Chapter 40: [Now] เพราะรักคือยาพิษ
“อย่าตายไประหว่างทางซะก่อนล่ะ”
เมฆาละสายตาจากวิวนอกหน้าต่างรถยนต์ เมฆาไม่ได้หวังว่าเพียงแค่เพราะเขากับมธุวันเคยเป็นคนรักกัน พี่ชายต่างมารดาของมธุวันคนนี้จะรักและเอ็นดูเขาเหมือนคนในครอบครัว แต่บางทีเขาก็รู้สึกว่าสายตาที่อีกฝ่ายมองมาที่เขาหลังจากเรื่องทั้งหมดคลี่คลายลงนั้นดูราวกับว่าเมฆาเป็นคนฆ่าล้างตระกูลตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” เมฆาตอบ “ผมยังต้องอยู่ดูแลหมอกไปอีกนาน”
“คุณคิดว่าผมจะอนุญาตให้น้องชายของผมคบกับคุณอีกหลังจากนี้เหรอครับคุณเมฆา”
“อะไรนะครับ?” เมฆาหันไปมองหน้าคนพูดอย่างไม่เข้าใจ
“ทันทีที่เรื่องทั้งหมดนี่จบลง ผมจะพามิคาเอลกลับอิตาลี” นิโคไลเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ผมจะไม่ยอมใครมาทำร้าย
ครอบครัวของผมอีก”
เมฆาไม่รู้ว่ามาเฟียหนุ่มคาดหวังปฏิกิริยาตอบรับแบบใดจากเขาด้วยคำพูดนั้น แต่เขารู้ว่าเสียงหัวเราะพรืดออกจมูกของตัวเองไม่ใช่หนึ่งในนั้น
“มีอะไรน่าขำนักเหรอครับ?”ชายชาวต่างชาติขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถบังคับให้หมอกทำอะรที่เขาไม่ต้องการได้ ผมว่าคุณคงเรียกตัวเองว่าพี่ชายของเขาไม่ได้หรอกครับ คุณนิโคไล”
“ถึงแล้วครับบอส”
เสียงของหนึ่งในทีมบอดี้การ์ดทำให้ชายหนุ่มทั้งสองกลับเข้าสู่โหมดช่วยเหลือตัวประกันอีกครั้ง เมฆาชักปืนของตัวเองออกมา ก้าวตามนิโคไลที่มีปืนพกในมือทั้งสองข้างลงจากรถ
มธุวันรู้ดีว่าตัวเองต้องหนีออกไปจากที่นี่
การได้รับรู้ชาติกำเนิดของตัวเองไม่ได้ทำให้มธุวันคิดว่าคนที่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับเขาเพียงครึ่งเดียวจะยอมลำบากมาช่วยเขาอย่างที่โรเบิร์ตคิด มธุวันไม่เคยชินกับการรอความช่วยเหลือ โดยเฉพาะความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าที่เขาเพิ่งรับรู้ว่าเป็นพี่ชายของตัวเอง
พี่ชาย…
น่าแปลกที่เขารู้สึกเคยชินกับคำคำนั้นมากกว่าที่ตัวเองคิด ทั้งที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขามีเพียงแดนดินเป็นน้องชายเท่านั้น
มธุวันนึกย้อนไปถึงคำพูดแปลกๆที่นิโคไลเคยพูด แววตาประหลาดที่อีกฝ่ายมองมาที่เขา ความรู้สึกสับสน ไม่เข้าใจ และโมโหที่ถูกปิดบังความจริงผสมปนเปกันไป
ทั้งนิโคไลทั้งเมฆา คิดว่าเขาเป็นตัวอะไร เรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมถึงได้ปิดบังเขามาจนเรื่องบานปลายใหญ่โตแบบนี้ มธุวันรู้ดีว่าที่เขากำลังพาลโกรธเมฆาในตอนนี้เป็นเพราะเขาไม่อยากคิดว่าอดีตคนรักจะเป็นอย่างไรหลังจากกลับเข้าไปในโรงแรม แต่เขาไม่สามารถเป็นห่วงความเป็นอยู่ของทั้งตัวเองและเมฆาไปพร้อมๆกันได้ในสภาพแบบนี้
ดวงตาสีเทาอมฟ้าเหลือบมองร่างของชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่อาวุธครบมือสองคนที่ยืนประจำการหน้าประตูห้อง มือเรียวที่ถูกมัดไพล่หลังไว้กับเก้าอี้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแก้มัดเชือกเส้นหนานั้นโดยไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต
อีกนิด…อีกแค่นิดเดียว…
ตู้ม!ตู้ม!ตู้ม!
เสียงระเบิดที่ดังติดต่อกันทำให้คนที่เพิ่งแก้มัดตัวสำเร็จสะดุ้งจนเกือบเผลอปล่อยให้เชือกหลุดมือ การระเบิดแต่ละครั้งเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนผู้คุมทั้งสองมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นดึงวิทยุสื่อสารออกมาตะคอกใส่เป็นภาษาที่มธุวันไม่เข้าใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะย่างสามขุมเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ผลั่ก!
แต่ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะได้แตะต้องตัวเขา มธุวันใช้เก้าอี้ที่ตนนั่งอยู่ก่อนหน้าฟาดแสกหน้าอีกฝ่ายไปเต็มแรงจนเก้าอี้หักเป็นสองท่อน ตวัดขาสูงเตะก้านคอชายชาวต่างชาติจนลงไปนอนนับดาว ก่อนจะใช้ขาเก้าอี้เหวี่ยงฟาดศีรษะชายอีกคนที่โถมตัวเข้าใส่จนเซถลา มธุวันใช้เชือกในมือรัดเข้าที่คอของชายร่างยักษ์ สวดมนต์แผ่เมตตาในหัวก่อนจะรีบปล่อยมือเมื่อเห็นร่างของผุ้คุมขังเขาหมดสติไป มธุวันอังนิ้วที่จมูกของชายทั้งสองซึ่งนอนสลบอยู่บนพื้น ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้สึกถึงลมอุ่นๆจากปลายจมูก
“ถือว่าเจ๊ากันไปแล้วกันนะ” ร่างโปร่งพึมพำ ค้นร่างของชายทั้งสองหาอาวุธที่ตนพอจะใช้ได้แล้วรีบหนีออกไปจากห้องก่อนจะมีใครมาพบตัวเอง
“ใช้ได้เหมือนกันนี่”
เมฆาไม่รู้ว่าคนปกติจะต้องทำอะไรเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากครอบครัวของคนที่ตนหมายปอง แต่เขาเชื่อว่าการดวลกระสุนกับลูกน้องมาเฟียต่างชาติโดยมีเพียงกำแพงตึกเป็นที่กำบังนั้นไม่น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น
ตู้ม!
“นี่คุณขนระเบิดมากี่ลูกเนี่ย?!” เมฆาที่แทบจะสำลักควันจากระเบิดหันไปโวยวายใส่มาเฟียหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่กะจะขู่หรือกะจะให้ตึกร้างนี่ถล่มลงมาทั้งตึกกันแน่?!
นิโคไลไม่ตอบ ชายหนุ่มชาวอิตาลีขยับออกจากที่กำบังแทบจะในทันทีที่ระเบิดลูกสุดท้ายดังขึ้น ยกมือส่งสัญญ่ณให้เมฆาตามตนไป ซึ่งถึงแม้เมฆาจะอยู่ใกล้อีกฝ่ายมาก แต่ฝุ่นควันที่หนาตัวขึ้นเรื่อยๆทำให้ทัศนวิสัยของเขาแย่ลงไปพอสมควร ไม่ต้องพูดถึงคนของโรเบิร์ตที่อยู่อีกฟาก
เมฆาก้าวตามชายชาวต่างชาติเข้าไปในตัวตึกร้างที่พวกเขาตามเครื่องส่งสัญญาณจากสร้อยคอของมธุวันมา ภายในตัวตึกมี
เพียงเศษซากปรักหักพังและฝุ่นหนาคลุ้งบ่งบอกว่าไม่ใครอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว ความเงียบสงบภายในตัวตึกแตกต่างจากสงครามขนาดย่อมข้างนอกเสียจนน่าขัน ทั้งสองก้าวลึกเข้าไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งเมฆารู้สึกได้ว่าตัวเอง
เตะเข้ากับของแข็งบางอย่างบนพื้น
สายตาของนิโคไลที่บ่งบอกว่าหากเมฆาส่งเสียงแม้แต่แอะเดียวเขาจะทำให้ชายหนุ่มลงไปนอนอยู่ข้างร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เมฆาไม่พูดอะไรออกมา ชายหนุ่มก้มลงมองร่างบนพื้นอีกครั้ง ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังหายใจอยู่ ก่อนที่หางตาของเมฆาจะเหลือบไปเห็นชายร่างสูงที่กำลังเล็งปืนมาจากด้านหลังของนิโคไล
“ระวัง!”
เมฆายกปืนของตัวเองขึ้นพร้อมกับส่งเสียงเตือนมาเฟียหนุ่ม แต่ก่อนที่เหตุการณ์นองเลือดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จะเกิดขึ้น ชายนิรนามที่เตรียมจะปลิดชีพมาเฟียหนุ่มเมื่อครู่กลับล้มตึงลงไปนอนกับพื้น…
…เผยให้เห็นร่างของคนที่พวกเขากำลังตามหาที่ถือท่อเหล็กขนาดใหญ่ไว้ในมือ
“ไม่ทำให้หมอกเป็นห่วงซักสิบวินาทีไม่ได้เหรอเมฆ”
มธุวันเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่าดีใจแค่ไหนที่ได้เจอคนตรงหน้า เมฆาไม่รู้ตัวเองหยุดหายใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาเพิ่งรู้สึกถึงอากาศที่ไหลเข้าปอดอีกครั้งตอนที่เห็นอดีตคนรักปลอดภัยดี ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ก้าวเข้าไปใกล้ว่านั้น เสียงขึ้นนกปืนเบาๆในความเงียบทำให้ทุกคนชะงักค้าง
“สมแล้วที่เป็นสายเลือดของตระกูลอัลฟอนโซ่ นั่งนิ่งๆเป็นเจ้าหญิงในหอคอยเองไม่ได้จริงๆสินะครับ”
โรเบิร์ตเอ่ยยิ้มๆ ไม่ได้ดูหงุดหงิดกับแผนที่ล่มไม่เป็นท่าของตัวเองแม้แต่น้อย มธุวันรู้สึกถึงขนหลังคอที่ลุกซู่เมื่อปากกระบอกปืนจ่อเข้ามาใกล้ท้ายทอยของตน ดวงตาสีเทาอมฟ้าเหลือบมองหัวหน้าของตระกูลอัลฟอนโซ่ จนถึงตอนนี้ มธุวันยังคงรู้สึกเคลือบแคลงใจกับเรื่องราวทั้งหมด แต่แววตาไหววูบในดวงตาสีมรกตและใบหน้าที่ซีดเผือดของนิโคไลเพียงแวบเดียวนั้นทำให้คนที่ถูกปากกระบอกจ่อหัวรู้สึกว่าตัวเองได้คำตอบที่กำลังตามหา
“แกต้องการอะไร?เงิน?อำนาจ?” นิโคไลถามลอดไรฟัน แววตาของร่างสูงในตอนนี้ทำให้มธุวันนึกถึงสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บ ทว่านั่นกลับทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมา
เพราะสัตว์ป่าที่ถูกลอบทำร้ายมักจะเป็นสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดเสมอ
“ของพวกนั้นใครๆก็ต้องการอยู่แล้วล่ะครับ” โรเบิร์ตไม่คิดปฏิเสธ “แต่สิ่งที่ผมต้องการ…มันมากกว่านั้นนิดหน่อย”
มธุวันกวาดตามองสภาพรอบกาย คนของโรเบิร์ตที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดล้อมพวกเขาไว้ก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว ปลายกระบอกปืนทุกกระบอกหยุดที่เมฆาและนิโคไล
“ปล่อยหมอกซะ แล้วแกจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ”
เมฆาต่อรอง พยายามทำเสียงให้ดูเหมือนไม่สะทกสะท้านกับภาพของคนรักที่ถูกจับเป็นตัวประกัน แต่เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถหลอกใครในห้องนี้ได้
“สิ่งที่ผมต้องการ คือการเห็นคนที่เกิดมาบนจุดสูงสุดของโลกอย่างคุณไม่เหลือจุดหมายที่จะมีชีวิตอยู่…” ดวงตาของโรเบิร์ตยังคงจับจ้องอยู่ที่นิโคไลที่ขบกรามแน่นข่มอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น“ในเมื่อลูกชายของคนมีคนคุ้มกันล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนั้น ผมจะเลือกน้องชายที่คุณทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อตามหาเป็นเป้าหมายก็คงจะไม่แปลก คุณผิดเองนะครับที่เผยจุดอ่อนให้ผมเห็นง่ายดายขนาดนี้”
“ฉันจะให้โอกาสแกคืนน้องชายฉันมาเป็นครั้งสุดท้าย…ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น” นิโคไลเอ่ยเสียงเย็น แม้ว่าตัวเองในตอนนี้จะไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรอง โรเบิร์ตยิ้มอย่างขบขันกับคำขู่ไร้น้ำหนักนั้น
“ผมจะขอรับความเสี่ยงนั้นไว้แล้วกันนะครับ”
มธุวันไม่รู้ว่าตนตาฝาดไปหรือไม่ แต่ท่าทีของนิโคไลกับคำตอบนั้นกลับดูเหมือนจะพึงพอใจเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มลดปืนลงท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา
…ยิ้มของนักล่าที่ล่อเหยื่อมาติดกับได้สำเร็จ
“ในฐานะคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลก ฉันจะสอนอะไรให้…” นิโคลไลเอ่ยขึ้น มธุวันคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามา แต่เขาไม่มั่นใจว่าตนหูแว่วไปเองหรือไม่ “…ฉันไม่ได้ขึ้นมาอยู่บนนี้เพราะความดีในหัวใจหรอกนะ”
กลุ่มคนนับสิบที่เคยล้อมพวกเขาไว้ร่วงลงไปบนพื้นราวกับใบไม้ร่วงจากต้น เผยให้เห็นกลุ่มลูกน้องของนิโคไลที่มธุวันนึกสงสัยว่าหายไปไหนครบทีมยืนอยู่ด้านหลังพร้อมอาวุธสงครามครบมือ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นชายหนุ่มชาวต่างชาติเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงที่มธุวันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ร่างเล็กในชุดกระโปรงที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มนั้นมธุวันรู้จักเป็นอย่างดี
“ยา…หยี?”
คนที่คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่ามาโดยตลอดนิ่งไปเมื่อเห็นร่างของคู่หมั้นสาวที่ยืนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ติดอาวุธ แก้มใสแดงก่ำพอๆกับดวงตากลมโตที่มีน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย
คนทั่วไปอาจคิดว่าหญิงสาวร่างเล็กคนนี้กำลังรู้สึกหวาดกลัวกับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่กับมธุวันที่รู้จักกับญาวิกามานาน ร่างโปร่งรู้ดีว่าสีหน้าของหญิงสาวในตอนนี้ เป็นสีหน้าของคนที่โกรธจนไม่สามารถระบายความรู้สึกของตัวเองออกมาได้นอกจากทางน้ำตาที่ไหลริน
“ฉลาดดีนะที่คิดว่าฉันจะไม่กล้าทำร้ายคู่หมั้นของแกเพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทของมิคาเอล” นิโคไลไหว่ไหลอย่างไม่ใส่ใจ “จริงๆฉันก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรหรอกนะ ถ้าต้องเลือกระหว่างการที่มิคาเอลจะโกรธฉันไปตลอดชีวิตกับการที่เขาจะไม่มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ ทางเลือกมันง่ายจนแทบไม่ต้องใช้สมองคิด”
ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคน นิโคไลยื่นปืนที่ตนถืออยู่ให้กับหญิงสาวคนเดียวในห้อง
“แต่แกประเมินความรู้สึกที่ผู้หญิงคนนี้มีให้แกต่ำไป…”
“ยาหยี…คุณจะทำอะไร?!” โรเบิร์ตเบิกตากว้างเมื่อญาวิกาเลือกที่จะหันปากกระบอกปืนเข้าหาตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลแดงก่ำจดจ้องใบหน้าของคู่หมั้นหนุ่มด้วยแววตาที่เหมือนโลกทั้งใบกำลังแตกสลาย
“ฉันมันโง่เอง ที่คิดว่าตัวเองมีดีพอให้คนอย่างคุณมารัก…” เสียงหวานสั่นเครือ “ถ้าฉันเอะใจสักนิด…คนรอบตัวฉันคงไม่ต้องเจ็บแบบนี้ ฉันมันโง่เอง…”
“ยาหยี วางปืนลงก่อนนะ…จะทำอะไรคิดถึงลูกในท้องด้วยสิ” มธุวันพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อนสนิทอย่างร้อนรน แต่นั่นกลับส่งผลให้โรเบิร์ตดูตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม
“…ลูก?”
“ถ้าลูกของฉันจะต้องเกิดมาเพราะฉันยอมโง่เป็นหมากในเกมของผู้ชายคนนี้ ฉันยอมให้เด็กคนนี้ตายไปพร้อมกับฉันยังดีกว่า”
“ยาหยี!!”
มธุวันพุ่งตัวเข้าไปหาเพื่อนรักที่กำลังจะเหนี่ยวไก สมองลืมไปชั่วขณะว่าตนยังมีปืนจ่อท้ายทอยอยู่ แต่คนที่ไวกว่าเขากลับเป็นโรเบิร์ตที่พุ่งเข้าไปหาคู่หมั้นสาวด้วยสีตื่นตระหนก แต่ก่อนที่จะได้แต่ต้องตัวญาวิกา ชายหนุ่มถูกนิโคไลที่รอจังหวะอยู่ซัดหมัดลุ่นๆเข้าที่ท้องแล้วบิดแขนไพล่หลังปลดอาวุธอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่วด้วยสีหน้าสบายๆราวกับเป็นสิ่งที่ตนทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
มธุวันรีบคว้าปืนมาจากมือของญาวิกาด้วยกลัวว่าหญิงสาวจะใช้จังหวะนั้นทำเรื่องที่เขากล้าแม้แต่จะนึกถึง แต่ปืนในมือของเขานั้นกลับเป็นเพียงกระบอกปืนเปล่า ไม่มีแม้แต่ซองกระสุนอยู่ภายใน
“น่าเสียดายนะ เศษสวะที่แม้แต่พ่อกับแม่ยังไม่อยากได้แบบแก อุตส่าห์เจอคนคนเดียวในโลกที่พร้อมจะรักแกอย่างไม่มีเงื่อนไข…” นิโคไลเหลือบมองญาวิกาที่ยืนนิ่งมองคู่หมั้นของตนราวกับร่างไร้วิญญาณ “แต่แกกลับเลือกความทะเยอทะยานของตัวเองก่อนผู้หญิงดีๆคนนี้”
“ยาหยี…” โรเบิร์ตที่ถูกกดแนบกับพื้นเงยหน้ามองคู่หมั้นสาวด้วยสายเว้าวอน ญาวิกาส่ายหน้า ก้าวไปหาคนที่เธอเคยคิดจะฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้ในมือด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“อย่าเรียกชื่อฉัน…อย่ามาให้ฉันเห็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้ฉันหรือคนรอบตัวของฉันอีก” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียเย็นชา ก่อน
จะเดินผ่านร่างบนพื้นกลับไปหากลุ่มลูกน้องของนิโคไลที่ก้าวเข้ามาประกอบรอบร่างเล็กอย่างรู้งาน
มธุวันไม่มีเวลาแม้แต่จะรู้สึกดีใจที่ตนเพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาได้ ร่างโปร่งก้าวตามเพื่อนรักไปอย่างไม่ลังเล รับรู้ถึงร่างสูงของเมฆาที่ก้าวตามเขามาติดๆ แต่ในหัวของเขาในตอนนี้มีเพื่อนภาพของเพื่อนสนิทที่หันปากกระบอกปืนเข้าหาตัวเองอย่างไม่ลังเลเมื่อครู่
“หยี…” มธุวันคว้าข้อมือเล็กไว้ทันทีที่พวกเขาออกมาจากตัวตึก ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น ร่างเล็กก็โผเข้ากอดเขาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้โฮออกมา
ชายหนุ่มปล่อยให้เพื่อนรักที่สะอื้นจนตัวโยนได้ระบายเอาน้ำตาที่เก็บกักไว้ออกมาเงียบๆ มือเรียวลูบศีรษะของหญิงสาวเบาๆด้วยไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำปลอบโยนอะไร ดวงตาสีเทาอมฟ้าเหลือบไปเห็นเมฆาที่ยืนอยู่ไม่ไกล ร่างสูงมีท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไรกับเขา แต่ยังคงลังเลอยู่ในที และมธุวันรู้ดีว่าเมื่อไม่มีเหตุการณ์คับขันก่อนหน้านี้มาเป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองยังคงไม่มีใครรู้ว่าอยู่ในจุดใด
ร่างโปร่งพยักหน้าให้เมฆาเบาๆ คิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นคลายลงทันทีที่เห็นท่าทีของมธุวัน เมฆาขยับยิ้ม แต่เลือกที่จะไม่ก้าวเข้าไปหาอดีตคนรัก
เขารู้ว่าคนที่ต้องการมธุวันที่สุดในตอนนี้คือญาวิกา และเมฆาก็ยินดีที่จะรอ
ญาวิกาหลับไปแล้ว
หลังจากกลับมาที่ ‘ฐานบัญชาการ’ หรือบ้านพักตากอากาศขนาดใหญ่ริมทะเลที่นิโคไลเป็นเจ้าของ มาเฟียหนุ่มยืนกรานที่จะให้ทุกคนได้รับการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด มธุวันยังคงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ชายต่างมารดา ตั้งแต่กลับมา นิโคไลและลูกน้องอีกสองสามคนก็คุมตัวโรเบิร์ตลงไปยังห้องใต้ดินที่มธุวันไม่อยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น ส่วนตัวเขาอยู่ดูแลเพื่อนรักที่สภาพจิตใจในตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต โชคดีที่เด็กในท้องไม่เป็นอะไร แต่เขาเดาไม่ถูกจริงๆว่าญาวิกาจะทำอย่างไรต่อไปกับเรื่องนี้ แต่มธุวันรู้ดีว่าขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมกับคำถาม
หลังจากแน่ใจว่าญาวิกาหลับสนิทไปแล้ว มธุวันค่อยๆแง้มประตูก้าวออกไปจากห้องนอนของหญิงสาวเงียบๆ ห้องตรงข้ามของญาวิกาเป็นห้องนอนของเมฆา อีกหนึ่งคนที่มธุวันยังคงไม่มีโอกาสได้คุยด้วยหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด
มือเรียวเปิดประตูเข้าไปโดยไม่คิดจะเคาะประตูห้อง ร่างสูงที่นั่งอยู่บนเตียงของตัวเองหันขวับมาตามเสียง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นคนที่กัาวเข้ามาในห้อง
“หมอก…”
“เจ็บมั้ย?”
มธุวันเอ่ยขัดคำพูดของร่างสูง ดวงตาสีเทาอมฟ้าเหลือบมองผ้าพันแผลสีขาวที่ถูกพันรอบศีรษะของเมฆาอย่างแน่นหนาด้วยแววตาเป็นห่วง คนเจ็บส่ายหน้า ดวงตาคมลอบสังเกตใบหน้าเรียวของอดีตคนรักอย่างไม่มั่นใจว่ามธุวันอยู่ในอารมณ์แบบไหน ร่างโปร่งทรุดตัวลงข้างอีกฝ่ายบนเตียง มือเรียวเอื้อมแตะแก้มสากที่มีรอยถลอกสีแดงเป็นทางเบาๆ
“ขอโทษนะ ที่เมฆต้องมาเจ็บตัวเพราะหมอกอยู่เรื่อย…”
มือใหญ่เอื้อมขึ้นมาอย่างละล้าละลัง ก่อนจะวางทาบทับบนหลังมือของมธุวันอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าเขาจะรังเกียจสัมผัสของตัวเอง รอยยิ้มดีใจราวกับเด็กๆผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูปเมื่อเห็นว่ามธุวันไม่คิดจะสะบัดมือออก
“ไม่ต้องห่วงหรอกหมอก แผลแค่นี้ไกลหัวใจ”
ดวงตาเรียวสวยช้อนขึ้นสบตากับลูกแก้วสีรัตติกาล ก่อนที่ริมฝีปากเรียวจะเอ่ยถาม
“แล้วตอนที่เมฆบอกเลิกหมอกเพื่อปกป้องหมอกจากเรื่องพวกนี้…มันไกลหัวใจเมฆด้วยรึเปล่า?”
รอยยิ้มที่มุมปากของเมฆาตกลงแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ร่างสูงตอบด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“เมฆ…คือเมฆ…”
“ถ้าเมฆบอกหมอกซักคำ เรื่องคงไม่ต้องเป็นแบบนี้” มธุวันตัดพ้อ ยิ่งทำให้ร่างสูงหน้าเสียกว่าที่เป็นอยู่ “ยาหยีคงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
เมฆาหลบสายตาของคนรัก รู้สึกละอายเกินกว่าจะสู้หน้าคนที่ตนพยายามปกป้อง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้โรเบิร์ตเข้าหาญาวิกา แต่อย่างน้อยเมฆาก็รู้ว่าตัวเองมีส่วนร่วมทำให้ชีวิตของผู้หญิงดีๆคนหนึ่งต้องกลายเป็นแบบนี้ไม่มากก็น้อย
“เมฆขอโทษ…”
“หมอกรักเมฆมาก…ต่อให้พยายามแค่ไหน หมอกก็ไม่เคยหยุดรักเมฆ…” มธุวันสารภาพ เรียกให้เมฆาหันกลับมามองหน้าตนด้วยสีหน้าประหลาดใจ “แต่เรื่องทั้งหมดที่เมฆทำ…หมอกยกโทษให้ไม่ได้จริงๆ”
เมฆารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนหลังจากวินาทีที่คำพูดนั้นออกมาจากปากของมธุวัน ร่างสูงพยายามขอร้องให้คนรักยกโทษให้ แต่ไม่มีเสียงใดๆหลุดออกมาจากลำคอที่ตีบตันนอกจากชื่อของอีกฝ่าย
“หมอก…”
“เพราะฉะนั้น…” มธุวันไม่สามารถบังคับหน้ากากของตัวเองไปได้นานกว่านี้ รอยยิ้มจางฝุดขึ้นที่ริมฝีปากบาง “เมฆต้องอยู่
ชดใช้ความผิดข้างๆหมอกไปตลอดชีวิต เข้าใจมั้ย?”
ใบหน้าของเมฆาแข็งค้าง ราวกับกำลังพยายามประมวลผลคำพูดของมธุวันซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อเข้าใจถึงความหมายที่อดีตคนรักต้องการจะสื่อ
“ครับ! เมฆจะไม่ปล่อยหมอกไปไหนแน่”
มธุวันแทบหงายหลังเมื่อถูกร่างสูงใหญ่ของเมฆาโถมเข้ากอดตัวเองไว้แน่น ร่างโปร่งยิ้มขำ ยกแขนขึ้นโอบรอบคอของอีกฝ่ายตอบ แต่เมื่อเมฆาไม่ยอมปล่อยเขาไปอย่างที่ปากว่าทั้งที่ผ่านไปร่วมสิบนาทีแล้ว เลขาหนุ่มจึงจำต้องดันร่างของอดีตคนรักออกจากตัวเองอย่างเริ่มรู้สึกอึดอัด
“โอ๊ย…”
“เป็นอะไรเมฆ? ปวดหัวเหรอ? ให้หมอกไปตามหมอมั้ย?”
มธุวันขยับเข้าหาคนรัก แตะหลังมือลงบนหน้าผากของเมฆาด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่แทนที่จะได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย สิ่งที่มธุวันเห็นกลับเป็นรอยยิ้มเผล่เหมือนเด็กได้ขนมของคนรัก
“มีหมอกอยู่ด้วยเมฆก็หายปวดแล้ว”
“พอเลย หมอกใจหายหมด” มธุวันบีบจมูกคนรักอย่างหมั่นไส้ เมฆายังคงยิ้มไม่หุบ แต่แววตาของชายหนุ่มฉายแววสลดลงเมื่อเอ่ยเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจออกมา
“หมอก คุณนิโคไลเขาอยากให้หมอกกลับอิตาลีไปกับเขา…”
เมฆารู้ดีว่าคำว่าครอบครัวสำคัญกับมธุวันแค่ไหน แม้จะปากเก่งไปกับนิโคไลว่ามธุวันไม่มีทางทิ้งคนทางนี้กลับไปกับอีกฝ่าย แต่เมฆาก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่าคนรักจะอยากตามพี่ชายต่างมารดากลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองจริงๆรึเปล่า
เขารู้ว่าหากนั่นเป็นความต้องการของมธุวัน ต่อให้เมฆาไม่อยากให้อีกฝ่ายไปแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถขัดความต้องการของคนรักได้
“ก็ไปสิ” มธุวันไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อเห็นท่าทีหางลู่หูตกของคนรัก คนขี้แกล้งจึงอดขยายความให้อีกฝ่ายไม่ได้
“หมอกไม่ได้พักร้อนมานานแล้ว…เมฆไม่อยากไปเที่ยวอิตาลีกับหมอกเหรอ?”
เมฆาไม่ตอบ แต่จากแววตาเปล่งประกายของร่างสูงแล้ว มธุวันรู้ดีว่าคำตอบของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยิน
คืนนั้น มธุวันไม่ได้กลับออกมาจากห้องของเมฆา เขารู้ว่ายังมีเรื่องอีกมากที่ยังไม่ได้รับการสะสาง ทั้งเรื่องของนิโคไล เรื่องที่บริษัท แม้แต่เรื่องของญาวิกาที่เขายังไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร แต่ในตอนนี้ ลมหายใจสม่ำเสมอของเมฆาที่เป่ารดต้นคอของเขากับอ้อมแขนแข็งแรงที่ทิ้งน้ำหนักลงบนเอวบางเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มธุวันอยากรับรู้
-----
ไรท์ยังไม่ตาย แต่ใกล้แล้ว...
อีก2บทน่าจะจบ บวกตอนพิเศษของอีกหลายคู่ที่จะพยายามเข็นออกมานะครัช