ฝ่ายคนในห้องน้ำรีบปิดล็อคประตูอย่างรวดเร็ว ร่างโปร่งเอนหลังพิงประตูห้องน้ำ ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระเบี้ยงสีขาวสีอาดตา
อย่างหมดอาลัยตายอยาก
ฮือ...นี่เราไปจับมือเขาทำไมเนี่ย
มธุวันยังคงให้คำตอบตัวเองไม่ได้ ร่างโปร่งตัดสินใจเลิกฟุ้งซ่านกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ลุกขึ้นยืนแล้วหันซ้ายขวาสำรวจสภาพโดยรอบเพื่อเริ่มต้นชำระร่างกาย ห้องน้ำของเมฆาค่อนข้างใหญ่ มีพื้นที่ใช้สอยอย่างครบครัน ทั้งโซนเปียก โซนแห้ง และอย่างอาบน้ำทรงกลมยี่ห้อดังขนาดที่พอให้คนสองคนลงไปแช่ได้โดยไม่อึดอัด
มธุวันพยายามไม่คิดถึงความเป็นไปได้ที่หนึ่งในสองคนนั้นอาจจะเป็นเขาในอนาคต ร่างโปร่งสะบัดหัวไล่ความคิดนั้น ก่อนจะเริ่มจัดการถอดเสื้อผ้าแล้วก้าวเข้าไปในห้องอาบน้ำ สายน้ำอุ่นๆที่กระทบเรือนร่างผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากกิจกรรมต่างๆในวันนี้ได้เป็นอย่างดี ร่างโปร่งหลับลง ลูบไล้ฟองสบู่ทั่วผิวกายเนียนนุ่มอย่างผ่อนคลาย
“หมอก โทรศัพท์” เสียงของเมฆาดังขึ้นจากด้านนอกห้อง ร่างโปร่งรีบปิดน้ำ เสียงที่อยู่ใกล้เกินไปของเจ้าของห้องทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกจ้องมองร่างเปลือยเปล่าของตนทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่เห็นอะไร
“ใครโทรมาเหรอ?” มธุวันร้องถาม สภาพฟองสบู่เต็มตัวทำให้เขาไม่กล้าก้าวออกจากโซนเปียกไปยังประตูห้องน้ำ
“โดนัท รูมเมทท” ร่างสูงอ่านชื่อบนหน้าจอให้เจ้าของเครื่องฟัง
แย่แล้ว เขาได้บอกโดนัทรึยังนะว่าเขาจะไม่กลับหอ นัทจะเป็นห่วงมั้ยถ้าเขาไม่รีบรับโทรศัพท์แบบนี้
“เมฆรับให้หน่อยได้มั้ย บอกว่าเราไม่กลับหอ ไม่ต้องห่วง” เมื่อไม่มีทางเลือก มธุวันจึงตะโกนบอกเมฆาไปแบบนั้น เขาได้ยินเสียงร่างสูงตอบรับจากหน้าประตูแล้วกดปุ่มรับสาย ก่อนจะกรอกเสียงลงไป
“หมอกไม่กลับหอ ไม่ต้องห่วง...อือ...ค้างกับฉัน” มธุวันได้ยินเสียงบทสนทนาแว่วผ่านประตู “หมอกอาบน้ำอยู่...อือ..”
ทำไมเขาต้องหน้าแดงพอได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าอาบน้ำอยู่ด้วยล่ะ?! มาอาบน้ำห้องเพื่อนมันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง?!
มธุวันเช็ดตัวอย่างไม่สบอารมณ์ เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
ร่างโปร่งหยิบชุดนอนที่พับไว้อย่างเรียบร้อยขึ้น ดวงตาสีประหลาดเบิกกว้างเมื่อผ้าแพรลื่นมือคลี่ตัวออกเผยให้เห็นชุดกระโปรงนอนสีชมพูหวานเบาบาง
“เมฆ!!!!”
เมฆาลอบขำเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงโวยวายของร่างโปร่งตามคาด เขาได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ พร้อมกับร่างของมธุวันที่ก้าวออกมา
“เมฆ เล่นอะไรเนี่ย”
สิ่งเดียวที่ดูจะผิดความคาดหมายคือการที่มธุวันก้าวออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันรอบเอว หยดน้ำเกาะพราวบนแผ่นอกแบนราบขาวนวลเนียน ร่างสูงกลืนน้ำลาย รีบเบือนหน้าหนีเมื่อรู้ตัวว่าแผนการชั่วร้ายกลับมาเล่นงานตัวเองเสียแล้ว
“ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้า?”
“ก็เมฆนั่นแหละเอาชุดอะไรมาให้เราใส่”มธุวันกอดอกอย่างไม่พอใจ
“ชุดน้องชาย มันเป็นตัวเดียวที่น่าจะพอดี”ร่างสูงให้เหตุผลเสียงใสซื่อ มธุวันมีสีหน้าไม่ไว้วางใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าชุดของเมฆาน่าจะไม่พอดีตัวเขาซักตัวจริงๆ
“หลวมก็ไม่เป็นไร ชุดนี้มัน...หวิวๆอ่ะ”
“แล้วที่ยืนอยู่แบบนี้ไม่หวิวเหรอ”เมฆาเลิกคิ้ว “เดินออกมาหาเมฆในสภาพแบบนี้...เกิดอะไรขึ้นเมฆไม่รู้ด้วยนะ”
“เมฆไม่ทำอะไรเราหรอก”
มธุวันไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ลึกๆในใจ เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีวันทำอะไรที่จะทำร้ายเขาแน่ๆ
เมฆาถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเอาเสื้อยืดกับกางเกงบอลของตัวเองออกมา ถึงแม้กะจากสายตาแล้วมธุวันไม่มีทางจะใส่ได้ แต่ร่างโปร่งก็ยินดีใส่มันมากกว่าเดรสผ้าแพรสีชมพูในมือเขา
“เมฆ ขอหมอกข้างหน่อยได้มั้ย”
มธุวันถาม เมฆาหยิบหมอนข้างของตัวเองให้ร่างโปร่งอย่างว่าง่าย มธุวันวางมันลงคั่นตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งคู่ ก่อนจะล้มตัวลงไปบนเตียง
“ไหนว่าไว้ใจเมฆไง”ร่างสูงแสร้งเอ่ยเสียงเจ็บปวด
“เราบอกว่าเมฆไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ได้บอกว่าไว้ใจเมฆซะหน่อย”มธุวันย้อนเสียงทะเล้น ตะแคงข้างหันมาหาเจจ้าของห้องที่นอนอยู่อีกด้านของหมอนข้าง“อีกอย่าง เรากำลังช่วยเมฆอยู่ต่างหาก”
“ช่วย?”เมฆาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
มธุวันเพียงแต่ยิ้มไม่พูดอะไร
คืนนั้น เมฆาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหมอนข้างที่คั่นกลางระหว่างพวกเขาไว้เป็นเกราะกำบังที่ถูกวางไว้เพื่อปกป้องเขาจริงๆ
ปึ้ก...ปึ้ก....
เขาไม่เคยเจอคนที่นอนดิ้นขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ยังดีที่เตียงของเขากว้างมากทำให้การถีบของอีกฝ่ายไม่ค่อยโดนเขาเท่าไหร่ แต่ท่าทีกระสับกระส่ายและเสียงครางผะแผ่วของร่างโปร่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ในที่สุดเมฆาก็หมดความอดทน ร่างสูงดึงหมอนข้างเขวี้ยงลงไปบนพื้น คว้าร่างที่ดิ้นจนเหงื่อโทรมกายเข้ามาในอ้อมกอดแน่น แต่แทนที่มธุวันจะดิ้นต่อ ร่างโปร่งกลับค่อยๆหยุดดิ้นเสียอย่างนั้น เมฆาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่ก็ขยับตัวให้ศีรษะของคนที่ยังไม่ตื่นซบลงบนแขนของตนอย่างเบามือ
ริมฝีปากสีชมพูระบายยิ้มน้อยๆ มธุวันขยับซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างโหยหา เมื่อเห็นร่างโปร่งหลับสนิท เมฆาจึงหลับตาลงบ้าง แล้วจมสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย
“อารมณ์ดีจังนะหมอก มีเรื่องดีๆเหรอ”
ญาวิกาถาม จิ้มสัปปะรดที่ซื้อมาเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ มธุวันส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ยอมบอกเพื่อนว่าตนกำลังมีความสุขเรื่องอะไร
“อารมณ์ดีสิ สอบควิซกี่รอบก็ได้เต็ม ถามจริงนี่มึงแดกตำราเป็นอาหารเช้าเหรอวะ”ณัฐภาสบ่นแล้วก้มปั่นงานของตัวเองต่อ
มธุวันยังคงอมยิ้ม ไม่คิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดของเพื่อน
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากคืนที่เขาไปค้างกับเมฆา มธุวันตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของร่างสูง เด็กหนุ่มกลั้นหายใจกับความใกล้ที่แสนจะน่ากลัว แต่เมฆายังคงหลับสนิท ดูไร้พิษภัยเสียจนเขาไม่อยากจะลุกหนี
คนอะไรจะหล่อได้ทุกมุมทุกองศาแบบนี้
ร่างโปร่งยกมือขึ้นแตะสันกรามของคนตรงหน้าแผ่วเบา รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นที่มุมปากของมธุวันอย่างห้ามไม่อยู่
ชีวิตแบบนี้...ก็ไม่เลวเหมือนแฮะ
“ถ้ายังไม่ทำอะไรเมฆจะเก็บเงินค่าจ้องแล้วนะ”
เสียงทุ้มที่แหบพร่าจากการตื่นนอนเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังไม่ลืมตา มธุวันสะดุ้ง ชักมือออกจากใบหน้าคมของอีกฝ่ายราวกับถูกของร้อน
“เมฆ! ตื่นแล้วทำไมไม่บอก”
“ถ้าบอกหมอกก็ไม่ลักหลับเมฆน่ะสิ”ร่างสูงตอบด้วยสีหน้าโมโนโทนราวกับว่านั่นเป็นสัจธรรมของชีวิต
“เรา..เราไม่ได้ลักหลับซะหน่อย”คนถูกจับได้ตะกุกตะกักแก้ตัว
“ชอบเมฆแล้วก็บอกมาเถอะน่า”ร่างสูงเท้าคางลงบนหมอน ดวงตาสีควันบุหรี่ฉายแววรู้ทัน
“พอเลย เราไปอาบน้ำแล้ว วันนี้มีเรียนเช้า”มธุวันเปลี่ยนเรื่อง ผละออกจากเจ้าของห้องอย่างรวดเร็วก่อนที่ร่างสูงจะใช้โอกาสนั้นทำอะไรเขา หรือเขาอาจจะหน้ามืดทำอะไรคนตรงหน้าก็เป็นได้
“หมอก” เสียงทุ้มเรียกตามหลัง ร่างที่กำลังจะเข้าไปในห้องน้ำหันกลับมาตามเสียงเรียก เมฆายกยิ้มมุมปากกระชากใจให้เขาจากบนเตียงก่อนจะถาม “ตกลงเมฆจีบหมอกได้แล้วใช่มั้ย”
“เรื่อง...เรื่องแบบนั้นใครเค้าถามกันโต้งๆแบบนั้นเล่า!” แก้มของมธุวันขึ้นสีเรื่อด้วยความอาย ก่อนที่ร่างโปร่งจะผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อคประตูอย่างรวดเร็ว
“ว่าไงหมอก...ถ้าไม่บอกเมฆจะยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำแบบนี้แหละ”เสียงของเจ้าของห้องดังลอดเข้ามา คนถูกแกล้งกัดริมฝีปาก ก่อนจะหลับหูหลับตาตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“ทำอะไรก็ทำ เราไม่สนแล้ว!”
เรื่องแบบนั้น...แค่ดูหน้าเขาเมื่อกี้ก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง?!
กลับมที่ปัจจุบัน มธุวันยังคงไม่ได้เจอเมฆาหลังจากวันนั้น แต่ร่างสูงก็มักจะโทรมาคุยกับเขาก่อนนอนแทบทุกคืน บางครั้งก็ส่งข้อความมากลางดึกเหมือนรู้ว่าเวลานั้นมธุวันหลับไปแล้ว ถึงแม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่มธุวันรู้ดีกว่าการที่ตนนั่งรอโทรศัพท์ของอีกฝ่ายทุกวัน เช็คข้อความจากเมฆาทุกเช้า ไม่ใช่เรื่องที่คนที่มีความรู้สึกให้กันแค่เพื่อนเขาทำกัน
เขา...ชอบเมฆาเข้าให้แล้วจริงๆ
“เออแก จำเพื่อนหมอกได้มั้ย คนที่โคตรหล่อแต่หน้าบอกบุญไม่รับตลอดเวลาอ่ะ”จู่ๆญาวิกาก็เอ่ยขึ้น ขัดจังหวะการใจลอยของมธุวันด้วยการบรรยายรูปพรรณสันฐานที่เขาคุ้นเคยดี “ที่ชื่อเมฆป่ะ?”
มธุวันพยายามเก็บอาการไม่ให้หูผึ่งกับชื่อของคนที่สถานะยังไม่ชัดเจนคนนั้น
“อ๋อ ไอ้ที่ดูฝรั่งๆหน่อยป่ะ? ทำไมอ่ะ?”ณัฐภาสถามเมื่อจู่ๆคนที่เขาเคยเห็นหน้าแค่ครั้งสองครั้งก็โผล่เข้ามาในบทสนทนา
“ฉันเพิ่งเห็นเขาออกทีวีเว้ย เนี่ย มีวีดีโอให้ดูย้อนหลังด้วย”เด็กสาวเปิดคลิปวีดีโอย้อนหลังให้เพื่อนทั้งสองดู มธุวันสนใจขึ้นมา เขาไม่ยักรู้ว่าเมฆาเคยออกทีวีด้วย
“สวัสดีคุณผู้ชมทางบ้านนะคะ วันนี้รายการของพวกเราก็อยู่่กับนักธุรกิจหนุ่มหล่อไฟแรงที่เรียกได้ว่าขยายเครือบริษัทอย่างรวดเร็วจนทั่วภูมิภาคเอเชีย และลูกชายคนโตที่หล่อไม่แพ้คุณพ่อ คุณธีรเชษฐ์ ทรัพย์ดำรง และคุณเมฆา ทรัพย์ดำรงค่า”
มธุวันรู้อยู่หรอกนะว่าเมฆาเป็นคนมีฐานะ แต่เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นทายาทคนโตของมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจร้อยแปดพันเก้าที่ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อคนนี้
เขารู้สึกหายใจไม่ออกชั่วขณะ
คำถามส่วนที่เป็นเรื่องของธุรกิจพ่อของเมฆาเป็นคนตอบเสียส่วนใหญ่ ชายหนุ่มวัยสามสิบกลางๆดูอย่างไรก็เหมือนพี่ชายของร่างสูง ใบหน้าคมคายมีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปมากกว่าลูกชายเล็กน้อย ธีรเชษฐ์ตอบคำถามทุกข้ออย่างกระชับ ถูกต้อง และตรงประเด็น เช่นเดียวกับเมฆาเวลาที่ถูกถามถึงหน้าที่ของตนในบริษัท มธุวันไม่อยากเชื่อว่าเด็กอายุสิบแปดจะได้รับการไว้วางใจจากบิดามากพอที่จะช่วยทำงาน แต่นั่นก็สามารถอธิบายความรู้สึกที่เหมือนกับว่าร่างสูงดูมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริงในบางครั้งได้
“มาถึงคำถามเรื่องส่วนตัวที่สาวๆอยากรู้กับบ้างดีกว่านะคะ” พิธีกรสาวยิ้มให้กับกล้อง “น้องเมฆาสุดหล่อมีเจ้าของหัวใจรึยังเอ่ย?”
“….”เด็กหนุ่มเหลือบมองบิดาที่ไม่มีปฎิกิริยาใดๆกับคำถามนั้นก่อนจะตอบ “มีครับ”
“ว้า…อย่างนี้สาวๆคงอกหักเป็นแถวเลยนะคะเนี่ย”คนถามหัวเราะ “แล้วเคยพามาเจอคุณพ่อคุณแม่รึยังครับ”
“ยังครับ...ผมชอบเขาแค่ฝ่ายเดียว”เมฆาตอบเสียงทื่อ ไม่มีเค้าของความอายแม้แต่น้อย
“อื้อหื้อ คนจริง มันต้องอย่างงี้ดิวะ”ณัฐภาสพยักหน้าอย่างนับถือ
…ส่วนหมอกนั้นอายจนอยากจะม้วนลงไปใต้โต๊ะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แต่ก็น่าสงสารผู้หญิงที่หมอนี่ตามจีบอยู่นะ”ญาวิกาเอ่ยขึ้น “แม่ฉันรู้จักกับพวกคุณหญิงคุณนาย เห็นเขาเม้าท์กันให้แซ่ดว่าแม่ของเมฆเป็นพวกผู้ดีที่ห่วงหน้าตาตัวเองมาก ตอนเมฆเกิดมานี่คือแทบจะตัดหางปล่อยวัดทั้งลูกสาวทั้งหลาน แต่โชคดีที่พ่อของเมฆเป็นลูกคนรวย เลยยอมๆให้แต่งงานกัน แต่ก็รู้สึกว่าหลังแต่งงานคนพ่อก็ยังมีบ้านเล็กบ้านน้อยไปทั่ว ไม่รู้จริงรึเปล่า”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”มธุวันถาม
“อือ ส่วนตายายน่ะเห็นว่าเพิ่งยอมกลับมาพูดกับลูกสาวตอนที่หลานอายุได้สามขวบ ทั้งพ่อทั้งแม่เมฆเลยพยายามทำทุกอย่างไม่ให้ตายายโกรธอีก เห็นว่าถึงขนาดยายจับลูกชายคนรองใส่กระโปรงสะเดาะเคราะห์ให้แม่ที่เข้าโรงพยาบาล คนพ่อยังไม่ห้ามซักคำ”ญาวิกาเล่าเรื่องที่เมฆาเคยเล่าให้เขาฟัง “เป็นฉันถ้าแต่งเข้าบ้านนั้นคงเครียดตายเลย”
มธุวันพอจะเข้าใจแล้ว ว่าที่เมฆาดูเครียดอยู่ตลอดเวลามีสาเหตุมาจากอะไร
เขาไม่อยากจะคิดเลย ว่าหากทางบ้านที่หัวโบราณขนาดนั้นรู้ว่าคนที่เมฆาชอบไม่ใช่ผู้หญิง ร่างสูงจะโดนอะไรบ้าง
“หมอก...เป็นอะไรรึเปล่า?”ณัฐภาสถามเพื่อนที่นิ่งไป มธุวันส่ายหน้า ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารด้วยความรู้สึกบิดมวนในช่องท้อง
“เดี๋ยวเราไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดนะ”
เด็กหนุ่มเกือบจะไปถึงห้องสมุดแล้วหากเสียงแตรรถสั้นๆจากด้านหลังไม่เรียกเขาไว้เสีียก่อน
“ไปไหน?”เมฆาชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่างที่ลดกระจกลง
“เราว่าจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดน่ะ”มธุวันตอบ เขาไม่คิดว่าจะเจอกับเมฆาในเวลาแบบนี้ ร่างสูงเคลื่อนรถมาเทียบข้างเขาแล้วกดกระจกด้านข้างคนขับลง
“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวพาไปหาที่อ่านหนังสือ”
“แต่…”มธุวันลังเล กอดหนังสือในมือแน่นขึ้นราวกับจะหาเครื่องป้องกันตัว
“เมฆไม่ทำอะไรหมอกหรอก หมอกพูดเองไม่ใช่เหรอ?”เจ้าของรถย้อนคำพูดของเขา มธุวันถอนหายใจ ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งแต่โดยดี
“ร้านสวยจัง เมฆรู้จักที่นี่ได้ไง” ร่างโปร่งมองไปรอบร้านกาแฟเล็กๆหน้าตาน่ารักที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยพอสมควร ร้านนี้อยู่ลึกเข้ามาในซอยแคบข้างตึกยักษ์ใหญ่ตึกหนึ่ง ทำให้พวกเขาต้องเดินเข้ามา แต่ความเงียบสงบของร้านและการตกแต่งด้วยโทนสีพาสเทลสบายตา รวมถึงขนมและเครื่องดื่มอร่อยๆทำให้มธุวันถูกใจเป็นอย่างมาก
“มาอ่านหนังสือตอนสอบบ่อยๆ” เมฆายกกาแฟขึ้นดื่ม “บริษัทพ่ออยู่ข้างๆ”
และตอนนี้มธุวันก็รู้แล้วว่าลานจอดรถที่พวกเขาไปจอดทิ้งไว้เป็นตึกของบริษัทอะไร
“พูดถึงคุณพ่อของเมฆ...เมื่อกี้เราเห็นวีดีโอที่เมฆออกทีวีด้วย”
ไหนๆเขาก็ได้มีโอกาสคุยกับอีกฝ่ายแล้ว มธุวันคิดว่าเขาควรจะคุยกับเมฆาตรงๆให้เข้าใจ
“….”เมฆาดูงุนงงเล็กน้อย แต่เมื่อนึกออกว่ามธุวันพูดถึงอะไร ร่างสูงถึงได้ถาม “ทำไมเหรอ?”
“คือ เราได้ยินมาว่า บ้านของคุณตาคุณยายเมฆเข้มงวดมากเลยใช่มั้ย”ร่างโปร่งถาม
“…ก็ใช่”ร่างสูงตอบ มองคนถามอย่างระมัดระวังราวกับกลัวว่ามธุวันจะแปลงร่างเป็นงูพิษฉกเขาได้ตลอดเวลา
“ถ้าที่บ้านเมฆไม่โอเค...เราว่าเราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ต่อไปดีกว่ามั้ย เราไม่อยากทำให้ครอบครัวเมฆมีปัญหา”
เขารู้ว่ามันอาจฟังดูโหดร้ายที่หลังจากความพยายามทั้งหมดของร่างสูงเขากลับพูดแบบนี้ใส่ แต่มธุวันไม่อยากให้เมฆาต้องมีปัญหากับคนในครอบครัวเพราะเรื่องของเขาจริงๆ
เมฆาขมวดคิ้ว
“ทำไมถึง...”
“เมฆรู้ใช่มั้ยว่าเราเป็นเด็กกำพร้า” มธุวันเอ่ยขัดเสียงเบา “ครอบครัวเป็นสิ่งที่เราไม่เคยมี จนกระทั่งคุณป้ารับเรามาเลี้ยง”
“หมอก...”ร่างสูงเอื้อมมือมากุมมือที่วางอยู่บนโต๊ะของเขาอย่างสงสาร แต่มธุวันดึงมันออกช้าๆ
“เราอยากให้เมฆมีความสุข เราพอจะเดาได้ว่าสถานการณ์ที่บ้านเมฆในตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราไม่อยากเป็นอีกปัญหาที่ทำให้เมฆต้องกลุ้มใจไปมากกว่านี้”
“หมอกฟังเมฆนะ” คราวนี้มือใหญ่กุมมือของเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้ร่างโปร่งดึงมือออกโดยง่าย “เมฆไม่สนว่าคนพวกนั้นจะคิดยังไง เขาไม่ใช่ครอบครัวของเมฆ และไม่มีวันเป็น”
“เมฆ พูดอย่างนั้นได้ยังไง...”
“คนที่ห่วงแต่หน้าตาของตัวเองจนไม่สนใจใยดีทั้งลูกทั้งหลานของตัวเองจนทำให้แม่ของเมฆล้มป่วย เมฆไม่คิดจะนับญาติหรอก” ร่างสูงเอ่ยเสียงแน่วแน่ “คนพวกนั้นไม่มีสิทธิมาชี้นิ้วสั่งว่าเมฆจะต้องชอบใคร”
“แล้วแม่ของเมฆล่ะ”มธุวันถามขึ้น เมฆาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“แม่เมฆไม่ว่าหรอก แม่แค่อยากให้เมฆมีความสุข”
“แต่ถ้าเมฆทำให้คุณตาคุณยายโกรธ คุณแม่เมฆจะไม่เสียใจกว่าเดิมเหรอ”มธุวันให้เหตุผล “คุณแม่ของเมฆยังไม่แข็งแรงดีเลย ท่านจะรับความเครียดแบบนี้ได้เหรอเมฆ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่มธุวันเห็นความลังเลในแววตาของร่างสูง ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ชั่ววูบ แต่ร่างโปร่งก็รู้ว่าเข้าจี้จุดอ่อนไหวเข้าให้อย่างจัง
“ถ้าหมอกไม่ได้คิดอะไร พูดออกมาตรงๆก็ได้นะ” ทว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของเมฆากลับเป็นคำพูดนั้น “ไม่ต้องเอาเรื่องของเมฆมาอ้างหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเมฆ” มธุวันรีบปฎิเสธความเข้าใจผิดนั้น แต่ร่างโปร่งกลับชะงักกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว
เราก็ชอบเมฆนะ...
เขาไม่สามารถพูดแบบนั้นออกไปได้จริงๆ
“ไม่เป็นไร เมฆเข้าใจ”ร่างสูงลุกขึ้นจากที่นั่ง “เดี๋ยวเมฆไปวนรถมารับที่ปากซอยนะ”
“เดี๋ยวเมฆ”มธุวันคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ก่อนที่ร่างสูงจะได้เดินออกไป
เมฆาเลิกคิ้ว รอประโยคถัดไปของมธุวันอย่างใจเย็น
ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“ถ้าเรื่องนี้รู้กันแค่เราสองคนล่ะ?”
“หมายความว่าไง?”ร่างสูงถามต่ออย่างไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
“ถ้าเราเก็บ...เรื่องของเราไว้เป็นความลับ อย่างน้อยก็จนกว่าคุณแม่ของเมฆจะหายดี อย่างนั้นได้มั้ย”มธุวันถามด้วยน้ำเสียงประหม่า เขาไม่รู้ว่าตัวเองไปเองความคิดแบบนั้นมาจากไหน ขนาดตอนที่พูดมันออกไปเขายังรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่คนสติดีเขาไม่ทำกันอยู่
แต่เมฆากลับยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น
“ถึงจะไม่ใช่ที่หวังไว้ แต่เริ่มจากแค่นี้ก่อนก็ได้”
ร่างสูงยื่นมือให้กับคนที่นั่งอยู่ มธุวันเอื้อมมือไปจับกับร่างสูง ก่อนจะถูกแรงของอีกฝ่ายรั้งให้ร่างทั้งร่างปลิวเข้าไปในอ้อมกอดของเมฆา
“ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสเมฆ”เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ
“อือ…ขอโทษนะที่ขออะไรเอาแต่ใจ” มธุวันกระซิบ ยกมือขึ้นกอดตอบอย่างหลวมๆ
ถือได้ว่าเรื่องผ่านพ้นไปด้วยดี
หรือนี่จะเป็นลมสงบก่อนที่พายุจะกระหน่ำกันนะ?--------
ดีใจกับความยาวนี้ อุอิ
อย่างที่บอกว่าเปิดเทอมแล้ว วารืปบ้างไรบ้างอย่าได้ถือสาเลย