บัลลังก์ปักษา
ตอนที่ 3
การตื่นเช้าและอาบน้ำในหอที่มีคนอยู่ด้วยกัน 4 คนเป็นอะไรที่วุ่นวายสุดๆ
ผมตื่นเพราะเสียงปีหนึ่งที่นอนอยู่ส่วนกลางด้วยกันเป็นคนปลุก หลังจากที่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกและผมก็มีเรียนเช้า ผมก็เลยสะกิดเพื่อนในห้องทุกคนให้ตื่นกันหมด
พวกแม่งดันมีเรียนเช้าเหมือนกันไปอีก
“กูอาบก่อน!”
“เชี่ยไมล์ คณะมึงอยู่ใกล้กว่ากู!”
“ยังไงทุกคนก็ต้องรอมึงอยู่แล้ว ทุกคนไปรถมึง!”
“กูอาบก่อนเว้ย ถอย!”
ฟ๊าคคคคค ผมกับอาสามองดูคู่คนละขั้วเถียงกันแล้วเหนื่อยใจ (เพราะคนหนึ่งดูเย็นๆ คนหนึ่งดูอบอุ่น) เราสองคนจึงนั่งอยู่บนเตียงของอาสาและก็รอจนกว่าจะถึงคิวพวกเรา
ไอ้ไมล์ได้อาบก่อน จากนั้นก็ตามด้วยเต และกว่าเตมันจะอาบเสร็จ แม่งเป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงครึ่งแล้ว!
กูเรียนแปดโมงไอ้สาดดดดดดด
“อาสากูขอก่อนนะ” ผมพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำ
“ได้ไง กูก็เรียนแปดโมง” มันโวยวายแล้วตามผมเข้ามา แต่ผมชิงถอดเสื้อถอดกางเกงก่อน มันก็ไม่ยอม ถอดเสื้อถอดกางเกงแล้วเหมือนกัน
ผมหันหน้ากลับเข้าหาผนังแทบจะในทันทีหลังจากเห็นภาพนั้น รู้สึกว่าไม่ควรมองเนื้อใต้ร่มผ้าของไอ้นี่ทั้งๆ ที่มันก็มีทุกอย่างเหมือนกันกับผม ก่อนจะหันหน้ามาผมจำภาพได้ลางๆ ว่าตัวมันเป็นยังไง
ขาวมากกกกกกกกกกกกกและก็เอ่อ...งานดีระดับโคตรพรีเมี่ยม
แม่งทำผมสตันไปเลย!
ผมพูดได้แค่นี้ครับ เพราะผมรีบอยู่
“มึงอยู่ใต้ฝักบัว มึงก็เปิดน้ำดิ” ไอ้อาสาแม่งก็รีบเหมือนกัน
“มึงได้ใส่อะไรอยู่ป่ะ ข้างล่าง”
“ถามทำเหี้ยอะไร”
นั่นสิ ผมล่อนจ้อน มันเองก็คงล่อนจ้อน แล้วผมจะถามทำไม ผมรีบเปิดน้ำฝักบัวที่เป็นแบบฝักบัวใหญ่เหนือศีรษะ มันถอยหลังเข้ามา หลังของมันกับผมชนกัน
เชี่ยยยยยยยยย มึงไม่ควรล้อกูเล่นแบบนี้นะ ภาพความขาวของมึงยังติดตาอยู่ กูยังไม่กล้าหันไปมองเลยจนกระทั่งตอนนี้!
“สบู่ล่ะ”
“นี่มึงไม่มีมือหรือไงวะอาสา”
“ก็มึงอยู่ใกล้กว่ากูป่ะ”
เพราะมีแต่คนรีบๆ สภาพก็เลยเละเทะมากๆ ผมรีบส่งสบู่ให้มัน โชคดีที่มีสองก้อน จะได้ไม่ต้องมีใครมารอใคร ผมถูสบู่อย่างรวดเร็ว มีบางครั้งที่แขนของผมไปโดนตัวไอ้อาสาเข้า ผมขนลุกซู่แต่อาสาแม่งไม่ได้ถือสาอะไร
คนตื่นเต้นมีแค่ผมว่ะ และผมก็ไม่โทษตัวเองด้วย ในเมื่อของขาวมา Naked ใกล้ๆ ซะขนาดนี้
“เปิดฝักบัวเลย”
“...”
“ทนาย เร็ว เดี๋ยวไม่ทัน”
ผมรีบเปิดทันที จะล้างหน้าหรือแปรงฟันอะไรผมก็ไม่รู้ตัวแล้ว อาสาอาบน้ำไวมากแต่กลิ่นก็ยอมหอมติดตัวจนฟุ้ง มันรีบเกินไปเลยทำให้มันเสียหลัก ลื่นในห้องน้ำจนผมต้องใช้มือประคองเอวมันไว้
ผมมองขึ้นไปบนเพดานโดยอัตโนมัติระหว่างที่จับตัวมัน ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เห็นแต่ตัวขาวๆ แวบๆ แค่นั้น
“เชี่ย ขอบใจนะ” อาสากล่าวส่งๆ พันผ้าเช็ดตัวแล้วเปิดประตูออกไปจากห้องน้ำ ผมดึงสติกลับมาอาบน้ำต่อ รู้สึกจิตใจว้าวุ่นเป็นบ้า
อาสาแม่งอ่อยในแบบที่มันไม่รู้ตัว คนที่โดนอ่อยอย่างผมคือจะเป็นจะตาย
ผู้ชายบ้าอะไรทั้งขาวทั้งเนียนโคตรๆ
ลานจอดรถ
บริเวณนี้ตั้งอยู่ในจุดเดียวกันทั้ง 6 หอที่ด้านหน้าของตึกใหญ่ 6 ตึก มันมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองรถของพวกหอหนึ่งกับพวกหอสี่
หอหนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นจักรยานชิลๆ ผิดกับหอสี่อย่างลิบลับที่มีตั้งแต่สปอร์ตคาร์ราคาจิ๊บๆ ลามไปถึงราคาที่ซื้อบ้านได้หลายหลัง ส่วนรถของพวกเราชาวหอสามจะมีทั้งแบบกลางๆ และก็หรูปะปนกันไป (เจ้าของรถหรูคงเป็นพวกหน้าดีด้วยและก็รวยด้วย) เราสี่คนรีบมาที่รถของไอ้เต แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับต้องผงะ
มีคนมาจอดรถขวางเอาไว้ แถมจอดได้แบบกวนตีนโคตรๆ ไม่ยอมปลดเบรกมืออีกนะ
“เหี้ย” เตถึงกับเตะล้อรถคันนั้นทันที “รถใครวะ ไม่ใช่หอสามชัวร์”
มึงจอดได้กวนตีนมาก กูขอเตะบ้าง คนแม่งกำลังรีบๆ
“ทำไงดี ไปรถมอตอนนี้ยังไงแม่งก็ไม่ทัน” ไมล์มองไปที่หน้าโซนหอพักที่มีคนรอขึ้นรถมอเต็มไปหมด เริ่มเห็นพวกผู้หญิงแล้วครับหลังจากที่เห็นแต่ผู้ชายมานาน
มีรถยนต์สีขาวคันหนึ่งมาจอดใกล้ๆ บริเวณที่ผมยืนอยู่
“เชี่ยทนาย หวัดดีตอนเช้า” คนที่ทักทายผมก็คือไอ้ป๊อบเพื่อนผมเอง มันคงเห็นผมโดยบังเอิญก็เลยจอดทัก
แม่ง มึงมาได้ถูกจังหวะมากเชี่ยป๊อบ!
“ใส่ชุดมอกูแล้วเท่ดีนี่หว่า” มันคงยังไม่เห็นนางฟ้าที่มันปลื้มก็เลยพูดกับผมอย่างมั่นอกมั่นใจ
“เชี่ยป๊อบ ช่วยชีวิตพวกกูด้วย” ผมร้อง
“หา”
“ไปส่งที่คณะหน่อย”
“...”
“หมดนี่เลย” ผมชี้มือไปที่ผู้ชายตัวควายๆ สามคนและผู้ชายตัวเล็กที่สุดหนึ่งคน คนที่ผมกล่าวถึงหลังสุดทำเอาเพื่อนผมถึงกับตาค้าง ผมรีบคว้าร่างของอาสาเข้ามาใกล้ๆ พร้อมโอบเป็นการล่อซื้อน้ำใจของไอ้ป๊อบ จำได้มั้ยครับว่ามันปลื้มอาสามาก “พลีส จะไปเรียนไม่ทันกันอยู่แล้ว”
ผมบีบไหล่อาสาส่งสัญญาณให้มันทำหน้าน่าสงสาร แต่มันแม่งควายเหลือเกิน เอาแต่ทำหน้างงใส่ผม แทนที่จะใช้เสน่ห์ขอร้องไอ้ป๊อบ
“ได้นะ แต่ว่าเพื่อนคณะกูนั่งอยู่ข้างหน้านี่”
“เรานั่งหลังกันหมดได้ครับ” เตรีบพูด ไมล์กับผมเริ่มมองหน้ากันทันที แต่ละคนก็ไม่ได้ตัวเล็กๆ กันนะ
ช่างแม่งแล้ว “เออ พวกกูนั่งได้”
“งั้นขึ้นมาเลยครับ”
ไอ้เตขึ้นไปนั่งก่อน ตามด้วยไอ้ไมล์ จากนั้นก็ผม ไม่ว่าจะพยายามหดขาหดแขนยังไงก็ไม่สามารถรับไอ้อาสาเข้ามาได้ด้วยเลยจริงๆ
“เดี๋ยวกูหาทางไปเอง” มันพูด
“สาด มึงเข้ามา” ผมพูด
“เฮ้ย”
“นั่งตักกูได้อยู่แล้วมึงอ่ะ ตัวแม่งอย่างกับมด”
ผมดึงแขนมันเข้ามา ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ครับ อาสาแม่งนั่งตักผมได้สบายมาก ผมเองก็ไม่ได้อึดอัดอะไร อดทนสักสี่ห้านาทีก็น่าจะถึงคณะบัญชีได้อย่างรอดปลอดภัยแล้ว
“ขอบใจนะเว้ยเชี่ยป๊อบ เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวตอบแทน” ผมร้องบอกเพื่อนผ่านแผ่นหลังของอาสา
“อาสาครับ ผมป๊อบ ทันตะปีสองนะครับ”
ขอเบ้ปากใส่ความจัญไรนี้...เชี่ยป๊อบนี่กูเพื่อนมึงไง มึงจำไม่ได้เหรอ กูเพิ่งพูดกับมึงไป สนใจกูด้วยสาดดดด
“หวัดดีครับป๊อบ” อาสาพูดอย่างง่ายๆ ก่อนจะหันมาหาผมเล็กน้อย “กูหนักป่ะวะ” มันพูดอย่างกังวล
“ไม่ เบาฉิบหาย” ผมพูดความจริง “ตูดก็ไม่ค่อยมีเนื้อ กระดูกมึงแม่งบาดขากูไปหมดแล้วเนี่ย”
“ขอโทษๆ”
ผมหันไปมองเตกับไมล์ที่กำลังมองมาที่ผม ผมทำไม้ทำมือลับหลังไอ้อาสาว่าจะมีใครสักคนในนี้รับอาสาไปนั่งตักต่อหรือเปล่า ที่ผมทำไปไม่ได้คิดอยากจะฉวยโอกาสอะไร แต่สถานการณ์แม่งโคตรหน้าสิ่วหน้าขวานเลยนี่ครับ จะไม่ให้ผมดึงมันมานั่งตักผมได้ไง
สิ้นสัญญาณของผม เตกับไมล์โบกไม้โบกมือปฏิเสธใหญ่ สงสัยกลัวตัวเองเผลอไปแต๊ะอั๋งไอ้คนที่อยู่บนตักของผมตอนนี้ล่ะมั้ง
คณะบัญชี
ผมอยู่ปี 1 ผมจึงต้องแยกมาเรียนกับพวกปี 1 ส่วนไอ้ไมล์กับอาสาไปเรียนที่ชั้นเรียนของปี 2 ครับ ถึงผมจะอายุเท่าเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคน แต่ผมต้องไม่ลืมว่าผมนั้นอยู่ปี 1 ในคาบเรียนแรกที่ไม่มีใครมีชีทเลยสักคน ผมได้ทำการสังเกตไปรอบๆ ห้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แม่งจับกลุ่มแบบหอใครหอมันจริงๆ ว่ะครับ
เราทำความรู้จักกันหมดก็จริง แต่ก็แบบผิวเผินและระมัดระวัง มันน่าตลกตรงที่ทุกคนไว้ใจคนในหอเดียวกันมากกว่าคณะเดียวกัน ซึ่งทุกคนก็ดูแฮปปี้กับเรื่องนี้ดีนะครับ เพราะผมเห็นรุ่นพี่ปีอื่นก็เป็นเหมือนกัน
ผมได้เห็นเด็กบัญชีปีหนึ่งซึ่งเป็นพวกหอห้ากับหอหกแวบๆ ไอ้พวกหอห้าแม่งเล่นแต่เกมและก็คุยกันแต่เรื่องเกม พอเปลี่ยนเรื่องแม่งก็เป็นเรื่องการ์ตูนห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ที่ผมฟังไม่เข้าใจ ตามสไตล์หอห้าบ้าเกมเป๊ะๆ อย่างที่ไม่มีใครลบล้างความจริงได้ ส่วนพวกหอหกผมเห็นแม่งนั่งกระจายๆ กัน ดูอินดี้ไม่ยึดติดกับสังคมภายนอกใดๆ
ช่างต่างจากบัญชีปี 1 ที่มาจากหอสองอย่างเหลือหลาย ระหว่างพักเบรกพวกมันเสียงดังกันมาตั้งแต่อยู่หน้าห้อง
“กูสวนกับพี่อาสาเมื่อตะกี้เว้ย น่ารักสัดๆ”
“น่ารักกว่าพี่ผู้หญิงที่มากับพี่เขาอีก”
“พี่อาสาอยู่กับผู้หญิงเหรอวะ”
“ใครอ่ะ”
ผมกับไอ้โอ๊ค เพื่อนใหม่ปีหนึ่งที่มาจากหอสามเหมือนกันถึงกับหูผึ่ง
“ไม่รู้ว่ะ แต่เห็นใส่ช็อปกับกระโปรงสั้นๆ”
“อ๋อ” โอ๊คมันกระซิบกับผม “กูก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน”
“ข่าวว่า?”
“กิ๊กพี่อาสาอยู่วิศวะไง ชื่อพี่กอเตย”
แม่ง ข่าวเป๊ะอะไรขนาดนั้นวะ ผมนึกถึงไลน์ที่ทักมาหาอาสาเมื่อคืนแล้วผมดันไปเจอพอดี ถ้ามีคนเห็นอาสาอยู่กับคนๆ นั้นแบบนี้แสดงว่าแม่งตัดสินใจกลับมาคุยกับคนที่เทมันแล้วนั่นแหละ ผมไม่แปลกใจอะไรเลยครับ อาสามันมีสิทธิ์เลือกในทางเดินชีวิตของมัน
แต่สิ่งที่ผมรู้สึกแปลกใจมีอยู่อย่างเดียวนั่นก็คือไอ้อาสาแม่งจะเลือกทางสายชอบผู้หญิงจริงๆ เหรอวะ
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงก็เป็นเรื่องของมัน ผมหันไปมองจอสไลด์ที่อาจารย์จะเริ่มสอนต่อ ในเมื่อผมมาเรียน ผมก็ควรจะโฟกัสแต่กับเรื่องเรียน เพราะพ่อแม่รอดูเกรดของผมอยู่ ถ้าผมไม่ได้เอล้วนๆ ล่ะก็...
มันมีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่พวกท่านจะส่งผมไปเรียนมอเอกชน
พวกท่านชอบตอกย้ำกับผมเสมอว่าไม่เรียนหมอ ก็ต้องเรียนมอที่พ่อแม่ยอมรับ ไม่ใช่มาเรียนที่มอซึ่งอยู่ไกลปืนเที่ยงขนาดนี้ ได้ข่าวว่ามอที่พ่อแม่ผมจะส่งไปเป็นมอเอกชนที่บริหารโดยคนที่อายุยังน้อย
ชื่อทัพไทย ไทยทัพ อะไรสักอย่างนี่แหละ
ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องเครียดของตัวเอง ขอตัดเรื่องนี้ทิ้งไปก่อนละกัน นี่เพิ่งเปิดเทอมวันแรกผมไม่ควรเครียดกับเรื่องเรียนให้มาก
หลังจากเรียนเสร็จผมคิดว่าจะออกไปหาอะไรกินกับเพื่อนใหม่คณะผม (และแน่นอนว่าทุกคนอยู่หอสาม) แต่ดูเหมือนแผนนั้นจะล่มไปเมื่อผมได้เห็นสีหน้าแตกตื่นของไอ้ไมล์ที่หยุดวิ่งและหยุดยืนตรงหน้าผม เหงื่อของมันยังเกาะพราวอยู่ตามใบหน้า ท่าทางมีเรื่องร้อนใจมาก
“พี่ไมล์หวัดดีครับ”
“พี่ไมล์หวัดดีพี่”
ไมล์รับไหว้รุ่นน้องหอตัวเอง รอจนพวกนั้นเดินหนีไปจนหมดและก็หันมาทางผม ไม่มีเพื่อนใหม่คนไหนอยู่รอผม เพราะรู้ดีว่ายังไงผมก็ต้องคุยกับไอ้เชี่ยไมล์ยาวมากแน่ๆ
“มีอะไรวะ” ผมชักหวาดระแวง
“กอเตยมาว่ะ”
มันหมายถึงกิ๊กไอ้อาสาใช่ป่ะ
“กูไม่คิดว่าเขาจะตามมาง้ออาสามันถึงนี่”
ผมกระพริบตาปริบๆ รู้สึกเห็นใจไอ้ไมล์แทบจะในทันที ผมเข้าใจถึงความเจ็บปวดของมันเป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะต้องเก็บความลับที่เป็นความรู้สึกของตัวเองแล้ว มันยังต้องทนมองดูไอ้อาสามีพัฒนาการด้านความรักอีก
“เจ็บจี๊ดเลย” มันนั่งลงตรงบริเวณระเบียงหน้าห้องเล็กเชอร์ของผม ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก “กูรู้ว่ากูต้องเจ็บซ้ำๆ นะ แต่บางทีมันก็ทนไม่ได้”
“...”
“ไหนอาสาบอกว่าโดนเทมาไง กูนึกว่าจะพอกับคนนี้แล้ว แต่ไหงยังกลับมาคุยกันได้”
“มึงใจเย็นๆ ก่อนดิ” ผมนั่งลงข้างๆ “อาจจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้”
“แต่ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้น คนอย่างกูจะทำอะไรได้วะ นอกจากมองมันอยู่ในมุมของกูต่อไป” ไมล์ถอนหายใจ “บางทีกูก็อิจฉามึงนะ มึงอาบน้ำห้องเดียวกับอาสาได้ มึงให้มันนั่งตักได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะรู้เรื่องที่มึงชอบมันมั้ย”
“เอ่อ...” กูควรตอบว่าไงดีวะ แม่งร่ายยาวมาขนาดนี้แปลว่าอัดอั้นมาตลอดทั้งเช้าชัวร์ๆ
“กูหนีมันมาเนี่ย”
ผมนึกไปถึงการแบ่งพรรคแบ่งพวกสไตล์เด็กมหา’ลัยนี้ ก่อนเอ่ยปากถามอีกฝ่าย “บัญชีปีสองมีเด็กหอสามกี่คนวะ”
“มีกู อาสา เชี่ยบอมบ์ ไอ้กล้า ไอ้เชี่ยบอมบ์ยังอยู่ต่างประเทศ เดี๋ยวกลับ ส่วนไอ้กล้ายังไม่ลงมาจากเชียงใหม่” ไมล์หันมาสบตาผมก่อนจะทำหน้าตื่นๆ เหมือนมันเพิ่งคิดอะไรออกว่าอาสาไม่มีเพื่อนอยู่ด้วยเลยในขณะนี้ “เวรแล้วไง ตอนนี้อาสามันอยู่คนเดียว”
“สาด ทิ้งใครไม่ทิ้ง ดันทิ้งนางฟ้า” ผมหัวเราะ
“กูไม่รู้นี่ มันหายไปทั้งคาบ กูเรียนเสร็จกูก็รีบวิ่งมาหามึงเนี่ย”
“ไปหามันกันเหอะ ไม่รู้ป่านนี้จะร้องไห้หรือยัง”
“นั่นดิ”
ผมส่ายหัวใส่ไอ้ไมล์ที่ทึ้งหัวตัวเอง ก่อนจะตามมันไปเพื่อไปหาอาสา ผมคิดในใจเล่นๆ ว่าผมอาจจะเป็นปีหนึ่งที่อาจจะต้องคลุกคลีกับปีสองมากกว่าปีหนึ่งด้วยกันก็เป็นได้
[มีต่อนะคะ]