“เอ้าๆ ทำไมหิ้วกันมาอย่างนั้นล่ะ”
ธีรเชษฐ์เลิกคิ้ว สงสัยว่าลูกชายกับมือขวาของตนไปญาติดีกันตอนไหน
“ปล่อยครับ!” มธุวันสั่งเสียงเขียว ซึ่งเมฆาก็ยอมทำตามแต่โดยดี ส่งผลให้ร่างโปร่งหล่นตุ้บลงมากองที่พื้นทันที มธุวันลูบสะโพกของตัวเอง ตวัดสายตามองคนที่เพิ่งประทุษร้ายตัวเองอย่างโกรธเคือง ธีรเชษฐ์มองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสับสน ประธานบริษัทลุกขึ้นเปิดประตูห้อง ชะโงกหน้าออกไปหาคนที่เดินผ่านไปมา
“มีใครว่างมั้ย? เอาเจลประคบมาให้ผมหน่อย”
“มีใครเป็นอะไรเหรอคะท่านประธาน” เขาได้ยินเสียงพนักงานด้านนอกถามอย่างเป็นห่วง
“เมฆน่ะสิ ทำซะหมอกเจ็บสะโพกลุกไม่ขึ้นเลย” ร่างสูงตอบหน้าตาย
ถ้ามธุวันไม่ห่วงข้าวของพัง เขาคงจะเขวี้ยงอะไรซักอย่างใส่ศีรษะเจ้านายของตัวเองไปแล้ว
“ตกลงท่านประธานมีอะไรด่วนครับ?”
น้ำอุ่นรับเจลประคบมารองที่บั้นท้าย พยายามไม่สนใจตัวต้นเหตุที่ยังคงนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างกาย
“เอ้อ จำนักลงทุนอิตาลีที่ฉันบอกว่ากำลังคุยกันเรื่องร่วมธุรกิจกับทางนั้นได้มั้ย?”ธีรเชษฐ์เริ่มเข้าโหมดเป็นการเป็นงานที่นับวันเขายิ่งเป็นน้อยลงเรื่อยๆ มธุวันพยักหน้า
“คุณนิโคไล อัลฟอนโซ่ใช่มั้ยครับ?”
“ใช่ เขาเพิ่งมาถึงเมืองไทยเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนหน้านี้เขาประสบอุบัติเหตุ เพิ่งจะหาย เขาติดต่อมาว่าอยากได้รายละเอียดความคืบหน้า ฉันเลยจะฝากเธอกับเมฆไปคุยก่อน วันนี้ฉันมีประชุมเย็น”
“ผมไปคนเดียวก็ได้ครับ” มธุวันรีบเสนอ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องให้คนที่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโปรเจคนี้เข้ามายุ่งด้วย
“ให้เมฆไปด้วยนั่นแหละ ฉันว่าจะยกโครงการนี้ให้เมฆทำพอดี” ประธานบริษัทหนุ่มขยับยิ้ม “อีกอย่าง ตอนนี้แจนก็กลับไปดูแลฝ่ายการตลาดแล้ว ต่อจากนี้ฉันคงต้องรบกวนเธอให้ดูแลเมฆบ่อยๆแล้วล่ะ”
“เลขาคนเดียวมันหายากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” มธุวันถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ไปถามพ่อคนเรื่องมากข้างๆเธอดูเองสิ” ธีรเชษฐ์ไหวไหล่ “ไปได้แล้วไป เดี๋ยวไม่ทันนัดนะ”
มธุวันลอบกลอกตาอย่างเหนื่อยหัวใจ นี่คงเป็นอีกวันที่เขากลับดึก ถึงจะได้โอทีก็เถอะ แต่เขารู้สึกว่านับวันการพักผ่อนของตัวเองก็น้อยลงเรื่อยๆจนแทบไม่คุ้มค่าเหนื่อย
…โดยเฉพาะความเหนื่อยล้าที่ต้องมาเจอคนบางคนชักสีหน้าใส่ทุกวันแบบนี้
ที่ไม่แสดงออกไม่ใช่ว่าเขาไม่เจ็บ
เขาแค่ไม่อยากเก็บเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมมาใส่ใจก็เท่านั้น
“คุณมธุวันครับ คุณจอมทัพฝากของมาให้”
ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากห้องเป็นกิจจะลักษณะ ร่างเล็กในชุดสูทที่อุ้มช่อดอกไม้อันใหญ่กว่าตัวเองก็เดินตรงมาหาเขาอย่างรีบร้อน เด็กคนนี้ชื่อขวัญข้าวทั้งที่เป็นผู้ชาย แถมชื่อเล่นยังชื่อข้าวหอม ยิ่งทำให้มธุวันสับสนตอนที่เห็นบสมัคร ตอนนี้ร่างเล็กเป็นเลขาของจอมทัพ หนึ่งในพนักงานไม่กี่คนที่เขาเป็นคนเทรนเองกับมือ อันที่จริงเด็กคนนี้เป็นคนที่เขาเทรนเพื่อช่วยงานกรรมการบริหารอีกท่าน แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ากันว่าพอจอมทัพได้ยินว่าเขาเป็นคนดูแล ก็รีบดึงตัวเลขารุ่นน้องคนนี้ไปทันที
ว่าแต่คุณจอมทัพเนี่ย ขนาดถูกธีรเชษฐ์ส่งตัวไปดูงานทั่วทุกสารทิศยังไม่วายทิ้งลูกสมุนไว้ทำคะแนนอีกนะเนี่ย
“ผมไม่รับ”มธุวันตอบเสียงเรียบ “คุณเอากลับไปเถอะ”
“แต่..คุณจอมทัพบอกว่าถ้าคุณมธุวันไม่รับ ให้เอาไปทิ้ง...” ขวัญข้าวแย้งเสียงอ่อย ด้วยความที่อายุน้อยกว่ามธุวันหนึ่งปีเต็มและมีรูปร่างเล็กบอบบางตาโตแก้มป่อง ทำให้มักจะได้รับความเอ็นดูจากทุกคนในออฟฟิศ แต่วันนี้ร่างโปร่งมีเรื่องวุ่นวายมากพออยู่แล้วจึงไม่คิดจะอ่อนให้ดวงตากลมโตนั้น มธุวันเอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้มากจากคนอายน้อยกว่า แล้วส่งมันคืนให้ร่างเล็ก
“ผมให้”
“เอ๊ะ?” ขวัญข้าวมีสีหน้างุนงง
“ดอกไม้ช่อนี้เป็นของผม ผมจะให้ใครต่อก็ได้” มธุวันอธิบาย “เพราะฉะนั้นเอาไปเถอะครับ ถือว่าเป็นค่าเหนื่อยที่เดินมาถึงนี่”
ขวัญข้าวมีสีหน้าลังเลใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับไว้ด้วยรอยยิ้มเอียงอาย ร่างเล็กมองช่อดอกไม้นั่นด้วยสายตาราวกับว่าเจ้าของมันเป็นคนให้เขากับมือ ไม่ใช่ว่ามธุวันดูไม่ออกว่าเลขารุ่นน้องแอบมีใจให้กับเจ้านายของตัวเอง แต่เขาแค่ไม่อยากชี้โพรงให้เสือที่ยังไม่ถอดเขี้ยวเล็บดีอย่างจอมทัพรู้ว่ามีเนื้อชั้นดีวางอยู่ข้างกาย
“ไปได้รึยัง?” เมฆาที่ยืนเงียบอยู่นานถาม มธุวันพยักหน้า เดินนำรองประธานบริษัทไปที่รถ
บรรยากาศภายในรถเงียบเชียบเช่นทุกวัน แต่มธุวันกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มีบางอย่างในแววตาของร่างสูงที่มองมาทางเขาต่างออกไป
เมฆาพิจารณาร่างโปร่งที่ประจำตำแหน่งคนขับรถ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้มีความอดทนต่ำนักเวลาอยู่รอบๆคนคนนี้ เขารู้สึกเหมือนคนบ้า ไม่มีเหตุผล เอาอารมณ์อยู่เหนือทุกสิ่ง ซึ่งเขาไม่ได้เป็นมานานแล้ว
บทสนทาของเขากับน้องชายคนเล็กของบ้านหลังจากมื้ออาหารอันแสนวุ่นวายยังคงดังก้องอยู่ในหัว
“พี่เมฆ โอเคมั้ยครับ?”ทินกรลากเก้าอี้มานั่งข้างพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียง
“อือ หายปวดหัวแล้ว”เมฆาชันตัวลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ ภาพเหตุการณ์สั้นๆในหัวยังคงฉายซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะตะโกนบอกบางอย่างกับเขา
“ผมไม่เคยเห็นพี่เป็นแบบนี้เลย....”น้องชายของเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นเหรอครับ?”
ทินกรไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็จริง แต่เขาก็รับรู้เรื่องราวทุกอย่างผ่านคำบอกเล่าของพี่ชายคนโต
“หมอบอกว่ามีความเป็นไปได้”เมฆาตอบ นิ่วหน้าอย่างไม่พอใจเมื่อใบหน้าแต้มยิ้มยังคงไม่หายไปจากสมอง ทั้งที่เขาไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นผมให้ที่พักดีกว่า”ร่างสุงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่กลับถูกพี่ชายรั้งตัวไว้
“เดี๋ยว...”
ทินกรยืนนิ่ง รอว่าพี่ชายจะพูดอะไรต่อ
“นายเคยรู้สึก...” เมฆาพยายามนึกคำพูด “เหมือนว่ารู้จักใครซักคน ทั้งที่นายไม่เคยเจอเขามาก่อนมั้ย?”
“เดจาวูน่ะเหรอครับ?”ทินกรถาม แต่คนที่นั่งอยู่บนเตียงส่ายหน้า
“มันเหมือนกับ...เราควรจะรู้จักคนคนนั้น เรารู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น แต่เราไม่รู้จัก...”
เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกมึนตามคำอธิบายของพี่ชาย ทินกรนิ่งคิด ก่อนจะถามขึ้น
“พี่เมฆยกตัวอย่างได้มั้ยครับ”
“…ทั้งๆที่เขาไม่เคยยิ้ม แต่เรากลับรู้ว่ารอยยิ้มของเขาจะต้องสวยมากแน่ๆ”เมฆาตอบเสียงเบา “ภาพรอยยิ้มของคนคนนั้น เสียงหัวเราะ สีหน้าตื่นเต้นดีใจ ทั้งที่ควรจะไม่เคยเห็น แต่กลับรู้สึกคิดถึง...”
คิดถึงสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น
“โห…”ทินกรมองหน้าพี่ชายที่เหม่อลอยไปไกลแสนไกล “แบบนั้น...ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเราอยากเห็นเขายิ้ม เลยสร้างภาพพวกนั้นขึ้นมาในหัวเองหรอกเหรอครับ?”
“?” เมฆาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำอธิบายของน้องชาย
“ก็…อย่างเช่นเวลาเราชอบใครซักคน เราก็จะมานั่งฝัน คิดไปเองว่าถ้าเขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้จะเป็นยังไงน้า” น้องชายของเขาทำหน้าเคลิ้มฝันอย่างน่าขนลุกจนเมฆารู้สึกคันฝ่าเท้ายิบๆ “เหมือนในซีรีย์ไงพี่เมฆ”
เออ...เขาจะเอาคำตอบอะไรจากคนบ้านิยายน้ำเน่า ติดละครรัก ร้องไห้เป็นพักๆกับซีรีย์โรแมนติกแบบน้องชายเขา
“ไม่ใช่หรอก...”
“ผมว่านะ” ทินกรฉีกยิ้มกว้าง “พี่เมฆต้องแอบชอบเขาอยู่แน่เลย กิ๊วๆ”
“กิ๊วบิดานายสิ”ร่างสูงโบกศีรษะน้องชายไปป้าบนึงให้หายเพ้อเจ้อ
ชอบ?
ความรู้สึกในอกเขาบอกว่าไม่ใช่ จริงอยู่ว่าเมฆาไม่เคยชอบใครในแง่ของความรัก แต่เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขารู้สึกมันไม่ใช่ความรู้สึกนั้น มันซับซ้อน สับสน สร้างความบิดมวนในช่องท้องมากพอกับที่กระตุกจังหวะหัวใจ เพียงแค่นึกภาพรอยยิ้มหวานๆที่ส่งมาให้เขาแต่เพียงผู้เดียว
นี่มันอะไรกันแน่?
“ไม่อ่ะ ผมว่าพี่เมฆชอบเขาแล้วแหงมๆ” ทินกรยังคงยืนกรานทฤษฎีของตัวเอง “เอาอย่างนี้มั้ย พี่เมฆก็ลองคุยๆกับเขาดูสิครับ เผื่อจะรู้อะไรมากขึ้น”
“คุยๆ” ร่างสูงทวนคำอย่างไม่เข้าใจความหมาย
“ก็ ลองทำความรู้จัก ลองเรียนรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”ทินกรยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่แน่ ผมอาจจะได้พี่สะใภ้เร็วๆนี้ก็ได้”
“เพ้อเจ้อใหญ่ละ”ร่างสูงผลักศีรษะน้องชาย แต่ไม่ได้ละเลยคำแนะนำนั้นเสียทีเดียว
ลองดู...ก็คงไม่เสียหายเท่าไหร่มั้ง?
แต่คนอย่างเมฆาน่ะหรือจะรู้จักคำว่าค่อยเป็นค่อยไป
ร่างสูงรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนรุกหนัก คำว่าใจเย็นไม่เคยอยู่ให้สาระบบของเขา ถึงแม้การ ‘เริ่มต้นดีๆ’ กับมธุวันดูจะเป็นเรื่องที่สายไป แต่การเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายด้วยช่วยทางอื่นก็ดูไม่น่าจะยากเกินความตั้งใจของเขา
เขาว่ากันว่า เด็กผู้ชายจะกระตุกเปียของเด็กผู้หญิงที่แอบชอบ เพื่อเรียกร้องความสนใจของอีกฝ่าย
และนั่น...คือสิ่งที่เมฆากำลังทำ
“ถึงแล้วครับ” มธุวันบอกเมื่อพวกเขาเลี้ยวเข้ามาในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ร่างโปร่งเดินอ้อมไปเอาตะกร้าผลไม้ที่เมฆาไม่รู้จริงๆว่าเสกมาจากที่ไหนในเวลาอันกระชั้นชิดลงมาจากท้ายรถ แล้วเดินนำเขาเข้าไปในลิฟท์
“ระวังหน่อยนะครับ” ร่างโปร่งเตือน คนฟังเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่มธุวันกำลังสื่อ “คนที่คุณกำลังจะไปเจรจาธุรกิจด้วย เขาค่อนข้างมีอิทธิพลพอสมควร”
“อิทธิพล?” เมฆายังคงไม่เข้าใจ มธุวันถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“เขาเป็นมาเฟียน่ะครับ”
“แล้วเราจะทำธุรกิจร่วมกับเขาทำไม?”เมฆายิ่งสับสน พ่อของเขาไม่น่าจะต้องร้อนเงินถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้
“มันเป็นธุรกิจที่ต้องมีส่วนคาบเกี่ยวในพื้นที่ของเขา จะทำงานอะไร เราก็ควรจะเจรจากับเจ้าของที่เป็นมารยาท”มธุวันตอบ
“คุณอัลฟอนโซ่สืบเชื้อสายมาจากแฟมิลี่มาเฟียเก่าแก่ เขาขึ้นชื่อด้านความยุติธรรม เถรตรง แล้วก็เป็นคนเด็ดขาด แต่เขาไม่เคยอนุญาตให้ต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจของเขา ดูท่าคงจะถูกใจบริษัทของเราน่าดู”
ร่างโปร่งก้าวออกจากลิฟท์ หันกลับมาหาเมฆาด้วยสีหน้า...เป็นห่วง? บอกตรงๆเขาไม่สามารถมองทะลุหน้ากากที่ครอบอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายได้สักครั้ง
“เพราะฉะนั้น...กรุณาระวังตัวด้วยนะครับ”
“อืม นายก็เหมือนกัน”
ร่างสูงตอบกลับเสียงนิ่งไม่แพ้กัน ทั้งที่รู้สึกถึงการกระตุกอย่างรุนแรงที่หัวใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เกือบจะอ่อนโยนของอีกฝ่าย
เป็นเอามากนะเนี่ยเรา...-------------
เปิดเทอมแล้วววว
ขออนุญาตอัพช้ามาก สองสัปดาห์ตอนอย่างช้าที่สุด
จะไม่พยายามดองนะ สัญญา
เรียนหนักอ่ะฮรือออออ