บัลลังก์ปักษา
ตอนที่ 4
สองสามวันถัดมาผมใช้ชีวิตอยู่บนความกระอักกระอ่วน
บางอย่างที่เป็นไปได้สวยก็สวยงามจริงๆ จนไม่มีอะไรมาขัด เช่น ความสัมพันธ์ของผมกับผู้คนรอบข้างดีขึ้นทุกวัน ทั้งเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมคณะ และก็ชาวหอสาม ผมเริ่มรู้จักคนนั้นคนนี้ไปทั่ว (ถึงแม้จะรู้จักกันดีแค่ในหอสามก็เถอะ) มีแก๊งเล่นบาสเก็ตบอลตอนเย็นและก็แก๊งเข้าฟิตเนส เรียกได้ว่าผมสามารถปรับตัวให้เข้ากับหอสามที่มีแต่มนุษย์ที่หน้าตาดีได้แล้วครับ พวกนี้แม่งหล่อ แต่ก็มีความกวนประสาทคล้ายกับผมดี ผมจึงเข้ากันได้กับทุกคน
ส่วนบางอย่างแม่งไม่ได้ดีขึ้นเลยครับ มีแต่จะทิ้งดิ่งลง และคงจะแย่อย่างนั้นต่อไป สิ่งนั้นก็คือความลับของห้อง 204 ที่ผมเป็นผู้กุมเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของเตกับไมล์ และก็เรื่องที่กิ๊กไอ้อาสาดันเป็นกิ๊กของคนจากหอสี่อีกทีหนึ่ง บอกตามตรงว่าทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องของผมครับ ผมไม่ได้อยากยุ่งเลย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นสิ่งที่มีผลโดยตรงต่อชีวิตเพื่อนร่วมห้องของผม
ผมไม่รู้จะบอกพวกแม่งยังไง ไม่รู้ว่าควรเริ่มตรงไหน ยิ่งได้เห็นไอ้อาสาออกไปเดตกับกอเตยบ่อยสลับกับเห็นสายตาเศร้าๆ ของไอ้เตกับไอ้ไมล์ ผมยิ่งรู้สึกอัดอั้นจนตัวแทบระเบิด
โชคชะตาแม่งเล่นตลกกับกูป่ะวะ ท่านส่งผมมาอยู่หอนี้และก็ห้อง 204 นี้ แต่ทำไมท่านไม่ส่งคู่มือการวางตัวสำหรับการอยู่ที่นี่ให้ผมล่ะ
ทำไมวะ ทำไม...
วันนี้เป็นวันหยุดวันแรกของสัปดาห์แรก ผมเพิ่งกลับมาจากรับรถยนต์ที่แม่ส่งมาให้มองดูคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง 204 ด้วยสายตางุนงง คนๆ นั้นก็คือพี่อ้าย พี่มันกำลังจะเคาะประตูพอดี
“มึงมาก็ดีแล้ว” เมื่อเห็นผม พี่อ้ายก็หันมาหาพร้อมยัดกระดาษ 7-8 แผ่นใส่มือผม
“อะไรครับ”
“โหวตเดือนหอกับดาวหอ”
ผมมองพี่อ้ายพร้อมด้วยใบหน้าตึงๆ “มันมีอะไรพรรค์นี้ด้วยเหรอพี่”
“มีดิ กูจำได้ว่ากูเคยพูดกับมึงไปแล้วนะ”
ผมจำไม่ได้แฮะ ผมรับกระดาษมา มองดูกระดาษสีฟ้าและสีชมพูที่อยู่ในมือผมอย่างละสี่แผ่น
“หมดเขตโหวตคืนนี้ตอนสี่ทุ่ม ห้องอื่นเขาโหวตกันหมดแล้ว เหลือแต่ห้องมึงอ่ะ แม่งไม่เคยอยู่กันสักที กูมาหาทีไรก็ไม่เคยเจอ”
“ผมอยู่ตลอด”
“กูเห็นมึงออกไปเล่นบาสบ่อย อย่ามาพูด” พี่อ้ายจ้องมองมาที่ผม “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ทำไมช่วงนี้แม่งไม่ยอมจับกลุ่มกันเป็นก้อนเหมือนเดิม แตกกระจายกันไปคนละทิศคนละทางอย่างกับผู้หญิงงอนกัน”
พี่อ้ายสังเกตเห็นด้วยเหรอวะ ไอ้เตกับไอ้ไมล์มันชอบชวนกันไปแดกเหล้าย้อมใจครับ ส่วนไอ้อาสาแม่งก็ตัวติดกับกอเตย ผมอยู่แต่กับพวกหอสามที่ชอบเล่นกีฬา เพราะงั้นห้อง 204 ก็เลยไม่ได้จับกลุ่มกันเหมือนแต่ก่อน
“แหะ ตามประสาคนหน้าตาดีมั้งพี่ ไปเที่ยวงี้ มีกิ๊กงี้” ผมตอบเลี่ยงๆ
“เฮ้อ พวกบ้า” พี่อ้ายดูปลงๆ คงจะเคยชินกับเรื่องอะไรแบบนี้ของคนในหอ “รีบโหวตนะ กูรอ 8 คะแนนสุดท้ายอยู่”
พี่อ้ายเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนงงว่าเรื่องเดือนหอดาวหอจะสำคัญอะไรขนาดนั้น
โชคดีที่วันนี้มีคนอยู่ในห้องเพื่อให้คำตอบผมพอดี คนๆ นั้นก็คือไอ้เต มีมันคนเดียวที่อยู่ในห้องเวลานี้ครับ ผมก็เลยยิงคำถามใส่มัน ดูมันกระตือรือร้นมากจนผมสงสัย
“เชี่ย ลืมนึกไปเลยว่าต้องโหวต” ไอ้เตรับกระดาษมาแล้วรีบเขียนทันที “สำหรับเดือนหอ ขอโหวตให้ไอ้เหี้ยทนาย”
มันเขียนคำว่า ‘ไอ้เหี้ยทนาย’ ตัวใหญ่มากลงบนกระดาษสีฟ้า จากนั้นก็พับครึ่ง
“เฮ้ย โหวตให้กูเป็นเดือนเหรอ”
“เออ ก็มึงหล่อที่สุด”
“มีคนหล่อกว่ากูตั้งเยอะ”
“มึงหล่อสุดๆ แล้ว”
“พี่อ้ายงี้ ไอ้ไมล์งี้”
“ความคิดกูคือมึงหล่อสุดไง”
ผมไม่เถียงแม่งแล้ว ย้ำอยู่นั่นว่าผมหล่อ ผมลอบมองดูมันที่เริ่มเขียนชื่อดาวหอที่มันโหวตคะแนนให้
‘มีน’
“ใครวะ”
“สุดๆ ไปเลยคนนี้ พี่มีน วิศวะปีสี่มาสายเดียวกันกับไอ้อาสาเลย แต่หวานกว่าเยอะ”
“สายเดียวกันกับอาสา?” มันเหมือนสายรถเมล์มั้ยวะ
“ก็หน้าตาค่อนไปทางสวยมากกว่าหล่ออ่ะ”
“นึกว่ามึงจะเขียนชื่ออาสาซะอีก”
เตยักไหล่ จากนั้นก็พับครึ่งกระดาษสีชมพู “มึงโหวตเร็วๆ จะได้ไปส่งพร้อมกัน”
“ต้องจริงจังอะไรขนาดนั้น” ผมยังไม่เห็นถึงความจำเป็นในการโหวตอะไรนี่เลยครับ
“มันสนุกดี”
ผมโหวตบ้าง โหวตให้คนที่ผมคิดว่าตรงใจผมที่สุด เดือนหอก็คือไอ้เชี่ยเต ถึงแม้ว่าในหอสามจะมีคนหน้าตาดีเดินไปเดินมาจนผมชินตา แต่เพื่อนร่วมห้องของผมคนนี้แม่งดูดีที่สุดในสายตาของผม
ส่วนดาวหอ...ผมโหวตให้อาสา
ก็สำหรับผมมันน่ารักที่สุดในหอนี้แล้วนี่หว่า
“ช่วงนี้เชี่ยไมล์แม่งแปลกๆ ไปว่ะ” หลังจากที่หย่อนกระดาษโหวตลงกล่องที่หน้าออฟฟิศประธานหอเสร็จ ไอ้เตก็โพล่งคำนี้กับผม “ปกติมันไม่ได้เป็นแบบนี้นะ”
“มันแปลกยังไง” ผมไม่รู้จะใช้คำพูดไหนกับไอ้เตดี
“ดูมันเฮิร์ต เศร้า และก็เก็บตัว ปกติมันชอบเถียงกูจะตาย แต่อยู่ดีๆ แม่งก็เงียบ กูด่าอะไรแม่งก็ไม่สวนกลับ”
“มึงไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเพราะอะไร” ผมถามลองเชิง ส่วนไอ้เตเลิกคิ้วสูง
ไม่นานนักคำตอบของคำถามทุกอย่างก็มาถึง อาสาเดินเข้ามาในตึก ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับมาจากเดต มันยิ้มแห้งๆ ให้ผมกับเต
“พวกมึงแดกข้าวเย็นหรือยัง”
ผมกับเตส่ายหน้า อาสาก็เลยพยักเพยิดชวนไปยังโรงอาหารหอสาม ผมกับเตเดินตามหลังมันไป พลางคิดสงสัยในใจว่าเชี่ยอาสามันทำหน้าเซ็งเพราะอะไร
ถ้าให้ผมเดานะ คงหนีไม่พ้นเรื่องของกอเตยชัวร์ๆ
โว้ยยยยย พอนึกถึงผู้หญิงคนนี้แล้วผมทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมาซะเฉยๆ
“มึงไปไหนมาวะ” หลังจากทุกคนได้ข้าวกันหมดแล้ว เตก็เอ่ยถามคนที่มันแอบชอบ
“ไปห้างมากับเตย”
“ทำไมมึงดูไม่มีความสุขเลย”
“ไม่รู้ว่ะ ถามไอ้ทนายดูสิ”
อ้าว เรื่องของมึงแท้ๆ โยนมาให้กูทำไม ไอ้เตหันมามองหน้าผม ผมจึงต้องตอบคำถามแบบขอไปที
“มันกลัวมันอกหักเพราะมันไม่อยากอกหักอีกแล้ว กอเตยอะไรนี่มีอะไรบางอย่างที่เชี่ยอาสาคิดว่าแม่งไม่ชัดเจน”
“ใครจะไปอยากอกหักวะ” เตหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม “คนมีความรักแม่งก็ต้องเสี่ยงกันทุกคนทั้งนั้น”
เช้ดดดด คำคมก็มาว่ะ แม่งคมสัดจนบาดแขนกูเลยเนี่ย
ผมลอบมองดูไอ้เต ผู้ที่ให้คำปรึกษาเรื่องความรักกับคนที่มันมอบความรักให้ ภาพนี้แม่งเหมือนเดจาวูตอนที่ผมมองไอ้ไมล์เมื่อไม่กี่วันก่อน อาสาพูดเรื่องกอเตยที่โรงอาหารคณะบัญชี ไอ้ไมล์ก็ให้คำแนะนำเหมือนที่ไอ้เตกำลังทำเด๊ะๆ
พวกแม่งเหมือนกันทั้งคู่ ให้ความสำคัญกับคำว่ามิตรภาพมากกว่าความรัก
กูขอซูฮก
“เฮ้อออออ” อาสาคอตก “กูไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจอะไรกับเขาเลยสักอย่าง”
“เกิดอะไรขึ้น” เตถามต่อ
“ตลอดเวลาที่อยู่กับกู เขาเอาแต่เล่นโทรศัพท์”
“เอ่อ...”
“เขายิ้มและหัวเราะเวลาพิมพ์ มีความสุขกับตอนที่คุยกับกูเยอะ”
ผมถึงกับอึ้งไปเลย
“ถ้าเขามีความสุขกับคนอื่นมากกว่ากู เขาจะเก็บกูไว้ทำไมวะ”
“มึงยอมให้เขาทำแบบนั้นเองหรือเปล่า” เสียงของผมชักแข็งมากขึ้น อาสาถึงกับสะอึกกับคำพูดผม
“กูไม่...”
“กูว่ามึงยอมว่ะ มึงไปกับเขามากี่ครั้งกี่หนแล้ว ทุกครั้งที่มึงกลับมา กูไม่เห็นว่ามึงจะแฮปปี้มีความสุข มึงเอาแต่ทำหน้าเครียด จะนอนก็นอนไม่ค่อยหลับ”
ไอ้เตมองผมอย่างตื่นตกใจ คงไม่คิดว่าผมจะสังเกตอาสามันขนาดนี้ แน่นอนผมต้องสังเกตสิ ก็มันนอนอยู่ชั้นล่างของเตียงผมนี่
“คนที่มึงให้ความรักควรเป็นคนที่ทำให้มึงแฮปปี้ดิ ไม่ใช่คนที่ทำให้มึงต้องคิดมากขนาดนี้ มึงคิดดูดีๆ นะ” ผมลุกขึ้นพร้อมกับจานอาหาร ไอ้เตกับอาสาดูงงมากๆ ที่อยู่ดีๆ ผมก็ไม่สบอารมณ์ นี่ถือว่าผมเก็บอาการได้มากที่สุดแล้วนะ ปกติผมโวยวายจะตายห่า
“ทนาย มึงเป็นอะไร” อาสาลุกขึ้นมาพร้อมกับวิ่งตามผม “ทำไมต้องโกรธ”
“กูแค่...” ผมหันมาสบตานัยน์ตากลมๆ ของอีกฝ่าย ผมเห็นแค่นั้นผมก็ไม่อยากที่จะทำร้ายมันแล้ว เพราะงั้นผมจึงได้แต่กล้ำกลืนความจริงเกี่ยวกับกอเตยกลับลงไปในคอ ไม่ยอมพูดมันออกมา
ควบคุมอารมณ์ไว้สัดทนาย ควบคุมมันไว้
“แค่อะไร กูรอฟังอยู่” อาสากอดอก “กูรู้สึกจริงๆ นะว่ามึงไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ของกู”
“ไม่ได้ไม่ชอบ” กูแค่ไม่เห็นด้วยโว้ย
“ถ้าเพื่อนไม่ชอบ กูคิดใหม่เรื่องเขาก็ได้”
“กูไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น”
“สำคัญดิวะ ถึงตอนแรกกูจะไม่ค่อยชอบมึง แต่ตอนนี้มึงก็เป็นเพื่อนกูไปแล้ว”
ผมมองอาสาอย่างช่ั่งใจ สลับกับมองไอ้เตที่กำลังมองมา รู้สึกงงไปหมดว่าควรทำยังไงต่อไป
โว้ยยย นี่กูมาที่นี่เพื่อมาเรียนจริงๆ นะ ทำไมกูต้องมาอึดอัดใจกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยวะ
“มีอะไรก็พูดมาเหอะ”
“ขอเวลากูสักชั่วโมง” ผมสรุปในที่สุด
“หา”
“กูขอเวลาเรียบเรียงคำพูดในหัว”
“มึงจะไปกล่าวสุนทรพจน์ที่ไหนหรือไง มึงก็แค่คุยกับกูป่ะวะ”
“เชื่อเถอะ” ผมแตะไหล่อาสาเบาๆ “เรื่องของมึงยังไงก็ต้องใช้เวลาคิดคำพูดว่ะ”
“อะไรของมึง”
“อ้อ มึงอย่าลืมโหวตดาวเดือนหอด้วยนะ” ผมจงใจเปลี่ยนเรื่อง เดินหนีไอ้อาสาให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกแปลกใหม่กำลังสิ่งที่ผมกำลังเจอ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาพูดถึงผู้หญิงในแง่ร้าย ไม่เคยเลยครับ แต่เพื่อความสุขของเพื่อนในอนาคต ผมจำเป็นต้องจำใจทำ ปล่อยให้แม่งเจ็บไปเลยทีเดียวจะได้ไม่ต้องเจ็บซ้ำๆ นานๆ
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ผม อาสา และก็เตกำลังนั่งประจันหน้ากันในห้อง 204 คนที่เครียดที่สุดก็คือผม ผมหยุดสั่นขาไม่ได้จนไอ้เตต้องเตะหน้าแข้งให้ผมหยุดสั่นขา
“เอาล่ะ มีอะไรพูดมา กูรู้ว่ามึงมีอะไรในใจ” อาสามองผมด้วยสายตาอยากรู้
“คือว่า...”
เสียงโทรศัพท์ไอ้เตดังขัดคำพูดผมซะก่อน ไอ้เตบอกให้ผมอย่าเพิ่งพูดก่อนที่มันจะกดรับสาย
“ฮัลโหล” มันนิ่งไปสักพักก่อนจะทำหน้าตื่นตกใจ “เฮ้ยยย จริงดิ มันอยู่ไหน อืม อืม โอเค เดี๋ยวกูออกไปรับ” เตกดวางสายแล้วหันมาคุยกับผมและอาสา “เพื่อนคณะกูที่อยู่หอสองโทรมา เชี่ยไมล์แม่งเมาอย่างหมา ตอนนี้อยู่ในร้านที่เป็นถิ่นของหอสองว่ะ”
ผมที่อยู่ที่นี่มาเกือบอาทิตย์ รู้ดีว่าสถานการณ์ที่ไมล์กำลังเผชิญอยู่แม่งอันตรายขนาดไหน ดีไม่ดีอาจจะอันตรายถึงชีวิตของมัน
ไอ้สาดดดดดด มึงไปเมาร้านที่เป็นถิ่นของหออื่นไม่ได้เหรอ หอหนึ่ง หอห้า หอหก หอเหี้ยอะไรก็ได้ทำไมต้องเป็นหอสอง!
“เชี่ยแม่งเมาแล้วชอบปากเสียด้วย”
ผมกับอาสาตื่นตัวทันที “ไปรถกู” ผมพูด ลุกขึ้นไปหยิบกุญแจรถ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปแบกมันกลับคนเดียว” เตบอก
“สัด ถิ่นหอสองนะเว้ย” ผมพูดอย่างหนักแน่น “อาสามึงไม่ต้องไป”
“อ้าว ได้ไง”
“เดี๋ยวพวกแม่งลากมึงไปปล้ำ”
“แต่กูไปกับพวกมึงนะ” อาสาทำหน้าไม่เข้าใจ
“โอ้ย กูกับไอ้เชี่ยเตน่ากลัวจะตายห่าเลยมั้ง” ผมประชดประชัน ถึงผมกับเตจะตัวใหญ่ก็จริง แต่คงสู้อะไรพวกหอสองไม่ได้ ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างลูกผู้ชาย
แต่ถ้าจะให้สู้ ก็จะสู้ครับ
“สาด เพื่อนเมาจะให้กูไม่ไปช่วยอะไรเลยงั้นเหรอ”
“นี่กูกำลังห่วงสวัสดิภาพมึงนะ”
“มึงห่วงเกินไป มึงเว่อร์มากสาด”
“ไอ้...”
“พอ เลิกเถียงกัน” เตห้ามศึกระหว่างผมกับอาสา “ไปกันให้หมดนี่แหละ รีบไป”
ผมจิ๊ปากใส่อาสา มันทำหน้าบึ้งใส่ผม เราสองคนกลับมาไม่ชอบขี้หน้ากันอีกรอบ ผมเทเรื่องมันทิ้งไปก่อน ตอนนี้ผมควรโฟกัสกับการไปหิ้วคนเมาอย่างไอ้ไมล์ให้กลับมาที่หอสามอย่างปลอดภัย
[ มีต่อนะคะ ]