Chapter 20
เงาในกระจก
ไฟในห้องสี่เหลี่ยมถูกเปิดขึ้น นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมมาเหยียบหอของพี่กัน
หลังจากออกจากมหาลัยของเขา เราก็แวะหาอะไรกินแล้วตรงกลับหอ คนตัวสูงทิ้งของไว้บนเตียงก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็ทิ้งตัวนั่งแบบเจี๋ยมเจี้ยมบนพื้นพรมข้างเตียง
ตุ๊กตาหมีบราวน์กับตุ๊กตาโคนี่ถูกวางอยู่คู่กันบนโซฟาขนาดเล็ก พอเห็นแบบนั้นก็อดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปเอาไว้ไม่ได้ ภายในห้องยังมีกลิ่นตลบอบอวลของน้ำหอมที่เจ้าของห้องใช้ประจำอยู่เช่นเคย
ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกับเขา จนกระทั่งถึงวันนี้ ผมได้รู้จักเขามากขึ้นในแต่ละวัน ตอนไปเขาใหญ่ ผมรู้เพิ่มมาอีกอย่างว่าพี่กันเป็นคนนอนหลับลึก แถมยังเป็นคนที่ไม่ค่อยจะชอบย้ายที่ของของตัวเองสักเท่าไร
ถ้าเขาวางกระเป๋าไว้ตรงไหน เขาก็จะวางมันไว้ตรงนั้นที่เดิมทุกๆวัน เหมือนมันติดเป็นความเคยชินไปซะแล้ว
‘แกร๊ก’
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมๆของแชมพูที่ผมไม่รู้ว่ามันคือยี่ห้ออะไร พี่กันสวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มขายาวออกมาเสร็จสรรพ
เป็นคนที่ดูน่าหลงใหลทุกช่วงเวลาจริงๆล่ะนะ
“กอด”
“ห๊ะ หา”
ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเรียกชื่อ พี่กันกวักมือเรียกให้เข้าไปหา เขาก้มตัวไปค้นอะไรบางอย่างออกมาจากตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นยางยืดมาให้ผม
“ไปอาบน้ำ”
อ่า
สรุปว่าคืนนี้ผมต้องนอนนี่สินะ
ผมรับฟังคำสั่งของพี่กันแต่โดยดีแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป อุณหภูมิภายในห้องน้ำค่อนข้างอบอ้าวเพราะเมื่อกี้พี่กันน่าจะอาบน้ำอุ่น ผมเลยกดปิดสวิตช์น้ำอุ่นแล้วเปลี่ยนเป็นอาบน้ำเย็นแทน
ตอนแรกกะว่าคงจะไม่สระผม แต่พอเห็นแชมพูที่วางตั้งอยู่บนชั้นแล้ว ก็อดหยิบมันมาดูไม่ได้ ยี่ห้อทั่วไปที่เห็นได้ตามชั้นวางภายในห้างสรรพสินค้า
ดูจากแชมพูกับสบู่ที่คุมโทนมาทางเดียวกันแล้ว บ่งบอกว่าเขาคงชอบยี่ห้อนี้สินะ
ต้องไปซื้อมาลองบ้างซะแล้ว
พออาบน้ำเสร็จผมก็พับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เปิดประตูออกไปจากห้องน้ำ เสียงโหวกเหวกโวยวายจากพี่กันดังขึ้นมาคำแรก
“มึงมันโง่!!!”
ผมถลึงตามองคนตัวสูงเพราะนึกว่าเขาด่าผม แต่ไม่ใช่ พี่กันนั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้านหน้ามีโน้ตบุ๊คตั้งอยู่ เขารัวนิ้วลงกับเม้าส์ดังแกรกๆๆพร้อมกับกร่นด่าใส่เพื่อนผ่านทางสปีคเกอร์ของหูฟัง
“ควายแท้ แล้วนั่นจะเดินไปไหน โอ้ยไอ้ห่า เล่นกับมึงทีไรหัวร้อนทุกที”
เขากำลังเล่นเกมอยู่ครับ
จริงจังมากกกก
พอเห็นว่าเจ้าของห้องกำลังเล่นเกมอย่างเมามัน เลยไม่ได้เข้าไปถามเขาว่าจะกินอะไรมั้ยเพราะผมจะลงไปร้านสะดวกซื้อด้านล่างหอของเขา พี่กันสภาพนี้คุยด้วยไม่ได้หรอกครับ ถ้าขืนไปขัดระหว่างการเล่นเกมล่ะก็ ผมว่าน่าจะโดนกินหัวเอาอ่ะ
สายตาของผมมองหารองเท้าแตะที่พอจะใส่ได้ ถึงเราสองคนจะอยู่ในสถานะแฟนแล้ว แต่ผมก็ยังเกรงใจเขาอยู่ดี ดังนั้นถ้าจะใส่รองเท้าแตะของเขาลงไปมินิมาร์ทข้างล่างล่ะก็ ยังไงก็ต้องขออนุญาตก่อนล่ะนะ
“พี่กัน…”
เสียงแผ่วๆของผมส่งไปหาเขา คนตัวสูงหันมองผมตาขวาง
เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ
“ยืมรองเท้าแตะนะ”
“เค”
เค?
เอ้อ เคก็เค ไอ้หมีบ้า
ผมสวมรองเท้าแตะคู่ใหญ่ๆของเขาก่อนจะเดินออกจากห้อง
มินิมาร์ทขนาดเล็กแต่มีของขายเยอะพอๆกับเซเว่น ผมเลือกซื้อชาเขียวที่มันเป็นเกล็ดน้ำแข็งสองแก้ว แล้วก็พวกขนมขบเคี้ยวกับไอศกรีมสองแท่งเผื่อเขา พอซื้อเสร็จก็เดินกลับขึ้นมาที่ห้อง เปิดประตูห้องเข้าไป เจ้าของห้องก็ยังจริงจังกับการเล่นเกมไม่เลิก
พอเก็บของเข้าตู้เย็นเสร็จ เลยไปทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นพรมในหลืบแคบๆเงียบๆคนเดียว พลันสายตาก็ไปสะดุดกับรูปโพลารอยด์หนาเป็นตั้งที่วางนอนอยู่บนโต๊ะข้างเตียง โพลารอยด์หลายสิบใบถูกมัดไว้ด้วยหนังยางมัดถุงกับข้าว มีเป็นกองๆประมาณหกเจ็ดกอง มีกระดาษโน้ตใบเล็กๆเหน็บอยู่ด้านหน้า
ผมเพ่งสายตาอ่านลายมือยึกๆยือๆบนกระดาษ
‘ครอบครัว’
ไล่ไปยัง
‘เพื่อน’
ก่อนจะไปสะดุดกับ
‘น้อง’
น้อง?
น้องชายเหรอ เขาไม่เคยบอกนะว่ามีน้องชาย
เพราะความสงสัย ทำให้ไม่เหลือความเกรงใจใดๆอีกต่อไป ผมยื่นมือไปหยิบกองรูปถ่ายที่มีกระดาษเขียนคำว่า ‘น้อง’ แปะอยู่ด้านหน้ามาดู ดึงหนังยางออก พอหนังยางหลุดไป กระดาษโน้ตใบเล็กก็หล่นลงที่พื้นตามแรงโน้มถ่วงเผยให้เห็นรูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่ง
ซึ่งคนๆนั้น คือผมเอง…
ใจเต้นรัวขึ้นมาเพราะความแปลกใจที่พี่กันเก็บรูปของผมเอาไว้
รูปที่ผมใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายไปสอบเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยาวขึ้นมาหน่อยแล้ว พอเลื่อนรูปถัดไป ก็เป็นรูปตอนผมไปรายงานตัว ไหนจะตอนรับน้อง ตอนได้สายรหัส
รวมไปถึงตอนที่ผมกำลังขึ้นรถไฟฟ้า
เขาไปได้รูปพวกนี้มาจากไหน
พอนึกย้อนกลับไป ก็พอจะเดาออกว่าเขาได้รูปพวกนี้มายังไง ก็ทั้งลุงรหัส ปู่รหัส รวมไปถึงพี่หมอสี่ ทุกคนที่รายล้อมอยู่รอบๆตัวผม รู้จักกับพี่กันทั้งนั้น
แล้วรูปพวกนี้ อย่างเช่นรูปตอนขึ้นรถไฟฟ้าก็ขึ้นกับสายรหัส ตอนรับน้องก็อยู่กับลุงรหัส ตอนไปกินหมูกระทะก็อยู่กับปู่รหัส ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นรูปแอบถ่าย
จนกระทั่งเลื่อนมาหยุดอยู่ที่รูปสุดท้าย
เป็นรูปถ่ายผ่านทางกระจกบนรถไฟฟ้ายามค่ำคืน หากมองผ่านๆก็คงเห็นเพียงแค่กระจกที่ฉายวิวความมืดด้านนอกตัวรถไฟฟ้า หากแต่เมื่อสังเกตดีๆ เงาที่สะท้อนผ่านบนกระจกนั่น
คือเงาสะท้อนของพี่กันที่ยกโทรศัพท์ถ่ายตัวเองเอาไว้พร้อมกับผมที่ยืนก้มดูมือถืออยู่ถัดไปจากเขา ด้านหลังรูปมีข้อความเขียนอยู่ ลายมือที่ผมจำได้แม่นว่าเป็นลายมือของพี่กัน
‘ไม่ได้ชอบมองวิว ชอบมองคนที่สะท้อนอยู่ในกระจก’
ความร้อนมหาศาลพวยพุ่งขึ้นมาบนใบหน้าพลางหันขวับไปมองคนที่กำลังเล่นเกมอยู่โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผมรีบรวบรูปทั้งหมดมัดเก็บแล้ววางกลับเข้าไปที่เดิมก่อนจะพาตัวเองออกไปยืนสงบสติอยู่ตรงระเบียงเงียบๆ
ตาย
ไอ้กอด
ต้องตายวันนี้เนี่ยแหละ
ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าตัวเองเงียบๆพลางพยายามไล่ความร้อนออกจากใบหน้า
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ผมอยู่ในสายตาพี่กันมาตลอด ทุกวันทุกเวลา ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน พี่กันก็จะรู้หมด ไม่ว่าผมจะทำอะไร จะยิ้มจะหัวเราะจะร้องไห้ เขารู้หมดผ่านทางสายสืบของเขา
แย่
แย่มากๆ
ผมรู้สึกว่าเขาเห็นแก่ตัวที่ทำไมถึงไม่ยอมบอกกันตั้งแต่แรก แต่ก็ดันรู้สึกดีที่เขาไม่บอก
ที่ผ่านมา มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รอคอยจะพบกับเขา แต่… เขาอดทนขนาดไหนกันนะ เขาใช้เวลานานขนาดไหนในการรอที่จะได้พบกับผมอีกครั้ง
โอย รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมาเลย
‘ครืด’
ประตูระเบียงห้องถูกเปิดออกพร้อมกับคนตัวสูงที่โผล่หน้าออกมา เหมือนเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างถึงได้ละจากเกมมาสนใจผมแทน
คือผมไม่ว่าอะไรถ้าพี่จะหันไปสนใจเกมตอนนี้ ผมแค่ขอสงบสติอารมณ์คนเดียวก่อน
เพราะไม่อย่างนั้นผมจะต้องตายแน่ๆ
“นั่งทำไร ขูดหาหวยเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย”
ผมก้มหน้าก้มตาไม่ยอมคุยกับเขา จะเป็นพระคุณมากถ้าเขาไม่สงสัยแล้วเดินกลับเข้าไป
“เป็นอะไรตัวนิ่ม” น้ำเสียงโหดๆถูกปรับระดับลงให้นุ่มทุ้มกว่าที่เคย ฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสกับกลุ่มผมของผม จากที่เคยลูบเบาๆธรรมดา นิ้วเรียวๆไล่ไปตามกลุ่มผมของผมอย่างเบามือ
พี่กัน…
ผมไม่พร้อมจะคุยกับพี่ตอนนี้
“พี่กลับเข้าห้องไปเหอะ”
“มึงโกรธที่กูเล่นเกมไม่สนใจมึงเหรอ”
“ไม่ใช่ ผมไม่ได้โกรธ”
“แล้วทำไมไม่มองหน้ากู”
“พี่กลับเข้าห้องไปเถอะ”
“กอด”
ผมยอมแพ้เมื่อฝ่ามือของพี่กันสัมผัสลงบนใบหูทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นช้าๆสบตากับเขา นัยน์ตาสีสวยนั่นเพ่งมองมานิ่งๆเหมือนพยายามจะอ่านสิ่งที่อยู่ในใจ
ถ้าเขาสามารถอ่านใจผมออกล่ะก็
มันคงจะแย่มากๆเลย เพราะผมไม่อยากให้เขารู้ถึงสิ่งที่ผมกำลังคิดตอนนี้
ผมแค่ชอบพี่
ชอบพี่มากๆ แล้วตอนนี้มันก็กลายเป็นว่าผมรักพี่
รักจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆเลย
“เป็นอะไรคิดมากเรื่องนั้นเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วเป็นอะไร ไหนบอกกู จู่ๆก็เดินออกมานั่งขดอยู่ที่ระเบียงเนี่ย”
“ไม่เป็นไร”
“โกหก”
“ไม่ได้โกหก” ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น พยายามหลบตาเขาให้มากที่สุด
“กอด”
“…”
“ไอ้ผักกอด นี่มึงจะไม่บอกกูจริงๆสินะ”
“…”
คนตัวสูงเริ่มโมโหที่ผมไม่ยอมบอกเขาว่าผมเป็นอะไร เขาควรจะกลับเข้าห้องตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะถ้ายังคอยลูบหัวลูบหางผมนานกว่านี้ล่ะก็
ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้บ้าง
ร้องไห้ใส่เขาเหรอ
หรือบอกเขาว่า รักเขามากจนอยากจะตายไปเลย
‘กริ๊ง’
ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่นานนักโทรศัพท์ของพี่กันก็ดังขึ้น แต่เหมือนเขาจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนโทรมาจะมีเรื่องด่วนหรือมีเหตุร้ายอะไรหรือเปล่า เพราะนอกจากจะไม่เดินกลับเข้าห้องแล้ว ยังนั่งจ้องหน้าผมไม่ยอมเลิก
“พี่กัน”
“ถ้าไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร กูจะนั่งจ้องหน้าจนมึงเขินตายอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ”
ความดื้อของเขานี่มัน
“ผมเห็นโพลารอยล์ของพี่แล้ว”
เขาสะอึกไปเล็กน้อย
“อ่อ เหรอ แล้วไง จะด่ากูว่าโรคจิตอ่ะดิ ด่าเลย ด่าไปก็ไม่สะทกสะท้านหรอก หน้าหนากว่าผนังบ้านอย่างกูเนี่ย ไม่มีทาง…”
“ผมแค่ไม่รู้จะทำยังไง เพราะพอเห็นแบบนั้น ในหัวก็มีแต่คำว่า
ผมรักพี่มากๆ รักจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ดังนั้นพี่ต้องปล่อยให้ผมนั่งทำสมาธิก่อนเพราะไม่อย่างนั้นผมจะต้องตายก่อนแน่ๆ”
ผมพูดลิ้นรัวออกไป ไม่รู้หรอกว่ามันได้ใจความหรือเปล่า หน้าที่ร้อนจนแทบจะไหม้ ไหนจะน้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอเบ้า ผมไม่ใช่คนขี้แยอะไรขนาดนั้น
แต่การได้อยู่กับผู้ชายคนนี้ ตอนนี้ มันยิ่งกว่าความฝันซะอีก
เขานิ่งไป พี่กันถอนฝ่ามือของตัวเองออกไปจากใบหูของผมก่อนจะคว้าผ้าขนหนูที่ตากอยู่เหนือหัวมาคลุมหัวของผมเอาไว้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร
แต่พอได้อยู่ใกล้ๆเขา ผมถึงรู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้ ในเวลาแบบนี้
เป็นการบ่งบอกว่าเขาไม่อยากให้ผมเห็นเวลาเขากำลังเขิน
“อย่าพูดแบบนี้อีก” ผมโผล่หน้าพ้นจากผ้าขนหนูไปมองหน้าเขา
ทำไมล่ะ
“พี่ไม่ชอบเหรอ”
“เออ ไม่ต้องมาทำตาลูกหมาใส่ด้วย”
เขาไม่ชอบจริงๆเหรอ
“หูตกใส่กูอีก”
“ก็พี่บอกไม่ชอบ”
“ไม่ชอบ เพราะเวลามึงพูดทีไร” ใบหน้าของคนตัวสูงเคลื่อนเข้ามาใกล้จนผมต้องหดคอหนี ท้ายทอยที่ชนกับระเบียงบ่งบอกว่าจนมุมเรียบร้อยแล้ว
“กูอยากจูบให้ยับเลยจริงๆ”
ริมฝีปากของพี่กันบดเบียดลงมาบนริมฝีปากของผมหลังจากคำนั้น ละเมียดละไมราวกับเขากำลังลิ้มรสอะไรบางอย่างอยู่ มือของผมที่ก่ายไปมาถูกฝ่ามือสองข้างของเขาตรึงไว้ข้างตัว
ไม่ดีเลย แบบนี้ไม่ดีกับหัวใจเลยจริงๆ
เขากดริมฝีปากย้ำๆซ้ำๆลงมาจนผมแทบจะขาดอากาศหายใจ มันไม่ใช่จูบเหมือนครั้งแรก หรือเหมือนเมื่อตะกี้ที่เขาต้องการจะแกล้งผม แต่ครั้งนี้มันมากกว่านั้น
“พี่กัน!”
เสียงทุ้มๆคำรามอยู่ในลำคอ เขายังคงจูบผมอย่างหนักหน่วงจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พี่กันเลยละออกไปแล้วหายกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผมนั่งใจเต้นรัวอยู่เงียบๆคนเดียว
เสียงหัวใจ … ทำไมมันถึงได้ดังขนาดนี้กันนะ
“ว่าไงป๊า ใช่ โทรมาขัดจังหวะไง มีอะไร … กลับวันอาทิตย์เนี่ยนะ”
พี่กันเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูที่กั้นระหว่างห้องกับระเบียงพลางคุยโทรศัพท์แล้วมองหน้าผมไปด้วย ผมรีบหันหลังให้เขาแล้วใช้ฝ่ามือกุมใบหน้าของตัวเองพลางลูบแรงๆ
ตั้งสติก่อนไอ้กอด
หายใจลึกๆ
“เหรอ โอเคๆ เดี๋ยวผมกับพี่ไปรับ ไฟล์ทถึงกี่โมงนะ”
“ครับป๋า ไม่ว่าง … กำลังเลี้ยงกระต่ายอยู่ แค่นี้นะ”
เสียงที่เงียบไปบ่งบอกว่าเขาวางสายไปแล้ว พี่กันทิ้งตัวนั่งลงด้านหลังก่อนจะดึงแขนผมให้หันกลับไปมองเขา
“อะไร จูบแค่นี้มึงกลายร่างเป็นกวนอูเลยเหรอ”
ไอ้…
ไอ้คนใจบาปเอ้ย
“ใครจะไปหน้าหนาเหมือนพี่ล่ะ”
“หัดต่อปากต่อคำ เดี๋ยวก็ยับอีกรอบ”
“ไม่เอาแล้ว หัวใจจะวายแล้ว”
เขาหัวเราะขำ พลางดึงตัวผมให้ไปนั่งใกล้ๆตัวเอง พี่กันเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่มีวี่แววว่าจะทำอะไรมากไปกว่านี้ ดังนั้นผมเลยเบาใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง
“กูไม่ทำหรอก ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่า”
“ผมอยากกินชาเขียวเกล็ดน้ำแข็งในตู้เย็นละอ่ะ”
“ติดนิสัยกระเพาะหลุมดำมาจากกูสินะ ได้ข่าวว่ามื้อเย็นซัดข้าวไปสองจาน”
“ก็มันหิวนี่”
ถึงจะขัดแต่ก็เดินหายเข้าไปหยิบชาเขียวเกล็ดน้ำแข็งสองถ้วยพร้อมกับช้อนสองคันมานั่งกินกันที่ริมระเบียงแคบๆ
“เมื่อกี้พ่อเหรอ” ผมเอ่ยปากถามออกไปด้วยความอยากรู้ พี่กันกำลังง่วนอยู่กับการเฉาะเกล็ดน้ำแข็งหนาเป็นชั้นอยู่
“อือ”
“แล้วพี่ต้องบอกพ่อเรื่องที่คบกับผมมั้ย”
“ไม่ พ่อกูเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง อายุสิบแปดก็โดนถีบหัวส่งออกจากบ้านละ ดีหน่อยที่ยังมีเงินให้ใช้ ไม่ต้องรายงานทุกเรื่องหรอก ทุกวันนี้แทบจะไม่อยู่ที่บ้าน ฐานทัพแกอยู่ญี่ปุ่น”
“เหรอ”
จะว่าไป เรื่องครอบครัวของพี่กันเอง ผมก็ยังไม่รู้สักเท่าไร เห็นเขาบอกว่าปู่รหัสของผมเป็นพี่ชายต่างแม่ของเขา
“ถ้าผมถามเรื่องปู่ จะได้มั้ยอ่ะ” ผมละไว้ในฐานที่เข้าใจ และดูเหมือนพี่กันเองก็ไม่ได้ถือสาอะไรที่ถามออกไปแบบนั้น
“แม่กูกับแม่มันไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ไม่ใช่เมียน้อยเมียหลวงอะไรแบบนั้น แม่มันเป็นเพื่อนซี้ของป๊ากู แต่เสียไปนานแล้ว ป๊าก็เลยรับเลี้ยง”
อ่า
พอได้ยินแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยนึงแฮะ
“อย่าคิดมาก พ่อกูไม่ห้ามหรอกเรื่องคบผู้ชาย ขอแค่อย่าไปมีเรื่องกับชาวบ้านก็พอใจเขาละ”
คลี่ยิ้มออกมาจางๆ
“ไอ้เรื่องโพลารอยล์อ่ะ กูตั้งใจจะบอกมึงอยู่แล้ว ไม่ได้คิดจะเก็บเป็นความลับ”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้โกรธอะไรเขาเลย ดีใจซะอีกที่เห็นแบบนั้น
“ผมเห็นรูปใบนึงที่พี่ถ่ายผ่านกระจกของรถไฟฟ้า พี่ไม่ได้ชอบดูวิวข้างนอกตัวรถเหรอ ผมคิดว่าพี่ชอบซะอีกเพราะเวลาเจอพี่บนรถไฟฟ้าทีไร พี่มองออกไปข้างนอกตลอดเลย”
พี่กันหันมามองผมนิ่งๆ
นัยน์ตาของเขาสื่ออะไรมากกว่าที่เห็น อย่างที่เขาเคยบอกว่าดวงตาของเราโกหกไม่เป็น ซึ่งถ้าผมกล้ามองมันนานกว่านี้ล่ะก็ ผมอาจจะเห็นอะไรมากกว่านั้น แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ต้องหลบตาเขามาสนใจการเฉาะน้ำแข็งในถ้วยต่อ
“กูไม่เคยชอบมองวิวข้างนอกเลยตัวนิ่ม”
“…”
“กูชอบมองเงาของมึงที่สะท้อนอยู่ในนั้น”
พี่กัน…
“เพราะกูยอมรับตัวเองเลยว่า กูไม่กล้ามองหน้ามึงตรงๆ”
“ทำไมล่ะ”
“ถามโง่ๆ
ก็เขินไงล่ะ เวรเอ้ย”
พูดจบก็เฉาะน้ำแข็งในถ้วยรัวๆเหมือนคนเป็นบ้า ผมหัวเราะออกมาแล้วมองเสี้ยวหน้าของเขา ยิ่งอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้อะไรมากขึ้น
ในแต่ละวัน ผมจะคิดว่า ผมได้รู้จักเขามากขึ้นอีกนิดแล้วนะ
แค่นั้นก็ทำให้มีความสุขแล้ว
ผมเคยเปรียบพี่กันเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม ที่ไม่อยากให้มันจบ และตอนนี้มันก็คงดำเนินมาครึ่งเรื่องได้แล้ว เรื่องราวของเราสองคนยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่ผมค่อยๆตั้งใจอ่านตัวหนังสือในแต่ละบรรทัด ซึมซับความสวยงามของข้อความเหล่านั้น
จริงอยู่ที่หนังสือทุกเล่ม ต้องมีตอนจบ
แต่การอ่านหนังสือเล่มที่ชื่อ ‘กัน’ จะไม่มีวันจบ ผมเชื่อแบบนั้น
เพราะนอกจากจะมีเรื่องราวของพี่กันอยู่ในนั้นแล้ว หนังสือเล่มนั้น ยังมีเรื่องราวของผมวนเวียนอยู่ในชีวิตของเขาด้วย
'ไม่ได้ชอบมองวิว ชอบมองคนที่สะท้อนอยู่ในกระจก’ อ่า จะว่าไป ที่เขาเขียนไว้แบบนั้น …
“ถ้าพี่บอกว่าพี่ชอบมองเงาสะท้อนของผมในกระจก อย่างนั้นพี่ก็คงรู้ใช่มั้ย”
“หืม”
“ว่าคนที่อยู่ในกระจก
ก็แอบมองพี่มาตลอดเลย”
พี่กันไม่ได้ตอบ หากแต่คำตอบคือการยิ้มจางๆออกมา บ่งบอกว่าเขารู้ รู้มาเสมอ
ว่าผมแอบมองเขามาตลอด
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เจอกับเขา
// ขึ้นรถไฟฟ้าก็ลองมองผ่านกระจกดูนะคะ นอกจากจะรู้ว่าใครแอบถ่ายรูปเราแล้ว เผื่อจะได้เห็นว่ามีคนมองเราอยู่ / เขิลล
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_