Chapter 22
ทอดสะพาน
ขาสองข้างออกวิ่งไปตามพื้นคอนกรีต ตอนแรกผมและเพื่อนนึกว่าคลาสถูกยกเลิก ได้ข่าวว่าอาจารย์ประวัติศาสตร์ไม่สบาย แต่จู่ๆเพื่อนในห้องก็โทรตามบอกว่าอาจารย์หายดีแล้วและตอนนี้กำลังเช็คชื่อ ถ้าใครไปสายจะโดนตัดห้าคะแนน
ไอ้เราสองคนที่เพิ่งเดินออกมานั่งที่โรงอาหารได้ไม่นานต่างก็วิ่งกันขาขวิด เพื่อนๆคนอื่นๆในคลาสเองก็วิ่งกันไม่ลืมหูลืมตาเช่นกัน ขอบคุณสวรรค์ที่ผมยื้อเพื่อนเอาไว้ว่า วันนี้เรากินข้าวที่คณะก็ได้ ถ้าขืนไปกินที่ตึกวิศวะล่ะก็
งานหยาบแน่เลยครับ
“ไงล่ะ กูบอกแล้ว”
เสียงจากเพื่อนในห้องคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา เขาหันมายิ้มให้ผมและไอ้ตัวแสบข้างๆ
ใครจะไปนึกล่ะว่าอาจารย์จะหายเร็วขนาดนั้น สรุปป่วยจริงมั้ยเนี่ย
“เกือบไม่รอดละกู”
“เฮ้อ” ผมพ่นลมหายใจแล้วเขย่าเสื้อนักศึกษาของตัวเองเล็กน้อยเพื่อระบายความร้อน
อากาศในประเทศไทยก็ยังคงร้อนระอุเช่นเคยแม้จะเข้าหน้าฝนแล้วก็ยังไม่เห็นฝนซักเม็ดมาเป็นอาทิตย์ ช่วงสองสามวันมานี่ผมก็เลยชั่งใจว่าจะพกร่มออกมาให้หนักกระเป๋าดีหรือเปล่า
การเรียนในวันนี้เป็นไปอย่างน่าเบื่อหน่าย เพื่อนตัวแสบเข้ามาในห้องไม่ทันไรก็หลับหัวทิ่มโต๊ะไปแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่วาดรูปเล่นลงบนกระดาษว่างๆเพื่อคลายความเบื่อ
วิชาประวัติศาสตร์คืออะไรที่ปราบเซียนจริงๆแหละนะ ใครไม่ง่วงนี่เก่งโคตรๆเลย
ใช้เวลาสอนไม่นานอาจารย์ก็เปิดภาพยนตร์เป็นภาษาเยอรมันให้ดู ยิ่งเสริมให้จากที่ง่วงอยู่ แล้ว ง่วงมากขึ้นไปอีกเพราะต้องปิดไฟดู หลายๆคนเลยฟุบไปกับโต๊ะ
“ไม่ง่วงเหรอ” เพื่อนสนิทหันมามองผมที่กำลังนั่งวาดรูปเล่นอยู่
พยักหน้าตอบเขา
“ง่วง”
“นอนมั้ย”
“ไม่อยากนอนอ่ะ”
“ไปดูคอนมาเป็นไงมั่ง สนุกป่ะ”
ผมเอียงตัวเพื่อที่จะหันไปคุยกับเขาได้ง่ายๆหน่อย
“สนุก”
ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะไปอีกหลายๆรอบ การได้ฟังผ่านอัลบั้มเพลง มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่พอได้ฟังวงโปรดเราร้องแบบสดๆแล้ว ยิ่งรู้สึกดีมากเข้าไปอีก
“เรื่องไอ้นั่นเป็นไงบ้างล่ะ” ไอ้นั่นของเขาก็คือพี่กันนั่นแหละครับ แต่เจ้าตัวเลี่ยงไม่ยอมเรียกชื่อเพราะไม่ค่อยชอบหน้าพี่กันสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรขนาดนั้น
แค่เหม็นหน้านิดนึงอ่ะ
“ก็ดี”
“ก็ดีนี่คือ”
มันมีบางอย่างที่อยู่ในใจผมมาสองสามวันหลังจากแยกจากใครอีกคนหลังคอนเสิร์ตวันนั้น ก็เรื่องแฟนเก่านั่นแหละ ก็แค่คิดว่าถ้าจู่ๆแฟนเก่าของเขาโผล่มา ผมควรจะทำตัวยังไงดีนะ เพราะตั้งแต่รู้จักพี่กันมา ไอ้คำว่าแฟนเก่าเนี่ย ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของผมเลย
“กอด มีเรื่องอะไรไหนเล่า”
“เรื่องแฟนเก่าพี่กันอ่ะ”
“แฟนเก่า?”
เพื่อนสนิทเลิกคิ้ว ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี มันเป็นแค่ความกังวลเล็กๆในใจก็แค่นั้น
“อือ เขาโทรมาหาพี่กันวันนั้น”
“แล้วมันพูดว่าไง”
“ก็บอกว่าไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรหรอก ตัดแล้วตัดเลย”
“เออ ถ้ามันไม่ตัด กูเนี่ยจะไปตัดหัวมัน”
เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆก่อน
นิสัยหวงผมของเพื่อนตัวแสบนี่ยังไม่หายไปจริงๆครับ ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ เฉกเช่นเดียวกับความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเราสองคน ซึ่งนั่นทำให้ผมสบายใจที่เขายังคุยยังเล่นกับผมอยู่ คนไม่ค่อยมีเพื่อนแบบผม ขอแค่มีใครสักคนคอยฟังเราระบายแค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ
ไม่นานนักอาจารย์ก็สั่งเลิกคลาส แถมยังมีงานให้กลับไปทำอีกต่างหาก วันนี้ผมที่ไม่มีแพลนจะไปไหนตอนเย็น เลยว่าจะไปเดินเล่นที่สยามแล้วกลับหอเลย
‘ครืด’
โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นครืดๆระหว่างที่กำลังเดินสำรวจร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดภายในสยาม ร้านที่คิดว่าอยากจะพาพี่กันมาเดินด้วย เพราะมีขายหมีสีน้ำตาลหน้าเดียวที่เขาคลั่งไคล้จนมีเต็มหอเต็มรถไปหมด ผมกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของพี่หมอสี่
“ครับ”
(อยู่ไหนน่ะกอด)
“สยามอ่ะ”
มือของผมหยิบสติ๊กเกอร์หมีกับกระต่ายสองแผ่นมาไว้ในมือแล้วเดินดูของอื่นๆไปเรื่อยเปื่อย
(ได้คุยกับไอ้กันบ้างมั้ย)
หือ
ทำไมพี่หมอถึงถามแบบนั้นล่ะ
“ตั้งแต่กลับจากคอนเสิร์ต ก็มีเมื่อวานซืนที่เขาโทรมาบอกว่าช่วงนี้ยุ่งๆทำโปรเจคกับเพื่อน ผมก็เลยไม่ได้โทรหาเขาอ่ะ”
(น้องกอดรู้เรื่องแฟนเก่าไอ้กันมั้ย)
หัวใจของผมกระตุกวูบเมื่อพี่หมอสี่พูดขึ้นมาแบบนั้น
“ทำไมเหรอ”
(แฟนเก่ากันมาขอคืนดี แต่ไอ้กันไม่ยอม ฝ่ายนั้นเลยขับรถออกไปแล้วรถคว่ำ)
(เห็นว่าตอนนี้อาการโคม่าอยู่ ไอ้กันไม่กลับหอมาสองวันแล้วน้องกอด น้องกอดช่วยโทรหามันหน่อยสิ พี่โทรมันก็ไม่รับ พี่เป็นห่วงมัน กลัวว่ามันจะโทษว่าตัวเองเป็นคนทำให้เกิดเรื่องแบบนั้น)
“ครับ เดี๋ยวผมโทรหาพี่กันให้นะ พี่หมอไม่ต้องห่วง”
ผมกดวางสายด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ประเดประดังเข้ามา ทั้งตกใจเรื่องที่แฟนเก่ากลับมาขอคืนดีกับพี่กัน ทั้งตกใจเรื่องอุบัติเหตุ รวมไปถึงกังวลเรื่องความรู้สึกของพี่กัน
ถึงแม้จะเป็นแฟนเก่า แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่เคยผูกพันจริงไหมครับ ดังนั้นไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับคนที่เราเคยรักหรอก
ขาของผมตรงไปยังเคาน์เตอร์คิดเงิน รีบจ่ายเงินแล้วเดินออกมาพร้อมกับกดโทรออกหาเขา ขอบคุณที่ผมยังมีโชคดีอยู่บ้าง พี่กันไม่ได้ปิดเครื่องโทรศัพท์ เพราะไม่อย่างนั้นผมจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ
แต่ถึงเปิดเครื่อง ปลายสายก็ไม่รับอยู่ดี
ทำไมไม่รับล่ะ
พี่กำลังทำอะไรอยู่
รับสิไอ้บ้า!
ผมเป็นห่วงนะ
จู่ๆคนที่ผมพยายามโทรหาก็โทรกลับมา ผมรีบกดรับด้วยความกังวลใจ
“พี่กัน”
(ตัวนิ่ม)
“พี่หายไปไหน พี่โอเคมั้ย ทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่หมอล่ะ ตอนนี้พี่อยู่ไหนผมไปหานะ”
(ใจเย็นๆเจ้าหนูจำไม หายใจก่อน)
น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่โอเคเลย เสียงอู้อี้เหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มา
เป็นห่วงเขาจัง
(กูไม่ได้รับโทรศัพท์หมอเพราะโทรศัพท์ตกส้วม นี่เพิ่งไปซื้อเครื่องใหม่มาเมื่อกี้นี่เอง พอใส่ซิมปุ๊บมึงก็โทรเข้ามาเลย)
โทรศัพท์ตกส้วมเนี่ยนะ?
“พี่ไปทำอิท่าไหนมันถึงได้ตกลงไปอ่ะ”
(กูก็นั่งขี้เฉยๆไง)
ไอ้…
อยากด่าว่าทุเรศ แต่ก็ดันติดตรงที่ผมดันรักคนทุเรศๆคนนี้เนี่ยสิ
“พี่โอเคมั้ย”
(โอเคสิ ทำไมกูจะไม่โอเค)
เขากำลังโกหก
“จะไปหาอ่ะ อยู่ไหน”
(ตอนแรกอยู่บ้าน แต่กำลังจะไปอยู่สะพานพระรามแปด)
“ไปทำไมสะพานพระรามแปด”
(หาไรกิน)
“จะไปหา”
(มาสิ เดี๋ยวพาไปหาไรกิน)
ผมไม่ได้ห่วงเรื่องกินเลยสักนิด ห่วงก็แต่ความรู้สึกของเขานั่นแหละ พอรู้สถานที่ผมก็รีบขึ้นรถแท็กซี่เพื่อที่จะตรงไปสะพานพระรามแปด
ไม่รู้หรอกว่าพี่กันรักแฟนเก่าของเขามากขนาดไหน แต่คนเคยรักกันน่ะครับ ผมคิดว่าก็คงไม่โอเคหรอกที่ได้ยินว่าแฟนของตัวเองรถคว่ำ แถมเพิ่งออกจากหอของตัวเองไปแท้ๆ
ผมลงจากรถตรงบริเวณเชิงสะพาน ก่อนจะเดินเท้าขึ้นไปแทน สะพานพระรามแปดเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่หลายๆคนชอบมาถ่ายรูปรวมไปถึงรับลมเย็นๆริมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืน ตอนนี้ตะวันใกล้จะลับฟ้า ท้องฟ้าเลยมีสีม่วง สีชมพู สีส้มและสีน้ำเงินสลับแซมกันไป สวยงามราวกับภาพวาดจนไม่อยากจะละสายตาเลยจริงๆ ผมมองไฟถนนสีส้มที่ค่อยๆเปิดขึ้นมาจนสว่างไปทั่วบริเวณ
แม่น้ำกว้างๆที่นิ่งสงบ แต่หารู้ไม่ว่าคลื่นใต้น้ำนั่นแรงจนสามารถพัดคนหนึ่งคนให้จมหายไปได้ ผมค่อยๆเดินไปตามทางเดินก่อนจะเจอกับผู้ชายตัวสูงที่ยืนเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล
ผู้ชายที่ผมตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ วันนี้พี่กันสวมเสื้อยืดสีดำเช่นเคยกับกางเกงยีนส์ขายาวและรองเท้าคู่ใจของเขา ลมเย็นๆพัดผ่านจนทำให้กลุ่มผมนุ่มนิ่มของเขาเคลื่อนไหวไปมาราวกับเกลียวคลื่น
ไม่ว่าเมื่อไร ก็ยังดูน่าหลงใหล
พี่กันก็เป็นแบบนั้นล่ะนะ
ผมเดินเข้าไปหาคนตัวสูงที่เกาะราวเหล็กอยู่ ก่อนจะสัมผัสแขนของเขาเบาๆ เขาหันมามองพลางคลี่ยิ้มให้ผม ใต้ตาสวยๆนั่นบวมช้ำอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“หมอเล่าให้ฟังแล้วล่ะสิ เรื่องที่แฟนเก่ามาขอคืนดีกับกู”
พยักหน้าตอบเขาเบาๆ ผมละสายตามองออกไปยังท้องฟ้าสีสวยด้านหน้า
“โกรธหรือเปล่า”
“ทำไมต้องโกรธล่ะ พี่ก็มีเหตุผลของพี่ ผมไม่โกรธหรอก”
ฝ่ามืออบอุ่นของพี่กันวางลงบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆ
“กูปฏิเสธไป เขาเลยไม่พอใจแล้วก็ฟึดฟัดออกจากห้อง รู้ข่าวอีกทีก็ตอนแม่เขาโทรมาบอกว่ารถคว่ำ อาการโคม่า”
“แล้วพี่เป็นไงบ้าง”
“กูเหรอ”
อาการของพี่น่ะ
โคม่าหรือเปล่า
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตาคู่สวยของพี่กันเล่นเอาผมตกใจ เขาพยายามปาดมันออกลวกๆ รู้แหละว่าเขาโทษตัวเอง แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่ใช่คนผิดเลย
ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ
“พี่จะร้องไห้ออกมาเยอะๆก็ได้นะ”
ผมพูดเสียงแผ่ว ที่ผ่านมาเขาคอยปลอบโยน คอยเป็นพลังให้ผมในทุกๆครั้ง ดังนั้นถึงตาผมเป็นพลังงานบวกให้เขาบ้างแล้วล่ะ
คนตัวสูงซุกหน้าลงกับแขนสองข้างของตัวเองที่วางพาดอยู่บนราวสะพาน ผมทำได้เพียงแค่วางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของเขา ลูบมันเบาๆเพื่อบอกว่า ผมอยู่ข้างๆพี่นะ อยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนแน่นอน
“ก็เพราะว่าฉันนั้นเป็นคนอ่อนไหว จะผ่านอะไรมากมาย เล็กๆน้อยๆแค่รบกวนจิตใจ คล้ายๆจะมีน้ำตา”
ผมร้องเพลงออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะของพี่กันดังขึ้น ฝ่ามือของเขาผลักหัวของผม
“ล้อกูเหรอ”
“ผมชอบเพลงนี้ต่างหาก”
เพลงคนอ่อนไหวของวงแทททูคัลเลอร์ ฟังไปฟังมา ก็ดันชอบทุกเพลงไปแล้ว
สงสัยคงได้เป็นแฟนคลับตามพี่กันไปแน่ๆล่ะคราวนี้
เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับปาดน้ำตา มือของพี่กันวางอยู่บนศีรษะของผม เขาดึงผมเข้าไปใกล้เล็กน้อยพลางกดจูบลงมาบนหลังมือของตัวเอง
เอาอีกละ ทำแบบนี้ทีไรใจเต้นไม่เป็นจังหวะทุกที
“หมั่นเขี้ยวจริงๆ”
“ดีขึ้นยัง”
“ดีขึ้นละ”
พอเห็นเขายิ้มออกก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย
เราสองคนยืนรับลมกันอยู่บนสะพาน ปล่อยให้ความรู้สึกหลายๆอย่างถูกลมพัดผ่านไป บนสะพานนอกจากจะมีผมกับพี่กันแล้ว ยังมีคู่รักหลายๆคู่ มีกลุ่มเพื่อน มีนักท่องเที่ยว และมีคนที่เพิ่งเลิกจากงานที่มารับลมกินบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยากันตอนกลางคืน
“กูคบกับเขามาสี่ปีได้มั้ง เลิกกันเพราะเขาหันไปชอบคนอื่น ถามว่ายังห่วงอยู่มั้ย ก็ยังห่วงอยู่ แต่ถ้าถามว่ายังรักมั้ย ก็ไม่ได้รักแล้ว”
“พอได้ยินว่ารถคว่ำเลยตกใจ ใจมันหายๆ”
ถ้าเป็นผม ผมก็ตกใจเหมือนกันนั่นแหละ
ผมตบบ่าพี่กันเบาๆ
“พี่รู้มั้ยว่าหนังสือที่ผมอ่าน สุดท้ายแล้ว พระเอกกับนางเอกก็ต้องจากลากัน”
พี่กันหันมามองผมเงียบๆ
“ตลกดีเนอะ ทั้งๆที่เราเจอกันแล้ว ทำไมต้องจากกันล่ะ ผมไม่เข้าใจเลย”
“โลกมันชอบเล่นตลกกับเรามั้ง”
อย่างนั้นเหรอ
“สำหรับกู ก็แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นไงช่างมัน”
เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ
นั่นสินะ ไม่เห็นจะต้องไปใส่ใจอนาคตเลย
แค่ทุกวันนี้ ได้เจอหน้าเขาแบบนี้ ก็มีความสุขที่สุดแล้ว
“กูคุยกับน้องแล้ว โอ๋ๆ ไม่งอนดิไอ้หมอ กูโอเคดี”
พี่กันคุยโทรศัพท์อยู่กับพี่หมอสี่ระหว่างที่เราค่อยๆเดินลงจากสะพานเพื่อไปหาร้านอาหารอร่อยๆกินกัน ระหว่างทางผมเผลอไปสบตากับแก๊งวัยรุ่นน่ากลัวๆกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงตีนสะพาน หนึ่งในนั้นเอ่ยปากร้องแซวขึ้นมาเล่นเอาผมสะดุ้งตกใจ
“มองอะไรคนสวย”
เหมือนคนตัวสูงจะได้ยินแบบนั้น เขาดึงผมไปไว้อีกด้านเพื่อบังผมจากคนเหล่านั้น ขายาวๆก้าวฉับๆเพื่อพาผมหลุดไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด
“ไม่ต้องหันไปมอง เดินเร็วๆ มีเรื่องกับพวกนี้ไม่คุ้มหรอก”
ผมรีบก้าวขาไวๆตามที่ใครอีกคนบอก
พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็แอบดีใจแฮะ
ขนาดคุยโทรศัพท์อยู่ ยังทำตัวเป็นบอดี้การ์ดปกป้องผมเลย
พี่กันสุดยอด!
คนตัวสูงพาผมมาหยุดที่ร้านอาหารหน้าตาดีริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นเรียบง่ายและสามารถมองเห็นสะพานที่เราเพิ่งเดินลงมาได้อย่างชัดเจน เห็นระหว่างทางเขาพูดคุยโทรศัพท์อยู่กับพ่อของเขา ว่าจะเจอกันหรือนัดกินข้าวอะไรสักอย่าง
ซึ่งผมไม่นึกว่าจะได้เจอกับพ่อแท้ๆของพี่กันในวันนี้
ไม่ได้เตรียมใจมาเลยล่ะครับ
ผมยืนแข็งทื่ออยู่หน้าโต๊ะอาหารติดกับระเบียงริมน้ำ ปู่รหัสโบกมือหยอยๆส่งมาให้ ส่วนพ่อของพี่กัน ผู้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดลำลองแบบสบายๆพร้อมกับหมวกสานสีน้ำตาล ใบหน้าของพี่กันถอดแบบมาจากพ่อของเขาเด๊ะเลย ทั้งโครงหน้าที่ชัด นัยน์ตาสวยๆ จมูกโด่งๆและริมฝีปากเข้ารูป
“เอ่อ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า”
พี่กันฉุดกระชากลากถูผมให้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของเขา ผมรีบยกมือไหว้พ่อของพี่กันรวมไปถึงปู่รหัสจนมือพันกันไปหมด
อ่า ทำตัวไม่ถูกเลยแฮะ
“ไหว้พระเถอะลูก”
“นี่เหลนรหัสที่บอกไง” ปู่รหัสพยักเพยิดหน้ามาทางผมเพื่อจะแนะนำผมให้พ่อของเขารู้จัก คุณพ่อของพี่กันใช้สายตาคบกริบของเขาไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แอบเกร็งเล็กน้อยเพราะใบหน้าดุๆนั่น
“นี่น่ะเหรอกระต่ายที่บอก” คุณพ่อหันมาถามคนตัวสูงที่นั่งลงข้างๆผม
“เป็นไง เหมือนมะ” พี่กันหัวเราะ
“เหมือนมาก”
กระต่าย? กระต่ายอะไรกัน?
มื้ออาหารเริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ผมและพ่อพี่กันได้พูดคุยอะไรกันอีกหลายๆอย่าง พอได้เริ่มคุยกันแล้ว ถึงได้รู้ว่าที่เห็นหน้าดุๆเนี่ย จริงๆแล้วคุณพ่อเป็นคนเฮฮาไม่ต่างอะไรจากลูกชายเขาสักนิด เป็นคนที่เปิดรับกับทุกสิ่ง นิสัยของพี่กันเลยได้มาจากคุณพ่อของเขาเต็มๆ
บรรยากาศการทานอาหารค่ำกลายเป็นเหมือนการพบปะของครอบครัว ซึ่งผมที่เป็นคนแปลกหน้าไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าเลยสักนิด กลับกัน คุณพ่อของพี่กันทำเหมือนกับว่าผมเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของเขา
อบอุ่นดีแฮะ
พอพูดคุยไปเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าพ่อของพี่กันทำงานประจำอยู่ที่ญี่ปุ่นและอเมริกา เขาทำเกี่ยวกับเรื่องอากาศ ที่เราเคยเห็นกันในแอพพลิเคชั่น Weather บนโทรศัพท์นั่นแหละครับ เหมือนสำนักงานใหญ่จะอยู่ที่อเมริกา เพิ่งจะโดนโยกย้ายมาทำประจำอยู่ที่ญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่ปีมานี้
ส่วนอีกข้อหนึ่งที่ผมชอบพ่อพี่กันก็คือ เขาไม่ถามเรื่องส่วนตัวของผมกับพี่กันเลยสักนิด เหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจว่าลูกชายของเขาจะคบกับใคร ขอแค่คนๆนั้นไม่ทำชีวิตลูกของเขาพังก็พอ ผมเลยไม่รู้สึกอึดอัดที่จะต้องมานั่งตอบคำถามว่า จะสามารถดูแลพี่กันได้หรือเปล่า หรือคิดว่าจะคบกันต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
พ่อพี่กันเองก็ สุดยอดไปเลยล่ะ
“เราอายุเท่าไรน่ะ” คุณพ่อถามออกมาพลางจิบเบียร์ไปด้วย
“สิบเจ็ดครับ”
“อ๋อสิบเจ็ด ห๊ะ! ไอ้กัน น้องยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยนะ”
“รู้แล้วน่า เดี๋ยวก็สิบแปดแล้ว”
“คุก คุก คุก” คุณพ่อไอออกมาเบาๆ แต่ถ้าได้ยินไม่ผิด เสียงไอนี่ดังคุกคุกคุกเลยครับ
“สิบแปดแล้วจะทำอะไร” ปู่รหัสส่งสายตาไม่พอใจใส่น้องชายของเขา พี่กันไหวไหล่แบบกวนๆ
“ไม่บอก ว่าแต่พี่เหอะ ไม่คิดจะมีบ้างหรือไง”
ปู่รหัสไหวไหล่ตอบกลับมา
“ไม่บอก”
ผมหลุดขำเสียงดัง
เหมือนกันทั้งบ้านเลยจริงๆ
พอกินข้าวเสร็จ ผมกับพี่กันก็ละออกมานั่งเล่นอยู่ริมตลิ่งมองเรือหลายๆลำที่ขับผ่านไปมาในแม่น้ำ ผมมีคำถามอยู่ในใจบางอย่างที่อยากจะถามออกไป แต่ก็กลัวว่าจะเสียมารยาทถ้าถามออกไปบนโต๊ะอาหาร
เหมือนพี่กันจะรู้ว่าผมมีคำถาม เขาเลยเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
“มีอะไรจะถาม มองอยู่นั่นแหละ”
“แล้วแม่พี่กันล่ะ” ผมรู้เพียงแค่ว่าครอบครัวของเขารับปู่รหัสมาเลี้ยง เพราะปู่รหัสของผมเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทของพ่อพี่กัน แต่พี่กันไม่เคยเล่าให้ฟังเรื่องแม่ของเขาเลย
“เสียไปแล้ว พร้อมกับแม่มันนั่นแหละ”
มันที่เขาหมายถึงนี่ คือปู่รหัสสินะ
“ผมขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร มึงไม่รู้สักหน่อยนี่”
ผมยิ้มจางๆออกไป
ยังมีอีกหลายเรื่องล่ะนะ ที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ รู้เพียงแค่ว่า เขาเป็นคนเข้มแข็งมากๆเลยล่ะครับ
คนตัวสูงเหม่อมองไปยังตัวสะพานแขวนในเวลากลางคืนที่ดูสวยคนละแบบต่างจากก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน
“ในบรรดาสะพานในกรุงเทพ ผมชอบสะพานนี้ที่สุดเลย”
“เพราะอะไรอ่ะ”
“ได้มาเดินกับพี่ไง”
ฝ่ามือหนักๆของพี่กันวางลงบนหัวของผมแล้วขยี้กลุ่มผมแรงๆจนมันยุ่งเหยิงไปหมด
“ชอบจังนะ”
“ชอบสะพานเหรอ”
“เปล่า มึงอ่ะ
ชอบทอดสะพานจังนะ”
“หือ”
“ตัวขี้อ่อย”
ใครกันแน่ขี้อ่อย เขานั่นแหละขี้อ่อย
พอเห็นผมทำหน้าเบะใส่เขา เจ้าตัวก็หันมาขยำแก้มผม ดึงๆบี้ๆเหมือนกำลังเล่นกับหมา
“อย่าทอดสะพานบ่อยนะ”
“ทำไมอ่ะ”
“ของทอดทำให้ความดันโลหิตสูง”
“…”
“ทำให้หัวใจอ่อนแอ”// หัวใจอ่อนแอก็ไปหาหมอ ไม่ต้องมาอ่อยน้อง อิเวง