไปไหน แม้ว่าหลังจากที่มาอยู่กับผมสองวันนั้น เขาจะเริ่มกลับสู่โหมดเคร่งขรึมตามปกติ แต่สายตาคู่นั้นที่มองมาที่ผมยังคงแฝงด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและอบอุ่นมากสำหรับผมเสมอ

   อีกคนที่ที่ลืมไปไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อมันเองก็ยังคงเป็นห่วงและคอยสร้างรอยยิ้มให้กับผมอยู่เสมอ คนๆ นั้นไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าของใบหน้าทะเล้นและรอยยิ้มกว้างที่มาพร้อมเหล็กดัดฟันสีสดใสอย่างทาร์ต ที่หมู่นี้มักจะมาปรากฏตัวและอยู่ใกล้ชิดกับผมมากกว่าเดิม ก็เล่นร้องเพลงสารภาพรักให้ขนาดนั้น ผมเองก็แอบเขินอยู่บ้างเหมือนกันแหละ มันตัวติดกับผมมากซะจนทั้งเพื่อนผมและเพื่อนมันต้องเอ่ยปากแซว และมันก็ทำให้ผมพลอยได้รู้จักเพื่อนๆ ของมันไปด้วย ซึ่งก็กวนพอๆ กับตัวมันเลย ถึงว่าสิคบกันได้ ฮ่าๆ แล้วที่มันมาอยู่กับผมออกจะบ่อย มันดูเหมือนเรียนอยู่คณะเดียวกับผมอย่างไงอย่างงั้น

   และวันนี้เองก็เช่นกัน มันขอให้ผมช่วยติวภาษาอังกฤษให้มันหน่อย เพราะมันบอกว่ามันอ่อนภาษามาก แต่ทั้งๆ ที่พี่สาวมันอย่างโดนัทก็เรียนเอกอิ้งเหมือนกับผม ทำไมไม่ให้ติว ลำบากตัวผมต้องมานั่งติวให้อีก แต่ก็แกล้งๆ ด่าไปมันอย่างนั้นล่ะครับ ให้ติวให้ก็ดีเหมือนกัน ทบทวนตัวเองไปด้วยในตัว แต่ผมก็มีข้อแลกเปลี่ยนนะ คือให้มันจัดหาทั้งน้ำ ทั้งขนมมาบริการให้ผมถึงที่ ก็มันจะมาติวที่หอผมนี่ครับ

   ก๊อก! ก๊อก!

   พูดถึงก็มาพอดีเลย เห็นไหมตายยากแค่ไหน แล้วจะให้ผมลืมนึกถึงมันได้ไง

   “มาแล้ววว... ซื้อฟรุ๊ตทาร์ตเจ้าเก่ามาให้ด้วยนะ นี่ๆ คราวนี้ซื้อมาให้สองกล่องเลย เห็นคราวที่แล้วบอกว่าชอบ... ทาร์ต” ทาร์คโผล่มาที่หน้าห้องพร้อมยื่นถุงบรรจุกล่องทาร์ตเจ้าเดิมมาให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มกว้างเป็นเอกลักษณ์ ว่าแต่มันเข้ามาในหอได้ไง สรุปว่าหอผมมันมีความปลอดภัยหลงเหลืออยู่ไหมวะเนี่ย เห็นใครไปใครมาเข้ามากันได้สบายเลย

   “ซื้อมาให้แค่นี้เองเหรอ อะไรวะ!” หลังจากพาทาร์ตเข้ามาในห้อง ผมก็แกล้งทำเป็นไม่พอใจ จริงๆ ไม่ได้เห็นแก่กันขนาดนั้นหรอก แค่อยากกวนตีนมันเฉยๆ

   “โห้พี่ ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลย ดูนี่ซะก่อน แค่นี้พอไหม” เมื่อผมรับถุงทาร์ตมาถือไว้ ทาร์ตก็หมุนกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้านหน้าก่อนจะเปิดมันออก ด้านในเต็มไปด้วยขนมนานาชนิด รวมถึงน้ำอัดลมอีกสองขวด ไม่หนักมั้งเหรอวะแบกมาขนาดนี้ แล้วไหนหนังสือเรียนที่จะเอามาให้ติว?

   “เห้ย! นี่ขนมาขายหรืออะไรเนี่ย กะจะเปิดร้านขายหรือไง หนังสือเรียนเอามามั้งเปล่า”

   “เอามาดิพี่ มันคงโดนทับๆ อยู่ข้างในล่ะมั้ง” ว่าแล้วมันเทขนมต่างๆ ที่มันขนมาลงบนเตียงผม ก่อนที่สมุดและหนังสือจะร่วงตามลงมาตอนท้ายสุด เห็นกระเป๋าใหญ่ๆ ก็นึกว่าจะขยันมากถึงขั้นแบกหนังสือมาเยอะแยะ ที่ไหนได้มีแต่ของกิน (รู้สึกว่าตัวผมเองสั่งให้มันซื้อมานะ)

   “เออ แล้วจะให้ติวเรื่องอะไรอ่ะ เรียนเรื่องไรอยู่” ผมว่าก่อนจะหยิบหนังสือของทาร์ตขึ้นมาดู จริงๆ ปีหนึ่งที่มหา’ลัยผมจะบังคับเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐานเหมือนกันหมดอยู่แล้ว แต่อย่างผมเรียนเอกอิ้งโดยตรงเนื้อหาจะค่อนข้างยากกว่าคณะอื่นๆ เพราะถือว่าต้องมีพื้นฐานมาก่อน

   “ไม่รู้เหมือนกันอ่ะพี่ มันเยอะผมจำไม่หมด แต่เดี๋ยวค่อยติวได้ก็ได้ ผมไม่รีบ” ทาร์ตว่าพลางหยิบขวดน้ำอัดลมรวมทั้งพวกช็อคโกแลตต่างๆ ไปแช่ในตู้เย็น แล้วกลับมาหยิบห่อขนมไปแกะกินอย่างสบายใจ มึงไม่รีบแต่ไม่คิดว่าจะเสียเวลากูบ้างเหรอ ไอ้ห่า!

   “เอ้า! ไอ้นี่ ให้มาติวหนังสือนะเว้ย!” ผมโวยวายทันทีก่อนจะง้างมือที่ถือหนังสืออยู่หมายจะฟาดหัวมันสักป้าบ! แต่แม่งเสือกไวกว่า หลบทันซะงั้น ฝากไว้ก่อน เผลอเมื่อไหร่จะซัดให้เต็มแรงเลย!

   “ฮ่าๆ จะเล่นกับผมยังเร็วไปอีกหลายปีพี่” หลังจากที่หลบสันหนังสือจากผมได้ ทาร์ตก็หัวเราะร่วนพลางยักคิ้วกวนๆ อย่างมีชัยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้ น่าหมั่นไส้ฉิบหาย! “ตุ๊กตาตัวนี้หน้าเหมือนพี่เลยอ่ะ ตานี่โตเหมือนกันเลย” ทาร์ตหยิบตุ๊กตาไม้ที่ปาร์คซื้อให้ผมเมื่อวันเกิดของมัน ซึ่งผมวางไว้ที่บนโต๊ะลิ้นชักข้างหัวเตียงขึ้นมาพลิกดูด้วยรอยยิ้ม แต่มันกลับทำให้ผมจุกในอกจนยิ้มด้วยไม่ออก

   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไรหรือแม้แต่จะยิ้มออกไป

   “ซื้อจากไหนอ่ะพี่ น่ารักดีอ่ะ... พ่ะ... พี่ฟร๊องก์” จากเสียงที่ร่าเริงก่อนหน้า กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงหม่นหมองแกมตกใจเล็กๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของผม “ของผู้ชายคนนั้นเหรอครับ”

   “อ่ะ... อืม ช่างมันเถอะ” ผมตอบยิ้มๆ ให้กับทาร์ตซึ่งสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่เป็นอะไรหรอก แล้วอีกอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งด้วย ของบางอย่างเก็บไว้แทนความหมายและช่วงเวลาที่ดีๆ ของความทรงจำ ให้เราได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยมีความสุขกับของสิ่งนี้ รวมถึงกับคนที่มอบให้ด้วย อย่างน้อยวันหนึ่งผมอาจจะมองสิ่งเหล่านี้ด้วยความสุขที่ได้นึกถึงเรื่องราวดีๆ ของมัน

   “ผมขอโทษนะ” ทาร์ตเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าสำนึกผิดทันทีที่วางตุ๊กตาตัวนั้นลงที่เดิม

   “เห้ย! ไม่เป็นไร คิดมากไปได้ ก็แค่... ความทรงจำ” ผมว่าด้วยรอยยิ้มแม้มันจะไม่สดใสนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเศร้าหมอง พลางตบบ่าทาร์ตอย่างปลอบใจว่าผมไม่ได้โกรธอะไรมันจริงๆ

   ก็แค่เรื่องราว... ดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับอีกคน

**********___________***********

   “เข้าใจตรงนี้ยัง จริงๆ มันแค่เปลี่ยนรูป verb เป็นรูปของ part participle แค่นั้นเอง” หลังจากที่ทาร์ตทำสีหน้าสำนึกผิดขอโทษผมไปมา ผมเลยจัดการหยุดเสียงด้วยการหยิบฟรุ๊ตทาร์ตมายัดปากมันซะเลย หลังจากนั้นก็เป็นช่วงของการกิน ทาร์ตหมดไปกล่องหนึ่งแล้ว รวมถึงขนมขบเคี้ยวอีกสองห่อ กว่าจะเริ่มติวกันได้จริงๆ เวลาก็ผ่านไปเป็นชั่วโมง ตอนนี้ก็ติวมาได้เยอะแล้วครับ ทาร์ตมันก็ไม่ได้ถึงกับว่าไม่เก่งหรอก แต่อาจเพราะมันไม่ถนัดภาษาอังกฤษเลยทุลักทุเลไปบ้างนิดหน่อย แต่เท่าที่อธิบายๆ ไปทาร์ตก็เข้าใจได้ดี

   “part part อะไรนั่นมันคืออะไรอ่ะพี่ ผมไม่รู้จัก” ทาร์ตเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมามองผมที่นั่งอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับยิ้มแหยๆ ประมาณว่าไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร ไม่แปลกหรอกครับ ถึงจะเป็นศัพท์เฉพาะง่ายๆ ที่คนเรียนภาษาอังกฤษจะรู้จักดี แต่คนที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นธรรมดาที่ไม่รู้จัก

   “ฮ่าๆ part participle ก็คือ verb ช่อง 3 เราๆ เนี่ยล่ะ”

   “อ้าวเหรอ แล้วทำไมไม่เรียก verb ช่อง 3 ไปเลยล่ะ จะทำให้ผมงงทำไม”

   “ก็มันติดใช้คำนั้น เรียนอิ้งเรียก verb ช่อง 3 ก็โดนด่าดิ! อีกอย่างก็จำไว้สิ คราวหน้าถ้าใครพูดถึงจะได้ไม่งงอีกว่ามันคืออะไร” เห็นทาร์ตย่นคิ้วใส่ผม ผมเลยเอาด้ามปากกาเขกหน้าผากให้ที! กวนดีนัก!

   “ซี๊ดดด เจ็บนะพี่” ทาร์ตลูบตรงที่ผมเขกด้ามปากกาใส่พลางทำเสียงซี๊ดซ๊าด เดี๋ยวจะโดนอีกที “สงสัยคงต้องจำล่ะมั้ง แต่ไอ้พาร์ทพาติซิเพิ่ลอะไรนั่นมันเยอะเนอะ ผมจำไม่ค่อยจะได้เลย เขียนผิดตลอด”

   “เออ มันเยอะจริง แต่มันมีหลัก ถ้าจับจุดได้ก็ไม่ยากหรอก ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ จำไป เจอบ่อยๆ ใช้บ่อยๆ เดี๋ยวก็จำได้ แล้วก็คุ้นเคยกับมันมากขึ้น ถึงตอนนั้นก็เขียนและหยิบมาใช้ได้ถูกต้องแล้ว”

   “งั้นเหรอ ต้องเจอบ่อยๆ ใช่ป่ะถึงจะคุ้นเคย”

   “อืม เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็คุ้น ค่อยๆ จดจำไป”

   “อีกนานไหมอ่ะพี่ แล้วต้องใช้สมองหรือหัวใจในการจำ ถึงจะจำได้ยืดยาวกว่ากัน” ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ที่ฟังแล้วแปลกหูกว่าปกติ จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง

   ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรที่ผมกับทาร์ตได้สบตากันแบบนี้ และทุกครั้งหัวใจผมมันมักจะเต้นแรงขึ้นเสมอ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเรียกว่าอะไรหรือจะอธิบายออกมาได้อย่างไร แต่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อผมรับรู้มันได้อย่างชัดเจน

   “เอ่อ... แล้วแต่ล่ะมั้งว่าเราจะคุ้นเคยกับมันได้เร็วแค่ไหน” ผมตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองตัวหนังสืออีกครั้งเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย “บางอย่างมันก็ต้องใช้เวลานะ เพราะอะไรที่จำได้ง่ายๆ มันก็ลืมได้ง่ายเหมือนกัน”

   “ผมจะรอนะ...”

   ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตัดใจจากปาร์คได้อย่างที่ปากพูดจริงๆ และพร้อมจะเปิดใจรับใครคนใหม่ ผมเองก็ยังไม่รู้ตัวเองเลย


à suivre...



หายไปหลายวัน แล้วก็กลับมา 55+ ช่วงนี้ชีพจรลงเท้า
อ่านคอมเม้นต์แล้วก็ขำ ทุกคนแลดูดีใจและสะใจมากที่ปาร์คไปได้สักที  :laugh:
ช่วงนี้ต้องยกให้ทาร์ตเด่นขึ้นมาหน่อย เดี๋ยวน้องจะน้อยใจ
แต่ก็ไม่รู้ว่าความน่ารัก สดใสจะเอาชนะใจฟร๊องก์ได้หรือเปล่า


ไปซะได้..ไปซะที
รอจะอ่านตอนนี้อยู่..นานละ

คนแบบนี้ไม่เห็นจะต้องเสียใจให้เสียดายเล๊ยยยย
มันน่าเสียใจตรงไหนฟ่ะ ไอ่ปาร์ค

ไปแล้วไปลับ..อย่ากลับมา
ไปที่ชอบๆ ด้วยเถิ๊ดดดดดด

สาธุ

+1 ฮับ

สาธุ ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะปาร์ค

555555+ กุสะลา ธัมมาขึ้นเลย

ขอบคุณทุกคนมากนะฮะ ทั้งที่คอมเม้นต์ และแค่เข้ามาอ่าน แค่นี้ก็ดีใจแล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 29 P.4 [4/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 04-07-2017 21:14:33
ไป..ไป
ไปลงนรกซะเถิดที่รักฉันจะลงโทษเธอ


เวลาของเธอหมดแล้ว
ไป..ไป


เดี๋ยวเจอสายสิญจน์
ข้าวสารเสก
สาดไล่ นะจ๊ะ
อิผีปาร์ค


+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 29 P.4 [4/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 05-07-2017 19:11:22
จะกลับมาทำไมอีกอีปาร์ค ไปที่ชอบ ๆ เถอะ เราขอร้อง
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 29 P.4 [4/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-07-2017 00:55:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 29 P.4 [4/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 07-07-2017 15:18:56
ลบรอย ลบรอย เก็ทลบรอยเลย! (หัวเราะ) ดูหื่นไปไหมเนี่ยครับ

เอาเรื่องแรกก่อน ผมคิดว่าไม่ควรตัดฉากร่วมเพศออกไปนะครับ มันทำให้ต้องไปตามอ่านจากหลายๆที่ ซึ่งถือว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ในการเผยแพร่วรรณกรรม ถ้าจะใส่ผมคิดว่าใส่ให้หมดดีกว่า และเนื่องจากส่วนตัว ผมคิดว่าฉากร่วมเพศ ถ้ามันมี มันก็จะสื่อถึง progress of story ครับ มันไม่ได้เป็นฉากที่ถึงกับอ่านไม่ได้ ถ้าเราสร้างเนื้อเรื่องมาดี ฉากพวกนี้ก็ถือเป็นองค์ประกอบที่อ่านแล้วเป็นการคืบหน้าของเรื่อง มันอาจสื่อถึงนัยยะหรืออารมณ์ของตัวละครได้ด้วยซ้ำ สำหรับผมจึงถือว่ามันเป็นฉากที่จำเป็นต้องอ่านอยู่ดีครับ เพราะฉากร่วมเพศหรือฉากอัศจรรย์ ก็มีกลวิธีในการเขียนมันออกมาไม่ให้เป็นฉากโป๊ แต่เราจะไม่รู้เลยถ้าเกิดว่ายังไม่เห็นครับ

เรื่องที่สอง จำได้ว่าคุณคนเขียนถามไว้ว่าเขียนฉากเซ็กซี่ออกมาได้เป็นยังไง สำหรับผม อย่างนี้นี่แหละครับถือว่าเป็นฉาก ‘เซ็กซี่’ สำหรับวรรณกรรม ทำออกมาได้ดีมากนะครับ ฉากเซ็กซี่ที่ดี ถ้าตามความหมายทางศิลปะก็คือฉากที่สื่อถึงความคมชัดของแรงกระตุ้น ซึ่งอาจเป็นภาพ สี เสียง แสง หรือกลิ่น ที่ทำให้เกิดการเย้ายวนทางอารมณ์ แต่ไม่ได้มีความรุนแรง (intensity) ที่ทำให้ถึงขั้นของการเสพเมถุนหรือร่วมประเวณี ส่วนมากเราจะเห็นความพอดีของศิลปะเซ็กซี่นี้ในศิลปะถ่ายภาพของชาวต่างชาติ หรือฉากร่วมรักอย่างเป็นนัยๆของวรรณกรรมแฟนตาซีต่างประเทศที่เขียนลง NY Times น่ะครับ เค้าจะสื่อถึงทุกอย่างที่ไม่ใช่การร่วมเพศ แต่สามารถเร้าอารมณ์คนอ่านให้รู้สึกว่าสื่อ (media) นั้นเซ็กซี่ อย่างที่เขียนมาก็ถือว่าดีเลยครับ บรรยายรูปลักษณ์ของเก็ทละเอียดยิบ ซึ่งก็ตรงกับภาพลักษณ์ที่บรรยายไว้ตอนแรกๆ และมีการสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของฝ่ายที่รับแรงกระตุ้น(ฟร็องก์) ดังนั้นถือว่าทำออกมาได้ดีครับ ที่ต้องระบุอีกนิดนึงคือ ฉาก ‘ร่วมเพศ’ กับฉาก ‘เซ็กซี่’ นี่ก็ต่างกันอยู่นิดหน่อยนะครับ อาจมีการเขียนบางส่วนที่ใช้เทคนิคเดียวกัน แต่ฉากร่วมเพศนี่ต้องคำนึงถึงอารมณ์ตัวละครขณะทำกิจกรรมนั้นๆเป็นหลัก ซึ่งก็จะไปสะท้อนถึงความนัยหรือนิสัยตัวละครได้อีกด้วย

ส่วนเรื่องเนื้อเรื่อง นิสัยทาร์ตถือว่าใช้ได้เลยนะครับ ดูน่ารักดี ให้ออร่าสดใสเลยนะครับ ถ้าเทียบกับน้องหมาก็คงจะเป็นโกลเดนพันธ์เต็มวัยนี่แหละ (หัวเราะ) ถือว่าเป็นนิสัยที่คอนทราส์กกับตัวละครที่เหลือดีครับผม ไม่เหมือนเก็ท และไม่เหมือนปาร์คด้วย ถือว่าทำนิสัยตัวละครออกมาได้ดีครับ แต่ก็จะดีกว่านี้ถ้าเพิ่มมิติน้ำหนักของพื้นหลังตัวละครมาด้วย เพื่อทำให้เรารู้จักกับตัวละครตัวนี้มากขึ้น

โดยปกติแล้ว การเพิ่มพื้นหลังของตัวละครหรือการเพิ่มการบรรยาย มันมักจะทำให้น้ำหนักการกระทำของตัวละครสูงขึ้น และทำให้คาแรกเตอร์มีมุมมองที่ลึกขึ้นครับ จึงควรทำกับทุกๆตัวละครหลักที่มี ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเรื่อง The Song of Ice and Fire ที่เอามาทำ Game of Thrones จะเน้นเรื่องนี้หนักมาก ทำให้เรามีข้อมูลและมุมมองที่สามารถ discuss เกี่ยวกับตัวละครหลักได้ดีครับ (แต่เรื่องนี้ตัวละครหลักเยอะมาก เยอะเกินไป ในกรณีนี้เอามาทำเฉพาะตัวละครหลักที่เราวางไว้เป็นตัวดำเนินเรื่องก็ได้ครับ เช่น ฟร็องก์ ทาร์ต ปาร์ค เก็ท หรือจะเพิ่มฝั่งตัวละครหญิงมาสักตัวก็ได้) การเล่าแบบนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านมุมมองของตัวละครนั้นๆก็ได้ จะผ่านตัวละครที่หนึ่ง (ฟร็องก์) อย่างเดียวก็สามารถทำได้ เพราะสิ่งสำคัญคือผู้รับสาส์น (คนอ่าน) จะได้ข้อมูลไปพิจารณาต่อ ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในการนำเสนอพื้นหลังของตัวละครอื่นหรือเพิ่มการบรรยายให้เข้าใจตัวละครอื่นมากขึ้นครับ
หัวข้อ: ถ้าลงเนื้อหาแทรก จะทำให้งงกับเนื้อเรื่องไหม?
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 07-07-2017 22:05:12
ลบรอย ลบรอย เก็ทลบรอยเลย! (หัวเราะ) ดูหื่นไปไหมเนี่ยครับ

เอาเรื่องแรกก่อน ผมคิดว่าไม่ควรตัดฉากร่วมเพศออกไปนะครับ มันทำให้ต้องไปตามอ่านจากหลายๆที่ ซึ่งถือว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ในการเผยแพร่วรรณกรรม ถ้าจะใส่ผมคิดว่าใส่ให้หมดดีกว่า และเนื่องจากส่วนตัว ผมคิดว่าฉากร่วมเพศ ถ้ามันมี มันก็จะสื่อถึง progress of story ครับ มันไม่ได้เป็นฉากที่ถึงกับอ่านไม่ได้ ถ้าเราสร้างเนื้อเรื่องมาดี ฉากพวกนี้ก็ถือเป็นองค์ประกอบที่อ่านแล้วเป็นการคืบหน้าของเรื่อง มันอาจสื่อถึงนัยยะหรืออารมณ์ของตัวละครได้ด้วยซ้ำ สำหรับผมจึงถือว่ามันเป็นฉากที่จำเป็นต้องอ่านอยู่ดีครับ เพราะฉากร่วมเพศหรือฉากอัศจรรย์ ก็มีกลวิธีในการเขียนมันออกมาไม่ให้เป็นฉากโป๊ แต่เราจะไม่รู้เลยถ้าเกิดว่ายังไม่เห็นครับ

เรื่องที่สอง จำได้ว่าคุณคนเขียนถามไว้ว่าเขียนฉากเซ็กซี่ออกมาได้เป็นยังไง สำหรับผม อย่างนี้นี่แหละครับถือว่าเป็นฉาก ‘เซ็กซี่’ สำหรับวรรณกรรม ทำออกมาได้ดีมากนะครับ ฉากเซ็กซี่ที่ดี ถ้าตามความหมายทางศิลปะก็คือฉากที่สื่อถึงความคมชัดของแรงกระตุ้น ซึ่งอาจเป็นภาพ สี เสียง แสง หรือกลิ่น ที่ทำให้เกิดการเย้ายวนทางอารมณ์ แต่ไม่ได้มีความรุนแรง (intensity) ที่ทำให้ถึงขั้นของการเสพเมถุนหรือร่วมประเวณี ส่วนมากเราจะเห็นความพอดีของศิลปะเซ็กซี่นี้ในศิลปะถ่ายภาพของชาวต่างชาติ หรือฉากร่วมรักอย่างเป็นนัยๆของวรรณกรรมแฟนตาซีต่างประเทศที่เขียนลง NY Times น่ะครับ เค้าจะสื่อถึงทุกอย่างที่ไม่ใช่การร่วมเพศ แต่สามารถเร้าอารมณ์คนอ่านให้รู้สึกว่าสื่อ (media) นั้นเซ็กซี่ อย่างที่เขียนมาก็ถือว่าดีเลยครับ บรรยายรูปลักษณ์ของเก็ทละเอียดยิบ ซึ่งก็ตรงกับภาพลักษณ์ที่บรรยายไว้ตอนแรกๆ และมีการสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของฝ่ายที่รับแรงกระตุ้น(ฟร็องก์) ดังนั้นถือว่าทำออกมาได้ดีครับ ที่ต้องระบุอีกนิดนึงคือ ฉาก ‘ร่วมเพศ’ กับฉาก ‘เซ็กซี่’ นี่ก็ต่างกันอยู่นิดหน่อยนะครับ อาจมีการเขียนบางส่วนที่ใช้เทคนิคเดียวกัน แต่ฉากร่วมเพศนี่ต้องคำนึงถึงอารมณ์ตัวละครขณะทำกิจกรรมนั้นๆเป็นหลัก ซึ่งก็จะไปสะท้อนถึงความนัยหรือนิสัยตัวละครได้อีกด้วย

ส่วนเรื่องเนื้อเรื่อง นิสัยทาร์ตถือว่าใช้ได้เลยนะครับ ดูน่ารักดี ให้ออร่าสดใสเลยนะครับ ถ้าเทียบกับน้องหมาก็คงจะเป็นโกลเดนพันธ์เต็มวัยนี่แหละ (หัวเราะ) ถือว่าเป็นนิสัยที่คอนทราส์กกับตัวละครที่เหลือดีครับผม ไม่เหมือนเก็ท และไม่เหมือนปาร์คด้วย ถือว่าทำนิสัยตัวละครออกมาได้ดีครับ แต่ก็จะดีกว่านี้ถ้าเพิ่มมิติน้ำหนักของพื้นหลังตัวละครมาด้วย เพื่อทำให้เรารู้จักกับตัวละครตัวนี้มากขึ้น

โดยปกติแล้ว การเพิ่มพื้นหลังของตัวละครหรือการเพิ่มการบรรยาย มันมักจะทำให้น้ำหนักการกระทำของตัวละครสูงขึ้น และทำให้คาแรกเตอร์มีมุมมองที่ลึกขึ้นครับ จึงควรทำกับทุกๆตัวละครหลักที่มี ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเรื่อง The Song of Ice and Fire ที่เอามาทำ Game of Thrones จะเน้นเรื่องนี้หนักมาก ทำให้เรามีข้อมูลและมุมมองที่สามารถ discuss เกี่ยวกับตัวละครหลักได้ดีครับ (แต่เรื่องนี้ตัวละครหลักเยอะมาก เยอะเกินไป ในกรณีนี้เอามาทำเฉพาะตัวละครหลักที่เราวางไว้เป็นตัวดำเนินเรื่องก็ได้ครับ เช่น ฟร็องก์ ทาร์ต ปาร์ค เก็ท หรือจะเพิ่มฝั่งตัวละครหญิงมาสักตัวก็ได้) การเล่าแบบนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านมุมมองของตัวละครนั้นๆก็ได้ จะผ่านตัวละครที่หนึ่ง (ฟร็องก์) อย่างเดียวก็สามารถทำได้ เพราะสิ่งสำคัญคือผู้รับสาส์น (คนอ่าน) จะได้ข้อมูลไปพิจารณาต่อ ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในการนำเสนอพื้นหลังของตัวละครอื่นหรือเพิ่มการบรรยายให้เข้าใจตัวละครอื่นมากขึ้นครับ

ก่อนอื่นเราต้องขอบคุณคุณ Grey Twillight มากๆ ขอบคุณที่จุดประกายการแก้ ลบ และเพิ่มเติมเนื้อหาในบางส่วนตั้งแต่เริ่มต้น เราได้แรงบันดาลใจดีๆ และความเข้าใจรวมทั้งไอเดียใหม่ๆ เอามาปรับแก้ในเนื้อเรื่องได้เยอะมากๆ

เรื่องแรก เราคงต้องขอโทษกับการเสียมารยาทในการเผยแพร่งานเขียน เราคงต้องลงย้อนหลัง แทรกระหว่างเนื้อหา

remark ตรงนี้ไว้นิดหนึ่งนะ ว่าฉาก NC เป็นฉากที่อยู่ต่อจากตอนที่ 27 ซึ่งเราเอามาลงแทรกไว้ทีหลัง ลองอ่านดู เพราะในฉากนั้น เรามีนัยยะบางอย่างแฝงไว้นิดหน่อย (แบบลึกๆ) อย่างที่คอมเม้นต์บอก แต่อย่างที่บอกว่า เราอาจจะเขียนฉากนี้ออกมาได้ไม่ดีมากนัก 5555+


เรื่องที่สอง ฉากความเซ็กซี่ของเก็ท อันนี้ยอมรับว่าตอนเขียนไป ดู ref. ไป ก็ยังเขินเองไปด้วย 5555+ นึกไปว่าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์นั้น และได้เห็นภาพแบบนั้น แล้วก็เขียนออกมา (สรุปคือใส่ความหื่นของตัวเองเข้าไป 5555+) แต่ก็ดีใจนะฮะที่มีคนถูกใจกับฉากนั้น
 

เรื่องที่สาม ในส่วนของรายละเอียดหรือพื้นหลังของตัวละคร เราจะพยายามสอดแทรกเข้าไปให้ชัดเจนขึ้น และเสริมการกระทำต่างๆ ให้มากขึ้น เรื่องนี้ต้องขอบคุณด้วยเช่นกันที่ไม่ทำให้เรามองข้ามมันไป


สุดท้าย ขอบคุณสำหรับการอ่านจริงๆ ที่มาพร้อมคอมเม้นต์แบบจริงใจและจริงจัง ตั้งแต่ตอนลงเรื่องครั้งแรก ดีใจและรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเม้นต์แบบนี้ มันทำให้เรารู้ว่าจุดผิดพลาดอยู่ตรงไหน เป็นแนวทางว่าควรปรับแก้หรือเพิ่มเติมอย่างไร ขอบคุณมากจริงๆ ฮะ


ไป..ไป
ไปลงนรกซะเถิดที่รักฉันจะลงโทษเธอ


เวลาของเธอหมดแล้ว
ไป..ไป


เดี๋ยวเจอสายสิญจน์
ข้าวสารเสก
สาดไล่ นะจ๊ะ
อิผีปาร์ค


+1 ฮับ

จะกลับมาทำไมอีกอีปาร์ค ไปที่ชอบ ๆ เถอะ เราขอร้อง

ปาร์คมีความเฮี้ยนสูง 55555555+
ต้องจับใส่หม้อ ถ่วงน้ำ
การถูกเกลียดก็สูงด้วยเช่นกัน
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Exclusif 2 (ต่อจาก Chapitre 27) [7/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 07-07-2017 22:14:53
Exclusif 2 NC

    “ปล่อยกูนะ!! ปล่อย!!!” ผมดิ้นสุดแรงพร้อมกับกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงเพื่อเรียกสติปาร์คกลับมา ให้ปาร์คหยุดการกระทำป่าเถื่อน โหดร้ายนี้กับผม แต่เสียงของผมกลับไม่ได้เข้าไปถึงจิตใจที่มืดบอดของปาร์คได้เลย

   ริมฝีปากที่ผมเคยหลงใหลนั้น บัดนี้กลับไล่โลมเลียและดูดเม้มไปตามลำคอของผมอย่างกักฬระและหยาบโลน แรงดูดนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บแสบไปทั่ว ไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะเป็นรอยเด่นชัดขนาดไหน

   แขนทั้งสองข้างของผมยังคงโดนตรึงไว้เหนือหัวเช่นเดิมแต่แรงกดกลับเพิ่มมากขึ้น ส่วนอีกมือปาร์คปล่อยออกจากใบหน้าผมแล้วทำให้ผมดิ้นได้มากขึ้น ผมเบี่ยงศีรษะพัลวันเพื่อหนีหนี้สัมผัสอันน่าสะอิดสะเอียนนั้น แต่ดูเหมือนมันจะยิ่งทำให้ปาร์คโมโหมากขึ้น

   “อยู่นิ่งๆ ได้ไหม!” ปาร์คเงยหน้ามองผมด้วยดวงตาแข็งกร้าวพร้อมกับหยุดการกระทำชั่วครู่ มันเป็นจังหวะดีที่ผมจะหนี แม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิดแต่ก็อาจจะทำให้ผมหลุดพ้นจากสถานการณ์บ้าๆ นี้ได้

   พลั่ก!

   ผมยกขาข้างที่ถนัดแล้วออกแรงส่ง ถีบเข้าที่สีข้างของปาร์คเต็มแรง แม้จะไม่ถนัดเท่าไรเพราะช่วงล่างของปาร์คทับเอาไว้ แต่มันก็แรงพอที่จะทำให้ปาร์คเสียหลัก และผมจะลุกหนีได้ ผมไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ทันทีที่ร่างปาร์คกระเด็นออกจากตัวผม ผมก็รีบลุกวิ่งทันที เป้าหมายคือประตู พ้นไปแล้ว ผมอาจจะรอดก็ได้

   ตุบ! อัก!

   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะวิ่งได้ถึงสามก้าว ผมก็ล้มลงไปวัดพื้นพรมซะแล้ว เป็นปาร์คเองที่กระชากข้อเท้าผมอย่างแรงจนเสียหลักล้มลง ดีที่ผมเอามือยันไว้ทันไม่งั้นหน้าผมคงฟาดกับพื้น ทำไมต้องทำกันขนาดนี้

   “ชอบให้ใช้กำลังใช่ไหม!” ปาร์คถามเสียงเหี้ยม ปาร์คคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว ตรงหน้าผมนี้คือปีศาจชัดๆ ปีศาจที่พร้อมจะจัดการผมให้จมคมเขี้ยวได้ตลอดเวลา

   “โอ้ย!” ปาร์คออกแรงกระชากข้อเท้าผมอีกครั้งเพื่อดึงร่างผมให้กลับไปอยู่ใต้อาณัติเช่นเดิม ผมที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่พยายามจะพลิกตัวหันกลับมาถีบร่างสูงด้านบนอีกครั้ง แต่กลับถูกรวบแขนทั้งสองข้างไว้แล้วกดตรึงไว้ด้านหลังจนผมขยับตัวไม่ได้ ผมต้องเบือนหน้าไปด้านหนึ่งเพื่อให้หายใจออก แต่ก็ถึงกับเบิกตาพร้อมกับขนที่ลุกชันเมื่อเห็นว่าอีกมือของปาร์คกำลังปลดเข็มขัดออกเพื่อนำมามัดข้อมือของผม ผมพยายามดิ้นหนักกว่าเดิมแต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ปาร์คจัดการมัดมือทั้งสองข้างของผมไพร่หลังด้วยเข็มขัด ก่อนจะพลิกตัวผมให้กลับมาเผชิญหน้า

   แรงกดทับของน้ำหนักตัวผมรวมเข้ากับแรงเสียดสีของเข็ดขัดที่มัดไว้มันทำให้ผมเจ็บจนแทบทนไม่ไหว ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาเฉียวสีนิลที่เคยทรงเสน่ห์คู่นั้น พยายามค้นหาความเมตตา ความอ่อนโยนที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ในจิตสำนึกของคนๆ นี้ แต่ไม่เลย ผมไม่สามารถสัมผัสมันจากแววตาคู่นั้นได้เลย ผมสัมผัสได้เพียงความมืดมนจากปีศาจตรงหน้า

   “หมดฤทธิ์รึยัง หื้ม...” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ก่อนจะก้มลงไซร้ซอกคอผมอีกรอบ

   “ออกไป! ไอ้สารเลว! ชั่ว! ชั่วที่... อื้อ...” ปากที่กำลังกร่นด่าของผมถูกปิดด้วยริมฝีปากของปาร์ค แต่หาได้มีความอ่อนโยนอยู่ในสัมผัสนั้นไม่ ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความยัดเยียด เหยียดหยาม และความอยากเอาชนะ

   ผมยังคงดิ้น แม้ว่ายิ่งดิ้น เข็มขัดที่มัดข้อมืออยู่จะยิ่งถูกันมากขึ้น แต่ถ้ามันจะช่วยให้ผมหลุดพ้นผมก็ยอม จนปาร์คจิ๊ปากด้วยความรำคาญ ก่อนหมัดหนักๆ จะต่อยเข้าเต็มๆ ท้องน้อยถึงสองครั้ง จนผมตัวงอด้วยความจุก น้ำตาที่ซึมอยู่ที่ขอบตา ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เจ็บตัวไม่เท่าไร แต่หัวใจที่มีแผลของผมมันเหมือนถูกกรีดซ้ำๆ ลงไปจนแผลยิ่งเปิดกว้าง แผลมันลึกจนไม่สามารถเยียวยาได้ในทุกครั้งที่ปาร์คสัมผัสร่างกายของผมด้วยความหยาบโลนและน่าขยะแขยง

    ปาร์คทำเหมือนผมไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก ทำเหมือนว่าผมเจ็บไม่เป็น ผมผิดอะไร ในเมื่อผมกับปาร์คต่างก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่มีอะไรที่ชัดเจนและแน่นอนตั้งแต่เริ่มต้น ที่สำคัญปาร์คก็มีคนสำคัญของตัวเองอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ปล่อยผมไป ทำไมถึงต้องมาทำกับผมแบบนี้!

    “สิ้นฤทธิ์สักทีสินะ ถ้ายอมดีๆ ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว ทำอย่างกับไม่เคยไปได้” ปาร์คแสยะยิ้มมองผม ก่อนจะพูดสิ่งที่เสียดแทงหัวใจผมให้เจ็บช้ำยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่ร่างสูงจะอุ้มผมที่นอนตัวงออยู่เข้าไปในห้องนอน “มานี่ จะได้เริ่มทบทวนความหลังกันสักที จะได้จำได้สักทีว่าใครเป็นผัว จะได้ไม่ลืมว่าตัวเองเป็นเมียใคร!”

    “ปล่อยฟร๊องก์เถอะนะปาร์ค เราคุยกันดีๆ ก็ได้นี่” ผมพยายามอ้อนวอนหลังจากที่คนตรงหน้าโยนผมลงกับเตียงอย่างไม่ถนอม แม้ว่าเตียงจะสปริงตัวดีและฟูกนุ่มเพียงใด แต่โยนมาแบบนี้ก็ทำเอาผมจุกได้เหมือนกัน ยิ่งบวกกับความจุกที่โดนต่อยท้องก่อนหน้าและมือที่ถูกมัดไว้ด้านหลังอีก ผมยิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่

    “เอาเสร็จค่อยคุย หึหึ”

    “ไม่! ม่าย!!” ผมดิ้นก่อนที่ปาร์คจะกระชากเสื้อนิสิตของผมออกจากไร้ความปรานี เม็ดกระดุมที่กระเด็นหลุดออกจากรังดุมบางเม็ดก็ขาดกระเด็นอย่างไม่รู้ทิศทาง ส่วนเม็ดที่เหลือก็มีเพียงด้ายเส้นบางรั้งไว้เท่านั้น

    มือใหญ่ของปาร์คค่อยๆ ลูบผ่านหน้าท้องแบนราบของผมอย่างไม่รีบร้อน เพราะรู้ดีว่าผมหมดหนทางจะหนีแล้ว ในเมื่อถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาแบบนี้ ส่วนอีกมือก็จับใบหน้าผมไม่ให้หันหนีริมฝีปากและเรียวลิ้นอุ่นที่กำลังบดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างจาบจ้วง รสจูบที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด...

    “อ๊ะ... อื้อออ...” ผมร้องออกมาทันทีที่ปาร์คถอนปากออก ความเสียวซ่านโถมเข้ามาเมื่อนิ้วมือเรียวนั้นค่อยๆ เขี่ยติ่งเนื้อสีชมพูที่กำลังแข็งชันของผมอย่างสนุกมือ

    ลิ้นอุ่นๆ นั้นค่อยๆ ไล่เลียจากลำคอผมลงไปเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดขบเม้มที่ตุ่มไตที่หน้าอกอีกด้านของผม ปาร์คตวัดลิ้นเลียอย่างชำนาญจนผมเองก็หลงเคลิ้ม ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเสียว แต่ผมกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดรอดออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน เสียงอันน่าอัปยศที่ผมจะไม่เปล่งออกไปเด็ดขาด

    ปาร์คค่อยๆ เลื่อนมือถอดกางเกงของผมออก แต่ผมที่พยายามบิดขาเพื่อขัดขวาง มันยิ่งทำให้ปาร์คที่ผ่อนแรงลงในตอนแรกกลับมารุนแรงมากขึ้น ปาร์คจับขาผมอ้าออกพร้อมกับออกแรงกระชากกางเกงสแลคเข้ารูปของผมออกจนแสบเพราะแรงเสียดสีระหว่างเนื้อผ้าและผิวหนัง ก่อนที่ตัวเองจะแทรกตัวเข้ามาระหว่างขาของผม ผมพยายามถีบแต่ก็ปาร์คจับแล้วกดแรงบีบข้อเท้าผมถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บและก็ต้องจำใจนิ่งไป

    “อยู่นิ่งๆ ดีกว่านะฟร๊องก์ เพราะถึงยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ปาร์คไม่อยากรุนแรงกับฟร๊องก์” ปาร์คก้มลงมาพูดข้างหูผมด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ เหมือนการปลอบโยน แต่เปล่าเลย เพราะเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากคู่นั้นกำลังยกยิ้มเยาะเย้ยผมที่ไร้ทางสู้อยู่ต่างหาก

    “เลว! ชาติชั่ว! อื้อ... อ่อยอู!!”

    ปาร์คบดจูบปิดเสียงด่าทอของผมอีกรอบ รอยแผลเดิมไม่ต้องบอกว่ามันปริแตกเพิ่มขึ้นจนแสบมากแค่ไหน ผมได้แต่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ในตอนนี้ผมหมดสภาพที่จะสู้แรงคนเบื้องหน้าได้อีกแล้ว

    ปราการสีขาวตัวจิ๋วชิ้นสุดท้ายของผมตอนนี้หลุดไปอยู่ที่ข้อเท้าด้านหนึ่งเรียบร้อยแล้ว โดยที่ปากของผมกับปาร์คยังไม่หลุดออกจากกัน ส่วนนั้นปรากฏออกมาสู่สายตา แต่ผมไม่สามารถปกปิดความอับอายนั้นได้เลย เพราะส่วนนั้นกำลังแข็งขืนตามอารมณ์ที่ปาร์คปลุกปั่น

    มือของปาร์คเลื่อนมากอบกุมตรงนั้นของผม ก่อนจะค่อยๆ ขยับมือขึ้นลงช้าๆ จากที่ไม่รู้สึกอะไร ไอ้ของไม่รักดีของผมก็ตื่นตัวสู้มือที่กำรวบอยู่อย่างน่าอับอาย ปาร์คถอนริมฝีปากออกก่อนจะมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มอย่างชอบใจ มือใหญ่นั้นเริ่มรูดเร็วขึ้นจนผมเริ่มเกร็งตัวตามด้วย... ความเสียวซ่านที่แทรกซึมเข้ามาในความรู้สึก และมันมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปาร์คเลื่อนริมฝีปากมาครอบยอดอกข้างหนึ่งของผม โลมเลียสลับกับการดูดเม้มจนผมต้องจิกนิ้วเท้ากับผ้าปูที่นอนพร้อมหลับตาพริ้วด้วยความเสียวอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนที่ปาร์คจะหยุดการกระทำดังกล่าวลงกลางคัน

    “จุ๊ๆ จะรีบไปไหนล่ะ หื้ม...” ปาร์คผละจากยอดอกผมมากระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงกระเส่า พร้อมกับงับติ่งหูที่เป็นจุดอ่อนของผม
    เล่นเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อและยั่วอารมณ์ผมให้คุ้มคลั่ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อถอดชุดของตัวเองออกทั้งหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว

    ผมเบือนหน้าหนีสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า แม้ว่าร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ตามประสาคนเล่นกีฬาจะน่ามองมากแค่ไหน แต่ในเวลานี้ผมกลับรังเกียจจนอยากอาเจียนออกมา ยิ่งประกอบกับอวัยวะตรงกลางลำตัวของปาร์คแข็งขืน ตั้งตรงและใหญ่จนดูน่ากลัวนั้นด้วยแล้ว ผมยิ่งพยายามถดตัวหนีจากสิ่งนั้นให้ไกลที่สุด ทั้งที่เคยเห็น เคยสัมผัสกับสิ่งนั้นมาแล้วด้วยความสุข แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ทั้งอารมณ์และความรู้สึก ตอนนี้มันทำให้ผมกลัวเจ้าสิ่งนี้!

    ปาร์คแทรกตัวเข้ามาอยู่ระหว่างขาของผมอีกครั้ง พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างรวบเอวผมดึงกลับไปหาตัว ก่อนจะยกสะโพกผมลอยขึ้นแล้วเอาหมอนมารองไว้ ทำให้ผมถดตัวหนีได้ยากลำบากมากขึ้น น้ำตาของผมยังไหลไม่หยุด ปาร์คที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่ใช่ปาร์คคนที่ผมเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย

    “จะหนีทำไม ทำอย่างกับไม่เคยไปได้”

    “ยะ... อย่า... ออกไป อ่าาา...” จากที่พยายามถอยหนี อยู่ๆ ตัวผมกลับลอยขึ้นเมื่อปาร์คใช้แขนข้างหนึ่งซ้อนหลังผมขึ้นมา ก่อนจะที่ริมฝีปากสีแดงสดนั้นจะครอบครองที่ยอดอกของผมอีกครั้ง

    ร่างทั้งร่างเหมือนโดนไฟฟ้าสถิต ผมแอ่นอกรับเรียวลิ้นและสัมผัสฉ่ำเยิ้มนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงหอบหายใจถี่ๆ ของผมยิ่งเร่งให้ปาร์คละเลงลิ้นที่ยอดอกทั้งสองของผมมากขึ้น ผมอยากดิ้นหนีจากสัมผัสเหล่านี้... แต่ผมก็ทำไม่ได้
เพราะความต้องการข้างในของผม มันกำลังเรียกร้อง...

    “หึหึ ชอบแล้วล่ะสิ จะได้เริ่มทบทวนความหลังกันสักที” ปาร์คว่าพลางเงยหน้าขึ้นมากระตุกยิ้มให้ผม “เริ่มเลยนะ”
ร่างผมนอนแผ่ลงบนเตียงอีกครั้ง พร้อมกับรสจูบของปาร์คที่ตามลงมา ผมหลับตาพริ้มรับบทจูบที่อ่อนโยน... ก่อนที่ดวงตาที่ปิดสนิทจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อช่องด้านหลังถูกล่วงล้ำโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

    “อ้ะ... อื้อ...” ปาร์คไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ลิ้นที่ล้วงล้ำยังคงกวาดต้อนลิ้นให้ผมเคลิ้ม ขณะที่นิ้วที่ล้วงล้ำก็ค่อยๆ กดแรงดึงเข้าออกเป็นจังหวะถี่ๆ แต่ทุกครั้งที่ดันนิ้วเข้าไป ปาร์คจงใจแหย่เข้าไปลึกขึ้นๆ จนผมแทบคลั่ง อยากใช้มือเพื่อปลดปล่อยตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกมัดไว้อยู่ ปาร์คยังคงสอดนิ้วเข้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนมาหยุดที่สามนิ้ว

    “อย่าเกร็งสิ” ปาร์คผละริมฝีปากที่จูบผมออกพลางเลียริมฝีปากของผมเล่น ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงสั่น

    “จะ... เจ็บ” ผมเกร็งตัวด้วยความปวดหน่วงๆ และจุกที่ช่องท้อง จากความคับแน่นที่ช่องทางด้านหลัง

    “เดี๋ยวจะดีเอง เหมือนอย่างที่เคย...” ปาร์คพยายามพูดปลอบโยน พร้อมกับกัดริมฝีปากล่างของผมเบาๆ เหมือนหยอกล้อ
ผมรู้สึกโล่งทันทีที่ปาร์คดึงนิ้วทั้งสามออกจากตัวผม แต่ยังไม่ทันที่จะหายใจได้ทั่วท้อง เจลเหนียวๆ เย็นๆ ก็ถูกชโลมลงที่ช่องทางรักพร้อมกับนิ้วที่แหย่เข้าไปเปิดทางอีกรอบ ก่อนที่สัมผัสของไออุ่นจากสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วทั้งสามก็เตรียมจะเข้ามาแทนที่ จนผมต้องพยายามถอยหนี แต่ปาร์คที่รู้ทันกลับกดไหล่ผมไว้ไม่ให้ขยับได้

    ปาร์คก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง ก่อนที่เรียวลิ้นนั้นจะค่อยๆ ไล่เลียผ่านลำคอของผม มาดูดเม้มที่ตุ่มไตสีชมพูอย่างเมามัน ขณะเดียวกันเรียวขาทั้งสองข้างของผมก็ถูกยกขึ้นเพื่อให้พร้อมรับแก่นกายใหญ่นั้น

   “โอ้ย! เอาออกไป... อ๊ะ... อ๊า...! จะ... เจ็บ!” ปาร์คแทรกแก่นกายเข้ามาพรวดเดียวจนสุดลำอย่างไม่เบามือ โดยอาศัยจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้มกับการหยอกล้อของเรียวลิ้นนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว ผมรู้สึกได้ถึงการกระตุกของกล้ามเนื้อในตัวของผมที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมและพยายามจะขมิบเพื่อให้แท่งร้อนนั้นหลุดออกไป แม้จะพยายามถอยหนีแต่ด้วยความที่แขนถูกมัด และขาทั้งสองถูกยกให้ลอยขึ้นจึงไม่มีทางเลยที่จะถอยให้แท่งอุ่นขนาดใหญ่นี้หลุดออกจากร่างกาย

   “อื้มมม... ซี๊ดดด... อย่าเกร็งสิ ปล่อยตัวตามสบาย ปาร์คอ่อนโยนกับฟร๊องก์แล้วนะ” เสียงปาร์คครางต่ำ พร้อมกับกดแช่ตัวตนของตัวเองไว้แบบนั้น ก่อนจะวางขาทั้งสองข้างของผมลงกับฟูกเช่นเดิม ขณะที่มือข้างหนึ่งเอื้อมมากุมส่วนนั้นของผม แล้วสาวขึ้นลงช้าๆ เพื่อให้ผมผ่อนคลาย อาการจุกแน่นและอึดอัดด้านหลังค่อยๆ ทุเลาลงด้วยการปรนเปรอที่ด้านหน้าของปาร์ค

   “พร้อมนะ” ร่างสูงว่าพร้อมกระชับสะโพกของผมให้เข้าที่ ก่อนจะค่อยๆ ขยับร่างกายเข้าออกเป็นจังหวะ เริ่มจากช้าๆ เนือบๆ เหมือนไม่เร่งรีบอะไร โดยมือใหญ่ข้างเดิมนั้นยังคงช่วยกระตุ้นอารมณ์ของผมให้พุ่งพล่านมากกว่าเดิม

   สัมผัสเสียดสีที่ช่องด้านหลังเริ่มเร็วและหนักแน่นมากขึ้น จนตัวผมโยกไปตามจังหวะการกระแทกของคนตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องบน ก่อนที่เจ้าตัวจะหยุดเว้นจังหวะสักครู่ แล้วกระแทกร่างทั้งร่างสวนลึกเข้ามาที่ผมจนตัวผมสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อแรงกระแทกนั้นทำให้ส่วนหัวเข้าไปถึงจุดกระสันจนนิ้วเท้าของผมจิกกับผ้าปูด้วยความเสียว น้ำตาเอ่อคลอไหลลงมาอีกรอบจนผมแยกไม่ออกว่าเพราะความเสียวหรือเพราะความเจ็บปวดกันแน่

   “อ๊ะ...” ผมกัดริมฝีปากอีกครั้งเพื่อไม่ให้เสียงหลุดรอดออกมา

   “อย่ากัดปาก... ร้องออกมา” ปาร์คให้นิ้วหัวแม่มือมาลูบวนที่ริมฝีปากเพื่อไม่ให้ผมกัดมัน

   “ไม่! ไอ้ชั่ว!! ปาร์ค... อื้อ... ชั่ว!!”

   ไม่ทันจบในสิ่งที่ผมด่า ปาร์คก็ส่งแรงกระแทกหนักขึ้น และร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่ปรานี จนผมเองยังได้ยินเสียงเตียงที่เคลื่อนไปตามจังหวะการซอยสะโพกของปาร์ค แม้จะเจ็บและจุกจนพูดไม่ออก แต่ขณะเดียวกันมันก็เสียวซ่าน รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

   “ปะ... ปาร์ค เบาหน่อย เจ็บ... อื้อออ”

   “ไม่เกร็งสิคนดี ปล่อยตามอารมณ์ ซี๊ดดด... ถ้าฟร๊องก์ไม่ด่า ไม่ดื้อกับปาร์ค ปาร์คจะแก้มัดให้และจะทำให้เบาลง แต่จะให้ปาร์คหยุดตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ ฟร๊องก์รัดของปาร์คแน่นขนาดนี้” ปาร์คว่าพร้อมกับซู๊ดปากด้วยความเสียว ก่อนจะก้มลงมาละเลงลิ้นปรนเปรอรสกามที่ยอดอกให้ผมมีอารมณ์ร่วมตาม พายุสวาทของเราสองคนตอนนี้ไม่มีอะไรมาหยุดได้อีกต่อไป

   ร่างทั้งสองร่างแนบชิดแทบจะเป็นหนึ่งเดียว ในหูผมมีแต่เสียงครางอย่างเร้าร้อนสลับกันของคนทั้งสอง พร้อมกับเสียงกระทบกันของเนื้อเปลือยเปล่าเป็นจังหวะตามแรงสั่นของร่างทั้งสอง ปาร์คแก้มัดเข็มขัดที่ข้อมือผมออก พร้อมกับจับให้แขนทั้งสองของผมโอบไว้รวบคอระหงส์นั้น ก่อนจะสอดแขนทั้งสองที่หลังแล้วยกร่างของผมขึ้นมาอยู่บนหน้าตัก

   “ซี๊ด... ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วนะว่าฟร๊องก์เป็นของใคร” ปาร์คว่าเสียงกระเส่า พร้อมกับใช้มือจับเอวผมให้ขยับขึ้นลงตามจังหวะที่ตัวเองเป็นผู้ควบคุม โดยไม่ลืมที่จะตอกย้ำในการกระทำอันป่าเถื่อนของตัวเอง 

   “อื้อ... จะไม่ไหวแล้ว อ๊าาา...”  และก็เป็นผม ที่ยอมแพ้ให้กับความต้องการข้างในแม้คนตรงหน้าจะโหดร้ายกับตัวเองแค่ไหน ผมมันช่างอ่อนแอ และ... น่าสมเพช...

   “รีบไปไหน อื้มมม” ปาร์คเด้งสะโพกสวนขึ้นมาจนผมต้องกอดคอเจ้าตัวไว้แน่น เล็บผมจิกข่วนไปทั่วทั้งแผ่นหลังด้วยความเสียว “กัดไหล่ปาร์คได้นะ ถ้าทนไม่ไหว”

   ปาร์คยังคงเด้งสะโพกขึ้นรับขณะที่มือยังคงรวบเอวของผมให้ขยับขึ้นลงตามจังหวะ ร่างของผมสั่นคลอนทุกครั้งที่ถูกกระแทก ความจุกแน่นถูกแทนที่ด้วยความเสียวซ่าน แต่ก็ยังคงเจ็บทุกครั้งที่ปาร์คส่งแรงกระแทกแรงๆ เข้ามา จนผมต้องก้มลงกัดที่บ่าของปาร์คเพื่อระงับอาการเจ็บ... และเสียว

   ปาร์ควางร่างผมลงกับเตียงอีกครั้ง พร้อมกับโน้มตัวมาจูบปากผมอย่างดุเดือด รุนแรงตามอารมณ์สวาทที่กำลังถาโถ้มร่างของเราสองคน มือข้างหนึ่งของปาร์คกลับมาทำหน้าที่แทนผมอย่างรู้ทัน

   “เสียวเป็นบ้าเลย เมียใครก็ไม่รู้ อ่าาา” ปาร์คครางออกมาแทบไม่เป็นภาษา ขณะที่เจ้าตัวเร่งจังหวะรุนแรงและรวดเร็วขึ้นจนผมแทบทนไม่ไหว เช่นเดียวกับมือที่รูดส่วนนั้นให้ผมก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน

   พายุใกล้สงบแล้ว... เมื่อน้ำขาวขุ่นของผมไหลทะลักออกมาเปื้อนเปรอะเต็มหน้าท้องแบนราบและฝ่ามือของปาร์ค ผมหลับตาพริ้ม นิ้วมือและนิ้วเท้าเกร็งจิกผ้าปูที่นอนด้วยความเสียวขั้นสุดจากการปลดปล่อย

   “อื้มมม อ่าาา” ปาร์คเร่งจังหวะมากขึ้นเมื่อผมเสร็จสมอารมณ์หมาย ก่อนที่ร่างสูงนั้นจะกระแทกแรงๆ อีกหลายทีก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงแรงฉีดของของเหลวที่ปล่อยเข้าไปในตัวผม ก่อนที่เจ้าตัวจะกระแทกหนักๆ ซ้ำอีกสองสามครั้งก่อนแช่ค้างไว้ ผมค่อยๆ ปรือตามองปาร์คทำกำลังมองผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างพึงพอใจ

   “พอใจแล้วใช่ไหม ถ้าพอใจแล้วก็ปล่อย!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เหมือนกับเรี่ยวแรงที่เหมือนเพิ่งถูกปาร์คดูดกลืนไปเมื่อครู่

   “ยังไม่จบง่ายๆ หรอก ในเมื่อไม่จำเองว่าตัวเองเป็นของใคร ฉะนั้นก็ต้องทำให้จำขึ้นใจ ว่าใครคือ ‘ผัว’ ตัวจริง”

   ปาร์คพูดเสียงเหี้ยมพลางยิ้มเหี้ยม ผมถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พายุที่ผ่านไป มันเป็นแค่ลูกแรกเท่านั้น ค่ำคืนนี้ผมต้องเผชิญหน้ากับพายุที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งนี้อีกสักกี่ลูกกัน

   “ม่ายยย!!!”

   ปาร์คทำแบบนี้กับผมทำไมกัน...   


ย้ำอีกที ตอนพิเศษนี้จริงๆ ต้องอยู่ต่อจากตอนที่ 27 นะฮะ พอดีเอามาลงแทรกเอาไว้ตามคำแนะนำ

ตั้งใจทำออกมาให้เป็นฉากที่รุนแรงตามอารมณ์ของตัวละคร
แต่จริงๆ ก็ตั้งใจแทรกความเป็นตัวฟร๊องก์ซ่อนอยู่ในนั้นนิดหน่อย
เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างแรงอารมณ์กับแรงปราถนา...
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Exclusif 2 (NC) P.4 [7/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-07-2017 23:17:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 30 [11/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 11-07-2017 19:45:37
Chapitre 30

   ไชโย!!! สอบเสร็จสักที! ผมเพิ่งเคลียร์ข้อสอบวิชาฝรั่งเศสเสร็จเป็นวิชาสุดท้าย ซึ่งนัดสอบนอกตารางวันเสาร์หลังจบสัปดาห์การสอบทั้งสองสัปดาห์ และเป็นตัวที่ทำเอาผมเครียดและปวดหัวมากที่สุด ทั้งอ่านเยอะ จำแกรมม่าร์ก็เยอะ แถมอาจารย์ยังออกข้อสอบได้พลิกแพลงต้องงัดความเข้าใจโดยรวมมาใช้ในโจทย์ข้อเดียวอีก เล่นเอาความรู้ที่มี (อย่างน้อยนิด) ของผมตีกันยุ่งเหยิงไปหมดเลย นี่ปวดหัวมากเลยครับ ทั้งๆ ที่ออกจากห้องสอบมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังยืนถกเถียงเรื่องข้อสอบกับเพื่อนอยู่ เพื่อนในกลุ่มผมมีแค่ผม เก็ท แล้วก็โดนัทครับที่เรียนฝรั่งเศส นอกนั้นก็เลือกภาษาที่ 3 อื่นๆ เป็นตัวเลือกแยกๆ กันไป

   แต่ผมว่าพอแล้วแหละครับ ยิ่งพูดถึงตัวข้อสอบไป ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่มากขึ้นเท่านั้น เมื่อมานั่งคุยกับเพื่อนๆ บางคนกลับตอบไม่เหมือนกับผม บางทีหันไปถามเก็ทที่นั่งฟังเงียบๆ เก็ทก็ตอบมาแค่ว่า ตอบเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แล้วเอาผมหัวใจหล่นวูบเลย คะแนนผมจะเหลือเท่าไรวะเนี่ย ดีหน่อยที่ข้อสอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด แล้วมันต้องแต่งประโยคขึ้นมาเอง จะมีแค่บางพาร์ทที่ให้เลือกเติม verbe (คำกริยา) ได้ตามใจชอบ แบบไม่มีช้อยส์ ไม่มีตัวเลือกใดๆ ทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือต้องมีคลังศัพท์อยู่ในหัวพอสมควรอ่ะ

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นขัดกับเสียงของโดนัทที่นั่งจ้อเรื่องข้อสอบกับเพื่อนในสาขาอีกคนอย่างออกรสชาติ ผมกลายเป็นฝ่ายนั่งฟังแล้วครับ รู้สึกว่าตัวเองตอบอะไรไปก็ผิดหมดเลย นี่ถ้าใจไม่รักผมคงไม่เรียนจริงๆ นะฝรั่งเศสเนี่ย

   หน้าจอโชว์ชื่อของน้องชายผู้ที่พูดปากไม่หยุดขยับนั่นเอง เป็นทาร์ตแหละครับที่บอกผมว่าจะโทรหาหลังสอบเสร็จ ซึ่งเป็นปกติทุกวันแล้วที่ทาร์ตจะโทรมาคุยกับผม ทั้งที่ก็เจอกันที่มอทุกวันนะ แต่ตกดึกก็โทรมาอีกแล้ว แถมยังมักจะหยอดคำหวานให้กับผมเรื่อยๆ ส่วนผมก็เริ่มเปิดใจนิดๆ แล้วแหละครับ จริงๆ จะว่าเปิดใจก็คงไม่ถูกซะทีเดียว ในเมื่อผมไม่ได้คิดจะปิดกั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เลยทำให้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นระหว่างผมกับปาร์ค ทาร์ตก็เข้ามามีส่วนในชีวิตผมมากขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีนะ เพราะมันสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผมมากขึ้นเช่นกัน

   “ว่าไง” ผมกรอกเสียงหลังจากกดรับอย่างเคยชิน ทำให้เก็ทที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบตามามองเล็กน้อย

   [สอบเป็นไงบ้างพี่ สบายๆ เลยป่ะ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงไม่แพ้กัน

   “สบายบ้าไรล่ะ นี่นั่งคุยกันเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ถูกเลย” ผมทำเสียงอ่อย คิดแล้วก็เครียด จะต้องดร๊อปไหมวะเนี่ยกู

   [โห้พี่ ผมเห็นพี่อ่านเยอะขนาดนั้น ยังบอกว่าทำไม่ได้อีกเหรอ นี่ถ้าผมไปเรียนด้วย คงแปลโจทย์ไม่ออก แล้วส่งกระดาษเปล่าเลยแหละ]

   “มันต้องเอาทุกอย่างที่เรียนๆ มารวบยอดมากกว่า มันไม่ใช่สักแต่อ่าน จำแล้วไปทำข้อสอบอ่ะ แต่มันต้องเข้าใจ วิเคราะห์เป็นไรงี้อ่ะ เลยแบบมันไม่ค่อยจะได้”

   [เอาหน่าพี่ มันผ่านไปแล้ว พี่ก็ทำเต็มที่แล้ว ผมเชื่อ! ผลสอบต้องออกมาดีแน่นอน เห็นพี่ตั้งใจซะขนาดนั้น] ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอย่างเป็นกำลังใจ ผมนึกสีหน้าออกเลย สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ โลกรอบข้างก็ดูสดใสเสมอ

   “คงงั้นมั้ง” เสียงผมยังดูแผ่วๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยากอ้อนให้คนปลายสายปลอบอย่างไรไม่รู้อ่ะ

   [อย่าเศร้าไปเลยพี่ เอางี้ พรุ่งนี้ผมพาไปเลี้ยง ทั้งกินข้าว ดูหนังเลย ถือว่าฉลองที่สอบเสร็จด้วย ดีไหมๆ]

   “หึหึ พูดเองนะ เดี๋ยวพ่อจะเล่นให้หมดตัวเลย” ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดด้วยเสียงเหี้ยม ในเมื่อมีคนเสนอมา ฟร๊องก์คนนี้ก็พร้อมสนองให้สมใจเลยครับ งานสบายกระเป๋าตังค์แบบนี้ชอบอยู่แล้ว ฮ่าๆ

   [ไม่มีปัญหาเลยครับผม! สำหรับพี่ฟร๊องก์ จะแค่ไหนผมก็ดูแลไหวอยู่แล้ว!]

   “จะกลับเลยไหม” จู่ๆ เก็ทก็โพล่งขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมก้มลงมาถามผมหน้านิ่ง

   “กลับดิๆ เออทาร์ต แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวไลน์มาบอกก็ได้ว่าที่ไหน กี่โมง” ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นยืนตามทันที ก่อนจะบอกปลายสายว่าจะวางแล้ว ส่วนรายละเอียดให้ไลน์คุยกันเอา ผมกับโดนัทวิ่งตามอย่างงงๆ เมื่อเก็ทเดินด้วยฝีก้าวยาวๆ ตามช่วงขาลงจากตึกไปแล้ว

   [โอเคพี่ เดี๋ยวคุยกันในไลน์ก็ได้] ทาร์ตว่าก่อนที่ผมจะกดวางสายไป

   หลังจากส่งโดนัทที่คอนโดฯ เสร็จ ภายในรถก็ยังคงเงียบอยู่ จริงๆ เก็ทเงียบมากๆ ตั้งแต่ที่เดินลงมาจากตึกแล้วแหละครับ ผมกับโดนัทเองก็งงๆ ว่าเป็นอะไร เพราะเห็นคุยเรื่องข้อสอบกันก็ยังยิ้มๆ อยู่

   “เป็นไรเนี่ย อย่าบอกนะเงียบๆ แบบนี้เพราะทำข้อสอบไม่ได้หลายข้อ” เปิดปากแซวทันทีเพื่อหวังว่ามันจะช่วยดึงบรรยากาศที่น่ากดดันนี้ให้ผ่อนคลายขึ้นได้

   “เปล่า” เก็ทตอบสั้นๆ สายตายังคงมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ

   “แหนะๆ ยอมรับมาซะดีๆ ว่าทำผิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถึงว่าสินั่งฟังเงียบเลย ฮ่าๆ” ผมยังคงไม่หยุดเอ่ยปากแซว

   “สรุปว่าคบกันแล้วเหรอ”

   “หืม... หมายถึงอะไร” เสียงหัวเราะก่อนหน้าต้องสิ้นสุดลงทันทีที่เก็ทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ว่ากำลังอยู่ในโหมดไหน

   “คบกับทาร์ตแล้วเหรอ” เก็ทหันมาสบตากับผมด้วยสายตาเรียบเฉยเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองท้องถนนเบื้องหน้าเช่นเดิม

   “ก็... ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่ก็คุยๆ กันอยู่อ่ะ น้องมันก็ตลกดี คุยด้วยแล้วรู้สึกไม่เกร็ง สบายๆ ไม่กดดัน ฟร๊องก์ไม่อยากรีบแล้วล่ะ ค่อยๆ เรียนรู้กันไปดีกว่า” ผมตอบยิ้มๆ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มที่ฉายแววสดใสจากริมฝีปากคู่นั้น ไหนจะเหล็กดัดฟันสีหวานที่เสริมเข้ามาช่วยให้รอยยิ้มนั้นน่ามองมากขึ้นอีก ก่อนจะหันกลับไปมองทางด้านหน้าเช่นเดียวกับอีกคน

   “อืม ถ้าเป็นอย่างงั้นก็ดีแล้ว แต่ก็ดูให้ดีๆ ก่อนแล้วกัน อย่ารีบร้อนเกินไป” ผมหันไปยิ้มให้เก็ทอีกครั้ง ไม่แปลกใจหรอกครับที่มันพูดแบบนั้น เพราะผมรู้ดีว่ามันเป็นห่วงและหวังดีกับผมในแบบเพื่อนเหมือนทุกครั้งที่เคยเป็น อีกอย่างเก็ทก็รู้มาตลอดว่าความรักที่ผ่านของผม ผมต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน จึงไม่แปลกหรอกที่มันจะเตือนผมแบบนั้น

   “อืม ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แหละ ขอบใจนะ”

   ถ้าวันนี้ผมไม่เหลือใครจริงๆ ขอแค่มีเพียงเพื่อนคนนี้ผมก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว...

**********__________**********

   หลังจากเมื่อวานที่แยกกับเก็ทไป ช่วงกลางคืนทาร์ตก็ไลน์มาบอกว่าพรุ่งนี้จะนั่งแท็กซี่มารับผมที่หอ แล้วชวนผมไปไหว้พระที่วัดพระแก้วกันก่อน เพราะมันบอกว่ามันอยากไปมานานแล้ว ตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ ยังไม่เคยได้แวะไปเลย ผมก็เห็นว่าดีเหมือนกัน ไปไหว้พระทำบุญซะบ้าง เผื่ออะไรๆ ในชีวิตผมจะดีขึ้นบ้าง แล้วหลังจากนั้นค่อยไปดูหนังกินข้าวตามโปรแกรมของคนเลี้ยง ฮ่าๆ

   แน่นอนว่าจะไปเดินเที่ยวในวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังตามที่ทาร์ตชวนก็ต้องออกเช้ากว่าปกติหน่อย ถ้าไปช้ามันก็จะกินเวลานานด้วย แถมแดดยังแรงอีกต่างหาก ร้อนตายเลย ผมเลยบอกเวลาทาร์ตให้มาหาผมที่หอตั้งแต่เก้าโมงเช้า ตอนนี้ก็เกือบได้เวลานัดแล้ว ผมจึงลงไปนั่งรอที่เก้าอี้ใต้หอ

   นั่งจิ้มหน้าจอไอโฟนอยู่ไม่นานแท็กซี่สีชมพูก็มาจอดที่หน้าหอของผม ก่อนที่ทาร์ตจะเปิดประตูลงมาโบกมือทักทายผมพร้อมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้าง จะว่าไปวันนี้มันดูดีเหมือนกันนะเนี่ย

    ทาร์ตที่ยืนยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันนั้นอยู่ในชุดสบายๆ แต่ก็ดูลงตัว ไม่มากไม่น้อยเกินไป มันสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาว แต่ถูกพักแขนขึ้นลวกๆ ไม่เรียบร้อยมากนักไว้ที่บริเวณข้อศอก พร้อมปล่อยชายเสื้อทับขอบกางเกงยีนส์ทรงเดฟสีทึบ ทุกอย่างเข้ากันอย่างลงตัวกับรองเท้าผ้าใบ Converse สีขาวเรียบๆ มีเส้นขลิบดำเล็กๆ ที่ขอบยางของรองเท้า ที่ข้อมือข้างที่กำลังโบกให้ผมนั้นมีเพียงนาฬิกา G-Shock สีดำเท่านั้น ไม่มากตามสไตล์ less is more จริงๆ

   ส่วนผมก็เลือกสไตล์การแต่งตัวของวันนี้ไม่ผิด ผมใส่แค่เสื้อยืดสบายๆ ลายขวางสีขาวสลับดำไว้ด้านใน แล้วสวมทับด้วยแจ็กเก็ตยีนส์สีซีดพับแขนนิดหน่อย กับกางเกงยีนส์ขาเดฟเช่นกันแต่สีอ่อนกว่าของทาร์ตและมีรอยขาดแบบเท่ๆ พร้อมรองเท้าผ้าใบแบบหุ้มข้อสีขาวยี่ห้อเดียวกัน ที่ข้อมือผมเองก็มีเพียงนาฬิกาสไตล์วินเทจสายผ้าสีดำไม่มียี่ห้อที่ซื้อมาเก็บไว้จากเจเจ ที่หลังผมมีกระเป๋าเป้สีขาวสกรีนลายมิกกี้เม้าส์น่ารักๆ อีกใบครับ ขนาดไม่ใหญ่เท่าไรนัก ปกติผมไม่ค่อยจะหยิบมาใช้เท่าไรนะ เพราะรู้สึกว่ามันแบ๊วไปหน่อย แต่วันนี้เกิดอยากใช้ขึ้นมา แถมเอามามิกซ์กับชุดนี้ก็ดูน่ารักดี(มั้ง)

   “กระเป๋าพี่น่ารักดีว่ะ แต่ตัวคนสะพายน่ารักกว่าเยอะ” ทาร์ตเอ่ยปากชมก่อนจะตบมุกเลี่ยนๆ ทันทีที่ผมเดินไปขึ้นรถ ในรถมีกระเป๋าผ้าสีดำสกรีนตัวหนังสือสีขาวเรียบๆ ของทาร์ตวางอยู่ เออนี่ถ้าแท็กซี่ชิ่งขับหนีไปตอนที่มันลงจากรถมาเรียกผมจะสมน้ำหน้าให้ ก็เล่นวางทิ้งไว้แบบนี้ แต่ช่างเหอะตอนนี้ผมหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดของทาร์ตเมื่อสักครู่มากกว่า

   “พูดมากจริง! ว่าแต่เตรียมตัว เตรียมตังค์มาดีแล้วใช่ไหม วันนี้จะผลาญให้เรียบเลย!” ผมพูดด้วยท่าทางทะเล้นเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเอง

   “สำหรับพี่ผมยกให้หมดเลย ให้ได้มากกว่าเงินอีก” ทาร์ตเดาะลิ้นพร้อมขยิบตาข้างหนึ่งให้ผมอย่างกวนประสาท

   สิ้นเสียงมัน ผมจัดการประเคนฝ่ามือลงบนหัวมันเน้นๆ ให้ดอกหนึ่ง ก่อนที่ตัวเองจะเสมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่ามันมีวิวสวยๆ ให้ดู ทั้งที่มีแต่ตึกกับรถวิ่งสวนไปมา แต่ก็ยังดีกว่ามองหน้าทาร์ตมันล่ะวะ ไอ้ห่านี่ก็ขยันทำให้หัวใจกูเต้นแรงซะจริงๆ ชักจะหยอดมากเกินไปจนใจกูสั่นไหวแล้วนะ!

   ใช้เวลาพอสมควรกว่าที่รถแท็กซี่จะพาพวกผมมาถึงด้านหน้าซุ้มประตูทางเข้าของวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วแบบที่เรียกกันง่ายๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนการนัดออกมาตั้งแต่ช่วงสายจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไรเลย เพราะเมื่อก้าวลงจากรถแท็กซี่มา ไอร้อนจากแดดก็เข้าปะทะกับใบหน้าและผิวกายทันที แสงแดดช่วงประมาณสิบโมงก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของมันแล้ว ร้อนฉิบหายเลย! แต่เอ๊ะ! หรือว่าผมจะร้อนเพราะเข้าวัดกันแน่วะ!?!

   เมื่อเข้ามาภายในเขตของพระบรมมหาราชวัง ผมกับทาร์ตก็พากันเดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังเดินตามกันเป็นแถวๆ พร้อมทั้งส่งเสียงเอะอะโวยวายล้งเล้งๆ ราวกับว่ากำลังด่ากันอยู่มากกว่าพูดคุยกันธรรมดาก็ไม่ปาน ผมแอบเรียกกรุ๊ปทัวร์คนจีนแบบนี้ว่า ‘ทัวร์ลูกเป็ด’ ทำไมน่ะเหรอ ก็มันดูเหมือนพวกลูกเป็ดกำลังเดินตามแม่เป็ด (ไกด์) ที่กำลังถือธงเดินนำเป็นแถวๆ เห็นแล้วนึกถึงแบบนั้นก็เลยเป็นฉายาใช้เรียกแบบขำๆ

   เราสองคนเดินตามมาจนถึงจุดเก็บเงิน จึงแยกไปเข้าทางช่องคนไทยที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม เมื่อเข้ามายังด้านในของตัววัด ทาร์ตก็มองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ไม่แปลกใจหรอกครับสำหรับคนที่เพิ่งเคยมาที่นี่ครับแรก เพราะทุกอย่างมันถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างงดงามและประณีตมากจริงๆ ขนาดคนที่มาแล้วหลายครั้งอย่างผมยังคงชอบอยู่เสมอเลย ไม่ต้องพูดถึงชาวต่างชาติที่แวะเวียนมาเที่ยวชมเลยครับว่าจะประทับใจมากแค่ไหน เพราะที่บ้านเมืองของเขาคงไม่มีอะไรที่วิจิตรบรรจงและอ่อนช้อยแบบบ้านเรา ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สร้างความประทับใจให้คนมากมาย

   “โคตรสวยเลยพี่! เสียดายไม่ได้เอากล้องมา” ทาร์ตว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ก็ต้องกลับหงอยลงด้วยความเสียดาย ตอนนี้เรากำลังเดินดูรอบๆ บริเวณวัดครับ ยังไม่ได้เข้าไปกราบองค์พระแก้วมรกต

   “ใช้กล้องไอโฟนถ่ายไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวไว้ถ้าจะถ่ายรูป จะพามาใหม่” ผมยิ้มให้กับคนที่เดินอยู่ข้างๆ ที่กำลังแสดงออกถึงสีหน้าเสียดายเต็มประดาที่ไม่ได้ติดกล้องคู่กายมาด้วย

   “จริงเหรอพี่! งั้นไว้พาผมมาอีกนะ!” ทาร์ตหันมาพูดกับผมด้วยความดีใจ พลางยิ้มด้วยสายตาทอประกายแห่งความหวังทันทีที่สิ้นเสียงชวนของผม

   “จริงดิ อยู่แค่นี้เอง”

   “พี่ฟร๊องก์น่ารักที่สุด! ไหนขอกอดหน่อยสิ” ทาร์ตทำท่าทางดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นที่ต้องการ ก่อนที่ตัวผมจะปลิวไปตามแรงโอบเบาๆ ของคนที่กำลังกระโดดโล้ดเต้นอยู่นั้นอย่างเนียนๆ

   “นี่! ปล่อยเลย! ไม่ต้องมาเนียน นี่เขตวัดวานะ เดี๋ยวจะโดน!” ผมหันไปโบกหัวมันอีกครั้งของวัน จนทาร์ตต้องยอมปล่อยผมออกจากอ้อมแขนนั้น ก่อนจะยกมือลูบหัวที่โดนผมตบปอยๆ

   “ไม่เดี๋ยวแล้วมั้งพี่ เต็มๆ หัวผมขนาดนี้ คืนนี้ผมจะฉี่รดที่นอนเปล่าเนียน โดนพี่ตบกระหน่ำแบบนี้” ทาร์ตทำหน้ามู่พลางบ่นอุบอิบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แต่ผมว่ามันดูตอแหลมากกว่าน่าสงสาร! “ขอกอดนิดกอดหน่อยก็ไม่ให้ ใจร้ายชะมัด!”

   “ว่าไงนะ!” ผมง้างมือขึ้นหมายจะซ้ำที่เดิมอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ตามหลังมา อย่าให้รู้ว่าแอบด่ากันลับหลังนะ จะโบกให้หัวหลุดเลย!!

   “เปล่าคร้าบบบ” ทาร์ตส่ายหน้ารัวๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้แต่โดยดี ผมถึงกับหัวเราะกับท่าทางติ๊งต๊องของมันเลยครับ

   แล้วเราสองคนก็เพลิดเพลินกับการชมสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าและสง่างามสมเป็นสมบัติของชาติ ทาร์ตยังคงดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัวมากๆ ใช้เวลาหยุดดูรายละเอียดแต่ละจุดที่สำคัญๆ นานพอสมควรเลยทีเดียว โดยเฉพาะตรงแบบจำลองนครวัด ของประเทศกัมพูชา ทาร์ตถึงกับยืนเล่าให้ผมฟังคร่าวๆ เลยว่ามันไปมาแล้วเป็นอย่างไร สวยขนาดไหน แถมยังบอกอีกด้วยว่ามันกว้างใหญ่มากๆ จนใช้เวลาเดินทั้งวันก็ไม่ทั่ว ผมเองก็ใช้เวลาไม่แพ้กันเพราะเป็นคนชอบดูอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว เลยรู้สึกสนุกและมีความสุขเวลาเจอคนคอเดียวกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

   ทาร์ตหยิบไอโฟนขึ้นมาเก็บภาพเป็นพักๆ แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ว่ายังคงเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องมาอยู่ดี แถมเรื่องความคมชัดของรู้ยังสู้กล้องโปรไม่ได้อีกต่างหาก ก็แหงล่ะสิ มันไม่ได้เกิดมาเพื่อถ่ายรูปโดยตรงนี่นา

   “พี่รู้ไหม ตอนผมอยู่ที่ภูเก็ต ผมไม่ค่อยมีโอกาสมาเที่ยวอะไรแบบนี้เลย” ตอนนี้เรามาอยู่ที่ด้านหน้าของ
พระอุโบสถที่ภายในประดิษฐานพระคู่บ้านคู่เมืองอย่างพระแก้วมรกตไว้

   “ทำไมอ่ะ” ผมหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ

   “ก็ไม่เคยมีใครชวนผมไปเที่ยววัด หรืออะไรทำนองนี้เลย ส่วนใหญ่ไม่ไปห้าง ก็ไปเที่ยวอะไรที่สบายๆ ไม่ร้อนอ่ะ”

   “แล้วมาเที่ยวแบบนี้ชอบไหมล่ะ”

   “ชอบดิพี่ ยิ่งได้มากับพี่ด้วย จะให้ไปที่ไหนผมก็ชอบทั้งนั้น”

   “ขออ้วกได้ไหม ฮาๆ” ผมเบ้ปากใส่เล็กน้อยด้วยความหมั่นไส้

   “พี่ฟร๊องก์ ถ่ายรูปกัน” ก่อนที่ทาร์ตจะสะกิดไหล่ผมให้หันไปถ่ายรูปด้วย

   “เอาดิ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มสดใส ตั้งแต่มาถึงผมเองก็ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลย เอาแต่ดูอย่างเดียว

   ทาร์ตเดินมายืนซ้อนที่ด้านหลังของผมตรงช่องบานหน้าต่างที่มองเข้าไปด้านในจะเห็นองค์พระแก้วพอดี ก่อนที่จะเอื้อมมือที่ถือโทรศัพท์มือถือออกไปด้านหน้าของผมอีกที ตอนนี้ร่างกายของเราสองคนอยู่ใกล้กันมากจนได้ยินเสียงหัวใจของเราทั้งคู่ที่แข่งกันเต้นรัวราวกับกลองชุดที่ตีประกอบเพลงร็อคเร้าใจ

   ใบหน้าทาร์ตยื่นเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น และจังหวะการหายใจถี่ๆ ที่รดรินอยู่ที่บริเวณข้างแก้มด้านขวาของผม มันยิ่งเพิ่มอุณหภูมิที่ใบหน้าผมให้สูงมากยิ่งขึ้น ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือทำให้ผมได้รู้แจ่มแจ้งว่าเราอยู่ใกล้กันมากขนาดไหน มันใกล้มากจนผมทำตัวไม่ถูก ภาพเมื่อตอนไปเที่ยวเกาะล้านเริ่มไหลกลับเข้ามาอีกครั้งหลังจากที่ผมแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ ต่างตรงที่ครั้งนี้ใบหน้าของทาร์ตอยู่ใกล้กับผมมากกว่าเดิม ผมทำได้แค่เพียงยืนตัวแข็งนิ่ง ก่อนที่สายตาจะเสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าจอโทรศัพท์

   ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีกว่าที่เสียงลั่นชัตเตอร์จะสิ้นสุดลง เท่าที่ผมรู้สึกคือทาร์ตกดถ่ายเอาไว้หลายรูปอยู่ แต่ผมไม่ได้มองกล้องเลยสักรูป ก็มันอายนี่หว่า เมื่อถ่ายเสร็จทาร์ตก็รีบเบี่ยงตัวออกห่างจากผมทันที คงเห็นท่าทางไม่ปกติของผมล่ะมั้ง แต่ถึงแม้การถ่ายรูปจะจบลงไปกว่านาทีแล้ว แต่หัวใจของผมยังไม่มีท่าทางว่าจะสงบลงเลยแม้แต่น้อย

   จากนั้นทาร์ตก็สะกิดผมให้เข้าไปไหว้พระด้านใน ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่ยืนนิ่งไปนาน เราทั้งคู่เข้ามานั่งกราบพระเพื่อสงบจิตและสงบหัวใจของตัวเองสักพัก ความรู้สึกก่อนหน้านี้มันกำลังบอกผมถึงการเริ่มต้นใหม่... หรือเปล่า

   หลังจากที่ไหว้พระสงบจิตสงบใจกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกจากพระอุโบสถไปยังด้านในของตัวพระบรมมหาราชวัง เวลาสิบเอ็ดโมงเศษๆ แบบนี้เลยทำให้แดดเริ่มแผลงฤทธิ์มากยิ่งขึ้น จนผมจำต้องถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกเนื่องจากความร้อน เสื้อยืดด้านในของผมชุ่มเหงื่อทั่วทั้งแผ่นหลังเลย ทาร์ตเองก็ไม่ต่างกันเท่าไร แล้วยิ่งเป็นเสื้อเชิ้ตด้วยแล้ว เวลาเปียกหรือเหงื่อออกยิ่งเห็นชัดเข้าไปใหญ่

   “พี่ฟร๊องก์ ผมขอลงรูปที่ถ่ายในเฟซนะ”

   “อืม แต่เลือกรูปดีๆ นะมึง ห้ามแกล้ง!”

   “รูปพี่น่ารักทุกรูปแหละ ผมเช็คแล้ว” ทาร์ตพูดยิ้มๆ ก่อนจะก้มหน้ากดโทรศัพท์อีกครั้ง แต่ไม่นานนักก็เงยขึ้นมาส่งยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันให้ผม

   “ไหนดูดิว่าลงรูปไหนไป ถ้าไม่ดีเตรียมหัวโนไว้ได้เลย” ผมขู่เล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดโปรแกรมเฟซบุ๊กทันทีเพื่อเช็ครูปที่ทาร์ตเพิ่งเอาลงเมื่อกี้ ขณะที่เท้าของเราก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ในส่วนที่เขาเปิดให้เข้าชม

   ผมลุ้นว่าจะได้ตบหัวไอ้ทาร์ตมันอีกครั้ง เมื่อโปรแกรมรันขึ้นมา ผมรีบกดดูที่แถบ notification แจ้งเตือนทันควัน แต่ผิดคาดเมื่อผมได้เห็นรูปดังกล่าวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ แทนที่ผมจะได้บ้องหัวทาร์ต แต่กลับเป็นผมที่หยุดนิ่งทุกอย่าง จะมีก็แค่หัวใจของผมที่เริ่มเต้นแรงขึ้นนั่นเอง

   รูปที่ทาร์ตลงในเฟซบุ๊กและแท็กผมมาเป็นรูปที่ผมกำลังเสมองไปอย่างอีกฝั่ง (จริงๆ ผมก็มองแบบนั้นทุกรูปอ่ะ) ริมฝีปากผมเม้มเข้าหากันเล็กน้อย คงเป็นเพราะความเขิน แต่ผมกลับไม่รู้ตัวเลยว่าผมเม้มปากตอนไหน ส่วนใบหน้าทาร์ตเองก็อยู่ใกล้กับผมมากๆ เหมือนที่ผมเห็นในหน้าจอก่อนหน้าที่จะถ่าย เรียกได้ว่าแทบจะแนบชิดติดกันเลยด้วยซ้ำขณะที่สายตาเป็นประกายของทาร์ตเองก็หันมองมายังผม ทำให้มุมนี้ดูเหมือนทาร์ตกำลังหอมแก้มผมด้วยจมูกอยู่อย่างไรอย่างนั้น แถมที่ริมฝีปากนั่นยังเผยรอยยิ้มเล็กๆ แต่กลับดูสดใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอีกต่างหาก

   สายตาของผมเลื่อนไปหยุดที่คำบรรยายใต้ภาพ ที่เจ้าตัวระบุสั้นๆ ว่า ‘ความสุขของผม’ ทิ้งท้ายไว้...

**********__________***********

   กว่าเราจะออกจากวัดพระแก้วมาก็เป็นเวลาประมาณบ่ายโมง หลายคนอาจจะสงสัยว่าหลังจากที่ผมเปิดดูรูปเสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่พยายามควบคุมสติของตัวเองให้นิ่งมากที่สุด เสมอเหมือนว่าผมไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับรูปที่เห็น ซึ่งโคตรขัดกับหัวใจตัวเองที่มันเต้นโครมครามยิ่งกว่าจังหวะเร้กเก้จนยากจะควบคุม แถมใบหน้าก็ร้อนระอุจนแทบไหม้แข่งกับไอแดดร้อนๆ จากด้านนอกอีกต่างหาก ส่วนทาร์ตนะรึ เมื่อเห็นผมนิ่งไปรายนั้นก็ปฏิบัติการกวนและแซวทันที พอแซวเอามากๆ เลยจัดฝ่ามืออรหัตให้ไปเป็นของกำนัลอีกที โทษฐานที่กวนตีนดีนัก!

   เราวนเวียนผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ตลบอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ผมฮาแตกมากตอนที่ทาร์ตมันไปยืนจ้องหน้าทหารที่ยืนเฝ้าเวรอยู่ แต่ไม่ได้ยืนจ้องเข้าทางด้านหน้านะ ไปจ้องเขาข้างๆ แต่ระยะนี่ใกล้ชิดมาก ถ้าเป็นผมคงรู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อย แต่พี่ทหารเขานิ่งมาก ผมที่รับหน้าที่ถ่ายรูปให้ก็ถ่ายไปหัวเราะไป รูปนี่สั่นไหวหมดเลย ไม่รู้จะมีรูปที่ใช้ได้หรือเปล่า ส่วนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็มองกันเป็นแถวๆ บ้างก็ตลกกับท่าทางนิ่งๆ ของทั้งคู่ บางคนก็งงๆ ว่าสองคนนี้มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า แต่เมื่อถ่ายรูปเสร็จก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณและขอโทษเขาด้วย

   ก่อนที่จะออกจากที่นั่น ผมพาทาร์ตไปกินไอศกรีมที่ร้านอาหารร้านหนึ่งภายในนั้น เป็นร้านกระจกเล็กๆ ครับ อยู่ทางด้านขวามือถ้าหันหน้าเข้าพระบรมมหาราชวัง เดาว่าน่าจะเป็นร้านของพวกพนักงานที่ทำงานที่นั่น แต่พวกผมดันเสือกไปกัน ฮ่าๆ ก็เพื่อนผมมันเคยพามากิน แล้วติดใจ ไอติมมันอร่อยดี จากนั้นถึงโดยสารรถเมล์กลับเข้าไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อต่อรถไฟฟ้าบีทีเอสไปยังสยาม

   ผมกับทาร์ตมาถึงสยามตอนบ่ายสองกว่าๆ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนหรือซีเรียสกับเวลาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เลยไม่ได้กังวลอะไรว่าจะต้องถึงที่ไหนๆ เวลากี่โมง เรื่องเวลาช่างมันเถอะ ตอนนี้หิวมากแล้วแหละครับ ได้เวลาที่เจ้ามือที่เสนอตัวของวันนี้จะต้องกระเป๋าแฟ่บแล้ว!

   “หิวยังพี่” เมื่อพ้นประตูพารากอนมาไม่ไกล ทาร์ตก็เอ่ยถามขึ้น รู้เวลาดีชะมัด!

   “กำลังจะบอกอยู่พอดีเลย งั้นให้เกียรติเจ้ามือของเราเลือกร้านได้ตามสบายเลย อยากกินอะไรก็จัดเลยครับผม”

   “ฮ่าๆ ไอ้เราก็นึกว่าจะลืมไปแล้วซะอีก อุตส่าห์จะเนียนๆ ไปสักหน่อย อดเลย” ทาร์ตหัวเราะร่วนพลางบ่นผมอย่างทะเล้นๆ “พี่แหละอยากกินอะไร ผมกินได้หมดอยู่แล้ว”

   “อืม... งั้นไปกินทูดาริล่ะกัน กินอาหารเกาหลีเป็นใช่ป่ะ” ในเมื่อเปิดช่องให้ผมเลือกเอง ผมก็ขอจัดในสิ่งที่ผมอยากกินแล้วกัน หนึ่งในร้านที่กินบ่อยและชอบมากที่สุดเวลามาที่นี่

   “สบาย! ยิ่งกว่าอาหารเกาหลีผมก็กินได้” ทาร์ตตอบด้วยความมั่นใจพร้อมกับยิกคิ้วกวนๆ ให้ผม

   “งั้นกินนี่ไหม!” ผมว่าก่อนจะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย ทำเอาทาร์ตหัวเราะออกมาเสียงดังเลย

   ผมกับทาร์ตขึ้นลิฟต์แก้วไปยังชั้นสี่ทันทีที่ตกลงได้ว่าจะกินอะไร จากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังร้านที่เป็นเป้าหมายทันที ไม่ต้องบอกว่าหิวกันขนาดไหน เออ... จะว่าไปผมลืมนึกถึงแจ็กเก็ตไปเลย ยัดไว้ในกระเป๋านานแล้ว เดี๋ยวถึงร้านค่อยเอาออกมาใส่แล้วกัน เพราะตอนขึ้นไปดูหนังอาจจะหนาว

   ไม่นานเราทั้งคู่ก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าร้าน ด้านในคนเต็มเลยอ่ะ พนักงานจึงมาจดลำดับเพื่อเรียกคิวทีหลัง ซึ่งผมได้เป็นคิวที่สอง แต่ในขณะที่ยืนรออยู่นั้น ผมก็รู้สึกเหมือนถูกใครจ้องมองอยู่จากภายในร้าน จนทำให้ผมต้องหันกลับไปมองตามความรู้สึก

   และเมื่อผมมองเข้าไปภายในร้าน ผมก็ถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูกเมื่อสายตาของผมไปปะทะเข้ากับดวงตาคมสีนิลที่ดูขุ่นเคืองของอีกคน เป็นปาร์คที่นั่งกินอยู่ภายในร้านแต่สายตากลับจับจ้องมายังผมที่ยืนอยู่ข้างๆ ทาร์ต นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดอย่างชัดเจน แต่ก็กลับแฝงด้วยความผิดหวังและตัดพ้ออยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่ปาร์คมีสิทธิ์อะไรมองผมด้วยสายตาแบบนั้น ในเมื่อตัวเองก็มากับอีกคน คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคือผู้หญิงที่ชื่อเกลคนนั้น คนที่เขารักและคบหา

    “พี่ฟร๊องก์ เราเปลี่ยนร้านกันก็ได้นะพี่” ทาร์ตเอื้อมมือมาแตะไหล่ทำท่าเหมือนกำลังโอบผมอยู่ได้ดึงให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความคิด ทันทีที่ฝามือของทาร์ตแตะลงบนหัวไหล่มนของผมนั้น ปาร์คมีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อยแต่ต้องวางมาดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรในเมื่อตัวเองอยู่กับแฟน คงทำอะไรมากไม่ได้ แต่ช่างเถอะเพราะผมเบนสายตาของตัวเองให้เลิกสนใจคนที่ผม ‘บังเอิญเจอ’ นั่นมาที่ทาร์ตแล้ว

   “ไม่ต้องหรอกทาร์ต พี่ไม่ได้เป็นอะไร” ผมพูดด้วยรอยยิ้มที่พยายามแสดงออกมาเพื่อให้ตัวเองดูเข้มแข็ง แต่ข้างในผมกลับรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นภาพของสองคนนั้น

   ไม่แปลกหรอกที่เขาสองคนจะมาด้วยกัน ในเมื่อเขาทั้งคู่เป็นแฟนกัน การไปเที่ยว ไปกินข้าว หรือไปไหนมาไหนด้วยกันย่อมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เวลาที่ปาร์คมาตามเทียวไล้เทียวขื่อง้องอนผมนั้นมันคงเป็นแค่เวลาว่างๆ ที่เหลือจากเวลาหลักๆ ที่มอบให้ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น แค่เพียงเศษเสี้ยวเวลาที่ไร้ค่าของอีกคนที่ปาร์คปันมันมาให้กับผม

   ผมตัดสินใจไม่ย้ายร้าน เพราะไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่ผมจะต้องหนี ถ้าผมหนีก็หมายความว่าผมจะต้องหนีตลอดไป อีกอย่างปาร์คอาจจะคิดว่าผมยังคงทำใจไม่ได้ และตัดใจจากปาร์คไม่ได้จนต้องหนีหน้า แล้วจะดึงเอาข้ออ้างนี้มาใช้ทำร้ายผมอีก ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด จะได้พิสูจน์ตัวเองด้วยว่าผมสามารถตัดใจได้แล้ว และแสดงให้อีกฝ่ายเห็นด้วยว่าผมไม่ได้เป็นและไม่รู้สึกอะไร ผมจะไม่ยอมแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่าผมอ่อนแอ ไม่ว่าจะต้องฝืนใจและ... ทรมานตัวเองแค่ไหนก็ตาม


à suivre...


จะงงไหม ที่เอาฉาก NC มาแทรกไว้ก่อนหน้า
ลองลำดับเหตุการณ์ดูนะ 555+

ตอนนี้เป็นความมุ้งมิ้งของทาร์ตกับฟร๊องก์
แต่... กลับมีมารมาผจญ มารที่ทุกคนรักกกก 555555+
แถมยังเป็นการเจอกันของฟร๊องก์กับเกลอีก
ตอนหน้าจะเป็นยังไงหนอออ หุหุ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 30 P.4 [11/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 11-07-2017 21:37:57
อดทนไปค่ะ สวยๆ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 30 P.4 [11/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-07-2017 23:41:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 30 P.4 [11/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-07-2017 22:13:51
เกลียดปาร์ว่ะ เมื่อไหร่จะกลับหลุมไปซะทียังจะโผล่มาให้เห็นอีกทำไม พระเอกนะมันทาร์ตไม่ใช่แกหรอกนะปาร์ค
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 31 [14/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 14-07-2017 21:02:08
Chapitre 31
          
   ผมเจอปาร์คโดยบังเอิญที่ร้านอาหารในพารากอนที่ผมเลือกว่าจะมากิน ปาร์คมองผมด้วยสายตาตำหนิเหมือนผมทำผิดที่มากับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา แต่เขาลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเขาเองก็มากับอีกคนเช่นกัน ดังนั้นทำไมผมจะต้องแคร์

   “ทาร์ตช่วยหยิบแจ็กเก็ตในกระเป๋าแล้วใส่ให้หน่อยดิ” ผมหันหลังให้ทาร์ตเปิดกระเป๋าเป้เอาแจ็กเก็ตออกมา ก่อนที่จะปลดสายกระเป๋าที่คล้องที่ไหลออกมาหิ้วไว้ที่ด้านหน้าแทน

   ทาร์ตหยิบแจ็กเก็ตยีนส์ออกมาสะบัดเล็กน้อยเพราะตอนยัดผมสักแต่ยัดๆ เข้าไปไม่ได้คำนึกถึงความเรียบร้อยหรือมันจะยับไหม ก่อนที่ค่อยสวมแขนด้านหนึ่งให้ผม ขณะที่สายตาผมก็แอบเหลือบมองปฏิกิริยาของปาร์คเหมือนกันว่าจะมีสีหน้าหรือท่าทางเช่นไร ผมไม่ได้จงใจยั่วอีกฝ่ายหรืออะไร ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่รู้สึกหนาวๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในห้างเท่านั้น

   แต่ที่เหลือบไปมอง ก็แค่... อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร...

   “คุณทาร์ตสองที่ค่ะ คุณทาร์ต... เชิญด้านในค่ะ” เสียงของพนักงานดังขึ้นหลังจากที่ทาร์ตสวมแจ็กเก็ตให้ผมเสร็จ ผมมองไปยังโต๊ะว่างด้านในที่พนักงานเพิ่งจะเก็บโต๊ะและภาวนาขออย่าให้ผมได้นั่งโต๊ะนั้น เพราะมันเป็นโต๊ะที่อยู่ติดกับโต๊ะของปาร์ค โดยมีเพียงแค่ระแนงไม้บางๆ กั้นไว้เท่านั้น แต่สุดท้ายก็จำต้องเป็นโต๊ะนั้น เพราะเป็นโต๊ะว่างเพียงโต๊ะเดียวในร้าน

   ผมที่จะเลือกนั่งผมตรงข้ามปาร์ค ไม่ใช่เพราะต้องการที่จะเห็นหน้า แต่ถ้านั่งฝั่งเดียวกัน ผมจะนั่งติดกับปาร์คมาก แค่ระแนงไม้นั้นกั้นไว้จริงๆ อีกอย่างมือของปาร์คอาจจะเอื้อมมาหาผมได้ การเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามผมก็รู้สึกเกร็งและประหม่าน้อยกว่า อย่างน้อยระแนงไม้ก็มีช่องระหว่างซี่ไม้ที่ไม่กว้างมากนัก คงเห็นหน้าได้ไม่ถนัดนักหรอก อีกอย่างผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอยู่แล้วว่ามันจะมองผมหรือเปล่า

   แต่ดูเหมือนผมเลือกที่ผิดยังไงไม่รู้ ทันทีที่ก้นผมหย่อนลงบนเบาะโซฟายาว หางตาผมก็เหลือบไปเห็นปาร์คที่จ้องผมผ่านช่องระหว่างซี่ไม้นั้นได้อย่างชัดเจน จนผมถึงกับก้มหน้ากลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก นี่ผมจะทนไหวแน่ใช่ไหมกับการกินอาหารมื้อนี้ หัวใจผมเต้นแรงและรัวมากขึ้นทุกขณะ จนร่างกายเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาพร้อมกับอาการสั่นเล็กน้อย

   ไม่นานพนักงานก็นำเมนูอาหารมาให้ ผมเอื้อมมือที่สั่นระริกแต่ไม่มากนักจนเป็นที่สังเกตขึ้นไปเปิด แต่ไม่นานฝ่ามือที่อบอุ่นของคนที่นั่งตรงข้ามก็เอื้อมมากุมมือของผมไว้ ทาร์ตบีบมือสั่นรัวของผมนั้นเบาๆ อย่างเป็นกำลังใจ และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับรอยยิ้มที่สดใสที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่ มันช่วยคลายความรู้สึกหวาดกลัวและไม่มั่นใจได้เป็นอย่างดี ผมส่งยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อยเพื่อบอกว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว ทาร์ตจึงยอมปล่อยมือนั่น

   เราสองคนลงมือสั่งอาหารเมื่อผมรู้สึกดีขึ้น และอาการหิวเข้ามาแทนที่ เราสั่งไปขำไปกับการสั่งของแต่ละคน ก็มากันแค่สองคน แต่เล่นสั่งไปเยอะมาก จนต้องมานั่งยกเลิกออเดอร์บางอย่างทีหลัง แต่อย่างน้อยเมนูหนึ่งที่ผมไม่ยอมให้ยกเลิกแน่นอนคือต๊อกปกกีซีฟู๊ดอบซีสเมนูโปรด แต่เมื่อสั่งเมนูนั้นไป ผมกลับเผลอเงยหน้ามองรอยยิ้มที่มุมปากและเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่อยู่อีกฝั่งของระแนงไม้ ปาร์ครู้ครับว่าผมชอบกินเมนูนี้มากๆ เวลาที่มาด้วยกันผมมักจะสั่งเมนูนี้แล้วกินได้เพียงเล็กน้อยจนโดนปาร์คบ่นอยู่เสมอ

   “ปาร์คคะ อันนี้อร่อยนะลองทานดูสิ มัวแต่เหมออะไรอยู่” เสียงผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผมดังขึ้นทำให้ผมต้องเหลือบตาไปมองการกระทำดังกล่าว ผู้หญิงที่ชื่อเกลคนนั้นคีบแป้งต๊อกปกกีเมนูเดียวกับที่ผมโปรดปรานยื่นไปยังปากของปาร์ค ซึ่งเจ้าตัวก็อ้าปากรับแต่โดยดี ก่อนจะเหลือบตามามองผมเช่นกัน จนผมต้องกุลีกุจ่อหันหลบแทบไม่ทัน จะทำอะไรก็เรื่องของเขา ใครจะสนใจกัน! ชิ!

   ผมนั่งคุยกับทาร์ตโดยทำเป็นไม่สนใจโต๊ะที่อยู่ติดกันเพียงระแนงไม้กั้น การเลือกที่นั่งฝั่งนี้ของผมถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดถนัดจริงๆ เพราะเวลาเงยหน้าขึ้นไปคุยกับทาร์ตทุกครั้ง หางตาของผมจะเหลือบไปเห็นสายตาของอีกคนที่กำลังมองผมผ่านช่องแผ่นไม้เป็นระยะๆ

   ไม่นานเหล่าอาหารที่สั่งไปอย่างกับคนบ้าก็ทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมเลิกสนใจโต๊ะข้างๆ แล้วลงมือกินอาหารตรงหน้าเนื่องด้วยความหิว จริงๆ ต้องพูดว่าผมพยายามจะไม่สนใจมากกว่า และเมื่อหม้อไฟมาเสิร์ฟ ทาร์ตก็เอื้อมมือมาฉวยเอาถ้วยทางฝั่งผมไปตักให้ทันที ผมเหล่ตามองอีกคนที่นั่งฝั่งเดียวกับทาร์ตที่กำลังจ้องคนที่ตัดซุปให้ผมอยู่ด้วยสายตาดุดัน ผมเลยแกล้งเอื้อมมือไปรับถ้วยต่อจากมือของทาร์ตด้วยรอยยิ้มกว้าง

   แล้วเราสองคนก็ค่อยๆ จัดการกับอาหารบนโต๊ะไปเรื่อยๆ โดยมีซาวน์เป็นเพลงที่ทางร้านเปิดคลอไปกับเสียงหวานเล็กๆ ของผู้หญิงโต๊ะติดกันที่นั่งฝั่งเดียวกับผม ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วสลับกับเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่เป็นระยะ

   “นี่ทาร์ต เคยกินนี่ยัง ลองดูดิ ของโปรดพี่เลยนะ” ผมทำท่าทางภูมิใจนำเสนอเมนูโปรดของผมที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟสุดๆ ก่อนจะลงมือตักใส่จานทาร์ตซึ่งนั่งมองผมด้วยรอยยิ้มกว้างอยู่เช่นกัน

   “ขอบคุณนะพี่ ได้กินของโปรดของพี่ แถมยังใจดีตักให้ผมอีก อย่างงี้มันคงอร่อยมากแน่ๆ” ทาร์ตพูดด้วยท่าทางดีใจอย่างเต็มเปี่ยม

   “แค่กๆ ไอ้นี่มันกินเยอะๆ แล้วเลียนเหมือนกันนะ ว่าไหม” เสียงวางตะเกียบเงินกระแทกจานกับเสียงสำลักอาหารดังของจากโต๊ะข้างๆ ก่อนที่เขาคนนั้นจะเบ้หน้าแล้วชี้ไปยังจานต๊อกปกกีอบชีสที่ผมเพิ่งตักใส่จานให้กับทาร์ต

   “กินเยอะนะ รับลองกินแล้วจะติดใจเหมือนกับพี่” ผมพูดต่อด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้ม ไม่ได้แสดงออกถึงท่าทางสนอกสนใจใดๆ กับการกระทำดังกล่าว และสิ่งที่ผมทำ... ก็ไม่ได้ทำเพื่อประชดใครอยู่ด้วย!

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   “เอ่อ... เดี๋ยวเกลขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ พอดีเพื่อนโทรมาด้วย” ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นหลังจากที่เสียงโทรศัพท์ของเธอดัง ไม่รู้ว่าผมคิดและรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าทันทีที่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู สีหน้าและท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไป ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ

   “ครับ” ปาร์คตอบรับสั้นๆ ก่อนที่จะหันมามองทางผมอีกครั้ง

   “หื้ม! อร่อยอ่ะพี่!” ทาร์ตทำเสียงถูกใจดึงความสนใจของผมให้กลับมาที่โต๊ะของตัวเองดังเดิม

   “เห็นไหมบอกแล้วว่าอร่อย ลองแล้วจะ...”

   “ไง! ไม่คิดจะทักทาย ‘คนคุ้นเคย’ สักหน่อยเหรอ... ฟร๊องก์” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคตามที่ต้องการ เสียงพร้อมร่างสูงของอีกคนที่ก่อนหน้านั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ กลับมาย้ายตัวเองยืนอยู่ที่ด้านข้างของโต๊ะผมในเวลานี้ ก่อนที่จะเดินเข้ามาล้มตัวลงนั่งข้างๆ ผมพร้อมด้วยวงแขนที่วาดมาโอบไหล่ผมอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว มือไวชะมัด!

   “น่ะ... นี่!” ผมดิ้นขลุกขลักอย่างยากลำบากเพราะพื้นที่แคบ พลางหันไปมองหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาขุ่นเคืองและฉายแววไม่พอใจอย่างไม่มีปกปิด

   “อ้าว แล้วนี่มากับใคร ไม่แนะนำให้... ผะ... เพื่อน ‘รัก’ คนนี้รู้จักหน่อยเหรอ” ปาร์คส่งเสียงยียวนกวนประสาท ขณะที่หันไปยักคิ้วกวนๆ เล็กน้อยให้กับทาร์ต พร้อมกับวงแขนนั้นก็โอบรัดตัวผมแน่นขึ้นและดึงให้ผมเข้าไปใกล้ขึ้น

   “ปล่อยพี่ฟร๊องก์ซะ! คนเขาไม่ได้เชิญให้มานั่ง ไม่รู้จักคำว่ามารยาทหรือไง” ทาร์ตพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึมแฝงด้วยสายตาที่หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน บรรยากาศอึมครึมเริ่มก่อตัวขึ้นขณะที่คนในร้านรวมทั้งพนักงานก็เริ่มหันมอง เด็กเสิร์ฟบางคนก็ดูเหมือนจะเข้ามาห้ามทัพเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง

   “อะไรกัน ก็แค่มาทักทายกันตามประสาคนคุ้นเคยกันนิดหน่อยเอง จริงไหมครับฟร๊องก์ หื้ม...” ปาร์คพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ กับคำพูดและท่าทางไม่พอใจของทั้งผมและทาร์ต พร้อมกันนี้ยังหันมาหาผมจนปลายจมูกเกือบเฉียดที่ข้างแก้ม ก่อนที่ริมฝีปากบางคู่นั้นจะกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ

   “ปล่อย! แล้วก็กลับไปยังที่ของ ‘คุณ’ ได้แล้ว!” ผมพูดนิ่งๆ ด้วยคำพูดและท่าทางที่ห่างเหิน ราวกับคนไม่รู้จักกัน ทั้งที่ในใจผมกลับเต้นแรงจนมันจะพุ่งออกมานอกทรวงอก หัวคิ้วของปาร์คกระตุกเข้าหากันทันทีที่ได้ยินคำสรรพนามที่ผมใช้แทนตัวเขาแบบนั้น เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับการพูดออกไปแบบนั้น แต่มันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด... สำหรับเรา

   “อ้าว นี่ใครเหรอคะปาร์ค รู้จักกันด้วยเหรอ” ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงคนเดิมที่ออกไปคุยโทรศัพท์เมื่อสักครู่ก็ดังขึ้นด้านหลังของทาร์ต เช่นเดียวกับปาร์คที่ชักแขนออกจากไหล่ผมแทบจะทันทีที่เห็นเธอคนนั้น หึ! ถ้าแคร์เขามากแล้วจะมาใส่ใจความรู้สึกผมทำไม มาตามง้อและยุ่งวุ่นวายกับผมอีกทำไม! ทำไมไม่ปล่อยให้ผมทำใจได้ซะที!!!

   “อ๋อ เอ่อ... ‘เพื่อนสมัยมัธยม’ น่ะครับ” ปาร์คว่าก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาตัวยาวไปยืนข้างๆ คนที่ปาร์คเลือก คนรักที่แท้จริงของเขา ผิดกับผมที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย คำพูดของปาร์คเมื่อสักครู่ทำให้ผมรู้สึกโหว่งและวังเวงในใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนร่างกายมันถูกดูดเอาพลังงานออกจนหมด จนผมแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจ ‘เพื่อนสมัยมัธยม’ สำหรับปาร์คแล้วผมคงมีความหมายแค่นั้น...

   “งั้นเหรอคะ เราชื่อเกลนะคะ เป็น ‘แฟน’ กับปาร์ค ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เกลพูดด้วยน้ำเสียงหวานของเธอพร้อมกับรอยยิ้ม แต่สายตาที่มองมานั้นกลับดูไม่เป็นมิตรและช่างดูถูกดูแคลนซะเหลือเกิน แถมยังจงใจแค่นเสียงหวานๆ นั้นเน้นสถานะของเธออย่างออกนอกหน้าอีก เหมือนกำลังบอกผมอ้อมๆ ให้ผมสำเหนียกตัวเองว่าใครเป็นเจ้าของหัวใจของปาร์คกันแน่ และแน่นอนว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ผม

   “ครับ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญพวกคุณกลับไปที่โต๊ะด้วยครับ พวกผมจะได้ทานกันต่อ” ผมตอบกลับอย่างเสียมารยาทจนทั้งปาร์คและเกลถึงกับหน้าเสียเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้สังเกตนักหรอก เพราะตอนพูดผมแทบไม่มองหน้าของทั้งคู่ด้วยซ้ำ ผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปั้นรอยยิ้มเป็นมิตรหรือทำท่าทางว่ายินดีที่ได้รู้จัก ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นผมไม่ได้ต้องการได้ยินหรือรับรู้มันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

   “เพื่อนปาร์คคนนี้ไม่มีมารยาทเอาซะแล้วนะคะ พูดด้วยดีๆ กลับไล่กันซะงั้น” เกลสวนกลับผมอย่างหัวเสีย

   “กลับโต๊ะเราเถอะ ปาร์คผิดเองแหละที่เสียมารยาทมา ‘รบกวน’ เวลาทานอาหารของพวกเขา” ปาร์คว่าเสียงอ่อน พร้อมมองผมด้วยสายตาผิดหวังและเศร้าซึมลงต่างจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะลากตัวเกลกลับไปที่โต๊ะเบาๆ

   ผมพยายามนั่งสงบสติอารมณ์ให้เลือกใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน เพราะตอนนี้ในหัวผมมันปั่นป่วนไปหมด แถมยังรู้สึกมวนๆ ในท้อง พาลทำให้ผมกินอะไรต่อไม่ลง สุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากชวนทาร์ตที่ก็วางตะเกียบไปตั้งแต่ที่ปาร์คมานั่งเช่นเดียวกัน ให้เรียกคิดเงิน จากนั้นก็ออกจากร้านไปทันที

   ตลอดทางที่เดินออกจากร้านมา ผมต้องเอ่ยปากขอโทษขอโพยทาร์ตอย่างเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย แถมยังต้องเสียตังค์ฟรีเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกด้วย ผมเองก็พยายามหยิบยื่นเงินให้กับทาร์ตเพื่อรับผิดชอบเพราะมันเกิดจากความผิดของผม แต่ทาร์ตก็ไม่ยอมรับเลยแม้แต่น้อย แต่กลับบอกเพียงว่า ถ้ามันทำให้ผมสบายใจขึ้น ต่อให้มันต้องทำมากกว่านี้ก็ยอม ผมได้แค่เพียงตอบแทนความหวังดีนั้นด้วยรอยยิ้ม

   จากนั้นเราสองคนก็ขึ้นไปดูหนังกันต่อตามโปรแกรมที่วางไว้ โดยไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านอาหารอีก ผมคิดว่าการมาดูหนัง อย่างน้อยน่าจะช่วยให้อาการคิดมากและวิตกกังวลของผมจะเบาบางลงได้ แต่กลับไม่เลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงที่หนังฉาย ผมแทบไม่มีสมาธิกับการทำความเข้าใจเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เลย แต่จะมีก็แค่ฝ่ามืออุ่นๆ ของทาร์ตที่เอื้อมมากุมมือข้างหนึ่งของผม ที่ทำให้จิตใจของผมสงบนิ่งขึ้นได้บ้าง

***********__________***********

   “ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหม” ทาร์ตถามขึ้นเมื่อแท็กซี่ขับเข้ามาใกล้ถึงหอของผม เมื่อดูหนังจบเราสองคนก็โบกแท็กซี่ฝ่าการจราจรที่ติดขัดในบริเวณนั้นกลับทันที

   “ไม่เป็นไร ขอบคุณแล้วก็ขอโทษสำหรับวันนี้ด้วยนะ ทำให้สถานการณ์กร่อยลงไปเยอะเลย” ผมพูดพลางยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ทาร์ต

   “บอกแล้วไงครับว่าไม่ต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย มันเป็นความผิดของไอ้หมอนั่นต่างหาก แต่ช่างมันเถอะ เพราะอย่างไรพี่ก็ทำให้วันนี้ของผมเป็นอีกวันที่พิเศษอยู่ดี”

   “เลี่ยนตลอด!” ผมแกล้งแลบลิ้นทำท่าทางเหมือนจะอ้วกล้อเลียนมุกฝืดๆ ของทาร์ต

   ทาร์ตหัวเราะกับท่าทางของผมเล็กน้อย และไม่นานแท็กซี่ก็มาจอดที่ด้านหน้าหอของผมเป็นที่เรียบร้อย ทาร์ตถามย้ำอีกครั้งแต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อน ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำอย่างกับผมจะฆ่าตัวตายประชดชีวิตอย่างนั้นแหละ

   ผมโบกมือลาทาร์ตจนแท็กซี่คันนานขับหายไปจากสายตา ก่อนที่หันหลังกลับเพื่อเดินเข้าไปด้านในของหอ วันนี้จะว่าไปก็ไม่ได้ทำอะไรเยอะแยะเลยนะ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ ข้างในของผมมันรู้สึกเหมือนซังกะตายไม่อยากรับรู้หรือทำอะไรสักอย่าง ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นป้อนเส้นต๊อกปกกีให้ปาร์ค สถานะที่ปาร์คบอกกับผู้หญิงคนนั้นและย้ำจุดยืนของผมมันยังชัดเจนอยู่ในหัว เมื่อไหร่ผมจะทำใจและไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องเหล่านี้สักที

   “ฟร๊องก์” เสียงเรียกของบุคคลที่ผมอยากจะลืมมากที่สุดดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งจนแทบก้าวพลาดตกบันไดไม่กี่ขั้นที่ก้าวเข้าตัวอาคารเมื่อจู่ๆ ปาร์คก็โผล่ออกมาจากมุมเสาหลังจากที่ผมก้าวขึ้นมาในตัวอาคาร

   “มะ... มีอะไร”

   “ขอคุยอะไรด้วยหน่อย” ปาร์คว่าก่อนจะสายเท้าเข้ามาประชิดตัวผม แต่ผมก้าวถอยโดยอัตโนมัติ

   “ผมไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องคุยกับคุณ” ผมตอบกลับเสียงแข็ง

   “มีสิ! เรื่องของเราไง!”

   “มันไม่มีคำว่าเรา แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องคุยด้วย!”

   “แต่เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!” ร่างสูงยังคงไม่ยอมแพ้ พร้อมก้าวยาวมาคว้าแขนผมอย่างรวดเร็ว

   “... งั้นมีอะไรก็ว่ามา” ผมยอมจำนนด้วยน้ำเสียงต่ำและเย็นชา ในเมื่ออยากพูดนัก งั้นก็เชิญพูด พูดให้ทุกอย่างมันชัดเจน จะได้จบกันไปเสียที!

   “แน่ใจเหรอว่าอยากให้ปาร์คพูดตรงนี้ หรืออยากให้มีพยานรู้เห็นเรื่องของเรา” ปาร์คโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูผมด้วยเสียงเจ้าเล่ห์จนผมขนลุก มันจะเอาอะไรมาบีบผมอีก สนุกนักหรือไงที่เห็นผมเป็นแบบนี้

   “และ... แล้วจะเอายังไง”

   “เราขึ้นไปคุยกันดีๆ บนห้องก่อนได้ไหม” คนตัวใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

   “...”

   “เลือกเอาแล้วกันนะว่าอยากคุยเรื่องนี้กันแค่สองคน หรืออยากให้คนอื่นรับรู้ด้วย”

   สุดท้ายผมก็ต้องเดินนำปาร์คไปยังห้องจนได้ ผมจะทำยังไงได้ในเมื่อทางเลือกผมไม่มีเลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าปาร์คจะเอาอย่างไรกับผมอีก จะตามตื้อผมไปถึงไหน

   ผมพยายามเดินด้วยช่วงก้าวที่ช้าและสั้นที่สุดเพื่อนถ่วงเวลา ผมยอมรับว่าในเวลานี้ผมกลัวร่างสูงที่เดินตามผมมาติดๆ นี้ไม่น้อย ผมกลัวจะเกิดเหตุการณ์บ้าๆ แบบนั้นกับผมอีก และสุดท้ายก็เป็นผมที่ต้องเจ็บทั้งกายและใจอยู่คนเดียว

   “มีอะไรก็รีบพูดมา!” ผมเอ่ยถามธุระที่อีกฝ่ายอ้างทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง แต่อีกคนที่ตามเข้ามากลับไม่มีท่าทีรีบร้อนใดๆ กลับหันไปกดล็อกประตูอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะถอดรองเท้าแล้วเดินไปนั่งที่เตียงราวกับเป็นเจ้าของห้อง “นี่! มีอะไรก็รีบๆ พูดมาสิ!”

   “ยังเก็บตุ๊กตาตัวนั้นไว้อีกเหรอ นึกว่าจะทิ้งมันไปแล้วซะอีก” ปาร์คหันไปมองทางตุ๊กตาไม้ที่ตนซื้อให้ผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   “ก็ไม่มีเหตุผลที่จำต้องทิ้งนี่” ผมตอบกลับเบาๆ พลางมองไปที่ตุ๊กตาตัวนั้นเช่นกัน ช่วงเวลาที่ผมเคยมีความสุข ความทรงจำที่ดีๆ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องถูกลบทิ้งหรือลืมเลือนไปไม่ใช่เหรอ แต่ต่อให้เราอยากจะลืมอย่างไร สิ่งของมันก็เป็นเพียงสิ่งของ ถึงเราจะทิ้ง จะทำลายมันอย่างไร เราก็ไม่สามารถลบเลือนความทรงจำที่มีได้หรอก

   “ก็นึกว่าจะเกลียดกันจนไม่อยากจดจำอะไรของกันและกันไว้แล้ว” ปาร์คว่าเสียงแผ่วพร้อมกับแววตาเศร้าหม่นที่หันกลับมามองที่ผม

   “เห้อออ... ตกลงว่าเรื่องที่จะพูดมันคืออะไรกันแน่ ถ้าไม่มีก็กลับไปเถอะ แล้วก็... เลิกยุ่งเกี่ยวกันสักที”

   “ไม่! จะให้ปาร์คเลิกยุ่งกับฟร๊องก์ได้ไง ในเมื่อเราเป็น...”

   “เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน!! จริงๆ มันไม่เคยมีคำว่าเราตั้งแต่แรกแล้วด้วย!” ผมพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นการตวาด ดวงตาแข็งกร้าวของผมจ้องไปยังสายตาคมที่ฉายแววอ่อนแอ ราวกับคนที่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้ต่อไป สายตาสั่นไหวที่ผมเพิ่งเคยเห็นจากผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรกนั่นแอบทำให้ผมเผลอหวั่นไหวแสดงความเห็นใจออกไปเช่นกัน แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นแหละ เพราะผมจะไม่ยอมให้คนตรงหน้ามาทำร้ายความรู้สึกผมเล่นอย่างไม่ใยดีอีกแล้ว

   “มันจะไม่เป็นได้ยังไง ในเมื่อเราเคยกอด เคยหอมกัน เคยจูบกัน เคยแม้กระทั่งมีอะไรกัน เราเป็นของกันและกันแล้วนะฟร๊องก์ แล้วจะบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันได้ยังไง”

   “แล้วมันอยู่ในฐานะอะไรล่ะปาร์ค เคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ‘เพื่อน’ ไม่ใช่เหรอที่ปาร์คย้ำมาตลอด... แม้กระทั่งวันนี้ เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าปาร์ค!” ผมแสยะยิ้มเยาะเย้ยอีกคนที่ตอนนี้ลุกขึ้นมาประจันหน้ากับผมเป็นที่เรียบร้อย รอยยิ้มที่แสนประชดประชันไม่ต่างอะไรกับการใช้มีดคมๆ กรีดลงบนแผลที่หัวใจตัวเองเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่เจ็บที่พูดออกไปแบบนั้น แต่มันคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้เราสองคนจบกันได้ ปาร์คจะได้ไปมีความสุขในแบบของตัวเอง ส่วนผมจะได้เยียวยารักษาแผลที่มีมาอย่างเนินนานนี้เสียที

   “แต่ช่างมันเถอะ ไม่ว่าที่ผ่านมาเราจะ ‘เคย’ ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกันมา ฟร๊องก์จะถือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบที่มันชักนำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นแล้วกัน อย่าเก็บมาใส่ใจเลย มันไม่ได้มีอะไรเกินไปกว่า ‘ความต้องการชั่วครั้งชั่วคราว’ หรอก บางทีปาร์คอาจจะแค่เห่อ ‘ของเล่น’ ชิ้นนี้อยู่ก็แค่นั้น เมื่อถึงวันหนึ่งปาร์คก็คงวางของเล่นนี้ทิ้งไว้แล้วเดินจากไป เหมือนกับตุ๊กตาตัวนั้นไง ที่สุดท้ายแล้วมันก็เพียงแค่ถูกตั้งทิ้งเอาไว้... แล้วก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ”

   “มันไม่ใช่แบบนั้น ไม่เลยนะฟร๊องก์ ความรู้สึกที่ปาร์คมีให้ฟร๊องก์มัน...”

   “พอเถอะนะปาร์ค ให้เรื่องของเราที่ปาร์คว่ามันจบลงเถอะ ฟร๊องก์เจ็บ... เจ็บและเหนื่อยมากแล้ว อย่าให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บไปมากกว่านี้เลย ถือว่าฟร๊องก์ขอร้องนะ กลับไปดูแลคนที่ปาร์ครักและเขาก็รักปาร์คเถอะ ส่วนฟร๊องก์จะไปตามทางของฟร๊องก์เอง คนที่ผิดจริงๆ มันก็คือฟร๊องก์เนี่ยแหละ ผิดที่รักปาร์คตั้งแต่แรก รักและคิดเกินคำว่าเพื่อนกับปาร์ค และทั้งที่รู้ว่ามันผิด แต่ก็ไม่ยอมตัดใจ ตอนนี้ทุกอย่างมันมาเกินกว่าที่จะแก้ไขแล้ว ฉะนั้นให้มันจบแบบนี้เถอะ ต่างคนต่างไปเถอะนะ วันหนึ่งที่ฟร๊องก์พร้อม เราจะกลับมายิ้มให้กันในฐานะเพื่อนได้อย่างสนิทใจ” ในที่สุดทำนบน้ำตาที่ว่าแข็งแกร่งก็กลับพังทลายลงมาได้อย่างง่ายดาย ผมไม่เหลือความเข้มแข็งอีกต่อไปแล้ว ผมแค่อยากให้ทุกอย่างมันจบ ช่วยให้ผมไม่ต้องทนเจ็บปวดและทรมานแบบที่เป็นอยู่นี่สักที

   มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผมกับปาร์ค อย่ายื้อ อย่าฉุดรั้งกันต่อไปเลย มันจะไม่ใช่แค่ผมที่ต้องเจ็บ แต่จะต้องมีคนที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องและพาลสร้างบาดแผลในหัวใจเขาเหมือนกับผมอีก ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นจากผม ดังนั้นก็ควรเป็นผมที่จบเรื่องนี้ และยอมรับทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้น

   “ฟะ... ฟร๊องก์” ร่างหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อโผเข้ามากอดผมเต็มแรง ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นจากการสะอื้นของคนที่โอบกอดผมอยู่ ผมเองก็ยังคงยืนนิ่งปล่อยน้ำตาและความอ่อนแอของตัวเองในอ้อมกอดนั้น

   ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน แต่กลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อยิ่งได้รับรู้ถึงความรู้สึกของอีกคน ปาร์คเองก็กำลังร้องไห้ ร้องไห้เพราะผมงั้นหรือ เสียใจที่ต้องเสียของเล่นนี้ไปอย่างนั้นหรือ แต่ถึงจะสงสารอย่างไรผมก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว ผมทำในสิ่งที่ผิดต่อเราสองคน รวมทั้งคนอื่นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

   “ปาร์ครักฟร๊องก์นะ” ปาร์คเอ่ยอย่างแผ่วเบา แต่เสียงนั้นกลับกระทบโสตประสาทของผมอย่างจัง

   “ไม่ใช่หรอกปาร์ค มันไม่ใช่ความรักหรอก” ผมยิ้มเยาะกับตัวเอง พร้อมกับพยายามผละตัวออกจากอ้อมกอดนั้น แต่ปาร์คกลับรัดตัวผมแน่นขึ้นอีกจนผมไม่สามารถดันตัวเองออกได้

   “ใช่สิ! ความรู้สึกปาร์ค ปาร์ครู้ดี” ปาร์คพยายามกอดผมแน่นขึ้น ทั้งที่ผมก็พยายามดิ้นอย่างสุดแรงเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ “อย่าไปไหนเลยนะ”

   “ปล่อย!” ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักตัวคนร่างสูงออกไปได้สำเร็จ ก่อนจะแสยะยิ้มเหยียดหยามเต็มประดา “ถ้ารักฟร๊องก์จริงๆ แล้วกับผู้หญิงคนนั้นคืออะไรล่ะปาร์ค! จะบอกว่าไม่ได้รัก ก็ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยมั้ง ทั้งที่ก็ยังคบกับเขาอยู่ทนโท่”

   “...”

   “หึ! เถียงไม่ออก หาข้ออ้างไม่ถูกเลยล่ะสิ กลับไปเถอะปาร์ค ปล่อยให้เรื่องมันจบลงสักที สักวันเราคงกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้”

   “เพราะฟร๊องก์กำลังคบกับไอ้เด็กนั่นอยู่ด้วยใช่ไหม ฟร๊องก์ถึงได้เปลี่ยนไป และตัดใจจากปาร์คง่ายขนาดนี้”

   “ถ้าใช่จริงๆ แล้วฟร๊องก์ผิดอะไรที่จะเริ่มเปิดใจมองคนอื่นบ้าง อีกอย่างมันไม่เกี่ยวหรอกว่าฟร๊องก์จะมีใครใหม่หรือเปล่า แต่สิ่งที่เราเคยทำหรือทำอยู่มันผิด และมันก็ไม่ควรถูกสานต่อด้วย ปาร์คเองก็มีคนที่ต้องเอาใจใส่ ดูแลอยู่แล้ว อย่าให้อะไรมันต้องผิดไปมากกว่านี้เลย”

   “เข้าใจแล้ว... ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยแล้วกันนะ ขอโทษสำหรับวันนั้นที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ถ้าวิธีนี้มันจะทำให้ฟร๊องก์มีความสุขมากขึ้น ปาร์คก็จะยอมทำ ถ้าการที่มีปาร์คอยู่ในชีวิตมันทำให้ความสุขของฟร๊องก์ลดลง ปาร์คจะเป็นคนที่ออกไปจากชีวิตฟร๊องก์เอง”

   น้ำเสียงที่ปกติจะนุ่มทุ้มและสดใส แต่บัดนี้กลับดูเศร้าหมอง ไม่น่าฟัง คำพูดที่ออกมาจากเสียงราบเรียบนั้นทำเอาผมขนลุกอย่างห้ามไม่ได้ การมีปาร์คอยู่ในชีวิตมันไม่ได้ทำให้ผมมีความทุกข์ แต่มันกลับสร้างความสุขที่ยิ่งใหญ่ให้กับผมต่างหาก ความสุขที่ทำให้ผมหลงไปกับมันจนทำให้เกิดอะไรต่อมิอะไรที่เกินเลยไป แต่... ผมต้องใจแข็งให้มากที่สุด อย่าให้ตัวเองเข้าไปทำให้ชีวิตปาร์คต้องแย่ไปมากกว่านี้เลย ผมไม่อยากเห็นปาร์คต้องเสียใจภายหลังกับเรื่องแบบนี้ อย่างน้อยก็ในฐานะของคนที่ผมรัก คงไม่มีใครอยากเห็นคนที่รักเสียใจหรอก แต่การปล่อยมือมันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆ

   “แต่ปาร์คยังคงยืนยันคำเดิม ว่าทุกอย่างที่ผ่านมา มันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ หรือความต้องการชั่วครั้งชั่วคราวอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างที่ทำ ปาร์คทำเพราะความรู้สึกที่เรียกร้อง ทำเพราะรักจริงๆ หวังว่าสักวันเราจะกลับมายิ้มให้กันได้เหมือนเดิมนะ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรอย่าลืมว่ามีปาร์คอีกคนที่จะคอยอยู่ข้างๆ ฟร๊องก์”

   สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงที่ดูหม่นหมองและเจ็บปวดก็เดินผ่านหน้าผมไปทันที ปาร์คสวมรองเท้าอย่างไม่เรียบร้อยนัก ก่อนจะเอื้อมไปบิดลูกบิดอย่างช้าๆ แล้วก้าวออกไป ก่อนจะหันมาปิดประตู ผมได้สบเข้ากับดวงตาที่ฉายแววโศกเศร้าอย่างไม่สามารถปกปิดได้ แถมยังมีม่านน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่

   และแล้วประตูบานนั้นก็ปิดลง พร้อมกับเรื่องราวระหว่างผมกับปาร์ค


à suivre...

มาแล้วฮะๆๆๆๆๆ
กลับมาพร้อมกับปาร์ค 5555555555+
แต่เค้าน่ารักกว่าปาร์คนะ  :-[
ตัวละครก็จะวนๆ อยู่แค่นี้ เพราะตัวละครหลักมีเท่านี้
แอบกระซิบว่าตอนต่อไป มีตัวละครบางตัวที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อิอิ
แต่... บทบาทที่เข้ามา จะเป็นไปในทิศทางไหนยังไม่บอก ลองติดตามดู

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามนะฮะ
เจอกันตอนหน้า จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 31 P.5 [14/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-07-2017 21:48:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 31 P.5 [14/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 16-07-2017 02:01:52
ปาร์คนี่ต่อหน้าแฟนแก คนอื่นก็ย้ำว่าฟร็องก์เป็นเพื่อน พออยู่สองคนมาบอกรักซะงั้น คือแบบ มันดูตอแหลอ่ะ ไม่มีความจริงใจอยู่ในการกระทำของแกเลย อารมณ์แบบผู้ชายมักง่ายที่มีเมียแล้วแอบมีบ้านเล็กบ้านน้อยอ่ะแต่พอเมียจับได้ก็ไม่ยอมเลิกจะเอาทั้งคู่ไรงี้ ดูเห็นแก่ตัวนะ ทั้งๆที่ความจริงตัวเองทำตัวไม่ชัดเจนเองแท้ๆ ปากพูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง =_=
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 31 P.5 [14/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-07-2017 09:52:39
ตอแหลว่ะ อยู่ต่อหน้าผญ. ฟร็องก์เป็นได้แค่เพื่อน ยังงี้มันไม่จับปลาสองมือไปหน่อยหรือว่ะ อย่าเห็นแก่ตัวเลยปาร์ค
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 32 [17/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 17-07-2017 20:39:47
Chapitre 32

   ปาร์คหายไปจากชีวิตของผมแล้ว เขาหายไปแล้วจริงๆ ครับ ไม่มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า ไม่มีเสียงแจ้งเตือนจากไลน์และช่องแชทของเฟซบุ๊ก หรือแม้แต่หน้าเฟซบุ๊กเองที่ตอนแรกผมกดเลิกติดตามทำให้เรื่องราวของปาร์คไม่มาขึ้นให้หน้าฟีดของผม แต่สุดท้ายก็เป็นผมเองที่มักกดเข้าไปดูในหน้าเฟซบุ๊กของปาร์คว่ามีอะไรเคลื่อนไหวบ้าง ปาร์คไม่ค่อยอัพอะไรลงเฟซเช่นเดิม แต่จำนวนไลค์และผู้ติดตามก็ยังคงเยอะไม่เปลี่ยนแปลง

   หัวใจผมห่อเหี่ยวอยู่เหมือนกันเมื่อวันนี้มาถึงแล้วจริงๆ แม้จะพยายามตัดใจตั้งแต่วันที่ปาร์คลงมือทำร้ายผม แต่ตลอดระยะเวลากว่าสี่ปีที่รู้จักกันมา แม้จะดูเหมือนไม่นานมาก แต่มันก็มีเรื่องราวต่างๆ มากมายเกิดขึ้นระหว่างผมกับปาร์ค แต่ตั้งแต่วันนั้นที่ผมเลือกจะหันหลังเดินกลับเส้นทางเดิมที่ผมวิ่งตามหัวใจมา เส้นทางที่ก้าวมาผิดจะได้สิ้นสุดลงเช่นกัน ผมเลือกเดินย้อนกลับไปยังตอนที่ผมกับปาร์คไม่รู้จักกัน

   แต่มานั่งเศร้าเสียใจอยู่ก็ใช่เรื่อง ในเมื่อผมเลือกตัดสินใจแบบนั้นเอง ถึงผมไม่เลือก สักวันเราก็ต้องจากกันอยู่ดี ไม่ว่าจะเพราะเรื่องคืนนั้น ที่ผมอยากลบและลืมมันจากความทรงจำ และเท่าที่ผมเห็นปาร์คกับแฟนในวันนั้น ก็ทำให้พอรู้ว่าเขาสองคนรักกันมาก แถมยังเข้ากันได้ดีอีก ปาร์คก็หน้าตาดี ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็จัดว่าสวยเลยทีเดียว คงจะไปกันได้ด้วยดี

   ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากวันที่ปาร์คเดินออกจากห้องผมไป แต่ผมก็ดูซึมๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้อีกครั้ง ทั้งที่บอกตัวเองว่าให้พยายามตัดใจและทำใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ที่รู้ว่าปาร์คมีใคร แถมยังมีเกิดเรื่องที่ยากจะอภัยนั่นอีก แต่พอเวลาจริงๆ ทำไมมันกลับยากเย็นเหลือเกิน

   ตลอดสัปดาห์ผมไปเรียนในสภาพค่อนข้างอิดโรย เพราะผมนอนไม่ค่อยหลับ การรับรู้สิ่งรอบข้างของผมต่ำมาก เรียกได้ว่าแทบจะเป็นซอมบี้ที่มีชีวิตเลยก็ว่าได้ บ่อยครั้งที่เพื่อนๆ รวมทั้งทาร์ตบอกว่าผมมักเหม่อลอย เพราะในหัวคิดถึงแต่เรื่องที่ผ่านมาระหว่างผมกับปาร์ค เรื่องราวดีๆ ที่เคยผ่านมาด้วยกัน แต่ผมก็ไม่ได้ร้องไห้หรอกนะครับ น้ำตามันคงหมดไปตั้งแต่คืนวันอาทิตย์แล้วแหละ

   “พี่... พี่ฟร๊องก์...”

   “ห๊ะ... ว่าไงนะทาร์ต” ผมสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงเรียกของทาร์ตที่ดังจนทำให้คนที่นั่งโต๊ะรอบข้างหันมามอง ขณะที่ตอนนี้ทาร์ตชวนผมแยกกับเพื่อนคนอื่นๆ ออกมาหาอะไรกินแถวหน้ามหา’ลัยหลังจากเลิกเรียน

   “ผมถามว่าพี่จะเอาสุกี้น้ำทะเลไม่เอากุ้งเหมือนเดิมไหม” ทาร์ตมองผมด้วยสายตาเป็นห่วงและดูเคร่งขรึมกว่าทุกครั้งที่เขาเป็น

   “เอาตามที่น้องว่าเลยครับ” ผมหันกลับไปบอกเจ๊ที่รอจดออเดอร์ ซึ่งท่าทางจะยืนรอนานจนคิ้วเริ่มขมวด

   “เอาน้ำเปล่าแล้วกันครับ” ทาร์ตหันไปบอกเจ๊หน้าหงิกอีกรอบ ก่อนที่เจ๊เขาจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

   “...”

   “ผมเห็นพี่เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ บอกตรงๆ ว่าผมไม่สบายใจเลยว่ะ” ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่ได้ยินจากเจ้าตัวบ่อยนัก รวมทั้งสีหน้าที่บ่งบอกถึงความจริงจังและไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย ผมก็ไม่ค่อยแปลกใจกับสิ่งที่ทาร์ตพูดหรอก เพราะนอกจากเก็ท ก็ได้คนตรงหน้าผมตอนนี้นี่แหละ ที่คอยอยู่ข้างๆ ผม

   “คือ...”

   “หลังจากวันที่เราไปเที่ยวด้วยกัน กลับมาพี่ก็เป็นแบบนี้เลย หน้าพี่เหมือนคนอมทุกข์ เอาแต่นั่งเหม่อ ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้เลย”

   “พี่ไม่เป็นไรหรอก แค่มีอะไรให้คิดนิดหน่อย เดี๋ยวพี่ก็หาย...”

   “เพราะผู้ชายคนนั้นใช่ไหมที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้ พี่ยังยังคิดถึงเขาอยู่ใช่ไหม คนนั้นคือคน... รัก ที่พี่เคยบอกใช่ไหม” เสียงทาร์ตเบาลง แม้จะฟังดูเย็นชา แต่กลับมีความสั่นเครือและแฝงด้วยความเจ็บปวดในคำพูดเหล่านั้น

   “คือพี่...”

   “...”

   “พี่... ขอโทษ” ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

   “ผมไม่ได้โกรธ... ผมบอกแล้วไงว่าผมจะรอ รอเมื่อพี่พร้อม” ทาร์ตส่ายหน้าเพื่อเป็นเชิงบอกว่าผมไม่ผิด แต่ผมรู้ดีว่าในขณะที่ผมเจ็บปวดเพราะการที่ต้องจากคนๆ หนึ่ง มันก็กำลังทำให้ใครอีกคนเจ็บปวดไม่แพ้กัน “ผมแค่ไม่อยากให้พี่ต้องเป็นทุกข์อยู่แบบนี้”

   “ขอบใจนะ” ผมยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเล็กน้อยเพื่อให้เขาสบายใจขึ้น

   “ผมก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับเรื่องของพี่หรอกนะ แต่พี่ก็เห็นแล้วว่าเขากับผู้หญิงคนนั้น คบกัน แล้วพี่จะยังทนเจ็บอยู่ทำไม ผมรู้ว่ามันทำใจยาก แต่ผมก็อยากให้พี่ตัดใจ เพื่อความสุขของพี่เอง”

   “...”

   “กินเถอะพี่ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด” ผมพูดอะไรไม่ออก และทาร์ตเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะตัดบทเมื่อสุกี้ที่สั่งมาเสิร์ฟโดยเจ๊หน้าบูดเช่นเดิม   

   หลังจากวันนั้น ผมก็เริ่มดีขึ้น และดีเรื่อยๆ เมื่อทาร์ตยังคงเข้ามาสร้างเสียงหัวเราะให้กับผมอย่างสม่ำเสมอ และเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่คุยกับผมในค่ำวันนั้นอีกเลยเช่นกัน

   ตอนนี้ผมว่าสภาพจิตใจผมเกือบสมบูรณ์แล้วนะ แต่... จะว่าสมบูรณ์ก็คงไม่หรอก เพราะลึกๆ ผมยังคงคิดถึงปาร์คอยู่เสมอ และไม่รู้ว่าถ้าได้เจอกันไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือตั้งใจ ผมจะทำหน้าอย่างไร และควรทำตัวอย่างไร อันนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าถึงตอนนี้ผมจะโอเคกับตัวเองแล้ว แต่ก็ยังไม่พร้อมจะคุยหรือเจอกับปาร์คอยู่ดี ให้ห่างกันไปแบบนี้เรื่อยๆ ก่อนอ่ะดีแล้ว

   “อารมณ์ดีอะไรมา ยิ้มร่ามาเชียว” เก็ทเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นผมขึ้นรถมาพร้อมรอยยิ้มกึ่งหัวเราะ

   “ลองดูวีดีโอที่ทาร์ตส่งมาให้อ่ะดิ โคตรฮาเลย” ผมยื่นโทรศัพท์ที่เพิ่งกดเล่นวีดีโอที่เปิดค้างไว้อีกครั้งไปตรงหน้าของเก็ท แต่มันกลับแค่เหลือบตาลงมามองเล็กน้อย ก่อนจะดันมือผมออก อะไรวะ! อุตส่าห์จะหาเพื่อนหัวเราะด้วย ไม่มีอารมณ์ร่วมเอาซะเลย! “ชิ! ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย คนอะไร!”

   “ก็กำลังจะขับรถ” เก็ทตอบเสียงนิ่งพลางหันมามองผมที่กำลังเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ “เห็นหัวเราะได้แบบนี้ก็ดีแล้วไง” ก่อนที่ริมฝีปากของเก็ทจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมายีหัวผม

   “ผมยุ่งหมด!”

   “สรุปหมอนั่นเลิกติดต่อมาแล้วใช่ไหม หรือยังโผล่มาบ้าง” เก็ทหันไปจับพวงมาลัยอีกครั้งเมื่อผมปัดมือออกเบาๆ ก่อนที่รถจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป

   “อืม...”

   “ดีแล้ว จะได้ตัดใจได้ไวๆ อีกอย่างก็มีไอ้ทาร์ตนั่นอยู่แล้วทั้งคน”

   “เกี่ยวอะไรกัน ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ผมรีบตอบกลับอย่างเขินๆ ใช่ครับผมเขินจริงๆ หมู่นี้เวลามีคนแซวเรื่องผมกับทาร์ต มันมักทำให้ผมรู้สึกเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้า และหัวใจก็เต้นแรง

   “หึหึ สนิทกันขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้คบกันอีกหรือไง รู้รึเปล่าว่าคนอื่นเขาคิดว่าฟร๊องก์กับเด็กนั่นคบกันหมดแล้ว”

   “กะ... ก็... ช่างมันเถอะ” ผมไปต่อไม่ถูกเลย จะว่าไปผมกับทาร์ตก็สนิทกับเร็วมากเลยนะ แถมยังสนิทกันมากกว่าเพื่อนๆ คนอื่นทั้งที่ก็รู้จักทาร์ตมาพร้อมๆ กับผม อย่างไวน์นี่รู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ แต่จะบอกว่าคบกันไหมผมว่ามันยังไม่ถึงขั้นนั้นนะ ไม่รู้สิ ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่ทาร์ตมักจะทำให้หัวใจของผมเต้นผิดจังหวะ

   “ลองดูกันเอาเองล่ะกัน” จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบ จนเสียงดังกลับมาอีกครั้งเมื่อรับโดนัทกับไวน์ขึ้นมาบนรถ
 
   นี่ผ่านไปแป๊บเดียวก็จะวันศุกร์อีกแล้ว จะได้กลับบ้านอีกแล้ว ไม่ใช่อะไรนะ ดีใจ ฮ่าๆ ผมกะว่าวันเสาร์จะไปเดินเล่นพักผ่อนซะหน่อย คิดๆ ไว้ว่าจะไปเดินเล่นที่ยูเนียนมอลล์ แล้วพอบ่ายแก่ๆ กะจะไปชิลล์ต่อที่สวนรถไฟไม่ก็สวนจตุจักร เดี๋ยวดูอีกที

   วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ พอเที่ยงทาร์ตก็จะแวะมากินข้าวกับพวกผมตามปกติ แต่วันนี้ลากเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง ชื่อกล้าเก่ง เก่งกล้าอะไรสักอย่างแหละ แต่เรียกสั้นๆ ว่าเก่ง จริงๆ ก็เจอกันหลายครั้งแล้วแหละ แถมทุกครั้งที่ทาร์ตพามาด้วย เก่งอะไรนั่นจะมีอาการเขินเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนสุดห้าวอย่างนุ่น ที่กลับดูเรียบร้อยผิดหูผิดตาทุกครั้งเวลาที่เก่งมากับทาร์ต

   “เออ นี่มึง เริ่มทำฝรั่งเศสยังวะ” โดนัทที่เดินตามผมเข้ามายังห้องเรียนถามขึ้น

   “ฝรั่งเศส? เออว่ะ ยังไม่ได้เริ่มเลย งานอื่นแม่งก็เยอะ นี่สั่งดิกกับคิโนะไว้ วันก่อนโทรมาบอกว่าของเข้ามาแล้วยังไม่ได้ไปเอาเลย ถ้ามึงไม่พูดนี่กูลืมไปแล้ว” ผมสั่งพจนานุกรมฝรั่งเศส-อังกฤษกับร้านคิโนะคุนิยะที่พารากอนเอาไว้ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาโทรให้ไปเอา ผมก็ลืมไปเลย สภาพจิตใจช่วงนั้นไม่ค่อยปกติด้วย ดีนะที่โดนัทมันพูด ผมเลยนึกออก ไม่งั้นเขาคงได้โทรมาด่าแน่ๆ หายไปนานขนาดนี้

   “รีบไปเอาเถอะมึง เดี๋ยวทำไม่ทันหรอก อีกแป๊บเดียวก็จะสอบไฟนอลอีกล่ะ กูล่ะเบื่อ ยังไม่หายเหนื่อยจะมิดเทอมเลย” โดนัทบ่นกระปอดกระแปด งานฝรั่งเศสที่ว่าคือรายงานครับ ทำกันคนละเล่ม คนละเรื่องแยกๆ กันไป โดยที่อาจารย์จะให้หัวข้อคร่าวๆ ไว้ให้เลือกบางส่วน แต่ถ้าใครอยากทำเรื่องที่สนใจแตกต่างออกไปก็สามารถทำได้ แต่ต้องลองไปเสนออาจารย์ก่อนว่าหัวข้อผ่านไหม และควรทำให้เนื้อหารายงานเป็นไปในทิศทางไหน อย่างของผมเลือกเรื่อง Polysémie (Polysemy) ซึ่งก็คือคำที่มีหลายความหมาย และหลายหน้าที่แตกต่างกันไป ผมเลยต้องใช้ดิกชันนารีเพื่อช่วยหาคำศัพท์และความหมาย ที่สั่งดิกฝรั่งเศส-อังกฤษไปเพราะรายงานต้องทำเป็นสามภาษา คือ ฝรั่งเศส อังกฤษ ไทย แต่ในส่วนเนื้อหาที่ใช้อธิบายสามารถพิมพ์เป็นภาษาไทยสลับกับฝรั่งเศสได้ ผมว่าก็ดีนะจะได้รู้ภาษาอังกฤษไปด้วยในตัว

   “เก็ท ทำรายงานฝรั่งเศสมั้งยัง” เมื่อแยกนั่งกันประจำที่ ผมก็เอ่ยถามคนที่นั่งข้างๆ ทันที แต่อย่างเก็ทคงไม่มีปัญหาหรอก ระดับมันชอบซุ่มเงียบ โผล่มาอีกทีงานแม่งโคตรเจ๋งเลย

   “ก็เนื้อหาเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่พวกตัวอย่างประกอบกับคำอธิบายเล็กน้อยอ่ะ”

   “โห้แม่งซุ่มว่ะ! ฟร๊องก์ยังไม่ได้เริ่มเลย โดนัทมันทักขึ้นมาเลยนึกออกว่าสั่งดิกเอาไว้ คิดว่าเลิกเรียนจะไปแวะไปเอาก่อนกลับบ้าน” ผมชกต้นแขนเก็ทเบาๆ แต่แม่งแข็งฉิบหาย ก่อนจะต่อว่าเบาๆ บอกแล้วมันแอบซุ่มจริงๆ เสร็จไปเยอะแล้วด้วย นิสัย!!!

   “ที่ไหน”

   “หื้ม ดิกอ่ะเหรอ ที่พารากอนอ่ะ คิโนะ”

   “เดี๋ยวพาไปเอาแล้วค่อยกลับบ้าน จะได้ไม่ต้องนั่งรถหลายต่อ” เก็ทพูดเสียงนิ่งๆ พลางเปิดหนังสือเรียนโดยไม่ได้หันมามองผม

   “ลำบากเปล่าๆ เดี๋ยวไปเองก็ได้”

   “ก็ไม่ไปไหนต่ออยู่แล้ว เผื่อจะดูหนังสืออื่นๆ ด้วย”

   “ก็ดี ไม่ต้องเสียค่ารถ แต่ไปส่งบ้านด้วยนะ ฮ่าๆ” ผมยิ้มร่าทันที ก็ดีเหมือนกัน นอกจากประหยัดด้วย แล้วยังสะดวก ไม่ต้องเหนื่อยแบกข้าวของนั่งรถหลายๆ ต่อด้วย

**********___________***********

   หลังจากที่เก็ทแวะส่งไวน์กับโดนัทเสร็จ ผมกับเก็ทก็ฝ่ารถติดช่วงเลิกงานมาวนหาที่จอดได้ในที่สุด แต่จะว่าไปก็หิวแล้วเหมือนกันนะ ชวนเก็ทหาอะไรกินก่อนกลับบ้านเลยแล้วกัน

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   “... อืม” ผมกะว่าจะชวนเก็ทหาอะไรกินกันก่อนจะกลับ แต่เสียงโทรศัพท์ของเจ้าตัวก็ดังขึ้นซะก่อนขณะที่เราทั้งคู่กำลังขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นของร้านหนังสือ ส่วนเก็ทก็รับสายแบบเสียงเย็นชามากเลย คนโทรมาคงหงายเงิบกันเลยทีเดียว แต่ปกติเวลามันคุยโทรศัพท์กับผมก็แบบเนี่ยล่ะ ไม่ต่างกันแต่ผมน่ะชินแล้ว

   “ติดธุระอยู่ เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน... อืม... ขับรถดีๆ ล่ะ ไม่ต้องขับเร็วมาก... อืม” เก็ทคุยโทรศัพท์ไม่นานก็วางสายไป

   “ใครเหรอ มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า ถ้ามีธุระกลับก่อนก็ได้นะ ฟร๊องก์กลับเองได้สบายมาก!” ผมหันไปถามด้วยความสงสัย ก็เท่าที่จับใจความได้เหมือนปลายสายต้องการเจอเก็ทประมาณนั้น อีกอย่างผมเกรงใจมันด้วย แค่พามาก็ดีจะตายแล้ว

   “ชัญญ่าน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ช่างเถอะ” เก็ทตอบก่อนจะเดินนำผมออกจากลิฟต์ไปทันทีที่ประตูเปิดออกยังชั้นที่ต้องการ

   “อ้าว นัดกันไว้เปล่า เก็ทไปหาชัญญ่าก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ ฟร๊องก์กลับเองได้จริงๆ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ผมรีบเดินตามออกไป แล้วเอื้อมมือออกไปคว้าแขนของเก็ทไว้ให้หยุดเดินทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมามองผมด้วยความสงสัย ผมนี่สิที่ต้องสงสัย! และต้องคุยให้รู้เรื่องเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดเหมือนครั้งแรกที่ผมได้เจอชัญญ่าอีก อย่างน้อยชัญญ่าก็เป็นแฟนเก็ท เก็ทควรจะไปอยู่กับแฟนมากกว่า

   “เปล่า... ญ่าโทรมาชวนไปกินข้าวด้วยเฉยๆ”

   “แล้วไม่ไปอ่ะ ไม่ก็ชวนมาด้วยกันก็ได้ มหา’ลัยญ่าก็อยู่ไม่ไกลนี่เองไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเราก็ไม่ได้รีบอยู่แล้วนิ โทรกลับไปหาดิ ชวนมาด้วยกันจะได้มีเพื่อนคุยด้วย ไม่ได้เจอญ่านานแล้ว”

   “ไว้คราวหน้าก็ได้ เห็นบอกว่าจะรีบกลับบ้าน”

   “งั้นเหรอ อืมๆ ว่าแต่เก็ทไม่ได้รีบใช่ป่ะ ฮ่าๆ ว่าจะชวนหาอะไรกินอ่ะ หิว” ผมหัวเราะแห้งๆ เมื่อก่อนหน้าสรุปเอาเองว่าเก็ทไม่ได้รีบไปไหนต่อ

   “ก็ไม่ได้ไปไหนต่อนะ ถ้าฟร๊องก์ไม่รีบก็ตามนั้นแหละ” เก็ทพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงยืนยันในคำตอบ อยากกินบอนชอนจะได้มีคนต่อคิวเป็นเพื่อน ฮ่าๆๆ

   “งั้นรีบไปเอาดิกเหอะ หิวล่ะ เดี๋ยวไปต่อคิวบอนชอนนานอีก” ผมว่าพร้อมตกลงเสร็จสรรพว่าเราจะกินอะไรกัน ฮ่าๆ เผด็จการไหมล่ะ แต่รู้ครับว่าเก็ทยังไงก็ได้อยู่แล้ว ถือว่าเป็นข้อดีเวลาที่ไปไหนมาไหนกับมัน ผมจะเลือกทำอะไรได้ตามใจแทบทุกอย่าง แต่บางทีก็แอบรู้สึกเหมือนมาคนเดียวนะ ก็ไอ้คนตัวสูงข้างๆ นี่เดินหน้านิ่ง เงียบขรึมอย่างเดียวเลย

   ไม่นานเราสองคนก็มาถึงร้านหนังสือคิโนะคุนิยะที่เป็นจุดหมาย แต่ผมยังไม่ได้บอกพนักงานเพื่อเอาดิกที่สั่งไว้หรอก เพราะเก็ทบอกว่าจะขอเดินดูหนังสืออื่นๆ สักครู่ก่อน ผมเองก็เลยเดินดูหนังสือเล่นไปด้วยพลางๆ เผื่อจะมีหนังสือที่เตะตา น่าหยิบมาอ่าน

   ผมกับเก็ทแยกกันเดินดูหนังสือตามที่แต่ละคนสนใจอยู่ภายในร้าน ผมเดินดูไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่ได้มีลิสต์รายชื่อหนังสือที่สนใจไว้เป็นพิเศษ แต่ก็ต้องมาสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง ที่แค่เห็นหน้าปกก็ชวนให้หยิบลงมาเปิดดู แต่มันอยู่ชั้นบนเลยอ่ะ ผมเอื้อมไม่ถึง ทั้งที่มันน่าสนใจจะตาย หรือเพราะมันไม่มีคนอ่านหรืออะไรวะ ทำไมต้องเอาไปไว้สูงขนาดนั้น (เอ๊ะ! หรือกูเตี้ย?) ผมพยายามเอื้อมหยิบอยู่นานสองนานก็ไม่ถึงสักที จนต้องถอนหายใจ หาหนังสือเล่มอื่นก็ได้วะ! ช่างแม่ง!!!

   แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีคนที่ตัวสูงกว่าผมมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังของผม ก่อนจะเอื้อมแขนกำยำยาวๆ นั่นขึ้นไปหยิบหนังสือที่ผมหมายตาเล่มนั้นลงมาให้ ผมจึงเหลียวกลับไปมองคนๆ นั้นทันที

   “เก็ท...”

   “เห็นเอื้อมอยู่นานแล้ว เตี้ยเอ๊ย!” เก็ทว่านิ่งๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างยีหัวผมเบาๆ จากทางด้านหลัง ตอนนี้หนังสือเล่มนั้นอยู่ในมือของเก็ทแล้ว แต่ร่างสูงก็ยังคงยืนตัวแนบชิดแผบหลังของผมอยู่เช่นเดิมจนผมสัมผัสได้ถึงแผงอกแน่นๆ ที่ติดกับหลังของผมเพียงแค่เสื้อนิสิตบางๆ กั้น

   ภาพเมื่อครั้งที่ไปเกาะล้านลอยเข้ามาในห้วงความคิดอีกหน กล้ามเนื้อมัดแน่น ไรขน รวมทั้งตุ่มไตที่อยู่ภายใต้ผ้าบางๆ นั้น ทำให้ผมเตลิด และคิดไปจนถึง... ส่วนนูนเด่นกลางลำตัวในตอนนั้น

   บ้าเอ๊ย! ผมคิดอะไรของผมวะเนี่ย!!

   “ชิ!” เมื่อตั้งสติได้ ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจกับคำจำกัดความที่ใช้เรียกผม ใครจะสูงเป็นเปรตอย่างตัวเอง!

   ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ผ่านมาผมก็เคยยืมอ้อมกอดของคนๆ นี้ตั้งหลายต่อหลายครั้งเพื่อปลอบโยนตัวเอง โดยไม่ได้รู้สึกผิดแปลกหรือผิดปกติใดๆ แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกต่างออกไป หัวใจของผมมันกลับเต้นแรงผิดปกติ ไม่รู้ว่าเพราะความตกใจหรือเพราะอะไรกันแน่ ยิ่งรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกคนที่กำลังรดรินอยู่เหนือศีรษะของผม กอปรกับความคิดสัปดนเมื่อกี้ด้วย ยิ่งทำให้รู้สึกใจสั่นรัว ทั้งที่คนๆ นี้เป็นเพื่อนที่คอยปลอบใจและอยู่เคียงข้างผมตลอดมาแค่นั้น

   “นี่น่ะเหรอธุระของเธอ!” จู่ๆ น้ำเสียงนิ่งแต่แฝงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะการเต้นของหัวใจผม และเสียงของบุคคลนิรนามนั้นก็ทำให้เราทั้งคู่ผละออกจากกันแทบจะในทันที

   “ชัญญ่า/ญ่า” เสียงของผมกับเก็ทเปล่งชื่อของผู้มาเยือนขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายด้วยความตกใจ

   “ว่าไง เนี่ยเหรอธุระที่ว่า” ชัญญ่าว่าพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมกับเก็ทอย่างมาดมั่นตามสไตล์ คิ้วข้างหนึ่งยกขึ้นมองอย่างกวนประสาท แต่สายตาคู่นั้นกลับไม่มีท่าทีเล่นเลย แถมยังเปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธที่พร้อมจะแผดเผาทุกคนที่ขัดใจ

   “มันไม่มีอะไรอย่างที่ญ่าคิดเลยนะ เก็ทแค่เอื้อมหยิบหนังสือให้เรา นี่ไง เล่มนี้” ผมรีบแก้ต่างทันทีก่อนที่จะหันไปคว้าหนังสือที่อยู่ในมือของเก็ทชูขึ้นมาให้ชัญญ่าดู กันไว้ก่อนที่เธอจะเข้าใจอะไรผิดมากไปกว่านี้

   “เราก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็รู้อยู่ว่าเป็นเพื่อนกัน แต่ทำไมมากับฟร๊องก์แล้วเธอถึงไม่บอกฉัน จำเป็นต้องปิดบังด้วยอย่างนั้นเหรอ”

   “ไม่ได้จะปิดบัง แต่มันไม่จำเป็นต้องบอกอะไรนิ” โอ้ย! ผมล่ะเพลียกับคำตอบของเก็ทจริงๆ เลย ชัญญ่านี่ถึงกับขมวดคิ้วเป็นโบว์เลยเมื่อได้ยินคำตอบที่เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แบบนั้น

   “เก็ทแค่พาเรามาเอาหนังสือที่สั่งไว้ที่นี่น่ะ ตอนแรกพอเรารู้ว่าญ่าโทรมานะ เราก็บอกให้เก็ทชวนมาด้วยเลย แต่เห็นเก็ทบอกว่าญ่ารีบกลับบ้าน เราเลยไม่อยากรบกวน เอางี้ดิ ไหนๆ ก็มาแล้ว เดี๋ยวไปหาอะไรกินด้วยกัน เราว่าจะไปกินบอนชอนอ่ะ ไปด้วยกันดิ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว” ผมรีบอธิบายเสริมอย่างยืดยาวทันทีเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มตึงเครียดมากขึ้น ก็เพราะคำตอบป่วยๆ ของเก็ทนั่นล่ะ

   “รีบกลับบ้าน? หึหึ ไม่เป็นไรหรอกฟร๊องก์ เดี๋ยวไว้เราค่อยนัดเจอกันแค่สองคนดีกว่า วันนี้ญ่า ‘รีบกลับบ้าน’ ด้วยอ่ะ อีกอย่างก็ไม่มีอารมณ์แล้ว โทษทีนะ” ชัญญ่าพูดพร้อมแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่เสียงหัวเราะนั้นฟังดูน่าขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก

   “อื้ม... เอางั้นก็ได้ ไว้เจอกันนะ” ผมยิ้มตอบก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาชัญญ่าเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเดินออกจากตรงนั้นไป ก่อนไปเธอแทบจะไม่มองหน้าผมกับเก็ทเลยด้วยซ้ำ จริงๆ เธอก็สมควรโกรธอยู่แหละ เพราะแทนที่เก็ทจะไปหาเธอที่เป็นแฟน แต่กลับเลือกจะอยู่กับผมที่เป็นเพื่อนซะงั้น แถมยังไม่บอกอีกว่าอยู่กับผมทั้งที่ผมกับชัญญ่าก็รู้จักกัน แต่ที่ยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟที่สุดคงเป็นการตอบคำถามหน้าตายเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนั้น เป็นใครก็ย่อมโกรธเป็นธรรมดา

   ผมหันไปมองเก็ทเล็กน้อย ท่าทางเก็ทยังคงดูนิ่งอยู่ นิ่งมากจนเดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และผมเดาว่าเก็ทก็คงรู้สึกแย่พอสมควรแหละที่ทำให้ชัญญ่าโกรธเคืองแบบนั้น แถมพอนึกถึงรอยยิ้มเคลือบยาพิษนั่นก็เหมือนเป็นชนวนที่พร้อมจะจุดและระเบิดขึ้นทันที เก็ทคงต้องเตรียมรับศึกหนักแน่ๆ

   “เดี๋ยวไปเอาดิกก่อนนะ จะได้กลับกันเลย เก็ทจะได้จะรีบกลับไปปรับความเข้าใจกับชัญญ่าด้วย” ผมว่าก่อนจะเดินแยกไปบอกพนักงานเพื่อเอาดิกชันนารีที่สั่งไว้ หลังจากนั้นก็ต้องให้เก็ทแวะไปส่งที่บ้าน ตอนแรกก็ปฏิเสธไปแหละ แต่พอต้องเดินกลับไปเอาสัมภาระที่ทิ้งไว้ในรถเก็ทก็ต้องติดรถกลับด้วยจนได้ ตลอดทางเก็ทขับรถไปอย่างเงียบๆ ผมว่าเก็ทคงเครียดอยู่เหมือนกัน ดูจากเหตุการณ์ครั้งก่อนนั้น เก็ทดูรักชัญญ่าไม่น้อย แต่อาจเป็นเพราะบุคลิกนิ่งๆ แบบนิ่งเกินไปอ่ะ บางทีเลยทำให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ บานปลาย เมื่อมาส่งผมถึงหน้าบ้าน ผมก็รีบย้ำให้เก็ทรีบไปตามง้อชัญญ่าซะก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดใหญ่โตไปกว่านี้     
   
**********__________**********

   เวลาเดินเร็วกว่าที่ผมคิด เผลอแป๊บเดียวผมก็มายืนแต่งตัวอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เตรียมจะออกไปยูเนียนมอลล์ตามแผนที่วางเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ผมเลือกแต่งตัวสบายๆ ให้เหมาะกับการไปผ่อนคลายตัวเองจริงๆ ไม่เน้นอะไรมากมายนัก และผมเองก็ไม่ได้บอกใครด้วยว่าวันนี้จะไปไหน อยากทำอะไรคนเดียวบ้าง อยากอยู่กับตัวเองบ้าง

   “แม่ ฟร๊องก์ออกไปเที่ยวนะ คงกลับเย็นๆ มืดๆ อ่ะ” ผมบอกแม่ที่นั่งพิมพ์งานอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค ก่อนจะเดินไปหยิบรองเท้ามาใส่

   “ไปกับใครล่ะ”

   “คนเดียวครับ” ผมตอบยิ้มๆ

   “ดูแลตัวเองด้วยล่ะ แล้วก็รีบกลับนะ อย่าดึกมาก” แม่ยิ้ม ก่อนจะเดินออกไปส่งผมที่หน้าบ้าน

   จากนั้นก็นั่งวินมอเตอร์ไซด์เพื่อไปต่อรถไฟฟ้า ไม่นานนักผมก็มาถึงยังที่หมาย แอบหิวข้าวนิดหน่อย แต่เดี๋ยวไปเดินเล่น ดูของไปเรื่อยๆ ที่ยูเนียนก่อน แล้วค่อยข้ามไปกินข้าวฝั่งเซ็นทรัล วันนี้ไม่มีกำหนดเวลาอยู่แล้วว่าผมจะไปไหน ฉะนั้นอยากทำอะไรก็ทำ

   ผมเดินดูของไปเรื่อยเปื่อย จริงๆ ไม่ได้มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษหรอก แต่ก็แอบมีของที่สะดุดตาบ้าง ก็แน่นอนล่ะ ในมือผมนี่มีถุงเสื้อผ้ามาแล้วตั้งสองถุงนี่ครับ ขนาดไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษนะ ฮ่าๆ แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายดีนะ ถึงว่า ผู้หญิงชอบบอกว่าการชอปปิ้งช่วยคลายเครียดได้ ผมว่าก็จริงนะ ได้เลือก ได้ซื้อในสิ่งที่เราชอบอะไรแบบเนี่ย แต่ก็แอบเครียดตามมาทีหลังนะ เมื่อเปิดดูกระเป๋าสตางค์แล้วพบว่าเงินหายไปไหนหมด นั่นล่ะเครียดเลย!

   จะว่าไปไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงเลือกมาที่นี่ แต่ไม่รู้สิ คิดไม่ออกมั้งว่าจะไปที่ไหนดี ใจจริงก็อยากหนีไปต่างจังหวัดคนเดียวเหมือนกันนะ แต่ก็ยังไม่มั่นใจพอ แต่คราวหน้าลองไปเปลี่ยนบรรยากาศจังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพฯ บ้างก็คงจะดีเหมือนกัน น่าจะช่วยได้เยอะเหมือนตอนไปเที่ยวเกาะล้าน

   ผมเดินดูดชาไข่มุกไปพลางๆ จนตอนนี้มันหมดแก้วล่ะ เดินครบทุกชั้นแล้วด้วย ไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มจากสองถุงที่บอกก่อนหน้าครับ มีของถูกใจนะ แต่เก็บไว้ก่อนเพราะคิดว่ามันได้สำคัญขนาดนั้น ตอนนี้ท้องผมก็เริ่มแจ้งเตือนให้หาของยัดเข้าไปได้แล้ว สุดท้ายเลยต้องตามใจหนังท้องตัวเองเดินข้ามไปยังเซ็นทรัล แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะกินอะไร ปกติผมไม่ค่อยเที่ยวคนเดียว เลยประหม่านิดๆ เวลาต้องกินอะไรคนเดียว แต่เอาเถอะ เดี๋ยวลองครั้งนี้แล้วอาจจะชอบก็ได้มั้ง

   “คุณ!”


à suivre...


เดี๋ยวอาจจะต้องมีคนบอกแน่เลยว่า ให้ปาร์คมันหายๆ ไปอ่ะดีแล้ว จะเศร้าทำไม 55
แต่เราแต่งก็พยายามเข้าใจความรู้สึกของคนที่รักใครมากๆ แม้ว่าเขาจะทำเจ็บแต่ก็ยังรัก
พอวันหนึ่งต้องจากกันจริงๆ ก็คงทำใจปุบปับไม่ได้
อีกอย่าง ด้วยนิสัยของฟร๊องก์ตั้งแต่ต้นที่เราวางมา ฟร๊องก์เป็นคนที่จมและติดอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ

ตอนนี้จะไม่พูดถึงทาร์ตก็คงไม่ได้ แม้จะมีบทเข้ามาไม่เยอะ
แต่เราตั้งใจใส่ลงไปให้มันดูแอตแทคความรู้สึกลึกๆ ของอีกคนที่รอ
รอให้ฟร๊องก์ลืมปาร์คให้ได้ แม้ตัวทาร์ตเองก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนก็ตาม

อย่างที่บอกเอาไว้เมื่อตอนที่แล้วว่าจะมีตัวละครอีกตัว เริ่มเข้ามามีบทบาท
ส่วนการตัดฉาก ทิ้งท้ายไว้ให้ลองเดาเล่นๆ ว่าเป็นใคร 555+


ขอบคุณทุกความเห็น ทุกกำลังใจนะฮะ
จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 32 P.5 [17/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 17-07-2017 21:07:41
ตัดฉากให้ทายว่าใครนั้นเราคงทายไม่ถูกนึกไม่ออกเลย แต่ที่แน่ๆ เก็ทนั้นเริ่มมีอาการแปลกๆ ไปนะเราว่า
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 32 P.5 [17/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 17-07-2017 23:01:15
เก็ทเริ่มออกอาการแล้ว ผมว่าก็ตรงดีครับกับนัยยะที่ผมเคยวิเคราะห์ในช่วงต้นไปแล้วว่าเก็ทน่าจะมีความรู้สึกต่อฟร็องก์ (ผม edit comment อยู่หน้า 2 น่ะครับ เพราะตรงนั้นเป็นคอมเมนท์ในช่วงแรกของเรื่อง ตอนนี้เรื่องเดินมาระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากเนื้อหาที่มากขึ้น องค์ประกอบที่มากขึ้น ก็จะทำให้เราเห็นเรื่องได้ชัดเจนขึ้น)

ประเด็นคือด้วยสภาวะนิสัยของเก็ท มันเลยทำให้ผมค่อนข้างเข้าใจผู้ชายคนนี้นะครับ ผมคิดว่าบางทีเขาคบกับชัญญ่าอาจจะเพราะว่าเหมาะสม หรือชัญญ่าเข้าหาก่อน เพราะโดยทั่วๆไปด้วยนิสัยเงียบขรึมนิ่งๆของเก็ท เขาจะไม่ค่อยใส่ใจอะไรที่เขาไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่
 แต่ถ้าเขาแคร์ มันก็จะออกมาทางการกระทำมากกว่าคำพูดอยู่ดีครับ (ลองสังเกตพฤติกรรมเก็ทเมื่ออยู่กับเพื่อน) ดังนั้น เนื่องด้วยนิสัยแบบนี้ เก็ทจึงไม่น่าจะไปจีบใครได้นะครับ (หัวเราะ) นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาว่าเก็ทมีคุณสมบัติทั้งด้านรูปลักษณ์และฐานะระดับ Private Banking (ยิ่งกว่าพรีเมี่ยมอีก 5555) ส่วนตัว ผมว่าคนแบบนี้นี่คือแทบจะมีคนประเคนถวายใส่พานให้อยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆน่ะนะ (หัวเราะ) การที่เขาเทคแคร์ฟร็องก์มากกว่าคนอื่นก็แทบจะเป็นสัญญาณที่เพียงพอแล้วนะ สำหรับคนที่ประสาทสัมผัสฉับไวน่ะครับ

แต่เราคิดแต่เรื่องนั้นไม่ได้ เพราะยังมีเรื่องความฉลาดอีกครับ ความฉลาดกับคนเงียบๆนี่ถ้ามองให้ดีก็ดีครับ แต่ถ้ามองว่าเขามีลูกล่อลูกชนเยอะ อันนี้ก็ค่อนข้างน่ากลัวนะครับ เราไม่รู้นิสัยแท้จริงของเก็ทเพราะเขาควบคุมตัวเองได้ดีมาก เป็นบุคลิก Alpha Male แบบเงียบขรึม ซึ่งสำหรับระดับผู้นำทั้งหลาย บุคลิกนี่จะเหมาะสมมากเพราะมันทำให้คนอื่นไม่อ่านออกง่ายๆ

ผมนิยมมองตัวละครว่ามีทั้งด้านบวกและด้านลบนะครับ เพราะการมีทั้งคู่มันทำให้ตัวละครของคุณมีมิติ และมีน้ำหนัก คนอ่านจะตัดสินใจว่าตัวละครนี้ 'ดี' หรือ 'ไม่ดี' ก็จะขึ้นกับมุมมองทางทัศนคติและศีลธรรมของเขา ด้านลบของบางคนอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตในสายตาบางคน ขณะที่ด้านลบของอีกคนอาจดูรุนแรงมากในมุมมองอีกคน การจะตัดสินเรื่องแบบนี้จึงต้องดูบริบทร่วมด้วยครับ ว่าคุณ 'ควบคุม' หรือ 'เข้าใจ' ด้านลบของคนๆนั้นได้มากแค่ไหน ว่าเพราะอะไร

ยกตัวอย่างเช่น ปาร์ค ด้านลบของเขาผมเคยเขียนไปแล้วในคอมเมนท์ต้นๆ แต่สำหรับเก็ท ถ้าให้ผมมองด้านลบ อาจเป็นเรื่องเช่นนิสัยที่เย็นชาเกินไปกับคนอื่นที่เขาไม่ได้แคร์ หรือแม้แต่ถ้าเขารักใครขึ้นมาจริงๆ ผมว่า intensity ของ demonstration of devotion ในความรักนั้น (sex,any act) มันคงจะรุนแรงหนักหน่วงอลังการ์แบบการ์ตูนญี่ปุ่นบอยเลิฟที่เราจะเห็นฉากอย่างว่าเกือบครึ่งนึงของเล่มก็เป็นได้นะครับ (หัวเราะ) เพราะว่าด้านลบของเก็ทน่าจะก่อเกิดมาจากสภาพแวดล้อมที่เคร่งครัด ความคาดหวังที่สูง และด้วยคุณสมบัติทุกอย่างของเก็ทมันตอบสนองต่อความคาดหวังนั้น (รูปร่าง, หน้าตา, บุคลิก) มันเลยทำให้เขาเป็นเขา ดังนั้นสำหรับผม การที่เก็ทจะมีข้อเสียตรงนี้(ถ้ามีจริง) ผมคิดว่ามันโอเคนะสำหรับมุมมองของผม

ส่วนตัวผมคิดว่าเก็ทโอเคกับด้านลบของเขานะ แต่อย่างปาร์คนี่เรียกว่าไม่ได้เข้าใจครับ ข้อเสียในมุมมองของปาร์คคือเขาคิดเอาแต่ได้มากเกินไปจนบางทีทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 32 P.5 [17/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 18-07-2017 19:24:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 32 P.5 [17/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 19-07-2017 18:07:53
เอ๋.......คุณไหนหว่า
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 33 [21/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 21-07-2017 20:36:19
Chapitre 33

   “คุณ!” ขณะที่ผมกำลังเดินไปยังโซนร้านอาหารที่ชั้น G หลังจากที่เดินเข้ามาในเซ็นทรัลได้ไม่นาน อยู่ๆ ก็มีคนมาสะกิดหลังพร้อมกับเรียกผม ก่อนที่ผมจะหันกลับไปมองอย่างงงๆ

   “เรียกผมเหรอครับ” ผมมองหน้าชายหนุ่มหน้าตาจัดว่าดีคนหนึ่งซึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวหรือใกล้เคียงกับผมที่เพิ่งสะกิดผมเมื่อกี้ด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามคำถามงี่เง่าออกไป ไม่ได้เรียกผมเลยมั้ง สะกิดซะขนาดนี้ ผมนี่ก็นะ แต่จะว่าไป ผู้ชายคนนี้หน้าคุ้นๆ นะเหมือนเคยเจอที่ไหน...

   เอ๊ะ! นี่มันคนเดียวกับที่เกาะล้าน! เห้ย!! โลกจะกลมอะไรขนาดนี้!

   “ใช่ครับ จำผมได้ไหม ผมตังค์ ที่เจอกับคุณที่เกาะล้านตอนนั้น” เขาแนะนำตัวอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม แต่การบอกชื่อใหม่ก็ดี เพราะผมจำไม่ได้

   “อ๋อ จำได้ครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า” ผมยิ้มตอบเล็กน้อยตามมารยาท

   “โชคดีจังนะครับที่ได้เจอกันอีก ว่าแต่คุณชื่ออะไร ตั้งแต่คราวที่แล้วผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” ตังค์ยังคงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม โชคดีที่ผมไม่ได้เดินกลางทางเดินมากนัก ไม่งั้นการหยุดยืนคุยกันแบบนี้คงมีคนก่นด่าไปแล้ว

   “ฟร๊องก์ครับ”

   “ชื่อน่ารักจัง แล้วนี่ฟร๊องก์จะไปไหนต่อครับ”

   “ว่าจะหาอะไรทานน่ะ เดี๋ยวต้องขอตัวก่อนนะครับ” ผมตอบก่อนจะพยายามจบบทสนทนาอย่างสุภาพ แต่ดูท่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมให้ผมจากไปง่ายๆ ซะแล้ว

   “เหรอครับ พอดีเลย ผมก็หิวๆ อยู่เหมือนกัน ถ้างั้นไปหาอะไรทานด้วยกันนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มออกอย่างร่าเริงพร้อมกับเสนอข้อเสนอที่ผมไม่มีทางตอบตกลงอย่างแน่นอนให้ เพิ่งรู้จัก อยู่ๆ มาชวนไปกินข้าวด้วย บ้าเปล่าเนี่ย!

   “ไม่รบกวนดีกว่าครับ พอดีผมนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว” ผมตอบปฏิเสธ ก่อนจะยกเหตุผลปลอมๆ มาอ้าง

   “น่าเสียดายจัง เอางี้ ผมขอเบอร์ฟร๊องก์ไว้ได้ไหม คราวหน้าผมจะได้นัดเลี้ยงข้าว”

   “เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าลำบากเลย ขอโทษด้วยนะครับ เหตุผลบอกไปตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้ว” ผมก็บอกไปแล้วว่าไม่ให้เบอร์คนแปลกหน้า แม่งยังจะมาเนียนขอเบอร์ผมอีก

   “แต่เราก็รู้จักกันแล้วไงครับ ให้ไลน์ผมก็ยังดี” คนชื่อตังค์นั่นพยายามคะยั้นคะยอจะหาหนทางทำความรู้จักผมให้จนได้ นี่ถ้าผมอยู่สายโหดกว่านี้คงตอกหน้ากลับว่ากูไม่สนมึง เลิกยุ่งกับกูสักทีไปแล้ว แต่ผมไม่โหดขนาดนั้นอ่ะ อย่างน้อยก็ไม่เป็นการสร้างศัตรูเพิ่มให้ตัวเอง

   “ถ้าแค่รู้จักชื่อกัน ผมไม่เรียกว่าเป็นการรู้จักกันนะครับ ผมขอตัวล่ะครับ เพื่อนผมรออยู่” ผมพูดยิ้มๆ อย่างรักษาน้ำใจ ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อนเดินจากหมอนี่ไป

   “หยิ่งนักวะ คิดว่าเลือกได้นักหรือไง!” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวขาไปไหน อีกคนกลับเผยธาตุแท้ตามสันดานออกมาโดยการกระชากข้อมือผมให้หันกลับไปอย่างรุนแรง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเกรียวกราดจนคนรอบข้างมองกันเป็นตาเดียว

   “ปล่อย!” ผมพูดเสียงนิ่งอย่างเยือกเย็น พร้อมกับพยายามบิดข้อมือออกจากการจับกุม แต่ไอ้เวรนี่กลับยิ่งเพิ่มแรงบีบมาขึ้น

   “ตั้งแต่ครั้งที่แล้วล่ะ แม่งให้ง่ายๆ ก็จบเรื่องไปแล้ว ชอบให้ลงมือนักใช่ไหม” อีกฝ่ายพูดเสียงเหี้ยม เหมือนขู่ให้ผมกลัว แต่ขอโทษที่ผมไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับสมเพชด้วยซ้ำ

   “คิดถูกแล้วแหละที่ไม่ให้ และไม่อยากทำความรู้จัก ก็สันดานเสียแบบนี้ไง ปล่อยมือออกด้วย แค่นี้ก็ทำตัวน่ารังเกียจมากแล้ว!” ผมเหยียดยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะพยายามบิดข้อมือออกจากจับกุมอีกครั้ง

   “ปากดีนักนะมึง!” ไอ้นั่นง้างมือขึ้นเหมือนจะตบผม เล่นเอาผมหลับตาปี๋ด้วยความตกใจและกลัว

   “ปล่อยมือออกจากเมียกูซะ!” แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายจะกระทบหน้าผม ก็มีเสียงของอีกคนดังขึ้น พร้อมกับสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวผมที่เล่นเอาผมต้องลืมตาขึ้นมามองทันที

   ปาร์คมายืนอยู่ที่ด้านข้างของตัวผมพร้อมกับฝ่ามือที่ใหญ่พอกันคว้าข้อมือของอีกคนที่หมายใจจะฟาดลงมาที่แก้มของผมเมื่อครู่บีบไว้จนสังเกตได้ถึงเส้นเลือกที่ปูดโปนที่บริเวณหลังมือนั้น ก่อนที่สะบัดแขนของอีกคนออกอย่างแรง คนอื่นโดยรอบเริ่มจักลุ่มหยุดมองดูเหตุการณ์กันหนาตาขึ้นแล้วเช่นกัน จนพาลทำให้ดูเหมือนสถานการณ์เริ่มรุนแรงและเลวร้ายลงทุกที

   “มึงเกี่ยวอะไรด้วยวะ!” ชายหน้าตาดีแต่สันดานเลวที่เข้ามาหาเรื่องผมเอ่ยถามปาร์คด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

   “จะไม่เกี่ยวได้ไง ในเมื่อคนๆ นี้คือ ‘คนของกู’ หึ! ใครกันแน่ที่มายุ่งกับคนของคนอื่น” ปาร์คพูดกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวพร้อมด้วยสีหน้าที่จริงจัง ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะคว้ามือของผมมาจับไว้

   “มึง...!”

   “ถ้ายังไม่เลิกตอแยคนของกู ก็เตรียมไปคุยกันที่โรงพักได้เลย” ผมเห็นรอยยิ้มมุมปากของปาร์คกระตุกขึ้นแวบหนึ่งเหมือนกำลังบ่งบอกถึงชัยชนะ ขณะที่สายตาคู่นั้นกำลังจ้องไปยังอีกคนอย่างเย้ยหยันพร้อมกับแรงกระชับที่มากขึ้นจากฝ่ามืออุ่นที่กำลังจับมือผมอยู่

   ผมมองหน้าของชายนามว่าตังค์ที่มองกลับมายังผมสลับกับปาร์คด้วยความเดือดดาล มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นเหมือนเคียดแค้นกับสิ่งที่ตนไม่สามารถเอาชนะหรือทำอย่างที่อยากให้เป็นได้ แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก ในเมื่อคนที่หาเรื่องไม่ใช่ผม ลองทำร้ายร่างกายดู ผมเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่ (แต่ก็โชคดีที่มันไม่ตบหน้าผม)

   “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!” ตังค์ชี้หน้าปาร์คอย่างโกรธแค้น ก่อนจะมองผมอย่างเจ็บใจ แล้วหันหลังเดินฮึดฮัดจากไป

   ผมได้แต่ถอนหายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่อยากจะมาพักผ่อนตัวเอง พักผ่อนสมองแท้ๆ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องปวดหัวแบบนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทำไมถึงต้องโกรธแค้นกันเพราะเรื่องแค่นี้ด้วย ผิดเหรอที่ผมจะไม่ให้เบอร์และไม่อยากทำความรู้จักกับบางคน หรือสังคมเดี๋ยวนี้มันเป็นแบบนี้ไปหมดแล้ว

   ผมรู้สึกหงุดหงิดอยู่เหมือนกันนะที่เจออะไรแบบนี้ คนมองตั้งเยอะ แม่งอายก็อาย ห่าเอ๊ย! คิดได้ไงมาหาเรื่องกันในห้าง แถมยังต้องมาเจอกับปาร์คทั้งที่ยังไม่พร้อมอีก ใช่... ผมยังไม่พร้อมที่จะเจอกับปาร์ค... ปาร์ค!! จับมือผมอยู่!!!

   “ป่ะ... ปล่อยได้แล้ว” ผมว่าพร้อมพยายามดึงมือออกจากการจับกุมนั้น แต่มันช่างยากเหลือเกิน เพราะมือของอีกคนเหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกซะอีก!

   “ไปรู้จักกับมันได้ไง คนพรรค์นั้น“ ปาร์คหันมามองผมด้วยความสงสัยแต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้ม พร้อมกับเดินจูงมือผมไปอย่างเนียนๆ ราวกับว่าเราสองคนไม่เคยมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมาก่อน

   “ไม่ต้องมาเนียน ปล่อยมือได้แล้ว! คนมองอยู่เยอะแยะไม่เห็นหรือไง!” ผมพยายามรั้งมือตัวเองไว้ให้หลุดออกจากมือหนวดปลาหมึกนั้นและรั้งไม่ให้ตัวเองเดินตามไปด้วย

   “อายทำไม หึหึ” ปาร์คหันกลับมาหัวเราะอย่างมีเลศนัยให้กับผมก่อนจะดังให้ผมเดินตามไป

   “ปล่อย! จะพาไปไหน!” ผมเริ่มโวยวายขึ้น แต่เสียงไม่ดังมากนัก แค่เหตุการณ์เมื่อกี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว
 
   “ก็นัดเพื่อนกินข้าวไว้ไม่ใช่เหรอ ก็จะพาไปกินข้าวนี่ไง” ปาร์คว่าด้วยรอยยิ้มกว้างจนจะเห็นฟันครบทั้ง 32 ซี่อย่างกวนๆ

   “รู้แล้วก็ปล่อยสิ จะได้ไปหาเพื่อน!”

   “ปาร์คคะ นี่มันอะไรกัน! นี่นายอีกแล้วเหรอ!” ยังไม่ทันที่ผมจะสลัดมือออกจากมือของปาร์ค เสียงหวานแหลมของผู้หญิงที่คุ้นเคยกันดีกับปาร์คก็ดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะพุ่งตรงมากระชากแขนผมออกจากการจับกุมของปาร์คอย่างแรง

   “เกล... ไหนบอกเพิ่งออกจากบ้านไงครับ” ปาร์คถามกับผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงตกใจ แค่นี้ผมก็รู้แล้วแหละครับว่าจริงๆ แล้วใครคือคนที่ปาร์คแคร์มากกว่ากันแน่ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องขอบคุณปาร์คอยู่ดีที่เข้ามาช่วยผมเมื่อกี้ แต่ตอนนี้เป็นต้นไป ก็ถึงเวลาของตัวจริงแล้ว

   “ทำไมคะ ถ้าเกลมาช้าๆ จะได้อยู่กับไอ้... เพื่อนปาร์คคนนี้นานๆ หรือไง อย่าบอกนะคะว่าปาร์คนิยมอะไรแบบนี้ด้วย เกลไม่ยอมหรอกนะ!” เกลแหวเสียงใส่ปาร์คด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับมามองผมเหยียดๆ เธอต่างจากครั้งก่อนที่เจอมาก ทั้งท่าทางที่ดูเหวี่ยงวีน และการแสดงออกกับผม คงไม่ชอบใจผมมาตั้งแต่ครั้งที่แล้วล่ะมั้งที่ผมทำมารยาทไม่ดีใส่ เลยพาลเกลียดผมเข้าไปอีกเมื่อเห็นว่าผมอยู่กับคนรักของเธอ

   “จะเคลียร์อะไรกันก็เชิญนะครับ แต่กรุณาอย่าดึงผมเข้าไปเกี่ยวกับพวกคุณ ผมกับ... แฟนคุณ เราเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากไปกว่านั้น แล้วการที่ผมเป็นอะไร มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ ผมจะเป็นอะไรไม่ได้ไปหนักอวัยวะส่วนไหนของคุณนี่ครับ” ผมตอกกลับด้วยอาการฉุนนิดๆ จากอารมณ์ที่หงุดหงิดมาก่อนหน้านั้นอยู่แล้วด้วย บวกกับคำพูดและสีหน้าดูถูกเหยียดหยามนั้น มันยิ่งเหมือนเติมเชื้อไฟให้อารมณ์ผมเดือดพล่านขึ้นอีก ผมจะเป็นแบบไหน เพศไหนแล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับเธอ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ผมล่ะเกลียดจริงๆ พวกที่เหยียดเพศเนี่ย คิดว่าตัวเองประเสริฐนักหรือไง!

   “น่ะ... นี่แก!! อีตุ๊ด ปากดีนักนะมึง!!!”

   “พอแล้วหน่าเกล ไม่อายเขาบ้างหรือไง” ปาร์คคว้าตัวเกลเอาไว้ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายผม วันนี้วันซวยอะไรของผมเนี่ย สงสัยจะก้าวขาผิดออกจากบ้าน มันถึงได้มีแต่เรื่องซวยๆ แบบนี้ ซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยซ่อนเงื่อนจริงๆ

   “ทำไมต้องอายคะ อีตุ๊ดนี่ต่างหากที่ต้องอาย หน้าด้าน ชอบมายุ่งกับของคนอื่น! หาไม่ได้แล้วหรือไง ถึงต้องมาหากินกับเพื่อนเนี่ย จำใส่หัวแกไว้นะว่าปาร์คน่ะเป็นของฉัน! ทุกคนดูหน้ามันไว้นะคะ อีผิดเพศคนนี้ชอบยุ่งกับแฟนชาวบ้าน!!”

   “เขาเป็นเพื่อนผมนะเกล!” ปาร์คเริ่มมีน้ำโห และผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจอีกครั้ง เพราะเหตุการณ์แรกเพิ่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แถมหญิงเกลนางยังแผดเสียงแหลมดังนั่นอีก จึงไม่แปลกที่จะเรียกความสนใจจากคนที่เดินไปมาในห้างนี้ได้ ผมคงไม่มาเดินที่นี่อีกนาน!

   “สำหรับปาร์คน่ะเพื่อน แต่เกลว่าอีตุ๊ดนี่คงไม่มองปาร์คเป็นเพื่อนหรอกมั้งคะ คงอยากจะกินปาร์คมากกว่า น่าสมเพช”

   “คงใช่มั้งครับ แต่คุณจะกลัวอะไรล่ะ ในเมื่อคุณบอกว่าปาร์คไม่ได้คิดอะไรกับผม หึ! หรือคุณเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถึงได้มาด่าผมปาวๆ แบบนี้ อ๋อ... อีกอย่างนะ! ไอ้ที่ว่าผมอยาก ‘กิน’ หรือเปล่า ผมว่าคุณลองถามคนของคุณดีกว่านะ ว่าเขาเองก็ ‘อยาก’ กินผมด้วยเหมือนกันหรือเปล่า คุณจะได้รู้ไงว่าใครกันแน่ที่อยากกินใครมากกว่ากัน” ผมเหยียดยิ้มพร้อมถ้อยคำที่ตอกกลับอย่างเจ็บแสบ

   “นั่นน่ะสิ! ผู้ชายเขาก็บอกอยู่ว่าเป็นเพื่อนกัน เธอดิ้นพล่านอยู่ทำไม” สิ้นเสียงของผมแค่เสี้ยวนาที เสียงของอีกคนก็ดังขึ้นเสริมทัพผมทันที ก่อนที่ร่างของคนที่พูดจะปรากฏขึ้นด้านหลังของเกลและปาร์ค

   “ชัญญ่า!...” ผมเอ่ยทักคนที่เดินมาสมทบกับผมอย่างประหลาดใจ วันนี้มันจะบังเอิญมากเกินไปแล้ว มีคนเข้ามาวุ่นวายในชีวิตผมมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ถ้าเก็ทหรือทาร์ตโผล่มาอีกสักคน ผมคงกัดลิ้นตายหรือไม่ก็คงตบหน้าแรงๆ ให้ตัวเองตื่นจากความฝันบ้าๆ นี่สักที

   “เธอเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ” เกลถามพลางมองหน้าผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

   “จะเป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่ฉันบอกได้เลยว่าฟร๊องก์น่ะ ไม่ได้จะไปแย่งผู้ชายของเธอหรอก กลับกันทำไมเธอไม่ลองคิดว่าผู้ชายที่เธอเรียกว่าแฟนมาตามยุ่งกับฟร๊องก์เองล่ะ” ชัญญ่าพูดด้วยใบหน้านิ่ง แต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน พร้อมเลิกคิ้วแบบกวนประสาทเล็กน้อย

   “เธอรู้ได้ไงว่ามันจะไม่ยุ่งกับปาร์ค! เธอเป็นเพื่อนกับอีตุ๊ดนี่สินะ ถึงได้เข้าข้างมันน่ะ! แล้วปาร์คก็ไม่มีวันชายตามองมันหรอก มีแต่มันแหละที่อยากได้ปาร์คจนตัวสั่น”

   “เพราะเขาเองก็มีคนคุยอยู่ด้วยตั้งหลายคนน่ะสิ ตัวเลือกตั้งเยอะแยะ ทั้งรุ่นน้อง ไหนจะเพื่อน... ในกลุ่มอีก เขาจะมาสนใจคนของเธอทำไม จริงมั้ยฟร๊องก์ เอ๊ะ! หรือว่าปาร์คนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย” ชัญญ่าหันมามองหน้าผมด้วยรอยยิ้มมุมปาก คำพูดเหมือนจะเข้าข้างผม แต่ลองฟังดีๆ ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ชัญญาพูดออกมานั้นมาเหมือนจงใจเสียดสีผมอย่างไงอย่างงั้น รุ่นน้องที่ชัญญ่าว่าคงหมายถึงทาร์ต แต่เพื่อนในกลุ่มที่ชัญญ่าหมายถึง มันคือใคร เก็ทงั้นเหรอ?

   “หมายความว่าไงกันแน่ ชัญญ่าต้องการอะไรกันแน่” ผมถามกลับกับคำพูดกำกวมของชัญญ่าเมื่อสักครู่นี้

   “แหม ทำไมเป็นงงไปได้นะฟร๊องก์ รู้ๆ กันอยู่ ก็ได้ข่าวมาว่ามีรุ่นน้องมาเทียวไล้เทียวขื่ออยู่ไม่ใช่เหรอ แถมยังเพื่อนสนิทที่คอยไปรับไปส่งกันตลอดนั่นอีก รู้สึกคนนั้นญ่าจะรู้จักดีด้วยนะ แล้วอย่างนี้ฟร๊องก์จะยังมีเวลามายุ่งกับเพื่อนฟร๊องก์คนนี้อีกเหรอ”
 
   “อ๋อ ถึงว่าสินะ ร่านเกาะผู้ชายไปทั่วแบบนี้นี่เอง ถึงได้คอยวิ่งไล่จับคนอื่นอยู่ วันก่อนที่เจอก็เห็นไปกินข้าวกระหนุงกระหนิงกับผู้ชาย ไม่ยักรู้ว่าเป็นแค่หนึ่งในสต๊อก” เมื่อได้ทีเกลก็รีบซ้ำผมทันทีในขณะที่ผมกำลังมึนงงกับสิ่งที่ชัญญ่าพูด นี่อย่าบอกนะว่าชัญญ่าเข้าใจผิดเรื่องผมกับเก็ทอีกแล้ว

   “ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว เธอจะมายืนหาเรื่องอยู่ทำไม ไม่อายเหรอ เอ๊ะ! หรือกลัวว่าผู้ชายของเธอจะเป็นหนึ่งในสต๊อกของฟร๊องก์ด้วย”

   “กรี๊ด! ไม่มีทางหรอกย่ะ ปาร์คไม่มีทางตาต่ำขนาดนั้นหรอก! ไปเถอะค่ะปาร์ค เสียเวลา!” เกลสวนกลับชัญญ่าที่กำลังเหยียดยิ้มเยาะเย้ยทันควัน ก่อนจะคว้าแขนปาร์คดึงให้เดินจากไปทันที ขณะที่ปาร์คยังคงหันกลับมองผมด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์และรู้สึกผิด หึ! ไม่ต้องมาสงสารผมหรอก เพราะอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น ปาร์คไม่ได้เลือกที่จะปกป้องผมเลย ที่จริงคงไม่เคยปกป้องผมมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

   “ฟู่ววว... ชะนีบ้า ไปได้สักที! นึกว่าจะต้องจัดหนักกว่านี้ซะแล้ว” ชัญญ่าเป่าลมออกจากปากอย่าเบาใจ แต่ผมนี่สิ กลับร้อนรนกับสิ่งที่ชัญญ่าพูดเมื่อกี้ มันทำให้ผมดูแย่ในสายตาทั้งสองคน โดยเฉพาะในสายตาของปาร์ค “จะว่าไปฟร๊องก์นี่ก็ด่าเจ็บเหมือนกันนะ พูดนิ่มๆ แต่แสบใช่เล่น”

   “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แต่ที่ชัญญ่าพูดมันหมายถึงอะไร จะบอกอะไรเรากันแน่ พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า!” ผมเอ่ยถามในเรื่องที่ยังค้างคาใจทันที สำหรับผู้หญิงคนนั้น ผมไม่สนใจหรอกว่าเธอจะมองผมยังไง แต่... คำพูดของชัญญ่าอาจจะทำให้ปาร์คเข้าใจผมผิดได้ จริงอยู่ที่ผมพยายามจะไม่คิดอะไรกับปาร์ค แต่ถึงจะกลับมาเป็นเพื่อนกัน ผมก็ไม่อยากให้มันมองผมในแง่ร้ายอยู่ดี ผมไม่ได้เป็นคนที่ชอบจับปลาหลายมือ โดยเฉพาะกับเรื่องที่ผมไม่ได้ทำ

   “อย่าเครียดไปเลยหน่า ทำอะไรก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ จริงไหม” ชัญญ่ายังคงพูดด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับยักไหล่อย่างไม่รู้สึกยีหระกับท่าทางเป็นกังวลของผม

   “เราทำอะไร พูดมาให้รู้เรื่องเลยดีกว่า” ผมเลยอารมณ์เสียแล้วเหมือนกัน กับการพูดประชดประชันกันแบบนี้

   “ไหนๆ เราก็ได้เจอกันโดยบังเอิญแล้ว ไปหาอะไรกิน แล้วก็นั่ง ‘คุย’ กันให้รู้เรื่องด้วยดีไหม” ชัญญ่าพูดด้วยรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ แต่เอาเถอะ ในเมื่อเปิดปากมาขนาดนี้แล้ว พูดกันให้เคลียร์ๆ ไปเลยก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว!

   “งั้นก็ได้ นำไปสิ” ผมพยักหน้ารับขอเสนอด้วยใบหน้าจริงจังไม่แพ้กัน จะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด ไหนๆ วันนี้มันก็ซวยมาทั้งวันแล้ว จะมีอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป...


à suivre...


เดากันถูกไหม 555+ คนที่โผล่มาตอนแรกเป็นแค่ตัวหลอก
แต่คนที่เริ่มจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจากนี้ก็คือชัญญ่า
จะมาดีหรือร้าย ก็... รอดูอีกทีนะ  :katai2-1:
ส่วนเกลก็ชะนีผีบ้า น่าจะเหมาะกับปาร์คอยู่เนอะ 5555+

รอดูต่อไปว่าสิ่งที่ชัญญ่าพูดมันจะหมายถึงอะไร
และการกรากฏตัวของชัญญ่าอีกครั้ง จะเป็นไปในทิศทางไหน


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาทุกคอมเม้นต์ และทุกคนที่เข้ามาอ่านนะฮะ
ขอบคุณคุณ Grey Twilight ที่ทำให้ผลงานมันถูกปรับแก้ให้ดีกว่าเดิมขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เข้ามาแสดงความเห็นให้เสมอ ทุกคนคือกำลังใจให้เราอยากลงผลงานต่อ และทำให้ผลงานดีขึ้น

จนกว่าจะพบกันใหม่  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 33 P.5 [21/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-07-2017 22:57:17
ขอเถอะปาร์คน่ะไม่ต้องเอาออกมาอีกเลยเถอะให้มันไปตายๆ ไปซะได้ก็ดี ถ้าจะไม่คิดที่จะปกป้องฟร็องก์บ้างปล่อยให้อีชะนีนั้นด่าฟร็องก์อยู่ได้ บ้าจริงออกมาทีก็ไม่เห็นจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวก็ปาร์คเลย มีแต่ปากที่พ่นแต่คำพูดเดิมๆ แต่พฤติกรรมแม่งโคตรสวนทางตลอดอ่ะ โคตรเกลียดคนแบบนี้จริงๆ เลย
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 33 P.5 [21/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 21-07-2017 23:36:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 33 P.5 [21/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 22-07-2017 11:02:56
เราเห็นด้วยกับคอมเมนท์ของคุณ Grey Twilight เรื่องปูมหลังของตัวละคร เพราะมันจะช่วยให้คนอ่านวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของตัวละครได้ดีขึ้น

เรารู้สึกว่าผู้เขียนตั้งชื่อเรื่องได้เหมาะสมมาก ผูกปมได้ดี ทำให้เราเดายังไม่ได้ว่าใครจะเป็นคนในอนาคตของฟร็องก์ ซึ่งเรายังสติลเชียร์ปาร์ค 51 : เก็ท 49

ซึ่งแลดูสวนกระแสกับหลายๆ คน เพราะเราติดใจเรื่องของปาร์ค เราว่าตัวละครตัวนี้ต้องมีปมอะไรสักอย่างเรื่องครอบครัว ดูจากการที่พี่ชายมาถามตอนลงรูปคู่และแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบ และความไบโพลาร์ของนางที่แสดงออกอย่างสับสน เราว่าปาร์ครักฟร็องก์ แต่มีภาระความรับผิดชอบอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถบอกฟร็องก์ได้ ซึ่งตัวฟร็องก์เองก็ไม่พร้อมจะรับรู้หรอกเพราะนางอยู่แต่กับตัวเอง  และปาร์คอาจจะไม่อยากให้ฟร็องก์รู้ 555 อวยนางสุดๆ

เราว่ามันจะเป็นบทพิสูจน์ความรัก ว่ารักแล้วจะยอมให้กันได้แค่ไหน เข้าใจกันแค่ไหน เพราะทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเองในแต่ละการกระทำ ซึ่งในจุดนี้เรายังไม่ได้ฟังความจากปาร์คหรือเก็ทเลย

ส่วนตังค์นี่คือตัวละครที่ออกมาผิดแนวจริงๆ คือผู้เขียนเอานางมาเพื่อให้เป็นตัวร้ายคั่นฉากแค่นั้นเองเหรอ แลน่าสงสาร 555

สารภาพว่าเราอ่านข้ามๆ ตรงบทบรรยายความในใจของฟร็องก์ในช่วงต้นๆ ไปพอสมควร แบบเขียนตัดกลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันที่นางอินกับตัวเองเกิ๊น รู้สึกว่ามีก็ดีแต่เยิ่นเย้อ ทำให้รู้ว่าฟร๊องก์เป็นคนที่มองและจมอยู่แต่ตัวเอง ไม่ใช่ไม่ดีนะเพราะนางคือปมและตัวเดินของเรื่องแต่เราแค่เบื่อนาง 555
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 33 P.5 [21/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 22-07-2017 14:56:45
เอ้อ มะรุมมะตุ้มดีจริงๆ -*-  :katai1: :katai1:

ปล.ยังคงเกลียดปาร์คเหมือนเดิม 5555
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 33 P.5 [21/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 22-07-2017 15:43:49
สวยเลือกได้ของมีค่าอะไรๆก็ต้องการ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 33 P.5 [21/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-07-2017 21:29:46
ไม่ได้มา ทำร้าย ให้เคืองขุ่น
ไม่ได้มา จ้านจุ้น ให้วุ่นหัว
ไม่ได้มา ง้อนง้อ ให้ขอตัว
ไม่ได้มา เมามัว ให้มั่วกัน

ไม่ใช่รัก ผลักไส ไปเป็นอื่น
ไม่ใช่รัก หวานชื่น ยื่นความฝัน
ไม่ใช่รัก ครอบครอง จ้องแบ่งปัน
ไม่ใช่รัก ปานนั้น นั่นความจริง

หุหุ
กระทบใครบ้าง..เดาเอาเอง

ฮี่ฮี่

+1 จ้า
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 33 P.5 [21/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: arjanlai ที่ 24-07-2017 16:26:26
โดยหลักแล้ว น่าติดตามครับ แต่ตัวหนังสือติดกันไปหน่อยมันเลยดูลายตานิดๆ แต่ก็เป็นอีกแนวที่โอเคเลยครับ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 34 [25/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 25-07-2017 20:32:11
Chapitre 34

   วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจจะมาปลีกวิเวกคนเดียวแท้ๆ แต่คงเป็นจังหวะที่ดวงผมถึงคราวซวยและการเลือกสถานที่ผิดของผมเอง ถึงได้เจอเหตุการณ์บ้าบอก่อนหน้าถึงสองเหตุการณ์ แถมยังตอนนี้อีก ที่ผมกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารหนึ่งที่ชัญญ่าเป็นคนเลือก ซึ่งที่นั่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว และเมนูอาหารก็ราคาสูงพอสมควรด้วย คนชวนกำลังนั่งทานอย่างสบายใจเหมือนไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า แต่ผมนี่สิที่นั่งกระเดือกอะไรแทบไม่ลง เพราะมันร้อนใจไปหมด อยากจะคุยๆ เสียให้มันเสร็จๆ ให้ได้รู้เรื่องกันไป ไม่ใช่ต้องมานั่งทนอึดอัดอยู่แบบนี้

   “ไม่กินล่ะ ไม่หิวเหรอ” ชัญญ่าเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าสงสัย ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงนึกขำกับท่าทางการกินแบบไม่ค่อยห่วงสวยของเธอ แต่ในเวลานี้ผมขำไม่ออกจริงๆ แค่ปั้นยิ้มยังยากเลย

   “นี่ชัญญ่า เอาจริงๆ นะ มีอะไรรีบพูดมาเลยดีกว่า”

   “ใจเย็นสิฟร๊องก์ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย” เธอยังทำท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร พลางคีบซาซิมิเข้าปากอย่างสบายใจ

   “ตอนแรกเราก็นึกขอบคุณนะ ที่อยู่ๆ ชัญญ่าก็โผล่มา แล้วพูดเพื่อช่วยเรา แต่ทำไปทำมาคำพูดเหล่านั้นของชัญญ่ากลับทำร้ายเรามากกว่า เราจะไม่คิดมากเลยถ้า... ถ้าไม่ใช่กับคนๆ นั้น และสิ่งที่ชัญญ่าพูดมันไม่ได้เกี่ยวกับคนที่เขาเกี่ยวข้องกับเรา แต่นี่ญ่ากำลังใส่ร้ายเราในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นและไม่ได้ทำ”

   “งั้นเหรอ จะบอกว่าที่เราเข้าใจมันผิดสินะ เรื่องของฟร๊องก์กับ... เก็ท” ชัญญ่าว่าพร้อมกับวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้ามองผมด้วยแววตาที่จริงจังต่างไปจากตอนแรก

   “เรื่องของเรากับเก็ท เราก็เคยพูดกันไปแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันไม่มีอะไร แล้วในตอนนั้นชัญญ่าก็เข้าใจมันดีแล้วด้วย ถึงทำให้เราเป็นเพื่อนกันจนทุกวันนี้ได้ แล้วอยู่ๆ ชัญญ่ามาขุดเรื่องเก่ามาพูดอีกทำไม” ผมก็สบตากลับด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน

   “ตอนนั้นเราก็เชื่ออยู่หรอกนะ เพราะคิดว่าฟร๊องก์ก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว แต่ต้องบอกเลยว่าตอนนี้เราไม่เชื่อแล้ว มันไม่ใช่แค่เรื่องวันนั้นที่เราบังเอิญไปเจอฟร๊องก์อยู่กับเก็ทที่พารากอนหรอกนะ แต่มันมีหลายครั้ง ที่เก็ทเลือกจะไปกับฟร๊องก์มากกว่า อีกอย่างญ่าก็เพิ่งรู้ว่าตอนนี้ฟร๊องก์ก็ไม่ได้มีใครอย่างที่เข้าใจด้วย ไหนๆ ก็เปิดใจพูดกันตรงๆ แล้วเนอะ งั้นเราขอถามฟร๊องก์หน่อยล่ะกัน ว่าฟร๊องก์น่ะ คิดอะไรกับเก็ทอยู่กันแน่ ชอบเก็ทเหรอ”

   “ห๊ะ! ตลกแล้วชัญญ่า จะให้พูดอีกกี่ครั้งเราก็ยืนยันว่าเราคิดกับเก็ทแค่เพื่อน เก็ทเองก็เหมือนกัน เราสองคนเป็นเพื่อนกัน ไม่มีและไม่เคยมีอะไรเกินกว่านี้!” ตลกมาก ไม่รู้ว่าชัญญ่าแกล้งหยอกหรือปั่นหัวผมเล่นหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมไม่ขำด้วยหรอกนะ สิ่งที่ชัญญ่าถามผมนั้นมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมกับเก็ทเนี่ยนะ คิดได้ยังไง

   “งั้นเหรอ” ชัญญ่าเอียงคอมองหน้าผมด้วยสายตาแสนเจ้าเล่ห์ บอกตรงๆ ว่าไม่ชอบท่าทางกวนโอ้ยแบบนี้เลย

   “จะให้เราพูดอีกกี่ครั้ง เราก็พูดเหมือนเดิม เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ เราไม่รู้หรอกนะว่าคำตอบมันจะเป็นที่พอใจของชัญญ่าหรือเปล่า แต่มันคือเรื่องจริง!”

   “พิสูจน์สิ”

   “พิสูจน์? ยังไง”

   “อืม... แล้วกับปาร์ค ฟร๊องก์คิดยังไงด้วยล่ะ” ชัญญ่าทำท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไร ก่อนจะตัดบทไปถามเรื่องเกี่ยวกับผมและปาร์คออกมา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พูดอยู่ 

   “และ... แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน” คิ้วของผมขมวดเล็กน้อยด้วยความฉงน

   “เอาน่า ตอบมาเถอะ มันเกี่ยวก็แล้วกัน”

   “กะ... ก็เป็นเพื่อนกันไง”

   “ให้ตอบใหม่อีกที เพื่อนในที่นี้ก็คือรู้สึกแบบเดียวกับเก็ทใช่ไหม” ชัญญ่าถอนหายใจเบาๆ ผมงงกับท่าทางของเธออยู่ไม่น้อย ตกลงยังไงกันแน่ เธอกำลังเล่นอะไร ผมไม่เข้าใจ ตามไม่ทันแล้วด้วยเหมือนกัน

   “ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ชัญญ่า เรางงไปหมดแล้วนะ” ผมโพล่งออกมาอย่างไม่เกรงใจ รับรู้ได้ถึงคิ้วทั้งสองข้างที่ขมวดจนแทบผูกเป็นโบว์บนหน้า

   “ก็เรื่องที่กำลังพูดเนี่ยล่ะ ที่ถามเรื่องของฟร๊องก์กับปาร์คน่ะ เพื่อจะได้ยืนยันไง ยังไงล่ะ ตกลงก็คิดกับปาร์คแค่เพื่อนเหมือนที่เคยบอกใช่ไหม ญ่าจะได้เข้าใจว่าฟร๊องก์คิดจะ ‘จับ’ คนที่ปากบอกว่า ‘เพื่อน’ ทุกคน!”

   “...” ผมถึงกับอึ้งกับสิ่งที่ชัญญ่าพูดออกมา ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะ อย่างน้อยก็กับเก็ท แต่สำหรับปาร์ค จะให้ผมบอกออกไปยังไง ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ไอ้รักเพื่อนน่ะไม่เท่าไร แต่เขายังมีเจ้าของอยู่แล้วนี่สิ ยิ่งไปกว่านั้น... ยังยอมให้มีอะไรเกินเลยกับคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนนี่อีก จะให้ผมพูดออกไปงั้นเหรอ กับเรื่องอัปยศแบบนี้!

   “พูดไม่ออกเลยสินะ ทำไมเหรอ เสียใจ? อึ้ง? หรืออะไรกันแน่ หรือนึกไม่ถึงที่จะมีคนรู้แผนการเร็วขนาดนี้ ทั้งที่ยังจับใครไม่ได้สักคน”

   “เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว เราไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลยนะ”

   “แล้วจะให้เราเข้าใจว่าอะไรล่ะ ก็ฟร๊องก์บอกเองว่าคิดกับเก็ทแค่เพื่อน แถมกับปาร์คที่เราดูว่าฟร๊องก์กับเขามีอะไรพิเศษต่อกัน ก็ฟร๊องก์กลับบอกว่าเป็นเพื่อนเหมือนกัน แต่การกระทำของฟร๊องก์มันตรงข้ามหมดเลย แล้วจะให้เราเข้าใจว่าไรอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่แบบที่เราว่า!”

   “ก็แล้วจะให้เราบอกยังไง... จะเราให้บอกเหรอว่าเรารักปาร์ค รักคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อน จะให้เราบอกแบบนั้นเหรอทั้งที่ปาร์คเองก็มีแฟนแล้ว และเรื่องระหว่างเรากับปาร์คมันไม่มีวันเป็นไปได้อยู่แล้ว เราก็ละอายใจเป็นเหมือนกันนะ” ผมว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

   “ไม่เห็นต้องอายเลย มันไม่ใช่เรื่องผิดนิ มันมีกฎหมายหรืออะไรบอกไว้เหรอว่าห้ามชอบ ห้ามรักเพื่อน แล้วมีกฎข้อไหนบอกเหรอว่าความรักมันเกิดขึ้นกับคนที่เป็นเพื่อนกันไม่ได้ เราถึงได้ถามไง ว่าระหว่างฟร๊องก์กับปาร์คน่ะ คิดยังไงกันแน่ ถ้ายังยืนยันว่าคิดกับปาร์คแบบเพื่อนอีก เราก็คงไม่มีอะไรต้องถามเกี่ยวกับเก็ทแล้วเหมือนกัน”

   “คือเรา... กับปาร์ค...” ผมก้มหน้าแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

   “ไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะจริงๆ เรารู้อยู่แล้วแหละว่าฟร๊องก์รู้สึกยังไงกับปาร์ค”

   “อ้าว แล้วจะมาถามเราอีกทำไม”

   “ให้มั่นใจไง แล้วกับเก็ทล่ะ รู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า”

   “เปล่านะ! เราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นกับเก็ทเลย ไม่เลยจริงๆ เราคิดกับเก็ทแค่เพื่อน ไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้นเลย” ผมรีบพูดออกไปทันที กลัวชัญญ่าจะเข้าใจผิดมากกว่านี้

   “อืม... ฟังดูก็น่าเชื่อนะ ว่าแต่ฟร๊องก์รักปาร์คจริงหรือเปล่า”

   “หมายความว่าไง”

   “ก็ทั้งที่รัก แต่ทำไมถึงยอมให้ปาร์คมีคนอื่นล่ะ แล้วท่าทีของฟร๊องก์เมื่อกี้ก็ทำเหมือนไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวเลยด้วยซ้ำ มันถึงทำให้เราเริ่มไม่แน่ใจไงว่าตกลงฟร๊องก์รู้สึกอย่างไรกันแน่”

   “ก็... เราเป็นเพื่อนกันนิ เพื่อนจะห้ามให้อีกคนมีแฟนได้ไง” ผมเอ่ยเสียงเศร้า ถึงรักมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่มีสิทธิอยู่แล้วนี่ครับที่จะไปหึง ไปหวงปาร์ค ปาร์คมีสิทธิ์ตัดสินใจ เพราะสถานะของเราสองคนมันระบุชัดไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเพื่อน ส่วน... เรื่องที่ผิดพลาด ก็ถือเป็นเพราะความพลาดพลั้งของเราสองคน และผมก็คงไม่มีวันพูดมันออกไปให้คนอื่นรับรู้

   “ตรงๆ นะฟร๊องก์ เราไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของฟร๊องก์กับปาร์คเลยจริงๆ ที่เราบังเอิญเจอฟร๊องก์อยู่กับปาร์คครั้งก่อน สำหรับเราที่เป็นมุมมองคนนอก ฟร๊องก์กับปาร์คดูไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนกัน มันมีอะไรมากกว่านั้น เราเลยถามไงว่าฟร๊องก์ไม่แคร์หน่อยเลยเหรอเรื่องที่ปาร์คมีใครอีกคน”

   “ไม่ใช่ว่าเราไม่แคร์หรอกชัญญ่า แต่เราทำอะไรได้... ในเมื่อปาร์คเลือกผู้หญิงคนนั้นเอง และเรื่องของเรามันไม่เคยชัดเจนตั้งแต่แรก สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือสถานะที่ย้ำเตือนอยู่เสมอว่าเพื่อน ถ้าปาร์คเลือกแบบนั้นแล้ว เราจะทำอะไรได้ อีกอย่าง เราคิดว่าเรารู้จักปาร์คดีแล้ว แต่บางทีเราอาจจะไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนั้นเลยด้วยซ้ำไป” ผมพูดออกไปโดยเลี่ยงที่จะพูดถึงความรู้สึกเจ็บปวดและโกรธเคืองจากเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ควรมีใครรับรู้ สิ่งที่ควรฝังมันไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ

   “ฟร๊องก์จะยอมปล่อยปาร์คไป แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่คนดีและหลอกปาร์คอยู่น่ะเหรอ แบบนี้ไม่ใช่แค่ฟร๊องก์ที่จะเจ็บ ปาร์คเองก็คงไม่ต่างกัน”

   “หลอกงั้นเหรอ ผู้หญิงคนนั้นหลอกอะไรปาร์ค!” ผมตาลุกวาวทันทีที่ได้ยินคำพูดของชัญญ่า เธอไปรู้อะไรมา ผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นหลอกอะไรปาร์ค

   “ไม่รู้จริงๆ สินะ แต่ท่าทางร้อนรนแบบนี้ก็ค่อยเชื่อหน่อยว่า... รักปาร์คจริงๆ หึหึ แล้วทำเป็นไม่สนใจ” ชัญญ่ากอดอกพยักหน้าด้วยท่าทางพึงพอใจ แต่ผมนี่สิ แทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นหลอกปาร์คเรื่องอะไร!

   “อะไรชัญญ่า บอกเรามาสิ ปาร์คถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกเรื่องอะไร”

   “มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อยสิ”

   “จะให้เราทำอะไร” ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ แต่อีกใจก็เป็นห่วงปาร์ค ทั้งที่... มันเป็นคนทำร้ายผมอย่างไร้ความปรานีในค่ำคืนนั้น

   “เห้ย! อย่ากังวลไปดิ เราไม่ได้ให้ฟร๊องก์ทำอะไรแปลกประหลาด หรืออะไรยากเย็นหรอก ในเมื่อฟร๊องก์พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่ารักปาร์ค ฟร๊องก์ก็ทำให้เราเห็นอีกอย่างสิ ว่าฟร๊องก์ไม่ได้คิดอะไรกับเก็ทจริงๆ”

   “แล้วจะให้เราทำยังไง”

   “ไม่เห็นยากเลย อยู่ห่างจากเก็ทไว้สิ”

   “แต่...”

   “ทำไม เสียใจเหรอ”

   “เปล่าๆ ก็จะให้เราห่างยังไง ในเมื่อเราต้องอาศัยรถเก็ทไปเรียน แถมยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันด้วย”

   “เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ไอ้อะไรที่ทำเป็นปกติน่ะ ส่วนที่มัน ‘ไม่ปกติ’ ก็เลิกซะ เช่น ไปไหนด้วยกันสองต่อสอง รู้ไหมว่าหลังๆ มานี่เก็ทไปกับฟร๊องก์สองคนบ่อยกว่าเราอีกนะ”

   “ได้ๆ เราสัญญา เราจะไม่ไปกับเก็ทอีก ถ้าจำเป็นจริงๆ เราจะชวนเพื่อนไปด้วย คราวนี้บอกเรามาได้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นหลอกอะไรปาร์ค”

   ชัญญ่าหัวเราะด้วยท่าทางชอบใจ ผมเริ่มไม่ชอบกับท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของเธอสักเท่าไรแล้ว ยิ่งตอนนี้ในใจผมร้อนรนมากจนมันแทบจะเผาใครสักคนให้ไหม้เป็นจุลได้อยู่แล้ว

   “ฟร๊องก์นี่ใจร้อนจริงๆ เลยนะ ไม่เห็นเหมือนกับตอนแรกที่ทำท่าจะตัดใจจากปาร์คเลย”

   “ชัญญ่า เข้าเรื่องเลยดีกว่า อย่ามัวแต่ลีลา!”

   “โอเคๆ ฟร๊องก์ก็ลองสังเกตดูแล้วกันนะ ผู้หญิงคนนั้น เวลาอยู่กับปาร์ค แต่สายตาก็ยังคงสอดส่ายมองคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ แล้วก็ดูระแวดระวังตัวผิดปกติ แล้วก็เรื่องที่ชอบให้ปาร์คซื้อนั่นนี่ให้ ก็เข้าใจหรอกว่าบางทีมันเป็นมารยาทของผู้ชายที่ต้องซื้อให้บ้าง แต่มันเยอะไปหรือเปล่า”

   “คะ... คือ... ตั้งแต่เรารู้ว่าปาร์คมีคนอื่น เราก็ห่างๆ กับปาร์คไป เลยไม่ค่อยรู้เท่าไร” ใช่ครับ ผมไม่ค่อยรู้จริงๆ จะว่าผมไม่สนใจก็ได้นะ แต่ผมจะสนใจทำไมในเมื่อมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บ การที่ต้องมารับรู้เรื่องราวของสองคนนั้น มันก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้แผลของผมลึกและเหวอะหวะมากขึ้น ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะไม่รับรู้ ไม่ติดต่อเลยดีกว่า

แต่ถ้าลองนึกย้อนกลับไปวันที่ผมได้เจอกับปาร์คและผู้หญิงคนนั้นซึ่งๆ หน้าพร้อมกับทาร์ต ในตอนนั้นที่เธอมีสายเข้า ท่าทางร้อนรนแปลกๆ นั้นจะเกี่ยวกับสิ่งที่ชัญญ่าบอกหรือเปล่า

   “เราก็พอเข้าใจแหละนะ ว่ามันยากที่จะให้รับรู้ว่าคนที่เรารักมีคนอื่น แต่ต่อจากนี้ ลองสังเกตดูเอาแล้วกันนะ หรือไม่ก็ลองถามๆ ใครเอาสิ เพื่อนฟร๊องก์ที่เรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับปาร์คก็มีไม่ใช่เหรอ เอาเป็นว่าเราชี้ทางให้แล้วนะ ที่เหลือจะทำยังไงก็อยู่ที่ตัวฟร๊องก์ แต่อย่าลืมที่เราบอก เรื่องเก็ทน่ะ อย่าให้มีเรื่องอะไรตามมาทีหลังก็แล้วกัน เพราะถ้าจากที่เราจะช่วย มันอาจจะกลายเป็นอย่างอื่นแทน”

   ชัญญ่าพูดยาวเหยียดเป็นแนวทางให้ผมดำเนินการต่อ ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของผมเองสินะที่ต้องสืบหาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงกันแน่ ส่วนเรื่องเก็ทผมรับปากชัญญ่าไปแล้วผมไม่ผิดสัญญาแน่นอน เพราะระหว่างผมกับเก็ทไม่มีอะไรกันเกินเลยกว่าเพื่อนที่เป็นอยู่จริงๆ

   ผมพยักหน้ารับคำ ชัญญ่าจึงเปล่งรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความพอใจก่อนที่จะเธอจะควักธนบัตรจำนวนหนึ่งยื่นมาให้ผใ แล้วก็ลุกจากไปโดยไม่ได้มองกลับมาที่ผมอีก ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องเรียกเก็บเงิน จะให้นั่งกินต่อก็ไม่สมควร อีกอย่างผมไม่ได้อยากกินตั้งแต่แรก (แม้จะหิวมากก็ตาม)

   จากนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากไปจะไปไหนต่อ แต่ก็ยังไม่อยากกลับบ้านเช่นกัน ก็ในเมื่อบอกกับแม่ก่อนจะออกมาว่าจะมาพักผ่อน ให้ตัวเองรู้สึกโล่ง รู้สึกดีขึ้น ถ้ากลับไปด้วยสภาพอิดโรยแบบนี้แม่จะยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น ผมเลยตัดสินใจไปเดินเล่นที่สวนรถไฟ

   ช่วงเย็นๆ วันหยุดแบบนี้ก็มีคนเยอะอยู่พอสมควร แสงแดดยังคงสาดแสงอยู่ เพียงแต่ไม่แรงเท่าช่วงกลางวัน แต่ก็พอทำให้รู้สึกอบอุ่นได้ ผมเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย แต่ก็ไม่ได้เดินไปไกลจากทางเข้ามากเท่าไรนัก เพราะขี้เกียจเดินกลับ เดินมองเท้าตัวเองไปเรื่อยๆ ขณะที่สมองผมก็คิดวิธีสืบหาข้อมูลของผู้หญิงที่ชื่อเกลไปด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่เพื่อนหลายๆ คนของผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับปาร์คและผู้หญิงคนนั้น แต่จะมีใครรู้จักบ้างเนี่ยล่ะ มหา’ลัยก็ใช่ว่าจะเล็ก ไม่ใช่ว่ามีร้อย สองร้อยคนซะเมื่อไหร่ คิดแล้วก็ปวดหัว ยิ่งจะให้ผมตามเรื่องเอง ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ลำพังตัวผมก็ไม่ค่อยจะรู้จักใคร ไม่ค่อยวุ่นวายกับใครแล้ว ความกว้างขว้างทางสังคมไม่ต้องพูดถึงเลย แคบมาก!

   เดินไปเดินมาก็เริ่มเหนื่อย เบื่อแล้วด้วย ปวดหัว คิดไม่ออก ใจหนึ่งก็บอกว่าไม่อยากจะยุ่ง เพราะอย่างไรซะ สุดท้ายผมกับปาร์คก็เป็นได้แค่เพื่อนอยู่ดี แถมมันยังทำเรื่องเลวร้ายไว้กับผมอีก แต่อีกใจก็ขัดแย้ง ว่ามันเป็นคนที่ผมรักมากที่สุด แล้วจะปล่อยให้คบอยู่กับคนไม่ดี (ตัดสินด้วยตัวเองไปแล้วครับ) ต่อโดยไม่ทำอะไรเลยน่ะเหรอ แต่ผมจะทำยังไงดี ช่วยผมคิดที!?!


à suivre...


เอาล่ะ ชัญญ่ามีความสงสัยในความสัมพันธ์ของฟร๊องก์กับเก็ท แฟนนางล่ะ
ฟร๊องก์ไม่ได้คิดอะไรเกินเลนกับเก็ท แล้วเก็ทล่ะคิดยังไงกับฟร๊องก์แน่?

แถมชัญญ่ายังมาทิ้งปมของเรื่องระหว่างปาร์คกับเกลไว้อีก
ฟร๊องก์สืบไปยาวๆ 555555+


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นนะฮะ เรื่องมันอาจจะวุ่นวาย รุงรังไปหน่อย
คือวางพล็อตไว้ตอนแรก แล้วพอมาแต่ง ก็ค่อยๆ ผูกปมเพิ่มในบางส่วนไปด้วย
ปัญหามันเลยเยอะหน่อย เรื่องมันเลยมะรุมมะตุ้ม 555+
แต่ก็แอบรู้สึกดีนะ ที่เดาทางกันไม่ถูก เราบอกได้แค่ว่า

ตัวละครหลักๆ ทุกตัว เป็นสีเทา ไม่ขาว ไม่ดำ ไม่ดีสุด และก็ไม่เลวสุดเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าตัวละครนั้นๆ เลือกเติมสีอะไรเข้าไปในสีเทานั้นมากกว่ากัน

ตัวละครตังค์ เอาจริงๆ ต้องขอโทษ 55+ ใส่มาแค่นั้นจริงๆ ใส่มาเพื่อให้เห็นว่าจริงๆ แล้วฟรีองก์มีคนสนใจอีกหลายคน แต่เจ้าตัวเลือกที่จะไม่ใส่ใจมากกว่า :hao5: (รู้สึกผิดเลยอ่ะ 555+)

ส่วนเรื่องชื่อเรื่อง เรามีเหตุผลที่ตั้งชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยฮะ from PAST to FUTURE... ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเดินทางของความรักจากอดีตสู่อนาคต แต่มันคืออดีตของคนหนึ่ง ที่อาจเป็นอนาคตของใครอีกคน...


จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 34 P.5 [UP! 25/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 25-07-2017 23:18:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 34 P.5 [UP! 25/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 25-07-2017 23:31:33
มันแปลกๆนะครับ... บทที่ 34 เนี่ย

คิดในแง่ความเป็นจริงเลยนะครับ ผมว่าฟร็องก์ร้อนตัวแบบแปลกๆ คือถ้าปกติ สมมุติเราเป็นแฟน A แล้วเราเห็นว่า A มีท่าทีสนิทสนมกับ B ที่เป็นเพื่อนมากจนน่าแปลกใจ (โอเค เราไม่พูดถึงว่าความสัมพันธ์ในเชิงความรักของเรากับ A แบบไหนนะครับ) ทีนี้ถ้าเรานัดคุยกับ B แล้ว B พูดเสียงสูงแบบฟร็องก์เนี่ย เป็นผม ผมไม่ซื้ออะครับ (สำนวนฝรั่งคือ I’m not gonna buy it มันแปลเป็นเชิงว่า เราไม่เชื่อคุณอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณโกหกนะครับ นัยยะคือ มันไม่น่าจะเป็นอย่างที่คุณพูดมาจริงๆน่ะ) เพราะมันเป็นการปฏิเสธแบบหนักแน่นมากโดยที่มีหลักฐานคาตาและหลายครั้งแล้ว และถ้าสมมุติ B พูดปฏิเสธแบบหนักแน่นอย่างฟร็องก์ ในแง่ความเป็นจริง มันก็แปลความได้สองอย่างนะครับ ถ้าเกิดว่าคนที่ฟังค่อนข้างฉลาดและเห็นคนมาเยอะระดับหนึ่งนะ หรือต่อให้ไม่ฉลาดก็เถอะ ถ้าหยุดฟังคำแก้ตัวรีบๆของฟร็องก์ แล้วฉุกคิดสักอย่าง มันก็จะสะดุดใจไม่ยากนะครับ

หนึ่ง  A อาจจะไม่เคยพูดเรื่องความสัมพันธ์ที่เขาอาจจะอยากพัฒนากับ B ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ เราควรจะไปเคลียร์กับ A ครับ เพราะว่าการเป็นเพื่อนกันมาก่อน (ถ้าเราไม่ได้สนิทกับ A เท่า B น่ะนะ) มันไม่มีทางที่เราจะไปเข้าใจหรือรับรู้ได้ว่า A กับ B มันสร้างอะไรกันมาบ้างจนถึงปัจจุบัน การจะไปวีนใส่เลย หรือการจะบอกว่า โอเคเราเชื่อ มันฟังไม่ขึ้นครับถ้าคุณไม่ได้โง่แบบหูหนวกตาบอด คุณควรจะคิดต่อ เพราคุณเป็นมุมมองบุคคลที่สามนี่ คุณเห็นแล้วตีความได้ครับ หรือ สอง B อาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง ซึ่งอันนี้ผมว่าฟร็องก์ตัดสินใจพลาดมากที่ปฏิเสธรุนแรงขนาดนี้ คือคนฟังที่ไหนมันก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว แถมเอาจริงๆท่าทีมันล่อแหลมมากเลยนะครับ คุณควรจะเคลียร์ความรู้สึกตัวเองกับอีกคนให้ดีก่อน ก่อนจะตัดสินใจพูด เพราะผมว่ายิ่งเจอคนแบบชัญญ่า อย่าพูดอะไรแบบไม่คิด เพราะมันจะมัดตัวเองครับ ผมคิดว่าชัญญ่าเป็นสุภาพสตรีพอที่จะเคารพความคิดเห็นของคนอื่นนะ ถ้าคุยกันตรงๆและมีตรรกะเหตุผล มันไม่น่าจะมีปัญหา เพราะฟร็องก์เองก็เริ่มมีท่าทีตอบสนองต่อการเร้าอารมณ์จากรูปลักษณ์ของเก็ทเหมือนกัน นั่นเป็นพัฒนาการที่น่าสังเกตนะครับ ดังนั้นถ้ารีบๆพูดแล้วเกิดปัญหาขึ้นมา แล้วฟร็องก์เองดันมาเสียใจที่พูดไปอย่างนั้น อันนี้ฟร็องก์ต้องไปแก้ปัญหาเอาเองแล้วนะครับ (หัวเราะ) เพราะถือว่าผิดเต็มๆเลย

แต่ถ้ามองว่าฟร็องก์รีบๆพูดให้จบๆไป เพราะว่าอยากรู้เรื่องปาร์คกับเกล อันนี้ก็ไม่ว่ากันครับ อย่างไรก็ตาม ปัญหามันจะเกิดจากการรีบรับปากแบบไม่คิดหน้าคิดหลังถึงความรู้สึกของตัวเองนี่แหละ ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไป
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 34 P.5 [UP! 25/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-07-2017 15:49:08
ก็เข้าใจว่าหวงแฟนแต่จำเป็นมั้ยที่ต้องทำกันแบบนี้ไม่ชอบนิสัยชัญญ่าเลยจริงๆ ตอนนี้
ฟร๊องก์ไม่ใช่จะใจอ่อนกลับไปคบกับปาร์คอีกนะถ้ารู้ว่าเกลแฟนสาวของปาร์คมาหลอกกันอ่ะ
ไม่เห็นด้วยสุดๆ อ่ะ เจ็บแล้วต้องจำสิ อย่าโง่ได้มั้ย ถึงมันจะยากแต่ก็ต้องพยายาม
อย่ากลับไปหาคนที่ใจโลเลแบบปาร์คเลยมีแต่เจ็บกับเจ็บเชื่อเถอะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 34 P.5 [UP! 25/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 26-07-2017 16:46:45
ชัญญ่านี่แปลกมากอ่ะ

จะบอกว่าระแวงแฟนกับเพื่อนก็เข้าใจแต่วิธีถามพูดนี่เหมือนกำลังเล่นเกมอยู่

เหมือนไม่แคร์เท่าไหร่ว่าจริงไหม แต่เล่นกับความรู้สึกฟร๊องก์อย่างเดียว
ทำให้น่ารังเกียจแปลก
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 34 P.5 [UP! 25/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 26-07-2017 20:10:47
เราว่าชญญ่าไม่ได้รักเก็ทแบบรักจริงหวังแต่งอะไรแบบนี้หรอก แค่รู้สึกดี เลยสติลคบอยู่ ถ้าอนาคตพัฒนาไปถึงขั้นนั้นได้ค่อยว่ากัน แล้วนางก็สวยงัย อีโก้คนสวยจะโดนเทนี่ทำใจลำบากนะ ถ้านางเทเองก็อีกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เกลียดฟร๊องก์นิสัยนางน่าจะเป็นคนจริงลุยๆ ไม่เอาเปรียบใครแต่ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ ดังนั้น นางเลยเข้ามาช่วยฟร๊องก์ตอกหน้าผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ขอแขวะด้วยนิดนึงพอให้หายหมั่นไส้

เราว่านางสวมบทผู้สังเกตการณ์อยู่ นิสัยน่าจะชอบสร้างบุญคุณแล้วบังคับให้คนอื่นตอบแทนในสิ่งที่นางต้องการ โดยรวมเราชอบนางนะ แลเป็นคนจริงๆ แบบเรียลดี แสดงออกสองด้านไม่แอ๊บ สงสัยก็ถาม  ถือเป็นคนตรงใช้ได้

เราสมมตินะว่า ถ้าฟร๊องเกิดตอบว่าชอบเก็ท ดีสุดอาจจะแค่ตบสักทีแล้วคุยเป็นเพื่อนกันต่อ ร้ายสุดนางคงเอากับข้าวยีหัว ตบ ด่าประจานให้สะใจ แต่นางจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายอ่ะ ประมาณ ฉันยกให้เธอก็ได้แต่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน งี้

555 นี่มโนเอาเองสนุกๆ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 34 P.5 [UP! 25/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-07-2017 22:52:16
ใครจะเป็น ใครจะตาย กายขาดวิ่น
ร้องตะโกน อยากให้ยิน สิ้นสุดเสียง
จะหยุดกึก นึกใจนิ่ง ทิ้งสำเนียง
มีให้เพียง สายตาบอก สำรอกคาย

//ต่อให้มากระเสือกกระสน ทรุดตัวตายตรงหน้า
ก็อย่าหมายว่าจะได้รับความเห็นใจจากกัน#ปาร์ค

สะใจโว้ยยยยยยยยยยยย
ฮ่าฮ่า..หัวเราะเป็นบ้าเป็นบอเลยตรู

กร๊ากกกกกกกกกกกก

+1 ฮับ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 35 [31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 31-07-2017 17:53:00
Chapitre 35

   หลังจากกลับมาถึงบ้าน เมื่อคืนผมแทบจะนอนไม่หลับเลยด้วยซ้ำกับเรื่องที่ชัญญ่าได้บอกเมื่อวาน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าจะมานั่งคิดมากอยู่ทำไม ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แถมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ชัญญ่าพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ และก็ไม่เข้าใจว่าที่ชัญญ่ามาบอกเรื่องนี้กับผมเธอต้องการอะไร ถ้าจะบอกเพื่อกันผมออกจากเก็ท ก็เชียร์คนอื่นก็ได้นิ แต่ถึงไม่เข้าใจและพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดมากอย่างไร ตัวผมเองก็ยังอดที่จะเป็นห่วงปาร์คอยู่ไม่ได้ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเพราะคนๆ นี้ และรู้ทั้งรู้ว่า ‘เราไม่ได้เป็นอะไรกัน’ แต่ก็นะ คนเคยรัก... และก็ยังคงรักอยู่ จะให้ผมไม่คิดมากไม่ได้หรอก

   ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมกำลังคิดหรือจะทำต่อไปจะได้รับผลลัพธ์ให้ทางไหน ปาร์คจะพอใจและยินดีหรือเปล่าที่ผมยื่นมือเข้าไปช่วยหรือจัดการชีวิตของมัน มันจะเห็นความหวังดีที่ผมมีให้หรือเปล่า หรือมันจะทำให้ช่องว่างระหว่างเรามันห่างขึ้นกันแน่ ถ้าเรื่องที่ชัญญ่าเปรยขึ้นมาเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตามที่ผู้หญิงคนนั้นทำไม่ดีต่อปาร์ค ผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด แม้ปาร์คอาจจะไม่พอใจ แต่มันก็ยังกว่าผมจะปล่อยให้ปาร์คต้องคบอยู่กับคนไม่ดีโดยที่ตัวเองไม่รู้ ไม่ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร ผลจะเป็นแบบไหน แต่ผมคิดแล้วว่ายังไงก็ต้องหาทางช่วยปาร์คให้ได้ ผมอยู่เฉยๆ ไม่ได้เหมือนกัน

   บางทีเรื่องนี้อาจจะพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างก็เป็นได้ ทั้งเรื่องราวเบื้องหลังของผู้หญิงที่ชื่อเกลคนนั้น เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปาร์ค ถ้าเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใคร บทลงเอยจะเป็นเช่นไร ผมจะยังหวังได้อยู่ไหมว่าปาร์คอาจจะเลือกผมบ้าง รวมทั้งเรื่องที่เป็นตัวจุดฉนวนขึ้นมาอย่างเรื่องเข้าใจผิดของชัญญ่าเกี่ยวกับตัวผมกับเก็ทด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจจะคลี่คลาย และกระจ่างแจ้งออกมาได้บ้าง

   เมื่อวานกลับบ้านมาผมรีบต่อสายหาแคมป์ทันที เผื่อมันจะพอรู้เรื่องบ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดมันอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผู้หญิงคนนั้นจะได้ช่วยสืบหรือเป็นหูเป็นตาให้น่าจะสะดวกกว่าตัวผมเอง แต่ผมก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรไปมาก ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจแคมป์ แต่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้และไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเรื่องราวที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร ความรู้สึกตอนนี้เหมือนงมเข็มในหมาสมุทรแปซิฟิกก็ไม่ปาน

   ผมบอกแคมป์ไปแค่เพียงว่าผมอยากรู้ว่าเธอคนนั้นเป็นคนยังไง คบกับปาร์คเป็นไงบ้าง แต่ก็พอรู้อยู่ว่าแคมป์สงสัยอยู่เหมือนกันในเมื่ออยู่ดีๆ ผมก็มาถาม ทำไมผมถึงเกิดอยากรู้เรื่องราวของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของคนที่ผมรักขึ้นมา ทั้งที่ตัวผมก็รู้เรื่องราวมาสักพักแล้ว ตั้งแต่ตอนที่แคมป์บอก แล้วทำไมเพิ่งจะมาถาม แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ เพียงบ่ายเบี่ยงประเด็นไปเท่านั้น เมื่อเห็นผมไม่พูด แคมป์เลยเลือกที่จะไม่ถามต่อและปล่อยผ่านปัญหาของผมไป แต่เจ้าตัวก็ยังรับปากว่ายินดีที่จะช่วยเพื่อนอย่างผม จะพยายามตามๆ เรื่องให้เท่าที่จะทำได้ แต่มันก็บอกว่าอาจจะลำบากสักหน่อย เพราะเรียนคนละคณะ แถมคณะยังอยู่ไกลกันอีก ถึงจะอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่มันก็ไม่ใช่ที่แคบๆ ที่จะตามหากันง่าย อีกอย่างคนยังเยอะมากอีกด้วย แต่แค่มันยอมช่วยผมก็ซาบซึ้งมากแล้วครับ แทบจะซับน้ำตาไม่ทันกันเลยทีเดียว (เครียดๆ มึงก็ยังเล่นมุกแป๊กๆ ได้อีกนะไอ้ฟร๊องก์!)

   [ทำไมไม่ลองถามพวกไอ้พัฒน์ ไอ้เอดูล่ะ มันน่าจะรู้มากกว่านะกูว่า แฟนพัฒน์มันเรียนอยู่คณะเดียวกับชะนีนั่น] แคมป์เสนอทางเลือกมาให้กับผม พัฒน์กับเอคือเพื่อนผู้ชายสมัยมัธยมของผมเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทเท่าไร

   ‘แฟนพัฒนน์เรียนสถาปัตเหรอ’ ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัย แอบอยากรู้เรื่องคนอื่นด้วย

   [บ้านมึงสิ! เรียนศึกษาเถอะ ใครบอกมึงว่าชะนีนั่นเรียนคณะเดียวกับปาร์ค คิดไปเอง!] อ้าว แล้วกูจะไปรู้ไหมเล่า!

   ‘กูจะไปรู้เหรอ แต่กูก็ไม่มีเบอร์พวกพัฒน์อยู่ดีอ่ะ มีแต่เบอร์เก่าตอนมัธยมโน้นเลย ป่านนี้เปลี่ยนล่ะมั้ง’ ผมตอบ ด้วยความที่ผมไม่ได้สนิทกับพวกนั้นมากอยู่แล้ว หลังจบมัธยมมาเลยไม่ค่อยได้ติดต่อ อาจจะมีทักทายกันบ้างเวลาเจอ หรือนิดหน่อยในเฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมาตามอัพเดทเบอร์โทรศัพท์อะไรขนาดนั้น เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรต้องคุย แต่หลังจากนี้คงต้องรู้จักอัพเดทเบอร์โทรเพื่อนบ้างแล้วแหละ เผื่อบางทีอาจจะมีประโยชน์อย่างคราวนี้ก็ได้

   [โอ้ย! มึงนี่นะ!] แคมป์สบถเล็กน้อยด้วยความรำคาญ

   ‘มึงมีเบอร์โทรไอ้พัฒน์อยู่แล้วล่ะ กูรู้ ผัวเก่ามึงนี่ ขอหน่อยดิ’ ผมกับแซนด์มักจะใช้ตำแหน่งสามีหรือผัวที่ผมเรียกเมื่อกี้แทนชื่อของพัฒน์กับแคมป์เสมอ ไม่ใช่เพราะสองคนนี้กำลังคบกันแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าช่วงขึ้นมัธยมปลายใหม่ๆ ผมเองก็จำช่วงเวลาไม่ค่อยได้ สองคนนี้เคยแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ อย่างลึกซึ้งต่อกัน โดยที่เพื่อนในห้องคนอื่นๆ ไม่รู้ เว้นแต่เพียงผม แซนด์ และเพื่อนในกลุ่มอีกไม่กี่คน

   [สัด! รอแป๊บ กดดูเบอร์... ผัวเก่าก่อน] แคมป์ด่าขำๆ แต่ก็กลับตบมุกซะเอง ไม่ค่อยเลยนะมึง! มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ไม่ก็ยิ้มหรือขำทุกครั้งที่มีคนแซว ก่อนที่เสียงกดไล่เบอร์จะดังขึ้น ผมจึงเปิดสปีคเกอร์โฟนเตรียมจะกดเบอร์รอ [อ่ะเบอร์ 08x-xxxxxxx โทรคุยได้เฉพาะธุระที่ว่าอย่างเดียวนะ นอกเหนือจากนั้นห้าม! ห้ามอ่อย ห้ามยุ่งกับคนของกูนะ!]

   ‘ไม่รับปากว่ะ ถ้ามันชวนกูเล่น ก็คงเล่นกลับ ฮ่าๆ’ แกล้งให้มันดิ้นสักหน่อยครับ แหม! หึงอย่างกับเป็นผัวเมียกันจริงๆ เลย

   [สัด! งั้นมึงไม่ต้องโทร เดี๋ยวกูจัดการสืบเรื่องจากไอ้พัฒน์ให้มึงเอง] แคมป์รีบพูดเสียงแข็งกลับมาตามสายอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ทำให้ผมหัวเราะไม่หยุดกับอาการของมัน หึงยิ่งกว่าแฟนไอ้พัฒน์จริงๆ อีกมั้งผมว่า

   ‘เออ กูไม่เอาของเพื่อนหรอก แกล้งมึงเล่นแค่นั้นล่ะ ดิ้นพล่านเชียวนะมึง ฮ่าๆ แต่ก็แต๊งกิ้วมากนะจ๊ะ มันส์ไม่มันส์ยังไงเดี๋ยวมารายงานผลนะ ฮ่าๆ’ ไม่วายกวนทิ้งท้ายไว้หน่อย

   [ห่า!] มันด่าผมอีกครั้ง ก่อนที่จะกดวางสายไป ปล่อยให้ผมนั่งหัวเราะกับน้ำเสียงฉุนเฉียวแต่ชวนให้ขำทุกครั้งที่ได้ยินอยู่คนเดียว นี่สรุปผมชอบโดนด่าใช่ไหม นั่งยิ้ม นั่งหัวเราะอยู่คนเดียวแบบนี้

   หลังจากวางสายจากแคมป์ไปตอนนั้น จนถึงตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะสิบโมงของเช้าวันใหม่แล้ว ผมก็ยังไม่ได้โทรหาพัฒน์เลย ยังเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ไม่รู้ว่าโทรไปแล้วจะเริ่มพูดยังไงก่อนดี จะถามอะไรก่อน จะเริ่มเรื่องทั่วๆ ไปก่อนไหม หรือจะพุ่งเข้าประเด็นที่ต้องการเลย แต่ถ้าถามตรงประเด็นไปเลย มันจะดูน่าเกลียดไปไหม ถ้าเกิดมันไม่รู้จักจะไปยังไงต่อ วางสายเลยเหรอ? แต่ถ้าเริ่มจากเรื่องทั่วไป มันจะไม่ตกใจกว่าเหรอที่อยู่ๆ เกิดอยากรู้เรื่องราวของมันขึ้นมาทั้งที่แทบไม่ได้ติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ นี่ผมคิดมากไปป่ะ? แต่ก็เริ่มไม่ถูกจริงๆ น่ะแหละ เลยทำให้ผมต้องมานั่งคิดมากและเตรียมตัวกับบทสนทนาไว้ก่อน ทั้งที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพัฒน์จะรู้จักผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นหรือเปล่า

   ผมนั่งมองเบอร์โทรศัพท์ของพัฒน์อยู่หลายต่อหลายครั้งพร้อมกับใจที่เต้นแรงขึ้นทุกขณะ ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นก็ไม่มีเลยสักอย่าง มีแค่รูปที่แคมป์ส่งมาให้รูปเดียว... รูปที่ผู้หญิงคนนั้นลงในเฟซบุ๊ก เฟซบุ๊ก... เออใช่! รูปนั้นแคปมาจากในเฟซบุ๊ก! มันมีชื่อเฟซอยู่นี่หว่า ลืมไปได้ไงเนี่ย ของสำคัญในการเริ่มต้นแบบนี้!

   เมื่อนึกได้ดังนั้น ผมจึงรีบย้อนไปดูในไลน์ที่แคมป์ส่งมาให้ทันที ก่อนจะกดเซฟรูปนั้นเอาไว้เพื่อจะส่งให้พัฒน์อีกที อย่างน้อยถ้าพัฒน์ไม่รู้จักจริงๆ ก็ให้รูปไปตามสืบให้หน่อย น่าจะตามหาตัวได้ไม่ยาก ส่วนเฟซบุ๊กผมแอดไปเองคงไม่ได้ เพราะเธอเคยเจอผมแล้ว อาจจะต้องให้พัฒน์แอดไปหาแทน แต่ก็ไม่รู้อีกล่ะว่าเจ้าตัวจะยอมช่วยหรือเปล่า แต่เอาเถอะ ต้องลองสักตั้ง! ถึงเวลาปฏิบัติการสืบหาความจริงแล้ว! เชอร์ล็อก ฟร๊องก์!!

   ผมรีบกดเข้าเฟซบุ๊กในมือถือทันที ก่อนจะพิมพ์ชื่อตามปรากฏตามภาพที่แคมป์ส่งมา แต่มันกลับบอกว่าไม่มีบัญชีชื่อผู้ใช้ดังกล่าว เป็นไปได้ไง แล้วแคมป์มันจะเอามาจากไหน? ผมลองเช็คตัวอักษรแล้วเสิร์ชหาซ้ำ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิม ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนชื่อเฟซบุ๊กหรือเปล่า หรือว่าเธอจะบล็อคผมกันแน่

   เห็นท่าว่าจะไม่มีอะไรคืบหน้า ผมเลยส่งไลน์ไปถามแคมป์อีกครั้ง พร้อมกับรูปดังกล่าวว่าสรุปแล้วแคมป์แคปมาจากเฟซบุ๊กของผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่เธอเปลี่ยนชื่อเฟซหรือเปล่า เปลี่ยนเป็นอะไร ผมพิมพ์คำถามรัวๆ แล้วรอแคมป์ตอบกลับอย่างกระวนกระวาย เครื่องเริ่มร้อนแล้วมันต้องเดินหน้าได้มากกว่านี้สิ

   ‘กูให้เพื่อนแคปมาจากเฟซอีนั่นล่ะ กูไม่ได้เป็นเพื่อนกับมัน พอดีมันขึ้นหน้าเฟซเพื่อนไง กูเลยให้มันแคปมา แต่กูลองเสิร์ชชื่อดูแล้ว นางก็ยังใช้ชื่อเดิมนะ มึงพิมพ์ผิด พิมพ์ตกไปหรือเปล่า’ นี่คือสิ่งที่แคมป์ตอบผมกลับมา แสดงว่าข้อสันนิฐานของผมไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นบล็อคเฟซบุ๊กผมจริงๆ อาจจะเพราะไม่ชอบขี้หน้าผม แต่จะต้องถึงขั้นบล็อคกันเลยเหรอ แบบนี้มันน่าสงสัยมากกว่า เหมือนกลัวผมจะไปแอบส่องอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ปิดบังอะไรไว้ทำไมจะต้องกลัวล่ะ ทั้งที่ตัวจริงก็ดูแรงขนาดนั้น แค่นี้ไม่เห็นต้องบล็อคกันในโลกโซเชียลเลย

   แล้วผมจะทำไงดี ตัวผมเองสืบจากทางเฟซบุ๊กด้วยตัวเองไม่ได้แน่ๆ จะให้แคมป์หรือแซนด์แอดไปก็ดูน่าสงสัย เพราะมีเพื่อนร่วมเป็นผม แถมอยู่คนละคณะ แซนด์นี่คนละมหาวิทยาลัยเลย จะดูจงใจมากไป เผลอๆ เธออาจจะบล็อคทั้งแผงเลย ทางเลือกที่เหลือคงต้องหวังพึ่งพัฒน์แล้วสินะ หวังว่ามันจะยอมช่วยผมนะ แล้วก็หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่สงสัยนะถ้าผมจะวานให้พัฒน์แอดไปหาเธอ

   ผมตัดสินใจโทรศัพท์หาพัฒน์ทันทีที่ได้คำตอบจากแคมป์ แค่บล็อคผม ผมก็ตีความหมายในทางไม่ดีไปแล้ว ถ้าผู้หญิงคนนั้นมีแผนอะไรร้ายๆ กับปาร์คอย่างที่ชัญญ่าบอกจริงๆ ยิ่งผมช้า ปาร์คก็จะยิ่งตกเป็นเหยื่อของคนนั้นมากขึ้น เป็นไงเป็นกัน

   [สวัสดีครับ] ปลายสายเอ่ยรับสายอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคย ตอนมัธยมเคยโทรหาพัฒน์นับครั้งได้เลย ถ้าไม่นับการพูดคุยกันที่โรงเรียน ผมกับมันก็แทบไม่มีบทสนาด้วยกันเลยด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่ผมจะไม่คุ้นเคยกับเสียงของมัน

   “พัฒน์ใช่เปล่า นี่ฟร๊องก์เองนะ จำได้ไหม”

   [ฟร๊องก์... อ๋อ จำได้ๆ เป็นไงบ้าง สบายดีเปล่า] ฟู่ววว... อย่างน้อยมันก็ยังจำผมได้ แถมยังถามสารทุกข์สุกดิบผมอีก ทั้งที่ตัวผมเองโทรหามันกลับไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้ในสมองเลย

   “อ้ะ... อื้ม สบายดีๆ แล้วพัฒน์อ่ะ เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันเลย” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงติดตลกนิดๆ ดึงบรรยากาศไว้ก่อนจะเข้าสู่โหมดซีเรียสหลังจากนี้

   [สบายดีครับ ฮ่าๆ ว่าแต่ฟร๊องก์โทรมามีไรเปล่า]

   “เอ่อ พอดีมีเรื่องจะถามนิดหน่อยอ่ะ”

   [อ่า ว่ามาดิ ถ้ารู้นะ]

   “พัฒน์รู้จักผู้หญิงที่ชื่อเกลในคณะศึกษาบ้างไหม เรียนศึกษามหา’ลัยเดียวกับพัฒน์แหละ”

   [เกล ศึกษาเหรอ สาขาอะไรอ่ะ] พัฒน์ทวนชื่อช้าๆ เหมือนพยายามจะนึก

   “เราก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ แต่เรามีรูปนะ เผื่อแฟนพัฒน์จะรู้จัก เห็นว่าเรียนคณะเดียวกัน เดี๋ยวเราส่งไปในไลน์ล่ะกัน ใช้ไลน์เดียวกับที่ลงทะเบียนไว้กับเบอร์ใช่ป่ะ”

   [อืมๆ ลองส่งมาก่อน]

   แล้วผมก็จัดการส่งรูปที่เป็นเพียงหลักฐานเดียวที่มีให้พัฒน์ในไลน์ โดยก่อนหน้าทิ้งท้ายไว้ว่าเดี๋ยวคุยกันต่อในไลน์ก็ได้ อย่างน้อยยังมีเวลาคิดคำพูดที่จะพิมพ์ตอบโต้กัน พูดกันตรงๆ เลยคิดไม่ทัน มันประหม่าด้วยแหละก็ไม่ได้คุยกันตั้งนานนี่นา

   ‘อ๋อ คนนี้พัฒน์มีเฟซอยู่ แต่ ไม่ได้รู้จักอะไรเท่าไร แค่เคยเจอกันบ้างเวลาพัฒน์ไปหาแฟนที่คณะ มีไรอ่ะ??’ พัฒน์พิมพ์ตอบกลับมาในไลน์หลังจากที่ผมส่งรูปไปได้ไม่ถึงนาที โชคเริ่มเข้าข้างผมแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งหาคนแอดเฟซไปส่องแล้วไงล่ะ

   ‘จริงดิ ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนกับปาร์คเหรอ พัฒน์พอรู้เรื่องนี้บ้างมั้ย’ ผมเริ่มเข้าประเด็นทันที อย่างน้อยถ้าพัฒน์ไปหาแฟนที่คณะศึกษานั่น ก็อาจจะเคยเห็นปาร์คกับผู้หญิงคนนั้นอยู่บ้าง

   ‘อ้าว เป็นแฟนไอ้ปาร์คหรอ เราก็ไม่รู้เหมือนกันอ่า เพิ่งรู้จากฟร๊องก์เนี่ยล่ะ’

   ‘ก็เห็นถ่ายรูปด้วยกัน  แล้วแคมป์ก็บอกๆ ฟร๊องก์มาด้วยแหละ อีกอย่างเราเคยเจอเขาเดินด้วยกันกับปาร์คเองตอนไปเที่ยวด้วย เลยอยากรู้ว่าอยู่ที่มอเป็นไงบ้าง’ ผมโกหกไปครับ จริงๆ ผมรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกัน และตัวผมเองก็ไม่ได้อยากรู้ด้วยว่าสองคนนั้นจะใช้ชีวิตด้วยกันยังไง หวานกันสักแค่ไหน แต่มันเป็นการปูทางสู่ใจความสำคัญต่อไปต่างหาก

   ‘เห็นรูปตอนแรกก็งงอยู่ว่าทำไมถึงไปถ่ายคู่กับปาร์คได้ นึกว่าแค่คนรู้จักกันเฉยๆ ไม่คิดว่าเป็นแฟนกัน เราก็นั่งเล็งตั้งนานว่าใช่ไอ้ปาร์คจริงไหม แต่ดูไงก็ใช่ ขนาดหันข้างแม่งยังหล่อเลย’ พัฒน์ตอบกลับมาพร้อมกับสติกเกอร์ตัวการ์ตูนทำหน้างงๆ ถ้ายังจำกันได้รูปที่แคมป์ส่งมาให้ผมเป็นรูปคู่ของปาร์คกับผู้หญิงคนนั้น แม้จะเห็นใบหน้าของปาร์คเพียงด้านข้างแต่ผมก็จำได้แม่น แม้แต่คนอื่นที่ดูรูปยังรู้ว่าเป็นปาร์ค ‘หึงไอ้ปาร์คอ่ะดิ๊’

   ‘ป่าวๆ’ ผมรีบตอบกลับไปทันทีเมื่อพัฒน์พิมพ์แซวมา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วผมอยากมีสิทธิ์ที่จะหึงปาร์คอยู่เหมือนกัน เพียงแค่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับมันสักหน่อย ยิ่งความสัมพันธ์ของผมกับปาร์คตอนนี้ ผมยิ่งไม่มีสิทธิ์! ผมจึงทำได้เพียงแค่เลียแผลที่แสนเจ็บปวดนี้คนเดียว ‘ว่าแต่พัฒน์ไม่เคยเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันมั้งเลยหรอ แบบเวลาไปคณะแฟนหรือในมอไรงี้อ่ะ’

   ‘ไม่เคยเลยนะ ปกติก็ไม่ค่อยเจอปาร์คมันอยู่แล้วด้วย แต่กับคนนี้ เจอบ่อยอยู่นะ ก็จะเห็นอยู่แค่กับเพื่อนๆ ในกลุ่มเขาอ่ะ กลุ่มเขามีแต่คนหน้าดีๆ ก็เด่นพอสมควรเลยล่ะ และเท่าที่พัฒน์เห็น กลุ่มนี้คบแต่คนหล่อๆ รวยๆ ตอนแรกก็ตกใจอยู่ที่ฟร๊องก์บอกว่าคบกับปาร์ค แต่ก็ไม่น่าแปลกหรอก ไอ้ปาร์คมันก็รวยอยู่แล้ว แถมหน้าตาก็ดี’ พัฒน์เว้นช่วงไปสักระยะหลังจากที่ผมถามไป ก่อนที่จะตอบกลับมาเป็นประโยคยาว แต่ในประโยคยาวเหยียดนั้น ก็ทำให้ผมได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกอย่าง คือกลุ่มของผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างเป็นที่รู้จักอย่างจะทั้งในคณะและในมหาวิทยาลัย อาจเป็นเพราะหน้าตาดีกันด้วยล่ะมั้ง แต่ใจความสำคัญหลักๆ ขอประโยคเลยคือที่พัฒน์บอกว่าเลือกคบแต่คนมีเงิน และหน้าตาดีๆ ต่างหาก แล้วปาร์คเองก็รวย ส่วนหน้าตาก็ถือว่าโดดเด่นเลยแหละ ในความคิดของผมนะ นี่เป็นเหตุผลที่เธอเลือกมาคบกับปาร์คหรือเปล่า คบเพื่อหวังเงิน!

   ‘พัฒน์พอจะช่วยสืบเรื่องของผู้หญิงคนนั้นให้หน่อยได้ไหม หรือไม่เพื่อนแฟนพอจะรู้จักกับผู้หญิงคนนี้บ้างหรือเปล่า ลองถามๆ ให้เราหน่อยสิ ไม่ก็ขอไลน์มาให้เราก็ได้ เดี๋ยวเราลองถามดูเอง’

   ‘อ่าๆ เดี๋ยวลองถามแฟน ถามพวกเพื่อนๆ แฟนเราดูให้นะ’ เย้! อย่างน้อยก็น่าจะได้เรื่องอะไรเพิ่มมากขึ้นบ้างแหละ พัฒน์จะเต็มใจเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมก็พอเข้าใจอารมณ์ผู้ชายแหละ จะให้มานั่งตามสืบเรื่องของผู้หญิงมันก็คงไม่ใช่เรื่อง ถ้าถามเรื่องฟุตบอล หรือรถยนต์อะไรแบบนั้นยังว่าไปอย่าง

   ‘ขอบคุณมากนะ ช่วยฟร๊องก์หน่อยนะ ฝากหน่อยๆ’ ผมยิ้มกับตัวเองก่อนจะพิมพ์กลับไปพร้อมสติกเกอร์ดุ๊กดิ๊กน่ารักๆ ช่วยเรียกร้องความเห็นใจมากขึ้น

   ‘โอเคครับ ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวเราบอก’ พัฒน์ว่าพร้อมส่งสติกเกอร์กลับมาเช่นกัน ‘ไม่คิดว่าฟร๊องก์จะยังรู้สึกดีกับไอ้ปาร์คจนถึงตอนนี้เนอะ น่าอิจฉาไอ้ปาร์คมันเหมือนกันนะ มีคนดีๆ แบบฟร๊องก์คอยเป็นห่วงตลอดเลย’

   ‘ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ’ ผมพิมพ์กลับไป แต่ในใจกลับคิดว่า ถ้าปาร์ครู้สึกได้แบบพัฒน์ก็คงดีสินะ ผมคงไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้

   แต่ในความเป็นจริง ผมแทบไม่มีความหมายกับปาร์คเลยด้วยซ้ำ...

**********___________***********


มีต่อฮะ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 35 100% [31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 31-07-2017 17:53:19
100%

แล้วก็มาถึงวันจันทร์ที่ต้องไปเรียนอีกแล้ว เมื่อวานหลังจากที่คุยกับพัฒน์ไปก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเข้ามา แต่ผมก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก เดี๋ยวมันจะรำคาญเอาเปล่าๆ จากนั้นผมก็อาบน้ำเตรียมกลับหอ เพราะยังมีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้รีด แถมยังมีบางส่วนที่ยังไม่ได้ซักอีกต่างหาก ผมนี่ขี้เกียจเนอะ เสื้อผ้าจะใส่ไปเรียนจะไม่มีอยู่แล้ว

   เช้านี้เก็ทก็ยังคงส่งข้อความมาบอกว่าถึงหอแล้วเช่นเดิม แต่ผมเองที่รู้สึกแปลกๆ ขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกว่าระหว่างผมกับเก็ทมันจะมีอะไรมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อย่างที่ชัญญ่าตั้งแง่ แต่ผมก็กะว่าจะรักษาระยะห่างระหว่างผมกับเก็ทให้มากขึ้นอย่างที่ชัญญ่าต้องการสักหน่อย อย่างน้อยก็แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลย และชัญญ่ารู้ระหว่างผมกับเก็ทก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความเป็นเพื่อนจริงๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาหรือสองคนนั้นต้องทะเลาะกันในภายหลัง

   “ไง รายงานฝรั่งเศสถึงไหนล่ะ ทำมั้งยัง” เก็ทเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากพร้อมกับยื่นมือมาขยี้หัวผมอย่างมันมืออย่างที่ชอบทำเป็นประจำ แต่คราวนี้ต่างไปเพราะผมเลือกที่จะปัดมือของเก็ทออกอย่างรวดเร็วเหมือนเป็นปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ของร่างกาย จนเก็ทหุบยิ้มแล้วเลิกคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ เมื่อนึกได้ผมก็ตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าจะปัดแรงขนาดนั้น แค่ในใจคิดว่าต้องห่างจากเก็ทหน่อย แต่ร่างกายมันตอบสนองไปเอง

   “เอ่อ... โทษที แต่เลิกเล่นหัวได้แล้ว ฟร๊องก์ไม่ชอบ” ผมแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ถ้าผมซีเรียสเรื่องเล่นหัวจริงๆ ผมคงด่ามันไปตั้งแต่แรกๆ ที่มันจับหัว ยีผมของผมแล้ว

   “ปกติก็ไม่เห็นว่าไร”

   “กะ... ก็เดี๋ยวนี้ไม่ชอบแล้วอ่ะ ทักแบบอื่นก็ได้มั้ง ทำไมต้องยีผมด้วย อุตส่าห์เซ็ตมา ผมยุ่งหมดแล้วเห็นไหม!” ผมทำหน้ามู่พร้อมกับพูดเหมือนไม่พอใจ แต่จริงๆ ไม่รู้จะหาอะไรมาอ้างมากกว่า

   “แปลกๆ นะ มีอะไรเปล่า”

   “ไม่มี! ไปรับคนอื่นได้แล้ว สายแล้ว เดี๋ยวพวกนั้นก็ด่าเอาหรอก” เมื่อเห็นเก็ทจ้องหน้าผมไม่เลิกผมจึงตัดบท เปลี่ยนเรื่องไปแทนก่อนจะทำเป็นคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันออกไปมองนอกกระจกรถ

   เก็ทไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยังคงนิ่งอยู่อีกเกือบนาทีตัวรถถึงจะเคลื่อนที่ออกไป ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างผมกับเก็ทเกิดขึ้นอีก จนกระทั่งไวน์และโดนัทขึ้นมา ในห้องโดยสารจึงเริ่มคึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง จะเหลือก็แต่เจ้าของรถที่ยังคงนั่งขับรถนิ่งๆ ไม่พูดอะไรตั้งแต่ขับออกจากหอผมมา

   ผมทำเกินเหตุหรือดูเปลี่ยนแปลงมากเกินไปหรือเปล่า ทั้งที่ตัวผมก็ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจอะไรเก็ทเลยด้วยซ้ำ แต่ผมแค่พยายามไม่ให้ทุกอย่างมันเกินเลยไปกว่าเพื่อนคนอื่นๆ แต่ความรู้สึกดีๆ ความไว้ใจ เชื่อใจทุกอย่างของผมยังคงมีต่อเก็ทเหมือนเดิมนะ

   ตลอดช่วงเวลาที่เรียน ผมก็ยังคงเลือกนั่งข้างเก็ทอยู่เช่นเดิม ยังคงถามไถ่ในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ หรือมีข้อสงสัยเหมือนเดิม เก็ทเป็นคนเรียนเก่งครับ หัวดีมาก เวลาที่ผมมีอะไรไม่เข้าใจผมก็จะถามเก็ทเนี่ยแหละ และก็เป็นมันอีกเช่นกันที่มักจะตอบคำถาม และไขข้อสงสัยของผมได้อย่างกระจ่าง แถมยังชอบยกตัวอย่างให้ผมเห็นภาพง่ายขึ้นอีก เปรียบมันเป็นเสมือนครูของผมอีกคนเลยก็ว่าได้ อยากจะแบ่งสมอง แบ่งความเก่งของมันมาสักครึ่ง เผื่อผมจะได้ฉลาดๆ อย่างมันบ้าง

   ผ่านไปทั้งวันผมเริ่มผ่อนคลายตัวเองและลดความกดดันน้อยลง ก็ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามปกติ แค่ว่าจะพยายามลดและระมัดระวังในส่วนที่จะทำให้เกิดข้อสงสัยไม่ให้มันเกิดขึ้น เก็ทเองที่ก่อนหน้าจะดูเหมือนตั้งข้อสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม เมื่อเห็นผมกลับมาคุยเล่นเหมือนเดิมก็ดูจะเลิกใส่ใจกับข้อข้องใจดังกล่าว แถมยังมาผลักหัว ยีหัวผมเล่นเหมือนเดิมอีกต่างหาก ทั้งที่เพิ่งบอกไปเมื่อเช้าว่าไม่ชอบ ไม่ฟังมั้งเลย!

   แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติต่อไปอีกเป็นสัปดาห์ ผมยังมีคุยไลน์กับชัญญ่าเป็นครั้งคราวพร้อมกับบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเก็ทไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคิดหรือตั้งข้อสงสัย และพยายามหลอกถามข้อมูลของเกลเพิ่มเติม แต่ชัญญ่ามักจะรู้ทันเสมอ

   ผมกับเก็ทก็ยังคงพูดคุย ปรึกษา และเล่นกันตามปกติ กับเพื่อนคนอื่นๆ ก็เช่นกัน แม้จะยังแซวผมสองคนอยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการแกล้งกันนั้น หลังเลิกเรียนก็แวะกินข้าวด้วยกันกับเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ได้แยกไปไหนด้วยกันสองคน จากนั้นเก็ทก็ส่งผมที่หอ เป็นแบบนี้มาตลอด แต่วันนี้ต่างออกไปเมื่อเก็ทเอ่ยปากชวนผมให้ไปหาซื้อของเป็นเพื่อน ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็นการชวนกันไปเดินซื้อของตามประสาเพื่อนปกติเนี่ยแหละ แต่ผมดันไปตบปากสัญญากับชัญญ่าไว้ว่าจะไม่ไปไหนมาไหนกับเก็ทสองต่อสองอีก

   “เย็นนี้ไปซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยสิ” เก็ทพูดขึ้นด้วยเสียงเนิบๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ หลังจากที่อาจารย์เลิกคลาสสักพัก และเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องทยอยเดินออกจากห้องไปเกือบหมดแล้ว

   “ไปซื้ออะไรอ่ะ ที่เซ็นทรัลเหรอ ไม่ลองชวนพวกนั้นไปด้วยอ่ะ จะได้ไปหาอะไรกินกันด้วย” ผมเสนอความเห็นด้วยรอยยิ้ม

   “ซื้อของขวัญให้อา เขาเพิ่งกลับมาจากดูไบ ไม่ต้องชวนหรอก เก็ทอยู่ได้ไม่นาน ต้องรีบบ้าน”

   “งั้นเหรอ เอ่อ...” เอาดีอ่ะ ถ้าบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต (เพื่ออะไร?) ถ้าบังเอิญเจอชัญญ่าเข้าอีก จะยิ่งเป็นเรื่อง ดีไม่ดีเธอจะเกลียดขี้หน้าผมไปเลยด้วย แต่เก็ทบอกว่าไปไม่นาน โลกคงไม่กลม โชคชะตาคงไม่โหดร้ายกับผมนักหรอกนะ!

   “ไม่สะดวกใจที่จะไปก็ไม่เป็นไร” เก็ทพูดนิ่งๆ ด้วยท่าทางเย็นชา ก่อนจะเดินผ่านหน้าผมไปยังประตูห้อง ทำให้ผมต้องรีบคว้าแขนเอาไว้ก่อน เพราะถ้าให้เลือก ยังไงผมก็ไม่อยากให้เก็ทโกรธหรือผิดใจกับผมเหมือนกัน สำหรับผมแล้วยิ่งเราสนิทกับใครมากเท่าไร เรายิ่งต้องแคร์คนๆ นั้นให้มากขึ้น ที่ผ่านมาผมก็ได้เก็ทเนี่ยแหละที่คอยเป็นเพื่อน คอยให้คำปรึกษา และอยู่เคียงข้างผมตลอด ทำให้ผมก้าวผ่านอะไรมาได้ตั้งหลายอย่าง แล้วแค่ไปเดินเลือกซื้อของเป็นเพื่อนผมจะไม่สามารถทำให้มันได้เลยเหรอ

   “เดี๋ยวดิ! ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ใจร้อนแท้ล่ะ ไม่สมกับเป็นเก็ทเลยนะเนี่ย” ผมยึดแขนเก็ทไว้ก่อนจะรีบก้าวกึ่งกระโดดมายืนเผชิญหน้ากับเก็ทอีกครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มล้อเลียน

   “ก็เห็นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนลำบากใจอยู่แบบนั้น” เก็ทก้มมองหน้าผมนิ่งๆ (แสดงว่าผมเตี้ยสินะ)

   “เปล่าซะหน่อย ไปก็ไปดิ”

   “โอ้ย! ผัวเมียคู่นี้จะอื่นอี๋อ๋อกันอีกนานไหม พวกกูหิว เมื่อย รอนานแล้วด้วย!” เสียงไวน์ที่เดินหน้ามุ่ยกลับมาดังขึ้นขัดจังหวะที่เก็ทกำลังจะพูดจึงทำให้เก็ทเงียบไป เพราะท่าทางของคนมาตามนี่สิ จะเขมือบหัวของผมสองคนได้อยู่แล้ว ผมกับเก็ทจึงรีบเดินตามไวน์ออกไปทันที ทั้งที่เก็ทไปเจ้าของรถแท้ๆ แต่ยังต้องตามใจผู้อาศัยอย่างพวกผมอีก

   เดินตามไวน์ออกมาถึงลานจอดรถก็เจอทาร์ตยืนรออยู่ด้วย มันส่งยิ้มกว้างพร้อมเหล็กดัดฟันให้ทันทีที่เห็นผมเดินมา ทำให้ผมยิ้มเจือหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นภาพนั้น ก่อนที่มันจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของผมอย่างกับไม่ได้เจอกันมาเป็นปีๆ ผมเองก็ถามๆ มันกลับบ้างแต่ไม่เยอะเท่ามันหรอก พักนี้ไม่ค่อยได้เจอมันเท่าไร มันบอกว่าอาจารย์นัดเรียนเมคอัพคลาสหลายวิชาเนื่องจากสอนไม่ทันตามเนื้อหาที่วางไว้ ปีหนึ่งก็อย่างนี้แหละครับ วิชาพื้นฐานเนื้อหาค่อนข้างเยอะเพราะมันครอบคลุมเนื้อหาช่วงมัธยมมาด้วย เลยทำให้ช่วงเวลาว่างๆ ที่มันมีกับเวลาที่ผมว่างนั้นไม่ค่อยตรงกัน แต่มันก็ยังคงเหมือนเดิมนะ ถึงไม่เจอแต่มันก็ยังโทรมา ไม่ก็คุยกันในไลน์ และสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยก็คือรอยยิ้มสดใสนั้นที่ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็อดยิ้มตามไม่ได้

   ปฎิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าผมเองก็เริ่มรู้สึกดีและรู้สึกพิเศษกับทาร์ตแล้ว ทาร์ตกลายเป็นคนที่คุยโทรศัพท์กับผมทุกคืนก่อนนอน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว และมันก็ทำให้ผมคิดถึงปาร์คน้อยลง ถ้าไม่นับเรื่องที่ผมกำลังตามสืบอยู่ รวมทั้งทำให้หัวใจของผม... กลับมาทำงานได้อีกครั้ง

   หลังจากที่ส่งไวน์ โดนัทและทาร์ตที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างๆ คอนโดฯ โดนัทเรียบร้อยแล้ว เก็ทกับผมก็มุ่งหน้าไปที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไรนักทันที ก่อนออกมา ทาร์ตมีท่าทีเหมือนจะตามมาด้วย แต่ผมก็ต้องห้ามไว้ บอกไว้วันหลังค่อยไปด้วยกัน อีกอย่างเก็ทบอกว่าต้องรีบทำเวลาหน่อยเพราะที่บ้านนัดคุณอามาทานข้าวไว้ตอนสองทุ่มครึ่ง นี่ก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว แถมในเวลาเลิกงานแบบนี้รถก็ยังติดแทบจะบ้าอีกต่างหาก

   “ฟร๊องก์...” จู่ๆ เก็ทก็เรียกชื่อผมขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ แต่พอได้ยินมันกลับทำให้ผมขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

   “ห้ะ... หื้ม?” ผมเสมองหน้าด้านข้างของเก็ทที่กำลังขับรถอยู่ด้วยความประหม่า บรรยากาศรอบตัวผมดูอึดอัดและกดดันแปลกๆ แปลกพอๆ กับน้ำเสียงนั้น

   “หมู่นี้ฟร๊องก์ดูแปลกๆ ไปนะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อเก็ทถามคำถามนี้ออกมาพร้อมกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในรถที่มากระทบผิวกายผมยิ่งทำให้ผมขนลุกซู่มากขึ้น

   “แปลก? แปลกยังไง ฟร๊องก์ก็ปกติดี” ผมทำเป็นตอบแบบติดตลก หวังว่าจะช่วยดึงบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายมากขึ้นกว่านี้ ไอ้การจราจรบ้าคลั่งในกรุงเทพฯ นี้ก็ช่างติดเหลือเกิน ยิ่งทำให้ผมต้องเผชิญกับบรรยากาศกดดันแบบนี้ไปอีกนาน ผมต้องทนไปอีกแค่ไหนกว่าจะไปถึงห้างเนี่ย!

   “ก็เหมือนฟร๊องก์พยายามจะห่างๆ กับเก็ท ไม่ค่อยเล่นหรือคุยอะไรเหมือนเดิม คำพูดของฟร๊องก์มันดูเป็นการระวังคำพูดมากขึ้น และถ้าเลี่ยงจะอยู่กับเก็ทได้ฟร๊องก์ก็จะเลี่ยง อย่างเมื่อเย็นก็มีท่าทางเหมือนเป็นกังวล ไม่ค่อยอยากจะมาด้วย” เก็ทพูดโดยไม่ได้หันมามองผม ไม่แปลกที่เก็ทจะรู้สึกได้ เก็ทเป็นคนฉลาดย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของผมอยู่แล้ว โดยเฉพาะบางครั้งที่ผมแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ เก็ทรู้สึกได้และยังรู้สึกมาตลอด อาจจะตั้งแต่แรกด้วยซ้ำว่าผมที่ผมมีท่าทีแปลกๆ ออกไป แค่ก่อนหน้าเก็ทเลือกจะไม่พูดเท่านั้นเอง

   “กะ... เก็ท... คิดมากไปเปล่า ฟร๊องก์ยังเป็นเหมือนเดิมเนี่ยล่ะ คิดมาก!”

   “มีอะไรก็บอกกันตรงๆ ไม่สบายใจหรือกังวลเรื่องอะไร ไม่ไว้ใจกันแล้วรึไง”

   “เห้ย! ไม่ใช่แบบนั้น ฟร๊องก์ไม่ได้ไม่ไว้ใจ ที่ไม่ได้บอกอะไร ก็เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ ไง ฟร๊องก์ก็เป็นของฟร๊องก์แบบนี้แหละ เก็ทนั่นล่ะคิดมากไปเองเปล่า” ผมรีบปฏิเสธทันควัน พร้อมกับฝืนยิ้มตอบกลับไปให้ดูว่าผมไม่ได้มีอะไรปิดบัง และไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

   “ถ้างั้นเดี๋ยวซื้อของเสร็จไปกินข้าวกับที่บ้านเก็ทนะ พ่อกับแม่เก็ทอยากเจอฟร๊องก์อยู่” เก็ทว่าพร้อมละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามามองหน้าผมแทน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก

   “แต่...”

   “ถ้าไม่มีอะไร ก็ไม่เห็นต้องกังวลเลย เก็ทเคยพูดถึงฟร๊องก์ให้พ่อกับแม่ฟัง บอกว่าฟร๊องก์เป็นเพื่อนสนิทของเก็ทที่มอก็ไปกับเก็ทในฐานะเพื่อนสนิทไง” เก็ทว่าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะปล่อยออกจากพวงมาลัยมาวางไว้บนหัวของผมแทน แต่แทนที่จะรู้สึกดีกับรอยยิ้มและสัมผัสนั้น ผมกลับรู้สึกว่าคอแห้งผากยากที่จะบอกปฏิเสธออกไปมากกว่า รอยยิ้มที่แสนกดดัน

   ผมไม่ได้ตอบอะไร ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ยังไม่ได้ตอบตกลงเช่นกัน เพราะยังไม่รู้ด้วยว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาบอกดี ถ้าโกหกไม่เนียนมีหวังโดนเก็ทจับได้แน่ๆ จะให้อ้างว่าต้องรีบกลับ แล้วจะรีบกลับไปทำอะไรล่ะ? การบ้านเหรอ ก็ดูตลกไป เรียนสาขาเดียวกัน เลือกเรียนวิชาเดียวกัน แต่ดันมีการบ้านไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมีการบ้าน อีกคนไม่มีก็ดูเป็นข้ออ้างที่ปัญญาอ่อนไปหน่อย
 
   มาถึงห้างที่เป็นที่หมาย ระหว่างที่เดินช่วยเก็ทหาของขวัญอยู่นั้น ในหัวผมก็ยังคงคิดหาข้ออ้าง หาเหตุผลที่จะมาบอกปฏิเสธการไปร่วมโต๊ะอาหารกับคุณอาและครอบครัวของเก็ทไปด้วย ตัวผมเองก็ไม่ได้อยากไปอยู่แล้วด้วย ถึงไม่มีเรื่องของชัญญ่าเข้ามาเกี่ยว มันดูยิ่งน่ากดดันมากกว่า ยิ่งมีเรื่องชัญญ่ามาด้วยนั้นยิ่งทำให้เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากขึ้นไปอีก

   เราสองคนเดินหา เดินเลือกของขวัญอยู่สักพัก เก็ทก็ตัดสินใจซื้อรูปแขวนผนักขนาดใหญ่พอสมควร ที่เป็นลายปลาคาร์ฟญี่ปุ่นแหวกว่ายรายล้อมดอกบัวที่มีลายเส้นละเอียดอ่อนช้อย แน่นอนว่าแพงมากด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะไปซื้อเทียนหอมยี่ห้อดังจากอังกฤษอย่าง Jo Malone เป็นของขวัญอีกสามกลิ่น หน้าที่ที่ผมมาเป็นเพื่อนมันในวันนี้ไม่ใช่มาช่วยเลือกรูปแต่อย่างใด แต่มาเป็นผู้ดมกลิ่น (เหมือนหมาเลยเนอะ) เพื่อเลือกกลิ่นเทียนหอมให้เหมาะกับคุณอาของมันอีกต่างหาก โดยมันบอกให้ผมเลือกจากภาพที่มันซื้อมา ถ้าเป็นผมนั่งดูภาพนั้น กลิ่นไหนจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด ผมก็เลือกไปตามที่ผมถูกใจ ซึ่งก็ไม่รู้จะถูกใจคุณอาของมันหรือเปล่า หลังจากเลือกได้ทั้งสามกลิ่นก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจหาซื้อของขวัญแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องหาทางปฏิเสธมื้ออาหารดังกล่าวแล้ว

   “เก็ท ฟร๊องก์ว่าวันนี้ฟร๊องก์ไม่ไปบ้านเก็ทดีกว่านะ วันนี้อาของเก็ทกลับมา มันเป็นเวลาของครอบครัว ฟร๊องก์เป็นคนนอก ให้ไปด้วยมันคงไม่เหมาะ เอาไว้โอกาสอื่นดีกว่านะ” ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังเดินตามเก็ทออกไปที่ลานจอดรถพร้อมด้วยพนักงานที่ยกกรอบรูปที่ห่อมาเป็นอย่างดีและสวยงาม

   “ไม่เป็นไรหรอก เก็ทแค่อยากให้ฟร๊องก์ไปเจอครอบครัวเก็ทบ้าง”

   “แต่... ไว้วันอื่นดีกว่านะ เก็ทไม่ลองชวนชัญญ่าดูล่ะ ชวนญ่าไปน่าจะเหมาะกว่านะ” ต้องชวนคนที่เป็นแฟนไปสิถึงจะถูกและเหมาะสมมากกว่าการให้เพื่อนไปร่วมโต๊ะอาหารในมื้อสำคัญแบบนี้

   “...” เก็ทไม่พูดอะไรต่อ

   “เดี๋ยวฟร๊องก์กลับเองก็ได้ เก็ทรีบไปเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวจะสายเอา”

   “เดี๋ยวไปส่ง” เก็ทบอกผมด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อเดินมาถึงรถแล้วจัดการให้พนักงานวางรูปดังกล่าวไว้ในรถ

   “เห้ย! ไม่เป็นไร ใกล้ๆ แค่นี้เอง เก็ทรีบไปเถอะ ไม่ต้องห่วง” ผมตบต้นแขนของเก็ทเบาๆ สองทีก่อนจะเปิดประตูรถ “ฟร๊องก์วางไว้ตรงนี้นะ” แล้ววางถุงเทียนหอมที่ห่อเป็นของขวัญอย่างเรียบหรูตามสไตล์แบรนด์ไว้ที่เบาะหน้าข้างคนขับ

   “ไปนะ ขับรถดีๆ” ผมโบกมือให้เก็ทพร้อมด้วยรอยยิ้ม เห็นเก็ทยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนจะขึ้นรถไป ผมถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีที่แยกออกมาจากเก็ท นึกว่าจะไม่รอดแล้วต้องมาแก้ปัญหาอีกเรื่องซะแล้ว ถ้าเกิดผมไปจริงๆ แล้วเจอชัญญ่าซึ่งมีโอกาสที่จะอยู่ที่นั้นสูงมากขึ้นมา ผมไม่อยากจะคิดต่อเลยว่าจะเป็นอย่างไร


à suivre...


มาต่อแล้วฮะ หายไปหลายวัน ติดธุระนั่นนี่เลยไม่มีเวลามาลงเลย

เท้าความไปถึงเรื่องของชัญญ่าก่อน จริงๆ ก่อนหน้าจะมีแทรกอยู่บ้างเล็กน้อยว่าฟร๊องก์กับชัญญ่าติดต่อกันมาตลอด หลังจากที่เข้าใจผิดในครั้งแรก
ส่วนที่ตัวชัญญ่ากลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง โดยตัวบท อันนี้เป็นความผิดพลาดของตัวเราเองที่แต่งออกมาแบบนั้น
และทำให้เนื้อหา รวมทั้งตัวของชัญญ่าดูแปลกๆ ไป น้อมรับความผิดพลาดฮะ  :mew2:
แต่การเข้ามาของชัญญ่า เราตั้งใจวางไว้ให้มันดูน่าสงสัยหน่อย ตั้งใจให้เดาทางไม่ถูก
ส่วนตัวฟร๊องก์ ที่พูดไปกับชัญญ่า ก็นั่นล่ะ ความคิดไม่รอบคอบของเราด้วยส่วนหนึ่ง 555+

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์เลยนะฮะ เราตั้งใจอ่านทุกอัน
และจะนำมาปรับปรุงเนื้อหาหลังจากนี้เรื่อยๆ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 35 P.5 [UP! 31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-07-2017 20:52:38
เกิดเป็นคน อย่าเหมือนควาย กลายพันธุ์ง่าย
ไม่ว่าหญิง หรือว่าชาย ขายศักด์ศรี
ต้องทะนง คงคุณค่า ยังว่าดี
อย่าหลงคน สันดานผี มีเล่ห์กล

สวดแผ่เมตตา อุทิศให้มันไปที่ชอบๆด้วยเถิด#อิผีปาร์ค

หุหุ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 35 P.5 [UP! 31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-08-2017 01:01:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 35 P.5 [UP! 31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 03-08-2017 22:41:20
มีผู้ตามหลายคนเชียวแหมๆ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 35 P.5 [UP! 31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 03-08-2017 23:05:02
ส่วนตอนนี้กลายเป็นเก็ทแปลกๆ
จะมาวอแว งอแงอะไรกับเพื่อนอ่ะ?

ถ้าเอ็งทำตัวงี้แฟนไม่มาแหกอกฟร๊องก์สิแปลก

ส่วนฟร๊องก์นี่ก็จะอมพะนำทำไม นั่นเพื่อนนะเว่ย ถ้าเพื่อนมีแนวโน้วว่าจะมีปัญหากับแฟนเพราะใช้เวลากับเรามา
ทางแก้คือบอกเพื่อนไปตรงๆ ไม่ใช่ทำตัวงุบงิบมีอะไรซ่อนแอบ

หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 35 P.5 [UP! 31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 04-08-2017 00:15:01
ผมมองในอีกแง่นะครับ คือถ้าตาไม่บอด คนทั่วไปก็คงจะรู้แล้วล่ะว่านัยยะของการกระทำแบบเก็ทนี่มันคงจะเกิน boundary ของเพื่อนสนิทไปหน่อยแล้วล่ะ ผมเคยพูดไว้แล้วตั้งแต่ในคอมเมนท์ที่แล้ว และเอาจริงๆ ใครมันจะชวนไปซื้อของขวัญให้ครอบครัว และชวนไปทานข้าว ไปเจอพ่อแม่กันครับ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเราจะ introduce คนที่เราคิดว่าเราอยากให้ ‘สนิท’ กับครอบครัว (ซึ่งตรงนี้ ในความเป็นจริง มุมของเพื่อนสนิทที่รักกันมากๆก็เป็นไปได้ แต่มันจะมีตัวแปรอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้อง วิธีดูง่ายๆเลยสำหรับผู้ชายคือ ดูที่การให้เกียรติครับ เช่น ถ้าเป็นการซื้อของขวัญให้ญาติผู้ใหญ่เพื่อน เค้าจะไม่ชวนกันไปซื้อของขวัญครับ ถ้าเป็นการกระทำแนวเพื่อนรักกันจริงๆ มักจะเป็นการซื้อให้เลยโดยที่ไม่ต้องไปซื้อด้วยกันซะมากกว่า เพราะว่ามันถือเป็นการให้เกียรติน่ะครับ เราเจอได้บ่อยๆในชีวิตจริงสำหรับคู่เพื่อนรักกันมากๆ)

ดังนั้นการที่ฟร็องก์ปิดหูปิดตา ผมมองว่ามันเป็นการเลือกปฏิบัติไปหน่อย คือคุณเปิดรับทาร์ตเข้ามาได้ แต่กับเก็ทคุณกลับพยายามยื้อความสัมพันธ์ไว้ที่จุดๆเดิม ทั้งๆที่นัยยะของอีกฝ่ายมันเกินเลยไปตั้งนาน ปัญหาที่เก็ทกับปาร์คมีเหมือนๆกันคือการกระทำค่อนข้างเกินเลย และไม่ยอมพูดให้ชัดเจนครับ อย่างเก็ทนี่เป็นที่นิสัย แต่ปาร์คนี่เราไม่รู้ ประเด็นคือผมพอเข้าใจได้ว่านิสัยเก็ทเป็นยังไง ผมถึงคิดว่าการกระทำของตัวละครนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผล สิ่งสำคัญอันดับต่อมาคือ ถ้าฟร็องก์เล่นด้วย แล้วก็ ‘อาจจะ’ ให้ใจไปแล้วโดยที่ไม่รู้ตัว แต่พยายามปฏิเสธเพื่อรักษาจุดยืนของความสัมพันธ์ อันนี้ล่ะครับต้องโทษฟร็องก์ เพราะมันแปลว่าคุณไม่พยายามยอมรับจิตใจของตัวเอง

ส่วนตัวผม ผมมองว่าฟร็องก์เล้าหลือนะครับ (หัวเราะ) คือแบบ แหม...จะกั๊กไว้ทำไมครับ มันไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงเจตนามันไม่บริสุทธิ์กันทั้งสองคนอยู่แล้ว ยอมรับไปแบบเปิดอกเลยเหมือนกับที่ให้โอกาสทาร์ตสิ มันจะได้แฟร์กับชัญญ่าด้วย แต่ก็อย่างที่คุณพีเคพูดนะครับ อีโก้คนสวยจะโดนเทนี่ทำใจลำบากเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ผมคิดเหมือนคุณพีเคว่าชัญญ่าคงไม่ได้รักเก็ทอะไรมากขนาดนั้นหรอก และเก็ทเองก็คงคบๆชัญญ่าไปอย่างนั้น เพราะว่าเสียไม่ได้และต้องทรีตในฐานะสุภาพบุรุษ แต่ไม่ได้มีการกระทำอะไรที่มันออกมาจากความรู้สึกลึกๆ เทียบกับการกระทำที่มีต่อฟร็องก์เราจะเห็นความแตกต่างชัดเจนครับ เอาจริงๆผมว่าชัญญ่าน่าจะเป็นคนเริ่มจีบเก็ทก่อนด้วยนะ (หัวเราะ) เพราะถ้าบอกว่านิสัยอย่างเก็ทไปพูดจีบสาว ผมก็ไม่เชื่ออะครับ แค่การกระทำจะเห็นอยู่โต้งๆว่าเขา ‘เนียนจีบ’ ฟร็องก์มาเป็นชาติแล้ว

เคสเก็ทกับฟร็องก์เป็นเคสที่เราเจอในชีวิตจริงบ่อยๆนะครับ และส่วนมากมักเจอในช่วงตั้งแต่มัธยมปลายจนถึงมหาวิทยาลัย เป็นเคสที่ความสนิทสามารถ ‘เปลี่ยน’ ไปเป็นความสัมพันธ์เชิงคู่รักได้ เพราะความสัมพันธ์มัน ‘ไม่บริสุทธิ์’ จากการที่เริ่มเจริญเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ในวัยนี้ ความรู้สึกหรืออารมณ์ทางเพศจะเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องและมีผลต่อความคิดในการดำเนินความสัมพันธ์

ในแง่ตรงข้าม ส่วนมากเคสที่สนิทกันมาตั้งแต่ประถมหรือมัธยมต้น มักจะเป็นเพื่อนรักกันมากกว่าในความเป็นจริง เพราะระยะเวลาที่นานกว่า และความจริงใจในวัยเด็กมักจะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ มันจะไม่พัฒนาไปเป็นความเร้าทางเพศ หรือถ้าจะมีข้อยกเว้นก็จะเป็นเคสแบบ ‘รู้จักกันตั้งแต่เด็ก’ คือบ้านติดกัน เล่นกันตั้งแต่ยังอนุบาลอะไรอย่างนี้ครับ คืออยากปกป้องกันตั้งแต่เด็กๆแล้ว แล้วพอเติบโตขึ้นมา รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปก็มีผลต่อเจตนาดั้งเดิมทำให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงขึ้น ความสัมพันธ์จึงอยากพัฒนาให้มีเรื่องพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราจึงจะเห็นในพล็อตมังงะญี่ปุ่นบ่อยๆ

ถ้าอภิปรายต่อสำหรับเคสความสัมพันธ์ที่ไม่บริสุทธิ์ ส่วนตัว...ผมไม่ซีเรียสนะ คือถ้าคุณไม่ได้มีปม alpha male หรือมี fix taste ของรสนิยมทางเพศ (สองสาเหตุนี้ทำให้เกิดการ ‘บังคับ’ จับคู่ทางเพศครับ และในบางสังคมก็ตราเป็นวัฒนธรรมหรือกฎเลย เช่น สังคมมุสลิม)  ส่วนมากเราก็มักจะเห็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของผู้ชายในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แค่ว่ามันจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เท่านั้นเอง ซึ่งก็อย่างที่ผมบอก มันต้องไปดูระยะเวลาที่คบกันมา เจตนาและพฤติกรรมสำคัญมากในการพิจารณาตัดสินความสัมพันธ์แบบนี้ครับ

ผมถึงมองว่าเคสปาร์คกับฟร็องก์มันตัดสินยาก หนึ่งคือเขาคบกันมานาน และยังมีหลายๆเรื่องที่มันติดค้างกันอยู่อีก ตั้งแต่เรื่องไปเที่ยวหัวหินในสมัยมัธยมของปาร์คกับฟร็องก์ ซึ่ง ณ ตอนนั้น ฟร็องก์เริ่มรู้ตัวเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองแล้ว และยังมามีเรื่องการแอบจุ๊บตอนหลับอีก จะเห็นได้ว่าการตอบสนองของปาร์คต่อทั้งสองสถานการณ์นั้นมันไม่ดีเลย ออกแนวรุนแรงและต่อต้านด้วยซ้ำ ผมเลยมองว่าถ้าจะผลักตัวละครนี้เข้ามาจริงๆ มันจะมีตัวแปรต้านมากไปรึเปล่า ทั้งเรื่องครอบครัวที่เราคิดว่าต่อต้านแน่ๆ ซึ่งมันกระทบต่อการอบรมสั่งสอนปาร์คมาตั้งแต่เด็ก และเรื่องความสัมพันธ์ที่มันได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ตอนนั้น (นี่ยังไม่นับว่า ปัจจุบันปาร์คคบกับเกลด้วยนะครับ)

แต่ถ้าจะมองแบบเผินๆว่าเรื่องนี้มีผลทำให้ปาร์คต้องก้าวข้ามความสับสนในใจตัวเองไปให้ได้ ก็ถือว่าเป็นประเด็นของบุคลิกตัวละครที่น่าสนใจนะครับ (เพราะจะสื่อถึงปม Coming of Age สำหรับตัวละครนี้) แต่ต้องคุมโทนของเนื้อเรื่องหลักด้วย (เอาจริงๆผมว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ก็ Coming of Age กลายๆนะ เพราะแต่ละตัวละครมีประเด็นที่น่าขบต่อ และข้อดีคือ แม้จะมีบทบรรยายความรู้สึกฟร็องก์เยอะมาก แต่ตัวละครอื่นไม่จมครับ เราเห็นปมของตัวละครอื่นเด่นออกมาจนสัมผัสได้และน่าสนใจ อย่างเก็ทนี่ก็เรื่องครอบครัว ความคาดหวัง โดยดึงความเด่นขึ้นมาโดยใช้การบรรยายรูปลักษณ์และเร้าอารมณ์ เป็นเทคนิคที่ดีครับ)
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 35 P.5 [UP! 31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-08-2017 19:50:23
เก็ทแปลกๆ จริงๆ ไม่ใช่จะชอบฟร๊อกซ์จริงๆ เข้าให้แล้วหรอกนะ
แล้วฟร๊อกซ์ยังจะหวังที่จะกลับไปคบกับปาร์คอีกเหรอค่ะ
คนใจโลเลพันธุ์นี้ไม่สมควรที่จะกลับไปคบนะคะ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 36 [4/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 04-08-2017 20:12:19
Chapitre 36

   นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วหลังจากที่ผมวอนให้พัฒน์ช่วยสืบเรื่องของเกลให้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเข้ามาเลย ผมเองก็ไม่ได้ทักพัฒน์ไปเพราะเกรงว่าจะรบกวนมันมากเกินไป ตัวพัฒน์เองก็เงียบกริบ ไม่รู้ด้วยว่าจะลืมไปแล้วหรือยัง จะมีก็แต่ชัญญ่าที่คอยทักไลน์มาพูดคุยด้วย บ้างก็ถามเรื่องเก็ท บ้างก็ถามเรื่องที่ผมกำลังสืบว่าได้เรื่องไปถึงไหนแล้ว เธอได้แค่บอกว่าผมจริงๆ เธอก็พอรู้เรื่องอยู่บ้างนะ แต่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร อีกอย่างเธออยากให้ผมลองหาทางด้วยตัวเองดูก่อน เพราะเธอให้เกียรติความเป็นส่วนตัวและความสัมพันธ์ของผม เธอจึงไม่อยากเข้ามาก้าวก่ายมาก แต่เธอจะค่อยๆ ช่วยเสริมถ้าได้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้น

   ส่วนเรื่องเก็ทเมื่อวาน หลังจากแยกจากเก็ทไปผมก็รีบกลับหอทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ชัญญ่าทักไลน์มาถามว่าเก็ทได้อยู่กับผมหรือเปล่าพอดี ที่เธอทักมาเพราะว่ามันใกล้ถึงเวลานัด คือสองทุ่มครึ่งมากแล้ว และเธอเองก็มารออยู่ที่บ้านของเก็ทกว่าชั่วโมงแล้ว ผมเลยได้แต่บอกไปว่าเห็นเก็ทบอกว่าจะรีบไปซื้อของขวัญ แต่ไม่ได้บอกว่าผมไปด้วย แถมยังเอ่ยชวนผมไปร่วมโต๊ะอาหารอีกต่างหาก ถ้าผมปฏิเสธไม่ได้แล้วต้องไป ความซวยคงบังเกิดกับผมเป็นแน่แท้

    วันนี้ผมก็เป็นปกติเหมือนทุกๆ วันกับเก็ท ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนที่เก็ทมารับก็ดูนิ่งๆ ขรึมๆ มากกว่าปกติ แต่หลังจากนั้นก็เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม เก็ทเองก็คงไม่ได้คิดอะไรเพราะกลับไปแล้วเจอชัญญ่า คงรู้สึกดีกว่าที่จะพาผมไปด้วย

   ติ๊ง!

   เสียงไลน์ผมดังขึ้นขณะที่กำลังนั่งอยู่บนอยู่รถของเก็ทเพื่อกลับหอ ก่อนที่ผมจะล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผมทันทีที่เห็นว่าใครเป็นคนทักไลน์เข้ามา

   ‘ได้เรื่องแล้วนะ’

   เพียงข้อความสั้นๆ ที่แสดงอยู่บนหน้าจอทัชสกรีนนี้ที่ทำให้ผมยิ้มออก ก็เพราะคนที่ส่งเข้ามานั้นก็คือพัฒน์ และเรื่องที่พูดถึงนั้นก็คือเรื่องของผู้หญิงคนนั้น คนที่ชื่อเกล

   “ใครทักมาถึงยิ้มออกขนาดนั้น หรือกลับไปคืนดีกับปาร์คนั่นแล้ว” เก็ทเหล่มองท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของผมอย่างงงๆ

   “เปล่าๆ เพื่อนตอนมัธยมน่ะ พอดีมีเรื่องน่าดีใจนิดหน่อย” ผมตอบโดยไม่ได้หันกลับไปมองผู้ตั้งคำถาม แต่กำลังจดจ่ออยู่กับการปลดล็อคหน้าจอเพื่อเข้าโปรแกรมไลน์ในมือถือของตัวเอง

   เก็ทไม่ได้พูดอะไรต่อ และผมก็ไม่ได้หันไปใส่ใจ เพราะกำลังตื่นเต้นและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่พัฒน์รู้ และกำลังจะบอกให้ผมรู้ด้วยเช่นกัน ผมรีบพิมพ์ถามกลับไปทันทีว่าได้เรื่องอะไรมา จังหวะการเต้นของหัวใจผมก็เร็วและแรงมากขึ้นทุกขณะ

   ‘พัฒน์ถามเพื่อนแฟนมาให้ ผู้หญิงคนนั้นชื่อเกล ฟร๊องก์รู้แล้วใช่ไหม’

   ‘อืมๆ รู้แล้ว ถามแล้วได้เรื่องยังไงมั้ง’

   ‘ก็ถามว่าเกลนั่นคบกับปาร์คหรือเปล่า เราเอารูปปาร์คให้แฟนแล้วก็เพื่อนแฟนดู เขาบอกว่าก็เคยเห็นไปกินข้าวด้วยกันครั้งหนึ่งนะ น่าจะเป็นวันที่ถ่ายรูปคู่นั้น แต่เพื่อนแฟนเราที่รู้จักกับเพื่อนในกลุ่มของเกล บอกว่าเกลกำลังตามจีบอีกคนอยู่นะ

   ‘ตามจีบอีกคน?’ ผมถามกลับไปด้วยความสงสัยอย่างเต็มประดา จะเป็นไปได้ไง ก็ในเมื่อเธอประกาศกร่าวกับผมขนาดนั้นว่าเธอกับปาร์คเป็นแฟนกัน คบกันอยู่ แถมยังมีท่าทางหึงหวงออกหน้าออกตาขนาดนั้นอีก แล้วจะตามจีบคนอื่นอยู่ได้ยังไง ผมเริ่มงงไปหมดแล้ว

   ‘อืม’ พัฒน์ตอบกลับมาเพียงสั้นๆ ยิ่งสร้างความไม่เข้าใจให้กับผม ตอนนี้ในหัวผมมันเต็มไปด้วยเครื่องหมายปรัศนีลอยเต็มไปหมด เรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ ผมสับสนไปหมดแล้ว ก็ในเมื่อคบกับปาร์คอยู่ จะตามจีบอีกคนแบบออกหน้าออกตาเลยเหรอ อีกอย่างทั้งปาร์คและอีกคนจะไม่รู้เรื่องหรือระแคะระคายบ้างเลยเหรอ

   ‘แล้วพัฒน์รู้ไหมว่าคนที่เกลนั่นตามจีบเป็นใคร’ ผมถามต่ออย่างร้อนใจ แต่ดูเหมือนพัฒน์เองจะไม่ได้ใจร้อนอย่างผม เพราะเจ้าตัวยังไม่ได้เปิดอ่านข้อความเลย ทำให้ผมต้องส่งสติกเกอร์ไปอีกครั้งพร้อมทั้งเขย่ามืออย่างลุ้นๆ ไปด้วย และเป็นจังหวะเดียวกับที่รถเก็ทจอดสนิทที่ด้านหน้าของหอผมพอดี

   “อย่าลืมทำรายงานด้วยล่ะ ใกล้จะส่งแล้ว แล้วก็ใกล้สอบแล้วด้วย เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจมันมาก” เก็ทพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ผมจะเปิดประตูลงจากรถ

   “อืม เจอกันวันจันทร์นะ” ผมบอกลาห้วนๆ ก่อนจะก้าวลงจากรถไป ใจผมจดจ่อรอคำตอบจากพัฒน์ ซึ่งก็ยังไม่ตอบกลับมาสักที ผมกะว่าถ้าขึ้นไปถึงห้องแล้วยังไม่ตอบ จะโทรถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จะได้ไม่ต้องนั่งลุ้นให้เครียดแบบนี้

   แล้วผมก็ขึ้นมาถึงห้องโดยที่พัฒน์ยังไม่ได้ตอบกลับมา โอ้ย! มัวแต่ทำอะไรอยู่เนี่ย อยากรู้ใจจะขาดอยู่แล้ว ผมจัดการวางกระเป๋า วางหนังสือลงบนโต๊ะก่อนจะกดโทรออกหาพัฒน์แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที

   [ฮัลโหลฟร๊องก์]

   “พัฒน์ เอ่อ... จะถามเรื่องในไลน์เมื่อกี้ต่ออ่ะ” ผมไม่รอช้าตัดเข้าประเด็นทันทีด้วยความร้อนใจ

   [โทษทีๆ พอดีเมื่อกี้แม่เรียกให้ไปดูหน้าร้านอ่ะ] พัฒน์ตอบกลับมา ผมจึงรู้เหตุที่เงียบหายไป บ้านวัฒน์เป็นร้านขายพวกวัสดุก่อสร้าง ท่อ เหล็ก บลาๆ อะไรพวกนั้นอ่ะครับ

   “อ๋อๆ แล้วฟร๊องก์โทรมารบกวนเปล่า” เห็นมันยุ่งๆ ผมเลยลดความกังวลลง

   [คุยได้ๆ รู้ว่าฟร๊องก์ร้อนใจ อยากรู้จะแย่แล้วสิท่าถึงได้โทรมาขนาดนี้] พัฒน์พูดติดตลกแซวผมเล็กน้อย ทำเอาผมแค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับเกาหัวตัวเองอย่างอายๆ ทั้งที่ไม่ได้คุยกันซึ่งๆ หน้า

   “กะ... ก็เกริ่นมาขนาดนั้นแล้วนิ ว่าแต่พัฒน์รู้ไหมว่าคนที่ผู้หญิงคนนั้นตามจีบคือใคร”

   [รู้ แต่จริงๆ ที่หายไปนานเนี่ยเพราะกว่าเพื่อนในกลุ่มเกลจะยอมปริปากบอกก็นานอยู่เหมือนกัน พัฒน์รู้แล้วยังอึ้งเลย ไม่คิดว่าจะกล้าทำขนาดนี้]

   “อะไร ผู้หญิงคนนั้นทำอะไร ร้ายแรงมากเลยเหรอ” แต่ละคำตอบของพัฒน์ยิ่งทำให้ผมลุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับหัวใจของผมที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน พัฒน์เองก็เหมือนกำลังเล่นเกมสืบสวนสอบสวนกับผมเลย ค่อยๆ ปล่อยทีละนิดละหน่อย แต่เอาผมลุ้นฉี่แทบราดแล้วเนี่ย!

   [อย่าว่าพัฒน์นะ ถ้าจะด่าว่าผู้หญิงคนนี้โคตร ‘เลว’ เลย] เลวงั้นเหรอ ถึงขั้นผู้ชายเอ่ยปากด่าผู้หญิงว่าแล้ว แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องที่แย่มากๆ สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำต้องเลวร้ายมากๆ แล้วปาร์คล่ะจะไม่ยิ่งแย่กว่าเหรอ

   “เลวขนาดนั้นเลยเหรอ”

   [ไม่รู้นะ แต่คนที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังตามจีบก็เป็นเพื่อนไอ้ปาร์คเหมือนกัน เพื่อนนักบาสที่สนิทกับปาร์คพอสมควรด้วยล่ะ] คำตอบของพัฒน์เล่นเอาผมอึ้ง และนิ่งไปชั่วขณะ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพัฒน์ถึงออกปากด่าผู้หญิงขนาดนั้น เพราะสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังทำมันยิ่งกว่าคำว่า ‘เลว’ ธรรมดาซะอีก ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าซะด้วยซ้ำไป คบกับคนหนึ่งอยู่ แต่กลับตามจีบเพื่อนของแฟนตัวเอง แบบนี้ไม่เรียกว่าชั่วว่าเลวก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วแหละ หรือจะให้หยาบกว่านี้คงต้องด่าผู้หญิงคนนี้ว่า ‘เหี้ย’ ก็คงไม่ผิดนักหรอก

   [ตอนแรกที่เพื่อนแฟนพัฒน์รู้ มันก็งงเหมือนกัน มันนึกว่าล้อเล่น ก็เลยลองแย็บๆ ถามต่ออีกว่าแล้วคนที่คบอยู่ ซึ่งก็หมายถึงปาร์คล่ะ พอคนที่มันถามหลุดปากออกมาแล้ว คราวนี้ก็ยาวเลย เพื่อนเกลคนนั้นบอกว่าที่เกลคบกับปาร์คด้วยจริงๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะเข้าเพื่อนปาร์คคนเนี่ยแหละ แต่เหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น แต่เพื่อนในกลุ่มเกลเองก็ไม่รู้เหมือนกัน บังเอิญไอ้ปาร์คมันหน้าตาดีแถมยังรวย ตรงสเปคด้วยไง อีกอย่างเพื่อนปาร์คคนนั้นมันค่อนข้างติสต์สำหรับคนที่ไม่รู้จัก เลยเข้าทางปาร์คก่อน ติดที่ปาร์คมันคงดูแลค่อนข้างดีด้วยมั้งก็เลยไม่ปล่อยง่ายๆ เลย คบซ้อนพร้อมกับตามจีบอีกคนไปเลย เห็นแฟนเพื่อนบอกว่าเกลมีของใหม่ๆ มาอวดเพื่อนหลายอย่างเลย ปาร์คคงซื้อให้ แถมยังได้ยินมาว่าบางทียังให้เงินด้วยซ้ำเวลาที่เกลเอ่ยปากว่าไม่มี แต่พัฒน์เองก็ยังนับถือนะ ว่าสับรางโคตรเก่งเลย]

   “และ... แล้วปาร์คไม่รู้หรือไม่ระแคะระคายบ้างเลยเหรอ”

   [ดูเหมือนว่าจะไม่เลยนะ อย่างที่พัฒน์บอกว่าสับรางเก่งมากๆ หรือจะเป็นเพราะไอ้ปาร์คกับเพื่อนมันโง่ด้วยก็ไม่รู้นะ ถึงไม่รู้อะไรบ้างเลย เพื่อนใกล้ตัวกันเองแท้ๆ] นั่นสิ ที่พัฒน์พูดมาก็ถูก เพื่อนใกล้ตัวปาร์คแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกแปลกใจหรือเอะใจบ้างเลยเหรอ ผู้หญิงคนนั้นจะแสดงละครตบตาปาร์คได้เนียนขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าตัวปาร์ครักผู้หญิงคนนั้นมากจนมองข้ามสิ่งรอบตัวไปกันแน่ ข้อนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

   “แล้วพัฒน์รู้ไหมว่าเพื่อนปาร์คคนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร” มาถึงตรงนี้ ถ้าผมได้ข้อมูลของผู้ชายคนนั้นมา เดี๋ยวผมดำเนินการต่อเองก็ได้ จะได้ไม่เป็นการรบกวนพัฒน์มากนัก

   [มันชื่อดิน เป็นเพื่อนของเพื่อนพัฒน์เนี่ยล่ะ เล่นบาสด้วยกันกับไอ้ปาร์ค เรียนวิศวะเหมือนกับพัฒน์ แต่อยู่คนละสาขา พัฒน์เองก็พอรู้จักนะ แต่ก็ไม่ได้สนิทเท่าไร] โลกกลมจนแทบไม่ไปไหนเลยเนอะ มันก็เพื่อนของเพื่อนผมทั้งนั้นเลย แม้จะไม่ได้รู้จักกับเขาด้วย แต่มันก็คงไม่ยากนักที่จะตามเรื่อง รู้มาถึงขนาดนี้แล้วก็เหลือแค่หาหลักฐานไปให้ปาร์คเห็นธาตุแท้ของผู้หญิงเลวๆ คนนั้นแค่นั้นเอง

   “พอมีทางติดต่อได้ไหม”

   [พัฒน์ไม่มีเบอร์มันว่ะ แต่ถ้าเข้าไปถามโต้งๆ เลยพัฒน์ว่ามันอาจจะไม่บอกนะ คงงงๆ มากกว่าว่าฟร๊องก์เป็นใคร อีกอย่างเรื่องที่เกลคบกับปาร์คก็ดูเหมือนดินมันก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาง่ายๆ คือต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าตัวเองโดนหลอกอ่ะ]

   “งั้นจะทำยังไงดีอ่ะ รู้ขนาดนี้แล้วจะปล่อยไว้แบบนี้อ่ะเหรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างไม่ปกปิด ทั้งที่ปาร์คทำกับผมไว้ก่อนหน้านี้อย่างไม่น่าให้อภัย แต่แค่ชัญญ่าบอกผมว่าผู้หญิงคนนั้นหลอกปาร์คโดยที่ยังไม่รู้ตื้อลึกหนาบาง ผมก็แทบเป็นแทบตายเพราะเป็นห่วงปาร์คจนลืมสิ่งที่ปาร์คทำไว้กับผมเลย แล้วยิ่งได้มารู้ความจริงแบบนี้ จะให้ผมยอมปล่อยไปง่ายๆ ผมทำไม่ได้หรอก ผมปล่อยให้คนเลวๆ แบบนั้นลอยนวลมาทำร้ายคนที่ผมรักไว้เฉยๆ ไม่ได้!

   [เอาแบบนี้ไหม ลองสะกดรอยตามเวลาที่เกลไปกับดินดูดิ] พัฒน์เงียบไปสักครูก่อนจะเสนอความคิดที่น่าสนใจขึ้นมา แต่ปัญหาก็คือ ผมจะตามยังไง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นไปหาคนชื่อดินหรือเปล่า

   “แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเกลไปหาคนชื่อดินไม่ใช่ปาร์ค”

   [อืม... คิดไม่ออกเหมือนกันอ่ะ] นั่นสิ ผมเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน วิธีที่พัฒน์เสนอถือเป็นวิธีที่ดีนะครับ ถ้าเราตามไปให้เห็นกับตาได้ว่าเธอกำลังคบซ้อนจริงๆ จะได้มีหลักฐานไปแสดงกับปาร์คด้วยว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมแต่งขึ้นมา

   “ทำไงดีอ่ะ เราก็คิดไม่ออก” ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ อุตส่าห์รู้ได้ขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ดันมาตันเอาเรื่องวิธีปฏิบัติจริง จะให้ตามไปมั่วๆ ก็มีหวังว่าฝ่ายนั้นจะรู้ตัวซะก่อน แล้วแผนจะพัง ทีนี้แหละ อย่าหวังแค่จะตามสืบเลย แค่ล้วงข้อมูลต่อไปยังยาก เผลอๆ ผมอาจจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย แน่นอนว่าผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ดังนั้นเวลาวางแผนจะต้องรัดกุมมากที่สุด แค่นี้เราก็เสี่ยงแล้วที่เลือกไปถามเพื่อนในกลุ่มของเกลโดยตรง

   แต่คงไม่มีปัญหาหรอก เพราะเพื่อนของแฟนพัฒน์นั้นก็ไม่ได้รู้จักกับผม มันห่างไกลกันมากจนยากที่จะสาวมาถึงตัวผมได้ ฉะนั้นประเด็นนั้นน่าจะสบายใจได้ แต่การจะหาหลักฐานนี่แหละที่สำคัญ ถ้าขั้นตอนนี้พัง ไม่เพียงอีกฝ่ายจะรู้ตัว แต่ความพยายามทั้งหมดที่ทำมาก็จะเสียเปล่า พร้อมทั้งเสียใจด้วยเช่นกัน

   [...] ปลายสายยังคงเงียบอยู่ สงสัยจะคิดไม่ออกจริงๆ ผมยังไม่อยากมาถึงทางตันแค่ตรงนี้หรอกนะ!

   “เพื่อนพัฒน์ที่สนิทๆ กับคนชื่อดินนี่จะพอรู้บ้างไหม” ถ้าอาศัยถามเอาจากเพื่อนพัฒน์อาจจะพอรู้ก็ได้นะว่าสองคนนั้นจะนัดกันหรือเปล่า หรืออย่างน้อยอาจจะพอรู้ว่าดินมีแพลนหรือมีนัดจะไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่า

   [เดี๋ยวพัฒน์ลองถามดูให้แล้วกันนะ แต่ตอนนี้คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะเอายังไง]

   “ไม่เป็นไร แค่นี้พัฒน์ก็ช่วยได้เยอะแล้ว เยอะมากเลยแหละที่เอาเรื่องชั่วๆ ของผู้หญิงคนนั้นมาบอกให้ฟร๊องก์รู้ ลองถามๆ เพื่อนพัฒน์อาจจะได้เรื่องบ้างแหละ อย่างน้อยให้รู้ว่าดินนั่นมีนัดที่ไหน ถ้าเราลองตามไปอาจจะเจอแจ็คพอตก็ได้ใครจะไปรู้” ผมพูดเข้าข้างตัวเอง แต่มันก็ไม่แน่หรอก อะไรก็เกิดขึ้นได้ โชคมักจะเข้าข้างคนดี คนที่ทำถูกต้องเสมอแหละ บางทีคนเลวๆ ก็ต้องได้ผลกรรมที่ทำ

   [โอเค ถ้าได้ความคืบหน้ายังไงเดี๋ยวจะรีบมาบอกเลย ตื่นเต้นดีเหมือนกัน แล้วก็ไม่อยากให้ไอ้ปาร์คมันโดนหลอกด้วยแหละ ยังไงก็เพื่อนกัน]

   “ขอบใจนะพัฒน์ งั้นแค่นี้ก่อนก็ได้ รบกวนพัฒน์มานานและ” ผมวางก่อนจะวางสายไป แต่ในใจก็ภาวนาให้ได้ความคืบหน้าเร็วๆ ผมไม่อยากปล่อยไว้นาน ใจจริงอยากจะกดโทรศัพท์ออกไปบอกความจริงกับปาร์คเลยด้วยซ้ำ แต่ตัวผมเองก็ยังไม่พร้อมจะคุยกับปาร์คเหมือนกัน คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันพร้อมมากกว่านี้ก่อน รวบรวมหลักฐานมาทีเดียวเลย ผู้หญิงคนนั้นจะได้ดิ้นไม่หลุด

**********__________**********

   ผมกลับมาถึงบ้านประมาณสามทุ่มเศษๆ ที่ช้าเพราะกว่าจะคุยโทรศัพท์กับพัฒน์เสร็จก็ใช้เวลานานแล้ว แถมยังต้องเก็บของใช้ที่จำเป็นกลับมาอีก รวมทั้งเซฟไฟล์งานฝรั่งเศสพร้อมกับแบกดิกเล่มหนากลับมาอีกต่างหาก แต่ดีหน่อยที่ผมอาบน้ำมาจากหอเลย กะว่ากลับมาถึงบ้านแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเดียวแล้วนอน ฮ่าๆ สบายไปอีก แต่ก็พูดไปงั้นแหละครับ จริงๆ ผมนอนไม่หลับหรอก เพราะในหัวมันคิดอยู่แต่วิธีหาหลักฐานให้ปาร์คจับเกลได้คาหนังคาเขา

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นในช่วงเที่ยงวัน ขณะที่ผมกำลังจะตักข้าวเข้าปากอยู่พอดิบพอดี ใครมันช่างโทรมาขัดขวางความความสุขน้อยๆ ของข้าพเจ้าเนี่ย!

   “ฮัลโหล ได้เรื่องแล้วเหรอ” ผมแทบจะทิ้งจานข้าวที่ยังกินไม่หมดไปเลยเมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามา พัฒน์ได้เรื่องไวขนาดนั้นเลยเหรอ ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเพราะเพิ่งผ่านไปไม่ถึงวันด้วยซ้ำ

   [ก็น่าจะได้มั้ง ว่าแต่เย็นนี้ว่างเปล่า] พัฒน์ทำเสียงกวนๆ กลับมา

   “เย็นนี้เหรอ ก็ไม่มีธุระอะไรนะ ทำไมอ่ะ”

   [ดีเลย จะได้ตามไปดูไอ้ดินมันกัน] หูผมผึ่งทันทีที่ได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม

   “กี่โมง ที่ไหน คนชื่อดินนั่นนัดกับเกลเหรอ” ผมรีบรัวคำถามกลับไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวว่าพัฒน์จะวางสายไปซะก่อน

   [ใจเย็นนน... ฮ่าๆ เห็นว่าหลังเลิกเรียนมันจะไปร้าน... นะ]

   “แล้วพัฒน์รู้ได้ไงอ่ะว่าจะไปกับเกล”

   [ก็วันนี้พัฒน์ทำเนียนชวนเพื่อนไปกินข้าวกับกลุ่มไอ้ดินมันอ่ะ พอดีเพื่อนในสาขาพัฒน์มันสนิทกับไอ้ดิน เล่นบาสด้วยกันบ่อย เลยลองชวนๆ ดู] พัฒน์นี่ก็ฉลาดเหมือนกันนะ แถมยังเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก แอบกลัวมันเล็กน้อย ถ้ามันเกิดคิดแผนจะหักหลังผมขึ้นมา (คิดไปเองนะ)

   “แล้วอยู่ๆ บอกเพื่อนว่าอยากไปกินข้าวกับดินนี่เพื่อนไม่งงเหรอ ไม่คิดว่าพัฒน์เป็นเกย์หรือไง”

   [มันก็ต้องมีข้ออ้างมั้งดิ ใครจะบอกตรงๆ ล่ะ อย่าซื่อ... ดิ]

   “หลอกด่าเราทำไม!”

   [ฮ่าๆ รู้ทันด้วย เข้าเรื่องๆ พัฒน์ก็บอกว่าอยากถามๆ ไอ้ดินมันเรื่องบาสอ่ะ เพื่อนก็ไม่ได้สงสัยอะไรนะ ปกติก็มีเจอกัน ไปกินข้าวกันเป็นกลุ่มๆ กันบ้างอยู่แล้ว ผู้ชายก็แบบเนี่ยล่ะ เข้ากันง่าย] คงจะจริงอย่างพัฒน์บอกแหละ ผู้ชายถ้ามีเรื่องชอบเหมือนกัน คุยกันถูกคอก็เป็นเพื่อนกันได้หมดแหละ แต่ว่าไปไอ้พัฒน์นี่มันก็เจ้าแผนการเหมือนกันนะเนี่ย แคมป์มันแนะนำได้ถูกคนจริงๆ ช่วยให้ผมไม่ต้องเหนื่อยมากเท่าไร

   “เจ้าเล่ห์ว่ะ” ผมแกล้งแซวมัน

   [คุยไปคุยมาเลยแกล้งๆ ถามว่าตอนเย็นว่างไหม กะจะชวนไปเล่นบาสด้วย เลยเจอแจ็กพอตพอดี มันบอกมันมีนัดแล้ว เพื่อนมันเลยร่วมแซว พัฒน์เลยรู้ว่ามันไปกับเกล แล้วก็รู้ว่าไปที่ไหน]

   “เยี่ยมไปเลย!”

   [ว่าไง สรุปว่างเปล่าเนี่ย อุตส่าห์ไปล้วงข้อมูลมาให้ล่ะนะ]

   “ว่างๆ ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้ติดอะไร”

   [นี่อยู่มอหรืออยู่บ้าน]

   “อยู่บ้านๆ ว่าแต่ร้านนั้นมันอยู่แถวไหนอ่ะ” ผมถามไป ร้านที่ดินบอกว่าจะไปผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ถ้าให้หาเองเกรงว่ามันจะเสียเวลาและไม่ทันการเอา

   [อยู่ไม่ไกลจากมอพัฒน์เท่าไรอ่ะ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอก ร้านมันเล็กๆ เงียบๆ อยู่ในซอยอีกต่างหาก ไม่แปลกหรอกที่ไม่รู้ ขนาดคนในมอยังไม่ค่อยรู้เลย นัดกันที่นั่นคงคิดว่าปาร์คคงไม่บังเอิญไปเจอล่ะมั้ง ส่วนใหญ่ร้านนั้นมีแต่เด็กวิศวะ] ผู้หญิงคนนี้ก็รอบคอบอยู่เหมือนกันนะ ดังนั้นผมต้องระวังตัวให้มากๆ ต้องไม่ให้เธอจับได้โดยเด็ดขาด แต่ผมก็ยังสงสัยนะ ทั้งที่ดินรู้จักกับปาร์ค เพื่อนๆ ของดินเองก็ต้องพอรู้จักบ้างสิ แต่ไม่เคยเห็นเลยเหรอว่าผู้หญิงคนที่กำลังตามจีบตัวเองหรือเพื่อนตัวเองกำลังคบอยู่กับอีกคน

   “แล้วฟร๊องก์จะไปถูกไหมเนี่ย” แค่ที่พัฒน์พูดมาก็งงแล้ว ร้านเล็ก แถมยังอยู่ในซอกในซอยอีกต่างหาก

   [ก็เดี๋ยวไปรับไง เดี๋ยวบ่ายสามเลิกเรียน จะไปรับ ไม่เกินสี่โมงอ่ะ เตรียมตัวไว้เลย พัฒน์ไม่รู้เหมือนกันว่าดินมันนัดไว้กี่โมง มันบอกแค่ว่าหลังเลิกเรียน แต่คงจะเย็นๆ ล่ะมั้ง] แล้วถ้าดินเลิกเรียนก่อนพัฒน์ล่ะ แต่ต้องลองดูก่อนสักตั้ง เผื่อจะได้เห็น ได้หลักฐานอะไรเด็ดๆ มา

   “โอเค ตามนั้น” ผมตอบตกลง ก่อนจะวางสายไป จากนั้นก็นั่งรอเวลาที่จะได้เห็นความจริง ได้เก็บหลักฐานชิ้นเด็ดที่จะช่วยให้ปาร์คตาสว่างขึ้น

   หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมไม่ลืมสวมหมวกและแว่นสายตาที่ผมจะเฉพาะเวลาเล่นคอมพ์ฯ และเวลาไปเรียนในบางครั้ง (ผมสายตาสั้นครับ แต่ไม่มาก จึงไม่ค่อยมีใครเห็นผมเวลาใส่แว่นสักเท่าไร) เพื่อพรางตัวเองไว้ด้วย ก่อนที่พัฒน์จะมารับในเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ จากนั้นเราสองคนก็รีบตรงไปยังร้านที่เป็นสถานที่นัดแนะของทั้งสองคนนั้นทันที

   มาถึงร้านผมก็รีบมองหาผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นก่อนเลยครับ จะได้รู้ว่ามาแล้วหรือยัง นั่งตรงไหน และจะได้ระวังตัวเองด้วย แต่กวาดสายตามองจนทั่วร้านก็ไม่พบกับคนที่กำลังมองหา แสดงว่ายังไม่มา ร้านที่มาถึงเป็นร้านอาหารสไตล์สบายๆ เป็นกันเอง ตัวร้านไม่กว้างมากนัก แถมยังมีจำนวนโต๊ะไม่เยอะ แต่แต่ละโต๊ะมีความเป็นส่วนตัวอยู่พอสมควร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงนัดมาร้านแบบนี้ เพราะนอกจากจะไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรแล้ว เข้ามาในร้านยังค่อนข้างส่วนตัวยากต่อการสังเกตด้วย

   ผมกับพัฒน์เลือกนั่งรอในโต๊ะด้านในสุดของร้าน ซึ่งเป็นมุมอับตรงข้ามกับประตูทางออกไปห้องน้ำพอดี แต่โต๊ะนี้สามารถมองเห็นได้เกือบทั่วทั้งร้าน ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการซุ้มมองเป็นอย่างดี

   นั่งสั่งอะไรมากินกันสักพัก ร่างของคนที่ตามหาก็ปรากฏตัวพร้อมกับผู้ชายหน้าตาดี ผิวขาว ตัวสูง ดวงตาถูกอำพรางไว้ด้วยแว่นวินเทจทรงกลม ผมหยักศกบางๆ สีน้ำตาลทองถูกเซ็ตมาเป็นทรงเซอร์ๆ ด้วยความตั้งใจ อยู่ในชุดนักศึกษาพร้อมสะพายกระเป๋าผ้าชื่อดัง ดูๆ แล้วคนละแนวกับปาร์คเลย ผมมองตามสองคนนั้นซึ่งเลือกเข้ามานั่งโต๊ะที่อยู่ถัดจากผมไปอีกสองโต๊ะ ดูท่าทางเกลจะเขินๆ คนที่ชื่อดินนั่นจนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีผมแอบมองอยู่ ส่วนตัวผู้ชายดูนิ่งๆ หน่อย แต่ก็แอบเกาหัวด้วยความเขินเล็กๆ เหมือนกัน ตัวผู้ชายอาจจะดูใสซื่อจริงๆ นะ แต่ตัวผู้หญิงนี่ผมอยากจะเดินไปกระชากหน้ากากแล้วบอกว่าเลิกแอ๊บได้แล้ว เห็นแล้วจะอ้วก เพราะเธอไม่ได้เหมาะกับลุคใสซื่อบริสุทธิ์เลยสักนิดเดียว

   ผมกับเกลนั่งฝั่งตรงข้ามกัน ซึ่งก็ทำให้ผมเห็นหน้าเธอได้ชัด แต่เช่นเดียวกัน ผมก็เสี่ยงที่จะถูกเธอสังเกตเห็นได้เช่นกัน แต่เหมือนเธอก็ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เพราะเธอจดจ่ออยู่กับการเอาใจคนชื่อดินนั่นอย่างเดียว มีจับไม้จับมือด้วย จริงๆ ผมตั้งใจจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่ลองถ่ายจากตรงนี้มันแทบไม่เห็นผู้ชายเลย จะถ่ายติดก็แต่เกลคนเดียว ซึ่งถ้าเป็นหลักฐาน เขาก็จะบอกว่ามันไม่หนักแน่นมากพอที่จะมัดตัวให้ดิ้นไม่หลุดได้

   พัฒน์กับผมได้แต่นั่งสังเกตทั้งคู่เป็นระยะๆ ผมทำได้แค่นั่งดูทั้งสองคนตั้งแต่สั่งอาหารจนตอนนี้อิ่มกันแล้ว และที่เห็นก็คือเกลเป็นคนอาสาจะจ่ายเงินสำหรับอาหารมื้อนี้เอง เพราะขณะที่ดินกำลังจะหยิบธนบัตรจากในกระเป๋าสตางค์มา มือของเกลกลับเอื้อมไปจับซะก่อน ผมว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะเก็บหลักฐาน ดังนั้นจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปทันที แต่ยังไม่ทันได้กดชัตเตอร์ เกลดันหันมาเห็นผมซะก่อน ท่าทางของเธอดูตกใจไม่น้อยซึ่งก็ไม่ต่างจากผม เพราะเธอรีบชักมือกลับไปแล้ววางเงินของตัวเองลงกับถาดรับเงินแล้วรีบชวนอีกฝ่ายออกนอกร้านไปทันที

   เมื่อเกลเดินออกจากร้านไป พัฒน์ก็เรียกสติผมกลับมา ผมตกใจเหมือนกันเพราะคิดว่าเธอจะเห็น นั่งดูมาได้ตั้งนานแล้วแต่กลับมาตายเอาตอนจบ หลักฐานก็ไม่ได้ แถมเจ้าตัวยังรู้ตัวแล้วซะด้วย ต่อจากนี้ไปเกลคงระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม แล้วทีนี้ผมจะแอบตามไปยังสถานที่ต่างๆ แบบนี้อีกไม่ได้แล้ว โอ้ย! แล้วผมจะทำยังไงต่อไปดี

   “เรากลับกันก่อนดีกว่า ป่านนี้สองคนนั้นคงกลับไปแล้ว” พัฒน์เอ่ยชวนก่อนที่จะเรียกคิดเงิน

   “โอ้ย! ฟร๊องก์พลาดเอง อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จอยู่แล้ว อีกนิดเดียวก็จะได้หลักฐานชิ้นสำคัญมากแล้วเชียว!” ผมบ่นอย่างเสียดายขณะที่เดินออกมาจากร้าน และหงุดหงิดตัวเองที่ประมาทไป ทั้งที่พยายามพรางตัวแล้วนะ แต่ดูจากสายตาอึ้งๆ และท่าทางรีบร้อนของผู้หญิงคนนั้น ผมคิดว่าเธอจำผมได้อย่างแน่นอน

   “เอาไว้คราวหน้าก็ได้ วันพระไม่ได้มีหนเดียว” พัฒน์ตบบ่าผมอย่างให้กำลังใจ คราวหน้าเหรอ มันจะมีอีกหรือเปล่าเถอะ วันพระสำหรับผมมันหมดไปแล้วเมื่อกี้

   “อ้ะ... อื้ม...”

   “ไง?” ยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงแทรกขึ้น ทำให้ผมกับพัฒน์หันควับไปมองทางต้นเสียงทันที ก่อนที่จะพบกับ... ใครบางคนที่ทำให้วันนี้ของผมเป็นวันซวยสมบูรณ์แบบ


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ หายไปหลายวันอีกตามเคย ปั่นงานอื่นอยู่  :mew2:

เข้าประเด็นนะฮะ หลายคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการอมพะนำของฟร๊องก์กับเก็ท
อย่างที่คุณ Grey Twilight บอกฮะ เก็ทอ่ะเป็นด้วยพื้นฐานนิสัย ที่เย็นชาอยู่แล้ว
ส่วนตัวฟร๊องก์เอง เท่าที่เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ นิสัยของฟร๊องก์ชัดเจนมากว่าเป็นคนที่ปากหนัก และกลัวจนเกินไป
ด้วยความที่ไม่กล้าพูดความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองออกไป เพราะกลัวว่าคนที่ได้ฟังจะรู้สึกต่างๆ
อันนี้เป็นพื้นฐานนิสัยของตัวฟร๊องก์เอง

ส่วนในเรื่องของการที่ฟร๊องก์เปิดใจให้กับทาร์ต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทาร์ตไม่มีสถานะที่ก่ำกึ่ง
ทาร์ตแสดงออกชัดเจนตั้งแต่แรกว่าต้องการจีบฟร๊องก์ ซึ่งตัวฟร๊องก์ที่กำลังมีปัญหา เมื่อมีคนที่ทำให้รู้สึกดีเข้ามา ก็ย่อมใจอ่อน
ต่างจากเก็ทที่สถานะชัดเจนว่าเป็นเพื่อน ตรงนี้เราวางเรื่องไว้คือจริงๆ แล้วฟร๊องก์อาจจะหวั่นไหวกับรูปลักษณ์ของเก็ทอยู่บ้าง
แต่ลึกๆ ฟร๊องก์ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับเก็ท เกินกว่าความเป็นเพื่อนที่ไว้ใจมากๆ (เราวางให้มันเป็นแบบนั้น)
ส่วนตัวเก็ทจะเป็นอย่างไร เราอยากให้รอดูต่อ

กลับมาที่ปาร์ค ก็ไม่รู้จะพูดอะไรถึงนาง 5555+
เอาเป็นว่าปล่อยให้นางอยู่ในที่ของนางก่อนแล้วกัน  :laugh:


มาลงตอนใหม่คราวนี้ เราบอกตรงๆ เลยว่าอ่านทุกคอมเม้นต์แล้วเรารู้สึกดีมาก
ขำทุกครั้งที่ได้อ่านบทกวีของคุณ broke-back ได้ข้อคิดจากคุณ pk คุณ fuku คุณ Jibbubu รวมทั้งของคนอื่นๆ ก่อนหน้า
และที่มาเต็มทุกครั้งที่ได้อ่านก็คือคุณ Grey Twilight ที่ทำให้เราเกิดไอเดียใหม่ๆ เสมอ
ขอบคุณมากจริงๆ ที่ทำให้ความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นในใจเรา


จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 36 P.6 [UP! 4/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-08-2017 22:31:06
น่าเสียดายอีกนิดก็จะได้หลักฐานมาแล้วแท้ๆ แต่ความจริงน่าจะชวนปาร์คมาด้วยเลยมากกว่าไม่ต้องให้ฟร๊อกซ์ชวนเองแต่ให้เพื่อนคนอื่นชวนแทนจะได้เห็นกับตาไปเลยว่าผู้หญิงคนนี้มันเลวยังไงจะได้เลิกโง่ซะที แต่เราไมสนัลสนุนให้ฟร๊อกซ์กลับมาคบกับปาร์คอีกนะ เราว่าทั้งคู่เหมาะกับสถานะเพื่อนมากกว่าคนรัก
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 36 P.6 [UP! 4/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 05-08-2017 01:39:14
อ่านตอนนี้แล้วได้แต่ร้องว่า เฮ้อออ กับฟร็อง ทำเพื่อเค้าขนาดนี้ สิ่งที่ได้รับตอบแทนมาคือไร ไม่จำเล้ยยย
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 37 [9/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 09-08-2017 17:34:23
Chapitre 37

   “ไง?” เสียงทักทายอย่างกวนๆ ของคนที่ผมคิดว่ากลับไปแล้วดังขึ้น ก่อนที่ร่างอรชรอ้อนแอ้นจะเดินมาดักหน้าผมกับพัฒน์ไว้ หลังจากที่ผมเดินออกมาจากร้านอาหารได้เพียงไม่กี่ก้าว พร้อมกับมองเหยียดผมกับพัฒน์ “ผัวใหม่เหรอ? อ๋อไม่สิ เด็กในสต็อกของตุ๊ดร่านอย่างแกสินะ”

   “ไม่เกี่ยวกับเธอ ถอย!” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกฝั่ง แต่เกลก็ก้าวมาขวางผมเอาไว้อีกครั้งก่อนจะออกแรงผลักผมที่หัวไหล่อย่างรุนแรงจนผมเองก็เซไปเหมือนกัน ดีที่ว่ามีพัฒน์ที่ยืนอยู่ด้านหลังรับตัวผมเอาไว้ผมจึงไม่ล้มลงไป
 
   “จะไม่เกี่ยวได้ไง! แกคิดจะทำอะไร ตามฉันมาที่นี่ทำไม!” ผู้หญิงที่เพิ่งผลักผมอย่างแรงเอ่ยถามผมด้วยเสียงดังจนแทบจะเหมือนการตวาด พร้อมกับจ้องผมราวกับจะหักกระดูกของผมออกมาแทะเล่นก็ไม่ปาน

   “ฉันเนี่ยนะที่ตามเธอมา เข้าใจผิดหรือเปล่า ฉันกับ ‘เพื่อน’ มาที่นี่ก่อนเธอด้วยซ้ำ อ๋อ... อีกอย่างนะ ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด หรือทำอะไรไม่ดี จะต้องกลัวทำไม จริงไหม?” ผมกระตุกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะเลิกคิ้วถามคนตรงหน้าอย่างยั่วอวัยวะเบื้องล่าง ก่อนจะหันไปถามความเห็นจากคนที่มาด้วยกันกับผม ซึ่งก็แอบหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับผม พัฒน์นี่มันใช้ได้จริงๆ ฮ่าๆ ร้ายไม่เบาเหมือนกันนะ

   “ก็เห็นอยู่ว่าแกถ่ายรูปฉัน! ไหนโทรศัพท์นั่นอยู่ไหน เอามานี่เลยนะ!” เกลพุ่งเข้ามาหาเรื่องผมอย่างบ้าคลั่ง และพยายามจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงของผม

   “นี่! หยุดบ้าก่อนที่ฉันจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายและจงใจทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น หมิ่นประมาทอีกข้อหาด้วยก็ได้นะ!” ผมผลักคนที่ดิ้นอย่างเสียสติออกมาเต็มแรงจนเธอแทบล้มทั้งยืน ขณะที่พัฒน์เองก็คว้าไหล่ทั้งสองข้างของผมก่อนจะดึงให้ไปอยู่ข้างตัว ตอนนี้เหมือนพัฒน์กำลังโอบผมอยู่นิดๆ แต่จริงๆ มันคงกันผมไม่ให้โดนผู้หญิงบ้าตรงหน้าทำร้ายมากกว่า

   “แก!!” เกลจ้องหน้าผมอย่างเดือดดาล แต่ก็ไม่กล้าพุ่งเข้ามาแบบเมื่อกี้ เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมก็ตัวใหญ่อยู่พอสมควร ไม่รู้ว่าผมบอกไปหรือยัง พัฒน์เองก็ตัวสูงเหมือนกันครับ สูงกว่าปาร์คอีก แต่ตัวค่อนข้างจะบางกว่า คือเป็นคนสูงโปร่ง แต่ตัวบางไม่ได้แปลว่าตัวเล็กนะ เพราะพัฒน์เป็นคนที่โครงร่างใหญ่และช่วงไหล่กว้าง ถ้ากับตัวผมยังถือว่าใหญ่ แล้วถ้ายิ่งเทียบกับเกลด้วยก็นะ ถ้าเธอเข้ามาแล้วพัฒน์ไม่ยั้งมือก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน ดีไม่ดีผมจะเข้าไปซ้ำด้วย!

   “ทำไม! ถ้าไม่ได้ทำอะไรไม่ดีจะกลัวทำไม! หึ! เว้นแต่ว่าจะแอบมาพลอดรักผู้ชายอื่นทั้งที่ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว!!” ผมตอกกลับด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวเช่นกัน อยากจะรู้เหมือนกันว่าหล่อนจะแก้ตัวอย่างไร ในเมื่อผมกับพัฒน์เห็นเต็มๆ แบบคาหนังคาเขาแบบนี้ เพียงแต่ผมยังไม่สามารถเก็บหลักฐานได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็เข้าใจผิดว่าผมได้ถ่ายรูปเธอเอาไว้แล้ว ดังนั้นผมกำลังถือไพ่เหนือกว่า และต้องใช้จุดนี้เป็นข้อต่อรอง

   “ฉันมากับเพื่อน ทะ... ทำไม จะไปบอกปาร์คหรือไง คิดว่าปาร์คเขาจะเชื่อเหรอ ปาร์คเขารักฉัน เขาไม่ได้รักแก!” เกลปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พูดตะกุกตะกักแบบนี้ใครเชื่อก็โง่แล้ว

   “ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันมีหลักฐานอยู่” ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโชว์ให้อีกฝ่ายเห็นพร้อมกับเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ ผมทำเป็นมั่นใจไปแบบนั้นแหละครับ จะวอกแวกไม่มั่นใจไม่ได้ เดี๋ยวจำเลยจะรู้ทันว่าผมทำได้แค่ขู่ (แค่เฉพาะในเวลานี้นะ)

   “แก! เอามานะ เอามาเดี๋ยวนี้!” เธอพุ่งเข้ามาอีกครั้งหมายจะแย่งมือถือจากมือของผม แต่ผมไวกว่าที่ส่งให้พัฒน์ที่ตัวสูงชูไว้เหนือหัวซะก่อน ก่อนที่พัฒน์เองจะใช้มืออีกข้างดันตัวของเกลให้ถอยห่างออกไป

   “หยุดบ้าสักที! นี่ถามจริงๆ ไม่ละอายใจบ้างเลยหรือไง กล้าเรียกปาร์คว่าเป็นแฟนตัวเองแล้ว แต่กลับมากับผู้ชายอีกคน ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าผู้หญิงอย่างเธอเลยจริงๆ”

   “หวงเหรอ? อยากได้ปาร์คจนตัวสั่นจนต้องตามหาเรื่องกันเลยหรือไง ของตัวเองก็ไม่ใช่ จะยุ่งอะไรนักหนา อีกอย่างฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับแก อย่ามาแส่หาเรื่อง ไม่งั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน!” เกลชี้หน้าผมอย่างท้าทาย คิดว่าจะกลัวคำขู่แค่นั้นเหรอ ใครกันแน่ที่จะต้องกลัวเพราะมีชนักปักหลังอยู่ขนาดนั้น!

   “ก็ปาร์คเป็น... ‘เพื่อน’ ฉัน ฉันไม่ปล่อยให้เพื่อนโดนหลอกโดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลยหรอก”

   “เพื่อนงั้นเหรอ หึหึ น่าขำเนอะ ฉันจะบอกอะไรให้นะ จริงๆ ปาร์คเขาก็ไม่โง่นะ เพื่อนแก แกน่าจะรู้ดี แต่ที่ปาร์คเขาไม่สนใจอะไร เพราะเขาก็รักฉันมากไง รู้แล้วก็ไสหัวโง่ๆ ของแกออกไปได้แล้ว!”

   “ตอแหล!” ผมตวาดกลับด้วยความโกรธจัด ยังได้ยินคำพูดที่บอกว่าปาร์ครักยัยนี่ผมยิ่งเดือด เกลียดสีหน้า เกลียดน้ำเสียงเยาะเย้ยนั่น และเกลียดการกระทำต่ำทรามของคนๆ นี้เหลือเกิน!

   “แล้วไง ยังไงซะปาร์คก็เป็นของฉัน ไม่ใช่ของแก จะว่าไปปาร์คก็ดีเหมือนกันนะ เก็บไว้ทั้งสองคนก็คงไม่เป็นไร ว่าม่ะ”

   “สารเลว!” ผมไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าผู้หญิงตรงหน้านี้เลย ผมทำได้แค่ยืนกำหมัดแน่นพยายามยับยั้งไม่ให้มันพุ่งออกไปอัดหน้าของคนที่ยืนพูดป่าวๆ ได้อย่างหน้าไม่อาย “อย่าลืมนะว่าฉันมีรูปของเธออยู่”

   “ตอนแรกก็หนักใจนะว่าจะทำยังไงกับรูปนั่นดี แต่ก็นะ แค่ฉันบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ปาร์คเขาก็คงเข้าใจแล้ว อ้อนๆ เพิ่มอีกหน่อยแค่นี้รูปนั่นก็ไร้ประโยชน์แล้ว” เกลหัวเราะเยาะผมอย่างไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน กลายเป็นผมที่อารมณ์ร้อนขึ้นซะเอง เพราะจริงๆ แล้วผมไม่ได้มีอะไรไปต่อรองอย่างที่อีกฝ่ายบอกเลย ผมรู้สึกว่าตัวเองสั่นจนพัฒน์ต้องบีบต้นแขนผมเบาๆ เพื่อให้ผมระงับอารมณ์ให้เย็นลง

   “แต่ยังไงฉันก็มีพยาน แถมปาร์คเองก็รู้จักด้วย”

   “ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ในโลก” พัฒน์ที่เงียบดูสถานการณ์มานานพูดขึ้นเนื่อยๆ แต่เป็นคำพูดที่เจ็บแสบพอสมควร หึ! ขนาดผู้ชายยังด่าเลย

   “หุบปากไปเลยนะ แกสองคนจะเอายังไง!” เกลแหวใส่ผมกับพัฒน์ด้วยอารมณ์คุกรุ่นอีกครั้ง

   “ถ้าเธอคิดจะคบกับคนอื่นโดยใช้ปาร์คเป็นเครื่องมือ ก็เลิกยุ่งกับปาร์คซะเถอะ ปาร์คไม่ใช่ของเล่นของใคร!”

   “ฉันก็ไม่ได้คิดว่าปาร์คเป็นของเล่น ทั้งหล่อ ทั้งรวยขนาดนั้น ปล่อยก็โง่อ่ะดิ! อีกอย่างปาร์คเองก็คงไม่ได้อยากเลิกกับฉัน แกก็เห็นกับตาอยู่แล้ว ว่าปาร์คเลือกไปกับฉัน ไม่ใช่ตุ๊ดอย่างแก”

   “ผู้หญิงอย่างเธอนี่มันไม่เคยมีสามัญสำนึกเลย เธอไม่น่าเกิดมาเป็นคนเลยด้วยซ้ำ เลวขนาดนี้ แบบเธอนี่หมามันยังอายเลย!”

   เพี้ยะ!

   “อย่ามาปากดีกับกูนะ!” ใบหน้าของผมสะบัดด้วยแรงปะทะจากฝ่ามือของเกลหลังจากที่ผมด่าเธอไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

   “มึง!” ผมกำหมัดหมายจะพุ่งเข้าไปซัดกำปั้นหนักๆ ใส่หน้าผู้หญิงสารเลวคนนี้สักครั้งเผื่อต่อมสามัญสำนึกจะทำงานบ้าง แต่กลับถูกหยุดไว้ด้วยแรงของพัฒน์ที่รั้งตัวผมไว้
 
   “อย่าเลยฟร๊องก์ ทำไปคนแบบนี้ก็ไม่สำนึกหรอก สู้เอาเรื่องไปบอกไอ้ปาร์คมันทีเดียวเลยดีกว่า” พัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงฉุนเล็กน้อย ดูพัฒน์เองก็ไม่พอใจอยู่เหมือนกัน  ทั้งความเลวของผู้หญิงคนนั้น แถมยังมาตบผมอีก

   “หึ! คิดว่าพวกแกทำได้ก็เอาสิ แล้วมาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะดูเป็นคนเลวมากกว่ากัน!” เกลพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินไปขึ้นแท็กซี่จากไป ตัวผมยังคงสั่นเทาด้วยความโมโห ผู้หญิงคนนั้นมีแผนอะไรอยู่ จะทำอะไรอีก แต่ถึงอย่างไรก็ตามผมจะต้องบอกเรื่องนี้กับปาร์ค บอกความชั่วช้าของผู้หญิงคนนี้ให้หมดเปลือก ให้ปาร์คได้เห็นธาตุแท้ชั่วๆ ของผู้หญิงคนนี้ ผมไม่ยอมให้เธอทำเลวกับคนที่ผมรักต่อไปได้หรอก!

**********__________**********

   หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่เปิดศึกกับเกล ผมก็ใช้เวลานั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองอยู่ภายในรถของพัฒน์อยู่นานพอสมควรกว่าที่อารมณ์จะเข้าที่เข้าทาง มือผมกำแน่นด้วยความโกรธแค้นและอยากจะซัดหน้าผู้หญิงคนนั้นแรงๆ สักครั้งโดยไม่สนว่าต่างเพศกันหรือเปล่า พัฒน์ก็ได้แค่ตบไหล่ให้ผมเย็นลง ก่อนจะไปส่งผมที่บ้าน

   ผ่านมาจนถึงวันอาทิตย์แล้วแก้มข้างที่ถูกตบของผมยังคงช้ำอยู่เล็กน้อย ตอนแรกที่แม่เห็น ท่านตกใจมากรีบเข้ามาถามทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นไปโดนอะไรมา (แม่เพิ่งเห็นเมื่อวานตอนเช้าครับ) ผมเลยจำต้องโกหกไปว่าเมื่อคืนไปนั่งคุยกับเพื่อน แล้วบังเอิญยุงมันมาเกาะหน้า อารมณ์เม้าท์เพลินๆ เลยตบแรงไปหน่อย ผมบอกออกไปขำๆ ดูท่าทางแม่ไม่ได้เชื่อหรอก แต่แม่เคารพการตัดสินใจของผมเลยไม่เซ้าซี้อะไรต่อ จะว่าไปตอนผมเห็นรอยเองก็ตกใจนะ มือหนักเป็นบ้า! แม่งพูดแล้วก็หงุดหงิด อยากเล่นให้หนัก อยากให้ปาร์ครู้เรื่องนี้เร็วๆ สักที

   แต่จะว่าไป ผมยังไม่รู้วิธีจะเข้าไปบอกปาร์คเลย ไม่ใช่ว่าอะไรหรอก แต่ผมเป็นคนเอ่ยปากไล่ให้ปาร์คเลิกมายุ่งกับผมเอง แล้วจู่ๆ ถ้าไปหาหรือนัดเจอมันก็แปลกๆ แต่ยังไงก็ต้องรีบบอกให้ปาร์ครู้ตัว แค่ขอเวลาแป๊บหนึ่ง แป๊บเดียวจริงๆ

   ผมกำลังเก็บของเพื่อจะกลับหอ พอหันมาเห็นดิกชั่นนารีก็ตาแทบเหลือก ตายห่า ผ่านไปอีกอาทิตย์กับรายงานที่ยังไม่คืบหน้าเลย ผมจะทำทันไหมเนี่ย! มัวแต่สนใจเรื่องอื่นจนไม่มีเวลาทำงานของตัวเองเลย น่าทุบจริงๆ ทุบตัวเองเนี่ย!

   แล้วผมก็ต้องแบกดิกหนักๆ กลับมาที่หออีกครั้ง ผมคิดว่าถึงห้อง เก็บของเสร็จ อะไรเสร็จจะลองโทรหาปาร์คดู อาจจะแค่เกริ่นๆ ว่ามีเรื่องจะคุยด้วยเฉยๆ ก่อน เพราะผมคิดว่าเรื่องนี้ถ้าบอกต่อหน้า บอกกับเจ้าตัวเองเลยน่าจะดีกว่า อย่างน้อยแทนที่ปาร์คจะได้ยินแค่เสียง ปาร์คจะได้เห็นสีหน้าของผมด้วย มันจะได้เป็นเครื่องพิสูจน์อีกอย่างว่าผมไม่ได้โกหก

   ผมจัดแจงเก็บกวาดห้องที่ไม่ได้อยู่มาสามวัน และจัดของต่างๆ ให้เข้าที่ พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่กับสิ่งที่อยู่ข้างเตียง สิ่งที่ครั้งหนึ่งมันเคยเปรียบเสมือนตัวแทนของช่วงเวลาที่ผมเคยมีความสุข ตุ๊กตาไม้รูปเด็กผู้ชายตากลมโตตัวนั้น ที่ปาร์คซื้อให้เพราะบอกว่ามันหน้าเหมือนผม ตุ๊กตาที่ปกติผมไม่สนใจเพราะมันยิ่งตอกย้ำให้ผมเจ็บ แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกอยากหยิบมันมากอดเอาไว้ กอดเพื่อเป็นกำลังใจกับสิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไป นั่นคือ... โทรบอก ‘ความจริง’ กับปาร์ค

   ตุ๊กตาไม้ตัวนั้นมาอยู่ในมือของผมแล้ว ขณะเดียวกันนิ้วผมก็สัมผัสที่หน้าจอทัชสกรีนเบาๆ เพื่อโทรออกไปหาปาร์ค พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงมากขึ้นทุกขณะ

   ตู๊ดดด... ตึกตัก... ตู๊ดดด...

   เสียงรอสายดังสลับกับเสียงหัวใจที่เต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ของผม

   ก๊อก! ก๊อก!

   แต่แล้วมันก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงเคาะประตูที่ด้านหน้าห้องผม ทำให้ผมตัดสินใจวางสายไปก่อน แล้วลุกจากเตียงเพื่อไปดูว่าใครมาหา เอาไว้โทรอีกทีหลังคุยธุระเสร็จแล้วกัน ระหว่างนี้จะได้มีเวลาคิดหน่อยว่าจะพูดอะไรยังไง หากแต่สิ่งที่ผมคิดไว้ทั้งหมดทั้งมวลกลับต้องหยุดลงเมื่อผมเปิดประตูออกไป เพราะคนที่โทรหาเมื่อกี้นี้ และต้องการจะพูดด้วยปรากฏขึ้นตรงหน้าของผมแล้ว

   “ปะ... ปาร์ค” ผมเอ่ยทักด้วยด้วยความตกใจ

   “...” ปาร์คไม่ได้ตอบรับหรือทักทายอะไรกลับมา แต่ท่าทางนิ่งๆ กับสายตาที่เย็นชานั้นกลับทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมา ทั้งที่อากาศรอบตัวแสนจะอบอ้าวแต่ผมกลับรู้สึกหนาวเหน็บอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้สบกับสายตานิ่งงันคู่นี้

   “มา... มาได้ไงเนี่ย” ผมปั้นรอยยิ้มทักทายอย่างยากลำบาก แต่ไร้วี่แววที่อีกฝ่ายจะยิ้มตอบเลย ปาร์คยังคงมองหน้าผมนิ่งด้วยแววตาแปลกๆ มันนิ่งแต่ก็แฝงด้วยพลังงานบางอย่าง “โอ้ย!” ก่อนที่มือใหญ่จะคว้าข้อมือผมบีบไว้อย่างแรงพร้อมกับเจ้าตัวที่ก้าวเข้ามาในห้องของผมอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และไม่ลืมที่จะกดล็อคประตูด้วย

   ปึก!

   ร่างผมปลิวลงไปกองอยู่บนเตียงอย่างแรงจากแรงเหวี่ยงของผู้มาเยือน หลังจากที่ร่างสูงนั้นกดล็อคลูกบิดประตูเสร็จ ผมรีบถดตัวถอยหนีทันทีด้วยสัญชาตญาณของความกลัว กลัวเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดซ้ำรอยเหมือนกับวันนั้น แล้วประเด็นคือผมทำอะไรผิดอีก ปาร์คถึงต้องรุนแรงกับผมขนาดนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่ผมบอกให้เลิกยุ่งกัน แต่กลับเป็นฝ่ายโทรหาน่ะเหรอ หรือเพราะอะไร

   “ฟร๊องก์ทำแบบนี้ทำไม!” ปาร์คถามผมเสียงดังจนมันเหมือนกับการตะคอกมากกว่า ก่อนที่จะร่างสูงนั้นจะพุ่งตัวขึ้นมาบนเตียง

   “ทะ... ทำอะไร ฟร๊องก์ทำอะไร” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกลัวอย่างห้ามไม่อยู่ ภาพเหตุการณ์ครั้งก่อนที่คอนโดฯ ของของปาร์คมันฉายซ้ำเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ผมกลัวมันจะเกิดขึ้นอีก เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมผิดอะไร

   “ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่ ยั่วประสาทปาร์คกันแน่ฟร๊องก์!”

   “ปาร์คพูดเรื่องอะไร ฟร๊องก์ไม่รู้เรื่อง ฟร๊องก์ไปทำอะไร” ผมถอยหนีจนติดหัวเตียง แถมยังนั่งชันเข่าแนบอก ให้เหลือพื้นที่ระหว่างผมกับปาร์คให้ห่างกันมากที่สุด เรื่องที่ผมตั้งใจจะพูดกลับหาจังหวะพูดออกไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แค่จะเกริ่นออกไปปาร์คยังไม่เปิดโอกาสให้ผมเลย กลับเอาแต่ถามในสิ่งที่ผมไม่รู้ ถามในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจแม้แต่ตัวคำถามเองด้วยซ้ำ

   “แล้วไปทำอะไรไว้ล่ะฟร๊องก์!” ปาร์คตวาดผมอย่างดุดันก่อนจะพุ่งมาจับขาผมแล้วกระชากอย่างแรงจนผมเสียหลักล้มลงกับเตียง สุดท้ายผมก็ตกอยู่ใต้อาณัติของปาร์คอย่างเต็มตัว มือข้างที่กระชากขาผมเมื่อครู่เปลี่ยนมารวบแขนผมทั้งสองข้างไว้กับเตียงที่เหนือหัวจนทำให้ผมดิ้นออกจากใต้ร่างใหญ่ของปาร์คได้อย่างยากลำบาก “บอกให้ปาร์คเลิกยุ่ง แล้วทำแบบนั้นทำไม! มีอะไรทำไมไม่พูดกับปาร์คตรงๆ ไปลงกับเกลทำไม! เขาเป็นผู้หญิงนะฟร๊องก์! ถึงฟร๊องก์จะตัวเล็กแต่ฟร๊องก์ก็เป็นผู้ชาย ทำแบบนั้นร้อยทั้งร้อยเขาก็แพ้!”

   “ปล่อยฟร๊องก์นะปาร์ค! ฟร๊องก์ไปทำอะไรให้เกลอะไรนั่น มีแต่เกลต่างหากที่หลอกปาร์ค!” ผมตวาดกลับพร้อมกับดิ้นให้หลุดจากการจับกุมอย่างแน่นหนาของปาร์ค

   “ถ้าฟร๊องก์ไม่ได้ทำอะไร เกลจะมีสภาพยับเยินแบบนั้นเหรอ เกลมาหาปาร์คในสภาพที่ดูไม่ได้เลย ปาร์คต้องเค้นอยู่ตั้งนานกว่าที่เกลจะยอมบอกว่าฟร๊องก์เป็นคนดักทำร้ายเธอ ทำไมล่ะฟร๊องก์ เกลเป็นผู้หญิงนะ แล้วอีกอย่างมันไม่ใช่ความผิดของเกลเลยด้วยซ้ำ ทำไมจะต้องไปลงกับเกลแบบนั้น ทำไมมีอะไรไม่มาลงที่ปาร์ค!!!”

   “...” เมื่อได้ยินสิ่งที่ปาร์คพูด ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก ผมเนี่ยนะทำร้ายเกล? แม้แต่ตัวเธอผมยังไม่ได้แตะแม้แต่ปลายเล็บด้วยซ้ำ มีแต่เธอที่ตบผมซะหน้าช้ำแบบนี้ปาร์คเห็นบ้างหรือเปล่า แล้วมันจะเป็นไปได้ไงที่เกลจะกลับไปในสภาพที่ยับเยินอย่างที่ปาร์คบอก มันมีแค่อย่างเดียวคือผู้หญิงคนนั้นตอแหล!

   “อยากได้ปาร์คมากเลยงั้นเหรอ มากจนต้องทำร้ายคนอื่นเลยงั้นเหรอฟร๊องก์! ตอบมาสิ! ปาร์คไม่นึกเลยนะว่าฟร๊องก์จะ ‘เลว’ ได้ถึงขนาดนี้!” แรงบีบที่ข้อมือทั้งสองข้างของผมเพิ่มมากขึ้นจนผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด พร้อมทั้งพยายามบิดให้มันหลุดจากพันธนาการนั้น ปาร์คจ้องผมด้วยแววตาที่เกรี้ยวกราดจนผมไม่กล้าจะสบตา แต่ถ้าผมยิ่งหลบ มันก็ยิ่งแปลว่าผมยอมรับกับสิ่งที่ปาร์คบอก ยอมรับข้อปรักปรำต่ำทรามของผู้หญิงคนนั้น

   “ปาร์ค... ใจเย็นก่อนนะ สิ่งที่ปาร์คเข้าใจน่ะ มันผิด จริงๆ แล้วฟร๊องก์ไม่ได้ทำ...”

   “ถึงขั้นนี้แล้วยังปฏิเสธอีกเหรอฟร๊องก์! จะต้องให้เกลเข้าโรงพยาบาลเลยหรือไงฟร๊องก์ถึงจะยอมรับ!” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบปาร์คก็ตวาดผมกลับมาอย่างเดือดดาล แม้ผมจะพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบแต่มันก็ไม่ได้ผลอะไรกับอารมณ์ที่ร้อนรุ่ม ร้อนจนแทบจะเผาผมที่อยู่ตรงหน้าให้สลายเป็นจุลได้แล้ว

   ในไฟแห่งโทสะนั้นมันก็ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้และเข้าใจว่าปาร์ครักผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหน รักและเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นมากจนไม่ดูรอบข้าง ไม่สนใจแม้กระทั่งคนที่หวังดีกับปาร์คมาตลอดอย่างผม ไม่แม้แต่จะหยุดฟังคำอธิบายของผมเลยด้วยซ้ำ หรือแม้ถ้าผมทำเรื่องเลวร้ายนั้นจริงๆ ปาร์คก็ไม่คิดจะฟังคำแก้ตัวของผมเลย ปาร์คทำเหมือนว่าไม่รู้จักผมเลย หรือจริงๆ แล้วปาร์คไม่เคยใส่ใจและไม่รู้จักตัวตนของผมเลยจริงๆ

   “ฟร๊องก์ไม่ได้ทำ! ผู้หญิงคนนั้นมันหลอกปาร์ค! มันตอแหล!!!” ผมตะเบงสุดเสียงโดยไม่กลัวห้องข้างๆ ได้ยิน พร้อมกับสะบัดแขนออกจากการจับกุมก่อนจะผลักปาร์คออกอย่างเต็มแรง “ผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นกำลังหลอกปาร์คอยู่รู้หรือเปล่า มันหลอกคบกับปาร์คเพื่อเอาเงินและเข้าหาเพื่อนของปาร์คต่างหาก มันไม่จริงใจกับปาร์คเลย”

   “ว่าแล้วว่าฟร๊องก์ต้องพูดแบบนี้ เหมือนที่เกลบอกไว้ไม่มีผิดว่าฟร๊องก์จะใส่ร้ายเกลเพื่อให้ปาร์คเข้าใจเกลผิด เราคบกันมานานนะฟร๊องก์ แต่ก่อนหน้านี้ปาร์คคงมองฟร๊องก์ผิดไปจริงๆ”

   “ปาร์ค... ฟร๊องก์สาบานได้นะว่าฟร๊องก์ไม่ได้เป็นคนทำร้ายเกล ไม่ได้แตะต้องตัวผู้หญิงคนนั้นเลยด้วยซ้ำ มีแต่ผู้หญิงคนนั้นที่ตบหน้าฟร๊องก์ ดูสิรอยยังอยู่เลย แล้วเรื่องที่ฟร๊องก์บอก ฟร๊องก์ไม่ได้สร้างเรื่องเพื่อใส่ร้ายใคร แต่มันคือเรื่องจริง ฟร๊องก์เห็นมากับตาจริงๆ เชื่อฟร๊องก์สิปาร์ค ผู้หญิงคนนั้นมันเพศยา! ถ้าปาร์คยังไม่เชื่ออีกฟร๊องก์ว่าก็คงเพราะปาร์คโง่เองแล้วแหละ!!”
 
   เพี๊ยะ!

   ใบหน้าของผมสะบัดเนื่องจากแรงของฝ่ามือของคนตรงหน้า คนที่ผมมอบหัวใจให้ทั้งดวงโดยไม่มีข้อแม้ คนที่ผมไม่คิดว่าจะกล้าลงมือทำร้ายผมได้แบบนี้ น้ำตาผมไหลออกมาไม่ใช่ด้วยความเจ็บที่เกิดขึ้นจากการที่โดนตบ แต่มันเป็นเพราะความเจ็บที่หัวใจมากกว่า ผมหันกลับมามองหน้าปาร์คด้วยความผิดหวัง ปาร์คตบผมเพราะปกป้องผู้หญิงคนนั้น ปาร์คเลือกเข้าข้างผู้หญิงคนนั้นโดยคำพูดต่างๆ ของผมไม่มีความหมายเลยด้วยซ้ำ ที่ผมทำไปทั้งหมดเพื่ออะไรกัน ในเมื่อทำไปแล้วคนๆ นั้นกลับไม่เห็นคุณค่ามันเลยด้วยซ้ำ แถมยังเหยียบย้ำความหวังดีของผมจนไม่เหลือชิ้นดี

   “ฟะ... ฟร๊องก์ เจ็บไหม ปาร์คขอโทษ” เมื่อได้สติปาร์ครีบยื่นมือมาประคองใบหน้าของผมอย่างปลอบประโลมทันที แต่เพื่ออะไรล่ะปาร์ค ในเมื่อปาร์คลงมือไปแล้ว ลงมือทำลายความหวังดีของผมด้วยมือของปาร์คเอง!

   “...”

   “ขอโทษนะ ปาร์คไม่ได้ตั้งใจ”

   “หึ! หึหึ! ไม่ตั้งใจงั้นเหรอ... ขอโทษนะถ้าความหวังดีของฟร๊องก์มันเลวร้ายมาก ฟร๊องก์ไม่ขอให้ปาร์คเชื่อหรอก แต่รู้ไว้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ฟร๊องก์ไม่เคยคิดร้ายกับปาร์ค ไม่เลยสักนิด ก่อนหน้านี้ฟร๊องก์โกรธปาร์คมาก แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเกลียด ฟร๊องก์แค่อยากช่วยปาร์ค ช่วยคนที่ฟร๊องก์รัก... และยังคงรักอยู่เสมอ ถ้าปาร์คจะมองว่าฟร๊องก์ผิดเพราะทำร้ายผู้หญิงคนนั้น ฟร๊องก์ก็ขอโทษ ตอนนี้ฟร๊องก์เข้าใจแล้ว เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว ในเมื่อปาร์คเลือกจะเชื่อผู้หญิงคนนั้นโดยไม่แบ่งใจมาเชื่อหรือแม้แต่จะฟังฟร๊องก์เลยสักนิด ฟร๊องก์ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วเหมือนกัน”

   “ฟร๊องก์...”

   “กลับไปเถอะปาร์ค อย่ามายุ่งกับคนเลวๆ อย่างฟร๊องก์เลย ถ้าผู้หญิงคนนั้นดีสำหรับปาร์คก็กลับไปดูแลคนนั้นเถอะ” ผมประชดกลับไปด้วยความน้อยใจ มือที่แก้มข้างที่โดนตบของปาร์คค่อยๆ เลื่อนออกไปอย่างช้าๆ    

   “ถ้ามีอะไรขอให้บอกปาร์คตรงๆ นะ ยังไงปาร์คก็ยัง ‘รัก’ ฟร๊องก์อยู่เสมอ” ปาร์คพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องผมไป คำพูดที่บอกผมไว้ก็ไม่ต่างหากมีดที่กรีดลงที่กลางใจของผมอีก

   คำว่ารักของปาร์คมันช่างไม่น่าพิสมัย มันกลับเคลือบแคลงด้วยด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอีกคน ‘มีอะไรให้พูดกับปาร์คตรงๆ’ นั่นก็หมายถึงการออกตัวปกป้องผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นอย่างไม่ปิดบัง แล้วปาร์คจะบอกรักผมอีกทำไม จะหยิบยื่นความรักที่ห่อหุ้มด้วยคมหนามนั้นมาให้ผมอีกทำไม

   รู้บ้างไหมว่าผมเจ็บเพราะคำว่า ‘รัก’ คำนั้นมากแค่ไหน...


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ ช่วงนี้หายไปฝึกทำขนม 555+

กลับมาคราวนี้แรงกว่าเดิมอีกอีปาร์ค!! เตรียมตัวโดนด่าได้เลย  :katai4: :z6:
แล้วฟร๊องก์ควรจะปล่อยให้อีปาร์คโง่อยู่แบบนั้นไหม 5555+

ส่วนทั้งคู่จะลงเอยยังไง ลองดูไปเรื่อยๆ ฮะ  :katai2-1:


แอบย่องมาลงแบบเบาๆ แล้วไปฝึกทำขนมต่อก่อนนะฮะ หุหุ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 37 P.6 [UP! 9/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 09-08-2017 19:33:54
สุดท้ายก็เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 37 P.6 [UP! 9/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 09-08-2017 22:28:50
นึกว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็วนแต่ลูปเดิมๆ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 37 P.6 [UP! 9/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-08-2017 22:46:29
เอาข้าวสาร เสกใส่ ไล่ผีออก
เอาน้ำมนต์ จับกรอก ออกปากหู
เอาสายสิญจน์ มัดแน่น ทุกช่องรู
เอาให้หาย บ้าตัวผู้ ไอ้ชู้ชาย
#เลิกบ้าได้แล้ว#ฟร๊องก์

พ่อรูปหล่อ กระดอหอม ตอมกันวุ่น
พ่อทำบุญ ด้วยอะไร ไอ่ฉิบหาย
มีแต่คน มารุมล้อม ทั้งหญิงชาย
ทั้งที่จริง เมิงมันควาย สายกระบือ
#ยิ่งอ่านยิ่งอยากจะอ้วกใส่#ไอ่ปาร์ค

+1 พร้อมกับจัดให้เต็มที่
อิอิ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 37 P.6 [UP! 9/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 09-08-2017 23:04:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 37 P.6 [UP! 9/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-08-2017 23:46:24
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย รักของปาร์คคืออะไรถ้าจะเชื่อเกลซะขนาดนั้นก็ไม่ต้องมาบอกรักฟร๊อกซหรอกนะเพราะมันไม่มีความน่าเชื่อถืออยู่เลย เลิกเถอะเลิกรักปาร์คได้แล้วแม้แต่ความหวังดีก็ไม่น่ามีให้เลยจริงๆ คนแบบนี่
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 35 P.5 [UP! 31/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 13-08-2017 12:01:04
เชียร์เก็ท ถ้าได้กะเก็ทก็เข้าคอนเซปต์ชื่อเรื่องพอดี ///ก็ว่าไป 55555 แต่นาทีนี้เชียร์เก็ทสุดใจ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 37 P.6 [UP! 9/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 14-08-2017 20:04:43
Chapitre 38

   หลังจากวันนั้นที่ผมกลายเป็นผู้ต้องหาโทษฐานทำร้ายร่างกายคนรักของปาร์คไปโดยที่ตัวผมไม่ได้ทำอะไรเลย ปาร์คก็หายไปไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีกเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ส่วนเกลเองก็ไม่ได้มีแผนการอะไรมาทำร้ายผมอีก เพราะแค่นี้เธอคงสะใจและพอใจในผลงานของเธอมากแล้ว ทำให้ปาร์คเชื่อว่าผมเป็นคนเลว ทำร้ายผู้หญิงได้อย่างสนิทใจขนาดนั้น ผมเองก็อยากจะเห็นสภาพที่ยับเยินของเธอตามที่ปาร์คบอกจริงๆ เพราะถ้ามันดูแย่มาก ผมก็อยากจะซ้ำให้ตายไปเสียจริงๆ

   ผมกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ หยุดสืบเรื่องเกลไว้ก่อนสักพัก ผมยอมรับว่าน้อยใจ โกรธปาร์คอยู่ แต่เอาเข้าจริงจะให้ผมปล่อยมือจากเรื่องนี้เลย ผมคงทำไม่ได้เช่นกัน ไม่ใช่เพราะสงสารปาร์ค แต่ผมสงสารตัวเองมากกว่าที่กลายเป็นคนผิดโดยไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง หรือหาหลักฐานมาแก้ไขสิ่งที่ผิดที่ถูกยัดเยียดมาเลย ดังนั้นถ้ามีจังหวะดีๆ อีกผมก็พร้อมจะเดินหน้าเปิดโปงความชั่วของผู้หญิงคนนั้นต่อเช่นเดิม และคืนความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง

   ผมกลับมาเรียนตามปกติในวันจันทร์ รอยฝ่ามือที่ถูกปาร์คตบซ้ำรอยฝ่ามือเกลก่อนหน้า ทำให้มันเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าผมจะพยายามจะประคบเพื่อให้มันจางไปภายในเวลาชั่วข้ามคืนมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่ค่อยจะช่วยอะไรเท่าไหร่เลย วันนี้ผมเลยทำได้เพียงแค่ตบแป้งลงไปเพื่อให้มันจางลง แค่ไม่เป็นที่สังเกตก็พอใจแล้ว อย่าให้เจอคำถามจากใครเลยเป็นพอ!

   “แก้มไปโดนอะไรมา” แต่คำภาวนาของผมกลับไม่เป็นผลซะแล้ว เพราะทันทีที่ก้าวขึ้นมาบนรถของเก็ท ก็เจอคำถามเข้ามาปะทะทันที

   “พอดีเกิดเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยอ่ะ” ผมตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะหันไปคว้าสายเบลท์มาคาด เป็นอันเข้าใจว่าผมไม่อยากตอบ ไม่อยากพูดถึง เก็ททำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแต่ก็ยอมขับรถออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ

   แต่หลังจากหมดคำถามจากเก็ท ผมก็ต้องมาเผชิญกับคำถามจากคนอื่นๆ อีกเช่นกัน ผมว่าผมโบกแป้งมาค่อนข้างเนียนแล้วนะ ยังเห็นรอยกันอีกเหรอวะ แต่จะว่าไปรอยที่ถูกเกลตบก็ค่อนข้างชัด แถมเมื่อวานปาร์คก็ตบผมแรงอยู่เหมือนกัน ขนาดผมเห็นรอยตอนแรกยังตกใจเลย แต่เอาเถอะ ผมก็เลือกที่จะไม่บอกใครเช่นเดิม

   วันเวลาผ่านไปสองสามวัน รอยช้ำบนหน้าผมก็ค่อยๆ เลือนหาย หลังจากวันนั้นที่ผมไม่ยอมบอกให้ใครรู้ถึงสาเหตุของรอยดังกล่าว ก็ไม่มีใครถามผมอีก อีกอย่างที่ไม่รู้ว่าผมนั้นคิดไปเองหรือเปล่าคือเก็ทพยายามหาจังหวะที่จะอยู่กับผมสองคน เพื่อจะถามถึงสาเหตุ แต่ผมกลับไม่เคยเปิดโอกาสให้ตัวเองได้อยู่กับเก็ทสองคนเลย ผมยังคงไว้ใจเก็ทนะ แต่ผมเองก็อยากให้ความสำคัญกับเก็ทเท่ากับเพื่อนคนอื่นๆ จะได้ไม่เกิดประเด็นขึ้นมาอีก

   สิ่งที่ผมเองก็ไม่คิดว่าผมจะเป็นก็คือ เรื่องที่จับเกลได้คาหนังคาเขาและเรื่องที่โดนเกลตบผมกลับบอกชัญญ่าซะจนหมดเปลือก เก็บไว้เพียงแต่เรื่องที่ถูกปาร์คตบ ผมแค่บอกไปว่าปาร์คไม่พอใจมาก เพราะเข้าใจผิดว่าผมไปทำร้ายเกล ชัญญ่าก็ให้ความเห็นมาว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ อย่างที่เธอคิด แต่เธอก็ให้กำลังใจผม บอกให้ผมอย่ายอมแพ้ ที่ปาร์คโมโหอาจจะเพราะมารยาของผู้หญิงคนนั้น หน้าที่ของผมจึงต้องเปิดโปงให้รู้เช่นเห็นชาติชั่วๆ ของคนๆ นั้น เพื่อตัวของผมเองที่กลายเป็นคนผิดโดยไม่ได้ทำ ชัญญ่าจึงกลายเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษาใหม่ไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว

   แต่จะว่าไปช่วงที่ผ่านมา ผมก็ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องรอบข้างสักเท่านะ หลังจากที่พูดคุยกับชัญญ่าไป ผมก็ไม่ได้ตามเรื่องของเกลต่อ ส่วนเรื่องที่มอความสัมพันธ์กับเพื่อนก็ปกติ ผมก็ยังคุยเล่นกันปกติ ส่วนทาร์ตก็แวะเวียนมาหาบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมบอกว่าช่วงนี้เรียนหนักจนไม่มีเวลา แต่ก็คิดถึงผมอยู่เสมอ

   ผมมักจะปลีกตัวไปอยู่ที่หอสมุด และหลังเลิกเรียนผมก็มักจะกลับหอเร็วกว่าปกติ ไม่ใช่เพราะอะไรนะ แต่คือผมจะเร่งเคลียร์งานให้เสร็จ ไหนจะรายงานฝรั่งเศส งานวิเคราะห์หนังสี่เรื่องของ Literature อีก ไหนจะอ่านเนื้อหาที่มีเยอะแยะยิ่งกว่าถั่วที่ตาแป๊ะขายอย่าง Linguistics ไหนจะงานยิบย่อยอื่นๆ อีก มันทำเอาผมต้องลืมเรื่องต่างๆ ไว้ก่อน เอาให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อนค่อยว่ากันอีกที

   ช่วงบ่ายวันนี้ไม่มีคาบเรียน ผมก็มาที่หอสมุดเช่นเดิม แต่ต่างไปจากเดิมตรงที่วันนี้มีเพื่อนมาด้วยอีกคนนั่นก็คือทาร์ต ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดอะไร เผื่อตอนเย็นๆ จะได้ชวนมันไปกินข้าวด้วยเลย

   “นึกยังไงวันนี้ถึงมาหอสมุดกับพี่ได้” ผมเอ่ยถามคนที่มาด้วยหลังจากหาโต๊ะนั่งบริเวณมุมด้านในได้ 

   “พี่รู้ไหม กว่าผมจะหาเวลาว่างๆ แบบนี้มาอยู่กับพี่ได้มันยากแค่ไหน ผมก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ กับพี่บ้างสิ อีกอย่างผมก็มีงานค้างตั้งเยอะแยะด้วย เลยหาที่สงบๆ นั่งทำ รู้ว่าพี่มาที่นี่พอดี ผมเลยมาด้วยไง ได้ทั้งทำงาน แถมยังใกล้ชิดกับพี่อีกต่างหาก”

   “เอิ่ม...” ผมไปต่อไม่ถูกเลย เมื่อทาร์ตนั่งลงแล้วเท้าคางมองผมด้วยสายตาเป็นประกาย ที่แฝงด้วยความกวนอยู่ไม่น้อย ยิ่งบวกเข้ากับคำพูดเลี่ยนๆ นั่นด้วยแล้ว เล่นเอาผมไม่รู้จะไปทางไหนต่อเลย

   “ฮาๆ เขินแล้วทำหน้าตลกอีกแล้วนะพี่ แต่ผมก็พูดจริงนะ”

   “พูดมากจริงๆ ไหนงาน รีบเอาขึ้นมาทำเลย” ผมตัดบท ก่อนจะรีบก้มๆ เงยๆ รื้อเอกสารต่างๆ ในกระเป๋าเป้ขึ้นมากองตรงหน้าทันที แม้ใบหน้าจะยังร้อนผ่าวอยู่ก็ตาม

   “พี่ฟร๊องก์...” หลังจากเราสองคนต่างทำงานและเงียบกันไปพักใหญ่ ทาร์ตก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็พบว่าคนที่นั่งอยู่ซ้ายมือของผมกำลังมองมาที่ผมอยู่เช่นกัน “ผมขอถามอะไรพี่หน่อยได้ไหม”

   “อะไรอ่ะ” ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย

   “รอยที่แก้มพี่เมื่อไม่กี่วันมานี้ ใครเป็นคนทำเหรอ”

   “คือ...” ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทาร์ตถึงถามเรื่องนี้ขึ้น หรืออาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ผมกับทาร์ตได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนมากกว่าเดิม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ต่างฝ่ายต่างไม่ค่อยมีเวลาได้เจอหรือได้คุยกันมากนัก

   “ใช่คนเดียวกับที่ทำให้พี่ดูเปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ด้วยหรือเปล่า”

   “...”

   “ผมเป็นห่วงพี่มากนะ มีอะไรไม่สบายใจ ระบายให้ผมฟังได้นะพี่” ดวงตาของทาร์ตที่มองมา ซึ่งฉายแววความเป็นห่วงที่แสดงออกอย่างชัดเจน

   “พอดี... มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

   “นิดหน่อยของพี่นี่ต้องถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลยเหรอครับ”

   “พี่คงหาเรื่องใส่ตัวเองด้วยล่ะ ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่เข้าไปยุ่ง คงไม่เป็นแบบนี้” ผมแค่นหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ มันคงเป็นเพราะความแส่หาเรื่องของตัวผมเอง ที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวายมากขึ้นนี้ และทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวแบบนี้

   “แต่ผมเชื่อว่าที่พี่ทำไปเพราะพี่มีเหตุผล พี่ฟร๊องก์ที่ผมรู้จักไม่ทำร้ายใครก่อนแน่นอน” มือใหญ่เอื้อมมากุมมือข้างหนึ่งของผมไว้อย่างหลวมๆ พร้อมกับรอยยิ้มสดใสของเจ้าของมือนั้น

   “พี่อาจจะไม่ได้เป็นแบบที่ทาร์ตคิดก็ได้นะ ขนาดคนที่พี่คิดว่ารู้จักกันมานาน... เขายังไม่รู้จักพี่เลยด้วยซ้ำ”

   “เขาสำคัญกับพี่มากใช่ไหม พี่ถึงได้รู้สึกมากขนาดนี้เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขา ผมพอจะรู้เรื่องนี้บ้างได้ไหม เผื่อผมจะได้รู้ว่า... ผมต้องทำยังไงและต้องรอถึงเมื่อไหร่ ที่ผมจะสำคัญต่อความรู้สึกของพี่แบบเขาบ้าง”

   “...” ผมยิ้มตอบบางๆ “เขา... คือคนที่ทำให้พี่รู้จักกับความรัก เป็นคนที่เข้ามาทำให้พี่รู้ว่ารักคืออะไร”

   “...” ทาร์ตไม่ได้ตอบรับอะไร เพียงแต่มองหน้าผมนิ่งเหมือนพยายามตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังพูด

   “มันก็น่าตลกนะ ที่คนเราจะหลงรักเพื่อนตัวเอง และมันก็คงเป็นกรรมด้วย เพราะไม่ว่าเราจะได้ใกล้ชิดมากเพียงใด แต่เราก็ไม่มีวันเป็นคนที่ใช่ ไม่มีวันเลื่อนสถานะมากไปกว่าเพื่อนได้”

   “แต่ก็มีหลายคนที่สมหวัง...”

   “ก็คงใช่ แต่สำหรับพี่ก่อนหน้านี้ มันมีความสุขมากนะ ที่ได้พูดคุย ได้อยู่กับคนที่พี่เรียกว่าความรัก แม้จะได้แค่ในฐานะเพื่อน แต่พี่ก็รู้สึกดีกับการรักข้างเดียว” ผมยังคงพูดต่อไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้นึกย้อนกลับไปในตอนที่ความรักที่ผมมีให้ปาร์ค มันมีแค่เพียงความสุข สุขจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันนี้ด้วยซ้ำ

   “สุขแม้พี่จะรู้ว่าพี่ไม่สมหวังอย่างนั้นเหรอ”

   “คงเป็นเพราะมันเป็นความรักที่ไม่คาดหวังอะไรมั้ง มันถึงไม่ทำให้พี่เป็นทุกข์ อีกอย่างมันก็ไม่ได้ก้าวก่ายอีกฝ่ายจนทำให้รู้สึกไม่ดี พี่แค่รักในที่ๆ พี่จะรักได้ เพราะพี่รู้ดีว่าพี่อยู่ในฐานะอะไร มันมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ทำให้พี่เลือกจะรักอย่างไม่หวังให้เขามารักพี่ตอบ แค่เขาไม่ได้รังเกียจความรักที่พี่มีให้ ตอนนั้นก็ดีใจมากแล้ว”

   “...”

   “แต่บางทีคนเราก็ไม่รู้จักคำว่าพอหรอก ยิ่งเมื่อเห็นว่ามีโอกาส พี่เองก็เหมือนกัน ความรู้สึกของพี่ยิ่งถลำลึกลงไปเมื่อเห็นว่าท่าทีของปาร์คเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกับที่พี่รู้สึก”

   “...”

   “จากที่ไม่อยากครอบครอง แต่เมื่อได้รับมากขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นอยากครอบครอง จากที่เคยรักข้างเดียวก็สุขใจ ก็เริ่มมีความหวังมากขึ้น ว่าเขาจะรักตอบ”

   “หมายถึง พี่กับเขา... มีอะไรกัน?”

   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มจางๆ

   “มันเลยทำให้พี่ยิ่งรักเขามากขึ้นเหรอ”

   “ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว รีบทำงานต่อดีกว่า เริ่มหิวแล้วด้วย” ผมตัดบท พลางก้มหน้าทำงานตรงหน้าต่อ

   สิ่งที่ทาร์ตพูดมันก็ไม่เชิงว่าใช่ซะทีเดียว แต่ที่ผมไม่ปฏิเสธก็เพราะในครั้งแรกที่ผมกับปาร์คมีอะไรเกินเลยต่อกัน ความรู้สึกของผมที่มีต่อปาร์ค มันก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แต่บางทีถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้...

   ผมคงเลือกจะรักแค่ข้างเดียวในฐานะเพื่อนดีกว่า   

**********__________***********

   หลังจากวันนั้นที่ผมได้พูดเรื่องปาร์คกับทาร์ตไป ท่าทางของทาร์ตก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไป เจ้าตัวยังคงหาเวลาว่างแวะเวียนมาหา และยังคงโทรหาผมเป็นประจำอยู่เสมอ

   ตัวทาร์ตคงได้คำตอบให้กับตัวเองแล้ว แม้ว่าตัวผมเองจะรู้ดีว่ายังไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกดีนะที่ทาร์ตไม่ได้เปลี่ยนไปจากการได้คุยเรื่องนั้นกับผม

   ผมเคลียร์งานที่มีชนิดที่ว่าตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อตจนลืมเรื่องที่เกิดก่อนหน้าไป และงานหลายๆ อย่างผมก็บรรลุตามเป้าหมายจนรู้สึกโล่ง แม้ร่างจะเกือบแหลกก็ตาม
 
   แต่เห็นทีสิ่งที่ทำให้ผมเหนื่อยสะสมมาหลายวันคงจะได้ผ่อนคลายลงหน่อยก็วันนี้แหละ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดไอ้ทาร์ตมันครับ จริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอก ถ้าเมื่อวันก่อนมันไม่วิ่งหน้าระรื่นมาหาผม แล้วบอกว่าวันนี้วันเกิดมัน

   ‘พี่ฟร๊องก์! คืนวันพุธนี้ว่างไหม’ ทาร์ตวิ่งหน้าระรื่นพร้อมกับส่งเสียงเรียกผมมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งมาหยุดตรงหน้าผม

   ‘ก็ว่างนะ จะชวนไปไหนอีกเนี่ย’ ผมเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัยและงงกับท่าทางโอเวอร์แอคติ้งของเจ้าทาร์ตนี่ด้วย

   ‘ผมแค่จะชวนพี่ไปงานวันเกิด... ผม’ ทาร์ตว่าพลางยิ้มอย่างเป็นเอกลักษณ์

   ‘เอ้า! ไปดิๆ ที่ไหนอ่ะ’

   ‘ร้าน... ครับพี่ รู้จักใช่เปล่า’

   ‘อ๋อ รู้ๆ’

   มันชวนผมไปที่ร้าน... ซึ่งเป็นร้านเหล้าอยู่ไม่ไกลจากมอสักเท่าไร เป็นร้านนั่งชิลล์ๆ มีวงดนตรีสดเล่นเพราะอยู่เหมือน ช่วงไหนมันก็มันหยดใช้ได้

   มันรีบอ้อนให้ผมไปด้วยใหญ่เลยครับ ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธมันหรอก ถือว่าไปผ่อนคลายตัวเองด้วย อีกอย่างวันพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตื่นไปเรียนไม่ทันเพราะมีเรียนบ่ายอยู่แล้ว

   ‘พี่ไปให้ได้นะ อย่าเบี้ยวผมนะ’

   ‘ไปอยู่แล้วน่า ไม่ต้องกลัวเบี้ยวหรอก บอกว่าจะไปก็ต้องไปสิ’ ผมบอกไปพร้อมรอยยิ้ม

   ‘น่ารักที่สุด!’ ทาร์ตดูดีอกดีใจยกใหญ่ ก่อนจะพูดต่ออีกว่า

   ‘แค่พี่ไป ต่อให้ทั้งงานมีแค่พี่กับผมสองคน ผมก็มีความสุขที่สุดแล้ว’

**********__________**********

   วันนี้พวกผมที่อาศัยรถเก็ทไปเรียนเป็นประจำต้องไปเรียนเองเพราะเก็ทโทรมาบอกว่าวันนี้ติดธุระ ไม่ได้เข้าเรียน แต่จริงๆ ผมก็กะจะโดดเหมือนกันนะ วันนี้วิชาไม่ค่อยสำคัญมากเท่าไร กะว่าจะเข้าเรียนคาบบ่ายก่อนชั่วโมงครึ่ง พอหมดคาบผมจะโดดอีกวิชาที่ต่อกันเพื่อไปหาซื้อของขวัญให้ทาร์ต

   อย่างที่ผมบอกว่างานแทบจะทับตัวผมตาย เลยทำให้ตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะซื้อตั้งแต่หลังวันที่เจ้าตัวมาบอกแล้ว แต่หลายอย่างยุ่งๆ ก็ลืมจนได้ เลยกะจะไปมันก่อนงานเลี้ยงเนี่ยแหละ มันนัดตั้งสองทุ่มครึ่งครับ ไปตั้งแต่ประมาณสามโมง เลือกซื้อของ กลับมาอาบน้ำแต่งตัวน่าจะทันสองทุ่มแหละ

   หลังเลิกเรียนตอนเกือบสามโมงเย็น ตอนนี้ผมพาตัวเองมาอยู่ภายในศูนย์การค้าชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไรแล้ว แต่ขอสารภาพเลยว่า ณ ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้เจ้าของวันเกิดอยู่ดี เอาเป็นว่าลองเดินหาไปเรื่อยๆ ก่อนแล้วกัน พวกกระเป๋าสตางค์ เนคไทอะไรพวกนี้ผมตัดทิ้งไปเลย มันดูเชยเอามากๆ ดูเหมาะจะให้คนที่อาวุโสกว่ามากกว่า

   เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง แต่ผมยังไม่เจอสิ่งที่ถูกใจที่พอจะให้เป็นของขวัญได้เลย ทาร์ตมันเรียนนิเทศฯ เห็นมันชอบถ่ายรูปอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่จะให้ซื้อพวกอุปกรณ์กล้องผมก็คงไม่มีปัญญาให้มันอ่ะ แพงเกิ๊น! ผมเดินผ่านโซนแล้วโซนเล่าดูไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดตากับแก้วกระเบื้องใบหนึ่ง ที่มันทำเป็นรูปเลนส์กล้อง เหมือนมาก! แค่มันเงาไปหน่อย แต่ดูๆ แล้วเจ้าทาร์ตน่าจะชอบอยู่นะ

   สรุปผมเอาอันนี้แล้วกัน ขี้เกียจเดินหาแล้วด้วย กว่าจะฝ่ารถติดกลับไปถึงหออีก เดี๋ยวจะไม่ทันเวลานัดเอา โอเคล่ะ ผมตกลงซื้อเจ้าแก้วกาแฟใบนั้นพร้อมกับห่อให้เป็นของขวัญ ส่วนการ์ดผมกะว่าจะไม่ให้ ไหนๆ มันก็ชอบกล้อง ชอบถ่ายรูปแล้ว ผมกะว่ากลับไปถึงห้องจะถ่ายวีดีโอสั้นๆ บอก Happy Birthday ให้มันแทน

   ผมล่ะโคตรเกลียดช่วงเวลาเลิกงานแบบนี้เลย ทั้งรถคนทำงานที่ต่างพากันออกจากบริษัท ไหนจะรถผู้ปกครองที่รับส่งลูกหลานเหลนโหลนกลับบ้านอีก ไม่รู้คนไทยจะออกรถอะไรกันมานักหนา ทั้งที่ถนนก็มีอยู่เท่าเดิม รถมันจะไปไหนล่ะ ก็ติดแบบนี้อ่ะดิ! ทั้งที่ห้างอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยผมมากเท่าไร แต่ผมกลับต้องใช้เวลาโดยสารร่วมชั่วโมงครึ่งกว่าจะกลับมาถึงหอ เพลียโคตร!

   กลับมาถึงหอ ผมก็จัดการตัดกระดาษเป็นแผ่นเล็กๆ แล้วขยำเป็นก้อนเล็กๆ หลายๆ ก้อน ก่อนจะตั้งกล้องแล้วค่อยๆ ถ่ายวีดีโอแบบสต๊อปโมชัน โดยผมค่อยๆ เรียงก้อนกระดาษเล็กๆ นั้นเป็นตัวอักษรขึ้นมาทีละตัว จนกลายเป็นคำว่า ‘HAPPY BIRTHDAY’ ก่อนจะเกลี่ยคละมันให้กระจายตัว และเรียงใหม่เป็นชื่อของเจ้าของวันเกิด คือ ‘TART’

   กว่าจะทำเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยและเสียเวลาพอสมควร วีดีโออาจจะไม่ได้สวยมากเพราะเวลาที่มีน้อย แต่ผมก็ตั้งใจทำให้ ก่อนที่จะไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ และมาอัดวีดีโอเป็นคำอวยพรอีกครั้ง

   ‘สุขสันต์วันเกิดน๊า ไม่รู้จักอวยพรอะไร แต่ก็ขอให้ทาร์ตมีความสุขมากๆ สดใสน่ารักแบบนี้ตลอดไป แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่ผ่านมาเลยนะ ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆ และเป็นกำลังใจให้พี่ตลอด ขอเวลาให้พี่นะ หวังว่าของขวัญเล็กๆ น้อยๆ กับวีดีโอง่ายๆ นี้จะถูกใจนะ ขอให้ทาร์ตเป็นทาร์ตที่ร่าเริงและน่ารักกับพี่และคนอื่นๆ แบบนี้ตลอดไป’

   แค่นั้นก็ตัดจบไปครับ ไม่รู้จะพูดอะไรมากมาย ความรู้สึกพวกนี้มันสัมผัสได้ด้วยใจนะผมว่า กว่าจะนำวีดีโอมาตัดต่อรวมกันจนเสร็จก็ใกล้ได้เวลานัดพอดี ผมจึงรีบคว้ากล่องของขวัญแล้วออกไปขึ้นแท็กซี่ไปที่ร้านทันที ส่วนคลิปผมยังเก็บไว้ในโทรศัพท์ กะว่าจะส่งให้ในไลน์หลังจากให้ของขวัญแล้ว

หวังว่าเจ้าของวันเกิดที่แสนสดใสจะชอบสิ่งที่ผมทำให้นะ...


à suivre...


กลับมาแล้วครับผม ขอโทษเช่นเคยที่หายไปหลายวัน

เรื่องต่อจากตอนนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น (นิดหน่อย) 5555+
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์เลยนะฮะ คอมเม้นต์ของคุณ broke-back ทำให้ขำอีกแล้ว 555+
ขอโทษที่เนื้อเรื่องและตัวละครมันกลับมาวนลูป  :mew2:
แต่ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะ เรื่องใกล้จะจบเข้าไปเต็มที่แล้ว

จะพยายามหาเวลาว่างมาลงนะครับ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 38 P.6 [UP! 14/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-08-2017 22:57:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 38 P.6 [UP! 14/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-08-2017 00:26:06
อยากรู้จริงๆ ว่าตอนจบฟร๊องก์จะเลือกใคร
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 38 P.6 [UP! 14/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 17-08-2017 13:04:44
ฟร้องก็เลือกปาร์คเหมือนเดิม รักนี่นา
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 39 [20/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 20-08-2017 11:23:00
Chapitre 39

   หลังจากที่ผมจัดการถ่ายและบันทึกวีดีโออวยพรวันเกิดให้ทาร์ตเรียบร้อย ก็รีบมาที่งานทันที

    “พี่ฟร๊องก์! มาแล้วเหรอ เข้ามาเร็วๆ” และทันทีที่ผมมาถึง ทาร์ตก็รีบผละออกจากกลุ่มเพื่อนวิ่งมารับผมที่ยืนอยู่หน้าร้านด้วยรอยยิ้มสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของมันไปแล้ว รอยยิ้มพร้อมเหล็กดัดฟันจะลอยเด่นเตะตามาก่อนอย่างอื่นเลย

   วันนี้ทาร์ตมันเหมาทั้งร้านเลย (อย่างว่าแหละ บ้านรวย!) ตอนนี้เลยมีแค่พวกเพื่อนๆ มัน รวมทั้งพวกรุ่นพี่ สายรหัสอะไรต่อมิอะไรของมัน ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จัก ตอนนี้ผมเลยเอาแต่สอดส่ายสายตาหาเพื่อนๆ ผมอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ไปนั่งซอกไหนของร้าน

   “อ่ะนี่ Happy Birthday นะ” ผมยื่นกล่องของขวัญให้เจ้าของวันเกิดก่อนเลย คือไหนๆ มันก็ซ่อนไม่ได้อยู่แล้ว ก็ให้ๆ มันไปเลย ค่อยไปเซอร์ไพรส์ตอนส่งคลิปในไลน์เอาแล้วกัน รอให้มันเปิดดูเอง ฮ่าๆ

   “โห้ยพี่ ไม่ต้องซื้อผมก็ได้ แต่ก็ขอบคุณมากนะครับ น่ารักที่สุด”

   “นี่! ถอยออกไปเลย อยากหัวโนหรือไง!” ผมรีบผลักทาร์ตออกทันที ก็แม่งเล่นเข้ามากอดผมแบบไม่ทันตั้งตัวซะงั้น แถมยังหน้าร้านอีก เพื่อนๆ มันมองกันหมดแล้ว ไอ้ห่าเอ๊ย!

   “ร่างกายมันไปเอง... ไปตามเสียงของหัวใจ”

   “เสี่ยวว่ะ เลิกซะนะมุกห่วยๆ แบบนี้ ว่าแต่เพื่อนพี่อยู่ไหนเนี่ย” หลังๆ มาผมไม่ค่อยแทนตัวเองว่ากูกับทาร์ตมันแล้วครับ ทาร์ตเองมันขอไว้ด้วย มันบอกไม่อยากให้ผมพูดไม่เพราะกับมัน แถมยังบอกอีกนะว่าให้ผมแทนตัวเองว่า ‘เค้า’ เลยก็ได้ ผมเลยด่าแบบติดตลกกับมันไปชุดใหญ่ พอสนิทกันมากๆ หน่อยเริ่มลามปาม

   “มาดิพี่ เดี๋ยวผมพาไปที่โต๊ะ นั่งกันแถวหน้าเวทีโน้น” ทาร์ตว่าก่อนจะคว้ามือผมเดินตามเข้าไปภายในร้าน จริงๆ ร้านมันก็ไม่ได้ใหญ่มากหรอกนะ แต่ตลอดทางมีสายตานับร้อยมองมาที่ผมกับทาร์ตตลอด แถมยังเจอเพื่อนซี้มันที่กำลังมีซัมธิงกับนุ่นเพื่อนผมเอ่ยปากแซวอีก ผมนี่แทบจะมุดขวดเหล้าหนี แต่ไอ้คนที่จับมือผมไม่ปล่อยนั้นกลับยิ้มร่ารับคำแซวนั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา จนในที่สุดผมก็มาถึงโต๊ะที่เพื่อนๆ ผมนั่งอยู่

   นี่โดนัทใช้สิทธิ์ความเป็นพี่ไอ้ทาร์ตเลือกโต๊ะเปล่าเนี่ย เพราะโต๊ะนี้เป็นหนึ่งในจุดที่ดีที่สุดของร้านเลย เห็นวงดนตรีที่เล่นได้ชัดเจน แถมยังเห็นทั่วทั้งร้านได้หมด แต่ถ้ามองจากมุมอื่นกลับเห็นโต๊ะนี้ได้ไม่ชัดนัก เพราะมันเป็นโต๊ะอยู่ติดเสาเลยทำให้มีเสาบังเอาไว้ ทำให้ตอนแรกผมมองหาพวกนี้ไม่เจอ แถมยังมีพื้นที่กว้างกว่าตรงอื่นด้วย ถือว่าเลือกที่นั่งได้ดี

   “พวกกูเห็นนะว่ามึงสองคนทำอะไรกันที่หน้าร้าน” มาถึงไวน์ก็เอ่ยปากแซวทันที

   “ทำไรมึง ก็แค่ให้ของขวัญเจ้าของวันเกิด” ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะนั่งจุ่มปุ๊กลงบนเก้าอี้ว่างข้างๆ ดิว ก่อนจะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปเนียนๆ “คนอื่นยังไม่มาเหรอ”

   “แก้วไม่มาหรอก ปล่อยคนๆ ดีเหลือไว้สักคน ส่วนนุ่นเห็นบอกกำลังแต่งตัวอยู่ สงสัยจะมาสวยให้คนแถวนี้ดู ส่วนเก็ทนี่ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ติดต่อไม่ได้ มึงไม่ได้โทรหามันเหรอ ผัวมึงอ่ะ อุ๊ย! โทษๆ ผัวน้อย น้องกูอยู่ตรงนี้ด้วย ฮ่าๆๆ” โดนัทเป็นคนตอบคำถาม แต่ก็ไม่วายวนกลับเข้าเรื่องเดิมอีก

   “ไม่รู้ว่ะ กูก็ไม่ได้โทรหา ก็เห็นเมื่อเช้าบอกว่าไปธุระ นึกว่าจะมาที่งานเลย แล้วนุ่นมันมายังไงอ่ะ”

   “โอ้ย! มึงไม่ต้องเป็นห่วงอีนุ่นมันหรอก เจ้าชายของมันสแตนบายมอเตอร์ไซด์ขาวรอแล้ว ฮ่าๆ” ไวน์ว่า ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะกับคำตอบนั้น

   “เดี๋ยวไอ้เก่งเพื่อนผมมันไปรับแหละครับ งั้นเดี๋ยวผมไปหาเพื่อนก่อนนะ เดี๋ยวกลับมานั่งด้วย” ทาร์ตว่าก่อนจะเดินจากไป ผมจึงได้แต่ยิ้มกับคำตอบที่ได้ คราวนี้จะได้เห็นนุ่นเวอร์ชั่นอินเลิฟกับเขาแล้วเว้ย ไม่แซวได้ไงแบบนี้

   “สรุปมันคบกันแล้วเหรอ” ผมเอ่ยถามประเด็นเด็ดเกี่ยวกับนุ่นต่อทันที

   “มึงนี่ช้าเนอะ เขารู้กันทั่วแล้ว” ป๊อปอายที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นพร้อมกับเงยหน้าจากหน้าจอมือถือแทบจะทันที

   “ไม่แปลกหรอกที่มันจะไม่รู้ พักหลังมาตัวมันเองก็ยุ่งกับใครที่ไหนล่ะ มาเรียน เสร็จก็กลับห้อง ไม่รู้เป็นห่าอะไร” ไวน์ตอกผมกลับมา แต่ก็จริงอย่างที่มันพูดแหละครับ แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนั้นนะ เพราะมาเรียนผมก็พูดคุยกับคนอื่นปกตินะ แต่แค่ไม่ค่อยสนใจเรื่องของใครเลยต่างหาก

   “นั่นดิ เห็นบางทีโดนแซว ฟร๊องก์ก็ไม่ตอบโต้เหมือนแต่ก่อน แถมยังทำเหมือนไม่ได้ยินอีก” เป็นดิวที่ร่วมแสดงความเห็น เออนี่แสดงว่าผมเป็นหนัก เข้าขั้นเป็นสภาวะแอนตี้โซเชียลไปแล้วมั้ง ใกล้บ้าแล้วแหละ

   “กูเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ ฮ่าๆ ช่างเหอะ เอาเรื่องนุ่นต่อ กูอยากรู้”

   “ก็อย่างที่เห็นแหละ เดี๋ยวนี้นุ่นมันก็ไม่ค่อยมาเรียนกับดิวแล้ว ให้ไอ้เด็กนั่นไปรับไปส่งตลอด ล่าสุดนี่เห็นไปดูหนังด้วยกันด้วยนะ แต่กูก็แปลกใจนะ ก่อนหน้านี้ก็มีคนเข้ามาชอบมันตั้งเยอะ แต่มันไล่ตะเพิดเขาไปหมด แต่พอเจอเด็กนี่หน่อย จากห้าวๆ ปากจัดนี่เปลี่ยนเป็นลูกแมวเลย” ป๊อปอายนี่รู้ลึกรู้จริงจริงๆ เนอะ

   “เออนั่นดิ น่าแปลก เดี๋ยวมาแล้วกูจะแซวให้สนุกเลย เล่นกูไว้เยอะ ได้เวลาล้างแค้น!” ผมยิ้มกระหยิ่มรอเวลาให้นุ่นมาถึง สนุกปากแน่ๆ ตัวยุตัวชงครบ!

   “ฟร๊องก์ลองโทรหาไอ้เก็ทมันหน่อยดิ เมื่อเย็นโทรไปแล้วมันปิดเครื่อง ไม่รู้ตอนนี้เปิดยัง หายหัวไปไหนมันก็ไม่รู้” ดิวหันมาสะกิดบอกผมท่ามกลางเสียงดนตรีที่เริ่มจะดังขึ้น

   ผมพยักหน้าเป็นอันบอกว่ารู้เรื่องก่อนจะเดินออกไปนอกร้านที่เสียงดนตรีเบาลงหน่อย แล้วจึงกดโทรออกไปยังเบอร์ของเก็ท กะว่าโทรเสร็จจะส่งวีดีโอวันเกิดให้ทาร์ตมันเลย ส่งไปตอนนี้มันก็คงยังไม่ได้เปิดดูหรอก เสียงดังๆ แถมยังอยู่กับเพื่อนแบบนี้ กว่าจะเห็นคงพรุ่งนี้

   ‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

   อ้าว ปิดเครื่องซะงั้น หายไปไหนของเขาวะ หายไปทั้งวันเลย จะไปไหนก็ไม่บอกกันมั้ง ธุระที่ว่ามันใช้เวลาเป็นวันๆ เลยหรือไง เออ! ลองโทรถามชัญญ่าดูก็ได้

   “ฮัลโหลชัญญ่า เก็ทอยู่กับญ่าเปล่าอ่ะ”

   [ตอนนี้เหรอเปล่านะ แยกกันไปตั้งแต่ตอนเย็นๆ แล้ว]

   “หายไปไหนของเขา โทรไปก็ปิดเครื่อง”

   [มีอะไรหรือเปล่า]

   “เปล่าหรอก พอดีมีงานวันเกิดน้องที่มอไง จะถามว่ามาหรือเปล่าก็โทรไม่ติด”

   [ที่ชื่อทาร์ตน่ะเหรอ] ชัญญ่าถามต่อ แต่ก็ทำให้ผมชะงักเล็กน้อยว่าเธอรู้ได้ไง แต่ก็คงเพราะเก็ทบอกเอาไว้ล่ะมั้ง
   “อืมใช่ๆ รู้ได้ไงเนี่ย”

   [อ๋อเปล่าหรอก เห็นเก็ทเคยพูดอยู่ ยังไงเที่ยวก็ระวังตัวด้วยแล้วกันนะฟร๊องก์ อย่าดื่มเยอะ]

   “ขอบใจนะญ่า แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพื่อนเยอะแยะ”

   [ก็ดีแล้ว ปกติไม่ค่อยเห็นไปเที่ยวแบบนี้ไง งั้นแค่นี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวญ่าลองโทรหาเก็ทให้อีกที ถ้าไม่ติดเดี๋ยวลองถามที่บ้านเก็ทให้ เพราะเราเพิ่งออกจากบ้านเก็ทมา แล้วจะไลน์ไปบอกนะ] ว่าแล้วชัญญ่าก็วางสายไป ทิ้งให้ผมยืนงงกับคำพูดของเธออยู่คนเดียว แต่ก็ส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ เธอคงพูดด้วยความเป็นห่วง

   “พี่ฟร๊องก์ มายืนทำอะไรตรงนี้”

   “ทาร์ต! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมด! มีอะไรเหรอ” ผมที่เพิ่งวางสายจากชัญญ่าไป ถึงกับสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ทาร์ตโผล่มาทักจากด้านหลังในระยะประชิด

   “เปล่า ก็ไม่เห็นพี่อยู่ที่โต๊ะเลยเดินมาตาม ตกใจเหรอ มาๆ เดี๋ยวผมปลอบ” เจ้าตัวว่าพร้อมกับวาดวงแขนมาโอบผมไว้หลวมๆ

   “ไอ้นี่! ลามปามใหญ่ล่ะนะเดี๋ยวนี้!” ผมโบกมันเข้าที่หัวอย่างหมั่นไส้ ถือเป็นของขวัญวันเกิดอีกอย่างล่ะกัน วันนี้เล่นเยอะเกินไปล่ะ

   “ก็ไม่ค่อยได้เจอเลยนี่นา ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อยนะ” มันทำหน้าเหมือนน้อยใจ ทำเอาผมหลุดขำออกมากับท่าทางตลกๆ ของมัน ไม่ค่อยอยากแกล้งมันมากเท่าไร เอาเถอะ ยอมให้วันหนึ่ง ถือว่าเป็นวันพิเศษล่ะกัน

   “เออๆ ยอมให้วันนี้วันเดียวนะ วันอื่นจะตบให้ฉี่ราดที่นอนเลย!” ผมชี้หน้าคาดโทษมัน ก่อนที่เจ้าตัวจะวาดวงแขนมากอดผมไว้อีกครั้ง

   ผมยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดนั้นอยู่พักใหญ่ จนเริ่มได้ยินเสียงโห่ร้องและเป่าปากแซวดังมาจากในร้าน ทาร์ตจึงละวงแขนออกด้วยท่าทางเขิน ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะท่ามกลางเสียงร้องแซวแซ่ซ้องนั้น แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้นั่ง เสียงไลน์ที่ชัญญ่าส่งมาพอดี เธอไลน์มาบอกว่าเก็ทเปิดเครื่องแล้ว แล้วก็บอกให้โทรกลับมาหาผมด้วย ซึ่งก็ยังไม่ทันอ่านจบ เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังแข่งกับเสียงเพลงในร้านอีกครั้ง เพิ่งเดินมานั่ง กูต้องเดินออกไปอีกแล้ว

   “ฮัลโหลเก็ท หายไปไหนมา”

   [โทษที พอดีธุระมันยุ่งๆ อ่ะ ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย ปิดเครื่องไว้เลยลืมเปิด]

   “อืม ไม่ได้ว่าไร แค่เป็นห่วง เห็นติดต่อไม่ได้ แล้วนี่จะมางานไอ้ทาร์ตมันเปล่า”

   [น่าจะไม่ได้ไปแล้ว ยังไงฝากขอโทษทาร์ตด้วยแล้วกัน]

   “อ้าวเหรอ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวจะบอกทาร์ตให้นะ แค่นี้ก่อนแล้วกัน เสียงดังอ่ะ ไม่ค่อยได้ยิน” แล้วผมก็ตัดสายไป ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ และพบกับนุ่นในชุดเดรส สวยหวานมาเชียว เห็นดังนั้นผมก็ไม่ปล่อยผ่าน เอ่ยปากแซวทันที

**********__________**********

   เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ จากหนึ่งชั่วโมง ก็เป็นสอง สาม สี่ชั่วโมงไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว ผมเองก็เริ่มมึนๆ แล้วเหมือนกัน เมื่อตอนห้าทุ่มซึ่งเป็นเวลาเกิดของทาร์ตมันก็เพิ่งเป่าเค้กที่โดนัทมันเตรียมไว้กับทางร้านเพื่อเซอร์ไพรส์น้องตัวเอง ก็เลยตัดเค้กมากินกันอีก โคตรเข้ากันเลยของหวานกับเหล้า แบบนี้เมาสิครับ! พวกผมเม้าท์เพลิน แซวนุ่นมันจนมันแทบจะมุดโต๊ะหนี

   ผมไม่ได้ลืมส่งวีดีโอให้ทาร์ตมันนะครับ ตอนแรกว่าจะส่งตอนออกไปโทรหาเก็ท แต่เจ้าตัวดันโผล่มาซะก่อน ผมเลยยังไม่ได้ส่ง อีกทั้งยังนั่งดื่มนั่งคุยกันจนเพลิน มานึกได้อีกทีตอนที่โดนัทกับไวน์เอาเค้กออกมาเซอร์ไพรส์ทาร์ตมานั่นล่ะ ผมเลยอาศัยช่วงชุลมุนนั้นส่งวีดีโอเข้าไลน์ทาร์ต เพราะรู้ว่ายังไงซะตอนนี้เจ้าตัวคงไม่ได้สนใจเปิดดู ดีไม่ดีอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีข้อความในไลน์เข้า

   “ไวน์ ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยดิ” ผมเอ่ยปากชวนไวน์อีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร แต่ผมเป็นคนที่ปวดฉี่บ่อยมากเวลากินเหล้า ทั้งที่ปกติเป็นคนไม่ได้เข้าห้องน้ำบ่อยขนาดนั้นนะ

   “ไปด้วย/กูด้วย” ดิวกับป๊อปอายพูดขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะลุกตามผมสองคนมา ทิ้งให้โดนัทกับทาร์ตสองศรีพี่น้องนั่งเฝ้าโต๊ะ ส่วนนุ่นไปเต้นอยู่กับเพื่อนทาร์ตมันแล้วครับ พอเมาแล้วก็กลับมารั่วเหมือนเดิม

   พวกผมเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ซึ่งย้ายที่ออกมาด้านนอกแล้ว เพราะพวกเพื่อนๆ กับรุ่นพี่ที่คณะทาร์ตได้ยึดครองพื้นที่สำหรับการกระโดโล้ดเต้นด้านหน้าเวทีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้พวกผมต้องขยับออกมาด้านนอกหน่อย แต่ก็รับลมดีครับ ร้านนี้ตรงหน้าร้านจะเปิดโล่ง แต่มีหลังคานะ ส่วนตรงโซนเวทีจะมีผนังครับ

   เรายังคงนั่งดื่มกันต่อ แต่ผมหมดแก้วนี้ก็พอแล้วแหละครับ ไม่ไหวแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็เริ่มหยุดกันไปแล้วครับ เหลือก็แต่ดิวกับทาร์ตแหละที่คอแข็งสุด นั่งจิบ นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ

   “กู%@$%)+แล้วว่ะ” ไวน์บ่นกระปอดกระแปดขณะที่ฟุบหน้ากับโต๊ะ ทำให้ผมได้ยินไม่ถนัดนักหรอก ยิ่งเสียงดนตรีสดช่วงนี้ที่กำลังมันด้วยแล้ว ยิ่งไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่ว่ามันพูดว่าอะไร
แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกมึนหัวยังไงไม่รู้ เสียงเพลงรอบข้างเริ่มน่ารำคาญมากขึ้น มันดังเข้าโสตประสาทจนผมปวดหัว ผมรู้สึกว่าร่างกายมันร้อนขึ้นๆ ทุกขณะ หรือผมจะเมามากแล้วจริงๆ ก็ไม่รู้ ผมเอามือทั้งสองข้างกุมหัวแล้วฟุบกับโต๊ะด้วยความทรมาน

   “พี่ฟร๊องก์เป็นไรเปล่า ไหวไหมพี่” เสียงทาร์ตดังขึ้นข้างๆ หูผม แต่ผมมึนหัวมากจนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาตอบ

   “ฟร๊องก์ไหวเปล่า กลับเลยไหม” เสียงดิวดังขึ้นอีกคน ผมพยักหน้ารับทันที กลับเถอะ! ผมร้อน ผมอยากอาบน้ำ ร้อนมากเลย!

   “กลับๆ กลับเถอะ ปวดหัวอ่ะ ร้อนด้วย” ผมรีบพูดแล้วลุกขึ้นทันที แต่ก็เกือบจะล้มเพราะทรงตัวไม่อยู่ ดีที่ใครสักคนมาคว้าตัวผมไว้ทัน ไม่งั้นคงได้ลงไปวัดพื้นร้านแล้ว ทำไมผมไม่มีแทบแรงเลย ปกติกินแล้วก็ไม่เคยเป็นแบบนี้นะ

   “พวกพี่จะอยู่ต่อกันเปล่าครับ” เสียงทาร์ตดังขึ้น เหมือนกำลังตกลงกันอยู่ว่าจะเอายังไง ทาร์ตนี่เองที่มาประคองตัวผมไว้ ตอนนี้ผมอยู่กลับมานั่งที่เก้าอี้ แต่ตัวเอียงไปพิงตัวทาร์ตเอาไว้เหมือนคนไม่มีกระดูก อ่อนปวกเปียกไปหมด จะเอายังไงก็เอาเถอะ แต่ตอนนี้ผมขอกลับก่อนได้ไหม

   เสียงคุยกันของเพื่อนๆ ผมกับทาร์ตดังระงมอยู่ไม่ไกล แต่ผมกลับฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าใครพูดอะไรบ้าง ไอ้ดนตรีบ้านี่ก็หยุดสักทีเถอะ หนวกหู! ผมไม่ไหวแล้ว อยากนอนแช่น้ำอ่ะ อยากกินน้ำด้วย มันร้อนอ่ะ ข้างในผมร้อนลุ่มมาก! หัวผมโงนเงนไปอีกฝั่งซึ่งเป็นใครไม่รู้ที่มาเป็นเสาให้ผมพิง ก่อนที่เสียงของทาร์ตจะดังขึ้นอีกครั้ง

   “พี่ฟร๊องก์ลุกไหวไหม” ทาร์ตว่าก่อนจะค่อยๆ ประคองตัวผมให้ลุกขึ้นยืน ผมได้แต่พยักหน้าตอบ “ทนหน่อยนะ เดี๋ยวผมไปส่ง”

   ไม่รู้ว่าใช้เวลาเท่าไรที่ทาร์ตพาตัวผมมายังห้อง แต่ผมรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน ตอนนี้สติผมแทบจะไม่รับรู้สิ่งรอบข้างแล้ว หัวผมปวดจนแทบระเบิด ตอนนี้อยากได้น้ำเย็น อยากอาบน้ำเย็นๆ ผมเป็นไรไม่รู้ นอกจากจะรู้สึกร้อนวูบๆ แล้ว ยังหายใจเร็วและแรงกว่าปกติด้วย แถมร่างกายที่สัมผัส เสียดสีกับทาร์ตไปมาระหว่างขึ้นมาบนห้อง มันยิ่งทำให้สติผมพุ่งพล่าน ผมรู้สึกว่าไอ้นั่นของผมมันเริ่มแข็งตัวขึ้นมา

   “พี่ฟร๊องก์...” เสียงทาร์ตดังใกล้หูผมขณะที่ผมนอนแผ่อยู่บนเตียง ด้านล่างของผมตอนนี้มันแข็งขืนจนคับกางเกงด้วยความอับอายจนผมต้องเอามือมาปิดเอาไว้

   “อื้อ... ร้อนอ่ะ เปิดแอร์ให้หน่อย” ผมพูดอู้อี้ไม่รู้ทาร์ตมันจะฟังรู้เรื่องไหม

   “พี่...” ทาร์ตพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เช่นเดียวกับฝ่ามือของมันเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของผมอย่างแผ่วเบาเช่นกัน ผมรู้ว่ามันจะทำอะไร แต่ผมห้ามความต้องการตัวเองไม่ได้ เพราะในตอนนี้ผมรู้สึกว่าผม ‘ต้องการ’ มันเหมือนกัน!

   “ทะ... ทาร์ต อื้อ... จะทำอะไร” ผมพูดอย่างหอบกระหาย ผมเริ่มรู้สึกว่าแก่นกลางลำตัวผมเริ่มปวดหนึบๆ มากขึ้นเพราะมันขยายตัวแน่นกางเกงเต็มที่ ก่อนที่ฝ่ามือของทาร์ตจะไปหยุดที่ตรงนั้น... แล้วกำไว้เต็มมือของมัน

   “ผมขอโทษนะที่ต้องทำกับพี่แบบนี้... แต่ผมทำไปเพราะผมรักพี่ ผมอยากให้พี่เป็นของผมจริงๆ ผมรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะผมรู้สึกว่ายิ่งรอพี่ยิ่งออกห่างจากผม ผมกลัวว่าพี่จะทิ้งผมไปผมถึงต้องทำแบบนี้ เราจะได้เป็นของกันและกันสักที” ทาร์ตกระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่าโดยที่สติผมไม่รับรู้หรือจับใจความอะไรได้ทั้งนั้น ตอนนี้ผมต้องการแค่ใครสักคนที่มาปลดปล่อยความทรมานจากความต้องการด้านมืดในตัวผมให้ที

   “ย่ะ... อย่า... อ๊าาา”

   ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มบรรเลงไปตามที่อีกฝ่าย รวมทั้งร่างกายของผมต้องการ...


à suivre...


อ้าววววววววววว!!! ทาร์ตที่น่ารักของเราจะทำอะไรฟร๊องก์!?
ทำไมฟร๊องก์ถึงมีอาการแปลกๆ แบบนั้น!

ไม่สปอยล์ตอนต่อๆ ไปล่ะกันเนอะ 555+ อยากให้ลองลุ้นไปเอง
แต่อย่างที่เคยบอกไว้ว่าตัวละครหลักที่ใส่มา มีความเป็นสีเทา ให้ลองเดาทางกันไป


ช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยว่างเท่าไร สัญญาว่าจะพยายามหาเวลามาลง ก็หายไปนานอีกเช่นเคย  :mew6:
เอาเป็นว่าไม่ขอสัญญาแล้วกัน 555+ ว่างแล้วจะพยายามมาลงให้เนอะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 39 P.6 [UP! 20/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-08-2017 14:50:37
วางยาเหรอทาร์ต ระวังฟร๊อก์งจะโกรธนะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 39 P.6 [UP! 20/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 20-08-2017 17:54:49
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 39 P.6 [UP! 20/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 20-08-2017 20:51:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 39 P.6 [UP! 20/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-08-2017 23:53:25
ยังไงก็ได้เราคนอ่านยอมหมด..แม้กระทั่งเรื่องวางยา
ขออย่างเดียว..ขอแค่ให้ฟร๊องก์เลิกบ้ากับไอ่ปาร์คได้ซะที

ทาร์ตอย่ารุนแรงกับฟรองก์นะ
เอาแค่พอดีๆ ไม่ต้องมากไม่ต้องน้อย
แค่ฟร๊องก์ไปกลับไปบ้ากับไอ่ตัวซวย
แค่นั้นล่ะ หึหึ

+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 39 P.6 [UP! 20/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 21-08-2017 12:58:24
น่าสงสรแต่ปาร์คก็ต้องมาเจอชัว
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 39 P.6 [UP! 20/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-08-2017 15:36:59
^
^
น่าจะเป็นเก็ทมากกว่าที่เป็นคนมาช่วยฟร๊องก์ได้ทัน
เพราะฮีคือวีรบุรุษของฟร๊องก์

ส่วนไอ่ปาร์คคงยากที่จะโผล่หัวออกมาจากซอกหลืบของหญิงเกล
หึหึ
 :z6:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 39 P.6 [UP! 20/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 23-08-2017 13:44:59
เก็ทคนเดียว จุดๆนี้
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 40 [24/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 24-08-2017 19:37:21
Chapitre 40

   “ผมขอโทษนะที่ต้องทำกับพี่แบบนี้... เราจะได้เป็นของกันและกันสักที”

   “ย่ะ... อย่า... อ่าาาห์”

   เสียงครางนั่น เสียงใคร อย่าบอกนะว่าเสียงของผมเอง ความรู้สึกเสียวซ่านยิ่งเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่มือของทาร์ตสัมผัสไปตามร่างกายของผม ในหัวผมเริ่มเบลอไปหมด สติผมแทบไม่รับรู้อะไรแล้ว ตอนนี้สนใจเพียงแค่ช่วยให้ผมหายทรมานที ช่วยผมให้เสร็จที ผมไม่ไหวแล้ว ผม... ต้องการมัน!

   ตอนนี้ในหัวผมขาวโพล่นไปหมด ดวงตาก็หนักอึ้งเกินกว่าจะลืมขึ้นมามองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ผมรู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดอยู่นี้มันผม และผมเองก็ไม่อยากให้มันเกิด แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ ห้ามความต้องการไม่ได้ ยิ่งคนตรงหน้าสัมผัสมากเท่าไร มันก็ยิ่งกระตุ้นความต้องการส่วนลึกของผมให้ออกมามากเท่าไรนั้น
   
   ความรู้สึกเสียวแผ่ซ่านไปทั้งตัวเมื่ออีกคนเริ่มซุกไซร้ที่ต้นคอของผม ขณะที่ฝ่ามือนั้นก็ยังบดขยี้ส่วนอ่อนไหวของผมที่แข็งสู้มือนั้นอยู่ ยิ่งแรงบดจากฝ่ามือนั้นกดเน้นลงไปมากแค่ไหน ผมยังอยากให้มันถึงจุดหมายเร็วมากขึ้นเท่านั้น

   “พะ... พอแล้ว ช่วยที อย่า... แกล้ง ไม่... ไม่ไหวแล้ว... อื้อออ... ช่วยที อ๊าาา...”

   “ใจเย็นสิครับพี่ อีกเดี๋ยวผมจะจัดให้พี่แบบ... ถึงใจเลย”

   ผมจวนจะไร้ซึ่งสติใดๆ แล้ว เสื้อผ้าที่ใส่ก็เริ่มถูกถอดออกจากร่างกายอย่างว่าง่าย พร้อมกับรสสัมผัสที่ยิ่งเพิ่มดีกรีความเร้าร้อนและความต้องการของผมให้พุ่งสูงขึ้น แก่นกายปวดหนึบจนอยากจะปลดปล่อยให้หายทรมาน ผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกเสียจากเสียงครางกระเส่าที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของตัวเองเมื่อถูกสัมผัสชื้นแฉะที่ตุ่มไตสีชมพูแข็งชันบนเนินอกของผมอย่างไม่ขาดสาย

   “อ๊ะ... อ๊าาา...... อื้มมม...” ผมครางไม่ได้ศัพท์เมื่อคนที่อยู่ด้านบนขมเม้มสลับกับเลียตุ่มไตบริเวณอกของผม

   “ชอบไหมครับ” เสียงของอีกคนดังขึ้น ขณะที่การกระทำดังกล่าวหยุดลงชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะบรรจงจูบอย่างเร้าร้อนกับริมฝีปากของผม เรียวลิ้นสอดเข้ามาในโพรงปากพร้อมกวาดต้อนลิ้นขึ้นผม ขณะที่ผมเองก็ไม่ยอมแพ้ กวาดลิ้นสู้สัมผัสนั้นด้วยเช่นกัน

   “ไม่ไหวแล้ว ช่วยที” ผมเอ่ยออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนนี้ผมไม่สามารถด้านทานความ ‘อยาก’ ของร่างกายได้ ส่วนนั้นของผมแข็งขืนจนปวดไปหมด ผมต้องการการปลดปล่อย

   “ผมก็อดใจไม่ไหวแล้วเหมือนกัน...” คนที่คร่อมผมอยู่ด้านบนถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแทรกตัวเข้ามากลางหว่างขาผมอย่างง่ายดาย โดยที่ผมไม่มีท่าทีขัดขืนแม้แต่น้อย ตอนนี้แค่สติผมยังแทบจะไม่เหลือ ผมรู้อย่างเดียวเพียงแค่ต้องการให้ใครสักคนมาช่วยปลดปล่อยให้ผมที

   ผมกระตุกวูบเมื่อนิ้วเรียวสอดแทรกเข้าไปยังจุดอ่อนไหว แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีจนหอบหายใจหนักและถี่หลายต่อหลายครั้ง ร่างกายรัดเกร็งแน่นรับสิ่งแปลกปลอมที่แทรกเข้ามา คนตัวใหญ่แช่นิ้วนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าและถอนออกมันเป็นจังหวะจนผมสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

   ขณะเดียวกันผมก็ใช้มือข้างที่ถนัดขึ้นมารูดส่วนกลางลำตัวของตัวเองเพื่อผ่อนคลายความปวดตึงของมัน แม้จะแทบไม่ได้สติ แต่ผมกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จนนิ้วที่ว่านั้นถูกถอนออกไปทำให้ผมรู้สึกโหว่งในท้อง

   แต่เพียงไม่นาน สัมผัสเปียกชื้นพร้อมกับสิ่งที่ใหญ่กว่าก็ถูกสอดเข้ามาแทนที่...

   “อา...” เสียงครางลึกในลำคอดังขึ้น เมื่อร่างนั้นฝังกายเข้ายังส่วนที่ลึกที่สุดของผมพร้อมแช่ค้างไว้ ผมรับรู้ได้ถึงความร้อนของส่วนนั้น แม้ว่าสติจะเลือนรางเพียงใด 

   ไม่นาน เสียงหอบหายใจหนักๆ ของผมกับอีกคนก็ดังสลับกับเสียงกระทบกันของผิวกายก้องไปทั้งห้อง ร่างที่ใหญ่กว่าผมขยับกายกระแทกเป็นจังหวะ สลับกับการปรนเปรอส่วนนั้นให้กับผม จนในที่สุดความต้องการที่อยากจะปลดปล่อยก็สำเร็จเมื่อของเหลวอุ่นไหลนองเต็มหน้าท้องแบนราบของผม พร้อมกับสติที่หลุดลอยไป...

   “ไอ้เหี้ย! มึงทำไร!” เมื่อกิจกรรมนั้นจบลงไม่นาน เสียงใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดประตูอย่างแรงจนไปกระแทกกับผนังห้องเสียงดังแทรกขึ้นมา ก่อนที่ริมฝีปากของคนที่ระดมจูบทั่วลำคอผมอย่างอ้อยอิ่งนั้นต้องหยุดลง พร้อมกับแรงกระชากจากด้านหลังจนน้ำหนักตัวที่กดทับลงมาที่ผมในตอนแรกหายไปด้วย

   ผลัวะ! พลั่ก! พลั่ก!

   ใคร!?

   ผมได้เพียงตั้งข้อสงสัยไว้ ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป...
   
**********____________***********

   ผมรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดจนแทบระเบิด ในหัวมันวิ้งๆ เบลอไปหมด ลำคอและริมฝีปากก็แห้งผากจากการขาดน้ำ ก่อนที่จะรู้สึกถึงความชื้นของผ้าชุบน้ำที่สัมผัสลงบนหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบากเพื่อจะดูว่าใครเป็นเจ้าของสัมผัสนั้น คนที่กำลังเช็ดตัวให้กับผม

   “ปะ... ปาร์ค...” ผมเปล่งเสียงอันแหบแห้งเรียกชื่อคนที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาที่ว่าลืมยากในตอนแรกกลับเบิกกว้างเมื่อได้เห็นเจ้าของร่างสูงโปร่งที่กำลังค่อยๆ เช็ดหน้าให้ผมอย่างตั้งใจ ปาร์คมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมถึงปวดหัว และเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมากขนาดนี้

   “...” ปาร์คไม่ได้พูดอะไร แต่มองหน้าผมนิ่ง ขณะที่มือที่กำลังจับผ้าขนหนูหมาดนั้นก็ยังไม่หยุดเช็ดให้ผมด้วยความตั้งอกตั้งใจ

   “หิว... น้ำ” ผมพูดเสียงเบาเพราะอาการคอแห้ง ปาร์คที่มองหน้าผมอยู่นั้นพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะวางผ้าขนหนูในกะละมังใบเล็กแล้วลุกไปเทน้ำให้แก้วมาให้ ก่อนจะกลับมาประคองผมให้ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งดื่มน้ำอย่างเบามือ

   “ดีขึ้นไหม เอาอีกไหม” เสียงนุ่มทุ้มที่คิดว่าจะไม่ได้ยินอีกแล้วดังขึ้นอย่างอบอุ่น ขณะที่วงแขนกำยำนั้นค่อยๆ วางศีรษะผมลงบนหมอนเหมือนเดิมหลังจากที่ผมดื่มน้ำเสร็จ

   “ปวดหัว... ว่า... ว่าแต่ปาร์คมาได้ไง” ผมที่ดื่มน้ำจนหมดแก้วอย่างรวดเร็วส่ายหน้าตอบ ก่อนเอ่ยถาม พร้อมหลบตาลงเล็กน้อย ยิ่งได้เห็นสายตาเป็นกระจายคู่นี้ มันยิ่งทำให้ผมคิดถึงอย่างปฏิเสธไม่ได้

   “มาได้ไงไม่สำคัญหรอก แต่ปาร์คอยู่ที่นี่แล้ว จะไม่มีใครทำอะไรฟร๊องก์ได้อีก” ปาร์คไม่ได้ตอบคำถามของผมในทันที แต่กลับเดินไปล้างแก้วคว่ำ แล้วจึงกลับมาประจำที่ตำแหน่งเดิมแล้วจึงตอบผมด้วยรอยยิ้มบาง พร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมาลูบเส้นผมของผมอย่างอ่อนโยน

   “แล้วใครจะทำอะไรฟร๊องก์ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น”

   “เมื่อคืน... ฟร๊องก์โดนวางยา... ยาปลุกเซ็กส์!” คำตอบของปาร์คเล่นเอาผมลืมอาการปวดหัวไปชั่วขณะ โดนวางยางั้นเหรอ เมื่อคืนผมจำได้ว่าผมดื่มอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดของทาร์ต แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มมึนหัวแล้วก็ร้อนในอกขึ้นมาแปลกๆ แล้วผมก็จะจำอะไรไม่ได้อีก ถึงว่าสิอาการแปลกๆ เหล่านั้น แล้วใครกันเป็นคนวางยาผม?!

   “คะ... ใคร”

   “ไอ้เด็กเลว! รุ่นน้องที่ชอบมายุ่งกับฟร๊องก์นั่นไง!” น้ำเสียงอันอบอุ่นที่ใช้พูดกับผมก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเกรี่ยวกราดทันทีที่พูดถึงคนที่ทำร้ายผม จนผมถึงกับสะดุ้งกับเสียงที่แทบจะเหมือนการตวาด แต่ที่ทำให้ผมตกใจมากกว่า ก็เมื่อได้รู้ว่าคนที่ใส่ยาให้นั้นผมคือใคร ก่อนที่ปาร์คจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเศร้าหมองผิดกับเมื่อกี้ลิบลับ “ปาร์คขอโทษนะที่ปาร์คมาช้าเกินไป ฟร๊องก์ถึงได้... แต่ตอนนี้ปาร์คอยู่นี่แล้ว จะไม่มีใครทำอะไรฟร๊องก์ได้อีก”

   ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า... เมื่อคืน... ผมกับทาร์ต...

   ‘ทาร์ต’ คนที่ผมอยากเปิดใจ อยากลองเริ่มต้นศึกษาดู อีกหนึ่งคนที่ผมไว้ใจ เชื่อใจ แล้วเอ็นดูในความน่ารักสดใสของเขาในเวลาอันสั้นที่เราได้รู้จักกัน แต่กลับเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายกับผมอย่างคาดไม่ถึง ทำลายความหวังดี ความเชื่อใจ ทำลายทุกความรู้สึกดีๆ ทุกๆ อย่างที่ผมมีให้ มันทำได้ยังไง! ทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง!

   “ทะ... ทาร์ต เป็นคนทำเหรอ...” ผมเอ่ยถามเสียงสั่นและแผ่วเบา ขอร้องแหละ ขอให้อย่าเป็นจริงเลย ผมไม่อยากเสียคนดีๆ ในชีวิตอีก ขอให้มันเป็นแค่ความฝันก็ได้ บอกผมทีเถอะว่ามันไม่จริง

   “ไอ้เวรนั่นแหละที่มันวางยาปลุกเซ็กส์ ล่ะ.. แล้วก็... ข่มขืนฟร๊องก์!” ผมมองสายตาที่โกรธแค้นของปาร์คขณะที่ตัวเองก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แววตาที่เปี่ยมไปด้วยเพลิงแค้นนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ผมยอมรับว่ามันยากที่จะทำใจรู้รับและยอมรับเรื่องบ้าๆ นี้ได้ ไหนล่ะคนที่บอกว่าจะอยู่เคียงข้างผมเสมอ จะเป็นกำลังใจให้ผมเสมอ อีกหนึ่งคนที่จะไม่ทิ้งผม แล้วทำไม... ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ได้ ทำไมกัน!

   เหตุการณ์เมื่อคืนมันเริ่มย้อนกลับเข้าในหัวผมเรื่อยๆ แม้จะคิดภาพเหตุการณ์ไม่ออก แต่เสียงรอบข้าง คำพูดต่างๆ ที่ผมยังพอรับรู้ได้มาเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวมากขึ้นๆ อาการร้อนเร้าที่เกิดกับร่างกายตั้งแต่อยู่ที่ร้านเหล้า อาการเบลอ มึนหัวจนแทบไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง ความต้องการส่วนลึกที่แค่เพียงถูกสัมผัสก็กระตุ้นให้ผมถึงความใคร่มากขึ้น อาการเหล่านี้เพราะยาปลุกเซ็กส์สินะ
    
   เมื่อคืนทุกอย่างดูเรียบเฉยเป็นปกติตลอด แล้วทาร์ตใส่ให้ผมตอนไหนกัน แล้วทำเพื่ออะไรกัน ต้องการร่างกายผมจนถึงกับยอมแลกความเชื่อใจ ต้องการเสพสมโดยแลกความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันเลยงั้นเหรอ ช่วงเวลาหลายเดือนที่ได้รู้จักกันทาร์ตต้องการจากผมแค่นี้เองอย่างนั้นเหรอ
   
   ผมคิดไม่ตก แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาตอบข้อสงสัยของตัวเองได้ เพราะคนเดียวที่รู้คำตอบมากที่สุดก็คือเจ้าตัวเอง น้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อล้นและทะลักออกมาอย่างกลั่นไม่อยู่ ผมหยุดถามตัวเองไม่ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร จนอาการปวดหัวที่ผมลืมไปแล้วย้อนกลับมาแล้วปวดหนักขึ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งผมคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่ผมไม่รู้สึกตัวเมื่อคืนนี้ ผมยิ่งปวดหัวหนักขึ้นๆ ทุกที จนผมต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาบีบหัวตัวเองอย่างแรงเพื่อให้หยุดคิด

   “ฟร๊องก์! ฟร๊องก์หยุด! มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ปาร์คอยู่นี่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรฟร๊องก์ได้แล้ว” ปาร์ครวมแขนทั้งสองข้างไว้ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด

   “ฮึก... ฮื้อ...” น้ำตาผมไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เกลียดอะไรผมเหรอถึงต้องทำกับผมแบบนี้ ทาร์ตเกลียดอะไร ไม่พอใจอะไรผมงั้นเหรอ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ผมได้แต่ปล่อยเสียงสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของปาร์ค

   “อย่าคิดมาก เดี๋ยวจะยิ่งปวดหัวนะ เดี๋ยวกินยาแล้วนอนพักก่อนเถอะ  เรื่องอื่นค่อยว่ากัน เดี๋ยวปาร์คอยู่เป็นเพื่อนเอง ไม่ร้องนะครับคนดี” ตอนนี้ผมรู้สึกอุ่นใจเหลือเกินในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ แม้ว่าก่อนหน้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ปาร์คกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นก่อนจะค่อยๆ โน้มคอลงมาจูบประทับที่หน้าผากของผม

   ไม่ว่าตื่นมาแล้วผมจะต้องเจอเรื่องอะไร ต้องทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดนี้อย่างยากเย็นแค่ไหน จะต้องทนกลั่นน้ำตาไว้มากเพียงใด แต่ตอนนี้ขอผมได้ซึมซับอ้อมกอดอันอบอุ่นจากคนที่ผมคิดถึงนี้ก่อนเถอะ คิดถึงมากแม้จะเคยถูกทำร้ายจากคนที่โอบกอดนี้ก็ตาม

**********___________**********

   ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมกินยาแล้วหลับไปในอ้อมกอดของปาร์ค ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตั้งแต่นอนหนุนแขนของปาร์คอยู่ ในขณะที่เจ้าตัวก็กำลังนอนมองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะใช้มืออีกข้างเกลี่ยผมด้านหน้าที่ปรกหน้าผากอย่างแผ่วเบา

   ปาร์คคนที่อ่อนโยนอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ ช่างต่างกับปาร์คที่ทำร้ายผมในวันนั้นเหลือเกิน ต่างมากจนบางทีผมก็ไม่รู้ว่าแบบไหนคือตัวปาร์คที่แท้จริงกันแน่ ปาร์คที่กำลังดูแลผมในตอนนี้ หรือปาร์คคนที่เลือกจะปกป้องผู้หญิงคนนั้น...

   “เอ่อ... ฟร๊องก์... ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมรีบลุกออกจากเตียงไปยังห้องน้ำทันที ก่อนจะมายืนเป่าปาก พร้อมเอามืออังแก้มที่ร้อนผ่าวทั้งสองข้าง ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ใกล้กันมากขนาดนี้ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกประหม่าและใจเต้นแรงขนาดนี้ก็ไม่รู้ ต้องแอบหลบมาสงบสติในห้องน้ำก่อน ถ้าขืนยังอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นต่อประกอบกับดูจากสายตาคู่นั้นที่มองมาแล้ว ผมกลัวว่ามันจะไม่จบที่แค่มองหน้ากัน

   ผมจัดการล้างหน้าแปรงฟัน และใช้เวลาในห้องน้ำอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มสำรวจร่างกายตัวเอง เงาของผมที่สะท้อนในกระจกนั้นแดงเป็นจ้ำไปทั่วทั้งตัว นี่คงเป็นฝีมือของทาร์ตด้วยสินะ

   น้ำตาที่เหือดแห้งไป กลับไหลลงมาอีกครั้งเมื่อรับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นแค่ความฝัน มันคือความจริงอันโหดร้าย ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรด้วยซ้ำ

   ก๊อก! ก๊อก!

   “ฟร๊องก์ เป็นอะไรหรือเปล่า เข้าไปนานแล้วนะ” เสียงเคาะประตูพร้อมคำถามของปาร์คดังขึ้น ขณะที่ผมทำได้เพียงนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่เช่นเดิม ทำไมถึงเกิดเรื่องร้ายๆ กับผมแบบนี้ด้วย แค่ปัญหาที่ผมมี ผมก็ไม่สามารถแก้ไขมันได้แล้ว จะต้องมาซ้ำเติมผมอีกทำไมกัน

   ผมทำใจอยู่ครู่ใหญ่หลังจากที่ปาร์คร้องเรียกจากอีกด้านของประตู ก่อนจะตัดสินใจออกมาจากห้องน้ำ อย่างไรซะเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรมันได้แล้ว ต่อจากนี้คงทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน

   “ฟร๊องก์...”

   “อึก... ฮือ...”

   “ปาร์คขอโทษนะ... ขอโทษที่มาช่วยฟร๊องก์ไม่ทัน ขอโทษ...” เสียงของปาร์คเศร้าลงไปถนัดตา พร้อมกับดึงตัวผมเข้าไปโอบกอดอย่างปลอบโยน “ขอโทษที่เคยทำร้ายฟร๊องก์เช่นกัน ปาร์คไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

   “ยะ... อย่าพูดถึงมันอีกเลย” ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึก แต่ยิ่งย้ำ ผมยิ่งเจ็บปวด เจ็บปวดจากการถูกหักหลัง

   “หิวไหม” ปาร์คจำต้องเปลี่ยนเรื่อง แต่น้ำเสียงนั้นก็ยังคงดูเหงาหงอยต่างจากไม่กี่นาทีก่อนหน้าอย่างลิบลับ ผมจึงพยักหน้าแทนคำตอบ

   ปาร์คพูดถึงเรื่องนี้เพราะรู้สึกผิดอย่างนั้นเหรอ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ แบบนี้กับผม แล้วปาร์คบังเอิญมาช่วยไว้ ปาร์คจะรู้สึกหรือเปล่า คิดจะขอโทษผมไหม ผมรู้ว่ามันผิดที่จะเรียกร้องสิ่งเหล่านี้อีก รู้ดีว่าคนตรงหน้าผมนี้มีเจ้าของแล้ว แม้เจ้าของหัวใจนั้นจะหลอกลวงปาร์คยังไง แต่การกระทำของปาร์คในวันนั้นก็บอกได้ว่าปาร์คแคร์เขามากขนาดไหน แต่ตัวผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมยังไม่สามารถตัดใจได้ ไม่สามารถหยุดความคิดถึงที่มีต่อคนๆ นี้ได้เลย เพียงแต่ความคิดของผมมันไม่สามารถส่งความรู้สึกไปถึงปาร์คได้

   “งั้นออกไปกินข้าวกัน” ปาร์คว่าด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะยกมือมายีหัวผมเบาๆ

   หลังจากผมรอปาร์คอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ออกมาหาอะไรกินไม่ไกลจากหอเท่าไร ด้วยความที่ผมเองก็ยังเพลียๆ และยังมีอาการปวดหัวอยู่เล็กน้อย เลยเลือกที่จะไม่ไปไหนไกลมากนัก มื้อแรกของวันนี้ก็ปาเข้าไปตอนทุ่มหนึ่งแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงกินเหมือนเขมือบขนาดนี้ ปาร์คเองก็เช่นกัน ที่สั่งผัดกระเพรามากินถึงสองจาน

   ผมถามข้อสงสัยที่ยังติดใจอยู่ว่าเมื่อคืนปาร์คมาช่วยผมได้ยังไง ปาร์คไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่บอกว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าปาร์คมาได้อย่างไร แต่สุดท้ายปาร์คก็มาไม่ทันช่วยผมอยู่ดี ผมก็ไม่ถามอะไรต่อ และก็ไม่ได้ปลอบใจปาร์คที่เอาแต่โทษตัวเองด้วย ต่างคนก็ต่างนั่งกินเงียบๆ ผมเองก็ได้แต่ย้อนคิดหาเหตุผลของการกระทำของทาร์ต คิดแล้วน้ำตามันก็พาลจะเอ่ยล้นขอบตาขึ้นมา อย่างที่บอกแม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ทาร์ตก็ดีกับผมมาก ดีจนผมตายใจ ก่อนจะใช้ความดีนั้นมาแทงผมได้อย่างเลือดเย็น

   ทาร์ตใช้เวลาไหนใส่ยาในแก้วผมโดยที่คนอื่นรวมทั้งผมไม่เห็น ทั้งที่ก็นั่งอยู่ด้วยกันตลอด แล้วตอนไหนล่ะ ตอนที่ทุกคนไม่อยู่ที่โต๊ะ ตอนที่ทุกคนไปเข้าห้องน้ำ! ตอนนั้น! เหลือแค่ทาร์ตกับโดนัทที่โต๊ะ ใช่แน่ๆ ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ เพราะหลังจากนั้นไม่นานผมก็มีอาการผิดปกติขึ้นมา
   
   งั้น... ก็แสดงว่าโดนัทมีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ สองคนนี้ร่วมมือกันมอมยาผมงั้นเหรอ มือของผมถึงกับสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ น้ำตาที่เอ่ยอยู่ตอนแรกเริ่มไหลลงมาเรื่อยๆ ในท้องผมเริ่มมวน รู้สึกโหว่งๆ จนอยากจะอาเจียนเอาสิ่งที่กินเมื่อกี้ออกมา พอปาร์คเห็นท่าไม่ดีจึงรีบจ่ายเงินแล้วพาผมขึ้นห้องทันที

   หลังจากอาการของผมเริ่มแย่ลงจนปาร์คต้องรีบพาขึ้นมาปลอบบนห้องจนผมดีขึ้น ผมก็บอกให้ปาร์คกลับไปได้เลย ถือเป็นการเอ่ยปากไล่ก็ได้ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะสานเรื่องของผมกับเขาต่อ อย่าให้มันผิดมากไปกว่านี้เลย ส่วนเรื่องของทาร์ตผมจะถือว่าเป็นคราวซวย เป็นเคราะห์กรรมของผมไปแล้วกัน เหตุการณ์เดียวกลับทำให้ผมสูญเสียคนใกล้ตัวไปถึงสองคน สองคนที่คิดเชื่อใจ สองคนที่ให้ใจเป็นทั้งเพื่อนและน้อง แต่ก็ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยกับผม

   “ปาร์คกลับไปเถอะ ขอบคุณมากนะที่มาช่วยฟร๊องก์ แต่ฟร๊องก์ยังยืนยันคำเดิม หลังจากนี้อย่ามาเจอกันอีกเลยนะ อย่าทำให้ฟร๊องก์สับสน อย่าทำร้ายความรู้สึกฟร๊องก์ต่อไปอีกเลย” ผมพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ปาร์คจะออกจากห้องไป
 
   ปาร์คกลับไปแล้ว และก็ไม่ลืมเอ่ยขอโทษอีกครั้งก่อนจะจากไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมยังคงมีความรู้สึกดีๆ ให้คนๆ นี้เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ไม่ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายสักแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่สามารถตัดใจได้สักที ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ปาร์คยังไม่ทิ้งผมเลย แล้วผมจะทิ้งให้ปาร์คเผชิญกับคนเลวๆ อย่างเกลต่องั้นเหรอ เห็นทีผมอาจจะต้องจัดการเรื่องนี้อีกครั้งซะแล้ว อย่างน้อยก็จะได้ทำให้ผมไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

   ผมหยุดความคิดฟุ้งซ้านของตัวเองด้วยการโทรหาใครสักคน เพื่อนที่ผมไว้ใจมากที่สุด ‘เก็ท’ นั่นเอง ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นคนเดียวที่ผมจะเชื่อใจได้ เป็นคนเดียวที่จะคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอไม่ว่าจะในเวลาที่ทุกข์หรือสุข เก็ทไม่เคยทิ้งผมไปไหนเลย
   
   ผมไม่อายที่จะเล่าทุกอย่างให้เก็ทฟังทั้งน้ำตา น้ำตาแห่งความเจ็บปวด ผิดหวัง เก็ทได้แต่ปลอมประโลมผมอย่างอบอุ่น ก่อนจะกล่าวโทษตัวเองที่ไม่ไปที่นั่นกับผม ถึงทำให้ผมต้องเจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้ โทษที่ตัวเขาไว้ใจทาร์ต เพราะคิดว่าทาร์ตจะดูแลผมได้ จนกลายเป็นว่าผมต้องเป็นฝ่ายปลอบใจเก็ทซะเองเพื่อไม่ให้เขาโทษตัวเอง เพราะเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเก็ทเลย
   
   มันเป็นความผิดของอีกคนที่ผมเคยเชื่อใจและเปิดใจให้ต่างหาก!


à suivre...


กลับมาแย้ววววว

ฟร๊องก์ถูกวางยาจริงๆ ฮะ และก็มีคนเดาถูกว่าจะมีคนมาช่วยจริงๆ
แต่... ถึงจะมาช่วย ก็ไม่ทันซะแล้ว เพราะฟร๊องก์ก็ตกเป็นของทาร์ตอีกคนแล้ว 555+

ส่วนคนที่หวังว่าจะเป็นเก็ท คงผิดหวังไม่น้อย แต่อย่างที่เก็ทบอก คือเก็ทไม่ว่างจริงๆ
บทตำรวจที่มาตอนเรื่องมันจบแบบในละคร ก็เลยตกเป็นของปาร์คแทน มาไม่ทันการณ์ 555+

แต่จะว่าไปทาร์ตก็ไม่ได้รุนแรงอะไรกับฟร๊องก์นะ แค่ฟร๊องก์ไม่รู้สึกตัวและควบคุมตัวเองไม่ได้แค่นั้นเอง

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะฮะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 40 P.6 [UP! 24/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 24-08-2017 21:41:03
 :pig4: :pig4: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 40 P.6 [UP! 24/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-08-2017 22:24:57
เกลียดปาร์คอ่ะ เอามันมาทำไมว่ะ เราปลดออกจากการเป็นพระเอกแล้วไม่เชียร์แล้ว พูดจริงๆ เราว่าเราเกลียดคนแบบปาร์คอ่ะ พวกจับปลาสองมือ อยากให้ปาร์คเจ็บมากๆ  ซะจริง ฟร็องก์ขอร้องเถอะเข้มแข็งให้มากๆ อย่าใจอ่อนกับปาร์คให้มากนะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 40 P.6 [UP! 24/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-08-2017 23:49:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 40 P.6 [UP! 24/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 25-08-2017 00:38:32
อย่าตบหัว แล้วลูบหลัง ให้ฟังกล่อม
หยุดใช้คำ จอมปลอม ย้อมสวยหรู
อย่าทำหน้า เห็นใจ ให้มองดู
หยุดทำเป็น เหมือนรู้ ว่ารักกัน

เธอรู้ไหม กายเจ็บ แค่เจ็บเนื้อ
ไม่เท่าทน ทานเหลือ เนื้อใจฉัน
ถ้าเจ็บกาย ก็หายได้ ไม่กี่วัน
แต่กระทืบ หัวใจกัน มันยาวนาน

ผลุบๆโผล่ๆ ไอ่หน้าโง่ดักดาน
ยังไงก็ไม่ยอมรับให้เป็นพระเอกเรื่องหรอกโว้ยยยยยยยย
กลับไปเอาหน้าซุกหีบหญิงเกลของเมิงต่อไปเหอะ ไอ่ปาร์ค

แม่งงงงงงง กูเกลียด
หุหุ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 40 P.6 [UP! 24/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 25-08-2017 09:51:50
ยังไงดีๆ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 41 [31/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 31-08-2017 19:42:48
Chapitre 41

   เช้าวันจันทร์ของอาทิตย์ต่อมา เนื่องจากวันที่ผมฟื้นขึ้นมาจากฤทธิ์ยาเป็นวันพฤหัสบดี แล้วผมเล่นออกจากห้องครั้งแรกก็ทุ่มหนึ่งแล้ว เลยทำให้ขาดเรียนไปโดยปริยาย เช้าวันศุกร์ผมจึงรีบกลับบ้านทันที พักผ่อนสมองเพื่อให้ลืมเรื่องราวเลวร้ายสามวัน ผมไม่ได้ปิดการสื่อสารใดๆ แต่เลือกที่จะไม่รับการติดต่อจากคนที่ทำเรื่องเลวๆ กับผมเลย

   ทาร์ตโทรหาผมหลายต่อหลายครั้งมากตลอดช่วงเวลาสุดสัปดาห์ แต่ผมไม่เคยรับสายเลยสักครั้ง ไม่กดตัดสาย แต่กดปิดเสียงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนไลน์กับเฟซบุ๊กผมลบและบล็อคเรียบร้อยแล้วจึงไม่สามารถติดต่อผ่านช่องทางเหล่านั้นได้

   ผมตั้งใจจะให้มันจบแบบนี้แหละ ต่างคนต่างอยู่ กับทาร์ตอาจจะง่ายหน่อยเพราะหลบหน้าได้ ไม่ต้องเจอกันได้ แต่กับโดนัทเนี่ยสิ ผมจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเจอกัน ผมจะทำใจอยู่ร่วมกับเพื่อนที่หักหลังเพื่อนแบบนี้ได้ไหม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันจะพิสูจน์ได้ในวันนี้แหละ ยังไงผมก็หลบหน้าไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับความจริงไปเลยแล้วกัน คนที่กลัวไม่ควรจะเป็นผม แต่น่าจะเป็นคนที่ทำเรื่องชั่วๆ แบบนั้นได้ลงคอต่างหาก

   เก็ทยังคงมารับผมเหมือนปกติ พร้อมกับได้รู้ว่าเก็ทไม่ต้องไปรับโดนัท เพราะโดนัทจะไม่มาเรียนพร้อมกับพวกผมอีกแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละ คนมีชนักติดหลัง มีความผิดติดตัวจะกล้าสู้หน้าได้ยังไง

   “พี่ฟร๊องก์! พี่... ผมขอโทษ พี่อย่าโกรธผมนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมอธิบายได้” ทันทีที่ผมลงมาจากรถเพื่อขึ้นเรียน ทาร์ตที่เหมือนจะมาดักรอผมก่อนหน้าอยู่แล้วก็รีบเข้ามาหาผมทันที

   “...” ผมเดินผ่านไปไม่ได้ตอบอะไร ไม่แม้แต่จะมองหน้า แล้วทำเหมือนว่าทาร์ตไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

   “พี่ฟร๊องก์ ฟังผมอธิบายก่อนนะ อย่าเย็นชากับผมแบบนี้สิพี่ นะครับ ผมขอร้อง” เมื่อเห็นว่าผมเมินเฉย ทาร์ตจึงรีบรั้งมือผมไว้ไม่ให้ผมเดินหนีไปได้

   “...” ผมยังคงนิ่งงันอยู่แบบนั้น ก่อนจะเหลือบหางตามองทาร์ตที่ใช้ทั้งสองมือรั้งมือด้านซ้ายของผมเอาไว้ ผมแอบรู้สึกหวิวในใจเมื่อได้เห็นสภาพใบหน้าที่ยับเยินไปด้วยบาดแผลเขียวช้ำ ซึ่งน่าจะเกิดจากฝีมือของปาร์ค ซึ่งในวันนั้นที่หน้าปาร์คก็มีรอยฟกช้ำอยู่เหมือนกันแต่น้อยกว่าของทาร์ตที่ผมเห็นนี่หลายเท่าเลย

   “รีบขึ้นเรียนเถอะ” เก็ทที่ลงจากรถทีหลังเดินเข้ามาสมทบ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนน่าขนลุก

   “พี่ฟร๊องก์ ผมไม่ได้ตั้งใจนะ แต่เพราะ...”

   “พอสักทีเถอะทาร์ต! ต่อให้ทาร์ตจะก้มลงกราบ ขอโทษพี่อีกร้อยกี่พันครั้ง มันก็ดึงเอาความรู้สึกดีๆ ความไว้ใจเชื่อใจที่เคยมีให้กลับมาไม่ได้หรอก!” ผมสะบัดมือที่ทาร์ตจับกุมเอาไว้ออกก่อนจะหันไปเผชิญหน้าตรงๆ เพื่อจะจบปัญหา “พี่ถามจริงๆ นะ ทาร์ตไม่ละลายใจบ้างเหรอที่มาเจอพี่อีกแบบนี้ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่ทำกับพี่ขนาดนี้ ใจจริงพี่ก็อยากรู้เหตุผลนะว่าทำไมถึงได้ใจร้ายกับพี่ได้ถึงขนาดนี้ แต่บางทีเหตุผลมันก็ไม่สำคัญหรอก สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่ข้ออ้างที่ยกขึ้นมาใช้ลบล้างความผิดตัวเองอยู่ดี เพราะการกระทำของทาร์ตมันแสดงออกมาให้พี่รู้หมดแล้ว”

   “พ่ะ... พี่ฟร๊องก์ ผมไม่ได้ตั้งใจนะพี่ ผม...”

   “อยากได้พี่นักไม่ใช่เหรอ ก็ได้ไปแล้วไง พอใจไหมล่ะ! มีความสุขไหม!! พี่ไม่เหลืออะไรให้ทาร์ตอีกแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของความรู้สึกดีๆ ด้วยซ้ำ!!!” ผมตวาดด้วยน้ำตานองเต็มใบหน้า ไม่มีอะไรต้องอายอีกแล้วแม้ใครจะมาได้ยินก็ตาม

   “พี่ฟร๊องก์ ผมขอโทษ แต่ผมรักพี่นะ ผมถึงได้ทำแบบนั้น”

   “รักเหรอ! คนที่ทำกันแบบนี้ได้ เขาไม่ได้เรียกว่ารักหรอกเว้ย!! มึงทำกับคนที่รักกันแบบนี้น่ะเหรอวะ!!”

   “ผม... ขอโทษ...”

   “มันจบแล้วล่ะทาร์ต มันไม่เหลืออะไรระหว่างเราที่มันจะต่อกันติดได้อีกแล้ว”

   “ผมทำไปเพราะรักพี่จริงๆ นะ ผมแค่คิดว่าถ้าเรา... มีอะไรกัน พี่อาจจะรู้สึกกับผมมากขึ้น เปิดใจให้ผมมากขึ้น เหมือนที่พี่รู้สึกกับคนๆ นั้น แต่ผม... ผมมันโง่พี่! พี่จะต่อย จะตีผมยังไงก็ได้นะ ทำผมได้เลยจนกว่าพี่พอใจ แต่ผมขอนะ อย่าไปจากผมเลย อย่าเย็นชากับผมเลยนะพี่”

   “ถ้าคิดว่าการมีอะไรกันของเรามันทำให้พี่เปิดใจรับทาร์ตมากขึ้น ถ้าอย่างนั้นสำหรับทาร์ต พี่คงง่ายมากเลยสินะ พี่คงไม่มีค่าอะไรมากพอเลยสินะ อย่าพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยทาร์ต มันยิ่งทำให้พี่สมเพชว่ะ และพี่ยิ่งสมเพชตัวเองเข้าไปใหญ่ที่ยิ่งได้รู้ว่าสำหรับทาร์ตที่เคยเป็นคนที่ทำให้โลกรอบข้างพี่สดใสแล้ว ในสายตาทาร์ตกลับมองพี่มีค่าเพียงเรื่องเซ็กส์!”

   “ไม่ใช่นะพี่ฟร๊องก์ พี่มีค่ากว่านั้น พี่มีค่ามากสำหรับผมนะ...”

   “งั้นเหรอ... ถ้างั้นทาร์ตก็คงเสียของที่มีค่าชิ้นนี้ไปอย่างไม่มีวันได้คืนแล้วล่ะ” 

   “รีบไปเถอะฟร๊องก์ สายแล้ว” เก็ทพูดนิ่งๆ ก่อนจะคว้าตัวผมออกจากสถานการณ์ตรงนั้นทันที ก่อนที่อะไรมันจะบานปลายมากไปกว่านี้ ดีแล้วแหละ อย่าให้ผมต้องอยู่ต่อหน้าคนใจร้ายนานกว่านี้เลย แค่นี้ก็ขยะแขยงเต็มที่แล้ว

   พอขึ้นไปถึงห้องอีกหนึ่งคนที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอก็คือโดนัท ซึ่งเมื่อพอเห็นผมเดินเข้ามาในห้องเธอก็หน้าถอดสีแล้วก้มลงกับโต๊ะทันที สำนึกผิดงั้นเหรอ หรือคิดแผนจะหักหลังอะไรผมอีก เพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องก็ต่างยกมือทักทายแล้วกวักมือเรียกให้ไปนั่งตรงที่สองที่ที่เว้นว่างไว้ให้

   แม้จะดูมึนงงเล็กน้อยที่สีหน้าผมดูไม่ค่อยดีนัก แต่ผมก็พยายามไม่แสดงออกมาก ไม่อยากให้เพื่อนคนอื่นต้องคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น อีกนัยก็คือผมไม่อยากให้ใครมารับรู้เรื่องอุบาทว์ๆ ที่เกิดขึ้นนี้เลยต่างหาก ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปนั่งตรงที่ว่างดังกล่าว แต่ก็ให้เก็ทนั่งติดกับไวน์แทน อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องเข้าใกล้คนที่ทำร้ายผมได้โดยไม่นึกถึงความเป็นเพื่อน

   “วันนั้นเป็นไงบ้าง แฮงค์มากเหรออีกวันมาเรียนไม่ไหวเลย” ดิวที่นั่งอยู่ด้านหลังสะกิดถาม

   “อืม มันนอนไม่พอด้วยแหละมั้ง เลยเมาหนักเลย” ผมตอบยิ้มๆ ซึ่งแน่นอนว่าที่ผมพูดคือเรื่องโกหก ดิวพยักหน้ารับแต่ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าแววตาที่รอคำตอบนั้นกำลังไม่เชื่อในคำตอบของผม แต่ผมก็เลือกจะไม่พูดอะไรต่อแล้วหันกลับมาทันที

   ตลอดช่วงเช้าไม่มีเสียงพูดคุยของโดนัทเข้ามาในหูผมเลยสักคำ ไม่แม้แต่จะเอ่ยขอโทษหรืออธิบายกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ หึ! แต่ผมจะเอาอะไรกับคนที่ตั้งใจจะทำมันตั้งแต่แรกล่ะ ผมยังพูดคุยกับคนอื่นๆ ตามปกติ และทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นุ่นยังคงปากหมาเหมือนเดิมในเวลาที่อยู่กับเพื่อน ซึ่งต่างจากคืนนั้นลิบลับ คืนนั้นนุ่นในชุดเดรสสีหวานดูท่าทางเรียบร้อยกว่าที่เป็น นึกแล้วยังขำไม่หาย แต่วันนี้อาจจะดูเงียบเหงากว่าปกติตรงที่ปากของไวน์ไม่ค่อยทำงานเป็นคู่ขามากเท่าไรนั้น ส่วนคนข้างๆ ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมยังไม่ได้ยินเสียงพูดเลย

   “ฟร๊องก์ กูขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ขณะที่ผมกำลังเก็บของลงกระเป๋าหลังเลิกเรียน โดนัทก็พูดขึ้นเสียงเรียบเฉยแต่แฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อยในน้ำเสียง จนทำให้ทุกคนในกลุ่มหันมามองที่เธอสลับกับผม

   “...” ผมยืนนิ่งอยู่สักพักก็พยักหน้าตอบ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าโดนัทจะเอาอะไรมาอ้างกับผม ข้ออ้างที่จะใช้ลบล้างความผิดของสองพี่น้องนั้นจะเป็นอะไร

   “มึงสองคนมีอะไรกันเปล่าวะ เห็นเงียบๆ กันมาตั้งแต่เช้าแล้ว ปกติมึงสามตัวต้องเข้าขากันได้ดีไม่ใช่เหรอวะ” นุ่นเปิดประเด็นขึ้นมา ใช่ครับถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ปฏิเสธ เวลารับส่งมุกตลกกับไวน์และโดนัท แต่ตอนนี้และต่อจากนี้คงไม่ใช่และไม่มีอีกแล้ว

   แต่คำถามของนุ่นกลับไม่ได้คำตอบ ก่อนที่พวกนั้นจะตัดสินใจเดินออกจากห้องไปก่อนที่นุ่นจะทิ้งท้ายไว้อีกครั้ง “มีอะไรก็เคลียร์กันให้เข้าใจนะมึง ยังไงก็เพื่อนกัน”

   ตอนนี้ก็เหลือแค่ผม เก็ท ไวน์แล้วก็โดนัทแล้วครับ แต่ทุกคนก็ยังคงนิ่งไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็ไม่ได้มองหน้าโดนัทเหมือนกันว่าจะทำหน้าอย่างไร แต่ก็ก้มเก็บของต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ ส่วนเก็ทคงจะรอเป็นเพื่อนผมล่ะครับ แต่ก็ดีที่ยังมีเก็ทอยู่ ไม่งั้นผมคงรู้สึกกดดันกว่านี้

   “กูไปรอที่บันไดหนีไฟนะ” โดนัทเอ่ยก็จะเดินออกจากห้องไป

   “เดี๋ยวมึงไปกับกูก่อนแล้วกัน จะได้ปล่อยให้มันสองคนคุยกัน” ตามด้วยไวน์ที่หันมาบอกเก็ทแล้วเดินแยกออกไป

   “ไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวไม่ต้องไปก็ได้นะ” เก็ทพูดขึ้นเสียงเรียบตามสไตล์ของเขาขณะที่ผมหยิบกระเป๋าสะพายข้างขึ้นมาสะพาย “คนที่ทำผิดไปแล้ว ถึงตอนสุดท้ายก็ต้องมาพูดให้ตัวเองดูดีขึ้นทั้งนั้น”

   “ฟร๊องก์รู้ แต่ฟร๊องก์เองก็อยากรู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าทำแบบนี้กับฟร๊องก์”

   “อืม ฟังอย่างมีสติแล้วกัน เพราะอย่างไรซะ เขาก็ลงมือกับเราไปแล้ว” เก็ทพูดหน้านิ่งก่อนจะยกมือขึ้นมายีผมเบาๆ แล้วเดินจากไป ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด เอาเถอะ เรื่องมันเกิดแล้ว ผมแค่อยากรู้เหตุผลเท่านั้นแหละ แต่จะเชื่อหรือไม่ผมเองก็บอกไม่ได้ แล้วถ้าจะให้ผมให้อภัย ผมก็บอกได้อีกนั่นแหละว่ามันคงไม่ง่ายเหมือนกัน
 
   “กูไม่รู้นะว่ากูจะบอกขอโทษมึงยังไงมึงถึงจะพอใจแล้วหายโกรธ แต่เรื่องที่เกิดขึ้น กูกับทาร์ตยืนยันได้ว่าไม่ได้ตั้งใจ กู... แค่อยากช่วยน้องให้สมหวัง” โดนัทพูดขึ้นทันทีที่ผมเดินไปถึง เราเข้าไปคุยกับในบันไดหนีไฟ อย่างน้อยก็ไม่น่าจะมีใครเข้ามาได้ยิน

   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไร อธิบายมาสิ อยากพูดกับผมนักไม่ใช่เหรอ ผมเองก็จะฟัง อยากจะฟังเหมือนกันว่าจะหาอะไรมาอ้างกับผม

   “ทาร์ตมันชอบมึงมากนะ ชอบมึงมากจริงๆ จนบางทีกูเองก็ยังสงสารเวลามันมาปรึกษากู เวลามันมาบอกกูว่ามึงไม่ยอมเปิดใจให้มันสักที มันไม่รู้ว่ามันจะต้องรอถึงเมื่อไร และมันก็ไม่มั่นใจว่ามึงจะรู้สึกดีกับมันจริงหรือเปล่า เพราะมึงยังติดอยู่กับคนเก่าของมึง คนที่ยังอยู่ในใจของมึงเสมอ ที่มันทำไปเพราะมันรักมึงนะฟร๊องก์ มันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายมึงจริงๆ ส่วนตัวกูก็ขอโทษ แต่นั่นน้องกู ยังไงกูก็ต้องช่วยน้องให้สมหวัง”

   “มึงก็เลยทำกับเพื่อนแบบนี้น่ะเหรอ” ผมมองหน้าโดนัทอย่างเย็นชา ไม่มีรอยยิ้มเยาะเย้ยหรือไม่แสดงอาการว่ารู้สึกเจ็บปวดใดๆ

   “กู... กูไม่ได้ตั้งใจ”

   “เลิกอ้างคำว่าไม่ได้ตั้งใจสักทีเถอะ ทั้งที่ตอนมึงมองทาร์ตใส่ยาในแก้วกูมึงก็ไม่ได้ตั้งใจจะห้ามอยู่แล้ว มึงตั้งใจจะปกปิดความผิดน้อง ตั้งใจจะให้กูโดนวางยา ตั้งใจจะให้น้องมึงได้มีอะไรกับกูอยู่แล้ว แล้วมึงจะมาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจอีกทำไม!” ผมตวาดกลับเสียงดังโดยไม่สนว่ามันจะทะลุไปถึงข้างนอกหรือเปล่า จะมีใครได้ยินหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมไม่แคร์แล้ว ตัวผมสั่นด้วยความโกรธ นี่เหรอวะสิ่งที่เพื่อนทำกับเพื่อน

   “...” โดนัทไม่พูดต่อ แต่กลับก้มหน้ายอมรับผิด ผมเห็นหยดน้ำตาไหลลงมาจากใบหน้าเศร้าหมองนั่นด้วย แต่ก็ไม่ต่างกับผมในตอนนี้นักหรอก น้ำตาที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันไหลออกมา มันกลับห้ามไว้ไม่อยู่ จะให้ผมยิ้มออกได้ไงในเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือเพื่อน เพื่อนที่อ้างว่าไม่ตั้งใจแต่กลับนิ่งเฉยปล่อยให้ผมต้องรับชะตากรรมโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ

   “ส่วนทาร์ตน่ะ กูเสียดายความรู้สึกดีๆ ที่มีให้นะ กูผิดหวังมาก กูเองก็รู้สึกดีกับมันมากนะ ถ้ามันไม่ทำแบบนี้แล้วอดทนอีกหน่อยตามที่กูเคยขอเวลามันไป สักวันอาจจะเป็นอย่างที่มันหวังไว้ก็ได้ แต่มึงรู้ไหมว่าตอนนี้แม้แต่เศษเสี้ยวของความรู้สึกดีๆ กูก็ไม่เหลือให้อีกแล้ว คนที่รักกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกเว้ย!”

   “ที่ทาร์ตมันทำแบบนี้ เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยต้องตามตื้อใครแบบนี้ไง ทุกคนที่เข้าหามันก็เพราะหน้าตาและฐานะของมัน คนพวกนั้นไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าเงินและเซ็กส์ มันเลยคิดว่าถ้ามันกับมึงมีอะไรกัน มันอาจจะช่วยให้มึงเปิดใจกับมันมากขึ้นก็ได้ กูยอมรับนะว่าความคิดมันเด็กและผิด แต่บางทีมันอาจจะได้ผลจริงๆ”

   “งั้นเหรอ ถ้างั้นทาร์ตมันก็คงมองกูไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ ที่มันเคยผ่านมาเลยสินะ มันคงมองกูเพียงแค่หวังในตัวและเงินของมันสินะ!”

   “มันคงไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก แค่วิธีที่มันเลือกใช้มันผิดแค่นั้นเอง แต่ที่มันทำก็เพราะมันคิดว่ามันจะสมหวังไง กูก็ไม่รู้ว่ามึงเคยคุยกับมันว่ายังไงนะ แต่ก่อนที่มันจะคิดทำแบบนี้ มันมาปรึกษากู ขอให้กูช่วยมัน โดยที่มันบอกกูว่าถ้ามึงกับมันมีอะไรกัน มึงคงรู้สึกดีและเปิดใจกับมันมากขึ้น กูก็ไม่ได้เห็นด้วยหรอกในตอนแรก แต่เพราะมันบอกว่ามันเคยคุยกับมึง มันรู้ว่ามึงก็เริ่มมีใจให้มัน แต่ที่มึงยังลืมคนเก่าไม่ได้ ก็เพราะมึงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน”

   “หึ! เป็นเพราะกูงั้นเหรอ ที่ทำให้น้องมึงคิดแบบนั้น เป็นเพราะตัวกูหรือเป็นเพราะน้องมึงมองว่ากูง่ายกันแน่!”

   “มันก็คงคิดว่านี่อาจเป็นทางที่ทำให้มึงยอมรับมันเร็วขึ้นก็ได้ แต่มันก็ได้รู้ เมื่อตอนที่มันสายไป...”

   “พอเถอะโดนัท หยุดอ้างโน้นอ้างนี้สักที ทาร์ตมันได้กูอย่างที่มันสมหวังแล้วไง! น้องมึงเอากับกูไปแล้วไง!! พอใจหรือยังล่ะ!! ยังไงความจริงก็คือ ทาร์ตมันตั้งใจจะวางยากูอยู่แล้ว โดยที่มึงก็เองก็ตั้งใจจะช่วยน้องมึง ตั้งใจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่แล้วเหมือนกัน ทุกอย่างมันเกิดจากความตั้งใจทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นเลิกอ้างโน้นอ้างนี่ เลิกอ้างว่าไม่ตั้งใจสักที!”

   “กูเองก็ไม่ได้หวังว่ามึงเชื่อหรือยกโทษให้กูหรอก แต่กูก็ขอบใจมึงนะที่ยังฟังกู ไม่ว่ามึงจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่กูยืนยันได้ว่าทุกอย่างที่กูพูด กูพูดความจริง ทั้งกูกับทาร์ตอาจจะตั้งใจในแบบที่มึงว่า แต่กูสองคนก็รู้สึกผิดมาตลอดหลังจากนั้น ทาร์ตเองก็รู้สึกผิดที่มีอะไรมึงโดยที่มึงไม่ได้เต็มใจ มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ แต่ยังไงกูก็ต้องขอโทษกับสิ่งที่กูทำ และขอโทษแทนน้องกูด้วย”

   โดนัททิ้งท้ายไว้ก่อนจะเปิดประตูบันไดหนีไฟออกไปทั้งน้ำตา ขณะที่ผมเองก็ยังยืนนิ่งไม่ได้ขยับไปไหน สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ตั้งใจจริงๆ ถ้าในคืนนั้น ปาร์คไม่บังเอิญมาเจอผมแล้วช่วยผมไว้ วันนี้ผมอาจไม่คิดจะมายืนฟังอธิบายจากทั้งสองคนนี้เลยด้วยซ้ำ หรือไม่ผมก็อาจจะไม่แม้แต่จะทนไม่ให้ตัวเองซัดหน้าของใครสักคนได้เลยด้วยซ้ำไป

   ผมสลัดความคิดต่างๆ นานาทิ้งให้หมด แล้วเดินหน้าต่อ แม้ความผิดหวังและรอยแผลบางอย่างมันจะไม่ลบเลือนไปก็ตาม ดังนั้นต่อจากนี้เป็นต้นไป ผมกับสองพี่น้องนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก แต่ที่ลำบากเนี่ยก็คือเพื่อนคนอื่นๆ น่ะสิ ผมไม่ได้อยากจะทำร้ายโดนัทเพื่อต่อเวรต่อกรรมกันไปอีกโดยไปพูดให้คนอื่นๆ เกลียดโดนัทไปด้วยหรอก ผมคงทำได้แค่นิ่งเงียบไป แล้ววางตัวเป็นปกติ

   “โอเคใช่ไหม” เก็ทเดินเข้ามาถามทันทีที่ผมลงลิฟต์มา

   “อืม มันจบแล้วแหละ เพราะยังไงฟร๊องก์ก็คงเชื่อข้ออ้างต่างๆ นานาแล้วยอมอภัยให้ไม่ได้หรอก”

   “อืม อย่าคิดมาก ถ้าไม่สะดวกใจจะอยู่เหมือนเดิม เวลาเรียนก็แยกไปนั่งแค่สองคนก็ได้นะ”

   “ไม่เป็นไรหรอก ต่างคนต่างอยู่ แต่อย่าทำให้เพื่อนคนอื่นต้องรู้สึกแย่ไปด้วยเลย ทำให้ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนเดิมเนี่ยแหละ” ผมยิ้ม แม้จะยากที่จะทำให้มันเป็นปกติก็เถอะ “ไปกินข้าวเถอะ หิวแล้ว”

   “พี่ฟร๊องก์!” ทาร์ตอีกแล้วครับที่มายืนรอผมอยู่ไม่ไกลจากรถของเก็ท แต่ผมไม่มีอะไรต้องฟังหรือพูดอีกแล้ว จึงรีบบอกเก็ทให้ปลดล็อกแล้วขึ้นไปนั่งบนรถทันที ผมเห็นเก็ทพูดกับทาร์ตครู่หนึ่งก็เข้ามาในรถ ส่วนทาร์ตผมไม่ได้ให้ความสนใจอีก ไม่สนหรอกว่าจะรู้สึกอย่างไร เพราะตอนที่ทาร์ตตัดสินใจใส่ยาปลุกเซ็กส์ให้ผมดื่ม หรือแม้กระทั่งตอนที่มีอะไรเกินเลยกับผม ทาร์ตเองก็ไม่ได้ใส่ใจว่าผมจะรู้สึกอย่างไรเช่นกัน


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ

เหตุการณ์นี้ไม่มีใครด่าทาร์ตเลย 555+
กลับเป็นปาร์คเหมือนเดิมที่ยังคงโดนด่าอย่างต่อเนื่อง โอ้ยยย ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี 55555
แต่ที่แน่ๆ คือฟร๊องก์ของเราน่าสงสารสุด อะไรจะถาโถมเข้ามาขนาดนั้น

ผลุบๆโผล่ๆ ไอ่หน้าโง่ดักดาน
ยังไงก็ไม่ยอมรับให้เป็นพระเอกเรื่องหรอกโว้ยยยยยยยย
กลับไปเอาหน้าซุกหีบหญิงเกลของเมิงต่อไปเหอะ ไอ่ปาร์ค

โอ้ยยยยย ขำซุกหีบมากกกกก  :laugh:

ขอบคุณทุกคนมากเลยนะฮะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 41 P.7 [UP! 31/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 31-08-2017 20:22:54
ไม่มีผู้ชายที่เข้ามาจีบฟร๊องค์บ้างเหรอ มีแต่ตัวผู้อ่ะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 41 P.7 [UP! 31/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 31-08-2017 21:10:27
ก็เข้าใจทาร์ตกับโดนัสนะแต่เหตุผลมันฟังไม่ขึ้นว่ะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 41 P.7 [UP! 31/8/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 31-08-2017 22:31:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 42 [4/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 04-09-2017 20:04:42
Chapitre 42

   ช่วงสอบไฟนอลเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่อาทิตย์ในการเตรียมตัวอ่านหนังสือ รวมทั้งเคลียร์งานทั้งหลายที่ยังเหลือกองอีกเป็นภูเขา ผมจะทำทันเปล่าก็ไม่รู้ หลังจากจบเรื่องของทาร์ตกับโดนัทไป เพื่อนๆ คนอื่นก็พอจะรู้ว่าผมมีปัญหากับโดนัท โดยเฉพาะกับไวน์ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือถามว่ามันเกิดจากอะไร

   ผมกับโดนัทต่างเงียบใส่กันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เวลาไปเรียนฝรั่งเศส ปกติจะมีผม เก็ทแล้วก็โดนัทสามคน แต่ตั้งแต่นั้นผมก็เลือกจะนั่งแค่กับเก็ทแค่สองคน ยิ่งกับทาร์ตที่ยังดื้อดึงไม่ยอมจบกับผม ไม่ยอมให้ผมทำเหมือนมันไม่มีตัวตนแบบนี้ ยังคงตามอธิบาย ตามง้อผมอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ถามว่าผมรำคาญไหม คงปฏิเสธไม่ได้ แต่ผมเลือกที่จะเฉยเมยไปดีกว่า ยิ่งผมแสดงอาการอะไรออกไปมาก ทาร์ตจะยิ่งคิดว่าผมยังคงเหลือความรู้สึกดีๆ กับมันอยู่ รอให้มันเบื่อเดี๋ยวมันก็หยุดไปเอง

   ผมแค่เสียดายที่ชีวิตผมจะไม่มีรอยยิ้มอันสดใสพร้อมเหล็กดัดฟันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ยังดีนะเพราะได้เก็ทคอยช่วยตลอด ถ้าไม่มีเก็ทผมอาจจะรู้สึกแย่กว่านี้ก็ได้ที่ต้องเจอหน้าทาร์ตมันแทบทุกวัน

   เมื่อสองวันที่แล้วพัฒน์ทักมาหาผมเรื่องของเกล ผมเองก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลยเหมือนกัน พัฒน์บอกว่าช่วงหลังๆ นี้เห็นเกลไปไหนมาไหนกับดินบ่อยๆ แล้วก็ใช้แต่ของแพงๆ รวมทั้งชอบซื้อของแพงๆ ให้ดินด้วยในบางครั้ง ซึ่งบางทีดินก็ไม่อยากจะรับไว้

   แล้วก็รู้มาอีกเรื่องคือเกลขอร้องดินไม่ให้พูดเรื่องของทั้งคู่ให้ใครรู้ เพราะเกลอ้างว่าถ้าที่บ้านหวงมาก ถ้ารู้ว่าเกลมีแฟนจะเดือดร้อน ซึ่งก็คงอ้างเหตุผลนี้กับปาร์คด้วยเหมือนกัน ถึงว่าเป็นเพื่อนกันแท้ๆ แต่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้เพราะเกลนั่นใช้มารยามาทำให้ดูน่าสงสาร!

   ผมตัดสินใจคุยเรื่องนี้กับชัญญ่าและขอให้ชัญญ่าช่วยวางแผนตลบหลังผู้หญิงคนนี้ ใช่ครับผมตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยปาร์คอีกครั้ง แต่ผมไม่ต้องการให้ปาร์ครู้หรอกว่าผมเป็นคนช่วย ส่วนหนึ่งผมก็อยากให้ปาร์คหลุดจากผู้หญิงเลวๆ คนนั้น และส่วนหนึ่งผมก็อยากให้ตัวผมเองพ้นจากคำกล่าวหาผิดๆ ที่ผมไม่ได้เป็นคนทำด้วย ความผิดที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวด

   ที่ให้ชัญญ่าช่วยคิดแผน เพราะผมคิดว่าผู้หญิงคนนั้นฉลาด แต่ชัญญ่าดูน่าจะฉลาดกว่า และความเป็นผู้หญิงด้วยกันน่าจะเข้าใจได้มากกว่าว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรหรือต้องการอะไร

   [ฟร๊องก์ลองติดต่อไปหาผู้ชายที่ชื่อดินอะไรนั่นดูไหม เราว่าลองคุยกับเขาตรงๆ บอกความจริงเขา เผื่อเขาจะช่วยเราได้นะ] ชัญญ่าที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับผมมาร่วมครึ่งชั่วโมงได้เสนอความเห็นขึ้นมา

   “เราว่ามันเสี่ยงไปไหม ถ้า... เขาไม่เชื่อเราเหมือนกับปาร์คอีกล่ะ คราวนี้เกลอาจจะรู้ตัวเลยก็ได้นะ” ผมว่าแบบนี้มันเสี่ยงมาก แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงที่จะกระชากหน้ากากอันสารเลวของผู้หญิงคนนั้นได้

   [ก็จริง แต่ก็น่าเสี่ยงนะ ลองหาวิธีพูดดูดิ เราเชื่อว่าฟร๊องก์ทำได้ ลองให้เพื่อนฟร๊องก์ช่วยพูดด้วยไง ถ้าได้ผู้ชายที่รู้จักกันมาช่วยยืนยันด้วยน่าจะทำให้เชื่อได้ง่ายขึ้นนะ อีกอย่างคงไม่มีเหตุผลอะไรที่คนไม่รู้จักกันอย่างฟร๊องก์จะต้องเข้าหาคนชื่อดินนั่นจริงไหม ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น]

   “แล้วถ้าคุยได้ จะทำยังไงต่อ บอกเขาไปตรงๆ แล้วให้เขาไปบอกกับปาร์คเองน่ะเหรอ”

   [เราก็ต้องวางแผนต่อสิ ถ้าไปบอกตรงๆ แบบนั้นเดี๋ยวนังเกลนั่นก็มารยาให้ดูน่าสงสารอีก นอกจากปาร์คกับเพื่อนอาจจะทะเลาะกันแล้ว ดีไม่ดีคนที่เจ็บสุดอาจจะเป็นฟร๊องก์เองก็ได้นะ เออ... เห็นว่าเกลอะไรนั่นชอบให้ปาร์คซื้อของให้ ชอบอ้อนปาร์คเอาตังค์ไปซื้อของให้ตัวเองแล้วบางทีก็ให้ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เหรอ ก็ลองวางแผนให้ปาร์คจับได้ด้วยตัวเองดูสิ]

   “งั้นก็คงต้องลองดู”

   [ฟร๊องก์ลองนัดเพื่อนคุยเลยก็ได้ ให้เพื่อนนัดดินนั่นให้อีกที]

   “ชัญญ่าไปด้วยก็ได้นะ เราประหม่าอ่ะ อีกอย่างชัญญ่าช่วยพาปาร์คมาหน่อยได้ไหม คือเรา... อยากช่วยปาร์คเรื่องเกลนะ แต่เราไม่อยากให้ปาร์ครู้ว่าเราช่วยอ่ะ เราอยากตัดใจ...”

   [แต่ฟร๊องก์...]

   “ขอร้องนะชัญญ่า เรื่องระหว่างเรากับปาร์คมันมาไกลเกินกว่าจะกลับไปรู้สึกดีเท่าเมื่อก่อนได้แล้วล่ะ และเรื่องเกลก็ทำให้เรารู้ว่าปาร์ค... ก็ไม่ได้รู้สึกกับเรา ในแบบที่เรารู้สึกด้วย” ผมบอกชัญญ่าจริงจัง พยายามกดความเศร้าไม่ให้ชัญญ่าจับได้ว่าผมกำลังเสียใจ

   [เฮ้อ... ดื้อจริงๆ นะ เราเข้าใจว่าฟรีองก์เจ็บนะ แต่ถ้าให้เรานัดปาร์คออกมามันจะไม่ยากกว่าเหรอ ปาร์คเองก็ไม่ได้สนิทกับเรา เจอกันนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำ แล้วปาร์คจะยอมมาตามที่เราบอกเหรอ]

   “เราเชื่อว่าชัญญ่าทำได้” ผมใช้คำพูดของชัญญ่าก่อนหน้าบอกตัวเธอเอง ชัญญ่าถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเลย

   [ลองให้เพื่อนนัดให้แล้วกัน แล้วเดี๋ยวเราตามไปด้วย] เป็นอันตกลงกับชัญญ่าเรียบร้อย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าชัญญ่าจะทำให้ปาร์คเชื่อได้หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าเธอทำได้

   เมื่อเรื่องของเกลจบไปแล้ว ผมก็คงจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับปาร์คอีก ขอแค่เวลาที่จะช่วยเยียวยาหัวใจให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม

**********__________**********

    หลังจากที่คุยกับชัญญ่าเสร็จ แม้ว่าจะเป็นเวลาเลยสี่ทุ่มมาแล้ว แต่ด้วยความใจร้อนของผมเลยตัดสินใจโทรไปคุยกับพัฒน์เพื่อให้พัฒน์นัดผู้ชายที่ชื่อดินนั่นให้ทันที โชคดีที่พัฒน์ยังไม่นอนแต่ก็งงๆ กับผมอยู่เหมือนกันว่าจะนัดเจอทำไม ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันมาตั้งแต่แรก ผมเลยบอกแผนการคร่าวๆ กับพัฒน์ไปด้วย เวลาไปเจอพัฒน์จะได้เดินตามแผนได้ดี พยายามลดช่องว่างให้หมด

   ตีงูมันต้องตีให้ตาย! ไม่งั้นมันจะแว้งกัดเหมือนที่ผมเคยโดน!!

   พัฒน์รับปากว่าจะพยายามนัดเจอให้ ผมเลยขอให้นัดเร็วที่สุด ผมร้อนใจมาก อยากจัดการผู้หญิงคนนี้ออกไปจากชีวิตปาร์คเร็วๆ สักที พัฒน์รับปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ก่อนจะวางสายไป

   นี่ก็ล่วงเลยมาสองวันแล้วพัฒน์ก็ยังไม่ติดต่อมาเลย จะได้เรื่องไหมเนี่ย แต่ผมก็ไม่โทษพัฒน์หรอกถ้านัดไม่ได้ ก่อนหน้านี้พัฒน์ก็เคยบอกว่าอยู่ว่าดินน่ะเป็นแค่เพื่อนของเพื่อนที่พอรู้จักกันเฉยๆ ไม่ใช่เพื่อนที่เล่นบาสด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมอย่างปาร์ค ถ้านัดไม่ได้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

   ขณะที่ความคิดอันฟุ้งซ่านของผมแล่นไหลไปต่างๆ นานานั้น พัฒน์ที่อยู่ในความคิดเมื่อครู่ก็ไลน์มาหาพอดี และสิ่งที่พัฒน์บอกก็ทำเอาผมแทบกรี๊ดออกมากลางห้องเรียน

   พัฒน์นัดกับดินให้ผมได้! แถมยังเป็นเย็นวันนี้อีกต่างหาก บทจะเร็วก็โคตรเร็วแบบที่ไม่ทันให้ผมตั้งตัวเลย อีกอย่างวันนี้ผมเลิกเรียนตั้งทุ่มครึ่ง มีทางเดียวคือผมต้องโดดเรียนแล้วให้เก็ทจดแลคเชอร์ไว้ให้เผื่อมีเนื้อหาอะไรสำคัญๆ

   เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงถามเวลาและสถานที่ที่แน่นอน แล้วตอบตกลงไปทันที ก่อนที่จะไลน์ไปบอกชัญญ่าด้วยอีกคน ซึ่งชัญญ่ามีเรียนถึงแค่บ่ายสามจึงไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

   “เก็ท... อิอิ” ผมหันไปยิ้มหวานให้เก็ททันที ซึ่งเล่นเอาเก็ทหันมามองด้วยสีหน้าสงสัยอย่างมากกับท่าทางแปลกๆ ของผม “เย็นนี้คาบรีดดิ้งของ Andru ฝากแลคเชอร์ให้หน่อยสิ เอาแค่คร่าวๆ ก็ได้ ถ้ามีการบ้านก็บอกด้วยนะ”

   “แล้วไม่เข้าเรียนหรือไง จะไปไหน” เก็ทวางปากกาที่กำลังจดสิ่งที่อาจารย์สอนอยู่หันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง

   “ก็... เอ่อ... คือ... คือเอ่อ... มีธุระด่วนน่ะ เดี๋ยวเลิกเรียนนี่ก็จะรีบไปเลย” ผมตอบอย่างเป็นธรรมชาติ ตรงไหนวะ! ตอบโคตรตะกุกตะกักดูไม่มีพิรุธเลยต่างหาก! เก็ทไม่รู้หรอกว่าผมกำลังโกหก

   “เดี๋ยวนี้เริ่มมีความลับบ่อยแล้วนะ ไม่ไว้ใจกันแล้วงั้นสิ” เก็ทพูดเสียงนิ่งขึ้นทันที ก่อนจะหันไปสนใจสิ่งอาจารย์สอนอยู่ เล่นเอาผมขนลุกกับน้ำเสียงเย็นชาเมื่อกี้

   “โธ่ ก็ไม่ได้จะปกปิดอะไรสักหน่อย แค่มันเป็นธุระ เอ่อ... ไร้สาระน่ะ เลยไม่รู้จะบอกทำไม” ผมรีบแก้ตัวทันที

   “อืม มันคงไร้สาระมากถึงขนาดบอกกันไม่ได้เลย แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวจะจดไว้ให้แล้วกัน” เก็ทไม่ได้หันมามองหน้าผมอีก แต่ก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นไม่ต่างจากเมื่อครู่เลย

   “อย่างอนนะๆ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยรับรองว่าจะรีบบอกคนแรกเลย” ผมเกาะแขนทำเหมือนอ้อนเก็ท ก่อนที่มือใหญ่ๆ ของเก็ทจะผลักเข้าที่หัวผมจังๆ แต่ไม่ได้แรงเท่าไรนัก แต่ก็ทำเอาผมยู่จมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้ แถมมันยังยิ้มเยาะผมอีกต่างหาก

**********___________**********

   ผมเลิกเรียนตอนสี่โมงครึ่ง แล้วจะมีเรียนอีกทีตอนหกโมง ซึ่งแน่นอนว่าผมโดดชัวร์ๆ แล้วเพราะฝากฝังให้เก็ทจดแลคเชอร์ด้วยสมองอันปราดเปรื่องแทนผมเรียบร้อย แม้จะโดนรังสีอำมหิตที่ผมไม่ยอมบอกตรงๆ ว่ามีธุระที่ไหนก็ตาม ผมรีบปลีกตัวออกไปโบกแท็กซี่เพื่อไปหาพัฒน์และดินตามที่นัดหมายไว้ทันที พัฒน์นัดดินไว้ให้ตอนหกโมงที่ร้านกาแฟซึ่งอยู่ไกลจากละแวกมหาวิทยาลัยของสองคนนั้นหน่อย แต่นั่นก็ช่วยย่นระยะทางสำหรับผมไปด้วยเช่นกัน

   ใช้เวลาเกือบชั่วโมงผมก็มายังร้านที่พัฒน์นัดเอาไว้ ผมจึงโทรหาถามพัฒน์ ทั้งสองคนกำลังมา ดินมาพร้อมกับพัฒน์เลย และบอกให้ผมเข้าไปรอให้ร้านก่อนได้เลย

   “ฟร๊องก์!” เสียงของชัญญ่าเรียกชื่อผมขณะที่ผมกำลังจะผลักประตูเข้าไปในร้าน

   “อ้าวญ่า มาเร็วเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆ”

   “ก็มันว่างตั้งนานแล้ว นี่ออกมาเผื่อเวลารถติดไว้ด้วยนะ แต่รถก็ดันไม่ค่อยติดเท่าไรเลยมาเร็ว” ชัญญ่าอธิบายพร้อมกับยิ้มเขินๆ ผมว่าเธอเองก็ตื่นเต้นเหมือนกับผมมากกว่าจึงรีบมา

   ชัญญ่ากับผมมานั่งสั่งกาแฟคนละแก้วพร้อมด้วยเค้กรอกัน ผมเองก็หิวอยู่เหมือนกัน ก็ออกมายังไม่ได้กินอะไรมาเลยนี่นา ขอยัดอะไรลงท้องก่อน กลบความตื่นเต้นด้วยแล้วเผื่อเวลาคุยต้องใช้สมองหน่อยมันจะได้มีสารอาหารมาเลี้ยง ฮ่าๆๆ สมองยิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่!

   “ตื่นเต้นหรือไง นั่งเขย่าขาซะขนาดนั้น” ชัญญ่าถามผมอย่างล้อเลียน แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าตื่นเต้น ก็มันน่าตื่นเต้นจริงๆ นี่ จริงอยู่ว่าเราวางแผนมาแล้ว แต่ตัวแปรสำคัญของแผนเลยก็คือบุคคลที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ ถ้าเขาเชื่อและยอมตกลงตามที่เราวางแผนก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่หวังเนี่ยสิเรื่องใหญ่

   “อื้อ ตื่นเต้นดิ เนี่ยมือเย็นหมดแล้ว ถ้ามันไม่สำเร็จขึ้นมาเราจะทำยังไงอ่ะชัญญ่า” ความวิตกจริตของผมเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

   “เห้ย! อย่าเพิ่งคิดมากดิ รูปที่ชะนีนั่นถ่ายคู่กับปาร์คก็มีอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วเดี๋ยวเราช่วยยืนยันด้วย ถึงไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ต้องมีติดใจอยู่บ้างแหละ” ชัญญ่าพูดอย่างหมายมั่นปั่นมือ ก่อนที่เสียงกระดิ่งของประตูหน้าร้านจะดังขึ้น บ่งบอกว่ามีคนเข้ามาในร้าน เมื่อหันไปมองก็รู้ตัวทันทีว่าหมดเวลาที่จะคิดเองเออเองแล้ว ถึงเวลาต้องเผชิญความจริงแล้ว

   “พัฒน์!” ผมยกมือเรียกก่อนที่สองผู้มาเยือนใหม่จะเดินมาที่โต๊ะ ผมเพิ่งได้เห็นหน้าของดินใกล้ๆ และชัดๆ ครั้งก่อนที่เจอ ผมเห็นไม่ค่อยถนัดเท่าไร พอมาเห็นแบบนี้แล้วผู้ชายคนนี้ก็หล่อไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

   ผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ พัฒน์มีส่วนสูงพอๆ กันเลย ซึ่งพัฒน์เองก็สูงกว่าปาร์คอยู่เล็กน้อย มีผิวขาวมาก ทรงผมเซ็ตลวกๆ สีน้ำตาลไม่ต่างจากครั้งที่แล้วที่เจอ แต่ผมเพิ่งได้เห็นดวงตาของคนนี้ว่าเป็นหนุ่มตาตี่ หล่อแบบตี๋ๆ สงสัยจะเป็นเชื้อสายจีน ทั้งพัฒน์และดินยังอยู่ในชุดนักศึกษาเช่นกัน ชัญญ่าเองก็ด้วย ทำให้โต๊ะเราเหมือนกลุ่มนักศึกษาเพิ่งเลิกเรียนออกมาหาอะไรกินกัน

   “นี่เพื่อนกูที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับมึง ชื่อฟร๊องก์” พัฒน์แนะนำผมให้ดินรู้จักหลังจากที่ทั้งสองคนนั่งลง โต๊ะที่ร้านนี้เป็นทรงกลม พัฒน์เลือกนั่งข้างผมอีกฝั่ง ซึ่งตรงข้ามกับชัญญ่า ส่วนดินที่นั่งถัดจากพัฒน์ไปก็อยู่ข้างชัญญ่า และตรงข้ามกับผมพอดีเช่นกัน

   “สวัสดีครับ ผมดิน” ดินพยักหน้าเป็นเชิงทักทายเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบาง

   “หวัดดีครับ ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ รู้สึกกดดันแปลกๆ เอาแบบเป็นกันเองเถอะ” ผมขำนิดๆ กับการแนะนำตัวของดิน เล่นซะเป็นทางการอย่างกับจะมาสอบสัมภาษณ์กับผมอย่างนั้นแหละ “เออ พัฒน์นี่ชัญญ่าเพื่อนฟร๊องก์ ดินนี่เพื่อนเราชื่อชัญญ่า”

   “หวัดดีครับ” ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ชัญญ่าจะยิ้มตอบเล็กน้อยตามมารยาท

   “ดินจะกินอะไรหรือเปล่า สั่งมากินก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”

   “ไม่เป็นไรไม่ต้องเลี้ยงหรอก พี่ครับขอเอสเปรสโซ่ มึงเอาไรไหม” ดินสั่งกาแฟของตัวเองก่อนจะหันไปถามพัฒน์

   “เอาเหมือนมันอ่ะครับ” พัฒน์ตอบกวนๆ ออกไป

   “ว่าแต่ฟร๊องก์มีอะไรจะคุยกับเราเหรอ” ผมที่กำลังดูดกาแฟปั่นใส่คาราเมลอยู่แทบจะสำลักกับการยิงคำถามที่มารวดเร็วและตรงประเด็นของดิน

   “ค่อก! ค่อก!” ไม่แทบแล้วล่ะ ผมถึงกับสำลักเลยต่างหาก

   “ใจเย็นๆ” ชัญญ่ารีบเข้ามาดูอาการพร้อมกับตบที่หลังผมเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ

   “คือ... ดินเป็นเพื่อนกับปาร์คใช่ไหม”

   “ไอ้ปาร์ค ไอ้หล่อที่เรียนอยู่ถาปัตมอเดียวกับดินอ่ะนะ ถ้าใช่อ่ะรู้จัก ซี้กันเลยโดยเฉพาะเวลาเล่นบาส” ดินพูดถึงปาร์คอย่างขำๆ ผมอมยิ้มกับฉายาที่เรียกปาร์คว่า ‘ไอ้หล่อ’ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะมันหล่อจริงๆ

   “ใช่ๆ คนนั้นแหละ” 

   “ว่าแต่ทำไมเหรอ ฟร๊องก์รู้จักกับมันด้วยเหรอ อย่าบอกนะว่าจะจีบมันแล้วให้เราช่วย” ดินมองหน้าผมด้วยความสงสัย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ ขณะที่พนักงานยกแก้วกาแฟที่สั่งเมื่อครูมาเสิร์ฟ เพิ่มเวลาให้ผมได้หายใจหายคอและเรียบเรียงคำพูดได้อีกนิด

   “เปล่าๆ เรากับปาร์คเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มัธยมแล้ว แต่คือ... เราอยากรู้ว่าปาร์คมีแฟนไหมอ่ะ คือเรา...”

   “ฟร๊องก์ชอบปาร์คค่ะ ไม่สิ ต้องเรียกว่ารักเลยแหละ!” ชัญญ่าชิงตอบแทนผมเมื่อผมได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ ก็จะให้พูดออกไปตรงๆ ก็อายเป็นเหมือนกันนะเว้ย!

   “อ๋อออ... แบบนี้นี่เอง อิอิ แอบมาสืบข้อมูลของไอ้หล่อมันล่ะสิ ปกติเห็นมันก็ชอบเล่นชอบหย่อกพวกที่เป็นแบบฟร๊องก์นี่อยู่ แต่ก็ไม่รู้มันชอบแบบไหนกันแน่ ถ้าน่ารักๆ แบบฟร๊องก์นี่ ไม่ยากหรอก แต่ถ้าแบบเป็นแฟนเลยยังไม่เคยเห็นมันควงใครจริงๆ จังๆ นะ ส่วนมากก็มีผู้หญิงเข้ามาคุยๆ ก็เยอะอยู่อ่ะ เห็นคุยๆ กันได้สักพักก็เลิกกันไป ประมาณว่าได้แล้ว เบื่อแล้วก็ทิ้งอะไรแบบเนี่ย อย่างว่าแหละคนมันหน้าตาดี บ้านแม่งก็รวย ใครๆ ก็อยากเข้าหา แต่บางทีมันก็ไม่สนใจหรอก ส่วนใหญ่เวลาว่างๆ มันจะมาเล่นบาสกับพวกดิน แล้วก็เล่นเกมมากกว่า แต่มีช่วงหลังๆ มาเนี่ยแหละที่ไม่เห็นมันควงใครอีกเลย ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ มาอ่ะ แล้วตั้งแต่รู้จักมันมายังไม่เคยเห็นมันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยด้วย”

   ดินอธิบายยืดยาว ดูๆ แล้วดินเป็นคนที่พูดเก่งมากเหมือนกัน แถมยังมีความกวนอยู่ในคำพูดด้วย ฟังๆ ดูก็ตลกดี เหมือนได้ฟังดินเผาปาร์คอยู่อย่างไงอย่างงั้น แต่ก็เจ็บจี๊ดอยู่ไม่น้อยที่รู้ว่าก่อนหน้าปาร์คเป็นเสือผู้หญิง (อาจจะผู้ชายด้วย) ได้แล้วเบื่อแล้วก็ทิ้ง หนึ่งในนั้นก็อาจจะรวมถึงผมด้วย

   “งั้นเหรอ แล้วกับผู้หญิงคนนี้ล่ะ” ผมพูดก่อนจะหยิบไอโฟนขึ้นมาเปิดรูปคู่ของปาร์คกับเกลที่ยังคงเซฟเก็บเอาไว้ส่งให้ดินดู

   “นี่มัน...” ทันทีที่ดินเห็นรูป สีหน้ายิ้มแย้มของดินก็ดูซีดลงไปถนัดตา

   “ดินรู้จักผู้หญิงคนนี้ไหม เราได้ยินมาว่าปาร์คกำลังคบกับผู้หญิงคนนี้อยู่ เราเองก็เคยเจอสองคนนี้ไปเที่ยวด้วยกันหลายครั้งแล้วเหมือนกัน” ผมรีบอาศัยโอกาสช่วงที่ดินกำลังอึ้งเติมเชื้อไฟทันที จะว่าไปผมนี่ก็แสดงเก่งใช่ย่อยเหมือนกันนะ

   “ญ่าเองก็เคยเจอนะ ตอนที่ไปกับฟร๊องก์แล้วปาร์คเข้ามาคุยกับฟร๊องก์ ผู้หญิงคนนี้ยังเข้ามาแสดงตัวพร้อมต่อว่าฟร๊องก์เลยว่าไม่ให้มายุ่งกับแฟนของตัวเอง” ชัญญ่าเองก็ใช่ย่อยเหมือนกัน รีบสมทบขึ้นมาทันที

   “ชื่อเกลเรียนคณะเดียวกับแฟนกูเอง ตอนฟร๊องก์มันมาถามกู เห็นแฟนกูบอกว่ากำลังควงอยู่กับผู้ชายสถาปัต พอกูได้เห็นรูปที่ฟร๊องก์เอาให้ดูกูถึงรู้ว่าเป็นไอ้ปาร์ค” พัฒน์ก็ไม่ปล่อยให้เสียโอกาส ร่วมด้วยช่วยกันยุเข้าไปอีก ถือว่าขอให้ช่วยไม่ผิดคนจริงๆ ทำงานกันเป็นทีมมาก!

   “แต่นี่... ผู้หญิงคนนี้กำลังคบกับไอ้หล่อเหรอ เป็นไปได้ไงในเมื่อ...” ดินพึมพำเสียงค่อยขณะที่ตายังมองที่หน้าจอโทรศัพท์ของผมไม่ละสายตา

   “ดินรู้จักด้วยเหรอ มีอะไรหรือเปล่า” ผมเร่งเร้าถามต่ออย่างรวดเร็ว

   “ก็เกลกำลังคบกับดินอยู่ แล้วทำไมถึงไปคบกับไอ้ปาร์คมันได้” ดินเงยหน้ามองผมอย่างไม่เข้าใจ

   “อะไรนะ นี่เรางงไปหมดแล้ว ตกลงผู้หญิงที่ชื่อเกลนี่ใช่แฟนปาร์คหรือเปล่า” ผมแสร้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร จนชัญญ่าถึงกับสะกิดแล้วยกนิ้วหัวแม่มือให้ใต้โต๊ะกับความเนียนของผม

   “เราเองก็งง เกลคบกับเราอยู่นะ ไปไหนมาไหนกับเราตลอด อีกอย่างก็ชอบเอาโน้นเอานี่มาฝากตลอด บอกว่าพ่อแม่ไปต่างประเทศบ่อย เลยซื้อกลับมาฝาก จนเราเองก็เกรงใจ แล้วที่สำคัญคือเกลไม่เคยพูดถึงปาร์คหรือทำเหมือนรู้จักปาร์คเลย เราเองก็ไม่เคยเห็นปาร์คพูดเลยว่ามีแฟนแล้ว แต่เวลาเล่นบาสเสร็จ มันเคยเปรยๆ ให้ฟังบ่อยนะว่ามันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองชอบเพื่อนคนหนึ่ง รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว แต่มันกลัวและไม่แน่ใจในความรู้สึก แล้วก็บอกว่ามันทำผิดกับเขาไว้เยอะ จนไม่รู้ว่าจะต้องชดใช้หรือแก้ไขยังไง ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจที่มันพูดเหมือนกัน แต่เวลาที่มันพูดถึงเรื่องนี้ ดูมันเครียดๆ เศร้าๆ มากเลยนะ”

   “รู้สึกชอบ... เพื่อนเหรอ” หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว แต่... มันอาจจะไม่ใช่ผมก็ได้

   “หึหึ/คิกๆ” พัฒน์กับชัญญ่าหลุดขำออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ชัญญ่านี่สะกิดขาผมยิกเลย ยิ่งทำเอาใบหน้าผมร้อนผ่าวมากขึ้นอีก

   “อืม ดูท่าทางมันจะรักและแคร์เพื่อนคนนั้นมากเลยล่ะ แต่อีกนัยก็ดูมันสับสนกับอะไรบางอย่าง เราก็ไม่รู้นะว่าเพื่อนที่มันว่าคือใคร เพราะมันไม่เคยพูดรายละเอียดอะไรของคนๆ นั้น แต่เรื่องเกลนี่เราไม่เคยได้ยินมันพูดถึงเลยนะ ขนาดอยู่มอเดียวกัน ไปเล่นบาสกับมันก็ออกจะบ่อย แต่ก็ยังไม่เคยเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันเลย”

   “และ... แล้วที่ว่าดินกำลังคบกับผู้หญิงคนนั้นล่ะ” ผมดึงกลับมาเรื่องเดิม เดี๋ยวจะเสียเรื่องไปซะหมด แต่จริงๆ แล้วกำลังเบนประเด็นก่อนที่หัวใจของผมมันจะหลุดออกมาเต้นด้านนอกหน้าอกต่างหาก

   “นั่นล่ะที่เราไม่เข้าใจ เรากับเกลคบกันอยู่ คบกันมาได้สักพักแล้ว แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเกลถึงไปคบกับปาร์คได้”

   “ก็แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังคบซ้อนไง” ชัญญ่าโพล่งขึ้นมาทันที “ฟร๊องก์เราว่าบอกความจริงให้ดินรู้ไปเถอะ”

   “ความจริงเรื่องอะไร” ดินหันไปมองชัญญ่า ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมด้วยความไม่เข้าใจ

   “ขอโทษนะดิน จริงๆ เรารู้อยู่แล้วว่าดินเป็นเพื่อนกับปาร์ค ส่วนเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่น เราก็รู้อยู่ก่อนหน้าแล้วด้วย แต่ที่ต้องหลอกถามดินเหมือนว่าเราไม่รู้อะไรเลย เพราะเราไม่รู้จะเริ่มเข้าประเด็นยังไง เรากลัวว่าถ้าบอกไปตรงๆ ดินอาจจะไม่เชื่อ เลยต้องใช้วิธีการนี้” ผมกล่าวขอโทษก่อนจะบอกความจริงทั้งหมดกับดิน ซึ่งตอนนี้นั่งฟังผมอธิบายนิ่งๆ พร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวดเป็นปมมากขึ้น เขาจะต่อยปากผมไหมเนี่ยที่ไปโกหกเขาแบบนี้

   “กูก็ขอโทษนะ ถึงมึงจะไม่ได้สนิทอะไรกับกู แต่มึงก็เป็นเพื่อนกูว่ะ ไอ้ปาร์คเองก็เป็นเพื่อนกูมาตั้งแต่มัธยม จะให้กูปล่อยให้เพื่อนโดนหลอกคงทำไม่ได้” พัฒน์ช่วยพูดอีกแรง ก่อนจะตบไหล่ดินเบาๆ

   “เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” ดินยกกาแฟขึ้นมาดื่ม ก่อนจะสูดหายใจเข้าเถือกใหญ่ แล้วเอ่ยถามถึงเรื่องราวทั้งหมด

   ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ดินฟัง ทุกเรื่องที่ผมรู้ตั้งแต่ที่แคมป์ส่งรูปมาให้ผมครั้งแรก จนผมไปเจอปาร์คกับเกลไปเที่ยวด้วยกัน ผมบอกดินไปว่าผมถามปาร์คและได้ยินปาร์คคุยโทรศัพท์กับหูตัวเองมาแล้ว เลยทำให้รู้ว่าสองคนนั้นกำลังคบกันอยู่ ไปจนถึงเรื่องที่เกลคบกับปาร์คเพื่อจะเข้าหาดิน แต่เกลไม่ยอมสลัดปาร์คทิ้งเพราะอาจได้ผลประโยชน์จากปาร์ค

   รวมไปถึงเรื่องที่ผมขอร้องให้พัฒน์พาผมตามไปแอบดูเกลกับดินที่ร้านอาหาร และตั้งใจจะถ่ายรูปเพื่อเป็นหลักฐานไปบอกปาร์ค แต่กลับถูกจับได้ซะก่อน จนเกลไปใส่ร้ายผมจนปาร์คเข้าใจผิด รวมทั้งเรื่องที่เกลดูดเงินจากปาร์คมาอัพตัวเองให้ดูดีขึ้นและซื้อของให้ดินโดยอ้างว่าครอบครัวซื้อมาจากต่างประเทศ ผมบอกไปหมดทุกอย่าง พร้อมกับสังเกตท่าทางของดินที่สีหน้าเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและมักจะยกกาแฟขึ้นดื่มหลายต่อหลายครั้งจนผมเล่าจบ

   “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะร้ายกาจได้ขนาดนี้ ถ้าวันนี้ไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดจากฟร๊องก์ แล้วรู้ความจริงด้วยตัวเอง เราว่าเรากับไอ้ปาร์คได้มีเรื่องชกต่อยกันจนเสียเพื่อนแน่ๆ” ดินพูดขึ้นหลังจากที่ผมเล่าเรื่องทั้งหมดจบ ใบหน้าและน้ำเสียงที่ผิดหวังบ่งบอกถึงอารมณ์ได้ดีโดยที่ผมได้ต้องถามต่อ ส่วนชัญญ่ากับพัฒน์ก็เลือกที่จะเงียบ

   “ขอโทษที่ต้องบอกตรงๆ แบบนี้ แล้วก็ขอบคุณที่เชื่อและฟังจนจบ”

   “เราดิต้องขอบคุณฟร๊องก์ ชัญญ่า แล้วก็มึงด้วยพัฒน์ที่ทำให้เราตาสว่าง แต่ก็เล่นเอาเรารู้สึกผิดเลยเหมือนกันนะ พอรู้ว่าพวกของที่เกลซื้อมาให้นั้นมาจากเงินของไอ้หล่อมัน”

   “ที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ เราเชื่อว่าปาร์คไม่ติดใจเอาความหรอก แต่เราอยากขอความร่วมมือจากดินกระชากหน้ากากของผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้ดินตาสว่างแล้ว จะเหลือก็แต่ปาร์คเนี่ยแหละ”

   “ได้ดิ เราช่วยเต็มที่ ไอ้หล่อมันก็เพื่อนดินเหมือนกัน อีกอย่างก็เพื่อตัวดินเองด้วย” ดินพูดอย่างแข็งขัน พร้อมแววตาที่มุ่งมั่นที่แฝงด้วยความโกรธอยู่พอสมควร

   “เราอยากให้ดินลองเปรยๆ ให้เกลนั่นได้ยินว่าอยากได้ของพิเศษๆ อะไรสักอย่าง ขอเป็นของที่มีราคาหน่อย เราคิดว่านางต้องซื้อให้ดินแน่นอน และแหล่งเงินทุนก็คงหนี้ไม่พ้นปาร์ค ลองเอาเป็นรองเท้าไว้ใช้เล่นบาสก็ได้ แล้วบอกประมาณว่าต้องให้พวกที่เล่นบาสด้วยกันช่วยเลือก มันเป็นรุ่นลิมิเตตหรืออะไรก็ว่าไป ดีไม่ดีเกลอาจจะให้ปาร์คไปช่วยเธอเลือกเพื่อจะซื้อมาให้ดินก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นได้ยิ่งดีเวลาที่จับได้ หลักฐานมันจะได้ชัดเจนจนดิ้นไม่หลุด ส่วนที่เหลือที่ฟร๊องก์จัดการเอง”

   “กำลังอยากได้รองเท้าใหม่อยู่พอดี ลิมิเตตด้วย ยังบ่นๆ กับไอ้ปาร์คอยู่เหมือนกันว่าอยากได้แต่มันแพง ไงเดี๋ยวเราจะลองดูนะ แต่ถ้าซื้อมาแล้วจริงๆ เรากับไอ้ปาร์คใส่รองเท้าไซส์เดียวกัน จบเรื่องเดี๋ยวเราคืนมันก็แล้วกัน”

   “ถ้าเกลจะซื้อให้แล้วมีการนัดกัน ยังไงรบกวนบอกเราด้วยนะ บอกผ่านทางพัฒน์ก็ได้ แล้วเดี๋ยวเราจะนัดปาร์คไปด้วยเหมือนกัน คราวนี้ล่ะจะได้กระชากหน้ากากให้ได้เห็นความเลวของผู้หญิงคนนั้นสักที”

   “หึหึ เราว่าตอนนี้เรารู้แล้วแหละว่าเพื่อนที่ไอ้หล่อมันบ่นๆ ถึงอยู่คนนั้นคือใคร” ดินหัวเราะ แล้วมองหน้าผมอย่างมีเลศนัย

   “ว่าอะไรนะ” ดินว่าอะไร ผมไม่เข้าใจที่เขาพูด

   “เปล่าๆ ไม่มีอะไร ยังไงเดี๋ยวจะลองทำตามแผนที่บอกนะ ไอ้หล่อมันจะได้รู้ตัวแล้วสมหวังเร็วๆ” ดินรับปาก แต่ก็ยังพูดในเรื่องที่ผมงงอยู่ แต่ช่างเหอะ ผมอารมณ์ดีที่แผนเป็นไปตามที่หวัง ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี

   อีกไม่นานหรอก ผู้หญิงคนนั้นจะถูกถอดหน้ากากให้ทุกคนได้เห็นถึงความเลวที่ได้ทำ!


à suivre...


มาแล้วครับผม

สงสารทาร์ตกับโดนัทเหมือนกันนะ
แต่ก็สงสารฟร๊องก์ไม่แพ้กัน สำหรับฟร๊องก์เหตุผลที่ได้รับฟัง เหมือนที่คุณ Jibbubu บอก คือมันฟังไม่ขึ้น

ส่วนตอนนี้ฟร๊องก์ก็กลับมายังเรื่องของเกลอีกครั้ง
ด้วยเหตุผลที่ส่วนหนึ่งก็คือปาร์คแหละ แต่อีกส่วนคือฟร๊องก์ก็ไม่อยากเป็นคนที่ผิดทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรด้วย
ก็มาช่วยกันภาวนาให้แผนครั้งนี้ไม่ล่มอีกแล้วกันนะ 55555+

ขอบคุณทุกคนนะฮะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 43 [7/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 07-09-2017 20:11:45
Chapitre 43

   ตอนนี้ถือว่าโชคดีกำลังเข้าข้างผมก็ได้ หลังจากที่โดนเพื่อนและน้องหักหลัง และยังต้องวิตกกังวลเรื่องที่จะต้องไปคุยกับดิน เพื่อให้ดินมาช่วยให้แผนการเปิดโปงความเลวของผู้หญิงที่ชื่อเกลนั้นเป็นไปได้ด้วยดี ดินเชื่อในสิ่งที่ผมบอก และยินดีที่จะช่วยดำเนินแผนการ ตอนนี้ทุกอย่างใกล้จะถึงเป้าหมายแล้ว ผมทำได้แค่รอ รอให้เป็นไปตามแผนและผมจัดการกระชากหน้ากากของผู้หญิงคนนั้นได้สำเร็จ

   “ช่วงนี้ดูอารมณ์ดีนะ ไม่คิดมากเรื่องทาร์ตแล้วหรือไง” เก็ทถามหลังจากที่ผมขึ้นรถไปเรียนตามปกติ พอหลายวันเข้าทาร์ตที่พยายามเข้ามาขอโทษ ขออธิบายแล้วได้รับเพียงแค่ท่าทางเย็นชาจากผม เจ้าตัวก็เริ่มหายไป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ที่ผมอารมณ์ดีเพราะเรื่องเกลต่างหาก ผมรอลุ้นให้ดินคอนเฟิร์มนัดเร็วๆ แทบอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเมื่อความเลวถูกเปิดเผย

   “อารมณ์ดีแล้วไม่ดีหรือไงเล่า อยากเห็นฟร๊องก์เป็นทุกข์นักหรือไง ชิ!” ผมหันไปย่นจมูกและเบ้ปากใส่เก็ทอย่างหมั่นไส้ทันที คนอารมณ์ดีแล้วผิดหรือไง

   “คิดว่าทำหน้าแบบนี้แล้วน่ารักหรือไง ขี้เหร่!” เก็ทยิ้มเยาะก่อนจะเอามือมายีหัวผมแรงๆ ใช่สิ! ไม่ได้หน้าตาดีเหมือนมึงนี่หว่า!

   “แล้วคิดว่าตัวเองหล่อนักหรือไง!” ผมผลักหน้าเก็ทกลับเช่นกัน แต่ไม่แรงมากเท่าไร

   “เดี๋ยวนี้เริ่มเล่นหัวนะ เดี๋ยวเถอะๆ” เก็ทชี้หน้าคาดโทษ แต่ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม ก่อนจะขับรถต่อไปยังมหาวิทยาลัย

   หลังจากวันที่นัดคุยกับดินนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เลยอาศัยช่วงเวลาที่ตัวเองอารมณ์ดีๆ อยู่นี้นั่งเคลียร์งานไปพลางๆ จนเสร็จไปหลายวิชาแล้ว รายงานฝรั่งเศสเองก็เหลือแต่ส่วนเล็กน้อยๆ แล้วก็พวกหน้าปก คำนำอะไรพวกนั้นแล้ว จะได้เหลือเวลาอ่านหนังสือทบทวนนานหน่อย ไม่ต้องมานั่งไฟลนก้นอยู่ เว้นแต่อาจารย์จะทะลึ่งสั่งงานก่อนสอบขึ้นมาอีก ซึ่งชอบทำกันนักแล!

   ส่วนปาร์คหลังจากที่มาช่วยผมจากทาร์ต มันก็เริ่มกลับเข้ามาวนเวียนในชีวิตผมมากขึ้น อาจจะไม่ได้โทรหาเพราะรู้ว่าโทรมาแล้วผมก็ไม่รับ แต่ข้อความในไลน์ที่คอยส่งมาถามสารทุกข์สุขดิบแสดงความเป็นห่วงนั้นมีแทบทุกวัน ผมเปิดอ่านแต่ไม่คิดที่จะตอบกลับ

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นขัดจังหวะการอ่านหนังสือของผม ซึ่งกำลังทำความเข้าใจเนื้อหาบางส่วนให้มากขึ้น แต่พอเห็นชื่อของคนที่โทรมาโชว์อยู่บนหน้าจอ มันกลับเร้าอารมณ์ผมได้มากกว่าอีก

   “ฮัลโหลพัฒน์ ได้เรื่องแล้วเหรอ” ผมรีบกรอกเสียงตื่นเต้นถามไปทันที

   [หวัดดีครับฟร๊องก์ นี่ดินเองนะ]

   [พัฒน์ประชุมสายให้เลยจะได้คุยกันสะดวกๆ]

   “อ๋อ ขอบใจนะ แล้วเป็นไงบ้างดิน เป็นไปตามแผนไหม”

   [ด้วยดีเลยล่ะ วันก่อนเปรยๆ ว่าอยากได้ร้องเท้าบาสใหม่ แต่บ่นว่ามันแพงๆ แล้วก็ทำเป็นเปิดข้อมูลให้เกลดู แลดูเกลจะสนใจมากเลยนะ ถามโน้นถามนี่ว่าหาได้จากไหน ทำเหมือนอยากจะซื้อให้เรา เราเลยแกล้งบอกไปว่ารุ่นนี้หายาก ต้องถามคนที่ชอบเล่นบาสเหมือนกันถึงจะรู้แหล่ง ตอนแรกเราก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเธอจะซื้อให้ จนเมื่อวานเกลโทรมานัดเราให้ออกไปเจอวันเสาร์นี้ บอกว่ามีอะไรจะให้ เราเลยเดาว่าน่าจะเป็นรองเท้าแหละ]

   “แล้วแน่ใจเหรอว่ารองเท้าคู่นั้นปาร์คเป็นคนซื้อให้เกลน่ะ” ถ้าไม่ใช่ปาร์คซื้อให้ก็คือจบ ต้องคิดแผนใหม่ต่ออีก

   [ตอนแรกก็ไม่แน่ใจหรอก แต่เราเจอไอ้หล่อมันตอนไปเล่นบาส ก็เลยลองถามๆ มันประมาณว่าหาได้จากไหน มันพอรู้แหล่งไหม เพราะรุ่นที่เราอยากได้นั่นยอมรับว่าหายากจริงๆ มันเข้าไทยแค่ไม่กี่คู่แล้วก็ราคาโหดมาก แถมรองเท้าแต่ละคู่ สีและลายจะไม่เหมือนกันเลยสักคู่ และจะมีเลขเฉพาะของคู่นั้นๆ ระบุอยู่ด้วย แต่ที่ถามไอ้ปาร์คมันเพราะระดับมันน่ะรู้อยู่แล้ว ไอ้นี่มันมีรองเท้าอยู่หลายคู่แต่ไม่ค่อยเอาออกมาใส่หรอก ส่วนใหญ่ซื้อมาเก็บ แล้วพอดีไอ้ปาร์คมันบอกว่ามันสั่งคู่นี้ไว้ แต่ตอนนี้ให้เป็นของขวัญคนรู้จักไป ตอนนี้ในไทยน่าจะหาไม่ได้แล้ว ถ้าจะเอาคงต้องสั่งจากต่างประเทศซึ่งก็ไม่รู้ว่าของหมดแล้วหรือยังเหมือนกัน]

   “งั้นคงไม่ผิดแน่ๆ ถ้ายิ่งปาร์คได้เห็นรองเท้านั่นกับตาตัวเอง ปาร์คยิ่งไม่มีทางจำผิดแน่นอน”

   [คงงั้นแหละ แต่จะว่าไปก็เสียดายนะ ไอ้หล่อแม่งเร็วตลอด รุ่นนี้โคตรเอ็กซ์คลูซีฟเลย] ดินพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก เป็นเชิงทีเล่นทีจริงมากกว่า

   จากนั้นผมก็จัดการถามเวลาและสถานที่นัดหมาย แล้วก็ขอให้ดินเล่นอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ซึ่งดินก็รับปากมาอย่างดีว่าแน่นอนอยู่แล้ว หลังจากคุยเสร็จผมก็โทรหาชัญญ่าต่อเพื่อบอกข้อมูล แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าตกลงจะนัดปาร์คออกมาได้ยังไง ถ้าให้ดินนัดเอง ก็เกรงว่าปาร์คจะไปถึงก่อนที่เกลจะมา แล้วทำให้เกลรู้ตัว หรือไม่ทั้งสองคนก็อาจจะเจอกันก่อน ก็อาจทำให้เสียแผนได้

   สุดท้ายจึงต้องให้ชัญญ่าที่ผมเคยขอร้องไว้ตั้งแต่แรกว่าให้พยายามชวนปาร์คออกมา โดยผมเป็นคนให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไปเอง ผมก็กังวลพอสมควรแหละว่าชัญญ่าจะนัดปาร์คออกมาได้หรือเปล่า เพราะวางแผนมาขนาดนี้แล้ว ถ้าปาร์คไม่ยอมมาตามที่ชัญญ่าชวน ทุกอย่างที่ทำมาก็คงจบ

   และก็เป็นไปตามคาด เมื่อชัญญ่าสามารถชวนปาร์คออกมาได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าชัญญ่าพูดหรือใช้วิธีอะไรที่ทำให้ปาร์คยอมออกมาตามคำชวน แต่ช่างเถอะ เพราะนั่นถือเป็นเรื่องดี

   แล้ววันเสาร์ก็มาถึง เมื่อวันพฤหัสมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่นัดหมายและเพิ่มแผนให้รัดกุมมากขึ้นเล็กน้อย ตอนแรกเกลนัดให้รองเท้าที่ขอมาจากปาร์คกับดินที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านที่ค่อนข้างเล็ก เป็นส่วนตัวและสามารถสังเกตเห็นทั่วร้านได้ง่าย ผมว่าเธอคงระแวดระวังตัวเองมากขึ้นด้วยแหละเพราะรู้ว่ามีผมที่รู้ทันเธออยู่

   ชัญญ่าเลยแนะนำให้เปลี่ยนสถานที่เป็นห้องอาหารของโรงแรม และตัวชัญญ่าเองก็จัดการจองห้องพักที่ติดกันไว้สองห้อง ห้องหนึ่งก็เพื่อจะให้ดินหลอกล่อเกลขึ้นไปประมาณว่าจะขอบคุณที่ซื้อของขวัญให้ ส่วนอีกห้องเป็นที่กบดานและซ่อนตัวเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

   โดยให้ดินอ้างเหตุผลว่าเกลมีของเซอร์ไพรส์ ดินก็เลยมีอะไรจะเซอร์ไพรส์ให้ด้วยเหมือนกัน โดยการพาไปกินอาหารที่ภัตตาคาร แล้วให้ดินพยายามดึงความสนใจเกลให้อยู่แค่กับดิน จะได้ไม่สังเกตเห็นชัญญ่าที่จะพาปาร์คตามไปดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ แต่อยู่ในห้องอาหารนั้นเหมือนกัน ส่วนผมกับพัฒน์คงได้แค่รออยู่แถวๆ ล็อบบี้ของโรงแรม แต่ชัญญ่าบอกว่าจะเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ผมได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมดเสมอ

   ผมต้องขอบคุณชัญญ่าอย่างมากเลยที่ยอมทุ่มให้ผมขนาดนี้ เพราะโรงแรมนั้นไม่ใช่โรงแรมกระจอกๆ ยิ่งห้องอาหารที่นั่นยิ่งขึ้นชื่อ และผมเชื่อว่าแผนที่ชัญญ่าแก้และวางใหม่หมดแบบนี้จะทำให้เกลดิ้นไม่หลุดแน่นอน ถ้าเป็นที่เดิมที่เกลนัดดิน แล้วปาร์คจับได้ก็จริง เกลก็อาจจะใช้มารยาล้านเล่มของเธอทำให้ดูน่าสงสารและบอกปาร์คอีกว่าดินเป็นเพื่อนหรือเป็นอะไร ซึ่งมันมีช่องโหว่งและข้ออ้างที่ยกขึ้นมาปฏิเสธความผิดได้ร้อยแปด

   แต่ถ้าที่โรงแรม ถ้าในห้องอาหารปาร์คยังไม่เชื่อ ก็ยังมีบนห้องพักอีกที่ ซึ่งแน่นอนว่าคราวนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาปฏิเสธความสัมพันธ์ลึกซึ้งนี้แล้ว เพราะคงไม่มีชายหญิงที่เป็นเพื่อนหรือคนรู้จักคู่ไหนไปสวีตกันแค่สองต่อสองในห้องพักโรงแรมหรอก

   ก่อนถึงเวลาที่นัดไว้ ซึ่งเป็นเวลาห้าโมงเย็น ชัญญ่าได้นัดผมกับพัฒน์ออกมานัดแนะแผนการกันก่อนอีกครั้ง โดยที่มีดินร่วมฟังผ่านทางโทรศัพท์ เราต้องรอบคอบและรัดกุมมากที่สุด ดังนั้นทุกคนจะต้องไม่มีข้อผิดพลาด ชัญญ่าจัดการเรื่องนัดกับปาร์คเรียบร้อยแล้ว แต่เธอไม่ยอมบอกเหตุผลกับผมว่าทำไมปาร์คถึงยอมมาตามนัด แต่ช่างเหอะแค่ปาร์คมาผมก็ดีใจแล้ว อย่างน้อยก็เป็นไปตามแผนด้วยดี ซึ่งชัญญ่าอาสาจะรับปาร์คเอง

   ตอนแรกเธอบอกว่าปาร์คไม่ยอม แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่เธอไม่ยอมบอกให้ผมรู้เนี่ยแหละถึงทำให้ปาร์คตัดสินใจทำตามที่เธอบอกทุกอย่าง มันเลยไปได้สวยและไม่ต้องกังวลว่าเกลจะเห็นรถของปาร์คเข้าซะก่อน ส่วนผมก็ตามติดไปกับพัฒน์ ซึ่งจะตามไปทีหลังสุด เมื่อทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อย และทุกคนเข้าใจหน้าที่และแผนการเป็นอย่างดี ก็เริ่มแยกย้ายไปทำภารกิจของตัวเอง

   ตัวแปรสำคัญของแผนนี้หลักๆ จะอยู่ที่ปาร์คว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนเกลน่าจะเดินตามเกมที่วางแผนไว้ ผมเองก็หายจากการตามจับผิดเธอไปสักพัก จนเธออาจจะไม่ค่อยระวังตัวมากเท่าตอนแรกๆ แล้ว แต่ก่อนจะแยกกันผมก็ย้ำกับชัญญ่าอีกครั้งว่าไม่ให้บอกปาร์คว่าผมมีส่วนร่วมในแผนการครั้งนี้

   “ชัญญ่าเราขอร้องนะอย่าบอกปาร์ค”

   “ฟร๊องก์ เราเข้าใจนะว่าฟร๊องก์เจ็บ แต่ฟร๊องก์ไม่คิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ปาร์คเจ็บบ้างเหรอ ฟร๊องก์ก็บอกเองว่าปาร์คดูรักเกลนั่นมาก ถ้ารู้ว่าเกลหลอกเขา โดนเกลสวมเขามาตลอด ฟร๊องก์ไม่คิดว่าปาร์คจะเสียใจบ้างเหรอ แล้วฟร๊องก์ทนปล่อยให้คนที่ฟร๊องก์รักเสียใจอยู่คนเดียวอ่ะนะ เราไม่อยากรับปากเลยบอกตรงๆ อย่างน้อยก็ให้ปาร์คได้รู้ว่าฟร๊องก์คอยเป็นห่วงปาร์คอยู่ตลอด แต่ทางที่ดีเข้าไปปลอบเขาด้วยตัวเองเลยจะดีที่สุด” ชัญญ่าที่เดินรั้งท้ายมากับผมพูดยาวเหยียดเล่นเอาผมอึ้งไปชั่วขณะกับคำพูดเหล่านั้น

   นั่นสินะ ผมมัวแต่ห่วงแผนการ แล้วก็ห่วงแต่ความรู้สึกของตัวเอง กลัวแค่ว่าตัวเองจะเจ็บ อยากจะแค่ให้ตัวเองตัดใจจากปาร์คได้ง่ายและเร็วขึ้น แต่ผมไม่ได้นึกถึงสภาพจิตใจของปาร์คเมื่อรู้ความจริงเลย ปาร์คดูรักเกลมากจริงๆ และแน่นอนว่าการถูกคนรักหักหลังนั้นมันเจ็บมากแค่ไหน แต่ผมกลับไม่ได้นึกถึงมันเลย ถึงเวลาที่ผมเจ็บ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ปาร์คก็มักมาอยู่ข้างๆ ผมเสมอ แล้วในเวลาที่ปาร์คเจ็บจะให้ผมทิ้งไปมีความสุขอยู่คนเดียวได้ยังไง

   “อย่าปิดกั้นความรู้สึกตัวเองต่อไปเลยฟร๊องก์ มันจะรังแต่ทรมานตัวเองเปล่าๆ” ชัญญ่าทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินไปทีรถตัวเอง ส่วนผมก็เดินคิดมากไปยังรถของพัฒน์ที่ยืนรออยู่ ผมนี่มันโคตรเห็นแก่ตัวเลย
   
***********____________************

   แล้วก็มาถึงเวลานัด ป่านนี้ดินกับเกลคงอยู่ในห้องอาหารแล้ว ส่วนชัญญ่าเองเปลี่ยนแผนโดยการพาปาร์คไปรออยู่ก่อนหน้าแล้ว เพราะคิดว่าจะได้เลือกมุมที่มองเห็นได้ถนัด แต่หลบสายตาได้ดีมากกว่าตามทีหลัง ผมกับพัฒน์ที่เพิ่งเข้ามาในโรงแรม รีบเข้าไปนั่งหาที่หลบในร้านกาแฟของโรงแรมเพื่อรูดูสถานการณ์ทันที ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของผมจะดังขึ้น ปลายสายคือชัญญ่านั่นเอง สงสัยเหตุการณ์เริ่มขึ้นแล้ว ผมกดรับโดยไม่ส่งเสียงตอบกลับไป แต่เสียบหูฟังใส่คนละข้างกับพัฒน์แล้วนั่งฟังเงียบๆ โดยที่ไม่ลืมสังเกตรอบตัวเป็นระยะ เราประมาทไม่ได้ครับงานนี้

   [นี่... นี่มันอะไรกันชัญญ่า ทำไมเกลถึงได้มากับไอ้ดิน... เอ่อ... เพื่อนปาร์ค แล้วฟร๊องก์อยู่ไหน] เสียงปาร์คลอดเข้ามาในโทรศัพท์ฟังเสียงแล้วดูปาร์คตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก น้ำเสียงสั่นๆ นั้นทำให้ใจผมเสียไปด้วยเหมือนกัน ปาร์คจะเป็นอะไรไหม สีหน้า ท่าทางจะเป็นอย่างไร ผมอยากเข้าไปเห็นด้วยตาของตัวเอง แต่ไม่สามารถทำได้

   [ฟร๊องก์อยู่ไม่ไกลจากนี่หรอก เราเชื่อว่าถ้าจบเรื่องปาร์คจะได้เจอฟร๊องก์แน่นอน ส่วนผู้หญิงคนนั้นน่ะ คือเหตุผลจริงๆ ที่เราพาปาร์คมาที่นี่แหละ ฟร๊องก์เป็นเพื่อนเรา ส่วนปาร์ค ก็เป็นคนที่ฟร๊องก์... รักมากๆ ดังนั้นเราจะปล่อยให้คนที่เพื่อนรักถูกหลอกไม่ได้หรอก โทษทีนะที่ไม่ได้บอกตรงๆ และต้องเอาฟร๊องก์มาอ้าง แต่เพราะเราไม่รู้ว่าจะชวนปาร์คออกมาได้ยังไงเหมือนกัน] ชัญญ่าพูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย! ผมได้ยินเสียงพัฒน์หัวเราะในลำคอเล็กน้อยด้วย จนผมต้องหันไปค้อนใส่เลย รู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับปาร์คก็ไม่เห็นต้องบอกตรงๆ แบบนั้นเลยก็ได้

   [หมายความว่าเกลรู้จักกับไอ้ดินเหรอ] เสียงปาร์คยังคงสั่นและดูเบาเหมือนไม่กล้าถาม

   [อย่างที่เห็น เราว่าไม่ใช่แค่รู้จักด้วย สองคนนั้นกำลังคบกันอยู่ต่างหาก เราพูดตรงๆ แบบนี้ปาร์คน่าจะรับได้นะ เรามีคนรู้จักค่อนข้างเยอะ เลยทำให้รู้ แล้วบังเอิญเราจำได้ว่าเราเคยเจอปาร์คกับผู้หญิงคนนี้ เราเลยไปสืบจนรู้ว่าเธอกำลังคบซ้อน เราเองก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เข้าหาปาร์คเพราะอะไรกันแน่ แต่อย่างหนึ่งที่เราแน่ใจคือนางเข้าหาปาร์คเพื่อจะได้รู้จักกับผู้ชายที่ชื่อดินนั่นด้วย เห็นว่าปาร์คก็สนิทกับดินเพราะเล่นบาสด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม มันเลยง่ายกว่าที่จะเข้าหาดินผ่านทางปาร์ค อีกอย่างผู้หญิงคนนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปาร์คกับฟร๊องก์...]
    
   [...] เสียงปาร์คเงียบไป แต่นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนรน ปาร์คจะเป็นยังไงบ้าง รวมทั้งประโยคสุดท้ายที่ขาดหายไปนั่นคืออะไร เพราะในบทสนทนานั้นมีชื่อผมปรากฏอยู่ด้วย

   [ปาร์คไม่เป็นไรใช่ไหม] เสียงชัญญ่าถามด้วยความเป็นห่วง อาการปาร์คจะแย่มากแค่ไหน ผมจับมือตัวเองแน่น ผมรู้สึกแย่มากที่ในเวลาแบบนี้ผมกลับไม่ได้อยู่กับปาร์ค ช่วยอะไรไม่ได้เลย

   [ไม่เป็นไร เราก็อยากดูให้ถึงที่สุดเหมือนกันว่าตกลงแล้วมันยังไงกันแน่ ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือแค่เข้าใจผิด] เสียงปาร์คกลับมาแล้ว คราวนี้ดูแข็งกร่าวขึ้นกว่าที่ได้ยินก่อนหน้า ดูแล้วปาร์คยังไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ คงเพราะปาร์ครักผู้หญิงคนนั้นมากเหมือนกัน

   ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นระหว่างปาร์คกับชัญญ่าอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ผมเองก็ไม่รู้ว่าด้านในสถานการณ์ไปถึงไหนแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง ไม่สามารถเดาได้เลย ยิ่งรอนานๆ ในใจผมยิ่งร้อนรน จนอยากจะบ้า ผมอยากจะเดินเข้าไปดูให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็มีเสียงของปาร์คดังเข้ามาเสียก่อน

   [ถุงรองเท้านั่น...]

   [ทำไมเหรอ นางคงซื้อให้เป็นของขวัญแหละมั้ง]

   [แต่นั่นมันเป็นรองเท้าที่เกลขอปาร์ค บอกว่าจะเอาไปเป็นของขวัญให้พี่ชาย]

   [หึ พี่ชายเป็นข้ออ้างน่ะสิ ไม่นางก็อาจจะพูดผิด ว่าจะเอามาให้ผู้ชาย]

   [สองคนนั้นลุกแล้ว จะไปไหนกัน] เสียงปาร์คดูลุกลี้ลุกลนขึ้นทันที แสดงว่าตอนนี้ดินกับเกลนั่นกินอะไรกันเสร็จแล้ว และกำลังจะไปตามแผนต่อซึ่งก็คือขึ้นไปยังห้องพัก    
    
   [เราก็รีบตามไปเถอะ พี่คะนี่นะคะค่าอาหาร เดี๋ยวหนูลงมาจัดการให้อีกรอบค่ะ ไปเร็วปาร์คเดี๋ยวตามไม่ทัน] ออกมาแล้วแน่ๆ เพราะมีเสียงฝีเท้า จะว่าไปชัญญ่านี่ก็เล่นละครเก่งเหมือนกันนะ ตีบทแตก เล่นถึงบทบาทและเข้าถึงอารมณ์มาก ยอมทุ่มให้อีกต่างหาก ถึงขั้นทิ้งบัตรเครดิตไว้เลย จบเรื่องนี้ผมคงต้องกราบของพระคุณอย่างแรง

   ผมได้ยินเพียงแค่เสียงกุกกักดังมาจากอีกด้านเท่านั้น แต่ตอนนี้ใจผมเต้นแรงและเร็ว มันใกล้จะจบแล้วสินะเรื่องนี้ ที่ผมพยายามทุ้มเทมา ปาร์คใกล้จะได้รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ยิ่งได้ยิ่งจังหวะของเสียงก้าวขา หัวใจผมยิ่งเต้นเร็วขึ้นทุกขณะ เหตุการณ์อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าผมไม่อาจจะเดาได้

   [ห้องนั้น เราว่ารออีกสักแป๊บอีกกว่าแล้วค่อยเข้าไป เอาให้ทุกอย่างมันชัดเจนไปเลย] เสียงชัญญ่าดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับจังหวะการหายใจที่ถี่และหอบของทั้งสองคน [ปาร์คจะเข้าไปคนเดียวก็ได้นะ จากนี้มันขึ้นอยู่กับปาร์คแล้ว เราคงช่วยปาร์คได้เท่านี้แหละ แต่มาถึงขนาดนี้แล้วเราคิดว่าปาร์คก็น่าจะตาสว่างแล้วนะ]

   [ขอบคุณนะชัญญ่า ขอบคุณมากจริงๆ เดี๋ยวหลังจากนี้เราจัดการเอง] ปาร์คพูดนิ่งๆ แต่ผมแอบจับได้ถึงความตื่นกลัวและความกังวลในน้ำเสียงทุ้มนั้น

   [สู้ๆ นะ ปาร์คยังมี...] เสียงชัญญ่าขาดหายไปเฉยๆ ทั้งที่ผมพยายามเงี่ยหูฟังสุดฤทธิ์ [เดี๋ยวเราไปรอที่ล็อบบี้นะ เสร็จแล้วลงมาแล้วกัน สู้ๆ]

   เสียงฝีเท้าของชัญญ่าเดินห่างออกมาเรื่อยๆ ก่อนที่จะบอกให้ผมกับพัฒน์ออกไปหาเธอที่ล็อบบี้แล้ววางสายไป ถึงเวลานี้ผมคงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวแล้ว หลังจากนี้เป็นต้นไปให้โชคชะตาเป็นตัวตัดสินว่าทั้งหมดที่ผมพยายามมามันจะสำเร็จไหม หรือรักของปาร์คที่มีให้ผู้หญิงคนนั้นจะยิ่งใหญ่กว่าความห่วงใยของผม ผมบอกไม่ได้ ไม่มีใครในที่นี้บอกได้ เว้นแต่ตัวปาร์คเอง

   หลังจากที่ชัญญ่าลงมาก็ไปจัดการเรื่องค่าอาหารและเอาบัตรเครดิตคืน เราสามคนก็นั่งรออีกสามคนอยู่ที่ล็อบบี้อย่างใจเย็น สำหรับผมมันไม่ได้เย็นหรอก แค่ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมามากไปกว่าการบีบมือและกัดริมฝีปากของตัวเอง ป่านนี้ข้างบนจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ผมทำได้แค่รอจริงๆ

   ปาร์คจะเสียใจมากหรือเปล่า หรือเกลจะมีข้ออ้างมาทำให้ปาร์คเห็นใจและสงสารได้อีก ผมจะกลายเป็นคนผิดที่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีกหรือเปล่า ทุกอย่างมันสามารถเกิดขึ้นได้ โดยที่ผมไม่สามารถคาดเดาหรือทำอะไรได้เลย ผมพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง อยากลุกไปที่อื่นนะ แต่กลัวว่าผมจะพลาดอะไรไป กลัวว่าถ้าปาร์คเสียใจลงมาแล้วหวังจะเจอผม แต่ผมกลับไม่อยู่ที่นี่ ไม่เคยอยู่เคียงข้างเวลาที่ปาร์คทุกข์ใจ ผมกลัว...

**********___________************

   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเมื่อร่างของดินปรากฏตัวออกมาจากโถงรอลิฟต์ พร้อมกับถุงรองเท้าดังกล่าวและรอยช้ำที่มุมปาก

   “ไอ้ดิน!” พัฒน์ร้องเรียกทันทีที่เห็น ดินเดินเข้ามาหาพวกผมด้วยรอยยิ้มบางๆ “เป็นไงบ้างวะ ไอ้ปาร์คล่ะ”

   “ก็ดี โดนมันซัดเข้าให้หมัดหนึ่ง หมัดหนักฉิบหาย! แต่มันจบแล้วแหละ ไอ้ปาร์คกำลังตามลงมา” ดินว่าก่อนจะหันมายิ้มให้กับผม

   “ปะ... ปาร์ค” ผมเอ่ยชื่อบุคคลที่ผมตั้งตารออย่างแผ่วเบา แต่ก็ทำให้ทุกคนหันไปมองทางปาร์คได้เช่นกัน ปาร์คลงมาแล้ว ลงมาพร้อมด้วยท่าทางที่อิดโรย แต่ที่แย่กว่าคือไม่มีแม้รอยยิ้มใดๆ ฉายแววออกมาจากใบหน้าหล่อเหลานั้นเลย

   “ฟร๊องก์!” ทันทีที่ปาร์คเห็นผม ตัวผมก็ปลิวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดนั้นทันที ปาร์คกอดผมแน่นราวกับว่ากลัวผมจะหายไป ร่างที่สั่นสะท้านนั้นทำเอาใจผมตกวูบไปด้วยเช่นกัน ผมไม่เคยเห็นปาร์คในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อนเลย

แล้วก่อนหน้าที่ผมขอร้องไม่ให้ชัญญ่าบอกปาร์คเรื่องผม เห็นแก่ตัวเพื่อให้ผมตัดใจจากปาร์คได้เร็วๆ มันคืออะไร ผมจะปล่อยให้ผู้ชายคนนี้อ่อนแอต่อหน้าคนอื่นโดยไม่มีใครปลอบอย่างนั้นหรือ

   “...” ผมไม่ตอบอะไร เพียงค่อยๆ เอื้อมมือของตัวเองทั้งสองข้างโอบกอดปาร์คเช่นกัน ก่อนจะลูบแผ่นหลังปาร์คเบาๆ อย่างปลอบประโลม

   “ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งปาร์ค” ปาร์คพึมพาที่ข้างหูผมเสียงสั่น พร้อมกับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ผมเองก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน

   “มึง เพราะมึงเองสินะ กูจะฆ่ามึง!” เสียงหวีดร้องของผู้หญิงที่ถูกกระชากหน้ากากจนเผยให้เห็นความชั่วร้ายดังขึ้น ก็จะพุ่งมาหาผมที่ปาร์คเพิ่งจะละอ้อมแขนออก

   “ถ้าแกกล้าทำอะไรเพื่อนฉันก็เอาสิ!” แต่เป็นชัญญ่าที่พุ่งตัวเข้าขวางก่อนจะผลักผู้หญิงคนนั้นออกไปก่อน ตอนนี้คนแถวๆ ล็อบบี้เริ่มแตกตื่นและมามุงดูกันแล้ว ขณะที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมก็วิ่งมาทางนี้แล้วเช่นกัน

   “คุณหนูมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” สรรพนามที่รปภ.ใช้เรียกชัญญ่าเล่นเอาทุกคนอึ้งและหันมาที่เธอเป็นตาเดียว

   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง บอกพวกแขกว่าไม่มีอะไร แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย จะได้ไม่แตกตื่น” เธอหันไปบอกพนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนด้วยมาดนิ่งและทรงอำนาจ “ส่วนแกควรจะกลับไปดีๆ นะ ก่อนที่จะหาว่าฉันรังแก”

   “มึงจะทำอะไร คิดว่าที่นี่เป็นโรงแรมของมึงแล้วกูจะกลัวเหรอ ก็ดีสิถ้าโรงแรมมันจะมีข่าวฉาวๆ มันจะได้ไม่มีใครกล้าเข้าใช้ เจ๊งๆ ไปเหมือนที่พวกมึงทำกับกูไง!” เกลกล่าวอย่างเดือดดาลและไม่เกรงกลัว นั่นสิถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา โรงแรมนี้ก็อาจจะเสียชื่อเสียงไปด้วย ผมว่าเรื่องมันจะเริ่มบานปลายมากขึ้นแล้ว ก่อนที่เกลจะเบนความสนใจกลับมาหาผมอีกครั้ง “มึงก็ด้วยอีตุ๊ด กูเอามึงตายแน่! อีตุ๊ดเหี้ย! อีสารเลว!”

   “หยุดนะเกล ถ้าเกลทำอะไรฟร๊องก์อย่าหาว่าปาร์คไม่เตือน” ปาร์คกันเกลออกจากผม ก่อนจะคว้าตัวผมกลับไปอยู่ในวงแขนอีกฝั่งเพื่อให้พ้นจากตัวเกล ดินเข้ามาดึงตัวปาร์คไปด้านหลังก่อนที่จะตัวเองกับพัฒน์จะมายืนกันด้านหน้าผมกับปาร์คอีกที ตอนนี้ผมอยู่ในอ้อมแขนของปาร์คอีกครั้ง “ไม่ต้องกลัวนะ ปาร์คไม่ยอมให้ใครทำอะไรฟร๊องก์หรอก”

   “หยุดอาละวาดในโรงแรมของฉันได้แล้ว หยุดสันดารต่ำๆ ของตัวเองซะ อยากให้คนอื่นรู้นักหรือไงว่าตัวเองมาจากครอบครัวแบบไหน อยากให้ฉันพูดออกมาไหมล่ะ ที่อัพตัวเองให้ดูดีขึ้นมา แต่งตัวดี ใช้ของแพงแบบนี้น่ะ อยากให้พูดไหมว่าได้มันมาจากไหน อ๋ออีกอย่างนะ ถ้าคิดว่าจะไม่จบจริงๆ ก็เตรียมตัวดูพ่อกับพี่ชายตัวเองเข้าไปนอนในคุกได้เลย!” ชัญญ่าพูดเสียงเหี้ยมและเฉียบขาด จนผมที่ได้ยินเองยังขนลุก ผมไม่รู้ว่าชัญญ่ากำลังพูดถึงอะไรเกี่ยวกับเบื้องหลังของครอบครัวผู้หญิงคนนั้น คนอื่นๆ ก็ดูไม่รู้เรื่องด้วยเช่นกัน แต่คำพูดของชัญญ่านั้นเล่นเอาเกลสงบลงได้ทันตาเห็น

   “ฝากไว้ก่อนเถอะ! โดยเฉพาะมึงอีตุ๊ด!”

   “ฉันเตือนแล้วนะ แล้วอย่าคิด... ถ้ายังไม่จบก็เห็นดีกัน” ชัญญ่าเข้าไปกระซิบข้างหูผู้หญิงคนนั้นเสียงเบาจนผมไม่ได้ยินว่าเธอบอกว่าอะไร ก่อนจะพูดเสียงเยือกเย็นอีกครั้งพร้อมกับเปิดกระเป๋าให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน สิ่งนั้นทำเอาอีกฝ่ายที่ปากเก่งก่อนหน้าถึงกับหน้าถอดสีไปเลย ก็จะไม่ได้ช็อคได้ไง พวกผมเองยังช็อคเลย ก็ในเมื่อในกระเป๋านั้นคือปืนพกขนาดเล็ก สีดำขลับตัดกับสีกระเป๋าสีขาวอย่างเห็นได้ชัดเลย และผมรู้ว่าคนอย่างชัญญ่าพูดจริงทำจริงแน่ๆ ขนาดคนที่เคยมาใส่ร้ายผมกับเก็ทเมื่อตอนที่ผมเจอชัญญ่าครั้งแรก ถ้ายังจำกันได้ เธอยังเล่นซะอ่วมเลย

   “ชิ!” เกลจิ๊ปากอย่างไม่พอใจก่อนจะรีบเดินปึงปังออกจากโรงแรมไป จบเรื่องสักที จบแล้วจริงๆ

   “ฟู่ววว... จบซะที นึกว่าจะต้องสวมบทโหดมากกว่านี้ซะอีก” ชัญญ่าหันกลับมาเป่าปากและพูดขำๆ ทำให้ความตึงเครียดเมื่อครู่จางลง

   “แค่นั้นก็โหดมากแล้วคร้าบบบ ว่าแต่ในกระเป๋านั่นของจริงของปลอม” เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง ดินก็เปิดฉากกวนขึ้นมาทันทีเช่นกัน

   “ลองให้ฉันทดสอบดูสักหน่อยไหมล่ะ หึหึ” ชัญญ่าพูดเสียงเข้มพร้อมกับทำท่าเหมือนจะล้วงเข้าไปหยิบปืนในกระเป๋า เล่นเอาดินที่กวนๆ รีบยกมือขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แต่มันก็เรียกเสียงหัวเราะของพวกเรากลับมาได้อีกครั้ง


à suivre...


ในที่สุดเกล ชะนีผีบ้าก็ถูกจัดการแล้วจ้าาา
แต่จะจบเรื่องหรือยังอันนี้ก็ไม่รู้สินะ หุหุ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 43 P.7 [UP! 7/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 08-09-2017 13:17:37
เรามองว่าปาร์คเห็นแก่ตัวและสมควรถูกทิ้งให้เสียใจมากกว่า จริงอยู่ที่ปาร์คอยู่ด้วยเวลาฟร็องก์เสียใจ แต่ก็เป็นปาร์คเอมไม่ใช่เหรอที่ทำฟร็องก์เสียใจ?? มีแฟนอยู่แล้ว แล้วก็หลงผู้หญิงคนนั้นมากยังจะมายุ่งวุ่นวายกับฟร็องก์อีกทำร้ายร่างกาย ข่มขืน คือเอาตรงๆก็อยากให้ฟร็องก์ไม่ต้องสนใจปาร์คแล้วให้ปาร์คมันรู้ไปเลยตอนที่มันสายไปแล้วให้มันโง่ไปอยู่อย่างนั้นละ สมควรถูกทิ้งให้เสียใจและสำนึกกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่อยากให้ฟร็องก์หลงผิดอยู่แต่กับคนเดิมๆ ปาร์คมันไม่คู่ควรอ่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 43 P.7 [UP! 7/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 08-09-2017 16:18:46
คือ อิปาร์คอยู่ข้างฟร๊องค์ตอนไหนเหรอ ทำไมเราไม่เห็น??
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 43 P.7 [UP! 7/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-09-2017 23:39:34
จะให้คนอ่านซาบซึ้งกับความเป็นพระเอกของผู้ชายคนนี้..ตรงไหนอ่ะ
ช่วยหาให้หน่อยดิ..เพราะอ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้..ก็ยังหาไม่เจอซักที่
ซาบซึ้ง ตรึงใจ..ยังไงฟ่ะ ไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย

เค้าเปลี่ยนใจไปเอง ไม่มีใครบังคับ ไปด้วยตวามเต็มใจของตัวเอง ล้วนๆ
เทียวรับเทียวส่ง กินขี้ปี้นอน คบหากันเฉกเช่นคนรัก
คอยปกป้อง คุ้มครองดูแลผู้หญิงของเค้า ปานจะแหกหีบเลียดม

ถ้าจะโดนคนที่เค้ารักหลอกเอา แล้วฟร๊องก์ไปเดือดร้อนอะไรกับเค้าด้วย
ต่อให้จากที่เป็นคนกลายเป็นไอ้หน้าวัว โง่เป็นควาย ก็เรื่องของเค้าดิ ทำตัวเองทั้งนั้น
โดนคนที่ตัวเองรักหัวปักหัวปำ หลอกเอา มันน่าสงสารตรงไหน หุหุ สมน้ำหน้ามากกว่า

ขอโทษนะ..ถ้าคอมเม้นท์นี้จะพูดตรงเกินไป
เพราะโลกนี้สวยไม่พอสำหรับคนชื่อ "ปาร์ค"

โลกสวยไม่ไหวว่ะ..ไม่ไหวเจรง เจรง
หุหุ


+1 ฮับ คุณคนแต่ง
อิอิ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 43 P.7 [UP! 7/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-09-2017 09:36:10
เรามองว่าปาร์คเห็นแก่ตัวและสมควรถูกทิ้งให้เสียใจมากกว่า จริงอยู่ที่ปาร์คอยู่ด้วยเวลาฟร็องก์เสียใจ แต่ก็เป็นปาร์คเอมไม่ใช่เหรอที่ทำฟร็องก์เสียใจ?? มีแฟนอยู่แล้ว แล้วก็หลงผู้หญิงคนนั้นมากยังจะมายุ่งวุ่นวายกับฟร็องก์อีกทำร้ายร่างกาย ข่มขืน คือเอาตรงๆก็อยากให้ฟร็องก์ไม่ต้องสนใจปาร์คแล้วให้ปาร์คมันรู้ไปเลยตอนที่มันสายไปแล้วให้มันโง่ไปอยู่อย่างนั้นละ สมควรถูกทิ้งให้เสียใจและสำนึกกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่อยากให้ฟร็องก์หลงผิดอยู่แต่กับคนเดิมๆ ปาร์คมันไม่คู่ควรอ่ะ  :katai1:

เห็นด้วยสุดๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 43 P.7 [UP! 7/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 09-09-2017 18:21:34
จบแล้ว เป็นแฟนกับปาร์คได้เย่ๆ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 43 P.7 [UP! 7/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-09-2017 00:46:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 43 P.7 [UP! 7/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 10-09-2017 05:43:46
ผู้ชายขยะเปียก ขอด่าไว้ก่อน 555 แต่งดีนะ สำนวนดี ตัวละครน่าถีบดี ขออ่ะ อย่าให้นังปาร์คมันเป็นพระเอกเลย เจ็บแล้วจำนะ ผู้ชายขี้หมาแบบนี้อย่าไปใส่ใจเลย เกลียดดดด ///อิน
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 44 [11/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 11-09-2017 19:50:44
Chapitre 44

   เรื่องของเกลจบไปได้สักที ผมกระชากหน้ากากอันแสนดีที่ปกปิดความเลวของผู้หญิงคนนั้นให้ปาร์คเห็นได้สักที แถมยังได้ผลเกินคาดด้วยซ้ำจากการช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถของชัญญ่า ผมซาบซึ้งกับน้ำใจของเธอมากแม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ผมรับรู้ได้เลยว่าเธอจริงใจมากแค่ไหน

   หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากโรงแรมไปด้วยท่าทางหัวเสียเต็มประดา พวกเราก็กลับมามีเสียงหัวเราะกันอีกครั้ง ปาร์คที่ยังกอดผมแน่นก็มีอาการดีขึ้นมาก จนไม่เหลือเค้าของคนที่เศร้าเสียใจเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า

   “ปะ... ปล่อยได้แล้ว!” ผมผลักอกปาร์คออกเบาๆ เพื่อบอกให้ปล่อย คนมองหมดแล้วไม่อายหรือไงมายืนกอดกันกลางล็อบบี้โรงแรมแบบนี้

   “ปาร์คยังเป็นห่วงฟร๊องก์อยู่เลย อีกอย่างอยากให้ฟร๊องก์ปลอบใจปาร์คด้วย” ปาร์คไม่ยอมปล่อยผมออกจากวงแขนนั้น แถมยังพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอ้อนผมอีก

   “กูอยากจะถ่ายคลิปให้พวกไอ้โจ้ ไอ้เก๋งดูจังเลยว่ะ มันคงหัวเราะฟันหลุดที่เห็นมึงอ้อนเหมือนเด็กๆ แบบนี้ ฮ่าๆ เหี้ยเอ๊ย! หมดคราบไอ้เสือหล่อที่กูรู้จักเลยว่ะ” เป็นดินครับที่เอ่ยปากแซวซะปาร์คแทบมุดหน้าหนีเลย แต่ยังไงมันก็ยังไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี “สรุปคือคนนี้เหรอวะที่ชอบมาบ่นๆ กับกู”

   “หุบปากไปเลยไอ้สัด!” ปาร์ครีบแหวใส่ทันที สองคนนี้พูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจ แต่ทำไมทั้งชัญญ่า ทั้งพัฒน์ถึงต้องยิ้มแปลกๆ กันด้วยล่ะ

   “ปล่อยเลย!” ผมออกแรงผลักปาร์คออกอีกครั้งจนหลุดออกจากอ้อมแขนนั่น แขนคนหรือหนวดปลาหมึกก็ไม่รู้ เหนียวจริงๆ เลย!

   “เออ ว่าแต่เรื่องที่ชัญญ่าใช้ขู่เกลคือเรื่องอะไรอ่ะ พ่อกับพี่ชายทำอะไรงั้นเหรอ” ดินวกกลับมายังปริศนาที่ชัญญ่าทิ้งเอาไว้ก่อนหน้า นั่นสิ ครอบครัวผู้หญิงคนนั้นทำผิดกฎหมายด้วยอย่างนั้นเหรอ

   “ไปหาที่อื่นคุยกันดีกว่าไหม เห็นทีตรงนี้ไม่สะดวก ไหนๆ เราก็เปิดห้องไว้ให้แล้ว ก็ขึ้นไปพักสักหน่อยล่ะกันจะได้ไม่เสียเที่ยวที่มา จะบอกนะว่าโรงแรมของพ่อเรานี่วิวสวยมากเลยนะ ที่พูดนี่ไม่ได้โปรโมทเลยนะจริงๆ คิกๆ” ชัญญ่าว่าอย่างอารมณ์ดี พร้อมโปรโมทโรงแรมของตัวเองเสร็จสรรพ “ถ้าใครหิวก็สั่งอาหารขึ้นมากินได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

   หลังจากที่ขึ้นมาบนห้องที่ชัญญ่าจองเอาไว้ ไม่ใช่ห้องที่ดินพาเกลเข้าไปตอนแรก แต่เป็นอีกห้องหนึ่ง ทั้งผม ชัญญ่าแล้วก็พัฒน์ต้องนั่งอธิบายแล้วก็ขอโทษขอโพยปาร์คอีกครั้งสำหรับเรื่องที่วางแผนไว้ทั้งหมด แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ซึ่งปาร์คไม่ได้ติดใจเอาความอะไร ได้แต่บอกขอบคุณ แถมยังดึงผมเข้าไปโอบและก้มลงมาหอมบนศีรษะผมต่อหน้าคนอื่นๆ อีก เล่นเอาผมอายจนไม่กล้ามองหน้าใครเลย

   “มึงห่างจากฟร๊องก์บ้างก็ได้มั้ง กูรู้แล้วว่ามึงรู้สึกจริงๆ อีกอย่างไม่ต้องกลัวจะแย่งหรอก” ดินพูดขึ้นขณะที่ผมยังคงก้มหน้าอย่างอายๆ อยู่ แต่ต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินชื่อผมอยู่ในประโยคนั้น

   “มึงก็ลองดูดิ มึงได้โดนตีนกูอีกแน่” ปาร์คชี้หน้าคาดโทษ

   “กูแค่ล้อเล่น ไอ้นี่ก็จริงจังไปได้ แค่หมัดมึงนี่ หน้ากูคงช้ำไปหลายวันแล้ว” ดินยกมือเอือมๆ ก่อนจะชี้ที่รอยช้ำมุมปากที่เกิดขึ้นเพราะปาร์ค รอยที่ปาร์คฝากไว้กับเพื่อนเพราะผู้หญิงคนนั้น

   “ก็มึง...” ปาร์คกัดฟันกรอด

   “ว่าแต่มึงต่อยมันทำไมวะ” พัฒน์หันไปถามปาร์ค เช่นเดียวกับที่ผมสงสัยและตั้งสมมติฐานไปก่อนหน้า

   “ก็ไอ้ดิน...” ปาร์คพูดอ้ำอึ้ง พลางหันมามองหน้าผมด้วยความประหม่า

   “เพราะกูดันไปพูดจี้จุดมันเข้าไง หึหึ”

   “จี้จุดเรื่องเกลเหรอ หรือว่าเรื่องอื่น” ชัญญ่าว่าพลางเลิกคิ้วอย่างสงสัย แต่ริมฝีปากกลับกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะหันมามองผมกับปาร์คสลับกัน

   “เรื่องเกลน่ะ แทบไม่ต้องเคลียร์อะไรกันเลยด้วยซ้ำ เพราะหลักฐานมันมัดแน่นขนาดนั้น อีกอย่างดูไอ้หล่อมันออกจะโล่งอกด้วยซ้ำไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าทั้งดินกับมันก็รู้สึกแย่อยู่ไม่น้อยที่โดนสวมเขา ส่วนเรื่องที่ทำให้ปาร์คมันต่อยดินก็เพราะ...”

   “ไหนว่าจะคุยเรื่องเกลที่ชัญญ่าพูดค้างไว้เมื่อกี้ไง” ปาร์ครีบโพล่งขึ้นมาทันทีโดยที่ดินยังพูดไม่จบ

   “แหมรีบเปลี่ยนเรื่องเชียวนะมึง เจ้าตัวก็อยู่นี่แล้วมึงไม่บอกไปตรงๆ วะ”

   “มึงไม่ต้องยุ่งเลย!” ปาร์คว่าเสียงเข้มจนผมต้องหันไปมอง สาเหตุที่ทำให้ปาร์คต่อยดินมันร้ายแรงถึงขนาดทำให้ปาร์คต้องโมโหจนหน้าแดง หูแดงเลยเหรอ

   “กูก็ไม่ได้อยากจะยุ่งหร้อกกก! ถ้ามึงไม่ได้มาปรับทุกข์ให้กูฟังบ่อยๆ ถ้าขืนมึงยังเป็นอยู่แบบนี้นะ สิ่งที่กูพูดกับมึงไปก่อนหน้านี้ มันอาจจะไม่ได้เป็นแค่คำพูดพล่อยๆ จากปากกูก็ได้”

   “กูก็แค่... อาย”

   “ถุย!! เสือไม่สิ้นลายอย่างมึงเนี่ยนะจะอาย กูจะบอกมึงให้นะ อะไรที่มึงทำได้ตอนมึงยังมีโอกาสอ่ะ มึงก็ควรทำมันให้ดีที่สุด ในเมื่อมึงรู้ตัวมึงแล้ว มึงก็ควรจะเลิกในสิ่งที่จะทำให้มึงเสียเขาไป ก่อนที่มึงจะไม่มีโอกาสนั้นอีก”

   “พูดเรื่องอะไรกันวะ กูไม่เห็นเข้าใจ กูแค่ถามว่าทำไมมึงต้องต่อยกัน นี่มึงพูดกันไปยันไหน” พัฒน์โวยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเนื้อหาที่สองคนนั้นคุยกันมันเริ่มออกทะเลไปเรื่อยๆ แม้แต่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ

   “เออๆ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าไอ้ปาร์คมันน่าจะเข้าใจแล้วกัน กลับมาเรื่องเกล ชัญญ่าตกลงมันเป็นไงมาไง” ดินบอกปัดๆ อย่างเอื้อมระอา ก่อนจะหันไปหาชัญญ่าเพื่อเปลี่ยนประเด็น

   “เราให้คนไปสืบเรื่องเกี่ยวกับเกลมา จริงๆ แล้วเกลน่ะเคยเป็นพวกเด็กไซด์ไลน์ เด็กเสี่ยมาก่อน แต่ไม่ค่อยมีคนรู้หรอก” ชัญญ่าพูดอธิบายไปเรื่อยๆ ขณะที่พวกผมก็นั่งกินพวกของกินเล่นที่สั่งขึ้นมา โดยเฉพาะผมกับปาร์คที่ยังไม่ได้กินอะไรกันเลยตั้งแต่เย็น ถึงตอนนี้โคตรหิวครับ แต่เรื่องที่ชัญญ่าเล่าเองก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จนพอเข้าจุดไคลแม็กซ์ผมกับปาร์คก็วางมือจากการกินมาตั้งใจฟังพร้อมๆ กัน

   แค่เรื่องที่เกลนั่นเคยเป็นเด็กเสี่ยมาก่อนก็เล่นเอาอึ้งแล้ว แต่ที่เปลี่ยนมาคบปาร์คก็เพราะจะลบประวัติตัวเอง แต่บังเอิญได้มาเจอดินแล้วชอบเลยตามจีบไปด้วยทั้งที่กำลังคบกับปาร์คอยู่ แต่จะปล่อยปาร์คไปก็เสียดาย ตรงที่ปาร์คเองก็หล่อ แถมยังรวยอีก เธอเลยเลือกจับปลาสองมือ แต่มันไม่หมดแค่นั้น ที่เกลใช้ของดีๆ แพงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะเงินจากปาร์ค แต่เป็นเงินที่ได้จากอาชีพเก่าของเธอ ที่ก็ยังคงแอบทำอยู่บ้างประปราย

   แค่เรื่องนี้ก็เล่นเอาทั้งปาร์คและดินอึ้งสนิท ใบ้กินกันแล้ว แต่จุดพีคของเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้น ก็คือครอบครัวเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย แต่ทำแค่เฉพาะพ่อกับพี่ชายเท่านั้น ส่วนแม่กับตัวเกลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็ร่วมกันปกปิดความผิดดังกล่าวอยู่ดี พอชัญญ่าขู่ว่าจะเอาเรื่องนี้แจ้งความ เธอก็เลยต้องยอมสยบเพราะไม่มีอะไรมาต่อรองได้ อีกทั้งคงไม่อยากให้เรื่องแย่ๆ ของตัวเองถูกเปิดเผยด้วยแหละ เพราะนอกจากจะอับอายคนอื่นๆ แล้ว ถ้าทางมหาวิทยาลัยรู้เข้า เธอก็คงถูกไล่ออกสถานเดียว

   โชคดีแล้วแหละที่ปาร์คหลุดออกมาจากผู้หญิงสกปรก ประวัติฉาวโฉ่ขนาดนี้ได้ ดินเองก็เหมือนกัน ท่าทางติสท์ที่ได้เจอตอนแรกๆ ทำให้คิดว่าเข้าถึงยาก แต่พอคุยๆ กันมาดินเป็นคนที่คุยเก่งและกวนประสาทมาก จึงไม่แปลกที่จะเริ่มสนิทกันได้เร็ว และด้วยนิสัยแบบผู้ชายที่ไม่ค่อยคิดอะไรมากเหมือนพวกผู้หญิงด้วย เลยคุยกันง่ายๆ ไปหมด

   “ว่าแต่มึงไปรู้จักกับเกลได้ไงวะ” ดินเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่อาหารในจานของปาร์คหมด และคำถามนั้นก็ดึงความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี จนทำให้ต้องหันไปมองเพื่อรอฟังคำตอบเช่นกัน

   “ปาร์คได้เจอกับเกลเมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากที่กลับจากเล่นบาสกับพวกดินเนี่ยล่ะ ปาร์คไปกินข้าวแถวร้านเกมที่เล่นประจำตอนมัธยมซึ่งมันอยู่ในซอย ซึ่งมืดแล้วมันค่อนข้างเปลี่ยว ก็เห็นเกลกำลังวิ่งหนีผู้ชายสองคน ซึ่งปาร์คเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีปัญหาอะไรกัน แต่ท่าทางของเกลดูกลัวมาก พอเธอวิ่งมาใกล้หน่อยปาร์คเลยดึงเข้าไปหลบในร้านเกม” ปาร์คพูดพลางมองหน้าผมไปด้วยเช่นกัน

   “ก็เลยปิ๊งกันเลยเหรอวะ”

   “เปล่าหรอก ตอนนั้นเกลก็แค่ขอบคุณ กูก็ไม่ได้อะไร ก็ต่างคนต่างแยกย้าย” ปาร์คหันไปตอบดิน ก่อนที่จะหันกลับมายังผมเช่นเดิม “แต่หลังจากนั้นอ่ะ ปาร์ครู้สึกว่าได้เจอเกลที่มหา’ลัยมากขึ้น คือ... ก็พอมองออกว่าเกลกำลังสนใจปาร์คอยู่ ปาร์คก็เลย... เล่นด้วย”

   “...” ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ผมเองก็เบือนหน้าหนีเช่นกันหลังจากที่ได้ยินแบบนั้น เพราะแบบนี้ปาร์คถึงได้เล่นกับความรู้สึกของผมด้วยหรือเปล่า

   “แต่จริงๆ ปาร์ค... คือปาร์ค... ก็ไม่ได้จะจริงจังกับเกลนะ” ปาร์คละล่ำละลักพูดด้วยความรีบร้อน

   “ก็ตามสไลต์มึงใช่ป่ะล่ะ คุยไปเรื่อยๆ เบื่อก็เลิก”

   “เข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมพูดแทรกขึ้น ก่อนจะลุยไปเข้าห้องน้ำทันที

   “ฟร๊องก์!” เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงเรียกจากปาร์คดังตามหลังผมมา “ฟร๊องก์ อย่าเข้าใจปาร์คผิดนะ ฟร๊องก์!”

   “เข้าใจผิดอะไร ฟร๊องก์แค่จะเข้าห้องน้ำ” ผมบอกออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ในใจมันปวดจนทนฟังไม่ได้ แค่อยากเล่นด้วย เบื่อแล้วก็เลิก มันไม่ต่างอะไรจากผมเลย ผมไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายด้วย แม้ว่าคนที่อยู่ด้านนอกจะกำลังหัวเราะกำลังสิ่งที่ผมพูดออกไปก็ตาม       

   หลังจากที่ผมออกจากห้องน้ำ ปาร์คก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเกลต่อ ทุกคนจึงเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมและแยกย้ายกันกลับ ปาร์คที่ไม่ได้เอารถมาจึงต้องติดรถคนอื่นกลับ ตอนแรกผมจะเดินไปขึ้นรถพัฒน์กลับเหมือนตอนแรกที่มา แต่กลับถูกปาร์ครั้งเอาไว้ซะก่อน ก่อนจะจูงมือกึ่งลากผมไปยังรถของชัญญ่า

   ซึ่งชัญญ่าก็ไม่ได้มีการขัดข้องอะไรเลย แถมยังดูเหมือนเป็นใจในสิ่งที่ปาร์คกำลังทำอยู่อีกต่างหาก ชัญญ่าขับรถพาปาร์คไปส่งที่คอนโดฯ แน่นอนว่าผมก็ไม่พ้นที่จะโดนลากลงไปด้วย ส่วนพัฒน์ที่มากับผมก่อนหน้าก็สบายตัว บอกว่านัดเพื่อนไปฉลองกันต่อกับดินเรียบร้อย ปล่อยให้ผมมากับไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่ตามลำพัง

   “ปล่อยฟร๊องก์เลยนะ ฟร๊องก์จะกลับบ้าน!” ผมพยายามบิดข้อมือตัวเองให้หลุดจากการจับกุมของปาร์ค ไอ้นี่มันเหนียวทั้งมือทั้งแขนเลยหรือไง แขนก็หนวดปลาหมึก มือยังเหนียวอย่างกับตีนตุ๊กแกอีกต่างหาก!

   “จะรีบกลับไปไหนเล่า ปาร์คยังอยากให้ฟร๊องก์อยู่กับปาร์คอยู่เลยนะ ก่อนหน้าโทรหาก็ไม่เคยรับสายปาร์คเลย ไลน์ไปก็ไม่ตอบ”

   “ไม่ต้องมาอ้างเลย! ปล่อย  จะกลับ!”

   “โถ่... ทำไมใจร้ายกับปาร์คแบบนี้ล่ะ อยู่ด้วยกันก่อนนะครับคนดี” ปาร์คทำเสียงออดอ้อนพร้อมกับยกมือของผมที่ตัวเองจับเอาไว้ยกไปแนบหน้าอีก

   “ฟร๊องก์น่ะเหรอที่ใจร้าย หึ พูดใหม่ไหม” ผมตีเสียงเรียบและพยายามดึงมือกลับ

   “ปาร์คขอโทษ...”

   “ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ฟร๊องก์จะกลับแล้ว” ผมยังคงดื้อดึง เพราะตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องอยู่กับปาร์คต่อแล้ว เรื่องที่ผมต้องการช่วยปาร์คจบลงแล้ว นั่นก็หมดหน้าที่ของผมแล้ว ผมไม่อยากให้มันมีเรื่องที่เกินเลยเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนอีก ผมไม่อยากเป็นของเล่นที่เบื่อแล้วก็ทิ้งอีก

   “อยู่กับปาร์คสักคืนนะ แค่คืนเดียวก็ได้ ปาร์คอยากมีฟร๊องก์อยู่ข้างๆ” ปาร์คว่าเสียงเศร้าลงจนผมต้องเงยหน้ามองใบหน้าสลักเสลาที่ดูหม่นลงในพริบตา

   “อะ... อืมก็ได้ แต่หลังจากคืนนี้ฟร๊องก์เองก็มีเรื่องจะพูดกับปาร์คเหมือนกัน” ผมเอ่ยเสียงจริงจัง บางทีมันก็ถึงเวลาที่ต้องพูดอะไรตรงๆ แล้ว การที่ผมหนีเรื่อยๆ มันไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นหรอก อย่างน้อยตอนนี้เรื่องเข้าใจผิดทั้งหลายก็คลี่คลายลงแล้ว จะเหลือก็แค่ความรู้สึกระหว่างผมกับปาร์ค ที่มันถึงเวลาที่ต้องจัดการกับมันด้วยเหมือนกัน

   “ขอบคุณนะ เรื่องเกลปาร์ครู้ว่าตอนอยู่ที่โรงแรม ฟร๊องก์ไม่สบายใจ ปาร์คเองก็รู้สึกไม่ดี ปาร์ครู้ว่าปาร์คเลว ที่คุยกับคนนั้น คนนี้ไปทั่ว แต่ไม่ใช่สำหรับฟร๊องก์เลยนะ ฟร๊องก์สำคัญกับปาร์คเสมอ”

   “...” ผมก้มหน้าและเสมองไปอีกด้าน

   “ปาร์คกับเกลเคยตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกว่าจะไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ตอนแรกเกลก็ยินดี และเกลเองก็เป็นคนที่คอยให้คำปรึกษาหลายๆ อย่างได้ดี เลยทำให้ปาร์คคุยกับเกลนานกว่าคนอื่นๆ นั่นอาจจะทำให้เกลเข้าใจผิดว่าปาร์คจริงจังมั้ง เลยทำให้เรื่องมันบานปลายแบบนี้ แต่ปาร์คก็ไม่โทษเกลหรอก ที่มันวุ่นวายแบบนี้ก็เพราะตัวปาร์คไปเล่นด้วยเอง ไม่งั้นฟร๊องก์ก็คงไม่ต้องเจ็บเพราะปาร์คแบบนี้”

   “ช่างมันเถอะปาร์ค ยังไงเรื่องมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว อีกอย่างปาร์คเองก็คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองก็รู้สึกดีกับเกลมากเช่นกัน ปาร์ครักและเป็นห่วงเกลมากจน... ทำร้ายฟร๊องก์”

   “ปาร์คขอโทษ ที่ไม่คิดจะฟังฟร๊องก์ ไม่เชื่อคนที่อยู่ข้างปาร์คมาตลอด แต่กลับไปเชื่อสิ่งที่อีกคนต้องการทำให้เข้าใจผิด วันนั้นเกลมาหาปาร์คในสภาพที่ยับเยินมาก แล้วบอกว่าฟร๊องก์เป็นคนทำ ด้วยเกลที่เป็นผู้หญิงอยู่ในสภาพนั้น มันเลยทำให้ปาร์คโมโห ปาร์คขอโทษจริงๆ”

   “นั่นมันทำให้ฟร๊องก์รู้ไง ว่าลึกๆ แล้วปาร์คก็รู้สึกดีกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ไม่น้อย”

   “มันไม่ใช่ความรู้สึกดีที่เกิดจากความรักหรอก แต่ปาร์ครู้สึกสงสารมากกว่า”

   “ก็เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เหรอที่ทำให้ปาร์คต่อยดินแบบนั้น” ผมเอ่ยถามในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในหัว

   “มันไม่เกี่ยวกับเกลเลย แต่เพราะไอ้ดินมันบอกว่า... สักวันปาร์คจะเสียฟร๊องก์ไป เพราะนิสัยเลวๆ ของปาร์คที่คุยกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว”

   “...”

   “แต่หลังจากนี้ปาร์คจะเลิกทำเลวๆ แบบนั้นแล้วนะ ปาร์คจะมีแค่ฟร๊องก์คนเดียว ส่วนเรื่องเกลมันก็ไม่มีอะไรแล้ว ปาร์คไม่ได้รักหรือรู้สึกกับเกลมากไปกว่านั้นเลยจริงๆ”

   “ช่างมันเถอะ อย่าพูดถึงมันอีกเลย”

   “ปาร์คแค่อยากให้ฟร๊องก์ได้รู้ ครั้งแรกที่ปาร์คได้เจอเกล เธออยู่ในสภาพที่น่าสงสาร มันเลยทำให้ภาพๆ นั้นติดอยู่ในใจของปาร์ค ปาร์คคบกับเกลส่วนหนึ่งก็เพราะสงสาร แต่ปาร์คก็ไม่โทษใครหรอก นอกจากปาร์คเอง แต่ปาร์คก็ขอบคุณฟร๊องก์นะ ทั้งที่... ปาร์คทำร้ายฟร๊องก์ไว้ขนาดนั้น แต่ฟร๊องก์ก็ไม่เคยทิ้งปาร์คไปเลย”

   “...” ผมไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้มองปาร์คด้วยว่าอีกฝ่ายอยู่ในความรู้สึกแบบไหน

   “ตอนแรกปาร์คก็แปลกใจนิดหน่อยนะ ที่ชัญญ่าติดต่อมาหา”

   “แล้ว... ทำไมปาร์คถึงยอมมากับชัญญ่าล่ะ” ปาร์คพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้ผมหันกลับไปยังคนที่สูงกว่าด้วยคำถามที่ค้างอยู่ในใจ คำถามที่ผมเคยถามชัญญ่าไปแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ

   “ปาร์คตัดสินใจไปตามที่ชัญญ่าบอก ไม่ใช่เพราะเรื่องของเกลหรอก แต่เหตุผลเพราะฟร๊องก์ต่างหาก...”

   “เพราะฟร๊องก์...”

   “ชัญญ่าบอกว่าถ้าอยากไถ่โทษกับสิ่งที่เคยทำกับฟร๊องก์ไว้ เพราะอารมณ์และความเข้าใจผิด ปาร์คก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อฟร๊องก์บ้าง นั่นล่ะคือเหตุผลที่ปาร์คมากับชัญญ่า โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องมันจะเกี่ยวข้องกับเกล แถมสุดท้ายก็ยังคงเป็นฟร๊องก์ที่ทำเพื่อปาร์คอยู่ดี”

   “จบเรื่องก็ดีแล้วล่ะ”   

   ตลอดทั้งคืนปาร์คนอนสวมกอดผมทั้งคืนจากทางด้านหลัง ขณะที่คางก็เกยอยู่ที่ศีรษะของผมแบบนั้น และในบางครั้งจะก้มลงมาหอมเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา

   คืนนี้เป็นอีกคืนที่ดึงความรู้สึกอบอุ่นกลับมาสู่เราสองคน ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าแค่อ้อมกอดที่อบอวลด้วยความผูกพันและความรู้สึกดีๆ นี้ ก่อนที่คืนนี้แห่งความฝันนี้จะจบไปแล้วผมจะต้องตื่นมาพบกับความเป็นจริง ผมจะไม่วันลืม...

**********__________**********


.
.
.


ต่อด้านล่างฮะ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 44 [11/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 11-09-2017 19:51:07
.
.
.

   “ตื่นได้แล้ว ไม่ตื่นจะหอมให้แก้มช้ำเลย” เสียงปาร์คดังขึ้นข้างหู ก่อนจะตามมาด้วยแรงกดที่แก้มพร้อมกับความจั๊กจี๋ของไรหนวดของปาร์ค

   “อื้อ... อย่าทะลึ่ง” ผมผลักปาร์คที่กำลังลุ่มล่ามกับผมให้ออกห่างไป ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำทันที หมดคืนแห่งความสุข กลับมาสู่ความเป็นจริงแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องคุยกับปาร์คให้รู้เรื่องและไม่มีตัวแปรอื่นๆ สักที

    ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานพอสมควร จริงๆ ไอ้เวลาที่ใช้อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวมันไม่นานเท่าไรหรอก แต่ที่นานคือผมกำลังคิด เรียบเรียงคำพูดต่างๆ ที่จะใช้พูดกับปาร์คอยู่ต่างหาก อย่างน้อยพูดไปก็ยังอยากให้รู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่

   “กว่าจะออกมาได้ นึกว่าเป็นลมเป็นแล้งไปในห้องน้ำซะแล้ว”

   “ปาร์ค...” ผมเรียกชื่อปาร์คด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหา

   “ครับผม!” ปาร์คตอบรับผมด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนจะคว้าตัวผมไปนั่งจุ่มปุ๊กอยู่บนตักทันทีที่ผมเดินเข้าไปใกล้จนปาร์คคว้าตัวได้ “เรียกปาร์คทำไมครับ”

   “ฟร๊องก์ว่าปาร์คอย่าทำแบบนี้ต่อไปอีกเลยนะ”

   “ทำแบบนี้ แบบไหน หรือแบบนี้ ฟอด!” ปาร์คถามอย่างกวนๆ ก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

   “ปาร์ค! พอเถอะ พอสักที!” ผมขึ้นเสียงก่อนจะผละตัวเองให้หลุดออกมา และยืนประจันหน้ากับคนตัวสูงตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

   “ฟร๊องก์ เป็นอะไร” ปาร์คเองก็ยืนขึ้นเต็มความสูงเช่นกัน

   “ฟร๊องก์ว่าเราหยุดทำอะไรแบบนี้สักทีเถอะนะ ไหนๆ เรื่องทุกอย่างก็จบแล้ว เรื่องเข้าใจผิดต่างๆ ก็เหมือนกัน เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว เรา... ก็ควรจะจบเรื่องระหว่างเราด้วยเหมือนกัน” ผมพูดพร้อมกับมองหน้าปาร์ค มองเข้าไปในนัยน์ตาคมเข้มทรงเสน่ห์คู่นั้น ให้ปาร์คได้รู้ว่าผมไม่ได้พูดเล่นอีกต่อไป ถึงเวลาที่จะต้องพูดกันอย่างจริงจังแล้ว

   “มันเกี่ยวอะไรกันอ่ะฟร๊องก์ ปาร์คไม่เข้าใจ ในเมื่อทุกอย่างมันเคลียร์แล้ว เราสองคนก็ไม่มีอะไรต้องเข้าใจผิดกันอีกแล้ว ทำไมเรา...”

   “เพราะสิ่งที่เราทำอยู่มันผิดน่ะสิ มันผิดมาตั้งแต่ต้น แล้ว... ฟร๊องก์ก็ทำใจลืมเรื่องร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นไม่ได้จริงๆ” ผมชิงพูดอย่างรวดเร็วก่อนที่ปาร์คจะทันได้พูดจบ

   “ใครเป็นคนตัดสินว่ามันถูกหรือผิด ใครเป็นคนกำหนดว่ามันเหมาะหรือไม่เหมาะ ไม่มีเลยด้วยซ้ำ”

   “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรมันก็ผิดทั้งนั้น”

   “ฟร๊องก์คิดไปเองทั้งนั้น ทุกอย่างที่พูดมาน่ะ ฟร๊องก์คิดไปเองทั้งหมดเลย!”

   “ใช่! ฟร๊องก์คิดเองว่าเราไม่เหมาะกัน ฟร๊องก์ตัดสินมันด้วยตัวฟร๊องก์เองเนี่ยแหละ เราไม่เหมาะกัน ไม่สมควรที่จะคบกันเกินไปมากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ ฉะนั้นเรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะนะปาร์ค อย่าให้อะไรที่มันผิดพลาดไปแล้ว มันต้องผิดไปมากกว่านี้เลย”

   “ปาร์คไม่เข้าใจ ทะ... ทำไม ในเมื่อเราสองคนก็... รักกัน” ปาร์คส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ พลางมองหน้าผมด้วยสีหน้าผิดหวัง

   “รักงั้นเหรอ ปาร์คลองถามตัวเองดีๆ อีกทีว่าความรู้สึกที่ปาร์คมีต่อฟร๊องก์มันเรียกว่ารักจริงๆ หรือเปล่า คนที่รักกันเขาควรจะฟังกันและกันสิ แต่สิ่งที่ปาร์คทำกับฟร๊องก์ก่อนหน้า ปาร์คไม่เคยฟังฟร๊องก์เลย และการกระทำของปาร์คเองก็ไม่เหมือนกับคนที่เขาปฏิบัติต่อคนที่รักเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่ฟร๊องก์อ้อนวอน ขอร้องบอกว่าเจ็บปาร์คยังไม่สนใจเลย เนี่ยเหรอความรู้สึกของคนที่รักกัน” แม้ผมจะพยายามกลั้นน้ำตามากเพียงไร แต่ความอ่อนแอในใจผมมันก็มีพลังมากจนเกินกว่าที่ผมจะห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้

   “ระ... เรื่องนั้นปาร์คขอโทษ” ปาร์คเอ่ยเสียงแห้งและแผ่วเบา

   “แม้แต่ในตอนนี้ปาร์คยังไม่แน่ใจกับความรู้สึกนั้นเลยด้วยซ้ำ”

   “ฟร๊องก์จะมารู้ดีกว่าความรู้สึกของปาร์คเองได้ไง!” ปาร์คเถียงผมเสียงเข้ม

   “รู้สิ! เพราะความไม่มั่นคงของปาร์คในตอนนี้ไง แม้แต่การขอโทษ ปาร์คยังบอกมันออกมาได้ไม่เต็มปากเลย” แล้วจะให้ผมมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าวันหนึ่งเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันอีก ปาร์คจะไม่ลงมือทำร้ายผม และผมจะมั่นใจได้อย่างไรในความรู้สึกนั้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าทางที่เราเดินไปนั้นมันไม่ผิด

   “ความรู้สึกที่ปาร์คมีให้กับฟร๊องก์น่ะ ปาร์ครู้ตัวดีว่ามันคืออะไร แต่ปาร์คแค่ละอายใจตัวเองที่ทำกับฟร๊องก์ไปก่อนหน้านี้ ปาร์คไม่รู้จะทำอย่างไรให้ฟร๊องก์หายโกรธปาร์ค และกลับมารู้สึกดีด้วยเหมือนเดิม ปาร์ครู้ว่าคำขอโทษของปาร์คมันไม่เข้มแข็งและมั่นคงพอ แต่ปาร์คอยากให้ฟร๊องก์รู้ว่ามันออกมาจากใจปาร์คจริงๆ”

   “ฟร๊องก์ยินดีรับคำขอโทษจากปาร์คนะ” ผมยิ้มจางๆ ให้กับสิ่งที่ปาร์คบอก “แต่ฟร๊องก์ก็ยังยืนยันนะว่าเราควรจบเรื่องของเราสักที มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก เชื่อฟร๊องก์สิ ระหว่างเรามันเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว ความรู้สึกของทั้งปาร์คและฟร๊องก์มันเป็นแผลลึกจนยากจะรักษาแล้ว ฟร๊องก์เองก็เหนื่อยมากแล้วเหมือนกันปาร์ค ตรงนี้ของฟร๊องก์เจ็บมาก มากเกินกว่าจะรับไหวอีกแล้ว” ผมว่าก่อนจะเอามือกุมที่หน้าอก ก้อนเนื้อด้านในผมมันเจ็บเหลือเกิน

   “มันต้องมีทางแก้ไขสิ แก้ไขสิ่งที่ผ่านมาให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ความรู้สึกดีๆ ที่เราเคยมีให้กันมันหายไปไหนหมดล่ะฟร๊องก์ ฟร๊องก์ทิ้งมันไปได้ไง” ปาร์คพยายามจับมือผมและดึงตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด ขณะที่ผมเองก็พยายามที่จะผลักออกเช่นกัน

   “ทางเดียวที่จะเยียวยาความรู้สึกเหล่านั้นได้ คือเราควรกลับไปยังจุดเริ่มต้น จุดที่เราเคยเป็นด้วยกันมานั่นคือการเป็นเพื่อน เพื่อนที่ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ปล่อยให้เรื่องราวที่ผิดของเราสองคนจบลงแค่ตรงนี้เถอะ ฟร๊องก์เองก็จะพยายามหยุดความรู้สึกที่มีไว้และกลับไปเป็นเพื่อนปาร์คเหมือนเก่า ต่อจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาที่จะเยียวยาความรู้สึกของเราสองคนนะ”
   
   “ไม่ ปาร์คไม่ต้องการเวลาอะไรทั้งนั้น ปาร์คแน่ใจความรู้สึกของปาร์ค! แล้วปาร์คก็คงกลับไปเป็นเพื่อนฟร๊องก์ไม่ได้แล้วเหมือนกัน!” ปาร์คขึ้นเสียงจนเหมือนกับการตวาด ก่อนจะโผเข้ามากอดผมด้วยความหวงแหน

   “...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ และก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรด้วย เพราะผมได้พูดมันออกไปหมดแล้ว จะด่าว่าผมขี้ขลาด ขี้แพ้ อ่อนแอ หรืออะไรก็ได้นะ เพราะผมคงเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมเจ็บ ผมกลัว และไม่กล้าที่จะเสี่ยงอะไรอีกแล้ว ผมกลัวว่าถ้าเรายังฝืนกันอยู่แบบนี้ ก็รังแต่จะเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ผมกลัวว่าผมจะต้องกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของปาร์คอีก และผมกลัวว่าวันหนึ่งเมื่อมีใครอีกคนเข้ามา ทำให้ปาร์ครู้ใจตัวเอง ผมจะต้องเจ็บอีกครั้งเมื่อปาร์คไม่เลือกผม ดังนั้นการจบทุกสิ่งทุกอย่างมันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

   ผมปล่อยให้ปาร์คกอดจนพอใจ ให้เวลากับปาร์คและตัวผมเองด้วย ก่อนที่เราจะทำแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว...
   
   “ปาร์คไม่ให้ฟร๊องก์ไป ปาร์ครู้ความรู้สึกของตัวเองดี และปาร์คก็รู้ด้วยว่าฟร๊องก์ก็ยังคงรู้สึกกับปาร์คเหมือนกัน ฟร๊องก์ยังคงรักปาร์คเหมือนเมื่อก่อน ฟร๊องปฏิเสธไม่ได้หรอก ปาร์ครู้ดี และปาร์คขอโทษกับที่สิ่งที่ผ่านมา ปาร์คขอโทษที่เคยทำร้ายฟร๊องก์ ขอโทษที่ไม่เชื่อและไม่ฟังสิ่งที่ฟร๊องก์พูด ปาร์คสัญญาว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก และปาร์คยังเชื่อว่านั่นไม่ได้ทำให้ฟร๊องก์เกลียดปาร์คหรอก” ปาร์คพึมพำกับผมพร้อมทั้งกอดแน่นขึ้นๆ

   “ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เถอะปาร์ค อีกไม่นานปาร์คจะเข้าใจความรู้สึกตัวเอง และฟร๊องก์ก็คงไม่รื้อฟื้นเรื่องราวร้ายๆ นั่นอีก แต่ให้เวลาหน่อยนะ ให้เวลากับฟร๊องก์... และตัวปาร์คเอง เพราะถ้าปาร์คมั่นคงในความรู้สึกตั้งแต่แรก เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้” ผมค่อยดันตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้น แม้ว่าปาร์คจะพยายามฝืนมากเพียงใดก็ตาม “เราอย่าเพิ่งติดต่อกันสักพักเถอะนะปาร์ค ให้เวลากับตัวเอง แล้วสักวันเราจะกลับมายิ้มให้กันแบบเพื่อนได้เหมือนเดิม”

   “ไม่ว่าปาร์คจะรั้งฟร๊องก์เอาไว้ยังไง ฟร๊องก์ยังยืนยันว่าจะไปอยู่ดีใช่ไหม” ปาร์คเอ่ยถามผมนิ่งๆ ก่อนที่ผมจะพยักหน้าอย่างจำยอม ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ “งั้นปาร์คก็จะไม่ห้าม แต่ฟังไว้นะฟร๊องก์ ปาร์คน่ะรู้ตัวเองดีแล้ว รู้มานานแล้วด้วย และไม่ว่าจะนานแค่ไหนปาร์คก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ปาร์คจะยังคงตามดูแลฟร๊องก์อยู่เสมอไม่ว่าฟร๊องก์จะรู้หรือไม่ก็ตาม เวลาที่ฟร๊องก์ขอ ปาร์คจะทำให้ฟร๊องก์เห็นและสัมผัสได้ว่าความรู้สึกของปาร์คเป็นเช่นไร ส่วนเรื่องที่ผ่านมา ปาร์คคงทำได้แค่ขอโทษฟร๊องก์ ขอโทษจากใจ”

   ผมก้มหน้าฟังในสิ่งที่ปาร์คพูด แม้ว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันจะตรงข้ามกับความรู้สึกและความต้องการจริงๆ ของผม แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดระหว่างผมกับปาร์ค


à suivre...


เราไม่แน่ใจว่าจะมีคนสงสัยเรื่องที่ปาร์คต่อยดินหรือเปล่า
ในเนื้อเรื่องเราอาจจะไม่ได้บอกละเอียด ขอขยายความเพิ่มเติมตรงนี้แล้วกันนะฮะ

เหตุผลที่ปาร์คต่อยดินแบบนั้น จริงๆ ไม่ใช่เพราะเกลหรอก แต่เป็นเพราะดินไปพูดเชิงเยาะเย้ยมากกว่า
ว่าเพราะนิสัยเลวๆ ที่ปาร์คเป็น เลยอาจทำให้ปาร์คเสียคนที่รักที่สุดไป
ดินบอกว่าเขารู้แล้วว่าใครคือคนที่ปาร์คคอยมาปรึกษาอยู่ตลอด และพอจับต้นชนปลายได้นิดหน่อยว่าที่ปัญหามันเกิด
มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งการพูดของเพื่้อนแม้จะเป็นการแซวเล่นที่ไม่ได้จริงจังมากนัก
แต่ด้วยสถานการณ์ตึงๆ ในเวลานั้น หมัดของปาร์คเลยประเคนเข้าไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

เรื่องเกลก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันเยอะ เพราะเมื่อปาร์คเข้าไปในห้อง ก็เห็นชัดเจนว่าเกลกำลังอ่อยดิน

ส่วนเรื่องของปาร์ค ก็นั่นล่ะ เพราะนิสัยของตัวเองที่ทำให้เป็นแบบนี้
ก็สมควรโดนด่าต่อไป 555555555+
แค่ไม่ด่าเค้าด้วยก็พอ งื้อออ  :mew2:

ถึงตอนนี้ฟร๊องก์พยายามตอบโต้และแสดงออกอย่างแน่วแน่แล้วนะ ว่าตัวเองจะตัดใจ
ซึ่งจะทำได้ไหม นั่นก็อีกเรื่อง 555+

ขอบคุณทุกคนมากๆ นะฮะ สำหรับความเห็นดีๆ ซึ่งอ่านแล้วก็ตึงๆ ตามอารมณ์ที่ใส่กับตัวละคร
ชอบนะ รู้สึกดี อิอิ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 44 P.7 [UP! 11/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-09-2017 23:48:18
คนดีชอบแก้ไข..แล้วตัวอะไรชอบแก้ตัว(เหี้ย)
ดีแต่คิดทำเรื่องชั่วๆ..ระเริงเมามัวเที่ยวเป็นผัวเปรอะเปื้อนไปหมด

คนพูดความจริงแล้วมันจะมาก่อนเกิดเหตุ
แต่ถ้าเป็นอิเปรตโกหกตอแหลก็จะพูดแก้ตัวหลังจากนั้นแล้ว

ใครจะเชื่อก็เชื่อไป..แต่ยังไงกรูก็ไม่เชื่อโว้ยยยยยยยยย
ตอแหลสัด แถไปเรื่อยนะเมิง

+1 ให้คนแต่งฮับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 44 P.7 [UP! 11/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-09-2017 00:30:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 44 P.7 [UP! 11/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-09-2017 01:39:49
จะเชื่อกับคำพูดของปาร์คได้เหรอ บอกว่ารู้ตัวนานแล้ว รู้ตัวทำเตี่ยมึงเดะถึงไม่คิดจะมาง้อฟร๊องก์บ้าง ถึงฟร๊องก์จะมีบอกว่าไม่อยากเจอหรือให้ห่างๆ กันก็ควรมารีบง้อแต่แรกไม่ใช่มารู้ตัวตอนที่เป็นไอ้หน้าโง่หรือควายตัวหนึ่งให้เขาสวมเขาแล้วจะมาขอโทษแค่เอ่ยคำนี้แต่ไม่ได้มีความสำนึกเลยว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้างกับฟร๊องก์ ยังจะมาทำกะหริ่มกะเหรี่ยกับฟร๊องก์กอดจูบต่อหน้าคนอื่น ทำยังกับเป็นแฟนมานมนานทั้งๆ ที่ทำร้ายเขา ไม่สนใจเขา บอกรักผู้หญิงแต่กับฟร๊องก์กับทำเหมือนเป็นแค่เพื่อนอย่างตอนเจอฟร๊องก์โดนบังเอิญก็เลือกผู้หญิง ถึงตอนนั้นจะไม่มั่นใจว่ารักหรือเปล่าแต่ก็ไม่ควรคบซ้อนแบบนี้มันทำเหมือนฟร๊องก์เป็นแค่ตัวเลือกที่มันเบื่อเมื่อไหร่ก็ทิ้งได้ตลอดเวลา บอกตรงๆ โคตรแม่ง อยากให้มันเหลือแค่ตัวคนเดียวจริงๆ เพราะนิสัยเหี้ยๆ ของมันจริงๆ  มันสมควรที่จะไม่ได้อยู่กับฟร๊องก์นะตอนจบถึงจะแฮปปี้จริงๆ อ่ะเราว่า
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 44 P.7 [UP! 11/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 12-09-2017 10:55:06
รู้แต่ไม่กล้าแก้ไขอะไร

ยังคบกับชะนีต่อไปแบบยืนให้เขางอกออกมา 99 คู่

เอิ่มมมมม ต่อให้รักจริง แต่รักควายแบบนี้ ชีวิตก็จมปลักนะครับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 44 P.7 [UP! 11/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 12-09-2017 14:19:29
อีฟร้องสติจิ โหๆๆๆ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 45 [18/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 18-09-2017 18:15:02
Chapitre 45

   ผมกลับมาจากคอนโดฯ ปาร์คได้สองวันแล้ว วันนี้เป็นต้นสัปดาห์เรียนสองสัปดาห์สุดท้ายของเทอมนี้แล้ว อีกสองอาทิตย์ข้างหน้าก็ถึงเวลาสอบแล้ว เรื่องต่างๆ ก็เคลียร์ออกจากชีวิตผมหมดแล้วเหมือนกัน เรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมหวังว่าต่อจากนี้ชีวิตของผมจะกลับมาสงบสุขเหมือนเดิมนะ

   ผมยังคงใช้ชีวิตที่มหาวิทยาลัยกับเก็ทและเพื่อนคนอื่นๆ อย่างปกติ เรื่องระหว่างผมกับโดนัท และทาร์ตก็เริ่มซาๆ ลงไปแล้ว โดนัทมักจะแยกตัวไปไหนมาไหนกับไวน์มากกว่า ขณะที่คนอื่นๆ ในกลุ่มก็ยังเหมือนเดิม ไวน์กับผมก็ยังคงคุยและแกล้งกันอยู่เหมือนเดิม ส่วนนุ่นยังคงปากหมาเหมือนเดิมเช่นกัน แต่เรื่องที่น่ายินดีคือมันยอมเปิดตัวว่าคบกับเด็กปีหนึ่งที่ชื่อเก่งกล้า ซึ่งเป็นเพื่อนกับทาร์ตแล้ว

   เก่งกล้าวนเวียนมาหานุ่นบ่อย แรกๆ ก็จะมีทาร์ตตามติดมาด้วยเสมอ แต่หลังๆ มาก็ไม่มีแม้เงาของทาร์ตตามติดมาเหมือนเคย ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจจะถามหรือตั้งข้อสงสัยหรอกว่ามันหายไปไหน เป็นแบบนี้ดีแล้ว

   ช่วงอาทิตย์ผ่านไปอย่างไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ปาร์คยังคงโทรมาในช่วงเวลาเดิมๆ ที่เราเคยคุยกันเมื่อก่อน แต่ผมก็ไม่เคยที่จะรับสาย และเจ้าตัวก็มักจะไม่ยอมแพ้โดยการส่งข้อความหรือทักไลน์มาถามไถ่ต่อเสมอ จนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ตอนเช้าปาร์คจะไลน์มาปลุกและบอกว่าตัวเองตื่นแล้ว และตอนกลางคืนจะไลน์มาบอกฝันดีกับผมเสมอ

   ส่วนเรื่องเรียนหลายๆ วิชาหมดการเรียนการสอนไปแล้ว เพราะเนื้อหาถูกสอนจนหมดแล้ว อาจารย์ก็จะช่วยติวและบอกแนวข้อสอบให้ไปเก็งกัน ช่วงสัปดาห์ที่ว่างผมก็จัดการเคลียร์งานที่เหลือคั่งค้างไว้จนเสร็จหมดทุกอย่าง ทำเอาผมถอนหายใจอย่างโล่งอก มันเหมือนกับยกภูเขาลูกโตออกจากอกไปเสียที หลังจากนี้ก็ทุ่มให้กับการอ่านหนังสือสอบในหลากวิชามหาโหดที่เตรียมลับคมดาบหันมาฟาดฟันพวกผมที่กำลังจะวิ่งเข้าไปเผชิญหน้า

   หลายวิชาผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะทำข้อสอบได้แน่นอน เพราะใช้อ่านทวนมาสักระยะแล้ว แถมยังทบทวนอยู่สม่ำเสมอด้วย แม้ว่ามักจะเอาเวลาไปสนใจเรื่องๆ อื่นๆ อยู่บ้าง หลังจากเคลียร์งานจะหมด จากที่ผมคลุกที่หอสมุดก็หมดไป ผมกับเพื่อนเลยมักจะออกไปหาอะไรกินด้วยกันแทบทุกเย็น ผมไม่เกี่ยงที่โดนัทจะไปร่วมวงด้วย แต่มักเป็นเจ้าตัวที่ปฏิเสธไปเอง ซี่งผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะมันไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว

   ผมนัดกับเก็ทไว้ว่าสุดสัปดาห์นี้ผมจะให้เก็ทติวฝรั่งเศสให้ ซึ่งเก็ทก็รับปาก ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้ผมจะไม่กลับบ้าน เพราะจะไปติวฝรั่งเศสกับเก็ท แล้วก็อ่านหนังสืออยู่ที่หอด้วย เพราะกลับบ้านทีไรผมไม่เป็นอันได้อ่านหนังสือทุกที

   [ฟร๊องก์ อีกเดี๋ยวเก็ทเข้าไปรับนะ เตรียมตัวไว้เลย] ช่วงสายๆ ของวันศุกร์เก็ทก็โทรมาบอกเรื่องที่จะติวฝรั่งเศสให้ผม ติวให้ตั้งแต่วันศุกร์ เดี๋ยวผมต้องอ่านวิชาอื่นๆ ด้วย กว่าจะสอบ ผมจะลืมหมดก่อนหรือเปล่าวะเนี่ย

   “อ้าวไม่ได้มาติวให้ฟร๊องก์ที่หอหรอกเหรอ แล้วจะไปติวกันที่ไหนอ่ะ”

   [จะรับมาติวที่คอนโดฯ เก็ท พวกหนังสือเสริมที่ไม่ใช่หนังสือเรียนมันอยู่ที่ห้องเก็ทไง ขี้เกียจแบกไปแบกกลับ]

   “อ๋อ เอาดิ จัดเต็มอย่ากั๊กเลยนะ!”

   [อืม ขึ้นอยู่กับว่าสมองงง... จะรับได้มากน้อยแค่ไหน]

   “ด่ากันเหรอ เดี๋ยวจะโดน! เออ เดี๋ยวฟร๊องก์อาบน้ำก่อนนะ จะมาถึงประมาณกี่โมงอ่ะ”

   [ก็คงอีกสักชั่วโมงแหละ รีบไปอาบน้ำเลย]

   หนึ่งชั่วโมงเป๊ะๆ ต่อมาเก็ทก็โทรมาบอกว่ามาถึงหน้าหอแล้ว อะไรมันจะตรงเวลาขนาดนั้น! ผมนี่รีบยัดหนังสือ ชีทต่างๆ นานาที่จำเป็นใส่กระเป๋าเป้แล้วลงไปทันที

**********__________**********

   “หิวอ่ะ” หลังจากเก็ทมารับผมออกจากหอมาตอนประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆ ผมก็บ่นขึ้นก่อนจะลูบท้องปอยๆ ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย

   “ไม่บอกก็รู้ ท้องร้องดังซะขนาดนั้น” เก็ทพูดนิ่งๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนความสนใจจากถนนเบื้องหน้ามาหาผม แต่มันก็ทำให้ผมอายได้เหมือนกัน ท้องผมร้องดังขนาดนั้นเลยหรือไง นึกว่าได้ยินอยู่คนเดียว

   “แวะกินก่อนเถอะ เดี๋ยวจะได้ติวยาวเลย”

   “อยากกินไรอ่ะ” เก็ทหันมาเลิกคิ้วถาม

   “อืมมม พิซซ่า!” ผมตอบเสียงใสพร้อมกับส่งยิ้มกว่า รู้ว่าตัวเองกินได้แค่ชิ้น สองชิ้นแค่นั้นแหละ เวลาไปกินพิซซ่ากันกับพวกเพื่อนๆ โดนด่าประจำเพราะสั่งยิบย่อยเยอะ แต่พอกินจริงๆ กลับกินได้นิดเดียว ก็มันอยากกินหลายอย่าง แต่อย่างละนิดนี่นา
 
   “ถ้าสั่งมาแล้วกินไม่หมด คราวนี้จะ...”

   “ก็ห่อกลับไปกินต่อตอนติวไง อิอิ ไม่เห็นยาก” ผมรีบพูดขัดขึ้นมาเหมือนเห็นเก็ทพูดดักทาง

   “ตามใจ” เก็ทรับปากสั้นๆ ก่อนจะขับรถไปยังร้านพิซซ่าตามที่ผมบอก

   มาถึงร้านก็ตามสเต็ปครับ ผมเห็นอะไรก็อยากกินไปหมด สั่งๆ จนเก็ทต้องกระแอมในลำคอเพื่อบอกให้ผมหยุด ผมถึงได้รู้ตัวว่าที่สั่งไปนั่นมันเยอะมากกว่าสำหรับสองคนด้วยซ้ำ ผมฉีกยิ้มกว้างให้เก็ทก่อนจะหันไปบอกพนักงานที่รับออเดอร์ว่าพอแค่นั้น แต่เอาเถอะ ทำตามที่ผมบอกนั่นล่ะ เหลือก็ให้เขาใส่กล่องให้กลับไปกินต่อได้อีกมื้อ ไม่ต้องซื้ออีก

   “แล้วธุระที่ว่านั่นเสร็จแล้วเหรอ” เก็ทเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เราสองคนเริ่มนั่งนิ่งกับอาหารตรงหน้า อย่างที่เก็ทว่าจริงๆ ผมกินไม่หมด กินพิซซ่าไปได้แค่ชิ้นเดียว แต่ของทานเล่นอย่างอื่นก็พร่องไปได้เยอะอยู่นะ ผมกินไก่บาร์บีคิวไปตั้งหลายชิ้น เป็นอย่างเดียวที่กินได้เยอะสุดเพราะมันอร่อย ฮ่าๆ

   “ธุระ?” ผมที่กำลังนั่งแทะน่องไก่น่องสุดท้ายเงยหน้ามองเก็ทอย่างงงๆ ธุระอะไรของมันวะ

   “ก็ที่ต้องโดดเรียนไปเมื่อตอนนั้น”

   “อ๋อ จบแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว” ผมว่าก่อนจะก้มลงกัดเนื้อไก่อีกครั้ง จนเพิ่งฉุกคิดได้ว่าผมเคยพูดกับเก็ทเอาไว้ว่าถ้าเรื่องเรียบร้อยเมื่อไหร่ผมจะเล่าให้เก็ทฟังคนแรก ลืมไปเลย หลุดปากออกไปแล้วด้วยสิ

   “ไม่คิดจะเล่าเหรอ” รู้สึกได้ถึงความกดดันต่ำๆ ที่เกิดขึ้นในน้ำเสียงของเก็ททันที ผมค่อยๆ เงยหน้ามองเก็ทที่กำลังมองหน้าอย่างรอคำตอบอีกครั้งพร้อมกับส่งยิ้มบาง มือทั้งสองที่จับน่องไก่ไว้ก็ค่อยๆ วางลงช้าๆ เหมือนกับกำลังเล่นภาพสโลว์โมชั่นอยู่ อย่าใช้สายตากดดันมองกันแบบนี้ดิวะ

   “ก็... ก็มันไม่ได้มีอะไรเลยไง เรื่องไร้สาระ เลยลืมๆ ไป เก็ทไม่ต้องไปใส่ใจหรอกเนอะ เรียกเขามาเอาพิซซ่าไปใส่กล่องให้ดีกว่า” ผมรีบบอกปัดและเปลี่ยนเรื่องไปด้วยรอยยิ้มที่ทำเหมือนว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ ก่อนจะพยายามหันไปเรียกพนักงานให้เอาพิซซ่าที่เหลือไปใส่กล่องให้ แต่ก็ถูกเก็ทขัดขึ้นก่อนด้วยประโยคที่เหมือนกับเอาไม้หน้าสามมาฟาดหน้าผมอย่างแรง

   “มันคงไร้สาระมากถึงขั้นที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ แถมยังต้องโดดเรียนเพื่อไปสนใจเรื่องไร้สาระที่ว่าสินะ” คำพูดนี้ดึงให้ผมต้องหันกลับมามองเก็ทอีกครั้ง รอยยิ้มก่อนหน้าของผมเจื่อนลงไปแทบทันทีที่ได้เห็นใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของเก็ท มันนิ่งจนผมไม่สามารถเดาได้เลยว่าภายใต้สีหน้านิ่งสนิทนั้นเก็ทกำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่

   เก็ทหน้านิ่งมากจนผมขนลุก บรรยากาศสบายๆ เคล้าเสียงเพลงในร้านไม่ได้ช่วยทำให้บรรยากาศบนโต๊ะระหว่างผมกับเก็ทดีขึ้นเลย สภาวะกดดันเริ่มเข้าครอบงำมากขึ้นทำขณะ เก็ทไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยังไม่ได้ละสายตาว่างเปล่าออกจากผม ส่วนผมเองก็ถึงกับขากรรไกรค้าง น้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

   “คือ... เรื่องมัน เอ่อ... เกี่ยวกับ... ปาร์ค” ผมกลั้นใจพูดออกไป แต่คิดไว้ว่าจะไม่บอกเก็ทว่าชัญญ่ามีส่วนในเรื่องนี้ด้วย ผมไม่อยากให้สองคนนี้เข้าใจผิดกัน แล้วไม่อยากให้เก็ทคิดว่าผมสนใจเรื่องตัวเองจนต้องดังชัญญ่าเข้ามาเกี่ยว

   “...” เก็ทยังคงมองหน้าผมนิ่งไม่พูดหรือแสดงอาการใดๆ

   “ที่ไม่เล่าให้ฟังเพราะฟร๊องก์เห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเก็ท บอกเก็ทไปก็จะทำให้เก็ทไปห่วงเปล่าๆ ฟร๊องก์ไม่อยากให้เก็ทต้องมากังวลกับฟร๊องก์ เลยเลือกที่จะไม่บอก” ผมพูดต่อเมื่อเห็นเก็ทไม่ได้แสดงท่าทีอะไร

   “...”

   “ฟร๊องก์ไม่อยากให้เก็ทต้องมาเป็นกังวลเพราะฟร๊องก์อีกคนไง ฟร๊องก์ไม่อยากให้ใครลำบากเพราะฟร๊องก์ แล้วตอนนี้เรื่องมันก็จบด้วยดีแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ฟร๊องก์เลยคิดว่ามันไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงอีก”

   “แล้วถามเก็ทหรือเปล่าว่ายินดีจะช่วยฟร๊องก์ไหม เคยถามเก็ทหรือยัง ไม่ใช่เอาแต่คิดไปเองแบบนี้” เก็ทพูดขึ้นหลังจากที่เงียบฟังผมอยู่สักพัก

   “ก็... เพราะมีเก็ทคอยดูแลมาตลอดไง ฟร๊องก์เลยไม่อยากรบกวนเก็ทอีก ฟร๊องก์ไม่อยากให้เก็ทมาเหนื่อยเพราะฟร๊องก์อีก”

   “ถึงได้ถามว่าเคยถามเก็ทไหมว่าเก็ทเหนื่อยหรือเปล่า เก็ทไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยคิดว่ามันเป็นการรบกวนเลยด้วยซ้ำทุกครั้งที่ฟร๊องก์มาปรึกษา ทุกครั้งที่ฟร๊องก์มาขอความช่วยเหลือ สำหรับเก็ทมันไม่ใช่การรบกวนเลย เก็ทไม่เคยรำคาญฟร๊องก์เลยสักครั้ง แต่เก็ทจะหงุดหงิดเวลาที่ฟร๊องก์มีเรื่องอะไรแล้วเก็บไว้คนเดียว ไม่ยอมเล่า ไม่ยอมระบายให้เก็ทฟัง นั่นแหละที่ทำให้เก็ทหงุดหงิด หงุดหงิดกับสิ่งที่ฟร๊องก์ปิดบังเก็ทอยู่ตอนนี้!”

   “ฟร๊องก์... ฟร๊องก์ขอโทษ ฟร๊องก์แค่... ไม่อยากให้เก็ทต้องเป็นห่วง” ผมพูดเสียงเบา ยิ่งประโยคสุดท้ายมันเบาจนแทบจะกลืนหายไปในลำคอ “แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรแล้วนะ เก็ทไม่ต้องเป็นห่วง ฟร๊องก์ไม่ได้เป็นอะไรเลย ทุกอย่างมันจบด้วยดีแล้ว”
 
   “เรื่องมันเป็นยังไง ไอ้ที่ว่าจบแล้วเนี่ย” เก็ทเลิกคิ้วถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม สงสัยงานนี้ถ้าผมไม่เล่า เก็ทคงได้นั่งส่งสายตาฟาดฟันผมแบบนี้ได้เป็นวันๆ แน่

   “...” ผมเงียบไม่พูดอะไร ในเมื่อทุกอย่างมันจบไปแล้ว รวมทั้งเรื่องของผมกับปาร์ค ผมก็ไม่อยากรื้อฟื้นขึ้นมาอีก

   “เฮ้อออ... ดื้อจริงๆ” เก็ทได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ เมื่อเห็นผมดันทุรังที่จะไม่พูดอย่างไม่สิ้นสุด “สรุปว่าตอนนี้ก็กลับไปคืนดีกับปาร์คอะไรนั่นแล้วเหรอ”

   “ก็ไม่เชิง แต่เรื่องเข้าใจผิดก่อนหน้าก็ไม่มีแล้ว” ผมไม่ได้บอกเก็ทว่าผมกำลังตัดใจจากปาร์ค ผมอยากเก็บมันไว้คนเดียวจนถึงวันที่ผมพร้อมจะบอกทุกคนว่าผมกับปาร์คเป็น ‘เพื่อน’ กัน เพื่อนที่คบกันอย่างบริสุทธิ์ใจ

   “ตกลงคบกันแล้ว?”

   “เห้ย! บ้า! เปล่าสักหน่อย แค่... บอกว่าดีกันแล้ว ไม่ได้แปลว่าจะคบกันซะหน่อย!” ผมรีบแก้ตัวทันทีก่อนที่เก็ทจะเข้าใจผิดไปใหญ่ แก้ตัวไปก็คว้าแก้วน้ำมาดูดน้ำเพื่อลดความร้อนบนใบหน้าไปด้วย ผมไม่ได้หันไปมองเก็ทเพราะรู้ดีว่าหน้าผมตอนนี้คงแดงไม่ใช่หยอก

   “อืม งั้นรีบไปติวเถอะ” เก็ทตัดบทห้วนๆ ก่อนจะหยิบใบเสร็จเตรียมจะลุกไปจ่ายเงิน บทจะจบก็จบง่ายๆ เลยเนอะ ผมล่ะงงกับมันจริงๆ แล้วทีตอนแรกล่ะมานั่งทำหน้ายักษ์เค้นให้ผมพูดตั้งนาน

   “เดี๋ยวดิๆ ที่เหลือนี่ยังไม่ได้ให้เขาเอาใส่กล่องให้เลย” ผมต้องรีบเบรกก่อนที่เก็ทจะลุกออกจากโต๊ะไป เสียดายเหลืออีกตั้งเยอะ เก็ทพยักหน้าเนือยๆ ก่อนจะนั่งรอให้พนักงานเอาพิซซ่ากับของกินเล่นบางอย่างที่เหลือเยอะหน่อยเอาไปห่อใส่กล่องให้

   หลังจากรอพนักงานเอาอาหารไปใส่กล่องให้สักพัก ผมกับเก็ทก็จ่ายเงินก่อนจะตรงไปยังคอนโดฯ ของเก็ททันที นี่ก็ครึ่งวันผ่านไปแล้วยังไม่ได้เริ่มติวเลย ต้องทำเวลากันหน่อยเดี๋ยวจะติวได้ไม่เต็มที่

   ผมกับเก็ทนั่งติวด้วยกันมาได้สักพักแล้ว ตอนมาถึงที่คอนโดฯ ผมก็เพิ่งรู้ว่าเก็ทมีคอนโดฯ ด้วยเหมือนกัน ปกตินึกว่าเก็ทอยู่บ้านตลอด คอนโดฯ ของเก็ทถือว่าห้องใหญ่เลยทีเดียว แยกห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องนอนเป็นส่วนๆ ดูๆ แล้วห้องกว้างพอๆ กับของปาร์คเลย ห้องนอนก็มีสองห้องเหมือนกัน แต่ห้องนอนใหญ่ที่เก็ทนอนแคบกว่าของปาร์ค แต่ห้องนอนอีกห้องใหญ่กว่า ผมสำรวจตั้งแต่ตอนมาแล้ว ฮ่าๆ การตกแต่งของเก็ทดูค่อนข้างสะอาดและดูสบายตา แทบทุกอย่างในห้องจะเป็นสีขาว ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความสะอาดและความเป็นระเบียบของเจ้าของห้อง

   เก็ทเป็นคนที่นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว ยังสามารถถ่ายทอดออกมาได้เก่งมากอีกด้วย หลายๆ เรื่องที่ผมพอเข้าใจในห้องเรียน แต่ยังมีบางอย่างติดใจ มีข้อสงสัยอยู่เก็ทก็ช่วยอธิบาย จนข้อสงสัยของผมทั้งหมดคลี่คลายไปได้ มันช่วยทำให้ผมค่อนช้างมั่นใจว่าผมจะทำข้อสอบฝรั่งเศสได้ดีเลยแหละ ขออย่างเดียวคือแปลโจทย์ให้ออกแค่นั้นเอง เพราะถ้าแปลโจทย์ไม่ออก ทุกอย่างก็จบ

   หลังจากติวฝรั่งเศสไปได้เยอะพอสมควร ผมก็ชวนให้ลองคุยๆ เรื่องวิชาอื่นๆ ด้วย แล้วค่อยกลับมาทวงฝรั่งเศสอีกทีว่าจะยังจำได้ไหม ทำให้การมาติวครั้งนี้ไม่ได้ไปแค่เฉพาะฝรั่งเศส

   “เก็ทลองเปิดหนังเรื่องที่อ.ภัทรให้วิเคราะห์ดูไหม จะได้ช่วยกันจับจุดมานั่งถกกันด้วย เผื่อที่เราดูมันจะตรงกับที่ข้อสอบถาม ถ้าหาคีย์เวิร์ดเจอเราก็ทำได้” ผมชวนเก็ทดูหนังที่เป็นโจทย์ให้พวกผมทุกคนกลับไปดูแล้วตีความ วิเคราะห์แก่นเรื่อง สาระสำคัญเพื่อเอาไปทำข้อสอบ ในวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษ จริงๆ ผมเองก็ดูไปสองรอบแล้ว แล้วก็ลองเขียนๆ วิเคราะห์ส่วนสำคัญแล้วก็แก่นเรื่องไว้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกหรือตรงกับคนอื่นๆ หรือเปล่า บางทีถ้าลองให้เก็ทวิเคราะห์ให้ฟังอาจจะได้มุมมองใหม่ๆ ก็ได้ เพราะการตีความมันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

   “อืม ถือว่าพักผ่อนไปในตัว เดี๋ยวลองเสิร์ชหาก่อนนะ แล้วค่อยต่อเข้าโทรทัศน์จะได้ดูถนัดๆ” เก็ทว่าก่อนจะเดินไปหยิบโน้ตบุ๊คแอปเปิ้ลแหว่ง ฮ่าๆๆ แมคบุ๊คโปรครับมาเปิด แล้วหาหนังดังกล่าว

   “เอาแบบเป็นซับไทยนะ ไม่เอาเสียงไทย มันมีอยู่ ฟร๊องก์เคยเสิร์ชดู” ผมเป็นคนไม่ชอบดูหนังฝรั่งพากษ์ไทย เพราะรู้สึกว่ามันเข้าไม่ถึงอารมณ์ด้วย แล้วบางคนพากย์ก็ชอบเล่นมุกแป๊กๆ ออกมาทั้งที่เนื้อเรื่องกำลังเครียดๆ อยู่อ่ะ ผมล่ะโคตรหงุดหงิดเลย แถมการฟังเสียงซาวด์แทรคยังเป็นการฝึกภาษาไปในตัวด้วย

   “รู้แล้วน่า เก็ทก็ไม่ดูพากษ์ไทยเหมือนกันแหละ”
 
   “งั้นเจอแล้วเรียกนะ เดี๋ยวไปอุ่นพิซซ่าก่อน แหะๆ เริ่มหิวอีกแล้ว เอาด้วยป่ะ” ผมหัวเราะเขินๆ ก็นั่งติวมามันต้องใช้สมองเยอะ ทำให้ร่างกายเสียพลังงานเร็ว ก็ต้องกินเข้าไปเพิ่มสิ

   “หึหึ เผื่อด้วยก็ได้” ผมได้ยินเสียงเก็ทหัวเราะในลำคอเหมือนเยาะเย้ยผม โถ่ ตัวเองก็จะกินด้วยเหมือนกันแหละ!
   จากนั้นผมกับเก็ทก็นั่งกินพิซซ่าที่อุ่นมาพร้อมกับดูหนังดังกล่าวไปด้วย โดยที่ผมนั่งอยู่กับพื้นพรมด้านล่าง ส่วนเก็ทนั่งอยู่บนโซฟา ไม่ใช่ว่าผมเป็นอีเย็นในนางทาสแต่อย่างใด แต่มันดูสบายกว่า แต่พอดูไปได้สักพัก พอหนังท้องตึงหนังตาของผมมันก็เริ่มหย่อน ผมพยายามสะบัดหัวหลายต่อๆ รอบเพื่อไล่ความง่วงออกไป

   ปึก!

   “จะได้สบายขึ้น” เก็ทที่ลุกไปเมื่อไหร่ไม่รู้ กลับมาพร้อมกับผ้านวมผืนใหญ่และหมอนอีกใบที่ตอนนี้มันกองอยู่ข้างตัวผมแล้ว อืมก็ดีเหมือนกัน นอนดูแบบนี้จะได้สบายๆ หน่อย

   “Merci” ผมบอกขอบคุณก่อนจะจัดการปูผ้านวมแล้วก็ล้มตัวลงนอนทันที พอได้นอนอาการง่วงก็ทวีคูณมากขึ้น ก่อนที่ผมจะเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเลี่ยงไม่ได้

**********___________**********

   “อื้อออ...” ผมรู้สึกตัวขึ้นก่อนจะพลิกตัวเพื่อบิดขี้เกียจเล็กน้อยเพื่อคลายความง่วง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ว่าแต่ผมหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ตอนนี้ทีวีที่เปิดหนังไว้ก่อนที่ผมจะหลับถูกปิดไปแล้ว ผมใช้มือควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้แถวๆ นั้นขึ้นมาดูเวลา ปรากฏว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ผมหลับไปเกือบสามชั่วโมงเลยทีเดียว

   ผมค่อยลุกขึ้นนั่งก่อนจะสะบัดหัวไล่ความง่วงอีกครั้ง ก่อนจะมองดูรอบๆ ห้องที่ตอนนี้ค่อนข้างจะมืด ไฟในห้องไม่ได้เปิดเลยสักดวง ว่าแต่เก็ทหายไปไหน ผมมองไปในความมืดจนทั่วทั้งห้องแต่ก็ไม่พบเก็ท หายไปไหนของเขานะ หรือแอบออกไปไหนแล้วทิ้งผมเอาไว้คนเดียว แต่ที่สุดผมก็สะดุดตากับแสงไฟที่ลอดออกมาจากช่องประตูของห้องนอนเก็ท เห็นผมหลับเลยเข้าไปในห้องเพราะไม่อยากรบกวนล่ะมั้ง

   แกร๊ก...

   เสียงลูกบิดประตูดังขึ้น ผมเลยแกล้งล้มตัวลงนอนอีกครั้ง กะว่าจะเนียนแกล้งให้เก็ทมันตกใจซะหน่อย ผมแกล้งทำเป็นเหมือนว่ายังไม่ตื่น แต่จริงๆ นี่กลั่นหัวเราะแทบตาย อยากเห็นหน้าของเก็ทตอนที่ตกใจ มีโอกาสให้แกล้งแล้วก็ให้ผมจัดสักหน่อยเถอะ เวลาปกติแกล้งมันได้ที่ไหน รู้ทันผมหมด แถมตัวก็ใหญ่กว่าตั้งเยอะ

   “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาที่นี่อีก!” เสียงเก็ทลอดออกมาจากภายในห้องด้วยท่าทางฉุนเฉียว ผมเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้กระดุกกระดิกตัวแต่อย่างใด ใครมาที่นี่เหรอ แล้วทำไมเก็ทต้องดูหงุดหงิดขนาดนี้ด้วย

   ผมรู้สึกได้ถึงน้ำหนักเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ๆ ผมก่อนจะหยุดใกล้ๆ กับพื้นที่ผมนอน ทำให้ผมต้องนอนนิ่งและเกร็งกว่าเดิม แถมหัวใจยังเต้นแรงขึ้นอีกต่างหาก จากตอนแรกที่กะว่าจะแกล้งให้ตกใจ ตอนนี้กลับต้องนอนนิ่งเพื่อรอดูว่าเก็ทคุยกับใคร และใครที่จะมาเยือนห้องนี้แล้วทำให้เก็ทหงุดหงิดได้ขนาดนี้

   แอ๊ด...

   เสียงฝีเท้าห้องออกไปแล้ว ก่อนที่เสียงเปิดประตูหน้าห้องดังขึ้น ผมลืมตาขึ้นมามองเล็กน้อย ด้วยความที่โซฟาบังทำให้เห็นได้ไม่ถนัดนัก แต่ก็พอมองเห็นตั้งแต่ช่วงไหลเก็ทขึ้นไป

   “เดี๋ยวลงไป... อืม... ฟร๊องก์ก็อยู่ที่นี่ด้วย” ผมไม่รู้ว่าเก็ทคุยโทรศัพท์กับใคร แต่ในบทสนทนานั้นมันเกี่ยวข้องกับผมด้วย ฉะนั้นคนที่มาเยือนย่อมจะต้องรู้จักผมและผมเองก็ต้องรู้จักด้วยเช่นกัน

   เก็ทออกไปข้างนอกแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าออกไปคุยกันที่ไหน แต่คงไม่ได้ไปจากคอนโดฯ นี้หรอก เพราะกุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์ยังวางอยู่ที่โต๊ะเล็กข้างโซฟาที่ผมนอนเหมือนเดิม เก็ทคงหยิบไปแค่คีย์การ์ด ผมควรจะตามออกไปดีไหมว่าคนที่มานั้นคือใครกันแน่ แล้วทำไมต้องออกไปคุยข้างนอกเพียงเพราะผมอยู่ในห้อง มันเกี่ยวอะไรกับผมหรือเปล่า แต่ถ้าผมตามออกไป จะลงไปข้างล่างอย่างไรในเมื่อผมไม่มีคีย์การ์ด มันทำให้ผมใจเต้นรัวยิ่งกว่ากลองในจังหวะเพลงร็อคหนักๆ เสียอีก ยังไงซะผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเก็ทคุยกับใคร แล้วเรื่องนั้นเกี่ยวกับผมไหม

   ผมตัดสินใจเปิดไฟในห้องแล้วลองค้นในกระเป๋าสตางค์ของเก็ทเผื่อว่าจะมีคีย์การ์ดหลงเหลืออีกใบ และก็เป็นความโชคดีของผมที่เก็ทมีคีย์การ์ดอีกใบในกระเป๋าสตางค์ ส่วนคีย์การ์ดที่เก็ทเอาไปคงเป็นใบสำรอง ผมรีบจัดแจงใส่รองเท้าแล้วรีบตามไปทันที แต่ก่อนไปก็ไม่ลืมส่องดูจากช่องตาแมวก่อน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่หน้าประตู ผมจึงค่อยๆ เปิดประตูออกไป แล้วมุ่งตรงไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว

   ตัวเลขชั้นที่ขึ้นโชว์ภายในลิฟต์ค่อยๆ ขยับลดลงเรื่อยๆ สวนทางกับจังหวะหัวใจของผมที่เต้นแรงขึ้นทุกที ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงตื่นเต้นและอยากรู้ขนาดนี้ ทั้งที่บางทีอาจเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งที่มาหาเก็ทก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นชัญญ่า แต่ท่าทางของเก็ทที่คุยโทรศัพท์เมื่อครู่นี้มันทำให้ผมสงสัย ไหนๆ ก็มาขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย

   ไม่นานผมก็ลงมาถึงล็อบบี้ของคอนโดฯ ผมค่อยๆ เดินช้าๆ พลางสอดส่ายสายตามองหาเก็ทและบุคคลปริศนาที่เก็ทคุยด้วยอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็นผมก่อน ผมมองหาจนทั่วทั้งล็อบบี้แต่ก็ไม่เจอ จึงลองเดินออกไปแถวๆ ลานจอดรถ และบริเวณสวนด้านหน้าคอนโดฯ ด้วย แต่ก็ไม่เจอเช่นกัน เก็ทและคนนั้นหายไปไหนกันแล้ว

   ผมเดินกลับเข้ามาในบริเวณล็อบบี้อีกครั้งด้วยความหงุดหงิด คลาดกันแค่แป๊บเดียว ทำไมหายไปกันไวขนาดนี้ รถของเก็ทก็ยังจอดอยู่ที่เดิม และมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เก็ทจะเอารถออกไปทั้งที่กุญแจรถยังอยู่บนห้อง แล้วพวกเขาหายไปไหนกัน

   “ขอโทษนะครับป้า เห็นผู้ชายหน้าตาดีๆ ตัวสูงๆ ไหมฮะ คนนี้อ่ะครับ พอดีเขาลืมของไว้บนห้องอ่ะครับ” ในเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรผมจึงตัดสินใจถามป้าแม่บ้านที่ทำความสะอาดอยู่บริเวณลิฟต์ พร้อมกับเปิดรูปเก็ทในมือถือให้ดู

   “อ๋อ คุณคนนี้ เพิ่งเห็นขึ้นลิฟต์ไปกับเพื่อนๆ สักพักเอง ก่อนที่หนูจะลงมานี่เองลูก” คุณป้าแม่บ้านตอบด้วยท่าทางยิ้มแย้มดูเป็นมิตร

   “งั้นเหรอครับ ขอบคุณนะครับ” ผมพยักหน้าขอบคุณพร้อมยิ้มตอบจางๆ แต่ในใจนั้นสงสัยอยู่เต็มประดา ถ้าเก็ทขึ้นลิฟต์กลับขึ้นไปแล้ว แถมยังไปกับคนอื่นด้วย ทำไมตอนที่ผมออกจากห้องมาถึงไม่เจอ หรือเราสวนกันในขณะที่ผมลงลิฟต์ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เก็ทกับเพื่อนที่ป้าแม่บ้านว่าก็น่าจะอยู่บนห้องสิ ตายห่าล่ะ!

   ผมรีบกลับไปขึ้นไปยังห้องของเก็ททันที ก่อนจะเอาคีย์การ์ดทาบเพื่อเข้าห้อง ไฟในห้องยังคงเปิดไว้เหมือนปกติ รวมถึงสภาพผ้าห่มและหมอนที่ผมนอนยังอยู่เหมือนก่อนที่ผมจะออกไป แต่ก็ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อยู่เลยสักคน นั้นก็แสดงว่าเก็ทยังไม่ได้กลับเข้ามาที่ห้อง ผมยิ่งสงสัยว่าเก็ทและผู้มาเยือนนั้นหายไปไหน

   หรือผมจะรออยู่ที่ห้องดี เพราะยังไงเดี๋ยวเก็ทก็ต้องกลับมาอยู่ดี แต่นั่นก็ไม่ได้คลายข้อสงสัยของผมที่ว่าทำไมเก็ทถึงไม่พาคนๆ นั้นมาที่ห้อง ในเมื่ออีกฝ่ายก็รู้จักผมอยู่แล้ว และถ้าไม่ได้มีอะไรต้องปิดบังกันทำไมเก็ทถึงมีท่าทางแบบนั้นตอนคุยโทรศัพท์ และที่สำคัญคือคำพูดที่เก็ทบอกว่าผมอยู่กับเขาด้วยนั้นที่ทำให้ผมสงสัยว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าการคุยธุระธรรมดา แต่ผมคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าพวกเขาไปคุยกันที่ไหน ในเมื่อผมหาหมดแล้วในที่ๆ น่าจะเป็นไปได้ ด้านล่างของคอนโดฯ ก็ไม่มี ทั้งลานจอดรถก็ไม่มี แถมที่ห้องก็ไม่ได้กลับมาด้วยซ้ำ  แล้วมันจะเป็นที่ไหนได้

   ตามที่ป้าแม่บ้านบอกคือเก็ทขึ้นลิฟต์มาข้างบนแล้ว แต่ไม่ได้กลับมาที่ห้อง หรือคนที่เก็ทคุยด้วยจะมีห้องที่นี่ด้วย แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ในเมื่อเก็ทบอกว่าไม่ให้มาที่นี่ แถมเจ้าตัวยังต้องลงไปหาที่ด้านล่าง ฉะนั้นประเด็นนี้ตัดทิ้งไป ข้อสันนิฐานสุดท้ายของผมก็คือ ชั้นดาดฟ้า!

   ผมออกจากห้องอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นลิฟต์มุ่งตรงไปยังชั้นบนสุดของคอนโดมิเนียมแห่งนี้ ซึ่งตอนแรกผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันมีดาดฟ้าจริงหรือเปล่า แต่ตอนที่เข้าลิฟต์มาแล้วเอาคีย์การ์ดแตะ มันสามารถกดขึ้นไปที่ชั้นบนสุดนี้ได้ แสดงว่าข้อสันนิฐานของผมข้อนี้น่าจะเป็นจริง

   และแล้วผมก็มาถึงดาดฟ้าที่ว่า คอนโดฯ ที่นี่มีสวนอยู่ที่ชั้นดาดฟ้าอีกที ซึ่งมีที่นั่งจัดไว้ตามมุมต่างๆ ตามความกว้างและความยาวของตัวตึก บรรยากาศหัวค่ำแบบนี้จึงไม่ทำให้บนนี้ร้อน ประกอบกับสายลมที่พักเอื่อยๆ จึงทำให้รู้สึกสงบลงได้ไม่ยาก

   ถึงแม้บรรยากาศบนนี้จะดูผ่อนคลายอย่างไรก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่ผมสงสัยก่อนหน้าจางลงไปเลยแม้แต่น้อย ผมเริ่มมองหาตามมุมต่างๆ อย่างระแวดระวังพร้อมกับหาที่สังเกตการณ์ไปด้วยพลางๆ ก่อนที่สายตาของผมจะไปสะดุดเข้าไปกลุ่มคนที่ผมคุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดีถึงสามคน!

   เก็ท โดนัท และทาร์ต...


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ หายไปหลายวันเลย ฮือออ

อ่านคอมเม้นต์แล้วขำ ไม่ว่าปาร์คจะมารูปแบบไหน ก็โดนด่าอยู่ดี 555+
สำหรับฟร๊องก์เองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ที่เลือกจะห่าง ก็คงกลัวจะเจ็บ กลัวเป็นตัวเองที่โง่อีก
เพราะสิ่งที่ปาร์คทำมาก่อนหน้ามันไม่เคยมีอะไรชัดเจนเลย ก็สมควรแล้วแหละที่ฟร๊องก์จะตัดสินใจแบบนั้น


ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาอัปเดตเท่าไร ต้องขอโทษด้วยนะฮะ
ไม่ค่อยว่างเลยจริงๆ เพิ่งได้พักวันนี้ ก็เลยมีอัปให้ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหน่น๊าา

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 45 P.7 [UP! 18/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 18-09-2017 21:19:14
ถ้าจะมีใครสักคนที่หักหลังฟร๊องก์
ก็ขอให้คนนั้นอย่าเป็นเพื่อนที่ฟร๊องก์รักที่สุดเลย
อย่าใช่เก็ทเลยนะ..ขอร้อง

ไม่มีใคร จะให้เรา เท่าเขา(คน)นี้
ไม่มีใคร ยอมทุกที ที่ร้องขอ
ไม่มีใคร ทุกค่ำเช้า ทนเฝ้ารอ
เพื่อให้เพื่อน ยิ้มหัวร่อ หยุดท้อใจ

เก็ท..เพื่อนรัก

+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 45 P.7 [UP! 18/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 18-09-2017 21:19:24
WTF!!!  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 45 P.7 [UP! 18/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-09-2017 21:31:41
อะไร โดนัทกับทาร์ตมาหาเก็ททำไมอย่าบอกนะว่าวางแผนอะไรไว้ด้วยกัน อย่าเป็นแบบนั้นนะ เพราะเราเชียร์เก็ทให้คู่กับฟร็องก์อยู่
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 45 P.7 [UP! 18/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 18-09-2017 22:52:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 45 P.7 [UP! 18/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 19-09-2017 17:38:07
ไม่ ไม่นะ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 45 P.7 [UP! 18/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 19-09-2017 21:15:11
อ้าว ยังไงเนี่ยเก็ท
อย่าบอกว่ามีเอี่ยวอีกคนนะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 45 P.7 [UP! 18/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 21-09-2017 13:10:58
เอาแลัวไง เดียวรู้เลยๆ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 46 [22/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 22-09-2017 18:33:27
Chapitre 46

   ผมลองเสี่ยงขึ้นไปยังชั้นบนสุดของคอนโดมิเนียมสุดหรูแห่งนี้ที่คาดเดาเอาเองว่ามันคือดาดฟ้าเพื่อตามหาเจ้าของห้องที่คุยโทรศัพท์แล้วหายออกไป โดยในประโยคนั้นมีชื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

   แต่พอขึ้นมาถึงดาดฟ้าตามที่คิด ผมกลับได้พบกับบุคคลที่ผมไม่คิดว่าจะเจอที่นี่

   ความสงสัย ความสับสน ความข้องใจ ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในความคิดของผม ทำไมสามคนนี้ถึงมาอยู่ดัวยกันที่นี่ แล้วทำไมเก็ทถึงยังติดต่อกับสองคนนั้น แถมยังมาคุยกันแบบลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รีบหาที่หลบอย่างรวดเร็วก่อนที่พวกนั้นจะหันมาเห็นผม แต่ก็พยายามเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเพื่อให้ได้ยินสิ่งสามคนนั้นคุยกัน ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าสามคนนั้นคุยเรื่องอะไรกัน มันจะเกี่ยวกับผมตามที่ผมสงสัยหรือเปล่า หรือในความคิดที่ร้ายที่สุดคือมันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมและทาร์ตก่อนหน้านี้หรือเปล่า…

   “นั่นเป็นเพราะตัวมึงเองรึเปล่า ทาร์ต” เสียงเก็ทดังแว่วเข้ามาให้โสตประสาทของผมหลังที่ผมรีบพุ่งตัวเข้าไปหลบตรงหัวมุมที่เป็นซีเมนต์ยกพื้นสูงประมาณหนึ่งเมตรแล้วปลูกต้นหญ้าสูงๆ ซึ่งผมเรียกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคือหญ้าอะไรไว้ด้านบน แต่มันสูงพอที่จะบังตัวผมได้มิด

   “แต่พี่เป็นคนแนะนำผมเอง” เสียงทาร์ตดังขึ้นตามมา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจในบทสนทนาของพวกเขาอยู่ดี

   “แต่ก็ไม่ได้แนะนำให้มึงทำเลวๆ กับฟร๊องก์แบบนั้น” เสียงเก็ทยังคงราบเรียบตามแบบฉบับของเจ้าตัว ผมค่อยๆ โผล่หัวออกไปมองดูสีหน้าของพวกเขา จึงได้เห็นสีหน้าของเก็ทที่ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ในขณะที่ทาร์ตนั่นมีสีหน้าไม่ค่อยสูงดีนะ ส่วนโดนัทยืนหันหลังให้กับผมจึงไม่รู้ว่าสีหน้าของเธอจะเป็นอย่างไร พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่

   “ก็...” ทาร์ตเสียงอ่อนลงพร้อมกับสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น

   “เอาเป็นว่ากูคงช่วยอะไรมึงไม่ได้แล้ว” เก็ทว่าพร้อมทำท่าจะเดินหนีออกมา ทำให้ผมรีบก้มตัวหลบทันที

   “ถ้างั้นกูคงต้องคุยกับฟร๊องก์เอง” คุยกับผมอย่างนั้นเหรอ เสียงโดนัทที่ดังขึ้นมาด้วยสำเนียงเข้มขรึม ทำให้ผมชะงัก เรื่องที่พวกนั้นคุยกันมันเกี่ยวกับผม และขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย

   “โดนัทยังคิดจะเข้าไปคุยกับฟร๊องก์ได้อีกเหรอ ก่อนหน้าที่มันทำเมินใส่ไม่รู้อีกเหรอว่ามันไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว” เก็ทยังคงรักษาน้ำเสียงในโทนที่เรียบเฉย

   “พี่เป็นคนดึงผมเข้ามาในเกมนี้เองนะ แล้วพี่จะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือไง!” เสียงทาร์ตดังคล้ายกับการตวาด จนทำให้คนที่มีอยู่ประปรายบนดาดฟ้านี้หันมามองเป็นตาเดียว รวมทั้งผมที่รู้สึกว่ามือตัวเองเริ่มสั่นขึ้นเรื่อย พร้อมทั้งหยดน้ำที่รั้งอยู่ที่ขอบตา เก็ทดึงทาร์ตเข้ามาในเกมนี้ เกมอะไร เกมชีวิตของผมอย่างนั้นเหรอ

   “มึงจะว่ายังไงก็เรื่องมึงเถอะ...”

   “มึงมันเลว เก็ท!” โดนัทแหวใส่เก็ทเสียงดัง

   “ผมจะไปคุยกับพี่ฟร๊องก์เอง ผมจะบอกให้หมดเกี่ยวกับแผนการของพี่!” ทาร์ตว่าอย่างเดือดดาล ก่อนจะเดินมาประจันหน้าตรงที่ที่ผมยืนอยู่

   “พะ... พี่ฟร๊องก์!!!”

   สีหน้าทาร์ตตกใจสุดขีดเมื่อเห็นผมที่ยืนมองเขากลับด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนที่ทั้งเก็ทและโดนัทจะหันมามองด้วยท่าทางตกใจไม่แพ้กัน

   ผมไล่มองหน้าทีละคนอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออกใดๆ ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่ ก่อนที่ผมจะเมินหน้าแล้วรีบวิ่งออกมา ผมกัดริมฝีปากแน่นโดยไม่กลัวว่ามันจะห้อเลือดพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ผมไม่อยากอ่อนแออีกต่อไปแล้ว ผมแค่อยากให้เรื่องวุ่นวายในชีวิตผมมันหมดไปสักที
แต่ทำไม... ทำไมมันถึงไม่รู้จักจบจักสิ้น!

**********__________***********

   ทำไมเรื่องราววุ่นวายนี้ถึงไม่รู้จักหมดไปจากชีวิตของผม ผมเหนื่อยเกินกว่าจะรับมืออีกแล้ว ทำไมกัน! ทำไมทุกคนถึงเล่นกับความรู้สึกของผมเหมือนกับผมเป็นสิ่งของ เป็นตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ไร้ซึ่งความรู้สึก จะยื้อจะแย่ง หรือจะโยนไปทางไหนก็ได้ ทำไมกัน!

   “ฟร๊องก์! รอก่อน!” เก็ทรีบพุ่งเข้ามาจับแขนของผมไว้ ก่อนที่ผมจะเข้าไปในลิฟต์

   “มีอะไรจะต้องพูดอีกงั้นเหรอ” ผมหันไปมองเก็ทด้วยสายตาที่ผิดหวัง เช่นเดียวกับหยดน้ำตาที่หยดลงมาอย่างห้ามไม่ได้

   “พี่ฟร๊องก์ ผมมีเรื่องจะต้องคุยกับพี่” ทาร์ตเข้ามาเสริมทัพ และดูเหมือนเข้าขากันได้ดีกับเก็ทด้วย

   “...” ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไร แม้ในใจจะอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ผมคงไม่พร้อมที่จะรับรู้ความจริงนั้น

   “เรากลับไปคุยกันที่ห้องก่อนได้ไหม” เก็ทว่าพร้อมด้วยแรงบีบที่มือของเขาที่จับแขนผมอยู่เพิ่มขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณให้ผมต้องยอมรับ

   “ก็ดีเหมือนกัน... ฮึก... มันคงไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้แล้วแหละ” ผมว่าเสียงเย็นแต่ติดสะอื้นเล็กๆ ก่อนจะบิดแขนตัวเองให้หลุดจากมือของเก็ท เพื่อมากดลิฟต์ บางทีการที่ผมหนีไปเรื่อยๆ มันก็ทำให้เรื่องวุ่นวายในชีวิตผมไม่รู้จักจบสิ้น ผมเลือกที่จะเผชิญหน้ามันเสียตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่า แม้ผมจะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มันจะทำให้ผมเจ็บปวดหรือเปล่า หรือจะต้องทำให้ผมเสียเพื่อนที่ผมไว้ใจที่สุดเพิ่มอีกคนไหม แต่ความจริงก็คือความจริง ความจริงที่เราไม่มีวันหนีมันพ้น ไม่ว่าจะพยายามหนีจากมันมากแค่ไหนก็ตาม

   ไม่นานลิฟต์ที่กดไว้ก็เปิดออก พร้อมปรากฏคนที่ทำให้ผมยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก

   ชัญญ่า และ... ปาร์ค!

   นี่มันอะไรกัน ชีวิตผมจะต้องเจอเรื่องวุ่นวายอะไรขนาดนี้ แค่สามคนก่อนหน้าก็ทำให้ผมกังวลจนกลั้นน้ำตาไม่ได้ แล้วนี่มันอะไร ทั้งชัญญ่า แถมยังปาร์คอีก นี่ทุกคนกำลังทำอะไรกับชีวิตผม แล้วทำไมชัญญ่าถึงมากับปาร์ค แล้วสองคนนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่สามคนนั้นคุยกันหรือเปล่า แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป เมื่อคนอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นมาอีกแบบนี้

   ของในหัวของผมตอนนี้มันมึนตึบไปหมดแล้ว ผมคิดอะไรไม่ออกและเริ่มปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ใจหนึ่งผมก็อยากถาม อยากคุยให้รู้เรื่องกันไปเลย แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสีย หายไปตัวไปจากคนเหล่านี้ หายไปจากเรื่องวุ่นวายพวกนี้สักที

   สิ่งที่ผมคิดไม่ตกมากขึ้นกว่าเดิมก็คงเป็นปาร์ค ที่ทำไมอยู่ๆ ถึงมาอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ได้ ทำไมเขาถึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกับคนใกล้ตัวผมพวกนี้ ที่สำคัญอาจจะไม่ชอบหน้าด้วยซ้ำไป ระหว่างปาร์คและทาร์ต แต่ทำไม... นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเหตุผลไม่ได้จริงๆ

   “น่ะ... นี่มันอะไรกัน ชัญญ่ากับ... ปาร์ค... ทำไม...” ผมถอยหนีเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจอกับปาร์ค หลังจากวันนั้นที่ผมบอกให้เราไม่ต้องมาเจอกัน และยิ่งมาเจอในสถานการณ์แบบนี้ ผมยิ่งทำตัวไม่ถูก

   “อย่าเพิ่งตกใจฟร๊องก์ เรากับปาร์คมาที่นี่ได้ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ” ชัญญ่าพยายามเข้ามาทำให้ผมใจเย็นลง

   “เธอมาได้ไง” เก็ทที่ก็อึ้งไม่ต่างจากผม เมื่อตั้งสติได้ก็ถามออกไปด้วยเสียงที่แม้จะเรียบ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความสั่นในเนื้อเสียงเล็กน้อยเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเก็ทก็ไม่รู้ว่าชัญญ่าจะมาเหมือนกัน แถมยังไม่รู้ว่าปาร์คจะมาด้วย

   “อะไรกัน ฉันก็มาเยี่ยมคอนโดฯ เธอไง เห็นบอกไม่ค่อยได้มาอยู่ ก็เลยแวะมาเยี่ยมเยียนนิดหน่อย” ชัญญ่าพูดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ก่อนจะเดินเข้ามาแตะไหล่ผมแล้วมองด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ “ได้ข่าวว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับสามคนนี้ไม่ใช่เหรอ ไปสิ เราเองก็อยากรู้ด้วยเหมือนกัน และเราเชื่อว่าปาร์คเองก็ต้องอยากรู้ ไม่งั้นคงไม่ยอมมากับเราง่ายๆ หรอก จริงไหมปาร์ค”

   “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปาร์คบอกฟร๊องก์แล้วว่าจะอยู่ข้างฟร๊องก์เสมอ” ผมหันมองหน้าปาร์คอย่างไม่เข้าใจ ปาร์ครู้งั้นเหรอว่าสามคนนี้จะคุยอะไรกับผม แล้วก็คงรู้ด้วยใช่ไหมว่าทำไมชัญญ่าถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยในเวลานี้

   “ถ้างั้นก็นำไปสิเก็ท ฟร๊องก์เองก็อยากรู้แล้วเหมือนกันว่านี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกันแน่!” ผมว่าก่อนจะหันไปมองเก็ท ก่อนจะไล่มองทาร์ตและโดนัทด้วยเช่นกัน แล้วเดินนำเข้าไปในลิฟต์

   ตลอดเวลาไม่ถึงนาทีที่อยู่ในลิฟต์ ผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพียงนาทีเหมือนมันนานนับชั่วโมง หัวใจผมเต้นแรงราวกับว่าใครมาเปิดเพลงร็อคหนักหน่วงในห้วงความคิดผม ผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยจริงๆ ว่านี่มันคือเรื่องราวบ้าบออะไร ไม่รู้จริงๆ ว่าทุกคนที่อยู่กับผมตอนนี้จะคุยอะไร จะบอกอะไรกับผม

   น้ำตาผมหลุดไหลแล้ว แต่ยังรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาอยู่ แสดงว่ามันพร้อมจะไหลออกมาอีกตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้จะมีฝ่ามืออุ่นๆ ของปาร์คที่กำลังกุมมือผมอยู่ก็ตาม แต่ผมไม่คิดจะกุมมือตอบ ผมปล่อยให้ปาร์คจับไว้แบบนั้นนิ่งๆ

   ไม่นานลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นที่ห้องของเก็ทอยู่ เก็ทหันมามองหน้าผมที่ยืนอยู่ด้านในสุดกับปาร์คเล็กน้อย ก่อนจะก้าวออกไปจากลิฟต์แล้วเดินนำไปยังห้อง

**********__________***********

   เมื่อเข้ามาในห้อง ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาเลยสักคำ ตอนนี้ผมได้ยินเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของแต่ละคน สลับกับจังหวะการเต้นของหัวใจของผมที่ดังโครมครามจนกลัวคนที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน

   “ฟร๊องก์ ปาร์คมาเรานั่งรอฟังกันเถอะ” ชัญญ่าพูดขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น ก่อนจะดึงผมเบาๆ ให้เดินตามเธอไปนั่งที่โซฟาโดยไม่สนใจว่ามีผ้านวมและหมอนกองไว้ด้านล่างเลยแม้แต่น้อย “เอาสิ ใครจะพูดก่อนล่ะ”

   “...” เก็ทยังคงมองหน้าผมอย่างนิ่งเงียบ

   “คะ... คือ” ทาร์ตก็ทำท่าทางเหมือนปากหนัก ยากที่จะพูดออกมา

   “เฮ้อ... ในเมื่อไม่มีใครพูด งั้นกูพูดเอง!” โดนัทถอนหายใจตัดความรำคาญ ก่อนจะเอ่ยออกมาเช่นเดียวกับหัวใจผมที่เต้นเร็วและแรงขึ้นทุกที

   “หึ ตลกดีเหมือนกันที่คนทำกลับไม่ยอมพูด กลับเป็นคนที่ไม่ได้ทำต้องพูดแทน” ชัญญ่าพูดเสียงเหยียดพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปาก “แต่ถึงจะเป็นใครพูดออกมาก่อนก็เถอะ เราว่าวันนี้มันถึงเวลาที่ฟร๊องก์ควรจะได้รู้ความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว”

   “เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน จบเรื่องวุ่นวายพวกนี้สักที” ผมมองหน้าทั้งสามคนนิ่ง สลับกับการหันมามองชัญญ่าและปาร์คที่ผมรู้ว่าพวกเขารู้เรื่องหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เพียงผมที่ไม่รู้อะไรเลย

   “ก่อนอื่นกูคงต้องขอโทษมึงก่อนนะฟร๊องก์ ไม่รู้หรอกว่ากูขอโทษไปกี่ครั้งแล้ว แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามึงจะให้อภัยกูกับน้องกูหรือเปล่า แต่ยังไงกูก็ต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย” โดนัทเอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังกว่าครั้งไหน “แต่ทั้งหมดจะโทษว่าเป็นเพราะน้องกูฝ่ายเดียวคงไม่ถูก เพราะมึงคงไม่รู้ว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวมึงมากที่สุดเป็นคนวางแผนทุกอย่าง!”

   “มะ... หมายความว่าไง” ผมถามเสียงสั่น และกำลังมึนงงในสิ่งที่โดนัทพูดเมื่อกี้ คนใกล้ตัวผมงั้นเหรอ

   “ใครคือคนที่มึงเชื่อใจที่สุดล่ะ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด” โดนัทว่าก่อนจะหันไปมองทางเก็ท ซึ่งทำให้ผมเบนสายตาที่เจ็บปวดและผิดหวังไปมองทางนั้นด้วยเช่นกัน

   “กะ... เก็ท... เก็ทอย่างนั้นเหรอ” ผมรีบเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยชื่อที่เคยเรียกด้วยความคุ้นเคยอย่างยากลำบากแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่อยากจะเชื่อ มันต้องมีอะไรเข้าใจผิดสิ จะเป็นเก็ทได้ไง จะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างผม คอยดูแลและเป็นกำลังใจให้ผมตลอดจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่างได้อย่างไรกัน ผมไม่เชื่อ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน “ม่ะ... ไม่จริง! ไม่จริงใช่ไหมเก็ท!”

   “... ขอโทษ” เก็ทเอ่ยเสียงเรียบแต่แผ่วเบาเหมือนพึมพำในลำคอ แต่นั่นก็ดังพอที่จะให้ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายและแทบล้มทั้งยืน แข้งขาของผมอ่อนแรงลงทันทีที่ได้ยินคำขอโทษโดยปราศจากคำแก้ตัวใดๆ นั้น ดีที่เจ้าตัวคว้าตัวผมไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะลงไปกองกับพื้นห้อง ทำไมกันเก็ท! ทำไมกัน!!

   ตอนนี้บรรยากาศในห้องเงียบสนิท ทุกอย่างดูอึมครึมสำหรับผมไปหมด ดวงตาของผมพร่าไปด้วยม่านน้ำตา มันก็เหมือนกับชีวิตของผมในตอนนี้ที่มองไปทางไหนก็พร่ามัวไปหมด แม้จะเห็นแต่มันก็เบลอจนดูอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เลยว่าผมจะสามารถคุยหรือไว้ใจใครได้อีก เพราะแม้แต่คนที่ผมเคยไว้ใจที่สุดและคิดว่าเขาจะไม่ทำร้ายผม กลับทำกับผมแบบนี้เลย แล้วผมยังเหลือใครอีกงั้นเหรอ

   “ทุกคนกำลังล้อเล่นกับเราอยู่ในไหม มันไม่จริงใช่ไหม!” ผมสะบัดตัวออกจากเก็ทก่อนจะหันไปถามทุกๆ คนเสียงเข้มที่ขัดกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

   “ฟร๊องก์ใจเย็น แล้วตั้งสติให้ดี มันถึงเวลาแล้วที่ฟร๊องก์จะต้องรู้ว่าความจริงมันคืออะไร เราเองสืบเรื่องนี้มันพักใหญ่แล้ว และก็ไม่อยากปิดบังมันไว้อีกต่อไป สิ่งที่เก็ททำไว้ ฟร๊องก์ควรได้รับรู้มัน และถามเหตุผลด้วยตัวเอง” ชัญญ่าเป็นคนเข้ามาดึงสติของผมที่หลุดลอยไปแสนไกลให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ดึงให้ผมกลับมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องๆ นี้ แม้ว่าผมจะพยายามหนีหรือหลอกตัวเองให้เชื่อว่ามันไม่จริงแค่ไหนก็ตาม

   “...” ผมมองหน้าเก็ทอย่างพร่ามัวผ่านม่านน้ำตา

   “...” เก็ทเองก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาให้ผมรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง เพียงแต่เลือกที่จะยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

   “พี่ฟร๊องก์จำวันที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหม” เสียงทาร์ตดังขึ้นหลังจากที่เจ้าตัวเงียบไปจนผมแทบจะลืมไปแล้วว่ายังมีทาร์ตอยู่ตรงนั้นด้วย เพราะมัวแต่สนใจกับเก็ทอยู่ “จริงๆ แล้ววันนั้นมันไม่ใช่ความบังเอิญหรอก แต่มันเกิดจากความตั้งใจของผมกับพี่เก็ทนี่ต่างหาก”

   “หมายความว่าไง” ผมหันไปถามทาร์ตด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้นก่อนจะหันมามองหน้าเก็ทอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ

   “พี่เขานัดให้ผมออกไปเจอพี่ พี่จำได้ใช่ไหมที่พี่เก็ทขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์นอกร้านตอนนั้น เขาคุยโทรศัพท์กับผมเนี่ยแหละ พี่เก็ทเขาได้เจอผมโดยบังเอิญก่อนที่ผมจะเจอพี่ฟร๊องก์ และก็รู้ว่าผมเป็นน้องพี่โดนัท แล้วบังเอิญว่าตอนนั้นผมเองก็เคยเห็นรูปพี่จากโทรศัพท์และเฟซบุ๊กของพี่โดนัทและเคยเจอพี่ผ่านๆ แล้วเกิดสนใจพี่ขึ้นมา จึงไปปรึกษาพี่โดนัทดูแล้วบังเอิญพี่เก็ทมาได้ยิน มันเลยเข้าทางเขาพอดี เขาดึงตัวผมเข้ามาเป็นหมากในเกมของเขา ตอนแรกผมก็คิดว่าพี่เขาจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้ผมจริงๆ เพราะพี่เก็ทคอยแนะนำผมหลายต่อหลายอย่างให้ผมเข้าหาพี่ หมั่นคุยกับพี่ แต่พี่รู้อะไรไหม พอผมได้ทำความรู้จักพี่มากขึ้น ผมก็รู้สึกว่าผมหลงรักพี่เข้าแล้วจริงๆ ผมหลงรักความน่ารัก ความร่าเริงของพี่ ผมหลงรักในดวงตากลมโตดวงนี้ แต่... ก็เป็นผมเองที่ทำลายความรู้สึกดีๆ เหล่านั้น”

   “ไม่จริงใช่ไหมเก็ท มันไม่จริงใช่ไหม!” ผมถามเก็ทเสียงดังกอปรกับเข้าไปเขย่าตัวเก็ทอย่างรุนแรงโดยไม่สนว่าตัวผมเองจะสั่นคลอนแรงไปด้วยแค่ไหน

   “เก็ทเป็นคนดึงทาร์ตเข้ามาในชีวิตฟร๊องก์เอง...” เก็ทตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง ดึงให้ผมหยุดการกระทำทุกอย่าง ทำได้เพียงแค่กำแขนเสื้อทั้งสองข้างของเก็ทไว้แน่นแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาแบบนั้น

   “... แล้วเรื่อง ฮึก... ที่ทาร์ต... วางยาฟร๊องก์ เก็ทก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า” ผมถามออกไปอย่างยากลำบากด้วยเสียงที่แหบแห้งราวกับไม่ได้ดื่มน้ำมาแรมปี แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ก็ให้ทุกอย่างมันกระจ่างไปเลย

   “ฟร๊องก์...”

   “มันคงเป็นแผนของเก็ทด้วยสินะ” ผมพูดอย่างผิดหวังและเจ็บปวด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่ช่วยเหลือผมมาตลอดคนนี้จะทำร้ายผมได้อย่างเลือดเย็น

   “มันไม่เกี่ยวกับพี่เก็ทหรอกครับ...” เสียงทาร์ตดังขึ้นขัดความคิดของผมก่อนที่มันจะถลำไปไกลกว่านี้เสียก่อน

   “จริงๆ แล้วพี่เก็ทแค่แนะนำให้ผมใช้โอกาสวันเกิดผมนี้ทำให้พี่รู้สึกดีและเปิดใจกับผมมากขึ้น แต่มันเป็นเพราะความเลวในตัวผมเองที่อยากใกล้ชิดพี่เร็วๆ และอยากได้พี่จนหน้ามืด จนใช้วิธีที่ทำร้ายทั้งร่างกายและความรู้สึกของพี่อย่างไม่เหลือชิ้นดี เรื่องนี้ผมขอรับผิดไว้เองคนเดียว มันเป็นแผนของผมเองคนเดียว พี่เก็ทไม่ผิดหรอก แล้วที่สำคัญพี่ฟร๊องก์อย่าโกรธ อย่าเกลียดพี่โดนัทเลยนะ ผมขอร้องให้เขาช่วยเหลือผมเอง แม้ตอนแรกเขาจะไม่เห็นด้วยแต่เพราะผมคะยั้นคะยอ คนเป็นพี่ก็ย่อมจะช่วยเหลือน้องอยู่แล้ว”

   “กูไม่แก้ตัวนะที่กูช่วยน้องแม้จะรู้ว่ามันผิด และกูก็ไม่กล้าขอให้มึงให้อภัยกู แต่ที่น้องกูพูดมันคือความจริง เก็ทเป็นคนดึงทาร์ตให้มารู้จักกับมึงเอง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันเกิดทาร์ตมันเป็นสิ่งที่กูสองคนทำให้มันเกิดขึ้นเอง กูเคยคิดนะว่าจะโยนความผิดนี้ให้เก็ท แต่สุดท้ายมันได้อะไรล่ะ ในเมื่อความรู้สึกมึงมันก็เสียไปแล้ว แค่นี้พวกกูก็ทำกับมึงมากเกินอภัยแล้ว” โดนัทพูดเสริมเสียงสั่น

   “ขอโทษที่ตอนนั้นไม่ได้ไปช่วย... เพราะเก็ทเองก็ไม่คิดว่าทาร์ตมันจะกล้าทำเรื่องเลวๆ แบบนี้” เก็ทพูดอย่างสำนึกผิด แต่นั่นก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นหน่อยที่อย่างน้อยเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับทาร์ตก็ไม่ใช่เพราะฝีมือเก็ท

   “วันนั้นเราบอกให้ปาร์คไปช่วยฟร๊องก์ไว้เอง จริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดี แต่เราแค่บอกปาร์คว่าวันนั้นมีปาร์ตี้วันเกิดของทาร์ตและฟร๊องก์ไปด้วย อีกอย่างเราได้ยินเก็ทคุยโทรศัพท์กับน้องคนนี้ด้วย ปาร์คจึงแอบตามไปดูลาดเลาใกล้ๆ ร้านตั้งแรก พอเห็นทาร์ตพาฟร๊องก์ขึ้นแท็กซี่ด้วยท่าทางไม่ค่อยดีของฟร๊องก์ ปาร์คเลยรีบตามไปแล้วช่วยฟร๊องก์เอาไว้” ชัญญ่าเสริมทัพ ที่ปาร์คเข้ามาช่วยผมไว้แม้จะสายไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกันสินะ ทำไมดูเหมือนชีวิตของผมถูกกำหนดไว้ด้วยคนอื่นตลอดเลย

   “ผมขอโทษนะครับ...” ทาร์ตพูดเสียงอ่อน “ที่วันนี้ผมมา ส่วนหนึ่งก็เพราะพี่ชัญญ่าเขาบอกว่าอยากให้เรื่องนี้มันจบด้วย ผมเองก็สงสารพี่และสำนึกผิดในสิ่งที่ผมทำ ผมเลยยอมทำตามแผนที่พี่ชัญญ่าเขาวางเอาไว้ เผื่อมันจะชดเชยสิ่งที่ผมทำได้บ้าง พี่คงพอได้ยินสิ่งที่ผมคุยกับพี่เก็ทบนดาดฟ้าแล้ว”

   “ที่ทุกคนมาวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก เราเองก็ต้องขอโทษที่ทำให้ฟร๊องก์ตกใจและต้องมารับรู้เรื่องที่ทำให้เสียความรู้สึกแบบนี้ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่วันหนึ่งฟร๊องก์ก็ต้องรู้และเสียใจกับมันอยู่ดี เราติดต่อไปหาทาร์ตแบบที่น้องมันบอกเองแหละ และวางแผนให้ทาร์ตกับโดนัทมาหาเก็ทที่นี่เพื่อแสร้งทำเป็นปรับความเข้าใจและขอร้องให้เก็ทช่วยพูดกับฟร๊องก์อีกแรงให้ยกโทษให้ ที่เราเลือกวันนี้เพราะเราคิดว่ามันพร้อมสุดแล้ว ฟร๊องก์บอกเราเองว่าวันนี้จะมาติวหนังสือกับเก็ท และเราก็พอเดาได้ว่าเก็ทจะพามาติวที่นี่ จึงวางแผนนี้ขึ้นมา” 

   “เซอร์ไพรส์ไหมล่ะเก็ท จริงๆ ฉันใช้เวลาสืบเรื่องของเธอมาพักใหญ่แล้วแหละ ถึงจะช้าไปหน่อย แต่มันก็เนียนพอที่จะทำให้เธอไม่สงสัยและไม่ทันระวังตัว ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนฉลาด แต่เธอก็รู้จักฉันดีไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นเราคงคบกันไม่ได้จริงไหม” ชัญญ่าไขข้อสงสัยให้กระจ่างว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้และ ณ ตอนนี้มันผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี คงมีเพียงผม... และเก็ทที่ไม่รู้

   “มีเรื่องอะไรที่เราจะต้องรู้อีกไหม” ผมถามเสียงเย็นกอปรกับหันมองเข้าไปยังนัยน์ตาของเก็ทอย่างคาดคั้น พยายามหาว่าเขามีเรื่องอะไรที่ปิดบังผมอยู่อีกหรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมได้กลับมีแต่ความว่างเปล่าเจือความเศร้าในดวงตานั้น

   “ที่เก็ทต้องแอบคุยกับโดนัทแล้วก็ทาร์ตก็เพราะแบบนี้แหละ เก็ทแค่ไม่อยากให้ฟร๊องก์รู้ว่าเรื่องของทาร์ตที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกมันเกิดขึ้นจากตัวเก็ท” เก็ทเอ่ยเสียงเรียบตามสไตล์ แต่น้ำเสียงกลับไม่หนักแน่นเท่าครั้งไหนๆ

   “...” ผมไม่ได้ตอบรับอะไร เพียงแต่รอการอธิบายจากเจ้าตัวต่อ

   “เก็ทแค่อยากให้ฟร๊องก์ได้ลองเปิดใจกับคนอื่นบ้าง แทนที่จะมาจมอยู่กับความเจ็บปวด ความทุกข์จากคนๆ เดียวที่ฟร๊องก์ไม่เคยได้รับความรักกลับมาเลย”

   “มึงเลยคิดแผนหมาๆ นี่ขึ้นมาล่ะเหรอ ไอ้สัด! ตลกสิ้นดี!” ปาร์คที่ยืนนิ่งอยู่ถึงกับสบถด่าทออย่างหยาบคายพร้อมพยายามพุ่งตัวเข้าไปหาเก็ท แต่ก็ถูกชัญญ่าห้ามเอาไว้ก่อน เพื่อให้ผมได้ฟังเหตุผลจากปากเก็ท “กูรักฟร๊องก์ รู้เอาไว้ด้วย!”

   “หึ! สิ่งที่มึงทำกับฟร๊องก์ มึงกล้าเรียกว่ารักงั้นเหรอ! ถ้ามึงรักฟร๊องก์จริง ทำไมมึงทำให้ฟร๊องก์ต้องรอมาตั้งหลายปีล่ะ แค่นั้นยังไม่พอ มึงยังทำร้ายคนที่มึงบอกว่ารักอีกด้วยซ้ำ มันไม่ใช่เพราะความไม่แน่ใจ ความกลัวและเห็นแก่ตัวของมึงมากกว่าเหรอ มึงถึงไม่ยอมคบกับฟร๊องก์ แต่ก็ไม่ยอมให้ฟร๊องก์ไปไหน” เก็ทหันไปพูดกับฟร๊องก์ด้วยเสียงเยาะเย้ย แต่นั่นก็กรีดใจผมได้ไม่แพ้กัน เพราะความจริงมันก็เป็นอย่างที่เก็ทพูดจริงๆ

   “มึงมันจะไปรู้อะไร!” ปาร์คตะเบ็งเสียงดังอย่างไม่ยอมลดละ

   “หึ! อย่างน้อยกูก็รู้ใจตัวเองมากกว่ามึง” เก็ทตอบกลับด้วยใบหน้าเยาะเย้ย 

   “ฟร๊องก์ขอฟังเหตุผลของเก็ทก่อนได้ไหมว่าที่ทำแบบนี้เพราะอะไร” ผมพูดนิ่งๆ เพื่อยุติความเดือดพล่านของคนทั้งคู่ โดยพยายามกดก้อนสะอึกไว้ในลำคอ

   “ตั้งแต่เก็ทรู้จักฟร๊องก์มา มีคนพยายามเข้ามาในชีวิตฟร๊องก์ตั้งแต่ แต่ฟร๊องก์ไม่เคยหันไปมองรอบๆ ตัวเลย ไม่เคยสนใจคนเหล่านั้นเลย เพราะใจฟร๊องก์มัวแต่ติดอยู่กับไอ้หมอนี่ หวังแค่ว่ามันจะหันมาสนใจบ้าง แล้วมีสักครั้งไหมที่มันเคยสนใจ ฟร๊องก์จำได้ไหมว่าตัวเองเป็นทุกข์เพราะมันกี่ครั้ง เคยร้องไห้กับเก็ทกี่รอบ เก็ทก็แค่อยากให้มีใครสักคนเขามาทำให้ฟร๊องก์มีความสุขบ้าง บางทีฟร๊องก์อาจจะได้รู้ใจตัวเองมากกว่าแต่ก่อน แต่เก็ทก็ต้องขอโทษที่คนที่เก็ทดึงเข้ามาในชีวิตฟร๊องก์จะคิดทำร้ายฟร๊องก์ไปด้วยอีกคน”

   “...” ผมทำได้เพียงแค่รับฟังเหตุผลนั้นนิ่งๆ เพราะผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ถามว่าผมรู้สึกดีไหมกับสิ่งที่เก็ททำ บอกเลยว่าไม่เลยแม้แต่น้อย จะโกรธก็โกรธ อีกใจผมก็ทำให้เก็ทรู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่ต้องมารับรู้เรื่องของผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชอบอยู่ดีกับการมาบงการให้ชีวิตผมต้องไปทางนั้นหรือทางนี้

   “เก็ทรู้ว่าเก็ทอาจจะทำไปโดยไม่ปรึกษาฟร๊องก์ก่อน หรือไม่เห็นความรู้สึกฟร๊องก์ แต่ที่ทำก็เพราะเป็นห่วง...”

   “แล้วเก็ทเคยถามฟร๊องก์สักคำไหมว่าฟร๊องก์ต้องการหรือเปล่า!”

   “มันไม่ใช่แค่เป็นห่วงหรอกมั้ง ทำไมไม่บอกฟร๊องก์ไปล่ะว่าจริงๆ แล้วเธอรู้สึกยังไงกับฟร๊องก์กันแน่ ที่เธอวางแผนเพื่อให้ฟร๊องก์สนใจคนอื่นบ้าง หรืออยากให้ฟร๊องก์สนใจตัวเธอบ้างกันแน่”

   “หมายความว่า...” แม้ผมจะสับสนกับสิ่งที่ได้รับรู้ แต่สิ่งที่ชัญญ่าพูด ผมกลับเข้าใจมันได้

   “ขอโทษ...” เก็ทไม่ตอบอะไร เพียงแค่เอ่ยขอโทษอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปเก็บหนังสือและเหล่าเครื่องเขียนของผมเก็บใส่กระเป๋า “เก็บของเถอะ เดี๋ยวเก็ทไปส่งที่หอ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว กลับไปเตรียมตัวเรื่องสอบดีกว่า เรื่องพวกนี้อย่าเก็บมาคิดให้มันรกสมอง เก็ทขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย”

   “ไม่คิดจะบอกฟร๊องก์เรื่องที่เกี่ยวกับปาร์คด้วยหรือไง...”


à suivre...


อุ๊ปส์!!! ขอโทษนะ ที่เก็ทเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจนได้ 555+
หลายคนคงสงสัยความรู้สึกที่เก็ทมีให้กับฟร๊องก์ใช่ไหมล่ะ
แต่มันก็จะเป็นข้อสงสัยต่อไป เราไม่ขอบอกแล้วกันว่าเก็ทรู้สึกยังไงกันแน่ แล้วแต่ว่าใครอ่านแล้วจะเข้าใจว่าเก็ทรู้สึกอย่างไร

ตัวละครทาร์ต จริงๆ แล้วเป็นตัวละครที่ดีนะ แต่คนเรามักจะมีความโลภ ความอยากได้อยากมีอยู่ในตัว
ดังนั้นเมื่อเห็นโอกาสอะไรที่เราพอจะเอื้อมถึง ความโลภอาจดึงให้เราทำอะไรที่ไม่คาดคิดได้
แต่เจ้าตัวก็แมนพอที่จะยืดอกรับความผิดที่ทำไว้ โดยที่ไม่ใช้โอกาสนี้โยนความผิดให้เก็ทอีก ทั้งที่ถ้าจะทำจริงๆ ก็ทำได้

เราน้อมรับทุกๆ ความเห็นนะ ผลงานของเราอาจจะไม่ได้ถูกใจทุกคน แต่เราก็ตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่
เก็บทุกๆ ความเห็นนำมาปรับปรุงอยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายเส้นเรื่องที่วางไว้ก็ยังคงต้องเป็นไปตามนั้น 555+
ขอบคุณทุกคนนะฮะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 46 P.7 [UP! 22/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 22-09-2017 21:34:33
 :katai1: :katai1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 46 P.7 [UP! 22/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-09-2017 22:26:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 46 P.7 [UP! 22/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-09-2017 07:21:15
โธ่ อย่าเกลียด อย่าโกรธเก็ทเลยนะฟร็องก์ เก็ทแค่หวังดีอยากให้เปิดใจใหม่เลยเป็นพ่อสื่อให้ แต่จริงๆ เราสงสารเก็ทนะเราว่าเก็ทคงรักฟร็องก์มากกว่าเพื่อนแต่ไม่กล้าบอกเพรากลัวว่าความเป็นเพื่อนก็คงจะไม่เหลือไปด้วย ใจกว้างมากที่ยอมหาคนอื่นมาแทนตัวแทนเพื่อที่จะให้ฟร็องก์เปิดใจกับคนอื่นแทนที่จะสนแต่ปาร์คคนเดียว เกลียดปาร์คว่ะผิดก็ไม่ยอมรับทั้งๆ ที่ตัวเองทำแบบที่เก็ทพูดมาทั้งหมด ยังจะไม่ยอมรับอีก
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 46 P.7 [UP! 22/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-09-2017 12:57:39
..ผิดเพราะรัก..

ถึงกูจะร้าย..แต่กูก็รักไม่น้อยกว่าเขา
แล้วเหตุใดเล่าจึงเป็นตัวเรา..ที่แพ้เสมอ
                                                 (ตัวร้ายที่รักเธอ)

ทำได้เพียงแค่นี้นะเก็ท
เพราะเราไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเค้า
กาซิก
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 46 P.7 [UP! 22/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 29-09-2017 15:22:10
เห้ยๆ ยังไงวะเนี้ย
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 46 P.7 [UP! 22/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 30-09-2017 14:15:42
อู้หูวว อิรุงตุงนังไปหมดเลย ไม่มีใครเป็นสีขาวสักคน ชอบชัญญ่ามาก ตอนแรกๆดูร้ายแต่ความจริงแล้วดีมาก คอยช่วยฟร๊องก์ตลอด ส่วนคนอื่นๆดีแตกทุกคนเลยจ้า จาร้องห้าย
แอบหงุดหงิดนิสัยฟร๊องก์เป็นพักๆ ทำไมต้องยอมคนอื่นตลอดก็ไม่รู้ น่าหงุดหงิดกว่าปาร์คอีก
เพราะว่าสำหรับปาร์คมอบมงสุดยอดความเหรี้ยให้เลยจ้า เอาไปๆ
คบซ้อน ไหนว่ารู้ความรู้สึกตัวเองไง แต่ยังทำเห้ๆใส่ฟร้องก์อีก
อินมากๆ อ่านแต่ละความเห็นแล้วก็ขำ ไม่มีใครเชียร์ปาร์คเลย
ส่วนใหญ่เชียร์เก็ท แต่จากตอนล่าสุด ก็พูดเลยว่า เห้ออออออออ ยังไม่จบสิ้นอีกชีวิตฟร้องก์ ยังจะมีเรื่องอีกเร้อ  :katai1:
เป็นกำลังใจให้นะคะ แต่งนิยายยังไงให้คนด่า(พระเอก)ได้มากขนาดนี้ อินๆ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 47 [1/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 01-10-2017 19:30:55
Chapitre 47


   หลังจากที่ได้รับรู้ว่าเรื่องที่ทาร์ตเข้ามาในชีวิตของผมเป็นเพราะเก็ท ผมก็แทบหยุดหายใจ ขณะที่เจ้าตัวกำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อจะไปส่งผมที่หอ ผมหวังเพียงว่าจะไม่มีอะไรที่ทำให้ผมต้องเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้

   “ไม่คิดจะบอกฟร๊องก์เรื่องที่เกี่ยวกับปาร์คด้วยหรือไง ไม่สงสัยเหรอฟร๊องก์ว่าเราพาปาร์คมาทำไม ถ้ามันไม่เกี่ยวอะไรกับปาร์ค” ก่อนที่เก็ทจะทันได้เก็บของลงกระเป๋าของผมหมดและพาผมกลับหอ ก็ถูกเบรกไว้ก่อนด้วยคำพูดของชัญญ่า และประโยคนั้นก็ตอบโจทย์สิ่งที่ยังค้างอยู่ในใจของผมว่าทำไมปาร์คถึงต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย

   “เรื่องของปาร์คงั้นเหรอ... เก็ทยังมีอะไรต้องบอกฟร๊องก์อีกใช่ไหม” น้ำตาที่หยุดไหลไปได้ไม่นาน ตอนนี้มันเริ่มกลับมาตีรั้งที่ขอบตาอีกครั้งเมื่อข้อสงสัยอีกอย่างมันเป็นเรื่องของคนที่ผม... เคยรัก... มากๆ คนนี้

   “...” เก็ทชะงักมือที่กำลังรูดซิบกระเป๋าของผมอยู่ทันที

   “ถึงขั้นนี้แล้วเธอยังเลือกจะหนีปัญหาอีกเหรอเก็ท กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลของเธอมันคืออะไร แต่นั่นมันคือสิ่งที่เธอลงมือทำไปแล้ว!” ชัญญ่าต่อว่าเสียงดัง “ปาร์คบอกฟร๊องก์ไปสิว่าเก็ทเคยติดต่อไปหาหรือเปล่า”

   สิ่งที่ชัญญ่าพูดมาทำให้ผมอึ้งและหัวใจผมรู้สึกเหมือนถูกบีบมากกว่าเรื่องของทาร์ตที่รู้ก่อนหน้าเสียอีก เก็ทเคยติดต่อไปหาปาร์ค ติดต่อกันเรื่องอะไร มีเหตุผลอะไรถึงต้องติดต่อกัน อย่าบอกนะว่าเก็ทเองก็วางแผนไม่ดีกับปาร์คด้วย

   “ปะ... ปาร์ค...” ผมหันไปมองหน้าปาร์คด้วยดวงตาที่น้ำตาเอ่อล้น

   “ขอโทษนะที่ไม่เคยบอก ขอโทษที่เคยโมโหใส่ เคยทำร้ายด้วยเรื่องงี่เง่านี่” ปาร์คเดินเข้ามาหาผม ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด โดยที่ตัวเองยังไม่ได้บอกอะไรยกเว้นแต่คำขอโทษ

   “ที่ปาร์คเคยโกรธ เคยทำร้ายฟร๊องก์ก็เพราะมีข้อมูลที่มันคอยส่งให้! โดยที่ก่อนหน้าปาร์คไม่รู้อะไรเลย เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ ขอโทษที่รู้ตัวช้า ขอโทษที่เพิ่งมาบอกความจริงตอนนี้ เพราะไม่อยากให้แผนล่มจึงต้องเก็บไว้ ทั้งที่จริงๆ อยากจะซัดหน้ามันสองคนให้หนักๆ จริงๆ แล้วปาร์คแอบติดต่อกับชัญญ่ามาสักพักแล้ว หลังจากที่ได้เจอพร้อมฟร๊องก์ครั้งนั้น ชัญญ่าก็ติดต่อมาหาปาร์คบอกให้คอยระวังฟร๊องก์จากรุ่นน้องคนนี้ ตอนแรกปาร์คก็ไม่เข้าใจหรอก แต่... ในใจของปาร์คก็ไม่ค่อยพอใจอยู่แล้วที่เห็นฟร๊องก์มีคนมายุ่งด้วยทั้งๆ ที่รู้ก่อนหน้าแล้วว่าเด็กนี่มาจีบฟร๊องก์ และตัวปาร์คเองก็กำลังคุยกับคนอื่นอยู่ แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของปาร์คเองด้วย แล้วยิ่งได้รู้ว่ามันเข้าหาฟร๊องก์ได้เพราะอะไร มันทำให้ปาร์คยิ่งเดือด แต่สุดท้ายปาร์คก็ไม่สามารถช่วยฟร๊องก์ได้ทัน” ปาร์คอธิบายยืดยาวด้วยอารมณ์ที่เดือดดาลจนผมที่อยู่ในอ้อมแขนรู้สึกได้ถึงลำตัวที่สั่นเล็กน้อยด้วยโทสะ

   “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว!” ผมผละตัวออกจากวงแขนของปาร์คก่อนจะกวาดตามองทุกคนด้วยความไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดตรงหน้า รวมทั้งเรื่องที่ผ่านๆ มาเลยจริงๆ ทำไมทุกอย่างกลับตาลปัตรได้ถึงขนาดนี้ ทำไมทุกคนที่อยู่ใกล้ตัวผมถึงเต็มไปด้วยความลับ เต็มไปด้วยเล่ห์กลที่ผมไม่สามารถไล่ตามได้ทันเลยแม้แต่น้อย

   “ลองดูนี่ มันอาจจะทำให้ฟร๊องก์เข้าใจอะไรมากขึ้น” ปาร์คที่ยืนอยู่ใกล้ผมที่สุดพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มแฝงความเป็นห่วงพร้อมยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ ก่อนจะหันไปพูดกับเก็ทด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป เสียงที่ดูจริงจังแต่เหยียดหยาม “จริงๆ มึงลืมไปอย่างหนึ่งนะ เวลาจะส่งอะไรให้ใคร ควรคำนึงด้วยว่าเขาจะสามารถเก็บมันไว้เป็นหลักฐานได้หรือเปล่า แม้ว่าจะรอบคอบด้วยการส่งข้อความในไลน์ที่เป็นแบบกำหนดเวลาเปิดอ่านมาแล้วก็เถอะ แต่กูก็แคปทันอยู่ดีว่ะ” 

   ผมค่อยๆ เปิดดูรูปถ่ายและข้อความต่างๆ ที่ถูกแคปไว้อย่างช้าๆ ทั้งรูป ทั้งข้อความต่างๆ ที่ปรากฏนั้น ผมได้แต่พยายามบอกตัวเองว่ามันไม่จริง แต่สิ่งที่ผมเห็นผ่านหน้าจอนั้นก็แทบทำให้ผมทรงตัวไม่อยู่อีกครั้ง ยังดีที่ปาร์คคว้าตัวเอาไว้ทันไม่งั้นคงได้ล้มไปกับพื้น หัวใจผมถูกบีบจนมันจุกที่หน้าอกข้างซ้ายยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าเก็ทอยู่เบื้องหลังการเข้ามาในชีวิตผมของทาร์ตซะอีก

   เพราะ... รูปที่ปรากฏบนจอผ่านนิ้วมือของผมที่ค่อยๆ เลื่อนไป ลำคอผมรู้สึกแห้งผากมากขึ้นเรื่อยๆ โดยตอนนี้แม้แต่จะกลืนน้ำลายยังยากลำบาก

   มีทั้งรูปถ่ายคู่กับทาร์ตต่างๆ ทั้งตอนไปเที่ยว และตอนอื่นๆ ที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ารูปนั้นถูกถ่ายที่ไหนและตอนไหน อีกทั้งข้อความที่เป็นข้อมูลอธิบายเพิ่มเติมต่างๆ ว่าผมกับทาร์ตทำอะไรกันอยู่ที่ถูกส่งให้ปาร์ค รูปและข้อความมันเริ่มต้นครั้งแรกตอนที่ไปเกาะล้านด้วยกัน ถ้างั้นตอนที่กลับจากทะเลแล้วปาร์คโมโหเป็นฝืนเป็นไฟแถมยังพูดขึ้นมาเรื่องรูปอะไรนั่น ก็คือรูปที่ผมถ่ายกับทาร์ตนี่สินะ แถมมันยังถูกส่งผ่านข้อความด้วยเบอร์โทรศัพท์ของผมอีกต่างหาก แสดงว่าตอนนั้นที่มือถือของผมมันย้ายช่องเองได้ก็เพราะเก็ทสินะ

   และที่ทำให้ผมเจ็บปวดสุดคือคลิปวีดีโอที่ถูกถ่ายไว้ตอนไหนไม่รู้ในวันที่พวกผมไปร้องคาราโอเกะ และทาร์ตสารภาพรักกับผมผ่านเสียงเพลง พร้อมกับข้อความที่ส่งให้ปาร์คเพื่อบอกสถานที่ และผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันนั้นปาร์คถึงตามผมไปถูก ไม่แปลกใจเลยที่ปาร์ครู้ว่าผมอยู่ที่นั่น

   เพราะแบบนี้ที่ทำให้ผมต้องเผชิญกับคืนอันเลวร้ายคืนนั้น!!

   แม้ทุกครั้งรูปหรือข้อความที่ถูกส่งไปจะไม่ได้ส่งจากเบอร์หรือไลน์ที่เก็ทใช้ประจำก็ตาม ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่าจะใช่เก็ทแน่หรือเปล่าที่เป็นคนส่งรูปและข้อความเหล่านี้ให้ปาร์ค แต่ความรู้สึกของผมมันกลับคิดว่าใช่เก็ทแน่ๆ แม้จะไม่อยากเชื่อแค่ไหนก็ตาม เพราะคนที่ใกล้ชิดและรู้เรื่องของผมมากสุดก็คือเขา แต่หลักฐานพวกนี้ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมปักใจเชื่อว่าเก็ทจะเป็นคนทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดระหว่างผมกับปาร์ค

   “น่ะ... นี่มันคืออะไรกันเก็ท” ผมยื่นหน้าจอมือถือให้เก็ทดูด้วยความสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ พร้อมเอ่ยปากถามอย่างยากลำบาก

   “แบบนี้ใครก็กล่าวหากันได้ ไม่มีอะไรยืนยันตัวตนเลยด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเก็ทยังคงราบเรียบ แต่เจ้าตัวกลับเบือนหน้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

   “เธอคิดว่าถ้าฉันไม่พร้อม ฉันจะมาเหรอ” ชัญญ่าพูดอย่างเยือกเย็นก่อนจะกระตุกยิ้มร้ายเช่นเดียวกับที่เคยทำกับเกล แต่ที่ทำให้ผมขนลุกมากกว่าคือคนที่เธอกำลังท้าทายด้วยนั้นคือแฟนของตัวเอง “ฉันลงทุนสืบเรื่องของเธอขนาดนี้ แค่เบอร์เติมเงินที่ต้องลงทะเบียนผู้ใช้แบบนี้คิดว่ามันจะตามยากเหรอ เอกสารเหล่านี้คือหลักฐานอย่างดีเลยว่าเบอร์ที่ใช้ส่งหาปาร์คเป็นของเธอ รวมทั้งไลน์ที่ลงทะเบียนด้วยเบอร์นั้นด้วย ถ้าคิดจะทำก็ต้องรอบคอบกว่านี้นะ!”

   “น่ะ... นี่มัน...” ชัญญ่าล้วงเอาม้วนกระดาษในกระเป๋ายื่นมาให้ผม หลักฐานที่มัดตัวเก็ทจนดิ้นไม่หลุด ทั้งชื่อที่ใช้ลงทะเบียนซิม ทั้งวันที่เปิดใช้งานจากเครือข่าย เบอร์ที่ส่งรูปและข้อมูลต่างๆ ให้กับปาร์คคือเก็ทจริงๆ

   ผมเม้มปากเป็นเส้นตรงมองไปที่เก็ทด้วยสายตาผิดหวัง แววตาที่เลือนรางในม่านน้ำตาทำให้มองเห็นเก็ทได้ไม่ชัด มันไม่ชัดเหมือนตอนนี้ คนที่ผมคิดว่าไว้ใจได้ เชื่อใจได้มากที่สุด แต่ผมกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเก็ทอย่างชัดเจนเลย เนี่ยเหรอคนที่ผมเคยไว้ใจมาตลอด คนที่ผมเชื่อใจและกล้าที่จะเล่าและปรึกษาแทบจะทุกอย่างในชีวิต ทำไมถึงได้ทำกับผมขนาดนี้ ทำกับผมยิ่งกว่าคนที่เกลียดชังกันซะอีก ผมจะไม่เจ็บใจเท่านี้เลยถ้าคนตรงหน้าผมไม่ใช่คนที่ผมคุ้นเคย ไม่ใช่คนที่ผมเคยเชื่อใจอย่างไม่มีข้อกังขา เขาทำแบบนี้ทำไม ผมคือเพื่อนเขานะ เขาทำได้อย่างไร!

   “เรื่องของเกลก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนเธอด้วยสินะ” ชัญญ่าพูดต่อ เรื่องของเกลก็ด้วยงั้นเหรอ นี่มันคือทุกอย่างที่สร้างความวุ่นวายกับชีวิตผม รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปาร์คด้วย ทำไมกันล่ะเก็ท เหตุผลของมันคืออะไรกัน!?

   “ผู้หญิงคนนั้นด้วยงั้นเหรอ...” ตอนนี้ผมร้องไห้อย่างไม่อาย และไม่มีทีท่าจะหยุด แต่กลับยิ่งมากขึ้นๆ เมื่อความจริงถูกเปิดเผยออกมามากขึ้น

   “มันไม่ใช่แค่เก็ทพาทาร์ตเข้ามาในชีวิตฟร๊องก์หรอก แต่ผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นก็เป็นเก็ทด้วยเหมือนกันที่มีส่วนดึงผู้หญิงคนนั้นเข้าในชีวิตของปาร์ค ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างฟร๊องก์กับปาร์คไง คงเพราะอยากให้ทั้งคู่ห่างกัน ทำให้ฟร๊องก์ตัดใจจากปาร์คเมื่อรู้ว่าปาร์คมีคนที่คบเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่เรื่องนี้มันเนียนมากจนตอนแรกเราก็แทบจะไม่สงสัยเลยด้วยซ้ำว่าเป็นเพราะเก็ทเอง ตอนแรกเราก็แค่อยากจะเตือนฟร๊องก์ให้คอยจับตาผู้หญิงคนนั้นที่มาคบกับปาร์ค อาจเป็นเพราะเซ้นส์ของผู้หญิงเหมือนกันมั้ง เลยทำให้เราไล่สืบลึกลงไปถึงเรื่องของเกลตอนที่ช่วยฟร๊องก์ตอนนั้น เราถึงได้รู้ แต่ข้อดีคือเก็ทไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้เลย คงคิดว่ามันไกลตัวและฟร๊องก์เองก็เจ็บเพราะเรื่องนี้มาก คงไม่คิดจะหาความจริงอยู่แล้ว ฉันเดาถูกไหม”

   ชัญญ่าอธิบายยืดยาว สิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากเรียวปากสวยนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยินเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ผมไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะยืนได้อีกต่อไป ผมลงไปนั่งกอดเข่าแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก มันไม่ใช่เรื่องทาร์ต ไม่ใช่แค่การทำให้ผมกับปาร์คเข้าใจกันผิดเรื่องทาร์ต แต่เรื่องผู้หญิงคนนั้นที่เข้ามาในชีวิตปาร์ค รวมทั้งที่ผมต้องโดยปาร์คทำร้ายเพราะคำของผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างมันเกิดเพราะคนที่ผมสนิทใจมากที่สุด คนที่ใกล้ชิดกับผมมากที่สุดคนนี้!

   “เพราะมึงที่ทำให้กูกับฟร๊องก์ต้องเป็นแบบนี้ มึงทำลายความรักของกูกับฟร๊องก์!!!” ปาร์คพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อ ก่อนจะปล่อยกำปั้นหนักๆ เข้าที่แก้มข้างหนึ่งของเก็ทอย่างเต็มแรง พร้อมตะคอกราวกับไฟที่สุมในอกก่อนหน้านั้นถึงเวลาระเบิดออกมา

   พลั่ก!

   “ไอ้สัด!” เก็ทตั้งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสวนหมัดที่หนักไม่แพ้กันใส่ปาร์ค

   “หยุด! หยุดสักที!” ผมตะโกนสุดเสียง ทั้งที่ตัวผมทำได้แค่นั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม แม้จะอยากเข้าไปห้ามมวยสองคนนั้น แต่ผมไม่เหลือพลังงานที่จะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมทำได้เพียงมองเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้าแล้วยิ่งร้องไห้หนักขึ้น

   “หยุดได้แล้วครับ ทั้งคู่เลย!” เป็นทาร์ตที่หาญกล้าเข้าไปกลางดงหมัดแล้วพยายามที่จะแยกทั้งคู่ออกจากกัน โดยที่มีชัญญ่าคอยยื้อตัวปาร์คไว้ ส่วนเก็ทก็มีโดนัทที่คอยยึดตัวไว้เช่นกัน “ไม่สงสารพี่ฟร๊องก์บ้างหรือไงครับ ที่พวกพี่มาต่อยกันแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้พี่ฟร๊องก์รู้สึกดีขึ้นหรอก!”

   “ฟร๊องก์!” ปาร์ครีบผละตัวจากชัญญ่ามาหาผมทันที ก่อนจะลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างมันจบแล้ว”

   “ฟร๊องก์...” เก็ทเปล่งชื่อของผมออกมาอย่างสั่นเทา และทำท่าจะเข้ามาหาผม แต่ก็ถูกปาร์คขวางไว้ก่อน

   “อย่ามายุ่งกับฟร๊องก์ ที่มึงทำมันยังไม่พออีกหรือไง!” ปาร์คยืนประจันหน้ากับเก็ทพร้อมเอ่ยถามอย่างฉุนเฉียว

   “ทำไมกัน! เก็ททำแบบนี้ทำไมกัน!!” ผมเงยหน้ามองเก็ทผ่านดวงตาที่บวมช้ำจนรู้สึกปวดและฉ่ำด้วยหยาดน้ำตา พยายามมองให้ทะลุม่านหมอกที่บดบังสิ่งที่อยู่ภายในใจดวงนั้นของเก็ท ว่าข้างในนั้นทำด้วยอะไร ถึงได้ทำกับผมได้อย่างเจ็บแสบขนาดนี้

   “ทุกอย่างที่เก็ททำ เก็ททำเพื่อฟร๊องก์... ที่เก็ทดึงทาร์ตเข้ามาในชีวิตฟร๊องก์ก็เพื่ออยากให้ฟร๊องก์ได้มีความสุขกับคนที่รักฟร๊องก์ เห็นฟร๊องก์ในสายตาบ้าง ส่วนเรื่องเกล... เก็ทเจอผู้หญิงคนนั้นตอนที่ไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยมัธยม แล้วผู้หญิงคนนั้นพยายามเข้าหาเพื่อนเก็ท แล้วก็กลายเป็นเซ็กส์เฟรนด์กับเพื่อนเก็ทไป เก็ทจึงลองยื่นข้อเสนอในเธอทำงานแลกกับค่าตอบแทน และเธอยังอาจจะได้แฟนที่แทบจะสมบูรณ์แบบคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเก็ทก็คิดไม่ผิดหรอกที่เลือกผู้หญิงคนนั้น เพราะดูออกตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหน เธอก็ตกลงรับงานนี้ และบังเอิญว่าเธอรู้จักและสนใจปาร์คอยู่แล้ว จึงทำให้ทุกอย่างมันง่ายมากขึ้น”

   “นั่นเลยทำให้เกลที่ตอนแรกแค่คุยกันเล่นๆ เข้าหาและแสดงตัวกับกูมากขึ้นใช่ไหม!” ปาร์ดว่าอย่างเดือดดาล

   “โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเองก็เล็งเพื่อนของปาร์คไว้ด้วยเช่นกันใช่ไหม พอมีเรื่องนี้เข้ามาประกอบกับที่ฉันคอยช่วยเหลือฟร๊องก์ให้จบเรื่องเกลซะ มันเลยทำให้แผนเธอพัง โดยที่เธอเพิ่งมารู้ตอนหลัง ผู้หญิงคนนั้นคงไปคุยกับเธอด้วยสินะ หลังจากที่โดนจับได้เรื่องที่ให้เข้าไปคบหากับปาร์คแล้ว นั่นจึงทำให้เธอพยายามจะกันโดนัทกับทาร์ตให้อยู่ห่างๆ ฟร๊องก์ และพยายามอยู่ใกล้ๆ กับฟร๊องก์ตลอดเพราะเธอกลัวว่าฟร๊องก์จะรู้ความจริงใช่ไหมล่ะ”

   ชัญญ่าเป็นคนเข้าเสริมทัพ บอกข้อมูลเพิ่มเติมในมุมมองของเธอที่สามารถอ่านแผนและแก้แผนการได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ขณะเดียวกันก็กันท่าระหว่างปาร์คกับเก็ทไม่ให้เปิดศึกอีกรอบ

   “... อืม” เก็ทยอมรับเสียงอ่อน ก่อนจะหันไปหัวเราะเบาๆ ให้กับชัญญ่า “หึหึ เธอไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ สินะ”

   “เรารู้จักกันดีนิ” ชัญญ่าแสยะยิ้มอย่างมีชัย

   “เก็ทแค่ติดต่อผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นไป พร้อมบอกแผนการคร่าวๆ แต่ด้วยความที่เธอหัวดื้อและมั่นใจในตัวเองสูง หลายๆ อย่างเธอก็เลยมักจะทำมันด้วยตัวเธอเอง”

   “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอเก็ท แล้วเก็ททำแบบนี้เพื่ออะไรกัน ทั้งๆ ที่ฟร๊องก์ไว้ใจและเชื่อในเก็ทที่สุด เชื่ออย่างเต็มหัวใจ แต่ทำไมถึงหักหลังฟร๊องก์ได้ขนาดนี้  ทนเห็นฟร๊องก์เจ็บปวด ทนเป็นที่ปรึกษา คอยรับฟังปัญหาที่บางอย่างตัวเองเป็นต้นเหตุได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยได้ไงกัน เก็ทโกรธเกลียดอะไรฟร๊องก์เหรอเก็ท! บอกมาสิว่าโกรธเกลียดอะไรฟร๊องก์ ถึงต้องทำกันขนาดนี้!”

   “เปล่าเลย เก็ทไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดอะไรฟร๊องก์ ไม่เคยเลย แต่เก็ททำทุกอย่างลงไปก็เพื่อฟร๊องก์ เก็ทอยากเห็นฟร๊องก์มีความสุข ยิ้มและหัวเราะไปกับเก็ทและเพื่อนๆ คนอื่น มากกว่าจะมานั่งซึมหรือแอบร้องไห้เวลาอยู่คนเดียว คนที่ฟร๊องก์รัก บางทีเขาอาจไม่ได้เกิดมาคู่กับฟร๊องก์ คนที่เห็นแก่ตัวและไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองแบบนี้ไม่เหมาะกับฟร๊องก์หรอก เก็ทแค่อยากให้ฟร๊องก์เอาตัวเองออกห่างจากมัน”

   “เก็ททำเพื่อตัวเองต่างหาก เก็ททำโดยไม่ถามฟร๊องก์สักคำว่าต้องการมันหรือเปล่า”

   “แล้วผลลัพธ์ที่ได้มันทำให้ฟร๊องก์รู้อะไรมากขึ้นไหม ที่เก็ทดึงผู้หญิงคนนั้นเข้ามา เกลอาจจะเป็นบททดสอบความรักที่หมอนี่มีต่อฟร๊องก์ก็ได้ มันก็แสดงออกได้ชัดไม่ใช่เหรอ ในตอนที่เกิดเรื่องว่าหมอนั่นเลือกที่จะเข้าข้างใคร หรือฟร๊องก์จะปฏิเสธว่ามันไม่จริง ถ้าใจมันไม่โลเล มันก็คงไม่เล่นกับเกลหรอก ถ้ามันจริงใจกับฟร๊องก์ ส่วนทาร์ต พอฟร๊องก์ลองเปิดใจมองใครสักคน ฟร๊องก์จะได้รู้สึกถึงความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับ แต่บททดสอบของมันกลับทำให้ตัวมันเองไปต่อไม่ได้เพราะความไม่ยับยั้งช่างใจของตัวมันเอง”

   “แต่นั่น...” ผมเถียงไม่ออก เพราะเรื่องของเกลมันชัดเจนมากในตอนนั้นว่าปาร์คเลือกที่จะเข้าข้างและปกป้องผู้หญิงคนนั้น

   “มึงอย่ามาพูดพล่อยๆ!” ปาร์คสบถอย่างมีน้ำโห

   “หรือมันไม่จริงที่มึงทำร้ายฟร๊องก์!” เก็ทเองก็เสียงเข้มอย่างไม่ยอมกัน

   “...” ปาร์คไม่พูดอะไรต่อ เพราะยังไงความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ

   “ฟร๊องก์ขอบคุณในความหวังดีของเก็ทนะ ฮึก!” ผมว่าก่อนจะค่อยๆ ลุกแล้วเดินเข้าไปหาเก็ทด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา “แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เก็ททำฟร๊องก์ไม่สามารถยอมรับมันได้อยู่ดี ฮึก... ชีวิตฟร๊องก์ต้องวุ่นวายมากแค่ไหนเก็ทรู้หรือเปล่า ความหวังดีบ้าบออะไรของเก็ท ฟร๊องก์ไม่อยากจะรับมันไว้ด้วยซ้ำ เพราะนี่คือชีวิตของฟร๊องก์ ฟร๊องก์มีเลือดเนื้อ มีหัวใจ มีความรู้สึก แต่ฟร๊องก์สามารถเลือกและตัดสินใจที่จะทำอะไร จะเลือกอะไรสำหรับชีวิตตัวเองเองได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครมากำหนด เก็ททำเหมือนฟร๊องก์เป็นแค่แผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่จะเอาเขียนอะไรลงไปก็ได้ โดยไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าแรงกดจากการเขียนนั้นมันจะรุนแรงเกินกว่าที่กระดาษแผ่นนี้จะทนได้หรือเปล่า”

   “เก็ทขอโทษ...” 

   คำขอโทษที่เก็ทเปล่งออกมานั้นดูหนักแน่น แต่ก็แฝงด้วยความเศร้าหมองด้วยเช่นกัน ไม่ต่างจากสีหน้าของเก็ทตอนนี้ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สีหน้าที่ดูหมองหม่นและสายตาที่ดูเหมือนกำลังตำหนิตัวเองอยู่นั่น ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นหรือต้องมาเห็นสีหน้าลำบากใจอะไรแบบนี้

   “เก็ทไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่าคำว่าขอโทษ ขอโทษที่ทำอะไรไปโดยไม่เคยเป็นห่วงความรู้สึกของฟร๊องก์เลย เก็ทคิดเพียงแค่มันจะทำให้ฟร๊องก์มีความสุข คิดแค่ว่ามันจะเป็นบทพิสูจน์ความรักที่จะเข้ามาหาฟร๊องก์ โดยลืมไปว่าหัวใจฟร๊องก์ ฟร๊องก์ต้องเลือกมันด้วยตัวเอง”

   “ฉันพอเข้าใจความหวังดีของเธอที่มีต่อฟร๊องก์นะ แต่เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้หรอก” ชัญญ่าเดินเข้ามาแตะไหล่เก็ทเหมือนให้กำลังใจ ผมสัมผัสได้ว่าชัญญ่าไม่ได้ทำไปเพราะโกรธเคืองเก็ทหรอก แต่ที่เธอทำอาจเป็นเพราะเธอคงไม่อยากให้เก็ททำเรื่องที่ผิดไปมากกว่านี้ “มันก็เหมือนกับตอนที่เราเลือกจะคบกันไง ทั้งที่ใครๆ ต่างก็บอกว่าฉันหยิ่งและอันตราย ส่วนเธอก็ขึ้นเรื่องความเย็นชาและเข้าถึงยาก แต่เราก็เลือกที่จะเรียนรู้ชีวิตของกันและกัน”

   “อืม... ขอโทษนะที่ให้ชีวิตวุ่นวาย” เก็ทว่าพร้อมกับยื่นมือที่แอบสั่นเทาเล็กน้อยมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา “ขอโทษที่ดึงใครต่อใครเข้ามาทำให้ชีวิตฟร๊องก์ยุ่งยากขึ้น ขอโทษที่ทำให้ความรักที่เคยสวยงามสำหรับฟร๊องก์ต้องเป็นแบบนี้ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ความเชื่อใจที่ฟร๊องก์มีต้องพังทลายลงแบบนี้ เก็ทไม่ขอให้ฟร๊องก์ยกโทษให้หรอกนะ เพราะเป็นใครก็คงกลับไปไว้ใจเหมือนเดิมไม่ได้เหมือนกัน”

   “ฟร๊องก์ไม่ได้เกลียดเก็ทหรอกนะ เรายังคงเป็นเพื่อนกัน แต่... ฟร๊องก์คงเชื่อใจเก็ทอย่างสนิทใจไม่ได้อีกแล้ว” ผมยิ้มตอบเก็ททั้งน้ำตา

   “โลกมันไม่ได้สวยงามเสมอหรอกนะ ทุกอย่างที่ฟร๊องก์ได้เห็นหรือสัมผัส มันอาจจะไม่ได้มีแต่ด้านที่ดีอย่างเดียวก็ได้ แม้แต่ตัวเก็ทเอง...” ฝ่ามือใหญ่ของเก็ทยังคงลูบศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา อย่างเช่นที่เคยทำ

   “ฟร๊องก์พยายามที่จะทำความเข้าใจความหวังดีของเก็ทนะ ขอบคุณที่พาทาร์ตเข้ามาทำให้ชีวิตฟร๊องก์มีสีสันขึ้น แม้ว่า... ตอนจบมันจะไม่สวยงามสักเท่าไร ส่วนเรื่องของเกลและเรื่องเข้าใจผิดของฟร๊องก์กับปาร์ค จริงๆ เรื่องนั้น... มันจบไปแล้วแหละ ขอแค่หลังจากนี้เก็ทอย่าทำอะไรแบบนี้อีก ฟร๊องก์อยากใช้ชีวิตและเลือกทางเดินด้วยตัวเอง”

   “หมายความไงที่บอกว่าจบ!” ปาร์คถามเสียงเข้มกอปรกับรั้งแขนผมให้หันกลับไปมองที่เขา

   “...” ผมไม่ตอบอะไรปาร์ค ก่อนจะเบินหน้าและบิดแขนหนีจากการจับกุมนั้น เพราะสำหรับผมแล้วเรื่องของผมและปาร์คมันจบลงแล้วตั้งแต่วันนั้น “คงไม่มีอะไรที่ฟร๊องก์ต้องรู้อีกแล้วใช่ไหมเก็ท หวังว่ามันคงไม่มีอะไรอีกแล้วนะ โดนัทกูเข้าใจนะว่ามึงก็รักน้องมึง เลยเลือกทำสิ่งที่ผิดแม้จะรู้ว่ามันผิด แต่จะให้กูโกรธจนเกลียดมึงกูก็คงทำไม่ได้หรอก เพราะมึงมาวันนี้เพื่อยอมรับผิด และอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกูก็นับถือน้ำใจมึง ยังไงมึงก็ยังเป็นเพื่อนกู แต่กูก็คงให้มึงได้ไม่เต็มร้อยเหมือนเดิมเช่นกัน”

   “กูเข้าใจ แล้วก็ขอบใจมึงมากนะ ที่ยังเห็นว่ากูเป็นเพื่อน ฮึก... ขอบใจมากจริงๆ” โดนัทพูดเสียงสะอื้นพร้อมกับพยายามปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม

   “ส่วนทาร์ต... พี่ขอโทษจริงๆ ที่พี่... กลับไปรู้สึกดีกับทาร์ตไม่ได้อีกแล้ว พี่ไม่สามารถลืมสิ่งที่ทาร์ตทำไว้กับพี่ได้จริงๆ ความรู้สึกของพี่มันถูกทำลายหมดไปตั้งแต่คืนนั้น แต่พี่ก็ไม่ได้เกลียดทาร์ตนะ แต่พี่ก็ทำใจรักและเอ็นดูทาร์ตเหมือนน้องคนเดิมที่พี่เคยรู้จักไม่ได้เช่นกัน”

   ผมเลื่อนสายตาไปบรรจบกับดวงตาที่เคยเป็นประกายของทาร์ตทุกครั้งที่มองผม แต่ตอนนี้กลับเหลือไว้แค่เพียงเงาสะท้อนในนัยน์ตาที่เศร้าหม่นนั้น ก่อนจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ความรู้สึกสุดท้ายที่อยากจะบอกทาร์ตมัน อย่างน้อยก็ในฐานะคนที่เคยดีต่อกัน แต่ผมก็ไม่ได้เป็นพ่อพระจิตใจประเสริฐ ที่สามารถเปิดใจยอมรับและให้อภัยได้ทุกอย่าง เพราะผมก็เป็นแค่เพียงมนุษย์คนหนึ่ง ที่ยังคงมีความรัก โลภ โกรธ และหลงอยู่ในตัว

   “ผมเข้าใจครับ ผมเข้าใจ... แค่พี่ไม่เกลียดผม ผมก็ดีใจมากแล้ว พี่รู้ไหม หลังจากวันนั้น ผมถึงได้เห็นคลิปที่พี่ทำเพื่อเซอร์ไพรส์วันเกิดผม ผมได้เห็นความรัก ความเอ็นดูที่พี่มีต่อผมผ่านวีดีโอนั้น มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกละลายใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเพียงเพราะความอยากได้ อยากครอบครอง ผมรู้ได้เลยว่าผมไม่ได้ทำลายแค่ความรู้สึกของพี่ แต่ผมทำลายความรักอันบริสุทธิ์ที่พี่มีให้ผมมาตลอดต่างหาก ผมไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่าคำว่าขอโทษ”

   ทาร์ตว่าพลางยิ้มโชว์เหล็กจัดฟันที่ดูคุ้นตา แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เพราะดวงตาที่มีน้ำใสๆ ไหลออกมาด้วย รอยยิ้มนั้นมันไม่สดใสดั่งเมื่อก่อนอีกแล้ว มันกลับรู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มจากหนุ่มน้อยยิ้มสวยที่คอยอวยเหล็กจัดฟันสีสันสดใสให้ผมนี้เป็นครั้งสุดท้าย

   “ต่อจากนี้ผมจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก”

   “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก เจอกันเราก็ยังคงทักทายและยิ้มให้กันได้ ในฐานะคนเคยรู้จัก” ผมให้ทาร์ตได้แค่นี้ ความรู้สึกที่เสียไปมันดึงกลับมาไม่ได้หรอก

   ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากปาร์ค ที่ผมเองก็ไม่สามารถลืมภาพความทรงจำอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องฝืนในตัวเองและเลือกให้ปาร์คเดินออกไปจากชีวิตของผม มันแค่ต่างกับทาร์ตตรงที่ผม... ยังคงรักปาร์คอยู่แม้คืนวันในอดีตจะยังตามหลอกหลอนผมอยู่แค่ไหนก็ตาม แต่ผมไม่สามารถหนีจากหัวใจดวงนี้ของผมได้สักที

   “สุดท้ายเรื่องก็จบหมดแล้วนะ เหลือก็แต่... เรื่องของเธอสองคน” ชัญญ่าพูดด้วยรอยยิ้มกับผมพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปทางปาร์คด้วย “ที่ผ่านมาคงเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับทั้งคู่แล้วนะ เรื่องความรักถ้ามัวแต่ถือทิฐิ ก็ไม่มีใครหรอกที่เป็นสุข”

   “เก็ทขอโทษนะ...”


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ ขอโทษที่หายไปนาน ไม่ว่างเลยจริงๆ  :hao5:

กลับมาตอนนี้เป็นตอนที่เฉลยเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ทั้งหมดเกิดขึ้นเริ่มต้นจากเก็ทจริงๆ ฮะ แต่ที่เรื่องบานปลายมากขึ้นๆ เป็นเพราะนิสัยอื่นๆ ของตัวละครเอง
ความเห็นของคุณ Jibbubu เป็นสิ่งที่เราคิดเอาไว้ฮะ อย่างที่บอกว่าเราไม่เฉลยอยู่ที่ดีนะว่าสุดท้ายเก็ทรู้สึกยังไงกับฟรีองก์
แต่สิ่งที่เก็ททำ ไม่ใช่เพราะความเกลียด แต่เป็นเพราะความหวังดีจริงๆ
ซึ่งเจ้าตัวกลับลืมคิดไปว่าความหวังดีที่มีมันเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายความรู้สึกของฟร๊องก์ได้ด้วยเช่นกัน

แต่พอสุดท้ายฟร๊องก์ได้รู้ความจริงหมดแล้ว ก็กลับไม่กล้าที่จะโกรธหรือเกลียดใครเลย
นี่คือนิสัยที่ฟร๊องก์เป็นมาตั้งแต่แรก (ที่ทำให้หลายๆ คนรำคาญ) ก็นั่นล่ะ
มองอีกมุมคือฟร๊องก์เป็นคนที่อยู่และเติบโตมาในครอบครัวและสังคมที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร
จึงส่งผลให้ฟร๊องก์ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี อะไรเลี่ยงที่จะรุนแรงได้ก็จะเลี่ยง บางอย่างยอมได้ก็ยอม จนดูลำไยในบางที
แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราวางปมต่างๆ ให้วุ่นวายและค่อนข้างรุนแรงต่อความรู้สึกนิดหน่อย
เพื่อให้เป็นบทเรียนสำหรับตัวละครต่อไป

ปมใกล้หมดแล้วล่ะ ใกล้ถึงจุดหมายเข้าไปทุกทีแล้ว 5555+

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 47 P.8 [UP! 1/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 01-10-2017 20:26:15
โอ้โหเก็ท เลวบริสุทธิ์จริงๆ จะด่าว่ายังไงล่ะทีนี้
คิดเองเออเองทั้งหมด ไม่ถามเจ้าตัวสักคำเลยว่าอยากได้แบบนี้ไหม ชีวิตฟร้องก์จากที่สีขาว สีรุ้งกลายเป็นสีเทา สีดำไปเลย
ฟร้องก์ไปบวชมะ เจอหนักขนาดนี้นี้ ท่าทางราหูจะอม หลายเรื่องเหลือเกิน
ยังคงชอบชัญญ่าที่สุด นางฉลาดทันคน
แล้วชัญญ่ากับเก็ทนี่ยังไง ตอนนี้ดูไม่เหมือนคนรักกันเลย เหมือนเพื่อนมากกว่า
ปาร์คจะรุกฟร้องก์ไหม ไม่อยากเชียร์ใครแล้ว ให้ฟร้องก์อยู่คนเดียวไปเหอะ เห้อออ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 47 P.8 [UP! 1/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 01-10-2017 21:25:21
ถ้าหากเค้าเห็นว่า..เรามีความรัก ทุ่มเทให้เค้า..มากมายเพียงพอ
เค้าคงไม่ไปเลือกคนอื่นก่อนเรา..แต่เมื่อผิดหวังจากคนนั้น..จึงหวนกลับมาหาเลือกเราทีหลัง

คนรักกันจริงๆ..คือคนที่ใช่..ยังไงก็ใช่ มันใช่อยู่วันยันค่ำ
แล้วก็ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรๆๆๆๆๆๆ มากมาย พูดให้เมื่อยปาก ฟังลำบากหู

แค่เป็นคนที่ไม่ใช่สำหรับคุณ ไม่ได้เลือกให้เป็นตัวจริงตั้งแต่ต้นนั่นล่ะ
ก็สามารถอธิบายได้ในตัวมันเองเพียงพอแล้ว ว่าคุณตัดสินใจเลือกใคร

..มันคือความจริง..

ความเชื่อใจไม่ได้มีกันง่ายๆ นะ คุณปาร์ค
หุหุ

ความรักเหรอ..ทิฐิเหรอ
วันใดที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
คงไม่กล้าจะบอกตัวเองหรอกนะ..ว่าเมิงอ่ะ ควายยยยยยยยยย

คหสต. ล้วนๆฮะ
ไม่มีใครจ้างมา
ฮ่าฮ่า

+1 ให้กับความหน้าด้านของพระเอกเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 47 P.8 [UP! 1/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-10-2017 23:06:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 47 P.8 [UP! 1/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-10-2017 16:59:21
เข้าใจเก็ทนะ แต่ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะความใจโลเล และคิดจับปลาสองมือของปาร์คเลย ถ้าปาร์ครักมั่นในตัวฟร็องก์จริงๆ เรื่องต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้นหรอก เก็ทอาจจะผิดที่ดึงทาร์ตหรือเกลเข้ามาแต่ถ้าปาร์ครักมั่นเราว่ายังไงๆ ฟร็องก์ก็ไม่สนทาร์ตหรอก แต่ที่เรื่องเป็นแบบนี้เพราะใครล่ะ จะโทษคนอื่นดูตัวเองก่อนนะปาร์คว่ามีเรื่องทีไรไม่เคยที่จะเข้าข้างฟร็องก์เลย และมีเรื่องก็ไม่เคยที่จะถามฟร็องก์เลยทั้งๆ ที่น่าจะรู้นิสัยฟร็องก์ดีว่าเป็นคนยังไงจะมาตบผญ.แบบที่นางว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไงๆ เราก็เกลียดปาร์คว่ะ รักมากก็เกลียดมากได้เหมือนกันนะ ฟร็องก์แกก็ใจแข็งอย่าไปใจอ่อนยกโทษให้ง่ายๆ เราว่าคนแบบปาร์คท่ายอมยกโทษให้ง่ายๆ เดี๋ยวก็ทำอีก เรายังไม่เห็นเลยว่าปาร์คแม่งจะรักฟร็องก์จริงตรงไหน
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 47 P.8 [UP! 1/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 08-10-2017 00:31:46
น่าสงสาร แล้วปาร์คละยังไง
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 48 [10/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 10-10-2017 19:20:03
Chapitre 48

   ผ่านสัปดาห์แห่งการสอบมาได้เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว และก็เป็นเวลากว่าสามอาทิตย์หลังจากเหตุการณ์ที่คอนโดฯ เก็ทวันนั้น ทุกอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำของผม แม้จะพยายามพับมันเก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดก็ตาม

   ช่วงอาทิตย์สอบอันแสนหฤโหดตัวผมแทบไม่มีสมาธิในการทำข้อสอบเลยด้วยซ้ำ หัวผมมันมีหลายต่อหลายเรื่องเข้ามาประดังประเดจนตั้งรับไม่ทัน แต่มาถึงตอนนี้ผมไม่ค่อยคิดอะไรมากแล้ว ผมคิดแค่ว่าเรื่องวุ่นวายมันจบไปแล้ว และก็ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดเรื่องราวที่ทำให้หัวผมแทบระเบิดนี้เข้ามาในชีวิตของผมอีก

   ชัญญ่าเองก็มาขอโทษผมอีกครั้งที่ไม่ได้บอกผมเกี่ยวกับเรื่องที่เธอรู้และวางแผนทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่ติดต่อกับปาร์ค แต่ไม่ยอมให้ปาร์คบอกผม เพราะกลัวเสียแผน ชัญญ่ารู้เรื่องของเก็ทมานานพอสมควรแล้ว เพราะเคยเห็นรูปของผมกับทาร์ตในโน้ตบุ๊ค รวมทั้งเบอร์ของปาร์คและผู้หญิงคนนั้นที่ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าเป็นเบอร์ใคร เธอเลยแอบบันทึกมาแล้วติดต่อไปหาในตอนหลัง เลยทำให้ได้รู้ทุกอย่างเวลาที่เก็ทส่งอะไรมาให้ปาร์ค แม้ว่าจะผ่านเบอร์ที่เก็ทไม่ได้ใช้ประจำก็ตาม

   ส่วนแผนการต่างๆ เธอก็มีวิธีการของเธอในการสืบหรือติดตามว่าเก็ทจะทำอะไร แต่ผมไม่ได้ถามลงลึกในรายละเอียด ไม่ได้ต้องการให้ชัญญ่าเล่าเรื่องทั้งหมดหรอกครับ ในเมื่อทุกอย่างมันเคลียร์จบด้วยตัวของมันเองแล้ว

   ผมยอมรับว่ารู้สึกแย่กับสิ่งที่เก็ททำ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าเกลียดจนอภัยให้ไม่ได้ เพราะตัวเก็ทเองก็กล้าที่จะยอมรับว่าเป็นฝีมือของตัวเอง ผมพยายามเข้าใจในเหตุผลของเก็ทแม้ว่าวิธีการที่เลือกนั้นมันจะเป็นวิธีที่ผิดก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้อะไรหลายๆ อย่างชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องของทาร์ตและโดนัท รวมทั้งเรื่องของ... ปาร์คด้วย

   และตอนนี้ชัญญ่าเองก็เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของผมมากขึ้น กลายมาเป็นเพื่อนคนใหม่ที่ผมกลับรู้สึกว่าสนิทกันเหมือนรู้จักกันมาเนิ่นนาน และชัญญ่าเป็นเพียงคนเดียวที่ผมเลือกที่จะติดต่อในช่วงนี้ และตั้งใจว่าช่วงปิดเทอม ผมไม่อยากจะติดต่อกับใครเลย ผมอยากที่จะพักผ่อนสมอง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง อยู่และมีความสุขกับตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบงการอีก

   ส่วนตัวชัญญ่าเองก็ลดสถานะของเก็ทลงมาเป็นแค่เพื่อน ที่อาจจะมีอะไรพิเศษมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ เก็ทเองก็ไม่ได้โกรธในสิ่งที่ชัญญ่าทำ เพราะเข้าใจดีถึงเหตุผล และเข้าใจดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด ทั้งคู่จึงสามารถคบกันต่อได้ แม้จะในสถานะที่เปลี่ยนไปก็ตาม

   ส่วนโดนัทกับทาร์ตตอนนี้คงบินกลับบ้านที่ภาคใต้ไปเรียบร้อย หลังจากจบเรื่องที่ห้องเก็ทวันนั้น ผมกับโดนัทสามารถมองหน้าและยิ้มให้กันได้มองขึ้น มีบทสนทนาต่อกันเหมือนแต่ก่อนมากขึ้น แต่ก็มีบ้างที่สีหน้าของเราทั้งคู่ยังคงลำบากใจที่จะคุยกันในบางเรื่อง ผมกับโดนัทกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง แม้ความรู้สึกที่ผมมีกลับไม่เท่าเดิม ไม่เท่ากับที่ผมมีให้ต่อพวกนุ่น ป๊อปอาย หรือคนอื่นๆ ในกลุ่ม

   ส่วนทาร์ตเราเจอกันบ้างประปราย แต่เมื่อเจอกันไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือตั้งใจ (ของอีกฝ่าย) ผมทำได้เพียงยกยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะมีหลายครั้งที่เจ้าตัวพยายามที่จะเปิดบทสนทนากับผม แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับ เว้นเพียงแต่รอยยิ้มจางๆ เท่านั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากกว่าส่งรอยยิ้มโชว์เหล็กจัดฟันที่ดูสดใสนั้นกลับมา แม้นัยน์ตาจะแฝงด้วยความเหงาเศร้าก็ตาม อย่างที่ผมบอกคือผมไม่ได้เกลียดทาร์ต แต่ก็ทำใจให้กลับไปรู้สึกดีไม่ได้เช่นกัน อย่างน้อยก็อาจจะในตอนนี้ 

   ระหว่างผมกับเก็ทหลายอย่างยังคงเหมือนเดิม คือช่วงที่มีสอบเก็ทยังคงมีหน้าที่มารับส่งผมอยู่ แต่บทสนทนาระหว่างเราน้อยลง คำพูด รอยยิ้มที่มีให้ผมรู้สึกว่าบางครั้งมันอึดอัดและไม่เป็นตัวเองต่างจากแต่ก่อน ผมรู้สึกได้ว่าเก็ทดูเงียบขรึมขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่เฉพาะกับผม แต่กับทุกๆ คน เสียงแซวจากนุ่นผู้สร้างฟาร์มสุนัขในปากก็เพลาลงเช่นเดียวกัน ทำให้คนอื่นๆ ในกลุ่มก็พลอยไม่กล้าแซวกันไปด้วย


   ผมกับเก็ทเป็นแบบนี้จนวันสุดท้ายของการสอบ ก่อนที่เก็ทจะเดินเข้ามาบอกกับผมว่ามีเรื่องจะคุยด้วย

   เย็นวันนั้นก่อนที่เก็ทจะมาส่งผมที่หอตามปกติ เก็ทพาผมไปยังสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยและไม่ได้ไกลจากหอของผมมากนัก ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าเก็ทมีเรื่องอะไรจะพูดกับผมอีก แต่ผมกลับรู้สึกกลัวอยู่ข้างใน กลัวว่ามันยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ความรู้สึกของผมต้องเสียไปอีก

   ‘เก็ทมีอะไรจะพูดกับฟร๊องก์เหรอ’ หลังจากที่เราเดินเข้ามาด้านในของสวนสาธารณะแห่งนี้ได้สักพัก

   ผมเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใต้ร่มของต้นจามจุรีต้นใหญ่ที่บดบังแสงแดดอ่อนๆ สีส้มของดวงอาทิตย์ยามเย็น มีผู้คนประปรายทั้งวิ่งและเดินออกกำลังบนบาทวิถีขนาดไม่กว้างมากอยู่บ้าง ฝั่งตรงข้ามกับเก้าที่ผมนั่งเป็นบ่อน้ำขนาดกลางที่อยู่ใจกลางสวนแห่งนี้ ผมนั่งมองผืนน้ำที่ทอแสงสีส้มทองจากแสงแดดไหวเป็นระลอกคลื่นบางๆ ตามสายลมอยู่สักพัก ก่อนที่จะหันไปถามเก็ทที่ยังคงยืนอยู่ด้านข้างของเก้าอี้ 

   ‘เก็ทขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะ’ เก็ทที่สายตาทอดมองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพูดโดยไม่ได้หันมามองผม

   ‘มันจบไปแล้วนี่เก็ท แล้วเก็ทเองก็ขอโทษฟร๊องก์ไปแล้วด้วย จะมาขอโทษอีกทำไม’ ผมละสายตาจากเก็ทหันกลับไปยังวิวที่ดูก่อนหน้า ลมที่พัดเอื่อยๆ อยู่ตลอดไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจากความอึดอัดที่เกิดขึ้นนี้เลย ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเก็ทจะขอโทษผมเรื่องนั้นอีกทำไม ทั้งที่มันจบไปตั้งแต่วันนั้น ผืนน้ำที่สั่นไหวทุกครั้งที่มีลมพัด มันไม่ต่างจากใจของผมตอนนี้ที่มันกระวนกระวายไม่นิ่งเลย

   ผมกลัวว่ายังมีบางเรื่องที่ผมยังไม่ได้รับรู้อีก

   ‘ไม่อยากรู้เหตุผลที่เก็ททำเหรอ’ เก็ทก้มลงมามองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งของผมที่ยังคงมองไปยังบ่อน้ำนั่น

   ‘เหตุผลที่เก็ทบอกฟร๊องก์ไปวันนั้นไง ฟร๊องก์พยายามที่จะเข้าใจมันนะ พยายามเข้าใจว่าเก็ททำเพราะเป็นห่วงฟร๊องก์ ไม่อยากให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บเพราะ... จมอยู่กับความรักเก่า’ ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะหันกลับมามองเก็ทที่กำลังมองผมอยู่เช่นกันอีกครั้ง

   ‘นั่นคือส่วนหนึ่ง ที่เก็ทอยากทำให้ฟร๊องก์จริงๆ แต่จริงๆ แล้ว... เหตุผลที่เก็ททำเรื่องพวกนั้นขึ้น มันมีอะไรมากกว่านั้น’ น้ำเสียงของเก็ทยังคงอยู่ในระดับปกติ แต่มันกลับทำให้ผมขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เหตุผลที่ลึกกว่านั้นเหรอ อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เก็ททำแบบนั้นกัน

   ‘อะ... อะไร’ ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น แต่ผมกลับไม่สามารถเห็นหรือรับรู้ได้เลยว่ามีอะไรส่งผ่านออกมา

   ‘ครอบครัวของเก็ท... ไม่ได้สมบูรณ์แบบนักหรอก’ เก็ททรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผม ก่อนจะหันไปมองด้านหน้าแบบที่หาจุดโฟกัสไม่เจอ แต่แว้บหนุ่งก่อนที่เก็ทจะให้ไป ผมได้เห็นความสั่นระริกในแววตานั่น

   ‘หมายความว่าไง’ ผมไม่เคยรู้เรื่องของครอบครัวเก็ทมาก่อน ด้วยความที่เจ้าตัวไม่เคยเล่าให้ฟัง และด้วยนิสัยของผมที่ไม่ได้เซ้าซี่อะไรกับเพื่อนมากนัก ผมจึงไม่เคยตั้งข้อสงสัยหรือรับรู้เรื่องที่เป็นส่วนตัวของเก็ทมาก่อน

   ‘ที่เก็ทเลือกที่จะไม่พูดออกไปวันนั้น เพราะเก็ทไม่อยากให้ใครต้องมารู้เรื่องครอบครัวของเก็ท... คนคงจะสมน้ำหน้าเมื่อรู้ว่าเบื้องหลังของเก็ทไม่ได้มาจากครอบครัวที่อบอุ่นเลย’ ปากที่ขยับไปมาตามคำพูดของเก็ทช่างขัดกับแววตาที่ดูเลื่อนลอย นี่คือเก็ทแบบที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อน เก็ทที่ไม่เหลือความเย็นชา ความเขร็งขรึม ผมเห็นเพียงความว่างเปล่าจากผู้ชายคนนี้เท่านั้น

   ‘...’ ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แต่ยังคงมองใบหน้าหล่อเหลาด้านข้างของเก็ทอยู่อย่างนั้น

   ‘พ่อกับแม่ของเก็ทไม่ได้เริ่มต้นชีวิตคู่กันด้วยความรักหรอก แต่จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะแม่รักพ่อ รักมาก เหมือนกับที่ฟร๊องก์รักหมอนั่น... เข้าใจคำว่าแต่งงานกันเพราะธุรกิจใช่ไหม นั่นแหละคือพ่อกับแม่เก็ท’ สายตาของเก็ทยังคงทอดยาวไปยังทิวทัศน์ของสวนสาธารณะที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าจุดโฟกัสอยู่ที่ตรงไหนเหมือนกัน

   ‘...’ และผมก็ยังคงเลือกที่จะเงียบอยู่อย่างนั้น

   ‘ปู่กับตาเป็นเพื่อนสนิทกัน ธุรกิจที่ท่านทั้งสองทำ มันสามารถร่วมมือกันเพื่อให้พัฒนาได้มากขึ้น รวมทั้งได้รับผลตอบแทนได้มากขึ้นเช่นกัน นั่นคือสาเหตุของการนำลูกชายและลูกสาวมาเกี่ยวดองกัน พ่อกับแม่เจอกันตั้งแต่เด็กและได้รับการมั่นหมายไว้ตั้งแต่นั้น พ่อเป็นคนที่อยู่ในใจของแม่มาตั้งแต่ตอนนั้นเช่นกัน และท่านไม่เคยรักใครอีกเลยนอกจากพ่อ แต่ต่างกับพ่อที่เห็นแม่เป็นแค่น้องสาวคนหนึ่ง เป็นเพียงลูกสาวของเพื่อนสนิทพ่อเท่านั้น ไม่ว่าแม่จะพยายามทำให้พ่อรับรู้แค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจพ่อได้ แต่ในความคิดของผู้ใหญ่ ปู่กับตาคิดว่าเมื่อแต่งงานและอยู่ด้วยกันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง ดังนั้นงานแต่งงานจึงถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต แขกเหรื่อมากมายมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งแบบคลุมถุงชนนี้ โดยน้อยคนนักจะรู้ว่าเบื้องหลังการแต่งงานเกิดขึ้นเพราะเรื่องของธุรกิจ...’

   ‘...’

   ‘หลังจากแต่งงาน พ่อทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แม้ว่าพ่อจะไม่ได้รักแม่ในแบบชู้สาวหรือเสน่หา แต่พ่อก็ดูแลแม่เป็นอย่างดีด้วยความเอ็นดูในฐานะที่แม่เป็นน้องสาวคนหนึ่งที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนแม่ก็ยังคงเสมอต้นเสมอปลายในความรักที่มีให้กับพ่อ ส่วนธุรกิจของทั้งสองบ้านก็รวมกันเป็นหนึ่ง เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งมากขึ้น ภายใต้การบริหารร่วมของเพื่อนรักอย่างปู่และตา โดยมีพ่อเป็นผู้ช่วยประธานบริษัทเพื่อเรียนรู้งาน หุ้นสิบห้าเปอร์เซ็นต์ถูกโอนให้เพื่อเป็นของขวัญในพิธีแต่งงานของพ่อและแม่ ทำให้ทำคู่ถือครองหุ้นในบริษัทคนละครึ่งของสิบห้าเปอร์เซ็นต์นั้น ส่วนหุ้นที่เหลือก็กระจายอยู่ในมือของกรรมการบริหารคนละเล็กละน้อย และที่เหลืออีกกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ก็อยู่ในมือของปู่และตา ชีวิตคู่ที่เหมือนจะสงบสุขดำเนินต่อไปแบบนั้นอยู่เป็นปี ก่อนที่เก็ทจะเกิดมา แต่ฟร๊องก์รู้อะไรไหม เก็ทไม่ได้เกิดมาจากความรักของพ่อและแม่หรอกนะ แต่มันเพราะปู่ขู่เชิงบังคับให้พ่อกับแม่มีลูกด้วยกันต่างหาก ไม่อย่างนั้นบริษัทที่มีปู่กับตาจะไม่ยกให้พ่อและแม่ นั่นหมายความว่าหุ้นก้อนใหญ่ที่เหลือก็จะถูกขายทอดออกไปด้วย ด้วยเหตุผลนั้นจึงทำให้เก็ทได้เกิดมา’

   ‘เก็ท...’ ผมเอื้อมมือไปจับมือที่ใหญ่กว่าของคนที่นั่งข้างๆ ผมไม่เคยได้รู้ความเจ็บปวดที่เก็ทมีเลย รอยแผลที่ยังคงติดอยู่ในใจของเก็ท แผลเป็นที่ไม่มีวันลบเลือนไปได้

   ‘แต่เก็ทก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดหรอกนะ แม่มอบความรักให้เก็ทอย่างเต็มที่ เพราะสำหรับแม่แล้ว เก็ทเกิดมาด้วยความรัก ส่วนพ่อก็ไม่ได้ละเลย ท่านยังคงดูแลผมตามหน้าที่ของความเป็นพ่อ แต่ส่วนมากท่านจะยุ่งอยู่กับงานเสียมากกว่า เพราะหลังจากมีเก็ทได้ไม่นาน พ่อก็ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัท และแม่ก็เป็นกรรมการผู้ถือหุ้นสูงสุดร่วมกับพ่อ หุ้นอีกสิบสามเปอร์เซ็นต์จากหุ้นก้อนใหญ่นั้นถูกแบบในน้องชายของพ่ออีกคน แต่อาเลือกจะไปเปิดธุรกิจใหม่กับญาติฝั่งพ่อที่เป็นคนอาหรับกับภรรยาที่ดูไบ จึงไม่มายุ่งเกี่ยวกับงานในบริษัท ชีวิตที่คนภายนอกมองก็ต่างอิจฉา นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงกับภรรยาแสนสวย พร้อมกับลูกชายที่น่ารัก เป็นใครก็ต้องอิจฉาถูกไหมล่ะ แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่ง เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ พ่อที่ฝืนแต่งงานกับแม่มาตั้งแต่แรกก็เริ่มหาความสุขให้ตัวเองบ้าง ท่านกลับบ้านช้าลง หรือบางครั้งก็ไม่กลับเลย และบ่อยครั้งขึ้นที่พ่อมีปากเสียงกับแม่ ทุกอย่างเริ่มเลวร้ายลงเมื่อเก็ทได้เห็นพ่อลงมือทำร้ายแม่ นั่นก็เป็นเพียงครั้งเดียวที่พ่อทำแบบนั้นกับแม่ แต่สิ่งที่ทำให้แม่ทรมานกว่าคือพ่อไม่เคยลงมือกับแม่ ไม่มีการทะเลาะเกิดขึ้นอีก กลายเป็นว่าพ่อเริ่มเย็นชากับแม่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ แม้จะมีบทสนทนามากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ปัญหาที่มันเรื้อรังมานาน ยังไงมันก็ไม่มีวันดีขึ้นกว่านี้ได้ เก็ทรู้ว่าแม่ยังคงรักพ่ออยู่ และที่พ่อไม่หย้าก็คงเพราะความผูกพัน... ความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมานาน แต่มันก็ไม่ใช่ความรัก’

   ‘กะ... เก็ท’

   ‘เก็ทอยู่กับมันมาตลอดฟร๊องก์ เก็ทถึงได้รู้ว่าการรักคนที่ไม่ได้รักเรา มันเจ็บแค่ไหน เพราะบ่อยครั้งที่แม่มานอนกับเก็ทแล้วแอบร้องไห้ การคบกันที่ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความรักของคนทั้งสองคน มันไม่ทำให้ใครมีความสุขหรอก คนที่รักก็ต้องเจ็บเพราะอีกคนไม่ได้รัก ส่วนอีกคนเมื่อถึงวันหนึ่งที่รู้ว่าความรู้สึกที่มีมันไม่ใช่ มันก็ต้องฝืนเพราะความไม่รัก เพราะแบบนี้ ฟร๊องก์ที่เป็นเพื่อนที่เก็ทรัก เป็นเหมือนน้องชายของเก็ท เป็นคนที่เก็ทรักและเป็นห่วงมาก เก็ทถึงได้วางแผนแบบนั้นขึ้นมา เพราะไม่อยากให้ฟร๊องก์ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับแม่ของเก็ท ที่เก็ทนำทาร์ตเข้ามาเพราะอยากให้ฟร๊องก์ลองมองคนอื่นดูบ้าง ส่วนเกล ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเข้ามาทำให้ปาร์ครู้ตัวมากขึ้น แต่ยังไงเก็ทก็ต้องขอโทษฟร๊องก์อยู่ที่ ถึงเก็ทจะเป็นห่วงอย่างไร แต่เก็ทก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องหัวใจของฟร๊องก์ ซึ่งก็เหมือนกับพ่อและแม่ของเก็ท ที่ถึงจะฝืนกันมาแต่ท่านทั้งสองก็ยังคงจับมือกันจนถึงทุกวันนี้’

   ‘ฟะ... ฟร๊องก์เข้าใจแล้วเก็ท... ฟร๊องก์เข้าใจเหตุผลของเก็ทแล้ว’ ผมมองหน้าเก็ทที่หันมามองผมด้วยนัยน์ตาเศร้าหมอง ความรู้สึกหลากหลายในแววตาที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าผมนั้น ทำให้ผมเข้าใจทุกสิ่ง ผมไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจในเหตุผลของเก็ทอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่เก็ทระบายออกมา รวมทั้งแววตาที่สื่อความหมายนั้นมันบอกให้ผมเข้าใจได้ทุกอย่าง เพราะรอยแผลที่เก็ทเก็บไว้ และความเจ็บปวดในครอบครัวที่เก็ทต้องเผชิญ เก็ทไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับผมอีก

   ‘ที่เก็ทเล่าให้ฟัง ไม่ได้ต้องการให้ฟร๊องก์มาสงสาร แต่เก็ทอยากให้ฟร๊องก์เข้าใจ เก็ทอยู่กับมันจนเคยชิน จนไม่ได้รู้ว่ามันทำให้ชีวิตเก็ทมีปัญหา เพราะอย่างน้อยเก็ทก็ยังมีพ่อและแม่ที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา’ เก็ทยิ้มจางๆ ให้กับผม

   เก็ทไม่ได้ทำมันเพื่อตัวเองเลยจริงๆ แต่เก็ทวางแผนขึ้นมาก็เพื่อผม เพื่อตัวผมอย่างที่เขาบอกจริงๆ มันคงไม่น่าภูมิใจนักหรอกที่ต้องเอาความแตกร้าวในครอบครัวมาบอกคนอื่นแบบนี้ แต่การที่เก็ทมาบอกผม มันไม่ใช่เพียงแค่เป็นข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด หากแต่มันคือการทำให้ความตั้งใจที่มีชัดขึ้นต่างหาก เก็ทแสดงให้ผมเห็นต่างหากว่าเก็ทที่ผมรู้จักตั้งแต่วันแรกนั้น ยังคงเป็นเก็ทคนเดิมอยู่ เก็ทที่จะอยู่ข้างๆ ผมเสมอ เก็ทที่ผมไว้ใจได้เสมอ และเก็ทที่เปิดใจกับผมมากขึ้นแล้วเช่นกัน

   วันนั้นเป็นอีกวันที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำของผม ว่าผมได้เพื่อนคนเดิมกลับมาแล้ว ทำให้ผมได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้หายไปไหนเลย แต่เขายอมเป็นคนที่เราเข้าใจผิดเพื่อปกป้องเราและได้อยู่เคียงข้างเขาตลอดไปอย่างมีความสุข

**********__________**********

   หลังจากวันที่เก็ทมาเปิดใจคุยกับผม และทำให้ผมเข้าใจเขามากขึ้น ความโกรธที่มีก่อนหน้าก็หมดไป ผมกลับมาเป็นเพื่อนกับเก็ทเหมือนเดิม และกลับมาสนิทใจกันมากขึ้นกว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้น แม้ช่วงปิดเทอมเช่นนี้จะไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไร จะมีก็แค่ผมที่ชอบทักไลน์ไปกวน หรือบางครั้งที่ชัญญ่าโทรมาก็จะมีประชุมสายกับเก็ทติดสอยห้อยตามมาด้วยบ่อยครั้ง แต่เก็ทก็ยังคงเป็นเก็ทที่ชอบทำตัวขรึมอยู่แบบนั้น

   เวลาในช่วงปิดเทอมเพียงไม่กี่อาทิตย์นี้ สำหรับผมมันหมดไปกับการหมกตัวอยู่บ้าน ดูหนังบ้าง ฟังเพลงบ้าง อ่านหนังสือนิยายหรือหนังสือต่างๆ บ้างก็มี แต่มันก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่ยาก

   แม่ยังคอยหมั่นถามอยู่เสมอ หลังจากที่เห็นอาการของผมไม่ค่อยดีตอนที่เรื่องต่างๆ ถาโถมเข้ามาจนไม่ทันได้ตั้งตัว บวกเข้ากับการสอบที่ผ่านมาอีก ถึงตอนนี้ผมก็ยิ้มตอบแม่ได้อย่างสบายใจว่ามันไม่มีอะไรแล้ว จะมีเพียงคำถามที่สะกิดบาดแผลในใจผมเพียงข้อเดียว คือเรื่องของปาร์ค...

   คนที่คอยโทรหาและส่งข้อความมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผม แต่ผมมักจะไม่รับสายเสมอ แถมหนักขึ้นเจ้าตัวยังคอยแวะมาหาผมที่บ้านหลายต่อหลายครั้ง เรียกได้ว่าเกือบจะทุกวันเลยก็ว่าได้ จนมันกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผมและพ่อแม่ของผมด้วยที่มักจะเห็นรถของปาร์คมาจอดที่หน้าบ้านในช่วงเวลาเดิมๆ แทบทุกวัน

   แรกๆ ผมแทบจะไม่ออกจากห้องไปให้เจ้าตัวเห็นหน้าด้วยซ้ำ แต่หลังๆ ก็ทนลูกตื้อของปาร์คไม่ไหว บวกกับที่แม่มาบอกว่าสงสารปาร์คด้วยที่เดินหน้าหงอยคอตกกลับไปแบบนั้น จึงออกมาเจอทุกครั้งที่ปาร์คมา แต่พยายามอยู่ห่างกว่าปกติ ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะผมกลัวใจตัวเองมากกว่า กลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ตามที่ตัวเองบอกไว้ก่อนหน้า ทั้งที่เป็นคนขอให้ปาร์คไปจากชีวิตเอง แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่รถยนต์คันงามของคนที่ผมพูดถึงมาจอดอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน

   หน้าที่เปิดประตูรั้วให้ปาร์คตกเป็นของผมไปโดยปริยายหลังจากที่ก่อนหน้าจะเป็นแม่ที่ไปเปิดให้ แต่ก็ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรกันมากมาย นอกจากคำทักทายกับใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสของปาร์คในทุกๆ ครั้ง

   “มาทุกวี่ทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง ว่างมากเหรอ” ผมเหน็บแนบหลังจากจบคำทักทายของปาร์ค

   “ก็ที่นี่มีคนที่อยากเจออยู่ จะให้มาอยู่ที่นี่เลยก็ไม่เบื่อหรอก” ปาร์ครีบเดินเข้ามาจับมือเคียงข้างไปกับผมอย่างรวดเร็ว ยังคงเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยน

   “นี่! ปล่อยเลยนะ!” ผมดึงมือตัวเองกลับ ก่อนจะรีบจ้ำเข้าบ้านไปโดยไม่รออีกคนที่หัวเราะร่าอยู่ด้านหลัง ไอ้บ้าเอ๊ย! แค่นี้หัวใจผมก็ทำงานหนักแล้ว นี่ถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่อยากให้ปาร์คมาไง เพราะถ้ายิ่งปาร์คมาทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ผมยิ่งไม่สามารถทำใจได้สักที

   “อ้าว สวัสดีลูก กินอะไรมาหรือยังล่ะ” แม่ผมเอ่ยทักทายและให้การต้อนรับปาร์คเป็นอย่างดีโดยไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย ผิดกับผมที่ตอนนี้นั่งหน้าบึ้งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีไม่ใกล้ไม่ไกลจากแม่เท่าไร

   “ยังเลยครับแม่ ว่าแต่วันนี้มีอะไรให้ปาร์คช่วยหรือเปล่า” เป็นประจำที่ปาร์คจะถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ปาร์คมาบ้านผมไม่ได้มาเฉยๆ นะครับ มันช่วยแม่ทำเอกสารเอย บางวันก็ลงไปช่วยพ่อตัดต้นไม้บ้าง ล้างรถบ้างก็มี

   “วันนี้แม่จะวานให้ปาร์คไปซื้อของให้แม่หน่อยได้ไหมลูก ไปกับเจ้าฟร๊องก์มันก็ได้” แม่พยักเพยิดมาทางผม อ้าว! ทำไมอยู่ๆ ถึงดึงผมเข้าไปเกี่ยวด้วยล่ะ

   “อะไรล่ะแม่ ฟร๊องก์ไม่ไปหรอก ใครอยากอาสาไปก็ไปเองสิ”

   “เอ๊ะ! ลูกคนนี้ ไปเปลี่ยนชุดแล้วออกไปกับปาร์คเลย อย่าให้แม่ต้องดุ!” ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่อีกคนกลับยิ้มไม่หุบ

   หลังจากนั้นไม่นาน ผมที่อยู่ในชุดใหม่ก็นั่งหน้าบูดอยู่ภายในห้องโดยสารของรถคันหรูนี้แล้ว ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าปาร์คจะมาตามตอแยผมอยู่ทำไม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเองไม่เคยแน่ใจเลยด้วยซ้ำว่ารู้สึกอย่างไรกับผม แถม... ยังเคยทำร้ายผมอีก แม้แต่ในรถคันนี้ก็ด้วย ผมยังคงไม่ลืมความเจ็บปวดที่มีได้เลย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะผ่านมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม

   “เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านปาร์คนะ ปาร์คบอกแม่ฟร๊องก์เอาไว้แล้ว” ปาร์คพูดอย่างอารมณ์ดี แต่เล่นเอาผมอึ้งไปเลยถึงแผนการที่ปาร์ควางเอาไว้ แม่ผมก็พลอยเห็นดีเห็นงานไปด้วยอีก

   “เมื่อไรปาร์คจะเลิกยุ่งกับฟร๊องก์สักที” ผมหันไปมองหน้าปาร์คด้วยหน้าตาที่จริงจังและต้องการคำตอบ แม้คำตอบนั้นจะมีผลโดยตรงกับหัวใจของผมเองก็ตาม

   “ไม่มีวัน” ปาร์คตอบพร้อมรอยยิ้มโดยที่เจ้าตัวยังคงมองถนนเบื้องหน้าไมได้หันกลับมามองผม

   “ฟร๊องก์จริงจังนะปาร์ค เราคุยเรื่องนี้กันแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราไม่ควรทำอะไรให้มันถลำลึกมากเกินไปกว่าการเป็นเพื่อน”

   “ปาร์คก็ไม่ได้บอกว่าปาร์คไม่จริงจังนิ ที่ปาร์คทำอยู่ตอนนี้ปาร์คทำเกินกว่านั้นเหรอ ปาร์คมาหาฟร๊องก์ คุยกับฟร๊องก์ ไปไหนมาไหนกับฟร๊องก์แบบนี้ เพื่อนคนอื่นก็ทำได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมฟร๊องก์ต้องห้ามไม่ให้ปาร์คยุ่งกับฟร๊องก์ด้วยล่ะ” ปาร์คหันกลับมาตอบผมด้วยประโยคที่ยาวและจริงจังเช่นกัน

   “แต่...”

   “ถ้ามันทรมานก็อย่าฝืนความรู้สึกตัวเองเลยฟร๊องก์” ปาร์คหันกลับไปยังถนนเหมือนเดิม และก็ไม่มีการพูดคุยเกิดขึ้นอีก มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเราสองคนดังสลับกันไปมา

   ผมเองก็กำลังฝืนอยู่สินะ ฝืนที่ทำเหมือนไม่อยากให้ปาร์คกลับเข้ามาในชีวิต ทั้งที่ภายในใจของผมยังเรียกร้องหาปาร์คอยู่ตลอด ทำไมกันนะ ทั้งที่คนที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้เป็นคนที่ทำร้ายตัวเองแท้ๆ เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องร้องไห้และจมอยู่กับความเจ็บปวดหลายต่อหลายครั้งแท้ๆ แต่ทำไมใจผมกลับไม่เคยรู้สึกเกลียดคนๆ นี้ได้เลย

   ไม่ว่าผมจะพยายามตัดใจเท่าไร ไม่ว่าผมจะพยายามบอกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับปาร์คสักแค่ไหน หรือไม่ว่าความทรงจำอันเลวร้ายจะยังคงตามหลอกหลอนผมว่าคนๆ นี้ทำร้ายผมจนไม่น่าให้อภัยแค่ไหน แต่หัวใจผมกลับไม่ยอมฟังเลย

   ทุกครั้งที่หลับตาภาพใบหน้าและรอยยิ้มของปาร์ค รวมทั้งดวงตาอันทรงเสน่ห์ที่ผมหลงใหลนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผมเสมอ ความทรงจำดีๆ ที่เคยมีมันมักจะเข้ามากลบความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง เพียงแต่ผมไม่กล้าพอที่จะก้าวต่อไปกับปาร์ค


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ งื้ออออออออ นานจัด 555+

ปมของเก็ทหมดแล้วนะ หมดแล้วจริงๆ เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันสมเหตุสมผลไหม
ถ้าไม่เห็นด้วยหรือขัดแย้งอะไรยังไงก็ขอน้อมรับทุกความเห็นนะฮะ
ตัวเก็ทก็เป็นตัวละครที่ก็เจอมาหนักไม่แพ้กัน ความหวังดีของเก็ทเราตั้งใจให้มันออกมาจากใจจริงๆ นั่นล่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ว่าคนที่อ่านแต่ละคนจะตีความไปเช่นไร

สำหรับปาร์ค ถึงเวลาที่ต้องเป็นฝ่ายตามบ้างล่ะมั้ง หุหุ
ฟร๊องก์จะใจแข็งหรือใจอ่อน อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไปบวชก็ได้มั้ง 555+ (ล้อเล่น)

ขอบคุณสำหรับทุกคนที่อ่านและทุกคอมเม้นต์เลยนะฮะ
แม้จะไม่ค่อยว่างเข้ามาอัปเดต แต่ทุกครั้งที่เข้ามาและได้อ่านความเห็น ก็จะปลื้มใจทุกครั้ง

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 48 P.8 [UP 10/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-10-2017 21:19:05
ไม่ชอบปาร์คเลยดูยังไงก็ไม่เห็นความจริงใจ กะหลิ่มกะเหลี่ยไปเรื่อย
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 48 P.8 [UP 10/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 10-10-2017 22:06:54
 o16
เอาตามที่สบายใจเลยฟร๊องก์

เห๊อะ
#โลกสวยเกิ๊นนนนนน


แหวนสองวง ตรงกับใจ มีให้เลือก
ใจหนึ่งเกลือก อีกใจกลิ้ง ทิ้งหนึ่งแหวน
หยิบแหวนสวย รวยราคา ว่าเป็นแฟน
ส่วนอีกแหวน ไร้คุณค่า ไม่น่าดู

กาลเวลา เนิ่นนาน พาลหดหู่
เจ้าแหวนคู่ ย้ายนิ้ว หิ้วอดสู
หวนกลับหลัง คุ้ยหาแหวน คือแฟนกู
อยากเอามา ใส่เชิดชู ดูนิ้วงาม

เน๊าะ..ไอ่ปาร์ค

+1 ฮับ
อ่านแล้ว..นุ๊กกกกกกหนุก
อิอิ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 48 P.8 [UP 10/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-10-2017 00:03:07
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 48 P.8 [UP 10/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 13-10-2017 12:22:49
อะราย เตี้ย ใจอ่อนซักที
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 49 [19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 19-10-2017 19:21:54
Chapitre 49

   และแล้วก็ถึงวันเปิดเทอมเสียที ผมจะไม่ต้องอยู่อย่างไร้ประโยชน์ หรือต้องมาคอยต้อนรับขับสู้ปาร์คที่วนเวียนมาที่บ้านอีก
วันนั้นที่ผมจำต้องออกไปกับปาร์ค ตอนเย็นผมก็ไปนั่งจุมปุ๊กอยู่บนโต๊ะอาหารที่บ้านของปาร์คอย่างปฏิเสธไม่ได้ พ่อกับแม่ของปาร์คที่เจอผมเคยเจอไม่กี่ครั้งทำให้ผมเกร็งอย่างบอกไม่ถูก แต่ทั้งคู่ก็ต้อนรับผมเป็นอย่างดี

   แม่ของปาร์คเป็นคนตลกมาก และดูท่าทางจะสนิทกับปาร์คมากๆ ด้วยเช่นกัน เพราะทั้งคู่พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง แถมท่านยังชวนผมคุยเรื่องตลกนั่นนี่จนผมคลายคสามกังวลที่มีก่อนหน้า ผมไม่รู้ว่าท่านทั้งสองรู้เรื่องของผมกับปาร์คหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าพวกท่านคงคิดว่าผมเป็นแค่เพื่อนปาร์คคนหนึ่ง โชคดีที่พี่ปอนด์ไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วย ไม่เช่นนั้นผมคงยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่

   ที่ทำให้ผมคิดว่าทั้งพ่อและแม่ของปาร์คเข้าใจว่าผมเป็นแค่เพื่อน เพราะตอนที่ท่านถามว่ามารู้จักกับปาร์คได้ยังไง ผมก็ได้แค่ตอบไปอย่างแผ่วเบาว่าเป็นเพื่อนตั้งแต่มัธยม ซึ่งก็ไม่ได้มีคำอธิบายเพิ่มเติมจากทั้งปาร์คและผมอีก พ่อแม่ของปาร์คเองก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมานอกจากความเป็นกันเองอย่างที่เป็นก่อนหน้า

   ปาร์คยังคงแวะเวียนมาที่บ้านของผมอย่างสม่ำเสมอจนสองวันก่อนที่จะเปิดเทอม ซึ่งมหาวิทยาลัยของเราทั้งคู่เปิดพร้อมกัน ปาร์คไม่ได้แวะมาที่บ้านผม คงเตรียมตัวสำหรับการเปิดเทอมล่ะมั้ง ผมลืมบอกไปอีกอย่างว่าเรื่องที่ปาร์ควนเวียนอยู่ที่บ้านของผมแทบทุกวันตลอดช่วงปิดเทอมนั้น เรื่องทั้งหมดตกถึงหูของชัญญ่าด้วยตัวผมเอง และชัญญ่าไม่คิดจะขัดขวาง แถมยังแอบเชียร์ให้ปาร์คกับผมได้คบกันอีกต่างหาก

   แต่ถึงอย่างนั้น ชัญญ่าก็เลือกที่จะเป็นเพียงผู้ฟังที่ดี ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายเรื่องระหว่างเราสองคน เก็ทเองก็พอรู้เรื่องอยู่บ้างเพราะผมบอก แต่เจ้าตัวก็บอกเพียงแค่ว่า ถึงเวลาที่ผมจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองแล้ว เก็ทเพียงแค่ดูอยู่ห่างๆ แต่ก็จะอยู่ข้างๆ เสมอไม่ว่าผมจะเลือกทางไหนก็ตาม

   เทอมนี้ผมเลือกลงเรียนเหมือนกับเก็ทเหมือนเทอมที่ผ่านมา แต่ก็เกือบจะไม่ได้ลงเซคเรียนเดียวกัน เพราะระบบการลงทะเบียนเรียนแสนน่าหงุดหงิดของมหาวิทยาลัย จนผมเกือบเลือกเซคเดียวกับเก็ทไม่ทัน ส่วนคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ลงเรียนเซคเดียวกันเหมือนกัน เว้นแต่วิชาเลือกบางวิชาและภาษาที่สาม ที่เรียนต่างกันนิดหน่อย

   ส่วนมากพวกผมเลือกที่จะเรียนอัดกันสี่วันเหมือนเดิม จะมีก็แต่ป๊อปอายกับนุ่นที่ต้องเรียนจีนในวันศุกร์ แต่เทอมนี้ผมคงกลับบ้านวันพฤหัสบดีเหมือนเทอมที่แล้วไม่สะดวกนัก เพราะวิชาสุดท้ายเลิกเรียนตั้งสองทุ่ม ผมจึงตั้งใจว่าจะเปลี่ยนเป็นกลับบ้านวันศุกร์แทน

   “ผัวเมียคู่นี้กลับมาดีกันเหมือนเดิมแล้วเหรอ” เปิดเทอมมาวันแรกก็มาพร้อมนุ่นในลุคใหม่ที่ดูสวยหวานขึ้น เสียอย่างเดียวที่ปากยังหมาเหมือนเดิม “เห็นก่อนหน้านี้ง้องแง้งใส่กัน กูเป็นห่วงหรอกเลยถาม”

   “ไม่น่าเชื่อเนอะว่าคนอย่างมึงห่วงคนอื่นเป็นด้วย” ผมเบ้ปากมองบนพลางอมยิ้มไปด้วยอย่างไม่จริงจังนัก

   “คนอย่างกูเนี่ยล่ะที่เป็นห่วงเพื่อนที่สุดเว้ย! มึงกับโดนัทก็เหมือนกัน กูก็ไม่รู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างมึงสองคน แต่ยังไงก็เพื่อนกันนะเว้ย” ผมกับโดนัทหันมองหน้ากันทันทีที่จบประโยคของนุ่น ก่อนจะยิ้มกึ่งหัวเราะให้กัน

   “นอกจากมึงจะปากหมาแล้ว มึงยังมีมโนที่ล้ำเลิศด้วยนะ กูกับโดนัทไมได้มีอะไรกันสักหน่อย ใช่ไหมมึง” ผมพยักหน้าไปทางโดนัท

   “เออ มึงแม่งมโนแจ่มจริงๆ” ผมคิดว่าอะไรที่ผ่านมาแล้ว ถ้าเรามัวแต่ยึดติดมันก็ทำให้เราเดินต่อไปไม่ได้ ดังนั้นสำหรับโดนัทตอนนี้ผมไม่มีอะไรกับเธอแล้ว

   แล้ว... สำหรับปาร์คหล่ะ ทำไมผมยังคงยึดติดกับมันอยู่...

   “เออกูอาจจะมโนแจ่ม แต่พวกมึงไม่มีอะไรกันก็ดีแล้ว” นุ่นดึงตัวผมกับโดนัทเข้าไปกอดด้วยแรงอันมหาศาลที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นแรงของผู้หญิง แต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผม โดนัท รวมทั้งเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มด้วย อย่างน้อยในตอนนี้เพื่อนที่ผมมี ก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ ทุกคนยังอยู่ข้างๆ ผมอยู่ แม้ว่าจะผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากมายก็ตาม

**********__________**********

   ชีวิตผมกลับมาราบเรียบอย่างที่เคยเป็น ผมหัวเราะอย่างเต็มเสียงกับเพื่อนๆ ได้เหมือนเคย แต่ที่น่าแปลกก็คือ เริ่มมีคนเข้าหาผมมากขึ้น โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร รวมทั้งพี่หมากก็เช่นกัน ที่เดี๋ยวนี้มักมาวนเวียนให้ผมเจออยู่บ่อยครั้ง

   “บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะครับ” พี่หมากเอ่ยทักทายผมที่ตึกคณะคล้ายกับความบังเอิญ แต่ผมว่าไม่ใช่หรอก เพราะผมเห็นพี่เขาเพิ่งลุกจากเก้าอี้ภายในตึกก่อนที่ผมจะเดินเข้ามานี่เอง

   “ช่วงนี้บังเอิญบ่อยจังเลยนะครับ ฮ่าๆ นี่คงไม่ได้บังเอิญมารอผมด้วยหรอกใช่ไหม” ผมแซวพลางหัวเราะ ทำให้พี่เขาเกาหัวอย่างเก้อเขิน แต่พี่หมากก็ยังคงดูดีและดูอบอุ่นอยู่เสมอครับ เหมือนกับตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง

   “รู้ทันตลอดเลยนะเรา”

   “แล้วนี่ไม่มีเรียนแล้วเหรอครับ” ผมหัวเราะเล็กน้อยกับท่าทางของพี่หมาก ก่อนจะหันไปบอกกับเก็ท “เออ...เก็ทขึ้นห้องไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวฟร๊องก์ตามไป”

   “มีครับ บ่ายโมงนี่แหละ”

   “เอ้า! นี่ก็จะบ่ายโมงแล้วนะ ไม่ขึ้นเรียนล่ะครับ” พี่กำลังจะทำให้ผมเข้าเรียนสายไปด้วยนะ ผมได้แต่พูดในใจ

   “ก็... รอขึ้นไปพร้อมฟร๊องก์นี่แหละ”

   “งั้นก็รีบไปเลยครับ เดี๋ยวได้สายกันทั้งคู่”

   ผมพอรู้ครับว่าพี่หมากคิดอะไรอยู่ รู้ตั้งนานแล้วด้วยว่าพี่เขาคิดยังไงกับผม แต่ที่ทำให้ผมไม่ได้ปิดกั้นก็เพราะการวางตัวของเขา ที่ไม่เกินเลยมากเกินไป พี่หมากรู้ว่าสามารถหยอกล้อผมได้ระดับไหน และค่อยข้างให้เกียรติและให้เวลากับผม ไม่ได้จู่โจมผมจนตั้งตัวไม่ทัน

   ระหว่างผมกับพี่หมากก็ดำเนินไปอย่างราบเรียบ แต่สม่ำเสมอ พี่หมากมีการโทรมาหาผมบ้าง แต่ส่วนมากจะไลน์มาพูดคุยกันมากกว่า เพราะเขากลัวว่าการโทรจะเป็นการรบกวนผมมากเกินไป ผมปล่อยให้มันค่อยๆ พัฒนาไปตามที่มันควรจะเป็น แต่ความสัมพันธ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ปาร์คไม่รู้ และผมเองก็ไม่คิดหรือไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องบอกด้วย ส่วนเก็ทเองก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไร เพียงแต่คอยดูผมอยู่ห่างๆ เท่านั้น

   บางทีผมก็ควรจะเป็นคนที่พาตัวเองเดินออกมาบ้าง   

   แต่แม้จะพยายามเดินจากมากอย่างไร อีกเรื่องที่ทำให้ผมประหลาดใจอีกอย่างก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของปาร์ค ที่จะคอยมารอรับผมกลับบ้านในทุกวันศุกร์ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าตัวถึงรู้ว่าผมไม่มีเรียนและต้องกลับบ้าน และที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์ไปมากกว่านั้นคือปาร์คเลือกจัดตารางเรียนเพื่อไม่ให้ตัวเองมีเรียนวันศุกร์เช่นเดียวกันกับผม รวมถึงในวันอาทิตย์ที่ปาร์คก็จะคอยไปส่งที่หอพักเช่นเดียวกัน

   ถึงแม้ว่าผมจะบ่นหลายต่อหลายครั้งว่าไม่จำเป็นต้องมารับก็ได้ ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากเจอปาร์คหรอก แต่มันสิ้นเปลืองต่างหาก คอนโดฯ บ้าน รวมทั้งมหาวิทยาลัยของปาร์คอยู่ใกล้บ้านผมมากกว่า ส่วนมหาวิทยาลัยผมมันต้องย้อนมา ก็เท่ากับว่าปาร์คต้องขับรถเพื่อมารับผม แล้วก็ย้อนกลับไปส่งที่บ้านอีก แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธเสียงแข็งด้วยรอยยิ้ม พร้อมบอกว่าเต็มใจจะทำให้
แต่วันนี้ต่างออกไป เพราะผมเลือกตอบกลับไลน์ของปาร์ค เพื่อบอกให้เขาไม่ต้องมารับในตอนเช้า เนื่องจากวันนี้ผมนัดกับเก็ทไว้เพื่อไปหาซื้อของขวัญวันเกิดให้กับชัญญ่า

   จริงๆ จะเรียกว่าไปหาซื้อของขวัญก็คงไม่ถูก เพราะผมเตรียมไว้ให้แล้ว เป็นสมุดจดบันทึกเก๋ๆ เล่มไม่เล็กไม่ใหญ่มาก ที่ความพิเศษอยู่บนหน้าปก ที่วาดเป็นภาพล้อเลียนของเธอ ซึ่งผมให้รุ่นพี่ที่แซนด์รู้จักวาดให้ วันนี้คงเสร็จแล้วเหมือนกัน

   ผมคิดว่าเย็นนี้จะเข้าไปเอา ส่วนที่จะไปกับเก็ทวันนี้คือไปช่วยเก็ทเลือกแหวนที่จะมอบเป็นของขวัญและเพื่อเป็นการง้อแบบกลายๆ ที่ตอนแรกที่เก็ทเสนอความคิดมา ผมแทบไม่เชื่อหูเลยด้วยซ้ำว่าเก็ทผู้เขร็งขรึมจะมีมุมหวานๆ แบบนี้ด้วย แต่ผมก็ว่ามันเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลยทีเดียว

   ไม่นานทั้งเก็ทและผมก็มายืนจังก้าอยู่ในร้านราชินีอัญมณีชื่อดัง พนักงานที่ยืนประจำที่อยู่ด้านหลังตู้โชว์ที่เต็มไปด้วยแหวน รวมทั้งสร้อยคอและสร้อยข้อมือ กล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพ เก็ทยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยุดที่ตู้โชว์ตรงกลางร้านที่ด้านในส่วนมากจะเป็นเครื่องประดับจำพวกแหวน ในขณะที่ผมเองก็ยิ้มและมองไปรอบๆ ร้านอย่างประหม่า ทำตัวไม่ถูกครับ กลัวทำอะไรเซ่อซ่าแล้วก็กลัวข้าวของเขาจะเสียหายด้วย เพราะเครื่องประดับแต่ละชิ้นในร้านใช่ว่าราคาจะถูกๆ เสียเมื่อไร อีกอย่างผมคาดไม่ถึงด้วยว่าเก็ทจะเล่นของแพงแบบนี้ ตอนแรกคิดว่าจะดูเป็นพวกแหวนทองเฉยๆ แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ในร้านเพชรซะอย่างนั้น

   “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายกำลังมองหาอะไรเป็นพิเศษไหมคะ” พนักงานสาวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อผมและเก็ทมาหยุดที่ด้านหน้าตู้โชว์ ประกายแวบวับของเพชรที่ถูกเจียระไนจนมุมต่างๆ เล่นกับแสงไฟที่สาดส่องลงมายิ่งทำให้มันดูมีมูลค่ามากขึ้น

   “อยากดูเป็นแหวนครับ พอดีจะซื้อเป็นของขวัญให้... เอ่อ... แฟนครับ” เก็ทยกมือขึ้นเกาท้ายทอย ผมแอบเห็นใบหูของเขาแดงด้วย สงสัยจะเขิน

   “ลองดูเป็นแบบนี้ก็ได้นะคะ ไม่ใหญ่มากจนเกินไป กำลังน่ารัก หรือจะเป็น...” พนักงานทยอยหยิบแหวนจากด้านในตู้ออกมาให้เลือกประมาณสองถึงสามวง ขณะที่สายตาของทั้งเก็ทและผมก็ก้มๆ เงยๆ เพื่อกวาดตาดูไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอวงที่ถูกใจ

   “ผมขอดูวงนั้นหน่อยได้ไหมครับ” เก็ทว่าพลางชี้ไปยังแหวนวงที่ผมกำลังเล็งไว้พอดี

   แหวนวงนั้นตัวเรือนทำจากทองคำขาว มีเพชรชูหนามเตยตรงกลางขนาดเพชรไม่ใหม่มากจนดูเทอะทะ ล้อมด้วยเพชรขนาดเล็กลงมาเรียงเป็นเส้นตามตัวเรือน ด้านล่างของตัวเรือนเป็นทรงเรียบๆ สำหรับผมแหวนวงนี้ขนาดกำลังพอดีสำหรับวัยแบบพวกเรา ไม่ดูมีอายุเกินไปแม้จะใส่แหวนเพชร ถึงแม้ว่าราคาจะไม่ได้ดูน่ารักไปด้วยก็ตาม

   “ฟร๊องก์ว่าไง วงนี้โอเคไหม” เก็ทละสายตาจากการดูแหวนเพชรวงนั้นก่อนจะหันมาถามความเห็นจากผม สำหรับผมแล้วรูปทรงของแหวนวงนี้ถูกใจผมมากเลยแหละ เพียงแต่ราคา...

   “อืม... ทรงสวยนะ ฟร๊องก์ว่าเหมาะกับชัญญ่าดี ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แต่... ราคาแรงอยู่นะ” ผมว่าก่อนจะเขยิบเข้าไปกระซิบข้างหูเก็ทในตอนท้ายของประโยค

   “พอดีว่าผมไม่รู้ไซส์อ่ะครับ ถ้าจะเอามาเพิ่มหรือลดไซส์ทีหลังได้ไหม”

   “ไม่มีปัญหาค่ะ คุณผู้ชายสามารถนำแหวนกลับมาปรับไซส์ได้ฟรีในครั้งแรกเลยค่ะ แต่ถ้าครั้งต่อไปอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แล้วถ้าต้องการเพิ่มน้ำ เพิ่มกะรัตให้มากขึ้น ก็กลับมาที่ร้านได้เช่นกันนะคะ ทางร้านจะมีใบเซอร์ฯ ให้ทุกชิ้นค่ะ รับประกันได้เลยว่าเอาไปให้ที่ไหนส่องก็แท้ชัวร์ค่ะ แบรนด์เรามีชื่อเสียงอยู่แล้วค่ะ”

   “งั้นเอาเป็นวงนี้แล้วกันครับ” เก็ทตกลงซื้ออย่างง่ายดาย เหมือนที่หลายๆ คนว่าจริงๆ ว่าเวลาผู้ชายเลือกซื้อมักจะตัดสินใจไวเมื่อเจอของที่ถูกใจ แม้ว่าของนั้นจะมีราคาที่ทำให้ผมแทบลมจับก็ตาม

   “ทางร้านรับผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์ผ่านบัตรด้วยนะคะ” พนักงานจัดแจงให้ผ้าเช็ดทำความสะอาดแหวน ก่อนจะบรรจุลงในตลับอย่างสมราคา “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายจะให้ห่อเป็นของขวัญให้ด้วยไหมคะ”   

   “ได้ครับถ้าไม่รบกวน ส่วนนี่รูดเต็มเลยครับ” เก็ทตอบเสียงนิ่งพร้อมยิ้มรับเล็กน้อย ก่อนจะยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน

   “โคตรพ่อบุญทุ่มเลย” ผมแอบกัดเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มอย่างปลื้มใจ ถ้าผมเป็นชัญญ่าก็คงปลาบปลื้มไม่น้อย มันไม่ใช่เพียงเพราะมูลค่าของของ แต่มันเป็นคุณค่าทางจิตใจจากผู้ที่มอบให้มากกว่า ถึงแม้เป็นแหวนหลักสิบ หลักร้อย แต่มอบให้ด้วยใจมันก็มีค่าขึ้นมาได้เช่นกัน และมันอาจจะทำให้สถานะที่ลดลงกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้

   “แค่นี้เอง ที่ชัญญ่าทำให้เรามากกว่านี้เยอะ ว่าแต่ของขวัญที่ฟร๊องก์เคยบอกเสร็จยังอ่ะ จะได้พาไปเอา”

   “น่าจะเสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวกินข้าวกันก่อนค่อยไปเองก็ได้ หิวแล้ว”

**********__________**********

   หลังจากเก็ทได้แหวนเพชรวงสวยเป็นของขวัญสำหรับชัญญ่าเรียบร้อย เราสองคนก็หาอะไรลงท้องกันด้วยความหิว ก็นี่ล่อเข้าไปเกือบบ่ายสามโมงแล้ว ผมที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยก็ย่อมต้องหิวเป็นธรรมดา และตั้งใจว่าจะแวะไปเอาสมุดที่จ้างพี่เขาวาดรูปเอาไว้ซึ่งผมโทรไปถามและได้รับคำตอบว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าไปรับได้เลย

   แต่ผมต้องไปเอาคนเดียว เพราะชัญญ่าโทรมาหาเก็ท และบอกว่าจะมาหา ซึ่งผมก็บอกให้เก็ทอยู่รอ โดยที่ผมจะแยกออกไปเองเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าเราอยู่ด้วยกันเพื่อหาของขวัญมาเซอร์ไพรส์เธอ

   จากนั้นผมก็แยกตัวกับเก็ทเพื่อจะไปขึ้นแท็กซี่ไปยังบ้านพี่คนที่แซนด์แนะนำ

   “ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรไม่ชอบมาพากลรีบโทรมาเลยนะ” คำพูดที่เก็ทพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ผมจะแยกออกมาทำเอาผมฉงน แต่เก็ทอาจจะคิดมากไปมั้ง ผมแค่แวะไปเอาสมุดนั่นแล้วก็คงกลับบ้านเลย เพราะบ้านของพี่เขาอยู่ใกล้กับบ้านผมมากกว่าหอพัก
ติ๊ด! ติ๊ด!

   “หวัดดีครับพี่หมาก” ผมนั่งแท็กซี่ออกมาได้ไม่นาน สายเรียกเข้าจากพี่หมากก็ดังขึ้น

   [ดีครับน้องฟร๊องก์ ทำอะไรอยู่เนี่ย พี่ไลน์ไปตั้งแต่เช้าไม่เห็นตอบ พี่เป็นห่วงเลยโทรมา]

   “อ๋อ โทษทีครับพี่หมาก พอดีวันนี้ฟร๊องก์ออกมาทำธุระกับเก็ท เลยลืมตอบ”

   [โห้ ลืมกันได้ พี่เสียใจนะ]

   “ฮ่าๆ ฟร๊องก์ไม่ได้ตอบทุกคนแหละ นี่ยังไม่ได้จับโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ จนพี่โทรมานี่แหละ” ผมแอบขำกับน้ำเสียงหงอยๆ ที่พี่หมากทำเมื่อกี้ แม้จะรู้ว่าเขาแกล้งทำก็เถอะ

   [แล้วนี่เสร็จธุระหรือยังครับ ให้พี่ไปรับไหม]

   “ใกล้แล้วฮะ พอดีฟร๊องก์สั่งของขวัญไว้ให้เพื่อน เดี๋ยวไปเอาเสร็จก็กลับแล้ว ไม่ลำบากพี่หมากหรอกครับ”

   [โอเคครับ งั้นพี่ไม่รบกวนเราล่ะ ยังไงกลับถึงห้องแล้วไลน์บอกพี่หน่อยนะครับ] พี่หมากบอกเสียงนุ่มก่อนจะวางสายไป
หลังวางสายจากพี่หมากได้ไม่นาน รถแท็กซี่ก็มาจอดหน้าบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้ที่สภาพบ่งบอกถึงการสร้างมานาน แต่ก็ไม่ถึงกับเก่าจนน่ากลัว ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ที่ค่อนข้างลึกเข้ามาจากถนนสายหลัก และภายในซอยค่อนข้างเปลี่ยว ครั้งที่แล้วที่ผมมากับแซนด์แล้วก็เก็ท เพราะเก็ทขับรถเข้ามาเลยไม่รู้สึกว่ามันลึกมากขนาดนี้

   “โห้พี่ เจ๋งมากเลย!” ผมตาลุกวาวเมื่อเห็นหน้าปกของสมุดที่ตอนแรกเป็นเพียงพื้นสีดำเรียบๆ ธรรมดา แต่นี้ถูกเนรมิตด้วยลายเส้นสีขาวที่ดูเป็นเอกลักษณ์ เป็นรูปใบหน้าของชัญญ่ากำลังยิ้มแป้นอยู่บนนั้น จริงๆ ผมเคยเห็นงานของพี่เขาหลายครั้งในเฟซบุ๊ก ผลงานของพี่เขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แบบนี้มองปุ๊บก็รู้เลยว่าลายเส้นแบบนี้เป็นของคนๆ เดียวกัน แต่ก็เพิ่งเคยได้ติดต่อกับเขานี่แหละ

   “แค่น้องถูกใจก็ปลื้มแล้ว อย่าลืมเอาไปเคลือบด้วยนะ เดี๋ยวอยู่ไปเรื่อยๆ มันอาจจะซีดลง” พี่เติร์ก ชายหนุ่มตัวขาว ผมสั้นเกือบติดหนังหัว เจาะหูทั้งสองข้าง ข้างละหลายรู ที่อยู่ในเสื้อลายมัดย้อมกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ดูท่าทางแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะรังสรรค์ลายเส้นพลิ้วไหวแบบนี้ได้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

   “อ่ะนี่ ผมซื้อมาฝาก” ผมหยิบถุงขนมที่ซื้อติดมือมาจากห้างแล้วส่งให้พี่เติร์ก “แทนค่าจ้างนะ ฮ่าๆ” เพราะครั้งที่แล้วที่มาแซนด์แนะนำให้รู้จัก และก็พอสังเกตว่าพี่เขาก็เป็นคนไม่ค่อยซีเรียสและกวนประสาทใช่ย่อย ผมจึงกล้าที่จะแซว

   “งั้นเอาไปกลับไปเถอะ”

   “ล้อเล่น อ่ะนี่ครับ” ผมว่าพร้อมควักเงินตามจำนวนที่เหลือจากมัดจำ ซึ่งก็เอาเรื่องอยู่ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ งานศิลปะมันก็มีคุณค่าในตัวของมัน ค่าจ้างก็ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนของการเพียรฝึกฝน

   “ขอบใจมากเว้ย คราวหน้าใช้บริการอีกได้นะ เป็นงานกราฟิกก็ได้นะ” พี่เติร์กรับเงินด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะโปรโมทตัวเองเพิ่มเติม

   “งั้นผมกลับแล้วนะพี่ ถ้าครั้งหน้าอยากให้ช่วย คงต้องขอรบกวนด้วยนะครับ” ผมยกมือไหว้เพื่อบอกลา แล้วเดินออกจากตัวบ้านมา ตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว แต่แสงแดดยังไม่ลดกำลังการเผาไหม้ลงเลย ผมยืนรถวินมอเตอร์ไซด์อยู่ใต้ร่มไม้ข้างๆ บ้านอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่มีแม้แต่รถอื่นๆ วิ่งผ่านสักคัน นี่คนในซอยนี้เขาออกไปทำธุระข้างนอกกันยังไง   

   เมื่อเห็นว่ายืนรอต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ผมจึงเลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆ ถ้าโชคดีเจอแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์ผ่านมาก็ดีไป แต่ถ้าโชคไม่ดีก็เดินไปจนถึงปากซอยแล้วกัน อย่างที่บอกผมยืนรออยู่พักใหญ่ จนทำให้ตอนนี้แดดร่มลมตกลงมากแล้ว แถทยังได้ตึกและบ้านอีกฝั่งของถนนบังไว้ให้ด้วย ก็เลยไม่ได้รู้สึกร้อนมากเท่าไร ขืนรอต่อไปคงมืดก่อนแน่ๆ อย่างน้อยเดินไปตอนยังมีแสงสว่างก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าไร เอาวะ! ถือว่าออกกำลังกายไปในตัว

   เดินมาไกลพอสมควรก็ไม่เห็นวี่แววของรถแท็กซี่หรือวินมอเตอร์ไซด์สักคัน อย่าว่าแต่สองอย่างนี้เลย รถอื่นๆ ยังไม่มีเลย ที่เห็นตอนนี้มีแค่รถเก๋งคันหนึ่งที่ขับอยู่ด้านหลัง ร้อนเหมือนกันนะจะว่าไป แต่ผมก็พยายามสลัดความเหนื่อยทิ้ง เดินใส่หูฟังฟังเพลงไปพลาง ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหม่นและแสงจากดวงอาทิตย์ก็ยิ่งน้อยลงทุกทีๆ ผมจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย

   เอี๊ยด!!


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ พอดีไม่ค่อยสบายนิดหน่อย

ปาร์คกลับไปคุ้ยหาแหวนที่ตัวเองทิ้งไปเองแล้ว ซึ่งจะเจอหรือเปล่าไม่รู้ 55+
แถมยังมีคู่แข่งเข้ามาอีก หุหุ
พี่หมากจะมาเป็นม้ามืดหรือเปล่านะ โผล่มาตอนต้นเรื่อง แล้วก็หายไป กลับมาคราวนี้จะเป็นยังไง

ขอบคุณทุกคนนะฮะ
บอกไว้ล่วงหน้าเลยนะฮะว่าจะกลับมาอัปเดตอีกทีหลังจากวันที่ 26 ต.ค. ไปแล้วนะฮะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 49 P.8 [UP 19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 19-10-2017 21:22:58
ทางข้างหน้า ถึงว่างเปล่า มีเขากั้น
ก็จะยอม บุกฝ่าฟัน ดั้นด้นถึง
มีแม่น้ำ ไหลหลากเชี่ยว เลี้ยวกั้นกึง
แค่ใจถึง ก้าวดึงขา พาออกไป

ทิ้งเบื้องหลัง ฝังรันทด เลิกจดจ่อ
ไม่มีข้อ ให้กังขา หน้ายิ้มใส
อโหสิ แล้วกรวดน้ำ คว่ำขันไป
เลิกสนใจ ใครคนก่อน ไม่ย้อนคืน

ตั้งใจแต่งกลอนบทนี้ ให้เขาโดยเฉพาะเลยนะ
หึหึ คุณปาร์คผู้โลเล และ เรรวนในความรัก

ไม่ขอให้โชคดี
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 49 P.8 [UP 19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-10-2017 21:28:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 49 P.8 [UP 19/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-10-2017 22:13:01
 :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 50 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 30-10-2017 18:38:44
Chapitre 50
         
   เอี๊ยด!!
            
   ผมที่กำลังเดินฟังเพลงไปด้วยอย่างเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งจนต้องก้าวถอยหลังหลายก้าวด้วยความตระหนกตกใจ เมื่อจู่ๆ รถเก๋งสีดำแต่งเครื่องไม่มีป้ายทะเบียนขับมาตัดหน้าผมเหมือนกับจงใจ ก่อนที่ผู้ชายร่างผอมสูง ท่าทางไม่น่าไว้ใจสามคนจะก้าวลงมาจากรถแล้วตรงมาที่ผม
            
   เมื่อเห็นท่าไม่ดี ผมอาศัยจังหวะนี้หันหลังและวิ่งหนีย้อนกลับไปทางเดินที่ผมเดินมา อย่างที่บอกว่าซอยนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่ค่อยมีรถรา หรือแม้แต่ผู้คนออกมาเดินกันนอกตัวบ้านเลย ดังนั้นความหวังเดียวที่ผมจะขอความช่วยเหลือได้ก็คือที่บ้านของพี่เติร์ก ที่ผมเองก็เดินห่างออกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
            
   “อ่ะ!” วิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ผู้ชายหน้าตาน่ากลัวหนึ่งในสามคนนั้นก็รีบเร่งสปีดมาดักหน้าผมไว้ ก่อนที่อีกสองคนจะตามมาดักผมไว้ทั้งสามด้าน ส่วนด้านหลังเป็นกำแพงที่ถูกพ่นสีจากพวกป่วนเมือง ทำให้ตอนนี้ผมตกอยู่ในวงล้อมของคนแปลกหน้าทั้งสามนี้
            
   ผมมองหน้าทั้งสามอย่างหวาดหวั่น พร้อมทั้งพยายามรวบกระเป๋าเป้มาบังไว้ด้านหน้า ผมไม่มีอะไรให้ปล้นหรอกนะ “พะ... พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร”
            
   “หึหึ” ไม่มีใครสนใจคำถามของผม ผมได้รับเพียงเสียงหัวเราะเหี้ยมๆ จากพวกมัน
            
   “อยากได้เงินเหรอ เอาไปเลย อยากได้อะไรเอาไปเลย แล้วปล่อยฉันไป” ยอมรับเลยครับว่าตอนนี้ผมกลัวมาก ท่าทางของคนพวกนี้ดูเหมือนพวกติดยา ถ้าทำให้มันไม่พอใจผมอาจจะเป็นอันตรายได้ พวกมันอาจจะแค่ต้องการเงินไปซื้อยาแค่นั้นก็ได้
            
   “พวกกูไม่อยากได้ตังค์มึงหรอก พวกกูอยากได้มึงเป็นเมียมากกว่า!” ไอ้คนหน้าเหี้ยมที่วิ่งมาดักหน้าผมพูดขึ้นมาด้วยเสียงหื่นกาม ก่อนจะพยายามสาวเท้าเข้ามาหาผม “แต่ก่อนอื่นมึงเคลียร์กับคู่กรณีมึงก่อนแล้วกัน”
            
   ปึก!
            
   “ว่าไงอีตุ๊ด!” เกล! เธอก้าวลงมาจากรถเก๋งคันดังกล่าว แล้วตรงมาที่ผม ผู้หญิงคนนี้เป็นคนวางแผนทำเรื่องอุกอาจนี้งั้นเหรอ
            
   “กะ... แก! ต้องการอะไร!” ผมจ้องหน้าเกลที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นๆ ด้วยสายตาวาวโรจน์ “โอ้ย!”
            
   โดยไม่ทันได้ระวัง ผมถูกหนึ่งในพวกมันรวมแขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ทำให้กระเป๋าที่ผมรวมไว้ด้านหน้าในตอนแรกร่วงลงไปกองกับพื้น “คิดว่ากูจะปล่อยมึงไปง่ายๆ เหรอ! ไงล่ะ! ตอนนี้ไม่มีเพื่อนคอยปกป้องแล้ว กูอยากจะรู้ว่ามึงจะเอาตัวรอดได้ยังไง”
            
   “ปล่อยนะ! โอ้ย!!” แขนที่ถูกล็อคจากด้านหลัง ถูกดึงแน่นขึ้นจนผมรู้สึกร้าวไปทั้งกระดูก ก่อนที่เส้นผมจะถูกมือของเกลขยุ้มไว้แล้วออกแรงกระชากไปด้านหลังจนหนังหัวแทบหลุด ผมจำต้องเงยหน้าขึ้นตามแรงกระชากนั้น แต่ก็จ้องหน้าผู้หญิงใจโฉดคนนี้อย่างแช่งชักหักกระดูก
            
   “กูไม่มีความสุข มึงก็ต้องไม่มีความสุขเหมือนกัน เอ๊ะ! แต่ไม่สิ กูเอาความสุขมามอบให้คนร่านๆ แบบมึงต่างหาก ตุ๊ดอย่างมึงคงคันมากสินะ วันนี้จะได้มีผัวพร้อมกันสามคน คงดีใจจนตัวสั่นเลยสิ!”
            
   “กะ... แกอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ!” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการเหล่านั้น แต่กลับไม่เป็นผลเลย คนตัวผอมแห้งแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรี่ยวแรงเยอะขนาดนี้ “แกทำแบบนี้ไม่กลัวเข้าคุกหรือไง!”
            
   “มึงมองรอบข้างมึงก่อนว่าใครจะมาช่วยมึงได้ตอนนี้ แต่ถ้าแลกกับความสะใจที่จะเห็นมึงตกเป็นเมียของพวกนี้ กูก็ยอมเสี่ยงนะ อีกอย่างถึงกูต้องติดคุก แต่คลิปของมึงคงประจานหลาอยู่บนอินเตอร์เน็ตจนมึงไม่มีหน้าไปไหนมาไหน และที่สำคัญ กูก็อยากจะรู้ว่าปาร์คจะยังเอามึงอยู่หรือเปล่า ถ้ารู้ว่ามึงเป็นแค่ของเหลือเดนที่ไอ้พวกนี้มันเอาซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”
            
   “ช่วยด้ะ...!!”
            
   เพี๊ยะ!
            
    “ลองแหกปากดูอีกที คราวนี้เลือดมึงได้กลบปากแน่!” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตะโกนร้องเรียกให้ใครมาช่วย หน้าผมก็ต้องสะบัดด้วยแรงตบจากเกลก่อนที่เจ้าตัวจะบีบแก้มผมให้หันกลับไปมองนัยน์ตาที่กำลังจ้องผมอย่างเคียดแค้น
            
   “แกทำแบบนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นหรอก! ปาร์คกับดินก็ไม่กลับไปหาผู้หญิงเลวๆ อย่างแกอยู่แล้ว”
            
   “ได้ความสะใจไง สะใจที่เห็นชีวิตมึงพังพินาศไง!” เกลหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางกระตุกเส้นผมของผมแรงขึ้น ก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “อ๋อ! มึงคงยังไม่รู้ความจริงอีกอย่างสินะ ที่ว่ากูเข้ามาในชีวิตปาร์คได้ก็เพราะฝีมือของเพื่อนสนิทของมึงเอง! ชีวิตมึงนี่น่าสมเพชจริงๆ เลยนะ ว่าไหม ฮ่าๆ”
            
   “เก็ททำไปเพราะมีเหตุผล เธอมันก็แค่หมากตัวหนึ่งในเกมเท่านั้นแหละ” ผมที่รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วตอกกลับให้อีกฝ่ายเจ็บใจ
            
   “หึ! ถึงกูจะเป็นแค่หมากหรืออะไรก็เถอะ แต่มันก็ทำให้มึงเจ็บได้เหมือนกัน แถมยังได้ปาร์คที่มึงอยากได้นักอยากได้หนา อยากได้จนตัวสั่นเป็นของแถมอีกต่างหาก ถึงจะเป็นอะไรกูก็ไม่สนหรอก อีกอย่างวันนี้มึงก็ไม่รอดอยู่ดี”
            
   “แกมันไม่ใช่คน! เลวกว่าสัตว์ซะอีก!”
            
   เพี๊ยะ!
            
   “กูบอกว่าอย่ามาปากดีกับกู!”
            
   ถุย!!!
            
   “อี๊! ไอ้บ้า!!” ผมแสยะยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวทั้งที่ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาตัวรอดจากเกลและพวกขี้ยาที่น่ากลัวสามคนนี้อย่างไร ก่อนที่ถ่มน้ำลายผสมกับเลือดที่ออกเพราะถูกตบเมื่อกี้รดหน้าของเกลเต็มรัก “มึง!!”
ตุบ! อั๊ก! พลั่ก!
            
   “อึก...”
            
   ยังไม่ทันที่ผมจะได้สะใจที่ถ่มน้ำลายหยามหน้าเกลได้ เธอก็ประเคนทั้งกำปั้น ทั้งฝ่ามือกระหน่ำมาที่ทั้งหน้าและลำตัวของผมอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเจ็บและจุกจนร้องไม่ออก ก่อนที่จะถูกกระชากหัวให้เงยขึ้นอีกครั้งเพื่อมองใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างสะใจของเกลสำทับด้วยดวงตาแดงก่ำจากไฟพิโรธ ผมรู้สึกถึงการปริแตกของมุมปากและรสเฝื่อนปร่าจากเลือด แต่ถึงกระนั้นผมก็เลือกที่จะแสยะยิ้มให้เหมือนเดิม
            
   “อย่างแกคงมีปัญญาทำได้แค่นี้แหละ! พวกหมาหมู่!”
            
   “ปากดีเหมือนกันนี่หว่า กูอยากจะรู้ว่าอย่างอื่นจะดีด้วยไหม” ไอ้คนที่วิ่งมาดักหน้าผมในตอนแรกเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะเอามือสกปรกๆ นั่นมาลูบหน้าผม แม้จะพยายามดิ้นและเบือนหน้าหนีสัมผัสอันกักฬระนั่นแค่ไหน แต่แรงล็อคจากด้านหลังก็ยิ่งแน่นขึ้นจนตอนนี้แขนทั้งสองชาแทบไร้ความรู้สึก กอปรกับกลุ่มเส้นผมที่ถูกทึ้งรั้งไว้ทำให้ไม่สามารถขยับได้เลย
            
   “เอามือสกปรกๆ ของแกออกไปนะ ไอ้ทุเรศ!”        

   “ปากดีนักนะมึง!”

   ไอ้เลวนั่นซัดหมัดมาเต็มสีข้าง ก่อนจะปล่อยอีกหมัดเข้าที่กลางลำตัวจนตัวผมงอเป็นกุ้ง หยดน้ำตาเริ่มก่อตัวรั้งอยู่ที่ขอบตาด้วยความเจ็บปวดและความกลัว ใครก็ได้มาช่วยผมที

   พลั่ก!

   ก่อนที่ทั้งเกลและคนที่ล็อคผมอยู่ด้านหลังจากพร้อมใจกันปล่อยร่างของผมให้ร่วงลงไปกองกับพื้นไม่ต่างกับประเป๋าเป้ที่ร่วงไปก่อนหน้า

   “ชะ... ช่วย...”

   เพี๊ยะ!

   ผมพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายร้องเรียกให้คนมาช่วย และพาผมให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายที่ผมมองไม่เห็นทางออกตรงนี้ ผมยอมรับว่าผมกลัวมาก กลัวมากจริงๆ และไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าทำอะไรแบบนี้

   “กูว่ารีบไปพามันไปก่อนที่จะมีคนมาเห็นดีกว่า กูอยาก... แล้วด้วย” หนึ่งในสามคนนั้นพูดขึ้น แต่ผมไม่ได้ดูหรอกว่าคนไหน ก่อนที่อีกสองคนจะเข้ามาพยุงตัวผมขึ้น แล้วพยายามลากไปยังรถที่จอดห่างออกไประยะหนึ่ง

   “ปล่อย! ปล่อยกู!” ผมรวบรวมเรี่ยวแรงที่ยังเหลือสะบัดตัวเองให้หลุดจากการจับกุมนั้น ก่อนจะวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้ต้องตายผมก็ไม่มีวันยอมให้ไอ้พวกนรกส่งมาเกิดนี้ทำระยำกับผมได้หรอก

   “จับมันสิ!” เสียงเกลตะโกนไล่หลังผมมาประกอบกับเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้ผมมาทุกขณะ
            
   ผมรีบล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อกดหาใครสักคนที่พอจะช่วยผมได้ ขณะที่ขาก็ยังคงวิ่งอย่างไม่ลดละ ใครก็ได้ในตอนนี้ ใครก็ได้มาช่วยผมที ผมตั้งสติก่อนจะรีบกดหาเบอร์โทรออกล่าสุด ซึ่งเป็นเบอร์ของเก็ท
            
   “โอ้ย!” แต่ยังไม่ทันที่จะกดลงไปยังชื่อที่ปรากฏนั้น ตัวผมถลาลงไปกองอยู่กับพื้นคอนกรีต พร้อมกับโทรศัพท์ที่ร่วงลงมาอยู่ข้างตัว เมื่อถูกผลักอย่างแรงจากด้านหลัง ผมรู้สึกได้ถึงความแสบจากแผลถลอกที่หัวเข่าและแขนที่ผมเอามาค้ำตอนที่ล้ม
            
   “ฤทธิ์เยอะนักนะมึง!”
            
   “อึก!” หมัดหนักๆ ซัดเข้ามาที่หน้าท้องของผมอีกครั้ง เรียกน้ำตาที่รั้งอยู่ให้ล้นขอบตาออกมา พร้อมกับเรี่ยวแรงที่เหมือนถูกสูบออกไปจนหมด
            
   “รีบเอามันไปขึ้นรถก่อนดีกว่า!” เกลเดินเข้ามาสมทบก่อนที่คนที่ปล่อยหมัดใส่ผมจะกระชากแขนผมให้ลุกตามพวกมันไปอย่างไร้ความเมตตา
            
   ผมพยายามขืนตัวอย่างเต็มที่ แต่ด้วยร่างกายที่บอบช้ำและเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็ม จึงทำให้แรงของผมเป็นเพียงเศษเสี้ยวของแรงที่ไอ้หมอนี่ลากผม
            
   นี่ผมจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้พวกมันทำระยำกับผมงั้นเหรอ เพราะความแค้นทำให้คนๆ หนึ่งทำกับชีวิตของอีกคนได้โดยไร้ซึ่งสามัญสำนึก ไม่นึกถึงมนุษยธรรมเลยอย่างนั้นหรือ น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่อยากรับรู้สิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญต่อไป ไม่อยากแม้แต่จะต้องหายใจร่วมกับคนพวกนี้
            
   ได้โปรด... ส่งใครสักคนมาช่วยผมที พ่อแม่ช่วยลูกด้วย เก็ทช่วยด้วย 
            
   ปาร์ค... ช่วยฟร๊องก์ด้วย…
            
   ฟร๊องก์กลัว...
            
   “เร็วเข้าสิ!” เกลเร่ง พร้อมกับจังหวะการก้าวของพวกมันก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน ผมเห็นรถลางๆ อยู่ด้านหน้าไม่ไกล นั่นมันเหมือนขุมนรกที่ผมกำลังจะก้าวลงไป
            
   บางทีปาฏิหาริย์อาจไม่มีจริงสำหรับผม ปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย...
            
   แม้พระเจ้าก็คงไม่ได้ยินคำขอร้องอ้อนวอนจากผม...และคงไม่มีใครรับรู้ได้ถึง...
            
   ความกลัว... จับขั้วหัวใจ
            
   ผมหลับตายอมรับชะตากรรมอันแสนโหดร้ายของตัวเอง ใบหน้าและรอยยิ้มของทุกๆ คนลอยเข้ามาในห้วงความคิดของผม พาลเรียกน้ำตาให้ยิ่งล้นทะลักออกมา ก่อนภาพที่สวยงามนั้นจะพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้ารังเกียจจากความแปดเปื้อนและโสมมของผม
            
   “พวกมึงจะทำอะไร!”
            
   พลั่ก!
            
   เสียงที่คุ้นหูของใครบางคนดังขึ้น ก่อนที่ร่างของชายผอมแห้งที่อยู่ข้างผมจะกระเด็นไปไกลด้วยแรงกระโดดถีบของผู้มาเยือนเข้าที่กลางลำตัว ผมเหลือบไปมองใบหน้าของคนๆ นั้นทั้งที่ยังโดนอีกคนจับเอาไว้ก่อนจะยิ้มออกมา

   ปาร์ค... มาช่วยผมจริงๆ

   “ปะ... ปาร์ค! มาได้ไง!” เกลร้องออกมาด้วยสีหน้าที่ตระหนกตกใจ

   “ปล่อยฟร๊องก์ซะ!” ปาร์คพูดเสียงเหี้ยมพร้อมยืนเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว แม้เขาจะมาเพียงคนเดียวก็ตาม

   “ถอยออกไปนะ! ไม่งั้นอย่าหาว่าเกลไม่เตือน” ไอ้ชั่วที่ลากผมมาผลักผมให้เกล ก่อนที่จะเธอจะล็อคตัวผมจากด้านหลังไว้พร้อมด้วยมือที่ยกมีดพกคมกริบมาจ่อคอผม “จัดการมันสิ ยืนบื้อกันอยู่ทำไม!”

   ผมพยายามฮึดแรงอีกสักเฮือกเพื่อดิ้นจากการจับกุมของเกล แม้จะเสี่ยงบาดเจ็บจากใบมีดนั่นก็ตาม แต่ปาร์คกำลังจะโดนไอ้สามคนนั้นรุมทำร้าย แม้หุ่นของปาร์คจะเป็นต่อทั้งสาม แต่ยังไงน้ำน้อยก็ย่อมสู้เพลิงที่โหมกระหน่ำได้ยาก

   “อยู่นิ่งๆ สิ! อยากตายหรือไง!” เกลกระชับใบมีดเข้ามาใกล้คอของผมมากขึ้น

   “ฟร๊องก์อย่าขยับ ไม่ต้องเป็นห่วงปาร์ค!”

   พลั่ก!

   สิ้นเสียงของปาร์ค ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็หันด้วยแรงปะทะจากกำปั้นอย่างรุนแรง ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมาสวนหมัดหนักไม่แพ้กันเข้าที่ใบหน้าของคนที่ต่อย พร้อมประเคนพื้นรองเท้าเข้าที่กลางลำตัวของอีกคน ปาร์คมีเลือดที่ออกจากแผลแตกที่มุมปากยิ่งทำให้ผมเป็นห่วง

   ตุบ! พลั่ก! ผลั๊วะ! อั๊ก!

   ทั้งสามคนเข้าตะลุมบอนปาร์ค ขณะที่ปาร์คเองก็คอยหลบหลีกและออกอาวุธอย่างมีชั้นเชิง เสียงกำปั้นกระทบกับเนื้อดังระงมไปทั่ว จนผมมองไม่ออกจริงๆ ว่าผลจะเป็นอย่างไร รู้ตัวอีกทีพวกขี้ยาทั้งสามก็กองกับพื้นในสภาพยับเยิน แต่ปาร์คเองก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ล้มกองบนพื้น แต่รอยฟกช้ำกอปรกับรอยแผลแตกทำให้สภาพของปาร์คตรงหน้าดูแย่ไม่ต่างกัน

   “ยะ... หยุดนะ! ไม่งั้นกูเฉือดอีตุ๊ดนี่จริงๆ ด้วย!” เกลลากผมขยับถอยหลัง แต่ก็ไม่ลดมีดออกจากคอผมเลย

   “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะเกล!” ปาร์คพูดอย่างเดือดดาล พร้อมพยายามก้าวตามมาอย่างระแวดระวัง

   “ถอยไปนะ!” ผมรู้สึกได้ถึงใบมีดที่เข้าใกล้คอของผมมากขึ้น ความเย็นจากคมมีดสัมผัสผิวจนทำให้ผมขนลุก

   “ใจเย็นนะเกล ปล่อยฟร๊องก์ก่อน เราคุยกันได้นะเกล อย่าให้มันต้องรุนแรงไปกว่านี้เลย” ปาร์คเสียงอ่อนลง พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างมาด้านหน้าอย่างจำยอม เพื่อพยายามกล่อมให้เกลเย็นลง

   “ยังมีอะไรต้องคุยกันอีกเหรอ”

   “ยังไงเราก็กลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อยู่ดีเกล ต่อให้เกลทำอะไรไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”

   “หุบปากไปเลย! กูไม่หวังจะไปคืนดีกับมึงหรือเพื่อนมึงหรอก แต่กูจะทำให้ชีวิตอีตุ๊ดนี่มันพัง ความรักของพวกมึงก็เหมือนกัน!”

   พลั่ก!

   ผมอาศัยจังหวะที่เกลเผลอและเสียสมาธิจากความโมโหจับข้อมือข้างที่เธอถือมีดไว้แล้วยกขึ้นบีดอย่างแรง ก่อนจะผลักตัวเองให้ออกจากการจับกุมนั้น เช่นเดียวกับปาร์คที่รีบพุ่งเข้ามาหาผมทันที

   “มึง! ปล่อยนะ!”

   ฉึก!

   เกลกรีดร้องพร้อมกับสะบัดแขนที่ผมจับไว้อย่างบ้าคลั่ง ในจังหวะเดียวกับที่ปาร์ครวบตัวผมเข้าไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับมือของเกลที่สะบัดหลุดจากผมแล้วเหวี่ยงคมมีดมาทางผมพอดี ก่อนที่ผมจะตั้งสติเพื่อสำรวจความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกมีดบาดที่ผมได้รับเมื่อกี้ แต่แปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของบาดแผลนั้นเลย แต่กลับเป็นปาร์คที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลลึกบริเวณต้นแขน

   “ปาร์ค!”

   เคร้ง!     

   “นี่ตำรวจ วางอาวุธลง!” เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายมาพร้อมอาวุธครบมือวิ่งกรูกันลงมาจากรถตำรวจ ก่อนจะรวบตัวพวกขี้ยาทั้งสาม รวมทั้งเกลที่กำลังยืนอึ้งจนมีดที่ถือร่วงลงพื้นในเวลาอันรวดเร็ว

   “ฟร๊องก์! ปาร์ค! เป็นยังไงบ้าง!” ชัญญ่ารีบวิ่งลงมาจากรถที่ตามมาหลังรถตำรวจด้วยใบหน้าตื่นตระหนก พร้อมด้วยเก็ทที่จะรีบเข้ามาหาผมเช่นกัน

   “ฟร๊องก์ไม่เป็นไร แต่ปาร์ค...”

   “ปาร์คไม่เป็นอะไร แค่เห็นฟร๊องก์ปลอดภัยปาร์คก็ดีใจแล้ว”

   “แก!”

   เพี๊ยะ!

   “ตอนแรกฉันว่าจะปล่อยแกกับครอบครัวแกไปแล้วนะ แต่คนชั่วๆ อย่างแกคงไม่เหมาะกับคนว่าเมตตาหรอก เตรียมเข้าคุกทั้งโคตรได้เลย!” ชัญญ่าปรี่เข้าไปหาเกลที่ถูกตำรวจรวบตัวไว้ ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรงจนเกลหน้าสะบัด พร้อมกับตะโกนด่าอย่างเดือดดาล

   “คุณพอแล้วครับ ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจและกฎหมายดีกว่า”

   “จับมันไปเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยให้ปากคำด้วย และฉันจะเอามันให้ถึงที่สุด!”

   “รีบพาปาร์คไปโรงพยาบาลเถอะ เดี๋ยวจะเสียเลือดไปมากกว่านี้ ฟร๊องก์เองก็ต้องทำแผลเหมือนกัน” เก็ทว่าก่อนจะประคองปาร์คที่เลือดไหลออกมาจากแผลบริเวณต้นแขนมากขึ้นๆ ทุกที จนเสื้อชุ่มไปด้วยเลือด ก่อนที่ชัญญ่าจะรีบกลับมาประคองผมไปยังรถ

   “ยังไงทางตำรวจต้องขอให้พวกคุณไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยนะครับ”

   “ได้ครับ” ผมตอบกลับด้วยเสียงแหบแห้ง ก่อนที่เก็ทจะออกรถมุ่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ส่วนชัญญ่าขับรถของปาร์คตามมาทีหลัง

   ผมนั่งใจสั่นกับบาดแผลของปาร์คมาตลอดทางที่มาโรงพยาบาล เพราะเลือดไม่มีท่าทีว่าจะหลุดไหลเลย มันยิ่งไหลเพิ่มออกมาเรื่อยๆ ไหนจะแผลและรอยช้ำที่เกิดจากการต่อสู้ที่ดูแย่ลงทุกทีนั่นอีก บางจุดเริ่มเป็นรอยม่วงช้ำจนน่ากลัว แต่ปาร์คก็ยังคงไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ออกมา เพียงแค่ยิ้มจางๆ ให้ผมพร้อมมืออีกข้างที่เอื้อมมากุมมือของผมไว้แน่น

    แม้ผมจะเป็นห่วงปาร์คมากแค่ไหน แต่ความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดก่อนหน้าก็เริ่มออกฤทธิ์กับร่างกายของผมมากขึ้นเช่นกัน ก่อนที่เปลือกตาของผมจะค่อยๆ ปิดหลังอย่างอ่อนล้า...


มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 50 [30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 30-10-2017 18:42:19
vvv
vv
v

   ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน ก่อนจะค่อยๆ กระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับรูม่านตา ตอนนี้ผมนอนอยู่ในห้องสีขาวสะอาด และอบอวลไปด้วยกลิ่นขาวแอลกอฮอล์และยาฆ่าเชื้อ ที่โซฟาสีครีมด้านข้างมีเก็ทและชัญญ่านั่งอยู่

   “นะ... น้ำ ฟร๊องก์ขอน้ำหน่อย” ผมเอ่ยออกไปอย่างยากลำบากด้วยเสียงที่แห้งอยู่ในลำคอ

   “นี่ๆ ค่อยๆ ดื่มไม่ต้องรีบ” ชัญญ่ารีบรินน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้ผมทันทีด้วยสีหน้าดีใจ

   “ขอบใจนะ” ผมยิ้มตอบจางๆ ก่อนหันมองรอบห้องเพื่อหาใครคนหนึ่ง “ปาร์คล่ะ ปาร์คเป็นยังไงบ้าง!”

   “ปาร์ค...”

   “ปาร์คเป็นอะไร! ปาร์คอยู่ที่ไหน!” เมื่อเห็นชัญญ่าเว้นจังหวะการพูด ผมยิ่งใจคอไม่ค่อยดี เกิดอะไรกับปาร์คหรือเปล่า ปาร์คจะเป็นอันตรายหรือเปล่า

   “ฟร๊องก์ใจเย็น ปาร์คเย็บแผลอยู่ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ปาร์คไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” ชัญญ่ากดตัวเบาๆ ผมให้ลงไปนอนเหมือนเดิม “ตอนนี้ฟร๊องก์พักผ่อนก่อน ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ถึงมือหมอแล้ว”

   แกร๊ก!

   ไม่นานประตูห้องพักก็เปิดออกพร้อมปรากฏร่างของคนที่ผมเป็นห่วงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม แขนข้างที่ถูกมีดฟันได้รับการรักษาเป็นอย่างดีเพราะมีผ้าพันแผลพันไว้อย่างหนาแน่น พร้อมด้วยที่พยุงแขนเพื่อไม่ให้แขนข้างนั้นต้องทำงานมากเกินไป โชคดีที่ถูกฟันข้างซ้าย ทำให้การใช้ชีวิตของปาร์คคงไม่ลำบากมากนัก ที่ใบหน้าปาร์คมีพลาสเตอร์และผ้าก๊อตปิดอยู่ประปราย ที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างคือรอยช้ำที่มุมปากซึ่งตอนนี้ยิ่งสีเข้มขึ้นจนน่ากลัว

   “ปะ... ปาร์ค เจ็บมากไหม” ผมพยายามลุกจากเตียงอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วตรงไปยังปาร์คที่ยืนหน้าเปื้อนยิ้มอยู่

   “ปาร์คไม่เป็นไร ฟร๊องก์ร้องไห้ทำไม เจ็บเหรอ หื้อ” ปาร์คค่อยๆ จรดปลายนิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา

   “...” ผมส่ายหน้าพลางร้องไห้อย่างไม่อาย ผมเป็นห่วงคนตรงหน้าจนลืมความเจ็บของแผลถลอกเป็นทางยาวที่แขนและหัวเข่าไปเลย

   “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่มีใครทำอะไรฟร๊องก์ได้แล้ว” ใบหน้าปาร์คยังคงแต้มด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับมือใหญ่ๆ ของเจ้าตัวที่ยกมาลูบหัวผมอย่างอบอุ่น “ปาร์คขอโทษนะที่ไปช่วยฟร๊องก์ช้า ทำให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บ”

     “ฟร๊องก์สิต้องขอบคุณปาร์ค ขอบคุณมากจริงๆ ฟร๊องก์กลัว กลัวมากเลยรู้ไหม ฟร๊องก์คิดว่าฟร๊องก์จะต้องโดนพวกชั่วนั่น... ” ยิ่งพูด ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นน้ำตายิ่งไหลออกมามากขึ้นๆ ก่อนที่จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับผม ก่อนที่ปาร์คจะมา ผมกลัวมากจริงๆ กลัวว่าจะต้องเป็นที่ระบายความใคร่ของพวกนั้น และเป็นที่รองรับความแค้นของผู้หญิงคนนั้นด้วย

   “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว แค่เห็นฟร๊องก์ปลอดภัย ปาร์คก็สบายใจแล้ว” ปาร์คใช้แขนเพียงข้างเดียวรวบตัวผมเข้าไปแนบกาย

   “แล้วปาร์ครู้ได้ไงว่าฟร๊องก์อยู่ที่นั่น”

   “ชัญญ่าโทรบอก”

   “ชัญญ่างั้นเหรอ” ผมผละตัวออกจากปาร์คเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองทางชัญญ่า

   “หลังจากที่ฟร๊องก์แยกตัวไป เก็ทเห็นเกลแอบตามฟร๊องก์ไปด้วยท่าทางไม่น่าไว้ใจ” เก็ทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

   “ไม่นานญ่าก็ไปถึง เก็ทเลยบอกเรื่องนี้กับญ่า แล้วให้ญ่าโทรไปหาปาร์ค เพราะบ้านที่ฟร๊องก์ไป ปาร์คน่าจะไปถึงก่อนญ่ากับเก็ท ก่อนที่พวกเราจะรีบไปแจ้งตำรวจ”

   “นั่นแหละ ปาร์คก็เลยรีบไป แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี”

   “ไม่อยากจะเชื่อว่าอีนังนั่นมันจะกล้าทำขนาดนี้ นี่ถ้าเก็ทไม่บังเอิญเห็นซะก่อน หรือไม่มีคนไปช่วยฟร๊องก์ไว้ เราไม่อยากจะคิดเลยว่าจะลงเอยยังไง” ชัญญ่าพูดอย่างมีน้ำโห ผมเองก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเกลจะกล้าทำขนาดนี้ “ครั้งที่แล้วคิดว่าจะปล่อยเลยตามเลยไปแล้วนะ แต่คราวนี้ขอเถอะ จะเล่นยกครัวเลย!”

   “เธอก็ใจเย็นๆ หน่อย” เก็ทพยายามปราม

   “เธอยังจะเย็นได้อีกเหรอ มันทำกับเพื่อนเราขนาดนี้เลยนะเว้ย! ต้องให้ฟร๊องก์เจ็บหนักหรือเป็นอะไรมากกว่านี้ก่อนหรือไง คนพรรค์นี้ปล่อยไปก็ได้ใจ ต้องทำให้มันรู้ว่าอะไรคือของจริง อีกอย่างนะเรื่องที่ครอบครัวมันทำ ปล่อยไว้ก็รังแต่จะทำให้คนอื่นๆ เดือดร้อนเพราะยานรกนั่น!”

   ที่ชัญญ่าพูดก็ถูก ผมว่าการกระทำของเกลครั้งนี้มันมากเกินไปจริงๆ เพราะถ้าไม่ได้ปาร์คมาช่วย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะเป็นอย่างไร ไม่แค่นั้น ผมคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะใช้ชีวิตต่อได้อย่างไร ผมว่ามันสมควรแล้วที่เธอจะต้องถูกลงโทษจากผลของการกระทำของเธอ ส่วนครอบครัวของเกลก็เหมือนกัน เราไม่ควรเพิกเฉยกับสิ่งผิดกฎหมายและทำลายคนแบบนี้ ผลของมันเห็นได้ชัดๆ เลยคือไอ้สามคนนั้นที่ร่วมลงมือกับเกล ผมว่านี่คือกรรมของคนเหล่านี้แล้วล่ะ

   “ฟร๊องก์เจ็บแผลหรือเปล่า” ผมส่ายหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ ก่อนที่มือใหญ่ของปาร์คจะยื่นออกมาลูบศีรษะของผมอีกครั้ง “พักผ่อนซะนะ”

   แกร๊ก!

   “ฟะ... ฟร๊องก์...” เสียงประตูเปิดออก ก่อนที่ร่างของพี่หมากที่ท่าทางเหนื่อยหอบและตื่นตูมจะปรากฏขึ้น “เอ่อ... ฟร๊องก์เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

   “พี่หมาก... มาได้ไงครับ” ผมผละออกจากปาร์คเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยถามผู้มีเยือน แต่กลับก้มหน้าเหมือนคนที่เพิ่งทำอะไรผิด ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ดีที่พี่หมากเข้ามาเห็นผมอยู่กับปาร์คแบบนี้

   “พอดีพี่จะโทรมาถามว่าฟร๊องก์กลับบ้านหรือยัง แต่เพื่อนฟร๊องก์รับสายแล้วบอกว่าฟร๊องก์เกิดอุบัติเหตุอยู่โรงพยาบาลนี้ พี่เลยรีบมา” พี่หมากอธิบาย พลางมองไปรอบห้องอย่างประหม่า คงทำตัวไม่ถูกที่มีเพื่อนผมอยู่ด้วย

   “เห็นเขาโทรมาหลายรอบ เลยรับสายให้” เก็ทอธิบายเพิ่มเติมด้วยเสียงเรียบ

   “เจ็บมากหรือเปล่าครับ พี่ตกใจมากเลยรู้ไหม” พี่หมากค่อยๆ เดินเข้ามาหาผม ทั้งที่ปาร์คยังคงยืนอยู่ข้างๆ

   “ฟร๊องก์ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ เพื่อน... ช่วยไว้ได้ทัน ขอบคุณพี่หมากมากนะครับที่เป็นห่วง”

   “นี่... นี่ใครอ่ะฟร๊องก์” ปาร์คก้าวออกมาขวางระหว่างผมกับพี่หมาก ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเข้มพร้อมมองพี่หมากอย่างไม่ละสายตา พี่หมากเองก็มองปาร์คสลับกับผมที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งคู่เคยเจอกันมาแล้ว แต่ดูท่าทางจะจำกันไม่ได้

   “คือ...” ผมถึงกับใบ้กิน พูดอะไรไม่ออก ผมแคร์ความรู้สึกของพี่หมากนะ ผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเปิดใจรับเขา แต่... ความรู้สึกที่ผมมีต่อปาร์คมันก็ยังคงอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

   “.../...” ทั้งปาร์คและพี่หมากต่างเงียบ แต่บรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้นไม่ได้จางหายไปเลย ยิ่งสายตาที่แอบสั่นไหวของพี่หมากที่มองมายังผมยิ่งทำให้ผมลำบากใจมากยิ่งขึ้น ความเงียบของทั้งคู่นั้นเหมือนคำถามที่กำลังรอคำตอบ

   “ผมว่าพี่กลับไปก่อนเถอะ นายเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ ฟร๊องก์เองก็ควรได้พัก เจอเรื่องแย่ๆ มาทั้งวันแล้ว” เมื่อเห็นผมอึกอักและสีหน้าคงแย่มากขึ้น เก็ทก็ตัดบทโดยการออกปากไล่ทั้งคู่ตรงๆ อย่างสุภาพ ช่วยคลายความตึงเครียดของบรรยากาศลงได้นิดหน่อย

   “ถ้างั้นพี่กลับก่อนแล้วกันนะ พักผ่อนเยอะๆ หายไวๆ นะครับ” ทั้งคู่ยืนมองกันอยู่ราวนาทีก่อนที่จะเป็นพี่หมากที่ละสายตาคู่นั้นมามองที่ผมเพื่อบอกลา ก่อนที่พี่เขาจะเดินออกจากห้องไป

   “เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” คล้อยหลังพี่หมากไม่นาน ปาร์คที่ยังอยู่กับหันกลับมามองผมด้วยสายตาผิดหวัง พร้อมประโยคราบเรียบแต่แฝงด้วยความกดดัน

   “ไว้คุยกันตอนหลังเถอะ เราว่าปาร์คเองก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนดีกว่านะ” ชัญญ่าเข้ามาช่วยห้ามทัพ ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนของปาร์คออกไปจากห้อง ขณะที่ปาร์คก็เอาแต่มองผมด้วยสายตาแบบนั้นจนกระทั่งประตูปิดลง   

   หลังจากนั้นปาร์คและพี่หมากออกจากห้องไป แต่กว่าที่ผมจะสงบสติลงได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เก็ทได้แต่เพียงมองโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่ผมจะเพลียและหลับไปอีกครั้ง

**********__________**********
            
   ผมกับปาร์คจะออกจากโรงพยาบาลพร้อมด้วยเก็ทและชัญญ่าที่อยู่เฝ้าเราตลอดในตอนเช้าของอีกวัน ทั้งผมและปาร์คยังไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับที่บ้าน เพราะไม่อยากให้พวกท่านเป็นห่วง แต่ก็ไม่คิดจะปกปิดเพราะเรื่องมันค่อนข้างใหญ่ ไว้หาเวลาอธิบายทีหลังแล้วกัน

   เราทุกคนไปยังโรงพักเพื่อให้ปากคำในตอนสายๆ ผมในฐานะของผู้เสียหายก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ใช่เพราะความแค้น แต่เป็นเพราะมันคือสิ่งที่สมควรทำมากกว่า คนที่ทำผิดก็ควรได้รับผลกรรม ส่วนคนอื่นๆ ก็ต่างเข้าให้ปากคำไปตามลำดับ รวมทั้งชัญญ่าที่ให้เบาะแสรวมทั้งหลักฐานที่เธอได้มาตั้งแต่ครั้งก่อนเรื่องครอบครัวของเกลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

   สรุปเกลก็ดำเนินคดีไปตามลำดับ ซึ่งมีผลต่อเรื่องเรียนของเธอไปโดยปริยาย รวมทั้งสามคนที่มีส่วนร่วมด้วย และในช่วงบ่ายวันเดียวกันนั้นตำรวจก็สนนกำลังบุกจับพ่อและพี่ชายของเกลในคดีมียาเสพติดหลายประเภทไว้ในครอบครอง รวมทั้งยังมีอาวุธสงครามประเภทปืนที่ไม่ถูกจดทะเบียนอย่างถูกกฏหมายไว้ในครอบครองด้วย จึงทำให้โดนไปอีกกระทง

   “จบเรื่องสักทีเนอะ หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วนะ ต่อไปฟร๊องก์ก็ต้องระวังให้มากๆ นะ” ชัญญ่าเอ่ยอย่างโล่งอกในขณะที่พวกเราทั้งสี่คนกินมื้อแรกของวันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง กว่าจะให้ปากคำกันเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวันเหมือนกัน “ต่อไปจะไปไหนมาไหนก็ให้ปาร์คคอยไปรับไปส่งซะ ใช่ไหมปาร์ค”

   “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก” ผมว่าพลางตักอาหารเข้าปากด้วยความประหม่า จริงๆ ผมกับปาร์คต่างเงียบใส่กันตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวาน แม้สายตาปาร์คที่มองมาทุกครั้งเหมือนยังต้องการคำอธิบายอยู่ก็ตาม

   “ไม่ลำบากเลยสักนิด” กลับเป็นปาร์คที่ยิ้มกว้าง ผมแอบเห็นชัญญ่าขยิบตาให้ปาร์คด้วยหลังจากที่พูดจบ สองคนนี้ต้องมีแผนการอะไรกันอีกแน่เลย

   “ฟร๊องก์ดูแลตัวเองได้”

   “แต่ถ้ามีอีกคนช่วยดูแลก็ยิ่งดีขึ้น” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น

   “ฮี้ววว” ชัญญ่ารีบเสริมทัพทันที
            
   “จริงๆ ก็มีอีกคนคอยเป็นห่วงอยู่ไม่ต่างกัน” เก็ทพูดเสียงเรียบตามสไตล์ขัดจังหวะของปาร์คและชัญญ่าอย่างไร้เยื้อไย และไม่ต้องขยายความเพิ่มก็เข้าใจดีกว่าเจ้าตัวกำลังหมายถึงใคร
            
   “จะพูดขึ้นมาให้เสียบรรยากาศทำไม!” ชัญญ่ากัดฟันกรอด พร้อมหันมาทุบเข้าที่หลังของเก็ทด้วยความหมั่นไส้ แม้จะไม่แรงนักก็ตาม
            
   “ก็แค่อยากเตือนสติใครบางคนว่าถึงเวลาต้องแข่งขันแล้ว เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่ของตายอีกต่อไป”
            
   “...”
            
   “ไม่ว่าจะต้องแข่งกับใคร ยังไง ปาร์คก็จะทำให้ฟร๊องก์เห็น” ปาร์คยื่นมือออกมากุมมือของผมพลางกระชับฝ่ามือนั้นแน่นขึ้น เหมือนกำลังยืนยันหนักแน่นในคำพูดเมื่อครู่ เฉกเช่นเดียวกับแววตาจริงจังและมั่นคงที่จ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาของผม “คบกับปาร์คนะ”
            
   “...” ผมได้แต่นั่งอึ้งกับคำร้องขอของปาร์คที่ชิ่งบอกอย่างขี้โกง เหมือนใครเอาค้อนขนาดใหญ่มาทุบหัวผมจนมันมึนไปหมด
            
   “นะครับ”
            
   “มะ... ไม่รู้เว้ย!”
            
   “ยังไม่ทันได้แข่ง ก็หาทางลัดเข้าเส้นชัยซะแล้ว” ชัญญ่าแอบกัดเบาๆ พลางหัวเราะคิกคักกับ...

   ทางลัดเพื่อชนะหัวใจของผมที่ปาร์คเลือกใช้...


à suivre...


กลับมาแล้วฮะ หมดช่วงไว้ทุกข์เป็นที่เรียบร้อย เราก็กลับมาทำหน้าที่อัปเดตนิยายของเราต่อ

ถึงตอนนี้ มารผจญอย่างเกลยังจะย้อนกลับมาทำร้ายฟร๊องก์ผู้น่าสงสารของเราอีก โอ้ยยย!!!
แต่โชคดีที่มีเจ้าชาย (หรือเปล่า?) ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ได้ทัน แต่ก็เจ็บทั้งคู่อยู่ดี
แถมตอนหลังยังเจอคู่แข่งของหัวใจอีกต่างหาก 555+

ขอบคุณคุณ broke-back สำหรับบทกลอนนะฮะ กรวดน้ำคว่ำขันกันไป 5555+

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 50 P.8 [UP 30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 30-10-2017 20:19:57
 :o10:





 o16



หมดคำพูด
หุหุ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 50 P.8 [UP 30/10/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 30-10-2017 23:17:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 51 [5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 05-11-2017 18:48:07
Chapitre 51

   หลังจากจบคดีความดังกล่าว ผมตั้งใจว่าจะไปทำใจที่หอก่อนจะเล่าเรื่องนี้ให้ครอบครัวฟัง แต่ปาร์คกลับบอกว่าอย่าทำให้คนที่รักและเป็นห่วงเราที่สุดรู้เรื่องของเราเป็นคนสุดท้าย

   ปาร์คจึงวานให้ชัญญ่าช่วยขับรถไปจอดที่คอนโดฯ ของตนให้ ก่อนที่ผมกับปาร์คจะนั่งแท็กซี่ออกมา แล้วตอนนี้ผมรวมทั้งปาร์คที่ยืนยันว่าจะอยู่ด้วยก็มานั่งอยู่ที่โซฟาภายในบ้านของผม ท่ามกลางสายตาที่ทั้งเป็นห่วงและสงสัยเพราะรอยบาดแผลที่เกิดขึ้นกับเราสองคน

   “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นฟร๊องก์ ทำไมถึงมีแผลเต็มตัวมาทั้งคู่แบบนี้” แม่ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจ พร้อมสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนด้วยความเป็นห่วงและกังวล

   “แม่... ใจเย็นก่อนนะ มันไม่มีอะไรแล้ว” ผมพยายามบอกให้แม่ใจเย็นลง พลางยิ้มและเข้าไปโอบทั้งพ่อและแม่

   “จะไม่ให้พ่อกับแม่เป็นห่วงได้ไง ดูรอยแผลสิเนี่ย” พ่อว่าพลางเอามือข้างหนึ่งจับหน้าผมพลิกไปมาเบาๆ

   “มันเกิดอะไรขึ้น” แม่เสริมทัพ พร้อมกับมองหน้าผมด้วยแววตาจริงจังเพื่อเค้นเอาคำตอบ

   “คือ...” ผมอ้ำอึ้ง ไม่ใช่เพราะไม่อยากเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง แต่เพราะผมจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าควรเริ่มเล่าจากตรงไหนดี ถ้าบอกว่าถูกคนดักทำร้าย แล้วเหตุผลที่จะเข้ามาเสริมการกระทำของคนเหล่านั้นล่ะ ผมจะบอกอย่างไร

   “ให้ผมเล่าให้คุณพ่อ คุณแม่ฟังเองนะครับ... เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ผมเองก็มีส่วนผิด” เมื่อเห็นสีหน้าของผมเริ่มแย่ลง ปาร์คก็ออกตัวเพื่อพูดแทนทันที “เรื่องมันมีอยู่ว่า...”

   ปาร์คเริ่มเล่าจากการที่ผมถูกคนดักทำร้าย แต่เพื่อนของผมเห็นเข้าซะก่อนว่าคนที่จะทำร้ายผมแอบสะกดรอยตามผมไป จึงโทรบอกปาร์คเพื่อให้ปาร์ครีบตามมาช่วยผม ส่วนเจ้าตัวก็ไปเจ้าความและพาตำรวจมาในตอนท้าย คนร้ายถูกดำเนินคดีไปตามกฎหมายแล้ว เรื่องราวเหมือนจะไม่มีอะไรต่างไปจากตอนที่ผมได้ฟัง แต่มันต่างตรงสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นมาดักทำร้ายผมที่ปาร์คได้อธิบายเพิ่มเติม

   สาเหตุนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากตัวปาร์คที่เคยคบหากับผู้หญิงคนดังกล่าว และผมรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หวังดีด้วยกับปาร์ค จึงหาทางเข้าไปช่วยให้ปาร์คออกห่างจากผู้หญิงคนนั้น จึงทำให้เกิดความแค้นขึ้นมา เธอหายไปพักใหญ่จนพวกเราคิดว่าเธอคงจะไม่มาวุ่นวายกับชีวิตผมหรือปาร์คแล้ว

   แต่ไม่เลยเมื่อจู่ๆ เธอกลับมาพร้อมแผนการที่ตั้งใจจะทำร้ายผมและทำให้ผมเสื่อมเสีย ปาร์คได้แต่กล่าวขอโทษพ่อกับแม่ของผมว่าเป็นความผิดของเขา และยังบอกอีกว่าเพราะปาร์คไปช่วยผมช้า จึงทำให้ผมต้องเจ็บตัว ปาร์คบอกเพียงแค่ว่าเรื่องร้ายๆ แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าปาร์คไม่เริ่มต้นสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่เริ่ม

   แต่สำหรับผมแล้ว... เรื่องนี้จะว่าปาร์คผิดฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูก ผมเองก็มีส่วนสร้างความแค้นให้ผู้หญิงคนนั้น สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความแค้นด้วยซ้ำไป แต่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตจากการกระทำของเราได้หรอก จนเมื่อมันเกิดขึ้น ถึงวันนั้นเราก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีตได้แล้ว

   “จะต้องทำร้ายกันขนาดนี้เลยเหรอ จิตใจคนสมัยนี้มันทำด้วยอะไรกัน” แม่ที่นั่งฟังปาร์คจนจบด้วยตัวผมเข้าไปกอดแน่นขึ้น

   “เพราะปาร์คเอง ฟร๊องก์ถึงต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ ขอโทษนะครับ” ปาร์คยกมือไหว้พ่อกับแม่อย่างยากลำบากเพราะแขนฝั่งหนึ่งยกได้ไม่ถนัดนักด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

   “ไม่ใช่เพราะปาร์คหรอก เป็นเพราะฟร๊องก์ที่แส่หาเรื่อง ทำให้คนๆ นั้นโกรธและแค้นฟร๊องก์”

   “ไม่ใช่ความผิดของทั้งคู่แหละลูก มันเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่างหาก พ่อรู้ว่าที่ปาร์คคบกับผู้หญิงคนนั้นก็เพราะความไม่รู้ และไม่คิดว่าจะก่อให้เกิดปัญหา ส่วนฟร๊องก์ลูก... พ่อกับแม่ก็รู้ว่าที่หนูทำไปเพราะความหวังดี และความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อปาร์ค ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าสิ่งเหล่านั้นจะชักนำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้”

   “แค่ลูกทั้งสองปลอดภัย แม่กับพ่อก็ดีใจแล้ว ถือว่ามันเป็นบทเรียนนะลูก ต่อไปจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง คิดหน้าคิดหลังให้มากๆ ส่วนคนที่เขาทำผิดเขาก็ได้รับโทษจากการกระทำของเขาทำแล้ว เราก็ควรที่จะอโหสิกรรมให้กับเขา อย่าไปจองเวรนะลูก เพราะหนูก็ได้เห็นและได้ประสบแล้วว่าความแค้นไม่ได้ส่งผลดีต่อใครเลย”     

   นี่สินะที่เขาเรียกว่าผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน พ่อกับแม่อ่านเหตุการณ์และสาเหตุออกทั้งหมดโดยไม่ต้องพูดอะไรเยอะเลย และมันคงเป็นเพราะประสบการณ์ที่พวกท่านได้เคยประสบพบเจอและเก็บเกี่ยวมาจนถึงป่านนี้ ที่ทำให้ท่านทั้งสองสอนให้พวกผมรู้จักการปล่อยวางและให้อภัยได้แบบนี้ เพราะลำพังเด็กอย่างพวกผมคงไม่สามารถคิดและปล่อยวางแบบนี้ได้ ความสงบที่เกิดขึ้นจากภายในจริงๆ ขอบคุณที่ผมมีครอบครัวดีๆ แบบนี้

   “แล้วปาร์คเล่าให้ที่บ้านฟังหรือยังลูก” แม่ผมเอ่ยถาม

   “ยังไม่ได้เล่ารายละเอียดหรอกครับ แต่ก็บอกเรื่องที่เกิดไปแล้ว เดี๋ยวผมก็คงต้องกลับไปอธิบายถึงสาเหตุ” ปาร์คยิ้มตอบจางๆ

   “ดีแล้วลูก เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แม่ยิ้มตอบพลางเอื้อมมืออีกข้างไปตบไหล่ปาร์คที่นั่งถัดจากผมไปเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ

   “ครับ...” ปาร์คยิ้มรับพร้อมก้มหน้าเล็กน้อย “อย่างน้อยเกิดเรื่องนี้ขึ้น มันก็ทำให้ผมมั่นใจและจะได้ถือโอกาสพูดบางเรื่องกับป๊ากับแม่ผมด้วยเหมือนกัน... รวมทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ฟร๊องก์ด้วย”

   ผมหันมองหน้าปาร์คอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด ถือโอกาสพูด ‘บางเรื่อง’ อย่างนั้นเหรอ 

   “เรื่องอะไรเหรอลูก” แม่ผละตัวออกจากผม พร้อมตั้งคำถามกับปาร์คด้วยความสงสัย

   “คือผม...” จู่ๆ ปาร์คก็ลุกขึ้นแล้วทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น

   “...” นั่นยิ่งทำให้ผมกับพ่อแม่งงในการกระทำของปาร์คมากขึ้น และยิ่งลุ้นว่าปาร์คกำลังจะทำหรือพูดอะไร

   “ผมต้องกราบขอโทษพ่อกับแม่ของฟร๊องก์นะครับ” ปาร์คยกมือขึ้นมาพนมที่อกอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ก้มตัวลงกราบพ่อกับแม่ของผม นั่นทำให้แม่รีบลุกไปจับมือทั้งสองที่พนมไว้ของปาร์คไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะวางมันลงที่พื้น

   “ขอโทษพ่อกับแม่ทำไมกันลูก ถ้าเพราะเรื่องทีเกิดขึ้น ปาร์คไม่ได้ผิดลูก ไม่ต้องขอโทษ ลุกขึ้นๆ” แม่ค่อยๆ ประคองตัวปาร์คให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะลูบหลังอย่างปลอบโยน

   “ไม่ใช่... ไม่ใช่ครับ ผมขอโทษ... ขอโทษที่ผม... เคยทำร้ายฟร๊องก์ ขอโทษที่ผมเคย... ข่มขืนฟร๊องก์...” ปาร์คพูดอย่างติดขัดและแผ่วเบา พลางก้มหน้าด้วยท่าทางที่ไม่มั่นคง ผมมองลึกเข้าไปยังนัยต์ตาที่กำลังสั่นไหวคู่นั้นซึ่งเปี่ยมด้วยความรู้สึกผิดด้วยความคาดไม่ถึง ผมไม่คิดว่าปาร์คจะกล้าพูดเรื่องราวเลวร้ายที่เคยทำไว้กับผมต่อหน้าพ่อกับแม่แบบนี้

   “ว่าไงนะ” แม่ผละตัวออกจากปาร์ค ก่อนจะถามเสียงสั่น

   “ผะ... ผมขอโทษครับ”

   เพี๊ยะ!

   “ทำกับลูกแม่แบบนี้ได้ไงกัน! ที่ฟร๊องก์เสียใจตอนนั้นเพราะเรื่องนี้ใช่ไหมปาร์ค! ทำไมมีอะไรไม่คุยกันดีๆ ทำไมต้องรุนแรงใส่กัน!” แม่ว่าเสียงดังใส่ปาร์คอย่างเดือดดาล แบบที่ผมไม่เคยเห็นแม่เป็นมาก่อน จนพ่อต้องลุกขึ้นไปดึงตัวแม่มาปลอบให้ใจเย็นลง

   “ผมขอโทษครับ ขอโทษที่ทำให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บ ขอโทษที่ผมใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ขอโทษจริงๆ ครับ” ปาร์คพูดพร้อมเสียงสะอื้น ภายใต้ใบหน้าที่ก้มอยู่นั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา “ผมแค่อยากขอโอกาสให้ผมได้ชดใช้ในสิ่งที่ผมทำลงไป ผมอยากจะขอดูแลฟร๊องก์จากนี้ตลอดไป”

   “พ่อไม่เคยรังเกียจสิ่งที่ลูกพ่อเป็นนะ และพ่อก็ไม่เคยสอนให้ฟร๊องก์ทำร้ายใครหรือใช้อารมณ์เป็นใหญ่ แต่ถ้าวันหนึ่งจะมีคนเข้ามาดูแลลูกของพ่อคนนี้ต่อแทนพ่อกับแม่ คนๆ นั้นก็ต้องทำให้พ่อมั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ทำร้าย และไม่ทิ้งขว้างลูกของพ่อ ปาร์คคิดว่าพ่อควรเชื่อใจปาร์คไหม” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจในสิ่งที่ปาร์คทำ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าเปิดโอกาสให้ปาร์คเช่นกัน

   “จะให้แม่ไว้ใจคนที่เคยทำร้ายลูกของแม่งั้นเหรอ แม่รู้จักลูกของแม่ดี แต่กับปาร์ค แม่ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าฟร๊องก์เองจะรู้จักดีหรือเปล่า” เสียงของแม่ยังคงแฝงด้วยอารมณ์โกรธอยู่เนืองๆ

   “ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำไว้มันคงเกินอภัย แต่ผมอยากขอโอกาสให้ผมได้พิสูจน์ ผมมั่นใจว่าผมจะไม่มีวันทำร้ายฟร๊องก์อีก และไม่มีวันทำให้ฟร๊องก์เสียใจ ผมเสียเวลามาหลายปีแล้วที่ไม่ยอมรับความรู้สึกในหัวใจตัวเอง และเห็นแก่ตัวที่เก็บฟร๊องก์ไว้ข้างกายเสมอในฐานะเพื่อน แต่ตอนนี้ผมมั่นใจในความรู้สึกตัวเองแล้ว ว่าผมรักฟร๊องก์... รักในแบบที่มากกว่าเพื่อนจะมีให้กัน” ปาร์คเงยหน้ามาสบตาพ่อและแม่ด้วยแววตาที่จริงจังและมั่นคง เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่กำลังแสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจในสิ่งที่เขาพูด รวมทั้งความรู้สึกของเขาด้วยเช่นกัน

   “ตอนนี้มันคงยังพิสูจน์อะไรที่แน่นอนไม่ได้ เอาเป็นว่าเรื่องที่แล้วมาก็ให้มันแล้วไป เพราะเรากลับไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดไม่ได้หรอก แต่ปาร์คคงต้องกลับไปถามตัวเองว่าที่ปาร์คทำอยู่ เพียงเพราะอยากชดใช้ความผิดแค่นั้นหรือเปล่า หรือทำมันออกมาจากข้างในหัวใจจริงๆ และที่สำคัญการตัดสินใจมันไม่ได้อยู่ที่พ่อกับแม่หรอก แต่อยู่ที่เจ้าฟร๊องก์ต่างหาก” พ่อว่าก่อนจะหันมามองทางผม

   “ฟะ... ฟร๊องก์...” ผมไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้รักปาร์คแล้ว แต่เพราะความสับสนที่มีต่างหาก ผมกลัวจะเป็นอย่างที่พ่อบอก คือปาร์คทำไปเพียงเพราะรู้สึกผิดกับผม ไม่ใช่ความรัก และเมื่อถึงวันหนึ่งที่ความรู้สึกผิดนั้นมันจางหายไปแล้ว เมื่อปาร์ครู้ตัวแล้วว่าจริงๆ เขาไม่ได้รักผม วันนั้นผมจะต้องเสียใจอีก และมันคงมากกว่าวันนี้ มากกว่าที่เคยเกิดขึ้น

   ผมเชื่อว่าปาร์คคงไม่ทำร้ายผมอีก เพราะสิ่งที่ปาร์คเคยทำ มันมีเหตุมีผลของมัน แต่นั่นก็ไม่ได้มีอะไรมารับประกันอยู่ดี เพราะความทรงจำอันเจ็บปวดมันยังคงฝังอยู่ภายในใจของผมเสมอ แม้บางครั้งเราต้องปล่อยผ่านกับความผิดพลาดในอดีต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ารอยแผลเป็นนั้นจะหายไป

   “ปาร์ครักฟร๊องก์นะ...” ปาร์คหันมาพูดกับผมอย่างอ่อนโยน ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยม่านน้ำตา แม้ท่าทางจะอยากลุกขึ้นมาหาผม แต่ก็ทำได้เพียงนั่งมองผมนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่เดินเข้ามา

   “แม่ว่าปาร์คกลับไปก่อนดีกว่า วันนี้คงไม่มีคำตอบจากใครทั้งนั้นสำหรับปาร์ค และแม่เองก็ยังทำใจไม่ได้เหมือนกันที่เห็นคนที่แม่เอ็นดูเหมือนลูกอีกคน แต่กลับเป็นคนที่ทำร้ายลูกของแม่อย่างเลือดเย็นนั่งอยู่ตรงนี้ แม่ขอบใจที่ครั้งนี้ช่วยฟร๊องก์เอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้ลบล้างสิ่งที่เคยทำได้ ลองกลับไปถามใจตัวเองดูอย่างที่พ่อว่า ถ้าเมื่อไรมั่นใจในคำตอบตัวเองแล้ว แม่และพ่อก็พร้อมที่จะรับฟัง”

   “...” ผมสบตากับปาร์คแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลบสายตาเศร้าหมองนั้น

   “... ผมกลับก่อนก็ได้ครับ แต่พ่อกับแม่จะได้คำตอบจากผมในไม่ช้านี้แน่นอน ยังไงผมก็ต้องขอโทษอีกครั้งนี้ครับกับทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น และขอบคุณที่พ่อกับแม่เข้าใจ” ปาร์คยกมือไหว้พ่อและแม่ของผมอย่างจริงใจ ก่อนจะหันกลับมาพูดกับผมอีกครั้ง
“ปาร์คกลับก่อนนะ ปาร์คยังยืนว่าปาร์คชัดเจนในความรู้สึกของตัวเองแล้ว และปาร์คก็รู้สึกได้ว่าฟร๊องก์เองก็รู้สึกไม่ต่างกับปาร์ค วันหนึ่งปาร์คจะกลับมาเพื่อดูแลหัวใจที่ปาร์คเคยทำร้ายของฟร๊องก์ด้วยตัวปาร์คเอง ไม่ว่าจะต้องแข่งกับใครก็ตาม ขอโทษนะ...”

   ผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ความรู้สึกสับสนที่ผมมีทั้งกับปาร์คที่ยังคงอยู่เสมอ และความรู้สึกแปลกใหม่ที่มีต่อพี่หมาก ผมจะสามารถจัดการมันได้ไหม และคำตอบของปาร์คจะยังคงเดิมหรือเปล่าเมื่อเวลาผ่านไป ผมไม่อาจล่วงรู้ได้เลย... 

   หลังจากที่ปาร์คกลับไป โดยไม่มีใครออกไปส่ง แม่เข้ามากอดผมที่นั่งนิ่งตั้งแต่ปาร์คจากไปด้วยน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้า สุดท้ายเราสามคนก็นั่งเปิดอกคุยกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมปรึกษาเรื่องความรักอย่างไม่ปกปิดกับทั้งพ่อและแม่

   “ฟร๊องก์โอเคหรือเปล่าลูก ถ้าต่อจากนี้ไม่อยากให้ปาร์คมาที่บ้านเราอีกก็บอกแม่นะ” แม่กอดปลอบผมไป พร้อมทั้งท่านเองก็ร้องไห้ตามผมไปด้วย จนตอนนี้กลายเป็นว่าพ่อต้องปลอบทั้งแม่และผม

   “ฟร๊องก์ไม่เป็นอะไรแล้วครับแม่ ฟร๊องก์... ไม่อยากนึกถึงมันอีกแล้ว”

   “ลูกพ่อเข็มแข็งอยู่แล้ว... ใช่ไหม” พ่อว่าพลางลูบศีรษะผมอย่างแผ่วเบา

   “ครับ ฟร๊องก์จะเข้มแข็ง และจะเข็มแข็งให้มากขึ้น”

   “ที่ผ่านมาแล้วให้มันผ่านไป พ่อรู้ว่าฟร๊องก์เจ็บ แต่มาถึงตอนนี้ฟร๊องก์ก็ผ่านมันมาได้ ดังนั้นเก็บมันไว้เป็นบทเรียนคอยเตือนตัวเองในเรื่องของการใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ส่วนเรื่องที่ต่อจากนี้ระหว่างฟร๊องก์กับปาร์คจะเป็นอย่างไรต่อไป พ่อเคารพการตัดสินใจของหนูเสมอ”

   “แม่รู้ว่ามันทำใจให้ลืมเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมาได้ แต่แม่อยากให้ลูกของแม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้เป็น ถ้าอยากใช้ชีวิตคู่กับคนๆ นั้น ฟร๊องก์ก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาดที่เขาเคยผ่านมาเช่นกัน แม่โกรธปาร์คนะที่ทำแบบนั้น แต่แม่ก็ให้หนูเป็นคนเลือกเองเช่นกัน”

   “ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ” ผมควรจะยอมรับและเรียนรู้กับเรื่องเลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ใช้มันเป็นบทเรียนและเป็นเกราะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นได้อีกอย่างที่พ่อกับแม่ผมบอก


à suivre...


ครอบครัวฟร๊องก์นี่เขาใจดีกันทุกคนเลยเนอะ 555+
รู้ว่าปาร์คทำอะไรฟร๊องก์แล้วพ่อแม่ยังให้โอกาสอีก ดี๊ดี

ใกล้จบจริงๆ แล้วนะฮะ อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจทุกคน ก็ขอน้อมรับจากใจ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 51 P.8 [UP 5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-11-2017 23:34:52
จะดีจะชั่วก็ผัวเธอ
หุหุ

เชื่อล่ะ
หล่อเลือกได้


ฟิ้วววววววว
ปลิวตัวเองไปดาวดวงอื่น

+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 51 P.8 [UP 5/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 06-11-2017 23:41:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 52 [15/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 15-11-2017 20:02:37
Chapitre 52

   ผมไปมหาวิทยาลัยตามปกติในวันจันทร์ต่อมาท่ามกลางสายตาและคำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยจากเพื่อนๆ ผมบอกแค่ว่าโดนรุมทำร้ายจากความเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกไปกว่านั้น ทุกคนก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเพราะความปากหนักปากแข็งของผม

   หลังจากที่เปิดใจคุยกับพ่อแม่ไป ผมก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น แม้ว่าการได้พูดออกไปนั้นมันไม่ได้ช่วยให้เรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาดีขึ้น แต่อย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็จะยังมีพ่อกับแม่ที่อยู่ข้างๆ ผมอยู่เสมอ

   ปาร์คที่แม้จะยอมกลับไปในวันนั้น ก็ยังคงส่งข้อความในไลน์มาถามไถ่อาการบาดเจ็บของผมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า ผมก็ตอบกลับและก็ถามไถ่อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายเช่นกัน อย่างน้อยที่ปาร์คต้องบาดเจ็บส่วนหนึ่งก็เพราะผม รวมทั้งพี่หมากที่โทรมาหาผมด้วยความเป็นห่วง

   หมดคาบเรียนในตอนเย็น ผมก็เจอพี่หมากนั่งอยู่ที่หน้าตึก ทันทีที่เขาเห็นผมรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูปนั้น ก่อนจะลุกเดินมาหาผม

   “หวัดดีครับน้องๆ” พี่หมากเอ่ยทักทายผมกับเพื่อนๆ คนอื่นที่เดินมาพร้อมกันด้วยรอยยิ้มการค้า ก่อนที่จะหันมาคุยกับผม “เรียนเป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม”

   “ไม่เลยครับ สบายมาก ว่าแต่พี่หมากเถอะ โดดเรียนมาหรือเปล่าเนี่ย” ผมยิ้มทักทายพลางชวนคุย อาจเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาผมกับพี่หมากคุยกันบ่อยมากขึ้น หลังจากที่ห่างๆ กันไปหลังจบช่วงรับน้องตอนปีหนึ่งก็เพิ่งได้กลับมาคุยกันมากขึ้นแบบนี้ก็ตอนนี้นี่แหละ แม้ว่าความหมายในการ ‘คุยกัน’ นั้นมันจะต่างออกไปก็ตาม

   “วันนี้มีเทสต์ย่อย พี่ทำเสร็จเร็วก็เลยออกมาก่อนต่างหาก ใครจะไปโดดเรียนกัน หื้ม... แล้วนี่ไม่มีเรียนกันแล้วใช่ไหม” พี่หมากตอบขำๆ ก่อนจะหันไปถามคำตอบที่ต้องการจากแนวร่วม

   “แหม อยากรู้ว่าพวกหนูมีเรียนไหม นี่จะพาตัวเพื่อนหนูไปไหนหรือเปล่าคะเนี่ย” นุ่นเปิดปากแซวตามประสาทันที เล่นเอาพี่หมากยิ้มร่าด้วยอาการหน้าแดงแทนคำตอบ “พักหลังๆ นี่ไม่รู้ฟร๊องก์มันไปทำเสน่ห์ที่ไหนมานะคะ เสน่ห์แรงเหลือเกิน แต่ยังไงก็เชิญเอาตัวมันไปได้เลยค่ะ”

    “ห่านุ่น พี่เขาอาจจะแค่ถามเฉยๆ ก็ได้เถอะ” ผมหันกลับไปทำเสียงดุกับนุ่นที่พยายามดันหลังผมเข้าไปหาพี่หมาก

   “ถ้าจะรู้ทันขนาดนี้ งั้นพี่ขอตัวเพื่อนเราไปเลยแล้วกันนะครับ”
 
   “เอามันไปเลยค่ะ เอามันไปปู้ยี่ปู้ยำได้เต็มที่เลย”

   “เลว!!” ผมหันกลับไปด่าพร้อมถลึงตาใส่มันอย่างหมั่นไส้ เกลียดในความปากหมาของมันจริงๆ ส่วนพี่หมากก็เอาแต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี นี่คงไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับคำพูดนุ่นด้วยหรอกนะ

   “ยังไงฝากส่งมันให้ถึงห้องด้วยนะ” เก็ทที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะยกมือขึ้นมายีผมของผมเบาๆ

   “ไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะดูแลฟร๊องก์อย่างดี” พี่หมากยิ้มตอบด้วยสายตามุ่งมั่น ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือของผม “ไปกินข้าวกับพี่นะ”

   “เอาสิครับ กำลังหิวพอดีเลย” ผมค่อยๆ ดึงมือที่ถูกจับกุมออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะนำมาลูบท้องเป็นนัยยะ

   “งั้นพี่ไปก่อนนะครับ วันนี้ขอยืมตัวเพื่อนเราไปก่อน” พี่หมากว่าก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้เพื่อนคนอื่นๆ ของผม ก่อนที่ทั้งผมและเขาจะเดินไปยังรถด้วยกัน

   ระหว่างที่ผมกับพี่หมากกำลังเดินไปยังรถของเขาที่จอดที่ลานจอดรถ จังหวะเดียวกันนั้นทาร์ตก็ลงมาจากรถที่ออกมาใหม่ของตัวเอง ผมหันไปสบตากับทาร์ตเสี้ยวนาทีหนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายก็หยุดมองผมกับพี่หมากด้วยสายตาหลากหลาย มันทั้งดูหมองหม่น เศร้า แต่ก็เหมือนจะดีใจที่ได้เจอ

   ผมเลือกที่จะยิ้มให้เหมือนอย่างที่เคยพูดว่าเรายังคงยิ้ม ทักทายกันได้ในฐานะคนเคยรู้จัก และไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากในมากไปกว่านี้ เมื่ออีกฝ่ายได้เห็นรอยยิ้มจากผม รอยยิ้มในแบบที่ผมเคยเห็นเมื่อครั้งก่อนก็พลันปรากฏขึ้นพร้อมเหล็กจัดฟันสีสดใสเช่นเดิม

   บางทีทาร์ตอาจจะเหมาะกับการมีรอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าแบบนี้มากกว่าใบหน้าและแววตาเศร้าหมอง แม้ว่ารอยยิ้มนั้นมันเป็นได้แค่เพียงช่วงหนึ่งของความทรงจำผมก็ตาม   

     ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น มีเพียงแค่รอยยิ้มจางๆ ที่ทั้งผมและทาร์ตมอบให้กัน ก่อนที่ผมกับพี่หมากจะเดินสวนทางไป ผมไม่ได้หันกลับมาสนใจทาร์ตอีก แต่ก็หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายของรอยยิ้มที่ผมสื่อไปให้แบบเดียวกับที่ผมเข้าใจความหมายของรอยยิ้มที่สดใสนั้น

   จากนั้นพี่หมากพาผมมายังร้านอาหารไทยสุดชิคแห่งหนึ่ง ที่ตัวร้านและการจัดแต่งดูไม่เหมือนร้านอาหารไทยเลยแม้แต่น้อย ตัวร้านด้านนอกเป็นอาคารลักษณะแบบโกดัง ผนังฉาบปูนแบบเปลือย ให้บรรยากาศที่ดูเก่า แต่ก็คลาสสิก มีที่จอดรถกว้างขวาง

   ด้านในค่อนข้างกว้าง ผนังสีส้มอิฐด้วยการก่ออิฐมอญ สลับกับปูนเปลือยบางช่วง ถูกประดับด้วยภาพต่างๆ รวมทั้งกระถางต้นไม้แบบแขวน ซึ่งสีเขียวของเหล่าพันธุ์ไม้เล็กๆ ที่ห้อยย้อยลงมาจากกระถางก็ช่วยให้ลดความแข็งกระด้างและดูดิบของปูนเปลือยเปล่าลงได้ ทำให้รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สบายๆ อยู่ไม่น้อย

   เราทั้งคู่เลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ใกล้กับกำแพงเพราะค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากกว่าตรงอื่น แม้ว่าภายในร้านจะไม่ได้มีคนมากมายนักก็ตาม นั่งตรงนี้ผมสามารถมองเห็นเหล่าพ่อครัวทำครัวได้บ้างจากครัวที่ทำแบบเปิดโล่ง

   “อยากกินอะไรสั่งเลยนะ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่หมากพูดขึ้นหลังจากที่พนักงานนำเมนูอาหารมาให้

   “ไม่เป็นไรพี่หมาก กินด้วยกันก็ช่วยกันจ่ายนี่แหละ แฟร์ดี”

   “เอางั้นเหรอ” พี่หมากเลิกคิ้วถามพลางยิ้มมุมปาก “อุตส่าห์จะรื้อฟื้นความเป็นพี่เทคนี้ต้องคอยดูแลน้องเทคสักหน่อย อดเลย”

   “ดูแลไม่ได้แปลว่าต้องเลี้ยงนั่นนี่ตลอดก็ได้นิครับ” ผมอดขำไม่ได้กับข้ออ้างที่พี่หมากหยิบยกขึ้นมาเพื่อจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้

   “ถ้างั้นพี่ก็ดูแลในเรื่องอื่นได้ใช่ไหม” รอยยิ้มยังคงเปื้อนอยู่บนใบหน้าหล่อของคนตรงข้ามนั้น แต่นัยน์ตาสื่อความหมายกลับดูหนักแน่นผิดกับรอยยิ้มที่แสดงออกมา

   “เอ่อ... สั่งอาหารเถอะครับ เขารอนานแล้ว อีกอย่าง... หิวแล้วด้วย” ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ตัดบทโดยการใช้พนักงานที่รอจดออเดอร์ที่ยืนยิ้มรอให้บริการมาอ้าง ก่อนจะโน้มตัวไปหาพี่หมากเพื่อกระซิบประโยคที่เป็นใจความหลัก

   “ฮ่าๆ โอเคครับ หิวก็หิว” แต่กลายเป็นว่าพี่หมากแซวผมกลับอย่างไม่ไว้หน้าเลย เล่นเอาพนักงานกลั้นขำไว้เกือบไม่อยู่เหมือนกัน

   เราสั่งอาหารกันไปคนละสองสามอย่าง และก็ตกลงกันว่าจะจ่ายด้วยกันทั้งคู่ สรุปเรื่องเลี้ยงไม่เลี้ยงก็จบไป

   “ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า ขอพี่ดูหน่อยได้ไหม”

   “ตอนนี้ไม่ค่อยแสบแล้วครับ แต่มันก็ตึงๆ เจ็บนิดหน่อยเวลายืดแขน ยืดขา เพราะตรงขอบแผลมันเริ่มแห้ง” ผมค่อยๆ พับแขนเสื้อนิสิตที่ปิดแผลถลอกบริเวณแขนเอาไว้ขึ้นเพื่อให้พี่หมากดู หมอบอกให้ล้างและใส่ยาแต่ไม่ต้องปิดแผลเพราะจะทำให้แผลอับชื้น ผมเลยต้องเปิดแผลเอาไว้ แต่ใช้เสื้อนิสิตที่ใส่มาปิดไว้แทน โชคดีที่เลือดหรือน้ำเหลืองไม่ไหลแล้ว ไม่งั้นคงเปื้อนเสื้อหมด

   “แผลเริ่มแห้งแล้ว แต่ยังไงก็ต้องหมั่นล้างแผลและห้ามลืมทายาเด็ดขาดเลยนะ รู้มั้ย” ท่าทางพี่หมากดูพอใจที่เห็นแผลผมดีขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือข้างนั้นของผมไปกุมเอาไว้ “พี่เป็นห่วงเรามากนะ”

   “ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มตอบบางๆ แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกจากการจับกุมนั้น จนกระทั่งอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ พี่หมากจึงปล่อยมือ และเริ่มลงมือตักอาหารให้ผม
      
**********__________**********

   “อิ่มไหม” หลังจากอาหารมาได้พักใหญ่ ตอนนี้บนโต๊ะส่วนมากเหลือเพียงจานที่ว่างเปล่า บ่งบอกถึงความไม่ค่อยหิวของผม รวมทั้งพี่หมากเองก็ตาม

   “ต้องถามอีกเหรอครับ เกลี้ยงจานขนาดนี้ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะกับคำถาม ก็หลักฐานมันปรากฏอยู่บนโต๊ะชัดเจนซะขนาดนั้น

   “กินเก่งขึ้นเยอะเลยนะ ยังจำตอนปีหนึ่งได้อยู่เลย ตอนนั้นเรานี่ข้าวกล่องยังกินไม่หมดเลย” ยังจะจำได้อีกนะครับ ที่พี่หมากพูดถึงก็คือตอนที่ยังมีกิจกรรมรับน้องและประชุมเชียร์ เขาจะมีข้าวกล่องแจก แต่ผมไม่เคยกินหมดเลย โดนพี่หมากดุประจำในตอนนั้น

   “ก็มันไม่อร่อยนิ ถ้าอร่อยๆ แบบนี้ก็กินหมดอยู่แล้ว”

   “ถ้างั้นไว้พี่พามากินอะไรอร่อยๆ แบบนี้บ่อยๆ เลยดีมั้ย”

   “โห้ กินบ่อยๆ ก็จนแย่สิครับ” อาหารอร่อยจริงครับ แต่ราคาก็เอาเรื่องไม่แพ้รสชาติเลย

   “เราคนเดียวพี่ดูแลได้สบายๆ แต่ก็อย่ากินเยอะกว่านี้แล้วกัน หึหึ” พี่หมากว่าอย่างติดตลก “พี่อยาก...”

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นขัดจังหวะการพูดของพี่หมาก ทำให้ผมรีบหยิบสิ่งที่กำลังสั่นพร้อมกับส่งเสียงในกระเป๋ากางเกงออกมาดูทันทีว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา แต่เมื่อได้เห็นชื่อของสายเรียกเข้าปรากฏอยู่บนทัชสกรีน ผมถึงกลับทำสีหน้าไม่ถูก

   ‘Park (“:’

   ผมกดตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่หมากที่กำลังมองผมด้วยความสงสัยว่าใครโทรมา และทำไมผมต้องตัดสายทิ้ง ผมได้แค่ส่งยิ้มแห้งๆ พร้อมกับส่ายหัวเบาๆ เป็นเชิงว่าไม่มีอะไร

   ติ๊ง! ติ๊ง!.. ติ๊ง!

   เสียงข้อความในไลน์เด้งเข้ามารัวๆ หลังจากผมตัดสายได้ไม่ถึงนาที ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเป็นข้อความจากใคร แต่หลังจากเสียงจากแอปพลิเคชั่นสีเขียวหมดลง ทุกอย่างก็กลับหยุดนิ่งเป็นปกติอีกครั้ง

   “มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า” พี่หมากยังคงมองผมด้วยความสงสัยเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่ดูแปลกไปของผม

   “อ๋อ เปล่าๆ หรอกครับ ไม่มีอะไร ว่าแต่เมื่อกี้พี่หมากจะพูดอะไรกับฟร๊องก์หรือเปล่าครับ” ผมเปลี่ยนประเด็นวกกลับไปหาตัวเขาเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม

   “คนที่โทรมาใช่คนที่พี่เจอที่โรงพยาบาลวันก่อนหรือเปล่า... ถ้าพี่จำไม่ผิดเป็นคนเดียวกับที่เจอกันที่พารากอนด้วยใช่ไหม” ทั้งที่ผมพยายามเบี่ยงเบนประเด็น แต่เหมือนพี่หมากจะไม่ยอมให้ผมตีเนียนได้ง่ายๆ แถมสิ่งที่พี่หมากพูดยังกดดันผมมากกว่าเดิมเมื่อเขายังจำเหตุการณ์ที่ผมกับเขาเจอกับปาร์คที่พารากอนได้ด้วย
 
   จริงๆ ที่พี่หมากไม่ยอมปล่อยให้ประเด็นนี้ผ่านไปง่ายๆ อาจเป็นเพราะพี่เขาเองก็อยากรู้คำตอบที่แน่นอนตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ที่เขาไปโรงพยาบาลแล้ว และดูเหมือนว่าครั้งนี้ผมจะไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากจะต้องพูดถึงเรื่องบางอย่างระหว่างผมกับปาร์ค

   “เอ่อ...”

   “บอกพี่มาเถอะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก บางทีให้พี่ได้รู้จักเรา ได้รู้เรื่องของเรามากขึ้น พี่จะได้รู้ว่าพี่ควรทำตัวอย่างไร”

   “คือ... ใช่ครับ คนที่โทรมาเมื่อกี้คือปาร์ค คนที่พี่หมากเจอที่โรงพยาบาลนั่นแหละครับ”

   “ฟร๊องก์นัดกับเขาไว้หรือเปล่า พี่รบกวนเวลาฟร๊องก์ไหม” น้ำเสียงและสีหน้าที่ดูร่าเริงของพี่หมากเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและตึงเครียดมากยิ่งขึ้น นั่นยิ่งกดดันผมมากขึ้นอีก

   “เปล่าๆ ครับ ไม่ได้นัด ไม่ได้อะไรกันไว้เลย ฟร๊องก์เองก็ไม่รู้ว่าเขาโทรมาทำไมเหมือนกัน” ผมบอกไปตามจริง “ที่ฟร๊องก์ไม่ได้รับสาย เพราะคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องคุยก็เท่านั้น”

   “พี่ขอถามได้ไหมว่าระหว่างฟร๊องก์กับเขา... เป็นอะไรกัน” ผมถึงกับนิ่งไปเพราะไม่คิดว่าพี่หมากจะถามกันตรงๆ แบบไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้

   “เอ่อ...”

   “เขาไม่ใช่แค่เพื่อนใช่ไหม”

   “พะ... เพื่อนครับ” ผมตอบออกไปอย่างยากลำบาก เหมือนมีก้อนบางอย่างฝืดอยู่ในลำคอ

   “เพื่อนแบบที่ฟร๊องก์รู้สึกกับเพื่อนคนอื่นๆ หรือมากกว่านั้น”

   “คือ... คือฟร๊องก์...”

   “...” พี่หมากไม่ได้พูดอะไร แต่ยังคงมองมาที่ผมนิ่งเหมือนกำลังรอคำตอบ

   “คือ... ฟร๊องก์กับปาร์ค...”

   “พี่ว่าพี่รู้คำตอบแล้วล่ะ” พี่หมากถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยิ้มจางๆ ออกมาด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม “ฟร๊องก์ไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ เพราะพี่คิดว่าพี่รู้คำตอบสำหรับตัวพี่เองแล้ว เอาเป็นว่าที่พี่บอกว่าพี่เป็นห่วงเรา พี่ก็ยังคงเป็นห่วงอยู่เสมอ และพี่จะรอที่จะได้ดูแลฟร๊องก์ เมื่อถึงเวลา”

   “พี่หมาก...”

   “อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิ พี่รู้ว่าพี่มาทีหลัง และเข้าใจว่าฟร๊องก์พยายามมากแล้ว พี่ถึงได้บอกไงว่าพี่จะรอ วันที่ฟร๊องก์จะเปิดใจให้พี่ได้เข้าไปบ้าง” แต่ผมไม่อยากให้พี่รอเลย ผมไม่กล้าให้ความหวังกับใครอีกแล้ว เพราะผมกลัวว่าการรอคอยมันจะทำให้คนเราหมดความอดทน และทำอะไรที่เลวร้ายกว่าที่คิดได้... แบบที่ทาร์ตเคยทำ

   “พี่หมาก... อย่ารอฟร๊องก์เลยครับ อย่าเสียเวลากับฟร๊องก์เลย บางทีมันอาจจะนานกว่าที่พี่คิดก็ได้ เพราะขนาดตัวฟร๊องก์เอง... ยังไม่รู้เลยว่าจะอีกนานแค่ไหน”

   “นี่เป็นการปฏิเสธพี่หรือเปล่า” แม้ใบหน้าของพี่หมากยังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับดูสั่นเครือจนรู้สึกได้ ผมรู้ว่าเขากลัวคำตอบที่ผมจะตอบ และคงแอบหวังว่าผมจะเหลือความหวังให้บ้าง

   “ฟร๊องก์... ขอโทษ...” มันอาจจะดูใจร้ายเกินไปสักหน่อย แต่ผมคิดว่ามันคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำร้ายความรู้ของพี่หมากมากไปกว่านี้ ถ้าผมยังคงให้ความหวังกับเขาต่อไป โดยที่ในใจของผมเองยังคงลืมปาร์คไม่ได้ คงเป็นผมเองที่เห็นแก่ตัว และถ้าถึงวันนั้นพี่หมากที่เคยดีกับผม อาจจะกลายเป็นแบบทาร์ตที่แทบมองหน้ากันไม่ติดเลยก็ได้

   “หึหึ เล่นปฏิเสธกันตรงๆ แบบนี้ เจ็บเหมือนกันนะครับ สำหรับฟร๊องก์ พี่คงไม่มีความหวังเลยสินะ ไม่ว่าจะตั้งแต่ปีหนึ่ง จนกระทั่งตอนนี้...” ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบรอยยิ้มของพี่หมากในตอนนี้เลย รอยยิ้มที่ดูขัดกับนัยน์ตาฉายแววแห่งความเสียใจและผิดหวัง ยิ่งคำพูดที่ฟังดูน่าน้อยใจนั่นด้วย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก

   “ขอโทษ... จริงๆ นะครับ”

   “เห้ยๆ อย่าเศร้าดิ พี่มากกว่าที่ต้องเศร้าไม่ใช่ฟร๊องก์ บอกพี่ตรงๆ แบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยพี่ก็ได้มีเวลาทำใจได้เร็วขึ้น ฟร๊องก์ไม่ได้ผิดอะไรเลย คนไม่ใช่... ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดี ไม่ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน”

   “...”

   “แต่ถึงฟร๊องก์จะไม่อยากให้พี่รอก็ตาม แต่พี่ก็จะขอรออยู่ในจุดที่จะยังคงมีความหวังได้ หวังว่าฟร๊องก์คงจะไม่ว่าอะไรพี่นะ เพราะถึงอย่างไร ความรู้สึกที่พี่มีให้กับฟร๊องก์มันจะยังมีอยู่เสมอ” พี่หมากว่า ก่อนจะเอื้อมมือมายีผมของผมเป็นครั้งแรกอย่างแผ่วเบา แม้มือข้างนั้นจะแอบสั่นเทาอยู่บ้างก็ตาม “พี่ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่ฟร๊องก์มีต่อเขามันเป็นอย่างไร แต่ท่าทางกระอักกระอ่วนที่ฟร๊องก์มีมันทำให้พี่รู้ว่าฟร๊องก์เองก็ยังไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองเช่นกัน และพี่ก็รู้ว่าฟร๊องก์เองก็ลำบากใจ ถ้าพี่จะช่วยให้ฟร๊องก์ดีขึ้นได้พี่ก็ยินดี”

   “นั่นคือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมฟร๊องก์ถึงไม่อยากให้พี่รอ” นอกจากที่ผมจะไม่มั่นใจในสถานะของผมกับปาร์คที่มีมาตลอดแล้ว ผมก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าความรู้สึกที่มีต่อปาร์คมันก็ยังคงอยู่เช่นกัน “พี่หมาก... ถ้าพี่ยินดีจะช่วยฟร๊องก์ อย่างนั้นฟร๊องก์ขออะไรสักอย่างได้ไหม”

   “อยากให้พี่ช่วยอะไรเหรอ”

   สิ่งที่ผมอยากให้พี่หมากช่วย บางทีมันอาจจะทำให้ผมพิสูจน์อะไรบ้างอย่างให้ชัดเจนขึ้นได้ก็ได้...


à suivre...


หายไปนานเบอร์ไหน ถามใจดู 555+
เป็นสิบวันกันเลยทีเดียว พอดีมีงานเข้ามานิดหน่อยฮะ
เลยไม่ว่างมาอัปเดตกันเลย จริงๆ ไม่ว่างแม้จะจับคอมพ์ฯ เลยด้วยซ้ำ  :hao5:

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 52 P.8 [UP 15/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-11-2017 23:11:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 52 P.8 [UP 15/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-11-2017 05:54:49
จะให้พี่หมากช่วยลองใจปาร์คหรือ ทำอย่างงี้พี่หมากก็น่าสงสารแย่นะซิ ไหนบอกว่าไม่อยากให้พี่หมากต้องเสียใจไงล่ะแล้วจะมาทำแบบนี้เพื่อตอกย้ำพี่หมากอีกทำไม อย่าเห็นแก่ตัวนักเลยนะฟร๊องก์
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 52 P.8 [UP 15/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-11-2017 22:39:25
ฮ่าฮ่า เจอไปขนาดนั้นยังจะลองใจสุดที่รักอีกเหรอ
ที่ผ่านมา..เละเทะซะขนาดนั้น ยังไม่รู้อะไรเลย จริงดิ
กร๊ากกกกกกกกก

เอาตามที่สบายใจเลยฟร๊องก์
รักเค้ามากมายขนาดนี้ จะยังไงก็จะยังรักอยู่เหมือนเดิม

จะลองใจให้มันได้อะไรล่ะ
ความมั่นใจ..เหรอ


หราาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
หุหุ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 53 [25/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 25-11-2017 19:29:30
Chapitre 53

   กว่าที่พี่หมากจะฝ่ารถติดจากร้านอาหารที่เราไปทานด้วยกันมาส่งผมที่หอได้ ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม สิ่งที่ผมคุยกับพี่หมากที่ร้าน พี่หมากเข้าใจได้เป็นอย่างดี ผมรู้สึกดีนะที่อย่างน้อยพี่เขาก็ไม่โกรธหรือรู้สึกแย่กับผมไปหลังจากที่ผมปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ที่เขามีให้ แม้จะรู้ดีว่าเขาก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย

   “ฟรีองก์แน่ใจนะว่าจะให้พี่ทำแบบนั้นจริงๆ” พี่หมากเอ่ยถามเพื่อความชัวร์อีกครั้งกับสิ่งที่ผมขอความช่วยเหลือ

   “แน่ใจครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป”
 
   “ไม่กลัวพี่จะยิ่งรุกเราหนักขึ้นเหรอ” พี่หมากพูดขำๆ เป็นเชิงทีเล่นทีจริง

   “ถ้าพี่ทำให้ฟร๊องก์ใจอ่อนมาหาพี่ได้อ่ะนะ งั้นฟร๊องก์ไปก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ แล้วก็ขอบคุณ... ที่เข้าใจและไม่โกรธฟร๊องก์” 

   “ก็อยากโกรธอยู่หรอก แต่มันโกรธไม่ลง เดี๋ยวพี่ลงไปส่งนะ”

   แล้วพี่หมากก็เดินมาส่งผมที่หน้าประตูหอ เอาจริงๆ ระยะทางรถเขาจอดจนถึงบันได้ขึ้นตึกที่เป็นหอพักของผมมันไม่ได้ไกลอะไรเลย ไม่จำเป็นต้องลงมาส่งด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเจ้าตัวอยากลงจากรถมาส่ง ผมก็ไม่ขัดศรัทธา

   “ฟร๊องก์!” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง น้ำเสียงทุ้มเข้มจากคนที่ผมไม่ได้รับสายเมื่อหัวค่ำทำให้ผมหันกลับไปมองตามเสียงเรียงนั้นด้วยความตกใจ

   “ปาร์ค!” ผมหันไปมองคนร่างสูงที่กำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยคำถามที่ดูห่างเหิน “มีธุระอะไรหรือเปล่า” 

   “ปาร์คจะโทรบอกว่ามาหา ปาร์คเป็นห่วง ยังเจ็บแผลอยู่ไหม” เมื่อปาร์คเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ก็ทำให้ผมเห็นใบหน้าเขาได้ชัดมากขึ้น รอยช้ำตามจุดต่างๆ เริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่มันก็ยังคงมีรอยม่วงๆ ที่เป็นที่น่าสังเกตอยู่ ส่วนแขนที่โดนมีดบาดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ที่พยุงแขนช่วยแล้ว

   “พี่เริ่มเลยนะ” พี่หมากก้มลงมากระซิบข้างหูของผม ก่อนที่วงแขนนั้นจะวาดมากโอบผมก่อนจะออกแรงดึงตัวผมเบาๆ ให้เข้าไปใกล้เขา “มีธุระอะไรกับฟร๊องก์หรือเปล่าครับ”

   “ไม่เกี่ยวกับคุณ แล้วก็ปล่อยฟร๊องก์ด้วย!” น้ำเสียงของปาร์คเปลี่ยนไปทันที

   “แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งครับ เป็นอะไรกับฟร๊องก์ไม่ทราบ” พี่หมากตอบกลับอย่างกวนประสาท เป็นมุมที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน

   “กูเป็นแฟนฟร๊องก์ มึงนั่นล่ะเป็นใคร มายุ่งอะไรกับแฟนกู!” ปาร์คว่าเสียงดังพร้อมกับอารมณ์ที่เดือดดาลขึ้นตามลำดับ

   “หึหึ ถามเจ้าตัวเขาหรือยัง หรือเอาแต่คิดไปเอง บอกเขาไปสิฟร๊องก์ว่าวันนี้ฟร๊องก์ตอบตกลงเป็นแฟนกับพี่แล้ว เผื่อเขาจะรู้ตัวว่าฟร๊องก์เป็นแฟนใครกันแน่” พี่หมากแสยะยิ้มอย่างมีชัย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ถือไพ่เหนือกว่า

   “หมายความยังไง!” เสียงกระด้างของปาร์คดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ พลางจ้องหน้าผมด้วยแววตาที่เจ็บปวดอย่างต้องการคำอธิบาย

   “...” ผมไม่ตอบอะไร ใช่ครับ อย่างที่พี่หมากบอก ตอนที่อยู่ที่ร้านอาหารพี่หมากขอโอกาสได้ดูแลหัวใจของผม อาจจะเพราะสิ่งที่ผม ‘ขอ’ พี่หมากถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ แม้จะรู้ว่าในอนาคตผมอาจจะเปลี่ยนใจหรือไม่ก็ตาม

   “ฟร๊องก์! ตอบปาร์คมาสิว่าที่มันพูดไม่ใช่เรื่องจริง!” เสียงปาร์คเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง สายตาที่เจ็บปวดฉายแววชัดเจนมากขึ้น ร่างสูงโปร่งขบฟันแน่นจนแนวกรามขึ้นเป็นสันชัดเจน มือทั้งสองกำแน่นจนผมกลัวว่ามันจะส่งผลให้ปากแผลเปิด

   “ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วนะ”

   “อย่าเสือก! กูจะฟังจากปากของฟร๊องก์คนเดียว! แค่ฟร๊องก์คนเดียวที่กูจะเชื่อ...” ปาร์คบริภาษอย่างเดือดดาล แต่ท้ายประโยคกลับแผ่วเบา

   “น้องฟร๊องก์บอก ‘เพื่อน’ น้องไปสิครับว่าเราเป็นอะไรกัน” ผมหันไปมองคนที่กำลังโอบไหล่ผมอยู่ด้วยสีหน้าปั้นลำบาก ผมคิดว่าถ้าผมตอบตกลงว่าจะเปิดใจให้พี่หมากแล้วมันจะทำให้ผมตัดใจจากปาร์คได้เร็วขึ้น แต่เอาจริงๆ ทำไมมันถึงยากเหลือเกินที่จะบอกความจริงกับคนตรงหน้า

   “...” ปาร์คเบนสายตาดุดันที่มองพี่หมากเมื่อครู่มามองผมอย่างตำหนิ แต่แววตากลับสั่นไหวจนสังเกตได้

   “ปาร์ค... มีธุระอะไรกับฟร๊องก์หรือเปล่า” ผมเปลี่ยนเรื่องเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม

   “ธุระของปาร์คไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ปาร์คอยากรู้จากฟร๊องก์ตอนนี้หรอก! บอกปาร์คมาสิฟร๊องก์! บอกทีว่าปาร์คยังมีโอกาสอยู่ใช่ไหม” แต่กลับไม่เป็นผล เมื่อปาร์คยังคงดื้อดึงจะเอาคำตอบกับผมเสียให้ได้

    “ถ้าปาร์คไม่มีธุระอะไร ก็กลับไปเถอะ ฟร๊องก์จะขึ้นห้องแล้ว”

   “ปาร์คจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าฟร๊องก์จะบอกปาร์คว่าที่ไอ้หมอนี่พูดมันไม่ใช่ความจริง!” เสียงปาร์คเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามองเป็นระยะ รวมทั้งยามของหอพักด้วย

   “พี่ว่าเพื่อนฟร๊องก์คงพูดไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ ฟร๊องก์ขึ้นห้องเถอะ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปส่ง” พี่หมากพูดอย่างใจเย็น พลางโอบไหล่ผมแน่นขึ้น พร้อมพยายามออกแรงรั้งให้ผมเดินเข้าไปภายในตัวอาคาร

   “กูไม่ให้มึงขึ้นไปห้องฟร๊องก์หรอก ไอ้เวร!”

   ผลั๊วะ!

   ยังไม่ทันที่ผมกับพี่หมากจะได้หันหลังกลับ ปาร์คก็พุ่งเข้ามากระชากตัวผมออกจากวงแขนของพี่หมากทันที จนผมเหวี่ยงกระเด็นไปด้านหลังจากปาร์ค ก่อนที่เจ้าตัวจะปล่อยกำปั้นหนักกระแทกเข้าที่ใบหน้าคมของพี่หมากอย่างรุนแรง

   “ไอ้เหี้ย!”

   ผลั๊วะ!

   แค่เพียงเสี้ยวนาทีพี่หมากที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบในตอนแรกก็หันกลับมาปล่อยหมัดที่หนักไม่แพ้กันเข้าที่ใบหน้าของปาร์คเช่นกัน และมันก็กลายเป็นการซ้ำรอยเก่าที่ยังไม่หายดีของปาร์คให้ช้ำหนักมากขึ้น

   “แม่งเอ๊ย!”

   พลั่ก!

   ปาร์คที่หันกลับมาสวนอีกครั้งถึงกลับหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เมื่อเห็นว่าหมัดที่ปล่อยกลับมาเพื่อสวนคู่ต่อสู้อย่างเต็มแรงนั้นปะทะเข้ากับใบหน้าของผมจนผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวและสัมผัสของเลือดที่ไหลซึมออกมาจากรูจมูกข้างหนึ่ง

   ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใบหน้า เจ็บจนมันชา จนแทบไม่รู้สึกอะไร แต่น่าแปลกที่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่นี้ของผมแม้แต่หยดเดียว

   “ฟร๊องก์!/ฟะ... ฟร๊องก์...” ทั้งพี่หมากและปาร์คต่างเรียกชื่อผมขึ้นมาด้วยความตกใจ

   “จะหยุดบ้าได้หรือยัง...” ผมค่อยๆ หันกลับมามองเจ้าของกำปั้นนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ค่อยๆ ยกขึ้นมาเช็ดเลือดที่ยังคงไหลออกมาจากจมูกไม่หยุดอย่างเชื่องช้าโดยไม่เป็นเดือดเป็นร้อน

   “ปาร์ค... ไม่ได้ตั้งใจ” ปาร์คพูดเสียงอ่อนด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะรอยช้ำที่เกิดจากน้ำมือของตัวเองอย่างแผ่วเบา “เจ็บไหม ปาร์คขอโทษ... ปาร์คไม่ได้ตั้งใจทำร้ายฟร๊องก์”

   “สะใจปาร์คแล้วหรือยัง พอใจไหม ถ้าพอใจแล้วก็ปล่อยฟร๊องก์ไปสักที”

   “ฟะ... ฟร๊องก์...” มือที่แตะตรงรอยช้ำนั้นสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ผมมองร่างสูงด้วยสีหน้าเย็นชาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แวบหนึ่งกลับต้องสั่นไหว เมื่อเห็นรอยเลือดบริเวณต้นแขนที่ซึมออกมาจากบาดแผลที่เริ่มปริแตก

   “คำตอบที่ปาร์คต้องการ คงชัดเจนมากพอแล้วนะ” ผมตั้งใจเอาตัวเองเข้าไปปกป้องพี่หมาก ไม่ใช่เพราะจะบอกให้ปาร์ครู้ว่าผมเลือกใคร แต่เพราะผมอยากให้ปาร์ครู้ว่าทุกครั้งที่ปาร์คตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะเหมือนเดิมทุกครั้ง นั่นคือ

   ปาร์คเป็นคนทำร้ายผมด้วยตัวเขาเอง...

   “ปาร์ค...” แววตาของปาร์คที่มองผมช่างสั่นไหวไม่ต่างจากสัมผัสแผ่วเบานั้น น้ำใสๆ ค่อยๆ หยดลงมาจากดวงตาหม่นหมองนั้นโดยไม่เหลือความอาย

   “เนี่ยเหรอ คนที่ฟร๊องก์รักนักรักหนา เสียดายความรักที่ฟร๊องก์มีให้มึงว่ะ!” พี่หมากคว้าตัวผมออกห่างจากปาร์คราวกับกลัวว่าผมจะต้องแปดเปื้อนเพราะคนตรงหน้าก็ไม่ปาน “ถ้าฟร๊องก์แบ่งความรักที่มีให้กับมึงมาให้กูบ้าง กูจะไม่ทำให้ฟร๊องก์ต้องมานั่งเสียใจแบบมึงเลย!”

   “แต่มึงก็ได้ฟร๊องก์ไปแล้วไง! ฟร๊องก์เลือกมึงแล้วไง!!” ปาร์คจ้องพี่หมากตาเขียว พร้อมทำท่าจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง แม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะเอ่อล้นด้วยน้ำตาอยู่ก็ตาม และถึงน้ำเสียงจะดูแข็งกร้าวเพียงใด แต่มันกลับรู้สึกได้ถึงการประชดประชันและความน้อยใจอยู่ไม่น้อย

   “ฟร๊องก์ไม่ได้เลือกใครทั้งนั้น! ฟร๊องก์เป็นคนขอให้พี่หมากช่วยเอง ช่วยเข้ามาทำให้ฟร๊องก์ลืมปาร์คได้สักที ช่วยพาหัวใจฟร๊องก์ให้หลุดพ้นจากปาร์คสักที!”

   “คะ... คืออะไร...”

   “กูจะช่วยอธิบายให้มึงฉลาดขึ้นเอง” พี่หมากกระตุกยิ้มหยามอย่างไม่ไว้หน้า “ตั้งแต่วันที่กูเห็นมึงอยู่กับฟริองก์ที่โรงพยาบาล แววตาและท่าทางของฟร๊องก์แสดงออกชัดเจนขนาดนั้นแล้วว่าใจฟร๊องก์อยู่ที่ใคร แต่มึงก็ยังไม่รู้ตัว ยังมัวแต่ระแวง ไม่ไว้ใจ และไม่แม้แต่จะเชื่อใจฟร๊องก์เลยด้วยซ้ำ มึงเอาแต่ขู่คนนั้นคนนี้ที่เข้ามาใกล้ฟร๊องก์เหมือนเป็นหมาบ้า โดยไม่เคยดูเลยว่าจริงๆ แล้วฟร๊องก์ไม่เคยเลือกใครเลยนอกจากมึง”

   “...” คิ้วของปาร์คขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่พี่หมากจะพูดต่อ

   “แล้ววันนี้ฟร๊องก์ก็ยังคงปฏิเสธกูอีก และแม้ว่าต่อให้กูจะดีกว่านี้อีกแค่ไหน ฟร๊องก์ก็ยังคงปฏิเสธกูอยู่ดี เพราะอะไรมึงคงไม่ต้องถาม ฟร๊องก์น่ะ เป็นคนขอร้องให้กูช่วยแสดงออกเหมือนเราตกลงว่าเป็นแฟนกันแล้วเองแหละ กูเจ็บแต่กูก็เต็มใจที่จะช่วยคนที่กูรัก ถ้ามันจะพิสูจน์ของระหว่างฟร๊องก์กับมึงได้ และมันจะทำให้ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจฟร๊องก์จางลง กูก็ยอม”

   “...”

   “ถึงฟร๊องก์ไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับมึงให้กูรู้เลยก็ตาม แต่ความกังวลที่ฟร๊องก์มี บวกกับสิ่งที่กูได้เห็นมึงตอนนี้ กูก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไม แม้ว่าในใจฟร๊องก์จะมีแค่มึง แต่ทำไมฟร๊องก์กลับกลัวที่จะรักกับมึง มันเป็นเพราะมึงไม่เคยทำให้ฟร๊องก์มั่นใจได้เลยว่าความที่มีให้มันจะไปรอด แต่แม้แต่ความเชื่อใจ มึงยังไม่เคยมีให้ฟร๊องก์เลย”

   พี่หมากพูดราวกับว่ามานั่งอยู่ในใจของผม เมื่อประมาณสองชั่วโมงก่อนที่ร้านอาหารนั้น ผมเป็นคนขอให้พี่หมากช่วยแสดงเหมือนเรากำลังคบกัน แม้ว่ามันจะดูใจร้ายไปสักหน่อยสำหรับคนที่ผมเพิ่งบอกปฏิเสธไป แต่ก็ถือว่าโชคดีที่พี่หมากยินดีที่จะช่วย โดยไม่แม้แต่จะถามเหตุผลว่าเพราะอะไร

   ความคิดดังกล่าวมันผุดเข้ามาในตอนที่ผมเหลือบไปเห็นข้อความจากไลน์ที่ปาร์คส่งมาว่ามารอผมอยู่ที่หอ ถึงจะไม่แน่ใจว่าปาร์คจะยังคงรออยู่ไหม แต่มันก็น่าเสี่ยงที่จะพิสูจน์ว่าผมควรละทิ้งจากอดีตที่เลวร้ายมาเชื่อใจปาร์คอีกครั้งหรือเปล่า หรืออย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าปาร์ครู้สึกอย่างไรกับผมกันแน่

   ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ คือปาร์คยังคงรออยู่ แต่มันต่างไปจากที่ผมคิดก็คือ นอกจากการไม่ได้เห็นความพยายามที่ปาร์คจะแข่งกับพี่หมากอย่างยุติธรรมแล้ว ปาร์คกลับฉุดให้ความรู้สึกของผมกลับไปจมกับอดีตที่เจ็บปวดเช่นเดิม

   นั่นคือปาร์คไม่เคยเชื่อในความรู้สึกที่ผมมีให้เลย...

   “มะ... มันไม่จริงใช่ไหมฟร๊องก์” 

   “หึ! ความรู้สึกเวลาที่โดนหักหลังบ้างมันเป็นยังไงล่ะปาร์ค มันเจ็บดีไหมล่ะ แต่มันอาจจะยังน้อยไปด้วยซ้ำถ้าเทียบกับสิ่งที่ฟร๊องก์เคยรู้สึกมา” ทั้งที่ผมพยายามจะไม่ร้องไห้มากเพียงใด แต่สุดท้ายทำนบน้ำตาที่พยายามกั้นไว้ก็แตกออกมาจนได้

   “ทำไมกันฟร๊องก์ ทำแบบนี้ทำไมกัน” น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อของปาร์คกำลังต่อว่าผมด้วยความเจ็บปวด

   “ถามตัวปาร์คเองดีกว่าว่าทำไม ฟร๊องก์ไม่ได้อยากให้เรื่องมันบานปลายแบบนี้หรอกปาร์ค ฟร๊องก์แค่อยากให้ปาร์คแสดงสปิริตให้ฟร๊องก์เห็นเหมือนที่พี่หมากทำให้ฟร๊องก์เห็น แต่ปาร์คก็กลับเลือกจะทำในแบบเดิม ซึ่งมันคงเป็นสิ่งที่ปาร์คคุ้นเคยสินะ แล้วจะให้ฟร๊องก์เชื่อได้ยังไงว่าต่อไปปาร์คจะไม่ทำร้ายฟร๊องก์อีก”

   “ปาร์ค... ปาร์คแค่... หึงฟร๊องก์ ปาร์คไม่ได้ตั้งใจ”

   “กลับไปเถอะปาร์ค เรื่องระหว่างเรามันคงเป็นไปไม่ได้หรอก จะให้กลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิมยังยากเลย ฟร๊องก์เจ็บ เจ็บมาจนถึงตอนนี้! มันเจ็บจนฟร๊องก์ไม่กล้าจะรักใครอีกแล้ว เพราะความรักที่ฟร๊องก์ได้รู้จักและสัมผัส มันทำให้ฟร๊องก์เจ็บเจียนตาย ฟร๊องก์ไม่พร้อมสำหรับใครทั้งนั้นล่ะ ไม่ใช่ทั้งกับพี่หมาก หรือกับใคร แม้แต่กับปาร์ค...”

   “ปาร์คขอโทษ แต่ปาร์คจะไม่ยอมแพ้หรอกที่จะทำให้ความรักของฟร๊องก์... กับปาร์คกลับมาสวยงามอีกครั้ง” ปาร์คว่าก่อนจะเดินจากไป

   รถของปาร์คขับออกไปได้เพียงไม่นาน ผมที่เหมือนจะเข้มแข็งในตอนแรกก็ถึงกับทรุดลงกับพื้น ดีที่พี่หมากคว้าตัวไว้ได้ทัน ก่อนจะค่อยๆ พยุงผมเข้าไปในตึกและกดลิฟต์ไปยังห้องด้านบน

   “พี่คงไม่ถามอะไรฟร๊องก์หรอกนะ แม้ว่าจะมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวพี่แค่ไหนก็ตาม” เมื่อพี่หมากพาผมขึ้นมาส่งจนถึงห้อง ก็จัดแจงหาน้ำทาให้ผมดื่มเพื่อลดความกังวลและความเครียดที่มีลง เราทั้งคู่นั่งเงียบกันอยู่บนเตียงร่วมสิบนาที ก่อนที่พี่หมากจะพูดเพื่อทำลายบรรยากาศอันเงียบงันลง

   “ฟร๊องก์ทำถูกแล้วใช่ไหม ที่ฟร๊องก์ทำไปมันดีแล้วใช่ไหมพี่หมาก” มันเป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้วใช่ไหม ช่วยตอบผมที
   
   “มันคงไม่ได้ดีที่สุดหรอก เพราะถ้ามันดีที่สุดฟร๊องก์คงไม่ต้องมานั่งเสียใจแบบนี้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฟร๊องก์ได้รู้ผลลัพธ์ในแบบที่ฟร๊องก์ต้องการไม่ใช่เหรอ” นั่นสินะ คำตอบที่ผมอยากรู้นักหนาว่าปาร์คจะรู้สึกอย่างไรกับผม ผมควรจะดีใจไหมที่ได้เห็นปาร์คหึงหวงแบบนี้ ผมมัวแต่อยากที่จะรู้นั่นนี่ จนลืมนึกไปว่าทุกคำตอบมันทำร้ายตัวผมเอง

   “ฟร๊องก์... ขอโทษพี่หมากด้วยนะ ที่ดึงพี่หมากเข้ามาในเรื่องวุ่นวายนี้ แถมยังทำให้พี่หมากต้องเจ็บตัวอีก”

   “ไม่เป็นไรหรอก” พี่หมากยิ้มตอบจางๆ พลางส่ายหัวเบาๆ เพื่อยืนยันว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ “คนเราอ่ะ ถ้าไม่รู้จักทำใจหรือเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับอดีต ก็จะถูกอดีตกักขังไว้แบบนั้น และจะไม่มีวันหลุดพ้นจากมันได้เลย”

   “...”

   “พี่ไม่ได้พูดเพราะจะให้ฟร๊องก์ลองให้โอกาสพี่อีกครั้งหรอกนะ แต่พี่พูดเพื่อให้ฟร๊องก์ปล่อยวางเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้น ไม่ว่าอดีตมันจะทำให้ฟร๊องก์มีความสุข หรืออดีตจะทำให้ฟร๊องก์เป็นทุกข์มากเพียงใด ฟร๊องก์ต้องปล่อยวางเพื่อให้ตัวเองก้าวต่อไปได้ เพราะเมื่อไหร่ที่ฟร๊องก์หลุดพ้นจากสิ่งที่เหนี่ยวรั้งฟร๊องก์อยู่ได้ เมื่อนั้นฟร๊องก์จะใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีกเลย”

   “ขอบคุณนะครับพี่หมาก ฟร๊องก์จะพยายาม...”

   “น้องพี่คนนี้เก่งอยู่แล้ว พี่เชื่อว่าสักวันฟร๊องก์จะเข้มแข็งได้อย่างแท้จริง” พี่หมากว่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะผมอย่างแผ่วเบา “พี่กลับแล้วนะ ไว้เจอกัน”

   ผมก็หวังว่าวันหนึ่งผมจะสามารถหลุดพ้นจากอดีตที่กักขังผมไว้ และก้าวเดินต่อไปได้...


à suivre...


ฮ่าๆ ลองใจจนสุดท้ายตัวเองก็เจ็บเองอีกครั้ง
ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็อย่า่งว่าแหละ ในใจฟร๊องก์ก็ยังหวังอ่ะเนอะ
สงสารก็แต่พี่หมากแหละ ตัวละครตัวนี้ดูมีด้านดีอย่างเดียวเลยจริงๆ 555+

เหลือแค่ไม่กี่ตอนแล้วจริงๆ นะฮะ ไม่เกินสิ้นปีนี้จบแน่นอน 555555
ขอโทษด้วยฮะที่มาช้าบ่อยมากๆ
รอบนี้ไข้รับประทานไปสามวันเลยฮะ เพราะอากาศเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้

ยังไงก็จะมาลงตอนที่เหลือให้เร็วขึ้นนะฮะ
ขอบคุณที่ยังคงอ่านกันอยู่

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 53 P.9 [UP 25/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 25-11-2017 23:34:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 53 P.9 [UP 25/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 26-11-2017 00:07:03
ลำบากลำบนไม่สนใจ
ตะเกียกตะกายสักเพียงใด
ก็ดีกว่าปล่อยเธอไปจากฉัน
ตกหลุมรักจริงจริง เพราะรักจริงจริง
..เธอคงไม่ว่ากัน..
ฮ่าฮ่า

ลงทุนเชียร์เลยนะ ตะเอง#ปาร์ค
 :jul3:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 53 P.9 [UP 25/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 26-11-2017 01:54:46
 :katai5: เพลียจิต (เรื่องมันไม่ไปไหนว่ายวนอยู่อย่างนี้นานเท่าไหร่
เรื่องเราไม่ไปไหน ก็จะให้ซ้ำให้ซ้ำให้ซ้ำใจจะจำไปหน่อยไหม) เพลงพี่ดา เอ็นโดรฟิน ลอยวนมาเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 53 P.9 [UP 25/11/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 02-12-2017 13:44:56
น้ำตาเกือบไหลแหนะ แม่งเศร้าแต่แบบ ถ้าก่อนพี่หมากกลับฟร้องจูบพึ่หมากนะเด็ดเลย 55555
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... Chapitre 54 [12/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 12-12-2017 19:25:05
Chapitre 54

   หลังจากวันนั้น ปาร์คก็หายไปจากชีวิตผม อาจจะรู้ตัวแล้วก็ได้ว่าจริงๆ มันไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับผมมากกว่าความเป็นเพื่อนเลยหรืออาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมทำลงไปมันร้ายแรงจนอีกฝ่ายรับไม่ไหว

   แต่มันก็ชัดเจนสำหรับผมเช่นกันที่จะได้เลือกจะตัดใจได้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่า เพราะยิ่งนานวันเข้า ผมกลับยิ่งรู้สึกทรมานกับการไม่มีปาร์คมากยิ่งขึ้น ทั้งที่เป็นเพราะผมเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากไล่

   ผ่านมานานที่ผมไม่ได้ติดต่อกับปาร์คเลย ผมหันไปทุ้มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ และเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านและจมอยู่กับความคิดของตัวเอง พี่หมากยังคงแวะเวียนมาให้ผมเจอ หรือชวนผมไปกินข้าวนั่นนี่อยู่เสมอ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่แสดงท่าทีเข้าหาเหมือนแต่ก่อนก็ตาม

   แต่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ในส่วนลึกของหัวใจผมยังคงเรียกหาปาร์คอยู่เสมอ แต่มันก็ได้แค่คิดในใจ ผมเป็นคนเลือกความสัมพันธ์แบบนี้เอง เลือกที่จะปฏิเสธทุกอย่างเอง แล้วจะมาเรียกร้องหาอะไรได้ จบแบบนี้คงดีที่สุดแล้ว ผมไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าความเป็นเพื่อนระหว่างผมกับปาร์คยังคงเหลืออยู่ไหม

   เวลาผ่านไปจากวันก็กลายเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์กลายเป็นเดือน จนมารู้ตัวอีกทีก็เข้าสู้ช่วงพักผ่อนของปิดเทอมใหญ่แล้ว ผมกับชัญญ่ายังคงติดต่อกันอยู่เสมอ และก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ และข่าวดีอีกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือ เธอยอมกลับไปคบกับเก็ทอีกครั้ง ในวันเกิดของเธอหลังจากที่เก็ทขอคืนดีด้วยแหวนที่เคยให้ผมไปช่วยเลือกนั้น

   ผมมีแอบถามเรื่องของปาร์คจากชัญญ่าบ้าง เผื่อว่าชัญญ่าจะยังคงติดต่อกับปาร์ค แต่ก็ไม่ค่อยได้ข้อมูลอะไรสักเท่าไรเพราะเธอเองก็ไม่ได้คุยกับปาร์คเช่นกัน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะคงไม่มีเหตุผลอะไรที่ปาร์คจะต้องคุยกับชัญญ่า หรือชัญญ่าจะต้องติดต่อไปหาปาร์ค ผมว่าระหว่างผมกับปาร์คคงมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วแหละ ปาร์คคงหมดความอดทนกับผมแล้ว และผมเองก็เป็นคนบอกเองว่าไม่พร้อมสำหรับใครทั้งนั้น จนถึงตอนนี้ผมก็พอจะปล่อยวางได้แล้วบ้างแล้วนะ แต่ก็แค่อยากรู้ความเคลื่อนไหวของปาร์คบ้าง แต่... ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ นะ

   “นี่ถ้าไม่ชวนออกมา ก็ไม่คิดจะออกไปไหนเลยใช่ไหม อยู่แต่บ้านไม่เบื่อมั้งหรือไง” ชัญญ่าที่กำลังคุยกับผมขณะที่ พวกเรากำลังนั่งกินข้าวเพื่อรอรอบหนังที่ซื้อตั๋วไว้ เก็ทที่นั่งอยู่ข้างๆ ชัญญ่าเองก็หัวเราะเยาะผมเช่นกัน ก็มันจะแปลกตรงไหนเมื่อคนไม่อยากจะไปไหนเลยนี่หว่า

   “ก็ไม่รู้จะไปไหนนิ ให้มาเดินห้างแบบนี้บ่อยๆ เข้าก็เบื่อ หนังก็ไม่ค่อยจะมีเรื่องอะไรน่าดู สู้นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ ประหยัดตังค์ด้วย” ผมตอบไปขำๆ “ว่าแต่ปาร์คไม่ติดต่อมาบ้างเลยเหรอ”

   “อืม ก็เงียบหายไปเลยนะ คิดถึง เป็นห่วงเขาทำไมไม่โทรไปบอกเขาเองล่ะ อีกอย่างฟร๊องก์เป็นคนเอ่ยปากไล่ปาร์คเองไม่ใช่เหรอ ถ้ายังคงรัก ทำไมไม่ตกลงปลงใจกันไปให้มันจบๆ จะมานั่งทรมานตัวเองแบบนี้ทำไม” ชัญญ่าว่าผมด้วยน้ำเสียงประชดประชัน และก็ตอกย้ำการกระทำของผม

   “รู้ตัวไหมว่าตัวเองโทรมลงเยอะมาก” เก็ทเองก็แสดงความเห็นขึ้นเช่นกัน จะโทรมลงก็คงไม่แปลก เพราะช่วงหลังๆ มาผมนอนไม่ค่อยหลับอยู่หลายครั้ง

   “เปล่าสักหน่อย ก็แค่ถามดูเฉยๆ กะ... ก็... ช่างเถอะ” ก็เห็นว่าหายไปนานแล้ว ก็แค่อยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้าง จะคิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงบ้างหรือเปล่า หรือจะลืมผมคนนี้ไปแล้ว

   บางทีผมอาจจะหวังมากไปที่จะได้เห็นปาร์คพยายามเพื่อผมมากขึ้น ผมคงหวังมากเกินไป...

   “ปากแข็งนักระวังเถอะ เฮ้อออ... ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ทั้งที่มีโอกาสแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่คว้ามัน พอเขาไปขึ้นมาจริงๆ ก็มานั่งร้องไห้ทีหลัง” ชัญญ่าพูดขึ้นมาลอยๆ ที่มันเป็นประโยคที่เจ็บจี๊ดเข้ามายังหัวใจผมเลย ผมรู้ว่าโอกาสเข้ามาหาผมแล้ว โอกาสที่จะได้คบกับปาร์คอย่างที่หวัง แต่... มันก็เป็นแค่ความหวังของผมที่ไม่ควรเกิดขึ้นในชีวิตจริง แค่ความหวังที่เห็นแก่ตัวของคนๆ หนึ่งที่ไม่อาจก้าวผ่านภาพความเจ็บปวดที่มีได้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยมือจากต้นเหตุได้เช่นกัน

   “...” ผมไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ก้มหน้าละเลียดอาหารตรงหน้าลงคออย่างยากลำบาก

   “ญ่าพูดเล่น เลิกเครียดๆ” ชัญญ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเหมือนรู้ว่าอารมณ์ผมกำลังดาวน์ลง ก่อนจะเปลี่ยนเสียงเป็นโทนที่ดูตื่นเต้นขึ้น “เอางี้ งั้นเราไปเที่ยวกันดีกว่า ไปผ่อนคลายด้วย ถือเป็นการคลายเครียด เอาความทุกข์ ความเศร้า เรื่องไม่ดีๆ ต่างๆ ที่ผ่านมา เอามันไปทิ้งให้หมด ดีมั้ย”

   “เอาดิ ก็ดีเหมือนกัน ไปที่ไหนอ่ะ” น่าสนใจดีเหมือนกันนะ เพราะตั้งแต่เกาะล้านเมื่อเทอมที่แล้ว ผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนอีกเลย แถมยังเจอแต่เรื่องหนักๆ ถาโถมเข้าในชีวิตอีกต่างหาก ไปพักผ่อนสักทีก็ดีเหมือนกัน เผื่อผมจะสามารถทำใจจากอดีตที่กัดกินภายในใจของผมได้สักที

   “ไปภูเก็ตกันม่ะ ช่วงนี้กำลังสวยเลย กลางวันก็เที่ยวแบบธรรมชาติ กลางคืนก็ปาร์ตี้ให้มันหลุดโลกไปเลย!”

   “โห้! ไกลขนาดนั้นเราไม่มีตังค์หรอก” อยู่ๆ มาชวนไปไกลขนาดนั้นแบบกะทันหัน ผมเก็บตังค์ไม่ทันหรอกครับ ไหนจะทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่ากินอีก ยิ่งภูเก็ตด้วยคงต้องใช้งบหลายแน่นอน

   “อย่ากังวัลไป ก็รู้อยู่ว่าไปกับใคร ใช่ไหมเก็ท! ไม่ต้องห่วง ฟร๊องก์มีหน้าที่แค่ขอพ่อแม่แล้วเก็บเสื้อผ้าเอาไว้ก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวเราจัดการเอง โอเคตามนี้นะ จะได้จองตั๋วเลย” ชัญญ่าพูดเองเออเองขณะที่ผมยังอ้าปากพะงาบๆ งงอยู่เลย

   “ได้ไง รบกวนเก็ทกับชัญญ่ามากเกินไปแบบนี้เราไม่เอาด้วยหรอก” พอตั้งสติได้ผมก็รีบบอกปฏิเสธไปทันที อยู่ๆ จะให้ทั้งเก็ท หรือชัญญ่ามาออกค่าโน้นค่านี่ให้ผมเฉยๆ ได้ยังไง ผมก็ดูเอาเปรียบ ดูเห็นแก่ตัวตายเลยอ่ะดิ ไม่เอาด้วยหรอก ถ้ามันจะลำบากขนาดนั้นก็ไม่ต้องไปหรอก หาที่เที่ยวใกล้ๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้นเอาก็ได้

   “ชู่ววว... อย่าพูดแบบนี้ เราสองคนเต็มใจ เก็ทก็เป็นห่วงฟร๊องก์มากรู้ไหม เราเองก็เหมือนกัน อยากเห็นฟร๊องก์มีความสุขบ้าง ไม่ใช่เจอกี่ทีก็เอาแต่ทำหน้าอมทุกข์อยู่แบบนี้” ชัญญ่ายกนิ้วชี้ข้างหนึ่งขึ้นมาบอกให้ผมเงียบ ขณะที่มืออีกข้างถือโทรศัพท์ไว้

   “แต่...”

   “เอาล่ะ เป็นอันตกลงตามนี้ ส่วนเรื่องตั๋วเครื่องบิน เรื่องที่พักไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวกลับบ้านไปเราจัดการ วันเวลาเดี๋ยวเราส่งไปให้ในไลน์อีก อาทิตย์หน้าเลยเป็นไง” ผมถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกกับการพูดเองเออเองของชัญญ่า ผมไปตอบตกลงตอนไหน

   “หึหึ” เก็ทไม่พูดอะไร เพียงแค่ยกยิ้มอย่างพอใจในการกระทำอันเอาแต่ใจของแฟนตัวเอง สองคนนี้วางแผนกันมาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม

   “ห๊ะ... ห๊า เราไปตกลงด้วยตอนไหนเนี่ย!” ผมรีบแย้งขึ้นมาทันที นี่มันบ้าไปแล้ว! ผมยังไม่รู้เลยว่าจะขอพ่อแม่ไปได้ไหม ไม่เคยไปเที่ยวไกลขนาดนั้นด้วย แถมเงินเก็บที่มีก็เหลืออยู่แค่ไม่กี่พัน จะขอเพิ่มก็เกรงใจพ่อกับแม่ ทำอะไรไม่ปรึกษาก่อนบ้างเลย!

   “แล้วจะรอนานทำไม แค่นี้ก็เบื่อจะตายอยู่ล่ะ ไม่รู้สึกบ้างหรือไง” สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย แต่ผมก็ยังไม่ได้รับปากชัญญ่าหรอกว่าจะไปได้หรือเปล่า ยังไงก็ต้องขึ้นอยู่ที่พ่อกับแม่อยู่ดี ถ้าเกิดชัญญ่าจองทุกอย่างให้หมดแล้ว แต่ผมไม่ได้ไปเดี๋ยวผมจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าทีพักให้ทีหลังแล้วกัน แล้วก็ปล่อยให้สองคนนั้นไปฮันนีมูนกันแทน

   “จะเอาเราไปเป็นก้างขว้างคอทำไม ญ่าไปกับเก็ทสองคนก็ดีอยู่แล้ว”

   “โอ้ย! เรากับเก็ทอ่ะ แค่เห็นหน้าก็เบื่อกันจะตายแล้วย่ะ ตาบ้านี่เคยหวานกับเขาซะที่ไหน ไปเที่ยวด้วยน่าเบื่อจะตาย!” ชัญญ่าบ่นพลางหันไปเบ้ปากใส่เก็ทด้วยความหมั่นไส้ ถึงตอนนี้ผมก็ยังมีข้อสงสัยเสมอว่าสองคนนี้คบกันได้อย่างไร แม้ว่าชัญญ่าจะบ่นจะกัดยังไง แต่เก็ทผู้เย็นชาก็ไม่ได้รู้สึกร่วมไปด้วยเลย

   กลับบ้านมายังไม่ทันที่ผมจะได้ทำใจใดๆ ชัญญ่าก็จัดการส่งรายละเอียดทั้งที่นั่ง เที่ยวบิน และที่พัก รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของภูเก็ตมาให้ผมได้ศึกษาด้วยความเร็วแสง แถมที่ทำให้ผมช็อคกว่าเดิมก็คือ กำหนดการไปเที่ยวเริ่มขึ้นตอนกลางอาทิตย์หน้าตามที่เธอพูดไว้จริงๆ

   เล่นเอาผมทำใจอยู่นานว่าจะเริ่มพูดกับพ่อแม่ยังไงดีไม่ให้โดนด่า ก็มันกะทันหันมาก แล้วอีกอย่างไปไกลแบบนี้ค่าใช้จ่ายก็คงไม่น้อย

   “แม่...” ผมเดินเข้าไปหาแม่ที่นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆ พ่อ ก่อนจะล้มตัวลงนอนหนุนตักอย่างอ้อนๆ

   “อ้อนแบบนี้มีอะไรอีกล่ะ” แม่ก้มลงมาถามพลางหัวเราะเบาๆ พ่อเองก็หันมามองนิ่งๆ เหมือนกัน

   “ฟร๊องก์... ขอไปเที่ยวนะ” เข้าเรื่องเลยอย่าได้เสียเวลา อย่างน้อยถ้าโดนด่าก็ไม่ต้องถูกด่าที่พูดจาอ้อมค้อม พูดยืดเยื้อด้วย

   “จะไปที่ไหนล่ะ” พ่อถามขึ้น ผมเลยเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งให้มันเป็นกิจจะลักษณะ

   “คือ... ไปภูเก็ตอ่ะ ให้ฟร๊องก์ไปนะพ่อนะ ให้ฟร๊องก์ไปนะแม่” ผมใช้ลูกอ้อนอย่างเต็มที่

   “ไปกับใคร แล้วมีตังค์?” แม่เลิกคิ้วถาม แต่ใบหน้ายังอมยิ้ม

   “ไปกับเพื่อน เก็ทกับชัญญ่าไงแม่ ที่เคยมาบ้านอ่ะ ส่วนตังค์ก็พอมี แหะๆ แต่ถ้าได้เพิ่มก็ดี เผื่อฉุกเฉินไรงี้” ผมยิ้มกว้างก่อนจะเข้าไปคลอเคลียร์ที่ไหล่แม่อีกครั้ง

   “ตังค์ตัวเองก็มีแล้วยังมาขอพ่อกับแม่อีก ลูกคนนี้!” พ่อบ่นอุบอิบ แต่ผมรู้ว่าบ่นไปแค่นั้นแหละครับ ถึงเวลาก็ให้
   “แล้วจะไปเมื่อไหร่”

   “อาทิตย์หน้าครับ” ผมหลับตาบอกออกไปขณะที่หัวยังอิงอยู่ที่ไหล่แม่ โดนด่าแน่เลยกูๆ

   “อยากไปก็ไปสิ” ห๊ะ! ผมหูไม่ฝาดใช่ไหม แม่ให้ไปง่ายๆ แถมยังไม่บ่น ไม่ด่าอะไรอีกต่างหาก ทำไมบทจะง่ายก็ง่ายมากขนาดนี้ นี่ผมเตรียมหูไว้โดนด่าเต็มที่เลยนะเมื่อกี้ “แล้วไปอะไรยังไง พักที่ไหน”

   “เอ่อ... นั่งเครื่องไปอ่ะ ส่วนที่พักฟร๊องก์ไม่รู้จักเหมือนกัน ชัญญ่าเป็นคนจัดการหมดเลย เนี่ยรายละเอียดเที่ยวบินแล้วก็ที่พัก” ผมก็บอกรายละเอียดไปพร้อมเอาไลน์ที่ชัญญ่าส่งมาให้แม่ดู แต่ไม่ได้บอกหรอกนะครับว่าชัญญ่าพูดว่าจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ ไม่งั้นผมโดนด่าตายเลย แต่เอาเถอะ รอดจากการโดนบ่น โดนด่ามาได้ก็ดีแล้ว แล้วผมต้องเตรียมอะไรบ้างล่ะที่จะไปเนี่ย

**********___________**********

   ‘สวัสดีภูเก็ต’ ผมเช็คอินพร้อมกับเขียนคำบรรยายสั้นๆ ง่ายๆ ก่อนจะโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ใช่ครับ ตอนนี้เครื่องแลนด์ดิ้งยังท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตแล้ว ไฟล์ทบินของพวกเราคือสิบโมงครึ่งครับ ใช้เวลาชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงที่นี่

   ลืมบอกไปว่าเก็ทไม่ได้มาด้วยหรอกครับ เห็นมันบอกว่าติดธุระนิดหน่อยและฝากเที่ยวเผื่อด้วย ซึ่งชัญญ่าก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนผมจะบ่นอะไรได้ แค่ชัญญ่าซื้อตั๋วให้ก็เกรงใจมากแล้วใช่ไหมครับ พอเห็นบอร์ดดิ้งพาสผมยิ่งอยากจะร้องไห้เลย เธอไม่ได้ซื้อตั๋วชั้นประหยัดด้วยครับ ซึ่งแน่นอนว่ามันแลกมากกับความสบายที่มากกว่า แต่ก็แพงกว่าเช่นกัน

   เอาจริงๆ ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าสรุปแล้วชัญญ่าจองที่พักไว้ที่ไหน แต่ถึงจะรู้ชื่อ เห็นรูปจากรีวิวมาบ้างประปราย แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีแหละว่ามันอยู่ส่วนไหนของที่นี่อยู่ดี ฉะนั้นก็ตามๆ คนที่ชวนมาไปเรื่อยๆ ล่ะกัน

   สุดท้ายชัญญ่าก็ทำอะไรให้ผมอึ้ง ทึ้ง (เสียว) กับทริปครั้งนี้มา ผมตกใจมาเมื่อมาถึงที่พัก เพราะมันโคตรใหญ่ และโคตรหรู หรูชนิดที่ว่าถ้าผมมาเองคงไม่มีปัญญาเข้าพักในที่แบบนี้แน่ๆ แถมตอนมายังไม่ต้องลำบากอีกด้วย เพราะมีรถรอรับอยู่ที่สนามบินเลย อะไรจะเลิศหรูขนาดนี้ มันหรูมากจนผมรู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยอะไรชัญญ่าเลย แต่ตอนนี้จะให้ช่วยค่าใช้จ่าย ผมคงต้องขายทุกอย่างที่ติดตัวมาด้วยแล้วแหละ มาที่แบบนี้แล้วผมทำตัวไม่ถูกเลย มันหรูมากเกินไป

   โรงแรมที่ตั้งตระง่านอยู่ตัวหน้าผมและชัญญ่านี้เป็นสิ่งปลูกสร้างสไตล์โมเดิร์น ตัวตึกดูสะอาดตา ด้านหน้ามีสวนหย่อมที่ดูร่มรื่น และมีบ่อน้ำและน้ำตกเล็กๆ สร้างบรรยากาศที่ดูสงบ ก่อนที่รถจะเข้าไปจอดตรงจุดรับรอง

   เดินเข้ามาเป็นส่วนของล็อบบี้ที่ค่อนข้างโล่งและโอ่โถง มองตรงไปเป็นเคาน์เตอร์พนักงาน ส่วนที่นั่งพักจะแยกอยู่ทั้งสองข้าง ฝั่งหนึ่งจะมีร้านกาแฟเล็กๆ เป็นร้านกระจกเปิดโล่ง ตกแต่งแบบเดียวกับตัวโรงแรม

   ช่วงเที่ยงกว่าๆ อย่างนี้มีคนมากอยู่เพราะมีทั้งคนที่เตรียมจะเช็คอินรวมทั้งคนที่เพิ่งเช็คเอ้าท์ และบางคนที่นั่งเล่น นั่งพักผ่อน เพราะจากมุมที่นั่งพักมองออกไปจะเห็นสวนที่อยู่ด้านนอกด้วย ชัญญ่าบอกให้ผมไปนั่งรอก่อนก็ได้ ก่อนที่เธอจะเดินไปติดต่อในส่วนของห้องพัก

   “ได้คีย์การ์ดมาล่ะ ไปกัน” ไม่นานชัญญ่าก็เดินกลับมาก่อนจะชูคีย์การ์ดให้ผมดูพร้อมรอยยิ้มแจ่มใส

   “ชัญญ่า... มันหรูไปหรือเปล่า คือเราเกรงใจว่ะ” ผมบ่นเสียงอ่อนขณะที่เดินตามหลังชัญญ่าและพนักงานที่พาผมสองคนไปส่งที่ห้องพัก

   “เอาน่า มาถึงนี้แล้ว อีกอย่างที่นี่ก็เป็นของเพื่อนญ่าเอง ได้ส่วนลดพิเศษ ไม่ต้องเกรงใจ” ชัญญ่าหันมาตอบยิ้มๆ ก่อนจะขยิบตาให้ ถึงจะเป็นเพื่อนกันแต่ก็คงไม่ได้ลดให้เยอะแยะอะไรมากหรอก หรูขนาดนี้ ผมรู้สึกพนักงานต้อนรับยังดูดีกว่าผมเลย

   เราเดินไปตามที่พนักงานนำทางไปเรื่อยๆ ก็ผ่านป้ายที่ชี้ไปทางห้องอาหารซึ่งสามารถมองเข้าไปได้เหมือนกันเพราะเป็นกระจกรอบด้าน มองทะลุห้องอาหารไปสามารถเห็นวิวทะเลและภูเขาได้ และยังมีโต๊ะด้านนอกที่เป็นเฉลียงยื่นออกไปอีกต่างหากสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารกลางแจ้ง (แต่ก็มีหลังคาอยู่นะ แค่รับลมเต็มๆ อะไรแบบนั้น) ถัดไปฝั่งตรงข้างกับห้องอาหารก็มีป้ายชี้ว่าสปา แต่ต้องเดินออกจากตัวอาคารไปเลยไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นแบบไหน

   ไม่นานเราก็ขึ้นมาถึงห้องพัก ที่ตกแต่งสะอาดตา น่าพักผ่อน เข้ามาด้านในมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดีฟฟิวเซอร์ที่ช่วยให้ผ่อนคลายทุกครั้งที่หายใจเข้า ตัวห้องค่อนข้างกว้างขวาง แบ่งเป็นสัดส่วน โดยที่เข้าห้องมาจะเป็นส่วนของทางเดินแคบหน่อย พ้นมาจะเจอกับโซฟานั่งเล่น ตรงมุมส่วนนั่งเล่นเข้าไปนั้นจะเป็นห้องน้ำ

   ถัดไปจะเป็นส่วนของเตียงนอนขนาดคิงไซส์สีขาวสะอาดตา อยู่ตรงข้ามกับจอทีวีติดผนังขนาดพอสมควรที่สามารถเห็นได้ทั้งห้อง พ้นจากเตียงไปจะเป็นประตูกระจกใสกับม่านสีทึบกั้นแสงซึ่งเก็บไว้อย่างสวยงามเผยให้เห็นทางระเบียง

   ด้านนอกระเบียง มีเก้าอี้หวายพร้อมเบาะนวมทรงโมเดิร์นเข้ากับสไตล์ของโรงแรมวางอยู่มุมหนึ่งของระเบียง ส่วนอีกฝั่งจะมีระแนงไม้กั้นให้แสงแดดพอลอดเข้ามาได้ ซึ่งเป็นส่วนของอ่างจากุซซี่ ซึ่งห้องที่ผมสองคนพักจะอยู่เหนือจากจุดนั่งพักผ่อนกลางแจ้งอีกจุดและสระว่ายน้ำอยู่สองชั้น ซึ่งตรงส่วนนั้นจะเป็นส่วนที่ยื่นออกมาของชั้นสอง

   จุดนั่งเล่นที่ปูด้วยหญ้าเทียม พร้อมทั้งมีต้นไม้พุ่มประดับให้ความร่มรื่นอยู่ประปราย มีทั้งที่นั่งเป็นเบาะแบบชิลล์ๆ รวมไปถึงโต๊ะที่สามารถนั่งทานอะไรได้ ผมเห็นมีพนักงานกำลังเตรียมสถานที่เหมือนจะจัดงานอะไรสักอย่าง คงจัดในตอนกลางคืนล่ะมั้ง เพราะเห็นมีไฟประดับไว้ตามต้นไม้ด้วย รวมถึงจอโปรเจคเตอร์ขนาดกว้างพอสมควรที่พอจะมองเห็นได้ทั้งพื้นที่นั้น

   อีกด้านเป็นสระว่ายน้ำขนาดกลางๆ ยกพื้นสูงกว่าส่วนอื่น มีกระจกกั้นอีกด้านเพื่อไม่ให้ตกลงไป ด้านที่อยู่ติดกับจุดพักผ่อนนั้นมีแถบกระถางต้นไม้เล็กๆ กั้น พร้อมด้วยบาร์เครื่องดื่มที่มีไว้ให้บริการด้วยเช่นกัน ในส่วนนี้ทั้งหมดจะหันหน้าออกไปยังทะเล คือเห็นวิวทะเลได้ชัดเจนมากเพราะเป็นฝั่งเดียวกับห้องอาหาร เช่นเดียวกับวิวที่มองจากระเบียงห้องของผม

   “ขอบคุณมากนะคะ” ชัญญ่าบอกขอบคุณพนักงานที่มาส่งและอธิบายในส่วนต่างๆ ขณะที่ผมเนี่ยเดินสำรวจดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างเต็มที่โดยไม่ได้สนใจอะไรเลย เอาหน่อยเถอะ อย่างผมจะมีโอกาสได้เข้าพักห้องที่หรูหราแบบนี้สักกี่ครั้งกันในชีวิตเนี่ย!
   “เป็นไงฟร๊องก์ ดีเลยใช่ไหมล่ะ”

   “มากกก ไม่คิดว่าตัวเองจะมีบุญได้เข้าพักที่พักหรูๆ แบบนี้ด้วยซ้ำ ถ้าทำงานมีเงินอยากจะพาพ่อกับแม่มาพักแบบนี้ดู ท่านคงรู้สึกดี” ผมหวังเอาไว้ อยากให้พ่อกับแม่ได้มาเห็น ได้มาพักสถานที่ดีๆ แบบนี้ แต่มันก็คงต้องใช้เงินไม่น้อย

   “อีกหน่อยฟร๊องก์อาจจะได้มาบ่อยๆ ก็ได้นะ” ผมหันไปมองชัญญ่าที่พูดยิ้มๆ ก็ขอให้เป็นอย่างที่ชัญญ่าพูดแล้วกัน เพราะถ้าผมมาเองก็คงได้แค่โรงแรมระดับกลางๆ เท่านั้นแหละ “ว่าแต่หิวไหม เราหิวว่ะ ลงไปหาอะไรกินกันเถอะ”

   แล้วผมกับชัญญ่าก็เปลี่ยนชุดพร้อมลุย ก่อนลงไปกินอาหารมื้อแรกของวันที่ห้องอาหารของโรงแรมครับ ก่อนที่เราจะไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ต่อ มาถึงทะเลแล้วก็เอาให้เต็มที่ซะหน่อย


à suivre...


กลับมาอัปแล้วฮะ หายไปออกบูทขายของมา 555+ (หารายได้แป๊บ)

มีคนหันกลับมาเชียร์ปาร์คด้วย 55555+
ลองดูสิ๊จะได้ผลป่าว ตอนหน้าเป็นตอนส่งท้ายแล้ว (แต่ตอนส่งท้ายมีอีกกี่พาร์ทก็ดูต่อไป หุหุ)

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? Chapitre 54 P.9 [UP 12/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-12-2017 23:24:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 16-12-2017 19:31:46
L’épilogue 1

   มาถึงภูเก็ตแค่วันเดียวผมก็คล้ำขึ้นซะแล้ว ก็ผมกับชัญญ่าเล่นน้ำทะเลอย่างไม่กลัวแดดเลยครับ สนุกมากๆ น้ำทะเลฝั่งอันดามันใสสมคำล้ำลือจริงๆ เราสองคนไปยังเกาะต่างๆ จนลืมเวลาเลย กลับมาถึงโรงแรมอีกทีก็เกือบมืดแล้ว แถมยังหิวข้าวอีกต่างหาก ก็เล่นใช้พลังงานเยอะขนาดนั้น

   “ฟร๊องก์ เดี๋ยวอาบน้ำแต่งตัวดีๆ หน่อยนะ เอาให้น่ารักๆ เลย” ชัญญ่าที่กำลังง้วนกับการกดโทรศัพท์เงยขึ้นมาบอกผม ตัวก็เปียกแล้วมานั่งตากแอร์แบบนี้ไม่กลัวเป็นปอดชื้นหรือไง

   “แต่งตัวดีๆ ทำไมอ่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย แค่จะลงไปกินข้าว แล้วก็ขึ้นห้องนอนแล้ว จะแต่งตัวไปทำไม

   “เอาน่า วันนี้โรงแรมเขามีงานเลี้ยง เขาเชิญแขกไปร่วมงานด้วยนะ นี่ไงเขาเอาการ์ดมาวางไว้ตอนที่เราออกไปเที่ยวเล่นกัน งานอยู่ตรงสระว่ายน้ำนั่นไง เราก็ไปร่วมแจมสักหน่อย ดริ้งกึ่มๆ แล้วค่อยขึ้นมานอน” อ๋อ ถึงว่าสิมีการจัดงานเลี้ยง ถึงจะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่ทำไมอยู่ๆ ทางโรงแรมถึงได้จัดเลี้ยงขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้มีโอกาสพิเศษหรือวันพิเศษอะไร แต่ก็โชคดีจังที่ได้รับการ์ดเชิญด้วย เขาคงให้แขกที่เลือกห้องพักดีๆ ในระดับที่ชัญญ่าเลือกมาแบบนี้ล่ะมั้ง ก็มาพักหรูแบบนี้แล้วยังมีโอกาสได้ไปร่วมงานพอดีอีก จะไม่ให้บอกว่าตัวเองโชคดีได้ไง

   “โอเค แต่ไม่รู้ว่าจะมีชุดที่ดูดีๆ เปล่านะ ไม่ค่อยได้เอาชุดมา เอาแต่ชุดเล่นน้ำมาอย่างเดียวเลย”

   “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ทางการอยู่แล้ว ใส่เชิ้ต ใส่อะไรก็ได้ เอาให้น่ารักๆ หน่อยก็พอ”

   ผ่านไปกว่าชั่วโมง ทั้งผมและชัญญ่าก็อยู่ในเสื้อผ้าอีกชุด ชัญญ่าอยู่ในเสื้อครอปแขนกุดมีดีไซน์สีขาวดำ เผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบและช่วงเอวขาวเนียนของเธอ กับกระโปรงสอบเอวสูงสีดำไม่ยาวนักแต่มีระบายผ้าซีฟองช่วยพรางตา กับรองเท้าส้นสูงสีดำที่เธอใส่ตอนมาถึง ทุกอย่างมันทำให้เธอดูโดดเด่นมากๆ

   ซึ่งต่างกับผมลิบลับ ผมที่สวมเสื้อเชิ้ตมีลายบางๆ ทั้งตัวสีฟ้าอ่อนสดใส กับกางเกงขาสั้น ซึ่งไม่มีแล้ว ผมเอามาแต่กางเกงขาสั้นทั้งนั้นเลย ขนาดตอนมายังใส่ขาสั้นมา แล้วก็รองเท้าผ้าใบคู่ที่ใส่มาเช่นกัน เอาเถอะ ไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว
 
   เกือบสองทุ่มเราสองคนก็ลงไปยังส่วนของสระว่ายน้ำและจุดพักผ่อนชั้นสองที่ตอนนี้ประดับประดาไปด้วยดวงไฟหลากสีเข้ากับแสงไฟของสระว่ายน้ำที่เปลี่ยนไปมา เสียงดนตรีคลอเบาๆ ช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่ง ด้วยบรรยากาศไม่ไกลจากทะเลมากแบบนี้ จึงทำให้มีลมพัดเบาๆ มาเป็นระยะ ผมค่อยๆ เดินเข้าไปด้านใน ทำไมดูไม่มีคนเลย ทั้งที่ปกติถ้าเป็นงานแบบนี้แขกน่าจะเยอะ แต่ตอนนี้เหมือนจะมีเพียงหนักงานเท่านั้น

   ผมค่อยๆ เดินผ่านเข้าไปยังซุ้มลอดที่ทำจากดอกไม้สีหวานที่เมื่อตอนกลางวันยังไม่มี เข้าไปยังส่วนของสวนหญ้าเทียมที่ตอนนี้มีเทียนหอมจุดห้อยไว้เป็นระยะเพื่อสร้างบรรยากาศและกลิ่นที่ชวนให้ผ่อนคลาย ผมรู้สึกดีและผ่อนคลายกับบรรยากาศงานนี้มากๆ ในขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศโดยรอบอยู่นั้น จู่ๆ แสงไฟทุกดวงก็ดับลง

   เสียงดนตรีที่เปิดคลอในตอนแรกก็ถูกปิดลงตามไปด้วย ก่อนที่เสียงกีต้าร์โปร่งพร้อมกับเสียงเต้นของจังหวะหัวใจจะดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับภาพของใครบางคนที่หายไปจากชีวิตผมเนิ่นนานจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นภายในจอโปรเจคเตอร์

   ‘ได้ยินไหม ข้างในนี้... ได้ยินเสียงของหัวใจที่มันร้องเพลงนี้ไปเพื่อเธอ’

   ผมหันไปมองหน้าชัญญ่าที่ตอนนี้อมยิ้มกึ่งหัวเราะกับท่าทางตกใจของผม นี่มันอะไรกัน

   ‘ไม่มีคำ พูดพร่ำเพ้อ สบตาของฉันและเธอแทนทุกๆ คำที่เอ่อล้นใจ’

   ภาพของปาร์คที่กำลังดีดกีต้าร์ พร้อมกับร้องเพลงที่ดังออกมานั้นปรากฏของยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดมากขึ้น ภาพของปาร์คไปอยู่ในนั้นได้ยังไง

   ‘หากวันเวลาจะพาโลกเปลี่ยนแปรฝันไป’

   “ชัญญ่านี่มันเรื่องอะไร... กัน” ผมที่ตั้งสติได้ละสายตาจากหน้าจอเพื่อหันกลับมาถามชัญญ่าอีกครั้ง แต่ชัญญ่าไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียวอีกแล้ว แต่พ่อกับแม่ผมกลับมายืนอยู่ด้วย อะไรกัน นี่มันคืออะไรกัน พ่อกับแม่ผมมาได้ยังไง

   ‘เส้นทางยาวใกล้แค่ไหนแต่รักยังเหมือนเดิม’

   ยังไม่ทันที่จะคลายข้อสงสัย พ่อและแม่ของปาร์คถ้าผมจำไม่ผิด ก็เดินตามออกมาพร้อมด้วยผู้ชายอีกคนที่ผมจำได้ดี ซึ่งก็คือพี่ปอนด์ พี่ของปาร์ค

   เสียงร้องของปาร์คและภาพที่ปรากฏอยู่บนจอนั้นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ผมเองกลับได้แต่มึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมงงไปหมดแล้ว ทุกคนมาได้ยังไง แล้ว... กำลังทำอะไรกันอยู่

   ‘เก็บเพลงนี้ไว้ตรงที่เล็กๆ ในใจ เก็บให้นานๆ อย่าให้จางลบเลือนไป
เมื่อเธอเหงา ไม่เหลือใคร โปรดรู้ว่าเธอนั้นยังมีฉัน
อยู่ตรงนั้นเสมอตรงที่เล็กๆ ในใจ ความห่างไกลไม่มีความหมายใดๆ
แค่เอามือขวาแนบอกซ้าย ได้ยินไหม นี้คือเพลงของหัวใจของเรา’

   ท่อนฮุคของเพลงเริ่มขึ้น ก่อนที่โคมไฟดวงเล็กๆ ตรงซุ้มด้านข้างจอจะสว่างขึ้น เผยให้เห็นเงาของคนที่ผมคุ้นเคย คนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังอยู่ในใจของผมตลอดมา

   ปาร์คค่อยๆ เดินออกมาจากซุ้มนั้น ขณะเดียวกันใบหน้าคมเข้มกับร่างสูงกำยำในเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนดูดีก็ค่อยๆ ปรากฏชัดแก่สายตาผมมากขึ้น อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการของปาร์ค โดยร่วมมือกับชัญญ่าอีกแล้ว แถมทุกคนยังรู้เห็นเป็นด้วยอีกต่างหาก

   เสียงเพลงที่ปาร์คร้องยังคงบรรเลงต่อไป แต่ตอนนี้ผมแทบไม่รับรู้สิ่งรอบข้างแล้ว ผมได้แต่อึ้งกับคนที่ปรากฏกายตรงหน้า น้ำตาผมค่อยๆ ไหลลงมาช้า ขณะที่ปาร์คเองก็เดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น

   “ยังจำเพลงนี้ได้อยู่ไหม” ไม่นานปาร์คก็มาหยุดที่ด้านหน้าของผม ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ยังคุงนุ่มทุ้ม รื่นหูเสมอ ผมเองก็ค่อยๆ เงยหน้ามองปาร์คผ่านม่านน้ำตา ก่อนที่มือใหญ่นั้นจะยกขึ้นมาเช็ดให้ผมอย่างแผ่วเบา

   เพลงๆ นี้... เพลงที่ผมเคยได้ยินแล้วครั้งหนึ่ง เพลงที่เคยได้ฟังจากคนตรงหน้าเมื่อนานมาแล้ว เพลงที่ปาร์คร้องให้ผมฟังตอนที่จบมอหกและเพลงๆ นี้... ที่ผมเองก็เกือบจะลืมไปแล้วเหมือนกัน หากแต่คนที่อยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้กลับมาดึงความทรงจำของผมให้กลับมา แล้วยังแสดงออกว่าเขายังคงจำมันได้ดีและไม่เคยลืมเลือนมันไปเลย

   “ไม่ร้องนะ ไม่ดีใจหรือไงที่เจอปาร์ค” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นที่อบอวลไปด้วยความรักและห่วงใย ดีใจสิ ผมดีใจมากเลยด้วยซ้ำ มากจนไม่กล้าจะเชื่อว่าสิที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเรื่องจริง

   “น่ะ... นี่มันอะไรกัน”

   “ปาร์คจัดมันขึ้นมาเพื่อฟร๊องก์ไง” ปาร์คตอบเสียงนุ่มด้วยรอยยิ้ม

   “ฮึก... หมายความว่าไง ปาร์ค... มาได้ไง”

   “ก็มาหาฟร๊องก์ไง ปาร์คคิดถึงฟร๊องก์มากนะ ปาร์คเองก็ไม่รู้จะง้อฟร๊องก์ยังไงนะ ไม่รู้จะทำยังไงให้ฟร๊องก์เห็นว่าปาร์ครักฟร๊องก์จริงๆ ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่นี้จะถูกใจฟร๊องก์หรือเปล่า แต่ปาร์คก็ขอโทษนะกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขอโทษ... ที่เคยทำร้ายฟร๊องก์” ฝ่ามือใหญ่ที่แสนอบอุ่นคู่นั้นยังคงคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้าผม ประคองไว้อย่างทะนุถนอมและลูบไล้อย่างเบามือราวกับกลัวว่าผมจะอันตรธานหายไป

   สัมผัสจากคนที่ผมพยายามจะลืมเลือนมาตลอดช่วงเวลาที่เขาหายไป แต่บัดนี้คนตรงหน้ากลับมา พร้อมกับดึงความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพยายามกดและซ่อนมันเอาไว้ออกมาจนหมด

   “ขอโทษเหมือนกัน ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไรแล้วที่พูดขอโทษ ขอโทษที่ยังคอยติดต่อกับปาร์คอยู่เสมอ และวางแผนนี้กับปาร์คขึ้นมา เรื่องตั๋วเครื่องบินปาร์คเป็นคนจัดการให้ ส่วนโรงแรมนี้ก็เป็นโรงแรมที่ครอบครัวปาร์คถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่งเช่นกัน เราทำไปเพราะอยากให้ทั้งฟร๊องก์กับปาร์คลงเอยด้วยดีนะ” ชัญญ่าเข้ามาอธิบายเสริมด้วยเสียงอ่อน ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดแต่ที่ชัญญ่าทำ ก็เพื่อผมและปาร์ค

   “ที่ปาร์คปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานขนาดนี้ และวางแผนนี้ขึ้นมา เพราะพ่อแม่ และตัวฟร๊องก์บอกเองว่าให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ปาร์คใช้ทั้งเวลาและระยะทางเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว จนถึงตอนนี้สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเครื่องยืนยันความรู้สึกของปาร์คแล้วว่า ‘ปาร์ครักฟร๊องก์’ เสมอ”

   “...”

   “แม้ว่าฟร๊องก์จะพยายามไล่ปาร์คยังไง แต่ปาร์คทำใจไม่ได้จริงๆ ที่จะปล่อยฟร๊องก์ไป และปล่อยให้ฟร๊องก์ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากปาร์คคนเดียว อย่างน้อยปาร์คก็อยากจะแชร์ความรู้สึกเจ็บปวดที่ฟร๊องก์มีมาให้กับปาร์คบ้าง ให้ปาร์คได้รับผิดชอบมันบ้าง” ฝ่ามือใหญ่นั้นยังคงคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้าของผม พร้อมทั้งหมั่นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวของผมด้วยเช่นกัน

   “ฟร๊องก์... ฮึก...”

   “ปาร์คไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรให้ฟร๊องก์รู้สึกดีและรับรู้ความรู้สึกของปาร์คที่มีให้ฟร๊องก์จริงๆ” ปาร์คพูดพร้อมกับแสงไฟรอบข้างที่ค่อยๆ สว่างขึ้นกว่าในตอนแรก ก่อนที่ปาร์คจะหยิบเอาแหวนทองคำขาวที่สลักว่า ‘Park & Franc’ ซึ่งร้อยไว้กับสร้อยทองคำขาวเส้นเรียวยื่นมาข้างหน้าของผม ขณะที่อีกมือก็หยิบสร้อยที่ตัวเองใส่อยู่ขึ้นมาคู่กัน

   “ปะ... ปาร์ค...” น้ำตาที่ปาร์คพยายามเช็คออกไปก่อนหน้า มันยิ่งไหลออกมามากขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและความตั้งใจของคนๆ นี้

   “เรากลับมาดีกันนะ ได้โปรดคบกับปาร์คเถอะนะ”

   “...”

   “ปาร์คไม่อยากปล่อยให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บปวดกับการกระทำเลวร้ายในอดีตของปาร์คคนเดียวอีกแล้ว เรามาช่วยกันแก้ไขและก้าวข้ามมันไปด้วยกันเถอะนะ... นะครับ”

   “แต่...” ผมหันกลับไปมองพ่อแม่ของผม รวมทั้งครอบครัวปาร์คที่ยืนมองอยู่ แม้ว่าทุกคนต่างมองภาพของผมกับปาร์คตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอยู่ก็ตาม

   “มันก็พิสูจน์ได้แล้วนะ ว่าเรื่องของครอบครัวที่ฟร๊องก์อาจจะกังวล มันไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลย ทุกคนยอมรับได้ ปาร์คเองก็ไปขอพ่อกับแม่ฟร๊องก์ด้วยตัวปาร์คเองแล้ว ท่านต่างยอมให้ปาร์คได้ลองคบกับฟร๊องก์แล้ว ท่านทั้งสองถึงได้ยอมมาที่นี่ ป๊า แม่และก็พี่ปอนด์เองก็เหมือนกัน เขายอมให้เราสองคนคบกัน เหลือแค่ฟร๊องก์ตอบตกลง”

   “ฟร๊องก์ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ผมเอ่ยพร้อมกับหันมามองยังปาร์คเหมือนเดิม ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตา

   “แล้วเรื่องอะไร” ปาร์คเอามือมาจับมือทั้งสองข้างของผมเหมือนขอร้อง

   “ปาร์คคิดว่าฟร๊องก์ทำใจเรื่องที่ผ่านมานั้นได้เหรอ!” ผมสะบัดมือของปาร์คออก ก่อนจะผลักเขาอย่างแรง ดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาก่อนหน้า แปรเปลี่ยนเป็นสายตานิ่งงัน ไร้ความรู้สึกใดๆ

   ไม่ยินดียินร้าย หรือแม้แต่จะเห็นใจคำข้อร้องจากคนตรงหน้า


ปล. เพลงประกอบ: เพลงของหัวใจ - โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร


à suivre...


ปาร์คมาง้อแล้ว แต่ยังไงต่อ
สรุปฟร๊องก์จะตัดใจ ไม่ยอมคืนดีจริงๆ ใช่ไหม


จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue1 P.9 [UP 16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-12-2017 19:58:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue1 P.9 [UP 16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-12-2017 21:41:32
ถ้าจะเล่นใหญ่ขนาดนี้
ถึงขนาดยกกันมาหมดทั้งสองครอบครัว

เฮ้ออออออ..ยังงี้ก็ยอมใจล่ะ
ใจอ่อน+อ่อนใจ ไปกับปาร์ค
อิอิ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue1 P.9 [UP 16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-12-2017 16:35:24
อดีตมันเป็นอะไรที่ลืมยาก เราว่าปาร์คสมควรที่จะคบแบบเพื่อนและค่อยๆ สานสัมพันธ์ใหม่นะเราว่าแบบนี้ดีสุดแล้วล่ะ
เพราะคงไม่มีอะไรมารับประกันว่าปาร์คจะไม่กลับไปคบกับผู้หญิงอีกหรือเปล่านี่นะ เพราะเห็นตอนนั้นสับสนซะเหลือเกินนี่
ว่าจะคบกับใครดีระหว่างยัยชะนีนั้นหรือฟร็องก์จนเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue1 P.9 [UP 16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 21-12-2017 03:40:41
ปวดหัวตุบเลย อะไรกันเนี้ย
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue1 P.9 [UP 16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 21-12-2017 19:04:20
รู้ว่าอดีตลืมยาก แต่คนเราก็ไม่ควรยึดติดอดีตเพราะมันเป็นตัวฉุดรั้งอนาคตไว้

ปราค์ก็พยายามพิสูจน์ตัวเองก็น่าจะให้โอกาสอีกครั้งสิ
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue1 P.9 [UP 16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 22-12-2017 13:08:30
ได้เวลาบ๊ายบายอย่างจริงจังสักที ไม่ชอบความยึดติดของฟร้องซ์ ที่ผ่านมาไม่เคยสงสัยฟร้องซ์ด้วยซ้ำ สมน้ำหน้าด้วยซ้ำเพราะเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้เอง แต่คนอื่นที่ร้ายกับฟร้องซ์ แต่เรากลับรู้สึกว่าเหตุผลมันสมควรเพราะที่ร้ายก็เพราะรักไงแต่มีอยู่ตัวนึงที่ร้ายมาตลอดแต่มีอยู่ตัวนึงที่ร้ายมาตลอดไม่ใช่เพราะรักด้วย. เพราะมันเลือกคนอื่นก่อนฟร้องซ์เสมอ ทำร้ายอีกสารพัด ถ้าคิดว่าความดีที่เคยมีมามันมากพอก็เอาเลยฟร้องซ์ ถ้าสิ่งที่โดนกระทำมาตลอดไม่เลือกที่จะนึกถึงก็เอาเลย คนโง่ดักดานก็ควรแค่แก่คนเลวๆแล้ว สมกันแล้วผีเน่ากับโลงผุ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... L’épilogue 2 [24/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 24-12-2017 19:32:27
L’épilogue 2

   “ปาร์คคิดว่าฟร๊องก์ทำใจเรื่องที่ผ่านมานั้นได้เหรอ!” ผมพูดใส่หน้าปาร์คด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พลางมองด้วยสายตาเย็นชา ระยะเวลาที่ผ่านมามันนานพอที่จะทำให้ผมทำใจให้รู้สึกกับปาร์คน้อยลงได้บ้าง แม้จะไม่ได้หมดรัก แต่ก็ผมก็ทำใจได้ที่จะไม่รักอีก แต่รอยแผลที่เกิดขึ้นในอดีต ผมคงเป็นไอ้ขี้ขลาดที่ไม่กล้าจะลืมมัน

   “รู้ไหมสิ่งที่เกิดขึ้นกับฟร๊องก์ก่อนหน้า ฟร๊องก์เจ็บปวดแค่ไหน ปาร์คทำให้ฟร๊องด์ต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายและความเจ็บปวด เจ็บจากการกระทำที่โหดร้ายของปาร์ค แล้วจะให้ฟร๊องก์ไปคบกับคนที่ทำร้ายตัวเองได้อย่างนั้นเหรอ ฟร๊องก์บอกปาร์คตั้งแต่ตอนนั้นแล้วไม่ใช่เหรอว่าฟร๊องก์ไม่อยากจะเปิดใจให้ใครทั้งนั้น โดยเฉพาะกับคนอย่างปาร์ค ที่ทำร้ายฟร๊องก์ครั้งแล้วครั้งเล่า!”

   “... ฟร๊องก์...”

   “แล้วก็ครั้งนี้อีก ปาร์คก็ยังคงกลับมาทำร้ายความรู้สึกของฟรีองก์อีก แถมครั้งนี้ปาร์คยังพาทุกคนมาให้รวมหัวกันหลอกฟร๊องก์อีก นี่มันกี่ครั้งกี่หนแล้วที่ทุกคนรวมหัวกันหลอกฟร๊องก์ กี่ครั้งแล้วที่ฟร๊องก์ต้องถูกหลอก! เห็นฟร๊องก์เป็นตัวอะไรเหรอ! เห็นฟร๊องก์เป็นหุ่นเชิดที่จะเชิดไปไหนก็ได้ ให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเหรอ! ที่ผ่านมายังเห็นฟร๊องก์เจ็บไม่พออีกหรือไง!”

   “ฟะ... ฟร๊องก์ เปล่านะ ปาร์คไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลย” ปาร์คที่มองผมด้วยรอยยิ้มบางๆ ในตอนแรก กลับเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าซีดเผือดด้วยความตระหนกตกใจขึ้นทันที

   “แล้วทำแบบนี้ทำไม! เห็นฟร๊องก์เป็นตัวอะไรเหรอ เห็นฟร๊องก์เป็นไอ้โง่ที่จะหลอกได้ง่ายๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้นเหรอ! หรือเห็นว่าฟร๊องก์เป็นของตายของปาร์ค ที่แค่ทำเซอร์ไพรส์แค่นี้ฟร๊องก์ก็จะยอมให้อภัย! บอกเลยว่ามันง่ายไปหน่อยมั้งกับความรู้สึกที่เสียไปของฟร๊องก์!” ผมยังคงตะโกนใส่หน้าปาร์คอย่างห้ามไม่อยู่

   คิดว่าผมยินดีกับสิ่งที่ปาร์คทำอยู่เหรอ คิดว่าผมจะดีใจที่ปาร์คทำเซอร์ไพรส์เหรอ เปล่าเลย มันยิ่งตอกย้ำให้ผมดูเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้นเอง! สุดท้ายก็คงเป็นผมเองที่ต้องกลับไปจมอยู่กับความเจ็บปวดเช่นเดิม

   “ปาร์คขอโทษ... เพราะ... เพราะปาร์คไม่รู้ว่าจะกลับมาคุยกับฟร๊องก์อย่างไร จะขอคบกับฟร๊องก์ได้อย่างไร ปาร์คเลยต้องทำแบบนี้ ฟร๊องก์เข้าใจปาร์คนะ ปาร์คไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลย ปาร์คแค่อยากจะเซอร์ไพรส์ ไม่คิดจะหลอกฟร๊องก์เลยสักนิด ปาร์ครู้ว่าสิ่งที่ปาร์คเคยทำกับฟร๊องก์ไว้ แค่นี้มันคงลบล้างไม่ได้ แต่ปาร์คไม่อยากจะใช้มันมาลบล้างความผิดอยู่แล้ว ปาร์คแค่อยากให้ฟร๊องก์ให้โอกาสปาร์คได้เป็นคนรักษาแผลนั้นด้วยตัวปาร์คเอง”

   “...”

   “เรากลับมาดีกันเหมือนเดิมเถอะนะฟร๊องก์ ยังไม่ต้องตกลงคบกันก็ได้ แต่ให้โอกาสปาร์คเถอะนะ” ดวงตาทรงเสน่ห์ของปาร์คตอนนี้เอ่อล้นด้วยน้ำตา มุมอ่อนแอของปาร์คที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก

   “ฟร๊องก์คงกลับไปรู้สึกดีกับปาร์คไม่ได้อีกแล้ว ทั้งที่ฟร๊องก์พยายามจะตัดใจแล้ว ปาร์คกลับมาอีกทำไม ทำไมยังต้องคอยทำให้ฟร๊องก์ตกอยู่ในความรู้สึกนี้ด้วย ทำไมไม่ปล่อยฟร๊องก์ไปสักที” ผมฟังคำเว้าวอนจากปาร์ค ก็อ่อนลงอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะพูดทั้งน้ำตา ทำไมกัน ทั้งที่ผมพยายามจะเดินออกจากจุดที่ผมยืนอยู่แล้วแท้ๆ ทำไมปาร์คถึงฉุดให้ผมกลับมาเจ็บปวดกับความรู้สึกนี้ซ้ำๆ ด้วย

   ไม่ว่าผมจะพยายามลืมอย่างไร ปาร์คก็มักจะโผล่เข้ามาปั่นป่วนความรู้สึกของผมเสมอ ไม่ว่าผมจะพยายามเปิดใจให้ใครได้เข้ามา ปาร์คก็มักจะมากันท่า ทำท่าทางหึงหวงกับผมเสมอ และสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็กลับมาทำร้ายผมเสมอเช่นกัน แล้วผมควรจะทำอย่างไร   

   “ปาร์คขอโทษ... แต่ปาร์คจะละเลยความรู้สึกที่มีเหมือนแต่ก่อนแล้วปล่อยฟร๊องก์ไปไม่ได้จริงๆ” ปาร์คอ้อนวอนผมอย่างน่าเห็นใจ มือที่ถือสร้อยที่ร้อยแหวนวงนั้นไว้เอื้อมมาจับมือผมอย่างเว้าวอน

   “หึ! แล้วปาร์คคิดว่าไอ้ของแค่นี้มันจะมีค่าพอลบล้างสิ่งต่างๆ ที่ปาร์คทำไว้กับฟร๊องก์เหรอ ต้องให้พูดไหมว่าทำอะไรกับฟร๊องก์ไว้บ้าง แล้วคิดว่าไอ้ของแค่นี้มันจะมีค่าพองั้นเหรอ!” ผมแย่งสร้อยเส้นนั้นจากมือปาร์ค ก่อนจะขว้างมันออกไปสุดแรง ถึงมันจะมีค่าแค่ไหน แต่ความรู้สึกของผมมันก็มาแทนที่ไม่ได้หรอก คิดว่าผมจะลืมวันที่ถูกปาร์คย้ำยีอย่างทารุณได้เหรอ คิดว่าผมจะลืมว่าที่ปาร์คทำร้ายผมเพื่อปกป้องอีกคนได้เหรอ คิดว่าของแค่นี้มันจะทดแทนความรู้สึกที่เสียไปของผมได้อย่างนั้นหรือ!

   “ฟร๊องก์!” ปาร์คพูดด้วยท่าทางตกใจ พร้อมกับมองหน้าผมด้วยสายตาที่ผิดหวัง ปาร์คจะผิดหวังอะไรกับแค่ของแค่นั้น แล้วกับผมล่ะ ไม่คิดว่าผมจะเคยรู้สึกผิดหวังบ้างเหรอ ไม่คิดว่าผมจะเคยเจ็บกับการกระทำต่างๆ นานานั่นบ้างเหรอ ปาร์คมองหน้าผมอยู่เป็นนาที ก่อนที่จะทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ แล้ววิ่งออกไป “มันอาจจะไม่มีค่าพอสำหรับฟร๊องก์ แต่ปาร์คก็จะเอามากลับคืนมาให้ฟร๊องก์ให้ได้!”

   “มันไม่มากไปหน่อยเหรอวะ!” ขณะที่ปาร์คกำลังวิ่งออกไปจากบริเวณนี้ ตัวผมก็ปลิวด้วยแรงกระชากของใครอีกคน จนเมื่อตัวผมหันตามแรงกระชากนั้นไปคนที่เข้ามากระชากไหล่ผมอย่างแรงนั้นก็คือพี่ปอนด์นั้นเอง เขาตัวใหญ่กว่าผมเล็กน้อย และเป็นจังหวะที่ผมกำลังเผลอ เลยทำให้แรงกระชากนั้นค่อนข้างรุนแรง

   “มันไม่มากไปหรอกครับ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมเคยได้รับมา มีใครเคยสนใจ เคยถามผมหรือเปล่าว่าผมต้องทนเจ็บปวดกับสิ่งที่ผ่านมามากขนาดไหน” ผมรีบตั้งสติ พร้อมสะบัดไหล่ออกจากการจับกุมดังกล่าว ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่ดุเข้ม พร้อมกับจ้องตาพี่ปอนด์อย่างไม่มีใครยอมใครเช่นกัน

   “แต่มันมากถึงขั้นที่จะต้องทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้เลยเหรอ! มึงยังจะเอาอะไรอีก มึงรักน้องกูจริงหรือเปล่า ไหนมึงเคยบอกว่ารักน้องกูไง!” พี่เขาบริภาษใส่ผมด้วยอารมณ์เดือดพล่าน สายตาดุดันจ้องลึกเข้ามาในนัยน์ตาของผมอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ผมเองก็ไม่ได้หลบสายตาเขาเหมือนกัน เพราะยังไงซะวันนี้มันก็ต้องแตกหักอยู่แล้ว ผมไม่อยากจะโง่ต่อไปอีกแล้ว ผมไม่อยากจะเป็นแค่ตัวอะไรก็ไม่รู้ที่ใครจะมาทำร้ายจิตใจได้อีกแล้ว!

   “ผมเคยบอกพี่เหรอครับ เท่าที่ผมจำได้ผมบอกพี่ว่าระหว่างผมกับปาร์คเราคือ ‘เพื่อน’ กันเท่านั้นนะครับพี่ปอนด์ จำไม่ได้เหรอ พี่ปอนด์ยังย้ำเลยว่าจำที่ผมบอกเอาไว้ดีๆ นี่ไงครับ ผมจำได้แม่นเลย แล้วก็ทำตามแล้วไง” ผมแสยะยิ้มเหยียดอย่างท้าทาย ผมพูดจริงนิ ผมเป็นคนบอกพี่เขาเองว่าเป็นเพื่อนกัน พี่เขาเองก็ให้ผมย้ำสถานะนั้นเอง ตอนนี้ผมก็ทำแล้วไง ผมพยายามที่จะหยุดความสัมพันธ์ที่ล้ำเส้นของความเป็นเพื่อนมานานแล้ว แต่อีกคนต่างหากที่กำลังล้ำเส้น

   “มึงมันโคตรเห็นแก่ตัวเลย! น้องกูรักมึงมาก มึงรู้บ้างรึเปล่า! มันทำเพื่อมึงมากขนาดไหน มึงเคยรับรู้บ้างไหม! มึงมันไม่เคยรู้อะไรเลย ห่วงแต่ความรู้สึกของตัวเอง!”

   “...!” ผมนิ่งงันกับสิ่งที่ปอนด์พูด ที่ผ่านมาผมแคร์แต่ตัวเองงั้นเหรอ ผมแค่กลัวความเจ็บปวดที่ทำให้ผมไม่อยากกลับไปเจ็บอีก แปลว่าผมเห็นแก่ตัวอย่างนั้นเหรอ

   “มึงรู้ไหมว่าปาร์คมันพยายามมากแค่ไหนที่ต้องให้ป๊ากับแม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ มึงคิดว่ามันง่ายนักเหรอกับการทำให้ความรักที่ผิดธรรมชาตินี้เป็นที่ยอมรับได้ ปาร์คมันแบกความกดดันไว้มากแค่ไหนมึงไม่เคยรู้เลย หึ! มึงคงคิดว่าปาร์คมันไม่เห็นจะดูมีปัญหาอะไรตรงไหน ก็ใช้ชีวิตสุขสบายดี ใช่! เพราะครอบครัวไม่เคยบังคับว่าต้องให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่กับเรื่องนี้มันไม่ใช่ไง ป๊ากับแม่เคยต้องผิดหวังกับกูมาแล้วคนหนึ่ง ปาร์คมันเลยถูกตั้งความหวังและสร้างแรงกดดันมาตั้งแต่เด็กว่าไม่อยากให้เป็นเหมือนกู”

   “...”

   “กูเองก็พอจะดูน้องกูออกว่าปาร์คมันรู้สึกกับมึงมานานแล้ว แต่มันไม่กล้า แม้จะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง เพราะมันกลัวว่าป๊ากับแม่จะผิดหวังและเสียใจ กลัวว่าอาการของป๊าจะทรุดลงด้วย มึงคงไม่รู้สิว่าป๊าของพวกกูเป็นมะเร็งลำไส้ แต่ถึงจะรู้ มึงก็คงไม่ได้ใส่ใจ แต่กูจะบอกไว้ให้ว่านั่นก็ยิ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ปาร์คต้องปิดกั้นความรู้สึกตัวเอง และไม่ตอบรับความรู้สึกของมึง”

   “...!” ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อของปาร์คป่วย

   “ปาร์คมันน่าสงสารนะ ทั้งที่มันสามารถมีความสุขได้กับทุกๆ เรื่อง แต่เรื่องนี้มันกลับทำตามหัวใจตัวเองไม่ได้ แต่ก็เป็นเพราะมึง ที่ทำให้มันกล้าที่จะเดินออกมาเปิดอกคุยกับป๊าและแม่ เพราะมันรักมึงมากไง มันถึงกล้าที่จะทำตามหัวใจตัวเองในอีกเรื่อง และมันก็ยอมจะแลกความฝันของตัวเองที่จะเป็นสถาปนิกเพื่อต่อโทบริหารมาสืบทอดงานที่บ้าน ที่มันยอมแลกก็เพราะมันคิดว่าความรักที่มันมีให้มึง จะทำให้ป๊ากับแม่เห็นใจและยอมรับเรื่องนี้ได้ มันใช้เวลานานนะที่จะพิสูจน์ตัวเอง ทั้งกับครอบครัวมันเอง แล้วไหนจะครอบครัวมึงอีก”

   “…”

   “เรื่องเซอร์ไพรส์มึงวันนี้ ปาร์คมันก็เตรียมตัว และขอร้องให้ทุกคนช่วย มันยอมที่จะโดนหักค่าขนม และไปช่วยงานที่บริษัททุกเสาร์ อาทิตย์เพื่อรับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายที่ทำให้เกิดงานนี้ขึ้นมา บอกตรงๆ มาวันนี้กูไม่แค่สงสารน้องกูที่มันต้องทนเก็บความรู้สึกมานาน และยอมแลกอะไรหลายๆ อย่างแล้วว่ะ แต่กูสงสารมันที่ไปรักกับคนไร้หัวใจแบบมึง!”

   “ผมเนี่ยนะไร้หัวใจ แล้วที่ผ่านมา ถ้าปาร์ครักผมจริงๆ ทำไมปาร์คถึงได้ทำร้ายผมล่ะ ผมน่ะรู้ใจของตัวเองมาตลอดว่ารักปาร์ค แต่ไม่ใช่ปาร์คหรอกเหรอที่โลเล จนทำให้ความรู้สึกของผมตอนนี้มันสายเกินกว่าจะกลับไปรักอีกแล้ว” 

   “มึง!” พี่ปอนด์พูดกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นเส้น ก่อนที่จะผลักผมอย่างแรงจนผมล้มลงกับพื้น ก่อนที่ตัวเขาจะตามมาคร่อมและใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างบีบคอผม

   “ฟร๊องก์! พี่ปอนด์ปล่อย! ผมบอกให้ปล่อย!!” ปาร์คที่วิ่งกลับมาช่วยดึงตัวพี่ปอนด์ออกไปจากตัวผม ก่อนที่จะคว้าตัวผมมาไว้ในอ้อมแขนและเอาตัวเอาเข้ามากันฝ่ามือที่หมายจะฟาดมาที่ผมไว้แทน

   เพี๊ยะ!

   เสียงฝ่ามือที่กระทบลงที่แก้มของปาร์คดังสนั่น ทำเอาทุกอย่างหยุดนิ่ง เสียงแตกตื่นของเหล่าพนักงานที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ดังอื้ออึง

   ทุกคนที่พยายามจะเข้ามาห้ามสถานการณ์ถึงกับนิ่งงัน ตื่นตะลึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หลังจากที่พี่ปอนด์ตบลงที่ใบหน้าปาร์คอย่างแรง ดูเขาเองก็อึ้งไปเหมือนกัน ผมเองก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดตรงหน้า แต่ปาร์คไม่ได้แสดงออกถึงความเจ็บปวดใดๆ ยังคงกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขนนั้นแน่น ไม่ยอมปล่อย

   ผมที่พอสงบลง หันไปมองรอบข้าง ผมเห็นชัญญ่าเบือนหน้าหนีด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่าผิดหวังอย่างชัดเจน เห็นแม่ปาร์คยืนร้องไห้อยู่กับอกของพ่อปาร์ค ในขณะที่แม่ผมเข้าไปจับมือท่านเหมือนกำลังปลอบ ผมดูแย่ในสายตาพวกท่านมากเลยใช่ไหม พวกท่านคงเกลียดและผิดหวังในตัวผมเหมือนกับความรู้สึกที่พี่ปอนด์มีต่อผมสินะ

   “หยุดบ้าหรือยังครับพี่ปอนด์” ปาร์คหันไปกล่าวโทษพี่ปอนด์ด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ก่อนจะค่อยๆ ประคองตัวผมให้ลุกขึ้นยืน “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมฟร๊องก์ ปาร์คขอโทษนะ ขอโทษที่ไม่อยู่ช่วยฟร๊องก์ ขอโทษที่เข้ามาช่วยฟร๊องก์ช้าไป ขอโทษที่ทำให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บอีกแล้ว”

   “พะ... พี่ขอโทษ” พี่ปอนด์พี่เสียงอ่อน ผมมองดูปาร์คที่กำลังสำรวจตัวผมว่าผมบาดเจ็บอะไรหรือเปล่าแล้วก็รู้สึกสงสาร รู้สึกผิดขึ้นมา ผมก็ไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะผมคนเดียว เรื่องทั้งหมดมันเกิดเพราะผมแค่คนเดียว!

   เพราะผมคนเดียวที่ยึดติดอยู่กับภาพความเจ็บปวดในอดีต เพราะผมที่ถูกอดีตกักขัง และเอามันมาเป็นข้ออ้างปกป้องตัวเอง โดยไม่คิดว่ามันจะทำร้ายคนอื่นๆ มากแค่ไหน 

   “อย่าทำร้ายฟร๊องก์เลยนะพี่ปอนด์ ถ้าจะทำขอให้มาทำกับปาร์คคนเดียว ปาร์คเคยทำให้ฟร๊องก์เสียใจเอาไว้มาก แค่นี้มันยังน้อยไปสำหรับปาร์คด้วยซ้ำ ปาร์ครักฟร๊องก์นะพี่ปอนด์ ฟร๊องก์คือคนที่ปาร์ครัก ไม่ว่ายังไงปาร์คก็ยังคงรัก ของที่เสียไปมันก็คือสิ่งของ ยังไงซะตัวคนก็สำคัญกว่าอยู่ดี แค่ที่ผ่านมา ฟร๊องก์ก็คงเกลียดปาร์คจนไม่อยากจะมองหน้าแล้ว” ปาร์คที่สำรวจตัวผมแล้วว่าไม่เป็นอะไรก็หันกลับไปพูดกับพี่ปอนด์ทั้งน้ำตา

   ผมไม่ได้เกลียดปาร์ค ไม่เคยเลย แต่ผมแค่กลัวสิ่งใจตัวเอง ผมไม่อยากให้เราสองคนถลำเข้าไปลึกกว่านี้ ผมกลัวว่าวันหนึ่งปาร์คจะทำร้ายผมอีก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผมเอง ที่ทำให้ทุกคนเจ็บปวด ทั้งปาร์ค ทั้งพ่อแม่ของเราสองคน ผมทำให้พี่น้องต้องทะเลาะกัน

   คงเป็นผมเองที่เห็นแก่ตัวอย่างที่พี่ปอนด์ว่า ผมไม่ควรอยู่ที่นี่ ไม่ควรมีตัวตนอยู่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม ก่อนจะตัดสินใจผลักปาร์คออกแล้ววิ่งออกไปจากตรงนี้ ไปให้ไกลจากคนที่เคยต้องทำให้ผมเจ็บปวด และต้องเจ็บปวดเพราะผมเหล่านี้ มันควรเป็นผมต่างหากที่อยู่บนโลกนี้คนเดียว

   คนที่ห่วงแต่ตัวเองอย่างผม ไม่ควรได้รับความรักใคร...


à suivre...


อ้าวเห้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า
ฟร๊องก์เป็นบ้าขึ้นมาแล้วแน่ๆ นี่ถ้ามีคนทำให้ขนาดนี้ เราคงใจอ่อนไปแล้ว
แต่นี่คืออะไร แต่งมาถึงตอนนี้ยังสงสัยว่านี่เราแต่งให้นายเอกเป็นบ้าหรือเปล่านะ 555+


ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วนะฮะ

เจอกันใหม่สิ้นเดือน สิ้นปี และจุดสิ้นสุดของเรื่อง จุ๊บ  :mew1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue2 P.9 [UP 24/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 24-12-2017 22:35:29
หึ ฟร้องซ์เป็นคนโง่ดักดานไม่พอ ยังกลายเป็นคนผิดด้วย ยินดีด้วยกับตำแหน่งนายเอกน่าสมเพชแห่งปี
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue2 P.9 [UP 24/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 25-12-2017 11:39:14
บางทีทิฐิก็ควรปล่อยวางลงบ้าง ถ้าเป็นเราก็คงใจอ่อนกับเซอร์ไพรส์นี้นะ เอามาได้ทั้งพ่อแม่ของเราและของเขา
เพื่อที่ให้ได้รับรู้แบบนี้ เราว่าดีออก
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue2 P.9 [UP 24/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 25-12-2017 13:33:32
เราว่าครอบครัวนี้แม่งไม่น่าคบ ไม่เคยคิดถึงคนอื่นเลย น้องตัวเองลำบาก

โอ๊ยยยยย ไอ้เฮี้ย น้องเมิงทำผิดหมดทั้งกฎหมาย ความเป็นคน ความรับผิดชอบ ในฐานะมนุษย์
ยิ่งพี่ออกมา ยิ่งเฮี้ยมาก

เฮี้ยสุด ตัวเองทำครอบครัวผิดหวัง ยกให้น้องรับผิดชอบ มาด่าคนของน้องรัวๆ ทำร้ายร่างกาย

นี่เค้าโตมากับการที่พ่อตบแม่ให้ดูหลังอาหารวันละ 3 เวลารึเปล่า
ถึงเห็นว่าการใช้กำลังเป็นเรื่องปกติ


ต่อให้ปาร์กดีขึ้น มีพี่แบบนี้ ชีวิตก็เฮี้ยเกินจะทน
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue2 P.9 [UP 24/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Sweetchan ที่ 25-12-2017 19:28:50
โอ๊ยยยยยยยย งงกับฟร๊อง เป็นไบโพหรอ เด๋วก็คิดถึงเค้าพอเค้ามาง้อก็วีนแตก งานคุณหนูเจ้าอารมมากกกก
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue2 P.9 [UP 24/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 25-12-2017 21:42:15
บอกตรงๆนะ รำคาญคนที่เอาแต่ด่าฟร้องซ์ ถามจริงโดนขนาดนี้จะให้ปล่อยวาง? ใช้อะไรคิด ปาร์คมันเลวเกินความเป็นคนด้วยซ้ำ แล้วดูพี่มันสิ สันดานเหี้ยที่สุดแล้ว มาด่าฟร้องซ์ว่าทำกับน้องมันแบบนี้ แค่นี้มันยังไม่ถึง10%ที่ปาร์คมันทำกับฟร้องซ์ไว้ด้วยซ้ำ คนที่เลวที่สุดและน่าขยะแขยงที่สุดคือพี่ไอ้ปาร์คที่มีความคิดต่ำตมแบบนี้ เรื่องนี้ควรจบด้วยการทางใครทางมัน ปัญหามันมีมากจนเกินเยียวยาแล้ว มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว ห่างกันออกไปเลย บางทีสิบปีข้างหน้าอาจจะกลับมาเจอกันใหม่แล้วให้อภัยกันก็ได้ แต่เวลานี้ควรจบแล้วต่างคนต่างไปมีชีวิตเป็นของตัวเองเถอะ ถ้ามันรักกันจริงอีกสิบปีกลับมาเจอกันใหม่ก็ไม่สายไปหรอกนะ
หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: PorschePor ที่ 02-01-2018 18:28:47
L’épilogue 3

      “ฟร๊องก์!” เสียงปาร์คตะโกนเรียกผมพร้อมด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามผมมา ก่อนที่ฝ่ามือใหญ่จะคว้าตัวผมให้หยุดวิ่งและดึงเข้าไปไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง “ฟร๊องก์ จะไปไหน”

      “ฟร๊องก์ไม่ควรอยู่ที่นี่ ฟร๊องก์ทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด ทำให้แม่ปาร์คต้องร้องไห้ แล้วอาจจะทำให้พ่อของปาร์คอาการทรุดลง ฟร๊องก์ทำให้ปาร์คต้องทำเลาะกับพี่ปอนด์ เรารักกันไม่ได้หรอกปาร์ค ทุกคนคงเกลียดฟร๊องก์หมดแล้ว มันจบแล้ว มันจบแล้ว!” ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดนั้นพร้อมกับปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างกลั้นไม่อยู่

      “ไม่เลย ทั้งหมดมันเป็นเพราะปาร์คต่างหาก ปาร์ครู้นะว่าการกระทำที่ผ่านมาที่เคยทำไว้กับฟร๊องก์มันยากที่จะให้อภัย ปาร์ครู้ว่าฟร๊องก์ต้องเจ็บปวดกับมัน แต่ให้โอกาสปาร์คอีกครั้งได้ไหม แผลต่างๆ ที่ปาร์คทำไว้ ขอให้ปาร์คได้เป็นคนรักษามันด้วยตัวเองได้ไหม ไม่ว่าฟร๊องก์จะยอมหรือไม่ แต่สิ่งที่ปาร์คอยากให้ฟร๊องก์รู้ไว้คือความรักของปาร์ค ปาร์คไม่ได้โกหกฟร๊องก์เลย ฟร๊องก์จะไล่ปาร์ค จะหนีปาร์คไปอีกก็ได้นะ จะให้ปาร์ครอต่อไปอีกนานแค่ไหนก็ได้ แต่ปาร์คอยากให้ฟร๊องก์ถามใจตัวเอง เพราะยังไงฟร๊องก์ก็หนีหัวใจตัวเองไม่พ้นหรอก” ปาร์คยื้อตัวผมไว้สุดแรงพลางอธิบายอย่างยืดยาว ส่งผ่านสิ่งที่อยู่ในใจของเขามาสู่ผม

      “ฮือ... ปล่อยนะ”

      “ฟร๊องก์จะไม่ให้อภัยปาร์คตอนนี้ก็ได้ จะหนีปาร์คไปก็ได้ แต่ปาร์คจะบอกว่าปาร์คไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ว่าฟร๊องก์จะหนีปาร์คไปที่ไหน จะให้ปาร์ครอนานแค่ไหน แต่ปาร์คก็จะรอ รอที่จะได้เยียวยาหัวใจที่เป็นแผลเพราะตัวปาร์ค...”

      “แล้วต้องนานแค่ไหนเหรอปาร์ค อีกนานแค่ไหนที่เราจะต้องเจ็บไม่รู้จักจบสิ้นแบบนี้ เมื่อไรที่เราจะกลับไปมองหน้ากันแล้วยิ้มและหัวเราะด้วยกัน เมื่อไรที่ปาร์คจะแกล้งฟร๊องก์ได้โดยทั้งเราทั้งคู่บริสุทธิ์ใจในฐานะของเพื่อน! เมื่อไรที่ปาร์คจะปล่อยให้ฟร๊องก์ได้ทำใจสักที!” เมื่อไรจะหยุดความเจ็บปวดในใจของผมสักที

      “ฟร๊องก์...”

      “ปล่อยฟร๊องก์ไปเถอะนะปาร์ค อย่าทรมานกันอีกเลย” ผมพูดอย่างอ่อนแรง ต่างจากอารมณ์ที่คุกรุ่นก่อนหน้า ผมเหนื่อยแล้วจริงๆ ผมไม่อยากให้ใครต้องเจ็บอีกแล้ว ผมไม่อยากให้ใครต้องผิดหวังไปมากกว่านี้อีกแล้ว

      “ปาร์ค... เข้าใจแล้ว... ถ้านั่นจะทำให้ฟร๊องก์มีความสุข... กว่าการที่มีปาร์คอยู่ในชีวิต ปาร์ค... ปาร์ค... ก็จะยอมปล่อยฟร๊องก์ไป...” สิ้นเสียงอันแสนหดหู่ของปาร์ค ผมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระตุกวูบ เหมือนตัวเองกำลังตกจากที่สูง

      บรรยากาศรอบข้างของผมเปลี่ยนไปทันที ต้นไม้ที่ถูกประดับด้วยดวงไฟหลากสีกลับดูไม่สดใสอีกต่อไป กลิ่นหอมจางๆ จากเทียนหอมที่จุดไว้ กลับทำให้รู้สึกคลื่นไส้ชวนอาเจียน สายลมจากท้องทะเลที่เคยพัดโชยเอื่อยๆ กลับหยุดนิ่งจนรู้สึกอบอ้าว ก่อนที่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นจะค่อยๆ ละออกจากตัวผมจนสัมผัสได้ถึงความเดียวดายและความเหงาจับขั่วหัวใจ แต่นั่นคือสิ่งที่ผมเลือกเอง...

      “ฮึก...” ผมหลับตาแน่นไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร ไม่กล้าที่จะมองอะไร แม้แต่การหายใจตอนนี้ยังรู้สึกยากลำบาก

      “ฟร๊องก์ไปตามทางที่ฟร๊องก์เลือกเถอะ...” เสียงปาร์คยังคงดังก้องจากด้านหลังของผม แต่ปราศจากวงแขนที่เคยโอบผมไว้แล้ว

      “ทำไมต้องไล่กันด้วย... หึหึ ฟร๊องก์ไม่ได้อยากไปไหนสักหน่อย” ผมค่อยๆ หันกลับไปหาปาร์ค ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยความพอใจ ทั้งพ่อแม่ของผม และพ่อแม่ของปาร์ค รวมถึงพี่ปอนด์และชัญญ่าเดินตามออกมาทางด้านหลังของปาร์คด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของทุกคน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ผมวางไว้เป๊ะ! แถมยังได้ผลเกินคาดด้วยซ้ำไป

      “น่ะ... นี่มันอะไรกัน” ปาร์คมองหน้าผมด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปมองยังทุกคนด้วยความสงสัยเช่นกัน

      “ปาร์คโดนฟร๊องก์ซ้อนแผนเข้าแล้วล่ะ ฮ่าๆ” ชัญญ่าอธิบายพร้อมเสียงหัวเราะ

      “หมายความว่า...”

      “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ฟร๊องก์เป็นคนวางแผนเองแหละ” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม ขำที่ปาร์คยังดูงงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ โดนหักดิบ ซ้อนแผนแบบคาดไม่ถึงของผมเป็นไงล่ะ “ขอโทษด้วยนะ และก็ขอบคุณที่อุตส่าห์วางแผนจะเซอร์ไพรส์ฟร๊องก์ไว้ แต่มันเนียนไม่พอ ฟร๊องก์เลยจับได้ซะก่อน มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ”

      ใช่แล้วครับ ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นแผนการของผมเอง ทั้งปาร์คและคุณผู้อ่านโดนผมต้มเข้าเต็มๆ เลยแหละ เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าที่ผมจะมาที่นี่ ผมดันเผลอไปได้ยินแม่คุยโทรศัพท์กับปาร์ค ก็เลยเริ่มจับได้ว่าทุกคนกำลังวางแผนหลอกให้ผมไปภูเก็ตเพื่อไปหาปาร์ค ถึงว่าทำไมแม่ถึงให้ผมไปง่ายจัง

      ผมรอจนแน่ใจว่าผมไม่ได้เข้าใจผิด จึงบอกให้แม่รู้เลยว่าผมรู้เรื่องแผนการที่วางไว้หมดแล้ว ผมเลยถามเรื่องราวทั้งหมด ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงยอมทำตามแผนของปาร์คได้ ทั้งที่ก่อนหน้าที่ได้รู้ว่าปาร์คทำไม่ดีไว้กับผม ท่านดูท่าทางไม่พอใจ แม่จึงบอกว่าปาร์คแอบพาพ่อกับแม่ของตนมากราบขอโทษสิ่งที่เคยทำผิดไว้กับผม พร้อมสารภาพว่ารู้สึกยังไงกับผม และพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง

      และการที่ปาร์คพาพ่อกับแม่ของตัวเองไปก็เพื่อให้พ่อกับแม่ของผมรับรู้และสบายใจได้ว่ามันไม่ได้เกิดจากความคิดอุกอาจของปาร์คคนเดียว แต่เป็นการที่ปาร์คได้คุยและทำให้พ่อแม่ของตัวยอมรับแล้วด้วย และนั่นก็ทำให้ผมถึงได้ถามต่อว่ามีใครสมรู้ร่วมคิดบ้าง พอผมรู้ถึงผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด คนแรกที่ผมโทรไปจัดการก็คือชัญญ่า ผมจัดการดึงเธอมาเป็นพวกทันที

      ก่อนจะพยายามหาทางติดต่อไปยังพี่ปอนด์ ซึ่งตอนแรกเขาก็ไม่เห็นด้วยนัก เพราะแผนที่ผมวางมานั้นค่อนข้างรุนแรง ก็อย่างที่เห็นก่อนหน้าว่ามันเล่นกับความรู้สึกและอารมณ์รุนแรงจริงๆ แต่ผมก็พยายามเกลี่ยกล่อมพี่ปอนด์ อย่างน้อยมันก็เป็นการพิสูจน์ได้ว่าปาร์ครู้สึกยังไงกับผมจริงๆ พิสูจน์สำหรับผมด้วย และก็พิสูจน์สำหรับตัวปาร์คเองด้วย ทั้งปาร์คและผมจะได้ไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองในภายหลัง และมันยังเป็นการเปิดโอกาสให้ปาร์คได้แสดงการขอโทษที่ออกมาจากใจจริงๆ และทำให้ผมเห็นอีกด้วยว่ามันมากพอจะทำให้ผมก้าวข้ามอดีตที่มีได้ไหม พี่ปอนด์จึงรับปากว่าจะช่วย รวมทั้งไปนัดแนะกับพ่อแม่ปาร์คอีกที

      และการที่ผมล่วงรู้ถึงแผนการนี้ก่อนจะตลบหลังกลับ ก็ทำให้ผมได้เปิดใจคุยและขอโทษพี่ปอนด์ถึงคำพูดที่ไม่สุภาพในเฟซบุ๊กตอนนั้นด้วย จึงทำให้ผมได้รู้ในอีกด้านของปาร์คที่ผมไม่เคยได้รับรู้เช่นกัน

      อย่างที่พี่ปอนด์พูดไปในแผนตลบหลังของผมก่อนหน้า สิ่งที่พี่ปอนด์พูดนั่นคือความจริงที่ผมไม่เคยรู้เลย ผมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากจริงๆ ที่กลัวแค่ตัวเองจะเจ็บปวดแบบที่ผ่านมา โดยไม่รับรู้เลยว่าปาร์คพยายามเพื่อผมมากแค่ไหน

      พี่ปอนด์เหมือนคนที่เข้ามาทำให้ตาของผมสว่างและชัดเจนมากขึ้น ทำให้ผมได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ปาร์คหายไป ปาร์คหายไปเพื่อจะพิสูจน์ตัวเองกับครอบครัวของตัวเอง และครอบครัวของผมว่าเขารักและจริงจังกับผมมากแค่ไหน

      ความฝันของปาร์ค ที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เคยที่จะบอกผมก็คือการเป็นสถาปนิก แม้ครอบครัวจะไม่ห้าม แต่เพราะธุรกิจการนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่มีมันก็ค้ำอยู่เป็นนัยว่าปาร์คจะต้องรับผิดชอบ และสุดท้ายเจ้าตัวก็ยอมละทิ้งความฝันเพื่อรับปากว่าจะเรียนต่อด้านการบริหารในระดับที่สูงขึ้น เพื่อมาดูแลธุรกิจดังกล่าวต่อจะพ่อของตนที่ถึงเวลาวางมือ

      และในช่วงแรกๆ ที่ปาร์คเอ่ยปากคุยเรื่องของผมกับครอบครัว พ่อแม่ของปาร์คยังคงทำใจไม่ได้ ส่งผลให้อาการของพ่อปาร์คทรุดลงเล็กน้อย ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านเพื่อดูแลพ่อของตนด้วย แม้จะทำให้การเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยจะลำบากมากขึ้น แต่เจ้าตัวก็ไม่หวั่น แถมยังทำผลการเรียนออกมาได้ดีอีกด้วย เป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างถึงความรับผิด และมันก็ทำให้พ่อกับแม่ของเขาเริ่มใจอ่อนจากคำขอร้องที่ปาร์คเอ่ยเป็นประจำ

      ปาร์คพยายามอย่างมากที่จะทำให้พ่อแม่ของตนยอมรับ รวมทั้งพี่ปอนด์ ที่เมื่อเห็นน้องของตนพยายามมากขนาดนั้น จึงช่วยน้องอีกแรง แม้ว่าจะใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่สุดท้ายปาร์คก็ทำสำเร็จ และพาพ่อกับแม่ของตนมาคุยกับพ่อแม่ของผมอย่างเป็นทางการ

      ตัวชัญญ่าเองก็รู้เรื่องนี้มาโดยตลอด แต่เพราะปาร์คขอเอาไว้ว่าไม่อยากให้ผมรู้ ชัญญ่าจึงไม่ปริปากพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็มักจะคอยเป็นสายรายงานความเป็นอยู่ของผมให้กับปาร์คอยู่เสมอ

      ในตอนแรกที่ผมได้รู้เรื่องราวต่างๆ จากพี่ปอนด์ หัวใจผมมันเหมือนถูกบีบรัดอย่างรุนแรง ผมเฝ้าแต่ถามตัวเองเสมอว่าสิ่งที่ปาร์คทำมันมากพอแล้วใช้ไหมกับสิ่งที่เคยผ่านมา และสิ่งเหล่านี้มันจะลบล้างการกระทำเลวร้ายเหล่านั้นได้หรือเปล่า
และผมก็ได้คำตอบสำหรับตัวเองว่า ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยวาง เราก็คงไม่มีวันหลุดพ้น   

      แม้แผนที่ผมวางไว้จะค่อนข้างรุนแรง และไม่ค่อยเป็นที่เห็นด้วยจากใครหลายๆ คนมากนัก แต่พอเห็นพี่ปอนด์เล่นละครเมื่อกี้ ผมว่าพี่เขาจริงจังกว่าผมอีก เล่นผลักผมเต็มแรงเหมือนเกลียดผมจริงๆ แถมยังนอกบทตบหน้าปาร์คซะเต็มจนผมเองยังอึ้งอีกด้วย แล้วบอกว่าไม่อยากให้ความร่วมมือ ฮ่าๆ

      ผมเองก็รู้นะว่าแผนนี้ค่อนข้างเสี่ยง เพราะถ้าปาร์ครู้ตัวว่าจริงๆ แล้วความรู้สึกที่มันมีไม่ได้จริงจังกับผม เรื่องระหว่างผมกับปาร์คก็จะถึงจุดแตกหักจริงๆ แต่ไม่ว่ามันเสี่ยงยังไง ผลลัพธ์ที่ได้มันก็คุ้มพอที่ผมจะยอมเสี่ยง เพราะผมไม่เหลืออะไรที่จะเดิมพันแล้ว

      อีกอย่างที่ผมกล้าวางแผนที่เสี่ยงขนาดนี้ก็เพราะสิ่งที่ปาร์คพยายามทำให้ผมเห็นก่อนหน้า ที่เจ้าตัวพยายามแสดงให้เห็นว่าเขารักผมจริงๆ ยอมที่จะลดทิฐิและศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อง้อและขอโทษผม นั่นคือความพยายามของปาร์คที่ทำให้เกิดแผนการตลบหลังวันนี้ขึ้นมา และทำให้ผมเลือกที่จะเริ่มต้นความรู้สึกดีๆ กับปาร์คใหม่เช่นกัน

      อย่างที่ผมตอบคำถามของตัวเอง ผมปล่อยวางมันลงหมดแล้ว ถึงผมจะไม่ได้รักปาร์คน้อยลง แต่ก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดการกระทำของปาร์คก่อนหน้าแล้ว ความรู้สึกมันกลับไปยังจุดเริ่มต้นมากกว่า อยู่ที่ว่าเราจะสานต่อมันอย่างไร

      “เล่นแรงไปแล้วนะฟร๊องก์ ปาร์คคิดว่าจะต้องปล่อยฟร๊องก์ไปแล้วจริงๆ” ปาร์คว่าผมด้วยท่าทางเคืองเล็กๆ พร้อมกับเชิดหน้าใส่ผมอย่างงอนๆ ดูแล้วผมตลกมากกว่า แต่เห็นแบบนี้ก็น่ารักดี ก่อนที่เจ้าตัวจะวาดวงแขนมาโอบผมไว้อีกครั้ง และกอดผมแน่นกว่าเดิม แต่ต่างที่ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างจำเป็นต้องเล่นแรงถึงขั้นต้องโยนแหวนทิ้งเลยเหรอ รู้ไหมว่าปาร์คตั้งใจสั่งทำมันขึ้นมาพิเศษสำหรับเราสองคนเลยนะ จะหาเจอเปล่าก็ไม่รู้”

      “ใครว่าทิ้งไปแล้วล่ะ อยู่นี่ต่างหาก” ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบแหวนที่ร้อยอยู่กับสร้อยนั้นออกมา ผมคงโยนได้เนียนมาก และด้วยอารมณ์ตอนนั้นพาไปด้วยมั้ง ปาร์คถึงเชื่อสนิทใจว่าผมปาทิ้งไปแล้วจริงๆ เห็นหน้าตาตื่นตอนที่ผมเขวี้ยงแล้วยังเกือบหัวเราะออกมาเลย

      “ร้ายนักนะ พี่ปอนด์ก็อีกคน เล่นตบมาซะเต็มแรงเลย โกรธอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย!” ปาร์คว่าก่อนจะยกมือข้างหนึ่งมาลูบที่แก้มตัวเองปอยๆ คงจะเจ็บจริงๆ แล้ว โดนซะเต็มแรงขนาดนั้น ผมยังนึกนะว่าถ้ามันพลาดมาโดนผมขึ้นมาจะทำยังไง หน้าผมคงได้ห้อเลือดแน่ๆ

      “อารมณ์มันพาไปต่างหากจ้ะ!” พี่ปอนด์ว่า จะว่าไปแม่ปาร์คเองก็ใช่ย่อยนะ มีร้องไห้ด้วย สมบทบาทกันสุดๆ เลย

      “เดี๋ยวฟร๊องก์เป่าให้มา เพี้ยง! หายไวๆ นะ” ผมยกมือขึ้นมาลูบแก้มปาร์คเบาๆ อย่างทะนุถนอม ก่อนจะทำเป็นเป่าเบาๆ อย่างปลอบโยน

      “ไม่รู้แหละ แกล้งกันแบบนี้ต้องโดนทำโทษ!” ปาร์คกัดฟันบอกผมอย่างคาดโทษ

      “จะทำอะ... อุ๊บ!” ยังพูดได้ไม่ถึงสามพยางค์ ริมฝีปากของผมก็ถูกปิดสนิทด้วยริมฝีปากสีสดของปาร์คแล้ว ปาร์คจูบผมอย่างนุ่มนวล ดูดดื่ม ล้ำลึก แต่ก็ดุดันราวกับกำลังทำโทษผมไปด้วยในคราวเดียวกัน เรียวลิ้นไล่หยอกล้อลิ้นของผมอย่างไม่มีใครยอมใคร ราวกับว่าเราสองคนพยายามเก็บเกี่ยวความหวานที่รอคอยของกันและกัน ตักตวงความสุขจากการที่ต้องห่างเหินกันเนินนาน โดยไม่อายสายตานับสิบคู่ที่มองอยู่

      “นี่เป็นการทำโทษที่ทำแผนเอาไว้แสบนัก!” ปาร์คว่าหลังจากที่ละริมฝีปากออกจากกันอย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะกัดริมฝีปากล่างของผมเบาๆ อีกครั้งเมื่อพูดจบ พร้อมกับมือที่กำลังยุกยิกที่ลำคอของผม พอก้มลงไปมองอีกทีสร้อยและแหวนวงนั้นก็อยู่ที่ลำคอของผมเป็นที่เรียบร้อย “ห้ามหาย! ห้ามถอด!”

      “จะทำอะไรเกรงใจพ่อแม่กันมั้งนะเห้ย! ไม่ได้อยู่กันสองคน” พี่ปอนด์ว่าเสียงเข้ม แต่สีหน้าล้อเลียน พอพี่ปอนด์พูดแบบนี้ต่อมความอายผมก็ทำงานทันที ผมไม่กล้าจะเงยหน้ามองใครเลย ก็เมื่อกี้เล่นจูบกันซะ... ไม่อายฟ้าอายทะเลเลย

      “จบได้สักทีสินะลูก เข้าใจกันได้ก็ดีแล้ว แม่ก็ลุ้นแทบแย่ ต่อไปนี้ก็ดูแลกันและกันให้ดีล่ะ” แม่ผมพูดพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปยิ้มกับพ่อและพ่อแม่ของปาร์คด้วยเช่นกัน

      “ยังไม่จบหรอกครับ มันเพิ่งจะเริ่มต้นต่างหาก นับจากนี้เป็นต้นไปต่างหากครับที่ทุกอย่างจะเข้ามาทดสอบความรักของเราว่ามันจะแข็งแรงพอไหม หัวใจที่มีให้กันจะมั่นคงพอหรือเปล่า มันนับจากนี้เป็นต้นไปต่างหากครับ” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ปาร์คก็กระชับอ้อมแขนที่เอวผม ก่อนจะก้มลงมาหอมแก้ม

      รอยแผลที่เคยถูกทำไว้แม้ว่าจะมีคนมารักษาให้ แต่สิ่งที่เหลือไว้คือร่องรอยแห่งความทรงจำ ทุกสิ่งที่ผ่านมามันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของบทพิสูจน์ของหัวใจ กาลเวลาที่เดินมาตั้งแต่อดีตจนถึงวันนี้ และต่อไปในอนาคต มันคือการเดินทางของหัวใจที่ช่วยให้เราสองคนได้เรียนรู้กันมากขึ้น ทุกรอยแผลที่เกิดขึ้นกับของเราทั้งสองคนมันจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและเตือนความจำไม่ให้เราทั้งคู่กลับไปทำอะไรผิดๆ ที่จะมาซ้ำรอยแผลเดิมอีก

      สำหรับผม ความรัก ไม่มีคำว่าเกินให้อภัย... เพียงแค่เราจะเลือกหยุดและสัมผัสมันตรงจุดไหน

      และสำหรับผมแล้ว ผมอาจจะไม่ได้ให้รักกับปาร์คมากมายอย่างเช่นต่อก่อน แต่มันก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีวันกลับไปมากเช่นเดิมได้ เส้นทางความรักระหว่างผมกับปาร์คมันได้ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นต่างหาก จุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่ต่อจากนี้จะเป็นหน้าที่ของเราสองคนจะเลือกพามันไปถึงจุดหมายอย่างไร

      สิ่งอยู่นับจากนี้ไป ที่จะเป็นทบทดสอบหัวใจของเราสองคนว่าจะยังมั่นคงต่อกันอยู่ไหม ผมไม่รู้หรอกว่าวันนี้การก้าวล้ำเส้นของความเป็นเพื่อนของผมกับปาร์คมันผิดหรือเปล่า คำถามที่เคยเกิดขึ้นและเป็นข้อสงสัยในใจมาตลอด คงไม่มีใครสามารถตอบมันแทนได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากหัวใจของเราสองคน...

      ขอบคุณทุกบทเรียนที่เข้ามาทำให้ผมได้เรียนรู้ และเข้มแข็งมากขึ้น ขอบคุณคนที่อยู่ตรงหน้าที่ทำให้รู้ว่า...

      แค่ ‘รัก’ อย่างเดียวมันอาจจะไม่พอ...

La fin…


จบแล้วฮะ สำหรับนิยายเรื่องแรกที่ยาวมากๆ นี้
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่มาลงช้านะฮะ ทั้งที่บอกว่าจะมาลงก่อนสิ้นปี แต่ก็เลยจนได้
และก็ดีใจและรู้สึกดีมากๆ ที่ได้รับรู้มุมมองจากคนอ่านหลายต่อหลายอย่างเลย
เดินทางมาจนจบ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการจบของเราจะถูกใจทุกคนไหม ผิดพลาดยังไงก็ต้องขออภัยไว้ด้วยนะฮะ

ที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นจนจบ ขอบคุณมากๆ จริงๆ สำหรับทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน ติดตามและแสดงความเห็นต่างๆ
เรายิ้ม และรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเม้นต์ เพราะมันคือสิ่งที่ดีที่สุดในการนำมาปรับผลงานของเราให้ดีขึ้น
มันคือประสบการณ์และมิตรภาพที่ดีมากๆ ที่ส่งมาให้เราโดยตลอด

สุดท้ายนี้ก็ไม่มีมีอะไรจะเอ่ยไปมากกว่าคำว่า "ขอบคุณ" อีกครั้ง

จนกว่าจะมีโอกาสได้พบกันใหม่  :mew1:


Porsche Por
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-01-2018 20:04:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-01-2018 10:10:07
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-01-2018 21:13:34
พระเอกเลวตอนต้นเรื่อง
แล้วกลับกลายมาดีเอาตอนท้ายเรื่อง

เราโอเค..กับปาร์คนะ

คนเราถ้าร้ายมาตอนแรกๆ แล้วเปลี่ยนไปเป็นดี
โอเคเลยยอมรับได้

ดีกว่าพระเอกมาตอนแรกๆโคตรจะดี
อ้้าววววว...ไหงกลับเหี้ยขึ้นมาเฉยเลย
แบบนี้ล่ะก็..รับไม่ไหวจริงๆ

ทั้งนิยายและเรื่องจริง
บอกเลย...มันเหี้ยมากกกก

ดีใจด้วย..ปาร์ค+ฟร๊องก์
จุ๊บๆๆๆๆๆ

เหนื่อยเลย..ลุ้นคู่นี้มานานนนนนนนนนนน
อิอิ

ขอบคุณคนแต่งฮับ
เลิฟเลย
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 04-01-2018 08:16:59
คนแต่งสุดยอดมากกกก :pig4: แต่งเก่งมากกกก ติดตามต่อไปค่า :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-01-2018 10:36:12
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Final_love ที่ 19-06-2019 20:24:20
เกือบจะเลิกอ่านกลางคันแล้วเชียว ดีนะที่อ่านจบ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:30:08
 :pig4: