“ไม่อนุญาต!”
มธุวันรู้แล้วว่าทำไมเมฆาถึงได้ไม่ว่าอะไรเขาซักคำ
"ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ"
มธุวันเหลือบมองเมฆาที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาด้านหลัง แต่สายตาของอีกฝ่ายบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพอใจกับปฎิกิริยาของบิดามากแค่ไหน ก่อนจะหันกลับไปตอบเจ้านายที่กำลังองค์ลงอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก อันที่จริงเขาคิดว่าการพบปะกับผู้ร่วมลงทุนเพื่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืนขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าไหร่ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้มีอิทธิพลในเขตที่พวกเขาต้องเจรจาธุรกิจด้วยแล้ว
"ไม่ใช่เรื่องใหญ่? แล้วถ้าเกิดไอ้หมอนั่นจับนายยัดใส่ท้ายรถลักลอบพาออกนอกประเทศขึ้นมาจะเป็นยังไง?!" ธีรเชษฐ์กุมขมับ "คิดว่าเศรษฐกิจแบบนี้เลขามันหาง่ายนักเหรอ?"
"ผมโตแล้วนะครับ ดูแลตัวเองได้"มธุวันกอดอก ถ้าเขามัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่ คงไม่ได้ทำมาหากินกันพอดี "เรื่องร้านทางเราก็เป็นคนเลือก แถมยังเป็นอาหารกลางวัน ต่อให้เขาใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีใครเสี่ยงจะถูกจับแค่เพราะลักพาตัวเลขาของคนอื่นตอนกลางวันแสกๆหรอกครับ"
ธีรเชษฐ์ฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ เขารู้ว่ามธุวันดูแลตัวเองได้ แต่เขาก็ยังไม่อยากให้เลขาของตัวเองต้องอยู่ในสถานการณ์อันตรายอยู่ดีถ้าเขาสามารถเลือกได้
"ไม่เชื่อใจผมเหรอครับ?"
ร่างโปร่งถามขึ้นอย่างไม่พอใจ เจ้านายของเขาถอนหายใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
"เธอก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น...."
"ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผมไปสิครับ" มธุวันเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย "นะครับ"
มธุวันไม่ใช่คนขี้อ้อน อย่างน้อยมธุวันที่ธีรเชษฐ์รู้จักก็ไม่ใช่คนแบบนั้น ดังนั้นเสียงนุ่มที่อ่อนลงอย่างกระทันหันจึงทำให้เขาใจอ่อนยวบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
"อึ่ก..."
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นลอดไรฟันอย่างเจ็บปวดทำให้ทั้งสองหันไปมอง เมฆาโบกมือข้างหนึ่งเป็นเชิงว่าตนไม่เป็นไร มืออีกข้างกดที่ข้างขมับไว้เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้น
"เมฆ..."ร่างโปร่งเผลออุทานออกมาเบาๆ โชคดีที่เขายั้งตัวเองไว้ได้ทันก่อนที่จะพูดอะไรมากกว่านั้น
"ไหวมั้ยเมฆ ไม่ต้องทำงานต่อแล้วนะ กลับบ้านไปนอนไป" ธีรเชษฐ์สั่งลูกชาย ก่อนจะกลับมาสนใจเลขาคนเก่งของตน "ฉันจะอนุญาตก็ได้..."
มธุวันกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ แต่ธีรเชษฐ์ยังไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ
"แต่มีข้อแม้...."
“ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับ”มธุวันเอ่ยเป็นรอบที่สามร้อยหกสิบแปดตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ แต่ธีรเชษฐ์ที่ดำรงตำแหน่งคนขับรถ
ชั่วคราวของเขาไม่ยอมฟัง
“เด็กพอจะเป็นลูกฉันได้แล้วกันน่า”
ชายหนุ่มเลี้ยววนลงไปยังลานจอดรถใต้ดินของโรงแรมธารา โรงแรมห้าดาวชื่อดังใจกลางเมืองที่มีสาขามากกว่าห้าสิบสาขาทั่วเอเชียและยังเป็นโรงแรมของคุณวีรภัทร หนึ่งในเพื่อนสนิทที่มีอยู่น้อยนิดของธีรเชษฐ์อีกด้วย
หากเขาเดาไม่ผิด คุณวีรภัทรคงสั่งให้พนักงานทุกคนจับตาดูโต๊ะของเขาชนิดที่ว่าตาไม่กระพริบเลยล่ะ
“ขอบคุณมากครับที่มาส่ง”
“ใครว่าฉันจะมาส่งแล้วกลับล่ะ” ร่างสูงดับเครื่องยนต์ “ฉันจะไปนั่งรอที่ล็อบบี้”
“คุณเชษฐ์!”เป็นประธานบริษัทนี่งานการมันน้อยนัดหรือไงถึงได้โดดงานมาร่อนไปร่อนมาในล็อบบี้โรงแรมเนี่ย “เกรงใจคุณนิโคไลบ้างสิครับ ถึงยังไงเขาก็เป็นคู่ค้าคนสำคัญของเรา”
“เพราะฉันเกรงใจน่ะสิถึงไม่ไปนั่งเฝ้าที่โต๊ะ” ร่างสูงเอื้อมมือมาเปิดลิ้นชักหน้าที่นั่งของมธุวัน ก่อนจะหยิบบางสิ่งที่ทำให้ร่างสูงเบิกตากว้างอย่างตกใจออกมา
“ใช้เป็นใช่มั้ย?”
“ใครเขาพกของแบบนี้ไว้ในรถกันบ้างครับคุณเชษฐ์?!”
“พกติดตัวไว้ อย่างน้อยฉันจะได้สบายใจขึ้นถ้าเธอมีอะไรไว้ป้องกันตัว”ธีรเชษฐ์ยัดปืนพกขนาดเล็กใส่ในมือของเขา “กันไว้ก่อน”
“แล้วถ้าเกิดเขาค้นตัวผมแล้วเห็นปืนนี่ เขาจะไม่คิดว่าผมตั้งใจมาฆ่าเขาเหรอครับ?”มธุวันอยากจะยกมือกุมขมับกับตรรกะของเจ้านาย
“...ถ้างั้นเอาไอ้นี่ไป”ธีรเชษฐ์เปิดลิ้นชักหน้ารถค้นหาของอีกครั้ง แล้วหยิบปากกาสีเงินแท่งเล็กออกมา มธุวันรับมาอย่างงุนงงกว่าเดิม
“นี่อะไรครับ”
“ลองกดดูสิ”เจ้านายของเขายิ้ม
มธุวันลองทำตามอย่างสงสัย สิ่งที่ออกมาจากปากกาไม่ใช่ไส้ แต่เป็นโลหะสองคมความยาวประมาณห้าเซนติเมตร
“ยาวพอจะแทงเส้นเลือดใหญ่ได้เลยนะ”ร่างสูงเอ่ยอย่างภูมิใจ “ฉันซื้อมาตอนไปดูงานเพราะมันดูเจ๋งดี แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้”
ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าพ่อมาเฟีย?!
มธุวันหมดแรงจะต่อล้อต่อเถียง เขาเหน็บมันไว้กับกระเป๋าเสื้อตัวในอย่างว่าง่ายแล้วเปิดประตูลงจากรถ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่มาทานข้าวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
“สวัสดีครับคุณหมอก”
นิโคไลที่นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมเอ่ยทักทันทีที่พวกเขาทั้งสองก้าวออกมาจากลิฟท์ วันนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตคอปกกางเกงขายาวทับด้วยสูทนอกดูไม่เป็นทางการมากนัก บอดี้การ์ดหนุ่มชาวต่างชาติสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเดียวกับเจ้านายก็ลุกขึ้นเช่นกันเมื่อเห็นเขา
“ขอโทษนะครับที่มาช้า” มธุวันกล่าวขอโทษทันที ดวงตาสีเทาฟ้าตวัดมองเจ้านายของตนอย่างคาดโทษ แต่ธีรเชษฐ์ทำเป็นไม่เห็น ยื่นมือไปหานิโคไลที่จับมือของคนอายุมากกว่าพร้อมรอยยิ้ม
“ผมกับหมอกมีธุระต่อตอนบ่ายสองโมงตรง คงไม่ว่านะครับถ้าหากจะขอตัวเลขาของผมกลับเร็วหน่อย”
ธีรเชษฐ์เอ่ยดักทาง นิโคไลพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปหามธุวัน
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะไม่ทันงานตอนบ่ายของคุณหมอก”
ร่างโปร่งเดินนำชายหนุ่มที่ผายมือให้เขาไปก่อน สองข้างทางมีบอดี้การ์ดเดินคุม มีบางส่วนรออยู่ที่หน้าลิฟท์และบางส่วนเดินปิดท้าย เรียกได้ว่าถ้าเหาะขึ้นมาบังพวกเขาไว้ได้คงทำไปแล้ว
อืม...ก็แอบน่ากลัวอยู่หน่อยๆจริงๆนั่นแหละ
“คุณมธุวันสองที่ เชิญทางนี้เลยครับ” บริกรหนุ่มในชุดเครื่องแบบผายมือบอกทางให้พวกเขาแล้วเดินนำไปยังโต๊ะที่มธุวันจองไว้ อันที่จริงต้องบอกว่าธีรเชษฐ์จองไว้น่าจะถูกกว่า เมื่อเห็นว่าทำเลอยู่ในจุดที่คนพลุกพล่านที่สุดอย่างที่หวังไว้ มธุวันก็ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้โต๊ะรอบๆจะมีชายในชุดสูทสีดำนั่งอยู่ประปรายก็ตาม
“เชิญครับคุณหมอก”มธุวันกำลังจะเลื่อนเก้าอี้ แต่นิโคไลไวกว่าเลื่อนเก้าอี้ให้เขาเป็นที่เรียบร้อย ร่างโปร่งกล่าวขอบคุณอย่างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ทว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ยอมไปไหน มธุวันสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงมือใหญ่ที่วางลงบนไหล่
“ผมดีใจนะครับ ที่คุณยอมมา” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู “แต่ผมคงต้องขอยึดเจ้านี่ไว้ก่อนนะครับ”
นิโคไลควงปากกาสีเงินที่ถูกดึงออกจากกระเป๋าเสื้อของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ในมือราวกับของเล่น ขยิบตาให้มธุวันก่อนจะเดินไปยังที่นั่งของตน
“คือ…ผม…”
“ผมชินแล้วล่ะครับ”นิโคไลขัดขึ้น ยังคงควงปากกาเล่นอย่างไม่ใส่ใจ “คนอย่างผม ใครเข้าใกล้ก็ต้องระวังตัวเป็นธรรมดา ผมไม่ถือหรอก”
มธุวันนึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมาเล็กน้อย คนที่เป็นที่หวาดกลัวของคนที่เข้าใกล้ มีแต่คนหวาดระแวง ชีวิตคงจะไม่ได่มีความสุขมากนัก
“คุณหมอกสั่งเต็มที่เลยนะครับ ผมเป็นเจ้ามือเอง”นิโคไลเลื่อนเมนูให้เขา มธุวันกล่าวขอบคุณเสียงเบา ก่อนจะไล่อ่านรายการอาหาร หลังจากที่บริกรกลับไปพร้อมกับเมนู พวกเขาจึงได้อยู่ตามลำพังเสียที
“คุณหมอกชอบทานอาหารประเภทไหนเหรอครับ?”ร่างสูงเปิดบทสนทนา มธุวันนิ่งคิดสักพักก่อนจะตอบ
“ผมชอบอาหารญี่ปุ่นกับอาหารที่เผ็ดๆนะครับ แต่จริงๆก็ทานได้หมด”
“อาหารเผ็ดๆอย่างพวกส้มตำเหรอครับ?”นิโคไลถามต่ออย่างสนใจ
“ครับ จริงๆพวกแกงเผ็ดๆผมก็ชอบ”ร่างโปร่งตอบ “แต่คุณไม่น่าจะรู้จักนะครับ...”
“ลองดูสิครับ ผมรู้จักอาหารไทยเยอะนะ”ชายชาวต่างชาติยิ้มให้เขา
“จะว่าไป คุณนิโคไลก็รู้คำไทยยากๆเยอะเหมือนกันนะครับ” มธุวันรีบพูดเมื่อสบโอกาสเบนหัวข้อบทสนทนาออกจากตัวเอง
“ทำไมถึงได้อยากเรียนภาษาไทยเหรอครับ?”
“ผมรู้จักเคยผู้หญิงไทยคนนึง...เธอมักจะอยู่ตัวคนเดียวเสมอ” รอยยิ้มที่ประอยู่ที่มุมปากตลอดเวลาตกลงเล็กน้อย “เธอพูดภาษาอีตาลีไม่คล่อง พูดอังกฤษไม่ค่อยเก่ง ตอนนั้นผมเลยขอให้เธอช่วยสอนภาษาไทยให้ เพราะผมอยากให้เธอไม่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียว...ล่ะมั้งครับ”
น้ำเสียงของชายหนุ่มยามพูดถึงเรื่องของผู้หญิงคนนั้นราบเรียบ แต่แววตาที่หม่นลงของนิโคไลทำให้มธุวันรู้ว่าคนคนนั้นคงจะมีความสำคัญกับร่างสูงมาก
“ผมค่อนข้างหัวไวเรื่องภาษา หลังจากนั้นเลยขอให้เพื่อนช่วยสอนให้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจ”นิโคไลเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “ผมคงคิดถูกสินะครับเนี่ย”
“ผมเคยคิดอยากเรียนภาษาอิตาลีเหมือนกันนะครับ แต่ไม่มีเวลาซักที”
ทั้งที่อุตส่าห์ทำให้ร่างสูงหันไปพูดเรื่องของตัวเองได้แล้ว แต่ความเงียบที่น่าอึดอัดหลังจากบทสนทนาเมื่อครู่ทำให้มธุวันตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ผมสอนให้ได้นะครับ”นิโคไลรีบเสนอตัว รอยยิ้มขี้เล่นเป็นเอกลักษณ์กลับมาบนใบหน้าคมอีกครั้ง
“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมไม่ค่อยมีเวลาว่าง”ร่างโปร่งตอบปัดอย่างสุภาพ
“เหรอครับ..น่าเสียดาย” นิโคไลท้าวแขนลงบนโต๊ะ ทำให้คอเสื้อของชายหนุ่มกว้างขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยแผลเป็นและรอยสักที่มธุวันเห็นแวบหนึ่งเมื่อวาน “ไม่แน่ คุณอาจจะได้ใช้มันซักวันก็ได้นะครับ”
“รอยสัก...สวยดีนะครับ” มธุวันเปลีี่ยนเรื่องอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาเมื่อครู่อาจจะกำลังดำเนินไปในทิศทางที่เขาไม่ชอบใจนัก เขามองไม่เห็นรอยสักเต็มๆ แต่เขาพอจะเดาได้ว่ามันคงเป็นชื่อของอะไรสักอย่าง
“ชอบเหรอครับ...”นิโคไลดึงคอเสื้อให้เปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นตัวอักษรทุกตัวบนลาดไหล่กว้าง
M-I-C-H-E-L-E
มธุวันพยายามออกเสียงคำคำนั้นในหัว แต่ก็ไม่มั่นใจว่ามันออกเสียงว่าอะไร เขาคิดว่าชื่อนั้นน่าจะเป็นการสะกดแบบอิตาลี ไม่ใช่ชื่ออังกฤษ
“มิคาเอลครับ”
เป็นอีกครั้งที่นิโคไลตอบคำถามเขาราวกับว่ามานั่งอยู่ในความคิด มธุวันไม่รู้ว่าควรรู้สึกประทับใจหรือกลัวคนตรงหน้าดี ดวงตาสีเทาฟ้าเหลือบมองลายเส้นงดงามที่เขารู้สึกคุ้นเคย แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“ผมชอบลายสักนะ”นิโคไลไล่นิ้วไปตามตัวอักษรอย่างเชื่องช้า “มันบันทึกเรื่องราวที่เราอยากจดจำ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม”
“แต่ถ้าวันนึงสิ่งนั้นกลายเป็นความทรงจำที่เราอยากลืม ผมว่ามันก็คงจะลำบากอยู่นะครับ” มธุวันยกแก้วน้ำของตนขึ้นดื่ม นึกโมโหตัวเองในใจที่พลั้งปากพูดออกไป
“คุณหมอกพูดเหมือนกับว่าตัวเองมีอย่างนั้นแหละครับ”ริมฝีปากได้รูปขยับยิ้ม “รอยสักที่อยากจะลบให้หายไป”
“บริษัทของเรามีนโยบายเข้มงวดเรื่องการแต่งกาย รวมถึงการสักลายตามร่างกายด้วยครับ”มธุุวันตอบไม่ตอบรับหรือปฎิเสธ ขาเรียวยกขึ้นไขว้กันพร้อมกับมือที่ยกขึ้นกอดอกอย่างไม่รู้ตัว อันที่จริงธีรเชษฐ์พยายามเอากฎข้อนี้ออกหลายครั้ง แต่บอร์ดบริหารยังคงยืนยันว่าภาพลักษณ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความน่าเชื่อถือของบริษัท จริงๆแล้วขอแค่ไม่สักในบริเวณที่มองเห็นได้ก็ไม่มีปัญหา
“งั้นเหรอครับ..”สายตารู้ทันของร่างสูงทำให้เขาเบือนหน้าหนี แต่นั่นยิ่งทำให้รอยยิ้มของนิโคไลกว้างขึ้นไปอีก “จริงสินะครับ คนอย่างคุณหมอกคงไม่น่าจะเป็นคนที่ทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว....”
สายตาของชายหนุ่มเขาอยากลุกหนีไปเสียตอนนั้น
ดูเหมือนสวรรค์จะได้ยินคำขอของเขาในที่สุดเมื่อร่างโปร่งรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ต้นขา
“ขอ..ขอโทษค่ะ!”พนักงานสาวร่างเล็กก้มศีรษะขอโทษของโพยหลายรอบ ในมือถือเหยือกน้ำที่จะเติมในแก้วของมธุวันค้างไว้ หากเป็นปกติ เขาคงจะดุบริกรสาวที่ใจลอยให้ได้สติเพื่อที่จะไม่ทำแบบนี้กับลูกค้าคนอื่น แต่ร่างโปร่งดีใจที่มีข้ออ้างเกินไปจนส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา
“ขอโทษนะครับคุณนิโคไล ผมขอตัวซักครู่”
คนที่โดนน้ำเย็นเฉียเทใส่หน้าตักลุกขึ้นยืน บริกรหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์รีบเข้ามาขอโทษขอโพยกับเพื่อนร่วมงานแล้วเดินนำเขาไปยังห้องน้ำ โดยมีสายตาของนิโคไลมองตามจนลับสายตา
-----------
ตอนนี้แอบยาว เลยแบ่งเป็น3พาร์ทจะได้ไม่ต้องรอนานเน้อ
![:katai4:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/katai4.gif)