Chapter 8: [Now] นิโคไล อัลฟอนโซ่
ห้องพักของนักธุรกิจชาวอิตาลีผู้นี้กว้างกว่าที่มธุวันคิดไว้มาก
เขาก็พอเข้าใจแหละนะว่าคนรวยมาต่างถิ่นก็คงอยากจะพักผ่อนให้สบาย แต่ห้องที่เขาและเมฆาถูกพาเข้ามาโดยชายหนุ่มชาวต่างชาติร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทนั้นกว้างเกินกว่าที่เขาจะเรียกว่าห้องโรงแรมด้วยซ้ำ แถมนี่ยังเป็นเพียงส่วนของห้องนั่งเล่นอีกต่างหาก
นี่อยู่กันกี่คนเนี่ย?
“Mr.Alfonzo will be with you shortly, please take a seat.(คุณอัลฟอนโซ่จะออกมาในไม่ช้า เชิญนั่งก่อนนะครับ)” ชายหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะเป็นบอดี้การ์ดของคุณอัลฟอนโซ่ผายมือไปยังโซฟากำมะหยี่สีแดงสดตัวยาว รับกระเช้าผลไม้ไปจากมือของมธุวัน “Would you like something to drink, sir? Or perhaps some snacks….(รับเครื่องดื่มอะไรมั้ยครับ? หรือจะรับของว่าง...)”
“water would be enough. That you very much.(แค่น้ำก็พอ ขอบคุณครับ)” มธุวันเงยหน้าตอบจากโซฟา เขาเลือกที่จะนั่งมุมหนึ่งของโซฟาตัวยาวตัวนี้เพื่อให้เมฆาได้นั่งสบายๆ แต่ร่างสูงกลับนั่งลงมาข้างเขา เหลือที่ไว้อีกฝั่งโดยไม่สนใจจะขยับออกไปให้เขาได้หายใจหายคอบ้าง
ใกล้จนสัมผัสได้ถึงเข่าที่กระทบกันเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ใกล้จนรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่ผ่านเนื้อผ้าออกมา
ใกล้จนมธุวันเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านกลับไปถึงวันคืนที่ความใกล้ชิดแทบนี้เป็นสิ่งที่ทำจนเคยชิน
ร่างโปร่งเพิ่งสังเกตว่าจำนวนบอดี้การ์ดในห้องห้องนี้มีมากกว่าที่เขาคิดพอสมควร เมื่อครู่ก่อนเข้ามาเขาเห็นบอดี้การ์ดสองคนอยู่หน้าห้อง รวมคนที่พาพวกเขาเข้ามาเป็นสาม ในตอนนี้เขาเพิ่งเห็นว่าที่ประตูซึ่งน่าจะเป็นประตูห้องนอนซึ่งอยู่เฉียงไปทำให้เขาเห็นไม่ชัดมีบอดี้การ์ดยืนอยู่อีกสองคน และหากเขาเดาไม่ผิดในห้องนอนนั้นน่าจะมีคนอยู่อีก
แค่มาคุยธุรกิจจำเป็นต้องพกกำลังคนมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
ในที่สุดประตูห้องนอนก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของนักธุรกิจหนุ่มชาวอิตาลีในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวดูคล่องตัว แต่ด้วยกระดุมที่ติดขึ้นมาไม่สุดทำให้มธุวันเห็นผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบอกของอีกฝ่าย
นั่นสินะแผลที่ประสบอุบัติเหตุมา
ชายหนุ่มดูเหมือนจะอยู่ในช่วงอายุประมาณยี่สิบปลายๆ โครงร่างสูงใหญ่ที่แม้จะไม่เท่าเมฆาแต่ก็ยังถือว่าสูงหากเมียบกับคนทั่วไป ใบหน้าคมคายราวรูปสลักของเทพเจ้ากรีกโบราณมีรอยยิ้มแต่งแต่งที่มุมปากอย่างขี้เล่น ดวงตาสีมรกตซุกซนมองสำรวจแขกของตนอย่างสนใจ เส้นผมสีดำสนิทหยักศกระต้นคอยังดูหมาดจากการสระผมเสร็จใหม่ๆ แต่ที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นรอยแผลเหมือนกับถูกไฟไหม้ที่บริเวณคอลามไปถึงไหล่ซ้ายของชายหนุ่ม ซึ่งมีรอยสักเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษประณีตทับอยู่บนนั้น แต่มธุวันไม่สามารถมองทะลุเสื้อของอีกฝ่ายได้ว่าคำๆนั้นคือคำว่าอะไร
โดยรวมแล้วเป็นผู้ชายที่ดูอันตรายในหลายๆแง่จริงๆนั่นแหละ
“ขอโทษที่ให้รอนะครับ ผมหาไดร์เป่าผมไม่เจอ” ร่างสูงชี้ที่ผมตัวเองเป็นหลักฐาน “หวังว่าคงจะไม่ถือ”
พูดไทยชัดมาก
นั่นคือความประทับใจแรกของมธุวันที่มีต่อคนคนนี้ ทั้งที่โครงหน้าไม่มีส่วนใดบ่งบอกเลยว่ามีเชื้อสายของทางนี้ แต่กลับพูดภาษาไทยได้ชัดกว่าทินกรที่เรียนอยู่ที่เมืองไทยจนถึงมัธยมต้นเสียอีก
“ไม่เป็นไรครับ ผมชื่อมธุวัน เป็นตัวแทนของบริษัททรัพย์ดำรง ส่วนนี่คุณเมฆา เป็นรองประธานของบริษัท จะเป็นผู้รับผิดชอบโปรเจกต์นี้ครับ” มธุวันแนะนำตัวเองและร่างสูงข้างๆ “คุณอัลฟอนโซ่พูดภาษาไทยได้ชัดมากเลยนะครับ”
ร่างโปร่งอดชมด้วยความทึ่งไม่ได้
“ผมชอบเรียนภาษาน่ะครับ”ร่างสูงยิ้มตอบ นั่งลงบนโซฟาตัวเล็กอีกด้านของโต๊ะ “เรียกผมว่านิโคไลก็ได้ครับ คุณ...มธุ...?”
“เรียกหมอกก็ได้ครับ” มธุวันเอ่ยอย่างเข้าใจ ชื่อของเขาเป็นชื่อที่ออกเสียงค่อนข้างยากสำหรับชาวต่างชาติ
“หมอก…Mist?” นิโคไลขยับยิ้ม “ลึกลับ...น่าค้นหา...เหมาะกับคุณมากครับ”
มธุวันรู้สึกว่าเมฆากำลังจ้องคู่ค้าทางธุรกิจของเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างถึงที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันดีกว่านะครับ” มธุวันหยิบแฟ้มเอกสารออกมาจากกระเป๋าของตนอย่างคล่องแคล่ว สายตาก็เหลือบมองเมฆาให้เริ่มเจรจาธุรกิจก่อนที่รองประธานจะทำเรื่องให้คู่ค้าของพวกเขาไม่พอใจเสียก่อน
เวลาล่วงเลยมาเกือบสองชั่วโมงแต่พวกเขายังไม่ได้ข้อสรุปอะไร มธุวันรู้สึกประหลาดใจเพราะข้อเสนอที่พวกเขาเตรียมมาเรียกได้ว่าแทบจะเข้าเนื้อตัวเองขอแค่อีกฝ่ายยอมเปิดทางให้พวกเขาเข้าไปทำธุรกิจ ส่วนนิโคไลก็ดูเหมือนจะพอใจหลายครั้งหลายคราแต่กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตกลงเสียที
เหมือนจะรู้เท่าทันความคิดนักธุรกิจหนุ่มเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาหาเมฆา
“เอาแบบนี้มั้ยครับ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจ ผมจะยอมเซ็นสัญญากับบริษัทของพวกคุณ โดยมีเงื่อนไขแค่ข้อเดียว”นิโคไลแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปาก ดวงตาสีมรกตวาววับอย่างนึกสนุก“คุณหมอก พรุ่งนี้ให้เกียรติมาทานมื้อค่ำกับผมซักมื้อได้มั้ยครับ?”
น่าน....เอาอีกแล้ว
มธุวันคิดว่าตัวเองควรจะชินกับคำขอแบบนี้ของเหล่าผู้ร่วมลงทุนและนักธุรกิจที่เขาเคยติดตามธีรเชษฐ์ไปเจรจาธุรกิจ แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าตัวเองมีอะไรที่ทำให้คนพวกนี้ชอบพาเขาไปกินข้าวนักหนา
หรือหน้าตาเขาดูขาดสารอาหาร?
“บริษัทของเราไม่มีนโยบายแบบนั้นครับ”เมฆาเอ่ยเสียงเรียบ แต่หางเสียงห้วนสั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจ มธุวันเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ปกติถึงแม้ชายหนุ่มจะทำตัวน่าหงุดหงิดเวลาอยู่ใกล้เขา แต่เวลาทำงานร่างสูงก็เป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้ดีคนหนึ่ง แต่วันนี้เมฆาทำตัวแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
ถึงแม้จะรู้สึกดีใจลึกๆที่เมฆากำลังปกป้องเขา แต่โอกาสทางธุรกิจแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ถึงแม้ในอดีตมธุวันจะปฎิเสธทุกครั้งที่ได้รับข้อเสนอเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เขารู้ดีว่าหากไม่รับข้อเสนอ พวกเขาอาจจะไม่ได้ข้อตกลงกับอีกฝ่าย
นิโคไลจะไม่ได้รับผลเสียอะไรหากการเจรจาธุรกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จ แต่ธีรเชษฐ์และเมฆาอาจจะถูกบอร์ดบริหารหาเรื่องเอาได้
“พรุ่งนี้ผมสะดวกแค่ตอนเที่ยงครับ” อย่างน้อยกลางวันแสกๆ เขาคงไม่โดนทำอะไรแปลกๆหรอกมั้ง
“มธุวัน” เมฆากระซิบเสียงดุ แต่ร่างโปร่งทำเป็นไม่ได้ยินเสียง นิโคไลยกยิ้มอย่างพอใจ ดวงตาสีมรกตเหลือบมองเมฆา หากร่างโปร่งไม่ตาฝาด เขาคิดว่าชายหนุ่มกำลังสนุกกับการปั่นหัวเมฆาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
สองคนนี้มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า?
แต่ท่าทางของเมฆาดูเหมือนไม่รู้จักอีกฝ่าย ซึ่งมธุวันไม่รู้ว่ามาจากอุบัติเหตุครั้งนั้น หรือเป็นแค่ชายสองคนที่มองหน้าแล้วไม่ถูกชะตากัน
“ถ้าแค่ทานข้าวเพื่อคุยเรื่องงาน ผมไม่ก็ปฎิเสธครับ” มธุวันเอ่ยเสริม นิโคไลเอนตัวลงพิงโซฟา กอดอกมองไขว้ขามองเขาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้มธุวันรู้สึกแปลกๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงครับ” ชายหนุ่มชาวต่างชาติหยิบแฟ้มใส่เอกสารที่เปิดวางอยู่ขึ้นมาเซ็น ก่อนจะยื่นมันกลับมาให้เลขาหนุ่ม “ผมไม่ค่อยรู้ที่ทางแถวนี้ คงต้องรบกวนคุณหมอกแนะนำสถานที่แล้วล่ะครับ”
นั่นทำให้มธุวันใจชื้นขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยเขาก็มีโอกาสได้เลือกสถานที่โล่งแจ้งที่มีคนพลุกพล่านเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
“นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของผม”นิโคไลเขียนเบอร์โทรศัพท์ลงบนด้านหลังนามบัตรของตนแล้วยื่นในร่างโปร่งที่รับมาอย่างไม่เต็มใจนัก “โทรมาได้ตลอดนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
“Excuse me,Boss, but the doctor is here.(ขอโทษนะครับบอส แต่คุณหมอมาถึงแล้ว)”
มธุวันเกือบจะสะดุ้งกับเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังของเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครยืนอยู่ เมื่อหันกลับไป สิ่งที่เห็นก็แทบทำให้เขาสะดุ้งอีกครั้ง โชคดีที่ร่างโปร่งควบคุมสติไว้ได้ทันทำให้ไม่เสียมารยาทต่อหน้าชายหนุ่มชาวต่างชาติที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของผมตัดสั้นติดหนังศีรษะในชุดสูทสีดำสนิทเช่นเดียวกับบอดี้การ์ดคนอื่นมีรอยแผลเป็นเป็นทางยาวจากขมับด้านขวาผ่านดวงตาสีฮาเซลนัทที่ดูจะมองอะไรไม่ค่อยเห็นลงมาถึงมุมปาก ทำให้ใบหน้าที่ดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรดูมีตำหนิอย่างน่าเสียดาย
น่ากลัว...
ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรตัดสินใครที่หน้าตา แต่มธุวันอดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“Bring him to my room. I’ll be there in a minute.(พาเขาไปที่ห้องฉัน เดี๋ยวตามไป)” นิโคไลสั่งลูกน้อง ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนเดินกลับออกไปเชิญคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกเข้ามา มธุวันแอบนึกอิจฉาคนรวยที่มีหมอมาตรวจให้ถึงที่ แต่ดูท่าอุบัติเหตุที่นิโคไลได้รับคงจะสาหัสพอสมควรถึงได้ยังต้องให้หมอมาดูแบบนี้
เสียงพูดคุยดังขึ้นจากด้านนอก ก่อนที่ร่างสูงในชุดกาวน์จะก้าวตามหลังบอดี้การ์ดหนุ่มคนเดิมเข้ามาในห้อง มธุวันเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณหมอคเชนทร์ที่นี่
“คุณหมอคเชนทร์ สวัสดีครับ”
“อาคราม สวัสดีครับ”
แขกทั้งสองยกมือไหว้ผู้มาใหม่อย่างนอบน้อม คเชนทร์มองพวกเขานิ่ง แต่มธุวันเดาว่านั่นคงเป็นการแสดงออกถึงความงุนงงในแบบฉบับของอาจารย์หมอที่ไม่ค่อยแสดงอาการ เรียกได้ว่าขนาดถูกธีรเชษฐ์แหย่ยังไม่เคยหลุดมาดโวยวายให้เขาเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่มธุวันรู้สึกประทับใจในตัวคนคนนี้เป็นอย่างมาก
“มาทำอะไรกันที่นี่?”
“พวกเรากำลังจะกลับแล้วครับ” ร่างโปร่งรีบพูด เขาไม่อยากให้คุณหมอต้องรอนาน อีกอย่าง เขาอยากจะออกไปจากที่นี่เร็วๆอีกด้วย
“เดี๋ยวผมไปส่งที่รถนะครับ” นิโคไลอาสา แต่มธุวันส่ายหน้าปฎิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ คุณนิโคไลให้คุณหมอตรวจอาการดีกว่านะครับ พวกผมไปเองได้” สิ้นคำนั้นชายหนุ่มทั้งสองก็เดินออกมาจากห้อง มธุวันแบบได้ยินเสียงบทสนทนาแว่วๆก่อนประตูจะปิดลงของอาจารย์หมอและคนไข้
“สวัสดีครับหมอคราม คิดถึงผมเหรอครับถึงได้รีบมา”
“รบกวนคนไข้นอนลงด้วยครับ หมอจะได้ตรวจบาดแผลภายนอก...”
“งั้นผมตรวจภายในหมอได้มั้ยครับ แลกกัน...”
โอ้โห พ่อปลาไหลหลุดมาจากทะเลไหนใครก็ได้ช่วยปล่อยกลับที
“เดี๋ยวฉันไปห้องน้ำก่อน” เมฆาเอ่ยขึ้นก่อนจะกดปุ่มชั้นล็อบบี้ มธุวันพยักหน้า เมื่อออกมาจากลิฟท์ร่างโปร่งจึงเดินไปนั่งรอที่โซฟาของล็อบบี้ที่ไม่มีใครนั่งอยู่ ทว่าจู่ๆเขาก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่ไหล่
“หมอก...หมอกใช่มั้ย?”
เสียงที่ไม่ได้ยินมาสี่ทำให้มธุวันหันขวับไปด้านหลังอย่างรวดเร็วจนคอแทบเคล็ด เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ด้านหลังเป็นใคร
“วิน!!”
“ไม่เจอกันตั้งนาน เท่ขึ้นจมเลยนะ”
ร่างสูงดึงมธุวันเข้าไปในอ้อมกอด เลขาหนุ่มกอดตอบแน่นอย่างดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ปีสามดูเหมือนทางบ้านของนาวินทร์จะมีปัญหาบางอย่างทำให้ชายหนุ่มไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีก เขาจำได้ว่า
เมฆาซึมอยู่นานพอสมควร
แย่แล้ว...เมฆา!
“แล้วนี่เป็นไงบ้าง ฉันไม่ได้ติดต่อกับไอ้เมฆเลย เลยไม่รู้ข่าวของนายด้วย”นาวินทร์ถาม ร่างสูงยังคงดูเหมือนที่เขาเคยรู้จัก ต่างเพียงเส้นผมที่ดูจะสั้นลงเล็กน้อยและถูกหวีเรียบเป็นการเป็นงาน
“เอ่อ...เราเลิกกันได้หลายปีแล้ว”ทั้งที่ประโยคนั้นไม่ควรจะสร้างความเจ็บให้เขาได้อีกแล้ว แต่มธุวันยังคงนิ่วหน้ากับความรู้สึกเจ็บแปลบในใจที่เขาไม่ได้ตั้งรับ
“เฮ้ย!จริงดิ! นายกับเมฆเนี่ยนะ”นาววินทร์ร้องเสียงสูงอย่างไม่อย่างเชื่อ
“วิน เรามีเรื่องจะขอร้อง”มธุวันเอ่ยเสียงจริงจัง “คือเรากับเมฆ...ไม่ได้จากกันโดยดีเท่าไหร่ ถ้าวินทร์เจอเมฆ พยายามอย่าพูดเรื่องเก่าๆตอนที่เรายังคบกันได้มั้ย เราไม่อยากให้เมฆไม่สบายใจ”
“โถ พ่อคุณเมฆาของวินทร์ พ่อเสาไฟฟ้าหน้าอินเตอร์ของบ่าว มีแฟนประเสริฐแบบนี้ยังจะปล่อยให้หลุดมือไปอี๊ก”ร่างสูงตบหน้าผากตัวเองอย่างปลงกับชีวิต “เอ้าๆ เข้าใจแล้ว ไม่พูด ไม่ถาม โอเค้?”
“ขอบใจนะ” มธุวันยิ้มให้กับเพื่อนสนิทของอดีตคนรัก เขาดีใจจริงๆที่เมฆาจะได้เจอกับเพื่อนเก่า แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าความลับของเขาจะยังเป็นความลับไปได้นานเท่าไหร่
“งั้นฉันไปนะ พอดีมีงานต่่อ ฉันเพิ่งมาไทยได้แป๊บเดียว ยังไม่มีเวลาแวะไปหาไอ้เมฆที่บริษัทเลย”
“แล้วนี่จะมาอยู่นานมั้ย?”มธุวันถาม
“บอกยากแฮะ แต่ก็คงซักพักแหละ อ่ะนี่นามบัตรฉัน ว่างๆไปกินข้าวกัน” ร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทโบกมือให้มธุวันก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟท์ คลาดกับเมฆาที่เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเส้นใยแดงผ่าแปด มธุวันแทบจะหยุดหายใจกับความพอดีของช่วงเวลาเมื่อครู่
“เป็นอะไร หน้าซีดๆ”เมฆาทัก มือใหญ่ยกขึ้นแตะที่หน้าผากของมธุวันก่อนที่ร่างโปร่งจะได้ตอบ ความอบอุ่นที่คุ้นเคยทำให้มธุวันรีบปัดมือนั้นออกจากหน้าผากก่อนที่ความโหยหาจะฉายชัดในแววตา ร่างสูงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“ทำอะไร?”
“คุณ…เพิ่งเข้าห้องน้ำมา ล้างมือรึเปล่าก็ไม่รู้ อย่าจับหน้าคนอื่นตามอำเภอใจสิครับ” แม้จะฟังดูแถๆแต่มธุวันก็คิดว่ามันดูสมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้
“นี่ฉันดูเหมือนศูนย์รวมเชื้อโรคขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ทว่านอกจากจะไม่ด่าเขา น้ำเสียงของเมฆายังดูขบขันอย่างที่ไม่เคยได้ยินมานาน
“แค่คล้ายๆครับ”ร่างโปร่งก้าวฉับๆนำอีกฝ่ายไปยังลิฟท์เพื่อไปที่ลานจอดรถ ไม่ยอมหันกลับไปมองร่างสูงยังคงจ้องเขาไม่วางตา
วันนี้เมฆาทำตัวแปลกๆทั้งวัน กินอะไรผิดสำแดงไปรึไงกันนะ?
ทีแรกมธุวันคิดว่าจะโดนชายหนุ่มดุเรื่องที่เขาตกลงไปทานอาหารกับนิโคไล ทว่าทันทีที่อยู่ด้วยกันในรถ ร่างสูงกลับเอนตัวพิงกระจกหน้าต่าง มองชมวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองตลอดสองข้างทางโดยไม่พูดอะไร
แปลกจริงๆนั่นแหละ
“ขออนุญาตครับ” นาวินทร์เดินเข้ามาในห้องพักของเจ้านาย สวนกับอาจารย์หมอที่ก้าวฉับๆออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน
“กลับมาแล้วเหรอวิน” นิโคไลเดินออกมาจากห้องนอนของตนด้วยสภาพเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นรอยสักที่พาดยาวตั้งแต่หัวไหล่มาถึงต้นคอคาดทับรอยแผลไฟไหม้ที่ไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา
รอยสักนั้นเป็นหนึ่งในผลงานแรกของเขา
“คุณหมอโกรธอีกแล้วเหรอครับ”
เขาไม่เข้าใจเจ้านายของตัวเองจริงๆ แหย่ใครไม่แหย่ ดันชอบไปแหย่ให้คนที่รักษาตัวเองอารมณ์เสียซะงั้น เกิดหมอคเชนทร์บันดาลโทสะขึ้นมาถึงพวกเขาอยู่ใกล้แค่ไหนก็ช่วยไม่ทันหรอกนะ
“เขาไม่เรียกโกรธ เขาเรียกเขินต่างหาก”นิโคไลหัวเราะ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นแตะที่หูของตนเบาๆ “นี่ใจคอเขาจะไม่คุยอะไรใรกันในรถจริงๆเหรอ?”
“เครื่องดักฟังมีปัญหาเหรอครับ”นาวินทร์ขมวดคิ้วตามเจ้านาย
“ไม่ ได้ยินเสียงปกตินั่นแหละ ตอนที่หมอกคุยกับนายก็ยังได้ยิน”
นิโคไลเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ เปิดลิ้นชักออกแล้้วดึงแฟ้มกระดาษสีฟ้าอ่อนออกมา ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆด้วยกลัวว่าแผลที่ท้องจะเปิด โดยมีนาวินทร์ชอบประคองอีกแรง
“หมอนั่น...ความจำเสื่อมจริงๆเหรอ”
“ครับ จากข้อมูลในนี้ไม่ผิดแน่นอน”นาวินทร์เหลือบมองแฟ้มเอกสาร ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“คนเรา...จะสามารถลืมคนสำคัญของตัวเองได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”ร่างสูงพึมพำ ดวงตากวาดมองข้อมูลในประวัติผู้ป่วยนั้นอีกครั้ง
“ของแบบนี้เราเลือกไม่ได้หรอกครับ”
“ไม่…”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงต่ำ “ฉันไม่มีวันลืม...”
“บอส…”นาวินทร์เรียกเสียงเบา เป็นห่วงว่าความเครียดจะทำให้เจ้านายปวดหัวขึ้นมา
“คนสำคัญของฉัน ต่อให้ตาย ฉันก็ไม่มีวันลืม” นิโคไลย้ำเสียงหนักแน่น เก็บแฟ้มเอกสารนั้นยัดใส่ลิ้นชักแล้วกระแทกปิด
อย่างไม่สบอารมณ์ “คนแบบนั้น ไม่คู่ควรกับเขาซักนิด!”
คนแบบนั้น ไม่สมควรได้หัวใจดวงนั้นไปครอบครอง
ไม่คู่ควรที่จะได้เชยชมอยู่ห่างๆด้วยซ้ำ!
--------
มันยาวแหละตัว
ดีใจมากที่มันยาว55555
เผื่อวาร์ปบ้างจะได้ไม่รู้สึกผิดมาก//เดี๋ยว