มธุวันนึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ไม่เอ่ยถึงเรื่องในสวนสาธารณะขึ้นมาอีกหลังจากกลับมาถึงโรงแรมที่ห้องพักยังคงเต็มเอี้ยดไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเปิดประตูเขามาในห้อง มธุวันพบว่าหนังสือนำเที่ยวของตนถูกวางไว้บนโต๊ะ คาดว่าแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดคงคิดว่าเขาเผลอปัดตกลงไป
ร่างโปร่งหยิบหนังสือเก็บใส่กระเป๋าเดินทางใส่รหัสไว้อย่างแน่นหนา เขาลืมไปได้อย่างไรว่าหากเมฆามาพบหนังสือเล่มนี้เข้า เขาจะต้องสรรหาคำโกหกมาให้เหตุผลว่าทำไมลายมือของเมฆาถึงได้ไปอยู่ในหนังสือเล่มนั้นได้
มธุวันลืมตาค้างนอนมองเพดานห้องสีขาวนอน ถึงแม้ประสาทสัมผัสจะรับรู้ถึงท่อนแขนที่พาดอยู่บนหน้าท้องอย่างแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของและลมหายใจอุ่นๆที่รินรดซอกคอของตน แต่คืนนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะสู้รบปรบมือกับความรู้สึกของตัวเอง
มือเรียวยกขึ้นวางทาบลงบนหลังมือของอดีตคนรัก เกาะกุมมืออุ่นของเมฆาหลวมๆอย่างที่ตนเคยทำสมัยก่อนยามที่รู้สึกยุ่งยากใจ มืออีกข้างยกขึ้นแทรกนิ้วผ่านกลุ่มผมสีดำสนิทอย่างอ่อนโยน รับรู้ถึงสัมผัสอันคุ้นเคยที่เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองโหยหามากขนาดไหน
เขาขอฉวยโอกาสแค่นี้ ขอปลอบประโลมใจที่ไม่เคยได้รับการเยียวยา แค่ในเวลาที่ไม่มีใครรู้ถึงการกระทำของเขา
ขอแค่นี้...จะเห็นแก่ตัวมากเกินไปมั้ยนะ?
หลังจากจบการประชุมในวันที่สอง และสิ้นสุดหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการ จิตใจของมธุวันกลับไม่ได้อยู่ที่การใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการท่องเที่ยวซึมซาบบรรยากาศของประเทศในฝันอย่างที่ตนคิดไว้
ร่างโปร่งเหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างตนด้วยหางตา เมฆาอยู่ในโหมดอารมณ์ดีอย่างที่เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นมาก่อนตั้งแต่เลิกรากันไป ถึงแม้จะไม่ได้ยิ้มร่าหรือหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ออร่าความสุขที่สามารถจับต้องได้ของร่างสูงทำให้บรรยากาศในห้องประชุมที่ควรจะตึงเครียดดูผ่อนคลายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“หน้าฉันมีอะไรติดอยู่เหรอ?” น้ำเสียงของร่างสูงเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตน
“เปล่าครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว...”
“เดี๋ยวสิ จริงๆฉันมีอีกเรื่องที่พ่อไหว้วานมาให้ช่วย”
เมฆาเอ่ยขัดก่อนที่มธุวันจะได้เอ่ยขอตัวจบ แถมยังเอาชื่อเจ้านายของเขามาอ้างดักไว้อีกเสียด้วย
“เรื่องอะไรครับ?” มธุวันขมวดคิ้ว ถ้าอย่างนั้นทำไมธีรเชษฐ์ถึงไม่ติดต่อเขามาโดยตรง
“มาด้วยกันก่อน ไม่ไกลจากที่นี่หรอก”
เมฆาบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม ซ้ำยังเอื้อมมือมาจับมือเขาดึงให้เดินตามตัวเองไปอีก มธุวันกลอกตาอย่างเหลืออด แต่ก็ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายลากตัวเองออกจากตึกสูงระฟ้าอันเป็นที่ตั้งของห้องประชุมในครั้งนี้ไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ติดกัน
ว่าแล้ว คนอย่างเมฆานี่มันไว้ใจไม่ได้จริงๆ
“คุณนี่มัน..”
“เฮ้ย อันนี้ฉันไม่เกี่ยวนา”
เมฆายกมือถือของตัวเองที่มีแชทข้อความและรูปภาพซึ่งธีรเชษฐ์ส่งมาให้ดูเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง มธุวันได้แต่ทอดถอนใจกับกรรมเวรของตนที่ไม่หลุดพ้นจากคนในตระกูลนี้เสียที คว้าโทรศัพท์ของเมฆาไปจากมือของร่างสูงโดยไม่คิดที่จะขออนุญาตแล้วเดินดุ่มๆเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์ของเล่นที่สงวนไว้ให้ผู้ใหญ่วัยสิบแปดปีขึ้นไป เมฆาอมยิ้มแล้วเดินตามเข้าไปในร้าน ปล่อยให้คนรู้ภาษาสื่อสารกับคนขายด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานที่มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ
กลบเกลื่อนความอาย
“คุณ ถามไซส์ให้หน่อย” มธุวันหันมาสั่งเขาด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น
“ไซส์อะไร?”เมฆาเลิกคิ้วถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“พ่อคุณให้ซื้ออะไรก็อันนั้นแหละครับ” ร่างโปร่งตอบอย่างหงุดหงิด
“ก็พิมพ์ถามสิ โทรศัพทอยู่กับนายไม่ใช่เหรอ?”
มธุวันกลอกตาอย่างเหลือดอด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้อีกฝ่ายปลดล็อค แต่เจ้าของเครื่องไม่ยอมรับโทรศัพท์ แต่กลับบอกรหัสปลดล็อคของตนให้ร่างโปร่งจัดการแทน
“3010”
เลขรหัสเดิมที่อีกฝ่ายใช้มาตั้งแต่วันเกิดของตนทำให้มธุวันชะงัก แต่แววตาไม่ไหวติงของร่างสูงทำให้เขาข่มความสงสัยของตัวเองไว้ในใจ ได้แต่กล่อมตัวเองให้คิดเสียว่าเป็นเพียงความบังเอิญ เลขทั้งสี่ตัวอาจมีความหมายต่อเมฆาแตกต่างไปจากเมื่อครั้งนั้นก็เป็นได้
‘ษา: เมฆ โทรหาษาหน่อยสิ’
ร่างโปร่งเบ้ปากอย่างหมั่นไส้เมื่อเห็นข้อความที่เด้งขึ้นมา ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งไปยังเจ้านายของตนเพื่อถามรายละเอียดสินค้า เขาไม่เห็นจะอยากรู้เลยว่าผู้หญิงที่เขาเคยได้ยินเมฆาคุยด้วยทางโทรศัพท์อยู่หลายหนคนนี้เป็นใคร
ไม่เลยสักนิด
“ทางนี้ครับ”
มธุวันเดินนำร่างสูงไปยังโซนสินค้าที่เจ้านายต้องการ ปากก็บ่นขมุบขมิบพึมพำสาปแช่งเจ้า(กรรม)นาย(เวร)ของตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้เมฆารู้สึกอยากดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอดมากขึ้นไปกว่าเดิม
“....อะไรของคุณเนี่ย?”
มธุวันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อจู่ๆเมฆาก็หยิบเอาที่คาดผมที่มีเขาปีศาจสีแดงซึ่งเป็นสินค้าตั้งโชว์มาคาดบนหัวของเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างโปร่งหน้าแดงวาบเมื่อเห็นว่าส่วนหางที่ตั้งโชว์วางอยู่เคียงคู่กันนั้นติดอยู่กับอะไร
“เหมาะกับนายดีนะ”
ร่างโปร่งแยกเขี้ยวใส่คนขี้แกล้งแล้วดึงที่คาดผมออกจากศีรษะ ก่อนจะหยิบของที่ธีรเชษฐ์ต้องการไปที่เคาท์เตอร์คิดเงิน
“คิดรวมกันครับ”
เมฆาวางเซ็ทที่คาดผมเมื่อครู่ที่ประกอบไปด้วยที่คาด หาง และชุดเสื้อแขนกุดมินิเสกิร์ตหนังสีดำมันวาวกับถุงมือไร้นิ้วสีดำยาวเลยข้อศอก มธุวันควบคุมตัวเองได้ทันก่อนที่จะถลึงตาใส่คนข้างๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่พ้นโดนเมฆาย้อนกลับมาว่าไม่ได้ซื้อไปให้ตน
“คนแถวนี้แต่งคงจะน่ารักดี ว่ามั้ย?”เมฆาเปรยขึ้น
“คนขายเหรอครับ?”
มธุวันสวนเสียงเรียบ เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคนฟัง เลขาหนุ่มปล่อยให้อีกฝ่ายจ่ายเงินแล้วเดินนำร่างสูงออกไปจากร้านอย่างหงุดหงิดใจ ข้อความของผู้หญิงที่ชื่อษาคนนั้นทำให้จิตใจของคนที่ไม่อยากจะยอมรับขุ่นมัวขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่มธุวันปฎิเสธที่จะแสดงความอ่อนแอนั้นให้เมฆาเห็น
“ยังงอนอยู่อีกเหรอ?”
“ผมไม่ได้งอน”
เลขาหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงดื้อดึง
“โอ๋ ไม่งอนนะ ก็ฉันซื้อของพวกนี้ไม่เป็นนี่”
“อะไรของคุณอีกเนี่ย”
มธุวันสะดุ้งเมื่อแขนของอดีตคนรักโอบไหล่ตนอย่างถือวิสาสะ ไออุ่นจากอ้อมแขนแกร่งตัดกับอากาศที่แม้จะไม่ได้หนาวจับขั้วหัวใจ แต่ก็ห่างจากอากาศร้อนชื้นของประเทศไทยที่มธุวันคุ้นเคย
“เดี๋ยวจะพาไปที่ดีๆ”
สีหน้ากรุ้มกริ่มของเมฆาทำให้มธุวันหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายกึ่งโอบกึ่งลากพาเขาไปยังซอยที่อยู่ติดกับร้าน ร่างโปร่งที่ฮึดฮัดอยู่ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่เห็นร้านเครื่องเขียนขนาดยักษ์ที่กินพื้นที่หลายช่วงตึก ถึงแม้จะอยู่ในยุคที่การจดบันทึกข้อมูลสามารถทำได้ด้วยการพิมพ์หรือเขียนข้อมูลลงในสื่อดิจิทัล แต่มธุวันยังคงชื่นชอบการจดบันทึกในแผนกระดาษมากกว่า สมัยมหาวิทยาลัยเมฆามักจะชอบซื้อสมุดและเครื่องเขียนหลากหลายประเภทมาให้คนรักเวลาใกล้สอบอยู่บ่อยครั้ง ซื้อเหมือนจะเป็นของประเภทเดียวที่มธุวันยอมให้อีกฝ่ายซื้อให้ แม้ก่อนหน้านั้นเมฆาจะต้องเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมโดยให้เหตุผลว่าตนก็ได้ใช้ด้วยก็ตาม
“เต็มที่ ฉันเลี้ยง”
เมฆาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปาก หากเป็นเมื่อก่อนตอนสมัยที่ยังคบกัน มธุวันคงจะเกรงใจและไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำอะไรแบบนี้ แต่เลขาหนุ่มเพียงแต่หันไปหาคนข้างๆพร้อมกับคลี่ยิ้มเย็นเยียบที่ทำเอาคนมองเสียวสันหลังวาบ
“พูดเองนะครับ”
แน่นอน คนอย่างมธุวันไม่ได้คิดจะทำให้เมฆาสิ้นเนื้อประดาตัวจากการเหมาเครื่องเขียน ของทุกอย่างที่เขาซื้อหากไม่คิดจะนำไปใช้เองก็เป็นสติกเกอร์ลายน่ารักที่เขารู้ว่าน้องชายที่ชื่นชอบการแปะสติกเกอร์เป็นรางวัลลงในสมุดงานของลูกศิษย์จะยินดีที่ได้เป็นของฝาก แต่ร่างโปร่งก็รู้ว่าค่าเสียหายที่จะเกิดก็คงมหาศาลพอตัว
“หยิบอีกก็ได้นะ แค่เห็นนายยิ้มก็คุ้มแล้ว”
คนที่วันนี้หยอดมันทุกเม็ดทุกหน่วยไม่เผื่อเวลาให้มธุวันได้ตั้งตัวเอ่ยขึ้นขณะเดินถือตะกร้าที่เต็มจนล้นไปด้วยสินค้าตามร่างโปร่งต้อยๆ เลขาหนุ่มที่เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังอมยิ้มอยู่หุบยิ้มในทันทีพร้อมกับกลอกตอย่างเหนื่อยหน่ายใจกลบเกลื่อน แต่ก็หยิบ
ข้าวของยัดใส่ลงไปในตะกร้าเพิ่มอย่างไม่ขัดศรัทธา
“แต่ทำหน้าหงุดหงิดกลบเกลื่อนแบบนี้ก็สมกับเป็นนายดีนะ”
เมฆายิ้มอวดเขี้ยวคม เล่นเอาคนที่พยายามปั้นหน้าบึ้งตึงทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
“พอเลยครับ ไปจ่ายเงินได้แล้ว”
มธุวันไล่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ปล่อยให้คนที่เดินตามมาไปจ่ายเงินและแบกข้าวของทั้งหมดตามตนขึ้นรถไฟกลับโรงแรมโดยไม่มีรางวัลอะไรมากไปกว่ารอยยิ้มที่แม้จะกลั้นอยู่เพียงใด เมฆาก็ยังสามารถเห็นร่องรอยของมันได้จางๆบนริมฝีปากเรียว
และอารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของมธุวันทำให้ร่างโปร่งตกลงยอมไปเที่ยวกับเมฆาในวันถัดมาที่เป็นวันว่างของพวกเขาทั้งคู่ โดยบอกกับตัวเองว่าตนแค่ไม่อยากหลงทางในประเทศที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกก็เท่านั้น
ที่แรกที่เมฆาพาไปทำให้มธุวันนึกประหลาดใจ เพราะวัดนี้เป็นวัดที่ตนอ่านเจอโดยบังเอิญในเว็บและไม่มีอยู่ในหนังสือนำเที่ยว เป็นวัดชินโตแสนสงบขนาดเล็กที่มธุวันคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาเยี่ยมชมสักครั้ง
และแน่นอนว่าคนคนเดียวที่เขาเคยเปิดเว็บให้ดูอ่านตื่นเต้นคือเมฆของเขา ที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
“เป็นอะไรไป? ไม่ชอบเหรอ?”
คนนำเที่ยวถามด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อยซึ่งไม่ค่อยได้พบเห็นนักในร่างสูง แม้จะรู้สึกตงิดใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่มธุวันยังคงเลือกที่จะไม่ถาม แต่เพราะไม่อยากได้คำตอบหรือกลัวที่จะได้ยินคำตอบนั้นมากกว่า ตัวเขาเองก็ยังคงให้คำตอบไม่ได้
“เปล่าครับ เข้าไปกันเถอะ”
แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย แต่มธุวันยังคงกดความรู้สึกนั้นไว้ในอกแล้วเดินชมวัดกับเมฆา เพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับความสวยงามและเงียบสงบรอบด้านที่ไม่ช่วยจิตใจของเขาผ่อนคลายลงเลย
หลังจากนั้นร่างสูงก็พาเขาไปยังถนนของกินที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล มธุวันค่อยหายใจโล่งขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายเลือกพาเขามายัง
สถานที่ที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไป บางทีวัดเมื่อครู่อาจเป็นเพียงของสวยงามในทางผ่านที่เมฆาเห็นว่าน่าสนใจเมื่อครั้งก่อน
ที่มาจึงอยากพาเขาไปก็เท่านั้น
อารมณ์ที่ดีขึ้นของมธุวันทำให้เมฆาสามารถพาร่างโปร่งตะลุยโปรเเกรมเที่ยวไปได้อย่างราบรื่น มธุวันใช้เวลาหลายชั่วโมงในคาเฟ่น้องหมาที่ขนขบวนกรูกันเข้ามาหาตนราวถูกแม่เหล็กดูด คนที่นั่งเกาพุงให้เจ้าหมาชิบะที่นอนหลับตาพริ้มไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะโดนคนที่พามาแอบถ่ายรูปไปกี่รูป
หลังจากนั้นเมฆาก็พาเขามาล่องเรือชมวิว มธุวันยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศไว้เมื่อรู้สึกถึงแขนแกร่งที่โอบเอาวของตนให้ขยับออกมาจากขอบเรือ
“เดี๋ยวก็ตกหรอก” คนตัวใหญ่กว่าเอ่ยเสียงดุ
“ผมดูแลตัวเองได้ครับ”
ร่างโปร่งตอบเสียงเรียบ แม้ในใจจะไม่นึกโกรธเพราะตัวเองก็ขยับเข้าไปใกล้ขอบเรือเกินไปโดยที่ไม่รู้สึกตัวจริงๆ
“ฉันไม่ได้ดูแลนายซักหน่อย” เมฆาตอบเสียงจริงจัง “ฉันดูแลตัวเองต่างหาก”
มธุวันกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ไม่ได้พูดอะไรเรื่องมือที่ยังคงไม่ละจากเอวของเขาแม้ว่าเขาจะอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วก็ตาม
มธุวันคิดว่าโปรแกรมเที่ยวในวันนี้จะจบลงแล้วเมื่อร่างสูงพาเขากลับมาที่โรงแรม แต่เมฆากดปุ่มลิฟท์ที่ชั้นดาดฟ้าซึ่งเป็นชั้นที่มีภัตราคารหรูเลื่องชื่ออยู่ แต่ด้วยราคาทำให้มธุวันไม่คิดแม้แต่จะย่างกรายเข้าไป ร่างโปร่งจึงเอื้อมมือไปหมายจะกดชั้นที่ตนอยู่ แต่กลับถูกอดีตคนรักจับมือไว้เสียก่อน
“ผมจะกลับห้อง ถ้าอยากไปร้านอาหารก็ไปคนเดียวสิครับ” เลขาหนุ่มเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“มื้อนี้พ่อฉันเลี้ยง ฉันไม่ได้เป็นคนจ่ายซักหน่อย ไปเถอะน่า” เมฆากล่อม แต่ถึงแม้มธุวันจะยังเคลือบแคลงใจ แต่ลิฟท์ก็มาถึงที่ชั้นบนสุดของโรงแรมก่อนที่ร่างโปร่งจะทันได้คิดอะไร “ทางนี้”
เมฆาจูงมือที่ตนยังคงจับไว้ออกไปจากลิฟต์พร้อมรอยยิ้ม เล่นเอาคนที่หมู่นี้ชักจะตอบสนองช้าลงทุกทีสะบัดหนีไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะวีไอพีริมหน้าต่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าหากไม่จองล่วงหน้าคงไม่มีทางได้นั่ง
เมฆายื่นเมนูให้ร่างโปร่งเลือก แต่มธุวันส่ายหน้า
“คุณเลือกเถอะ ผมไม่ค่อยหิว”
แค่เห็นราคาเขาก็อิ่มแล้ว ถึงจะมีคนเลี้ยงก็เถอะ
เมฆาไม่ได้คะยั้นคะยอให้เขาดูเมนูต่อ ร่างสูงเปิดเมนูแล้วเริ่มสั่งอาหารกับบริกรที่มารับออเดอร์อย่างคล่องแคล่ว หากไม่เป็นเพราะเมฆาเคยมาทานที่นี่แล้ว มธุวันคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะลองขึ้นมาดูลาดเลาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้
เขารู้จักเมฆาดีเกินว่าจะดูท่าทีของชายหนุ่มไม่ออก
“คุณรู้ใช่มั้ยว่านี่ไม่ใช่เดท?” มธุวันถามขณะที่พนักงานเสิร์ฟรินไวน์ขาวจากขวดไวน์ที่ดูมีราคาพอสมควรใส่แก้วของคนทั้งคู่ เมฆายิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของอีกฝ่าย
“ฉันว่านายมากกว่าล่ะมั้งที่ไม่รู้ว่านี่คือเดทน่ะ”
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกล้มความคิดน่ารำคาญนั่นซักที ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่อยากมีแฟน...”
“เพราะแฟนเก่าที่ตายไปแล้วคนนั้นน่ะเหรอ?” คำถามของเมฆาทำเอาคำโต้ตอบของมธุวันจุกอยู่ในลำคอ ร่างโปร่งเบือนหน้าหนีก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก “เกลียดเขาขนาดนั้นเลยรึไง?”
“ผมแค่ไม่อยากเจ็บแบบนั้นอีก”
คำพูดที่ว่ายเวียนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจหลุดออกไปจากริมฝีปากเรียวโดยที่มธุวันไม่ทันได้คิด ร่างโปร่งเม้มปากจนเป็นเส้นตรงด้วยสีหน้าเจ็บใจ ไม่คิดว่าตนจะสะเพร่าได้ถึงเพียงนี้
“เขาทำนายเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“….ผมไม่อยากพูดถึงเขา”
มธุวันเอ่ยเสียงลอดไรฟัน คนตรงหน้าเขามีสิทธิ์อะไรมาถามคำถามนี้ ทั้งที่คนที่ทำให้เขาเจ็บโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการบอกเลิกครั้งนั้นคืออีกฝ่ายแท้ๆ
เขารู้ว่าการสูญเสียความทรงจำไม่ใช่ความผิดของเมฆา แต่ในใจก็อดรู้สึกโกรธคนที่เป็นต้นเหตุของบาดแผลที่เน่าเฟะในใจของตนไม่ได้
“แล้วถ้าเมฆสัญญาว่าจะไม่ทำให้หมอกต้องเจ็บแบบนั้นอีก หมอกจะให้โอกาสเมฆอีกซักครั้งได้มั้ยครับ?”
ใบหน้าขาวชาวาบเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนและคำพูดแทนตัวที่เขาไม่คิดว่าจะมีวันได้ยินอีก ร่างทั้งร่างเหมือนแข็งเป็นหินเมื่ออดีตคนรักเอื้อมมือมากุมมือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะไว้หลวมๆ ดวงตาสีควันบุหรี่เว้าวอนขอให้มธุวันยกโทษให้กับตัวเอง
“คุณ…ตั้งแต่เมื่อไหร่...”
“ความทรงจำเมฆเริ่มกลับมาเรื่อยๆตั้งแต่ตอนที่ได้เจอหมอกที่สนามบิน แต่ช่วงหนึ่งปีสุดท้ายก่อนที่เมฆจะรถคว่ำ ภาพมันเบลอไปหมดจนเมฆปะติดปะต่ออะไรไม่ได้” ร่างสูงสารภาพ บีบมือที่ตนกุมไว้แน่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เมฆไม่รู้ว่าทำไมเราถึงเลิกกัน แต่เมฆสัญญานะว่าเมฆจะไม่มีวันทำแบบนั้นอีก หมอกให้โอกาสเมฆได้มั้ยครับ...”
มธุวันลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ กระชากมือของตนออกจากมือใหญ่ที่เกาะกุมอยู่อย่างแรง ดวงตาสีเทาอมฟ้าเต็มไปด้วยโทสะเมื่อได้ยินความจริงจากปากของร่างสูง
“สนุกมากใช่ที่ปั่นหัวผมได้”
ร่างโปร่งหมุนตัวพร้อมจะเดินออกไปจากที่ตรงนั้น แต่ร่างสูงใหญ่ของเมฆารวบกอดเขาไว้แน่นจากด้านหลัง เสียงทุ้มสั่นเครือ อ้อนวอนขอให้เขายกโทษให้กับตัวเองสักครั้ง
“หมอก เมฆขอโทษ...”
มธุวันวาดขาไปด้านหลัง จับคนที่ตัวใหญ่กว่าตนพอสมควรทุ่มลงบนพื้นโดยไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะเริ่มแตกตื่น ในหัวของเขาไม่มีอะไรนอกจากโทสะที่ครอบงำจนเขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“หมอกตายไปพร้อมกับเมฆในอุบัติเหตุวันนั้นแล้ว คุณไม่ใช่เมฆของผม”
ร่างโปร่งทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบก่อนเดินผ่านร่างที่นอนอยู่บนพื้นไปอย่างไม่ใยดี ดวงหน้าเรียวเชิดขึ้น ปฎิเสธที่จะให้ใครเห็นความอ่อนแอของเด็กหนุ่มร่างโปร่งในชุดนักศึกษาที่ยังคงไม่สามารถลืมเด็กหนุ่มที่ชื่อเมฆได้ลง
------
ฮืออออ เก๊าหนาววววววว