พิมพ์หน้านี้ - ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: leenanhyun ที่ 11-04-2017 21:36:53

หัวข้อ: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 11-04-2017 21:36:53
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


Likeกัน (yaoi)
by Jiwinil


ใครหลายๆคนบอกว่าความบังเอิญเกิดขึ้นได้เพียงแค่สามครั้ง
แต่สำหรับผมแล้ว ความบังเอิญเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว
ที่เหลือนั้น เป็นความตั้งใจของใครคนใดคนหนึ่งเสมอ



"เป็นครั้งแรกที่เริ่มต้นทำความรู้จักกับใครสักคนก่อน
เพียงแค่คิดว่าถ้าปล่อยเขาไปตอนนี้ คงไม่มีวันกลับมาเจอกันอีกแล้ว"



//


"เป็นครั้งแรกที่ตกหลุมรักเขาโดยไม่มีข้อแม้
และคิดว่าถ้าปล่อยเขาไปตอนนี้ ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กลับมาเจอเขา"


#Likeกัน

ติดตามการอัพเดทและเรื่องใหม่ๆได้ที่ : https://www.facebook.com/Jiwinil-154939728204230/?fref=ts

สารบัญ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3685676#msg3685676)
ขอบคุณคุณ PP_annann มากๆนะคะที่สละเวลาทำให้ฮือรักๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ #กอดกันนะ Intro {11.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 11-04-2017 21:43:13
            Introduction

 

            ทำยังไงดี

            ทำยังไงดีนะ

            หัวใจผมเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก เหงื่อผุดซึมตามฝ่ามือและขมับ

            ‘สถานีต่อไป สะพานควาย Next Station Saphan Khwai’

            ผมกำหนังสือในมือแน่น มันเป็นหนังสือที่ผมใช้อ่านฆ่าเวลา เป็นหนังสือเล่มโปรดที่อ่านซ้ำไปซ้ำมาเพราะชอบโทนสีของมัน หนังสือที่ผู้ชายคนหนึ่งตัดสินใจบอกชอบหญิงสาวที่เขาเจอบนรถไฟ เพราะเขาคิดว่าถ้าปล่อยเธอไป คงไม่ได้เจอกับเธออีกครั้ง เขาคงจะเสียดายมันมากแน่ๆ

            เหมือนที่ผมกำลังเป็นตอนนี้

            เขายืนอยู่ตรงนั้น สวมชุดนักศึกษาเอาชายเสื้อออกนอกกางเกง แขนเสื้อสองข้างถูกพับขึ้นมาที่ข้อศอก ไม่รู้ว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยไหนเพราะมันคล้ายๆกันไปหมด จะมีก็แต่เสื้อช็อปสีกรมที่เขาพาดไว้ที่บ่า บ่งบอกว่าเขาจะต้องเรียนพวกคณะเกี่ยวกับอะไรวิทย์ๆแน่นอน ตัวสูงจนหัวจะชนเพดานรถไฟฟ้าอยู่แล้ว ใส่หูฟังยืนมองวิวนอกกระจกเงียบๆคนเดียวเหมือนอย่างที่คนอื่นๆบนรถไฟฟ้าเขาทำกัน แต่เขาไม่เหมือนคนอื่น เพราะเขาไม่ใช่คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก

            ‘เฮ้ยๆ หนังสือหล่นอ่ะ’

            เราเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ และตอนนั้นผมก็คิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีก เลยตัดใจไปแล้ว

            พอมาเจอกันอีกที ผมเลยไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไป เพราะถ้าปล่อยไปล่ะก็ ผมคงไม่มาบังเอิญเจอเขาบนรถไฟฟ้าอีกเป็นครั้งที่สามหรอก ว่าไหมครับ

            โลกนี้มันกว้างจะตาย

            ประเทศไทยก็กว้างแสนกว้าง

            ถึงจะบอกว่าโลกกลม แต่โลกของเขาและผม มันกลมได้แค่ไหนกัน

            ‘สถานีต่อไป สะพานควาย Next Station Saphan Khwai’

            ประกาศบนรถไฟฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง รถไฟฟ้าค่อยๆชะลอตัวจนกระทั่งหยุดลง กลุ่มคนบางส่วนค่อยๆทยอยออกไป หัวใจผมเต้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ท้วงจะออกมาจากอกข้างซ้ายซะให้ได้ เขาจะลงสถานีนี้ไหม ผมควรจะเข้าไปหาเขาเลยไหม เราอยู่ไกลกันประมาณหนึ่ง ถ้าผมแทรกตัวออกไปอยู่ข้างๆเขาพร้อมผู้คนตอนนี้ มันอาจจะดูไม่น่าตกใจ

            แรงกดดันถาโถมเข้ามา

            เอายังไงดี

            ลุกออกไปดีไหม

            พอเหลือบมองไป เขายังหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น เหม่อมองออกไปด้านนอก จนกระทั่งประตูรถไฟฟ้าปิดฉับลง

            เฮ้อ

            สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยมันผ่านไปเหมือนทุกครั้งเพราะความขี้ขลาดของตัวเอง

            กลายเป็นควายตามชื่อสถานีไปแล้ว

            รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง เขาเริ่มขยับท่าทาง จากเหม่อมองออกไปด้านนอก เปลี่ยนเป็นก้มมองโทรศัพท์ แต่มองได้แค่แวบเดียวก็มองเลยออกไปอีก ปากขยับพึมพำเบาๆเหมือนร้องตามเพลง

            เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก ผิวขาวเหลือง จมูกโด่งๆกับสันกรามที่ชัดเจน เป็นผู้ชายที่โครงหน้าชัดเหมือนเอาปากกาวาดรูปลงบนกระดาษแล้วหลุดออกมาจากภาพทั้งๆที่ยังไม่ได้แต่งแต้มสีสัน ดูเหมือนจะเป็นที่ชื่นชอบของเพศตรงข้ามเอามากๆ เพราะกลุ่มเด็กๆมัธยมปลายมองเขาไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นรถไฟฟ้ามา

            โทรศัพท์ในมือผมสั่นครืด ผมที่ได้นั่งตั้งแต่ต้นสายเปิดหน้าจอดูก็พบว่าเป็นเพื่อนสนิทที่ส่งไลน์มา นอกจากอ่านหนังสือแล้ว การได้โต้ตอบเพื่อนๆในไลน์ก็เป็นอะไรที่ผมชื่นชอบ เพราะความครีเอทของแอพพลิเคชั่นที่เราสามารถมีสติ๊กเกอร์ฮาๆเอาไว้กวนประสาทคนเล่นได้

            ถึงบ้านยังเด็กดอย

            *ยัง

            ผมตอบไปสั้นๆ

            อยู่บนรฟฟเหรอวะ

            *แม่นแล้ว

            พรุ่งนี้ติวที่มอ ตึกบัญชี

            มาติวด้วยกันป่ะ

            *ทำไมติวที่บัญชี

            ส่องสาว

            พอเห็นเพื่อนตอบมาแบบนั้น ใจก็อยากจะด่าออกไปแล้ว แต่พอนึกออกว่าตัวเองก็กำลังส่องคนอยู่ ถึงจะไม่ใช่สาว เป็นชายหนุ่มตัวเขื่อง ผมมันก็ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนเลย ผมกดปิดหน้าจอลง คิดว่าจะใช้เวลาอยู่กับเขา ณ ที่ไกลๆให้นานที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเขาจะลงที่สถานีไหน จะจากไปเมื่อไร

            ‘สถานีต่อไป อารีย์ Next Station Ari’

            เสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความกดดันที่ถาโถมเข้ามา เหงื่อชุ่มมือไปหมดจนผมต้องเช็ดมันกับกางเกงตัวเอง รถไฟค่อยๆชะลอตัวลง ผู้คนเริ่มทยอยออกจากรถไฟฟ้าอีกครั้ง ผู้หญิงคนข้างๆที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนเพื่อฝ่ากลุ่มคนออกไป ผมชั่งใจ…

            เดินไปดีไหม

            ถ้าเขาสงสัยก็ตอบไปว่าเตรียมลงสถานีต่อไป ทั้งๆที่จะต้องนั่งไปลงสยาม

            เอาไงดี

            จะเป็นควายอีกรอบเหรอ

            เอาไงเอากันวะ!

            ผมลุกตามผู้หญิงคนนั้นออกไป ยิ่งเข้าไปใกล้เขา หัวใจก็ยิ่งจะระเบิดออกมาซะให้ได้

            ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ออกจากรถไฟไป หากแต่ยืนหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูเพื่อเตรียมลงสถานีต่อไป ส่วนผมกระเถิบมาด้านหลังเล็กน้อย

            หยุดยืนอยู่ข้างหลังเขาพอดีเลย

            เพราะเขายืนติดกับเสา ผมเลยมีที่ยึดไม่ให้ตัวเองล้ม เพราะเจ้าตัวหันหลังอยู่ เขาเลยไม่ได้สังเกตว่าจะมีใครมายืนข้างหลังเขาหรือเปล่า เขาคงไม่ใส่ใจหรอกครับ เพราะคนขึ้นลงตลอดเวลาอยู่แล้ว จะมีใครมายืนซ้อนมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

            พอมายืนข้างๆเขาแล้ว ผมกลายเป็นตอม่อไปเลย

            ขายาวๆเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเขาให้สูงชะลูด กะจากความสูงแล้วน่าจะเกิน 180 แน่นอน แขนขาก็ยาวแต่ไม่ยักจะดูเก้งก้าง กลับกัน มันสมส่วน เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีลักษณะชัดเจนและโดดเด่น

            กลิ่นน้ำหอมจางๆลอยมาแตะจมูก ไม่ใช่แฟนตัวยงของน้ำหอม เลยตอบไม่ได้ว่ายี่ห้ออะไร

            ผมก้มลงไปมอง เท้าสองข้างของเขากางออกเล็กน้อยเพื่อวางฐานให้มั่น เป็นคนตลกดีครับ ยืนอยู่ข้างเสาแท้ๆแต่ไม่ใช้มือจับเสา แรงเหวี่ยงของรถไฟฟ้าเวลาเบรคอาจจะทำให้เขาล้มตีลังกาไปทับคนอื่นได้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังยืนยันว่าจะไม่จับเสา จะใช้ตีนตุ๊กแกของเขาเนี่ยแหละพยุงจนกว่าจะถึงจุดหมาย

            รถไฟฟ้าออกเดินทางต่อไปอีกครั้ง เวลาแต่ละช่วงมันช่างยาวนานแต่ก็สั้นไปพร้อมๆกัน เขาจะลงสถานีต่อไปหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวผมไม่ยอมออกไปไหน

            ผมต้องทำอะไรสักอย่าง นั่นคือสิ่งที่ผมคิดต่อมา

            ขอเบอร์เขาคืออะไรที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด หรือจะขอไลน์ แต่ถ้าขอเบอร์ก็จะได้ทั้งเบอร์ทั้งไลน์นะ

            ถ้าเขาเปิดโอกาสให้ถามต่อ ก็คงจะถามว่าเขาเรียนที่ไหน … เขาชื่ออะไร

            ‘สถานีต่อไป สนามเป้า Next Station Sanam Pao’

            เขาไม่กระดิก ยังคงยืนนิ่งอย่างเคย

            ผมเข้าใจอารมณ์ของพระเอกในหนังสือที่ผมอ่านเลย ว่าการจะเข้าไปทักทายคนๆหนึ่งมันอึดอัด กดดัน เต็มไปด้วยความตื่นเต้นขนาดไหน แม้ว่าอยากจะทักทายเขามากขนาดไหนก็ตาม ขนาดนางเอกเป็นผู้หญิง มันยังยากแสนยาก แล้วผมที่เป็นผู้ชาย การจะเข้าไปทักผู้ชายแล้วบอกชอบแบบนั้น อาจจะโดนเตะก็ได้

            อย่าว่าแต่บอกชอบเลย แค่ขอเบอร์ก็อาจจะโดนถีบ

            เปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ต้องใช้ตัวช่วยแล้วล่ะ

            *ถ้าจะขอเบอร์ใครสักคน เริ่มยังไงวะ

            เฮ้ย ขอเบอร์ใครวะ

            *เออน่า มีทริคป่ะ

            *ทำยังไงไม่ให้โดนเตะก่อนได้เบอร์

            สาวที่ไหนจะมาเตะมึงวะ

            มั่นหน้าหน่อยเพื่อน หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วนะมึงอ่ะ

            เข้าไปขอต่อหน้าเลย


            *ถ้าง่ายขนาดนั้นก็ขอไปตั้งนานแล่วว

            แกล้งทำของหล่นก็ได้

            แล้วก็ขอเบอร์เลย


            *ก่อนได้เบอร์คงโดนเหยียบตายก่อน

            *คนเยอะมาก

            เพราะเผลอคุยมากไปหน่อย เลยไม่ทันระวังและไม่ทันได้ฟังว่าตอนนี้มาถึงสถานีต่อไปแล้ว รถไฟฟ้าชะลอตัวแถมยังมีโบนัสเป็นการกระชากเล็กน้อยจนผมทรงตัวไม่อยู่ เซไปกระทบคนด้านหลัง ฝ่ามือสองข้างของคนข้างหลังจับเข้าที่แขนของผมเพื่อไม่ให้ล้มไปโดนคนอื่น ผมรีบตั้งสติแล้วดึงตัวเองมายืนตัวตรงพลางเอ่ยปากขอโทษขอโพยเขา

            “ขอโทษครับ”

            ดันเด๋อไปชนเขาซะได้

            “ระวังๆหน่อย”

            เสียงทุ้มๆเอ่ยออกมา เป็นครั้งที่สองที่ได้ยินเสียงทุ้มหนักแน่นของเขา แต่พอพูดจบ คนตัวสูงก็เดินผ่านหน้าผมไปเพื่อที่จะลงที่สถานีนี้ ณ เวลานั้นสมองมันตื้อไปหมด คิดอยู่อย่างเดียวแค่

            ผมต้องตามเขาออกไป

            ถ้าไม่ตามออกไปวันนี้

            จะไม่ได้เจอกันอีกแน่นอน

            ฝ่าเท้าสองข้างสัมผัสกับพื้นปูนของตัวสถานี เขาเดินดุ่มๆออกไปอย่างไว ไม่รู้จะทำยังไงเลยเดินตามเขาไป ขายาวๆนั่นก็ก้าวโคตรจะไวเลยให้ตายเถอะ

            ขอบคุณสวรรค์ เขาจอดตัวเองอยู่ที่ร้านชานมไข่มุกร้านหนึ่งก่อนจะถึงบันได ถ้าเขาก้าวเท้าลงจากบันไดไปล่ะก็ นั่นก็หมายความผมหมดสิทธิ์จะได้เจอเขาอีก

            “ชานมธัญพืชหวานน้อยครับ” สั่งเมนูใหม่ที่เพิ่งติดป้ายหน้าร้าน พี่ผู้หญิงหันมามองผมที่ยืนอยู่ด้านข้าง

            “เอ่อ ชานมธัญพืชหวานน้อยครับ”

            ไม่เคยกินหรอก

            แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย

            เวลาสั้นๆที่ยืนอยู่ข้างเขา มันดูเหมือนยาวนาน คิดสารพัดไอเดียว่าจะขอเบอร์เขายังไง จนกระทั่งชานมของเขาวางลงบนเคาน์เตอร์นั่นแหละ คนข้างๆควักกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเพื่อที่จะจ่ายเงิน

            ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงเลยเอ่ยปากออกไปว่า

            “ไม่ต้องจ่ายหรอกครับ ผมเลี้ยง” ทั้งพนักงานและตัวเขาต่างก็หันมามองหน้าผม อึ้งกิมกี่ไปตามๆกัน

            “เลี้ยงทำไม” ห้วนๆสั้นๆ เขาถามแค่นั้น

            “เอ่อ…” ก็อยากเลี้ยง อยากเลี้ยงไงไม่ได้เหรอ คนจะเลี้ยงต้องทำหน้าดีใจสิ มาทำหน้าดุใส่ทำไมเล่า

            “คือ…”

            สายตากดดันจากทั้งพี่พนักงานและเขาต่างส่งมาไม่ขาดสาย

            “ผมถูกหวยอ่ะ ครั้งแรกในชีวิตเลย” พอพูดออกไป มันเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยครับ   

            โคตรโล่ง

            “ถูกเท่าไร” นับเป็นบทสนทนาที่ยาวมากที่สุด ใจผมเต้นรัวจนมือสั่นไปหมด

            “เอ่อ…” ตาเหลือบไปมองราคาชานม แก้วละสี่สิบ

            “สี่สิบบาทอ่ะ”

            “แล้วเลี้ยงสี่สิบบาทก็หมดตัวเลยดิ”

            “แหะ” ยิ้มแห้งๆส่งกลับไป โถ่เว้ย ผมน่าจะกลับไปที่สถานีสะพานควายแล้วไปเป็นควายให้รู้แล้วรู้รอด

            “ตกลงเลี้ยงใช่ป่ะ” เขาถามออกมาอีกครั้ง แก้วชานมไปอยู่ในมือแล้ว

            “อือ เลี้ยง”

            “งั้นขอบใจมาก”

            แค่นั้น จบแค่นั้นเขาก็เดินหันหลังออกไปเลย ผมงี้คอตกหูตก

            ทำได้แค่นี้ อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่ามีไอ้บ้าคนหนึ่งถูกหวยสี่สิบบาทแล้วก็เลี้ยงชานมแก้วละสี่สิบบาทให้กับเขา

            คนเรามันจะป๊อดได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ

            โมโหจังโว้ยย

            ผมรับชานมธัญพืชของตัวเองแล้วเดินคอตกเพื่อไปซื้อเหรียญมาแลกบัตรขึ้นรถไฟฟ้าใบใหม่ จะต้องไปลงสยาม ดันตามผู้ชายมาลงอนุสาวรีย์ แม่รู้แม่ด่าตายเลย

            หยอดเหรียญลงในตู้ทีละเหรียญสองเหรียญเหมือนคนสติหลุด พอจะหยอดสี่บาทสุดท้าย ก็มีคนปัดมือผมออกแล้วหยอดสี่บาทของเขาลงไปแทน ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนๆนั้น พอรู้ว่าเป็นใครก็ช็อกค้างไปเลย

            “ไม่ชอบติดหนี้ใคร วันนี้คืนให้ก่อนสี่บาท” เขายืนอยู่ข้างๆในระยะประชิด มือถือแก้วชานมที่ผมซื้อให้

            ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ไม่รู้จะพูดอะไร เหมือนโดนสับสวิตช์

            “เหลืออีกสามสิบหกบาทที่ต้องคืน”

            จะต้องพูดอะไร พูดอะไรดี

            “ไม่ต้องคืนหรอก ก็บอกว่าถูกหวย”

            ถูกหวยบ้าไร ทำไมไม่ขอเบอร์ ขอเบอร์สิไอ้บ้า

            “ไม่ได้ จะคืน มีไรป่ะ”

            “คืนก็คืน”

            “แค่นั้น?” เขาเลิกคิ้ว ผมพยักหน้า คนตรงหน้าถอนหายใจออกมาเลยครับ เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่ามีปัญญาพูดได้แค่นี้สินะ

            ขอโทษ ก็คนมันป๊อด ยอมรับแต่ไม่แสดงออก!

            “คืนมาดิ” หงุดหงิดตัวเอง แต่พาลไปลงกับเขาเฉย ยื่นมือออกไปรอรับเงินที่เขาจะคืนกลับ แต่กลับได้เป็นปากกาลูกลื่นจรดลงมาบนฝ่ามือ เป็นเลขสิบตัว

            ทำไรอ่ะ เขียนเลขหวยเหรอ ไม่เล่นแล้วนะ เงินหมดแล้ว

            “กูขี้ลืม ทวงเอาเองละกัน”

            เขียนเสร็จก็เก็บปากกาใส่กระเป๋าเสื้อนักศึกษาแล้วเดินดูดชานมออกไป จู่ๆก็หยุดเดิน หันมามองผม

            “แล้ววันหลังไม่ต้องตามลงมา เสียเงินซื้อตั๋วอีกรอบ บ้านรวยอ่อมึงอ่ะ”

            แหงะ

            พูดจบก็หันหลังออกเดินลงบันไดไปเลย รู้ด้วยว่าตามลงมา ผมทำหน้าหมางงทันทีเลยครับ รู้ได้ไงอ่ะ หรือเขารู้ว่าผมแอบมองเขา ไม่หรอก ไกลขนาดนั้น บ้าบอจัง ไม่รู้จะไปทางไหน ก้มหน้างุดๆเลย

            ผมมองเลขสิบตัวบนฝ่ามือ

            ไม่ใช่เลขหวยนี่หว่า นี่มัน…

            เบอร์โทรศัพท์

            เบอร์โทรศัพท์จริงๆ

            ในที่สุดก็ได้เบอร์แล้วเว้ยยย

            บทจะได้ก็ได้ง่ายๆ เล่นใหญ่รัชดาลัยไปบนรถไฟฟ้าเพื่ออะไร

            จะว่าไป

            เขาชื่ออะไรนะ

            เมื่อกี้ตื่นเต้นอยู่ ลืมถามเลย   







//คลอดเรื่องใหม่ออกมา เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่มาอัพประจำนะคะ
ฝากเอ็นดูเด็กสองคนนี้ ฝากเขาทั้งสองไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยน๊า
ติดแท็ก #Likeกัน #กอดกันนะ พูดคุยผ่านทวิตเตอร์ได้นะคะ
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_
ขอบคุณที่คอยติดตามกัน รักมากมาย
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ #กอดกันนะ Intro {11.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 11-04-2017 22:20:31
สายเปย์ก็มา ถูกหวย40บาทก็เลี้ยงชานมธัญพืชเขาแล้วอ่ะ เป็นการแถที่ขำดี 555555
ติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่าาา
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ #กอดกันนะ Intro {11.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: janeta ที่ 11-04-2017 22:24:32
 :-[ อ่านแล้วเขิน งื้อ
ถ้าชีวิตจริงได้แบบนี้จะดีมากค่ะ 5555
 :z3: ขออีกๆ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ #กอดกันนะ Intro {11.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 11-04-2017 22:37:57
ชานม แลกกับ เบอร์โทร วุ้ย เกินคุ้มไปไกล :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ #กอดกันนะ Intro {11.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 11-04-2017 22:42:10
เขินนน
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ #กอดกันนะ Intro {11.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 11-04-2017 23:00:23
งือออ ชอบมากกกก แล้วบ้านไหนเขาถูกหวยสี่สิบบาททท555555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 13-04-2017 15:17:37
Chapter 1
สถานีปลายทาง

           ‘ไม่มีหมายเลขที่คุณเรียก กรุณาตรวจสอบใหม่อีกครั้งค่ะ…’

            ผมเชื่อแล้วล่ะ ว่าเขาขี้ลืมอย่างที่ปากพูดจริงๆ

            ขนาดจดเบอร์โทรศัพท์ตัวเองแท้ๆ ยังจดผิดเบอร์เลย

            ตลกดี เมื่อวานผมใช้เวลาทำใจอยู่เป็นชั่วโมงๆ การจะกดทีละหมายเลขต้องใช้ความพยายามมากมายมหาศาล แต่พอกดโทรออกกลับพบว่าเบอร์นั้นไม่มีใครเปิดใช้

            หรือว่าแค่จดขำๆไปอย่างนั้น เพราะยังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

            พอคิดแบบนั้นก็หูตกเลยครับ

            รู้แบบนี้ทวงเงินสามสิบหกบาทคืนตอนนั้นเลยก็ดี … อ่ะไม่ใช่ …

            อาการดีใจเมื่อวานหายเป็นปลิดทิ้ง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่รอยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินที่ผมยังไม่ลบมันออกไปจากฝ่ามือ

            ถ้าทิ้งมันไว้แบบนี้ จะได้เจอกันอีกไหม

            แล้วถ้าได้เจอกันอีกล่ะ จะพูดว่ายังไง

            ‘นายจดเบอร์ผิดให้เราอ่ะ’ แบบนี้เหรอ

            ตลกตายเลย

            ‘สถานีต่อไป วงเวียนใหญ่ Next Station Wongwian Yai’

            กลับมาสู่เส้นทางสายเดิมที่ผมเดินทางเป็นประจำ เส้นทางสายที่ไม่มีผู้ชายตัวสูงๆคนนั้น

            ผมนั่งอ่านหนังสือเล่มเดิมเพราะนั่งตั้งแต่ต้นสาย อ่านซ้ำๆย้ำๆวนไปแบบนั้น อาจเป็นเพราะตัวเองเป็นคนซ้ำซากจำเจ ถ้าชอบอะไรก็จะชอบอยู่แบบนั้น ไม่ค่อยจะเปลี่ยนรสนิยมสักเท่าไร

            เฉกเช่นการขึ้นรถไฟฟ้า ที่แพงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับเงินค่าขนมอันน้อยนิด

            ความสนุกอย่างหนึ่งของการนั่งรถไฟฟ้า ถ้าตัดเรื่องราคาออกไป คือการได้มองผู้คนหลากหลายรูปแบบ ยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้แล้ว ยิ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจแบบแปลกๆ

            ผู้คนบนรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วน ดูรีบร้อนกันไปหมด บ้างก็หนีบกระเป๋าเอกสารจนแทบจะรวมร่าง บ้างก็กดโทรศัพท์ยิกๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บ้างก็ท่องสคริปเพื่อที่จะไปพรีเซ้นต์กับหัวหน้า บ้างก็เตรียมรายงานการประชุม บ้างก็คอยลุ้นว่าวันนี้รถไฟฟ้าจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าเพราะตัวเองไปทำงานสายแล้ว อาจจะมีเพียงผมคนเดียวแหละมั้งที่ไม่รีบร้อน เพราะวันนี้ไม่มีเรียน แต่ต้องไปติวที่มอตามที่เพื่อนสนิทนัดเอาไว้

            เพื่อนนัดไว้ตอนเที่ยง ผมออกจากบ้านตั้งแต่แปดโมงเผื่อเวลาไปเดินเล่นที่สยามก่อนแล้วถึงจะเข้าไปติว

            อยู่ไหนแล้วยัยหนู

            การแจ้งเตือนของไลน์เด้งขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ แต่ไม่ใช่เพื่อนสนิท เป็นพี่รหัสที่ทักมา

            *วงเวียนใหญ่ครับ

            *ถึงแล้วเหรอ

            *เร็วอ่ะ


            เปล่า ยังไม่ถึงจ้ะ

            จะบอกว่า

            เขายกเลิกนัดกันแล้ว


            ห๊ะ? ยกเลิกนัด?

            *ไม่เห็นมีใครบอกเลยอ่ะ
           
            ก็เพื่อนแกนั่นแหละปวดท้องเฉย

            ตอนนี้อยู่โรงบาล

            ไส้ติ่งอักเสบจ้า


            *แล้วมันเป็นไงบ้างอ่ะพี่

            ยังไม่รู้ ขึ้นเขียงอยู่

            ไม่เป็นไรหรอก ถึงมือหมอละ

            หมอหล่อด้วย

            แค่นี้แหละที่จะบอก


            ผมส่งสติ๊กเกอร์กลับไปให้พี่รหัสของตัวเอง เป็นกระต่ายหน้าตากวนๆที่มีเสียงน่ารักๆ

            *โอเค ผ่าน

            ไม่ใช่หมอหล่อนะที่ผ่าน

            แต่รถไฟฟ้าเนี่ย ผ่านมาจะถึงสยามแล้ว

            ‘สถานีต่อไป สยาม Next Station Siam’

            ผู้คนจำนวนมากทยอยลงจากรถไฟฟ้า ผมเองก็เช่นกัน

            ลงมายืนอยู่ที่สถานี เหมือนไม่รู้จะไปทางไหนดีทั้งๆที่ความตั้งใจแรกคือมาเดินสยามแล้วค่อยไปติว แต่พอรู้ว่ายกเลิกนัด ก็หมดอารมณ์เดินสยามไปซะอย่างนั้น

            สายตาเหลือบไปมองทางเดินต่อไปเพื่อเปลี่ยนรถไฟไปยังอีกเส้นทางหนึ่ง

            เส้นทางที่ถ้าผมนั่งไป อาจจะโคจรไปเจอกับเขาอีกครั้ง

            สองจิตสองใจ จะเดินลงจากสถานีหรือจะไปต่อ ผมใช้เวลาตัดสินใจนานเกือบสิบนาที สุดท้ายก็พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ที่ชานชาลาเพื่อที่จะนั่งรถไฟฟ้าอีกเส้นทางหนึ่ง

            เส้นทางที่ไม่ได้อยู่ในวงจรชีวิตผม

            เฮ้อ เสียเงินอีกละ

            เบื่อตัวเองจริงๆ

            ถ้าเปรียบกับกระแสไฟฟ้า เส้นทางที่ไปเจอเขาก็เหมือนกับกระแสไฟฟ้าลัดวงจร

            แต่ผมคิดว่า บางครั้งคนเราก็ต้องเดินออกนอกวงโคจรของตัวเองบ้าง เพื่อจะได้ไปโคจรเจอกับคนอื่น จริงไหมครับ

            ผมเคยขึ้นรถไฟเส้นทางนี้แค่สองครั้ง และเป็นสองครั้งที่ผมไปเจอพ่อแท้ๆ พ่อที่ทิ้งแม่ผมไปด้วยเหตุผลไร้สาระ

            แต่วันนี้ผมตั้งใจจะขึ้นมันเอง ไม่ใช่เพราะจะไปเจอพ่อ

            เพราะจะไปเจอใครอีกคนต่างหาก

            ก้าวขาขึ้นมาบนตัวรถไฟ เวลาเช้าๆยังคงเป็นเวลาเร่งรีบของผู้คนอยู่ ผู้คนแออัดกันเป็นปลากระป๋อง ผมนึกในใจว่า นี่ตัวเองคิดถูกหรือเปล่ามาขึ้นเวลานี้ ทำไมไม่รออีกหน่อยแล้วค่อยมาขึ้นกันนะ บ้าบอ

            ‘สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ Next Station Victory Monument’

            พอถึงที่หมาย ก็แทบจะกระโดดออกจากรถ อากาศร้อนๆของประเทศไทยยังสร้างความประทับใจได้ทุกเมื่อ ผมยืนหันซ้ายหันขวาอยู่สักพัก สายตาก็หันไปเห็นร้านขายชานมไข่มุกร้านเดิม

            ปกติแล้วผมไม่ชอบกินชานมเอาซะเลย ยิ่งชานมไข่มุกนี่ยิ่งไม่ชอบ แต่ไม่รู้ทำไมขาถึงได้พาตัวเองเดินไปหยุดอยู่หน้าร้าน ป้ายเมนูใหม่ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์ ผมเอ่ยปากสั่งเมนูนั้นอีกครั้ง

            “ชานมธัญพืชครับ”

            พี่พนักงานขายคนเดิมกับเมื่อวานยิ้มรับ

            ชานมแก้วละสี่สิบบาทมาอยู่ในมือผม เกาหัวตัวเองแกรกๆเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยทำมา

            ปลายลิ้นสัมผัสกับตัวหลอด ดูดน้ำชาหอมๆขึ้นมา ตัวชานมมันหอมอยู่แล้วก็จริง แต่พอเจอธัญพืชเข้าไป มันยิ่งหอมคูณสอง

            กินแล้วนึกถึงเขาเลย

            คนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ เบอร์ก็ยังให้มาผิดอีก

            แล้วผมควรจะเรียกเขาว่าอะไร

            นายชานมธัญพืชแบบนี้เหรอ

            ยาวไป ไม่เอาดีกว่า

            “ไม่ได้อยู่แถวนี้เหรอ ไม่เคยเห็นเลย” พี่พนักงานทักทายอย่างเป็นมิตร ผมยิ้มให้

            “ผมอยู่ฝั่งธนครับ”

            “แล้วมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ หาเพื่อนเหรอ” เดาว่าเพื่อนที่เธอพูดถึง คงจะเป็นเขา

            จะว่าไป ถ้าผมถามพี่พนักงาน เธอจะพอรู้เรื่องเขาบ้างหรือเปล่านะ

            ผู้ชายตัวสูงๆคนนั้น

            “พี่รู้จักผู้ชายคนเมื่อวานป่ะครับ” เธอทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “ที่ตัวสูงๆ”

            “ที่น้องเลี้ยงชานมเขาน่ะเหรอ”

            “ใช่ๆ”

            “ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก แต่เขามาซื้อชานมบ่อยอยู่นะ ทำไมเหรอ”

            สมองคิดสรรหาคำแก้ตัวมาพูด ทั้งๆที่ความจริงคืออยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้

            “คือเขาทำหนังสือตกไว้ ผมเลยอยากจะคืนให้”

            “อ่อ พี่เห็นเขาเคยอยู่กับพวกรุ่นน้อง เรียนอยู่แถวนี้แหละ”

            อ่า รุ่นพี่อย่างนั้นสินะ

            ถ้าเจอกันอีกครั้ง ผมอาจจะต้องระวังคำพูดให้มากกว่านี้

            “เขาจะมาช่วงเย็นๆ แต่วันนี้วันเสาร์ ไม่รู้จะมาหรือเปล่า”

            “อ่า ขอบคุณมากนะครับ”

            “ไม่เป็นไรจ๊ะ”

            ผมส่งยิ้มให้พี่พนักงานอีกครั้งพลางเดินออกมา

            ลืมคิดไปเลยว่าวันนี้เป็นวันหยุด คนทั่วไปในวันหยุดคงไม่มานั่งรถไฟฟ้าเล่นหรอก ใครจะไปเหมือนกับผมที่เสพติดการขึ้นรถไฟฟ้าเป็นบ้าเป็นบอขนาดนี้

           

            ผมขลุกตัวอยู่ในห้างทั้งวันจนกระทั่งถึงเวลาหกโมงกว่าๆถึงได้ออกจากตัวห้างเพื่อที่จะขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน เหรียญจำนวนหนึ่งกลิ้งลงไปในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆพร้อมกับบัตรแข็งขนาดเหมาะมือที่มาอยู่บนฝ่ามือผม

            หันมองรอบตัวระหว่างรอรถไฟ พลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

            คงไม่เจอแล้วล่ะมั้งวันนี้

            วันหยุดนี่เนอะ

            ผมก้าวขาขึ้นไปบนรถไฟฟ้าเพื่อตรงกลับไปยังสยาม ระหว่างทางก็เหม่อออกไปมองวิวด้านนอก ท้องฟ้ามืดช้าตามปกติของฤดูร้อน ผู้คนต่างทยอยกันกลับบ้าน เช่นเดียวกับผม

            บางทีการมองวิวด้านนอก ก็ทำให้จิตใจสงบได้เหมือนกัน ไม่แปลกหรอกที่คนๆนั้นจะชอบมองออกไปด้านนอก พร้อมกับยัดหูฟังปิดกั้นตัวเองออกจากความวุ่นวายของผู้คน

            พลางคิดไปว่า ถ้าไม่ได้เจอเขาวันนี้ ผมก็คงไม่กลับมาเส้นทางนี้อีกแล้ว

            ไม่ใช่เพราะตัดใจ

            แต่เพราะมันแพงอ่ะ

            ถ้าไม่มีจุดหมายปลายทาง ก็คงไม่ไปนั่งเล่นอีกแล้วล่ะ

            คิดว่างั้นนะ

            รถไฟฟ้านิ่งลงเมื่อถึงสถานีที่ผมจะลง เท้าสองข้างสัมผัสกับพื้นคอนกรีตอยู่สักพักถึงได้ออกก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อไปซื้อตั๋วกลับบ้าน

            กลับมายังเส้นทางเดิมที่คุ้นเคย คนยังเบียดเสียดเหมือนเดิมในช่วงเวลาเย็นๆทำให้ผมถูกผลักเข้ามายืนตัวแบนติดกับท้ายขบวนริมประตูอีกฝั่ง

            ต้องยืนแบบนี้ไปจนสุดสายเลยสินะ

            คิดได้แค่นั้นก็คอตก

            รถไฟฟ้าผ่านสถานีหนึ่ง สองตามลำดับ ผู้คนรอบกายสลับเปลี่ยนกันไปตามการเบียดขึ้นลง ผมเลือกที่จะหันหลังให้กับผู้คนแล้วเหม่อมองออกไปด้านนอก ท้องฟ้าเริ่มจะมืดลงเรื่อยๆจนต้องเปิดไฟถนนในยามค่ำคืน การจราจรด้านล่างนั่นยังคงติดขัดสม่ำเสมอ

            ก็แค่หวังอยากจะเจอเขาอีกครั้ง แค่เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี

            แต่หลายปีที่นั่งรถไฟฟ้ามา ผมไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้นที่เส้นทางนี้เลย

            แปลกดีครับ คนๆหนึ่งทำให้เราอยากจะลองอะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยทำ ทั้งๆที่ผมเป็นคนซ้ำซากจำเจขนาดนี้ แต่สองวันมานี่ ผมลองกินชานมทั้งๆที่ไม่เคยคิดจะลองมันมาก่อน และครั้งนี้ผมก็มองวิวออกไปนอกตัวรถ ทั้งๆที่ปกติจะจดจ้องอยู่กับตัวหนังสือและผู้คนในรถไฟฟ้า

            เราไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แต่เขากลับมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้

            ถ้าได้รู้จักกัน คงซึมซับเอานิสัยส่วนตัวของเขาติดมาด้วยแน่ๆ

            ‘สถานีต่อไป สุรศักดิ์ Next Station Surasak’

            ผู้คนเบียดกันเข้าออกอีกครั้ง สลับหมุนเปลี่ยนกันเป็นเก้าอี้ดนตรี แขนของคนๆหนึ่งสัมผัสกับแขนของผมแต่ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติบนรถไฟฟ้า

            ถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นน้ำหอมคุ้นจมูกที่เด่นชัดขึ้นมา

            ผมละสายตาจากวิวด้านหน้าหันไปมองผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบเดียวที่เห็นใบหน้าของเขา มันเหมือนกับตัวเองร่วงจากปากเหวแล้วกระแทกกับพื้นจนร่างกายแตกละเอียด ผมหันขวับกลับมาจ้องเงาตัวเองในกระจก คิ้วขมวดเป็นปมโดยอัตโนมัติ

            แค่คิดถึง ก็โผล่มาให้เจอ … คำๆนี้เด้งขึ้นมาในสมอง

            เขายืนอยู่ข้างๆผม เขาคนนั้นนั่นแหละ คนตัวสูงที่ผมตามหาอยู่

            มาอยู่นี่ได้ยังไง

            ตั้งแต่ขึ้นรถไฟฟ้าเส้นทางสายนี้ ก็ไม่เคยเจอเขาเลยนะ

            ผมยืนเงียบ เม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น ขาแข็งทื่อไปหมด

            มีใครบางคนเคยบอกกับผมไว้ว่า ความบังเอิญมันไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามหรอก แล้วจะให้ผมตอบว่ายังไง ในเมื่อสถานการณ์ตรงหน้า มันคือความบังเอิญครั้งที่สามของผม

            สายตาภายใต้ดวงตาเรียวรีของเขาปราดมองผมแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปสนใจวิวด้านนอกตัวรถต่อ ถึงแม้จะมองออกไปด้านนอก แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มขึ้นมุมปากเล็กน้อย

            บ้าบอ

            ทำแบบนั้น จะฆ่ากันหรือไง

            วันนี้เขาไม่ได้สวมชุดนักศึกษา นั่นคือสาเหตุว่าทำไมผมถึงไม่ทันสังเกตว่าเป็นเขา เจ้าตัวสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาว รองเท้าสีขาวคาดแถบฟ้าแดงที่รู้จักกันในนาม โอนิซึกะไทเกอร์ สะพายกระเป๋าหนังคาดกับลำตัว

            คำๆเดียวที่สามารถบรรยายเขาตอนนี้

            ดูดีเกินไป

            อยากจะเอ่ยปากทักทายเขา แต่ลำคอกลับแห้งผากเหมือนเพิ่งเดินผ่านทะเลทรายมา ตามปกติแล้วคนบนรถไฟฟ้าไม่ค่อยพูดคุยกันสักเท่าไร คงถือหลักมารยาทสากลคล้ายๆคนญี่ปุ่น

            ผมกำฝ่ามือของตัวเองนั่น ในสมองคิดไปต่างๆนานาว่าการที่เขามาอยู่บนรถไฟฟ้าสายนี้ เส้นทางนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขามาเที่ยว มาหาเพื่อน หรือมาทำอะไรกันแน่

            ความคิดที่สองที่ประดังเข้ามา

            เขาจะลงสถานีไหน

            จะอยู่จนสุดสายเลยมั้ย

            ซึ่งคำตอบก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว การที่คนตัวสูงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน วางตีนตุ๊กแกของเขาแหมะลงบนพื้นตัวรถไฟฟ้า ยืนเหม่อมองออกไปด้านนอก

            เขาไปสุดสายแน่นอน

            ทำยังไงดี ถ้ายังยืนแบบนี้ต่อไป

            พรุ่งนี้คงมีข่าวหน้าหนึ่งว่านักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังหัวใจวายบนรถไฟฟ้าแน่นอน

            พลันความคิดบางอย่างก็เล่นขึ้นมาในหัว       

            ในเมื่อพูดคุยกันไม่ได้ ก็พิมพ์คุยกันก็ได้

            ผมจัดการเปิดโทรศัพท์ของตัวเอง แอพพลิเคชั่นบันทึกข้อความที่เคยคิดว่ามันไร้ประโยชน์มาตลอดถูกเปิดขึ้นมาใช้ ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดออกมาให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการเริ่มบทสนทนาครั้งนี้

            *เมื่อวานให้เบอร์มาผิดอ่ะ โทรไม่ติด

            นิ้วชี้ของผมจิ้มลงบนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา คนตัวสูงที่ผมควรใช้สรรพนามกับเขาว่าพี่ก้มลงมามองเล็กน้อย ขมวดคิ้วสงสัยว่าไอ้เด็กนี่กำลังทำบ้าอะไรกันแน่ พอเห็นว่าผมยื่นโทรศัพท์ให้ เขาก็รับไปแต่โดยดี อ่านข้อความอยู่พักหนึ่งเขาถึงได้เข้าใจว่าผมต้องการจะคุยกับเขาผ่านทางนี้

            นิ้วเรียวๆของเขากดลงบนแป้นพิมพ์ด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนักก็ยื่นโทรศัพท์กลับมา

            กูจงใจ

            จงใจ?

            จงใจให้เบอร์ผิดน่ะเหรอ? ไม่ใช่ว่าลืมเองแล้วแก้ต่างเพราะเขินหรือเปล่า

            ผมอมยิ้มกับข้อความนั้น แม้มันจะสั้น ห้วนและหยาบคาย แต่การที่เขายอมพิมพ์ตอบ นั่นก็เป็นสัญญาณเริ่มต้นบทสนทนาที่ดี

            *ไม่ใช่ว่าลืมเบอร์ตัวเองจริงๆเหรอ

            ยื่นกลับไปให้เขาอีกครั้ง คนตัวสูงรีบรับไปเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว

            ไม่ใช่ บอกว่าจงใจก็จงใจดิ ใครจะบ้าลืมเบอร์ตัวเองวะ

            *ถ้างั้นขอเบอร์ที่ถูกต้องหน่อย

            พอเขาอ่านข้อความนั้น ก็หันมาทำตาขวางใส่ผมเลย

            ผมกระพริบตาปริบๆมองเขา จะให้เบอร์ทั้งทีดันให้ผิด อะไรของเขาก็ไม่รู้ คนตัวสูงฟึดฟัดดูไม่ค่อยพอใจ แต่ก็กดอะไรยุกยิกลงบนโทรศัพท์ สักพักหนึ่งถึงจะยื่นกลับมาอีก

            มึงมันเด็กเอาแต่ใจ     

            ก็เอาแต่ใจกับเขาคนเดียวนี่แหละ ขืนไม่เอาแต่ใจ ได้เป็นทั้งนกทั้งแห้วรวมกันเป็นแน่วสมใจแน่ๆ

            *พี่ชื่ออะไรอ่ะ

            ต้องบอกป่ะ ไม่อยากบอกอ่ะ บอกชื่อมึงมาก่อน

            *แต่ผมถามก่อนนะ

            ถ้าไม่บอก กูก็ไม่บอก

            *กอด

            นั่นชื่อหรือว่าจะขอกอด

            กลับกลายเป็นฝ่ายผมที่หันไปมองเขาตาขวาง

            ผมไม่ได้จะขอกอดเขา ผมชื่อกอดต่างหาก

            *ชื่อ แล้วพี่อ่ะ

            กัน 

            ผมจ้องคำๆนั้นอยู่นานสองนาน เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงเพื่อซ่อนรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ เป็นชื่อเล่นที่สั้น ห้วน และบอกบุคลิกของเจ้าของชื่อได้เป็นอย่างดี

            กันที่แปลว่าปืน เวลาได้เจอทีไรเหมือนโดนยิงตายทุกที

            ‘สถานีต่อไป สถานีปลายทาง บางหว้า ขอบคุณค่ะ’

            ประกาศสุดท้ายบนรถไฟฟ้า ประกาศสถานีปลายทาง

            ถึงจะเป็นสถานีปลายทาง

            แต่เรื่องราวของผมและเขา

            กำลังจะเริ่มต้นตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป

 
            .
            .
            .
            ‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ พี่กัน’
         




// น้องกอดกับพี่กันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ฝากติดตามทั้งคู่ ฝากเอ็นดูเด็กๆด้วยนะคะ
สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์น้ะง้าบ
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_

หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 13-04-2017 16:09:01
คนพี่ก็โหเ คนน้องก็น่าเอ็นดูววววววววว รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 13-04-2017 16:41:26
อู๊ยยยย  :-[ อ่านไปฟินไป น้องกอดน่ารัก :z2:
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 13-04-2017 21:54:59
พรหมลิขิต ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ  :give2:
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-04-2017 22:38:09
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 17-04-2017 21:52:28
เรื่องน่ารักดี  ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-04-2017 14:02:25
โอ้ยทำไมถึงน่ารักขนาดนี้เขินมากกกกก กอดกันนะะะะะะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 18-04-2017 15:16:13
เอ็นดูอฝะะะ
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 18-04-2017 19:23:55
แอ่กกก เขินน ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือคนจงใจ น้องกอดสู้ มุกถูกหวยพี่ขอยืมไปใช้นะคะ พี่ชอบบบบ 55
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 18-04-2017 21:17:43
กอดกัน กอดกัน
หัวข้อ: Re: ◆ Likeกัน มันน่ากอด ◇ ตอนที่ 1 {13.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: นมชมพู ที่ 22-04-2017 09:40:07
จะเอาอีกกก น่ารักกกก :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 23-04-2017 16:47:21
Chapter 2
จุดเริ่มจากความหิว

           

            “ไปกินข้าวกัน หิว”

            คือสิ่งที่แรกที่เขาพูดออกมาเมื่อเหยียบพื้นสถานีปลายทาง

            ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมดจนผมตั้งตัวไม่ติด เหมือนกำลังยืนอยู่ตรงจุดสตาร์ทแล้วรถคันอื่นวิ่งออกไปหมดแล้ว แต่ผมดันวิ่งไม่ออกได้แต่นิ่งค้างอยู่แบบนั้น

            ทั้งดีใจ อบอุ่นใจ ปะปนกันจนเก็บไว้ข้างในไม่ได้

            อยากจะวิ่งกลับขึ้นไปบนรถไฟอีกครั้ง แล้วตะโกนเสียงดังว่า

            พี่เขาชวนกูกินข้าวโว้ยยยยย

            “กินไรอ่ะ”

            คือสิ่งที่ผมตอบกลับไป ในหัวเวลานั้นคิดไม่ออกหรอกว่าอยากจะกินอะไร

            เพราะมันอิ่มไปหมดแล้ว

            “ไม่เคยมาฝั่งนี้ พาไปดิ”

            ประโยคคำสั่งที่ปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลือกร้านที่ง่ายที่สุดคือร้านอาหารตามสั่งริมถนนชื่อดังที่เป็นที่รู้จักของคนฝั่งธนแถมยังไม่ไกลจากตัวสถานีรถไฟฟ้า วันนี้คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นวันหยุด แต่เหมือนการมีเขามาด้วยจะทำให้ความซวยในชีวิตผมแปรเปลี่ยนเป็นความโชคดี

            เราได้ที่นั่งด้านในร้านสองที่ทันทีที่มาถึง

            “รับอะไรดีคะ” พี่ผู้หญิงเจ้าของร้านเดินมาถาม เธอยิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้ง อาจจะเพราะจำหน้าผมได้ ร้านนี้ผมมากินกับแม่ค่อนข้างบ่อยเวลาไม่อยากทำอาหารเย็น คนตรงหน้าผมมองเมนูอยู่เพียงแค่พักเดียว เหมือนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกินอะไร เลยหันมาสบตาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ

            “เอ่อ เอาเป็นต้มยำกุ้งน้ำข้น กุ้งชุบแป้งทอด แล้วก็ไข่เจียวกุ้งสับครับ”

            “ข้าวสองจานเนอะ”

            “ครับ”

            “แล้วน้ำล่ะ”

            “น้ำเปล่าครับ”

            เมนูถูกเก็บไปจากโต๊ะ เหลือทิ้งเพียงความอึดอัดบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้น มันไม่ใช่ความอึดอัดที่ไม่ดีอ่ะ แต่มันเป็นความอึดอัดเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว

            ใครจะไปนึกไปฝันว่าจะได้มานั่งกินข้าวกับคนที่แอบมองแอบชอบมาตลอด

            นี่มันบ้าไปแล้วว 

            “สั่งแต่เมนูกุ้ง ไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูแพ้กุ้งมั้ย”

            ผ่าง

            ความประทับใจแรกต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

            “ไม่ได้แพ้ใช่ป่ะ”

            หวังว่าเขาจะไม่แพ้ เพราะผมชอบกินกุ้งมากเป็นอันดับต้นๆในรายชื่ออาหารทะเล

            “ไม่”

            ค่อยยังชั่ว

            “แล้วรู้ได้ไงว่ากูเป็นพี่”

            “ผมไปถามที่ร้านชานมมาอ่ะ” เขานิ่งไป

            “ยังกล้าไปถามเขาอีกเนอะ”

            “ก็อยากรู้อ่ะ”

            เงียบ

            ไม่มีบทสนทนาต่อจากนั้น ผมนั่งลูบฝ่ามือของตัวเองไปมาอยู่ใต้โต๊ะ คนตัวสูงไม่ได้ละสายตาไปไหน นัยน์ตาสวยๆใต้กรอบตาเรียวรีนั่นจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผมจนผมเกร็งไปหมด

            มองไร

            มองไม

            อย่ามองสิ

            เขินนะ

            ความร้อนกลุ่มก้อนขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาที่ใบหน้าของผม

            ต้องซ่อนมันไว้ ผมคิดแบบนั้น

            ถ้าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นตอนนี้ มันก็จะดูเสียมารยาท เพราะฝั่งนู้นก็ไม่แม้แต่จะแตะโทรศัพท์ของตัวเอง ดังนั้นวิธีการซ่อนที่ดีที่สุดก็คือการก้มหน้าเอาหน้าผากแนบลงไปกับโต๊ะเหล็กสีแดงดังปัง

            ได้เข้าใกล้เขาตัวเป็นๆแบบนี้ มันยิ่งกว่าความฝันอ่ะ

            แล้วกินข้าวด้วยกัน มานั่งจ้องหน้ากันอีก

            บ้า บ้า บ้า

            ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้กับข้าวมาเร็วๆ จะได้ลงมือกินให้มันจบๆ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้กับข้าวมาช้าๆ จะได้อยู่กับเขานานๆ

            ‘กริ๊ง กริ๊ง’

            เสียงโทรศัพท์บ้านรุ่นโบราณดังมาจากทางด้านหน้า พร้อมด้วยเสียงทุ้มๆของเขา

            “ว่า”

            “อืม กูอยู่ฝั่งธน”

            “เจอ”

            “เออพรุ่งนี้เจอกัน ฝากเอาเสื้อทีมให้ด้วย”

            เสื้อทีม? เตะบอลเหรอ

            ถ้าเขาเตะบอลล่ะก็ คงจะโคตรเท่แน่ๆ

            เสียงทุ้มเงียบไป ไม่รู้ว่าเพราะวางสายไปแล้ว หรือเพราะกำลังตั้งใจฟังคนในโทรศัพท์ ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นไป หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักพัก

            เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขาปุ๊บ ประโยคหนึ่งก็หลุดออกมาจากปากพอดี

            “เออ ฝากบอกหน่อย ว่าเลิกทำตัวน่ารักซักที กูจะเป็นบ้า

            จบกัน พอเจอสายตาเพชรฆาตของเขา

            สิ่งที่พยายามมาทั้งหมดก็พังทลาย

            ชื่อกันนี่ไม่ได้มาด้วยความบังเอิญแน่ๆ พี่จะยิงผมให้ตายหรือไง

            เขาไม่ได้พูดกับผมหรอก เขาฝากเพื่อนบอกใครสักคน แต่มันก็อดคิดไม่ได้ เพราะสายตาที่เขามองมา มันหยุดอยู่ที่ใบหน้าผม

            ผมจะมโนไปเองว่าเขาพูดกับผมแล้วกัน

            “เรียนปีไร” วางสายเสร็จก็หันมาถามด้วยน้ำเสียงโมโนโทน เรียบๆง่ายๆสั้นๆกระชับได้ใจความ

            “ปีหนึ่ง”

            “มหาลัยอ่ะ”

            “มอA”

            “แล้วทำไมไปขึ้นรถไฟฟ้าสายนั้น”

            เจอคำถามนี้เหมือนเจอหมาดักที่หน้าปากซอย อยากจะวิ่งหนีแต่ก็กลัวมันวิ่งไล่ จะเดินตรงไปก็ตายห่าแน่นอน

            “ไปหาพ่อ”

            “แน่เหรอ”

            “แน่ดิ”

            ไม่แน่

            เพราะไปหาพี่นั่นแหละ

            “แล้วพี่อ่ะ อยู่ปีไหน”

            “กูต้องบอกป่ะ”

            ผมมองค้อนเขา ใบหน้าของเขาถึงแม้จะคล้องกับบุคลิก แต่นิสัยกวนประสาทของเขาที่เริ่มโผล่ให้เห็นทีละนิด บ่งบอกว่าเขาเป็นคนกวนตีนใช้ได้เลยทีเดียว

            “ต้องบอก”

            “แล้วถ้าไม่อยากบอกอ่ะ”

            “ผมก็ต้องเสียเงินอีก” เสียเงินไปขึ้นรถไฟฟ้าสายนั้น เพื่อที่จะเจอเขาไง

            “เสียเงินไร”

            “ไม่บอก”

            “กวนตีน”

            แล้วเขาก็ไม่บอกจริงๆครับ ไม่บอกจนกระทั่งกับข้าวมาวางตรงหน้า เราเริ่มลงมือกินกันโดยไม่ได้พูดคุยอะไร ถึงจะไม่ได้พูดคุยอะไร แต่เราสองคนก็ไม่มีใครหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจับหรือดู ทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ผมอาจจะก้มลงไปกดโทรศัพท์เพื่อหลีกหนีจากความเงียบ แต่กับเขา แค่เสียงช้อนกระทบจานข้าว มันก็เหมือนเป็นบทสนทนาที่ดีแล้ว

            อีกอย่างหนึ่ง

            ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ว่าตัวเขาเองก็ชอบกินกุ้ง

            สังเกตจากการที่เราแย่งตักกุ้งกัน และเปลือกกุ้งที่กองอยู่ข้างจานของเขา

            นอกจากชานมแล้ว

            ผมก็รู้เพิ่มอีกอย่างว่า

            เขาชอบกินกุ้งสินะ

            นั่นทำให้การกินข้าวครั้งแรกของเราสองคนผ่านไปด้วยดี ผมนี่ก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย

            พอกินข้าวเสร็จ ก็ถึงเวลาแยกย้าย

            “กลับละนะ”

            สำหรับผม มันเหมือนความฝันที่ไม่อยากจะตื่น

            คนตัวสูงยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า ทางที่เมื่อเขาเดินเข้าไป เราก็จะแยกจากกันในวันนี้ และในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า มันไม่มีอีกแล้วครับ ความบังเอิญครั้งที่สี่ หลังจากนี้จะเหลือเพียงแค่ ความตั้งใจกับความไม่ตั้งใจ

            ไม่มีทั้งเบอร์ ไม่รู้ว่าเขาเรียนมหาลัยอะไร รู้แค่ชื่อ กับความชอบเล็กๆน้อยๆของเขา ยังไม่ได้ถามด้วยซ้ำมาทำอะไรที่นี่ เพราะหลังจากลงรถไฟฟ้าสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียวคือการมากินข้าวกับผม

            เงยหน้ามองเจ้าตัว ใบหน้าที่สร้างสรรค์มาได้อย่างลงตัวจนอยากจะเห็นหน้าตาพ่อกับแม่ของเขา ผมสบตากับเขาเงียบๆ ไม่มีคำพูดอะไรออกไป

            ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่อยากให้เขากลับไป อยากให้อยู่ต่อนานกว่านี้

            แต่ทำไงได้ คนเราก็มีธุระส่วนตัวของตัวเอง มีบ้านต้องกลับ จริงไหมครับ

            “อือ กลับดีๆนะ”

            ไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่เหมือนเขาจะจับสังเกตได้ว่า

            ผมกำลังเศร้าที่ต้องจากกับเขาทั้งๆที่ไม่รู้อะไรแบบนี้

            “กอด”

            น้ำเสียงที่ระบบสมองจดจำมันได้แม่น หัวใจเต้นรัวขึ้นมาแบบบ้าคลั่ง อาจจะเป็นเพราะว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อผม

            “อะไร”

            รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

            “พรุ่งนี้กูเตะบอลที่มอB”

            “แล้วไงอ่ะ”

            “เลิกสี่ทุ่ม”

            เดี๋ยวนะ

            อย่าบอกนะว่า

            “มาไม่มาก็เรื่องของมึง”

            พูดจบก็เดินดุ่มๆเข้าไปยังตัวสถานีรถไฟฟ้าทันที ผมยืนมองแผ่นหลังกว้างๆจนลับสายตาไป กระพริบตาปริบๆเรียบเรียงคำพูดของเขาก่อนหน้านี้

            เตะบอลที่มอB

            เลิกสี่ทุ่ม

            มาไม่มาก็แล้วแต่ผม

            สรุปได้ว่า เขาชวนผมไปดูเขาเตะบอลใช่มั้ย?

            แล้วเตะที่มอB

            เรียนที่มอBใช่หรือเปล่า

            คลี่ยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนต้องเกาหัวแก้เก้อ จากที่เมื่อกี้เศร้าๆตอนนี้กลับกลายเป็นมีความสุขจนล้นอก อยากจะวิ่งตีลังกากลิ้งไปตามพื้นคอนกรีตแต่ก็กลัวจะโดนด่าว่าเป็นบ้า

            ก็บ้าจริงๆ ผมกำลังเป็นบ้า

            การเจอกันครั้งต่อไปของผมกับเขา มันไม่ใช่ความบังเอิญอีกแล้ว

            เพราะมันคือความตั้งใจ

เพื่อที่จะได้เจอกันอีกครั้ง

           

            การชอบใครสักคน

            ทำให้เราเป็นบ้า

            ไม่มีใครพูดหรอก แต่ผมพูดเอง

            ทำไมผมถึงเป็นบ้า

            ก็เพราะว่าพอเรียนเสร็จ คนที่ปกติแล้วจะรีบตรงกลับหอไปอ่านหนังสืออย่างผม ผมกลับรีบตรงดิ่งมาที่มหาวิทยาลัยของเขา หาที่นั่งรอในร้านกาแฟจนถึงเวลาสามทุ่มถึงจะได้ฤกษ์เดินไปที่สนามบอล

ในมือของตัวเองถือถุงพลาสติคที่บรรจุน้ำมะพร้าวเย็นๆเอาไว้สองขวด ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ข้างสนามบอลของมหาวิทยาลัยB มหาลัยอันดับต้นๆของประเทศที่ตีคู่กันมากับมหาลัยของผม 

            ตัวสนามบอลกว้าง แต่สามารถเห็นเขาได้จากไกลๆเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาโดดเด่นท่ามกลางเพื่อนฝูง สูงเด่นอยู่คนเดียว เขาสวมชุดนักบอลสีน้ำเงินขนาดพอดีตัว ด้านหลังถูกสกรีนเบอร์ 3 พร้อมกับชื่อสั้นๆเป็นอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่

            GUN

            ทุกย่างก้าวของเขา ตอบคำถามที่ผมเคยถามเอาไว้ในใจได้เป็นอย่างดี ทำไมเขาถึงยืนยันว่าจะใช้ตีนตุ๊กแกของตัวเองแทนการยื่นมือไปจับราวบนรถไฟฟ้า ก็ดูกล้ามเนื้อที่ขาของเขาสิ เตะก้านคอผมหักได้ง่ายๆเลยอ่ะ

            ทุกท่าทางของเขา ผมบันทึกไว้ในส่วนลึกของสมอง ฝังมันไว้ให้มั่น

            เป็นคนที่ร่างกายเหมาะสมกับการเล่นกีฬา เพราะว่าเขาตัวสูง แขนขายาว นอกจากฟุตบอลแล้ว ผมว่าเขาเหมาะกับการเล่นบาสเกตบอล

            ยืนอยู่เกือบยี่สิบนาที ก็ตัดสินใจเดินไปนั่งในศาลาโล่งๆข้างตัวสนามเพื่อรับลมเย็นๆแบบคนอื่นเขาบ้าง เจ้าตัวบอกว่าจะเตะบอลเสร็จสี่ทุ่ม ดังนั้นมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ผมเลยฆ่าเวลาด้วยการหยิบชีทที่เรียนวันนี้ออกมาอ่าน

            ขอบคุณประเทศไทย ที่ยังเอื้อเฟื้อลมเย็นๆในยามค่ำคืน แม้ว่าตอนเที่ยงแดดจะร้อนเผาขนหัวจนแทบไหม้

            ‘ปรี๊ด’

            เสียงนกหวีดดังขึ้น การเตะบอลสิ้นสุดลงในเวลาไม่นาน ทุกคนต่างแยกย้ายกลับฝั่งของตัวเอง ผมสอดสายตาหาเขา ไม่นานก็เจอ พี่กันนั่งอยู่บนม้านั่งยาวข้างสนามอีกฟากหนึ่ง เอาผ้าขนหนูพาดคอตัวเองเอาไว้ เพื่อนๆชวนเขาคุยเรื่องอะไรบางอย่าง แอบเห็นว่าเขายิ้มออกมานิดๆ

            เป็นคนที่เวลายิ้มธรรมดา แล้วดูอบอุ่น

            แต่เมื่อไรที่ยิ้มมุมปาก เขาก็ไม่ต่างอะไรจากปลายกระบอกปืนที่ยิงลูกกระสุนออกมาเจาะกลางหัวใจของคนที่ได้เห็น

            เพราะแบบนี้เขาถึงชื่อปืนไง

            สายตาคมๆของพี่กันมองไปรอบๆตัวเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ผมมองทุกอากัปกิริยาของเขาอย่างตั้งใจ เหมือนกับการทำข้อสอบ ที่ต้องหาคำตอบว่าผู้ชายคนนี้ ทำไมถึงได้มีอิทธิพลต่อตัวผมมากขนาดนั้น

            เมื่อหาไม่เจอ เขาจึงเริ่มต้นใหม่ จากที่มองผ่านๆเป็นเริ่มตั้งใจหา สายตาเลื่อนไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ผม มองตรงมานิ่งๆเงียบๆและไม่เปลี่ยนทิศทางการมองอีก

            สิ่งที่เขากำลังหาอยู่

            คือผมสินะ

            พอเขาอยู่ไกลๆ ผมดันมีความกล้าที่จะสบตาเขาได้นานมากกว่าหนึ่งวินาที อาจจะเป็นเพราะว่าเขาคงไม่มีทางทำอะไรผมได้ ถ้าอยู่ในรัศมีที่ไกลขนาดนั้น

            เหมือนพี่แกจะรู้ตัว ยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างชอบใจ

            เท่านั้นแหละ

            ตายดีกว่า

            รอบๆกายเขาเต็มไปด้วยพวกเพื่อนๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองจ้องมองอะไรจากที่ไกลๆอยู่นานสองนาน พวกเขาเลยหันมามองบ้าง พอมองเสร็จก็หันไปกระทุ้งสีข้างแล้วก็หยอกล้อเล่นตามประสากลุ่มเพื่อน

            เมื่อการเตะบอลสิ้นสุดลง ผู้คนทยอยออกจากสนาม ไฟเริ่มดับลงทีละดวงสองดวงเหลือไว้เพียงแค่ไฟถนน เขาเดินดุ่มๆมาหาผม ทิ้งตัวลงนั่งด้านข้าง เสยผมเปียกๆไปด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนมากกว่าเดิม

            หัวใจผมเต้นตึกตักๆ

            “อ่ะ” ผมยื่นน้ำให้กับพี่กัน น้ำมะพร้าวที่ซื้อมาจากเซเว่น

            ขอบคุณที่มันยังเย็นอยู่

            เขารับไป เปิดฝาแล้วกระดกดื่มโดยไม่พูดอะไร ดูท่าทางจะเหนื่อยมาก เพราะเหงื่อนี่เต็มตัวไปหมด ดื่มเสร็จก็นั่งพักรับลมเพื่อให้ตัวแห้งอยู่สักพักถึงได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาขัดความเงียบ

            “มาถึงกี่โมง”

            “สามทุ่ม”

            “รีบเหรอวะ”

            ไม่ค่อยรีบเท่าไร

            เพราะจริงๆแล้วมาถึงตั้งแต่หกโมง

            “เหนื่อยป่ะ” ถามออกไปแบบไม่ได้คิด เลยโดนตอกกลับมา

            “เหงื่อขนาดนี้ มึงคิดว่ากูเหนื่อยมั้ยล่ะ”

            “เหนื่อย”

            “แล้วถามทำไม”

            “ก็ถ้าเหนื่อยจะได้ทำให้หายเหนื่อย”

            คำตอบของผมคงจะทำให้เขาตกใจจนสำลักน้ำมะพร้าว ความหมายของผมคือพาเขาไปกินอะไรเย็นๆอร่อยๆอย่างเช่นขนมหวาน แม้จะไม่ได้มาแถวมหาลัยเขาบ่อยๆ แต่ก็พอได้ยินว่ามีร้านหวานเย็นน่ากินแถวหน้ามหาลัย แต่นี่สี่ทุ่มแล้ว ปิดหมดแล้วมั้ง

            “พูดจาอะไรวันหลังคิดก่อน หัวใจกูจะวาย”

            ผมพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ

            ก็คนเขาหวังดีนี่หว่า

            โดนดุเลย

            คนข้างๆทำอะไรยุกยิกกับกระเป๋าของตัวเอง เขาหยิบเสื้อยืดสีดำออกจากกระเป๋า มือสองข้างจับชายเสื้อของตัวเองแล้วเลิกมันขึ้น ผมนั่งตัวแข็งเป็นก้อนหิน

            บทจะเปลี่ยนเสื้อก็เปลี่ยนง่ายๆงี้เลยเหรอ

            บอกก่อนได้มั้ย จะได้ยกกล้องมาถ่ายทัน … อ่ะไม่ใช่ …

            สายตาของผมเบือนมองออกไปอีกทางจนกระทั่งเขาเปลี่ยนเสื้อเสร็จ เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งดังขึ้นข้างหู พอหันไปก็เห็นพี่กันสะพายกระเป๋าสีดำพาดบ่า มีพวงกุญแจหัวหมีห้อยอยู่

            “กินไรป่ะ หิวอีกละ”

            เจอหน้ากันทีไร บ่นหิวตลอด ถ้าสนิทกันมากกว่านี้ ไม่ชวนกันกินตลอดทั้งวันเลยเหรอ

            แต่จะว่าไป ออกจากมหาลัยหกโมงก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากกาแฟหนึ่งแก้ว

            “อยากกินหมูกระทะอ่ะ”

            “กูเพิ่งเตะบอลชวนแดกหมูกระทะ มึงเป็นคนยังไงวะเนี่ย”

            “เป็นคนที่ดูจะอ้วนๆหน่อย”

            “เหอะ”

            เสียงหัวเราะแบบไม่เต็มใจถูกส่งมา

            “อย่าอ้วนมาก”

            คนตัวสูงเดินนำหน้าออกไป ถึงจะบ่นแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่กินหมูกระทะ

            “เดี๋ยวน่ากอด”

            ประโยคหลังดังขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ความร้อนจำนวนมากพุ่งขึ้นมาที่หน้าผมจนเข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่าร้อนจนลมออกหู แต่ไม่ใช่ร้อนเพราะโมโห ร้อนเพราะเขินบ้าเขินบออะไรไม่รู้

            คำพูดลอยๆไร้ทิศทางทำให้คนอย่างผมถึงกับสะดุดขอบฟุตบาทไถลลงไปนอนกองกับพื้น พี่กันตกใจรีบถอยกลับมา ฝ่ามือของเขาจับลงที่ไหล่ของผม เลื่อนมาที่แขนแล้วพยายามจะดึงผมให้ยืนขึ้น

            “เดินยังไงวะเนี่ย”

            ผมขืนตัวไม่ยอมลุกตามแรงดึง นอนก้มหน้าอยู่กับพื้นโดยมีแขนของตัวเองคั่นอยู่ตรงกลาง ก้มหัวอยู่แบบนั้นแทบจะจูบกับพื้นคอนกรีต พลางขอร้องในใจเสียงดังว่า ปล่อยผมไปเถอะ ถ้าเขาดึงผมขึ้นตอนนี้ ผมต้องร้องไห้ออกมาแล้วตะโกนเสียงดังมากแน่ๆว่า

            ผมชอบพี่กัน

            ชอบมากๆ

            ดังนั้นถ้าพี่ไม่ชอบผม เห็นว่าผมเป็นน้อง หรือถ้าพี่เห็นผมเป็นแค่คนคั่นเวลาแก้เหงาล่ะก็

            หยุดให้ความหวังผมตั้งแต่ตอนนี้เลย





/// หิวก็ไปหาอะไรกิน ไม่ใช่หิวแล้วมาจีบกัน
ด้วยรัก จากคนเขียนที่หิวเหมือนกัน
สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_



หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 23-04-2017 19:54:49
น้องกอดเหมือนจะพอมีหวังอยู่นะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 23-04-2017 20:02:38
โอ๊ย อ่านแล้วเขินตามอ่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 23-04-2017 21:50:44
โอ้ยยยย กอดน่ารัก
ดูเหมือนจะมึนๆ ซื่อๆ
แต่นางก้มีความมุ่งมั่นอะ
ชอบจังเลยนายเอกแบบนี้

ส่วนพี่กันนิดูท่าทางแล้ว
ไปไหนไม่รอดแน่ๆ
ต้องตกหลุมรักกอดแน่ๆ
ก้เด็กมันน่ารักอ่ะเนอะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 23-04-2017 22:25:58
อ๊ากกกก เขินมาก
อ่านแล้วฟินมาก รู้สึกว่ามันดีต่อใจมากๆ เลยค่ะ
ชอบสำนวนการบรรยายมากเลยค่ะ
รอติดตามนะคะ
 :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-04-2017 22:39:42
น้องกอดน่ารักมากกกกกก เราเครียดๆอยู่อ่านแล้วอมยิ้มเลย   :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: นมชมพู ที่ 24-04-2017 11:26:32
ยอมแล้ววว พี่กันยอมน้องกอดเถอะะ นางน่าร้ากดก :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 24-04-2017 12:07:28
 :-[ :-[ :-[ :-[  กอดดูจะมีหวังนะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: sebest ที่ 24-04-2017 13:21:00
โอ้ยยยยยยย พี่กันกรุ้มกริ้มมากกกก
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 24-04-2017 18:24:01
เขินอะคนบ้าาางื้ออออ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 27-04-2017 23:13:08
ฮอลลลลล อ่านแล้วฟินจิกหมอนมาก  เราขึ้น BTS นี่มโนหนักว่าตัวเองเป็นกอดแล้วคอยมองหาพี่กันเลยทีเดียวนะ หวานอ่ะ ชอบบบบบ  :กอด1:

แว้บไปแนะนำไว้ให้ กระทู้นิยายแนะนำ...เรื่องนี้ต้องอ่าน!  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=3986.msg3624541#msg3624541) เป็นกำลังใจให้ค่ะ มาอัพบ่อยๆนะ อย่าทิ้งห่างเหมือน ก้องxพีช ไม่งั้นไม่รักจริงๆด้วย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: PiiNaffe ที่ 28-04-2017 01:37:42
เรื่องนี้น่ารักมากอ่านไปละเขิลคิดว่าตัวเองกำลีงจีบพี่กันอยู่  :o8: :mew3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-04-2017 09:21:37
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 28-04-2017 11:39:06
โอ้ยยย น่ารัก น่ารัก น่ารัก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 28-04-2017 13:04:24
โคตรฟิน  :hao6:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 28-04-2017 15:48:07
น่ารักอ่าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 28-04-2017 19:43:10
น่ารักอ่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 28-04-2017 20:05:59
Chapter 3
บังเอิญที่คล้ายๆตั้งใจ



 

            “พ่ออยากขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
           
            “กอดอยากกลับมาอยู่กับพ่อมั้ย”


             ‘ฟึ่บ’

            เหงื่อผุดซึมตามขมับและมือทั้งสองข้าง ปราดตามองไปรอบกาย สถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้คือห้องนอนที่หอ ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆแคบๆ ก้าวแค่สามสี่ก้าวก็ถึงประตูแล้ว นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาเจ็ดโมง

            ความรู้สึกไม่ค่อยดียังคงวนเวียนอยู่ในหัว จนอยากจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ

            เมื่อกี้เป็นความฝันสินะ

            เฮ้อ

            ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย

            ผมนั่งสัปหงกอยู่ได้สักพัก ร่างก็เซหล่นตุ๊บไปนอนแผ่อยู่บนเตียง ความรู้สึกแสบแปลบๆที่แขนขวาและหัวเข่าทำให้ต้องยกมันขึ้นมาดู ผ้าก็อตสีขาวแปะหราอยู่ที่แขน มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ส่วนขาก็มีผ้าพันเอาไว้ มีเลือดซึมไม่ต่างจากแขนเลย

            จริงสินะ

            เมื่อคืนผมล้มหน้าคว่ำเลยนี่นา แผลเยอะพอๆกับมอเตอร์ไซค์ล้มเลยแฮะ

            ผมพยุงตัวเองลงจากเตียงกว้างที่มีไว้เพื่อนอนคนเดียว พอเท้าแตะถึงพื้นเท่านั้นแหละ สะโพกก็ระบมจนต้องเอนตัวกลับมานั่งที่เดิม

            “โอยยย”

            เจ็บจัง

ล้มดังตึงขนาดนั้น หัวใจผมสลับที่กับปอดหรือยังก็ไม่รู้

            ใช้ความพยายามอย่างสูงในการเดินกระเผลกเข้าห้องน้ำ มองตรงเข้าไปในกระจก สภาพตัวเองตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ หน้าเน่อซีดไปหมดเหมือนคนจะไม่สบาย พอเอามือสัมผัสที่หน้าผากก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นๆของร่างกาย

            มองไปที่ข้อศอก พลาสเตอร์แผ่นหนึ่งถูกปิดเอาไว้ พลันให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืน

            ผมกับพี่กันตั้งใจว่าจะไปกินหมูกระทะกัน แต่ต้องยกเลิกไปเพราะอุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ แผลล้มหนักกว่าที่คิด เพราะล้มจากฟุตบาท แถมยังไถลไปค่อนข้างไกล เลยต้องไปทำแผลกันที่คลินิกใกล้ๆมหาลัยของเขาก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน

            การกินข้าวครั้งที่สองเลยถูกยกเลิก เพราะความกากของผมเอง

            หันไปมองฝักบัวอาบน้ำ เหงื่อเต็มตัวแบบนี้ทำให้อยากอาบน้ำใจจะขาด แต่เพราะเมื่อวานใครบางคนสั่งเสียงเขียวเอาไว้ว่า

            “ห้ามอาบน้ำ เข้าใจมั้ย”

          “มันร้อนอ่ะ”

          “อยากจะแผลเน่าเหรอ ไอ้เด็กเด๋อ”

          จู่ๆหน้าก็ร้อนขึ้นมาซะเฉยๆ มันร้อนก็เพราะว่าดันไปนึกถึงตอนที่พี่กันเอาพลาสเตอร์มาปิดแผลถลอกเล็กๆที่ข้อศอกให้ ถึงเขาจะเป็นคนกวนประสาท แต่กลับอบอุ่นเหมือนเตาผิงขนาดใหญ่ พอได้อยู่ใกล้ๆเขา มันเหมือนว่าผมจะละลายกลายเป็นน้ำ

            พอนึกไปถึงใบหน้าหล่อๆที่ส่ายหัวไปมา แถมยังจ้องตาเขม็งเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันเพราะผมเถียงคอเป็นเอ็นว่าจะอาบน้ำซะให้ได้แล้ว…

            ก็ได้ ไม่อาบก็ได้

ผมเป็นคนชอบอาบน้ำมาก ถ้าเป็นวันหยุดก็จะอาบวันละสามสี่รอบจนโดนแม่ด่า การจะให้ไม่อาบน้ำไปวันสองวันนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สุดๆ

            แต่ในเมื่อคนสั่งเป็นเขา ผมก็จะทำตามล่ะนะ

            วันนี้ผมมีเรียนตอนแปดโมง ตอนนี้เจ็ดโมงกว่าแล้วเลยต้องรีบทำเวลา จัดการล้างหน้าแปรงฟันแบบลวกๆ มือสองข้างพยายามถอดเสื้อนอนออกด้วยความทุลักทุเล เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมกับเน็คไทของมหาลัย

            ทำทุกอย่างเหมือนทุกๆวันจนติดเป็นนิสัย ผมปิดประตูไม้ลง ล็อคกุญแจเสร็จสรรพแล้วรีบตรงดิ่งออกจากหอ

            ชีวิตผมวนเวียนอยู่แค่สามที่ หนึ่งคือบ้าน สองคือหอพัก สามคือมหาลัย

            ถ้าวันถัดไปไม่มีเรียนเช้า ผมก็จะกลับไปนอนที่บ้านกับแม่ ถ้าวันถัดไปมีเรียนเช้า ผมก็จะนอนที่หอพักแถวมหาลัย 

            อาหารเช้าวันนี้ง่ายๆสบายๆ ผมแวะซื้อซูชิโรลจากเซเว่น พร้อมด้วยนมเปรี้ยวและน้ำเปล่า

            เห็นพยากรณ์อากาศบอกว่าช่วงนี้ประเทศไทยจะมีมรสุม ดังนั้นท้องฟ้าตอนเช้าๆจึงเต็มไปด้วยก้อนเมฆสีครามครึ้มเต็มไปหมด แต่ผมก็ชอบอยู่นะ ลมเย็นๆทำให้ตัวไม่เหนียวเหนอะหนะ ยิ่งไม่ได้อาบน้ำตอนเช้าแบบนี้แล้ว ขืนแดดแรงล่ะก็ เต่าได้ออกมาวิ่งเล่นลั้ลลาสมใจแน่

            ผมเคยบอกใช่มั้ยครับว่าตัวเองเป็นคนซ้ำซากจำเจ ถ้าทำอะไรก็จะติดแบบนั้นไปเรื่อยๆ อาหารเช้าก็บ่งบอกนิสัยของผมได้อีกหนึ่งอย่าง ถ้าอยู่หอ ข้าวเช้าผมจะไม่ทำเอง จะอุดหนุนเซเว่นจนกินแกลบ เพราะมันเป็นสิ่งที่สะดวกที่สุด

            ขาสองข้างออกเดินไปตามทาง ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีจากหอเพื่อไปถึงมหาลัย ผมไม่ค่อยนั่งรถแท็กซี่ ไม่ค่อยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ ถ้าเป็นระยะทางไกลจะเลือกใช้รถไฟฟ้า ถ้าเป็นระยะทางใกล้จะเลือกเดิน ถ้าเป็นเวลาเร่งด่วน จะให้แม่ขับรถไปส่ง

            มันกลายเป็นชีวิตประจำวันของตัวเองไปแล้ว

            “เฮ้ย ไอ้กอด มึงรถล้มเหรอ!?” น้ำเสียงตกใจดังมาแต่ไกลเมื่อผมเหยียบเข้ามาที่ใต้ตึกคณะ เพื่อนสนิทที่เพิ่งจะหายจากอาการไส้ติ่งอักเสบปรี่ตรงเข้ามาหาผม

            เห็นมะ แผลของผมมันหนักหนาเหมือนรถล้มจริงๆนั่นแหละ

            “กูไม่ขับมอเตอร์ไซค์”

            “เออนั่นสินะ แล้วไปทำอิท่าไหนวะเนี่ย”

            ฝ่ามือของอีกคนจับแขนผมแล้วหมุนตัวผมไปรอบๆเพื่อสำรวจว่ามีแผลที่อื่นอีกมั้ย มีอีกที่แต่อยู่ใต้กางเกง ถ้าเกิดเจ้านี่เห็นแผลที่เข่าผมล่ะก็ จะต้องเป็นบ้าเป็นบอมากกว่านี้แน่นอน

            เขาเป็นพวก over protective อ่ะครับ เหมือนแม่นกที่ปกป้องลูกนกจนเกินไป ประมาณนั้นเลยแหละ

            “ล้มอ่ะ”

            “ล้มเนี่ยนะ”

            “อือ”

            “ยังจะมีหน้ามาอืออีกไอ้นี่ ไปล้มท่าไหนวะ ถลอกมาทั้งตัวขนาดนี้”

            ล้มท่ายากอ่ะ

            ศูนย์ถ่วงผมคงไม่ค่อยดีเท่าไร การล้มแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อสมัยเด็กๆผมล้มแล้วล้มอีกจนแม่จับไปคล้องสายสิญจน์เพราะนึกว่าโดนผีผลัก แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเพราะหลังจากนั้นก็ยังล้มอยู่เรื่อยๆ สะดุดขาตัวเองบ้าง สะดุดยอดหญ้าบ้าง

            พอโตขึ้นมาถึงได้เข้าใจว่าเพราะตัวเองเป็นคนชอบเดินลากเท้า ไม่ค่อยจะเดินยกขา มันถึงได้ล้มบ่อยจนเป็นแผลเป็นเต็มตัวไปหมด

            “แล้วไส้ติ่งอักเสบหายยัง” พอหย่อนก้นลงนั่งที่ม้านั่งใต้ตึกคณะ ก็เอ่ยปากถามเพื่อน

            “หายละ ได้ยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อมาเป็นแผงเลย ดีนะไม่ต้องผ่า”

            ผู้ชายตรงหน้าผมคือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในชีวิต ตัวสูงผิวออกแทน แต่หน้าตาออกไปทางโซนเพื่อนบ้านอย่างเกาหลี เป็นคนที่เหมือนพระเจ้าเล่นตลก จับความพิเศษหลายๆอย่างมารวมบนใบหน้า

            ปกติแล้วคนหนึ่งคน จะมีเอกลักษณ์พิเศษบนใบหน้าอยู่หนึ่งหรือสองอย่าง เพื่อให้เราสามารถสังเกตเห็นได้ชัดและจดจำมันได้แม่นยำอย่างไฝใต้ตา ลักยิ้ม ตาชั้นเดียวหรือสองชั้น จมูกโด่ง หรือรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก

            แต่สำหรับเจ้าเพื่อนคนนี้ ตาชั้นเดียวเรียวเหมือนใบไม้ทรงรีขนาดเล็ก จมูกโด่งปลายเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากเข้ารูป ลักยิ้มที่แก้มซ้าย คิ้วเข้ม ไฝบนหัวคิ้วข้างซ้ายจุดเล็กๆ

            มันมีทุกอย่างจนผมไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจำอะไรก่อนดี

            ถ้าเปรียบกับใครอีกคน เพียงแค่เห็นหน้าครั้งแรกก็จำได้ พี่กันมีเอกลักษณ์บนใบหน้าที่ค่อนข้างชัดเจน รูปโครงหน้าชัด ตาเตอจมูกปากชัดเจนลงตัวเข้ากันไปหมด เปรียบเทียบกับสิ่งประติมากรรม ก็คงเหมือนพวกสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอะไรประมาณนั้น มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ซ้ำกับคนอื่น

            นี่ผมอวยเขามากเกินไปหรือเปล่านะ

            แขนหนักๆพาดลงบนบ่าของผม เราสองคนเดินไปตามทางภายในตึกคณะเพื่อตรงไปยังห้องเรียนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ชั้นสอง

            “วันนี้ตอนเย็นกูจะไปอ่านหนังสือกับพวกพี่ๆที่ห้องสมุดแถวสยาม ไปด้วยกันมะ”

            “ไปดิ” ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด

            “ว่าแต่… ที่บอกขอเบอร์ ไปขอเบอร์ใครวะ”

            เงยหน้าจากชีทในมือไปสบตากับเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย

            “ไม่ยุ่งดิ”

            “ไอ้กอด!”

            “คนที่เจอบนรถไฟฟ้าอ่ะ”

            “หือ งี้ก็ได้เหรอ แล้วเป็นไง เขาว่าไงบ้าง”

            “ก็ให้เบอร์มาอ่ะ แต่เขียนเบอร์ผิด”

            “เอ้า!” เสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหู

            ก็ควรจะขำอยู่หรอก จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ได้ทั้งเบอร์ทั้งไลน์จากเขาเลย ทำไมชอบทำเหมือนว่าทุกๆวันจะเป็นวันที่ฟ้าเป็นใจ ไม่จำเป็นต้องแลกเบอร์แลกไลน์ก็สามารถโคจรมาเจอกันได้ง่ายๆอย่างนั้นแหละ

            นี่มันกรุงเทพเชียวนะ ขนาดอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน บางคนยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ

            พี่กันนี่มันพี่กันจริงๆ

            ฝ่ามือของใครอีกคนวางลงบนหัวของผม ขยี้เบาๆอย่างที่ชอบทำจนติดเป็นนิสัย อาจจะเป็นเพราะตัวผมเองไม่เคยด่า มันถึงได้ชอบใจขยี้ขยำซะจนหัวผมยุ่งแบบนี้

            “ดีแล้ว นานๆทีจะเห็นคนอย่างมึงหัดขอเบอร์ชาวบ้านเขาบ้าง”

            แวบหนึ่งผมเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าเพื่อน แต่มันไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุข มันเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความทุกข์ แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้

           

            ตกเย็นทั้งเพื่อน พี่รหัสและลุงรหัสต่างก็มากองกันอยู่ที่ห้องสมุดแถวสยาม ห้องสมุดเล็กๆ แต่นักศึกษาหลากหลายมหาลัยแน่นเต็มทุกกระเบียดนิ้ว สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่อ่านหนังสือที่ดีที่สุดแถวนี้ เพราะเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สามารถสั่งน้ำสั่งขนมเข้าไปนั่งทานด้านในได้ตามสะดวก แต่มีข้อแม้ว่าต้องเก็บโต๊ะให้สะอาด

            การจองโต๊ะเป็นระบบใครเร็วใครได้ มีโซนอ่านหนังสือแยกกับโซนชั้นหนังสือ รอบบริเวณเป็นไม้สีอ่อนเหมาะแก่การอ่านหนังสือและนอนตามแบบฉบับห้องสมุด โต๊ะเป็นโต๊ะสไตล์ญี่ปุ่น มีช่องให้ห้อยขาลงไปด้านล่าง ตัวโต๊ะถูกเชื่อมติดกับพื้นเป็นขั้นบันไดสูงต่ำแบบทันสมัย

            มีบรรณารักษ์สุดโหดคอยจับตามองแก๊งไหนที่เสียงดังจะโดนไล่ออกไป ถึงจะเป็นห้องสมุดสาธารณะ แต่ก็มีกฎระเบียบที่ชัดเจน 

            ผมกับเพื่อนนั่งลงที่โต๊ะใหญ่ที่สุดภายในห้องสมุด วันนี้มาพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะลุงรหัสที่ไม่เจอกันนาน เห็นว่าเรียนหนักจนหนวดเคราเยิ้มไปหมด ประโยคแรกที่ทักทายกันก็คงจะเป็น

            “ไปโดนใครเหยียบมาวะไอ้กอด”

            ผมก็แค่หกล้มเฉยๆ

            “น้องกอดจ๋า”

            น้ำเสียงออดอ้อนพร้อมกับแขนหนาๆกระแซะข้างไหล่ผม รุ่นพี่ร่วมคณะอีกหนึ่งชีวิต หากแต่เป็นผู้ชายครึ่งหนึ่งผู้หญิงครึ่งหนึ่ง ลุงรหัสชี้หน้าคนที่พยายามจะสิงสู่ผมอย่างคาดโทษ

            “ออกห่างจากน้องกูเดี๋ยวนี้นังลำไย”

            “แหม ไม่เจอน้องกอดนาน ก็อยากกอดบ้างไรบ้าง”

            “ออกไปเลยเจ๊ อย่ามาแตะตัวเพื่อนผม” ไม่พูดเปล่า เพื่อนเพียงคนเดียวก็นั่งแทรกลงตรงกลาง

            “แหมอิพวกหวงก้าง ลองกองจริงๆ!”

            “ลองกองนี่ภาษาใหม่ของมึงเหรอ”

            “เยสแปลว่าใช่ค่ะเพื่อน คนใช้ลำไยเยอะมันเชย กูจะลองกอง มีปัญหาเหรอคะที่รัก”

             ผมเป็นคนเงียบๆ ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ค่อยพูด

            ในสายรหัสของผม ถูกเรียกว่าสายรหัส ‘สุดขั้ว’ ปู่รหัสไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นหน้า แต่เป็นผู้ชายที่สุภาพสุดขั้ว ลุงรหัสที่เป็นชายฉกรรจ์ ปากหมาแต่นิสัยดี พูดมากสุดขั้ว พี่รหัสที่เป็นสาวสวย หน้าตาน่ารักแต่แรงสุดขั้ว ส่วนผม น้องรหัสตัวน้อยๆ เงียบสุดขั้ว

            ตอนนัดเจอสายรหัสครั้งแรก มีแต่ลุงรหัสที่คุยกับพี่รหัสไม่หยุด ส่วนปู่รหัสมีหน้าที่ย่างหมูกระทะ ส่วนผมมีหน้าที่กินอย่างเดียว

            “ว่าจะไปเข้าชมรมหมออยากติว” พี่รหัสพูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน

            “ทำไม มีไรดีเหรอ ชมรมลุงไม่เคยเข้า แต่แจ๋นไปเข้าชมรมหมอ”

            “แหม ชมรมลุงมีแต่คนอย่างลุงไง ไปโกนหนวดโกนเคราบ้างนะ เดี๋ยวเด็กเข้าชมรมไปนึกว่าประธานชมรมอักษรเพิ่งหลุดมาจากสวนสัตว์เขาเขียว”

            “ทำไมพูดจาทำร้ายลุงแบบนี้วะ สมัยนี้เขาออกจะฮิต เฮ้อหนุ่มฮิปสเตอร์ล่ะปวดใจ”

            “กอดไปเข้ากับพี่ป่ะ ชมรมนี้ดี๊ดีนะ”

            ดีสิ ก็วันนั้นเห็นพูดอยู่ว่าหมอหล่อ

            เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเจอสถาปนิกหล่อ ก็คงจะเปลี่ยนไปเข้าชมรมบ้านหลังน้อยกับหนุ่มสถาปัตย์อ่ะ

            การอ่านหนังสือเป็นไปด้วยความทุลักทุเล สองชั่วโมงผ่านไปสมาธิที่ควรจะอยู่บนชีทกลับเตลิดเปิดเปิงไปหมด ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร ในหัวมีแต่ภาพคนตัวสูงที่คอยวนเวียนเข้ามาหลอกมาหลอน

            คิดถึงพี่กัน

            จะได้เจออีกมั้ย

            คิดวนอยู่แค่นี้แหละ

            หรืออาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยสบาย เพราะพออ่านหนังสือไปได้แค่นิดเดียว ก็ต้องฟุบลงไปนอนกับโต๊ะ รู้สึกหน้าร้อนไปหมด ได้ยินข้างๆหูว่าเพื่อนและพี่ๆจะออกไปซื้อของกินกันแล้วปล่อยให้ผมนอนอยู่คนเดียวเพื่อจองโต๊ะ

            บรรยากาศรอบข้างเงียบไปหมด ผมลูบสีข้างตัวเองแรงๆเพราะเริ่มจะรู้สึกหนาว ทั้งๆที่แอร์ในห้องสมุดไม่เคยจะเย็นเลยสักวัน แต่อาจจะเป็นเพราะวันนี้อากาศเย็นด้วยแหละมั้ง

            จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างมาคลุมร่างของผมเอาไว้ ตาที่กำลังจะปิดค่อยๆเปิดขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือเสื้อคลุมขนาดใหญ่ ส่วนภาพที่สองก็คือเมื่อตอนที่เลื่อนสายตาไปมองว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นใคร

            สันกรามชัดเจนกับจมูกโด่งๆนั่น เห็นแวบเดียวก็สะดุ้งเลย

            พี่กัน

            “มาได้ไงอ่ะ”

            ตาเรียวๆหันมามองแล้วหันกลับไปสนใจชีทในมือต่อ วันนี้เจ้าตัวมาในชุดนักศึกษา เหมือนครั้งก่อน เวลาเขาสวมชุดนักศึกษาแล้ว ออร่าทำลายล้างจะสูงขึ้นประมาณหกสิบเปอร์เซ็นต์

            “กูเดินมา”

            “ห๊ะ” กวนอีกละ ถ้าเขาตอบว่าเหาะมาผมจะชกเขาจริงๆนะ

            “ห๊ะไร ง่วงไม่ใช่หรือไง นอนไปดิ”

            “อือ” ตอนแรกง่วง แต่พอเจอเขา “แต่ตอนนี้ไม่ง่วงละอ่ะ”

            สายตาเหวี่ยงๆถูกส่งกลับมา ผมก้มหน้าลงไปแอบยิ้ม

            เหมือนซีรี่ส์เกาหลีอยู่เรื่องหนึ่งที่พี่รหัสชอบมาสปอยให้ผมฟังบ่อยๆ ที่พอนางเอกเป่าเทียนพระเอกก็จะมาปรากฎตรงหน้า กลับกันไม่ว่าเมื่อไรที่ผมเริ่มคิดถึงเขา คนตัวสูงก็จะมาปรากฎอยู่ข้างๆเหมือนว่าความคิดของเราสองคนสามารถสื่อกันได้

            “ทำไมมานี่ได้อ่ะ”

            “ถามอีกละ อยากรู้ให้ได้เลยสินะ”

            “อือ อยากรู้มากเลย”

            ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ทำไมพอเจอเขาถึงได้อยากจะพูดมากขนาดนี้กันนะ

            “ไปถามเพื่อนกูดิ” นิ้วเรียวๆชี้ไปยังกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง เพื่อนกลุ่มเดิมกับที่เตะบอลกับเขาเมื่อวานต่างก็มองมาทางนี้ โบกมือยิ้มทักทายผมอย่างเป็นมิตร

            “ทำไมต้องถามเพื่อนอ่ะ”

            “ก็เพื่อนลากกูมา”

            “แล้วทำไมถึงมาอ่ะ”

            “ไอ้กอด มึงเป็นเจ้าหนูจำไมเหรอ”

            “ก็อยากรู้นี่”

            คนตัวสูงถึงกับกุมขมับ ทุกท่าทางของเขามันดูดีไปหมด ไม่ว่าจะทำหน้าบึ้ง หน้าบูด หน้ายิ้ม หน้าหัวเราะ หน้าเหวี่ยง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อโปรยเสน่ห์ใส่ชาวบ้านชัดๆ

            “เพื่อนกูติดตามพี่รหัสมึงอยู่”

            “อือ”

            “พี่รหัสมึงอัพไอจีว่าอยู่นี่” ย้อนคิดไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว พี่รหัสถ่ายรูปหมู่รวมกันเพราะไม่ได้เจอกันนาน แกเป็นเจ้าแม่โซเชียลมีเดีย ไม่แปลกหรอกที่จะเป็นที่รู้จัก

            “แล้วไงอ่ะ”

            “แล้วไง นี่มึงกล้าแล้วไงใส่กูเหรอ”

            คนตัวสูงหยิกหูผมแล้วออกแรงดึง ฝ่ามือที่สัมผัสผ่านแก้มของผมชะงักไป

            “ตัวร้อนนี่”

            “เหรอ”

            “ยังจะทำหน้าโง่อีก นอนไป” ไม่พูดเปล่า เขากดหัวผมให้นอนลงกับโต๊ะ แม้จะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างจะรุนแรงไปซะหน่อย แต่กลับทำให้ใจผมเต้นรัวไม่ต่างอะไรกับตอนที่ได้คุยกับเขาครั้งแรก

            พี่กันเป็นคนลึกลับ ผมคิดว่าแบบนั้น

            ซึ่งในความลึกลับของเขา มันทำให้ผมอยากจะยิ่งรู้จักเขา

            “ได้อาบน้ำหรือเปล่า” เสียงทุ้มๆเอ่ยถาม ผมครางตอบกลับไป

            “ไม่อ่ะ”

            ก็คนแถวนี้บังคับหน้าเขียวขนาดนั้น ขืนขัดคำสั่งล่ะก็ คงจะกลายร่างเป็นยักษ์แล้วบี้ผมแหลกคาเท้าแน่ๆ

            ฝ่ามือของคนข้างๆวางลงบนกลุ่มผมของผมแล้วขยี้เบาๆมือ

           “เออ ดีมากเด็กดี”




// อยากเป็นเด็กดีของพี่กันบ้างอ่ะ
ขอให้มีความสุขกับกอดกันนะคะ
สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 28-04-2017 20:32:48
โอ้ยยยยย อิพี่กันนนนน อบอุ่นหัวใจเกินไปแล้วนะ บอกเลยงานนี้น้องกอดมีหวังอ่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 28-04-2017 20:47:11
เขินอย่างกับเป็นเด็กดีของพี่กันซะเอง :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 28-04-2017 20:54:45
หวานละมุนเป็นที่สุด :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: PiiNaffe ที่ 28-04-2017 21:50:22
ฮรืออออออ เขิลคำว่าเด็กดี ><
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 28-04-2017 22:34:38
อื้อหือ...เด็กดี
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 28-04-2017 23:10:29
น่ารักกกกกกกกกกกก /////
ลุ้นว่าเมื่อไหร่พี่กันจะยอมให้เบอร์กับไลน์ซักที 5555555555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 28-04-2017 23:14:04
ใจสั่นกับพี่กัน งุ้ยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-04-2017 00:21:06
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 29-04-2017 01:19:21
พี่กันต้องแอบชอบน้องกอดมาก่อนเหมือนกันใช่มั้ย
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือเปล่ากอด
จีบกันน่ารักดี :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 29-04-2017 09:09:41
น่ารักมากกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 29-04-2017 09:46:06
น่ารักกกกกก กอดน่ารัก พี่กันก็ชวนเขินนน
ชอบเรื่องนี้ ดีต่อใจสุดๆ อ่านไปยิ้มไปตลอดเลย ชอบบบ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-04-2017 10:33:06
ไม่ค่อยแน่นอนเลยเนาะ ปลิวไปปลิวมาหาหลักแหล่งไม่ได้
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 01-05-2017 14:13:27
เข้ามานั่งดูคนจีบกัน  :katai3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 04-05-2017 17:12:24
Chapter 4
สายฝนกับคนเหงา

 

            อ่า…

            ฝนตก

            อยากจะเขกหัวตัวเองซักสิบทีที่ดันลืมเอาร่มออกมาจากหอ

            ละอองฝนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ สายฝนสีขาวกระหน่ำเทลงมาไม่หยุดเหมือนอัดอั้นมานาน ถนนด้านหน้าไร้ผู้คน มีเพียงเสียงซ่าๆดังก้องหูไปหมด

            คนอื่นๆทยอยกลับบ้านไปหมดแล้ว ทั้งพี่รหัส ลุงรหัส เพื่อนของลุงรหัส และเพื่อนสนิทที่ต้องไปรับน้องสาวจากโรงเรียนกวดวิชา มีผมคนเดียวที่อยู่ต่อจนเกือบจะสี่ทุ่มเพราะยังอ่านไปไม่ถึงไหน

            ขอบคุณยาแก้ไข้สองเม็ด อาการไข้ดีขึ้นหลังจากทานยาไป แต่พอออกมาเจอฝนตกหนักแบบนี้แล้ว ถ้าขืนลุยฝนกลับหอล่ะก็ พรุ่งนี้ได้นอนซมทั้งวันแน่ๆอ่ะ

            เฮ้อ แต่ก็อยากกลับหอจัง

            ลุยไปเลยดีมั้ยนะ

            มือของผมยื่นออกไปจากที่กำบังของห้องสมุดสาธารณะ หยดน้ำหลายๆหยดหล่นกระทบฝ่ามือ

            ผมชอบน้ำก็จริง แต่ไม่ยักจะชอบตอนฝนตก

            ความฝันวัยเด็กของใครหลายๆคนคือการออกไปวิ่งเล่นน้ำฝน แต่ไม่รู้ทำไมพอเราโตขึ้น การออกไปตากฝนกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างที่เขาว่ากันว่า เมื่อโตขึ้น ความคิดของเราเปลี่ยนแปลงไป คงเป็นเพราะโลกมันไม่สดใสเหมือนตอนเด็กๆล่ะมั้ง

            จะว่าไป ทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนแท้ๆ แต่พอฝนตก ทำไมถึงหนาวได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้

            พอเห็นฝนแล้ว ก็ดันมีหน้าของใครอีกคนแทรกขึ้นมา

            ใครอีกคนที่หายตัวไปตอนผมตื่นนอน

            ป่านนี้พี่กันจะกลับถึงบ้านหรือยังนะ หรือติดฝนอยู่ที่ไหนหรือเปล่า

            แล้วพรุ่งนี้ เราจะได้เจอกันอีกมั้ย

            ผมเผลอหลับไปเพราะพิษไข้ มาตื่นเพราะแรงเขย่าเบาๆจากเพื่อนสนิทที่ซื้อยาลดไข้มาฝาก หันไปมองรอบๆตัวก็พบว่าคนตัวสูงหายไปแล้ว

            เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เสื้อคลุมไหมพรมสีเทาตัวใหญ่ที่คลุมร่างผมอยู่ กับความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา แม้จะเป็นเวลาไม่นาน แต่กลับเหลือทิ้งไออุ่นจางๆเอาไว้

            พอคิดได้แบบนั้น ก็เผลอเอามือไปจับหัวตัวเองเฉยเลย

            ฝ่ามือของเขาใหญ่และอบอุ่นมาก

            ผมจะจำมันไว้ให้แม่นเลยล่ะ

            รอยยิ้มของผมหุบลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบกับผืนน้ำจากที่ไกลๆ เงาตะคุ่มๆของใครสักคนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้

            ฝนตกหนักขนาดนี้ ยังมีคนวิ่งฝ่ามาอีกแฮะ

            เงาจางๆแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างชัดเจนของผู้ชายตัวสูงสวมชุดนักศึกษาที่วิ่งฝ่าฝนตรงมายังที่ที่ผมยืนอยู่ มือสองข้างของเขาปิดกระหม่อมของตัวเองเอาไว้

            พอผ่านพ้นละอองสีขาวมาปุ๊บ

            สิ่งที่ชัดเจนในสายตาของผมคือนัยน์ตาคู่สวยของเขา ที่มองทีไรเหมือนโดนยิงทุกที

            พี่กัน

            “อ้าว ยังไม่กลับเหรอวะ”

            คนตัวสูงสภาพตัวเปียกแฉะถามผม มือสองข้างบิดชายเสื้อชุ่มน้ำของตัวเอง สักพักก็เปลี่ยนไปขยี้หัวเปียกๆนั่นแล้วเสยมันขึ้นลวกๆ

            เสื้อสีขาวลู่ไปกับผิวขาวเหลืองของเขา ขอบคุณที่เขาใส่เสื้อกล้ามไว้ด้านใน

            เพราะแค่นี้ ก็ทำให้หน้าผมร้อนจนแทบจะทอดไข่ดาวได้ประมาณหนึ่งโหลแล้ว

            “ไอ้กอด”

            “…”
           
            “กอด”

            “…”

            “ไอ้เด็กเด๋อ”

            “ห๊ะ หา” ละสายตาจากเสื้อซีทรูของเขาไปมองหน้าคนที่ขึ้นเสียงใส่ พี่กันขมวดคิ้วมองหน้าผม ไม่ทันได้พูดได้จาอะไรมากไปกว่านั้นฝ่ามือของเขาก็วางลงบนหน้าผากของผมอย่างถือวิสาสะ

            ถ้าให้เทียบความดังระหว่างเสียงฝนกับเสียงหัวใจของตัวเองตอนนี้

            หัวใจที่เต้นรัวเหมือนกลองชุดชนะเลิศไปเลย

            “หน้ามึงแดง ไข้ขึ้นอีกหรือไง”

            “เหรอ”

            “เหรอบ้าไร กูถามยังจะมาเหรอใส่อีก”

            “แหะ”

            “แล้วจะไปไหน”

            “กลับหออ่ะ แต่ฝนตกก็เลยกลับไม่ได้แล้ว”
           
            ผมพูดแล้วมองเลยออกไปยังสายฝนที่ยังตกไม่หยุด

            ตอนแรกใจมันไปอยู่ที่หอแล้ว แต่พอรู้ว่าพี่กันยังไม่กลับ ก็เลยคิดว่าอยู่ห้องสมุดจนเช้าไปเลยก็ได้

            ไม่ทันตั้งตัว คนตรงหน้ายื่นมือมาคว้าสายกระเป๋าผ้าที่ผมสะพาย ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางสองนิ้วเกี่ยวสายกระเป๋าแล้วลากผมกลับเข้าไปในห้องสมุด เปิดประตูออกมาปุ๊บ แอร์เย็นๆก็สาดกระทบกับร่างกาย หากแต่ใครอีกคนกลับไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเลยทั้งๆที่ตัวเปียกซะขนาดนั้น

            “ไม่ต้องกลับ รอฝนหยุดค่อยกลับ”

            น้ำเสียงโมโนโทนบอกกับผม แต่ไม่ยักจะหันมามองหน้า

            พี่กันพาผมไปหยุดอยู่ที่โต๊ะริมสุดด้านใน เพื่อนสองคนของเขาที่นั่งอยู่ก่อนหน้าเงยหน้าขึ้นมา หนึ่งคนออกปากแซวเหมือนรอเวลานี้มานานแล้ว

            “ไหนบอกไปซื้อน้ำ ทำไมได้น้องกลับมาวะ”
           
            “เงียบปากไป”

            “ฮ่าๆ”

            ผมมองโต๊ะขนาดกลางสำหรับสี่คน ที่ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่เดิมเพราะว่าย้ายโต๊ะสินะ เพื่อนก็ทยอยกลับไปบางส่วนแล้วด้วย ไอ้เราก็นึกว่ากลับไปแล้ว

            ที่ริมกำแพงที่เคยเป็นที่วางกระเป๋าของพวกเขา ถูกเคลียร์จนสะอาด ฝ่ามือหนักๆกดให้ผมนั่งลง จะหันไปถามเขาว่าแล้วตัวเขาล่ะจะไปไหน เพราะพี่กันตัวเปียกแฉะขนาดนี้ ขืนนั่งตากแอร์ได้หนาวตายแน่ๆ

            แต่เหมือนจะได้คำตอบทันท่วงทีเมื่อเขาหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นออกมาจากกระเป๋าเป้

            “กูไปเปลี่ยนชุดก่อน พวกมึงสองคนห้ามชวนคุยเด็ดขาด”

            “แถวนี้มีแมวด้วยว่ะ”

            “หวงก้างอ่า เมี๊ยววว”

            “ส้นตีนเหอะ”

            “ฮ่าๆๆ”

            พอคนตัวสูงเดินหายออกไปปุ๊บ เพื่อนทั้งสองของเขาก็เริ่มเปิดวงสนทนากับผมแบบไม่เกรงกลัวอำนาจของผู้ชายชื่อกันเลยสักนิด

            “เมื่อกี้ไอ้กันมันออกไปซื้อชานมครับ”

            “ชานมธัญพืชอ่ะ”

            “แต่มันไม่ได้ชานมกลับมา”

            “งงป่ะ”

            ผมพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไร เลยใช้วิธีพยักหน้าตอบกลับไป

            “ฝนตกมั้ง” พึมพำออกไปเบาๆ เพื่อนสองคนของพี่กันหันมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา

            ไม่ใช่เหรอ?

            อาจจะเป็นเพราะว่าฝนตกก็ได้ ผมคิดว่างั้นนะ เขาอาจจะไปได้แค่ครึ่งทางแล้ววิ่งกลับมา

            “แต่ร้านชานมอยู่แค่ตรงข้ามเองนะ”

            “ขายาวๆอย่างมันวิ่งหกก้าวก็ถึง”

            ห่ะ

            เอ ผมไม่ทันสังเกตแฮะ
           
            ไอ้นิสัยชอบกินชานมก็ไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิดซะด้วยสิ เพิ่งมาชอบกินหลังจากได้เจอเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง แถมไอ้เมนูชานมธัญพืชนี่ก็ไม่ได้มีทุกสาขา

            ก็เลยไม่ได้สนใจเลยว่ามีร้านชานมตั้งอยู่ตรงข้ามห้องสมุด

            “หกก้าวแต่ตัวเปียกเหมือนไปวิ่งวนรอบสยามเลย”

            “กลัวเขาจะรู้ว่าแอบมองอยู่แน่ๆ”

            “เนียนๆไป ไม่รู้หรอก”

            “อ่ะงงเด้ งงเด้”

            คุยกันอยู่สองคน เข้าใจกันอยู่สองคน

            สักพักหนึ่งคนทางซ้ายเอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างของคนทางขวา เป็นการส่งสัญญาณบอกถึงอันตรายที่กำลังเดินตรงกลับมาจากห้องน้ำ สองคนตรงหน้าเปลี่ยนบทคู่หูเม้ามอยเป็นบทคู่หูตั้งใจเรียน อ่านชีทกันอย่างขยันขันแข็ง

            คนที่หายไปเปลี่ยนชุดเดินดุ่มๆเข้ามาพร้อมด้วยสีหน้าขวางโลกมาแต่ไกล จากชุดเปียกๆเมื่อกี้ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสี            เทาอ่อนกับกางเกงผ้าขาสั้นสีดำ

            พี่กันนั่งเงียบสักพัก เมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเขาเลยใช้ขาถีบเพื่อนทั้งสองของตัวเอง ร้องโอดร้องโอยไปคนละทีสองที

            “พวกมึงชวนคุยแน่ๆ”

            “ชวนไร ไม่ได้ชวน”

            “ใช่ ไม่ได้ชวน นั่งอ่านชีทอยู่เนี่ย อย่าใส่ร้ายเพื่อนดิวะ”

            “นิสัยเสือกพวกมึงไม่ธรรมดา อย่าคิดว่ากูจะเชื่อ”

            “ไม่เชื่อเหรอ ไม่เชื่อถามน้องดิ”

            เอ้ย

            โยนขี้มาให้เฉยเลยอ่ะ

            เขาหันขวับมามองผม

            “พวกมันชวนคุยมั้ย”

            ถามเฉยๆก็ได้ ทำไมต้องทำหน้าโหดด้วยล่ะไอ้พี่บ้า

            หันไปมองสองคนด้านหน้า หนึ่งคนขยิบตา อีกหนึ่งคนกระพริบตารัวๆส่งมาให้ เหมือนจะบอกผ่านทางความคิดว่า โกหกมันหน่อย ช่วยๆกันไป

            ผมโกหกไม่เก่งซะด้วยสิ

            แต่เอาไงก็เอาวะ

            “เปล่าอ่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่กันทำหน้าไม่เชื่อสักเท่าไร เขาหันกลับไปมองเพื่อนสองคนของตัวเอง แล้วหันกลับมามองผมอีกรอบ

             เพ่งมองพิจารณาอยู่ซักระยะ

            “อืม”

            เชื่อแล้วใช่ป่ะ

            เฮ่อ ทั้งผมและเพื่อนสองคนของเขาถอนหายใจออกมาพร้อมกัน พี่กันม้วนชีทเป็นทรงกระบอกแล้วลุกขึ้นยืน ฟาดหัวเพื่อนไปคนละที

            ‘ปั่ก ปั่ก!’

            “โอ้ยเชี่ยกัน!”

            “ไอ้คนเถื่อน!”

            “ตอแหลแล้วยังจะไปสั่งให้มันโกหกกูอีกนะ”

            “แฮ่”

            สายตาอำมหิตหันมามองหน้าผม เขายกชีทจะมาฟาดหัวผมโทษฐานที่สมรู้ร่วมคิดกับเพื่อนของเขา ผมรีบหลับตาปี๋ หดคอเป็นเต่า

            “มึงนี่ก็เด็กขี้โกหก”

            แหงะ

            โดนตีแน่เลยอ่ะ

            ‘แปะ’

            กระดาษม้วนวางลงบนหัวผมเบาๆ ไม่ได้แรงอย่างที่คิด เหมือนแค่แตะแล้วถอยกลับไป พอลืมตามอง พี่กันก็กลับไปนั่งควงปากกาเล่นอยู่ข้างๆแล้ว

            “มีคนเรียนนาฏศิลป์แถวนี้ว่ะ”

            “อะไรวะ

            “รำเอียง!”

            พี่กันปายางลบก้อนโตใส่เพื่อน

            “กูก็เรียนนาฏศิลป์นะ”

            “จะเล่นมุกรำเอียงล่ะสิ”
           
            “รำคาญ!!”

            แอบหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังเถียงกับเพื่อนอยู่ ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะว่ากลัวจะโดนเห็น เลยต้องซ่อนครึ่งหนึ่งของใบหน้าอยู่ใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่

            ถ้าขืนโดนเห็นตอนนี้ล่ะก็

            เขาจะต้องแซวผมแน่ๆ เพราะตอนนี้ผมกำลังยิ้มจนเก็บอาการไม่อยู่

            เหมือนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆอ่ะ

 

            นั่งอ่านมาไม่ถึงชั่วโมง ก็หลับหัวทิ่มโต๊ะกันหมดเลย

            หันไปมองรอบตัว ทั้งพี่กันและเพื่อนของเขาสลบเหมือดกันเป็นแถบ มีเพียงผมคนเดียวที่ยังนั่งอ่านชีทไปเรื่อยๆ แม้จะอ้าปากหาวบ้างเป็นบางเวลา แต่วันนี้รู้สึกไม่ง่วงเท่าไร

            นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่ม คนในห้องสมุดยังคงไม่ขยับตัวไปไหน

            ฝนเอง ก็ยังไม่หยุดตกซักที

            ‘ครืด’

            ข้อความจากไลน์เด้งขึ้นบนหน้าจอ พอเห็นชื่อคนที่ทักมา ผมก็รีบพิมพ์ตอบ

            พรุ่งนี้กลับบ้านมั้ยลูก

            แม่ผมเอง

            *กลับพรุ่งนี้เย็นนะ

            *แม่จะฝากซื้ออะไรแถวนี้มั้ย


            ไม่ฝาก

            แม่จะพาไปกินอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ


            ผมกดส่งสติ๊กเกอร์ขยับได้กลับไป

            *โอเค ผ่าน

            จะนอนหรือยัง

            *ยังค้าบ

            *กอดอยู่ห้องสมุดที่สยามอ่ะ


            อย่านอนดึกมากรู้มั้ย

            นอนละ

            ฝันดีจ้า


            *ฝันดีครับ

            “อือ”

            มือที่กำลังกดโทรศัพท์อยู่สะดุ้งเมื่อคนข้างๆจู่ๆก็ครางฮือออกมา พี่กันขยับตัวเล็กน้อย

            ตื่นแล้วเหรอ

            ชะโงกหน้าไปดู คนตัวสูงยังคงหลับตาอยู่ คิ้วขมวดพันกันยุ่งไปหมด

            ใครจะไปนึกไปฝันว่าจะได้มานั่งดูเขานอนอยู่ตรงหน้าแบบนี้กัน พอได้มามองดูใกล้ๆแล้ว เขาเป็นคนที่ผิวค่อนข้างดี เนียนละเอียด สีผิวสม่ำเสมอ มีกระแดดบนใบหน้าบ้างประปรายตามแบบฉบับผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬา

             “ฮืม”
           
            คนที่นอนอยู่ถอนหายใจออกมาพลางขยับหน้าหนีไปอีกทาง

            นอนแบบนี้มันสบายที่ไหนกันล่ะ

            ผมดึงเสื้อคลุมไหมพรมตัวหนาออกจากไหล่ ม้วนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อที่จะทำเป็นหมอนให้ใครอีกคน มองอยู่สักพัก เมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างๆที่ขยับเบาๆขึ้นลงเป็นจังหวะแล้ว เลยคิดว่าเขาคงไม่ตื่นขึ้นมาหรอกมั้ง

            ช้อนมือไปใต้คอเขา แค่แตะเบาๆเท่านั้นแหละ เขาก็สะดุ้งตัวขึ้นมานั่งทันที ผมกระเด้งตัวกลับมานั่งที่เดิมแล้วกุมมือตัวเองไว้แน่น

            ไอ้กอด

            ไอ้บ้า

            เกือบไปแล้ว!

            “ทำอะไร”

            ไม่รู้จะตอบยังไง เลยได้แต่นั่งเม้มปากเงียบๆ

            จะทำหมอนให้ไง เห็นนอนไม่ค่อยสบายอ่ะ

            ถ้าขืนพูดออกไปแล้วพี่กันเกิดไม่ชอบขึ้นมา ได้โดนเกลียดแน่ๆเลย

            สายตาของอีกคนมองเลยไปยังเสื้อคลุมที่ถูกม้วนเป็นก้อนอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบมาขึ้นมา คลี่ออก สะบัดมันเล็กน้อยโดยที่ไม่พูดอะไร

            “ห่มซะ มือมึงเย็นขนาดนั้น”

            “อ่ะ…”

            เสื้อคลุมตัวใหญ่ลอยกลับมาตกบนหัวผม คลุมไปทั้งร่างตั้งแต่หัวไปถึงแขน

            สายตามองลงไปยังฟิล์มกระจกที่ติดอยู่กับมือถือ เงาที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าของผมที่ขึ้นสีแดงจัด

            ทำไมเขาเป็นคนแบบนี้กันนะ

            ทำไมต้องมาอบอุ่นใส่กันขนาดนี้

            ผมฟุบหน้าลงบนโต๊ะ รู้ได้เลยว่าตอนนี้ร่างกายร้อนระอุไม่ต่างกับลาวาจากภูเขาไฟ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้มันย้อนกลับมา หรือเป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

            น่าจะเป็นเพราะทั้งสองอย่างนั่นแหละ

            แต่อย่างหลังมีอิทธิพลมากกว่าพิษไข้

            เรียกมันว่า ‘Heartshot’ ก็แล้วกัน

            ยิงมากลางหัวใจแบบนี้ เหมือนตายทั้งเป็นเลยจริงๆนะ 

            “เฮ้ย ตื่น” พี่กันหันไปปลุกเพื่อนของเขา

            “อ้าว น้องหลับเหรอวะ”

            “อือ พวกมึงจะกลับกันยัง”

            “ฝนหยุดยังวะ”

            “ไม่รู้ว่ะ”

            “เออช่างแม่ง ห้าทุ่มกว่าละ กูไม่ไหวละง่วง”

            เสียงกุกกักบนหัวของผมบ่งบอกว่าเพื่อนๆของเขากำลังเก็บของ ตั้งใจว่าจะเงยหน้าไปบอกลาเพื่อนๆของพี่กัน แต่ดันโดนฝ่ามือหนักๆกดหัวเอาไว้

            “กลับก่อนนะเว้ยไอ้เถื่อน พรุ่งนี้เจอกัน”

            “เออ อย่าหักโหมนะครับเพื่อน”

            “ไปไกลๆตีนเลยไป!”

            รอบกายเงียบลงอีกครั้ง คนตัวสูงถอนฝ่ามือออกไป ผมนอนนิ่งๆอยู่กับที่ มองนาฬิกาข้อมือที่ดังติ๊กต่อกติ๊กต่อก ไม่กล้าขยับตัวไปไหน อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เราอยู่กันสองคนแล้ว

            จะคุยอะไรดี

            อยากคุยด้วย อยากคุยอีกเยอะๆ

            “หิวข้าวป่ะ”

            เสียงของพี่กันที่ถามขึ้นทำให้ผมดีใจจนต้องลุกขึ้นไปตอบเขา แต่ยังไม่ทันจะโผล่หน้าพ้นออกจากเสื้อคลุม ก็โดนฝ่ามือหนักๆของเขากดหัวลงไปนอนแปะลงบนโต๊ะอีกรอบ

            อะไรอ่ะ

            มากดหัวกันทำไม

            คนจะคุยกันก็ต้องมองหน้ากันสิ

            ผมกวาดมือสะเปะสะปะไปรอบตัว ตีมือที่เขากดหัวของผมเบาๆ พี่กันรีบส่งเสียงดุใส่

            “ไอ้กอด”

            “ก็อยากเห็นหน้านี่” ปล่อยเร็วๆ ปล่อยยย

            บอกให้ปล่อยก็ยอมปล่อยแต่โดยดี เลิกผ้าออกมาเห็นใครอีกคนเบือนหน้าไปอีกทาง พี่กันลงมือเก็บของลงกระเป๋า ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ผมเลยนั่งจ้องเขาอยู่แบบนั้น จ้องจนกว่าเขาจะหันกลับมาสนใจนั่นแหละ

            ตามคาด พอโดนจ้องนานๆเข้า เขาถึงได้หันมาตะเบ็งเสียงใส่

            “เห็นหน้าแล้วนี่ พอใจยัง”

            “พอใจละ”

            “พอใจงั้นก็เก็บของ”

            “ไปไหนอ่ะ”

            “กินข้าว”

            “เหรอ” กินข้าวตอนห้าทุ่มอ่ะเหรอ

            จะขุนผมให้เป็นหมูหรือไง เจอหน้าทีไรเรียกกินข้าวทุกที

            “เหรออะไรอีก”

            “เหงาป่ะ”

            “เหงาไรวะ”

            “ก็ … ไม่ได้คุยกันตั้งชั่วโมงกว่าๆอ่ะ”

            เพื่อนพี่เขาอยู่ด้วย ผมเลยไม่กล้าชวนคุย

            พี่กันชะงักไป

            “แล้วไง ตอนนี้มึงกำลังชวนกูคุยไม่หยุดเนี่ย” ปากบ่นตัวก็เอี้ยวไปหยิบของบนโต๊ะมายัดใส่เป้ ผมก็เก็บของไปชวนเขาคุยไปเรื่อยเปื่อย

            เผลออีกแล้ว

            ทำไมเวลาเจอหน้าเขาทีไรถึงได้อยากจะพูดไม่หยุดปากขนาดนี้กันนะ

            บางทีผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

            เก็บของเสร็จเราสองคนก็มายืนอยู่ด้านหน้าห้องสมุด คนตัวสูงกว่ายื่นมือออกไปสัมผัสผ่านอากาศเย็นๆเพื่อดูว่าฝนหยุดตกจริงหรือเปล่า

            “ปรอยๆ”

            พอเห็นเขาบอกแบบนั้น ผมเลยยื่นมือออกไปบ้าง น้ำฝนเม็ดเล็กๆหล่นสัมผัสฝ่ามือ ยังไม่ถึงกับหยุดตกซะทีเดียว แต่ก็พอเดินกลับได้ล่ะนะ

            ‘กริ๊ง กริ๊ง’

            เสียงโทรศัพท์บ้านรุ่นโบราณดังขึ้น จำได้แม่นว่าเป็นเสียงโทรศัพท์ของใครอีกคน ผมหันไปมองพี่กันที่ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า เมื่อคว้ามันได้เขาก็รีบกดรับ

            “ว่า”

            “เออ กำลังกลับ ว่าจะไปกินข้าว”

            “ยัง กว่าจะถึงหอก็เที่ยงคืนมั้ง มึงเอาชีทสอดใต้ประตูไปก็ได้”

            ดูจากการคุยแล้ว คงเป็นเพื่อนเขานั่นแหละที่โทรมา

            ผมเมินสายตาห่างจากคนตัวสูงไปมองร้านชานมตรงกันข้ามกับห้องสมุด เพิ่งสังเกตเห็นว่ามันตั้งอยู่ตรงกันข้ามจริงๆ ขายาวๆอย่างพี่กันเดินหกก้าวก็ถึง

            ถ้าเขาไปซื้อชานม ตัวก็ไม่น่าจะเปียกโชกขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไม่ได้ชานมกลับมานะ หรือว่าร้านปิดแล้วก็เลยต้องวิ่งไปซื้ออีกที่ที่อยู่ไกลออกไป

            คิดไปก็ปวดหัว

            ถือว่าดีที่เขาโผล่มาตอนนั้น เพราะถ้าเขามาช้ากว่านั้นอีกซักห้านาทีหรือสิบนาทีล่ะก็ ผมคงตัดสินใจเดินลุยฝนกลับหอไป และคงจะไม่ได้คุยกับเขา ไม่ได้นั่งข้างๆเขา ไม่ได้เห็นด้านที่อบอุ่นมากๆของเขา และไม่ได้ไปกินข้าวกับเขาเป็นครั้งที่สอง

            “ทำไม มึงเป็นเมียกูเหรอ กูจะกินกับใครก็เรื่องของกู!”

            “เปล่า ไม่ได้กินคนเดียว”

            “เออ”

            “ไปกับไอ้ตัวขี้เหงา”

            “อืม มันมองแล้ว”

            “กูคุยโทรศัพท์นาน สงสัยมันเหงาละ”

            ผมขมวดคิ้ว ตอนนี้คนที่มองเขาอยู่ก็มีผม หันไปมองหมาตัวสีน้ำตาลที่นั่งอยู่ริมกระถางต้นไม้ มันก็กำลังมองพี่กันอยู่

            แล้วไอ้ตัวขี้เหงาที่เขาพูดเนี่ย

            คือผมหรือหมากันนะ?





// นั่นน่ะสิ ตัวขี้เหงาของพี่กันคือใครอ่ะ หมาหรือกอด ถถถถถถ

สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์

Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_

หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 04-05-2017 18:40:27
เอะอะชวนกินข้าว(อีกแล้ว) ตีเนียนไปเรื่อยเลยนะพี่กัน :hao3:
เพื่อนแอบมีแซว ต้องมีอะไรดีๆแน่เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 04-05-2017 18:41:20
พี่กันคะ เป็นห่วงก็พูดสิค่ะะ
  :L2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 04-05-2017 18:42:25
ละมุนมากกกกกก :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Past-Zeit ที่ 04-05-2017 19:00:37
อ่านเรื่องนี้เเล้วติดชาธัญพืชตามพี่กันเลย
น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 04-05-2017 19:58:05
 :ling3:คี
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 04-05-2017 20:49:27
นุ้งก๊อดดดดด พี่กันไม่ได้จะไปกินข้าวคนเดียวแต่ไปกะไอ้ตัวขี้เหงา พี่กันไม่ได้ชวนนุ้งหมาไปกินข้าวนะคะลูกกกกก พี่เขาชวนหนู ถถถถถ

คนนึงอึน คนนึงซึน แหมะ! คนอ่านก็ลุ้น ก็ตบเข่าเชียร์กันไปสิคร้าาาคุ๊ณณณณ รออาร๊ายยย  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 04-05-2017 21:02:31
ใครอ่อยใคร ดูมีใจทั้งคู่เลย
เขินอ่ะ
 :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-05-2017 23:22:17
 :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: PiiNaffe ที่ 04-05-2017 23:32:13
ตัวขี้เหงานี่เหมือนเหาไหม /มุขอัลไล
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 05-05-2017 08:31:44
รอ~~~~~~  :katai5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ptrwd ที่ 05-05-2017 10:26:26
เอะอะชวนกินข้าวตลอดดดดดดดด อยากอยู่กับน้องนานๆละซี้~
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 05-05-2017 18:54:09
แล้วเมื่อไหร่พี่จะให้เบอร์น้องซักทีคะ 555555555555555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 06-05-2017 08:33:26
เอะอะอาศัยความบังเอิญกันจังโว้ยยย 55555555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-05-2017 09:53:46
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 06-05-2017 18:57:25
Chapter 5
สุราเป็นตัวทำละเมอ

 

            ‘ปั่ก’

            “ไอ้กอด”

            ข้อศอกของคนข้างตัวกระทุ้งเบาๆที่สีข้างของผม เผลอหลับหัวทิ่มจนหน้าผากโขกกับโต๊ะ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนรอบๆกาย

            อากาศชื้นๆกับเลคเชอร์แสนง่วง

            ไม่มีอะไรจะเป็นใจกับการนอนหลับได้มากไปกว่านี้แล้ว

            “เมื่อคืนกลับกี่โมงวะเนี่ย”

            น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเป็นห่วงถามกลายๆ ผมอ้าปากหาวแล้วโน้มตัวลงนอนพลางจดชีทไปตามคำพูดของอาจารย์

            กี่โมงกันนะ

            เที่ยงคืน หรือ ตีหนึ่ง

            จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน

            รู้แค่ว่าพอถึงหอ ก็ล้มตัวลงนอน แล้วก็หลับเป็นตายจนกระทั่งมาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกนั่นแหละ

            “แล้วตกลงเมื่อวานได้กินข้าวเย็นมั้ย กลับซะดึกขนาดนั้น”

            ผมพยักหน้าให้กับเพื่อนสนิท พลางนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน

            อากาศเย็นๆหลังฝนตก แม้จะมีเม็ดฝนโปรยปรายอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการกินข้าวครั้งที่สองของผมกับเขา ครั้งแรกเรากินข้าวที่ร้านเจ้าประจำของผม ครั้งนี้เลยมากินข้าวที่ร้านเจ้าประจำของพี่กันบ้าง

            ร้านเจ้าประจำของพี่กันก็คือ

            เซเว่นครับ

            ดูเหมือนอาหารที่พี่กันชอบ จะเป็นทุกอย่างที่มีส่วนผสมของอาหารทะเลที่มีชื่อว่ากุ้ง เมื่อวานเขากินไข่เจียวกุ้งสับ ลูกชิ้นกุ้งและข้าวเกรียบกุ้ง ส่วนผมกินเพียงแค่ขนมปังไส้กรอกกับน้ำเต้าหู้แบบถุง

            เขาเป็นคนกินเก่ง จากที่คลุกคลีกันหลายๆวันมานี่ ทั้งปริมาณอาหารที่กิน บวกกับเจอหน้าผมทีไร ไม่ว่าจะดึกดื่นขนาดไหน ประโยคแรกที่เขาจะถามคือ ‘หิวมั้ย ไปหาอะไรกินกัน’ หรือ ‘กูหิว’ อะไรประมาณนั้น

            เราสองคนนั่งกินข้าวกันที่ฟุตบาทด้านหน้าเซเว่น เป็นอีกมุมใหม่ๆที่ผมได้เห็นจากคนตัวสูง เขาเป็นคนกินง่าย อยู่ง่าย ใช้ชีวิตง่าย จนบางทีผมก็คิดว่ามันง่ายเกินไปหรือเปล่าเมื่อเห็นเขาเริ่มเอ่ยปากคุยกับหมาหน้าเซเว่นเป็นเรื่องเป็นราวจนจะลงไปนอนกลิ้งกับมัน

            ณ ตอนนั้น

            ถ้าพี่กันหันกลับมามองซักนิด เขาจะรู้ว่ามีผู้ชายอีกคนยืนยิ้มเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียว

            ก็แค่คิดว่า เขาน่ารักมากๆ

            เหมือนหมาตัวหนึ่งเลยอ่ะ

            ถ้าเปรียบเขาเป็นหมาล่ะก็ ก็คงจะเป็นสายพันธุ์ขนาดใหญ่ อย่างโกลเด้นรีทีฟเวอร์ล่ะมั้ง

            ก็มันกินเก่งด้วยนี่นา

            “วันนี้กลับบ้านใช่ป่ะ”

            “อือ คงกลับมาหออีกทีวันจันทร์เลยอ่ะ” ผมบอกเพื่อนพลางเก็บชีทลงกระเป๋าผ้าหลังจากจบคลาสที่ง่วงแสนง่วง นักศึกษาต่างก็ทยอยออกจากห้อง บางคนเร่งรีบเพื่อไปเรียนวิชาต่อไป แต่ผมและเพื่อนทำตัวเอื่อยเฉื่อยกันยิ่งกว่าสล็อต เพราะวันนี้นอกจากเลขก็ไม่มีคลาสอื่นอีกแล้ว

            วิชาเลขนี่ไม่ใช่ทางของผมเลยจริงๆ สงสัยจะได้ไปเยี่ยมชมรมหมออยากติวเร็วๆนี้เพราะเห็นพี่รหัสบิ้วนักบิ้วหนาว่าดีดี๊อ่ะ

            เราสองคนเดินออกจากห้องเพื่อลงไปใต้ตึกคณะ ระหว่างทางก็ไปจ๊ะเอ๋กับลุงรหัสที่หัวยุ่งมาแต่ไกล ผู้ชายตัวสูงหนวดเคราขึ้นเขียวโบกมือทักทายผมและเพื่อนอย่างเป็นกันเองเหมือนทุกๆครั้ง

            “จะไปไหนกันวะ”

            “ใต้ตึกครับ มีไรเหรอ หน้ายุ่งอ่ะ”

            พอเพื่อนผมทักไปแบบนั้น ลุงรหัสก็ยิ้มเผล่แล้วเกาหัวแกรกๆ

            “คือ…”

            “คือ?” ผมทวนคำของลุงรหัส

            เว้นวรรคมาให้เติมเองแบบนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องให้ช่วยแน่นอน เพราะปกติแล้วการจะเจอลุงรหัสที่คณะนับเป็นศูนย์ ผู้ชายคนนี้สามารถพบได้ที่ห้องชมรมและร้านเหล้า แค่สองที่เท่านั้น

            แต่เห็นบ้าๆบอๆสติไม่เต็มแบบนี้ ว่าที่เกียรตินิยมอันดับสองของคณะนะครับ

            อย่างที่เขาว่า คนจะเก่งอ่ะนะ ขยันอย่างเดียวไม่พอ มันขึ้นอยู่ที่ดีเอ็นเอด้วย

            จริงมะ

            “หาหนังสือไม่เจอว่ะ ช่วยหน่อยดิ!”

            ประธานชมรมอักษรพาผมและเพื่อนมาเยี่ยมเยียนห้องชมรมที่ซ่อนตัวอยู่ในหลืบชั้นสองของตึกคณะ ปกติแล้วผมกับเพื่อนไม่ค่อยใส่ใจชมรมของลุงรหัสมากนัก เพราะเราสองคนเก่งภาษาอังกฤษกันพอตัว

            ผมเก่งเพราะแม่สอนตั้งแต่เด็กๆ ส่วนไอ้ตัวสูงข้างๆนี่ไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่แปดขวบ กลับมาเข้ามัธยมที่ไทยฝึกภาษาไทยอยู่นานสองนานกว่าจะกลับมาพูดได้ชัดเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

            ประตูไม้เลื่อนเปิดออก สิ่งแรกที่ผมเห็นตรงหน้าคือ

            “รังหนู”

            “ไอ้กอด!”

            รังหนูชัดๆ

            นั่นหนูวิ่งรึเปล่านะ

            หนังสือที่ควรจะอยู่บนชั้นหนังสือลงมากองเป็นภูเขาอยู่ที่พื้น สภาพภายในห้องไม่ต่างอะไรจากกองขยะ หันไปมองที่มุมห้องก็พบเจอกับซากอารยธรรมโบราณของถ้วยมาม่า ขนมถุง และสารพัดอย่างที่เริ่มจะส่งกลิ่นเหม็น

            “ลุงทำบ้าอะไรอยู่ในห้องนี้วะเนี่ย”

            “ให้มาช่วย อย่าบ่นเดะ”

            “ไม่ให้บ่นได้ไงวะ กองขยะชัดๆ”

            “เออน่าๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆเก็บไป”

            ดูจากหน้าของลุงรหัสแล้ว ผมว่าถ้าไม่ได้เราสองคนมาช่วย ชาติหน้าอ่ะกว่าจะเก็บหมด

            “ช่วยหาหนังสือสันสีแดงหน่อย เล่มหนาประมาณนี้”

            “มันสำคัญยังไงวะ จะหาหนังสือแล้วเอาหนังสือลงมากองที่พื้นทำแมวอะไรวะเนี่ย โอ้ย!”

            “ทำงานๆ อย่าบ่น!”

            เราสามคนเริ่มจากการเรียงหนังสือกลับขึ้นไปบนชั้น ถ้ามันอยู่บนชั้นทุกเล่มแล้ว มันน่าจะง่ายต่อการหาหนังสือที่มีสันสีแดง ผมมั่นใจว่าเป็นแบบนั้น

            ไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายที่สอบได้เอและบีบวกทุกตัวตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ ทำไมถึงโง่เง่าได้ขนาดนี้กัน

            ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเคลียร์ห้องให้สะอาด ผมเอาขยะลงไปทิ้ง แอบเห็นแมลงสาบนอนดิ้นกระแด่วๆด้วย ฉีดสเปรย์จนหอมฟุ้ง ห้องที่เคยเป็นรังหนูเมื่อตะกี้กลายสภาพเป็นห้องกว้างๆน่าอยู่

            “เจอมั้ยวะ”

            หนังสือเล่มสุดท้ายกลับเข้าไปอยู่ในชั้นหนังสือ

            เราทั้งสามคนไล่สายตาไปบนชั้นที่มีหนังสือเรียงรายอยู่บนนั้น เท่าที่กะด้วยสายตาตอนนี้มีหนังสือสันสีแดงอยู่ประมาณหกเล่ม

            ลุงรหัสไล่หยิบหนังสือหกเล่มออกมา จนกระทั่งเขาได้เล่มที่เขากำลังหาอยู่

            “ขอบคุณว่ะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทน”

            “ข้าวหรือเหล้าเอาดีๆ”

            “อย่ามาใส่ร้ายลุงดิวะ!”

            “ไอ้ขี้เมา!”

 

            สุดท้ายก็จบลงที่ร้านเหล้าตามสไตล์ไอ้ขี้เมา เพราะลุงเอ่ยปากว่าจะเลี้ยง คนที่ไม่เคยพลาดเวลาลุงรหัสเลี้ยงข้าวหรือเลี้ยงเหล้า ก็คงจะเป็นพี่รหัสที่เป็นวิญญาณตามติดไปทุกที่

            ผู้หญิงตรงหน้ากำลังกระดกวอดก้าเพียวๆเข้าปากแบบไม่สะทกสะท้าน พี่รหัสที่สวยที่สุดภายในสายรหัสสุดขั้ว เพราะว่าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว

            ร่างเพรียวรับพอดีกับความสูง ใบหน้าเรียวกับทุกอย่างที่คัดสรรมาอย่างลงตัว กลุ่มผมสีดำสนิทที่ถูกรวบไว้อย่างลวกๆ ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนที่ง่ายๆสบายๆสไตล์ขาลุย

            ลุยหาผัวอ่ะนะ

            ใครๆก็บอกว่าพี่รหัสไม่น่ามาอยู่ในสายรหัสนี้เลย พอมาเจอลุงรหัสแล้ว จับไอ้ขี้เมามาเจอกับคนขี้มโน บรรลัยกันหมด

            ผมกับปู่รหัสเลยเป็นเหมือนคนคอยดึงสมดุลของกลุ่ม ในขณะที่ลุงรหัสหยาบคายเหมือนจิ๊กโก๋ ปู่รหัสก็เรียบร้อยจนน่าบูชา ในขณะที่พี่รหัสพูดน้ำไหลไฟดับ ผมก็เงียบเหมือนเป่าสาก

            “กินหน่อย แก้วเดียว” แก้วเป๊กพร้อมกับน้ำสีใสๆถูกยื่นมาให้ผมโดยมือของพี่รหัส กระพริบตาปริบๆมองเจ้าตัว

            “ผมไม่กิ…”

            ยังไม่ทันจะพูดจบก็โดนล็อคคอจับกรอกปากเสร็จสรรพ ของเหลวร้อนๆไหลลงคอทำให้อยากจะอาเจียนขึ้นมาซะเฉยๆ

            แหวะ

            “เจ๊แม่ง ก็รู้ว่ากอดมันไม่กิน”

            “เออ ให้มันกินเพื่อรู้ ไม่ได้ให้มันเมา เป็นไงรสชาติ”

            ยังจะมีหน้ามาถามอีกนะ ที่แสดงออกทางสีหน้าว่าขมเหมือนมะระนี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ

            ร้านนั่งชิลที่ขายทั้งอาหารและเหล้ายามกลางคืนค่อนข้างคึกครื้น แต่ผมไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไร ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ไม่ชอบกลิ่นเหล้า นานๆมาทีถ้ามีนัดเลี้ยงฉลองหรือมีใครอกหักจนน้ำตาตกใน

            นั่งกินกันอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะได้ฤกษ์กลับหอ ตอนแรกผมว่าจะโทรบอกแม่เพื่อเลื่อนวันกลับเป็นวันพรุ่งนี้ แต่พอล้างหน้าอาบน้ำทำตาให้สว่างแล้ว กลับวันนี้เลยแล้วกัน

            ผมแบกเป้ออกจากหอ นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม รีบตรงไปที่รถไฟฟ้าเพื่อที่จะตรงกลับบ้าน ร้านค้าหลายๆร้านบนตัวสถานีปิดร้านกันเกือบหมดแล้ว โชคดีของผมที่ร้านชานมยังคงเปิดไฟอยู่ ผมจึงได้ชานมธัญพืชมาอยู่ในมือเพื่อคลายอาการมึนๆของตัวเองหลังจากโดนยัดเยียดให้กินวอดก้าเพียวๆไปหลายแก้ว

            รสชาติชานมกับธัญพืชหอมๆทำให้คิดถึงเขาอีกแล้ว

            ตอนนี้พี่กันกำลังทำอะไรอยู่นะ

            วันนี้ไปเตะบอลหรือเปล่า

            มันกลายเป็นความเคยชินของผมไปซะเฉยๆ จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะขอเบอร์ขอไลน์เขา ไม่ว่ายังไงก็จะไม่พลาด ตอนนี้กลายเป็นว่าตั้งหน้าตั้งตารอที่จะเจอกับเขา ไม่ได้เบอร์ไม่ได้ไลน์ก็ไม่เป็นไร เพราะเจอตัวจริง ยังไงก็ดีกว่าเยอะ

            ผมหยุดยืนอยู่ที่ชานชาลาเพื่อนั่งรถไฟฟ้าตรงกลับไปยังฝั่งธนบุรี  ถึงจะเป็นเวลาสี่ทุ่ม แต่ผู้คนมากมายก็ยังยืนรอรถไฟฟ้า ส่วนมากเป็นคนที่อาจจะเลิกงานดึก เลิกเรียนดึก หรือคิดจะกลับในช่วงเวลาดึกๆบ้านแบบผม

            เป็นครั้งแรกที่ผมกินชานมธัญพืชหมดด้วยความรวดเร็ว ส่ายหัวเบาๆไล่ความมึนออกจากร่างกาย พยายามขยับตัวโดยการโยกตัวไปมาแล้วหาอะไรทำไม่ให้ง่วง

            หนังสือเล่มโปรดถูกหยิบออกมาอีกครั้ง อยากจะขอบคุณมันที่ทำให้ผมได้รู้จักพี่กัน

            รถไฟฟ้าค่อยๆแล่นเข้าสู่ตัวชานชาลา เสียงดังๆของมันทำให้ใครหลายๆคนตื่นตัว ประตูของตัวรถเปิดออกพร้อมกับเสียงประกาศจากด้านในที่ดังจนได้ยินชัด

            ‘สถานีสยาม’

            ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างเป็นฝ่ายนำเข้าไปก่อน ตามด้วยกลุ่มเด็กมัธยมปลายสี่ห้าคน หลายๆคนรีบเดินตามเข้าไปเพื่อจับจองที่นั่งและที่ยืน ขาของผมกำลังจะก้าวตามเข้าไปหยุดชะงักเมื่อหางตาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่คุ้นตา สัญชาตญาณสั่งให้ผมถอยกลับมายืนอยู่ที่ชานชาลา หัวใจเต้นรัวด้วยความประหลาดใจ

            ประตูรถไฟฟ้าปิดลงแล้วค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป เหลือผู้คนบ้างประปรายที่รอขึ้นรถไฟเที่ยวหน้า ความเงียบกระจายขึ้นรอบๆตัว ผมปิดหนังสือลงแล้วหันไปมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกล

            ผมไม่ได้คิดไปเอง

            เขายืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อกี้ผมไม่ทันสังเกตสิ่งรอบตัว เลยไม่เห็นว่าเขายืนอยู่ถัดไปเพียงแค่นิดเดียว นัยน์ตาคู่สวยหันมามองนิ่งๆ วันนี้เขาสวมชุดนักศึกษา พาดเสื้อช็อปไว้บนบ่าเหมือนวันแรกที่เจอกัน สะพายกระเป๋าหนังใบโปรดกับรองเท้าผ้าใบที่มีแถบคาดฟ้าแดงคู่เดิม

            จากที่เมื่อก่อนไม่ว่าจะไปที่ไหนก็หาเขาไม่เจอ กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ เขาอยู่ทุกที่ที่ผมไป

            “มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหรือไง”

            เคยเห็นคน

            แต่คนหล่อขนาดนี้เพิ่งเคยเห็น

            ทำท่าจะเดินเข้าไปใกล้เขา ยังไม่ทันจะถึงตัวฝ่ามือหนักๆก็ยันหัวผมเอาไว้ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงตัวเขา

            อ่ะ

            ทำแบบนี้ได้ไงวะ

            คิดว่าตัวสูงแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอไอ้พี่บ้า

            ต่อสู้กันอยู่พักหนึ่งพี่กันถึงได้ยอมลดมือลงให้ผมเข้าไปใกล้เขา

            “ทำไมมาอยู่นี่อ่ะ” คงเป็นคำถามซ้ำซากที่ถามเขาในช่วงหลายๆวันมานี่

            เส้นทางที่ผมเดินทางมาตลอด ไม่เคยมีผู้ชายคนนี้โผล่มาให้เห็นหน้า แต่หลังจากวันที่เข้าไปทำความรู้จักกับเขา เข้าไปคลุกคลีเพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา กลับกลายเป็นว่าเขาต่างหากที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวงโคจรของชีวิตผม

            คนตัวสูงไม่ได้ตอบคำถามผม หากแต่เปลี่ยนเรื่องคุย

            “กินเหล้ามาเหรอวะ”

            “โดนบังคับอ่ะ”

            “กินกับใคร”

            “สายรหัสแล้วก็เพื่อน”

            พี่กันทำสีหน้าไม่ค่อยชอบใจเท่าไร เขาหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าของตัวเอง หมากฝรั่งสีเขียวรสมิ้นท์ถูกยื่นมาตรงหน้าผม

            “เคี้ยวซะ มันช่วยได้”

            “ไม่เคี้ยวได้มั้ยอ่ะ”

            “อย่าดื้อกับกู”

            ส่งยิ้มแห้งๆออกไป ก่อนจะเจอเขาผมโด๊ปของคลายความมึนเมาไปหลายอย่างแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นชานม นมสด หรือหมากฝรั่งก็เคี้ยวไปแล้ว ถึงมันจะไม่ค่อยช่วยอะไรก็เถอะเพราะตอนนี้ยังรู้สึกหัวหมุนๆอยู่เลย

            แต่ในเมื่อเป็นของๆเขา ผมก็จะยอมเคี้ยวอีกรอบแล้วกัน

            หมากฝรั่งกลิ่นหอมๆสัมผัสลงที่ลิ้น เป็นกลิ่นและรสที่ผมชอบที่สุดในบรรดาหมากฝรั่ง เวลาง่วงๆช่วยให้หายง่วงได้มากเลยทีเดียว เคี้ยวๆอยู่สักพักช็อปสีกรมก็ลอยมาแปะอยู่บนหัวของผม ฝ่ามือของคนตัวสูงวางตามลงมา แม้จะไม่ได้สัมผัสโดยตรงแต่สัมผัสผ่านความหนาของเสื้อ ก็สามารถรับรู้ได้ว่าฝ่ามือของเขาอบอุ่นขนาดไหน

            “อยากได้เบอร์กูป่ะ”

            น้ำเสียงโมโนโทนถามออกมาทำให้ใจผมเต้นรัวมากขึ้นกว่าเดิมสิบเท่า

            “ตอนแรกก็อยาก”

            “แล้วตอนนี้อ่ะ”

            “ตอนนี้ไม่อยากแล้ว”

            “ทำไมวะ”

            “อยากคุยต่อหน้ามากกว่า”

            ถ้าได้เบอร์มา ก็ไม่มีข้ออ้างในการเจอเขาน่ะสิ

            เพราะไม่ได้เงยหน้าไปมองใครอีกคน เลยไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน ทำได้แค่มองฝ่าเท้าของตัวเองที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา รองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตาของผม กับรองเท้าผ้าใบเน่าๆของเขา ถ้าขยับไปอีกนิดหนึ่ง ก็จะชนกันแล้ว

            “มึงนี่มันจริงๆเลย”

            เขาผลักหัวผมเบาๆเล่นเอาเซไปนิดหน่อยแต่แค่นั้นก็ทำให้อบอุ่นหัวใจ

            ถ้าให้บรรยายความรู้สึกของผมตอนนี้ ก็คงเหมือนกำลังยืนอยู่บนก้อนเมฆ ส่วนคนตรงหน้าก็เป็นพระอาทิตย์ที่สาดส่องความอบอุ่นมาเต็มสูบจนทำให้ร้อนระอุเหมือนจะละลายกลายเป็นน้ำ

            เราสองคนเงียบกันอยู่สักพัก ผมเป็นฝ่ายเรียกชื่อเขาออกไปก่อนเพื่อที่จะถามว่าเขาจะไปไหนต่อ จะกลับไปอีกทางหรือจะไปทางเดียวกับผม

            “พี่กัน”

            “ใครอนุญาตให้เรียกชื่อกู”

            “ก็อยากเรียกอ่ะ”

            คนบ้าอะไร คนเขาเรียกชื่อมาด่าเขาอีก นิสัยเสีย

            “จะไปไหนต่ออ่ะหรือจะกลับเลย”

            “คิดว่ากูมารอมึงหรือไง”

            ตอนแรกก็ไม่คิดหรอก พอเขาพูดก็คิดเลย

            “เหรอ”

            “มั่ว”

            “แล้วจะไปไหนต่ออ่ะ”

            “ยุ่งไรอ่ะ”

            ไอ้…

            ตัดที่ผมบอกว่าเขาอบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์เมื่อกี้ออกไปก่อนนะครับ

            ตอนนี้เขาคือคนใจบาปที่แท้จริง

            “นัดเพื่อนกินข้าวฝั่งนู้น”

            ตอนสี่ทุ่มอ่ะเหรอ

            “จริงเหรอ” แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะขึ้นรถไฟฟ้าสายนี้ใช่มั้ย

            “ไม่ต้องดีใจออกหน้าออกตา”

            “แล้วไปสุดสายป่ะ” วิญญาณเจ้าหนูจำไมเข้าสิงร่างผมอีกครั้ง

            “เออ”

            ดีใจจนเนื้อเต้นไปหมด ผมรีบหันไปอีกทางแล้วร้องเยสในใจดังๆ

            “มึงมันตัวขี้เหงา กูเลยต้องไปเป็นเพื่อน”

            “ไม่อยากให้ไปเป็นเพื่อนอ่ะ”

            “…”

            “อยากให้ไปเป็นแฟน…”

            ไม่รู้ว่าเพราะเมาหรืออะไรถึงได้พูดคำนั้นออกไป แผ่วเบาจนเหมือนพึมพำกับตัวเอง อาจจะเป็นเพราะรู้สึกเบลอๆเหมือนจะหลับกลางอากาศถึงได้ละเมอพูดออกไป หรืออาจจะเป็นเพราะจังหวะนั้นรถไฟมาถึงชานชาลาพอดีก็เป็นได้

            เขาไม่ได้ยินหรอก ขนาดผมยังไม่ได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดเลย

            น่าจะเป็นเพราะเมานั่นแหละ ผมถึงได้เห็นภาพหลอนว่าหูของคนตัวสูงเปลี่ยนเป็นสีแดง มือของเขาดึงเสื้อช็อปที่วางอยู่บนหัวผม เลื่อนมันลงมาเล็กน้อยเพื่อปิดตาของผมเอาไว้

            “เมาแล้วเพ้อเจ้อชิบหายไอ้เด๋อ”

            ก็เพ้อกับพี่คนเดียวนั่นแหละ

            “แบมือมา” ตามคำสั่งของพี่ท่าน ผมแบมือออกไปด้านหน้า

            พี่กันวางเหรียญบาทหนึ่งเหรียญลงบนฝ่ามือของผม ทำให้นึกขึ้นได้ คนตัวสูงบอกว่าจะคืนเงินค่าชานม ทั้งๆที่ผมบอกไปว่าผมถูกหวยและต้องการจะเลี้ยงเขา ถูกหวยสี่สิบบาทเป็นข้ออ้างที่ตลกรับประทานจริงๆ

            “ต่อจากนี้จะคืนวันละบาท”

            ยังขาดอีกสามสิบห้าบาท

            “แล้วถ้าครบอ่ะ” ถ้าเขาจ่ายครบจะได้เจอเขาอีกมั้ย

            “ครบเมื่อไรก็คบ”

            ยิ้มมุมปากอานุภาพทำลายล้างสูงปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา เล่นเอาใจผมสั่นจนแทบบ้า

            เมาชัวร์ๆ เมาแน่ๆ

            เมาจนได้ยินคำว่าครบ เป็นคำว่าคบเฉยเลย





// กอดไม่ได้เมาเหล้าหรอก แต่เมารัก
ติดแท็ก #Likeกัน หวีดผ่านทางทวิตเตอร์ได้นะคะ
ด้วยรัก จากคนที่เขียนที่ดูจะเมาๆหน่อย
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 06-05-2017 19:30:50
กรี๊ดดดดดดดด หยอดมุขแบบนี้ก็ได้หรอออออออออออ :hao7:
เริ่มหลอนอิพี่กันอ่ะ น้องกอดนึกถึงทีไร ต้องเจอ(พี่)กันทุกที 55555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 06-05-2017 19:43:18
 :-[  :-[ :-[ ครบเมื่อไรก็คบ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 06-05-2017 20:34:10
โอ้ย อิพี่ หมนไส้แต่น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-05-2017 20:50:19
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-05-2017 21:04:51
โอ๊ยยยยยย หมั่นไส้คบๆกันไปเลย :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 06-05-2017 21:27:48
อ๊ายยยยยย แบบนี้ก็ได้เหรอพี่กันนนนน???  นุ้งกอดพอสร่างเมาหนูจะจำได้ไหมลูกว่าพูดอะไรกันไว้ น่ารักอ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: PiiNaffe ที่ 06-05-2017 21:49:14
อ่อยแรงทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 07-05-2017 11:18:10
โอ้ยพี่กันนนนนนน เขิน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: นมชมพู ที่ 07-05-2017 12:08:22
ยอมล้าวววว หัวใจจจจ :heaven
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 07-05-2017 15:58:29
ใจง่ายนะเนี่ยพี่กัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 07-05-2017 19:04:27
เขินแรงกับคู่นี้!!!! ยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้วววววว
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 07-05-2017 21:18:02
นี่ว่าอีพี่กันก็ต้องแอบส่องน้องเหมือนกันแหละว้าา แอบชอบน้องก็บอก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 07-05-2017 21:41:40
เจออ่อยแบบนี้ ฟินจนเมากว่าเดิมแน่ๆ เลยน้องกอด :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 07-05-2017 22:18:47
 :katai2-1:รอๆๆ กอดกัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 08-05-2017 01:54:42
จิกหมอนแรงงง  :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 08-05-2017 08:23:57
ฟิน~~~~~~~~~~ นั่งยิ้มอะ55
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 09-05-2017 01:20:58
โอ้ยยย น่ารักมากกกก :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Missmu ที่ 09-05-2017 03:52:16
เขินแทนนนน  :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 5 {06.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 09-05-2017 19:57:03
โอ๊ยยยยย จีบกันขนาดนี้เป็นแฟนกันเลยเซ่!!!!!! ไม่ต้องรอให้ครบ40บาทแล้ว
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 10-05-2017 13:26:05
Chapter 6
เจอหมีให้แกล้งตาย

 

            ที่นั่งบนรถไฟฟ้ายามค่ำคืนถูกจับจองจนหมดเพียงแค่พริบตา แต่ผมกับใครอีกคนเลือกที่จะไปยืนชิดริมประตูอีกฝั่งเพราะไม่อยากจะไปเล่นลิงชิงเก้าอี้กับคนอื่นๆ ผมยืนแผ่นหลังชิดกับกระจก ส่วนเขายืนสูงๆอยู่ข้างหน้า บังทัศนียภาพทุกอย่างมิด

            เงยหน้ามองคนตัวสูงที่เหม่อมองออกไปยังนอกตัวรถ ที่ผ่านมาเห็นเขาเป็นอย่างไร เขาก็ยังคงเป็นแบบนั้น ชอบมองวิวด้านนอก ชอบยืนเงียบๆเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว นอกจากนั้นยังใช้ขาของตัวเองวางแปะลงที่พื้นตัวรถไฟ กางขาออกเล็กน้อยเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม

            ส่วนผมที่เป็นคนศูนย์ถ่วงไม่ดีก็ต้องหาที่ยึดเกาะ จะเดินไปเกาะเสาเขาก็ยืนขวางอยู่ จะหันไปเกาะราวเขาก็ยืนเอาหัวพิงอยู่

            สรุปก็คือ เกาะเขาแล้วกัน ง่ายดี

            “ดีขึ้นยัง ยังมึนอยู่มั้ยวะ”

            เขาถามขึ้นขัดความเงียบ

            “ไม่มึนแล้ว”

            “ไม่มึนของมึงเนี่ย คอเอียงๆนะ”

            “เหรอ”

            หันไปมองตัวเองในกระจก คอที่ควรจะตั้งตรงๆเหมือนชาวบ้านเขา ตอนนี้เริ่มเอียงประมาณแปดองศา คอเอียงอาจจะไม่ใช่ประเด็นเท่าไร แต่หน้าแดงๆเหมือนคนเป็นไข้เนี่ย ยังไงก็โกหกไม่ได้จริงๆ

            ไอ้ที่กินมาเมื่อกี้ ไม่ว่าจะชานมเอย หมากฝรั่งเอย ไม่สามารถฆ่าฤทธิ์เหล้าได้เลย สาบานได้ถ้าครั้งหน้าพี่รหัสบังคับผมอีกล่ะก็ จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งนั่นแหละที่หัวแตก

            ผมแพ้แอลกอฮอล์ ถ้ากินแล้วตัวจะแดงเหมือนลูกหนู ดังนั้นถ้าพี่กันสังเกตว่าผมเมาได้เพียงแค่แวบแรกที่มอง ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ 

            เราสองคนเงียบกันไปอีกครั้ง คงเป็นนิสัยที่ติดตัวเวลาขึ้นรถไฟฟ้า แล้วเราสองคนก็ไม่คิดจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น สำหรับเขาผมไม่รู้ อาจจะเพลิดเพลินกับการดูวิว แต่สำหรับผม ผมรู้…

            เพราะผมเพลิดเพลินกับการมองเขาเงียบๆคนเดียว

            ‘ครืด’

            พูดไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ก็สั่นครืด สุดท้ายก็ต้องหยิบออกมาเพื่อดูการแจ้งเตือนจากไลน์ที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ที่จำเป็นต้องหยิบออกมาเพราะไม่แน่ใจว่าแม่ติดต่อมาหรือเปล่า ผมกลับบ้านช้ากว่าที่ควรจะเป็นขนาดนี้

            แต่ไม่ใช่ เมื่อบนหน้าจอขึ้นชื่อกรุ๊ปไลน์เด่นหราว่า สายรหัสสุดขั้ว

            เจอหมีให้แกล้งตาย เจอผู้ชายให้แกล้งเมา

            เจอผู้หญิงอย่างมึง ผู้ชายต้องแกล้งตาย

            เห็นกูเป็นหมีเหรอลุง

            เห็นมึงเป็นผี!

            อิเลว

            น้องกอด


            พี่รหัสทักชื่อผมขึ้นมากลางวงสนทนา ทำให้ต้องรีบพิมพ์ตอบอย่างทุลักทุเล เพราะนอกจากจะเห็นนิ้วตัวเองแยกร่างได้แล้ว แป้นพิมพ์ยังซ้อนกันอีก

            *ตับ

            เอ๊ะ มันเป็นตับไปได้ยังไงกัน เมื่อกี้ผมกดคำว่าครับอ่ะ บ้าจริงๆเลย

            ตับ ตับ ตับ ตับ

            เงียบปากดิ๊

            จ้าคนฝวย

            ยัยหนู เมาป่ะเนี่ย


            *ย่าจะ

            ผมจะพิมพ์คำว่าน่าจะนะ แป้นพังป่ะเนี่ย

            เมาแน่นอนร้อยเปอเซง

            ทำไรกันครับ ทำไมน้องกอดเมา

            ระฆังดังเพราะคนตี เหล้าที่ดีทำให้คนเมา ขอบคุณค่า
           
            พี่รหัสครับ

            จ๋าปู่

            พรุ่งนี้โดนตีแน่ๆครับ


            ยิ่งคุยยิ่งปวดหัว เพราะนอกจากตัวอักษรจะเล็กแล้ว มันยังซ้อนทบกันเป็นภาพสามมิติ ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง แต่สุดท้ายก็ต้องหยิบมันออกมาอีกเพราะมีสายเข้าจากคนที่เพิ่งจะตีกับปู่รหัสอยู่ในไลน์เมื่อกี้

            “ครับ”

            (อยู่ไหนยัยหนู)

            “บนรถไฟฟ้า”

            (ไปกับใคร)

            น้ำเสียงห้วนๆของพี่รหัสทำให้ผมต้องเงยหน้ามองพี่กันโดยอัตโนมัติ ถึงได้รู้ว่าคนตัวสูงมองอยู่ก่อนแล้ว

            “มาคนเดียว”

            (อย่าโกหก พี่เห็นว่าไปกับผู้ชาย เพื่อนเหรอ ไม่เคยเห็นเลย)

            กลืนน้ำลายดังเอื้อก ลังเลใจว่าจะตอบยังไงดี

            เขาไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นคนที่ผมแอบชอบ

            เหมือนคิดนานไปหน่อย คนตัวสูงถึงได้ยื่นมือมาตรงหน้าเหมือนจะขอโทรศัพท์มือถือ แล้วผมก็ดันยื่นให้เขาง่ายๆ พี่กันรับไปแล้วกรอกเสียงโมโนโทนของเขาลงไป

            “สวัสดีครับ”

            “ครับ น้องมันเมา ผมเลยจะพาไปส่งบ้าน แค่นี้นะครับ”

            “ไม่ต้องห่วงครับ ผมเป็นผู้ชาย มันแกล้งเมาอ่ะถูกแล้ว”

            พี่กันยื่นโทรศัพท์กลับคืนมาให้ในขณะที่ผมยังคงมึนงงกับคำพูดของเขา ปลายสายวางไปแล้ว ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่กัน พยายามเรียบเรียงคำพูดเมื่อกี้ให้เข้าใจง่ายมากขึ้น

            “ทำไมต้องแกล้งเมาอ่ะ”

            “เมาจริงๆมันไม่เท่”

            “เหรอ”

            มีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากถามเขา เพราะได้ยินเพียงแค่แวบเดียวก็ใจเต้นเป็นบ้าเป็นบออยู่นี่

            “จะไปส่งที่บ้านเหรอ”

            “แล้วเมามั้ย ถ้าเมาจะไปส่ง”

            “งั้นแกล้งเมาก่อนนะ”

            หึ

            แอบได้ยินเสียหัวเราะเบาๆหลุดมาจากลำคอของเขา

            “อย่างมึงอ่ะ ไม่ต้องแกล้งกูก็ส่ง”

            คำพูดของเขาชัดเจนอยู่ในหัว ดังก้องไปมา

            “เหรอ”

            “หยุดยิ้มเลยไอ้ตัวนิ่ม”

            “แหะๆ” ก็คนมันดีใจจนจะบ้า

            ถ้าเมาแล้วพี่กันตามใจแบบนี้ แกล้งเมาทุกวันเลยก็ได้

           

            ไม่เคยมีวันไหนที่ลงสถานีนี้แล้วมีความสุขเป็นบ้าเป็นบอเท่าวันนี้ อยากจะกระโดดโลดเต้นไปมา อาจจะเป็นเพราะว่าเพียงแค่วันเดียว สามารถทำสิ่งที่อยากทำกับเขาได้ถึงสองอย่าง

            อย่างแรกคือขึ้นรถไฟฟ้าด้วยกัน

            อย่างที่สองคือกลับบ้านพร้อมกัน

            “เออ พวกมึงกินกันก่อนเลย” พอเหยียบสถานี คนตัวสูงก็ต่อสายหาเพื่อนแทบจะทันที

            “เลทประมาณครึ่งชั่วโมงว่ะ”

            “เออ กูพาตัวนิ่มกลับบ้านก่อน”

            สรุปว่าผมเปลี่ยนสถานะกลายไปเป็นตัวนิ่มแล้วใช่ไหม

            “ตัวนิ่มมันน่ารักยังไง” บ่นพึมพำกับตัวเอง ขาก็ก้าวเดินไปตามบันไดทางลง ฝ่ามือหนักๆของใครอีกคนวางลงบนหัวของผมแล้วผลักเบาๆ นอกจากจะใจบาปแล้ว คนๆนี้ยังโรคจิตชอบทำร้ายร่างกายชาวบ้าน ถ้าผมตกบันไดลงไปตาย พี่กันจะต้องชดใช้

            “ไม่น่ารัก”

            “งั้นก็เปลี่ยน”

            “ไม่เปลี่ยน”

            หันมองเขาตาขวาง

            “ตัวนิ่มอ่ะดีละ”

            ไม่พูดเปล่า ดันยื่นมือมาดึงแก้มผมซะจนเซไปหาเขา

            “นิ่มๆอ่ะน่ากอด”

            ผมหยุดเดินแล้วปล่อยให้พี่กันเป็นฝ่ายนำออกไป คนตัวสูงหันหลังมาทำท่าจะเป็นฝ่ายเดินตามผม แต่ผมรีบหมุนตัวเขา ผลักแผ่นหลังของเขาให้เดินนำหน้า

            ขืนเขาหันกลับมามองตอนนี้ล่ะก็

            เขาคงจะหัวเราะเยาะ ที่ผมไม่สามารถซ่อนความดีใจเอาไว้ได้

            ฝ่ามือของผมสัมผัสกับแผ่นหลังของคนตัวสูง ผลักเขาเดินตามฟุตบาทไปเรื่อยๆก่อนจะเลี้ยวเข้าที่ซอยเบอร์หก ไม่ไกลจากตัวสถานีรถไฟฟ้าเท่าไร พอเดินเข้ามาในซอยผมถึงได้สังเกตเห็นว่า ฝ่ามือของผมเมื่อวางลงบนหลังของเขา มันเล็กนิดเดียว

            เขาเหมือนหมีตัวโตๆ ผมวาดภาพไว้แบบนั้น

            พลางคิดเพ้อเจ้อไปว่า ผมไม่อยากเป็นจุดเล็กๆในชีวิตของผู้ชายคนนี้เลย

            เพราะตอนนี้พี่กัน เป็นจุดใหญ่ๆในชีวิตของผม ที่ผมไม่สามารถมองผ่านไปได้

            “เลิกดันหลังกูได้ยัง ไอ้ตัวนิ่ม”

            “ก็ได้” ถอนฝ่ามือของตัวเองออก แล้วติดสปีดเดินให้ทันเขา

            เราสองคนเดินอยู่ข้างๆกันในซอยเปลี่ยว มีเพียงแค่แสงไฟจากหลอดตะเกียบที่ให้ความสว่างเป็นหย่อมๆ บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากตัวถนนใหญ่ ดังนั้นเวลากลับบ้านทีไรก็จะชอบเดินแบบนี้คนเดียว มีรถผ่านไปผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่วุ่นวาย

            เดินตอนกลางคืนลมเย็นๆมันสบายใจดีครับ แม้จะโดนเพื่อนสนิทบ่นบ่อยๆว่ามันอันตรายก็เถอะ แต่เดินมาตั้งแต่เด็กก็ยังไม่เคยเจออะไรนะ

            “มึงเดินกลับบ้านแบบนี้คนเดียวเหรอ”

            “อือ”

            “ถามจริง?”

            “ผมก็ตอบจริงๆนะ” มีตรงไหนที่ไม่น่าเชื่อเหรอ

            “กวนกูอีก”

            “ก็เดินแบบนี้บ่อยๆอ่ะ ผมชอบเดิน”

            “แล้วกลับบ้านวันไหนบ้าง”

            “ช่วงนี้ก็เฉพาะศุกร์เสาร์อาทิตย์ ถ้าปิดเทอมก็กลับมาอยู่บ้าน วันไหนไม่มีเรียนเช้าก็จะกลับอ่ะ” เป็นประโยคที่ร่ายยาวที่สุดตั้งแต่คุยกับเขามา

            ไม่รู้สิ ปกติผมเป็นคนสร้างบรรยากาศการสนทนาได้ยอดแย่ถึงขั้นติดลบ พูดง่ายๆก็คือเป็นคนทำเดดแอร์เก่ง ใครชวนคุยมาก็ตอบไปเป็นมารยาทเสร็จแล้วก็หยุดพูดไปซะอย่างนั้น ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร กลายเป็นทำให้อีกฝ่ายเบื่อ

            พอมาอยู่กับพี่กันแล้ว มีหลายเรื่องที่อยากจะพูด เรื่องไร้สาระก็อยากพูด เรื่องมีสาระก็อยากคุย เรื่องส่วนตัวก็อยากถาม กลายเป็นเจ้าหนูจำไมอย่างที่เขาว่านั่นแหละ

            “แล้วก็จะกลับดึกๆแบบนี้เหรอ”

            “ใช่”

            “ไม่กลัวหรือไง”

            “ไม่อ่ะ ไม่มีผีหรอก”

            “กูไม่ได้หมายถึงผี กูหมายถึงโจร”

            “พี่อ่ะเหรอ”

            พี่กันตีหน้ามึน

            “ไรวะ”

            โจรขโมยหัวใจไง

            ไม่พูดออกไปหรอก พูดออกไปเดี๋ยวจะมีคนหัวใจวาย

            “พี่กัน”

            “เรียกชื่อกูอีกแล้ว”

            เอ้า แล้วถ้าไม่อยากให้เรียกชื่อ เขาจะมีชื่อไปทำแมวอะไรอ่ะ

            “ไอ้หมีโฉด”

            “เออดีกูชอบหมี”

            เอ้อ ประหลาดคน เรียกชื่อดีๆไม่ชอบ ชอบเป็นหมี

จะว่าไป เขาคงจะชอบหมีมากๆสินะ แถมเป็นหมีบราวน์หัวกลมหน้าเดียวด้วย ผมว่าผมเคยสังเกตเห็นพวงกุญแจที่เขาห้อยติดกระเป๋ากีฬา

            ความชอบของเขาทุกอย่าง ผมจดบันทึกไว้ในส่วนลึกของสมอง

            “ผมชอบกระต่าย”

            “อยากให้กูเรียกมึงน้องต่ายว่างั้น”

            “ใช่”

            “ตัวนิ่ม”

            “ไอ้…”

            “น่ะๆ หยุดเลย กูเป็นพี่มึงนะ”

            “ครับ”

            พูดพลางเบะปากใส่เขาแบบกวนประสาท เลยโดนผลักหัวไปอีกรอบ

            เดินไม่นานก็ถึงหน้าบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ มีสนามหญ้าอยู่ในตัว ตัวบ้านปิดไฟมืดแล้วบ่งบอกว่าแม่ผมคงหลับไปแล้วแน่ๆ พรุ่งนี้เขาทำงานแต่เช้านี่เนอะ พอเปิดรั้วออกผมก็เดินเข้าไปเปิดไฟโรงรถที่มีรถเก๋งสีขาวจอดอยู่ หน้าประตูบ้านมีกรงนกแก้วกรงเล็ก มีนกแก้วสีเขียวสลับแดงหน้าตาน่ารักอยู่ข้างใน แม่บอกว่าเลี้ยงไว้แก้เหงาเวลาผมไม่อยู่บ้าน

            หันไปมองใครอีกคนที่ยืนสำรวจบ้านผมอยู่ไม่ยอมขยับไปไหน

            “พี่กัน”

            “บอกว่าอย่าเรียกชื่อ”

            “ก็อยากเรียกอ่ะ” เขาทำหน้าไม่พอใจอีกแล้ว

            ยังไงก็จะเรียกไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะชอบ ตั้งใจไว้ว่าแบบนั้น

            “มีไร”

            “เข้ามานั่งเล่นก่อนมั้ย แม่หลับไปแล้ว”

            “ไม่อ่ะ กูมีนัดกับเพื่อน จำได้มั้ย”

            อ่อ … ผมดันลืมไปซะสนิทเลยว่าเขานัดกินข้าวกับเพื่อนฝั่งนี้

            แต่แค่นี้ก็พอแล้ว แค่ได้ขึ้นรถไฟฟ้ากับเขา ได้เดินกลับบ้านพร้อมกับเขา แค่นี้ผมก็สามารถอยู่ต่อไปได้อีกสามสี่วันโดยที่ไม่ต้องเจอเขา มันอิ่มเหมือนกับได้กินข้าวตุนเอาไว้ในพุง แต่กับเขา ผมตุนความรู้สึกดีๆเหล่านี้เอาไว้ในใจ จนมันล้นแล้วล้นอีกก็ยังไม่รู้สึกพอ

            คนตัวสูงเพิ่งจะสังเกตเห็นนกแก้วที่แม่ผมเลี้ยงเอาไว้ เลยสนอกสนใจเข้ามาดูใกล้ๆ เขาน่าจะเป็นประเภทชอบสัตว์ หลังจากที่เคยเห็นเขาพูดกับหมาเป็นเรื่องเป็นราวมาแล้ว

            ซักวันคงไปเที่ยวสวนสัตว์กับเขา เพราะผมเองก็ชอบสัตว์เหมือนกัน

            “มีชื่อป่ะ”

            “กอด”

            “ห๊ะ”

            “แม่ผมตั้งชื่อให้เหมือนผมอ่ะ เวลาเหงาๆก็เหมือนมีลูกอยู่ด้วย”

            เขาพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ นิ้วเรียวๆลูบเบาๆลงบนหัวของกอดเวอร์ชั่นสอง

            “มันคือกอดเวอร์ชั่นสอง”

            “เหรอ … แต่กูชอบเวอร์ชั่นแรกมากกว่า”

            กระพริบตาปริบๆมองเขา ใครอีกคนไม่ได้หันมามองว่าผมจะทำหน้าแบบไหน หากแต่สนใจอยู่กับนกแก้วตัวอ้วนพีเหมือนมันน่ารักนักน่ารักหนา

            ผมเอามือแนบแก้มของตัวเองที่ร้อนผ่าวๆเหมือนซึ้งนึ่งซาลาเปา วันนี้รู้สึกหูชักจะฟังอะไรเพี้ยนๆเยอะเกินไป คงเป็นเพราะเมาแน่ๆ ใช่ ผมเมานั่นแหละ

            “มันพูดได้ป่ะ”

            “พูดได้ แต่ต้องนำทางมันหน่อย” ยื่นหน้าไปใกล้ๆไอ้กอดเวอร์ชั่นสองแล้วพูดเบาๆ “แก้วจ๋า”

            “แก้วจ๋า!”

            “เช้ด แจ่ม” พี่กันหัวเราะออกมาเหมือนเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ ผมยืนมองเขาเงียบๆ

            รอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง การเห็นเขามีความสุขมันทำให้ผมมีความสุขมากๆเช่นกัน ผมเคยบอกว่ายิ้มมุมปากของเขาเหมือนกระสุน ดังนั้นยิ้มกว้างๆของเขาก็คงจะเป็น…

            กระสุนสามพันนัดพุ่งทะลุร่างในคราเดียว

            เวอร์ไปมะ

            ไม่หรอก

            “แก้วจ๋า สวัสดีจ๊ะ กอดกอด”

            “เออน่ารักว่ะ”

            “แก้วจ๋า กอดกอด”

            แล้วเขาก็เกาหัวเกาคอกอดเวอร์ชั่นสองอย่างสนุกมือ เล่นจนพอใจ จนกระทั่งเพื่อนของเขาโทรตามยิกๆนั่นแหละเจ้าตัวถึงจำต้องหยุดเล่น ถึงจะหยุดเล่นแต่ก็ยังเอามือไปคลอเคลียนกแก้วตัวโปรดของแม่ไม่ยอมหยุด

            “ไปละ พรุ่งนี้เจอกัน”

            ผมที่กำลังรู้สึกเสียดายว่าต้องจากกันอีกแล้วสินะถึงกับเงยหน้ามองเขา สีหน้าจริงจังนั่นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น

            เจอกันเหรอ

            ทั้งๆที่แค่วันนี้วันเดียว ก็ทำให้คลายความคิดถึงเขาไปได้อีกหลายวัน

            แต่พอพูดแบบนี้แล้ว ก็อยากเจอเขาทุกๆวันเลย

            “ที่ไหนอ่ะ”

            “บอกก็รู้ดิ”

            อ้าว ไอ้พี่บ้า

            “พรุ่งนี้กูมีเตะบอลตอนหกโมงเย็น”

            เผลอยิ้มออกมาอีกแล้ว พยายามจะซ่อนมันไว้ แต่ก็ห้ามไม่ได้จริงๆ

            “ฝันดีตัวนิ่ม”

            “ฝะ…”

            พูดยังไม่ทันจบ ไอ้กอดเวอร์ชั่นสองก็พูดแทรกขึ้นมา

            “ฝันดีจ้า ฝันดีจ้า รักกัน กอดกันน๊า”

            หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นมาแบบหยุดไม่อยู่ คนตัวสูงชะงักไปแล้วหันมามองผม

            ลืมไปเลยว่าผมชอบพูดทักทายกับมันแบบนี้เสมอเวลาก่อนนอน ซึ่งไอ้คำว่ารักกัน กอดกันเนี่ย เมื่อก่อนมันเป็นเรื่องปกติเวลาได้ยิน แม่ก็ชอบพูดประโยคนี้กับมันบ่อยๆ

            แต่มันไม่ปกติก็เพราะตอนนี้ ผมแอบชอบผู้ชายที่มีชื่อว่า

            ‘กัน’

            ซึ่งผู้ชายชื่อกัน ก็ยืนอยู่ด้านหน้า

            “รักกัน กอดกันน๊า”

            แล้วมันก็ไม่ยอมหยุดพูดด้วย ไอ้กอดเวอร์ชั่นสอง ไอ้นกบ้า

            “มึงสอนมันเหรอ” เขาเอ่ยถาม

            ตอบไงดี ตีมึนไปก่อนดีมั้ย

            “เปล่า”

            “เหรอ”

            “อือ”

            เราสองคนจ้องตากันอยู่นาน ไอ้นกบ้าก็ไม่ยอมหยุดร้องสักที ผมเม้มริมฝีปากของตัวเอง ใจเต้นรัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

            “กอดกัน” น้ำเสียงโมโนโทนดังออกมาแผ่วเบา แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน

            “…”

            “ก็น่ารักดี”

            พูดจบก็จ้องมองมาที่ผมไม่วางตา เหมือนจะรอดูปฏิกิริยาตอบสนองว่าผมจะไปทางไหนต่อ สายตาสงบนิ่งของเขา ทำให้หน้าผมร้อนฉ่าจนต้องเอาฝ่ามือสองข้างมาปิดใบหน้าของตัวเอง

            ตาย

            ตายแล้ว

            ผมกำลังจะตาย

            “กอด”

            สะดุ้งเบาๆเมื่อโดนเรียกชื่อ ไม่รู้หรอกว่าพี่กันจะรู้สึกแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่พอเวลาโดนเรียกชื่อทีไร หัวใจก็เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก นับเป็นคำต้องห้ามเลยก็ว่าได้

            แต่ก็ดันรู้สึกดีเป็นบ้า เวลาเขาเรียกชื่อออกมาแบบนั้น

            ทั้งชอบทั้งเกลียด เป็นความรู้สึกประมาณนั้นเลย

            “เป็นอะไร”

            “…”

            “ตัวนิ่ม”

            “แกล้งตายอยู่”

            “นั่นท่าแกล้งตายของมึงเหรอ”

            พยักหน้าตอบเขาเบาๆทั้งๆที่ยังปิดหน้าตัวเองอยู่

            ให้เขาเห็นไม่ได้หรอกว่ากำลังยิ้มกว้างอยู่ เขินตายเลย

            “กูเป็นหมีดุนะ”

            “พี่จะฆ่าผมเหรอ” ลดระดับมือลงเล็กน้อยเพื่อสบตากับเขา พี่กันส่งยิ้มจางๆมาให้

            “อือ”

            “จริงเหรอ”

            “เออ เอาให้ตายคาอกเลย

            ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดแรงที่จะต่อต้านผู้ชายคนนี้ นั่งกอดเข่าอยู่เงียบๆคนเดียวพร้อมกับเสียงหัวเราะทุ้มนุ่มเบาๆที่ลอยมาจากที่ไกลๆ

            “ฝันดี ไอ้กอด”

            เสียงฝีเท้าไกลออกไปพร้อมกับผมที่ค่อยๆเงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างๆของพี่กัน

            ฝันดีครับ

            พี่กัน

            คุณหมีของผม





// เจอหมีให้แกล้งตาย เจอผู้ชายให้แกล้งเมา
ถ้าเจอหมีผู้ชายอย่างพี่กัน ก็ขอตายคาอกก็แล้วกันค่ะ ฮืออ
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_



หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 10-05-2017 13:45:46
คนอ่านก็ทรุดลงไปตายข้างน้องกอดตัวนิ่มเช่นกัน :katai1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 10-05-2017 14:31:56
พี่หมีกะตัวนิ่มใครอ่อยแรงกว่ากัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 10-05-2017 16:07:19
โอ้ยยยยยย อิพี่หมีดุ โง้ยยย ตัวนิ่มแข้งขาอ่อนหมดล้าว
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 10-05-2017 16:33:23
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: PiiNaffe ที่ 10-05-2017 18:58:27
พี่กันดูเป็นผู้ชายดุๆ แต่จริงๆแล้วน่ารักจังเลยยยย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-05-2017 19:03:52
เจอแบบนี้ตายแปป   :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 10-05-2017 19:52:13
หยอดหนักมากกกกก พี่กัน สงสารน้องกอดบ้างเถอะ แต่ทำไมคนอ่านช๊อบชอบบบบ อะคริ อะคริ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 10-05-2017 19:59:26
แกล้งตายเป็นเพื่อนน้องกอด ฮื่ออออ อิพี่กันจู่โจมแรงมากกกก :sad2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Yysll ที่ 10-05-2017 20:14:19
ทำไมน่ารักอย่างนี้
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-05-2017 21:23:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 10-05-2017 21:37:48
นี่มันไม่ใช่หมีดุแล้ว หมีอ่อย !!
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 11-05-2017 12:55:08
เสพความหวานจนหมดแรงเจ้าค่ะ
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 11-05-2017 13:37:10

เรื่องนี้น่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 11-05-2017 16:40:23
หวีดแรง หยอดกันถี่อะไรขนาดนี้  :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 6 {10.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: rikulism♡ ที่ 11-05-2017 21:18:39
ง่าา น่าร้ากกกก  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 21-05-2017 13:12:03
Chapter 7
ห่วงเธอเท่าห่วงยาง

 

          กลิ่นแกงจืดหอมๆลอยมาจากห้องครัวขณะที่กำลังเดินลงจากชั้นสอง นอกจากนั้นก็ยังมีกลิ่นไข่เจียวแทรกเข้ามา เช้าๆแบบนี้การได้กลิ่นอาหารโชยเข้าจมูกเรียกน้ำย่อยของผมได้ดีทีเดียว

            ขาของผมสัมผัสกับพื้นกระเบื้องไม้สีอ่อน สีอ่อนๆแบบนี้ทำให้ตัวบ้านที่แคบๆดูกว้าง โดยเฉพาะบริเวณที่เคยเป็นผนัง ตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นกระจกบานใสจนสามารถมองเห็นสนามหญ้าขนาดเล็กหน้าบ้านได้อย่างชัดเจน ขาสองข้างก้าวเดินออกไป มีจุดหมายคือห้องครัวเล็กๆที่ยื่นออกไปจากตัวบ้าน

            เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นต่างจากการอยู่หอ ถ้าถามว่าตัวผมชอบอยู่หอหรือบ้านมากกว่ากัน ก็ตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่าที่บ้านนี่แหละคือสถานที่ที่ผมชอบที่สุดแล้ว

            เข้ามาในครัวที่จัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะไม่ค่อยมีคนอยู่บ้านจึงไม่ค่อยมีใครปรับเปลี่ยนที่ของสิ่งของ ถึงผมจะหายไปสี่ห้าวัน กลับมาก็ไม่เปลี่ยนแปลง

            ผู้หญิงวัยกลางคนยืนหันหลังอยู่ ฮัมเพลงเบาๆพลางคนแกงจืดให้เข้ากันอย่างอารมณ์ดี นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ตัวเองมีงานแปดโมงแต่ก็ไม่ยักจะรีบร้อนอะไร

            “หอมอ่ะ”

            คำทักทายคำแรกดังขึ้นแผ่วเบา แม่สะดุ้งแล้วหันมามองผม ฉีกยิ้มกว้างแล้วปรี่เข้ามากอด โยกตัวไปมาเหมือนสมัยผมยังเด็ก

            “คิดถึงจังเลย แม่เห็นเมื่อวานกลับดึกเลยไม่อยากไปปลุก”

            “พอดีสายรหัสนัดเลี้ยงข้าวกันอ่ะ กอดเลยต้องไป”

            จริงๆไม่ใช่ข้าวหรอก นัดเลี้ยงเหล้าต่างหากล่ะ

            ขืนบอกคุณนายเขาล่ะก็ โดนบ่นแน่ๆ

            “แล้วเมื่อคืนกลับมากับใคร คนเดียวเหรอ”

            “มีคนมาส่งครับ”

            “ถึงว่าล่ะ เมื่อวานเจ้ากอดมันร้องไม่ยอมหยุด แม่สะดุ้งตื่นเลยเนี่ย”

            ได้ยินแบบนั้นก็หน้าขึ้นสีซะเฉยๆ อาจจะเป็นเพราะดันนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน คนตัวสูงมาส่งถึงที่บ้าน ไอ้กอดเวอร์ชั่นสองก็ดันโดนผีนกบ้าเข้าสิงร้องไม่ยอมหยุด

            “ใครมาส่งล่ะ”

            “เพื่อนอ่ะ”

            แม่พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติมอีก คงนึกว่าเป็นเจ้าเพื่อนสนิทคนนั้นนั่นแหละ ซึ่งผมก็คงปล่อยให้แม่คิดแบบนั้นต่อไป เพราะปกติมีเพื่อนแค่ไม่กี่คน ทั้งพี่รหัส ลุงรหัส ปู่รหัส และเพื่อนสนิท ทั้งหมดนั่นแม่ผมก็รู้จักหมดแล้ว ดังนั้นถ้าขืนบอกว่าเป็นรุ่นพี่ต่างมหาลัยล่ะก็

            โดนซักยาวถึงพรุ่งนี้เช้าแน่ๆเลย

            “วันนี้เย็นไปกินข้าวกันนะ” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความดีใจ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่

            ผมเกาขมับตัวเองเล็กน้อย ตารางชนกันดังปังเลย เพราะวันนี้พี่กันเตะบอลหกโมงเย็น

จะปฏิเสธก็ทำไม่ได้เพราะแม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนก่อนตั้งนานแล้ว

            อ่า ถ้าผมไปหาเขาช้าหน่อย เขาจะโกรธผมไหมนะ

            แล้วถ้าเขาโกรธล่ะ ผมจะขอโทษแบบไหนดี

           





            หลังจากกินอาหารญี่ปุ่นกับแม่เสร็จ ก็รีบขึ้นรถไฟฟ้าไปที่มหาวิทยาลัยของพี่กัน   

            นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่ม เลทไปสองชั่วโมง

            สุดท้ายก็มายืนหอบแฮ่กอยู่หน้าสนามบอล ครั้งนี้เป็นการมาเยือนครั้งที่สองของผม ไฟสนามบอลปิดไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่มีผู้คนเตะบอลอยู่ในสนาม เป็นเพียงสนามหญ้าโล้นๆเตียนๆ

            ผมพลาดอย่างมหันต์เลยล่ะ

            แย่จริงๆ ทั้งๆที่เขานัดเอาไว้ก็ดันพลาดซะได้

            ถ้าเจอกัน ก็อยากจะขอโทษเขา หวังว่าเขาจะไม่โกรธนะ

            “อ้าว น้อง”

            น้ำเสียงทุ้มๆดังขึ้นจากทางด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็เจอกับคนคุ้นเคย

            เพื่อนเบอร์หนึ่งของพี่กันที่เจอกันที่ห้องสมุดที่สยามเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาถือของพะรุงพะรัง กระเป๋าหลายๆใบพาดอยู่บนบ่าเหมือนไม่ได้มีเพียงแค่ของตัวเอง แต่หิ้วเผื่อคนอื่นๆด้วย

            “มาหาไอ้กันเหรอ” พยักหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อตอบคำถาม

            “มันอยู่โรงพยาบาลอ่ะ”

            ห๊ะ

            กระพริบตาปริบๆเหมือนหูฝาดไป

            “โรงพยาบาล?” ถามทวนคำพูดของคนตรงหน้าอีกครั้ง

            ไปทำอะไรที่โรงพยาบาลอ่ะ

            “มันแขนหัก เลือดอาบเลย”

            หัวใจกระตุกวูบ

            แล้วเขาเป็นอะไรมากมั้ย เจ็บมากหรือเปล่า ... ถามอะไรโง่ๆไอ้กอด แขนหักเลือดอาบก็ต้องเจ็บมากๆอยู่แล้ว เขาก็เป็นคนนะ

            ตอนนี้ในใจของผมว้าวุ่นไปหมด ทั้งกังวล ทั้งเป็นห่วง อยากจะรีบไปเจอเขา อยากจะถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ทำไมถึงได้ร้อนรนขนาดนี้

            “ไปด้วยกันป่ะ นี่ของไอ้กัน พี่กำลังจะไปหามันที่โรงบาล”

            ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด ผมยื่นมือออกไป ต้องการที่จะช่วยเขาถือของ เพราะลำพังตัวเขาเองก็ดูจะหนักเอาเรื่อง เขาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยื่นกระเป๋าของคนที่ผมกำลังเป็นห่วงจนแทบบ้ามาให้

            “ถือของมันแล้วกัน ถ้าไอ้กันรู้ว่าน้องถือให้ มันคงหายเร็ว”

            รถเก๋งสี่ประตูตรงดิ่งออกจากมหาลัย จุดมุ่งหมายปลายทางคือโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ผมนั่งเงียบ กัดริมฝีปากของตัวเองไปเรื่อย เหงื่อผุดซึมขึ้นมาตามง่ามนิ้วมือจนต้องถูมันเบาๆกับกางเกง กอดกระเป๋าสีดำที่มีหัวหมีบราวน์ห้อยอยู่ พลางภาวนาในใจขออย่าให้เขาเป็นอะไรมาก

            รถจอดลงที่หน้าโรงพยาบาล หัวใจเต้นรัวหนักขึ้นกว่าเดิม ทั้งผมและเพื่อนของพี่กันต่างก็รีบลงจากรถเพื่อตรงไปยังแผนกฉุกเฉิน มองไกลๆเห็นกลุ่มเพื่อนของเขาห้าหกคนยืนออกันอยู่ด้านหน้าห้อง แต่ละคนมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร ยิ่งทวีความเป็นห่วงของผมให้มากขึ้นกว่าเดิมเมื่อไม่เห็นคนตัวสูงที่ได้ยินมาว่าแขนหัก

            ยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินเหรอ           

            อาการหนักเหรอ

            ปล่อยให้เพื่อนเบอร์หนึ่งของพี่กันเดินนำไป ผมถอยหลังทีละก้าว รีบเดินตรงออกไปจากโรงพยาบาล สายตากวาดหาร้านขายยาที่ใกล้ที่สุด

            กวาดมาสารพัดยาที่สามารถซื้อได้ แล้วรีบตรงดิ่งกลับมาที่โรงพยาบาล

            ด้านหน้าห้องฉุกเฉินจากที่มีกลุ่มคนห้าหกคน ตอนนี้เหลือเพียงแค่เพื่อนเบอร์หนึ่งกับเพื่อนเบอร์สองของพี่กันที่ยืนอยู่หน้าห้อง ยืนบังใครสักคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้

            เห็นแค่ขาก็รู้แล้วว่าใคร

            ฝ่ามือของพี่กันดันตัวเพื่อนสองคนให้ออกห่าง เหลือเป็นช่องโหว่ระหว่างกลางที่สามารถมองตรงมาแล้วเห็นผมพอดิบพอดี สภาพของเขาดูไม่จืดเลย ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบดิน กลุ่มผมยุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งตื่นนอน ไหนจะเสื้อบอลของเขาที่ดำเป็นปื้นเพราะโคลนจากสนามบอล มากไปกว่านั้นมือของเขาถูกพันเป็นมัมมี่ แต่แขนดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรมาก

            พอเห็นแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้นมา

            ใต้ตาร้อนขึ้นมาเฉยๆ จากที่จะก้าวเดินตรงเข้าไปหาเขา กลับทำได้แค่ยืนนิ่งๆ

            เขาจะรู้มั้ยว่าผมเป็นห่วงเขามากๆ

            นัยน์ตาสีสวยจับจ้องมาที่ผมไม่ละสายตา เหมือนกำลังพินิจพิจารณาว่าที่ยืนอยู่ใช่ผมจริงๆหรือไม่

            “กอด” พอเขามั่นใจว่าใช่ผมแน่ๆ ก็กวักมือยิกๆให้เข้าไปหา

            มาหยุดยืนตรงหน้าพี่กัน สำรวจสภาพร่างกายของเขาทุกตารางนิ้ว ไม่ได้แขนหักอย่างที่เพื่อนเขาว่าเอาไว้ แต่มือซ้ายน่าจะสาหัสเอาการเพราะมีเลือดซึมออกมาด้วย

            “ไหนคนนี้บอกแขนหักอ่ะ”

            ชี้นิ้วใส่เพื่อนเบอร์หนึ่งของเขา เพื่อนพี่กันสะดุ้งโหยง หันมายิ้มแห้งๆเป็นเชิงแก้ตัว คนตัวสูงส่งสายตาอาฆาตแล้วยกเท้าถีบบั้นท้ายเพื่อนอย่างแรง

            “พวกเวร”

            “อ้าว ก็เห็นน้องเป็นห่วง”

            “มึงเลยไซโคให้กูอาการหนักว่างั้น”

            “ใช่จ๊ะเพื่อนรัก”

            “ฟวย มึงเห็นหน้ามันมั้ย จะร้องไห้ละเนี่ย”

            “พี่ขอโทษนะน้องกอด”

            “ผมไม่ให้อภัย”

            เพื่อนเบอร์หนึ่งของพี่กันถึงกับหน้าซีดเมื่อผมตอบออกไปแบบนั้น

            ของแบบนี้มันใช่เรื่องเล่นซะที่ไหนกัน

            โดนถีบซะได้ก็ดี

            “แล้วเอาไง จะกลับกับพวกกูป่ะ ไม่เนอะน้องมาหาแล้ว เราก็หมดความสำคัญ”
           
            “ใครเล่าจะสำคัญเท่าน้อง พวกเรามันลูกเมียน้อย”

            “เออ แต่ถ้าลูกเมียน้อยไม่อยากโดนยิง…”

            “ลาก่อยย” เพื่อนสองคนของพี่กันรีบชิ่งหนีออกไป

            บรรยากาศรอบๆตัวเงียบลงอีกครั้ง กลิ่นของโรงพยาบาลที่ไม่ว่าจะเหยียบเข้ามาทีไรก็ฉุนจมูกทุกครั้งไป เป็นสถานที่ที่ผมไม่ชอบมาเหยียบเท่าไร เพราะถ้ามาทีไร ก็หมายถึงคนใกล้ตัวที่เจ็บป่วย หรือไม่ก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่เจ็บป่วย

            ผมยืนมองมือของเขาเงียบๆ ฝ่ามือของผมกระชับถุงพลาสติกบรรจุสารพัดยาและอุปกรณ์ทำแผลที่ไปเหมามาจากร้านขายยา ซื้อมาซะเยอะซะแยะเพราะเป็นกังวลว่าแผลเขาจะหนัก เอาเข้าจริงๆ ซื้อมาเยอะขนาดนี้ ใช้ได้เป็นปีเลยมั้ง

            พอเห็นว่าผมจ้องมือของเขานานไปหน่อย เจ้าตัวถึงได้โพล่งขึ้นมาเบาๆ

            “ไม่ต้องห่วง แค่มือเอง”

            ทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา พลางยื่นถุงยาให้โดยไม่หันไปมอง

            “ซื้อมาให้เหรอ”

            “อือ”

            พี่กันรับถุงยาไปอย่างว่าง่าย แหวกดูอยู่พักหนึ่งก็หลุดหัวเราะออกมา

            “ตลกเหรอ”

            “เปล่า”

            “แล้วขำทำไม”

            “กูจะขำ มีปัญหาอะไรป่ะ”

            มี … มีปัญหามากๆเลยด้วย

            พี่ทำให้ผมเป็นห่วง

            แล้วถ้าผมเป็นห่วงใครล่ะก็ คนๆนั้นต้องสำคัญกับผมมากๆ

            “ทำไมวันนี้มาช้าจัง” พอเห็นผมเงียบไป เขาก็ทักขึ้นมาอีก

            “ไปกินข้าวกับแม่อ่ะ”

            “เหรอ ว่าจะชวนกินข้าวซะหน่อย อิ่มแล้วอ่ะดิ”

            “กินได้เรื่อยๆ”

            เนียนมาก ทั้งๆที่ตอนนี้ยังรู้สึกอิ่มอยู่เลย

            แต่ก็อยากไปด้วย

            “ห่วงยางกี่ชั้นแล้วล่ะ” พูดจบก็เอามือข้างที่สบายดีมาตีพุงผมเล่นแบบไร้มารยาทอีก นี่ถ้าไม่ติดที่ว่าแอบชอบเขาล่ะก็ ซัดคอหลุดไปแล้วจริงๆนะ

            “กินไรอ่ะ”

            “อยากกินอาหารญี่ปุ่น”

            กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

            ก็เมื่อกี้เพิ่งกินอาหารญี่ปุ่นมา

            “กินอย่างอื่นได้ป่ะ”

            “กูจะกินอาหารญี่ปุ่น”

            กินก็กิน จะกินอาหารญี่ปุ่นก็ไม่ต้องมาทำหน้าดุใส่กันสิ ไม่ได้บอกว่าไม่ให้กินซะหน่อย

            สุดท้ายเราสองคนก็มาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นภายในห้างสรรพสินค้าข้างโรงพยาบาล คนตัวสูงสั่งอาหารที่เขาชอบ นั่นก็คือข้าวหน้ากุ้งเทมปุระ ส่วนผมสั่งราเมนร้อนๆมากินเพราะไม่ค่อยหิวเท่าไร

            พี่พนักงานมองพี่กันแปลกๆเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเหมือนเพิ่งตกถังขยะมา ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่นนี่ก็หรูขัดกับสภาพหัวยุ่งเหยิงของเขาโดยสิ้นเชิง

            สำหรับผม เวลากินข้าวเย็นของคนปกติน่าจะเป็นเวลาหกโมงเย็น แต่คนส่วนมากมักจะชอบกินข้าวเย็นในเวลาค่ำอย่างหนึ่งทุ่ม สองทุ่ม หรือสามทุ่ม ยกตัวอย่างเช่นผู้ชายตัวสูงตรงหน้าผม ที่กินวันละหลายๆมื้อ โดยเฉพาะมื้อค่ำหลังสามทุ่มขึ้นไป ไม่เคยขาดเลยจริงๆ

            อาหารที่นี่ใช้เวลาไม่นานก็มาตั้งหอมฉุยส่งกลิ่นยั่วจมูกอยู่บนโต๊ะ พี่กันกินแบบไม่สนใจสิ่งรอบกาย ผิดกับผมที่สนใจเขามากกว่าราเมนนิดหน่อย

            ราเมนร้านนี้ไม่ใช่เมนูแนะนำเหมือนอย่างข้าวหน้าหมูชีส หรือข้าวหน้าปลาแซลมอน แต่เป็นเมนูลับที่ไม่ค่อยมีใครสนใจจะสั่งเท่าไร น้ำซุปเข้มข้นหอมกลิ่นเต้าเจี้ยวผสมกับงาขาว รสชาติหวานมันเค็มผสมกันอย่างลงตัว มีทั้งไข่ หมู และต้นหอมญี่ปุ่น เป็นเมนูโปรดของผมที่เมื่อมาร้านนี้เมื่อไรก็จะสั่งเหมือนเดิมทุกครั้ง

            “พี่กัน”

            “สรุปว่าจะเรียกชื่อกูใช่มั้ย” ปากบ่นใส่แต่ก็ยังกัดกุ้งอย่างเอร็ดอร่อย

            ผมพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบคำถามว่าจะเรียกชื่อเขาไปเรื่อยๆนั่นแหละ เพราะพอได้เรียกชื่อเขา มันเหมือนได้เพิ่มเลเวลความสนิทเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง พอคนตัวสูงเห็นแบบนั้น ก็ไม่ได้ว่าอะไร คงจะเริ่มชินแล้วล่ะมั้ง

            “เจ็บมือป่ะ”

            “นิดนึง”

            “เหรอ”

            “เหรอไร” นัยน์ตาคู่สวยละจากข้าวขึ้นมาสนใจผม

            “ไม่มีไร”

            “เป็นห่วงกูอ่ะดิ”

            ก็ใช่ไง

            “อย่าห่วงเลยกูอ่ะ ห่วงกันดีกว่า”

            เอาอีกแล้ว คำพูดแบบนี้ของเขามันหลุดออกมาจากปากง่ายๆเหมือนไม่ต้องคิด แต่กลับทำให้ผมคิดมากซะจนใจสั่นไปหมด

            “จริงจังนะ”

            “แล้วใครว่ากูเล่นอ่ะ”

            เบ้ปากใส่เขา พอเห็นว่าเขากินข้าวแห้งๆนั่นอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ถึงเขาจะเป็นคนกินง่าย แต่ก็อยากให้เขาได้ลองอะไรที่มันอร่อยๆสไตล์ที่ผมชอบบ้าง

            “พี่กัน”

            “ว่า”

            “ชิมป่ะ” ดันชามราเมนไปตรงหน้าเขา

            “ไม่กินหรือไง”

            “เปล่า มันเป็นเมนูลับอ่ะ ไม่ค่อยมีใครสั่ง แต่อร่อยมากนะ ลองชิมดู”

            พี่กันตักน้ำซุปไปชิม ผมนั่งลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าเขาจะชอบมั้ย

            “เออ อร่อยว่ะ”

            เม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้มเอาไว้

            เวลาเขาชอบอะไรเหมือนๆกับเรานี่มัน รู้สึกดีจริงๆ

            “กินเยอะๆนะ”

            “ไม่เอาอ่ะเดี๋ยวมีห่วงยาง”

            ยิ่งย้ำถึงห่วงยาง ก็ยิ่งอยากจะตีเขา

            “ละไม มีห่วงยางก็ดี น้ำท่วมโลกผมก็ไม่ตาย”

            “เหรอ”

            “ใช่”

            “แล้วถ้าน้ำท่วมโลกจริงๆ จะปล่อยให้กูตายป่ะ”

            คำถามโลกแตกถูกส่งมา ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาล่ะก็ ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายเลย

            “ไม่อ่ะ จะให้เกาะห่วงยางไปนะ”

            “ใจดีจัง เป็นห่วงกันอีกละ”

            “ก็ห่วงกันเท่าห่วงยางอ่ะแหละ”

            “แค่กๆ”

            คนข้างหน้าถึงกับสำลักน้ำราเมนไอเป็นวรรคเป็นเวร น้ำหูน้ำตาไหล ถึงจะดูทรมานแต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกแบบนี้สินะ เวลาเห็นใครอีกคนตกใจหรืออึ้งไปเพราะคำพูดของเรา

            พี่กันคงจะชอบอกชอบใจน่าดูเวลาเห็นผมทำหน้าเงิบเพราะคำพูดของเขา

            “ถ้างั้นมึงกินเยอะๆ” ชามราเมนถูกผลักกลับมาหาผม

            “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวห่วงยางใหญ่”

            “ใหญ่ๆอ่ะดี จะได้ห่วงกันม๊ากมาก”

            พูดจบก็ยักคิ้วส่งมาให้ หัวใจระเบิดดังตู้มท่วมทุ่งข้าวสาลี

            บรรยากาศการกินข้าววันนี้ต่างไปจากทุกๆวัน อาจจะเป็นเพราะปกติแล้วผมจะสนใจอาหารตรงหน้าเท่าๆกับเขา แต่วันนี้ผมสนใจเขามากกว่าอาหารตรงหน้า ยิ่งเห็นเขาทำหน้าเบ้เวลาขยับมือซ้ายแล้ว ก็ยิ่งเป็นห่วง

            ถ้ามีคาถารักษาแผลได้อย่างในหนังล่ะก็ ผมอยากจะเสกให้เขาหายจากอาการเจ็บปวดนั่นไวๆ

            จะว่าไป ล่าสุดดูหนังเมื่อตอนไหนกันนะ

            สายตาของผมเหลือบไปมองป้ายโฆษณาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ข้างบันไดเลื่อน ภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องที่ผมชอบถูกนำกลับมาฉายอีกครั้งตามเสียงเรียกร้องของผู้คน และมันก็จะฉายอีกเพียงไม่กี่วันก่อนจะออกจากโรง

            ผมยังไม่เคยดู เคยแต่อ่านหนังสือที่แปลจากภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นถ้าได้ไปดูกับเขาล่ะก็

            คงจะดีมากๆเลยเนอะ

            จะชวนเขาไปดูหนังตรงๆเลยดีมั้ย

            หรือว่า

            “พี่กัน”

            “อะไร”

            “ได้ตั๋วหนังมาฟรีสองใบอ่ะ ไปดูด้วยกันป่ะ อยากขอโทษที่วันนี้มาช้าอ่ะ”

            คนตัวสูงมองผมเงียบๆ บรรยากาศกดดันเข้ามาแทนที่ เขาทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไรที่ผมได้ตัวฟรี แต่สุดท้ายก็ยอมตอบตกลง

            “อืม เอาดิ วันไหนอ่ะ”

            “พรุ่งนี้อ่ะ”

            “ได้ กูจะรอ”

            ดีใจจนอยากจะเป็นบ้า ไม่รู้จะไประบายลงที่ไหนสุดท้ายก็ทำได้แค่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะพลางดีดขาไปมาเหมือนเด็กๆ

            ก่อนอื่นก็ … พรุ่งนี้ต้องรีบมาซื้อตั๋วหนังสองใบล่ะนะ





// พูดถึงความมุ่งมั่น ต้องยกให้น้องกอดอ่ะนะ สายเปย์อ่ะค่ะ
เปย์ให้สุด แล้วหยุดที่จน
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_

 
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-05-2017 14:17:57
 :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 21-05-2017 14:54:22
จีบกันๆ>\\<
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-05-2017 14:58:39
โอ๊ยยยยย เดี๋ยวห่วงยางเดี๋ยวห่วงกัน :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 21-05-2017 16:24:10
จะน่ารักไปไหนนนน :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-05-2017 17:07:02
 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 21-05-2017 17:20:30
แหม่ น้องกอด ตั๋วหนังฟรีสองใบ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 21-05-2017 18:34:25
จะจีบกันต้องพร้อมเปย์ใช่มั้ยน้องกอด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 21-05-2017 19:09:09
น้องกอดขี้เปย์อีกแล้ว  :hao3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: rikulism♡ ที่ 22-05-2017 00:52:27
ง่าากอดน่ารักจังเลยย อยากจับมาบีบแก้ม-/- ส่วนอิพี่ก็หยอดเก่งงง :impress2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 22-05-2017 09:37:25
สายหยอด สายเปย์ ก็มา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Viewonohm ที่ 22-05-2017 14:21:34
น่ารักมากเลยย  :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 24-05-2017 08:32:01
สายเปย์ตัวจริง 555555555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 26-05-2017 11:06:43
ฮือออ เนื้อเรื่องน่ารักมากกกก
อยากอ่านฝั่งพี่กันเป็นคนบรรยายบ้างเลยค่ะ
ฮือ ฟินมาก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 26-05-2017 19:32:49
สายเปย์ยกให้น้องกอดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 27-05-2017 15:20:24
น่ารักมากกกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 29-05-2017 13:45:49
 :o8: มีความเขินอายยยยยยย รักกัน กอดกัน ห่วงกัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 7 {21.05.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 02-06-2017 22:38:52
เป็นนิยายที่น่ารักมากกกกกกกกกก
ทุกตอนที่อ่านมา ทำเราหน้าบานยิ้มไม่หุบ
มันดีต่อใจ มันเขิน มันฟินสุดดดดด
ชอบน้องกอด ชอบพี่กัน ชอบเวลาทั้งคู่อยู่ด้วยกันมากเลย
รักน้องกอด เป็นเด็กที่น่ารักมากๆ พี่กันดูท่าไม่รอดมือน้องแหงๆ
หรือว่าน้องจะไม่รอดมือพี่กันหว่า 555
สายเปย์ที่แท้จริงตอนนี้น้องกอดมาวินเลยค่ะ ตลกดี

ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆนะคะ มันดีต่อใจมากจริงๆ
ยังไงจะเป็นกำลังใจให้และรอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 03-06-2017 13:37:46
Chapter 8
แฮปปี้คนเลี้ยงหมู


            กอด

            พรุ่งนี้เอาชีทอิ้งสองมาให้ด้วยนะ


            การแจ้งเตือนของไลน์เด้งขึ้นบนหน้าจอขณะที่ผมกำลังซื้อไอศกรีมอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า มือข้างหนึ่งรับไอศกรีมชาไทยสีส้มมาไว้ในมือ มืออีกข้างก็กดแป้นพิมพ์บนโทรศัพท์อย่างคล่องแคล่ว

            *โอเค

            แล้วพรุ่งนี้มีติวเลขที่ชมรมหมออยากติว

            ต้องมา ถ้าไม่มาโดนดีแน่


            กดส่งสติ๊กเกอร์มีเสียงแทนคำตอบไป

            *Sir yes sir

            แล้วช่วงนี้หายไปไหน ไม่เจอเลย       

            *พรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้ว

            *เดี๋ยวซื้อขนมไปฝาก

            รสชาติไม่หวานจัดบวกกับความเย็นของไอศกรีมชาไทยที่แตะลงบนริมฝีปากทำให้รู้สึกสดชื่น

            ห้างสรรพสินค้าตอนบ่ายๆในวันหยุดมีผู้คนพลุกพล่าน มองไปทางซ้ายก็ครอบครัวใหญ่ มีทั้งอากง อาม่า ลูกๆ หลานๆ มองไปทางขวาก็ครอบครัวเล็กๆ มีครบทั้งพ่อแม่ลูก ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสเวลาได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน บ้างก็นัดกันมากินข้าว บ้างก็นัดกันมาพบปะหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน

            ส่วนผม มีจุดมุ่งหมายคือเคาน์เตอร์ขายตั๋วหนัง

            “สองที่ครับ”

            “กรุณาเลือกที่นั่งเลยค่ะ”

            สายตาของผมเลือกที่นั่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างใส่ใจ พยายามสรรหาที่นั่งที่ดีที่สุด พี่กันเป็นคนตัวสูง ถ้าเขานั่งตรงกลางหัวจะไปบังคนอื่นไหมนะ ขายาวๆจะนั่งแล้วอึดอัดไหม แล้วถ้าเขานั่งริมเกินไป จะรู้สึกปวดหัวหรือเปล่า

            อืม…

            ผมอาจจะคิดมากไป ตัดสินใจเลยแล้วกัน

            “อีสี่กับอีห้าครับ”

            “ค่ะ แถวอีนะคะ โรงภาพยนตร์หมายเลขสามอยู่ทางขวามือค่ะ”

            “ขอบคุณครับ”

            ตั๋วภาพยนตร์สองใบมาอยู่ในมือผมพร้อมกับเงินเกือบสี่ร้อยบาทที่ปลิวออกจากกระเป๋าไป

            อ่า ไอ้เรื่องได้ตั๋วฟรีนี่ผมโกหกทั้งเพ ไม่ต่างอะไรกับโกหกเรื่องถูกหวยนั่นแหละ แค่อยากจะขอโทษที่เมื่อวานไปเจอเขาช้า ก็เลยหาเรื่องเสียเงินและดูหนังที่อยากดูมานานไปพร้อมๆกับเขาเลย

            บัตรใบแข็งสีขาว มีตัวพิมพ์ภาษาอังกฤษและตัวเลขระบุชัดเจน ภาพยนตร์จะฉายในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง

            มาก่อนเวลาจนติดนิสัยไปแล้ว

            ผมนัดเจอกับพี่กันตอนบ่ายโมงหน้าร้านทุกอย่างหกสิบบาท เลยถือโอกาสใช้เวลารอเข้าไปสำรวจดูในร้านว่ามีของอะไรน่าสนใจบ้าง

            แค่เดินเข้ามา บรรยากาศแบบคนญี่ปุ่น รวมทั้งเพลงญี่ปุ่น ก็บิ้วซะเหมือนกำลังเดินซื้อของอยู่ที่ญี่ปุ่น ของแต่ละชิ้นหกสิบบาทก็จริง ตอนแรกก็คิดว่ามันถูก แต่พอหยิบไปหยิบมาก็กลายเป็นสามสี่ร้อยไปซะได้

            ตั้งใจแหละว่าจะไม่ซื้อ จะไม่แตะต้องอะไรทั้งนั้น

            เดินไปเดินมาอยู่สักพัก ทำไมของเต็มมือไปหมดล่ะเนี่ย

            “ถ้าจะซื้อเยอะขนาดนี้ ขอซื้อร้านเขาไปเลยดิ”

            น้ำเสียงโมโนโทนที่จำได้แม่นดังขึ้นจากทางด้านหลัง หันไปมองก็เจอคนตัวสูงยืนซ้อนอยู่ พี่กันถึงกับต้องก้มหน้ามองลงมาเวลายืนอยู่ใกล้ผม ไม่รู้ว่าเพราะเขาสูงมากเกินไปหรือผมเตี้ย แต่น่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า

            พอเห็นเหนียงน้อยๆใต้คอของเขาแล้ว ก็ดันเผลอหัวเราะออกมา

            “อันนี้หมอนรองคอเหรอ” ชี้ไปที่ถุงกักเก็บไขมันใต้คางของเขา คนตัวสูงรีบดันมือผมไปไกลตัว

            “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวมึงจะโดน”

            อิโถ่

            ว่าคนอื่นเขาพกห่วงยาง ตัวเองก็พกหมอนรองคอเหมือนกันนั่นแหละ

            “ซื้ออะไรเยอะแยะ” ถึงจะบ่นแต่ก็ชะโงกหน้ามาดูว่าผมซื้ออะไรอย่างสนอกสนใจ

            “ยางลบ” ยางลบสารพัดรูปแบบ ทั้งรูปสัตว์ รูปขนมเต็มมือไปหมด

            ผมชอบสะสมยางลบเอามากๆ ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ถ้าเจอยางลบรูปแบบใหม่ๆ ก็จะซื้อเก็บเอาไว้ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้มันลบอะไร แต่สะสมเพราะความน่ารักและความแปลกของมันมากกว่า

            “ยางลบเนี่ยนะ”

            “อือ”

            “ก็รู้ว่าหิว”

            “หือ”

            “แต่ถึงกับแดกยางลบเลยเหรอ”

            ยกเท้าจะเตะเขา คนตัวสูงรีบกระโดดหลบไปอีกทาง

            สายตาของผมเลื่อนไปเห็นผ้าพันแผลที่พันเป็นมัมมี่อยู่ที่มือด้านซ้ายของพี่กัน ผมรีบถามด้วยความเป็นห่วง

            “มือหายเจ็บยังอ่ะ”

            “ยัง”

            “เหรอ”

            อยากจะลูบมือเขาเบาๆแล้วให้พรว่าหายเจ็บไวๆนะ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ยืนมองมือของเขาเงียบๆแล้วขอพรให้เขาในใจว่า

            หายเจ็บไวๆนะ

            ผมเป็นห่วง

            “ซื้อเสร็จยัง แล้วหนังฉายกี่โมง”

            พยักหน้าตอบคำถามพลางเดินไปจ่ายเงิน ชูตั๋วหนังให้เขาดูว่าอีกไม่นานก็เข้าโรงหนังแล้ว พอรู้ว่าจะได้ดูหนังด้วยกันแล้ว ก็ตื่นเต้นขึ้นมา

            อีกหนึ่งอย่างที่อยากทำด้วยกันกับเขา

            จะติ๊กถูกตัวโตๆไว้หน้าลิสต์เลย

            “อยากกินป๊อปคอร์นมั้ย” พอเดินมาหยุดด้านหน้าที่ขายป๊อปคอร์น พี่กันก็ถามขึ้น

            ป๊อปคอร์นสามรสนอนเรียงกันเป็นสีขาวนวลอยู่ในตู้ ถามว่าอยากกินมั้ย สามารถตอบแบบไม่ต้องลังเลเลยว่า อยากกินมากๆ อยากลงไปแหวกว่ายในทะเลป๊อปคอร์น แต่เพิ่งซื้อตั๋วหนังไปเมื่อกี้

            “ไม่เอาดีกว่า”

            “โกหกกูอีกละ”

            “ใช่ผมโกหก แต่ไม่อยากกินอ่ะ มันแพง” พูดด้วยเสียงอ่อยๆ พยายามจะลากใครอีกคนเข้าไปในโรงภาพยนตร์ไวๆ จะได้ไม่ต้องมีของกินมาล่อตาล่อใจให้เสียเงินอีก

            “ที่กูถามเนี่ย คือกูจะซื้อ”

            เงยหน้ามองเขา

            “ถ้างั้นผมซื้อเอง”

            “มึงเป็นป๋าเหรอตัวนิ่ม”

            เปล่า แต่ผมกำลังตามจีบเขาอยู่ ดังนั้นผมต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงเขา

            “ผมถูกหวย”

            “ตอแหล บอกมาอยากกินรสไร จะไปซื้อ”

            “ชีส”

            “เออ ว่าง่ายแบบนี้สิเด็กดี” พูดจบก็ขยี้หัวผมแล้วเดินดุ่มๆไปซื้อป๊อปคอร์นอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ไอ้เด็กดีที่เขาเรียกเมื่อกี้ยืนหน้าร้อนใจเต้นรัวเป็นบ้าเป็นบออยู่ลำพัง

            ไม่นานนักป๊อปคอร์นรสชีสในถังขนาดใหญ่ก็มาอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับน้ำอัดลมแก้วใหญ่ พี่กันเอาแขนหนีบถังป๊อปคอร์นไว้กับตัวเพราะมือข้างซ้ายเจ็บอยู่ มือขวาถือแก้วน้ำแบบทุลักทุเล พอเห็นท่าเก้ๆกังๆนั่นแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เลยยื่นมือไปช่วยเขาถือแก้วน้ำอัดลมด้วยความเป็นห่วง

            แก้วใหญ่มาก ใหญ่กว่าหัวผมอีกมั้ง

            “นี่ซื้อมากินหรือซื้อมาเลี้ยงหมูอ่ะ”

            “ซื้อมาเลี้ยงมึงไง”

            “ผมไม่ใช่หมู”

            “ใช่ มึงเป็นหมดเลย ทั้งหมู ตัวนิ่ม ตัวขี้เหงา ตัวขี้หิว”

            “มีอีกมะ”

            “มี”

            “อะไรล่ะ”

            “ตัวน่ากอดไง”

            ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น อยากจะยืนเผชิญหน้าเขาให้นานกว่านี้ แต่ความร้อนบนใบหน้าสั่งให้ผมต้องรีบหาที่ซ่อน ซึ่งนั่นก็คือการตรงดิ่งไปที่โรงหนังหมายเลขสาม

            ภายในโรงภาพยนตร์ขนาดกลาง ผู้คนไม่มากเท่าไร ผมนั่งลงที่เก้าอี้อีห้า ส่วนพี่กันนั่งลงข้างๆที่เก้าอี้อีสี่ ไฟในโรงหนังยังเปิดอยู่เพื่อรอให้ผู้ชมค่อยๆทยอยเข้ามา

            “ไหนดูตั๋วหน่อย”

            ยื่นตั๋วสองใบติดกันให้คนข้างๆดู คนตัวสูงดูมันอย่างสนอกสนใจ

            “เรื่องไรวะ หนังญี่ปุ่นเหรอ จะดูรู้เรื่องมั้ยเนี่ย”

            “สนุกนะ ผมเคยอ่านหนังสืออยู่”

            “แล้วคำนี้มันแปลว่าไร”

            นิ้วเรียวๆของพี่กันจิ้มไปที่ตัวอักษรคำว่า ‘Date’

            เดทก็คือการออกเดท ออกเดทก็คือการที่คนสองคนซึ่งมีใจให้กัน มาพบกัน ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น โดยการไปกินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆที่อยากไป

            เขาไม่รู้หรอกเหรอ?

            “อะไรดาดๆ”

            ห๊ะ

            ผมมองคนตัวสูงแล้วกระพริบตาปริบๆ พี่กันเองก็มองกลับมา ตอนแรกก็นึกว่าเขาแกล้งไม่รู้ แต่ไอ้สีหน้าบ้องแบ๊วที่ส่งมานั้น บ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่รู้จริงๆ

            “ดาดอะไร มันอ่านว่าเดท”

            “เดท” เขาทวนคำอยู่เงียบๆ

            “แล้วเดทแปลว่าไรวะ”

            แป่ว

            “เดี๋ยวดูหนังพี่ก็รู้เองอ่ะ”

            ไฟเริ่มดับลงทีละดวงสองดวง จนกระทั่งมืดไปทั่วบริเวณ ตัวอย่างภาพยนตร์หลายๆเรื่องฉายไปเรื่อยๆก่อนตัวหนังจะเริ่ม ถึงหนังจะน่าสนใจ แต่คนที่น่าสนใจกว่า…

            น่าจะเป็นคนข้างๆ

            พี่กันดูมีความสุขกับการกินป๊อปคอร์นถังใหญ่ ตอนแรกก็คิดว่าจะกินหมดมั้ย แต่ดูจากการกินไม่หยุดปากแล้ว ผมว่าอาจจะหมดก่อนครึ่งเรื่องอ่ะ

            ภาพยนตร์โทนสีอบอุ่นเหมือนกับแสงแดดอ่อนๆยามเช้า ที่ผมชอบเรื่องนี้เพราะผมอ่านหนังสือมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ไม่มีโอกาสได้มาดูตัวหนังที่ใช้คนแสดง ถึงแม้จะเป็นภาษาญี่ปุ่นบรรยายไทย แต่ผมก็ชอบที่จะได้ฟังโทนเสียงและน้ำเสียงของบุคคลในเรื่อง

            ฉากแรกเป็นฉากบนรถไฟ ที่พระเอกพบนางเอกครั้งแรกแล้วก็ตกหลุมรักเธอครั้งแรก เขามีความคิดอยู่เต็มหัวคิดที่จะสารภาพรักกับเธอ ไม่ต่างอะไรจากผมที่คิดว่าถ้าปล่อยพี่กันไปวันนั้น เขาก็คงไม่ได้มานั่งดูหนังอยู่ข้างๆผมในวันนี้

            สุดท้ายพระเอกก็ใช้ความกล้าของตัวเอง เดินตามนางเอกลงจากรถไฟ แล้วสารภาพว่าเขาชอบเธอ เพียงแค่แวบแรกที่เห็น

            ฉากนั้นเป็นฉากที่ตราตรึงใจ ในหนังสืออธิบายไว้ได้อย่างดี หากแต่พอมาดูตัวหนังแล้ว ยิ่งเห็นภาพชัดเจนว่ามันอึดอัดขนาดไหนเมื่อเราอยากจะสารภาพรักกับใครสักคน

            ยิ่งเขาเป็นคนแปลกหน้าด้วยแล้ว มันยิ่งยาก

            หันไปมองหน้าพี่กัน เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว คิ้วเข้มๆขมวดเข้าหากันเหมือนประหลาดใจที่เรื่องราวในหนังมันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับเรื่องราวของเราสองคน

            ผมยิ้มจางๆให้เขา

            เขาจะรู้หรือเปล่านะ ว่าผมใช้ความกล้ามากขนาดไหน ในการทักทายเขาครั้งนั้น

            ทั้งๆที่ผมไม่เคยเล่นหวยเลยสักครั้งในชีวิต

            ภาพยนตร์ดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งจบลง มีหลายอารมณ์และความรู้สึกวนเวียนอยู่ในอกผม มันอธิบายไม่ถูก เป็นภาพยนตร์ที่ดีจนคิดว่า ไม่น่าจะจบลงเลย

            ไฟในโรงหนังถูกเปิดขึ้น สว่างจนสามารถเห็นใบหน้าคนข้างๆได้ชัดเจน ป๊อปคอร์นหมดถังตามที่คิด ทั้งๆที่ผมกินไปเพียงแค่ห้าหกคำเพราะกำลังอินกับหนัง พี่กันค่อยๆลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจเล็กน้อย

            เราสองคนรอให้ฝูงชนกลุ่มใหญ่เดินออกไปจากโรงหนังจนหมดถึงค่อยเดินตามออกไป คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไร เขาเงียบจนทำให้ผมเริ่มจะคิดมากว่าเขาชอบตัวหนังหรือเปล่านะ หรือมีเพียงผมคนเดียวที่ชอบและอยากจะดูซ้ำๆอีกหลายๆรอบ

            เมื่อก่อนตัวผมเคยคิดว่าการตกหลุมรักเพียงแค่สบตามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่พอได้มาเจอของจริง ก็เลยคิดอยากจะขอโทษที่เคยคิดแบบนั้นไป

            การตกหลุมรักเพียงแค่สบตาหรือ love at first sight

            มันเป็นอะไรที่ห้ามไม่ได้เลยจริงๆ

            “กินไรมะ”

            เขาพูดพลางดูดน้ำอัดลมในมือ เอ๊ะ เมื่อกี้เขาเพิ่งกินป๊อปคอร์นถังใหญ่เท่าหัวหมูไปนะ

            แต่จะว่าไปก็แอบหิวหน่อยๆ นาฬิกาบอกเวลาเกือบจะหกโมงเย็น ได้เวลากินข้าวเย็นพอดี

            “ชาบูมะ” พี่กันเสนอ

            ตอบตกลงแบบไม่ต้องสงสัย

            “เอา”

            “บิงซูอ่ะ”

            “เอา”

            “ปิ้งย่าง…”

            “เอา”

            “เอ้อ สงสัยกูได้เปิดฟาร์มหมู”

            ผมยกมือขึ้นผลักไหล่เขา

            ไอ้พี่บ้า คนชวนกินก็เขาไม่ใช่หรือไง

            ระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินหาร้านอาหาร ผมก็เอ่ยปากถามคนตัวสูงเรื่องหนังที่เราดูไปเมื่อกี้

            “หนังสนุกป่ะ”

            “อือ สนุก”

            ได้ยินเขาตอบแบบนั้นก็ยิ่งต้องฝืนยิ้มเอาไว้

            อย่างน้อยเขาก็ไม่ตอบว่ามันน่าเบื่อล่ะนะ พี่กันเองก็ไม่ได้หลับระหว่างดูหนังด้วย

            สุดยอดไปเลยเว้ยย

            “ขอตั๋วหนังครึ่งนึงดิ”

            “จะเอาเหรอ”

            เขาพยักหน้าเป็นการตอบคำถาม ผมหยิบตั๋วหนังออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วฉีกที่นั่งที่เขานั่งยื่นให้เจ้าตัว พี่กันชะโงกหน้ามาดู พลางส่ายหัวเบาๆ

            “กูขออีกอัน”

            หือ

            มีเลือกด้วยแฮะ

            “อ่ะ” ผมยื่นตั๋วเลขที่นั่งของผมให้กับเขา

            ตอนแรกก็อยากจะเก็บไว้สองใบนั่นแหละ แต่ถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว เป็นความทรงจำที่ดีที่ได้ดูหนังกับเขาครั้งแรก ผมจะจดจำมันไว้ให้แม่นๆเลย

            คนตัวสูงมองตั๋วหนังเงียบๆพลางหยุดเดิน ผมเลยหยุดยืนข้างๆเขา

            “กูไม่รู้จริงๆว่าเดทแปลว่าอะไร”

            ก็ไม่ได้ว่าซะหน่อย

            ออกจะน่ารักซะด้วยซ้ำ น้อยคนล่ะนะที่จะไม่รู้จักคำนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่นอย่างเราๆแล้ว

            “แต่พอดูหนังแล้ว”

            แล้ว…

            “ก็น่ารักดี”

            ผมรีบหันหลังให้พี่กันแล้วเอาหลังมือมาบังใบหน้าครึ่งล่างของตัวเอง มันเป็นความรู้สึกเอ่อล้นขึ้นมาเหมือนการเทน้ำเต็มแก้ว น้ำตาผมคลออยู่ที่เบ้าตา

            ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับผม

            ทำไมเขาถึงทำให้ผมตกหลุมรักเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            คนใจร้าย คนใจบาป

            แล้วแบบนี้ผมจะทำยังไง …

            ผมเลิกชอบพี่ไม่ได้เลย

            “กอด”

            “หือ” ส่งเสียงอู้อี้ตอบกลับไป คนตัวสูงแตะไหล่ผมเบาๆ ผมสะดุ้งนิดๆ

            เราสองคนเงียบกันอยู่สักพัก จู่ๆพี่กันก็โพล่งขึ้นมา

            “ตั๋วหนังอ่ะ วันหลังไม่ต้องเลี้ยงกู”

            เขารู้…

            “ชานมด้วย”

            “ก็ผมอยากเลี้ยง”

            “มึงอย่าคิดว่าใจกูซื้อได้ด้วยเงิน”

            คำพูดของเขาทำให้ใจผมแกว่งเล็กน้อย กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก แต่ก็เข้าใจดี ที่ผ่านมาผมพยายามซื้อใจพี่กันด้วยการใช้เงินซื้อของให้เขา เขาคงไม่ชอบแน่ๆ

            “ไม่ชอบเหรอ” น้ำเสียงสั่นๆดังแผ่วออกไป

            ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำหน้าแบบไหน จะโกรธผมหรือเปล่า โมโหหรือเปล่าที่ผมโกหก

            “ชอบ”

            อ้าว

            “แล้วทำมะ…”

            แก้วน้ำอัดลมที่คนตัวสูงนั่งดูดมาตลอดทั้งเรื่องถูกยื่นมาตรงหน้าผม ปลายหลอดสีแดงสัมผัสลงบนริมฝีปากของผม พี่กันบังคับให้ผมถือแก้วนั้นไว้ เลยถือวิสาสะดูดน้ำหวานๆซ่าๆในแก้วเข้าปากเพราะตอนนี้คอแห้งเหลือเกิน

            “อย่าลืมว่ากูติดเงินมึงอยู่”

            “แต่ผมเลี้ยงพี่ไม่ต้องคืนก็ได้นี่”

            “กูไม่ชอบติดเงินใคร ถ้าเลี้ยงเยอะ ก็ยิ่งติดเยอะ”

            “แต่ว่า…”

            “ถ้าติดเยอะ ก็ไม่คบซะที

            กระพริบตาปริบๆมองเขา ใจสั่นหวิวเหมือนจะเป็นไข้

            นัยน์ตาสวยๆของคนตัวสูงมองนิ่งๆมาที่ผม ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่ายิ้มอะไร แต่จู่ๆก็ดึงแก้วน้ำอัดลมที่ผมถืออยู่กลับไปดูดอย่างหน้าตาเฉย พอดูดจนพอใจก็โยนทิ้งลงถังขยะ

            “กินข้าวมั้ย ยืนเด๋ออยู่ได้”

            “กิน”

            ผมกัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆเพื่อกลั้นรอยยิ้มที่แทบจะห้ามเอาไว้ไม่ได้

            พี่กันหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ยกมันขึ้นแนบหูอยู่สักพัก ผมแอบมองเขานิดหน่อย เพื่อนโทรมาเหรอ

            “เออ ดูหนังว่ะ”

            “สนุกดี”

            “หมูมันโง่ วางน้ำให้ก็ไม่กินซักที”

            บทสนทนาเรื่องหมูทำให้ผมถึงกับขมวดคิ้ว

            เขาเล่นเกมเลี้ยงหมูหรือไง หรือว่าเปิดฟาร์มหมู

            “ก็เลยต้องยัดเยียดให้มันกิน”

            “อย่างที่คิด หวานมาก”

            แล้วไอ้หวานมากที่เขาพูดถึงเนี่ย อะไรกัน?

            เนื้อหมูเหรอ...





// ไม่ใช่เนื้อหมูหรอกน้องกอด อาจจะเป็นปากหมูก็ได้ใครจะรู้ ง้อววววว
ขอบคุณที่เอ็นดูกอดกันนะคะ รักกันชอบกันขอให้กอดกันน๊า
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_



หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 03-06-2017 13:57:58
แล้วเมื่อไหร่จะได้คบกันนะ
ครุ่นคิด :katai5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 03-06-2017 14:10:05
งุ้ยยยยยย บอกๆกันไปเห้อออ คนอ่านนี่ก็ลุ้นด้วยจะแย่ละ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 03-06-2017 15:22:01
โอ๊ย นี่อยากจูบน้องจนต้องวางแผนแบบจูบทางอ้อมเนี่ยนะ แถมมีผู้ร่วมขบวนการอีกต่างหาก มีความน่าเอ็นดู 555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 03-06-2017 15:39:26
พี่กัน อ้อมมากไม่ดี ตรงๆเบยดีกว่า
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 03-06-2017 18:01:29
กอดดดดดดดด บทจะซื่อจะมึนก้อตามไม่ทันพี่เค้าเลยนะ 555555555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 03-06-2017 19:15:06
อิพี่กันก็รีบๆคืนเงินน้องกอดไปเร็วๆเลย จะได้คบกันสักทีไง :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-06-2017 20:40:57
น้องไม่เข้าใจพี่ก็บอกไปตรงๆเลยซิ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 03-06-2017 20:52:47
จีบกันไปมา/เขินนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-06-2017 21:55:16
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 04-06-2017 22:34:22
รักทุกประโยคที่พี่กันอ่อยน้องจริงๆ
มันฟินมากกกกกกค่าาาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: rikulism♡ ที่ 05-06-2017 13:10:01
 :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukina ที่ 05-06-2017 23:16:38
อ่านถึงตอน 6 แล้ว ตามมาจากกระทู้แนะนำ
พี่กัยนี้มันกวนจริงๆ แต่เรื่องก้อฟินจริงๆ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 05-06-2017 23:45:59
น่ารักกกกกก เมือไรจะเป็นแฟนกันน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukina ที่ 06-06-2017 10:59:34
ทำไมอีกเวปหนึ่งมีตอนต่อๆไปแล้วอ่า ไงก้อตาม ตามไปอ่านมาแล้ว 555555 ขอกรี้ดดดดดดดดดดดังๆ ฮืออออ ฟิน :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 8 {03.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: kratair ที่ 06-06-2017 14:18:05
เขินเเทนกอด :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 06-06-2017 20:17:22
Chapter 9
หมออยากติว

           

            ชมรมหมออยากติวเป็นชมรมที่ก่อตั้งโดยรุ่นพี่คณะแพทย์ศาสตร์ เปิดติวทุกวิชาโดยใช้รุ่นพี่ปีสูงๆเป็นคนสอน จุดประสงค์ที่ผมเข้าชมรมนี้เพราะว่าผมไม่เก่งวิชาเลขเอาซะเลย

            ไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่เรียกได้ว่าสมองไม่เปิดรับเลยมากกว่า

            “ถ้าเอ็กซ์สลับกับวายเราต้องย้ายเลขฝั่งนี้ไปทำอะไร”

            สมการมึนตึ้บบนกระดานทำเอาปวดหัวตั้งแต่ได้พบเจอ บวกเลขธรรมดายังบวกผิดบวกถูก นี่ต้องมาเจอตัวแปรที่ไม่รู้จะมีไว้ทำอะไรอีก

            ลาออกไปเป็นควายซะดีมั้ยเนี่ย

            ผมมองเพื่อนๆที่ยกมือตอบผู้ชายตัวสูงผิวขาว เอกลักษณ์ของเขาคือตาชั้นเดียวที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นทรงกลม หลายๆคนเรียกเขาว่าพี่หมอสี่

            พี่หมอสี่เป็นคนสอนเลขในชมรม สาเหตุที่เรียกพี่หมอสี่เพราะเขามีสติ๊กเกอร์หมายเลขสี่ติดอยู่บนอกซ้าย เข้าชมรมเพียงแค่หนึ่งวันเราก็ต้องเป็นฝ่ายเลือกว่าจะเรียนวิชาอะไร ส่วนมากก็เป็นว่าที่หมอนั่นแหละที่อาสามาติวให้น้องๆ แม้ตัวเองจะยุ่งจนสังกะตังจะกินหัว

            "ยากว่ะ”

            บ่นอุบให้คนข้างๆฟัง เพื่อนสนิทกำลังนั่งกินขนมที่ผมซื้อมาฝากอย่างอารมณ์ดี ฮัมเพลงไปด้วยย้ายข้างสมการไปด้วย

            คนเก่งเลขอย่างเขานี่ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่ามาเข้าชมรมนี้ทำไม เพราะในขณะที่ผมกำลังปวดหัวกับโจทย์ข้อหนึ่ง เจ้าเพื่อนตัวดีทำเสร็จไปแล้วสิบข้อ

            “ให้ช่วยมะ” พูดจบก็ขยับเข้ามาใกล้ ใช้ดินสอชี้ไปที่ตัวเอ็กซ์และวายบนกระดาษ

            “ย้ายข้างมันก่อน เอาตัวเหมือนกันไปอยู่ฝั่งเดียวกัน”

            “แล้วไงต่อ”

            “พอย้ายข้างมันต้องเปลี่ยนเครื่องหมาย”

            “ยังไงอ่ะ”

            ดินสอลายมิกกี้เม้าส์จรดลงบนกระดาษ เพื่อนผู้แสนดีทำการย้ายข้างสมการอย่างกับการปอกกล้วยเข้าปาก ผมขมวดคิ้วชนกันดังตึง ต่อให้ย้ายให้ดู ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น

            ถ้าเพื่อนผมอธิบายเข้าใจล่ะก็ ผมคงให้เขาติวไปแล้ว แต่เจ้าเพื่อนคนนี้เป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องการอธิบายเท่าไร จากที่จะให้อธิบาย กลายเป็นทำให้ดูซะอย่างนั้น แล้วผมจะเข้าใจได้ยังไงกัน

            ตอนนี้มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง ทำไมคนเราถึงต้องเรียนเลข ในเมื่อเรามีเครื่องคิดเลข

            “ทำได้มั้ย” ใครอีกคนพูดแทรกขึ้นมา ผมกับเพื่อนเงยหน้าจากชีทเลขไปมองพี่หมอสี่ที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้า คนผิวขาวลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าผม

            พอหันไปมองด้านซ้ายที่เคยเป็นที่ว่างก็แทบสะดุ้งเมื่อเจอกับพี่รหัสที่ไม่รู้ว่าย้ายที่จากหน้าสุดมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

            ไวจริงๆเรื่องแบบนี้เนี่ย

            “ไม่ได้” ตอบตามความจริง พี่หมอสี่หัวเราะเบาๆ

            เห็นหน้าเขาเวลายิ้มแล้วคิดถึงใครอีกคนขึ้นมาเลยแฮะ

            ถึงคนจะชอบพี่หมอสี่กันเยอะ อย่างเช่นพี่รหัสผมที่มองตาไม่กระพริบ แต่ผมคิดว่าเขาก็ดี คือรู้สึกเฉยๆไม่ได้รู้สึกว่าเขาสมบูรณ์แบบอะไรขนาดนั้น

            พลางคิดถึงพี่กัน เจอหน้าเขาครั้งแรก ก็เหมือนโดนยิงเลย

            ผมก็พอเข้าใจแหละ รสนิยมของเราแต่ละคนมันต่างกัน ผมอาจจะไม่ชอบคนนี้ แต่คนอื่นอาจจะชอบเขามาก ผมชอบคนนั้น แต่คนอื่นอาจจะไม่ชอบเขาเลย

            ดังนั้นอย่าให้ใครชอบพี่กันเลย เพราะผมจะชอบเขาคนเดียว

            “ไหน ไม่เข้าใจตรงไหนบ้าง”

            “ทั้งหมด”

            “พี่หมอดูแลน้องเราหน่อยนะ มันไม่เก่งเลขอ่ะ” พี่รหัสวางมือลงบนบ่าผมแล้วตบเบาๆ แอบเห็นสายตาเสือสาวที่ส่งผ่านไปยังพี่หมอ

            เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวจริงๆ

            “น้องเราชื่อกอด”

            “ครับ กอดครับ” คนผิวขาวหัวเราะโชว์รอยยับบนใบหน้า

            “แล้วหมอล่ะอยากกอดเรามั้ย”

            “ถ้าจะมาอ่อยหมอล่ะก็ไปไกลๆเลยไป” เจ้าเพื่อนซี้ผลักพี่รหัสผมจนกระเด็น มีหรือหญิงสาวผู้บอบบางจะยอม จากจะตีกันเล่นๆตอนนี้ลุกไปตีกันจริงจังแล้วครับ ... เอาเลย ตีกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย

            พี่หมอมองพี่รหัสกับเพื่อนผมที่ตีกันพลางยิ้มกว้าง สักพักเขาถึงกลับมาสนใจผมต่อ

            “ไหนลองย้ายข้างดู เอาตัวที่เหมือนกันไปอยู่ด้วยกัน”

            พยายามจะย้ายตัวเอ็กซ์ไปอยู่ด้วยกันกับตัวเอ็กซ์ ตัววายย้ายไปอยู่กับตัววาย แต่พอย้ายไป เครื่องหมายก็ดันสลับกันมั่วเละตุ้มเป๊ะไปหมด

            “ไม่เป็นไร ไหนเอาใหม่” พี่หมอสี่เป็นฝ่ายจับดินสอ แล้วค่อยๆโยกทีละตัวให้ผมเห็นชัดๆ

            “ตัวนี้มันเป็นลบใช่มะ”

            พยักหน้าตอบ

            “พอย้ายไปมันต้องกลายเป็น…” เขาเว้นช่วงเอาไว้ให้ผมตอบ

            “บวก”

            “ใช่ครับ ทีนี้ไอ้ตัววายเนี่ย มันเป็นบวก พอย้ายไปฝั่งนี้มันเลยต้องเป็น…”

            “ลบ”

            พอไปทีละสเต็ป ช้าๆเรื่อยๆผมก็เริ่มจะเข้าใจกลไกการทำงานของสมการ

            “เก่งมาก ทีนี้เราก็ทำตามปกติ จับเลขมาบวกลบกัน”

            “มันจะบวกลบยังไงอ่ะ มีเอ็กซ์วายขวางอยู่แบบนี้”

            “ก็แทนเลขลงไปไง เขาให้เลขมาแล้ว เราก็แทนลงไปทีละตัว แบบนี้ เราก็จะได้คำตอบว่าเอ็กซ์เท่ากับอันนี้ และวายเท่ากับอันนี้”

            อธิบายเพียงแค่ครั้งเดียวก็เข้าใจ อาจจะเป็นเพราะพี่หมอสี่เป็นคนใจเย็นมากๆ เพราะแบบนี้เขาถึงสอนเจ้าหนูจำไมอย่างผมได้โดยที่ไม่ยกโต๊ะมาทุ่มผมซะก่อน เหมือนเทขี้เลื่อยออกจากสมองเลยอ่ะ ตอนนี้ผมมีแรงที่จะทำโจทย์ข้อต่อไปแล้ว จะว่าไปพอทำเป็นแล้วก็สนุกดีแฮะ

            ผมค่อยๆไล่ทำจนถึงข้อห้า พอมาถึงข้อห้าปุ๊บ ก็กุมขมับอีกครั้งเมื่อตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เคยมีเพียงแค่สองตัว มันเพิ่มขึ้นมาอีกตัวเหมือนต้องการจะกลั่นแกล้ง

            ตัวแซด

            เห็นแล้ว sad เลย

            ต้องขอบคุณพี่หมอสี่ที่อธิบายจนปากเปียกปากแฉะอยู่นาน ผมถึงเริ่มทำสมการได้บ้าง บอกเลยว่าเกียรตินิยมมันจะมาชวดก็วิชาเลขเนี่ยแหละ เพราะเหตุนี้ถึงต้องตั้งใจและขยันมาติวบ่อยๆ

            “กอด”

            เสียงพี่รหัสดังขึ้นด้านหลัง ผมหันไปมองพี่รหัสคนสวยที่ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อนสนิท เก็บของเสร็จเรียบร้อยเหมือนรีบร้อนจะไปไหน

            “หือ”

            “พี่ไปเอาชีทกับลุงก่อนนะ จะกลับเลยป่ะ”

            ส่ายหัวเบาๆ วันนี้ผมไม่ได้มีนัดกับใคร ดังนั้นวันนี้ก็คงตรงกลับหอเลย

            “งั้นเดี๋ยวกูไปหาที่หอนะ” เพื่อนสนิทโพล่งขึ้น เวลาจะมาหาที่หอทีไร ก็มีอยู่แค่สองเรื่องนั่นแหละ หนึ่งคือชวนไปกินข้าว สองคือมานอนอ่านการ์ตูน

            “โอเค”

            ผมใช้เวลาที่เหลือในการทำโจทย์คณิตศาสตร์จนมั่นใจว่าเข้าใจแล้วแน่ๆ คนอื่นๆเริ่มทยอยกลับบ้านกันหมด นาฬิกาบนผนังบอกเวลาหกโมงเย็น ซึ่งชมรมจะปิดตอนสองทุ่ม

            นั่งตากแอร์เงียบๆแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ

            “กอด” พี่หมอสี่ที่เพิ่งจะเก็บของเสร็จเป็นคนสุดท้ายเดินมานั่งลงข้างๆผม คนผิวขาวมักจะมีรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ตอนเช้าๆให้เห็นอยู่เสมอๆ ไม่แปลกใจเลยที่ใครหลายคนจะชอบเขา

            เพิ่งจะรู้จักกับเขาวันนี้ แต่เขาเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีมากๆ ผิดกับผมที่แย่เข้าขั้นติดลบ

            “หือ”

            “เห็นกอดแล้ว พี่เหมือนเห็นเพื่อนคนนึงที่รู้จักเลย”

            “เหรอ”

            “มันเป็นคนโง่ภาษาอังกฤษมาก ทั้งๆที่วิชาอื่นแม่งท็อปหมดเลยนะ”

            หันไปมองพี่หมอสี่ พลางคิดในใจว่าเพื่อนของเขาช่างคล้ายผมเหลือเกิน

            ถ้าตัดวิชาเลขออกไป ชีวิตของผมคงสบายกว่านี้

            “ตั้งใจแค่ไหนก็ทำไม่ได้ จนตอนนี้ยังต้องแก้เอฟอิ้งสองอยู่เลย ชวดเกียรตินิยมไปซะงั้น”

            อ่า น่าเสียดายแฮะ 

            พี่หมอเงียบไปซักพัก

            “กอดอยากคุยกับเพื่อนพี่ป่ะ”

            “หือ ไม่เป็นไรครับ” ตอบสั้นๆด้วยความตกใจ ต่างจากคนทั่วๆไป ถ้าผมตอบไปแบบนี้ล่ะก็จะต้องเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนแล้ว มันแสดงถึงอาการไม่อยากจะคุยด้วยแต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ผมแค่ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อ การคุยกับคนแปลกหน้าครั้งแรกมันทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

            “แต่เพื่อนพี่อยากคุยกับกอดนะ”

            หา

            พี่หมอสี่กดโทรศัพท์อยู่สองสามที พลางต่อวีดีโอคอลผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ เขาใช้กล้องหน้าถ่ายเข้าหาตัวเอง ไม่นานนักปลายสายก็รับ

            “หมออ้อยยย” เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นมาทันทีเมื่อรับสาย ผมหันขวับไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของหมอสี่ด้วยความตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนคุ้นตาปรากฎขึ้น

            คนบนหน้าจอคือเพื่อนหมายเลขหนึ่งของพี่กัน ถ้าอย่างนั้นพี่หมอสี่ก็เป็น... เพื่อนอีกหนึ่งคนของพี่กันเหรอ

            โลกมันชักจะกลมขึ้นทุกวันแฮะ

            “สวัสดีครับเพื่อน ไอ้เถื่อนอยู่มั้ยวะ”
           
            “อ้าวหมอ โทรหากูแล้วถามหาคนอื่น เลวทรามต่ำช้าที่สุด”

            “มึงก็บอกให้เพื่อนรักมึงเล่นไลน์บ้าง ชีวิตจะใช้โทรศัพท์เติมเงินไปยันตายเหรอ”

            “ไหนใคร ใครนินทากู” น้ำเสียงทุ้มๆที่ผมจำได้แม่นดังแทรกขึ้นมา แม้จะไม่เห็นหน้าเขาแต่ใจก็เต้นรัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ผมจำน้ำเสียงทุ้มออกแหบนั่นได้

            เสียงพี่กัน…

            “ไหนมึงเป็นอะไร”

            “กูไม่สบาย”

            เขาไม่สบายเหรอ

            เป็นอะไร เป็นหวัด เป็นไข้ หรือว่าไม่สบายใจ

            เมื่อวานหลังจากดูหนังกินข้าวกันเสร็จ เขาก็รีบขอตัวกลับก่อนบอกว่ามีธุระ แล้วก็ไม่ได้นัดอะไรกันเพิ่มเติม จนผมแอบนึกไปว่าเราคงจะไม่ได้เจอกันเร็วๆนี้ อาจจะหลายวัน เป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนก็ไม่มีใครรู้ ใครจะไปนึกล่ะว่าพี่หมอสี่คือเพื่อนของเขา นี่ขนาดหาตัวจับยากขนาดนี้ ยังมีเพื่อนทั่วราชอาณาจักรเลยอ่ะ     

            “อาการเป็นยังไงบอกหมอซิ”

            “หมอพ่อง”

            “เกรี้ยวกราด” พี่หมอสี่ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่เพื่อนแล้วหันมามองผม

            “ปวดหัวนิดหน่อย”

            “เถื่อน มึงเห็นแชทที่กูส่งไปยัง”

            “เห็นแล้ว อย่าคิดจะแตะถ้ายังอยากเป็นหมออยู่”

            คนข้างๆผมหัวเราะชอบใจใหญ่

            “เหรอ เสียดายจังมึงไม่อยู่ น้องนั่งอยู่ข้างกูเนี่ย”

            ผมแอบตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆพี่หมอสี่เขยิบเข้ามาใกล้จนแขนของเขาสัมผัสกับแขนของผม ตอนนี้บนหน้าจอโทรศัพท์ราคาแพงของพี่หมอฉายใบหน้าของผมและของเขานั่งอยู่ข้างกัน ใกล้อีกนิดก็จะรวมร่างได้แล้วล่ะ

            “ไอ้เหี้ยหมอ!!!”

            คนที่ตอนแรกโผล่มาแต่เสียง ไม่กี่วินาทีพี่กันก็โผล่หน้าขึ้นมาบนหน้าจอด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าดูตกใจปนไม่พอใจเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่น พี่กันอยู่ในสภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอน หัวยุ่งผมชี้ไปคนละทิศละทาง หน้ามู่ตู้ สังเกตดีๆแก้มข้างซ้ายของเขาเป็นรอยยับเลยแฮะ

            พอเห็นแบบนั้นก็เผลอยิ้มออกมาจนได้

            เขาดูดีแม้กระทั่งเวลาเพิ่งตื่นนอน นึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าเขาแล้ววันนี้ พอได้เจอเข้าจริงๆ แม้จะเห็นผ่านทางจอโทรศัพท์ ก็อิ่มเอมไม่ต่างกับได้เจอตัวเป็นๆ

            “นับหนึ่งถึงสาม ขยับออกมาเดี๋ยวนี้”

            “ทำไรกูได้อ่ะ”

            “กูจะทะลุไปบีบคอมึงไง”

            “น่ากลัวจังเนอะ” คนผิวขาวหันมายิ้มให้ผมเหมือนต้องการจะขอความเห็น ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอเล็กน้อย เพ่งมองใบหน้าของพี่กันแบบระยะประชิด

            ถึงจะเจอกันบ่อย แต่ไม่เคยได้เห็นหน้าใกล้ๆขนาดนี้เลย

            “กอด”

            “หือ” เขาเรียกชื่อผมอีกแล้ว

            รู้สึกเขินขึ้นมาเลยแฮะ

            “อย่าไปยุ่งกับหมอมันนะ”

            “เขาสอนเลขผม ไม่ยุ่งก็สอบตกสิ”

            คนตัวสูงมองเพื่อนของเขาตาขวาง

            “เรียนเลขกับมันเหรอ”

            “อือ”

            “เลิกเรียน อยากเรียนเลขเดี๋ยวกูสอนให้” ผมกระพริบตาปริบๆมองหน้าพี่กันบนหน้าจอโทรศัพท์ เขาเบือนหน้าออกไปอีกทางพลางใช้มือฟาดลงไปที่แขนของเพื่อนที่กำลังนั่งส่งเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านข้าง ไม่ต่างกับหัวใจผมที่กำลังเต้นรัว

            “เก่งเลขเหรอ”

            “ใช่ เก่งมาก”

            จะสอนจริงๆเหรอ

            ดีใจเลยอ่ะ

            ผมหันไปมองพี่หมอสี่แบบขอความเห็น ไม่ใช่ไม่เชื่อนะว่าพี่กันเก่งคณิต แต่ตอนนี้หมอสี่เป็นคนสอนผมอยู่ ดังนั้นถ้าเปลี่ยนคนสอนแบบกะทันหันแบบนี้ ผมกลัวเขาจะโมโหเอา แต่กลับกันคนผิวขาวพยักหน้าเหมือนจะให้ผมตอบตกลง

            “งั้นก็ให้น้องสอนมึงด้วยเลย”

            “ห๊ะ”

            “น้องเก่งอิ้งมากนะเว้ย เด็กอักษรเชียวนะ”

            “จะมาสอนไรกู ภาษาคนมันยังพูดไม่รู้เรื่องเลย”

            คนใจบาป!

            ผมเบะปากมองแรงใส่คนที่กำลังบ่นผ่านหน้าจอไม่หยุด อยากจะทะลุจอไปบีบคอเขาเหมือนกันเนี่ยตอนนี้

            “มึงพูดรู้เรื่องมากเลย ถ้าไม่ผ่านอิ้งอีกรอบก็ไปนอนกับหมาหน้าเซเว่นแล้วนะครับเพื่อน”

            “หมอ มึงคิดเหรอว่าน้องจะสอนมันได้ สีซอให้ควายฟังอ่ะน้องกอด”

            “พูดมากไปละไอ้ส้นตีน”

            “ผมสอนได้นะ”

            ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด แอบเห็นสีหน้าตกใจของพี่กันก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจางๆที่มุมปาก ยิ้มหล่อทำลายล้าง ขนาดไม่เจอต่อหน้ายังอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดเลย

            “หมอ”

            “หืม”

            “ขอเวลาส่วนตัวแปปนึง”

            อยากได้เวลาส่วนตัวก็ได้ทันที เขาเป็นคนที่สั่งได้ทันใจเอามากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าใครๆก็เกรงใจพี่กันล่ะมั้ง ผมไม่เข้าใจเท่าไรหรอก แต่เมื่อไรที่เขาออกปากสั่งล่ะก็ ใครๆก็ต้องทำตามล่ะนะ เขาอาจจะมีอำนาจมืดซ่อนอยู่ลึกๆก็ได้

            พี่หมอสี่ส่ายหัวให้กับเพื่อนของเขา ตบบ่าผมเบาๆแล้วเดินหายออกไป ทิ้งให้ผมอยู่ภายในห้องคนเดียวเงียบๆกับโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ได้ยินเสียงโวยวายจากอีกฟาก พี่กันเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตู

            “เมื่อวานกลับยังไง”

            “รถไฟฟ้า”

            “เออดีละ”

            “ทำไมเหรอ”

            “เปล่า”

            คนตัวสูงเงียบไป เขาเปลี่ยนที่นั่งไปนั่งอยู่ตรงอ่างล้างหน้า ซึ่งผมสามารถเห็นด้านหลังของเขาผ่านกระจกบานใหญ่ได้ พี่กันสวมชุดนักศึกษาเหมือนอย่างเคย ติดที่ว่าวันนี้เขาสวมเสื้อช็อปทับไว้ด้านนอกด้วย

            เห็นแบบนี้แล้ว พลังทำลายล้างสูงมากๆ

            “จะติวอิ้งให้กูอ่ะ ต้องอดทนนะ”

            “ติวเลขให้ผมต้องอดทนกว่าอีก”

            “เออ เพราะมึงเป็นเจ้าหนูจำไมไง”

            พี่กันยิ้มออกมา เขาพยายามจะฝืนรอยยิ้มนั่นแต่ก็เก็บมันเอาไว้ไม่ได้ เห็นแบบนั้นก็เลยเผลอหลุดยิ้มตามเขาเฉย พอรู้ตัวผมถึงได้เอากระดาษมาปิดครึ่งหน้าของตัวเอง เขาจะได้ไม่เห็นว่าผมแอบยิ้ม เพราะเวลามองผ่านจอโทรศัพท์แล้ว เขาดูดีมากๆเลย

            เป็นอีกอย่างหนึ่งที่อยากทำกับเขา คุยกันผ่านวีดีโอคอล วันนี้ได้ทำแล้วนะ

            “เอากระดาษบังหน้าทำไม”

            “เปล่านี่”

            “หึ ตัวนิ่ม มึงแอบยิ้มล่ะสิ”

            “ผมเปล่า” ใครจะไปหน้าหนาเหมือนเขาล่ะ อยากยิ้มก็ยิ้มออกมาเลย ไม่ได้สนหรอกว่าใครจะตายเพราะรอยยิ้มนั่น ใจบาปชัดๆ

            “แอบยิ้มแน่ๆ”

            เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ผมเปลี่ยนหน้าสมุดเป็นหน้าที่ว่างเปล่าพลางวาดรูปรอยยิ้มด้วยปากกาหมึกน้ำเงินแล้วนำมันมาปิดปากอีกครั้ง พี่กันเห็นแบบนั้นถึงกับหลุดขำออกมา

            “แบบนี้ก็ไม่แอบละ”

            “หึ ไอ้เด็กบ้า”

            เราสองคนเงียบใส่กันอีกครั้ง พี่กันขยับหน้าเข้ามาใกล้กล้องมากกว่าเดิม

            “ยิ้มสวยเนอะ”

            “แน่นอน”

            “แต่กูชอบรอยยิ้มของมึงมากกว่า”

            คำพูดของเขา แม้มันจะไม่ชัดเพราะสัญญาณเน็ตที่จู่ๆก็สะดุด แต่ก็ทำเอาใจสั่นเหมือนจะหัวใจวาย ผมค่อยๆลดสมุดลง ริมฝีปากยังคงขบเข้าหากันแน่น ความร้อนบนใบหน้ากับภาพที่ฉายสะท้อนกลับมา บ่งบอกว่าผมหน้าแดงจนถึงใบหู

            พี่หมอสี่เดินกลับเข้ามาพร้อมกับน้ำปั่นสองแก้ว เขานั่งลงด้านข้างผม คงสังเกตเห็นบรรยากาศแปลกๆบางอย่างนั่นแหละเขาถึงได้ทำท่าจะลุกออกไปอีกครั้ง แต่โดนใครอีกคนยื้อไว้ซะก่อน

            “หมอ”

            “ว่าไงเถื่อน”

            "กูว่ามึงเปลี่ยนวิชาติวเหอะ ติวเลขไม่เวิร์ค”

            “หือ แล้วมึงจะให้กูติวอะไร”

            “ติววิชา… ทำตัวน่ารักให้มันน้อยๆหน่อย

            คำพูดของพี่กันมาเรียบๆแต่เล่นผมเกือบตาย

            “เห็นแล้วใจมันย้วย”

            พูดจบก็วางสายไป เหลือทิ้งให้ผมนั่งเป็นหอบเพราะรับไม่ทันอยู่คนเดียว เหลือบตาไปมองพี่หมอสี่ที่นั่งยิ้มหวานส่งมาให้อยู่ข้างๆ เขาคงเป็นคนแรกนั่นแหละที่รู้ว่าระหว่างเพื่อนเขากับผมต้องมีอะไรมากกว่าคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องหรือคนรู้จักแน่นอน เพราะตอนนี้ผมไม่สามารถซ่อนอาการเขินจนแทบบ้าไว้ได้เลยจริงๆ

            “ถ้าเปรียบไอ้กันกับน้องกอดเป็นวิชาเคมีล่ะก็ ไอ้กันก็คงเป็นตัวทำละลาย”

            “…”

            “ส่วนน้องกอดก็คือสารละลายอ่ะนะ”

            ก็คงจะใช่

            เพราะตอนนี้

            ผมกำลังจะละลาย เพราะผู้ชายคนนั้น



// ไม่อยากได้พี่กัน ขอพี่หมอสี่แทนได้มั้ยคะ ถถถถ
ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม #Likeกัน
ขอบคุณที่ชอบกอดกันนะคะ รักกก
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-06-2017 20:40:48
อร้ายยยยยยยย ฟิน จิกหมอนจิขาดแล้ว
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-06-2017 20:42:24
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 06-06-2017 21:05:12
กอดกัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 06-06-2017 21:22:46
งือ ชอบอ่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-06-2017 00:00:58
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 07-06-2017 01:25:35
งื้ออออออ หัวใจ น่ารัก น่ากอดกันเกินไปแล้วนะเนี่ยยยยย รักกันกอดกันlikeกัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ktsingto ที่ 07-06-2017 02:06:48
อ่านไปยิ้มไป กอดน่ารักก พี่กันก็น่ารักก  :hao7:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 07-06-2017 02:07:38
 :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 07-06-2017 06:02:26
ตายยยยย ตายค่ะตอนนี้ ฮื่อออออออ อิแม่ฟินน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 07-06-2017 06:18:34
เขาอ่อยกันอย่างงี้เลยเหรอคะคุณ :hao6:
อิจฉาตาร้อนเลยทีเดียว
พี่หมอสี่อ่อยเจ้ได้นะ เจ้ยังว่างค่าาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-06-2017 08:53:47
กอดติว Eng ให้พี่กัน พี่กันก็ติวเลขให้กอด เราก็รอเขาติววิชารักกันด้วย

 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 07-06-2017 09:45:47
เราละลายตามน้องละเนี่ย อะไรจะขนาดนั้นอ่ะพี่กัน หืออออออ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 07-06-2017 12:12:51
จีบกอดอีกแล้วววววววววว :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 07-06-2017 12:59:02
โอ๊ยยยยยย ถ้าจะหยอดกันขนาดนี้อ่ะนะ แอร๊ยยยยยย  :-[ เอามาอีกเยอะๆเลยค่ะ จัดมาให้หนักเลยค่ะ พี่กันจะย้วยยังไง? น้องกอดจะละลายยังไง? คนอ่านยังไหวค่ะ จัดมาค่ะ!  :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: rikulism♡ ที่ 07-06-2017 15:41:46
แบบพี่กันมีอีกม้ายยยย น้องขออ :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: somakimi ที่ 08-06-2017 09:02:51
 :z3: :z3: :z3: โอ้ยยยยย!!! เพิ่งมาอ่าน ความตะมุตะมินี้คืออัลไลลลล ดิ้นนนนๆๆๆสนุกค่ะพีคคคคมากจะตายแร้วววว!!! :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: piinkchompoo ที่ 10-06-2017 01:30:27
ตัวนิ่มน่ารักจังเย้ยยยย ฮรื่อออ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 9 {06.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: naplatoo ที่ 10-06-2017 10:31:37
อิพี่กัน คนบร้าาาาาาาา เขินไปหมดแล้ว
ทำไมกูต้องเขินแทนน้องกอดด้วยวะ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 10-06-2017 13:59:03
Chapter 10
สายตาโกหกไม่เป็น


            ‘สถานีต่อไป สยาม Next Station Siam’

            ผมก้าวลงจากตัวรถไฟฟ้า ยืนมองผู้คนรอบกายที่เดินผ่านกันไปมา น่าแปลกที่ท่ามกลางผู้คนมากมาย วันนั้นผมถึงสังเกตเห็นเขาเป็นคนแรก น่าแปลกที่ผมเลือกเขา คนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

            อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน แม้แดดจะร่มลงไปบ้างแต่ก็ยังส่งไอร้อนระอุวาบๆ พอออกจากรถไฟฟ้าแล้ว หลายๆคนจึงเลือกที่จะเดินเข้าห้างทันที สำหรับผมตกเวลาเย็นๆแบบนี้เป็นเวลาที่ไม่รีบเร่ง จึงเลือกที่จะเดินไปตามทางเดินร่มๆเพื่อตรงไปที่ห้องสมุดสาธารณะที่ประจำ

            หน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาห้าโมงเย็น ผมเลือกที่จะบอกเพื่อนสนิทและพี่รหัสของตัวเองว่าผมไม่เข้าชมรมหมออยากติวแล้ว เพราะคนอื่นที่ไม่ใช่หมออาสาจะติวให้

            แค่คิดก็รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า คำที่พี่กันพูดออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน มันยังคงดังก้องอยู่ในหัว

            “แต่กูชอบรอยยิ้มของมึงมากกว่า”

            คำพูดของเขา ไม่ว่าคำไหน มันมีอิทธิพลกับหัวใจผมแทบทั้งหมด

            ขาสองข้างมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องสมุด หันไปมองร้านชานมด้านหลัง เพียงแค่เสี้ยววินาทีผมก็ตัดสินใจเลือกซื้อชานมธัญพืชสองแก้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบ่นอยู่เสมอๆว่าไม่อยากให้ผมซื้ออะไรให้เขา แต่เวลาเจออะไรที่เขาชอบ ก็ดันคิดถึงเขาตลอด

            ระหว่างที่กำลังรอชานม การแจ้งเตือนของไลน์ก็เด้งขึ้นบนหน้าจอ

            ข้อความจากเพื่อนสนิทเด้งขึ้นมา

            มึงไปไหนวะช่วงนี้ บอกกูหน่อยได้มั้ย

            หายตัวตลอด พอถามก็บอกว่ามีธุระ

            แล้วจู่ๆก็บอกว่าไม่อยากติวแล้ว

            อะไรวะกอด


            ข้อความที่เต็มไปด้วยอารมณ์น้อยใจ ผมรีบพิมพ์ตอบกลับไป

            *ไม่ได้หายไปไหน

            *จำคนที่กูบอกว่าขอเบอร์บนรถไฟฟ้าได้ป่ะ

            *กูกำลังตามจีบเขาอยู่อ่ะ

            เหมือนอีกฝ่ายกำลังรอคำตอบอยู่ รีบพิมพ์กลับมาด้วยความรวดเร็ว

            เหรอ

            แล้วกูล่ะ เคยเห็นกูอยู่ตรงนี้บ้างมั้ย

            เออช่างเหอะ

            ตามสบายแล้วกัน


            ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความของเพื่อนที่ส่งกลับมา ยอมรับว่าอารมณ์ดิ่งลงไปหลังจากได้อ่าน ความคิดมากทำให้ผมพยายามสรรหาว่าตัวเองผิดอะไรทำไมจู่ๆเขาถึงมาโกรธผม ทั้งๆที่ก่อนจะเจอพี่กัน เขาก็ไม่เคยจะเซ้าซี้อะไรเวลาผมหายตัวไปคนเดียว

            รีบกดโทรศัพท์ต่อสายหาเขา แต่คนที่รับกลับไม่ใช่เพื่อนสนิทของผม

            “ลุงเหรอ”

            (อือ กอดอยู่ไหนน่ะ)   

            “อยู่สยามอ่ะ”

            (ไอ้แสบมันไม่อยากคุยด้วยเลยให้ลุงคุยแทน ทะเลาะอะไรกันป่ะวะ)

            “ผมไม่รู้”

            ตอบตรงๆเลยว่าผมไม่รู้ว่าโดนโกรธเพราะเรื่องอะไร แต่เดาๆได้ว่าน่าจะมีอยู่เรื่องเดียวล่ะนะ

            “คงเป็นที่ผมออกจากชมรมมั้ง”

            (ไม่น่าใช่)

            “นอกนั้นก็ไม่รู้แล้วล่ะ”

            กัดริมฝีปากด้วยความเคร่งเครียด ทั้งชีวิตไม่ค่อยจะมีเพื่อนเท่าไร ดังนั้นผมจึงแคร์เพื่อนคนนี้เอามากๆ ถ้าโดนโกรธเมื่อไรล่ะก็ ก็จะรีบเคลียร์ให้จบตอนนั้น เหมือนที่กำลังทำอยู่นี่แหละ

            “ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า”

            เสียงโวยวายจากปลายสาย เหมือนทะเลาะอะไรกัน จากที่เป็นลุงรหัสรับสาย จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นพี่รหัสที่มาคุยกับผมแทน

            (ยัยหนู)

            “ครับ”

            (ผู้ชายที่คุยโทรศัพท์กับพี่วันนั้นคือคนที่กอดตามจีบอยู่เหรอ)

            อ่า รู้จนได้แฮะ

            “อือ ผมขอโทษ”

            (พี่ไม่ได้โกรธอะไร ไม่ต้องขอโทษ เดี๋ยวไอ้แสบมันก็หายงอนเองแหละ อย่าคิดมากนะ)

            “แต่ว่า…”

            (ก็เพื่อนกันนี่นา อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ก็ต้องมีหวงบ้างเป็นธรรมดาแหละ)

            “…”

            (ถ้างั้นพี่วางก่อนนะ กอดระวังตัวด้วยล่ะ อย่าให้ใครเขาแกล้งได้นะยัยหนู)

            พูดจบก็ตัดสายไป เหลือทิ้งเพียงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา บรรยากาศรอบตัวจากที่เคยสดใส ทำไมผมรู้สึกว่ามันอึมครึมขึ้นมาซะเฉยๆ

            ผมรับแก้วชานมธัญพืชสองแก้วมาไว้ในมือ จากที่อยากกินดันรู้สึกมวนๆท้องไม่อยากจะแตะมันเท่าไร เดินเข้ามาในห้องสมุดก็รีบสอดสายตาหาคนคุ้นตา แวบแรกคือผู้ชายผิวขาวสวมแว่นทรงกลม พี่หมอสี่โบกมือเรียกผมอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่าง

            พอเดินมาถึงโต๊ะ ผมก็วางแก้วชานมสองแก้ว ไม่เห็นใครอีกคนอยู่แถวนี้ มีเพียงแค่พี่หมอสี่และเพื่อนเบอร์หนึ่งเบอร์สองของพี่กัน เขาอาจจะยังมาไม่ถึงก็ได้ ผมค่อยๆทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่หมอสี่

            แก้วชานมแก้วหนึ่งผมเลื่อนเข้าหาตัว ส่วนอีกแก้วเลื่อนไปให้คนผิวขาวข้างตัว

            “อ้าว กอดไม่กินเหรอ”

            ส่ายหน้าเบาๆเป็นการตอบ เหมือนพวกเขาสามคนจะสังเกตว่าผมดูซึมๆลงไป ถึงได้พยายามจะทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น

            “เอ้อ เดี๋ยวไอ้กันก็มา มันไปซื้อขนมน่ะ”

            “สงสัยจะเหมามาทั้งห้างมั้ง หายไปเป็นชาติแล้วเนี่ย”

            ถ้าเป็นเวลาปกติผมอาจจะขำออกมาแล้ว หรือน้อยที่สุดก็ยิ้มออกมา แต่ตอนนี้ทำเพียงแค่นั่งจ้องจอโทรศัพท์เพื่อรอข้อความจากเพื่อนสนิทของตัวเอง

            ข้อความยังหยุดค้างอยู่

            ตามสบายแล้วกัน

            เพราะความไม่สบายใจทำให้ต้องพิมพ์ตอบกลับไปเพื่อที่จะขอโทษ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าใครอีกคนคงไม่อยากจะคุยด้วยไปสักพักนั่นแหละ

            *ขอโทษ

            *ดีกันนะ

            “ไอ้เถื่อนมาโน่นละ” พี่หมอสี่พูดขึ้น ผมไม่ได้หันไปมองใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามา คนตัวสูงมาหยุดอยู่ข้างๆผม เขาวางถุงขนมลงบนโต๊ะพร้อมเสียงบ่นอุบ

            “กูจะมาติวแล้วพวกมึงเสนอหน้ามาทำซากไรกัน”

            “ชู่ววว”

            “หือ มีไรกันวะ”

            เขาทรุดตัวนั่งลงข้างผม เงยหน้าไปสบตาเขาเล็กน้อย วันนี้พี่กันแปลกตาไปกว่าวันก่อนๆ เหมือนผมจะสั้นลงแฮะ พอเป็นแบบนั้นเลยเผยให้เห็นใบหูที่ชัดเจน  เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีใบหูค่อนข้างใหญ่ แต่กลับลงตัวกับโครงหน้าชัดๆนั่นเสียเหลือเกิน

            ผมยื่นแก้วชานมธัญพืชให้คนตรงหน้า พี่กันเลิกคิ้ว

            “อะไร”

            “ซื้อมาให้”

            “แล้วไม่กินอ่ะ”

            “ไม่อยากกินอ่ะ”

            เขารับแก้วชานมไป ผมเลยหันกลับมานั่งเงียบๆนิ่งๆต่อ

            “เอ่อ กูว่ากูกลับบ้านก่อนดีกว่า ลืมไปพอดีแม่นัดกินข้าว”

            จู่ๆพี่หมอสี่ก็ลุกพรวด กวาดของทุกอย่างบนโต๊ะลงกระเป๋าแล้วรีบเดินดุ่มๆออกไปจากห้องสมุด ผมหันมองด้วยความไม่เข้าใจ

            “เออ กูก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมให้ข้าวหมา”

            “หือ มึงเลี้ยงหมาด้วยระ… อ้อใช่ๆ กูลืมให้อาหารปลา”

            “กลับก่อนนะเว้ยเถื่อน”

            เพื่อนเบอร์หนึ่งเบอร์สองของพี่กันลุกตามออกไป ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่มากเข้าไปอีก

            นี่ผมมาทำลายบรรยากาศการอ่านหนังสือของพวกเขาหรือเปล่านะ

            “ทำไมไปกันหมดล่ะ”

            “เพราะมึงทำหน้าเหมือนตูดไง” นิ้วชี้เรียวๆของใครอีกคนสัมผัสลงตรงกลางระหว่างคิ้วของผม พี่กันมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เขาดูหงุดหงิด ไม่ชอบใจ

            “มีอะไร ใครทำอะไรมึง”

            “ไม่มีหรอก”

            “มึงโกหกไม่เก่งรู้มั้ยไอ้กอด”

            พี่กันดันผมให้เขยิบเข้าไปนั่งด้านใน ที่ที่พี่หมอสี่เคยนั่ง ก่อนเขาจะเขยิบตามเข้ามา กลายเป็นว่าตอนนี้ผมนั่งชิดริมกำแพงอยู่ในซอกหลืบ แล้วคนตัวสูงก็นั่งปิดทางออกเอาไว้

            “เห็นนี่มั้ย” เขาชูตะเกียบให้ผมดู ตะเกียบที่แถมมาพร้อมกับถาดซูชิ

            จู่ๆเขาก็หักตะเกียบดังเป๊าะ ตะเกียบไม้สีน้ำตาลอ่อนหักครึ่งออกจากกันทำเอาผมตกใจ

            “ใครทำมึงซึมกูจะหักคอมันให้เหมือนตะเกียบนี่เลย”

            อ่า

            เขาเป็นคนเถื่อนจริงๆสินะ

            “มีอะไรเล่าให้ฟังได้นะ แม้กูจะไม่อยากฟังก็ตาม”

            ผมถึงกับกุมขมับ

            แล้วเขาจะให้ผมเล่าทำไมกัน ในเมื่อตัวเขาไม่อยากฟังเนี่ย

            “งั้นไม่เล่า”

            “เล่ามาเหอะ”

            “แต่พี่กันไม่อยากฟังอ่ะ”

            “ก็เพราะถ้าฟังกูจะหงุดหงิด กูจะโมโหไอ้คนที่ทำให้มึงกลายเป็นแบบนี้ไง”

            พูดไปก็เอาตะเกียบมาตีหัวผมเหมือนคนอารมณ์เสีย ทั้งๆที่คนอารมณ์เสียน่ะคือผมนะ แต่ทำไมเขาถึงดูอารมณ์เสียกว่าผมอีกล่ะ คนบ้า

            “ถ้าให้เดา เรื่องเพื่อนใช่มั้ย”

            หันขวับไปมองเขา

            “รู้ได้ไงอ่ะ”

            “กูมันเมพไง”

            เมพ …

            “เมพคือไรอ่ะ”

            “เมพขิงๆ มึงไม่รู้จักเหรอ”

            “ไม่อ่ะ” ถ้ารู้จะถามหรือไงไอ้พี่บ้า

            พี่กันกำลังหนีบซูชิเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆเหมือนมันอร่อยมาก ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ชายที่กินได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ไม่อ้วน เขาทำได้ยังไงกันนะ

            “มันทำไม เพื่อนทำไรมึง เดี๋ยวกูจะเอาตะเกียบเนี่ยไปจิ้มตามัน”

            เดี๋ยวๆ

            ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้กันนะ หลุดมาจากยุคคนเถื่อนหรือไง

            “ไม่มีไรอ่ะ เขาแค่โกรธที่ผมออกจากชมรมมั้ง”

            “ห๊ะ โกรธเรื่องอะไรติงต๊องชิบหาย”

            “แล้วก็คงโกรธเรื่องที่ผมมาอยู่กับพี่บ่อยๆ” คนตัวสูงปล่อยซูชิตกลงบนถาด เขาหันมามองผมนิ่งๆ จู่ๆก็กดโทรศัพท์ออกไปหาใครสักคน

            “เออ ที่มึงเล่านี่เรื่องจริงป่ะ”

            “กูไม่อยากเชื่อไง แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว”

            “โมโหแล้วด้วย เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับปืน”

            “เดี๋ยวก็โดนยิง”

            คุยเสร็จก็วางสายไป ผมได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆมองเขา

            ตั้งแต่รู้จักเขามา เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ตอนนี้พี่กันไม่ต่างอะไรกับกระทิงที่พร้อมจะขวิดทุกคนที่เดินผ่านหน้าเขา หรือถ้าเขาเป็นปืน เขาก็พร้อมจะลั่นไกใส่คนที่ทำให้เขาอารมณ์เสีย

            “ทำไมพี่ถึงดูอารมณ์เสียจัง”

            “กูน่ะเหรออารมณ์เสีย”

            ผมพยักหน้าหงึกๆ คนตัวสูงนิ่งไป เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขากำลังหน้าบูดหน้าบึ้ง พี่กันไอกระแอมเล็กน้อยแล้วกลับมานิ่งสุขุมเหมือนเดิม

            “หิวป่ะ”

            “ไม่อ่ะ”

            “ไม่ก็กินเข้าไป กินแล้วเดี๋ยวมาติวกัน”

            “ไม่ติวได้มั้ยอ่ะวันนี้” มองเขาด้วยสายตาเชิงร้องขอ ผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลยนอกจากล้มตัวลงนอน

            “ได้”

            หือ

            ง่ายแบบนี้เลยเหรอ

            “อยากกินไร มีทั้งซูชิ คุกกี้ ขนมเค้ก ทาโกยากิ” สารพัดของกินถูกยื่นมาตรงหน้าผม จากจะติวกลายเป็นชวนกินแทน แต่ผมไม่อยากกินอะไรเลย ทั้งๆที่ซูชินี่ของโปรดผมด้วยซ้ำ

            “ไม่อ่ะ”

            พี่กันเกาหัวจนยุ่งเหยิงไปหมด

            “แล้วให้ทำไง”

            คำพูดของเขาทำให้ผมกระพริบตาปริบๆ

            “ทำอะไร”

            “ทำให้มึงกลับมายิ้มไงไอ้ตัวนิ่ม”

            ใจของผมเต้นรัวขึ้นมา พี่กันพูดเสร็จก็เท้าคางมองหน้าผม นัยน์ตาสีสวยของเขาจ้องมาไม่หยุด เหมือนพยายามจะอ่านสิ่งที่อยู่ในใจของผม

            ผมสบตากับพี่กัน แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ต้องหลบตา ไม่สามารถต้านทานสายตาของเขาได้เลยจริงๆ หลายวินาทีผ่านไปใครอีกคนยังคงจ้องผมไม่ยอมหยุด ยิ่งจ้อง ใจก็ยิ่งเต้นแรงเหมือนจะเป็นไข้ ความร้อนจำนวนมากพุ่งขึ้นมากองบริเวณใบหน้าจนผมต้องปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้

            “อย่าจ้องดิ”

            “หึ”

            หัวเราะในลำคออย่างชอบใจ 

            “กูรู้ว่ามึงเครียดเรื่องเพื่อน แต่เพื่อนก็เป็นแบบนี้แหละ หวงเพื่อนเป็นธรรมดา”

            “เหรอ”

            “อือ แต่ถ้าหวงมากไปแสดงว่าเพื่อนแอบชอบมึงแล้ว”

            “ห๊ะ” ผมลดมือลงแล้วมองหน้าพี่กัน ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาพูดออกมาเมื่อกี้

            เพื่อนแอบชอบผมน่ะเหรอ

            ไม่น่าเป็นไปได้

            ก็มันแอบชอบพี่รหัสของผม… ไม่ใช่เหรอ

            “คนเราอ่ะนะ โกหกได้ทุกอย่าง แต่สายตาอ่ะโกหกไม่ได้” เขาชี้นิ้วไปที่ดวงตาของตัวเอง แล้วหันไปมองคนรอบๆตัว พี่กันมองไปยังโต๊ะๆหนึ่งที่มีหนุ่มสาวสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

            “สองคนนั้นอ่ะเพื่อนกัน ทีนี้ดูสายตาออกมั้ย ว่าใครคิดเกินกว่าเพื่อน”

            ผมมองตามสายตาของคนตัวสูงไปหยุดอยู่ที่ผู้หญิง สายตาที่ผู้หญิงมองผู้ชาย คือสายตาของความเป็นเพื่อน มันผิวเผินไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ก็แฝงด้วยความเป็นห่วง ในขณะเดียวกันเมื่อหันกลับไปมองสายตาผู้ชาย มันอบอุ่น การมองคนตรงหน้าเหมือนเขาเป็นคนสำคัญ อยากทะนุถนอม แววตาที่อ่อนลงไปเวลาเขาหัวเราะ

            นั่นคือสายตาของคนแอบรัก

            “ผู้ชาย”

            “อือ ก็ดูออกนี่”

            พี่กันหันกลับมาสบตาผม

            “ทีนี้พอจะนึกออกยัง เวลาเพื่อนมองมึง มันมองแบบไหน”

            เวลาเพื่อนมองผมอย่างนั้นเหรอ

            นึกย้อนไปตั้งแต่สมัยรู้จักกันแรกๆ สายตาของเพื่อนสนิทจะแฝงไปด้วยความเอ็นดูผมเสมอๆ เวลาผมห่างออกจากตัว เขาก็จะมีท่าทีไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร ซึ่งตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นเพียงแค่อาการหวงเพื่อน แต่หลังๆสายตาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนไป

            ผมเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น

            มันเป็นสายตาที่อบอุ่น ต้องการทะนุถนอม เมื่อไรก็ตามที่ผมอยู่ข้างเขา มันจะเปลี่ยนจากการพึ่งพา เป็นการปกป้อง ราวกับผมเป็นสิ่งสำคัญของเขา

            ไม่จริงน่า…

            เงยหน้าสบตาพี่กันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งกังวล ทั้งกดดัน

            การที่เพื่อนสนิทชอบเรา มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นใช่มั้ย

            แล้วถ้ามันแย่ล่ะ จะถึงขั้นไหนกัน

            ฝ่ามือของพี่กันวางลงบนหัวของผม ขยี้มันเบาๆเหมือนที่เขาชอบทำ แค่ความอบอุ่นของเขาแผ่มาเผื่อผม ก็รู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาดใจ

            “อย่าไปคิดมาก เรื่องปกติของโลก”

            “แต่ว่า…”

            “ถ้ามันจะเลิกคบกับมึงเพราะเรื่องแบบนี้ คำว่าเพื่อนที่ผ่านมาก็ไม่มีความหมายว่ะ”

            คนตรงหน้าพูดเหมือนกับว่าเขาเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ผมเบาใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ยังมีเขาอยู่ข้างๆ แม้จะยังไม่รู้จักเขาดีพอ แต่การที่เขาพูดแบบนี้มันแสดงถึงความเอาใจใส่คนรอบข้างของเขา

            พี่กันเป็นคนดีมากๆเลยนะ แต่ก็โหดเหี้ยมมากๆเหมือนกัน

            “รู้สึกดีขึ้นยัง”

            ผมพยักหน้าเบาๆ

            “ดีขึ้นละ”

            “ทีนี้มองตากู แล้วบอกมาว่าเห็นอะไร”

            นัยน์ตาสีสวยของพี่กันมองจ้องมาที่ผมนิ่งๆ นี่เขากำลังเล่นบ้าอะไรอยู่นะ

            ผมสบตากับเขาได้ไม่เกินสิบวินาทีหรอก คนใจบาป!

            “เร็วๆ อย่าให้รอ”

            สูดอากาศหายใจเข้าปอดลึกๆ ผมสบตากับพี่กันพลางกลั้นหายใจไปด้วย นัยน์ตาสีสวยของเขาคือสิ่งแรกที่ผมตกหลุมรัก เราสบตากันวันนั้น วันที่เขาเก็บหนังสือมาคืนผม

            แววตาของพี่กันมีหลายๆสิ่งซึ่งผมไม่สามารถตอบได้ มันเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความอบอุ่นแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความเยือกเย็น มันเป็นสายตาที่อ่อนโยนแต่ในขณะเดียวกันมันก็แข็งกร้าว

            สิบวินาทีจริงๆที่ผมสามารถสบตาเขาได้ เพราะหลังจากนั้นผมก็หมดอากาศหายใจแล้วต้องรีบหลบตาเขา คนตัวสูงหัวเราะออกมาเบาๆ

            “แต่ถ้าเราไม่สามารถสบตาเขาได้ รู้มั้ยมันหมายถึงอะไร”

            ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกฝืดเคือง

            เสื้อคลุมของพี่กันลอยมาโปะลงบนหัวผมอีกครั้ง ผมคว้ามันห่อตัวเองเอาไว้

            สิ่งที่พี่กันถาม ในความคิดของผมมันอาจจะหมายถึง

            เราตกหลุมรักเขา จนไม่กล้าสบตากับเขา

            เพราะเรากลัวว่าเขาจะรู้ ว่าเราชอบเขามากขนาดไหน

            “ข้อหนึ่ง เราโกหก”

            “ข้อสอง เรามีความลับอะไรบางอย่าง”

            “และข้อสาม”

            ข้อสาม…

            “เราตกหลุมรักเขา”

            ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

            เสียงหัวใจของผมดังจนตัวเองได้ยินชัดเจน มันเต้นรัวราวกับจะตอบรับคำพูดของพี่กัน

            “ตอนแรกกูอยากจะใช้เวลาทำความรู้จักมึงให้นานกว่านี้”

            ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ

            เราควรจะเรียนรู้กันไปเรื่อยๆไง

            “แต่พอไอ้หมอมาเล่าเรื่องเพื่อนมึงให้ฟังแล้ว บอกตามตรง กูหวงว่ะ

            พี่กัน…

            ตั้งแต่เราเจอกัน ผมไม่เคยนึกไม่เคยฝันหรอกว่าจะได้เข้าใกล้ผู้ชายคนนี้มากขนาดนี้ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีจนไม่กล้าเข้าไปทำความรู้สึก เขาสร้างกำแพงไว้สูงจนผมคิดหลายครั้งว่าจะสามารถทลายมันเข้าไปได้หรือไม่

            ที่ผ่านมาผมรู้ว่าพี่กันเองก็คงรู้สึกอะไรบางอย่าง ทั้งคำพูดของเขาที่ไม่เคยปฎิเสธ สิ่งที่เขาทำให้ผมมาตลอด แต่ผมไม่เคยคิดจะเร่งความรู้สึกเหล่านั้น ต้องการให้มันเป็นไปเรื่อยๆ ค่อยๆซึมซับมัน

            “ดังนั้นถ้ามึงกำลังจีบกูอยู่ล่ะก็”

            “…”

            “พอละ”

            “พี่กัน”

            “ถึงตากูจีบมึงบ้างแล้ว ไอ้น้องกอด”





// มาจีบเราหน่อย เราอ่อยนานแล้วนะพี่กัน!!!
สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์น้ะง้าบ
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_

หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 10-06-2017 15:47:53
โอ๊ยยยยยย ตายยยยยย ตายอย่างสงบ  :heaven  หมดเวลาเล่น ได้เวลาเอาจริง #พี่กันกล่าว

ปล. ชอบตรรกะทดสอบสบตา 10 วิอ่ะ มันใช่มากกก  โกหก / มีความลับ หรือไม่ก็ แอบรัก  แอร๊ยยยย  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 10-06-2017 16:21:33
อ่านไปยิ้มไป >\\<
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 10-06-2017 16:23:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 10-06-2017 17:20:30
รีบจีบรีบเป็นแฟนกันสักที จะได้กันท่ากะเพื่อนน้องได้นะพี่กัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: .Koi4541 ที่ 10-06-2017 17:49:44
พึ่งอ่านจบยาวๆเลย อยากบอกว่า ชอบมากกกกกกกก ฮือออ อ่านแล้วยิ้มไปเขินไป เป็นเรื่องที่น่ารักมากจริงๆค่ะ!! จะติดตามต่อไปน้าา เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 10-06-2017 18:06:40
ฟินเฟ่อ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 10-06-2017 20:28:26
อื้ออออ เขินแทนน้องกอดได้ไหมอ่ะพี่กัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 10-06-2017 20:47:25
อยากโดนยิงงี้บ้าง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: manow1 ที่ 10-06-2017 20:49:49
พี่กัน น่ารักนะเรา เขินแทนน้องกอดด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-06-2017 21:38:38
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 11-06-2017 01:08:56
งื้ออออพี่กัดตะจีบน้องกอด
น้องกอดยอมตั้งแต่ตอนนี้ละมั้งงง555555555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 11-06-2017 19:20:08
ในที่สุดพี่กันก็เอาจริงล่ะเหวยยยยย หลังจากอ่อยน้องกอดเองอยู่นาน 5555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 11-06-2017 23:16:40
โอ้ยๆๆๆๆตายๆๆๆๆพุธโธธัมโมสังโฆ

เขิลอะไรขนาดนี้ๆๆๆๆๆๆๆ
โอ้ยยยยยยยเขิลลลลลล

แบบพี่กันเนี่ยมีที่ไหนบ้างๆๆๆๆๆ

โอ้ยยยยยยยนนรักเลย

รีบมาต่อน้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 12-06-2017 12:19:29
โอ๊ยยยยยย เขิน !!!
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 12-06-2017 15:42:15
นี่ยังไม่ใช่จีบกอดอยู่อีกหรอ! :hao3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 13-06-2017 03:13:08
โอ๊ย พี่กัน!! กรี๊ดมาก555 ทำไมรู้สึกว่าแต่ละคำพูดแต่ละการกระทำจะดาเมจขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Benzsu ที่ 14-06-2017 03:03:08
หวีดดดดด ทำไมน่ารักขนาดนี้คะพี่กัน น้องกอดจะละลายแล้วนั่น  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 14-06-2017 21:42:50
จีบกันไปมาเมื่อไหร่จะได้คบกัน อิอิ น้องกอดพี่กันจีบเรางั้นหนูก็ไม่ต้องเปย์พี่กันแล้วนะ. 555555 ชอบๆ. จีบก่อนต้องเปย์คิดได้ไง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 14-06-2017 23:46:05
ต้องเตรียมใจเท่าไหร่ให้พร้อมรับความฟินระดับพี่กันคะ โอยยยย ใจน้อง  :pighaun:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: monetacaffeine ที่ 14-06-2017 23:50:31
จะแย่งกันจีบทำไมมม ผู้ชายพวกนี้ทำอะไรยุ่งยากจริงๆ ชอบก็คบเลยดิเอ้อ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: kratair ที่ 14-06-2017 23:54:12
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 16-06-2017 00:12:39
พี่กัน มีความทำลายล้างสูงมากกกกก :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 16-06-2017 22:11:09
แหม ต้องมีตัวกระตุ้นนะค่ะพี่กันนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 17-06-2017 12:23:45
พอมีคู่แข่งเท่านั้น พี่เถื่อนก็เปิดตัวเลย  :m20:
ต่อไปนี้ น้องกอด ต้องเล่นตัวให้มากนะ หนู  :z1:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:
ปล. เข้ามาอ่านตามคำแนะนำครับ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 10 {10.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 18-06-2017 01:38:47
นี่เกินจีบนานแล้วค่ะ แถวบ้านเรียกคบกันแบบไม่ระบุสถานะะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 18-06-2017 13:42:12
Chapter 11
ซุ่มซ่ามเป็นเหตุ



          เหรียญบาทเหรียญสุดท้ายหล่นลงในช่องซื้อตั๋วรถไฟฟ้า พร้อมกับบัตรสี่เหลี่ยมที่กระเด้งออกมาจากตัวเครื่อง รับบัตรมาไว้ในมือแล้วเดินผ่านช่องสอดตั๋วเข้าไปสู่ชานชาลาต้นสาย ผู้คนมากมายเตรียมตัวขึ้นรถไฟฟ้าในยามเช้าเพื่อไปปฎิบัติหน้าที่ของตนเองเฉกเช่นทุกๆวัน

            วันนี้อากาศร้อนจัด ร้อนชนิดที่เรียกได้ว่าเครื่องปรับอากาศบนรถไฟฟ้าไม่สามารถส่งความเย็นถึงทุกคนได้ หลายๆคนต่างใช้อุปกรณ์ส่วนตัวอย่างมือหรือกระดาษยกขึ้นมาพัดเพื่อระบายความร้อน

            ผมไม่ได้นั่งเหมือนทุกๆครั้งแต่โดนดันจนกระเด้งมายืนตัวลีบอยู่ริมประตูอีกฟาก ภายในรถไฟฟ้ามีเพียงเสียงจากโฆษณาบนโทรทัศน์เครื่องจิ๋ว ผู้คนต่างก้มหน้าจ้องมองโทรศัพท์ในมือของตนเอง บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็เหม่อมองออกไปนอกตัวรถ

            ส่วนผมเลือกที่จะกดโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทที่เงียบไม่ยอมตอบตั้งแต่เมื่อวาน

            *หายโกรธยัง

            *ดีกันเถอะ

            *เดี๋ยวพาไปกินขนม

            ข้อความถูกอ่านในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ผมสามารถยิ้มออกมาได้นิดหน่อย

            แต่เจ้าตัวก็ไม่ยักจะพิมพ์ตอบกลับมาสักที

            *กูเข้าใจนะ ว่ามึงรู้สึกยังไง

            รู้สึกยังไงล่ะ

            โอ้ ทีแบบนี้ตอบซะเร็วเลยแฮะ

            *ก็แบบ

            *แอบชอบกู

            อีกฝ่ายเงียบไป คราวนี้ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะตอบกลับ อาจจะเป็นเพราะว่ากำลังตกใจที่จู่ๆผมพิมพ์ไปหาแบบนั้น บอกตามตรงเลยว่าถ้าพี่กันไม่บอก ผมก็คงโง่ดักดานไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังแอบชอบตัวเองอยู่

            รู้ตัวมั้ยว่าพิมพ์อะไรมา

            *รู้

            แล้วถ้ากูแอบชอบมึงจริงๆ จะทำไง

            เลิกคบ? เกลียดกู?


            *ก็

            *ดีใจนิดๆแหละมั้ง

            ห๊ะ

            จะพูดแบบไหนดี คือผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร ไม่ได้โมโหหรือจะเลิกคบกับเขา แต่แค่รู้สึกว่าการที่เพื่อนตกหลุมรักเรา มันหมายความว่าเขาแคร์เรามากๆ ผมเข้าใจความรู้สึกของคนแอบชอบแต่ไม่มีโอกาสได้บอก มันอึดอัดอยู่ข้างใน ยิ่งเป็นเพื่อนแล้ว ยิ่งพูดไม่ได้เข้าไปใหญ่

            ขนาดคนแปลกหน้าอย่างพี่กัน ผมยังไม่สามารถพูดออกไปตรงๆได้เลย
           
            *จะเลิกคบได้ไง

            *มึงเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของกูนะ

            *แต่กูอยากขอโทษ

            *เพราะกูมีคนที่ชอบแล้วจริงๆ

            ขอโทษทำไม

            ไม่ได้โกรธไรมึงขนาดนั้นหรอก

            แค่น้อยใจ ว่าทำไมมึงถึงไม่ชอบกูบ้าง

            อยากเห็นคนที่มึงชอบขึ้นมาเลย ว่าจะดีกว่ากูแค่ไหนกัน


            *ไม่ได้ดีกว่าหรอก

            *เขาแค่เป็นคนที่ใช่ แค่นั้นเอง

            ในชีวิตเรา เรามักเจอจิ๊กซอว์หลากรูปแบบ บ้างก็ต่างกัน บ้างก็เหมือนกัน บ้างก็ลงล็อค บ้างก็ไม่สมบูรณ์ ความสัมพันธ์ของผมกับพี่กัน ก็เหมือนจิ๊กซอว์ที่ลงล็อค ในขณะที่ความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนสนิท มันคือจิ๊กซอว์รูปแบบเดียวกันที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ไม่มีวันลงล็อค

            ที่ผมคิด ก็ประมาณนั้นแหละนะ

            *มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู รู้ป่ะ

            อือ

            ว้า ยอมแพ้ความมุ่งมั่นของมึงจริงๆอ่ะ

           
            เพื่อนสนิทส่งสติ๊กเกอร์ทำหน้าเศร้ามาให้ แต่เบื้องหลังนั้นผมคิดว่าเขาคงจะยอมแพ้แล้วจริงๆนั่นแหละนะ
           
            รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างที่พี่รหัสบอก เขาไม่สามารถโกรธผมได้นานหรอก อาจจะเป็นเพราะเราผูกพันธ์กันมานานพอสมควร แต่ผมอยากจะคงสถานะเพื่อนกับเขาเอาไว้ ไม่รู้สิ ผมว่าระหว่างฐานะเพื่อนกับฐานะคนรัก เขาเป็นเพื่อนได้ดีกว่าคนรักนะ

            แล้วไอ้นั่นมันว่าไงมั่ง ชอบมึงกลับบ้างป่ะ

            คำถามของเพื่อนสนิททำให้ผมหน้าร้อนหูร้อน ยิ่งอากาศร้อนๆแบบนี้แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ร้อนมากขึ้นไปอีก นึกย้อนไปถึงคำพูดเมื่อวานที่พี่กันพูดกับผม

           
            “ดังนั้นถ้ามึงกำลังจีบกูอยู่ล่ะก็”

            “พอละ”

            “ถึงตากูจีบมึงบ้างแล้ว ไอ้น้องกอด”



            ผมเข้าใจความหมายของสิ่งที่ใครอีกคนพูดอย่างลึกซึ้ง แต่ผมไม่สามารถทำได้ เพราะความตั้งใจแรกที่ผมมีต่อเขา คือการจีบเขาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้จักเขาดีพอ

            การจีบคนๆหนึ่ง สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่การทำให้เขาประทับใจเพียงแค่อย่างเดียว แต่ผมคิดว่ามันคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากกว่า

            ซึ่งตอนนี้ผมรู้จักพี่กันเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์จากหนึ่งร้อย

            ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากรู้

            ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่อยากทำกับเขา

            *ไม่รู้อ่ะ

            *คงชอบมั้ง

            ตอบเพื่อนสนิทกลับไปแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า ใช้เวลาไม่นานขบวนรถก็นิ่งลง ผมก้าวลงจากรถตามฝูงชนจำนวนมาก เข้าแถวสอดบัตรเหมือนคนอื่นๆ

            ช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์นี้จะเป็นช่วงที่ยุ่งจนหัวปั่น ทั้งงานทั้งกิจกรรมที่ถาโถมเข้ามา ดังนั้นจากปกติจะได้กลับหอช่วงเย็น ก็จะเลื่อนเป็นช่วงดึก ถ้าวันถัดไปไม่มีเรียนเช้า ก็หมายความว่าผมจะต้องกลับบ้านดึกตลอด

            แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

            เดินออกมาจากตัวสถานีเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อเห็นคนตัวสูงที่ยืนดูดชานมอยู่ไม่ไกล ท่ามกลางฝูงชน เขาดูโดดเด่นขึ้นมาเหมือนกับยีราฟในฝูงไก่ อาจจะเปรียบเทียบเวอร์เกินไป แต่นั่นคือความจริงที่ผมเห็น

            ไม่เคยถามเลยแฮะว่าส่วนสูงที่แท้จริงของพี่กันคือเท่าไร

            เดาว่าร้อยแปดสิบกว่าๆนั่นแหละ อาจจะเกินร้อยแปดสิบห้า เพราะขึ้นรถไฟฟ้าทีไรหัวจะชนเพดานรถไฟทุกครั้งไป

            “มาได้ไงอ่ะ”

            คำทักทายแบบฉบับเจ้าเก่าเจ้าเดิม พี่กันดูดชานมในแก้วเสียงดัง หมดแก้วพอดี

            “เหาะมามั้ง”

            “เหรอ พี่เป็นไซอิ๋วเหรอ”

            “เออ ขี่หมูทะลุฟ้าไง”

            ผมหลุดขำ

            “ไปเรียนใช่ป่ะ” พยักหน้าตอบคำถามเขา ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็จะโผล่มาให้เห็นเสมอๆเหมือนมีจีพีเอสติดตามตัวผม ทั้งๆที่เราเรียนคนละมหาวิทยาลัยกัน เขาเรียนอีกเส้นทางหนึ่ง ผมเรียนอีกเส้นทางหนึ่ง

            “ทำไมถึงรู้ว่าเรียนกี่โมงอ่ะ”

            คนตัวสูงดึงกระดาษเอสี่ที่สภาพดูไม่ได้ออกจากกระเป๋ากางเกงพลางยื่นมาตรงหน้าผม คลี่มันออกเพื่อดูสิ่งที่ถูกพิมพ์อยู่บนกระดาษ ตารางเรียนของผมปรากฎอยู่บนนั้น เด่นหราชัดเจน

            “ได้มายังไง”

            “กูมีสายไง”

            เขาเป็นสายลับหรือไงกัน รู้กระทั่งตารางเรียนของผม แถมยังปริ้นท์ออกมาเก็บไว้อีก คนบ้า

            “แล้วรู้ได้ไงว่าจะมาตอนนี้อ่ะ”

            “ปกติแล้วมึงจะมาก่อนเวลาประมาณชั่วโมงถึงสองชั่วโมง จริงมั้ย”

            พยักหน้าตอบอีกครั้ง

            เขารู้รายละเอียดเกี่ยวกับผมขนาดนี้เลยเหรอ

            แอบดีใจแฮะ

            “เดี๋ยวไปส่ง”

            “เหรอ”

            “เหรอไรครับเด๋อ ต้องพูดว่าดีใจมากๆเลยครับ สุดหล่อจะไปส่ง”

            “อืม ดีใจมากๆเลยครับ สุดหล่อจะไปส่ง”

            คนตัวสูงหันขวับมาระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินตรงไปยังบันไดเลื่อน

            “ว่าง่ายจังเนอะ”

            “ผมเป็นคนซื่อๆอ่ะ”

            พี่กันยิ้มมุมปากส่งมาให้ เขาเดินนำหน้าผมไปยังบันไดเลื่อนแล้วเป็นฝ่ายก้าวลงไปก่อน ขาของผมก้าวตามไป เพราะรีบเดินเลยแอบกะจังหวะการเหยียบบันไดเลื่อนพลาดเล็กน้อยทำให้เซไปด้านหน้า พี่กันไม่ได้หันมามองแต่เหมือนเขาจะเดาออกจากเสียงเบาๆที่ผมร้องออกไปเมื่อกำลังจะสะดุดหัวทิ่ม แขนยาวๆยื่นกลับมาดันอกของผมเอาไว้ ทำให้สามารถกลับมายืนทรงตัวได้

            นี่ขนาดเขาไม่ได้หันหลังกลับมา เขายังรู้เลยว่าผมจะล้ม

            เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อจริงๆนั่นแหละ

            พี่กันน่ะ…

            ตอนนี้ผมยืนอยู่เหนือคนตัวสูงเล็กน้อย ถึงจะยืนคนละขั้น แต่ความสูงของเขาไม่ลดลงเลย แผ่นหลังของเขาเผชิญหน้าผมอยู่ วันนี้เขาสวมชุดนักศึกษา พับแขนเสื้อขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สะพายกระเป๋าหนังใบโปรดและรองเท้าผ้าใบคู่โปรด

            “วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ”

            “มี แต่เรียนเย็น”

            “ผมเลิกเย็นนะช่วงนี้ ถ้าพี่จะติวก็คงต้องเป็นดึกๆเลยอ่ะ”

            “กิจกรรมเยอะล่ะสิปีหนึ่ง”

            “อือ”

            “ถ้างั้นติวดึกๆก็ได้ ห้องสมุดที่สยามเนี่ยแหละง่ายดี”

            ตอบแต่ก็ไม่ยอมหันมามอง ทำให้ต้องสะกิดเขาเบาๆ

            “พี่กัน”

            “ว่า”

            “ทำไรอ่ะ”

            เห็นเขายุกยิกๆอยู่ เลยชะโงกหน้าไปมองผ่านไหล่กว้างๆของเขา พี่กันกำลังสนใจอะไรบางอย่างบนหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งมองเพียงแค่ครั้งแรกก็รู้เลย

            เขากำลังเล่นเกมงูอย่างใจจดใจจ่อ

            จู่ๆก็มีข้อความเด้งเข้ามา ทำให้เขาต้องกดออกจากเกมเพื่อไปดูข้อความนั้น บนหน้าจอของโทรศัพท์ไม่มีแอพพลิเคชั่นใดๆเกี่ยวกับโซเชียลเลย ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเกมที่ไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการเล่น 

            คำพูดของหมอสี่ดังขึ้นมาในสมองผมเหมือนประกาศผ่านออกมาทางโทรโข่ง

            “มึงก็บอกให้เพื่อนรักมึงเล่นไลน์บ้าง ชีวิตจะใช้โทรศัพท์เติมเงินไปยันตายเหรอ”

            “พี่จะใช้โทรศัพท์เติมเงินไปยันตายเหรอ” พี่กันกดหยุดเกมไว้ก่อน เขาหันมามองผม นัยน์ตาสวยๆนั่นทำให้ผมนิ่งไป

            จะว่าไงดี มีอำนาจทางสายตา

            ใช่เลย คำนั้นแหละ

            “ไอ้หมอสอนเหรอคำนี้อ่ะ”

            “เปล่า ก็แค่อยากเล่นไลน์กับพี่บ้าง”

            “ไม่เล่น ไม่ชอบ”

            “ทำไมล่ะ”

            “เดี๋ยวติด”

            “ติดไลน์เหรอ”

            “ติดมึง”

            ร่างกายถูกแช่แข็งไปชั่วขณะหนึ่ง คนตัวสูงหัวเราะชอบใจใหญ่ เขาเดินนำออกไปอีกครั้ง ส่วนผมก็ได้แต่เดินตาม ใครว่าการเดินตามไม่มีความสุข ผมชอบนะ เดินตามเขา เขาจะได้ไม่หายไปไหน

            “แต่ผมอยากเล่นไลน์กับพี่นะ”

            “มันเปลืองค่าเน็ต”

            อ่า ใบ้กินเลยแฮะ

            ค่าอินเตอร์เน็ตทางมือถือสมัยนี้มันก็แพงหูฉี่จริงๆนั่นแหละ

            “ไม่ต้องเล่นหรอก”

            “เดี๋ยวจะโผล่หน้ามาให้เจอทุกวัน”

            “เจอให้เบื่อไปเลย”

            ผมยิ้มออกมา

            ไม่เบื่อหรอก จะไปเบื่อได้ยังไงกัน ก็ผมชอบพี่นี่นา

            อากาศร้อนๆทำให้ตัวชุ่มเหงื่อไปหมด แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเดินถึงตึกคณะ แต่ก็สามารถเบิร์นไปหลายแคลอรี่ คนตัวสูงเหงื่อชุ่มหลังจนเสื้อนักศึกษาแนบไปกับแผ่นหลังกว้าง บ่งบอกว่าเขาต้องร้อนมากแน่ๆ

            “แดดเผาหมาตายควายล้ม”

            “แต่ผมไม่เห็นพี่ล้มนะ”

            “ตัวนิ่ม เดี๋ยวมึงจะโดนขวิด”

            ขอบคุณร่มไม้ในตัวมหาลัยของผมที่ช่วยบดบังแสงอาทิตย์ในตอนเที่ยง และขอบคุณลมร้อนวาบๆที่พัดผ่านมา ไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้นแม้แต่นิดเลย

            “ส่งแค่นี้ก็ได้นะ”

            “ไปกินข้าวก่อนป่ะ”

            ผมดูนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ เวลาเที่ยงครึ่ง วันนี้มีเรียนตอนบ่ายโมงครึ่ง เหลือเวลาอีกถมเถ ดังนั้นจะไปกินข้าวก็คงไม่เสียหายอะไร

            “ก็ได้ อยากกินที่ไหนอ่ะ”

            “แนะนำหน่อยดิ”

            “ตึกวิศวะ”

            ตอบแบบไม่ลังเลใจเลย เพราะตั้งแต่เข้าปีหนึ่งมา พวกผมก็ชอบไปกินที่ตึกวิศวะกันประจำเพราะอาหารอร่อยและมีให้เลือกหลายอย่าง อีกทั้งคนไม่ค่อยเยอะเท่าไร เพราะนักศึกษาคณะนี้ก็อพยพกันไปกินที่คณะอื่น

            โรงอาหารเวลานี้มีคนบ้างประปราย ใครอีกคนพอเดินเข้ามาก็หูตาวาว จากที่เดินผ่านมาหลายๆร้าน เขาดูจะชอบทุกร้านแฮะ

            สุดท้ายพี่กันก็เลือกอาหารที่ง่ายที่สุดในบรรดาร้อยพันเมนู

            ข้าวผัดกระเพรากุ้ง โปะไข่ดาวไม่สุก

            ผมมองจานข้าวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แล้วก้มมองจานผัดมาม่าใส่ไข่ของตัวเอง

            ว่าเขา ผมเองก็กินเมนูสิ้นคิดไม่ต่างจากเขาสักเท่าไร

            คนตัวสูงนั่งลงตรงข้ามกับผม ถึงจะเคยกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ชินสักทีอ่ะ

            เราสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆ มันเป็นความเงียบที่ไม่ใช่ความอึดอัด แต่เป็นความสบายใจมากกว่า ถึงจะไม่มีใครอีกคนมาเซ้าซี้ แต่ก็รู้ได้ว่าเขานั่งอยู่ข้างหน้านะ

พี่กันเป็นคนที่ เวลาเขากินข้าวเขาจะเงียบเพราะจะสนใจกับอาหารตรงหน้าเอามากๆ

            “ชอบกินใบกระเพราป่ะ” น้ำเสียงโมโนโทนถามขึ้น

            “ชอบ ผมชอบกินผัก”

            พูดจบ เขาก็เอาช้อนกับส้อมหนีบใบกระเพราในจานของเขามาให้ผมทีละใบสองใบ

            “ไม่กินผักเหรอ”

            “กูเป็นสัตว์กินเนื้อ”

            “พี่เป็นไดโนเสาร์เหรอ”

            “หน้ากูมันดึกดำบรรพ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

            แล้วถ้าผมตอบว่าดึกดำบรรพ์ เขาจะตบผมด้วยกรงเล็บของเขาไหมล่ะ

            “ชอบกินแต่แตงกวา”

            ผมจดบันทึกความชอบของเขาเพิ่มลงไปในสมอง

            “แล้วอะไรอีก”

            “ผักกาด”

            “เหรอ”

            “ผักกอดด้วย”

            “ผักกอดหน้าตาเป็นไงอ่ะ”

            “หน้าตาน่ากอดหน่อยๆ”

            เขาส่งยิ้มหวานมาให้ นอกจากแดดประเทศไทยที่ร้อนระอุแล้ว พี่กันก็ร้อนระอุเช่นกัน

            ใจผมสั่นไม่หยุดเลย คุณพระช่วย

            “กินเสร็จเดี๋ยวกูไปหาไอ้หมอที่ตึกวิทย์ ไปด้วยกันป่ะ”

            มันก็แน่นอนอยู่แล้วที่ผมจะตอบว่าใช่

            เราใช้เวลากินข้าวไม่นานก็เดินมาที่ตึกวิทย์ เห็นพี่หมอสี่นั่งอยู่ใต้ตึกถือถุงอะไรบางอย่างอยู่ในมือ คนผิวขาวใส่แว่นทรงกลมโบกมือให้ผมอย่างเป็นมิตร เขาทักทายผมก่อนที่จะทักทายเพื่อนเขาด้วยซ้ำ

            “สวัสดีครับกอด วันนี้ไปติวกับพี่มั้ย”

            “ตีนก่อนมั้ยล่ะหมอ”

            คนตัวสูงรีบเข้ามาขวางทันทีเลย

            “แหมๆ หวง อ่ะนี่ของที่สั่ง” พี่หมอสี่ยื่นถุงกระดาษในมือให้กับพี่กัน ผมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร และดูเหมือนใครอีกคนจะรู้เขาถึงได้ยื่นถุงกระดาษมาให้ผม

            “ของมึง”

            “หือ”

            ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พี่กันยักคิ้ว

            ถุงกระดาษใบใหญ่มาอยู่ในมือผม แหวกมันออกดูก็พบว่าเป็นเสื้อคลุมไหมพรมสีเทาแบบเดียวกันกับของคนตัวสูงที่ชอบเอามาคลุมหัวผมบ่อยๆ ผมกระพริบตาปริบๆมองเสื้อในถุง

            “อะไรอ่ะ”

            “ของขวัญให้กับความพยายาม”

            ความพยายาม…

            ความพยายามอะไรกัน

            “เก็บมันไว้ดีๆ ของขวัญชิ้นแรกจากกู”

            คลี่ยิ้มออกมาจางๆ นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกจากเขาจริงๆ ถามว่าความรู้สึกตอนนี้เป็นแบบไหน มันดีใจปนอยากจะร้องไห้ออกมาซะให้ได้

            “ไม่มีขายที่ไทยนะน้องกอด อยากได้ต้องสั่งจากญี่ปุ่น”

            “จริงเหรอ” ผมมองพี่หมอสี่สลับกับใครอีกคนที่มองมาเงียบๆ

            “มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”

            คนตัวสูงยื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

            “ของขวัญพิเศษ กูก็ต้องให้กับคนพิเศษ”

            “…”

            “จริงป่ะ”

            ผม…

            กลายเป็นคนพิเศษของพี่แล้วเหรอ

            เขินเลยแฮะ

            “แล้วเอาไง จะกลับเลยป่ะ” พี่กันละสายตาจากผมไปคุยกับพี่หมอสี่ต่อ ทิ้งให้ผมยืนกอดลูบเสื้อคลุมไหมพรมนุ่มนิ่มนั่นด้วยความปลื้มใจอยู่ลำพัง

            การถักทอที่สวยงามแบบไร้ที่ติ ดูจากแบรนด์แล้วน่าจะราคาไม่ใช่เล่นเลย ไหมพรมนุ่มนิ่มเบาสบายแต่สามารถให้ความอบอุ่นเป็นอย่างดี ไซส์ต่างจากไซส์ของพี่กัน อันนี้เป็นไซส์ที่เล็กลงมา ใหญ่กว่าตัวผมเล็กน้อยแต่ไม่ได้ใหญ่มากเหมือนของใครอีกคน ตลกดีเหมือนกันนะ ที่ประเทศไทยอากาศร้อนขนาดนี้แต่เขากลับให้ของขวัญผมเป็นเสื้อคลุมกันหนาว

            ผมสัญญาว่าจะเก็บมันอย่างดีเลย

            ระหว่างที่สองคนคุยกัน พวกเขาก็ออกเดินไปด้วย ผมที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับเสื้อในมือดันเผลอสะดุดขาตัวเองจนเกือบจะหน้าทิ่ม ดีนะที่แขนของใครอีกคนดึงเสื้อของผมไว้ทัน ไม่อย่างนั้นได้แผลอีกรอบแน่ๆ

            “สะดุดอีกละ เดินระวังๆหน่อยดิวะ”

            “สะดุดที่ตึกวิทย์ด้วยนะน้องกอด”

            พี่หมอสี่แซวพลางหัวเราะขำ จนพี่กันต้องท้วงเพราะความซุ่มซ่ามของผม

            “เด๋อไง ตอนนั้นมันก็ไปสะดุดที่สนามบอล พันเป็นมัมมี่เลย”

            “ซุ่มซ่ามน่ารักดีออก”

            ที่มหาลัยของผมมีเรื่องเล่าอยู่หลายอย่าง หนึ่งในหลายๆอย่างนั่นคือเรื่องของการสะดุด ถ้าสะดุดที่ลานเกียร์ของตึกวิศวะ ก็จะได้แฟนวิศวะ ถ้าสะดุดที่พรมของตึกอักษร ก็จะได้แฟนอักษร ดังนั้นหลายๆคนก็เลยคิดไปว่า ถ้าอย่างนั้นสะดุดที่ไหนก็คงจะได้แฟนจากคณะนั้นล่ะมั้ง อะไรประมาณนี้ ถามว่าผมเชื่อไหม ก็ไม่ค่อยเท่าไร

            ตั้งแต่ผมเข้ามาในมหาวิทยาลัย นี่คือครั้งแรกเลยที่ผมสะดุด

            จะว่าไป ก็เห็นพี่กันใส่เสื้อช็อปอยู่นะ

            “พี่กัน…”

            เขาคงไม่ได้เรียนคณะวิทยาศาสตร์หรอกใช่มั้ย

            “อือ”

            พี่หมอสี่เป็นฝ่ายตอบคำถามแทน

            “ไอ้กันมันเรียนคณะวิทยาศาสตร์”

            ใจเต้นรัวขึ้นมาทันที

            คนตัวสูงมองหน้าผมสลับกับพี่หมอสี่ เขาคงไม่รู้เรื่องเล่าเหล่านี้หรอกเพราะว่าเราอยู่กันคนละมหาลัย 

            “ถ้างั้นกูไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่สนามบอล เจอกันนะครับน้องกอด” พี่หมอสี่ยิ้มให้ผมพลางโบกมือลาเพื่อนของเขาแล้วเดินดุ่มๆออกไปกับกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่ไกลๆ

            พี่กันหันมามองผม เขาขมวดคิ้วแล้วบ่นออกมาเหมือนหมีกินผึ้ง

            “ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ”

            ก็ผมมีความสุขนี่นา

            “จะไปเรียนยัง”

            “ไปแล้ว”

            “เออ เดี๋ยวเดินไปส่ง”

            “ไม่ต้องหรอก” ยกมือห้ามเขา ขืนเดินไปด้วยกันตอนนี้ล่ะก็

            ละลายตายกลางแดดนั่นแหละ เจอทั้งไออุ่นจากแสงอาทิตย์ ไออุ่นจากเขา

            “กูจะไปส่ง”

            “แต่ผมไปเองได้”

            “แน่ใจ?”

            ผมพยักหน้าตอบเสียงทุ้มๆของเขา แม้จะไม่ได้สบตา แต่ก็รู้ได้ว่าพี่กันคงจะยอมถอยแต่โดยดี

            “เจอกันคืนนี้นะ น่าจะสี่ห้าทุ่มอ่ะ”

            “อือ เจอกัน”

            หมุนตัวหันหลังเพื่อจะเดินกลับตึกคณะ แต่เสียงโมโนโทนกลับดังขึ้นมาก่อน

            “เรื่องสะดุดอ่ะ อย่าเพ้อเจ้อ”

            “…”

            “จะสะดุดที่ไหน มึงก็มีแฟนเป็นเด็กวิทย์อยู่ดีนั่นแหละ”

           



// ค่ะพี่กัน ได้หมดถ้าสดชื่นนน

รักกันชอบกอด รักกอดชอบกัน ติดแท็ก #Likeกัน ผ่านทางทวิตเตอร์ได้นะคะ
ขอบคุณทุกๆคนที่คอยติดตามและเอ็นดูเด็กสองคนนี้ ขอบคุณที่ไปพาคนอื่นให้มารู้จักกอดกัน
ขอบคุณมากๆจริงๆค่ะ <3
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Namwhankn ที่ 18-06-2017 14:44:15
พี่กันจะอ่อยขนาดนี้ไม่ได้นะ ฮือออ :katai1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 18-06-2017 14:45:37
จีบกันหวานไปอี๊กกกก  มีความเป็นเสื้อ(คลุม)คู่ไปอี๊กกกกก  :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-06-2017 15:26:13
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 18-06-2017 17:28:51
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
ใก้กับประโยคสุดท้าย >\\\\\\\\<
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 18-06-2017 17:43:46
โว้ยยยยยย เขินรุนแรงมั้กกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 18-06-2017 19:15:37
อิพี่กันชักจะเยอะ เยอะกับใจนี่เกินไปแล้ววว :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-06-2017 21:26:53
 “จะสะดุดที่ไหน มึงก็มีแฟนเป็นเด็กวิทย์อยู่ดีนั่นแหละ”
เขินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :-[ :-[ :-[ :-[


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsang ที่ 18-06-2017 22:40:25
หวานไปอี๊กกกกกกกก :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 19-06-2017 07:15:31

 :pig4:    :L2:     :pig4:
 เราเพิ่งเข้ามาอ่าน จากกระทู้แนะนำค่ะ ...

เป็นนิยาย feel good อ่านแล้วยิ้มตามตลอดเลย

ลุ้นๆ รอดูลีลาการจีบของ"พี่กัน" ว่าจะรถอ้อยคว่ำขนาดไหน  :o8:



 
 :pigwrite: ปล. อ้างอิงจากตอนที่ 3
.
.

 "แล้วไส้ติ่งอักเสบหายยัง" พอหย่อนก้นลงนั่งที่ม้านั่งใต้ตึกคณะ ก็เอ่ยปากถามเพื่อน


"หายละ ได้ยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อมาเป็นแผงเลย ดีนะไม่ต้องผ่า"
.
.
.
>>>โรคไส้ติ่งอักเสบ รักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้นนะจ๊ะ การกินยาไม่หายน๊า

ทักท้วงเผื่อว่าคนเขียนจะปรับเปลี่ยนเพื่อความสมจริงน๊าาา...
 
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 19-06-2017 11:26:48
อูยยยยย ขอแบบพี่กันใส่ห่อกลับบ้านด้วยได้มั้ยคร้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 19-06-2017 12:07:07
ง้ออออ ความรุกเร็วของพี่กันนั้น ฉันละลายแทนน  o2
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 19-06-2017 12:40:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 19-06-2017 13:37:07
ประโยคทิ้งท้าย นี่ น้องกอด เดินถึงคณะอักษรหรือเปล่าหนอ  :o8:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: rikulism♡ ที่ 19-06-2017 18:19:53
กอดนี่เป็นตัวน่ารักจริงๆ อยากหยิกแก้มม :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 19-06-2017 21:20:28
พี่กันนนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 19-06-2017 22:48:14
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-06-2017 22:11:36
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-06-2017 06:44:54
ฟิน~~~~
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 21-06-2017 07:55:43
น่ารักมากมายก่ายกอง อ่านแล้วยิ้มแก้มปริ  :-[
ขอบคุณคนเขียนนะคะ รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Ball ที่ 21-06-2017 11:39:15
น่ารักอะะะ
พี่กันขยันอ่อยเว่ออออร์
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 11 {18.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 21-06-2017 13:23:44
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 21-06-2017 20:36:05
Chapter 12
ใกล้กว่าที่คิด

         

            แค่วันแรก ตารางกิจกรรมก็ทำผมปวดหัวแล้ว ทั้งงานสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง งานกีฬา งานเชียร์ ไหนจะต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ

            รู้สึกตัวเองเหมือนจะกลายเป็นยอดมนุษย์เลยแฮะ

            นาฬิกาบนผนังห้องบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง เพื่อนและรุ่นพี่ร่วมคณะค่อยๆทยอยออกจากห้องประชุมหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมที่แสนยาวนาน ผมแบกหนังสือเล่มใหญ่กับชีทหนาเป็นตั้งไว้ในอ้อมแขน รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยประถมที่แบกหนังสือเต็มกระเป๋าจนหลังขดหลังแข็ง แถมยังต้องปีนขึ้นตึกห้าชั้น

            ถามว่าแจกมานี่ได้อ่านมั้ย ไม่หรอก ก็อ่านแต่สไลด์ที่อาจารย์สอนนั่นแหละ

            เพราะมัวแต่กังวลว่าหนังสือจะหล่นเลยไม่ทันสังเกตถึงคนที่เข้ามาประชิดตัว ฝ่ามือของใครสักคนหยิบหนังสือเล่มใหญ่ที่สุดไป พอเงยหน้าก็เจอะกับเพื่อนสนิทที่หายตัวไปประชุมเรื่องเดือนคณะตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ

            “กูช่วยถือ”

            “ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ”

            ปากเอ่ยถามออกไป เขาพยักหน้า

            “เสร็จละ เหนื่อยโคตร”

            ผมยิ้มออกมาจางๆ

            สถานะของเราสองคนยังคงเดิม เขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธผมมากมายอะไรขนาดนั้น คงแค่น้อยใจอย่างที่พี่รหัสบอก เพราะเจ้าตัวเป็นคนเดินเข้ามาทักผมเองด้วยซ้ำเมื่อตอนบ่าย

            “จะกลับหอเลยป่ะ กูมีซ้อมต่ออีกอ่ะ”

            “ยังอ่ะ ไปสยามก่อน”

            สายตาของเพื่อนมองค้อนกลับมา เขาคงรู้แหละว่าผมนัดใครอีกคนเอาไว้

            “ไปหามันเหรอ”

            “อือ”

            “อืออะไร อย่าทำหน้าซึมดิ”

            เขาเดินเข้ามาใกล้แล้ววางฝ่ามือลงบนหัวผม ขยี้แรงๆเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดมาก

            “กูไม่ได้โกรธอะไรมึงเลยกอด แค่น้อยใจเฉยๆ”

            “มันเป็นสิทธิ์ของมึงที่จะเลือกรักใคร”

            พยักหน้าตอบคำถามเขา เจ้าตัวยิ้มออกมาแล้วยื่นหนังสือคืนให้ผม

            “กลับดีๆนะ”

            “พรุ่งนี้เจอกัน”

            พูดจบก็เดินล้วงกระเป๋าออกไป ผมมองตามแผ่นหลังของเพื่อนตัวแสบ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม ถึงเจ้าตัวจะพูดว่าเขาไม่ได้โกรธอะไร แต่แววตาของเขาฟ้องว่ามันยังน้อยใจ

            “เฮ้ย ลิงกัง!”

            ผมตะโกนเรียกฉายาของเพื่อนสนิทที่มักจะเรียกบ่อยๆสมัยเรียนมัธยม เขาหันขวับมาทำหน้าตกใจ

            ไม่ได้เรียกฉายานี้มานานแค่ไหนแล้วผมเองก็จำไม่ได้ ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยเราก็ไม่ได้ตัวติดกันแบบเมื่อก่อน รู้แค่ว่าเมื่อก่อนมีเพียงผมคนเดียวที่เรียกเขาด้วยฉายานี้ เพราะเมื่อก่อนเขาซนเหมือนลิงนั่นแหละ

            “ไอ้หมูกอด!”

            “ไว้เดี๋ยวพาไปกินปังปิ้งนะ!”

            เขานิ่งไปก่อนจะฉีกยิ้มออกมาแล้วหัวเราะ สีหน้าที่มีความสุขนั่นเหมือนสมัยก่อนไม่มีผิด

            เจ้าตัวชอบฉายาลิงกังมากๆ เพราะเป็นฉายาที่ผมตั้งให้เขา

            “คิดจะง้อกูด้วยปังปิ้งเหรอ”

            “อือ” ปังปิ้งคือของชอบของเขาเลยล่ะ

            “ได้ กูจะกินให้มึงจนเลย!”

            ยิ้มหวานส่งไปให้เขาก่อนเราสองคนจะเดินหันหลังให้กัน

            ถึงแม้ว่าความรู้สึกอาจจะเปลี่ยนไป แต่ความสัมพันธ์ของผมและเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เขายังคงเป็นเพื่อนสนิทของผม เพื่อนที่คอยอยู่ข้างๆผม เพื่อนที่ไม่ว่าผมจะสร้างบรรยากาศการคุยที่แย่ขนาดไหน ก็ยังคงส่งยิ้มมาให้ผมเหมือนสิ่งที่ผมพูดมันน่าฟังนักหนา

            ถ้าเขาจะเปลี่ยนไป ผมคงห้ามอะไรไม่ได้

            แต่ตัวผมจะไม่มีวันเปลี่ยนไป ต่อให้รู้ว่าเขาชอบผมก็ตาม

 

            ตามปกติแล้วระยะทางจากมหาลัยผมถึงสยามไม่ไกลมากนัก แต่เพราะวันนี้แบกทั้งหนังสือและชีทหนาเป็นตั้งติดตัวมาด้วย กว่าจะมาถึงห้องสมุดก็เหงื่อซกไปทั้งตัวแล้ว

            ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องสมุดสาธารณะ สายตาเลื่อนหาใครอีกคนที่คาดว่ากำลังรออยู่ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เจอ อาจจะเป็นเพราะเขาโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางหมู่คนล่ะมั้ง

            คนตัวสูงนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะประจำของเขาและเพื่อน เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมค่อยๆย่องไปด้านหลังเขา วางหนังสือลงบนพื้นแล้วพุ่งเข้าไปจ๊ะเอ๋เขา

            “แฮ่!”

            พี่กันหันกลับมามองนิ่งๆ ไม่ตกใจเลยสักนิด

            “โห่ไรอ่ะ ไม่ตกใจหน่อยเหรอ”

            “อยากให้ตกใจเหรอ”

            “อือ”

            “อุ้ยตกใจหมดเลยอ่ะ!” พูดไม่พอยังจะทำท่าทางกวนประสาทใส่อีก ไอ้พี่บ้า

             ผมนั่งลงข้างๆเขา สอดขาเข้าไปใต้โต๊ะพลางลากกองหนังสือมาวางไว้ข้างตัว วันนี้พี่กันก็ยังเหมือนเดิม หล่อทำลายล้างเหมือนเดิม

            “อ่ะ” มือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดนูนๆของเขาเลื่อนแก้วชานมมาให้ผม เหลือบไปมองด้านข้างก็เห็นว่าเขาดูดหมดไปแล้วหนึ่งแก้ว

            “ซื้อให้เหรอ”

            “ซื้อให้มึง ไม่ได้ซื้อให้เหรอ”

            ขมวดคิ้วปวดหัวกับมุกบ้าบอของเขา พี่กันยิ้มมุมปากออกมาเหมือนสนุกที่ได้ปล่อยมุกไม่ฮาแถมยังพาผมเครียดอีก

            “เป็นไงกิจกรรม”

            “ก็เยอะดีอ่ะ”

            “แล้วชอบมะ”

            “ก็ชอบนะ หัวยุ่งดี”

            คนตัวสูงไม่ได้ตอบ แต่กำลังหมุนปากกาในมือเล่นอยู่ เพราะว่ามือเขาใหญ่ ปากกาก็เลยดูเล็กลงไปเลย ผมชะเง้อคอไปมองชีทสีขาวที่อยู่ตรงหน้าพี่กันระหว่างที่กำลังดูดชานมธัญพืชหอมๆเข้าปาก ชีทภาษาอังกฤษล้วนๆ แต่กลับสะอาดเหมือนเพิ่งปริ้นท์มาใหม่ๆ

            “ให้สอนอันนี้เหรอ”

            “อันนี้มันยากไป”

            “เหรอ”

            ผมถือวิสาสะดึงชีทของเขามาดู ภาษาอังกฤษบนชีทนั่นคือภาษาอังกฤษเริ่มต้นเลยนะ แล้วคำศัพท์บนนี้ก็มีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับอาหาร เขาน่าจะชอบอยู่

            “ไม่ยากนะ”

            “ก็ยากสำหรับกูไง”

            “แล้วไม่เข้าใจตรงไหนบ้างอ่ะ”

            “ทั้งหมด”

            “คำนี้ก็ไม่รู้เหรอว่าแปลว่าอะไร”

            นิ้วของผมชี้ลงไปบนคำศัพท์คำว่า Crispy ที่แปลว่ากรอบ

            “แปลว่าไร” ถามย้ำออกไปอีก คนตัวสูงเริ่มขมวดคิ้วเล่นเอาผมต้องขมวดคิ้วตาม

            “ไม่รู้”

            “ชื่อเหมือนขนมที่ขายอยู่ที่สยาม”

            “โดนัท”

            พูดจบก็ทำตากระพริบปริบๆใส่ผมเหมือนกับจะถามทางโทรจิตว่า ถูกมั้ย

            “ใช่ แต่มันไม่ได้แปลว่าโดนัท”

            “แล้วแปลว่าไร”

            “คริสปี้ไง คริสปี้อ่ะ โดนัทมันต้องอะไรอ่ะ”

            ยิ่งขมวดคิ้วชนกันมากขึ้นไปอีก

            “จะปี้อะไรนักหนาก็บอกมาสิวะ!”

            ไม่ทันไรทำตัวเถื่อนใส่ผมอีกแล้วไอ้พี่คนนี้

            “แปลว่ากรอบ”

            ผมเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่พี่หมอสี่บอกแล้วล่ะว่าภาษาอังกฤษของเขาแย่มากๆ พลันนึกไปถึงตอนที่ดูหนังด้วยกัน ที่เขาถามผมว่าคำว่าดาดคืออะไร ทั้งๆที่คำนั้นคือว่า Date(เดท) เป็นศัพท์ง่ายๆที่คนทั่วไปควรจะรู้ด้วยซ้ำ

            แต่ผมจะไม่ว่าอะไรเขา เพราะเข้าใจว่าต้นทุนชีวิตของคนเราต่างกัน

            “ก่อนอื่นพี่ต้องเริ่มท่องศัพท์แล้วล่ะ”

            พี่กันพยักหน้า เวลาเขาเชื่อฟังแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบแฮะ

           

            เราใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการติวภาษาอังกฤษกัน ซึ่งในหนึ่งชั่วโมงนั้นพี่กันด่าผมไปประมาณร้อยคำได้ เขาเป็นพวกความอดทนต่ำมากๆแต่สมองเขาก็ดีมากๆเช่นกัน สอนเพียงแค่รอบเดียวเขาก็จำได้แล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยมีใครอดทนสอนเขาได้ ภาษาอังกฤษเขาเลยไม่พัฒนาแม้แต่น้อย

            “ทำไมมึงเก่งอิ้งจัง” เขาถามผมระหว่างที่กำลังเขียนคำอ่านของศัพท์แต่ละตัวลงไปในชีท

            “ผมชอบอ่านอ่ะ อีกอย่างสมัยก่อนแม่เปิดเพลงภาษาอังกฤษให้ฟังทุกคืนเลย”

            “เหรอ ถึงว่าล่ะฉลาด พ่อกูก็เปิดนะ เปิดหมอลำให้ฟังทุกคืนเลย”

            ผมหัวเราะเบาๆ

            “ผมชอบภาษามากๆด้วยแหละ เวลาว่างๆก็จะหาหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่าน แบบที่เป็นภาษาอังกฤษหมดเลยนะ ตอนนี้ก็เริ่มสนใจภาษาญี่ปุ่นด้วย”

            “อือดีแล้ว เด็กดี”

            พอโดนชมว่าเด็กดีทีไร รู้สึกเขินแปลกๆแฮะ

            “พี่หมอบอกว่าพี่กันท็อปวิชาอื่นหมดเลยเหรอ”

            คนตัวสูงพยักหน้า

            “อือ แคล สแตท เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ เอหมด กูสอบติดเพราะว่าได้วิชาอื่นเต็มแต่อังกฤษได้ 20 เต็มร้อย”

            “ก็ยังมีถูกนี่นา”

            “เดาถูกไง”

            เป็นอีกข้อหนึ่งที่เพิ่งรู้จากเขาล่ะนะ ว่าเขาเป็นคนเรียนเก่งมากๆ แต่หัวไม่เอาภาษาเลย

            “แต่จริงๆถ้าพี่พยายามด้วยตัวเองมันก็น่าจะได้นี่ สมองดีขนาดนี้”

            “ถ้ากูทำได้กูทำไปนานแล้วตัวนิ่ม แต่แค่หยิบขึ้นมาก็ปวดสมองแล้ว ท่องเอบีซีได้นี่ก็บุญละนะ จำได้ว่าตอนไอ้หมอสอน ตีกับมันจนเกือบจะเลิกเป็นเพื่อน”

            “เพราะพี่ไม่เอาไหนเหรอ”

            เขาหันขวับมาพลางเอาแขนมาล็อคคอผม

            “พูดว่าไงนะ ว่าใครไม่เอาไหน”

            “พี่ไง กากอ่ะ”

            “ไอ้เด็กนี่”

            ฝ่ามือหนักๆของเขาขยี้หัวผมจนยุ่งไปหมด จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ได้ใกล้ชิดเขาขนาดนี้ กลิ่นน้ำหอมจางๆยังติดอยู่ที่ตัวเขาเลย ไม่ฉุนไม่แรงจนเกินไปแต่กลับหวานหอมอ่อนๆเหมือนกลิ่นหวานของวนิลาผสมความขมของช็อคโกแลต

            ผมรีบดึงตัวเองกลับมาตั้งสติเมื่อพี่กันปล่อยแขนออก กุมหัวกุมคอแก้เก้อ

            ใกล้แบบนี้ไม่ดีเลย

            หัวใจผมเนี่ย ไม่ค่อยดีเลย

            “พี่กัน”

            “ว่า”

            “อีกสามวันที่มอมีงานสงกรานต์อ่ะ พี่กันจะมามั้ย มีของกินขายด้วยนะ” โพล่งถามออกไประหว่างทำแบบฝึกหัดเลขเรื่องสมการไปพลางๆ ประโยคสุดท้ายเน้นย้ำชัดๆเพราะผู้ชายคนนี้ถ้าจะไปไหนสักที่ คงต้องล่อด้วยของกิน ขนาดมานั่งอ่านหนังสือ ขนมนมเนยยังพร้อมซะอย่างกับว่าจะมาปิคนิค

            “คิดจะเอาของกินมาล่อกู อย่าหวัง”

            “อย่าหวังว่าพี่จะไม่มา”

            “เออ รู้มากนัก”

            มือหนักๆดันหัวผมเบาๆ

            “ผมเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำด้วยนะ”

            พี่กันหันขวับมาทำหน้าเครียดใส่ เขาเลิกคิ้วเหมือนจะถามผ่านทางสายตาว่าผมพูดเล่นเหรอ เปล่าเลย ผมไม่ได้พูดเล่น ที่เลิกช้าวันนี้ก็เพราะประชุมเรื่องงานสงกรานต์ที่จะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า เนื่องจากหนุ่มน้อยตกน้ำที่รุ่นพี่เคยวางตัวเอาไว้เกิดประสบอุบัติเหตุ แจ็คพ็อตก็เลยมาลงที่ผม

            “ใครให้ไปเป็น”

            “พี่เขาขอร้องมาอ่ะ เคยปฏิเสธไปรอบหนึ่งแล้วเรื่องลีดคณะ ก็เลยไม่กล้าปฏิเสธรอบนี้”

            เขากุมขมับเลยครับ

            “ไอ้หนุ่มน้อยตกน้ำเนี่ย มันบังคับให้ใส่เสื้อขาวด้วยใช่มั้ย”

            “อือ”

            “กูไม่อนุมัติ”

            เหอออ

            “ไม่อนุมัติได้ไงล่ะ”

            “ไม่เอา”

            “ถ้าขืนผมปฏิเสธรุ่นพี่อีกครั้งล่ะก็ ชีวิตคงอยู่ยากแล้วล่ะ”

            เขาชั่งใจ

            “ก็ได้ แต่มีข้อแม้ ต้องใส่เสื้อกล้าม”

            “แหงล่ะ ไม่ใส่ก็โป๊สิ”

            “รู้นี่”

            นัยน์ตาสวยๆสบตาผมนิ่งๆ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วเลื่อนป๊อกกี้มาให้ผมกิน

            “หวงนะ” จู่ๆพี่กันก็โพล่งขึ้นมา

            หัวใจผมเต้นดังตึกตัก

            “ห่วงด้วย”

            พูดจบก็เอาปากกามาเขียนหลังมือของผม เขาค่อยๆไล่ปากกาน้ำเงินไปตามผิวหนังของผมช้าๆ ข้อความที่เขาเขียนด้วยลายมือไก่เขี่ย เป็นข้อความที่ตราตรึงใจผมจนไม่อยากจะให้มันเลือนหายไป

            ‘ของกัน’

            “ถ้าใครถามว่ามีเจ้าของหรือยัง บอกไปว่ามีแล้ว”

            “เหรอ”

            “อยากฟันหลอเหรอ” ผมหุบปากแน่น

            พี่จะตบผมหรือไงล่ะ

            จ้องมองข้อความบนหลังมือพลางอมยิ้มเล็กๆ

            อย่างน้อยความรู้สึกต่างๆของเขา มันก็เริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิดแล้วล่ะนะ

            “อ้าว น้องกอด”

            ใครสักคนทักทายขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังนั่งอมยิ้มอยู่กับข้อความบนหลังมือ เงยหน้าขึ้นไปมองก็เจอพี่หมอสี่ยืนยิ้มหวานส่งมาให้ ผมยกมือไหว้เขาเหมือนทุกครั้ง

            วันนี้เขาใส่เสื้อไหมพรมสีน้ำตาลกับกางเกงนักศึกษาสีดำ ยิ่งเสริมความเป็นเต้าหู้ไข่ของเขามากขึ้นไปอีก เห็นพี่หมอสี่แบกกระเป๋าสะพายใบโต เขากำลังจะไปนอนค้างที่ไหนหรือเปล่านะ

            “พี่ขอนั่งด้วยนะ พอดีโดนไล่ออกจากบ้านอ่ะ”

            “ไปทำอิท่าไหนล่ะ” พี่กันทักถามเพื่อนของเขา น้ำเสียงอ่อนลงแฝงความเป็นห่วง

            “เรื่องเดิมๆ พาเมียน้อยเข้าบ้าน แม่ทะเลาะกับพ่อ แม่หนีออกจากบ้าน เมียน้อยพ่อไล่กูออกจากบ้าน บลาๆ”

            คำพูดของพี่หมอสี่ทำให้ผมสะอึกไป พลันนึกถึงพ่อตัวเองขึ้นมา

            ป่านนี้เขาจะล้มเลิกความคิดที่จะพาผมไปอยู่ด้วยหรือยังนะ 

            “มาอยู่หอกูก็ได้”

            “แน่นอนครับเพื่อน”

            “แล้วรู้ได้ไงกูอยู่นี่”

            นิ้วเรียวๆของพี่หมอสี่ชี้มาหาผม

            “ที่นี่ที่ประจำของน้องกอด กูก็เลยลองแวะมา”

            “แต่กูอาจจะไม่มาก็ได้”

            พี่หมอสี่หัวเราะแล้วหันมาป้องปากคุยกับผม ถึงแม้จะป้องปากแต่คำพูดทุกคำพี่กันก็ได้ยินชัดเจนอยู่ดีนั่นแหละ นั่งติดกันขนาดนี้

            “ปกติแล้วไอ้กันมันอยู่แค่สามที่อ่ะน้องกอด ที่มอ ที่สนามบอล แล้วก็ที่หอ”

            “อ่า” เหมือนผมเลยแฮะ ปกติผมก็อยู่แค่หอ มอ แล้วก็ห้องสมุด

            “แต่ตอนนี้มันอยู่ที่เดียว”

            “ไอ้หมอ”

            “ที่ๆมีน้องกอดอ่ะ”

            ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะพร้อมใบหน้าที่ร้อนฉ่า เสียงหัวเราะจากพี่หมอสี่ส่งมา ตามด้วยเสียงตีกันระหว่างพี่หมอกับพี่กัน

            ริมฝีปากของผมเม้มเข้าหากันพลางเมินออกไปอีกทาง

            มันไม่ใช่ความบังเอิญหรอกที่พี่กันจะโผล่ไปทุกที่ที่ผมไป เขารู้แม้กระทั่งตารางเรียนของผม ดังนั้นก็ไม่แปลกถ้าเขาจะรู้ว่าวันๆผมอยู่ที่ไหนบ้าง เพราะชีวิตผมไม่ต่างจากชีวิตเขาเท่าไร จำเจและซ้ำซาก วนเวียนไปมาอยู่แค่ที่เดิมๆแบบนี้นั่นแหละ

            “แล้วจะเอาไงเรื่องพ่อ”

            “ไม่เอาไง กูแค่จะแยกมาอยู่กับแม่”

            “เออก็ดี”

            เงยหน้าขึ้นมองคนสองคนที่กำลังสนทนากันเรื่องปัญหาครอบครัว

            “แล้วถ้าเกิดพ่ออยากให้เรากลับไปอยู่ด้วยทั้งๆที่ไม่เคยดูแลเราเลย ควรกลับมั้ยอ่ะ” คำถามของผมทำให้ทั้งคู่เงียบลงไป พี่หมอสี่มองผมเงียบๆสลับกับพี่กัน

            “มันก็ขึ้นอยู่กับเรา ว่าเราอยากจะกลับไปมั้ย”

            อย่างนั้นเหรอ

            ผมไม่อยากกลับ ผมไม่เคยรู้สึกผูกพันกับผู้ชายคนนั้นเลย

            “ไม่อยาก”

            “ไม่อยากก็ไม่ต้องกลับ” ฝ่ามือของพี่กันวางลงบนหัวของผม ขยี้เบาๆ

            “แล้วตอนนี้กอดอยู่กับใครล่ะ”

            “ผมอยู่กับแม่ พ่อหย่ากับแม่ตั้งแต่ตอนผมหกขวบเองมั้ง”

            “ถ้าอย่างนั้นก็อยู่กับแม่ เราอ่ะเป็นกำลังใจสำคัญของแม่ รู้หรือเปล่า”

            คำพูดของพี่หมอสี่ทำให้ผมสบายใจไปเปราะหนึ่ง

            สาเหตุที่ผมขึ้นรถไฟฟ้าอีกเส้นทางหนึ่ง คือไปเจอพ่อ ที่ไปเจอเพราะเขาโทรมาระรานแม่ไม่ยอมหยุด ผมก็เลยต้องยอมไปเจอ แต่พอไปเจอก็ดันเจอคำถามที่ว่าจะกลับไปอยู่กับเขาไหม เขาอยากจะดูแลผม อยากจะเริ่มต้นใหม่

            แต่สำหรับผมผมคิดว่าเวลามันย้อนกลับไปไม่ได้ และตอนนี้ผมก็มีความสุขที่ได้อยู่กับแม่ เพราะแม่นั่นแหละถึงทำให้ผมเข้มแข็ง ทุกวันนี้ผมจะคิดว่า คนไม่มีเหตุผลต่อให้พูดยังไงเขาก็ไม่มีวันฟังเราหรอก

            “อย่าคิดมาก” พี่กันโยกหัวผมไปมา ราวกับเขาต้องการจะปลอบ

            ไม่ต้องปลอบผมก็รู้สึกดีแล้วที่พี่นั่งอยู่ข้างๆอ่ะ

            นั่งอ่านหนังสือกันอยู่สักพักผมก็ลุกจากโต๊ะเพื่อไปหาหนังสือเลขจากชั้นหนังสือ เพราะเป็นห้องสมุดสาธารณะเลยมีหนังสือให้เลือกสรรพอสมควร

            อ่า เมื่อกี้ดูหมวดหมู่มา มันน่าจะอยู่ที่ตัวอี

            ไล่นิ้วไปตามตัวอักษรอี บริเวณนี้เป็นทั้งเลขและวิทยาศาสตร์ ไล่ไปไล่มาก็ไปเจอกับเล่มที่ต้องการ ‘รอบรู้สมการ’ แต่มันดันอยู่ซะชั้นบนสุด จะหยิบยังไงล่ะเนี่ย

            ได้แต่มองตาละห้อย จนกระทั่งใครอีกคนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังนั่นแหละ

            “ไหน จะเอาเล่มไหน”

            “รอบรู้สมการ สันสีเหลืองๆอ่ะ”

            พี่กันแทบจะไม่ต้องเขย่งเลยด้วยซ้ำ เขาไล่นิ้วไปตามสันหนังสือหลากสี บนชั้นมีหลายเล่มเลยที่เป็นสีเหลือง

            “ไหนวะ รอบรู้สมการมีประมาณหกเล่มได้มั้ง”

            “อ้าวเหรอ เอาเล่มหนึ่งสองสามก็ได้”

            เพราะมันมองไม่ค่อยเห็นคนตัวสูงเลยต้องเขยิบเข้ามาแนบชิดผม แผ่นอกกว้างๆของพี่กันแนบอยู่ที่หลังของผมเลยตอนนี้

            ใจเต้นเหมือนจะหลุดออกมาจากอกเลยครับ

            “อ่ะได้ละ” หนังสือสามเล่มบางๆมาอยู่ในมือผม

            “ถ้าเครียดเรื่องพ่อ มาระบายกับกูได้นะ”

            “ผมเปล่าเครียดสักหน่อย”

            “โกหก” นิ้วชี้ของเขาจิ้มลงระหว่างคิ้วของผม

            “รู้ได้ไง”

            “กูเก่งไง”

            “งั้นให้พี่ทายมา ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง” พูดจบก็เพิ่งนึกได้ว่ากำลังขุดหลุมฝังตัวเอง เขายกยิ้มอย่างได้ชัยเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจุดอ่อนของผม คือไม่สามารถสบตาเขาได้นาน

            จ้องตากันเพียงแค่สิบวิ ผมก็ต้องเบือนหน้าหนี

            “มึงเครียดล่ะสิ”

            “ใครบอก”

            “แล้วรู้สึกยังไง”

            “ผมหนาวอยู่ต่างหาก”

            “เหรอ”

            พยักหน้าตอบเขา จู่ๆคนตัวสูงก็ดึงผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยด้วยซ้ำ ความร้อนของใบหน้าผมคงจะถึงขีดสุดแล้ว เพราะตอนนี้รู้สึกได้ถึงไอร้อนๆที่แผ่ออกจากใบหน้าและหู

            พี่กัน…

            “หนาวก็ต้องกอดกัน

            จากที่เคยยืนมองเขาบนรถไฟฟ้าไกลๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆโดยการคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ ผมมักจะสัมผัสถึงไออุ่นของเขาได้จากระยะไกลๆด้วยซ้ำ

            แต่ครั้งนี้ เขากอดผมอยู่ แม้จะไม่ได้แน่นจนสำลัก แต่กลับรู้สึกถึงความร้อนระอุที่ชัดเจน

            ใกล้เกินไปแล้ว

            ใกล้เกินกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ

            ใกล้จนอยากจะหยุดหายใจเลยจริงๆ





// กอดบ้างดิ -3-
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_



หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 21-06-2017 20:49:02
 :o8: อร๊ายยย  เขินแรงง่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 21-06-2017 21:01:22
อิพี่กันอ่อนโยนต่อใจอีกแล้ว มากงมากอดกัน คนบ้าาาาาาาาาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 21-06-2017 21:04:16
งื้อออออออ เขินๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-06-2017 21:12:42
โอ๊ยยยยยย อยากโดนกอดบ้างงงงงงงงง
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 21-06-2017 21:20:27
กอดกัน กอดกัน เขากอดกันแล้ว เขิน ๆ  :o8:
พี่กันอบอุ่นจริงเชียว น้องกอดยิ่งรักเข้าไปใหญ่สิเนี่ย
พี่หมอสี่ก็น่ารักอ่ะ ชักอยากให้มาคู่ลิงกังของน้องกอดซะแล้วสิ
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนะคะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 21-06-2017 21:37:26
เค้ากอดกันแล้ว ตาน้องก็ช่างตอบ ตาพี่ก็ช่างกล้าาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 21-06-2017 21:39:14
กรี๊ดดดชอบมากเลย เปิดเรื่องมาก็ชอบเลยอ่ะ แบบพออ่านตอนแรกจบปั๊บ ยิ้มเลยอ่ะ เขินแทนกอด
แล้วก็เป็นนิยายละมุนๆค่อยๆจีบกัรค่อยๆรู้จักกัน
ชอบนะ อ่านๆมาก็รู้เกี่ยวกับตัวละีรเพิ่มทีละนิดๆเหมือนเราไปรู้จักกับเขาด้วย
ป่านนี้ 2 คนนี้ยังไม่มีเบอร์กันเลยอ่ะ จีบเหมือนสมัยก่อนเลออ คือเน้นเจอหน้าไม่จีบผ่านแอพไรทั้งสิ้น ชอบตรงนี้ แลดูมีความพยายามดีอ่ะ ชอบบ
รอตอนต่อไปนะก๊ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-06-2017 21:40:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-06-2017 21:46:37
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: junpa ที่ 21-06-2017 21:54:01
 :hao7: เขิลแรง :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-06-2017 22:02:45
พี่กันจำเป็นต้องอ่อยขนาดนี้เลย?

หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 21-06-2017 22:29:04
เห็นแนะนำกันเยอะเลยตามมาอ่านค่ะ
แค่ตอนแรกก็หุบยิ้มไม่ลงแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 21-06-2017 22:33:40
รักกันๆงื้อเขินนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 21-06-2017 23:07:04
โอ้ยยยยต้องเขินขนาดไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 22-06-2017 07:00:54
มีเรื่องเครียด แต่ก้อมีความหวานมดขึ้นอ่ะ >\\\\<
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 22-06-2017 07:39:24
แก้มจะแตกแล้ววววว
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 22-06-2017 07:55:13
คู่นึงก็มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้ง

แต่พี่หมอน่าสงสาร ฮืออ หาใครให้พี่หมอหน่อยย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 22-06-2017 10:37:09
กอดเขาด้วยยยย พี่กันนนนนน  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: zabzebra ที่ 22-06-2017 11:47:57
วันนี้ไปลองชื่อชานมธัญพืชมากินตาม พี่กันและน้องกอดเลยค่ะ
มันก็ปะแล่มๆหน่อย ฮืออออ อยากให้มาต่ออีกเรื่อยๆนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 22-06-2017 12:15:18
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 12 {21.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 22-06-2017 13:46:08
 :กอด1:
+1 พร้อมกำลังใจครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 22-06-2017 19:24:33
Chapter 13
คุณแฟนคลับ

 

            งานสงกรานต์ในเย็นวันแรกคึกคักมากเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะอากาศดี ไร้วี่แววของเมฆฝนแต่มีลมเย็นๆพัดผ่าน หลายๆคนเลยออกมาเดินยืดเส้นยืดสายหาอะไรอร่อยๆกินและหาเกมสนุกๆเล่นกันเพื่อคลายความเครียด

            ผู้คนจำนวนมากจากทุกสารทิศแห่มาร่วมงานสงกรานต์ ส่วนมากก็เป็นนิสิตนักศึกษาจากมหาลัยผมและมหาลัยเพื่อนบ้าน งานสงกรานต์ถูกจัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีไทย ดังนั้นรอบบริเวณจึงถูกจัดเป็นธีมงานวัด มีทั้งซุ้มปาเป้า ปาลูกโป่ง กระเช้าลอยฟ้า และอีกหลายๆอย่าง รวมไปถึงของกินหน้าตาน่าอร่อยอย่างเช่นขนมครก ขนมเบื้อง ไอศกรีมโบราณแบบตัด และร้านกาแฟโบราณ

            อีกสาเหตุหนึ่งที่คนมากเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะมีวงดนตรีอย่าง Tattoo Colour ที่จะมาสร้างสีสันในงานวันนี้และผมก็เพิ่งรู้ว่าพี่กันชอบวงนี้เอามากๆ เขาถึงกับโชว์รูปลายเซ็นจากนักร้องนำให้ผมดูเลยด้วยซ้ำ

            ผมยืนเกาะรั้วมองซุ้มของกินแบบไม่ละสายตา หันไปทางนู้นก็น่ากิน ทางนี้ก็น่ากิน

            ถ้าได้พักเมื่อไรล่ะก็จะกินให้หมดทุกซุ้มเลย

            “น้องกอด!” หันไปมองรุ่นพี่ร่วมคณะที่เดินดุ่มๆเข้ามา ผมยกมือไหว้ผู้หญิงตรงหน้า

            “ครับ”

            “พี่ติดต่ออีกสองคนไม่ได้อ่ะ น้องกอดต้องขึ้นเลยนะตอนนี้ คนเริ่มเข้างานแล้ว”

            หา

            กระพริบตาปริบๆมองรุ่นพี่ด้วยความงุนงง ไม่ทันตั้งตัวก็โดนลากไปหยุดอยู่หน้าถังน้ำที่มีบันไดให้ปีนขึ้นไปนั่ง มีแหย่งเหล็กเล็กๆที่เชื่อมกับตัวเป้า เมื่อลูกบอลกระทบกับเป้าทรงกลม ผมก็จะร่วงลงไปนอนเล่นในถังน้ำสังกะสีหน้าตาย้อนยุคนั่น

            คงไม่แย่เท่าไรมั้ง

            ผมคิดแบบนั้นนะ

            ค่อยๆปีนบันไดสีแดงขึ้นไปนั่งบนแท่นเหล็ก คนเดินผ่านไปผ่านมาเริ่มจะให้ความสนใจ สิ่งที่ผมทำได้คือฉีกยิ้มนิดๆแบบเป็นมิตร จะว่าไปมานั่งคนเดียวโล่งๆแบบนี้ ก็เขินเหมือนกันอ่ะ

            “หนุ่มน้อยตกน้ำค่า หนุ่มน้อยตกน้ำ รายได้จากการเล่นเกมเราจะนำไปบริจาคให้กับเด็กผู้ยากไร้ที่จังหวัดนครราชสีมาค่า”

            โฆษกก็ทำหน้าที่โฆษณาไปตามระเบียบ

            “วันนี้เรามีหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารัก สนใจเข้ามาจอยกันได้เลยค่า”

            “ไหนขอประเดิม”

            น้ำเสียงที่ผมจำได้แม่นดังขึ้น พอเงยหน้าขึ้นไปมองปุ๊บก็ขนลุกกราวเลย ลุงรหัสใส่เสื้อสีฟ้าลายดอกดาวเรืองสีเหลืองส่งยิ้มหวานมาให้ผม ข้างๆมีพี่รหัสกับเพื่อนสนิทยืนอยู่ด้วยกัน กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากเลยคราวนี้

            “สิบลูกเลยครับ”

            “ลุง!” ผมกระแทกเสียงเบาๆ แต่ลุงไม่สนใจเลย

            ใจคอกะจะแก้แค้นผมอย่างเดียวเลยสินะ! ไอ้แก่!

            “เฮ้ยเบาๆนะลุง” เพื่อนสนิทพยายามห้ามไม่ให้ลุงรหัสเล่นผมจนอ่วม แต่ตั้งใจขนาดนี้แล้วดูท่าว่าจะไม่รอดแน่นอนล่ะ

            “มึงไปกดมาอีกห้าลูกเลยไอ้แสบ กอดมันหักอกมึง ระบายความเครียดเว้ย”

            “ลุง!!!”

            “ไม่ต้องมาส่งเสียงอ้อนวอน ตอนเข้ามาแรกๆทำอะไรไว้จำได้มั้ย”

            ฮือ อยากจะปีนลงจากถังเลยอ่ะตอนนี้

            ตอนเข้ามหาลัยมาใหม่ๆผมเคยหักหน้าลุงรหัสไปครั้งหนึ่ง ไปทักเขาว่าเขาเป็นช่างซ่อมแอร์ พอดีว่าแอร์ที่หอผมเสียก็เลยอยากให้เขาไปซ่อมแอร์ให้ มารู้อีกทีว่าเขาเป็นลุงรหัส ขอโทษขอโพยเขาไปเป็นพันรอบเขาก็ไม่ยอมลืมสักที

            ก็ดูสภาพลุงสิ หนวดเคราเยิ้ม ผมก็ยาว จะไม่ให้ผมเข้าใจผิดได้ยังไงล่ะ

            ร้องไห้เลยอ่ะ

            “วันนี้กูจะเอาคืนให้สาสม มาหาว่ากูเป็นช่างซ่อมแอร์”

            “ก็เหมือนจริงๆนี่”

            “ปากดี ได้วันนี้กูว่างทั้งวัน จัดไปเลยห้าสิบลูก”

            “ลุงงง”

            “สู้ๆนะจ๊ะยัยหนู” พี่รหัสส่งเสียงอวยพรมาให้แต่ไกลๆ

            ไม่สู้ได้มั้ยอ่ะ

            ลูกบอลลูกแรกลอยมาเฉียดเป้าไปเล็กน้อย ได้แต่ภาวนาในใจขอให้มันโดนน้อยลูกด้วยเถอะ ไอ้ถังนี่ก็ไม่ได้เล็กเลย ถ้าตกลงไปจะปีนขึ้นมาแต่ละทีทำเอาล้าได้เลยนะเนี่ย

            ‘ปึ๊ง’

            บอลลูกที่สี่ลอยกระทบเป้าอย่างจัง แท่นเหล็กพับลงส่งผลให้ร่างผมร่วงลงไปนอนอยู่ในถังน้ำ น้ำเย็นๆที่กระทบร่างทำให้ขนลุกซู่

            แม้จะเป็นสายรหัส แต่ศึกครั้งนี้ไม่มีคำว่าปรานี ลุงรหัสจัดเต็มจนผมร่วงไปประมาณห้าหกรอบได้ เสียงเฮฮาบริเวณรอบๆดูมีความสุขเมื่อได้เห็นหนุ่มน้อยตกน้ำ

            แต่ไอ้หนุ่มน้อยคนนี้เนี่ย หนาวมากเลย

            “ขอโทษนะกอด กูจำเป็นว่ะ”

            เพื่อนผมเองก็ใช่ย่อย ไม่รู้ว่าแต่ละคนเก็บกดมาจากไหนถึงได้ปาเอาๆ ถ้าเปลี่ยนจากหนุ่มน้อยตกน้ำเป็นปาบอลใส่ผมล่ะก็ คงจะไม่ยั้งมือกันเลยอ่ะ

            ขอบคุณสวรรค์ที่หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมาเปลี่ยนมือ แต่กว่าจะได้เปลี่ยนผมก็ขึ้นๆลงๆถังไปประมาณยี่สิบสามสิบรอบได้ ผมนั่งหอบอยู่ที่เก้าอี้ในซุ้มพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่จากรุ่นพี่ต่างคณะที่เอามาเผื่อให้

            เมื่อยแขนเลยอ่ะ

            “อ่ะ” ถ้วยหวานเย็นน้ำแดงราดนมข้นพร้อมกับขนมปังก้อนใหญ่ๆถูกยื่นมาให้ผม เพื่อนสนิทนั่งลงด้านข้าง ในมือของเขามีลอดช่องน้ำกะทิใส่แก้วใส

            “แต้งกิ้ว”

            รับมากินด้วยความหิวโหย ไอ้การขึ้นๆลงๆน้ำแบบนี้มันทำให้ล้าได้พอๆกับวิ่งรอบสนามเลยครับ ตอนนี้ขาผมล้าจนแทบจะยืนไม่ไหวเลย

            หิวด้วย

            “อยากกินไรป่ะเดี๋ยวไปซื้อมาให้”

            “ซื้อไม่ไหวหรอก อยากกินทุกร้าน”

            “เหอะ ไอ้หมูกระต่าย”

            “ทำไมต้องหมูกระต่าย กระต่ายอย่างเดียวดิ”

            “หมูกระต่ายอ่ะเข้ากับมึงมากที่สุดละ”

            เพื่อนผลักหัวผมแล้วหัวเราะ

            การที่เราสองคนกลับมาคุยกันปกติแบบนี้แล้วทำให้โล่งใจไปเปราะหนึ่ง รู้สึกดีที่เรายังคุยกันเหมือนเดิมได้ แล้วก็รู้สึกดีด้วยที่เขามักจะเป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับผมก่อน

            “วันนี้จะอยู่ดูดนตรีป่ะ”

            “อยู่”
           
            “อยู่กับใคร”

            “น้องกอด!” ยังไม่ทันจะได้ตอบเพื่อน เสียงของพี่หมอสี่ก็ดังมาแต่ไกลเลย พี่หมอสี่ยืนโบกมืออยู่หน้าซุ้มพลางยิ้มกว้าง เขาสวมชุดนักศึกษา ในขณะที่คนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆเขาหน้าตาบอกบุญไม่รับเท่าไร สวมเสื้อลายดอกสีเขียวสลับขาว ให้อารมณ์เหมือนกำนันผู้ใหญ่บ้าน

            “อ้าว พี่หมอสี่นี่หว่า”

            “อ่าฮะ”

            “แล้วข้างๆนั่น”

            “คนนั้นแหละ” เพื่อนคงเข้าใจคำพูดของผมดี คนนั้นที่ผมหมายถึงก็คือพี่กัน ผู้ชายที่ผมชอบตั้งแต่แรกเจอนั่นแหละ เขาจ้องไปที่พี่กันด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมามากมายนัก แค่เป็นแววตาไม่ชอบใจเฉยๆ

            “หน้าตาดูเจ้าชู้”

            “เหรอ”

            “เออ เหมือนมีกิ๊กเป็นสิบ”

            “อืมม”

            จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพี่กันมากนัก ไม่รู้หรอกว่าเขาเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน หรือมีแอบคุยอยู่กี่คน คงมีบ้างแหละเพราะคารมเขาไม่ใช่เล่นๆ การพูดการจาก็ดูบ่งบอกว่าเขาอ่ะตัวแสบ แต่บอกตามตรงว่าแอบเห็นด้วยกับเพื่อนเลยเรื่องที่ว่าเขาดูเป็นคนเจ้าชู้

            อย่างที่บอกเขาเป็นคนหล่อ ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็มีแต่คนเหลียวหลังมอง แต่ผมไม่ได้ตกหลุมรักเพราะความหล่อของเขา

            ผมตกหลุมรักสายตาของเขาต่างหาก ครั้งแรกที่สบตา ก็เหมือนโดนด้ายแดงพันขาไว้เลย

            เหมือนมีเสียงก้องในหัวว่า ‘นี่แหละ คนๆนี้แหละ’

            พี่หมอสี่กับพี่กันเดินเข้ามาในซุ้ม เพื่อนผมยกมือไหว้ทักทายพี่หมอสี่ แต่ดูเหมือนบรรยากาศมันจะอึมครึมแปลกๆ

            “งั้นกูไปนะ อย่าหักโหมมาก ไม่ไหวก็บอกพี่เขาไป” มือของเพื่อนหยิกแก้มของผมเบาๆแล้วเดินหายออกไป ดูก็รู้ว่าการกระทำนั้นเขาต้องการยั่วโมโหพี่กัน

            แล้วก็สำเร็จซะด้วย

            “เหนื่อยป่ะ” พี่หมอสี่ถาม

            “เหนื่อย”

            “แต่กอดมีหวานเย็นแล้วอ่ะ แล้วแบบนี้ขนมเบื้องของพี่จะมีความหมายอะไร” ขนมเบื้องในกล่องโฟมถูกยื่นมาตรงหน้าผม หน้าตาน่ากินสุดๆ

            “ผมกินได้เรื่อยๆ”

            “เหรอ อ่ะ”

            “ขอบคุณครับ”

            ขนมเบื้องกรอบๆหอมหวานมันมาอยู่ในมือผม กัดมันเข้าไปคำแรกก็รู้สึกถึงรสชาติที่ไม่ได้สัมผัสมานาน หอมแป้งกรอบๆ ครีมหวานๆมันๆ ฝอยทองนิ่มๆ

            อร่อยจังโว้ยยย

            “กูยืนอยู่นี่ทั้งคน ยังสนใจขนมเบื้องมากกว่าเลย”
           
            “กินป่ะ” ยื่นกล่องขนมเบื้องให้เขา พี่กันส่ายหน้าหากแต่ใช้นิ้วโป้งแตะลงบนริมฝีปากของผม เขาปาดอะไรบางอย่างออกไปแล้วชูให้ผมดู

            ครีมสีขาวของขนมเบื้อง

            “กินนี่ดีกว่า” เขาแตะนิ้วโป้งที่เปื้อนครีมจากปากผมลงบนปากของตัวเอง เสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจในลำคอดังออกมา ผมกับพี่หมอสี่ถึงกับสะดุ้งไปคนละทาง

            โอย รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้นเลยครับ

            “โว้ย เหม็นความรัก!”

            พี่หมอสี่ถึงกับทำท่าจะอ้วกแล้วรีบเดินหนีออกไป ทิ้งให้พี่กันยืนมองหน้าผมอยู่นั่นแหละ

            “มองอะไรอ่ะ”

            “มองตัวนิ่ม”

            ผมแลบลิ้นใส่เขา

            “ใส่ชุดสวยเลยนะวันนี้”

            “อย่าแซว เสียหล่อหมดกู ไหนบอกธีมสงกรานต์ ใส่มาเด๋ออยู่คนเดียวเลยเนี่ย” เขาบ่นขณะถอดเสื้อลายดอกออก ผมรีบห้ามเอาไว้
           
            “ใส่ไว้ๆ เท่ดี”

            “กวนตีนอีก”

            “ไม่กวนตีน พูดจริงๆ” พูดไปหัวเราะไป ความหล่อของเขาอ่ะ เสื้อลายดอกทำอะไรไม่ได้หรอก เชื่อสิ

            “น้องกอด ตาน้องกอดแล้วจ้า” ยังไม่ทันไรก็โดนเรียกตัวกลับไปรับใช้ซุ้มต่อ ผมวางผ้าขนหนูลงบนม้านั่งแล้วมองหน้าพี่กัน

            “ถ้าเบื่อก็ไปเดินเล่นก่อนนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

            “ไม่บอกก็เดินอยู่แล้ว หิว”

            “งั้นก็เชิญเลยครับ” ผายมือออกไปยังซุ้มของกินด้านนอก คนตัวสูงหัวเราะชอบใจ

            “แต่ก่อนอื่น ขอปามึงซักรอบก่อน”

            “ห้ะ!”

            เขาไม่ได้โกหกเลย รอบสองที่ผมขึ้นไปนั่ง พี่กันก็เป็นฝ่ายปาจริงๆ ลูกบอลห้าลูกอยู่ในมือเขา แค่มายืนเฉยๆก็กลายเป็นจุดเด่น เด่นกว่าหนุ่มน้อยตกน้ำแล้วเนี่ย

            เหลือเชื่อเลยจริงๆ ปากบอกไม่อนุมัติให้เป็น แต่ตัวเองมาปาเนี่ย

            ไอ้คนใจบาป!

            นัยน์ตาสวยๆของเขาดูตั้งใจมาก ลูกบอลหนึ่งลูกถูกปาออกมาเต็มแรงส่งผลให้ผมลงไปนอนง่อยอยู่ในถังน้ำ ตามด้วยลูกที่สอง สาม สี่และห้า

            ไม่ต้องตั้งใจขนาดนั้นก็ได้ จริงจังยิ่งกว่าเตะบอลอ่ะพูดเลย!

            พอทำร้ายผมเสร็จสมใจก็ยิ้มหวานแล้วเดินหายออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงกลุ่มสาวๆที่เอาแต่ถามว่าเขาคือใครเพราะไม่กล้าเข้าไปพูดคุยด้วย

            พี่กันนี่ … เนื้อหอมจริงๆนะ

            รอบที่สองผ่านไปแบบสมบึกสมบันมากๆ จนฟ้ามืดซุ้มหนุ่มน้อยตกน้ำก็ยังคึกคัก กะเอาให้กล้ามขึ้นกันเลยทีเดียว ผมนอนแผ่อยู่บนม้านั่งยาวพลางใช้ผ้าขนหนูปิดใบหน้า เสียงแว่วๆจากรุ่นพี่ต่างคณะดังขึ้นมา

            “น้องกอด วันนี้พอแค่นี้น๊า ไปเปลี่ยนชุดได้เลยจ้า”

            โอว สวรรค์มาโปรด

            ขอบคุณครับ

            ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง พอดึงผ้าขนหนูออกก็สะดุ้งเมื่อคนที่หายไปหาของกินนานจนฟ้ามืดมาโผล่อยู่ตรงหน้า พี่กันถือถุงของกินเต็มไม้เต็มมือไปหมด

            "เสร็จแล้วใช่ป่ะ”

            พยักหน้าตอบคำถามเขา

            “แบมือมา”

            แล้วก็แบมือตามคำสั่งของเขา

            “สองข้าง”

            สองข้างก็สองข้าง

            ผมแบมือออกสองข้าง พี่กันวางยาเม็ดสีขาวสองเม็ดลงบนมือซ้ายของผม กับขวดน้ำไม่เย็นหนึ่งขวดลงมือบนขวาของผม

            “พารา กินซะ”

            กินยาเสร็จก็ชะเง้อมองถุงของกินในมือเขา

            “ซื้อซะเยอะ เอาไปแจกเหรอ”

            “เอามาเลี้ยงหมูนิ่มของกู”

            “เหรอ”

            “เออ ไปเปลี่ยนชุดไป เร็วๆวงโปรดกูจะมาแล้ว”

            เขารีบผลักผมให้ไปเปลี่ยนชุดและเช็ดตัวให้แห้ง พอเปลี่ยนชุดเสร็จคนตัวสูงก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

            เราสองคนเดินตรงไปที่เวทีใหญ่ ซึ่ง ณ เวลานี้ผู้คนจับจองกันแน่นเอี๊ยดทุกพื้นที่ แต่พี่กันเลือกหาที่นั่งไกลๆที่สามารถเห็นเวทีได้ชัดๆโดยที่ไม่มีใครบัง พอจับจองที่นั่งได้ไม่นานวงโปรดของเขาก็ขึ้นมาบนเวที

            “ทำไมไม่เข้าไปใกล้ๆล่ะ” ผมถาม เรานั่งอยู่ห่างจากเวทีพอสมควรเลยครับ เห็นตัวนักร้องนำตัวเท่ามดเองอ่ะ

            “กูเห็นบ่อยละ กอดคอก็ทำมาแล้ว”

            “โห”

            “โหเลย”

            “แฟนคลับตัวยงเลย”

            “ก็ใช่ไง”

            เพลงแรกที่วง Tattoo Colour ร้องคือเพลงใหม่ที่เพิ่งปล่อยออกมา ผมที่เป็นคนไม่ค่อยฟังเพลงไทยเท่าไรเลยไม่ได้รู้สึกอินกับเพลงมากนัก ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ดังนั้นผมจะอินกับตัวหนังสือมากกว่าเสียงเพลง

            นั่งกินอะไรไปเรื่อยเปื่อย มีเสียงเพลงและเสียงกรี๊ดประสานคลออยู่ข้างๆหู เลยถือโอกาสเงยหน้าไปมองใครอีกคนที่บอกว่า ‘เห็นบ่อยแล้ว เลยไม่เข้าไปใกล้' ชะเง้อคอจะหลุดไปกองอยู่ข้างเวทีอยู่ละแล้วมาบอกว่าไม่อยากเข้าไปดูใกล้ๆ

            อิโถ่

            “พี่กัน”

            เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ โยกหัวตอบรับกับเพลงแบบอินมากๆ

            “พี่กัน”

            ยังเงียบอยู่

            “พี่กัน!!!”

            จนผมต้องตะคอกนั่นแหละถึงจะรู้ตัว คนตัวสูงหันมาทำหน้างงๆใส่

            “หือ ว่าไง”

            “เข้าไปดูใกล้ๆมั้ย”

            “ไม่เป็นไร”

            “เข้าไปเหอะ”

            ผมลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายดึงข้อมือเขาลากไปอยู่กลางหมู่คนจำนวนมาก เพราะเป็นงานเปิด ไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นคนก็เลยมากเป็นพิเศษ

            พี่กันดูมีความสุขที่ผมชวนเขาออกมายืนท่ามกลางผู้คน เขาได้โยกไปมาและได้มีความสุขกับเสียงเพลงอย่างเต็มที่ ซึ่งเห็นเขามีความสุข แค่นั้นผมก็มีความสุขแล้ว

            “สุดท้ายนี้ เพลงในอัลบั้มแรกของพวกเรา ใครLikeกันขอเสียงหน่อย!!!”

            “กรี๊ดดดดด”

            เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มรอบๆตัว พร้อมกับเสียงเพลงเบาสบายที่ดังขึ้น ฝ่ามืออุ่นๆของคนข้างตัวจับมือของผมเอาไว้ ผมมองพี่กันนิ่งๆ

            เป็นครั้งแรกเลยที่เขากุมมือผม ทำให้รู้เลยว่าฝ่ามือเขาอบอุ่นแบบที่คิดจริงๆ เขากุมมันหลวมๆไม่แน่นเพราะไม่ต้องการให้ผมอึดอัด รอยยิ้มจางๆปรากฎอยู่บนใบหน้าเขา เพราะแบบนั้นผมก็เลยคลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน

            พอจบงาน ทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกลับบ้าน แต่คราวนี้ผมเป็นฝ่ายที่จะต้องไปส่งใครอีกคนที่สถานีรถไฟฟ้า เพราะว่าหอผมอยู่ใกล้แค่นี้เอง

            บนสถานีรถไฟฟ้าที่เต็มไปด้วยผู้คน ผมและพี่กันหาที่เงียบๆยืนอยู่ริมรั้ว ตอนนี้เราสองคนมีชานมธัญพืชกันคนละแก้ว อากาศเย็นๆกินชานมหอมๆ ยืนอยู่ข้างๆคนที่เราชอบ

            มีความสุขเป็นบ้าเลย

            “ชอบมั้ยวงนี้”

            “ก็ดีนะ”

            “แต่กูโคตรชอบเลย”

            ผมรู้น่า พี่ทำหน้ามีความสุขจนล้นอกแบบนี้บ่อยๆซะที่ไหนล่ะ

            “ขอบคุณนะ ที่ลากกูออกไป”

            ตบไหล่เขาเบาๆ คนเราอ่ะนะดูง่ายจะตายไปว่าสิ่งไหนทำแล้วมีความสุขหรือไม่มีความสุข สำหรับผมแล้วถ้ามีคอนเสิร์ตของวงที่ชอบล่ะก็ ไม่มีวันจะยืนเฉยหรอก ผมคงแทรกคนหมู่มากเข้าไปติดขอบเวทีแล้ว

            “แล้วมีวงอะไรที่ชอบมั้ย”

            “ผมชอบวันโอคุอ่ะ”

            “วันโอคุคืออะไร”

            “วันโอเคร็อค วงร็อคของญี่ปุ่น”

            “หือ จริงดิ”

            “อือ” เขาจะบอกว่าหน้าตาอย่างผมไม่น่าจะฟังเพลงร็อคอย่างนั้นล่ะสิ

            ผมเป็นประเภทอินกับเพลงที่แปลไม่ออก พูดง่ายๆก็คืออินกับทำนองมัน เมื่อตกหลุมรักเพลงไหนแล้ว ก็จะค่อยไปหาคำแปล เมื่อเจอคำแปลที่ถูกใจแล้ว ก็จะยิ่งหลงรักมันเข้าไปอีก

            ก็เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่อเขา

            พี่กันเหมือนหนังสือหนึ่งเล่มที่ผมค่อยๆอ่านไปทีละหน้า เก็บรายละเอียดของเขาไปเรื่อยๆแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักเขาเลยก็ตาม เขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผม ก่อนเจอกันไม่เคยรู้เลยว่ามีคนแบบเขาอยู่บนโลกนี้

            และเมื่อเจอแล้ว ก็อยากจะเรียนรู้เรื่องราวของเขาไปเรื่อยๆให้นานกว่านี้

            “เดือนหน้าจะมีคอนเสิร์ตอ่ะ ไปด้วยกันป่ะ เผื่อจะชอบ” ส่งยิ้มหวานให้เขา

            “เอาดิ ลองอะไรใหม่ๆบ้าง”

            “พี่จะต้องชอบแน่ๆเชื่อดิ”

            “เหรอคุณแฟนคลับ”

            “ใช่”

            “เป็นทำไมแฟนคลับ”

            “หือ”

            “เป็นแฟนกันดีกว่า”

            หา

            ผมมองผู้ชายตัวสูงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อเท่าไร พี่กันหยิบเงินในกระเป๋ากางเกงออกมา แบงค์ยี่สิบสองใบ เขาดึงมือผมไปแล้ววางเงินลงบนมือผม พอเห็นเงินจำนวนสี่สิบบาทบนมือแล้ว ใบหน้าก็ร้อนขึ้นมา น้ำตาพาลจะไหลออกมาให้ได้ สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นแค่การคืนเงินธรรมดา แต่สำหรับผมแล้ว มันไม่ใช่แค่การคืนเงิน

            เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมด มันเห็นผลแล้วตอนนี้

            ความพยายามของผม จากนี้มันไม่ใช่แค่อะไรเผินๆอีกแล้ว

            “กูคืนครบแล้ว”

            “…”

            “ครบแล้วก็คบ”





// ไม่ต้องเป็นแล้วแฟนคลับ เป็นแฟนกันดีกว่าค่าาาาาาาาาาา
จ้าาาาเหม็นความรักเด้ออออ  ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ รักมากๆ

Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 22-06-2017 19:41:57
โอ๊ยยยย ละลายยยยยย เค้าเป็นแฟนกันร้าววววว
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-06-2017 19:47:00
คบแล้ววววววววว :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Walking-on air ที่ 22-06-2017 20:01:19
มุกขอเป็นแฟนแบบนี้ก็มีอยู่ทั่วไป

แต่ทำไมพอเป็นพี่กันละมันเขิน....

ปล.ชอบวงแททูเหมือนกันเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-06-2017 21:39:22
  :mc4::mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-06-2017 21:52:12
ก็คบสิ
เขินนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 22-06-2017 22:02:47
คบแล้ววววววววววววว

ชอบวันโอคุเหมือนกันเลย หลงรักเสียงทากะจนโงหัวไม่ขึ้น เพลงเพราะมากๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 22-06-2017 23:00:29
โอ้วโหววววว น้องกัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-06-2017 23:26:35
กรี๊ดดดดดดดด ตอนนี้น้องกอดเป็นไงบ้างคะ มุขขอคบอิพี่กันมาวินมาก :heaven
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-06-2017 23:58:35
เวลาเหมาะเจาะสุดๆอ่าเขิน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-06-2017 01:40:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-06-2017 01:45:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 23-06-2017 03:06:00
มุกแพรวพราวมากขอยืมหน่อยพี่กัน55555544
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 23-06-2017 14:33:49
โอ๊ยยยย เหม็นนนนนนนน เบื่อความรัก หมั่นใส้ อิจฉาาาาาา #ทุบหมอนรัวๆ  ซะทีนะพี่กัน น้องกอดรอนานละค้าบบบ  :m4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 23-06-2017 15:33:16
คบกัน.....แล้วววววว^__^
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 23-06-2017 20:29:44
อี้ววววววววเป็นแฟนกันแล้วววว
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 23-06-2017 21:45:24
คบกันแล้ว เขินแทน

นี่ขำพี่หมอมาก สงสารมาก 555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 23-06-2017 21:53:15
ลีลาการจีบ ของพี่กันนี่ ทำน้องกอด :m11:
+1 ให้กับลีลาการจีบของพี่กัน ครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 24-06-2017 01:15:01
กรี๊ดดดด พี่กันนน เค้าเป็นแฟนกันแล้วค่า โอ๊ยยย กรี๊ดดดด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 24-06-2017 02:01:33
 :-[  กลิ่นความรักฟุ้งกระจาย...เขินแทนน้องกอด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 24-06-2017 08:36:28
ไม่ต้องเป็นแฟนกันแล้ว
เป็นเมียกันเลยดีกว่า
ทีมแม่ยกก็มา กรี๊ดดดด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 24-06-2017 09:59:10
อยากรักกันบ้างงงงง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 24-06-2017 12:43:43
เขินทุกตอนเลย :mew3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: sodaa ที่ 24-06-2017 22:59:31
อ่านแล้วเขิน ขอเป็นแฟนคลับ เอ๊ะหรือแฟนกัน ด้วยคน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 24-06-2017 23:41:42
เขินนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 13 {22.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-06-2017 09:39:37
พี่กันนี่สุดๆ อ่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 25-06-2017 21:07:41
Chapter 14
คิดถึงเหมือนกัน

 

            ผมนั่งเหม่อลอยอยู่บนรถไฟฟ้ายามเช้า พยายามเพ่งสายตาอ่านชีทประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ในสมองตอนนี้มีแต่คำว่า ‘เป็นแฟนกันดีกว่า’ ดังก้องอยู่ในหัว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ถามว่ารู้สึกดีมั้ย ก็รู้สึกดี แต่ความกังวลบางอย่างมันเริ่มก่อตัวขึ้น บางทีผมก็รู้สึกกลัวว่ามันจะผ่านมาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว

            วันนั้นพี่กันไม่ได้อยู่รอคำตอบของผมด้วยซ้ำ พูดแค่นั้นเจ้าตัวก็เดินหายเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าเลย หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เจอกัน เขาไม่ได้มาหาผมที่งานสงกรานต์อีกสองวันที่เหลือ พี่หมอสี่เองก็เช่นกัน

            วันนี้ก็ปาเข้าไปวันที่สามแล้วที่ผมไม่ได้โผล่ไปห้องสมุด ไม่ได้ไปดูว่าเขารออยู่หรือเปล่าเพราะพอผมกลับบ้านมา ก็ดันไปไหนไม่ได้เพราะเจ้ากอดเวอร์ชั่นสองดันหลุดออกจากกรง โดนแมวตะปบจนปีกหัก ต้องพาไปพบสัตวแพทย์ดูอาการอยู่หลายวัน

            เฮ้อ

            กระวนกระวายใจอ่ะ

            รถไฟฟ้าจอดลงที่สถานีหนึ่ง ท่ามกลางฝูงชนที่เดินเบียดกันเข้ามา ใครคนหนึ่งโดดเด่นขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะว่าใบหน้าของเขาที่ผมคุ้นชินเป็นอย่างดี กับการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ ดูดีตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

            หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เหมือนมีออร่าความดีแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา

            ปู่รหัส…

            เหมือนปู่รหัสเองก็สังเกตเห็นผม เพราะนั่งอยู่ตรงข้ามกับประตูพอดี รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งมาให้ แค่รอยยิ้มก็เหมือนโดนแสงอาทิตย์สาดส่องกระแทกหน้าจนร้อนระอุไปหมด

            ใช้เวลาเดินทางช้ากว่าปกติเล็กน้อยเพราะเกิดเหตุรถไฟฟ้าขัดข้อง กว่าจะมาถึงสถานีก็เล่นเอาผู้คนบ่นกันไม่หยุด ปู่รหัสเดินมาทักทายผมด้วยการตบบ่าเบาๆ

            ปกติเราไม่ค่อยเจอกันเท่าไร ปู่รหัสผมค่อนข้างยุ่ง ไม่เหมือนพี่รหัสหรือลุงรหัสที่ทำตัวว่างอยู่ตลอด เราจะเจอกันเฉพาะโอกาสพิเศษอย่างเช่นเลี้ยงสายรหัส กินข้าวด้วยกันในวันเกิด สอบเสร็จ หรือใครบางคนอกหัก

            “ลุงมันบอกว่ากอดมีคนที่ชอบแล้วเหรอ”

            เดินด้วยกันมาสักพักเขาก็เอ่ยปากถาม ไม่แปลกหรอกที่เขาจะรู้ ลุงรหัสรู้ โลกทั้งโลกก็รู้นั่นแหละครับ

            ผมพยักหน้าตอบคำถามของปู่รหัส

            “ใครอ่ะบอกหน่อย”

            “อยู่คนละมหาลัยอ่ะ”

            “แล้วทำไมถึงชอบเขาล่ะ”

            ทำไมถึงชอบเหรอ

            “มีประมาณล้านเหตุผล”

            ปู่รหัสหัวเราะออกมา เราสองคนเดินลงจากสถานีรถไฟฟ้าพร้อมกันเพื่อตรงไปที่มหาวิทยาลัย ผมกับปู่รหัสเราใช้เส้นทางเดียวกันในการเดินทาง ดังนั้นจึงมีบางครั้งที่เจอกันบนรถไฟฟ้าบ้าง มามหาลัยพร้อมกันบ้าง หรือกลับพร้อมกันบ้าง ซึ่งหลังๆแทบจะไม่มีเพราะเขายุ่งอยู่กับการทำทีสิสและโปรเจคอันล้นหลามกองเท่าภูเขา

            “ไหนลองบอกมาซักเหตุผลนึง”

            “อืมม” ผมฮึมฮัมในลำคอ “ตาสวย”

            “แค่นั้นเหรอ”

            “ใช่แล้ว”

            นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ถ้ามองผ่านๆอาจจะเป็นสีดำสนิท แต่ถ้าจ้องนานๆล่ะก็จะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโดนแสงล่ะก็จะยิ่งชัดเจนว่านัยน์ตาของพี่กันคือสีน้ำตาลเข้ม

            เป็นคนที่คิดอะไรก็แสดงออกทางดวงตาไปซะทั้งหมด ไม่ว่าจะมีความสุข พอใจ ไม่พอใจ

            “มีอีกอย่างมะ”

            “ความเอาใจใส่แบบกวนๆอ่ะ”

            เป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่แสดงท่าทีออกมาเหมือนไม่อยากจะทำ ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนประเภทที่ว่าปากกับใจไม่ตรงกับการกระทำ อะไรแบบนั้น

            “แล้วตอนนี้เป็นแฟนกันหรือยัง” ปู่รหัสถามออกมาก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไปคนละทาง ผมหยุดยืนนิ่ง ความรู้สึกหนักหน่วงบางอย่างสุมเข้ามาในอก

            ผมกังวลจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

            เพราะไม่ได้ให้คำตอบเขาตั้งแต่วันนั้น ทำให้ผมรู้สึกแย่ขนาดนี้

            ผมส่ายหน้าให้กับปู่รหัสเบาๆ

            “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

            การเรียนเลขวันนี้สาหัสเอาเรื่อง อาจจะเป็นเพราะพอเรื่องสมการจบไป เรื่องใหม่ก็เข้ามาแทนที่ ตั้งแต่ต้นจนจบคลาส ผมไม่เข้าใจเลยว่าอาจารย์กำลังพูดเรื่องอะไร

            ผมไม่ได้ใส่ใจคนรอบตัว รวมไปถึงเพื่อนสนิท เพราะพอเลิกปุ๊บก็รีบตรงดิ่งไปที่สยาม ไปแวะที่ห้องสมุดเพื่อดูว่าพี่กันมาหรือเปล่า แต่มันกลับว่างเปล่า เขาไม่อยู่ที่นี่

            วิ่งขึ้นไปบนสถานีรถไฟฟ้าเพื่อมองหาเขา ไม่มีวี่แววของคนตัวสูง ไม่มีวี่แววของคนที่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย สิ่งเหล่านั้นทำให้ความรู้สึกกังวลของผมทวีขึ้นเป็นเท่าตัว

            ตอนนี้มีเพียงคนเดียวที่จะพึ่งได้

            พี่หมอสี่

            *มีไลน์พี่หมอสี่มั้ย

            ผมพิมพ์ไลน์ส่งไปถามเพื่อนสนิท ไม่นานนักเขาก็ตอบกลับมา

            พี่รหัสน่าจะมี เดี๋ยวถามให้

            ระหว่างรอก็อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องเดินไปเดินมาเหมือนคนไม่มีสมาธิ ทั้งๆที่เขาเคยอยู่ทุกๆที่ที่ผมไป แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับหาเขาไม่เจอ

            แอคเคาท์พี่หมอสี่ถูกส่งมาโดยพี่รหัส ผมรีบแอดเขาไปด้วยความรวดเร็ว นิ้วพิมพ์ข้อความไปแบบรีบร้อน ไม่ได้เช็คด้วยซ้ำว่าเขียนผิดหรือถูก

            *พี่หมอ นี่กอดนะ

            *พอจัรู้มั้นว่าพี่กันอยู่ไหย

            ใช้เวลาพอสมควรกว่าเขาจะอ่าน พออ่านแล้วพี่หมอสี่ก็รีบพิมพ์ตอบกลับมาทันที

            ใจเย็นๆ

            มีอะไรหรือเปล่า


            *บอหกย่อยง่าอบู่ไหย

            *บอกหน่อยว่าอยู่ไหย

            โอ้ยแล้วแป้นพิมพ์ทำไมค้างจังเลยอ่ะ

            กอด พี่อ่านไม่ออก

            ไอ้กันมันไม่สบายมาสามวันแล้ว นอนอยู่หอ


            ไม่สบาย สามวันแล้วเนี่ยนะ? ยิ่งได้ยินแบบนั้นก็ทำให้ยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่

            *ขอเบอร์หน่อน

            หือ

            นี่ยังไม่มีเบอร์กันอีกเหรอ


            พี่หมอสี่เงียบไปสักพัก ก่อนจะส่งเบอร์ของพี่กันมาให้ ไม่รู้ว่าผมไปรวบรวมความกล้ามาจากไหนถึงได้กดโทรออกทันที แต่พอโทรออก มันดันไม่ขึ้นเป็นเบอร์ แต่ดันขึ้นเป็นชื่อ…

            หล่อฉุดไม่อยู่

            ห๊ะ

            หล่อฉุดไม่อยู่คืออะไร…

            ขมวดคิ้วมึนงงอยู่ได้ไม่นานก็ขึ้นว่ามีคนรับสายแล้ว น้ำเสียงแหบๆของเจ้าของโทรศัพท์ดังขึ้น

            (ฮัลโหล)

            “…” ใช่แล้ว นี่เสียงพี่กัน ถึงจะแหบเป็นเป็ดก็เถอะ เสียงเขาจริงๆ

            ใจเต้นรัวทำให้พูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดแบบไหนก่อนดี เหงื่อเริ่มผุดซึมตามขมับ ทั้งๆที่ตอนแรกใจกล้าถึงขนาดขอเบอร์จากพี่หมอสี่แล้วกดโทรออกโดยไม่คิดก่อนด้วยซ้ำ

            (ฮัลโหล)

            แค่ได้ยินเสียงเขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา พอผมไม่ตอบ เขาเลยเริ่มตะคอกใส่โทรศัพท์

            (ฮัลโหล เฮ้ยนี่มึงใครเนี่ย)

            ผมเอง กอดไง

            (แค่กๆ กูเจ็บคออยู่ยังเสือกโทรมาอีก ควาย!!!)

            โอ้โห

            อึ้งไปเลยอ่ะ

            “พี่เป็นคนเถื่อนจริงๆสินะ”

            จากอารมณ์ดิ่งๆอยู่เมื่อกี้ ผมเผลอหัวเราะเฉยเลย

            ปลายสายเงียบไปสักพัก จากที่ตะคอกปาวๆอยู่เมื่อกี้ เขาลดระดับเสียงลง

            (หือ ตัวนิ่มเหรอ)

            “อือ พี่ไม่สบายเหรอ ไหวมั้ยอ่ะ”

            (ไม่ไหว เจ็บคอ ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ จะตายแล้ว มาหาหน่อย)

            เสียงเป็ดๆพร้อมกับน้ำเสียงที่ดูเหมือนออดอ้อนนั่น เขาทำตัวน่ารักมากเกินไปอีกแล้ว

            “อยู่หอไหนอ่ะ เดี๋ยวผมจะซื้อยากับข้าวเข้าไปให้”

            (The sixth ห้อง 606 อยู่ข้างมอเลย แค่กๆ) พูดไปก็ไอไป

            “งั้นรอแปปนะ เดี๋ยวรีบไปหา”

            (กอดดด)

            เอาอีกแล้ว เสียงเป็ดๆนั่นอ้อนอีกแล้ว คราวนี้เขาเรียกชื่อผมแบบยาวๆ นี่ขนาดไม่ใช่เสียงทุ้มๆนุ่มหูแบบปกตินะ ยังทำผมใจสั่นได้ขนาดนี้เลยไอ้พี่บ้า

            “อะไร”

            (เปล่าไม่มีไร)

            ไม่มีไรแล้วจะเรียกทำไมเล่า

            “งั้นวางแล้วนะ”

            (กอด)

            อะไรของเขาเนี่ย

            “วางแล้ว!”

            (ไม่ให้วาง)

            “จะวางแล้ว”

            (กูรอมึงโทรมาหาตั้งแต่วันนั้นเลยนะ)

            หือ รอผมโทรหาเนี่ยนะ?

            “ผมไม่มีเบอร์พี่ จะโทรหาได้ไงอ่ะ”

            (อ้าว หล่อฉุดไม่อยู่ไงเบอร์กู)

            อ่ะ … ผมอึ้งไปเลย

            “วางแล้วนะ เจอกัน”

            (อือ รีบๆมา)

            “ทำไมล่ะ พี่จะตายแล้วหรือไง”

            (ใช่ คิดถึงมึงแทบตาย)

            พูดจบเขาก็วางสายไป ทิ้งให้ผมยืนหน้าแดงจนถึงหูอยู่ลำพัง

            ผมดึงโทรศัพท์ออกมาดูชื่อปลายสาย ‘หล่อฉุดไม่อยู่’ ตั้งแต่เจอกันครั้งนั้นบนรถไฟฟ้า ที่คุยกันผ่านโทรศัพท์ พี่กันก็ไม่เคยได้แตะมือถือของผมอีกเลย การที่มีชื่อนี้ถูกเมมอยู่ในโทรศัพท์ บ่งบอกว่าเขาเมมเบอร์ของตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เราคุยกันแล้ว

            เขาคงกลัวว่าผมจะหาเจอ เขาจึงตั้งชื่อเป็นภาษาไทย แล้วก็สำเร็จจริงๆ เพราะนอกเหนือจากนั้นผมไม่เคยเมมเบอร์ใครเป็นภาษาไทยมาก่อน ทุกชื่อล้วนเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นชื่อของเขาจึงตกไปอยู่ด้านล่างสุด และผมเองก็ไม่ค่อยโทรหาใคร เลยไม่เคยได้ไล่ดูเลยว่า

            ผมได้เบอร์พี่กันมาตั้งนานแล้ว

 

            หน้าห้อง 606 ภายในหอหน้าตาหรูหราที่มีชื่อว่า The sixth ผมเคาะประตูเบาๆหน้าห้อง ข้าวของในมือพะรุงพะรังไปหมด มีทั้งข้าวต้มกุ้งที่อุ่นมาร้อนๆจากเซเว่น ยาลดไข้ ยาแก้ไอ เจลลดไข้ รวมไปถึงน้ำเต้าหู้ร้อนๆ

            รอไม่นานเจ้าของห้องก็มาเปิดประตูให้ ผมมองสภาพผู้ชายตัวสูงตรงหน้า ขอบตาคล้ำ หน้าซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผากไปหมด หมดเค้าความหล่อฉุดไม่อยู่ไปเลย

            พี่กันเปิดประตูอ้ากว้างให้ผมเดินเข้าไป เขาเดินดุ่มๆไปทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม

            “ผมซื้อข้าวต้มกุ้งมาให้นะกับน้ำเต้าหู้”

            พอได้ยินว่ามีของโปรด เขาก็กระเด้งตัวขึ้นมานั่งแล้วรีบกวักมือยิกๆ

            “ไม่เอาทั้งกุ้งทั้งหู้นั่นแหละ”

            “อ้าว แล้วพี่จะกินอะไร”

            เขาขมวดคิ้วใส่ผม ยังคงกวักมือไม่หยุด ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง เขาพยักหน้าเป็นการตอบคำถาม ไอ้ที่กวักมือเนี่ย คือเรียกผมให้เข้าไปหาใกล้ๆเหรอ

            “อย่าเด๋อ มานี่”

            เดินเข้าไปหาเขาตามคำสั่ง ยังไม่ทันจะถึงตัวก็โดนดึงเข้าไปกอดแล้ว อ้อมกอดกว้างๆโอบตัวผมซะจนมิด ร่างกายของพี่กันตอนนี้ร้อนกว่าอากาศด้านนอกซะอีก

            “ขอเติมพลังหน่อย”

            คนตัวสูงกอดผมแน่น เหมือนต้องการจะบอกว่าเขาคิดถึงผมแทบตายอย่างที่ปากบอก แต่คนที่กำลังจะตายน่าจะเป็นผมมากกว่า

            เขินจนจะบ้าแล้วเนี่ย

            พอกอดจนหนำใจก็ปล่อยผมให้เป็นอิสระ คราวนี้ก็ถึงเวลาหิวของเขาแล้วล่ะ

            ผมแกะฝาถ้วยข้าวต้มกุ้งแล้วยื่นให้เขา พร้อมกับน้ำเต้าหู้ร้อนๆที่ถูกเทลงในแก้ว ระหว่างที่มองเขากินก็สำรวจรอบๆห้องไปด้วย หอของพี่กันใหญ่กว่าหอของผมพอสมควร ข้าวของเครื่องใช้ก็ดูดีสมกับเป็นหอนอก ราคาก็น่าจะแพงตามไปด้วย

            ภายในห้องถูกตกแต่งสไตล์เรียบง่าย แต่โทนสีของในห้องทั้งหมด คือสีดำ

            เขาชอบสีดำ ผมมั่นใจว่าแบบนั้น

            ตอนเข้าห้องมาก็เห็นรองเท้าโอนิซึกะไทเกอร์ที่เขาชอบใส่เรียงกันเป็นตั้ง คงได้มาจากแฟนคลับของเขานั่นแหละ ผู้ชายอย่างเขาคงไม่ซื้อของที่ตัวเองชอบแล้วใส่กล่องสีชมพูติดโบว์มาหรอกว่าไหมครับ

            แต่ถึงจะมีรองเท้ากองเป็นตั้ง เขาก็ใส่คู่เน่าๆนั่นอยู่คู่เดียวนะ นิ้วโป้งแทบจะโผล่ออกมาหายใจได้แล้วอ่ะ

            นอกจากนั้นก็ยังมีเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนเก้าอี้ และตุ๊กตาหมีบราวน์สีน้ำตาลตัวใหญ่ที่อยู่บนหัวเตียงของเขา ไหนจะหมอนหมีบราวน์ รองเท้าผ้าในบ้านหัวหมีบราวน์ หมอนรองคอหมีบราวน์ บ่งบอกว่าเขาเป็นแฟนคลับไอ้หมีตัวนี้แบบถอนตัวไม่ขึ้นเลย

            จะว่าไปนอกจากหมีบราวน์แล้ว เขาก็ยังมีตุ๊กตาโคนี่ที่เป็นกระต่ายสีขาวอีกหนึ่งตัวนอนอยู่ข้างๆ มีตัวเดียวในห้อง และตัวใหญ่เท่ากับบราวน์ที่อยู่บนหัวเตียงนั่นแหละ

            “หายไปไหนมาสามวัน ไม่มาโผล่ที่ห้องสมุดบ้าง” เขาถามระหว่างที่กำลังซดน้ำเต้าหู้ หันไปมองถ้วยข้าวต้มกุ้ง ถ้วยสะอาดกิ๊งเหมือนไม่เคยมีข้าวต้มอยู่ด้านใน กินเร็วจริงๆแฮะ

            “กอดเวอร์ชั่นสองโดนแมวตะปบอ่ะ”

            “อ้าว แล้วมันโอเคมั้ย ตายป่ะ”

            มองเขาตาขวาง

            “ปากเสีย”

            “อ้าว นี่กูเป็นห่วงนะเนี่ย”

            “ไม่ตาย แต่ต้องให้อยู่โรงพยาบาลสัตว์ไปก่อน พี่นั่นแหละหายไปเลย วันนี้ไปหาที่ห้องสมุดก็ไม่เจอ ผมเลยต้องโทรหา”

            “ก็เพราะคนแถวนี้นั่นแหละหายหัวไป กูลุยฝนออกไปหามึงหลังจากวันนั้นถึงได้เป็นหวัดเนี่ย”

            กระพริบตาปริบๆมองเขา

            ลุยฝนเหรอ

            เขาเนี่ยนะลุยฝนมาหาผม

            “พี่จะลุยทำไมอ่ะ ผมต่างหากที่เครียดกลัวว่าพี่จะโกรธ”

            “กูจะโกรธทำซากไรวะตัวนิ่ม”

            “ก็ผมยังไม่ได้ตอบว่าผมจะคบกับ… พี่” เผลอหลุดปากออกไปโดยไม่ทันคิดก่อน พี่กันใช้สติที่หลงเหลือจากการโดนพิษไข้รุมเร้าค่อยๆคิดว่าเมื่อกี้ผมพูดอะไรออกไป เขาคลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ทำให้เขากลายเป็นคนหล่อฉุดไม่อยู่

            โดนยิงตายไปเลย

            “สรุปว่าตกลงแล้ว เฮ้อ กูก็เครียดนอนไม่ได้เพราะกลัวมึงจะโกรธว่าไปเร่งมึงซะอีก ไอ้นิ่มเอ้ย”

            ผมได้แต่นั่งกัดริมฝีปากของตัวเอง

            มันไม่เกี่ยวกับเร่งไม่เร่งสักหน่อย ผมตั้งใจแบบนั้นอยู่ตั้งแต่แรกแล้วนี่ ก็แค่ตอนนั้นพี่กันรีบเดินหนีออกไปก่อน ผมเลยไม่มีโอกาสได้พูด แต่บอกตามตรงว่าถ้าให้พูด ผมก็คงตะกุกตะกักเป็นบ้าแน่ๆ

            เขากังวลว่าผมจะโกรธเหรอ

            “อ่า กูตายตาหลับละ”

            แล้วพี่กันก็ทิ้งตัวนอนแผ่เป็นหมีอืดเลยครับ

            “ดีใจโว้ยยยยยย” จู่ๆเขาก็ตะโกนแหกปากออกมา ดิ้นกระแด่วๆบนเตียง แล้วหันไปเอาหัวมุดกับตุ๊กตากระต่ายโคนี่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว ส่วนผมน่ะเหรอ คงไม่ต้องถาม

            ถ้ามุดใต้เตียงได้ ผมก็คงมุดไปแล้วล่ะ

            ที่ผมกังวลมาหลายวัน ไม่นึกว่าพี่กันเองก็กังวลเหมือนกันว่าผมจะโกรธเขา

            ถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของเราสองคนแหละนะ

            “กอด” พี่กันตั้งสติแล้วหันมาคุยกับผมแบบเป็นผู้เป็นคน เสียงเป็ดๆของเขาพอได้มาฟังแบบนี้แล้วก็ตลกไปอีกแบบ

            “หือ”

            “เห็นตุ๊กตาโคนี่นี่ป่ะ” พูดพลางโอบตุ๊กตากระต่ายตัวใหญ่หน้าตาจิ้มลิ้มมีความสุข นี่เขาเพ้อเพราะไข้ขึ้นหรือเปล่า เพราะเขากำลังทำตัวน่ารัก ต่างจากพี่กันใจบาปคนที่ผมเคยรู้จัก

            “เห็น”

            “มันมีชื่อด้วยนะ”

            “ชื่อไรอ่ะ”

            “กอดเวอร์ชั่นสาม”

            แก้มของผมร้อนไปหมด หรือว่าเชื้อไข้หวัดมันแพร่ผ่านทางการกอดได้

            ใช่แน่ๆ

            “แล้วทำไมกอดเวอร์ชั่นสามมาอยู่ในห้องพี่ที่มีแต่หมีบราวน์ล่ะ”

            “เพราะกูคิดถึงมึง”

            “…”

            “แต่กอดมึงไม่ได้”

            “…”

            “กูเลยต้องหาตัวแทนมาคลายความคิดถึง”

            ผมจ้องตาพี่กันนานมากกว่านี้ไม่ได้ ตอนนี้หน้าผากของผมร่วงไปจรดอยู่บนเตียง ทุกๆอย่างที่เขาทำตอนนี้ มันเหมือนกับสิ่งพิเศษ สิ่งพิเศษที่เขามอบให้ผม

            “นอกจากกอดแล้วยังทำอย่างอื่นได้ด้วย”

            “พี่จะทำอะไร”

            เงยหน้ามองคนตัวสูง รอยยิ้มกว้างๆบนใบหน้าเขาบ่งบอกว่าเขากำลังอารมณ์ดี หลังจากกินยากินข้าวลงไปแล้ว สีหน้าก็ดูดีขึ้น ต่างจากผีดิบตอนแรกที่ผมเจอ

            พี่กันหันไปจุ๊บปากตุ๊กตาโคนี่ พลางยกยิ้มมุมปากอย่างคนชนะ

            ไอ้…

            ไอ้คนใจบาป!

            “ผมกลับดีกว่า” หัวใจที่เต้นไม่เป็นสุขขอร้องให้ตัวเองกลับหอซะตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าขืนยังนั่งอยู่ตรงนี้นานกว่านี้ล่ะก็ อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปก็ได้ พอได้ยินแบบนั้น เขาก็ทำหน้างอแงไม่ยอมให้ผมกลับแล้วหันไปคุยกับคุณกระต่ายเป็นเรื่องเป็นราว

            “ป่วยอ่ะ ไม่ดูแลหน่อยเหรอ”

            “คนใจร้าย”
           
            “เสียใจมากๆ”

            พูดจบก็ชกคุณกระต่ายซะหน้าบุบเหมือนแค้นกันมาสามชาติ จะว่าไปไม่เคยได้เห็นมุมเด็กๆแบบนี้ของเขาเลยแฮะ ปกติจะเห็นแต่มุมหล่อทำลายล้าง มุมนักกีฬาเท่ๆ มุมผู้ชายกวนประสาท วันนี้เป็นมุมน้องกันปอสามเล่นกับตุ๊กตากระต่าย เป็นผู้ชายที่มีหลายด้านจริงๆ

            สุดท้ายผมก็ใจอ่อน

            “อยู่ต่อก็ได้”

            เขาฉีกยิ้มตาปิดแบบมีความสุขมากแล้วทิ้งตัวเองลงบนเตียง ผมหยิบขยะไปทิ้งกับเอาแก้วน้ำไปล้างเก็บให้ที่ระเบียงห้อง ระหว่างล้างไปก็มีเสียงเพลงคลอเบาๆมาจากในห้อง เพลงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพลงของวันโอเคร็อค เพลงนี้เป็นเพลงโปรดของผมเลย

            I’m telling you

            I softly whisper

            Tonight, tonight

            You are my angel


            เดินกลับมาในห้องเห็นผู้ชายตัวโตนอนตะแคงอยู่บนเตียง ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วมองหน้าเขา หันไปเห็นลำโพงแบบบลูทูธที่วางอยู่ตรงหัวเตียง

            พี่กันฟังเพลงของวันโอเคร็อคแล้วเหรอ แล้วฟังเพลงนี้อ่ะ แปลออกหรือไงคนบ้า

            ไหนบอกชอบแทททูคัลเลอร์ไง

            “กอด” น้ำเสียงเป็ดๆของเขาเรียกชื่อผมระหว่างที่กำลังตั้งใจฟังเพลง

            “หือ”

            “คิดถึงนะ”

            เขาย้ำคำว่าคิดถึงผมอีกครั้ง และอีกครั้ง จนมันฝังเข้าไปในหัวใจ

            ใครบอกว่าพี่คิดถึงผมคนเดียวล่ะ

            ผมเองก็…

            “คิดถึงเหมือนกัน”





// คิดถึงกันเหมือนกอดเลย
ใครคิดถึง #กอดกัน ฝากเอ็นดูเด็กๆสองคนนี้ด้วยนะค๊า รักมาก
ชื่อเพลงที่น้องกอดชอบมากที่สุดคือเพลง Wherever you are ของ One ok rock ค่ะ

หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-06-2017 21:17:10
เขินจนตัวม้วนแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-06-2017 21:42:05
เขินมุดเตียงกันไปเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-06-2017 22:12:26
เขิน!!!!
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-06-2017 22:18:00
อิพี่มีความอ้อยมากกกกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 25-06-2017 22:38:32
โอยยยยหวานไปหมด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-06-2017 23:13:19
 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-06-2017 23:40:02
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[


:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 25-06-2017 23:44:33
 :-[  น่าร็อคอ่ะ!!! ทั้งพี่กันทั้งน้องกอดเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 26-06-2017 00:52:24
ระเบิดตู้มมม
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 26-06-2017 04:23:26
 :-[ :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-06-2017 06:15:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 26-06-2017 06:42:53
คิดถึงกัน คิดถึงกอด มุ้งมิ้งๆๆ >\\\\\\<
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 26-06-2017 06:43:16
โอ้ยยยเขินนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 26-06-2017 07:03:10
เขิน เหมือนไปนั่งดูสองคนนี้ใกล้ๆเลย 5555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 26-06-2017 07:11:01
น่ารักที่สุดอ่ะ  :-[ 
พี่กัน ป่วยแล้วขี้อ้อนจริง ๆ แหม มีกอดเวอร์ชั่นสามซะด้วย
ให้เบอร์แล้วก็ไม่บอกน้องไปตรง ๆ น้อ
แถมเมมเบอร์ด้วยความมั่นหน้ามาก 555 น้องคงรู้หรอก
คบกันจริง ๆ ซะที ยังจะหวานกันได้กว่านี้อีกสินะ
ชอบปู่รหัส น้องกอดบรรยายซะนึกภาพตาม โห ออร่าความดีแผ่ออกมา
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 26-06-2017 12:01:01
กอดดดด เวอร์ชั่นสามมมมมม 5555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 26-06-2017 19:23:02
หมั่นไส้คนป่วยจัง :hao3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: rikulism♡ ที่ 26-06-2017 20:05:00
อ๋อยยย น้องกันป3น่ารักจังเลยยยยยยย :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 26-06-2017 21:55:46
ชอบพี่กันน้องกอดที่สุดเลยยย
น่ารักกกกกกก ฮรือออ พี่กันดีต่อใจละเกินนน
 :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 26-06-2017 23:00:12
พี่กันน่ารักมากอ่ะ งื้อออ :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: BlogenzZ ที่ 27-06-2017 13:56:46
ฮื่ออออออออออออออออออออออออออออ ถ้าพี่กันป่วยแล้วจะน่ารักขนาดนี้นะ  :impress2: :impress2:
น้องกอดนี่ต้องเขินจนตัวม้วนเลยแน่ๆ  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 27-06-2017 14:47:54
โอ้ย พลาดเรื่องนี้ไปได้ไง
แต่ยังดีที่กดเข้ามาอ่าน
อ่านทันตอนเขาคบกันพอดีด้วย
น่ารักมากเลยอ่ะคู่นี้
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 28-06-2017 18:36:47
เรื่องน่ารักมากเลย ตามมาจากกระทู้แนะนำ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 29-06-2017 01:19:26
ฟิวกู๊ดจริง ๆ น่ารักทั้งกันทั้งกอด  น่ารักตั้งแต่ตอนตั้งชื่อแล้ว อ่านแล้วอมยิ้มตลอด :-[
ปล. ไม่ต้องเสริฟมาม่านะคะ  please :mew2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 29-06-2017 09:59:29
ละมุนมาก ไลค์กันๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 29-06-2017 11:08:33
ฮอลลล เราก็คิดถึงเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ   :laugh:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: DominikDemain ที่ 29-06-2017 11:11:11
มาต่อเร็วน้าาาาา คิดถึงพี่กันน้องกอดแล้วววววว  :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 14 {25.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 29-06-2017 23:05:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 30-06-2017 12:07:43
Chapter 15
บอดี้การ์ด


            Wherever you are, I’ll always make you smile

            Wherever you are, I’m always by your side

            Whatever you say, kimi wo omou kimochi

            I promise you forever right now


            ผมใส่หูฟังแล้วเดินฮัมเพลงอยู่ในร้านขายซีดีมานานสองนาน พลางมองผู้ชายตัวสูงที่กำลังสนอกสนใจอยู่กับแผ่นเพลงวงโปรดของเขาเป็นระยะๆ เห็นว่าวงแทททูคัลเลอร์เพิ่งออกอัลบั้มใหม่ พอพี่กันหายจากไข้หวัดปุ๊บ เขาก็รีบปรี่มาซื้อเหมือนกลัวว่ามันจะหมดซะก่อน

            เดือนหน้าวงโปรดของผมจะมาแสดงคอนเสิร์ตที่ไทย จำได้ว่าครั้งล่าสุดผมพลาดไปเพราะติดสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นรอบนี้ผมจะต้องไปให้ได้ และต้องกดบัตรให้ทัน

            มือที่กำลังยื่นไปเพื่อจะคว้าอัลบั้มใหม่ล่าสุดของวันโอเคร็อคชะงักไปเมื่อใครอีกคนคว้ามันไปก่อน ผมหันไปมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง พอเห็นว่าเป็นใครก็เผลอร้องออกมาเสียงแผ่ว

            “อ้าว”

            “อ้าว กอด”

            ผู้หญิงตัวเล็กกว่าผมคนนี้ มีใบหน้าคลับคล้ายกับผู้ชายคนนั้น เธอเป็นญาติทางฝ่ายพ่อของผม ซึ่งผมไม่เคยคลุกคลีด้วย ก็แค่รู้จักกันตามมารยาทก็แค่นั้น

            “มาเรียนพิเศษเหรอ” เธอเอ่ยปากถาม ผมส่ายหน้าเบาๆ

            ถึงสถานที่ที่ยืนอยู่จะเป็นแหล่งที่เรียนพิเศษของเด็กมัธยมและมหาลัย แต่ผมไม่ได้มาเรียนพิเศษ ก็แค่มาแวะร้านขายซีดีเพลงแล้วก็จะไปต่อ

            “เปล่าอ่ะ”

            “ไม่เจอกันนานเลย กอดสบายดีป่ะ”

            “อือ”

            “ยังคุยไม่เก่งเหมือนเดิมแฮะ”

            ผมยิ้มจางๆให้เธอ

            เราไม่เคยเจอกันเลยหลังจากที่แม่ผมประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวฝ่ายพ่อ ซึ่งนั่นมันก็หลายปีมาแล้ว ในความทรงจำของผม ภาพของเธอจึงเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าตาน่ารัก

            “มากับใครเหรอ คุณน้าป่ะ” ผิดกับผมที่ไม่ค่อยพูด เธอเป็นคนที่เจื้อยแจ้วและเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ผมส่ายหน้าเบาๆ

            “เปล่าอ่ะ”

            “แล้วมากับใครอ่ะ เห็นชะเง้อมองตั้งแต่เมื่อกี้”

            พี่กันที่ซื้ออัลบั้มเสร็จเดินมาหยุดอยู่ข้างผม พอเขาเห็นคนแปลกหน้า เจ้าตัวก็ทำเพียงแค่ยิ้มให้อย่างมีมารยาท

            “เสร็จละ ป่ะ”

            “นี่ใครอ่ะ” ความอยากรู้อยากเห็นของคนเรามันไม่เคยมีที่สิ้นสุด เสียงใสๆรีบถามก่อนที่ผมจะเดินหนีออกไป นิ้วเรียวๆชี้ไปที่คนตัวสูงที่ยืนเลิกคิ้วอยู่ด้านข้าง

            “รุ่นพี่อ่ะ” ผมตอบ

            “รุ่นพี่…”

            เธอไม่เชื่อหรอกว่าเป็นรุ่นพี่

            “รุ่นพี่ต้องตัวติดกันขนาดนี้เลยเหรอ”

            “ทำไมล่ะ รุ่นพี่กับรุ่นน้องตัวติดกันไม่ได้เหรอ” พี่กันสวนกลับทันควัน ผมแอบหลุดยิ้มออกมา

            “เปล่าค่ะ ก็แค่สงสัย”

            “งั้นผมจะพูดให้หายสงสัย รุ่นพี่รุ่นน้องเนี่ยตัวติดกันได้ครับ จับมือกันได้ด้วย” ไม่พูดอย่างเดียว เขาคว้ามือผมขึ้นมาจับแบบไม่ถามไม่ไถ่กันสักคำ

            ญาติของผมเงียบไป ดูเธอตกใจที่เห็นพี่กันจับมือผม เธอวางอัลบั้มวงโปรดของเธอลงแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ผู้หญิงวัยกลางคนอีกหนึ่งคนเดินเข้ามา พอเห็นหน้าแล้ว ผมก็รีบสะบัดมือออกจากพี่กันด้วยความรวดเร็วจนเขาแปลกใจ แต่คงไม่ทัน

            ป้าเห็นมันแล้ว

            “ทำอะไรน่ะลูก” ถึงแม้พี่สาวพ่อจะไม่พูดออกมา แต่จากสายตา เธอมองผมและพี่กันราวกับตัวประหลาด ผมขบเม้มริมฝีปากของตัวเองพลางจ้องมองป้าเงียบๆ

            “ไม่มีอะไรค่ะแม่ แค่เจอกอด กลับกันเถอะค่ะ”

            ญาติของผมพยายามเซ้าซี้ให้แม่ตัวเองเดินถอยกลับหลังไป แต่ก่อนจะไป เธอทิ้งคำที่ทำร้ายจิตใจผมอีกครั้ง ไม่ต่างจากตอนที่เธอกร่นด่าแม่ผมว่าไม่มีสมอง

            “พวกผิดเพศ”

            “ผิดเพศยังไงครับ” พี่กันขัดขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ผมทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ไม่ห้ามด้วยซ้ำว่าเขาจะพูดอะไรออกไป ถ้าเปรียบเทียบระหว่างสามคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าผม ญาติ ป้า และพี่กัน

            ตอนนี้ผมเลือกพี่กัน

            ป้าหันมามองค้อนพี่กันตาขวาง ความหัวรั้นหัวดื้อไม่ต่างจากพ่อของผมเลยสักนิด

            “ผมก็ผู้ชาย น้องก็ผู้ชาย ไม่ผิดนะครับ เพศเดียวกัน”

            ป้าไม่กล้าต่อกรกับเขาหรอก พี่กันทั้งตัวสูงทั้งตัวใหญ่ เป็นใครใครก็กลัว พอเธอเห็นว่าสู้เขาไม่ได้ เลยเบนเข็มมาลงที่ผมแทน

            “ถ้าพ่อแกรู้ คงเสียใจนะ แม่แกมันไม่มีปัญญาเลี้ยงดูลูกให้ปกติเหมือนชาวบ้านเขา”

            ผมกำหมัดแน่น ทั้งโมโห ทั้งเสียใจ แต่ไม่อยากจะสนใจคำพูดของเธอ พยายามทำหูทวนลม เพราะเธอไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตของผม เป็นเพียงแค่ผู้ใหญ่ที่ผมไม่อยากจะต่อปากต่อคำ

            มือของผมดึงเสื้อพี่กันเพื่อจะบอกเขาว่ากลับกันเถอะ ไม่อยากยืนฟังคำพูดเหม็นเน่านั่น แต่เหมือนพี่กันจะไม่ยอมง่ายๆแฮะ

            “คนที่ไม่ปกติคือคนที่เหยียดคนอื่นมากกว่าครับ ผมแนะนำให้ลูกสาวป้ากลับบ้านเปิดทีวีให้ป้าดูบ้าง จะได้รู้ว่าโลกตอนนี้มันไปถึงไหนแล้ว ไม่มีใครเขามาเหยียดเพศกันแล้วครับ”

            พูดจบเขาก็จับมือผมแล้วลากออกจากร้านทันที

            “ไอ้คนแบบนี้นี่มันผีเจาะปากมาพูดจริงๆว่ะ” เขาหัวร้อนจนเผลอบีบมือผมแน่น ผมมองพี่กันที่กำลังหงุดหงิดเป็นหมีตกมันอยู่ ก้มลงไปมองฝ่ามือของตัวเองที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือของเขาพลางยิ้มออกมา

            “ยิ้มไร โดนด่าขนาดนี้ยังยิ้มได้อีกไอ้ตัวนิ่ม”

            “มีความสุขอ่ะ”

            “นี่มึงบ้าป่ะเนี่ย โดนด่าแล้วมีความสุข”

            พยักหน้าตอบเขาพลางเดินตามเขาต้อยๆ มือของพี่กันยังจับมือผมอยู่ มืออุ่นๆที่สามารถกอบกุมมือของผมจนมิด

            ที่ผมมีความสุข ก็เป็นเพราะพี่ปกป้องผมนั่นแหละ

 

            ผมกับพี่กันแวะหาอะไรกินก่อนจะแยกจากกัน เพราะวันนี้ใครอีกคนมีซ้อมแข่งบอลลีคของทางมหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้ ส่วนผมเองก็ต้องกลับบ้านเพื่อไปรับเจ้ากอดเวอร์ชั่นสองออกจากโรงพยาบาลสัตว์

            พอมาถึงโรงพยาบาลสัตว์ ผมก็รับเจ้ากอดเวอร์ชั่นสองกลับบ้าน หมอบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว เหลือแค่พักฟื้นเพื่อให้กลับมาบินได้อีกครั้ง

            กว่าจะถึงบ้านก็ค่ำ ผมเอาเจ้ากอดไปใส่ไว้ในกรงพลางให้อาหารเสร็จสรรพ เดินเข้าไปในบ้านก็เห็นแม่นั่งอยู่ที่โซฟา สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร พอเห็นแบบนั้นแล้ว รู้เลยว่าต้องเป็นเรื่องที่ป้าบังเอิญไปเจอผมกับพี่กันที่ร้านขายซีดีเพลงแน่นอน

            ผมไม่ได้ทักทายแม่ ตั้งใจว่าจะขึ้นห้องเลย แต่แม่ขัดขึ้นซะก่อน

            “เมื่อกี้พ่อโทรมา”

            เห็นมั้ย ผมเดาถูกจริงๆด้วย

            “อือ”

            “อือคืออะไร พ่อโทรมาด่าแม่ว่าเลี้ยงลูกยังไงให้ไปคบกับผู้ชายด้วยกัน”

            “แล้วแม่เชื่อหรือเปล่า” หันไปสบตาแม่แท้ๆที่เลี้ยงผมมา ผมรู้ว่าแม่เป็นคนมีเหตุผล แต่เพราะตอนนี้แม่กำลังโมโหที่โดนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจากผู้ชายคนนั้น

            ดังนั้นแม่สามารถพูดอะไรออกมาก็ได้ โดยจะทำร้ายผมให้เจ็บมากที่สุด

            “เชื่ออะไร”

            “เชื่อว่าผมคบกับผู้ชาย”

            “ก็พ่อเขาบอกมาแบบนั้น”

            “เขาไม่ใช่พ่อผม” อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นเสียงใส่แม่ แต่นั่นคือความจริง “ผมไม่นับถือเขาเป็นพ่อ”

            แม่เงียบไป น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยไม่ยอมหยุด ผมทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเองกับแม่พอสมควร เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะพลาดพลั้งไปหรือเปล่า สิ่งที่ทำได้คือผมต้องใจเย็นและพยายามทำให้แม่เย็นลง

            “แม่เชื่อในตัวกอดมั้ย” ผมถามเสียงแผ่ว เสียงสะอื้นดังออกมาจากลำคอของแม่

            ผมไม่อยากทำร้ายแม่ ไม่อยากทำให้แม่เสียใจ

            แม่พยักหน้าเบาๆ

            “อือ ผมคบกับผู้ชาย” พอได้ยินแบบนั้นแม่ก็เงยหน้ามามองผม

            “ผมเพิ่งตอบตกลงคบกับเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ผมชอบพี่เขามาเป็นเดือนๆแล้ว ถ้าแม่เข้าใจ กอดก็จะขอบคุณแม่ แต่ถ้าแม่ไม่เข้าใจ กอดก็จะอธิบายจนกว่าแม่จะเข้าใจ”

            “กอด…”

            “กอดเป็นแบบนี้ ถ้าแม่ไม่โอเค…”

            “พอเถอะ”

            สิ้นเสียงของแม่ ฝ่ามือบอบบางนั่นก็กวักมือเรียกผมเข้าไปหา แม่สวมกอดผมแน่นพลางลูบหัวผมเบาๆ

            “แม่ไม่ได้โกรธอะไรเลย แค่ลูกบอกแม่แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”

            “ผมขอโทษ”

            อ้อมกอดของแม่อบอุ่นเสมอ

            เราสองคนอยู่ด้วยกันมานาน ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรผมก็มักจะเล่าให้แม่ฟัง ผมเชื่อมั่นในตัวแม่ว่าแม่เป็นคนแบบไหน เพราะแบบนี้ผมเลยไม่คิดที่จะปิดบังตั้งแต่แรกแล้ว ก็แค่รอเวลาที่เหมาะสมแล้วจะบอก แต่ดันมีคนชิงบอกซะก่อน

            “เขาด่าแม่แรงมั้ย”

            “ช่างเถอะ ถือซะว่าหมดเวรหมดกรรมก็แล้วกัน”

            ผมยิ้มออกมา แม่วางฝ่ามือลงบนแก้มผมแล้วลูบเบาๆ

            “สิ่งที่กอดทำแล้วมีความสุข แม่ก็มีความสุข แม่เลี้ยงกอดมาด้วยสองมือ ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไร แม่อยากได้ยินจากปากกอดด้วยตัวเองถือเป็นคำขาด”

            ผมไม่รู้จักว่าพ่อคืออะไร แต่ผมเข้าใจดีกับความหมายของคำว่าแม่ ผมนับถือผู้หญิงคนนี้ที่ทั้งทำงานและเลี้ยงลูกเพียงลำพัง แต่ต้องคอยมานั่งรับคำด่าสารพัดจากคนที่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพ่อ

            “แล้วป้าเขาพูดว่าไง” แม่กับผมมานั่งอยู่ในห้องครัวเพื่อคุยกันแก้เครียด มีข้าวโอ๊ตอุ่นๆสองถ้วยกับขนมปังฝรั่งเศสก้อนกลมอยู่ในถาด

            “ก็พูดว่าพวกผิดเพศ”

            “โหนังนี่ พูดจาบ้าอะไร”

            “พี่กันก็เลยบอกไปว่า ผิดเพศยังไง พี่เขาก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชาย ถูกแล้ว”

            แม่หัวเราะเสียงหลงพลางตบมือชอบใจใหญ่

            “แม่ชอบผู้ชายคนนี้แฮะ แล้วพูดอะไรอีกมั้ย”

            “ก็บอกให้ลูกเขาไปเปิดทีวีให้ป้าดูบ้าง จะได้รู้ทันโลกว่าตอนนี้โลกมันไปถึงไหนแล้ว อย่ามาเหยียดคนอื่นแบบนี้ ประมาณนั้นแหละ”

            “ไอ้เด็กคนนี้นี่มันกล้าจริงๆ” ใช่ เขากล้าจริงๆ ซึ่งนั่นคือข้อดีที่ทำให้ผมตกหลุมรักเขานั่นแหละ

            แม่เลื่อนมือมากุมฝ่ามือของผมพลางบีบเบาๆ

            “แม่ดีใจนะ ที่กอดได้เจอคนดีๆ ทำให้แม่รู้ว่าเขาปกป้องลูกแม่ได้”

            “ผมก็ปกป้องตัวเองได้นะ” มือของแม่บีบจมูกผม

            “เลี้ยงยิ่งกว่าไข่ในหิน ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมขนาดนี้”

            “แม่เลี้ยงลูกมา แม่รู้ว่ากอดเป็นคนซื่อขนาดไหน พวกพี่ๆหนูก็รู้ว่าหนูซื่อเลยเป็นห่วงเวลาหนูจะไปไหน เขาถึงได้พาหนูมาส่งบ้านไง”

            ไม่ได้ซื่อหรอกแม่

            ผมแค่ไม่สนใจใครเลยต่างหากล่ะ

            ถ้าไม่เจอพี่กัน ผมก็คงเป็นไอ้กอดคนเดิมที่มีชีวิตเดิมๆ ไม่ได้ออกไปข้างนอกเที่ยวเล่น ไม่ได้ใช้ชีวิตสนุกๆ ไม่ได้รู้จักคนมากมาย ผมเป็นเพียงแค่มนุษย์เฉยชาที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ

            เราสองคนนั่งคุยกันจนถึงดึก ส่วนมากก็เป็นเรื่องพี่กันแล้วก็เรื่องเรียนของผม หลังจากคุยเสร็จผมก็ขึ้นห้องนอน อาบน้ำอาบท่าเตรียมจะล้มตัวลงนอน พลางนึกถึงใครบางคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะซ้อมบอลเสร็จหรือยัง

            กดไล่ดูรายชื่อในโทรศัพท์มือถือ ชื่อหล่อฉุดไม่อยู่ยังคงเด่นหราอยู่ท่ามกลางรายชื่ออื่นๆ

            เขาเก่งเรื่องทำตัวเด่นจริงๆสินะ

            ผมกดโทรออกทั้งๆที่ใจเต้นรัว ไม่นานนักปลายสายก็รับเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว

            (ถึงบ้านยัง)

            “ถึงแล้ว”

            (อือกูเพิ่งเตะบอลเสร็จ กำลังจะไปหาอะไรกิน)

            “กินอีกแล้วเหรอ” อนาคตเขาต้องกลายเป็นหมีอ้วนเข้าสักวันนั่นแหละ

            (ทำไม มึงจะห้ามกูเหรอตัวนิ่ม ดูพุงตัวเองก่อน อย่ามาพูด)

            “แม่ผมรู้เรื่องที่คบกับพี่แล้วนะ”

            ผมพูดพลางกลิ้งตัวลงบนเตียง หยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นมานั่งอ่านไประหว่างคุยโทรศัพท์ด้วย ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับมา

            (แล้วเป็นไง)

            “ก็โอเค”

            (โอเคคือ)

            “อนุญาตให้คบได้”

            (เหรอ) ถึงเสียงของพี่กันจะดูไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร แต่เหมือนเขาจะหันไปคุยอะไรกับเพื่อน หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า ‘ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยดีใจเว้ยยยยยยยยยยย’

            เขาปิดลำโพงไม่สนิทนะ ผมได้ยินชัดเจนเลย

            “ดีใจขนาดนั้นเลย”

            (ใครดีใจ มึงมั่วละตัวนิ่ม)

            “แต่ผมดีใจนะ”

            (เออ มึงมันแฮปปี้ไวรัสไง คนไรวะโดนด่ายังยืนยิ้ม)

            ใครจะไปสายไฝว้แบบพี่ล่ะคร้าบ

            (ไอ้หมอมันชวนไปเขาใหญ่อาทิตย์หน้า ไปมั้ย)

            เขาใหญ่เหรอ

            ผมหันไปมองตารางเรียนบนกระดานไม้อัดข้างฝาผนัง ถึงอาทิตย์หน้าตารางจะค่อนข้างยุ่งช่วงวันจันทร์ถึงพฤหัส แต่ช่วงวันหยุดก็ว่างนะ แล้วถ้าเกิดพี่กันจะไปวันจันทร์ล่ะ ผมคงจะเสียดายตายเลย ใจอยากจะไปเที่ยวกับเขามากๆเลยล่ะ เพราะมันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยากทำด้วยกัน

            “วันไหนอ่ะ”

            (ศุกร์เสาร์อาทิตย์ สามวัน)

            บนตารางสามวัน ผมว่างทั้งสามวันเลย

            เย้

            (ไม่ไปไม่ได้ ไม่ต้องอ้างว่าไม่มีเงิน กูเอารถไปเอง อยากกินไรเดี๋ยวป๋าจัดให้)

            “ผมอาจจะไปก็ได้”

            (อาจจะคือไรครับน้อง)

            “ถ้าพี่ขอร้องผมดีๆ” เขาเป็นผู้ชายที่น่าแกล้งจริงๆนั่นแหละ ยิ่งพอได้รู้จักหลายๆด้านของพี่กันแล้ว ก็ยิ่งอยากเห็นมันมากเข้าไปอีก เป็นความโลภที่ไม่จบไม่สิ้นแหละนะ

            พอได้ยินประโยคนั้นเขาก็โวยวายขึ้นมาใหญ่เลย

            (เดี๋ยวๆ มึงใครเนี่ย คายน้องกอดของกูออกมาเดี๋ยวนี้!)

            คายบ้าไรเล่า!

            “ขอร้องก่อนเร็ว เดี๋ยวผมไปด้วย”

            (นี่มึงรู้จักต่อกรกับกูเหรอ)

            “เร็วๆดิ”

            ปลายสายเงียบไป

            (ไปเที่ยวกับพี่นะครับตัวเล็ก)

            ประโยคสั้นๆกระชับได้ใจความ น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูที่ราวกับมากระซิบข้างหูด้วยตัวเอง ผมทิ้งหน้าลงบนหมอนแล้วร้องอ้ากเสียงดังจนแทบบ้า

            ใครจะไปนึกว่าเขาจะพูดออกมาจริงๆล่ะ

            ไม่มีทางเลย คนอย่างพี่กันน่ะนะ …

            ไอ้พี่บ้า

            ทำแบบนี้ก็ยิงผมให้ตายไปเลยเหอะ

            (ตายไปยัง) พูดจบก็หัวเราะเอิ้กอ้ากสนุกเขาล่ะ

            (อย่ามาดูถูกกูไอ้ตัวนิ่ม)

            “ก็ดูผิดมาตลอดนะ”

            (นั่นมุกหรือเปลือกหอยน่ะ)

            ไม่รู้ทำไมการคุยโทรศัพท์กับเขาถึงเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาซะได้ ผมที่เป็นคนเงียบๆ แทบจะไม่เคยโทรออกหาใคร เป็นคนที่ยิงเดดแอร์ใส่คนอื่น แต่กลับมีเรื่องที่จะเล่าให้เขาฟัง พูดคุยกับเขาเรื่อยๆแบบไม่มีเบื่อ

            อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่คุยได้ทุกเรื่องล่ะมั้ง

            พี่กันน่ะ…ใจกว้างมากๆเลยครับ

            ทั้งเรื่องทัศนคติ ความคิด มุมมองที่เขามีต่อโลกโหดร้ายใบนี้ เขาทำให้ทุกอย่างมันเป็นเรื่องง่าย มองโลกในแง่บวก และเป็นคนที่เคารพต่อผู้อื่นสม่ำเสมอ

            “พี่กัน”

            ผมขัดขึ้นระหว่างที่เขากำลังเล่าว่าวันนี้โดนเพื่อนสะกิดขาจนได้แผลถลอก

            (หืม ว่าไง)

            “ถ้าสมมติว่าแม่ไม่ยอมให้ผมคบกับพี่ พี่จะทำยังไง”

            (กูก็จะอธิบายให้แม่มึงเข้าใจจนแม่มึงยอมให้คบนั่นแหละ)

            “แล้วถ้าหลังจากนี้พ่อผมเอาเรื่องล่ะ พี่จะทำยังไง”

            (กูก็จะสู้กับพ่อมึงอ่ะตัวนิ่ม ถามอะไรวะ คิดมากอะไรอีกหืม)

            “เปล่า”

            (ฟังนะ ต่อให้คนทั้งโลกจะค้านหรือหันหลังให้กับมึง กูเนี่ยแหละจะหันหน้าเข้าหามึง ไม่ต้องไปคิดว่าใครจะพูดอะไรโง่ๆใส่ ไม่ต้องไปใส่ใจ)

            “พี่กัน…”

            (กูจะปกป้องตัวเล็กของกูไง ใครหน้าไหนมันกล้าเดี๋ยวจะโดนตบ)

            รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าผม การคุยโทรศัพท์กับเขา มีข้อดีหลายอย่างเหมือนกัน เพราะผมไม่ต้องซ่อนรอยยิ้มกว้างๆ ไม่ต้องซ่อนใบหน้าที่ร้อนผะผ่าว และไม่ต้องกลัวว่าเสียงหัวใจของตัวเองจะเต้นดังมากขนาดไหน

            “พี่จะเป็นบอดี้การ์ดให้ผมเหรอ”

            (เออ มึงเป็นคุณหนู เดี๋ยวกูเป็นบอดี้การ์ดให้)

            “แต่บอดี้การ์ดตกหลุมรักคุณหนูตลอดเลยนะ พล็อตเดิมๆอ่ะ” ผมลองพูดแหย่เขาๆเล่น

            (ต่อให้มึงเป็นคุณหนู กูเป็นบอดี้การ์ด หรือมึงเป็นคนใช้ กูเป็นแมลงสาบ…)

            “…”

            (กูก็ตกหลุมรักมึงตลอดอ่ะครับน้องกอด)




// ถ้าพี่กันเป็นแมลงสาบ เราก็จะเป็นไบก้อนนะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 30-06-2017 12:21:54
เหม็นความรักกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 30-06-2017 12:38:15
พี่กันนนนนนพระเอกมากอะรักเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 30-06-2017 12:56:23
พี่กันหว่านน้ำตาลเต็มๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-06-2017 13:43:28
แหม่ มีความสุขเนอะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 30-06-2017 14:48:26
โอ๊ยยยยยย เหม็นความรัก #อิจฉามาก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 30-06-2017 14:54:43
เหม็นจริงๆ  :jul3: ความรักเนี่ย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 30-06-2017 14:57:40
ถ้าจะมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งขนาดนี้ อ๊ากกกกน่ารัดเอ้ยน่ารัก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 30-06-2017 15:06:27
โอยยยอ่านเรื่องนี้ข้างนอกแล้ว ต้องกั้นยิ้มตลอดเลย5555555555เหมือนคนบ้ามาก เขิลลลบลบลงลงลงุ้งง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-06-2017 15:20:23
โอ๊ยยยยย อิจฉาน้องกอดมากกกกกกกกกกกกกก พี่กันโคตรแมนเลยยยยย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 30-06-2017 15:36:43
เขิน ขอแบบพี่กันซักคนได้ไหม หาจากไหนหว่า??
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: rikulism♡ ที่ 30-06-2017 16:51:07
เขาพูดว่า น้องกอดของกู ด้วยอ้าาาาาาาาา ว้ายยยยยย
ชอบพี่กันจังเลยยยย ชอบกอดด้วยยย
ที่บ้านเธอมีอีกไหม มีอีกไหมๆ พี่กันของหนู้วว /กอดผลักออก5555
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Neliciouz ที่ 30-06-2017 17:43:44
อ๊ายยยยย เขิลมาก อยากได้แบบพี่กันสักคน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 30-06-2017 18:18:22
ละมุนละไมมากเลย พี่กันเท่ห์มาก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 30-06-2017 19:22:08
อ๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆ พี่กันนนนนนนนนนนนรักเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 30-06-2017 20:28:28
ใจพี่กันโคตรเท่ห์เลย แงงง :hao5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 30-06-2017 21:08:27
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2017 22:33:39
จ้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-06-2017 22:41:31
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 30-06-2017 22:43:03
เอ่อ คนใช้กับคนสวนดีกว่านะ  กลัวคนใช้ตบแมงสาบตาย :ruready
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 30-06-2017 23:33:50
เหม็นความฟุ้งฟิ้ง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 01-07-2017 09:36:27
 :impress2: พี่กันโคตรเท่อ่ะ... จะยอมเป็นแมลงสาบด้วย -*-
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-07-2017 12:56:24
พี่กันจำเป็นต้องทำให้เราตกหลุมรักซ้ำ ๆ ด้วยเหรอ

คนอะไรน่ารักขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 02-07-2017 23:10:20
หวานนนนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SheGame ที่ 02-07-2017 23:24:13
กันกอดน่ารักๆ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 03-07-2017 13:09:19
พี่กัน คนใจบาป!!!
ทำเอาคนอ่านตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำอีก
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 03-07-2017 14:31:19
โอ้ยยยย อิจฉาน้องกอด  :hao3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: changemoo ที่ 03-07-2017 16:18:30
พี่กัน น้องกอด ฮือ. น่ารักกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 04-07-2017 10:01:03
โอ๊ยยยย น่าร้ากกกกกก

อยากมีแฟนเป็นบอดี้การ์ดจุงงง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 04-07-2017 18:30:50
พี่กันเป็นคนขายขนมครกหรอ หยอดได้หยอดดี น้องละลายหมดแล้ง  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Youch06 ที่ 04-07-2017 21:39:59
อยากอ่านฝั่งพี่กันบ้างอ่ะ

ชอบน้องตั้งแต่ตอนไหนนนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 05-07-2017 16:02:06
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Republic_ ที่ 05-07-2017 16:13:55
 :impress2:  น่ารักเวอร์วัง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 15 {30.06.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ploysure ที่ 05-07-2017 18:04:57
เห็นด้วยกับเม้นอื่นๆ จะอ่านเรื่องนี้กี่ตอนต่อกี่ตอน ก็อยากพิมแค่ เหม็นความรักกกกกก :ling1:
อิจฉาอ่ะอยากมีงี้บ้าง. แงๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 05-07-2017 20:56:27
Chapter 16
ชานมธัญพืช



            “กอด อย่าลืมของนะลูก”

            ตั้งแต่เช้าแม่วิ่งวุ่นไม่ยอมหยุด คนที่บอกว่ามีงานเข้าตั้งแต่เช้า จนป่านนี้นาฬิกาชี้เลขแปดแล้วยังวิ่งขึ้นไปเช็คบนห้องนอนของผมเผื่อว่าจะลืมของ

            “แปรงสีฟันล่ะ”

            “เอามาแล้วว”

            “ผ้าห่มๆ เอาไปด้วย”

            เงยหน้ามองแม่พลางยิ้มขำๆ นี่ประเทศไทยนะ แม่คิดว่าเดือนพฤษภาคมมันจะหนาวสักเท่าไรกันเชียว 

           “ไม่เป็นไรครับ กอดเอาเสื้อคลุมไปแล้ว”

            พูดแล้วก็โชว์เสื้อคลุมไหมพรมสีเทาตัวใหญ่ให้แม่ดู

            “หือ จำไม่ได้ว่าเคยซื้อนี่นา ใครซื้อให้เหรอ”

            “พี่กันอ่ะ เห็นบอกสั่งมาจากญี่ปุ่น”

            “ดู๊ดูๆๆลูกคนนี้” แม่รูดซิบกระเป๋าสะพายให้ผมพลางเช็ครอบๆตัวอีกครั้งว่าลืมอะไรมั้ย ฝ่ามือหยาบกร้านของคนที่ทำงานบ้านอย่างหนักสัมผัสเบาๆลงบนแขนของผม

            “ดูแลตัวเองด้วย เข้าใจมั้ย”

            “ครับ”

            “ทำอะไรเราต้องเผื่อใจเอาไว้ด้วย รู้ใช่มั้ย”

            “ครับ”

            “ถ้าพี่เขาจะทำมิดีมิร้ายอย่ายอมนะ”

            “แม่! กอดโตแล้วนะ”

            “โตแค่ไหนก็ยังเด็กในสายตาแม่อยู่ดีนั่นแหละ” แม่หยิกแก้มผมแล้วเดินหายไปหลังครัว

            นั่นสินะ ต่อให้เราโตแค่ไหน ในสายตาแม่ เราก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ

            ไปเที่ยวครั้งนี้ผมพกกระเป๋าไปสองใบ ใบหนึ่งใส่เสื้อผ้า ส่วนใบเล็กอีกใบเอาไว้ใส่พวกของหยุมหยิมอย่างเช่นสายชาร์จโทรศัพท์ หนังสืออ่านเล่น กระเป๋าสตางค์ หูฟัง

            ต่อให้ลืม ยังไงที่เซเว่นก็มีขายทุกอย่างครบ จริงไหมล่ะครับ

            ผมนั่งเล่นกับเจ้ากอดเวอร์ชั่นสองอยู่หน้าบ้านรอใครอีกคนขับรถมารับ ตั้งแต่รู้จักกับเขามาผมก็เพิ่งรู้เนี่ยแหละว่าพี่กันขับรถเป็น เราเดินทางกันด้วยรถไฟฟ้าจนชินเลยแอบตื่นเต้นเล็กๆที่จะได้เห็นเขาขับรถ

            “แก้วจ๋า สวัสดีจ๊ะ กอดกอด”

            เหมือนปีกของเจ้ากอดจะดีขึ้นมากแล้ว มันสยายกางปีกของตัวเองออก แต่ก็ยังไม่สามารถบินได้ ผมลูบคอลูบหัวมันเบาๆ

            “ไงล่ะ ซ่าดีนัก”

            “รักกัน กอดกันน๊า”

            “ไม่กอดหรอก”

            “ไม่กอดจริงๆเหรอ”

            น้ำเสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้นด้านหน้า ผมเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายตัวสูงที่ยืนกอดอกพิงเสาอยู่ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนเพราะผมเปิดรั้วบ้านค้างเอาไว้

            วันนี้พี่กันสวมชุดสบายๆ เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดพอดีเข่าพร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบคู่โปรด เขาเหมือนนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสารฤดูร้อนอะไรประมาณนั้นเลย

            รอยยิ้มจางๆบนมุมปากของเขาทำให้ผมหน้าร้อน พี่กันเดินตรงเข้ามา เขาทักทายเจ้ากอดเวอร์ชั่นสองก่อนเป็นอันดับแรก

            “ไงไอ้ตัวดื้อ มึงนี่มันหาเรื่องให้พี่ชายมึงจริงๆนะ”

            “แก้วจ๋า”

            เหมือนคุยกันรู้เรื่องเลยครับ ตอบรับกันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

            “มาแล้วเหรอ”

            แม่ที่หายเข้าครัวไปนานสองนานโผล่ออกมาหน้าบ้าน เมื่อเห็นพี่กันก็ชะงักไปเล็กน้อย

            “สวัสดีครับ”

            คนตัวสูงยกมือไหว้แม่ผมอย่างมีมารยาท แม่เองก็รับไหว้เช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกของการเจอกันระหว่างเขากับแม่ แอบลุ้นนิดหน่อยว่าจะเข้ากันได้ดีมั้ย เพราะทั้งสองคนต่างก็เป็นคนที่ผมรัก และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีจากรอยยิ้มที่คนทั้งสองส่งให้กัน ผมคิดว่าแบบนั้นล่ะนะ

            “พี่กันของหนูเหรอ” แม่หันมาถามผม

            “อือ”

            “ตาถึงนะเรา”

            “แม่” ผมส่งเสียงหลงใส่แม่ เรียกรอยยิ้มจากทั้งแม่และพี่กัน

            “แม่ฝากดูน้องด้วยนะ กัน”

            “ครับแม่ ผมเองก็ ฝากตัวด้วยนะครับ”

            แม่กอดผมแน่นก่อนที่ผมจะขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านข้างคนขับ พี่กันเป็นคนเอากระเป๋าไปเก็บท้ายรถให้

            “ถ้าพ่อโทรมาไม่ต้องรับนะ ไลน์บอกแม่ก็ได้”

            “ผมไม่รับหรอก”

            “ดีมาก”

            เจ้าของรถขึ้นมานั่งที่ข้างคนขับก่อนจะค่อยๆขับรถออกไปจากบ้าน ผมมองแม่ที่กระจกมองข้างจนกระทั่งลับสายตาไป

            “แล้วคนอื่นอ่ะ”

            ผมเอ่ยปากถามขณะที่พี่กันขับรถขึ้นทางด่วน ภายในรถไม่มีใครเลยนอกจากเราสองคน ดังนั้นผมเลยแปลกใจเพราะเห็นเขาบอกว่านัดกับพี่หมอสี่เอาไว้

            “พวกมันขับรถไปอีกคัน”

            “อ่อ”

            งั้นก็แสดงว่าผมต้องนั่งรถกับเขาไปจนถึงเขาใหญ่น่ะสิ

            ไม่ค่อยดีกับหัวใจเท่าไรเลยแฮะ

            “อ่อไร กินไรยัง หิวป่ะกูมีชานมอยู่ข้างหลังกับโดนัท” พี่กันว่าพลางพะยักเพยิดหน้าไปยังเบาะหลัง ชานมธัญพืชสองแก้วถูกวางเอาไว้ แก้วหนึ่งหมดไปแล้ว ส่วนอีกแก้วยังคงเต็มอยู่

            นอกจากชานมธัญพืชแล้ว ก็ยังมีกล่องโดนัทกล่องใหญ่

            ผมหยิบกล่องโดนัทมาวางไว้บนตักพลางเปิดออกดู โดนัทกลมๆหลากหลายหน้านอนเรียงกันอยู่ด้านใน มีทั้งหน้าช็อคโกแลต หน้าสตอเบอร์รี่ มีแบบน้ำตาล และหน้ามะพร้าว

            “อันไหนของพี่อ่ะ”

            “อยากกินไรก็หยิบ แต่กูเลือกสีชมพูมาให้มึง กับช็อคโกแลต”

            พอเขาบอกแบบนั้น ผมก็เลยเลือกกินชิ้นที่เป็นหน้าสตอเบอร์รี่ รสชาติหวานๆของโดนัททำให้ตื่นเต็มตา ในขณะที่ชานมธัญพืชเข้ามาตัดความหวานนั้น

            จะว่าไป ผมไม่เคยถามเหตุผลเลยว่าทำไมพี่กันถึงชอบกินชานมธัญพืช

            “ทำไมพี่กันถึงชอบกินชานมธัญพืชอ่ะ”

            เขาหันมามองผมแวบหนึ่งแล้วขับรถต่อ

            เพิ่งสังเกตว่าเวลาขับรถ เขาเป็นคนไม่วอกแวกและมีสมาธิมาก ดูเท่มากๆในสายตาผมเลย

            “ทำไมอ่ะเหรอ”

            “อือ”

            “อร่อยไง”

            แป่ว

            ไอ้เราก็นึกว่าจะมีเหตุผลลึกซึ้งมากกว่านี้

            “แล้วไม่ลองอย่างอื่นบ้างเหรอ พวกชามะลิไรงี้อ่ะ”

            “ไม่ลอง”

            “ทำไมล่ะ”

            “กูชอบอย่างไหนก็จะชอบอย่างนั้นซ้ำๆ”

            “เหรอ”

            “เออ เหมือนเวลาตกหลุมรักไง เราก็รักคนเดิมๆซ้ำๆ จริงป่ะ

            พูดจบก็ยกยิ้มมุมปาก แม้จะไม่หันมาสบตากัน แต่บอกเลยว่า

            ตายสนิท

            รถเคลื่อนตัวไปตามถนน จากตอนแรกที่มีแต่ตึกสูงๆ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นต้นไม้สีเขียวๆ ผมนั่งมองวิวนอกตัวรถไปเรื่อยจนกระทั่งเสียงเพลงดังขึ้น

            มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง

            แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา ไม่ทักไม่ทาย

            ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน

            ไม่มีทาง เรื่องเพ้อฝันความผูกพันอย่างง่ายดาย
           
            แต่วันหนึ่งฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น

            ดวงใจ เป็นเดือดเป็นร้อนช่างทรมาน

            ราวกับโดนมนตร์แม่มดสะกดพลัน

            นาทีนั้น ฉันรักเธอทันใด


            พลันย้อนนึกไปถึงวันแรกที่ได้เจอเขา พี่กันหยิบหนังสือที่ผมทำตกมาคืนให้ เราได้สบตากัน เพียงแค่แวบเดียวตอนนั้น ผมรู้เลยว่ามันคือรักแรกพบ

            ถ้าวันนั้นเขาไม่ใช่คนที่เก็บหนังสือมาคืนผมล่ะก็ เราก็คงไม่ได้เจอกัน

            อย่างที่บอก มันคงมีเวทมนตร์อะไรบางอย่างที่สะกดให้ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้ ในชีวิตคนเรา พบเจอผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสน แต่อะไรล่ะคือเหตุผลที่ทำให้เราตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเจอ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเรารู้สึกว่าเขาใช่

            “เพลงอะไรอ่ะ” ผมถามเขาระหว่างที่เพลงกำลังเล่นไปเรื่อยๆ

            “รักแรกพบ”

            “เพลงใหม่เหรอ”

            “เก่าแล้ว ที่ไปซื้อคือมันรีแพคเกจอัลบั้ม เป็นแบบบ็อกซ์เซ็ต”

            อ่อ ผมก็นึกว่าเพลงใหม่

            จากที่ไม่ค่อยฟังเพลงไทย ผมว่าจะลองหันกลับไปฟังดู และเพลงที่จะเริ่มฟัง ก็คงเป็นเพลงจากวงที่เขาชอบนั่นแหละ

            เพลงไทยต่างจากเพลงญี่ปุ่นเพราะว่าเราสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลออกมา ในขณะที่เราฟังเพลงญี่ปุ่น ซึมซับท่วงทำนองเพราะๆแล้วค่อยไปหาคำแปล เพลงไทยเรากลับเลือกฟังความหมายของมันไปพร้อมๆกับทำนอง

            เพลงบางเพลง ที่เราชอบ ก็เพราะมันตรงกับชีวิตเรามากๆ

            ผมว่าน่าจะเป็นแบบนั้นล่ะนะ

            “ผมชอบนะ”

            “ชอบเพลงหรือชอบกูเอาดีๆ”

            เบื่อพี่กันจังเลย

            “เพลง”

            “แล้วกันอ่ะ”

            ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น

            “ก็ชอบเพลงเหมือนชอบกันนั่นแหละ”

            “ชิบ” เขาสบถออกมาพลางเอาหลังมือปิดปาก รอยยิ้มกว้างๆบนใบหน้าของเขาทำให้ผมตกหลุมรักเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            “มีของให้อ่ะ อยู่ในถุงตรงพื้น”

            “อะไรอ่ะ”

            ผมเอี้ยวตัวไปหยิบถุงจากพื้นรถขึ้นมาวางไว้บนตัก ภายในถุงมีตุ๊กตาบราวน์ตัวกำลังน่ากอดนั่งอยู่ด้านใน เห็นแล้วก็หลุดยิ้มออกมา

            หน้าเหมือนพี่กันเลยแฮะ

            “เผื่อคิดถึง จะได้เอาไปนอนกอด”

            “ผมจะตั้งไว้บนหิ้งเลย”

            “กูให้เอาไปกอด ไม่ใช่ให้เอาไปบูชา!”

            แหะ รู้ทัน

            “กอดก็กอด”

            ผมเอาบราวน์มานั่งบนตักพลางกอดเอาไว้ เขายิ้มชอบอกชอบใจใหญ่ เหมือนกับว่าตัวเองโดนกอดอย่างนั้นแหละ

            เราสองคนคุยกันเรื่อยเปื่อยเรื่องจิปาถะ มีหลายเรื่องให้คุยกันโดยไม่มีเบื่อ จนกระทั่งพี่กันเลี้ยวรถเข้าปั้มเพื่อแวะเข้าห้องน้ำกับซื้อกาแฟแก้ง่วง พอทำธุระกันเสร็จก็ออกเดินทางต่อ เห็นเขาบอกว่านัดพี่หมอสี่กับเพื่อนหมายเลขหนึ่งและสองเอาไว้อีกที่หนึ่งเพราะสามคนนั้นออกเดินทางไปก่อนแล้ว

            เขากระดกกาแฟกระป๋องแบบไม่สะทกสะท้าน เคาะนิ้วเป็นจังหวะเพลงกับพวงมาลัยรถ บางทีก็เอาแขนอีกข้างหนึ่งไปพิงกับพนักพิง

            นานๆทีจะเห็นมุมเท่ๆชิคๆแบบนี้ของเขา

            “เรื่องชานมธัญพืช” จู่ๆพี่กันก็โพล่งขึ้นมา ผมเงยหน้าจากหนังสือไปมองเขา

            “หือ”

            “จริงๆกูไม่เคยกินเลย”

            “แล้วทำไมพี่ถึงสั่งล่ะ”

            “อยากลองอะไรใหม่ๆบ้าง”

            “เหรอ แต่ผมชอบนะ ปกติผมไม่ชอบกินชานมเท่าไร”

            “แล้วเป็นไง ชอบมั้ย”

            “ชอบ”

            จะว่าไป ผมมีอะไรบางอย่างจะสารภาพกับเขา

            “จริงๆผมไม่ได้ถูกหวยหรอก” คนตัวสูงหันมามองผม เขายกมือซ้ายมาดันหัวผมเบาๆ

            “เออ กูรู้”

            “อีกอย่างผมไม่ชอบกินชานมด้วย แต่พอเห็นพี่สั่ง ก็เลยสั่งบ้าง”

            “เกิดอยากจะกินเหมือนกันสินะ”

            “เปล่า”

            “แล้วสั่งทำไม”

            “ผมแค่อยากได้ความรู้สึกว่า ได้ขยับเข้าไปใกล้พี่อีกก้าวนึง”

            “ตัวนิ่ม”

            “หือ”

            สีหน้าของพี่กันไม่ดีเท่าไร ผมรีบชะเง้อคอมองเขา หรือว่าเขากินกาแฟมากไปเลยใจสั่นหรือเปล่า หรือจะอาเจียน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ

            “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าพี่แดง”

            “เป็นหนักเลย”

            “จอดรถก่อนมั้ย กาแฟมันทำให้ใจสั่นเหรอ”

            “เปล่าไม่ใช่กาแฟ”

            “หือ”

            “มึงอ่ะ ทำกูใจสั่น”

            ผมหันกลับมามองฝ่ามือตัวเอง ใบหน้าร้อนๆทำให้ต้องเอาหน้าไปอิงกับแอร์รถ การนั่งอยู่บนรถสองต่อสองกับพี่กันแบบนี้ ได้พูดคุยกันยาวๆหลายชั่วโมงแบบนี้

            บอกเลยว่า หัวใจผมมันอ่อนแอมากจริงๆ

 

            ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าคนตัวสูงจะขับรถไปเจอกับพี่หมอสี่ วันนี้พี่หมอสี่เหมือนเต้าหู้อีกแล้ว เขาสวมเสื้อยืดที่เป็นผ้าบางๆสีเหลืองอ่อนกับกางเกงสีขาว

            ผมจะตั้งฉายาให้พี่หมอสี่ใหม่ว่า

            “เต้าหู้ไข่”

            “หือ”

            คนใส่แว่นหันมามองผมพลางเลิกคิ้วสงสัย เราสองคนนั่งอยู่ที่ม้านั่งระหว่างรอพี่กันกับเพื่อนเบอร์หนึ่งและเพื่อนเบอร์สองของเขาคุยกันเรื่องเส้นทาง

            “กอดอยากกินเหรอ”

            “เปล่า ผมว่าพี่หมอเหมือนเต้าหู้ไข่”

            เขาใช้นิ้วชี้ชี้เข้าหาตัวเอง ผมพยักหน้า

            “จริงดิ”

            “อือ เหมือนมาก ไม่เชื่อถามพี่กันเลย”

            “โอเค เหมือนก็เหมือน” พี่หมอสี่ยอมรับแต่โดยดี “จะว่าไป เรื่องที่บ้านเป็นไงบ้าง”

            ผมหันไปมองพี่หมอ ก่อนจะหันกลับมาสนใจโกโก้ในมือ

            “ก็โอเคครับ แม่โอเคแล้ว แต่พ่อผมไม่ได้สนใจอ่ะ”

            “อือ พี่เข้าใจกอดนะ บ้านพี่เองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนกัน แต่พี่คิดว่าถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราก็ไม่ควรจะไปใส่ใจคำพูดไม่ดีๆของคนอื่น มันบั่นทอนสภาพจิตใจเราอ่ะ”

            พยักหน้าตามพี่หมอ เขาพูดถูกทุกอย่างเลย

            “ดังนั้นอย่าคิดมาก เวลาจะคอยเยียวยาเรื่องทุกอย่างเอง มีอะไรก็ไประบายกับไอ้กัน มันน่ะถังขยะชั้นเลิศ”

            จะว่าแบบนั้นก็ได้ พี่กันน่ะ ไม่ว่ามีเรื่องอะไร เขาก็จะขอให้ผมบอกเขาตลอดนั่นแหละ

            “คุยไรกัน” คุณหมีโหดเดินเข้ามาหลังจากคุยเรื่องการเดินทางเสร็จ เพื่อนเบอร์หนึ่งกับเพื่อนเบอร์สองของพี่กันรีบเดินตามมาสมทบ

            “ก็เรื่อยเปื่อย แล้วเป็นไง จะตรงไปเลยป่ะ”

            “ใช่ครับคุณหมอ พวกเราจะตรงไปเลย เจอกันที่พัก กูวางแผนกับไอ้กันว่าเราพักนอนเล่นกันก่อนหนึ่งคืน แล้วเดี๋ยวค่อยไปเที่ยวฟาร์มกับไร่ข้าวโพดกัน”

            “โอเคมั้ยน้องกอด ไปป้อนนมวัว”

            “พากระบือไปปล่อยด้วย” เพื่อนเบอร์สองตบบ่าพี่กัน คนตัวสูงยกขาเตะอย่างรวดเร็ว

            “เดี๋ยวมึงจะโดนกระบือถีบหน้าหัน”

            “เกรี้ยวกราดประมาณนี้ เออจะว่าไป ไหนๆเพื่อนก็สละโสดแล้ว คืนนี้จัดแบล็คมั้ยครับเถื่อน”

            “แบล็คไร ดูด้วยมีเยาวชน” ทุกคนหันมามองหน้าผม

            “กอดอายุเท่าไรน่ะ” พี่หมอสี่ถาม

            “สิบเจ็ด ผมเรียนเร็วหนึ่งปี”

            “ห๊ะ!!!”

            “โอ้โหไอ้กัน มึงรู้มั้ยว่าน้องอายุสิบเจ็ด!”

            เขาดูตกใจที่ได้ยินว่าผมอายุสิบเจ็ด จริงๆอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าผมก็จะสิบแปดแล้ว เพราะเรียนเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ ทุกคนเลยตกใจเมื่อได้ยินว่าผมยังไม่บรรลุนิติภาวะ

            โดยเฉพาะสายรหัส เมื่อได้ยินว่าผมยังอายุไม่ถึงสิบแปด พวกเขาเลยพยายามเลี่ยงการพาผมเข้าสถานที่ที่ต้องใช้บัตรประชาชนในการแสดงตัวตน ดังนั้นเวลาฉลองกัน ก็เลยต้องหาร้านนั่งชิลหรือร้านเหล้าเล็กๆที่ไม่ต้องใช้บัตรประชาชนในการเข้า

            ไม่บรรลุนิติภาวะแต่ผมก็โดนลุงรหัสกรอกเหล้าเข้าปากมาตั้งหลายรอบแล้ว ชินแล้วครับ

            “เชิญครับ ไปให้สุดแล้วหยุดที่คุก”

            “หยุดเลยไอ้พวกส้นตีน!”

            พี่กันเตะเพื่อนเขากระเจิดกระเจิงไปคนละทิศ ก่อนเราทั้งห้าคนจะเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ผมขึ้นมานั่งบนรถ คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย คนตัวสูงถึงค่อยๆออกรถ

            “อายุสิบเจ็ดจริงดิ ไหนเอาบัตรประชาชนมาดิ๊” เขากวักมือจะเอาบัตรประชาชนจากผม ผมเลยยื่นให้เขา

            “อีกไม่กี่เดือนก็สิบแปดแล้ว พี่จะกินเหล้าก็กินไปเถอะ ผมโดนลุงรหัสจับกรอกปากมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งแล้วอ่ะ”

            “ห้ามมันไม่ได้หรอกไอ้พวกนั้นอ่ะ มาเที่ยวมันกินกันปกติอยู่แล้ว แต่มึงห้ามกิน เดี๋ยวไปซื้อชานมมาตุนไว้ในห้อง”

            ดีเหมือนกัน เพราะผมเองก็ไม่ชอบกินเหล้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อีกอย่างมาเที่ยวก็ไม่อยากปวดหัวอาเจียนอ่ะ ถ้าพวกเขากินกัน ผมคงนอนเล่นอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยตามประสานั่นแหละ

            พี่กันตั้งใจขับรถมากจนผมไม่อยากจะชวนคุย เผลอหลับไปรอบสองรอบ ตื่นขึ้นมาคนตัวสูงก็ยังโด๊ปกาแฟขับรถไปเรื่อย เขาใหญ่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากหรอกครับ สามสี่ชั่วโมงก็ถึง แต่ที่มันนานเนี่ย ก็คงเป็นเพราะรถติดนั่นแหละ

            ป้ายสีเขียวบอกว่าเราใกล้ถึงเขาใหญ่เข้าไปทุกที มีภูเขามากมายรายล้อม ผมตาเป็นประกายเมื่อเราผ่านฟาร์มข้าวโพดและฟาร์มวัวขนาดใหญ่

            พอผ่านฟาร์มวัวไป พี่กันก็เลี้ยวเข้าซอย ทีนี้แหละเริ่มเป็นปัญหา เพราะรถของพี่หมอสี่หายวับไปแล้วจนเราต้องหันมาพึ่งพาจีพีเอสกันก่อนจะหลงป่าตายกลางทางซะก่อน

            พี่กันรีบโทรหาเพื่อนของเขาเพื่อถามทาง เขาเปิดเสียงออกลำโพงเพื่อที่จะได้คุยถนัดๆ

            (มึงเลี้ยวเข้ามายัง มึงดูป้ายดิไอ้ห่า)

            “ป้ายห่าไรวะ มีป้ายด้วยเหรอ สองข้างทางกูเห็นมีแต่หญ้า!”

            (ไหนมึงอ่านจีพีเอสดิ๊ มึงอยู่ส่วนไหนของเขาใหญ่เนี่ย)

            “อะไรวะ ถนนอะไรอันนาเหมด”

            หือ… ถนนอันนาเหมด? มันมีชื่อถนนนี้ด้วยเหรอครับ

            (อันนาเหมดไรวะ นี่มึงอยู่เขาใหญ่หรืออยู่ไหนวะไอ้เถื่อน!)

            “อันนาเหมดจริงๆ ถนนเหี้ยไรวะ”

            (น้องกอดฟังอยู่ป่ะ น้องกอดดูแทนมันหน่อยดิ๊ เพื่อนพี่มันค่อนข้างจะโง่หน่อยๆ)

            “ส้นตีนเหอะ”

            พี่กันยื่นโทรศัพท์ให้ผม ผมดูจีพีเอสที่ปรากฎบนหน้าจอ ตอนนี้เราอยู่บนถนน

            “อันเนม… มันคือถนนไม่มีชื่อครับ”

            Unnamed แปลว่า ไม่มีชื่อ อันนาเหมดบ้าอะไรของพี่เนี่ย!

            (ก๊ากกกกกกก) เสียงหัวเราะดังออกมาจากปลายสาย ผมเองก็หัวเราะแทบขาดใจ มีก็แต่พี่กันนั่นแหละที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียวเพราะเขาอ่านชื่อผิด

            จะขำก็ขำ สงสารก็สงสาร ภาษาอังกฤษของเขา ควรแก้ไขอย่างด่วนเลยจริงๆ

            (เอาแบบนี้ มึงขับให้พ้นถนนอันนาเหมดของมึงมาก่อนนะครับเพื่อน แล้วมึงจะเจอชื่อถนนเพชรเกษม ทีนี้มึงก็ตรงออกมาแล้วหาป้ายที่พัก แค่นั้นแหละจบ!)

            ปลายสายวางไปพร้อมกับเสียงบ่นอุบอิบของพี่กัน

            “ก็คนมันไม่เก่งอิ้งนี่หว่า”

            เขาน่ารักจริงๆนั่นแหละน่า

            ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเศษๆกว่าจะมาถึงที่พักในเขาใหญ่ ที่พักแบบบ้านพักหลังใหญ่สำหรับสิบคน แต่พวกเรามากันแค่ห้าคน มีสระว่ายน้ำในตัว เป็ดลอยน้ำ และเตาปิ้งบาร์บีคิว

            ทั้งพี่หมอสี่ เพื่อนเบอร์หนึ่งและเบอร์สองของพี่กันต่างก็จับจองห้องกันเสร็จสรรพ เหลือผมกับใครอีกคนที่มีแววต้องอพยพขึ้นไปนอนชั้นสองมีเพียงเตียงใหญ่อยู่แค่เตียงเดียว…

            “สองคนนอนด้วยกันนะ” พี่เบอร์หนึ่งพูด พี่เบอร์สองก็ตบมุกกลับอย่างรวดเร็ว

            “คิดซะว่ามาฮันนีมูน”

            เลยโดนพี่กันเตะก้นกระเจิงกันไป

            คนตัวสูงเดินนำหน้าขึ้นไปยังชั้นสอง เขาวางกระเป๋าลงข้างเตียงก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่าน พี่กันทิ้งตัวลงบนเตียงเพราะความเหนื่อยล้าจากการขับรถ

            “ไม่ได้ขับรถนาน พอมาขับอีกทีโคตรเหนื่อยเลย”

            กะจะปล่อยให้เขานอนแล้วตัวเองไปสำรวจบ้าน แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน พี่กันก็เรียกผมไว้ก่อน

            “กอด”

            นัยน์ตาสวยๆของเขามองผมนิ่งๆ ในแววตานั้น มันมีอะไรบางอย่างลึกซึ้งจนผมไม่สามารถอ่านออกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

            “หือ”

            “รู้หรือเปล่าว่าชานมธัญพืชมันอร่อยยังไง”

            “มันหอมไง”

            “ใช่”

            “ดังนั้นขอหอมให้หายเหนื่อยหน่อย”

            ผมปาตุ๊กตาบราวน์ใส่หน้าเขาก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องด้วยความรวดเร็ว

            หอมบ้าอะไร

            หอมชานมกับหอมกอด

            มันหอมคนละอย่างนะไอ้หมีบ้า!





// ถ้าพี่กันขอหอม เราก็จะให้หอม(หัวใหญ่)พี่
รักกันฝากกอดกันและ #Likeกัน ไว้ในหัวใจด้วยน๊า

 
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 05-07-2017 21:11:19
ครืออออ มุขขอหอมแก้มน้องกอดของพี่กันเนี่ยอ่ะนะ ... บอกได้เพียงว่า ... ไม่ผ่านอย่างแรงค่ะพี่!! เสี่ยวมากพี่กัน บ้าบอออออ 555555 #เสี่ยวแล้วทำไมกูเขินตาม
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: bowtotay ที่ 05-07-2017 21:17:20
พี่กันก็ขยันแทะเล็มน้องเหลือเกิน.  อ่านแล้วเขินเหมือนตัวเองเป็นน้องกอด
ปล.ขำหนักตรงอันนาเหมด555 :m20:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 05-07-2017 21:43:04
หลุดฮาก๊ากดังมากตรงอันนาเมด55555
วงวารพี่กัน ถถถถถถ พ่อคุณ
น้องกอด ให้พี่เขาชื่นใจใงก็ได้ คนอ่านเชียร์ คริคคิคริ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 05-07-2017 21:54:07
น้องกอด ต้องเล่นตัวนะลูก อย่่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้พี่กันง่าย ๆ
ว่าแต่ คืนนี้ พี่กันกินแบ็คล์ แล้วนอนเตียงเดียวกัน  :haun4:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 05-07-2017 22:04:06
จ้าาาา อิพี่อ่อนน้องตลอด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 05-07-2017 22:11:54
พี่กันไปฝึกอังกฤษด่วนๆเลยนะ หมดมาดพระเอกเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-07-2017 22:15:29
กอดก็ให้กำลังใจพี่กันที่ขับรถมาเมื่อยหน่อยก็ไม่ได้

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 05-07-2017 22:25:17
น่ารักๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-07-2017 23:00:17
 :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 05-07-2017 23:02:37
พี่กันค่อดบ้าอ่ะ เล็มน้องทีละนิดๆ จะเหลือแต่กระดูกแล้ว

แล้วอีถนนอันนาเหมด แหม่่่่่่่่่่่ อ่านไปได้  :m20:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 05-07-2017 23:13:12
ลำไยพี่กันโว้ยยยย555555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 05-07-2017 23:50:00
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-07-2017 00:49:14
ตกหลุมรักพี่กันรัว ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 06-07-2017 01:15:52
มุขห้าบาทสิบบาทยังจะเล่น เขินเว้ยยยยยยยยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-07-2017 03:16:24
ยิ่งอ่านยิ่งรัก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: konjingjai ที่ 06-07-2017 06:47:06
รักกัน....รักกัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 06-07-2017 07:18:59
หึหึ พี่กันนี้เนียนจริงๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 06-07-2017 07:47:19
 :impress2: ขอสวีทๆหน่อยนะค๊า.... อุตส่าห์มาพรี-ฮันนีมูน อิอิ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 06-07-2017 07:58:58
 :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 06-07-2017 11:25:29
พี่กันขยันแทะเล็มน้องจริงๆ นิดๆหน่อยๆก็เอา :laugh:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 06-07-2017 13:00:20
เห็นแววคุกแต่ไกลเลยพี่กัน 5555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-07-2017 13:19:08
หมีเถื่อนน่าเอ็นดูเชียว
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: sumikkogurashi ที่ 06-07-2017 13:31:01
พี่กันนนนนน น้องกอดน่ารักมากเลย แวะมาเป็นกำลังใจให้ รอตอนต่อไปนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 06-07-2017 17:17:39
มีความเอ็นดูเด็กๆ >\\\\<
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 06-07-2017 19:53:38
พี่กันนนนน ให้น้องสอน eng ด่วนคร้าาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 09-07-2017 07:12:09
เหม็นความรักมากมากโลยยยยยยยยยยยย
น้องยัง17โว้ยพี่กันนนนนนนนนนนน
ห้ามทำไรน้องจนกว่าจะ18
หลังจากนั้นจะทำไรน้องก้ทำปายยยยยย
เราเป็นกำลังใจให้ อิอิ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 09-07-2017 08:12:39
กอดกัน หอมกันไปก่อน
รออีกนิดนะพี่กัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 10-07-2017 12:26:32
พี่กันน่ารักกกกกกมาต่ออีกนะ :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 16 {05.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Littlesir ที่ 10-07-2017 15:35:13
เพิ่งอ่านจบฮะ
โอ๊ยยยย มันเป็นอะไรที่ดีต่อใจมากกก เขินแก้มจะแตกแล้วววววว
เข้าใจความรู้กอดในช่วงแรกๆมากกก
เราเป็นคนที่เวลาชอบก็จะชอบเขาตั้งแต่แรกเห็น พอมาอ่านเรื่องนี้แล้วแบบ เฮ้ยยยมันดีอะ ตรงกับใจ
บางทีความรู้สึกแบบนี้ในสายตาบางคนอาจดูเพ้อฝัน รักแรกพบไม่มีจริงหรอก แต่เราเป็นคนนึงนะ ที่เชื่อในรักแรกพบแล้วก็ยังสัทธากับมันอยู่จริงๆ
ตอนนี้เราก็เจอพี่กันของเราแล้วด้วย แต่อาจไม่ได้โชคดีได้เจอพี่กันบ่อยๆเหมือนกอดเท่านั๊นเอง

รอตอนต่อนะฮะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 10-07-2017 20:23:49
Chapter 17
ความอบอุ่นที่ขาดไม่ได้

 

            อากาศไม่ร้อนไม่หนาวแต่เห็นเมฆตั้งเค้าเหมือนฝนจะตกมาแต่ไกล ผมนั่งเล่นอยู่ริมสระว่ายน้ำของตัวบ้านพักหลังจากที่เมื่อกี้ออกไปตลาดกับพี่หมอสี่ ไปซื้อพวกของสดมาทำบาร์บีคิวกินกันตอนเย็นๆ พี่เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองก็แยกกันออกไปซื้อพวกขนมขบเคี้ยวกับเครื่องดื่ม ส่วนพี่กันน่ะเหรอ ยังสลบเหมือดอยู่บนห้องเลยครับ

            ผมนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆพี่หมอสี่ก็กระโดดออกมาจากตัวบ้าน หน้าตาตื่นหัวยุ่งชี้ไปคนละทิศละทางเหมือนเจออะไรเข้า คนที่ปกติจะใส่แว่นติดหน้าอยู่ตลอดตอนนี้เผยให้เห็นดวงตารูปใบไม้ เสริมบุคลิกของเขาให้เหมือนเต้าหู้ไข่มากเข้าไปอีก

            “พี่หมอ”

            เขาหันมามองผม สีหน้าซีดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

            “เจอผีเหรอ”

            “ไม่ใช่ๆ จิ้งจกอ่ะ”

            “พี่กลัวจิ้งจกเหรอ” เขาพยักหน้ารัวๆใส่ผม

            “ผมทำไรให้ไม่ได้นะ”

            “…”   

            “เพราะผมก็กลัวเหมือนกันอ่ะ”

            “แป่ว”

            “สงสัยต้องรอให้ไอ้สองตัวนั่นกลับมาก่อน ไม่อย่างนั้นคืนนี้พี่นอนไม่ได้แน่ๆ” พี่หมอสี่เดินมานั่งขัดสมาธิข้างๆผม เวลาเขาไม่ใส่แว่นดูแปลกตาไปมากเลยครับ

            เป็นผู้ชายผิวขาว ตาชั้นเดียว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเล่นกับแสงสวยเหมือนลูกแก้วเลย

            “แล้วเวลาเรียนชีวะไม่ผ่าจิ้งจกเหรอ”

            “ผ่า แต่พี่ไม่ผ่า ให้เพื่อนมันผ่า”

            เขาบ่นงึมงำๆอยู่คนเดียวพลางหันไปสนใจโทรศัพท์ในมือ เหมือนว่าจะส่งข้อความให้พี่สองคนที่หายไปซื้อเบียร์นานสองนานรีบกลับมา

            “พวกมันใกล้ถึงละ กอดไปปลุกไอ้กันไป”

            พยักหน้ารับคำเขาพลางเอาขาขึ้นจากน้ำ ยังไม่ทันจะได้เดินขึ้นบันไดไป พี่หมอสี่ก็ขัดขึ้นมาอีกครั้ง

            “ปลุกแรงๆหน่อยนะ มันเป็นพวกหลับลึกอ่ะ”

            หือ

            พี่กันน่ะเหรอหลับลึก

            ผมเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ค่อยๆเลื่อนเปิดประตูกระจกเข้าไป คนตัวสูงนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงกว้าง ผ้าม่านถูกปิดจนหมดบ่งบอกว่าเขาต้องการนอนอย่างจริงจัง

            เดินเข้าไปใกล้ๆพลางชะโงกหน้ามองเขา พี่กันนอนกอดตุ๊กตาหมีบราวน์เหมือนเด็กๆ แถมยังหลับตาพริ้มมีความสุข เพิ่งเคยเห็นเขานอนหลับเป็นจริงเป็นจังก็วันนี้แหละ

            ฝ่ามือของผมวางลงบนไหล่ของเขา เขย่าเบาๆสองสามที แค่เขย่าเบาๆพี่กันก็ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสวยๆมองผมนิ่งๆ

            ไหนพี่หมอสี่บอกว่าเขาหลับลึก ไม่เห็นจะลึกเลย

            “พวกผมซื้อของกินมาแล้ว ตื่นได้ละ”

            ไม่มีการตอบรับใดๆ เขาแค่ครางฮือในลำคอแล้วปิดตาลงไปใหม่ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นแค่อาการงัวเงีย แต่พอผมหันไปสนใจข้าวของที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเพียงแค่แปปเดียว หันมาอีกทีพี่กันก็หลับไปอีกครั้งแล้ว

            หือ แล้วเมื่อกี้อะไรน่ะ ละเมอเหรอ?

            “พี่กัน” เขย่าไหล่เขาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ลืมตา แต่กรนใส่หน้าผมเลยครับ

            “พี่กัน!”

            เพิ่มระดับเสียงเล็กน้อยถึงปานกลาง เขาก็ยังไม่ตื่น

            “พี่กัน!!!”

            แหกปากดังแล้ว เขาก็ยังกรนใส่

            จะไม่ตื่นใช่มั้ย … ได้

            ผมดึงผ้าห่มออกจากเตียง พี่กันรีบขดตัวกอดตุ๊กตาไว้แน่น แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุก ผมอ้อมไปอีกฝั่งของเตียง กระโดดขึ้นไปบนเตียงพลางเขย่าตัวเขาอีกครั้ง

            “ตื่น!”

            “ตื่นเร็ว”

            “ไฟไหม้”

            “น้ำท่วม”

            “แผ่นดินไหว”

            “บ้านพัง…โอ้ย!!!”

            แขนยาวๆของคนตัวสูงคว้าผมเข้าไปในอ้อมกอดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ฟันหน้าเลยไปกระแทกเข้ากับหัวไหล่ของเขาอย่างจัง พี่กันรีบกระเด้งตัวขึ้นมาพลางทำสีหน้าตกใจ

            “เฮ้ย เจ็บมั้ย”

            เจ็บสิถามได้

            “ถ้าฟันหลุดพี่ต้องชดใช้”

            “ไหนดูดิ๊” พูดจบก็เอานิ้วมาเลิกริมฝีปากของผมขึ้นเพื่อจะดูฟัน         

            “โอเค ฟันกระต่ายยังอยู่ดี”

            พอเห็นว่าฟันยังเรียงตัวครบทุกซี่ เขาก็เอามือมาขยี้หัวผมแล้วลุกหายเข้าห้องน้ำไป

            สัมผัสที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ช่วงนี้รู้สึกหัวใจทำงานหนักมากเกินไปจริงๆ ยิ่งใกล้ชิดพี่กัน ทำให้ผมรู้ซึ้งเลยว่า ผมไม่สามารถต้านทานความอบอุ่นของเขาได้เลย

            ไม่นานนักคนตัวสูงก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย เขาขมวดคิ้วมองหน้าผมพลางเดินเข้ามาใกล้ๆ ฝ่ามือสัมผัสลงที่ปรอยผมที่ปรกหน้าของผมอยู่

            “ผมยาวขึ้นแล้วนะ ไม่รำคาญตาเหรอ”

            “ว่าจะไปตัดอยู่อ่ะ”

            “แต่จริงๆไว้ยาวก็ดีนะ”

            “นี่ก็ยาวแล้วนะ”

            “อือ ยาวลากพื้นไปเลย”

            ลากพื้นบ้าอะไรเล่า

            “ผมก็มองไม่เห็นทางสิ”

            “ก็ใช่ไง แล้วก็จะไม่มีใครเห็นมึงด้วย”

            “ทำไมล่ะ”

            “ไม่บอก ปล่อยให้งง”

            ผมยกขาเตะก้นเขา พี่กันหัวเราะพลางวิ่งหนีออกไปด้านนอก

            ทำไมเขาถึงเป็นคนกวนประสาทได้ขนาดนี้นะ

            พลางหันไปมองตัวเองในกระจก ใบหน้าของผมเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยๆ เดินเข้าไปมองเงาที่สะท้อนบนกระจกใกล้ๆ จะว่าไป ผมก็ยาวแล้วจริงๆแฮะ

            ผมเดินตามพี่กันออกไปจากห้อง ท้องฟ้ารอบๆตอนนี้กลายเป็นสีชมพูอมม่วง พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที กลิ่นฝนจางๆที่ถูกพัดมากับลมบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก

            ค่อยๆเดินลงบันไดอย่างระมัดระวังเพราะขั้นแต่ละขั้นค่อนข้างเล็ก ผมมองลงไปยังสระว่ายน้ำขนาดเล็กภายในบริเวณบ้าน เห็นพวกพี่ๆเล่นน้ำกันอยู่ พี่หมอสี่เป็นพ่อครัวในวันนี้ ส่วนพี่กันน่ะเหรอ

            ลงไปนอนแผ่อยู่บนห่วงยางเป็ดเรียบร้อยแล้ว

            ผมเลือกที่จะเดินไปช่วยพี่หมอสี่ย่างบาร์บีคิว กลิ่นหอมๆของบาร์บีคิวเป็นอะไรที่ไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน ล่าสุดที่เคยกินแบบปิ้งสดๆแบบนี้คือหลายปีที่แล้วตอนที่ไปเที่ยวทะเลกับแม่สองคน

            เสียงเพลงคลอเบาๆจากลำโพงบลูทูธขนาดเล็กทำให้บรรยากาศในคืนนี้ดูผ่อนคลาย ผมมีความสุขกับการมาอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยชอบการอยู่กับผู้คนหมู่มากเลยด้วยซ้ำ

            เพื่อนๆของพี่กันเองก็เป็นกันเองมากๆ ไม่ว่าจะพี่หมอสี่ เพื่อนเบอร์หนึ่งเบอร์สองของเขา ทุกคนต่างให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี

            “อ่ะ อันนี้ของกอด” พี่หมอสี่วางจานบาร์บีคิวสามไม้ลงบนโต๊ะ

            “พี่ไม่กินเหรอ”

            “กินไปเยอะแล้ว ไม่ต้องไปแบ่งไอ้กันนะ เดี๋ยวก็เสนอหน้ามากินเองนั่นแหละ”

            พูดไม่ทันขาดคำเขาก็เดินดุ่มๆเข้ามา เรื่องของกินนี่พี่กันไม่เคยพลาดหรอกครับ เหมือนแค่ได้กลิ่นเขาก็ลอยตามกลิ่นมาแล้วอ่ะ

            “ไม่มีกุ้งเหรอวะ”

            “อยู่เขาใหญ่ ไม่ได้อยู่หัวหิน”

            “อิโถ่”

            ถึงจะบ่นแต่ก็หยิบบาร์บีคิวไปกินพร้อมกับจิบเบียร์ตามไปด้วย ผมนั่งมองทุกอิริยาบถของเขา เก็บมันไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด

            เป็นคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในท่าทางไหนก็ดูดีไปซะทั้งหมด ขนาดกินบาร์บีคิวเสียบไม้ยังดูเท่เลยอ่ะ

            การกินอาหารเย็นผ่านไปแบบเอื่อยๆไม่รีบร้อน พอกินเสร็จ เก็บขยะทั้งหมดเรียบร้อย พวกพี่ๆก็ตั้งวงเล่นเกมในมือถือกันอย่างสนุกสนาน

            ผมโดนยัดเยียดให้กินเบียร์ไปหนึ่งกระป๋อง รู้สึกมึนๆไม่ค่อยโอเคเท่าไรเลยขอตัวขึ้นไปอาบน้ำนอนเล่นบนห้องก่อน แอร์เย็นๆกับการเปิดทีวีแล้วเจอหนังเรื่องโปรด คืออะไรที่มีความสุขที่สุดแล้ว

            ระหว่างดูโทรทัศน์ผมก็เปิดอ่านไลน์ที่ค้างๆอยู่ในเครื่อง โดยเฉพาะไลน์ของเพื่อนสนิทที่ยังไม่ได้ตอบตั้งแต่ตอนบ่าย

            ถึงเขาใหญ่ยัง 

            *ถึงแล้ว

            *นอนเล่นอยู่

            สบายเลยไอ้หมู

            แล้วเป็นไง สนุกป่ะ


            *ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยอ่ะ

            *มาถึงก็นอนพักที่ห้อง

            อย่าลืมของฝากนะเว้ย

            ผมส่งสติ๊กเกอร์มีเสียงกลับไปให้เพื่อน เสียงดังขึ้นมาว่า Sir Yes sir จังหวะเดียวกับที่พี่กันเลื่อนประตูเลื่อนแล้วเดินเข้ามาในห้อง

            เขาทิ้งตัวลงบนเตียงข้างๆผม พลางชะเง้อคอมองดูว่าผมคุยกับใคร พอเห็นว่าผมกำลังคุยกับเพื่อนอยู่ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่นั่งดูทีวีไปเงียบๆ

            “คุยเสร็จยัง”

            จู่ๆเขาก็โพล่งออกมาทั้งๆที่ไม่ได้หันมามองหน้า

            “เสร็จนานแล้ว”

            “เหรอ”

            “งอนเหรอ”

            “เปล่า”

            แล้วทำหน้าบึ้งทำไมเล่า

            “งั้นแสดงว่าหึง” พอผมพูดจบเขาก็หันขวับมามอง นิ้วเรียวๆหยิกแก้มของผมจนต้องเอนตัวตามแรงดึง

            “เออ รู้ตัวนี่”

            “ผมกับเขาไม่มีอะไรแล้วน่า แค่เพื่อนกัน”

            “รู้ แต่ก็หึงอยู่ดี มึงคุยกับหมากูยังหึงเลยตอนนี้”

            ดู ดูเขาพูดจาสิครับ

            เราสองคนนั่งดูทีวีด้วยกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น รู้แค่ว่าไออุ่นๆของร่างกายคนข้างๆมันทำให้ผมรู้สึกร้อนจนเหงื่อแตก อาจจะเป็นเพราะอาการตื่นเต้นจนหัวใจเต้นรัว ยิ่งคิดว่าคืนนี้จะต้องนอนเตียงเดียวกันขึ้นมา ก็ยิ่งรู้สึกเกร็งขึ้นมาซะอย่างนั้น

            จะนอนหลับไหมล่ะเนี่ย

            “หาไรเล่นกันดีกว่า” พี่กันเสนอขึ้นมาขัดความเงียบ ผมรีบหันไปเห็นด้วยทันที

            “เล่นไรอ่ะ”

            “เกมพูดความจริง ผลัดกันถาม แล้วอีกคนต้องตอบเป็นความจริงทั้งหมด”

            น่าสนใจดีแฮะ

            เป็นเกมที่ทำให้รู้จักพี่กันมากขึ้นด้วย

            “โอเค” ผมตอบตกลงอย่างทันที เรานั่งหันหน้าเข้าหากัน ผมกอดตุ๊กตาหมีบราวน์เอาไว้พลางยกมือเป่ายิ้งฉุบกับพี่กัน

            ผมเป็นฝ่ายชนะ

            “อ่ะมึงถามก่อน”

            “อืมมม” นึกคำถามในใจ จริงๆมีหลายคำถามที่อยากจะถามพี่กัน

            สิ่งที่อยากรู้ที่สุดก็คงจะเป็น

            “พี่ไม่ชอบอะไรบ้าง”

            “คำถามกว้างขนาดนี้ มึงจะให้กูตอบยันชาติหน้าเลยมั้ย”

            “ก็ได้นะ ผมมีเวลาฟังทั้งชีวิตเลย” พูดจบก็ยิ้มกว้างใส่เขา พี่กันหุบยิ้มใส่ผมพลางเอาหมอนมาปาใส่หน้าผม

            ไอ้คนเลว

            “เอาที่ไม่ชอบสุดๆก็ได้ แบบเกลียดอ่ะ”

            “คนโกหก”

            อ่า… นี่ผมโกหกเขาไปกี่ครั้งแล้วนะ ตั้งแต่ถูกหวยแล้วเลี้ยงชานมเขาอ่ะ

            โดนเกลียดแล้วมั้งเนี่ย

            “ส่วนเรื่องของกินกูชอบทุกอย่าง ยกเว้นผัก ชอบมากสุดคือกุ้ง ซึ่งมึงคงรู้แล้ว”

            แหงล่ะ ก็วันๆกินแต่กุ้งจนหน้าจะเป็นกุ้งแล้วนี่

            “ตากู” พี่กันนั่งขัดสมาธิพลางใช้สีหน้าคิดคำถาม

            “ชอบทำอะไรในเวลาว่าง”

            “อ่านหนังสือ ฟังเพลง ร้องเพลง เล่นกีต้าร์” พอผมตอบเขาก็ยิ้มออกมา เรื่องร้องเพลงและเล่นกีต้าร์ไม่เคยมีใครรู้นอกจากสายรหัสและเพื่อนสนิทของผม เพราะปกติผมไม่ได้ร้องบ่อยๆ จะมีก็ตอนว่างๆเวลาไปหอปู่รหัสหรือหอลุงรหัสที่มีกีต้าร์ เขาก็จะชอบให้ผมร้องเพลงให้ฟัง

            “พี่กันเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน”

            “สอง มึงเป็นคนที่สองของกู”

            “จริงเหรอ”

            “เออ”

            ผมอยากรู้เรื่องแฟนคนแรกของเขาจัง

            “มึงเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน”

            “ผมไม่เคยมี”

            “จริงเหรอ”

            “อือ” เป็นตัวสร้างบรรยากาศการคุยได้ติดลบขนาดนี้ มีก็บ้าแล้ว

            พี่กันดูมีความสุขที่ได้ยินแบบนั้น ก็แหม เขากลายเป็นแฟนคนแรกของผมไป ทำไมจะไม่มีความสุขล่ะครับ

            “พี่กันมีพี่น้องกี่คน”

            “มีพี่ชายหนึ่งคน”

            “พี่เป็นน้องเล็กสุดเหรอ”

            “ใช่ แต่เป็นพี่ชายคนละแม่”

            อ่า มีอะไรอีกหลายอย่างเลยเกี่ยวกับเขาที่ผมยังไม่รู้

            “มึงชอบกูตอนไหน”

            ผมเงียบไปเมื่อได้ยินคำถามนั้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน คนตรงหน้าดูคาดหวังกับคำตอบเอามากๆ เขาจ้องมองผมตาไม่กระพริบ เล่นเอาหน้าร้อนขึ้นมาแบบห้ามไม่ได้ เสียงแอร์ดังหึ่งๆขัดความเงียบของบรรยากาศภายในห้อง

            ชอบตอนไหนน่ะเหรอ

            มันนานแล้วนะ แต่ผมยังจำได้แม่นเลย

            “ชอบตอนที่พี่เก็บหนังสือมาคืนให้ผม”

             คนตัวสูงเอาฝ่ามือปิดหน้าตัวเอง เหมือนต้องการจะปิดบังรอยยิ้มที่เก็บไม่อยู่ พอเห็นเขายิ้ม ผมก็เลยยิ้มตาม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

            เขาดีใจเหรอที่ได้ยินแบบนั้น

            “นานอยู่นะ”

            “อือ ผมถึงบอกไง ว่าถ้าพี่จะพูดเรื่องของที่พี่ไม่ชอบทั้งชาติล่ะก็ ผมก็มีเวลาฟังนะ”

            “หึ ไอ้ตัวน่ากอด มึงนี่มันจริงๆเลย”

            “ตาผมถามบ้าง”

            คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจตัวเองมานาน และอยากรู้ให้ได้

            “พี่รักผมหรือยัง”

            เราเงียบกันไปอีกครั้ง นัยน์ตาสวยๆของเขาจ้องมองผมไม่ละสายตาไปไหน สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาของเขา เพราะไม่สามารถต้านทานมันได้

            “ถามกูแบบนี้ น่าตีจริงๆว่ะ”

            “ทำไมล่ะ” ก็ผมอยากรู้นี่นา

            “ขอเป็นแฟนเนี่ย ถ้าไม่รัก แล้วให้เรียกว่าไรวะ ตัวนิ่ม”

            คำตอบของเขาทำให้ผมถึงกับทรุดไปกองอยู่บนเตียง

            บ้า บ้า บ้า อยากจะพูดคำว่าบ้าไปซักพันๆรอบ

            “ก็นึกว่าพี่สงสารผม”

            “กูเอาเวลาสงสารมึงไปสงสารแมวที่ไม่มีข้าวกินดีกว่า”

            “พี่กัน!” น้ำเสียงโอดโอยของผมเรียกเสียงหัวเราะของเขาได้เป็นอย่างดี

            ความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจทำให้ผมอยากจะใช้เวลาอยู่ตรงนี้กับเขานานๆ

            “นอนไป พรุ่งนี้เดี๋ยวพาไปเล่นของเล่น”

            ฝ่ามือหนักๆของพี่กันดันหัวผมให้นอนลงบนหมอน เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของผมเอาไว้ ก่อนจะเดินหายออกไปข้างนอก ถ้าให้เดาก็คงจะลงไปคุยเล่นกับเพื่อนนั่นแหละ

            แอร์เย็นๆบวกกับกลิ่นน้ำหอมของเขาที่ยังหลงเหลือไอจางๆอยู่ในห้อง ผมกอดตุ๊กตาหมีบราวน์เอาไว้แน่นพลางหลับตาลง ความอบอุ่นของพี่กัน มันยิ่งกว่าพระอาทิตย์ซะอีก

            เขาเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมาก มากจนผมไม่รู้จะบรรยายมันออกมายังไง

            ขอบคุณอะไรก็ตาม ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่กัน

            ขอบคุณจริงๆครับ

 

            วันถัดมาพวกเราเริ่มต้นด้วยการไปทัวร์ฟาร์มวัวและม้า ต่อด้วยฟาร์มแกะและไร่ข้าวโพด กิจกรรมที่เขาใหญ่มีมากมายหลายอย่างให้เลือกทำ โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อนมาก การนั่งรถเที่ยวชมฟาร์มวัวจึงเป็นอะไรที่เพลินมาก

            พอตกเย็น พวกเราก็มาอยู่กันที่ไร่บนเนินเขาสูง มีกิจกรรมกลางแจ้งอย่างเช่นบันจี้จัมพ์ กระเช้าลอยฟ้า ปีนหน้าผา สกีบกและอะไรอีกมากมาย พวกพี่ๆก็เลยคิดจะเริ่มต้นกันที่สกีบก หลังจากนั้นก็ไปเล่นเครื่องเล่นอื่นๆแล้วตบท้ายด้วยกระเช้า

            ผมยืนตาวาวมองสิ่งที่เรียกว่าสกีบก เกิดมาทั้งชีวิตก็เพิ่งรู้นี่แหละว่ามีอะไรน่าสนุกแบบนี้ด้วย เนินเขาที่เป็นทางลาดลงไปเป็นรูปงูคดเคี้ยว เราจะต้องนั่งบนรถคันเล็กๆที่มีสี่ล้อแล้วปล่อยให้มันไหลลงไปตามทางลาด เหมือนกับการเล่นสกีบนหิมะนั่นแหละ แต่นี่เป็นสกีมีล้อบนพื้นคอนกรีต

            พี่เบอร์หนึ่งกับพี่เบอร์สองเป็นฝ่ายนำลงไปก่อน ความเร็วของรถไม่ใช่เล่นๆเลยเพราะเนินค่อนข้างชัน แต่ก็ดูปลอดภัย พี่หมอสี่เป็นคนที่สามที่ลงไป ส่วนผมเป็นคนต่อไปและพี่กันจะต่อท้าย

            ผมนั่งอยู่บนกล่องพลาสติกที่มีล้อเลื่อน พี่กันนั่งยองๆอยู่ด้านข้าง

            “ไม่ต้องเกร็ง ไม่น่ากลัวหรอก”

            ไม่ได้กลัวสักหน่อย

            รถค่อยๆไหลลงจากเนินสูงไปตามทางลาด ลมเย็นๆพัดผ่านเข้าหน้า ผมพยายามประคองแฮนด์สองข้างให้ไปตามทาง แต่ดูเหมือนจะยากกว่าที่คิดแฮะ

            และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็มาถึง เมื่อเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย จากที่ผมจะเลื่อนลงไปดีๆตามทางเหมือนชาวบ้านเขา แฮนด์ดันติดแล้วบิดเลี้ยวไปตามทางคอนกรีตไม่ได้ ส่งผลให้ตัวรถพุ่งขึ้นไปบนหญ้าแล้วตีลังกาม้วนหน้าไปหนึ่งตลบ โชคดีที่ผมไม่เอาฟันหน้าลง แต่มือสองข้างกับข้อศอกและเข่าเนี่ย ไถลไปตามพื้นคอนกรีตเต็มๆเลยครับ

            เจ็บโคตร!

            พี่หมอสี่ร้องเสียงหลงเพราะยืนอยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก แต่คนที่วิ่งมาด้วยความเร็วแสง ไวกว่าใครคนอื่น คือผู้ชายตัวสูงที่มีสถานะเป็นแฟนของผม

            “เฮ้ยเป็นไรป่ะ โอเคมั้ย”

            ใบหน้าของพี่กันเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขารีบดึงตัวผมขึ้นมานั่งดีๆ หันไปมองรถของพี่กันที่เลื่อนลงมาติดๆกัน กระเด็นไปไกลนู่นแล้ว เดาว่าเขาคงทิ้งรถแล้ววิ่งมาหาผมทันทีที่เห็นรถผมสะดุดหญ้าปลิวมาซะไกลขนาดนี้

            พนักงานควบคุมความปลอดภัยของเครื่องเล่นเองก็ดูจะตกใจ พวกเขารีบวิ่งเข้ามาพร้อมเครื่องมือปฐมพยาบาล ผมถูกหามออกไปจากบริเวณสนามเพื่อไปนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ด้านล่างเนินสูง

            “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมทำเอง เดี๋ยวผมเอาอุปกรณ์ไปคืนครับ”

            พี่หมอสี่คุยกับพนักงานอยู่สักพักแล้วค่อยเดินกลับมา เขาถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่กันยังไม่ยอมห่างตัวผมเลยตั้งแต่โดนหามลงมา ฝ่ามือของคนตัวสูงยังพลิกดูร่างกายของผมว่าบาดเจ็บตรงไหนเพิ่มอีกหรือเปล่า เขาดูเป็นห่วงผมมากๆเลย

            “ไอ้กัน ถ้ามึงไม่ขยับออกมากูทำแผลให้กอดไม่ได้นะ”

            “กูทำเอง”

            “อย่างี่เง่า แผลเยอะขนาดนี้ นั่งดูเฉยๆไป!”

            โดนพี่หมอสี่ตะคอกเข้าไป พี่กันถึงยอมถอยห่างจากตัวผม เขาเขยิบมานั่งด้านข้างพลางเอาฝ่ามือมาวางบนหัวผม ขยี้เบาๆราวกับจะปลอบว่า ไม่เป็นไรนะ ปลอดภัยแล้ว

            พอโดนฝ่ามือของเขาวางลงบนหัวเท่านั้นแหละ น้ำตาผมก็ดันหยดแหมะลงมาเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ พี่กันรีบกอดคอผมเอาไว้

            เจ็บก็เจ็บ อายก็อาย นี่ถ้าลงผิดท่าคอหักตายไปแล้ว

            “โอ๋ๆ ไม่ร้องๆ”

            ยิ่งพูดคำว่าไม่ร้องผมก็ยิ่งร้องเข้าไปอีก พี่หมอสี่ถึงกับหัวเราะเบาๆออกมา

            “รถแม่งเลวมาก เดี๋ยวกูจะไปตีมันให้”

            ตีบ้าอะไรเล่า

            “โอ๋เอ๋ มาเดี๋ยวกูเป่าให้ ไม่เจ็บแล้วเนอะ”

            พี่กันจับแขนผมขึ้นมาแล้วเป่ามันเบาๆ ภาพๆหนึ่งแทรกเข้ามาในหัว พ่อของผมเคยทำแบบนี้ให้เมื่อสมัยผมยังเล็ก เพราะผมเป็นคนศูนย์ถ่วงไม่ค่อยดีเลยหกล้มบ่อยๆ เวลาล้มทีไร เขาก็จะเป่ามันเบาๆแล้วบอกว่าเดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่เจ็บแล้วเนอะ

            ผมรู้แล้วว่าความอบอุ่นของพี่กันเหมือนกับอะไร

            มันเหมือนกับความอบอุ่นของพ่อ

            ยิ่งเป็นความอบอุ่นแบบนี้ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพัน จนกลัวว่า…

            ผมคงขาดเขาไม่ได้จริงๆ





// เราก็ขาดพี่กันไม่ได้นะกอด / โดนตบ
รักกันชอบกอด รักกอดชอบกัน ติดแท็ก #Likeกัน
ชวนเพื่อนๆมาอ่านผ่านทางทวิตเตอร์กันได้นะคะ
รักคนอ่านมาก แต่รักกันมากกว่า คิคิ
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 10-07-2017 20:32:07
ชอบพี่กันน้องกอดที่สุดเลยยยยยย
น่ารักกกกกกกกกกก
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 10-07-2017 20:41:54
อ๋อยยยยยยย มันดีต่อใจเนอะ // น้องกอดเจ็บตัวแต่ทำไมฉันฟิน?
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-07-2017 21:10:54
เอ๊า! ตัวนิ่มเจ็บซะอย่างงั้น

พี่กันน่ารักมากกกกกกกกก กอดก็น่าฟัดมากกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 10-07-2017 21:11:57
น่ารัก ดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 10-07-2017 21:16:09
ขวัญเอ้ยขวัญมา พี่กันต้องดูแลน้องกอดดีๆนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 10-07-2017 21:17:04
 :-[ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 10-07-2017 21:17:19
กอดกันๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-07-2017 21:44:59
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-07-2017 22:00:14
กำลังเที่ยวสนุกๆ กอดดันเจ็บตัวซะได้

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: chisarachi ที่ 10-07-2017 22:07:19
น่ารักกก คงหาคำไหนมาบอกไม่ได้นอกจากน่ารัก
ความน่ารักทำให้เรามองข้ามอะไรหลายๆอย่างมนเรื่องไปเลย
ชอบพี่กันอ่ะ เป็นคนเถื่อนที่น่ารักจริงๆ
ความห่วงใย ความเถื่อนคือดี นี่ก็เป็นเหมือนพี่กันที่ท็อปทุกวิชา
ยกเว้นอังกฤษที่โง่แบบฉุดไม่ไหว
อยากอ่านต่อเรื่อยๆ อ่านตอนฝนตึกๆ หรืออากาศเย็นๆยิ่งอินไม่รุ้ทำไม
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 10-07-2017 22:12:03
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 10-07-2017 22:44:43
พี่กันน่ารักกก ชอบเวลาพี่กันเขินน้องกอด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 11-07-2017 00:06:13
 หุหุ น้องกอดให้ความรู้สึกว่าพี่กัน เหมือนพ่อ อะ  o18
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-07-2017 01:16:56
 :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 11-07-2017 05:14:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: rikulism♡ ที่ 11-07-2017 12:11:41
อยากได้พี่กันทำไงดี ที่บ้านเธอมีอีกไหม :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-07-2017 16:05:46
ด่านแรกก็เจ็บตัวซะแล้วน้องกอด

อยากรู้เรื่องแฟนคนแรกของพี่กันด้วยคน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 11-07-2017 20:48:36
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 11-07-2017 22:39:43
ทำไมตอนนี้ซึ้งจังเลย ฮื่อออ น้องกอดไม่เป็นอะไรน้าา พี่กันเป่าเพี้ยงๆให้หายแล้ว :hao5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 12-07-2017 07:54:43
กอดน่ารัก พี่กันก็ดูรักน้องจัง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-07-2017 00:03:55
เหมือนเลี้ยงลูกเลยพี่กัน ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 13-07-2017 11:07:37
อ่านเรื่องนี้แล้วยิ้มตลอดเลย น่าร้าก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Littlesir ที่ 16-07-2017 22:18:33
มาต่อเร็วน้าาา รอออ :impress3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 17-07-2017 21:14:09
อ่าน17ตอนรวดเป็นอะไรที่ฟินที่สุดในโลกกกกกกกก

โอ้ยยยไม่คืดว่าตัวเองจะบ้าขนาดนี้นั่งอยู่btsก็นั่งนึกถึงเรื่องนี้

อยากกินชานมตามอีกก บ้าทีก็นั่งหัวเราะกับสกิลพี่กัน แต่บ้างทีก็นั่งเขินความรักสองคนนี้

จนอยากทิ้งตัวดิ้นๆๆๆบนพื้น :jul3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 18-07-2017 09:47:26
ชอบพี่กันน้องกอดที่สุดเลยยยยย
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 18-07-2017 23:40:58
โหยยยยย เรื่องนี้น่ารักมากเลยจ้า ติดตามๆ เลยยย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 19-07-2017 00:03:29
นั่งอ่านแล้วยิ้มไปเหมือนคนบ้าเลยเรา  :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 21-07-2017 22:22:35
ความอบอุ่นแบบพ่อ  ( ทูลหัว )  :hao6:
+1 ให้กอดกัน  :L2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: aommaboo ที่ 23-07-2017 09:48:20
น่ารัก ฟิลกู้ด รักพี่กันคนเถื่อน น้องกอดตัวนิ่ม โอ้ยน่ารักกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 23-07-2017 20:17:37
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: poonziis ที่ 24-07-2017 09:57:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Legpptk ที่ 28-07-2017 19:41:56
น่ารัก และน่าติดตาม อยากรู้เรื่องราวเต้าสองคนไปเรื่อยๆ เห็นเค้าค่อยๆเรียนรู้กันและกัน ชอบบบ อย่ามีดร่าม่านะ เป็นยังงี้ก้อน่าอ่าน น่าติดตาม น่าสนใจมากๆแล้ว ไม่เบื่อเลย อ่านจบตอนแล้วอยากอ่านอีกเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 29-07-2017 00:01:09
 :-[

 เขินแทนน้องกอดแล้วเนี้ย
รอติดตามนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 03-08-2017 22:30:29
อยากได้แบบนี้บ้างงงงง (ดิ้นๆๆ) หาได้ยากที่ไหนคะ งอแงงง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 07-08-2017 18:31:35
Chapter 18
เกิดมาเพื่อพบกัน

 

            ในตอนแรก พวกพี่ๆตัดสินใจว่าจะกลับที่พักกันเลยเพราะอาการบาดเจ็บของผม แต่ผมค้านเอาไว้ ค่าตั๋วเข้าที่นี่มันแพงหูฉี่แล้วพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเล่นกันแค่อย่างเดียว ถ้ากลับกันเลยกลายเป็นว่าจะไม่สนุกกันซะเปล่า

            พี่กันเลยตัดสินใจว่าจะพาผมไปคลินิกก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยกลับที่พัก เพราะเราเอารถมาคันเดียว ผมกับพี่กันเลยต้องอาศัยรถสองแถวคันเล็กของทางไร่

            บรรยากาศรอบๆข้างเริ่มมืดลงเรื่อยๆ ผมนั่งตรงกันข้ามกับคนตัวสูงที่เหม่อมองออกไปนอกตัวรถ เสียงจิ้งหรีดเรไรดังตลอดสองข้างทางระหว่างที่รถค่อยๆขับไป อาการแสบแผลของผมเริ่มจะระบมมากขึ้น มีบางครั้งที่เผลอเอามือไปจับผ้าพันแผลเพราะมันปวดจี๊ดขึ้นมา

            เหมือนพี่กันจะสังเกตเห็นว่าผมเจ็บแผล เขาเลยย้ายมานั่งฝั่งเดียวกับผมแล้วคอยดูคอยเช็คผ้าพันแผลให้

            “เจ็บเหรอ เดี๋ยวกลับที่พักไปกินยาแก้ปวด”

            “ผมขอโทษนะ”

            “ขอโทษทำไม”

            “ทำทริปกร่อยเลยอ่ะ”

            “มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดทั้งนั้นแหละ”

            ถอนหายใจออกมาเบาๆ

            บางทีก็เบื่อความซุ่มซ่ามของตัวเอง ถึงพี่กันจะพูดว่ามันเป็นอุบัติเหตุก็เถอะ

            ทางเข้ามาที่ไร่ค่อนข้างขรุขระพอสมควร แถมกว่าจะออกไปถึงคลินิกก็ต้องใช้เวลาเป็นหลายชั่วโมง การนั่งอยู่เฉยๆมันทำให้คอยพะวงเรื่องแผลที่เจ็บ ผมเลยหยิบหูฟังขึ้นมายัดใส่หูแล้วเปิดเพลงกล่อมตัวเอง

            หันไปมองคนตัวสูงที่นั่งอยู่ด้านข้าง เห็นพี่กันหลับตาเพื่อพักสายตาอยู่ เลยยื่นหูฟังอีกข้างให้กับเขา

            “ฟังมั้ย”

            พี่กันรับไปใส่หูตัวเองแต่โดยดี เพลงเบาๆสบายๆ เข้ากับบรรยากาศตอนกลางคืนแบบนี้มาก ผมสูดกลิ่นเขียวๆของต้นหญ้าเข้าปอด เพราะเส้นทางนี้ไม่ค่อยมีรถเข้าออก เลยไม่มีกลิ่นควันรถคอยกวนจมูก จะมีก็แต่กลิ่นน้ำหอมของคนข้างตัวนั่นแหละที่คอยกวนใจอยู่ตลอด

            เวลาได้อยู่ข้างๆเขาแบบนี้แล้ว

            มันรู้สึกหลายๆอย่าง ทั้งอบอุ่น ทั้งมีความสุข

            ผมไล่ดูเพลงในโทรศัพท์ เลือกเพลงภาษาญี่ปุ่นจากภาพยนตร์อีกเรื่องที่ผมชอบ แต่เป็นเวอร์ชั่นที่มีคนเอามาร้อง cover เอาไว้ ซึ่งผมชอบความนุ่มในเนื้อเสียงของคนร้องเอามากๆเลย

            Suki dayo tte kimi no kotoba Uso mitai ni ureshikute

            Marude chigatte mieru Itsumo miageru sora mo

            Gita wo oshiete kureru yubisaki

            Tsutawaru nukumori sono yokogao mo Tokubetsu ni kawaru


            “แปลให้ฟังหน่อย”

            น้ำเสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้น พร้อมกับท่อนฮุคของเพลงที่ดังขึ้นมาพอดี
           
            Kimi ga iru dake de Arifureta hibi mo

            “แค่มีเธออยู่ด้วย แม้มันจะเป็นวันที่ธรรมดา”

            Ippun Ichibyou Subete itoshikunaru

            “ไม่ว่าจะหนึ่งนาที หนึ่งวินาที ทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นความรัก”

            Ima kono shunkan Jikan ga tomaru nara

            “ในตอนนี้ ถ้าเวลามันหยุดลง”

            Dakishimete Gyutto Gyutto Hanasanaide

            “ช่วยกอดฉันไว้แน่นๆ อย่าปล่อยเด็ดขาดเลยนะ”

            ผมหันไปยิ้มให้กับเขา เพลงนี้เป็นหนึ่งเพลงที่ผมชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง พอได้รู้ความหมายของมัน ก็ยิ่งตกหลุมรักมันมากขึ้นไปอีก

            หวังว่าพี่กันจะชอบมัน

            เหมือนกับที่ผมชอบ

            พี่กันนั่งฟังเพลงไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงท่อนที่เพลงใกล้จะจบ

            Kimi to deau tame Umaretekitan da

            “ฉันเกิดมาเพื่อจะได้พบกับเธอ”

            Sekai de ichiban watashi Shiawase dayo

            “ฉันมีความสุขที่สุดในโลกเลย”

            Ashita taiyou ga Noboranai toshitemo

            “แม้ว่าพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้นก็ตาม”

            Afureru ai ni Tsutsumareteita kara

            “เพราะความรักมันปกคลุมอยู่ยังไงล่ะ”

            พอเพลงจบปุ๊บ มือของคนตัวสูงก็สัมผัสลงที่ท้ายทอยของผม ดึงเข้าไปใกล้ตัว

            มากไปกว่านั้น

            ริมฝีปากของเขาสัมผัสลงมาบนริมฝีปากของผม เบาบางและนุ่มนวลราวกับกลัวว่าผมจะแตกสลายหายไป

            ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่ทันได้เตรียมใจอะไรทั้งนั้น เหมือนกับเวลารอบๆตัวหยุดลงชั่วครู่ เหมือนกับลมหายใจของผมหยุดนิ่งไปแบบกระทันหัน

            เป็นเวลาค่อนข้างนานที่ริมฝีปากนุ่มๆของเขาสัมผัสลงมา ผมกลั้นหายใจจนแทบจะหมดลม พี่กันค่อยๆถอนริมฝีปากของตัวเองออกอย่างเชื่องช้า มือเกลี่ยปรอยผมของผมขึ้นไปทัดหู ฝ่ามือของเขาคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มผมไม่ยอมถอยห่าง

            “แม่ง” ลมหายใจอุ่นๆของเขาเป่ารดอยู่ที่ปลายจมูกของผม

            เราใกล้กันมากเกินไป

            และหัวใจผมคงจะเต้นดังมาก

            ดังกว่าเสียงจิ้งหรีดอีกล่ะมั้ง

            ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไป รู้แค่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่สามารถจ้องนัยน์ตาสวยๆของเขาได้นานกว่าปกติ มันเหมือนกับว่า เราสามารถคุยกันผ่านทางสายตาได้อย่างนั้นแหละ

            คนตัวสูงเป็นฝ่ายหันหน้าไปก่อนในคราวนี้ พี่กันกุมมือของผมเอาไว้แน่นแล้วมองตรงไปด้านหน้า ส่วนผมทำได้แค่เม้มริมฝีปากของตัวเองแล้วนั่งก้มหน้าอยู่เงียบๆ

            จูบแรกของผมกับเขา

            เหมือนจะขาดใจตายเลยจริงๆ

            “นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาญี่ปุ่นก็เก่ง” เขาโพล่งขึ้นมาขัดบรรยากาศกระอักกระอ่วนระหว่างเราสองคน ผมสะอึกแล้วน้อยแล้วหันไปตอบ

            “ไม่หรอก ผมกำลังเรียนอยู่ต่างหาก”

            “เก่งดิ นอกจากนั้น เรื่องทำตัวน่ารักเนี่ย เก่งเป็นที่หนึ่งเลยจริงๆ”

            พี่กัน…

            ไอ้พี่บ้า

            “หายตกใจหรือยัง ที่ล้มอ่ะ”

            “หายแล้ว”

            “แต่กูยังไม่หายเลย”

            หันไปมองหน้าเขา

            “เหรอ”

            “อือ ตอนนั้นคิดแต่ว่า อยากจะวาบไปรับมึงแทนคอนกรีตอ่ะ”

            ผมหัวเราะเบาๆ

            “ถ้าทำแบบนั้นพี่ก็เจ็บดิ”

            “ไม่เห็นจะสนเลย”

            “แต่ผมสนนะ”

            มือของผมบีบตอบฝ่ามืออบอุ่นของพี่กัน ถ้าผมเห็นเขาเจ็บ ผมคงทนไม่ได้ ตอนนั้นที่เขาเข้าโรงพยาบาล ผมยังแทบจะทนไม่ได้เลย

            “เพราะถ้าพี่เจ็บ ผมก็จะเจ็บมากกว่าพี่ไง”

            “ถ้าไม่หยุดพูดกูจะกินหัวมึงเข้าไปตอนนี้เลยอ่ะตัวนิ่ม”

            ไม่พูดแล้วก็ได้

            “แล้วตกลงเพลงเมื่อกี้คือเพลงอะไร” พี่กันถาม แต่ผมไม่ตอบ เขารอฟังคำตอบอยู่ พอเห็นว่าผมไม่พูดเขาเลยแยกเขี้ยวแล้วบีบหลังคอผม ผมรีบหดคอเป็นเต่า

            “ทำไมไม่พูด”

            “ก็พี่บอกว่าถ้าพูดจะกินหัว”

            “กูหมายถึงหยุดจีบกู ไม่ได้สั่งให้หยุดพูดไปเลย”

            ใครจะไปรู้ล่ะ เกิดพี่กินหัวผมขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง ไอ้คนใจบาป

            “กวนส้นตีนจริงๆ”

            แลบลิ้นใส่เขาก่อนจะเปิดมือถือโชว์ชื่อเพลงให้พี่กันดู

            “Aiokuri แปลว่าส่งความรัก มันเป็นเพลงประกอบละครญี่ปุ่นเรื่องนึงที่พระเอกย้อนเวลากลับไปหานางเอก คล้ายๆ About Time นั่นแหละ”

            “กูไม่เคยดู”

            “พี่เคยดูอะไรบ้างในชีวิตนี้นอกจาก…”

            “หนังโป๊”

            ไอ้บ้าพี่กัน!

            ผมตีแขนเขาแรงๆ พี่กันหัวเราะเหมือนมีความสุขที่ได้แกล้งผมจนหน้าเหวอ

            “ผมแค่คิดว่า คนสองคนจะเจอกันด้วยเหตุผลอะไร แล้วทำไมเรารู้สึกผูกพันกับเขา ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกัน มันเหมือนกับว่ารู้สึกคุ้นเคยอะไรแบบนั้น”

            ทั้งๆที่มันไม่มีเหตุผลเลยสักนิด แค่จ้องตาก็ดันตกหลุมรักเขาเนี่ย

            เขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ผมก็ดันชอบเขาแบบไม่มีเหตุผล ก็เลยคิดว่ามันคงมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมเราสองคนเข้าด้วยกัน ประมาณนั้นล่ะนะ

            “ชอบดูหนังรักจริงๆนะเราอ่ะ”

            อือ ผมชอบดูหนังรัก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งสวยงามนะ

            “ผมว่าผมจะเปลี่ยนมาดูหนังผีแล้วอ่ะ”

            “อือ ผีแรกเลยก็ ผีอยากขอกอดทม”

            “ห้ะ” ผีอยากขอกอดทมคืออะไร

            “ผมอยากขอกอดที”

            พี่กัน…

            “เป็นบ้าเหรอ”

 

            กว่าจะกลับถึงบ้านพัก พวกพี่ๆก็มาถึงกันก่อนแล้ว เห็นพี่หมอสี่นั่งหน้าซึมๆเอาขาจุ่มน้ำอยู่ริมสระ ผมเลยเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างทั้งๆที่ตอนแรกอยากจะขึ้นไปซุกตัวลงบนที่นอน

            “โอเคมั้ย” เขาถามขึ้น ผมพยักหน้าตอบ

            นอกจากพี่กันแล้ว มีอีกหนึ่งคนที่ผมเริ่มจะคุ้นชินกับเขามากเป็นพิเศษก็คือผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเต้าหู้ไข่คนนี้นี่แหละ ไม่รู้ทำไมการคุยกับพี่หมอสี่ถึงทำให้ผมรู้สึกสบายใจ

            อาจจะเป็นเพราะครอบครัวของเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันล่ะมั้ง

            แล้วเขาก็เหมือนจะเป็นพี่ชายที่ดีมากๆด้วย

            “ไอ้กันล่ะ”

            พี่หมอสี่ถาม ผมพะยักเพยิดหน้าไปยังรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน เห็นว่าคุยเรื่องสำคัญกับทางบ้านอยู่ ผมเลยเดินเข้ามาก่อน

            “พี่โอเคมั้ย ทำไมดูไม่ค่อยดี” คนด้านข้างสะดุ้งเล็กน้อยที่ได้ยินผมถามออกไปแบบนั้น ริมฝีปากฉีกยิ้มจางๆออกมาเหมือนมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ

            “ไม่มีไรหรอก”

            “จริงเหรอ”

            “อือ เฟลๆนิดนึง”

            “เฟลไรอ่ะ”

            “แล้วทำไมต้องไปอยากรู้อยากเห็นเรื่องของมันล่ะ” พี่กันแทรกขึ้นมา ผมหันไปทำหน้าบูดใส่เขา ถ้าผมอยากรู้อยากเห็นแล้วจะทำไมเล่าไอ้พี่บ้า

            “ก็ผมเป็นห่วงนี่”

            “ทะเลาะกับแฟนล่ะมั้ง ทำไม มันทำไรมึงอีก” คนตัวสูงนั่งลงด้านข้างผม กลายเป็นว่าตอนนี้พี่หมอสี่กับพี่กันนั่งประกบผมอยู่

            ผมไม่เข้าใจว่าพี่กันกับพี่หมอสี่กำลังคุยเรื่องอะไรกัน เลยได้แต่นั่งฟังเงียบๆ

            “ไม่มีไร”

            “หมอ กูไม่ชอบคนโกหก”

            “ก็เรื่องเดิมๆ”

            “ไอ้เรื่องเดิมๆเนี่ย คือมันทำไม” พี่หมอสี่เม้มริมฝีปากแน่น ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรกันมากกว่านี้ โทรศัพท์ของพี่หมอก็ดังขึ้นมา เหมือนจะเป็นไลน์คอล ภาพที่ปรากฎบนหน้าจอทำเอาผมขมวดคิ้ว

            เดี๋ยวนะ

            หน้าตาคุ้นๆแฮะ

            นั่นมันลุง…

            “มีอะไร” ผมยังไม่ทันจะได้พูด พี่หมอก็กดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป

            “แล้วเป็นบ้าอะไรต้องมาขึ้นเสียงใส่กู เป็นโรคเหรอ ถ้าเป็นโรคก็ไปหาหมอ”

            “กูไม่ใช่หมอ กูเป็นนักศึกษาแพทย์ที่กำลังเรียนอยู่ และยังต้องเรียนอีกหลายปี!!”

            ผมกับพี่กันมองหน้ากันแล้วกระพริบตาปริบๆ

            ในมโนภาพของผม พี่หมอสี่เป็นคนนุ่มนิ่มเรียบร้อยเหมือนเต้าหู้ไข่ แต่ตอนนี้ที่ผมเห็นอยู่ คือร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่เวลาโมโหดูไม่ต่างอะไรจากนักเลง

            พี่กันดีดนิ้วดังเป๊าะๆบอกว่าต้องการจะคุยกับทางปลายสาย พี่หมอสี่เลยส่งให้แบบว่าง่าย คนตัวสูงกรอกเสียงเย็นๆโมโนโทนลงไป

            “มึงทำอะไรเพื่อนกู กลับไปเดี๋ยวจะเจอดี”

            “อือ พูดไรหัดคิดบ้าง คนฟังมันเสียใจ ถ้าไม่ขอโทษมันดีๆกูตบบ้องหูอ่ะเอาจริง”

            หูย

            น่ากลัว

            พูดจบเขาก็คืนโทรศัพท์ให้พี่หมอพลางยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผม ความเถื่อนของพี่กันน่ะผมค่อนข้างจะชินแล้ว แต่พี่หมอเนี่ย ผมยังไม่ชินเลยจริงๆ

            “เออ แค่นี้ แค่นี้ก็แค่นี้ดิ!”

            ว่าที่คุณหมอวางสายไปเหลือทิ้งเพียงความโมโหที่ยังปรากฎอยู่บนหน้า ผมเงยหน้ามองพี่หมอสี่ พอเขาเห็นว่าผมมองอยู่เจ้าตัวเลยหันกลับมายิ้มหวานให้

            ไอ้หยา

            นี่มันหมาจิ้งจอกในคราบลูกแกะชัดๆ

            “จะว่าไป เมื่อกี้ลุงรหัสหรือเปล่าอ่ะ” ผมเอ่ยปากถามออกไป ทั้งพี่กันและพี่หมอสี่ต่างก็หันขวับมามองหน้ากัน

            “ลุงไหน”

            “มองผิดป่ะตัวนิ่ม”

            “ไม่ผิดนะ หน้าแบบนั้นมีลุงรหัสของผมคนเดียวนั่นแหละ” มองไม่ผิดหรอก ก็เมื่อกี้เขาโทรเข้ามาทางไลน์ เพราะเห็นสองคนปฏิเสธเสียงแข็ง เลยเปิดภาพโปรไฟล์ในไลน์ของลุงรหัสให้ดู

            ทั้งโทนสี รูป คือคนๆเดียวกับที่โทรหาพี่หมอสี่เลยครับ

            “พี่หมอคบกับลุงรหัสของผมเหรอ”

            “เอ่อ” พี่หมอสี่ถึงกับใบ้กินกระทันหัน เป็นพี่กันที่รีบลุกขึ้นยืนแล้วดึงผมกลับขึ้นไปบนห้องโดยไม่ยอมให้ผมได้ถามอะไรต่ออีก

            ถ้าพี่หมอสี่คบกับลุงรหัสผมจริงๆ จากที่พี่กันคุยกับลุงรหัสเมื่อกี้ สนิทชิดเชื้อถึงขั้นจะตบบ้องหูกันขนาดนั้น ก็แสดงว่า… พี่กันรู้จักกับลุงรหัส …

            อ่า

            นี่มันเรื่องอะไรกันนะ

            ผมงงไปหมดแล้ว

            “ทำไมพี่ถึงรู้จักกับลุงรหัสล่ะ”

            เซ้าซี้เขาตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง พี่กันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอน ผมรีบเดินตามเขาแล้วกระโดดไปนั่งอยู่ข้างๆพลางเขย่าตัวเขาแรงๆ

            “พี่กัน”

            “ตอบนะ”

            “ทำไมถึงรู้จักกับลุงล่ะ”

            “ไม่รู้ไม่ชี้ไม่สน ไม่คุยด้วย” เขาทำท่าปิดหูแล้วอุดหน้ากับหมอน ยิ่งทำให้ผมโมโหมากเข้าไปอีก

            “ถ้าพี่ไม่หันมาคุยดีๆ ผมจะจ้วงไส้บราวน์จริงๆนะ”

            “เฮ้ยเดี๋ยว!”

            พี่กันรีบกระเด้งตัวขึ้นมา เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ทำท่าจะจ้วงไส้หมีสุดรักสุดหวงของเขา เขาก็ทำท่าจะล้มตัวลงนอนใหม่ แต่ผมดึงแขนเขาเอาไว้

            ยังไงวันนี้ก็ต้องรู้ให้ได้

            “ตอบมา!”

            “โอเคๆ กูรู้จักกับลุงรหัสของมึงมาตั้งนานแล้ว”

            “ตั้งแต่เมื่อไร”

            “เป็นปี”

            “…” เป็นปีเลยเหรอ ผมกับพี่กันรู้จักกันยังไม่ถึงปีเลยนะ

            “มันเป็นน้องรหัสของพี่ชายกู จำได้มั้ย ที่บอกว่ามีพี่ชายหนึ่งคนแต่คนละแม่”

            ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่เราคุยกัน พยายามจับต้นชนปลายให้ได้

            น้องรหัสของพี่ชายของเขา ถ้างั้นแสดงว่า…

            “ปู่รหัสเป็นพี่ชายของพี่กันเหรอ”

            พี่กันพยักหน้าพลางส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มของเขาทำเอาใจผมกระตุกวูบ

            “พี่รู้จักผมมาก่อนหน้านั้นใช่มั้ย”

            “อือ รู้จักตั้งแต่มึงไปสอบที่คณะนั่นแหละ”

            ย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่ผมไปสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยคณะอักษรศาสตร์ มันคือเมื่อปีที่แล้ว และวันนั้นคนเยอะมากๆผมเลยไม่ได้สังเกตผู้คนรอบข้าง พอสอบเสร็จก็รีบกลับพร้อมกับเจ้าเพื่อนตัวแสบเลย

            ผมเจอพี่กันครั้งแรกตอนที่เข้ามหาลัยแล้ว แต่พี่กันบอกว่าเขารู้จักผมตั้งแต่ก่อนผมจะเข้ามหาวิทยาลัยอีกนี่มัน…

            “ทำไมหน้าแดง”

            รู้สึกดีใจสุดๆไปเลยครับ

            ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย

            สั่นไปหมดเลยเนี่ย

            ผมได้แต่ใช้ฝ่ามือปิดใบหน้าที่ร้อนผะผ่าวของตัวเองเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นเพราะปู่รหัสน่ะเหรอที่เป็นคนบอกพี่กันว่าวันๆหนึ่งผมไปที่ไหนบ้าง ไหนจะเรื่องตารางเรียนของผมที่จู่ๆเขาก็มี แล้วการที่เขาโผล่มาเจอผมในแต่ละที่ มันก็ไม่ใช่เรื่องบัญเอิญ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความตั้งใจของเขา

            อย่างนั้นน่ะเหรอ

            ผมไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้จริงๆ

            พี่กันน่ะ … จะน่ารักเกินไปแล้ว

            “กอด” ฝ่ามืออุ่นๆของพี่กันดึงแขนสองข้างของผมออก เขาดึงผมเข้าไปใกล้

            “โอเค กูยอมรับก็ได้”

            ยอมรับ? เขาจะยอมรับอะไร

            แค่นี้มันก็มากเกินพอสำหรับหัวใจของผมแล้ว

            “กูตกหลุมรักมึงตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เมื่อตอนมึงไปสอบเข้า ตอนนั้นแหละ”

            ใจผมเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก ความจริงที่ได้รับรู้มันยิ่งกว่าได้ยินว่าเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับผม แต่นี่มันมากเกินไป มากจนทำให้ผมแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ

            “พี่รักผมตั้งแต่ตอนนั้นเหรอ”

            “อือ แล้วหลังจากนั้นก็ตามหามึง”

            เขารักผม ก่อนที่ผมจะตกหลุมรักเขาอีก

            นี่ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า

            มันใช่เรื่องจริงมั้ย

            “ยิ่งพอรู้ว่าได้อยู่สายรหัสเดียวกับปู่รหัสของมึงแล้ว ยิ่งดีใจโคตรๆ”

            “ตอนนั้นคิดแต่ว่า ในที่สุด… กูก็ตามหามึงเจอแล้วนะ”

            “พอได้รู้ว่ามึงเองก็ชอบกู”

            “มันดีสุดๆไปเลยว่ะ”

            “รักนะครับ กอดของกัน”

            ริมฝีปากของพี่กันกดลงบนหลังมือของผมเบาๆค้างไว้แบบนั้น หัวใจที่สั่นราวกับจะตายให้ได้ทำให้ผมไม่กล้าที่จะลดฝ่ามือของตัวเองลงจากใบหน้า

            ผมเคยเชื่อเสมอว่าความบังเอิญมักจะเกิดขึ้นในสามครั้ง แต่พี่กันกลับเปลี่ยนความเชื่อเหล่านั้นไปแทบจะทั้งหมด ยิ่งพอได้ยินเรื่องนี้แล้ว ยิ่งทำให้ผมเชื่อว่า

            ความบังเอิญ มันเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว แต่หลังจากนั้น ล้วนเป็นความตั้งใจของใครคนใดคนหนึ่งเสมอๆ

            เสียงเพลงที่เพิ่งได้ฟังไปย้อนกลับเข้ามาในโสตประสาทผมอีกครั้ง พร้อมกับอ้อมแขนกว้างๆของพี่กันที่สวมกอดเอว            ของผมไว้หลวมๆ

            Kimi to deau tame Umaretekitan da

            ฉันเกิดมาเพื่อจะได้พบกับเธอ

            …

            Sekai de ichiban watashi Shiawase dayo

            ฉันมีความสุขที่สุดในโลกเลย

            ผมย้อนกลับไปคิดถึงวันแรกที่ได้เจอกับพี่กัน นัยน์ตาสีสวยของเขาที่จ้องมองมา มันเป็นเรื่องบังเอิญสำหรับผมที่ได้เจอกับเขาและตกหลุมรักเขา

            แต่สำหรับเขา ผมไม่รู้เลยว่าครั้งนั้น เป็นครั้งที่เท่าไรที่เราได้เจอกัน

            “เฮ้ยๆ หนังสือหล่นอ่ะ”

            “ขอบคุณครับ”

            หลังจากที่เราสองคนหันหลังเข้าหากันแล้ว ผมไม่เคยรับรู้เลยว่าประโยคต่อมาที่เขาพูดขึ้นท่ามกลางคนมากมายที่เดินสวนกันบนสถานีรถไฟฟ้า

            คือคำว่า

            “คิดถึงนะ รู้มั้ยวะ”




// พูดแบบนี้ก็เปลี่ยนชื่อเรื่องจาก Likeกัน เป็น Missกอด เลยไป เหม็นฟามรัก!
เพื่ออรรถรส เปิดเพลงหน้าบทความฟังไปด้วยจะดีมากกก
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_

ขอบคุณทุกๆคนที่รักและเอ็นดูกอดกันนะคะ สำหรับคนที่อยากอ่านพาร์ทของพี่กัน

จะบอกว่า ... coming soon เด้อ


หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Namwhankn ที่ 07-08-2017 18:50:29
คิดถึงพี่กันน้องกอดมากก อ่านตอนนร้แล้วหลงพี่กันมาก งืออ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 07-08-2017 18:50:55
ตัวนิ่มต้องละลายยวบแน่ๆ เขินมาก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 07-08-2017 18:51:41
พี่กันน่ารักกกกเจ้ามาดูทุกวันเลย :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 17 {10.07.60}
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 07-08-2017 19:15:43
 :-[อร๊ายน่ารักมากๆๆๆเขินแทน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-08-2017 19:32:14
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 07-08-2017 19:45:28
โอ๊ยๆๆๆๆ ชอบอะ เราสุขนิยม เราชอบเบาๆแบบนี้ โอ๊ยๆๆ
มีใครลง bts อนุสาวรีย์เพื่อลองซื้อชานมธัญพืชมากินแบบเราบ้าง ตามรอยไปอีกอะ ตอนซื้อก็ยืนมโน ฟิน 55555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 07-08-2017 21:22:58
พี่กันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ละลาย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-08-2017 21:29:07
โอ้ยยยยยย น่ารักไปอีก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 07-08-2017 21:34:29
ตอนแรกนี้..มีมาเป็นฮาๆ ซึนๆ..
ทำไมตอนนี้ มันหวานๆร่ะเทอ..  :katai5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 07-08-2017 21:47:58
ขอแถลงการณ์จากพี่กันด่วนนนน :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: sodaa ที่ 07-08-2017 22:03:28
มันดีต่อใจ :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-08-2017 22:09:21
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-08-2017 22:49:19
พี่กันน่ารักมากกกกกกก

ส่วนพี่หมอ โหดไม่เข้ากะหน้าตาเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-08-2017 23:03:20
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 08-08-2017 05:23:29
พี่กันร้ายเหมือนกันนะเนี่ย จีบเค้าแบบทำให้เค้าจีบตัวเอง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 08-08-2017 11:41:02
โอ๊ยยยย พี่กันน่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 08-08-2017 12:49:53
อั๊ย ตายแล้น โรแมนติกฝุดๆ เขินเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 08-08-2017 13:32:38
โอ๊ยยยยยยย มันหวานเรี่ยราดมากกกกก ทำร้ายจิตใจคนโสดเหลือเกินนนนนคุณขาาาาา

“รักนะครับ กอดของกัน”  โอยยยยย เกลียดดดดด อิจฉาาาาาค่ะคู๊ณณณณณ

ในความเป็นพี่กันของน้องกอดนั้น อะหืออออ มันทั้งเจ้าเล่ห์จอมหลอกล่อ จอมวางแผน จะไหวไหมหนูกอดของป้าาา???

รักเรื่องนี้นะคะ ทำสารบัญมาฝากเป็นกำลังใจให้คนเขียน คนที่เพิ่งมาอ่านจะได้ตามฟินไปด้วยกันง่ายๆค่าาา  :mew1:




◆_Likeกัน_◇

Introduction (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3614304#msg3614304)   Chapter 1 : สถานีปลายทาง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3615193#msg3615193)   Chapter 2 : จุดเริ่มจากความหิว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3621653#msg3621653)   Chapter 3 : บังเอิญที่คล้ายๆตั้งใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3625011#msg3625011)

Chapter 4 : สายฝนกับคนเหงา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3628775#msg3628775)   Chapter 5 : สุราเป็นตัวทำละเมอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3629946#msg3629946)   Chapter 6 : เจอหมีให้แกล้งตาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3632488#msg3632488)   Chapter 7 : ห่วงเธอเท่าห่วงยาง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3638826#msg3638826)

Chapter 8 : แฮปปี้คนเลี้ยงหมู (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3646448#msg3646448)   Chapter 9 : หมออยากติว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3648573#msg3648573)   Chapter 10 : สายตาโกหกไม่เป็น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3650896#msg3650896)   Chapter 11 : ซุ่มซ่ามเป็นเหตุ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3655718#msg3655718)

Chapter 12 : ใกล้กว่าที่คิด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3657786#msg3657786)   Chapter 13 : คุณแฟนคลับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3658259#msg3658259)   Chapter 14 : คิดถึงเหมือนกัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3660301#msg3660301)   Chapter 15 : บอดี้การ์ด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3663078#msg3663078)

Chapter 16 : ชานมธัญพืช (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3666718#msg3666718)   Chapter 17 : ความอบอุ่นที่ขาดไม่ได้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3669869#msg3669869)   Chapter 18 : เกิดมาเพื่อพบกัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3685218#msg3685218)
   

หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 08-08-2017 18:29:24
ดีต่อใจจริงๆค่ะ พี่กันเป็นพระเอกที่เราตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำอีก  :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 09-08-2017 15:49:06
กอดนี้น่ารักจริงๆ ไม่แปลกใจที่กันจะชอบมาตั้งนานแล้ว
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 09-08-2017 16:24:08
 :-[ :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 09-08-2017 22:01:17
อย่าเพิ่งรีบจบนะ
อยากอ่านอีกๆ สู้ๆ

กอดของกัน  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 10-08-2017 01:46:42
พี่กันชอบน้องกอดตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยเหรอเนี่ย ให้ความรู้สึกน่ารักๆ ละมุนๆ อ่านเรื่องนี้จะยิ้มน้อยๆ ได้ตลอดการอ่านเลยค่ะ น่ารัก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 12-08-2017 09:17:35
โอ๊ยยยยยยย มันหวานเรี่ยราดมากกกกก ทำร้ายจิตใจคนโสดเหลือเกินนนนนคุณขาาาาา

“รักนะครับ กอดของกัน”  โอยยยยย เกลียดดดดด อิจฉาาาาาค่ะคู๊ณณณณณ

ในความเป็นพี่กันของน้องกอดนั้น อะหืออออ มันทั้งเจ้าเล่ห์จอมหลอกล่อ จอมวางแผน จะไหวไหมหนูกอดของป้าาา???

รักเรื่องนี้นะคะ ทำสารบัญมาฝากเป็นกำลังใจให้คนเขียน คนที่เพิ่งมาอ่านจะได้ตามฟินไปด้วยกันง่ายๆค่าาา  :mew1:




◆_Likeกัน_◇

Introduction (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3614304#msg3614304)   Chapter 1 : สถานีปลายทาง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3615193#msg3615193)   Chapter 2 : จุดเริ่มจากความหิว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3621653#msg3621653)   Chapter 3 : บังเอิญที่คล้ายๆตั้งใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3625011#msg3625011)

Chapter 4 : สายฝนกับคนเหงา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3628775#msg3628775)   Chapter 5 : สุราเป็นตัวทำละเมอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3629946#msg3629946)   Chapter 6 : เจอหมีให้แกล้งตาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3632488#msg3632488)   Chapter 7 : ห่วงเธอเท่าห่วงยาง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3638826#msg3638826)

Chapter 8 : แฮปปี้คนเลี้ยงหมู (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3646448#msg3646448)   Chapter 9 : หมออยากติว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3648573#msg3648573)   Chapter 10 : สายตาโกหกไม่เป็น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3650896#msg3650896)   Chapter 11 : ซุ่มซ่ามเป็นเหตุ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3655718#msg3655718)

Chapter 12 : ใกล้กว่าที่คิด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3657786#msg3657786)   Chapter 13 : คุณแฟนคลับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3658259#msg3658259)   Chapter 14 : คิดถึงเหมือนกัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3660301#msg3660301)   Chapter 15 : บอดี้การ์ด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3663078#msg3663078)

Chapter 16 : ชานมธัญพืช (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3666718#msg3666718)   Chapter 17 : ความอบอุ่นที่ขาดไม่ได้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3669869#msg3669869)   Chapter 18 : เกิดมาเพื่อพบกัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59341.msg3685218#msg3685218)
   

โอ้ยยยยยยยยยรักอะฮืออออออออ เพราะถ้ารอนี่ทำคงรออีกนานอะ
ขอบคุณมากๆเลยนะงับ น่ารักที่สุดเลย เอาไปสิบดาว รักกกกกเด้อ /แอดพี

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 12-08-2017 16:34:10
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 18 {07.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 12-08-2017 23:08:04
เขินนนนนน มากกกกกก ชอบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 17-08-2017 17:39:20
Chapter 19
พลังงานบวก

 

            ฝ่ามือของช่างทำผมขยำเส้นผมของผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาเมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นที่พึงพอใจ เพราะคิดว่าผมตัวเองค่อนข้างจะยาวจนทิ่มหูทิ่มตาแล้ว พอกลับจากเขาใหญ่เกือบอาทิตย์ ผมก็ตัดสินใจมาตัดผมพร้อมทำสีผมใหม่

            จะว่าไป สีผมใหม่นี่มันดูจะสว่างตาเกินไปมั้ยนะ ไม่หรอกมั้ง

            ผมเช็คตัวเองในกระจกหลังจากจ่ายเงินค่าตัดผมและย้อมสีผมเสร็จสรรพ จากที่ผมเป็นสีดำสนิท ผมย้อมเป็นสีน้ำตาลเข้มเพราะอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง

            เหมือนย้อมผมสีนี้แล้วหน้าดูสว่างขึ้นแฮะ

            วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และอาทิตย์หน้าก็จะเริ่มสัปดาห์แห่งการสอบมิดเทอม ตอนเย็นพี่กันมีแข่งบอลนัดใหญ่ ผมก็เลยตั้งใจว่าจะไปเชียร์เขา

            แต่ก่อนจะไปเชียร์เขา

            ก็ต้องไปติวหนังสือกับสายรหัสก่อนล่ะนะ

            ผมมาหยุดอยู่ที่ห้องสมุดสาธารณะที่ประจำ พอเข้ามาก็เห็นกลุ่มใหญ่ๆของสายรหัสได้อย่างชัดเจน ที่แปลกตาไปก็คือ วันนี้ปู่รหัสมาร่วมแจมในการติวหนังสือด้วย

            “ดีครับ”

            ยกมือไหว้พี่ๆเมื่อไปถึงโต๊ะ ทั้งพี่รหัส ลุงรหัส และปู่รหัสเงยหน้ามองผมแล้วทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะว่าทรงผมที่เปลี่ยนไปล่ะมั้ง

            พอผมทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามกับลุงรหัส  เขาก็ส่งคำถามมาทันที

            “ไปตัดผมมาเหรอวะ”

            “อือฮึ”

            “พอตัดทรงนี้แล้ว ยัยหนูเหมือนตัวอะไรสักอย่าง” พี่รหัสละสายตาจากชีทตรงหน้าเปลี่ยนมาพิจารณาทรงผมของผมแทน สายตาของสายรหัสสามคนที่มองมาไม่เลิกทำให้เริ่มจะทำตัวไม่ค่อยถูก

            ตัวไรอ่ะ ยังจะเป็นตัวอะไรได้อีก

            “มันแปลกเหรอ”

            หันไปขอความเห็นจากปู่รหัสที่นั่งอยู่ด้านข้าง ปู่รหัสส่ายหน้าเบาๆ

            “ไม่แปลก”

            “อือใช่ ไม่แปลก แต่ทรงนี้แม่งเข้าสุดๆ” ลุงรหัสว่า

            ถ้ามันเข้าสุดๆ แล้วทำไมต้องมองกันเหมือนตัวประหลาดแบบนั้นด้วยล่ะ

            “ดูนุ่มนิ่มกว่าเดิมอ่ะ”

            “เนี่ย เหมือนเลย” พี่รหัสยกจอโทรศัพท์ขึ้นมาเทียบกับใบหน้าของผม บนหน้าจอมีรูปกระต่ายตัวอ้วนกลมขนสีน้ำตาล

            “เหมือนเหรอ” ยกมือขึ้นสัมผัสกลุ่มผมของตัวเองเล็กน้อย ลุงรหัสถึงกับปิดปากหัวเราะ

            “เชี่ย โคตรเหมือน!”

            ทั้งพี่รหัสและลุงรหัสต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันสนุก มีปู่รหัสคนเดียวนั่นแหละที่ยังนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาเล็กๆ   

            “ปู่เป็นพี่ชายของพี่กันเหรอ” พอทักถามออกไปแบบนั้น คนเรียบร้อยข้างๆถึงกับสะดุ้งแล้วเงยหน้าสบตากับลุงรหัส

            “รู้แล้วเหรอ”

            “อือ ก็ตอนไปเขาใหญ่ ลุงโทรหาพี่หมอพอดี ก็เลยรู้ว่าลุงเป็นแฟนกับพี่หมอ ส่วนปู่เป็นพี่ชายของพี่กัน”

            ผมร่ายยาวออกไป คนที่ดูตกใจที่สุดก็คงจะเป็นพี่รหัสที่กำลังนั่งเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ ผู้หญิงคนเดียวภายในกลุ่มหันมาถลึงตาใส่ผม

            “หมอไหนน้องกอด!”

            “หมอสี่”

            “ห้ะ!!! ลุงมึง! ไหนบอกเพื่อนไง ไอ้แก่นี่!”

            “เดี๋ยวๆ ใจเย๊นนนน”

            “แล้วเป็นไง รู้แล้วยังโอเคอยู่มั้ย” ปู่รหัสถามออกมา น้ำเสียงนิ่งๆโมโนโทน แต่กลับทุ้มนุ่มหู ที่ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นพี่น้องกัน ก็คงจะเป็นเพราะหน้าตาของปู่รหัสและพี่กันต่างกันอย่างสิ้นเชิง พี่กันบอกว่าปู่รหัสของผมเป็นพี่ชายต่างแม่ ดังนั้นบุคลิกของทั้งสองคนเลยแตกต่างกัน

            ถ้าเปรียบเทียบล่ะก็

            พี่กันคงเป็นพวกเดวิล ส่วนปู่รหัสก็เป็นเทวดา อะไรแบบนั้นแหละ ที่เดวิลนี่ไม่ใช่ว่าผมจะว่าว่าพี่กันเลวหรอกนะ แต่จะพูดยังไงดี … เขาเป็นประเภทแบดบอยชิคๆคูลๆอะไรประมาณนั้น

            ถามว่าตอนแรกตกใจมั้ยที่ได้ยินพี่กันพูดว่าปู่รหัสเป็นพี่ชายของเขา ยอมรับเลยว่าได้ยินครั้งแรกก็ตกใจ ปนแปลกใจมากๆด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกดีใจ

            เหมือนที่ผ่านมาเคยรู้สึกว่าอยู่ห่างไกลกับเขามาตลอด แต่พอรู้เรื่องนี้เข้า พี่กันอยู่ใกล้แค่เอื้อมเอง

            “แล้วไอ้กันบอกหรือยังว่าชอบเรามานานแล้ว”

            พยักหน้าตอบคำถามกับปู่รหัส ฝ่ามือของปู่สัมผัสลงเบาๆบนศีรษะของผม

            “ขอโทษนะ ที่ไม่ได้บอกก่อน”

            “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย”

            “อย่างนั้นเหรอ”

            “อือ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ”

            “ทำไมต้องขอบคุณพี่ล่ะ”

            “ก็ถ้าไม่มีปู่ พี่กันก็คงไม่ได้มาเจอกับผม จริงป่ะ”

            ปู่รหัสฉีกยิ้มกว้างออกมา

            ถ้าไม่มีปู่รหัส ผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะเป็นแบบไหน

            บางที ใครคนหนึ่งอาจจะสามารถกำหนดเรื่องราวในชีวิตของใครอีกคนหนึ่งได้ ถ้าไม่มีปู่รหัส พี่กันก็คงไม่รู้ว่าวันๆหนึ่งผมจะไปอยู่ที่ไหน วันๆหนึ่งผมจะทำอะไร

            ดังนั้นผมเอง ก็ต้องขอบคุณปู่รหัสมากๆล่ะนะ

            ขอบคุณที่ทำให้ความตั้งใจของพี่กันเป็นจริง

           

            หลังจากติวเสร็จผมก็รีบตรงไปยังสนามบอลที่มหาลัยของพี่กัน รถไฟฟ้าช่วงเย็นๆคนยังแน่นเหมือนเคย ผมมองผ่านกระจกออกไปมองวิวด้านนอก ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆแล้ว

            ช่วงนี้อากาศประเทศไทยไม่ค่อยดีเท่าไร เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าวันนี้แดดจะออกไปทั้งวัน หรือช่วงเย็นๆจะมีฝนตกหรือเปล่า ที่ทำได้ก็ทำเพียงแค่พกร่มเผื่อเอาไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา บวกกับเสื้อแขนยาวที่สามารถช่วยปกคลุมผิวจากแสงแดดอันแรงกล้าในแต่ละวัน

            ผมก้าวขาลงจากรถไฟฟ้าเมื่อถึงสถานีที่ช่วงนี้มาเหยียบบ่อยๆ จากที่แทบจะไม่เคยโผล่มาเส้นทางนี้ เส้นทางรถไฟฟ้าสายนี้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว

            ไม่ลืมที่จะแวะซื้อชานมธัญพืชเผื่อคนที่เตะบอลเหนื่อยๆ ผมทะนุถนอมแก้วชานมสองแก้วเป็นอย่างดีระหว่างที่กำลังเดินตรงออกไปยังบันไดทางลงสถานี

            และแล้วสิ่งที่กลัวมาตลอดก็เกิดขึ้น

            “กอด”

            น้ำเสียงทุ้มๆของผู้ชายที่ผมไม่อยากจะเจอดังขึ้นด้านหน้า เรายืนห่างกันไม่ไกล แต่ผมกลับสั่นไปทั้งตัว

            ผู้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อเชิ้ตปล่อยชายหลุดลุ่ยออกมาจากกางเกงบ่งบอกว่าเขาเสร็จงานและกำลังจะตรงกลับบ้าน หากแต่ดันมาบังเอิญเจอผม ที่กำลังจะลงจากสถานี

            “พ่อ…”

            เส้นทางสายนี้นอกจากพี่กันแล้ว ยังเป็นเส้นทางที่พ่อของผมใช้เดินทางเป็นประจำเวลาทำงาน เพราะนิสัยของเขาเป็นคนที่ชอบเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ดังนั้นสิ่งที่ผมกลัว ก็คือการบังเอิญมาพบเจอกับเขา

            ขาของผมแข็งทื่อขยับไปไหนไม่ได้ ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้นับถือเขาเป็นพ่ออีกแล้ว แต่ความกลัวที่มีต่อเขามากมายตั้งแต่สมัยก่อนนั้นไม่เคยลดลงไปเลย

            ผมยังจำทุกคำพูด น้ำเสียง และอารมณ์ร้อนๆของเขาที่ทำให้แม่ผมต้องร้องไห้ ทำให้ผมต้องกลายเป็นคนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เพราะไม่มีโอกาสได้ออกไปเที่ยวข้างนอกเหมือนเด็กคนอื่นๆ

            “เรื่องจริงหรือเปล่าที่ลูกมีแฟนเป็นผู้ชาย”

            คำถามคำแรกที่ออกมาจากปากเขาหลังจากเข้าประชิดตัวผมมันบาดลึกเข้าไปในหัวใจ

            “ครับ”

            “คิดบ้าอะไรของลูกเนี่ย แม่ให้ท้ายมากเกินไปจนใจแตกหมดแล้วเหรอ”

            ผมกำหมัดแน่น ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันแน่น

            เพราะคุณเป็นแบบนี้ไง ไม่ว่ายังไงคำดูถูกก็มักจะออกมาจากปากของคุณเสมอๆ ไม่เคยมีใครทำให้คุณพอใจได้ แม้กระทั่งแม่ของผมคุณยังไม่เคยรู้สึกพอเลย

            “อย่างน้อยแม่ก็เลี้ยงผมมา”

            “เลิกคบกับมันซะ ไม่ว่าจะใครก็ตาม พ่อไม่อยากเห็นลูกเป็นพวกผิดเพศ ถ้าป่วยก็ไปหาจิตแพทย์ซะ พ่อแนะนำให้ได้นะ”

            เขาทำท่าจะคว้ามือของผม แต่ผมรีบกระถดถอยหลัง

            “กอด อย่าทำแบบนี้ เป็นคนปกติมันไม่ดีหรือไง ทำไมต้องทำตัวผิดปกติล่ะ”

            ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ชานมธัญพืชในมือถูกดึงออกมาจากถุง ผมใช้หลอดเจาะมันจนฝาขาดออกจากกันแล้วสาดใส่ใบหน้าของเขาไปเต็มๆ ผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนสถานีรถไฟฟ้าต่างหยุดยืนมองด้วยความตกใจ แต่ ณ เวลานั้นความโมโหของผมมันพุ่งทะยานถึงขีดสุด

            ทั้งป้า ทั้งพ่อ ญาติๆทุกคนฝ่ายนั้นไม่เคยยอมรับอะไรสักอย่าง

            คำก็ผิดเพศ สองคำก็ผิดเพศ เดี๋ยวก็ผิดปกติบ้างล่ะ

            คนที่คิดแบบนี้เขามีความเป็นมนุษย์อยู่ในตัวเองหรือเปล่านะ

            พ่อกำลังจะอ้าปากด่าผม แต่ผมรีบขัดขึ้นก่อน

            “คำก็ผิดเพศสองคำก็ผิดเพศ คนที่ป่วยน่ะไม่ใช่ผมแต่เป็นพ่อมากกว่า พ่อถามตัวเองก่อนดีมั้ยว่าเคยทำหน้าที่พ่อบ้างหรือเปล่าถึงได้มีหน้ามาสั่งสอนผมแบบนี้”

            “ไอ้ลูกเวรนี่!”

            “แม่ที่เลี้ยงผมมาทั้งชีวิตยังไม่เคยดูถูกผมเลย แล้วคุณเป็นใคร ถึงมาเหยียดมาดูถูกกันแบบนี้”

            ผมผลักเขาออกไปไกลตัวแล้วเดินหนีออกไป ตั้งใจจะมุ่งหน้าไปที่มหาลัยของพี่กันแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องทรุดตัวนั่งลงข้างบันไดเลื่อนพลางร้องไห้ออกมาเป็นวรรคเป็นเวร

            นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมแม่ถึงย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าเจอพ่อหรือพ่อโทรมาให้รีบบอกแม่ เพราะผมไม่สามารถต่อต้านผู้ชายคนนั้นได้ ลึกๆผมกลัว ลึกๆผมไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา

            อาจจะเป็นเพราะว่า ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าเขาเป็นพ่อ

            เขาคือคนแปลกหน้าสำหรับผม

            ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะหยุดน้ำตาของตัวเองได้ รู้ตัวอีกทีก็สายไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมรีบดิ่งตรงไปยังมหาลัยของพี่กัน ภายในสนามบอลนักกีฬายังคงเตะบอลกันอยู่

            ขอบคุณที่ผมมาทัน

            เห็นว่าวันนี้เป็นการแข่งนัดใหญ่ เป็นนัดสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ช่วงของการสอบ ดังนั้นรอบๆสนามคนเลยมากเป็นพิเศษ ผมเลือกที่นั่งที่ไกลจากตัวสนามพอสมควร เป็นฟุตบาทข้างๆสนามที่ไร้ผู้คน ก้มลงมองภายในมือของตัวเอง ชานมธัญพืชที่ซื้อมาสองแก้ว ตอนนี้เหลือเพียงแก้วเดียว

            มองตรงไปยังสนามบอล พี่กันตัวมอมแมมเหมือนอย่างเคย ไม่ว่าจะเล่นบอลทีไร เขาจะมอมแมมเหมือนลูกหมาตกขี้โคลนทุกครั้ง

            วันนี้เขาดูหล่อมากๆเลย

“เลิกคบกับมันซะ ไม่ว่าจะใครก็ตาม พ่อไม่อยากเห็นลูกเป็นพวกผิดเพศ”

            อ่า มันย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกแล้ว

            ผมพยายามสะบัดไล่คำพูดเหล่านั้นออกจากหัว ไม่อยากให้มันมารบกวนจิตใจของตัวเองที่ช่วงนี้เต็มไปด้วยพลังงานด้านบวก แต่มันยากซะเหลือเกินในการเมินเฉยคำพูดเหล่านั้น

            มือควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าพลางกดไลน์หาแม่

            *กอดเจอพ่อนะ

            *กอดไม่โอเคเลยแม่

            ไม่นานนักแม่ก็รีบโทรกลับมาหา น้ำเสียงของแม่ได้ยินเพียงแค่คำเดียวผมก็สะอื้นออกมา

            (พ่อเขาว่าอะไร ไม่เอาไม่ร้อง)

            “ผมไม่ชอบให้เขาพูดแบบนั้น ผมไม่ชอบให้เขามาดูถูก”

            (อย่าไปฟังเขา เข้าใจมั้ยลูก)

            “เขาบอกว่าผมผิดเพศ บอกว่าผมป่วย แล้วยังพูดอีกว่าที่กอดผิดปกติ มันผิดเหรอแม่ที่กอดชอบผู้ชาย”

            (มันไม่ผิด คนที่ดูถูกคนต่างหากล่ะผิด กอดไม่ต้องไปใส่ใจคำพูดของมัน ผู้ชายคนนั้นมันไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว ลูกแม่ต้องเข้มแข็งนะครับ)

            “ผมพยายามเข้มแข็ง แต่ผมไม่เข้าใจทำไมเขาถึง…” 

            (กอดฟังแม่นะ ไม่ว่าเราจะรักใคร ไม่ว่าเขาจะเป็นเพศอะไร ความรักมันเป็นเรื่องดีเสมอ เรากำหนดมันไม่ได้หรอกลูก คนเขาไม่ยอมรับ เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ คำพูดมันก็เหมือนยาพิษ เราต้องไม่เอามันเข้ามาทำให้ใจเราเป็นพิษ เข้าใจมั้ยครับ)

            (หลังจากวันนี้แม่จะพาหนูไปเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ พอกันทีกับเขา ไม่ว่าเขาจะขอร้องให้ไปเจอขนาดไหน เราไม่ต้องไป ไม่ว่าจะใช้ข้ออ้างแบบไหน จะไม่มีใครทำร้ายลูกได้อีกแล้ว)

            แม่ปลอบผมอยู่นานพอสมควรแต่ก็ไม่สามารถทำให้ผมหยุดร้องไห้ได้

            คำพูดดูถูกของเขาทำให้จิตใจของผมดิ่งจนติดลบ ทั้งๆที่วันนี้ตั้งใจมาดูใครอีกคนเตะบอล แต่สิ่งที่ผมทำกลับนั่งร้องไห้กับโทรศัพท์เหมือนคนบ้า

            จู่ๆสัมผัสเบาๆบนศีรษะทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง คนตัวสูงที่นั่งยองๆอยู่ด้านหน้า ใบหน้าเจ็บปวดนั่นถูกส่งผ่านมาให้ พี่กันดึงโทรศัพท์ออกจากมือของผมไปแล้วกรอกเสียงลงไปยังปลายสาย

            “กันครับ”

            ฝ่ามืออบอุ่นของพี่กันจับมือของผมเอาไว้แน่นแล้วลูบมันเบาๆ เขานั่งฟังสิ่งที่แม่ผมพูด ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย เหมือนเดินออกมาจากสนามแล้วตรงดิ่งมาทางนี้

            “ครับแม่”

            “ครับ เดี๋ยวผมดูน้องให้ แม่ไม่ต้องห่วงครับ ครับแม่ สวัสดีครับ”

            ไม่นานเขาก็วางสายแล้วเก็บโทรศัพท์กลับลงไปในกระเป๋าผ้าของผม นิ้วเรียวๆปาดน้ำตาบนใบหน้าของผมออกไป ยิ่งเห็นพี่กันทำแบบนี้แล้ว ผมก็ยิ่งโมโหผู้ชายคนนั้น

            เขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ผมเลิกกับคนที่ผมรัก

            เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าความรักแบบนี้มันคือสิ่งผิดปกติ

            เลวร้ายมากเกินไปแล้ว

            เลวร้ายจริงๆ

            “โอเคมั้ย” น้ำเสียงทุ้มๆเอ่ยถาม ผมก้มหน้าแล้วส่ายหน้าเบาๆเพื่อเป็นการตอบว่า

            ตอนนี้ยังไม่โอเคนะ

            “ไหนเงยหน้ามา”

            “กอด”

            “กอดเงยหน้ามาหาพี่หน่อย”

            พอพูดแบบนั้นผมเลยเงยหน้าขึ้นไปมองเขาทั้งๆที่ม่านน้ำตายังปกคลุมอยู่เป็นชั้น เขาใช้ชายเสื้อของตัวเองเช็ดน้ำตาบนใบหน้าผมเบาๆ แต่ยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหลออกมา

            “บอกแล้วไง ว่าอย่าไปใส่ใจคำพูด”

            “คนมันจะพูดมันก็สักแต่ปากพูด สมองมันไม่คิดหรอกว่าจะทำใครเสียใจ”

            “วันหลังไม่ต้องแคร์คำพูดใครทั้งนั้น แคร์คำพูดแม่กับคำพูดของกูพอ ผู้ชายสองคนรักกันมันไม่ใช่เรื่องผิด มันเป็นเรื่องปกติ พบเจอได้ตามหน้าปากซอย”

            พี่กัน… ซีเรียสนะ

            “คนจะเหยียดมันก็สักแต่จะเหยียดนั่นแหละ แล้วกูจะพูดซ้ำๆย้ำๆอยู่แบบนี้ว่า ผู้ชายสองคน ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มันไม่มีตัวกำหนดหรอกว่าเพศไหนต้องรักกับเพศไหน ขอแค่เราใช้ความรักให้ถูกต้อง แค่นั้นก็พอแล้ว”

            พยักหน้าตอบเขารัวๆ

            “หล่อเลยกู”

            “พี่กัน!”

            “ชู่ว ไม่เอาไม่ร้องแล้ว ตาบวมหน้าแดงไปหมดแล้วเนี่ย”

            พี่กันเป่าลมเบาๆบนตาทั้งสองข้างของผม พอเห็นเขาทำแบบนั้นก็ดันหลุดหัวเราะออกมาทั้งๆที่กำลังร้องไห้อยู่นั่นแหละ

            “ฮือ พี่เป่าแบบนั้นมันจะช่วยอะไรได้อ่ะ ฮึก”

            “จะขำหรือจะร้องไห้เลือกซักอย่าง”

            เขาบีบแก้มผมจนปากจู๋ ก็มันตลกนี่นา ยิ่งเห็นท่าทีของเขาที่เป็นห่วงผมจนใจแทบขาดแบบนั้นแล้ว มันยิ่งทั้งดีใจ มีความสุข ปะปนกันไปหมดเลย

            “ถ้าไม่หยุดร้องจะจูบจริงๆนะ” เขาโพล่งออกมา ผมสะอื้นไม่หยุด

            ของแบบนี้มันหยุดกันง่ายๆที่ไหนเล่า

            “หนึ่ง สอง สาม”

            ‘จุ๊บ’

            ใจเต้นรัวขึ้นมาทันที

            ริมฝีปากของเขาสัมผัสลงมาเบาๆบนริมฝีปากของผม ยิ่งเห็นแบบนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก จากที่เป็นความเสียใจ มันค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเพราะพลังงานด้านบวกจากพี่กันที่คอยเผื่อแผ่มายังผมเสมอๆ

            คำพูดของเขาเหมือนกับเชื้อเพลิงดีๆนั่นแหละ ถึงแม้ว่าคำพูดของผู้ชายคนนั้นจะทำร้ายผมจนสาหัส แต่พี่กันกลับใช้ความสามารถของเขาเยียวยาผม

            เขาเป็นหมอทางหัวใจแน่ๆ

           “ยังไม่หยุด เอาอีกทีมะ”

            “ไม่เอาแล้ว!” อายคนอื่นเขา ถึงตรงนี้จะไม่มีคนก็เถอะ

            คนตัวสูงหัวเราะชอบใจ จนกระทั่งเห็นว่าน้ำตาของผมเริ่มจะหยุดไหล เขาถึงได้นั่งมองหน้าผมนิ่งๆ

            “ที่ไม่ยอมหยุดนี่อยากให้กูจูบสินะ”

            “ไม่ใช่”

            “เหรอ หึ”

            เสียงหัวเราะเบาๆหลุดออกมาจากลำคอของเขา พี่กันยิ้มมุมปากส่งมาให้ เท่านั้นไม่พอ เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองหนึ่งครั้ง ทำให้ผมหน้าร้อนจนถึงหู

            พลังทำลายล้างสูงของเขา

            อย่างกับระเบิดนิวเคลียร์!

            “เมื่อกี้ร้องไห้ ตอนนี้เขินหน้าไหม้ละ”

            “ใครเขิน”

            “ตัวนี้ไง เดี๋ยวกูไปซื้อไข่มาทอดบนหน้าผากนี่ก่อน”

            ไอ้พี่กัน!

            ฝ่ามือหนักๆของเขาผลักหัวผมเบาๆแล้วดึงให้ผมลุกขึ้นยืนตามเขา ก็จะไม่ให้เขินได้ยังไงล่ะ ภาพเมื่อกี้มันยังติดตาผมอยู่เลย

            ทำไมต้องเลียปาก ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ

            นิ้วเรียวๆของพี่กันสัมผัสปรอยผมของผมเล็กน้อย

            “ตัดผมมาเหรอ ทำสีด้วย”

            เขาสังเกตเห็นด้วยสินะ

            “อือ”

            “ผมเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

            “แล้วอันนี้ไม่ดีเหรอ”

            “ไม่ดี”

            อ้าว สรุปมันไม่ดีจริงๆเหรอ

            “ไม่ดีต่อใจกูเลย”





// พี่กันเลียปากก็ไม่ดีต่อใจเราเหมือนกันนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-08-2017 17:49:11
ดีต่อใจอะไรเบอร์นี้อ่าพี่กัน  ดีดดิ้น
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 17-08-2017 18:36:49
หลงรักพี่กัน~ พี่กันคนแมน :man1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 17-08-2017 18:55:47
เหยย อิพี่กันก็มีสาระนะเนี่ยย 55555 :hao3:
นี่ก็แอบฉวยโอกาสกับน้องตลอดอ่ะ โอ๋ๆ น้องกอดด ไม่ร้องนะคะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 17-08-2017 19:21:04
รักกอดกัน^^
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 17-08-2017 20:31:24
โอ๋เอ๋น้า น้องกอด ไม่ร้อง ๆ  :กอด1:
คุณแม่น่ารักมาก ๆ พี่กันอบอุ่นที่สุด  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-08-2017 20:33:31
โชคดีที่มีกัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 17-08-2017 20:39:13
อีพี่กันน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-08-2017 20:51:54
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 17-08-2017 21:45:19
แบบพี่กัน
ขึ้นBts ก็เจอเลยใช่ไหม
อยากได้
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 17-08-2017 21:51:07
 :-[ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-08-2017 21:52:40
แล้วทำไมคนอย่างพี่กันถึงไม่ได้หาง่ายตามปากซอยเหมือนกันล่ะ

อยากได้ ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 17-08-2017 22:24:38
ชอบพี่กันแบบเวอร์มากๆตอนนี้ ทำให้ตกหลุมรักได้ทุกตอนจริงๆผู้ชายคนนี้  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 17-08-2017 23:09:55
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-08-2017 23:56:31
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-08-2017 00:59:12
พี่กันนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 18-08-2017 01:41:06
พี่กันน่ารักกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 18-08-2017 09:37:01
ดราม่าอยู่.. ก็โดนพี่กัน ดึงไปละมุน .. ซะงั้น
โอ้ยยย.. มันน่ารักวุ้ยยย...   :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 18-08-2017 21:37:41
เลียปากตาม กอดสู้ๆนะ ปล่อยพ่อไป พ่อเขาไม่เข้าใจเราก็ช่างเถอะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 19-08-2017 11:25:48
กอดน่ารัก พี่กันนี่ปกป้องน้องหล่อเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 19-08-2017 15:00:47
โอ๊ยยยยยย ตายยยยยย ตายค่ะตายยยย
หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ หัวใจทำงานหนักมาก
ตอนนี้ก็ติดไปซะเเล้วด้วย
ว่าแล้วมันต้องไม่ใช่ความบังเอิญที่พี่กันกะน้องกอดได้เจอกันแต่
มันเป็นความตั้งใจล้วนๆของพี่กันต่างหาก
โอ๊ยยย กรี๊ดดดดอิจจจ ใจบางมากค่า :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 19-08-2017 17:28:18
กอดลูก ไอ้สาดน้ำใส่นี่ไม่ดีเลย เดี๋ยวเขาก็ด่าลามแม่ได้หรอก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 19-08-2017 21:58:23
นี่เราไปอยู่ไหนมาาาาาาาาาาาาา

ถ้าเรื่องนี้จะดีต่อใจขนาดนี้ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 19 {17.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 20-08-2017 23:32:30
พาน้องกลับให้ถึงบ้านนะพี่กัน  :mew2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 22-08-2017 17:55:46
Chapter 20
เงาในกระจก

 

          ไฟในห้องสี่เหลี่ยมถูกเปิดขึ้น นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมมาเหยียบหอของพี่กัน

            หลังจากออกจากมหาลัยของเขา เราก็แวะหาอะไรกินแล้วตรงกลับหอ คนตัวสูงทิ้งของไว้บนเตียงก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็ทิ้งตัวนั่งแบบเจี๋ยมเจี้ยมบนพื้นพรมข้างเตียง

            ตุ๊กตาหมีบราวน์กับตุ๊กตาโคนี่ถูกวางอยู่คู่กันบนโซฟาขนาดเล็ก พอเห็นแบบนั้นก็อดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปเอาไว้ไม่ได้ ภายในห้องยังมีกลิ่นตลบอบอวลของน้ำหอมที่เจ้าของห้องใช้ประจำอยู่เช่นเคย

            ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกับเขา จนกระทั่งถึงวันนี้ ผมได้รู้จักเขามากขึ้นในแต่ละวัน ตอนไปเขาใหญ่ ผมรู้เพิ่มมาอีกอย่างว่าพี่กันเป็นคนนอนหลับลึก แถมยังเป็นคนที่ไม่ค่อยจะชอบย้ายที่ของของตัวเองสักเท่าไร

            ถ้าเขาวางกระเป๋าไว้ตรงไหน เขาก็จะวางมันไว้ตรงนั้นที่เดิมทุกๆวัน เหมือนมันติดเป็นความเคยชินไปซะแล้ว

            ‘แกร๊ก’

            ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมๆของแชมพูที่ผมไม่รู้ว่ามันคือยี่ห้ออะไร พี่กันสวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มขายาวออกมาเสร็จสรรพ

            เป็นคนที่ดูน่าหลงใหลทุกช่วงเวลาจริงๆล่ะนะ

            “กอด”

            “ห๊ะ หา”

            ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเรียกชื่อ พี่กันกวักมือเรียกให้เข้าไปหา เขาก้มตัวไปค้นอะไรบางอย่างออกมาจากตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นยางยืดมาให้ผม

            “ไปอาบน้ำ”

            อ่า

            สรุปว่าคืนนี้ผมต้องนอนนี่สินะ

            ผมรับฟังคำสั่งของพี่กันแต่โดยดีแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป อุณหภูมิภายในห้องน้ำค่อนข้างอบอ้าวเพราะเมื่อกี้พี่กันน่าจะอาบน้ำอุ่น ผมเลยกดปิดสวิตช์น้ำอุ่นแล้วเปลี่ยนเป็นอาบน้ำเย็นแทน

            ตอนแรกกะว่าคงจะไม่สระผม แต่พอเห็นแชมพูที่วางตั้งอยู่บนชั้นแล้ว ก็อดหยิบมันมาดูไม่ได้ ยี่ห้อทั่วไปที่เห็นได้ตามชั้นวางภายในห้างสรรพสินค้า

            ดูจากแชมพูกับสบู่ที่คุมโทนมาทางเดียวกันแล้ว บ่งบอกว่าเขาคงชอบยี่ห้อนี้สินะ

            ต้องไปซื้อมาลองบ้างซะแล้ว

            พออาบน้ำเสร็จผมก็พับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เปิดประตูออกไปจากห้องน้ำ เสียงโหวกเหวกโวยวายจากพี่กันดังขึ้นมาคำแรก

            “มึงมันโง่!!!”

            ผมถลึงตามองคนตัวสูงเพราะนึกว่าเขาด่าผม แต่ไม่ใช่ พี่กันนั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้านหน้ามีโน้ตบุ๊คตั้งอยู่ เขารัวนิ้วลงกับเม้าส์ดังแกรกๆๆพร้อมกับกร่นด่าใส่เพื่อนผ่านทางสปีคเกอร์ของหูฟัง

            “ควายแท้ แล้วนั่นจะเดินไปไหน โอ้ยไอ้ห่า เล่นกับมึงทีไรหัวร้อนทุกที”

            เขากำลังเล่นเกมอยู่ครับ

            จริงจังมากกกก

            พอเห็นว่าเจ้าของห้องกำลังเล่นเกมอย่างเมามัน เลยไม่ได้เข้าไปถามเขาว่าจะกินอะไรมั้ยเพราะผมจะลงไปร้านสะดวกซื้อด้านล่างหอของเขา พี่กันสภาพนี้คุยด้วยไม่ได้หรอกครับ ถ้าขืนไปขัดระหว่างการเล่นเกมล่ะก็ ผมว่าน่าจะโดนกินหัวเอาอ่ะ

            สายตาของผมมองหารองเท้าแตะที่พอจะใส่ได้ ถึงเราสองคนจะอยู่ในสถานะแฟนแล้ว แต่ผมก็ยังเกรงใจเขาอยู่ดี ดังนั้นถ้าจะใส่รองเท้าแตะของเขาลงไปมินิมาร์ทข้างล่างล่ะก็ ยังไงก็ต้องขออนุญาตก่อนล่ะนะ

            “พี่กัน…”

            เสียงแผ่วๆของผมส่งไปหาเขา คนตัวสูงหันมองผมตาขวาง

            เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ

            “ยืมรองเท้าแตะนะ”

            “เค”

            เค?

            เอ้อ เคก็เค ไอ้หมีบ้า

            ผมสวมรองเท้าแตะคู่ใหญ่ๆของเขาก่อนจะเดินออกจากห้อง

            มินิมาร์ทขนาดเล็กแต่มีของขายเยอะพอๆกับเซเว่น ผมเลือกซื้อชาเขียวที่มันเป็นเกล็ดน้ำแข็งสองแก้ว แล้วก็พวกขนมขบเคี้ยวกับไอศกรีมสองแท่งเผื่อเขา พอซื้อเสร็จก็เดินกลับขึ้นมาที่ห้อง เปิดประตูห้องเข้าไป เจ้าของห้องก็ยังจริงจังกับการเล่นเกมไม่เลิก

            พอเก็บของเข้าตู้เย็นเสร็จ เลยไปทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นพรมในหลืบแคบๆเงียบๆคนเดียว พลันสายตาก็ไปสะดุดกับรูปโพลารอยด์หนาเป็นตั้งที่วางนอนอยู่บนโต๊ะข้างเตียง โพลารอยด์หลายสิบใบถูกมัดไว้ด้วยหนังยางมัดถุงกับข้าว มีเป็นกองๆประมาณหกเจ็ดกอง มีกระดาษโน้ตใบเล็กๆเหน็บอยู่ด้านหน้า

            ผมเพ่งสายตาอ่านลายมือยึกๆยือๆบนกระดาษ

            ‘ครอบครัว’

            ไล่ไปยัง

            ‘เพื่อน’

            ก่อนจะไปสะดุดกับ

            ‘น้อง’

            น้อง?

            น้องชายเหรอ เขาไม่เคยบอกนะว่ามีน้องชาย

            เพราะความสงสัย ทำให้ไม่เหลือความเกรงใจใดๆอีกต่อไป ผมยื่นมือไปหยิบกองรูปถ่ายที่มีกระดาษเขียนคำว่า ‘น้อง’ แปะอยู่ด้านหน้ามาดู ดึงหนังยางออก พอหนังยางหลุดไป กระดาษโน้ตใบเล็กก็หล่นลงที่พื้นตามแรงโน้มถ่วงเผยให้เห็นรูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่ง

            ซึ่งคนๆนั้น คือผมเอง…

            ใจเต้นรัวขึ้นมาเพราะความแปลกใจที่พี่กันเก็บรูปของผมเอาไว้

            รูปที่ผมใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายไปสอบเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยาวขึ้นมาหน่อยแล้ว พอเลื่อนรูปถัดไป ก็เป็นรูปตอนผมไปรายงานตัว ไหนจะตอนรับน้อง ตอนได้สายรหัส 

            รวมไปถึงตอนที่ผมกำลังขึ้นรถไฟฟ้า

            เขาไปได้รูปพวกนี้มาจากไหน

            พอนึกย้อนกลับไป ก็พอจะเดาออกว่าเขาได้รูปพวกนี้มายังไง ก็ทั้งลุงรหัส ปู่รหัส รวมไปถึงพี่หมอสี่ ทุกคนที่รายล้อมอยู่รอบๆตัวผม รู้จักกับพี่กันทั้งนั้น

            แล้วรูปพวกนี้ อย่างเช่นรูปตอนขึ้นรถไฟฟ้าก็ขึ้นกับสายรหัส ตอนรับน้องก็อยู่กับลุงรหัส ตอนไปกินหมูกระทะก็อยู่กับปู่รหัส ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นรูปแอบถ่าย

            จนกระทั่งเลื่อนมาหยุดอยู่ที่รูปสุดท้าย

            เป็นรูปถ่ายผ่านทางกระจกบนรถไฟฟ้ายามค่ำคืน หากมองผ่านๆก็คงเห็นเพียงแค่กระจกที่ฉายวิวความมืดด้านนอกตัวรถไฟฟ้า หากแต่เมื่อสังเกตดีๆ เงาที่สะท้อนผ่านบนกระจกนั่น

            คือเงาสะท้อนของพี่กันที่ยกโทรศัพท์ถ่ายตัวเองเอาไว้พร้อมกับผมที่ยืนก้มดูมือถืออยู่ถัดไปจากเขา ด้านหลังรูปมีข้อความเขียนอยู่ ลายมือที่ผมจำได้แม่นว่าเป็นลายมือของพี่กัน

            ‘ไม่ได้ชอบมองวิว ชอบมองคนที่สะท้อนอยู่ในกระจก’

          ความร้อนมหาศาลพวยพุ่งขึ้นมาบนใบหน้าพลางหันขวับไปมองคนที่กำลังเล่นเกมอยู่โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผมรีบรวบรูปทั้งหมดมัดเก็บแล้ววางกลับเข้าไปที่เดิมก่อนจะพาตัวเองออกไปยืนสงบสติอยู่ตรงระเบียงเงียบๆ

            ตาย

            ไอ้กอด

            ต้องตายวันนี้เนี่ยแหละ

            ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าตัวเองเงียบๆพลางพยายามไล่ความร้อนออกจากใบหน้า

            ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ผมอยู่ในสายตาพี่กันมาตลอด ทุกวันทุกเวลา ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน พี่กันก็จะรู้หมด ไม่ว่าผมจะทำอะไร จะยิ้มจะหัวเราะจะร้องไห้ เขารู้หมดผ่านทางสายสืบของเขา

            แย่

            แย่มากๆ

            ผมรู้สึกว่าเขาเห็นแก่ตัวที่ทำไมถึงไม่ยอมบอกกันตั้งแต่แรก แต่ก็ดันรู้สึกดีที่เขาไม่บอก

            ที่ผ่านมา มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รอคอยจะพบกับเขา แต่… เขาอดทนขนาดไหนกันนะ เขาใช้เวลานานขนาดไหนในการรอที่จะได้พบกับผมอีกครั้ง

            โอย รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมาเลย

            ‘ครืด’

            ประตูระเบียงห้องถูกเปิดออกพร้อมกับคนตัวสูงที่โผล่หน้าออกมา เหมือนเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างถึงได้ละจากเกมมาสนใจผมแทน

            คือผมไม่ว่าอะไรถ้าพี่จะหันไปสนใจเกมตอนนี้ ผมแค่ขอสงบสติอารมณ์คนเดียวก่อน

            เพราะไม่อย่างนั้นผมจะต้องตายแน่ๆ

            “นั่งทำไร ขูดหาหวยเหรอ”

            “เปล่าสักหน่อย”

            ผมก้มหน้าก้มตาไม่ยอมคุยกับเขา จะเป็นพระคุณมากถ้าเขาไม่สงสัยแล้วเดินกลับเข้าไป

            “เป็นอะไรตัวนิ่ม” น้ำเสียงโหดๆถูกปรับระดับลงให้นุ่มทุ้มกว่าที่เคย ฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสกับกลุ่มผมของผม จากที่เคยลูบเบาๆธรรมดา นิ้วเรียวๆไล่ไปตามกลุ่มผมของผมอย่างเบามือ

            พี่กัน…

            ผมไม่พร้อมจะคุยกับพี่ตอนนี้

            “พี่กลับเข้าห้องไปเหอะ”

            “มึงโกรธที่กูเล่นเกมไม่สนใจมึงเหรอ”

            “ไม่ใช่ ผมไม่ได้โกรธ”

            “แล้วทำไมไม่มองหน้ากู”

            “พี่กลับเข้าห้องไปเถอะ”

            “กอด”

            ผมยอมแพ้เมื่อฝ่ามือของพี่กันสัมผัสลงบนใบหูทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นช้าๆสบตากับเขา นัยน์ตาสีสวยนั่นเพ่งมองมานิ่งๆเหมือนพยายามจะอ่านสิ่งที่อยู่ในใจ

            ถ้าเขาสามารถอ่านใจผมออกล่ะก็

            มันคงจะแย่มากๆเลย เพราะผมไม่อยากให้เขารู้ถึงสิ่งที่ผมกำลังคิดตอนนี้

            ผมแค่ชอบพี่

            ชอบพี่มากๆ แล้วตอนนี้มันก็กลายเป็นว่าผมรักพี่

            รักจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆเลย

            “เป็นอะไรคิดมากเรื่องนั้นเหรอ”

            “เปล่า”

            “แล้วเป็นอะไร ไหนบอกกู จู่ๆก็เดินออกมานั่งขดอยู่ที่ระเบียงเนี่ย”

            “ไม่เป็นไร”

            “โกหก”

            “ไม่ได้โกหก” ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น พยายามหลบตาเขาให้มากที่สุด

            “กอด”

            “…”

            “ไอ้ผักกอด นี่มึงจะไม่บอกกูจริงๆสินะ”

            “…”

            คนตัวสูงเริ่มโมโหที่ผมไม่ยอมบอกเขาว่าผมเป็นอะไร เขาควรจะกลับเข้าห้องตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เพราะถ้ายังคอยลูบหัวลูบหางผมนานกว่านี้ล่ะก็

            ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้บ้าง

            ร้องไห้ใส่เขาเหรอ

            หรือบอกเขาว่า รักเขามากจนอยากจะตายไปเลย

            ‘กริ๊ง’

            ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่นานนักโทรศัพท์ของพี่กันก็ดังขึ้น แต่เหมือนเขาจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนโทรมาจะมีเรื่องด่วนหรือมีเหตุร้ายอะไรหรือเปล่า เพราะนอกจากจะไม่เดินกลับเข้าห้องแล้ว ยังนั่งจ้องหน้าผมไม่ยอมเลิก

            “พี่กัน”

            “ถ้าไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร กูจะนั่งจ้องหน้าจนมึงเขินตายอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ”

            ความดื้อของเขานี่มัน

            “ผมเห็นโพลารอยล์ของพี่แล้ว”

            เขาสะอึกไปเล็กน้อย

            “อ่อ เหรอ แล้วไง จะด่ากูว่าโรคจิตอ่ะดิ ด่าเลย ด่าไปก็ไม่สะทกสะท้านหรอก หน้าหนากว่าผนังบ้านอย่างกูเนี่ย ไม่มีทาง…”

            “ผมแค่ไม่รู้จะทำยังไง เพราะพอเห็นแบบนั้น ในหัวก็มีแต่คำว่าผมรักพี่มากๆ รักจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ดังนั้นพี่ต้องปล่อยให้ผมนั่งทำสมาธิก่อนเพราะไม่อย่างนั้นผมจะต้องตายก่อนแน่ๆ”

            ผมพูดลิ้นรัวออกไป ไม่รู้หรอกว่ามันได้ใจความหรือเปล่า หน้าที่ร้อนจนแทบจะไหม้ ไหนจะน้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอเบ้า ผมไม่ใช่คนขี้แยอะไรขนาดนั้น

            แต่การได้อยู่กับผู้ชายคนนี้ ตอนนี้ มันยิ่งกว่าความฝันซะอีก

            เขานิ่งไป พี่กันถอนฝ่ามือของตัวเองออกไปจากใบหูของผมก่อนจะคว้าผ้าขนหนูที่ตากอยู่เหนือหัวมาคลุมหัวของผมเอาไว้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร

            แต่พอได้อยู่ใกล้ๆเขา ผมถึงรู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้ ในเวลาแบบนี้

            เป็นการบ่งบอกว่าเขาไม่อยากให้ผมเห็นเวลาเขากำลังเขิน

            “อย่าพูดแบบนี้อีก” ผมโผล่หน้าพ้นจากผ้าขนหนูไปมองหน้าเขา

            ทำไมล่ะ

            “พี่ไม่ชอบเหรอ”

            “เออ ไม่ต้องมาทำตาลูกหมาใส่ด้วย”

            เขาไม่ชอบจริงๆเหรอ

            “หูตกใส่กูอีก”

            “ก็พี่บอกไม่ชอบ”

            “ไม่ชอบ เพราะเวลามึงพูดทีไร” ใบหน้าของคนตัวสูงเคลื่อนเข้ามาใกล้จนผมต้องหดคอหนี ท้ายทอยที่ชนกับระเบียงบ่งบอกว่าจนมุมเรียบร้อยแล้ว

            “กูอยากจูบให้ยับเลยจริงๆ”

            ริมฝีปากของพี่กันบดเบียดลงมาบนริมฝีปากของผมหลังจากคำนั้น ละเมียดละไมราวกับเขากำลังลิ้มรสอะไรบางอย่างอยู่ มือของผมที่ก่ายไปมาถูกฝ่ามือสองข้างของเขาตรึงไว้ข้างตัว

            ไม่ดีเลย แบบนี้ไม่ดีกับหัวใจเลยจริงๆ

            เขากดริมฝีปากย้ำๆซ้ำๆลงมาจนผมแทบจะขาดอากาศหายใจ มันไม่ใช่จูบเหมือนครั้งแรก หรือเหมือนเมื่อตะกี้ที่เขาต้องการจะแกล้งผม แต่ครั้งนี้มันมากกว่านั้น

            “พี่กัน!”

            เสียงทุ้มๆคำรามอยู่ในลำคอ เขายังคงจูบผมอย่างหนักหน่วงจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พี่กันเลยละออกไปแล้วหายกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผมนั่งใจเต้นรัวอยู่เงียบๆคนเดียว

            เสียงหัวใจ … ทำไมมันถึงได้ดังขนาดนี้กันนะ

            “ว่าไงป๊า ใช่ โทรมาขัดจังหวะไง มีอะไร … กลับวันอาทิตย์เนี่ยนะ”

            พี่กันเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูที่กั้นระหว่างห้องกับระเบียงพลางคุยโทรศัพท์แล้วมองหน้าผมไปด้วย ผมรีบหันหลังให้เขาแล้วใช้ฝ่ามือกุมใบหน้าของตัวเองพลางลูบแรงๆ

            ตั้งสติก่อนไอ้กอด

            หายใจลึกๆ

            “เหรอ โอเคๆ เดี๋ยวผมกับพี่ไปรับ ไฟล์ทถึงกี่โมงนะ”

            “ครับป๋า ไม่ว่าง … กำลังเลี้ยงกระต่ายอยู่ แค่นี้นะ”

            เสียงที่เงียบไปบ่งบอกว่าเขาวางสายไปแล้ว พี่กันทิ้งตัวนั่งลงด้านหลังก่อนจะดึงแขนผมให้หันกลับไปมองเขา

            “อะไร จูบแค่นี้มึงกลายร่างเป็นกวนอูเลยเหรอ”

            ไอ้…

            ไอ้คนใจบาปเอ้ย

            “ใครจะไปหน้าหนาเหมือนพี่ล่ะ”

            “หัดต่อปากต่อคำ เดี๋ยวก็ยับอีกรอบ”

            “ไม่เอาแล้ว หัวใจจะวายแล้ว”

            เขาหัวเราะขำ พลางดึงตัวผมให้ไปนั่งใกล้ๆตัวเอง พี่กันเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่มีวี่แววว่าจะทำอะไรมากไปกว่านี้ ดังนั้นผมเลยเบาใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง

            “กูไม่ทำหรอก ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่า”

            “ผมอยากกินชาเขียวเกล็ดน้ำแข็งในตู้เย็นละอ่ะ”

            “ติดนิสัยกระเพาะหลุมดำมาจากกูสินะ ได้ข่าวว่ามื้อเย็นซัดข้าวไปสองจาน”

            “ก็มันหิวนี่”

            ถึงจะขัดแต่ก็เดินหายเข้าไปหยิบชาเขียวเกล็ดน้ำแข็งสองถ้วยพร้อมกับช้อนสองคันมานั่งกินกันที่ริมระเบียงแคบๆ

            “เมื่อกี้พ่อเหรอ” ผมเอ่ยปากถามออกไปด้วยความอยากรู้ พี่กันกำลังง่วนอยู่กับการเฉาะเกล็ดน้ำแข็งหนาเป็นชั้นอยู่

            “อือ”

            “แล้วพี่ต้องบอกพ่อเรื่องที่คบกับผมมั้ย”

            “ไม่ พ่อกูเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง อายุสิบแปดก็โดนถีบหัวส่งออกจากบ้านละ ดีหน่อยที่ยังมีเงินให้ใช้ ไม่ต้องรายงานทุกเรื่องหรอก ทุกวันนี้แทบจะไม่อยู่ที่บ้าน ฐานทัพแกอยู่ญี่ปุ่น”

            “เหรอ”

            จะว่าไป เรื่องครอบครัวของพี่กันเอง ผมก็ยังไม่รู้สักเท่าไร เห็นเขาบอกว่าปู่รหัสของผมเป็นพี่ชายต่างแม่ของเขา

            “ถ้าผมถามเรื่องปู่ จะได้มั้ยอ่ะ” ผมละไว้ในฐานที่เข้าใจ และดูเหมือนพี่กันเองก็ไม่ได้ถือสาอะไรที่ถามออกไปแบบนั้น

            “แม่กูกับแม่มันไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ไม่ใช่เมียน้อยเมียหลวงอะไรแบบนั้น แม่มันเป็นเพื่อนซี้ของป๊ากู แต่เสียไปนานแล้ว ป๊าก็เลยรับเลี้ยง”

            อ่า

            พอได้ยินแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยนึงแฮะ

            “อย่าคิดมาก พ่อกูไม่ห้ามหรอกเรื่องคบผู้ชาย ขอแค่อย่าไปมีเรื่องกับชาวบ้านก็พอใจเขาละ”

            คลี่ยิ้มออกมาจางๆ

            “ไอ้เรื่องโพลารอยล์อ่ะ กูตั้งใจจะบอกมึงอยู่แล้ว ไม่ได้คิดจะเก็บเป็นความลับ”

            ผมพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้โกรธอะไรเขาเลย ดีใจซะอีกที่เห็นแบบนั้น

            “ผมเห็นรูปใบนึงที่พี่ถ่ายผ่านกระจกของรถไฟฟ้า พี่ไม่ได้ชอบดูวิวข้างนอกตัวรถเหรอ ผมคิดว่าพี่ชอบซะอีกเพราะเวลาเจอพี่บนรถไฟฟ้าทีไร พี่มองออกไปข้างนอกตลอดเลย”

            พี่กันหันมามองผมนิ่งๆ

            นัยน์ตาของเขาสื่ออะไรมากกว่าที่เห็น อย่างที่เขาเคยบอกว่าดวงตาของเราโกหกไม่เป็น ซึ่งถ้าผมกล้ามองมันนานกว่านี้ล่ะก็ ผมอาจจะเห็นอะไรมากกว่านั้น แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ต้องหลบตาเขามาสนใจการเฉาะน้ำแข็งในถ้วยต่อ

            “กูไม่เคยชอบมองวิวข้างนอกเลยตัวนิ่ม”
           
            “…”

            “กูชอบมองเงาของมึงที่สะท้อนอยู่ในนั้น”

            พี่กัน…

            “เพราะกูยอมรับตัวเองเลยว่า กูไม่กล้ามองหน้ามึงตรงๆ”

            “ทำไมล่ะ”

            “ถามโง่ๆ ก็เขินไงล่ะ เวรเอ้ย”

            พูดจบก็เฉาะน้ำแข็งในถ้วยรัวๆเหมือนคนเป็นบ้า ผมหัวเราะออกมาแล้วมองเสี้ยวหน้าของเขา ยิ่งอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้อะไรมากขึ้น

            ในแต่ละวัน ผมจะคิดว่า ผมได้รู้จักเขามากขึ้นอีกนิดแล้วนะ

            แค่นั้นก็ทำให้มีความสุขแล้ว

            ผมเคยเปรียบพี่กันเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม ที่ไม่อยากให้มันจบ และตอนนี้มันก็คงดำเนินมาครึ่งเรื่องได้แล้ว เรื่องราวของเราสองคนยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่ผมค่อยๆตั้งใจอ่านตัวหนังสือในแต่ละบรรทัด ซึมซับความสวยงามของข้อความเหล่านั้น

            จริงอยู่ที่หนังสือทุกเล่ม ต้องมีตอนจบ

            แต่การอ่านหนังสือเล่มที่ชื่อ ‘กัน’ จะไม่มีวันจบ ผมเชื่อแบบนั้น

            เพราะนอกจากจะมีเรื่องราวของพี่กันอยู่ในนั้นแล้ว หนังสือเล่มนั้น ยังมีเรื่องราวของผมวนเวียนอยู่ในชีวิตของเขาด้วย

            'ไม่ได้ชอบมองวิว ชอบมองคนที่สะท้อนอยู่ในกระจก’

            อ่า จะว่าไป ที่เขาเขียนไว้แบบนั้น …

            “ถ้าพี่บอกว่าพี่ชอบมองเงาสะท้อนของผมในกระจก อย่างนั้นพี่ก็คงรู้ใช่มั้ย”

            “หืม”

            “ว่าคนที่อยู่ในกระจก ก็แอบมองพี่มาตลอดเลย

            พี่กันไม่ได้ตอบ หากแต่คำตอบคือการยิ้มจางๆออกมา บ่งบอกว่าเขารู้ รู้มาเสมอ

            ว่าผมแอบมองเขามาตลอด

            ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เจอกับเขา





// ขึ้นรถไฟฟ้าก็ลองมองผ่านกระจกดูนะคะ นอกจากจะรู้ว่าใครแอบถ่ายรูปเราแล้ว เผื่อจะได้เห็นว่ามีคนมองเราอยู่ / เขิลล

Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_

หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 22-08-2017 18:19:57
 :o8จะหวานกันไปถึงไหน ...อยากมีโมเม้นแบบนี้มั่ง :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 22-08-2017 18:57:45
มันจะดีงานอะไรขนาดนี้ น่ารักมากกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 22-08-2017 19:11:58
โอ้ยยยย  เขินจะตายแล้วววววว
อ่านไปก็ยิ้มแก้มจะแตกแล้วค่ะ ฮือออออ
น่ากอดทั้งพี่กันทั้งน้องกอดเลย
ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวน่ารักๆที่อบอุ่บละมุนละไมเรื่องนี้ออกมานะคะ
อ่านแล้วมีความสุขมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 22-08-2017 19:29:21
น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-08-2017 19:49:49
จะทำให้เขินตายเลยใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 22-08-2017 20:05:53
หวานจนนนน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-08-2017 20:20:28
อิพี่กันคนบ้าาาาา ชอบทำให้เขินอยู่ตลอดเลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-08-2017 20:59:07
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 22-08-2017 21:12:21
 :-[ น้องกอดน่ารัก พี่กันก็อบอุ่น
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 22-08-2017 21:19:05
อะโหวว พี่กันน้องกอด นี่อ่านไปเลียจอไป หวานไป๊
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-08-2017 21:55:35
เขินนนนนนนนนนนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 22-08-2017 22:04:10
บอกคำเดรยวว่า "ฟิน"  :mew1: :mew2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 22-08-2017 22:10:40
นับจากนี้ต่อไปฉันขอสัญญา เมื่อก้าวขึ้น BTS ฉันจะวางโทรศัพท์แล้วเงยหน้าและพร้อมสบตาทุกคนทั้งโดยตรงและผ่านกระจก แอร๊ยยยยย  :-[ :-[ :-[  #บ้าไปแล้ว #มาสร้างความหวังให้ฉันทำไม?
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 22-08-2017 23:32:32
เบาหวานขึ้นตา
มีแต่ความอิจฉาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-08-2017 23:44:14
ข่นบร้าาาาาาา

เขินจนตัวจะแตก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 23-08-2017 06:33:11
พี่กันทำให้น้องเขินอีกแล้ว คนบ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 23-08-2017 10:32:42
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 23-08-2017 13:29:21
เหม็นฟามมมมร๊ากกกก หึหึหึ ขอบตาร้อนผ่าว ไม่ใช่จะร้องแต่อิจมากค่ะคุณ พี่กันน้องกอด เอาเข้าไปหยอดเป็นขนมครกเลย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 23-08-2017 22:36:32
มันก็จะออกหวานหน่อยๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 24-08-2017 00:14:19
หวานจะบ้าตายแล้วววว อ่านแล้วยิ้มจนปากจะฉีก 555  :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 24-08-2017 01:04:37
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 24-08-2017 02:22:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 24-08-2017 06:52:30
 :impress2: โอ๊ยย กลิ่นความรักกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 24-08-2017 22:05:11
ขอกรี๊ดแปป
อะไรมันจะละมุมขนาดนี้คะ
โอ๊ยยย อิจเวอร์
พี่กันโหมดนี้น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 26-08-2017 00:24:36
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 26-08-2017 14:08:48
เขินกันให้ตายไปข้าง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Jdongseng ที่ 27-08-2017 04:09:48
บ้า!! บ้าที่สุด นี่เขินจนตัวจะแตกอยู่แล้วว้อย ฮือออ
จะทำให้เขินไปไหนเนี่ย อืออออ ไรเตอรืแบบ ว้อยยยยย ทำคนแก้มแตกก อ้ากกก  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 20 {22.08.60}
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 27-08-2017 21:20:53
ผู้ชายแบบพี่กันหาได้อีกมั้ย เราขอ >.<
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 02-09-2017 10:28:03
Chapter 21
ชาวล็อค

 

           “พี่กัน!”

            มือของผมเอื้อมไปคว้าชายเสื้อยืดสีดำของคนตัวสูงเอาไว้เมื่อเขากำลังเดินหลงทิศ ตอนนี้เราสองคนกำลังเดินเข้ามาในคอนเสิร์ตของวงร็อคจากญี่ปุ่น วงวันโอเคร็อค วงที่ผมสัญญากับตัวเองว่ายังไงก็ต้องพาพี่กันมาดูกับตาให้ได้

            ตลกดีครับที่ช่วงเวลาที่รู้จักกับเขามันผ่านไปไวจนไม่ได้นับเสียด้วยซ้ำ ที่รู้ๆคือ มันเหมือนกับว่าเมื่อวานเป็นวันแรกที่เราสองคนได้เจอกัน หากแต่ความจริงมันผ่านไปเป็นเดือนแล้ว

            การสอบมิดเทอมเองก็ผ่านไปด้วยดี ผมได้คะแนนท็อปวิชาเลข ผลมาจากการติวกับคนระดับเทพอย่างเขา ส่วนพี่กัน ผ่านวิชาภาษาอังกฤษที่เขาตกซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยการคว้าเกรดบีมาไว้ในครอบครอง

            แต่ถ้าถามว่าภาษาอังกฤษของเขาพ้นขั้นวิกฤตหรือยัง สำหรับบุคคลที่อ่าน Unnamed เป็นอันนาเหมดแล้วล่ะก็ หนทางยังอีกยาวไกลครับ ผมเชื่อแบบนั้น

            ผมเลือกซื้อบัตรยืน เพราะจะได้เห็นใกล้ๆหน่อย ซึ่งพี่กันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเวลาเขาไปคอนเสิร์ตแทททูคัลเลอร์ของเขา เขาก็ยืนนั่นแหละ จะว่าไปเห็นเขาบ่นๆอยู่ช่วงสองสามวันนี้เพราะวงแทททูคัลเลอร์ออกอัลบั้มใหม่มาหลังจากที่หายเงียบไปหลายปี

            เห็นว่าชื่ออัลบั้ม ‘สัตว์จริง’ น่ะครับ แล้วเขาก็ดีดดิ้นร้องโวยวายว่ารอวันศุกร์ที่จะมาถึงไม่ไหวเพราะอัลบั้มเต็มจะปล่อย

            เห็นเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาชอบแล้ว ผมก็เลยมีความสุขตามเขาไปด้วย อิทธิพลของเขาค่อนข้างจะเยอะต่อตัวผมพอสมควร เพราะช่วงหลังๆมานี่ก็กลายเป็นว่าผมย้อนกลับไปฟังเพลงเก่าๆของวงที่เขาชอบจนกลายเป็นมาอยู่ในมือถือของตัวเองเกือบทุกอัลบั้ม

            เราสองคนยืนอยู่ในโซนยืนภายใน Hall กว้างใหญ่ในตัวเมืองกรุงเทพฯ รอบๆกายเป็นผู้คนที่หลงรักเสียงเพลงจากวงนี้เฉกเช่นเดียวกับผม

            พอวันโอเคร็อคขึ้นมาบนเวที เสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มลั่น ผมยืนอยู่ข้างๆพี่กันที่ตัวสูงซะจนบังวิวคนด้านหลังจนเกือบหมด เขาดูสนอกสนใจการแสดงเพลงต่างๆค่อนข้างมาก

            หลายๆเพลงถูกเล่นไป แสงสีเสียงเปลี่ยนไปตามโทนสีของตัวเพลง มีตั้งแต่เพลงที่ร็อคจนหัวหลุด กับเพลงร็อคเบาๆสบายหูอย่างเพลง Chaos Myth ที่ผมชอบรองจาก Wherever you are และ Heartache

            ในขณะที่คอนเสิร์ตเล่นไปเรื่อยๆ ผมคอยสังเกตใครอีกคนข้างตัวตลอด พี่กันเป็นประเภทที่ ถ้าสนใจสิ่งไหนแล้ว เขาจะเพ่งกับมันจนไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นด้านข้างบ้าง

            ถ้าให้เดา

            เขาคงหลงเสียงเพลงของวงนี้เข้าไปเต็มๆล่ะนะ

            เสียงกีต้าร์โปร่งเบาหูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของนักร้องนำชื่อทากะ ผมรับรู้ได้ทันทีว่ามันคือเพลงอะไร

            เพลง Heartache

          So they say that time, takes away the pain

          But I’m still the same

          And they say that, I will find another you

          That can’t be true

          Why didn’t I realize?

          Why did I tell lies?

          I wish that I could do it again

          Turnin’ back the time

          Back when you were mine (all mine)

          …

          So this is heartache…


            เสียง Heartache ของนักร้องนำทำให้พี่กันเผลอบีบมือผมแน่น เสียงร้องที่บาดเข้าไปถึงหัวใจจนทำให้ใครหลายๆคนถึงกับปาดน้ำตา เราสองคนเคยฟังเพลงนี้กันมาก่อนแล้ว และเขาก็รู้ว่าความหมายของมันคืออะไร

            เมื่อใครหนึ่งคนจากไป ใครอีกคนมักจะตกอยู่ในห้วงเวลาเดิมๆ หวนคิดถึงเขา คิดถึงเวลาที่มีเขาข้างตัว คิดถึงใครอีกคน ที่กลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำ

            ดังนั้น So this is heartache คือการถามว่า นี่มันคือความเสียใจใช่มั้ย?

            ผมไม่รู้หรอกว่าช่วงเวลาดีๆเหล่านี้มันจะหายไปมั้ย รู้เพียงแค่ว่าลึกๆก็แอบกลัว กลัวว่าที่ผ่านมา ความสุขทั้งหลายมันจะเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น หากแต่เมื่อเราเลือกที่จะรักใครสักคนแล้ว ถ้ามันจะถึงจุดที่ไปกันไม่ได้จริงๆ

            ก็คงจะเสียใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็คงจะไม่เสียดาย

            เพราะได้รับความรู้สึกที่ว่า เราเคยได้รักใครสักคนมากขนาดนี้แล้วนะ แม้จะครั้งหนึ่งก็ตาม

            เมื่อเพลง Heartache จบ เพลงโปรดที่ผมชอบก็ตามมาติดๆทันที จากอารมณ์หน่วงๆจนทำใครหลายๆคนสะอื้นกันไปเมื่อกี้ ต่อด้วยเพลงที่อบอุ่นหัวใจอย่าง Wherever you are

            หลายๆคนรอบกายเปิดใช้แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือแล้วชูขึ้นเหนือหัวเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของเพลง ผมและพี่กันเองก็ทำแบบนั้น

            ฝ่ามืออีกข้างของพี่กันยังคงกุมมือผมเอาไว้ แม้จะคลายออกเป็นกุมเอาไว้หลวมๆ ผู้คนที่ยืนเบียดเสียดอยู่รอบกายไม่มีใครบ่นเลยสักนิด แม้จะร้อน แต่เสียงเพลงกลับทำให้เราลืมความร้อนความอึดอัดไปจนหมด

            นี่แหละนะเขาถึงได้บอกว่า

            เสียงเพลง มีอิทธิพลต่อการกระทำของมนุษย์จริงๆ

            Wherever you are, I’ll always make you smile

            Wherever you are, I’m always by your side

            Whatever you say, kimi wo omou kimochi

            I promise you forever right now


            เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ทำให้ผมตกหลุมรักวงนี้ ความหมายของมันดีซะจนยกขึ้นแท่นเพลงโปรดไปแล้ว พี่กันเองก็เพิ่งรู้ความหมายของมันหลังจากให้ผมอธิบาย

            ในขณะที่เพลงก่อนหน้า เป็นการคร่ำครวญถึงคนที่จากไป เพลงนี้คือการให้สัญญาว่า ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

            ‘ฉันจะอยู่ข้างๆเธอ จากนี้ ตลอดไป’

            คอนเสิร์ตจบลงภายในเวลาชั่วโมงกว่าๆ ผู้คนเริ่มทยอยออกไปตามป้ายบอกทาง ผมและพี่กันแทบจะออกมาเป็นคนท้ายๆเพราะเราอยู่เกือบหน้าสุด

            วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขมากๆ และจะจดจำมันไว้เลยว่า เราได้มาดูคอนเสิร์ตวงที่ชอบกับคนที่เราชอบ มันเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

            “สงสัยต้องไปซื้ออัลบั้มละ”

            พี่กันโพล่งออกมาระหว่างที่เรากำลังเดินตรงไปยังลานจอดรถ

            “ชอบล่ะสิ”

            “อือ ชอบเพราะมึงอ่ะตัวนิ่ม”

            ฝ่ามือหนักๆดันหัวผมเบาๆ

            “ผมดีใจนะ”

            “มีความสุขล่ะสิ หน้าบานเป็นชามข้าวหมาขนาดนี้”

            เอ๊ะ นี่เขาจะเปรียบเทียบให้มันดูดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง ไอ้พี่บ้านี่

            “ผมชอบนักร้องนะ แต่มือกลองก็โคตรเท่เลย”

            คนตัวสูงหันมาทำตาขวางใส่

            “มือกลองเหรอ ก็หล่อดี”

            “เห็นมะ ยิ่งเวลาตีกลองนะ”

            “ทำไม เวลาตีกลองทำไม”

            “หล่อไง”

            “อ๋อ ชอบมากล่ะสิ ชอบมากก็ไปขอเป็นแฟนดิ”

            คำพูดของเขาบ่งบอกว่าเขากำลังประชด พี่กันก็แบบนี้ทุกที วันนั้นเขาเพิ่งจะพูดไปเองว่าผมคุยกับหมาเขายังหึงเลย นี่ถ้าผมไปคุยกับต้นไม้ใบหญ้า เขาไม่ถอนหญ้าทิ้งทั้งสวนเลยเหรอ

            “แฟนคลับไงแฟนคลับ”

            “แล้วกูอ่ะ”

            “พี่ก็แฟนครับไง”

            ได้ยินแบบนั้นเขาก็หลุดยิ้มออกมา

            เป็นคนที่เอาใจง่ายจริงๆ

            ถ้าเขาให้เลือกระหว่างเขากับอะไรอีกหนึ่งอย่างล่ะก็ ถ้าเลือกเขาเป็นอย่างแรก เจ้าตัวก็จะยิ้มหน้าบานเป็นชามข้าวหมาเหมือนผมนั่นแหละ ยิ่งช่วงนี้พอรู้ว่าจิตใจผมอ่อนแอต่อรอยยิ้มของเขาแล้ว ก็ยิ่งยิ้มบ่อยมากขึ้นไปอีก

            “เพลงร็อคบางทีก็เพราะดีเหมือนกัน”

            “ก็ต้องเลือกเอาว่าจะฟังร็อคแบบไหนอ่ะ ถ้าร็อคจ๋าผมก็ไม่สู้นะ”

            “ร็อคแบบไหน ล็อคแบบเข้าบ้านไม่ได้ไรงี้ป่ะ”

            นั่นมุกเหรอถามจริง

            “ตลกเหรอ”

            “ก็ไม่ได้เล่นให้ขำ” เขาบึนปากเหมือนเด็กๆ

            “อ่ะโอ๋ น้อยใจ”

            “เดี๋ยวเถอะมึง”

            กลัวจังเลยครับ

            ใช้เวลาไม่นานก็เดินถึงรถ ผมเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถก่อนจะจับหมอนรองคอหมีบราวน์ไปไว้ด้านหลังรถ ตอนแรกรถพี่กันก็สะอาดๆดีอยู่หรอก ไปๆมาๆของก็เพิ่มมาทีละชิ้นสองชิ้น ทั้งหมอนรองคอหมีบราวน์ หมอนอิงหมีบราวน์ หมอนอิงกระต่ายโคนี่ งอกมาเต็มรถไปหมดแล้ว

            ดูท่าทางจะคลั่งไคล้มากจริงๆ

            “ที่ห้องก็เยอะอยู่แล้ว เอามาไว้ในรถอีกอ่ะ”

            บ่นไประหว่างที่กำลังจัดหมอนอิงให้ตั้งข้างกันตรงเบาะหลัง

            ‘กริ๊ง’

            โทรศัพท์ของใครอีกคนดังขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังง่วนจัดของไม่จบไม่สิ้น พี่กันรับสายพร้อมกับกรอกเสียงโมโนโทนของเขาลงไป

            “ว่าไง”

            “โทรมาทำไม”

            บทสนทนาของเขากับปลายสายนั้น ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรที่อีกฝ่ายโทรมา ผมไม่ได้หันไปมองหน้าว่าพี่กันจะทำสีหน้าแบบไหน แค่ใช้หูฟังก็พอจะเดาออกว่าเขาคงทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก

            “ก็ไหนบอกว่าลบเบอร์ไปแล้วไง วันหลังไม่ต้องโทรมาอีก แล้วไม่ต้องบอกให้ไปเปลี่ยนเบอร์ ไม่อยากมานั่งจำใหม่”

            ผมกลับมานั่งตัวตรงแล้วสวมเข็มขัดนิรภัยระหว่างที่คนตัวสูงค่อยๆออกรถ เขายังคงคุยโทรศัพท์อยู่ แอบมองด้วยหางตาแวบๆก็เห็นว่าเขาไม่พอใจจริงๆด้วย

            จะว่าไป คนที่โทรมา เป็นใครกันนะ

            ตั้งแต่รู้จักกับเขา ผมก็ไม่เคยเห็นพี่กันชักสีหน้าใส่ใครขนาดนี้เลย

            ไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะคุยอะไร ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดดูบ้าง เฟสบุ๊คที่ไม่ค่อยได้เล่นเท่าไร แต่วันนี้ผมกลับไปเล่นเพราะอยากอัพสเตตัสเกี่ยวกับการมาดูคอนเสิร์ตวงโปรดในวันนี้

            ‘ได้มาดูแล้วนะ วันโอคุ สุดยอดไปเลย’

            พออัพสเตตัสพร้อมกับรูปหน้าคอนลงไป เพียงไม่นานลุงรหัสก็มากดถูกใจด้วยความรวดเร็ว ลุงรหัสเองก็เป็นสาวกของวันโอเคร็อคเหมือนกัน

            เป็นไง หนุกป่ะ

            ลุงรหัสรีบไลน์มาหาด้วยความตื่นเต้น ผมพิมพ์กลับไปด้วยความตื่นเต้นมากกว่า

            *สนุกมากกก เสียดายลุงไม่มา

            กูอยากไปชิบหาย แต่ติดพรีเซ้นต์โปรเจคเนี่ย

            ไอ้เวงเอ้ยยย


            *ผมไปเข้าแถวซื้อเสื้อมาให้แล้วนะ

            น่ารักมากเด็กก้อน

            แล้วไอ้กันอ่ะ มันเป็นไง


            *ก็ดีนะ มองทากะตาค้างเลย

            เออ ฟังแต่พี่แทททูของมันอ่ะ ให้มันเปิดหูเปิดตาบ้าง

           *พี่กันไม่ฟังเพลงอย่างอื่นเลยเหรอ

            ไม่ ใครแตะก็ไม่ได้นะ รักยิ่งกว่าลูก

            ผมละสายตาจากจอโทรศัพท์หันไปมองคนที่ยังไม่วางสาย พี่กันเหลือบตามามองผมเล็กน้อยก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กๆส่งมาให้

            ภูมิแพ้รอยยิ้มมุมปากของเขานี่ ผมแก้ไม่ได้จริงๆครับ ใจเต้นตุบตับเลย

            *ว่าแต่พี่หมอสี่เป็นไงบ้างอ่ะ

            ช่วงนี้พี่หมอสี่ไม่ค่อยโผล่มาหาพี่กันสักเท่าไร เขาตัวติดกับลุงรหัสซะมากกว่า เห็นว่าพี่หมอสี่เทอมหน้าจะไม่ค่อยว่างแล้ว ก็เลยต้องไปใช้เวลาอยู่กับลุงให้คุ้มค่าสักหน่อย

            ก็สบายดี สบายมาก เอาตีนพาดหัวลุงอยู่เนี่ย

            พี่หมอสี่กับลุงรหัสสนิทกันซะจนเรียกได้ว่าเหมือนเป็นทั้งเพื่อนและแฟน ผมเคยแอบถามพี่หมอสี่อยู่ว่าเจอกับลุงรหัสได้ยังไง เขาตอบว่ารู้จักกันผ่านทางปู่รหัสนั่นแหละ มาเจอกันตอนแรกก็เฉยๆ แต่ดันไปเจอกันอีกทีบนรถประจำทางของทางมหาวิทยาลัย ก็เลยชอบกันตั้งแต่ตอนนั้น

            มนต์รักรถประจำทางไปอีกอ่ะ

            ส่วนผมกับพี่กันก็ มนต์รักรถไฟฟ้าอะไรแบบนั้น

            คนตัวสูงข้างๆถอนหายใจออกมาพลางโยนโทรศัพท์ไปไว้เบาะหลัง ผมหันหน้าไปมองเขา

            ถ้าถามออกไป เขาจะหาว่าผมเสือกมั้ยนะ

            “ใครเหรอ” แต่ก็ถามออกไปแล้ว ถ้าโดนด่าค่อยขอโทษทีหลังแล้วกัน

            “แฟนเก่า”

            พอได้ยินว่าเป็นแฟนเก่าปุ๊บ ก็เหมือนต่อมอยากรู้มันปิดตัวลงดื้อๆเลย

            ผมหดตัวเหลือสองนิ้วแล้วหันออกไปมองวิวนอกตัวรถ พี่กันไม่เคยเล่าเรื่องแฟนเก่าให้ผมฟัง แต่เคยบอกว่าเขาเคยมีแฟนมาแล้วหนึ่งคน หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เซ้าซี้ว่าอยากจะรู้อะไรเพิ่มเติมอีก ก็ได้แต่พูดในใจว่า มันจบไปแล้วนี่ จบไปแล้วก็คือจบ จริงมั้ย

            แล้วทำไมจู่ๆถึงโทรมาหาล่ะ

            นี่แหละคือสิ่งที่ยังไม่จบล่ะ

            “อย่าคิดมาก มันก็แค่โทรมาบอกว่าเหงา”

            เหรอ

            ผมก็เหงานะ พี่ไม่คุยกับผมตั้งหลายนาที

            “หิวป่ะ เดี๋ยวแวะหาไรกินก่อน”

            พี่กันเลี้ยวรถเข้าไปยัง Drive-Thru ของร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง เขาสั่งเบอร์เกอร์กุ้งและนักเก็ต ส่วนผมเลือกที่จะกินไอศกรีมโคนวนิลาเพราะอากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน

            ไม่นานนักไอศกรีมโคนวนิลาก็มาอยู่ในมือผม ส่วนเบอร์เกอร์กุ้งก็ไปอยู่ในมือของใครอีกคน

            ชอบกินกุ้งขนาดนี้ พี่น่าจะไปเปลี่ยนชื่อจากกันเป็นกุ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป

            “เขาโทรมาบอกว่าเหงาแล้วพี่ตอบว่าไงอ่ะ” ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้ผมถามออกไป ก็แค่ น้อยใจเล็กๆล่ะมั้ง แต่ก็พยายามซ่อนมันเอาไว้

            คงไม่มีใครชอบหรอกที่แฟนของเรากลับไปคุยกับแฟนเก่า

            จริงมั้ยล่ะ

            ถ้าพี่กันหึงเวลาผมคุยกับหมาล่ะก็ ผมก็หึงเขาเวลาเขาคุยกับคนอื่นเหมือนกันนั่นแหละ

            “กูก็ตอบว่า เหงามึงก็ไปคุยกับนกกับต้นไม้สิ ตัวขี้เหงาข้างๆกูยังคุยกับธรรมชาติเป็นเรื่องเป็นราวเลย”

            ไอ้พี่กัน!

            ผมหน้าขึ้นสี คือเมื่อไม่กี่วันก่อนเราไปเที่ยวสวนสัตว์กันมา แล้วผมก็ไปนั่งคุยกับสัตว์แถวนั้นเป็นเรื่องเป็นราวเพราะความน่ารักของมัน ก็แค่คุยเหมือนเวลาเล่นกับเจ้ากอดเวอร์ชั่นสองนั่นแหละ ว่าแต่ผม ใครกันที่นั่งคุยกับหมาเป็นเรื่องเป็นราวอยู่หน้าเซเว่นล่ะ

            “ไม่ต้องห่วงหรอก กูตัดแล้วตัดเลย”

            “พี่ไม่ชอบเขาเหรอ”

            “อือ เขาโกหกกูไง”

            อ่า ถึงว่าล่ะ ที่เขาพูดว่าไม่ชอบคนโกหก ก็เพราะแบบนี้สินะ

            “แล้วอีกอย่าง กูมีเจ้าของหัวใจแล้ว จริงมะ”

            ไม่พูดเปล่ายังเอาแขนมากระแซะอีก ไอ้คนเถื่อนนี่…

            “จะว่าไป ถ้าวันนึงเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน พี่จะเหงามั้ยอ่ะ” ถามออกไปแบบซื่อๆ บอกตามตรงว่าในใจไม่ได้คิดอะไรหรอก ก็แค่อยากได้ยินว่าเขาจะตอบยังไง

            “ถามอะไร มึงอินกับเพลงฮาร์ทๆอะไรนั่นเหรอ”

            “ฮาร์ทเอค”

            “อย่านะกอด อย่ากวนประสาทพี่”

            ก็แค่ชอบแซวเขาเวลาอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษแค่นั้นเอง ถือว่าได้ความรู้ไปด้วยนะ

            “ผมน่าจะเหงามาก” ผมบ่นอุบแล้วกัดไอศกรีมต่อ

            “แน่สิ มึงมันตัวขี้เหงาไง”

            “แล้วพี่ล่ะ ขี้เหงาหรือเปล่า”

            หันไปมองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันมาสนใจไอศกรีมต่อ

            “เหงา”

            “เหงามากด้วยถ้ามึงไม่อยู่”

            คำพูดของพี่กันส่งความอบอุ่นเข้ามาในใจผม ได้แค่นั่งยิ้มให้ไอศกรีมโง่ๆเหมือนอย่างที่เขาชอบว่าเวลาผมยิ้มเรี่ยราดให้กับสิ่งของรอบๆกาย

            รถของเขาจอดลงด้านล่างสถานีรถไฟฟ้าสยาม เพราะวันนี้ผมต้องนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน พี่กันก็เลยอาสามาส่งที่สถานีก่อนเขาจะวนกลับไปที่หอของตัวเอง

            มือของผมกำลังจะเปิดประตูออกจากรถ แต่เจ้าของรถกลับกดล็อครถซะอย่างนั้น

            “ลืมไรป่ะ”

            ไม่ได้ลืมสักหน่อย

            “ผมกลับแล้วนะ ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนครับวันนี้”

            “ใครเป็นเพื่อน”

            อ่ะ

            “เป็นแฟน” พูดพลางเกาหูเกาหาง เป็นแฟนกันมาระยะเวลาหนึ่งแล้วก็จริง แต่ไม่ชินเลยอ่ะเวลาต้องเรียกเขาว่าแฟน ใจเต้นแรงตลอด

            “กลับดีๆ ไม่ต้องไปทำท่าชาวร็อคใส่ใครเขานะ”

            ใครจะไปทำเล่า ผมก็อายเป็นนะ

            พยักหน้าตอบคำถามเขาแบบเชื่อฟัง จะเปิดประตูแต่เขาก็ไม่ยอมปลดล็อคให้อีก

            “ถ้าไม่ปลดล็อคก็ลงไม่ได้นะ ของเต็มมือขนาดนี้”

            “ขอหอมก่อนเดี๋ยวให้ลง” เอาอีกละ

            “ได้คืบจะเอาศอกตลอดอ่ะ”

            ผมบ่น จู่ๆพี่กันก็เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ จมูกโด่งๆกดลงบนแก้มของผมแล้วถอนออกไปด้วยความรวดเร็วปล่อยให้ผมนั่งอึ้งอยู่กับที่เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

            ไอ้… ไอ้คนใจบาป!

            พอเห็นหน้าเหวอๆของผมแล้วเขาก็หัวเราะชอบใจมีความสุข พี่กันปลดล็อคประตูทำให้ผมต้องรีบเปิดประตูหนีเขาออกไป อยู่กับผู้ชายคนนี้ทีไร หัวใจมันพรุนทุกทีสิน่า

            “เป็นชาวร็อคอ่ะเป็นได้”

            อะไรอีกล่ะ

            “แต่หัวใจมึงอ่ะ กูล็อคไว้แล้ว ไปไหนไม่ได้ละ”

            ส่งความเสี่ยวเสร็จก็ขับรถออกไป ทิ้งให้ผมยืนหน้าร้อนอยู่คนเดียว

            ล็อคแล้วก็ล็อค ไม่ต้องกลับมาไขแล้วโยนทิ้งนะ

            จะไม่ให้อภัยเลยไอ้บ้า







// มาล็อคหัวใจเราบ้างสิพี่กัน เราอยากโดนล็อคบ้าง



- วันนี้อยากจะมาขอบคุณคนอ่านทุกๆคนที่รักพี่กอดและน้องกันนะคะ อยากขอบคุณหลายๆที่ ทั้งทางเพจ ทางทวิต ทางเด็กดี รวมไปถึงทางช่องทางอื่นๆที่อัพเดทLikeกันด้วย ขอบคุณที่โปรโมทนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณที่ชวนเพื่อนๆมาอ่าน ขอบคุณทุกทวีตที่พูดถึง Likeกัน ยูตามอ่านอยู่ตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้เมนชั่นไปขอบคุณ

- Likeกันเป็นนิยายเรื่องแรกเลยตั้งแต่แต่งมาที่ได้รับเสียงตอบรับดีขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีคนชอบซะแล้ว แต่พอเห็นคนชอบ ไปซื้อชานมธัญพืช ขึ้นรถไฟฟ้าตามน้องกอดแล้ว รู้สึกดีมากๆเลยค่ะ ฝากเอ็นดูเด็กๆต่อๆไปด้วยนะคะ

- สุดท้ายนี้ ถ้านิยายเรื่องนี้มีข่าวดีเมื่อไร จะมาแจ้งให้ทราบนะคะ
สามารถติดตามการอัพเดทเพิ่มเติมและพูดคุยกับยูได้ทาง
เพจเฟสบุ๊ค jiwinil หรือทางทวิตเตอร์ @jiwinil_ ได้เลยนะคะ



รักมากๆเลยค่ะ <3

           



หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-09-2017 12:55:55
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 02-09-2017 13:17:12
แฟนเก่าจะเป็นตัวก่อดราม่ารึเปล่าเนี่ย

น้องกอดน่ารัก >.<
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-09-2017 14:24:29
พี่กันจำเป็นต้องตอด หยอด ล่อลวง น้องกอดขนาดนี้ไหม

เกรงใจกันบ้าง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 02-09-2017 14:58:18
หวังว่าแฟนเก่านี่จะไม่มาสร้างเรื่องปวดหัวให้น้องกอดนะะะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 02-09-2017 15:23:44
wherever you are
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 02-09-2017 16:42:01
ไม่มีดราม่าเนอะ หวานๆกันๆไปปป
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 02-09-2017 19:16:37
น่ารัก... แหม ชอบ วันโอคุ เหมือนกันเบยย..
;ว่าแล้วก็อยากจะกระโดด โยกหัวไปกะ The beginning
55+
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 02-09-2017 20:58:43
แฟนเก่าแล้วไง แฟนใหม่อย่าได้แคร์  o16
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 02-09-2017 21:20:45
คิดถึงไอ้น้องกอด  :mew2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 02-09-2017 21:29:48
พี่กัน หยอดมุขเสี่ยว ๆ แล้วเขินเองเหรอ รีบเผ่นแนบเชียว 555
รักกัน กอดกัน หอมกัน ดีต่อใจน้า อย่ามีดราม่าใด ๆ เลย
ขอบคุณคนเขียนมากค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 02-09-2017 21:42:34
แฟนเก่าก็คือแฟนเก่าค่ะน้องกอด โอ๋ ๆ นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 02-09-2017 23:22:23
โทรมาจังหวะมากกก

น้องกอดของพี่กัน  :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 03-09-2017 07:19:18
พี่กันขยันทำให้น้องเขินได้ตลอดเลย  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: RBestta ที่ 03-09-2017 14:09:51
น่ารักจังเรื่องนี้ :o8:
ขอเสริมนิดนึงนะครับ ชื่อวง อ่านว่า วันโอคร็อก (One-O-Krock) รึเปล่าครับ มีเพื่อนติ่งวงนี้อยู่ เขาเล่าให้ฟังว่าวงนี้ชอบนัดซ้อมกันตอนเที่ยงคืน เลยตั้งชื่อวงแบบนี้ ผิดพลาดยังไงก็ขอโทษด้วยครับ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: chisarachi ที่ 03-09-2017 20:40:40
พี่กันคนน่ารัก ชอบโหมดที่นางคุยกับแฟนเก่าแบบรำคาญหน่อยๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 04-09-2017 06:22:42
 น่ารัก กันจริงๆคู่เนี้ยะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-09-2017 08:15:17
พี่กันตลกอ่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 04-09-2017 13:23:02
ขอบคุณ  :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 05-09-2017 14:51:53
อบอวลเว่อร์
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 05-09-2017 16:11:11
น่ารักอ่ะ นิยาย feel good เรายิ้มแก้มแทบแตกแล้วเนี่ย

ถ้าเค้าจะจีบกันตลอดเวลาขนาดนี้



แถวนี้มีใครว่างไหม เราอยากโดนจีบบ้าง



5555555555555555555   ง่ายๆแบบนี้เลยหรอ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 06-09-2017 20:23:25
เป้นแฟนกันแล้วก็ยังไม่เลิกหยอดอีกนะพี่กัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: idee ที่ 06-09-2017 21:05:35
น่าร้ากกก
ชอบน้องกอด ที่พูดได้ตรงซะจนบางทีก็อึ้งกันไปเป็นแถบ
ชอบพี่กันกับความหน้ามึน และขี้ใจน้อยเบาๆของฮี
อย่าทำให้น้องกอดเสียใจกับเรื่องแฟนเก่านะคะ แงงง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 07-09-2017 12:11:18
ประมาณนี้กำลังดี รักหนักแน่น รักมั่นคงไว้นะเด็กๆ อารมณ์หวาน มัน ฮา เขินอาย บิดผ้าชกหมอนแบบนี้ดีแล้ว ไม่เอาไม่ม่านะจ๊ะ พี่ใจไม่ดีอ่านแล้วน้ำตาจาท่วมเอา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 09-09-2017 23:52:38
เรื่องนี้น่ารักมาก เหมือนพึ่งค้นพบขุมสมบัติ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 10-09-2017 21:52:28
เรื่องนี้อ่านแล้วปวดแก้มมากอ่ะ มุมปากยกตลอด
น้องกอดน่าร๊ากกก อยากได้สักคน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 21 {02.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lazyvespa ที่ 11-09-2017 08:20:49
น่ารักมากกกกกกกกกค่าาาาา
โอ้ยยยยย หลงรักพี่กัน ผช. อะไรน่ารักมากกก มีแบบนี้อีกมั้ยอ่าาา หยักได้อ่าาาา มาต่อเร็วๆนะคะ เขียนดีเขียนลื่นมากก อ่านสบายเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 12-09-2017 17:43:18
Chapter 22
ทอดสะพาน

 

          ขาสองข้างออกวิ่งไปตามพื้นคอนกรีต ตอนแรกผมและเพื่อนนึกว่าคลาสถูกยกเลิก ได้ข่าวว่าอาจารย์ประวัติศาสตร์ไม่สบาย แต่จู่ๆเพื่อนในห้องก็โทรตามบอกว่าอาจารย์หายดีแล้วและตอนนี้กำลังเช็คชื่อ ถ้าใครไปสายจะโดนตัดห้าคะแนน

            ไอ้เราสองคนที่เพิ่งเดินออกมานั่งที่โรงอาหารได้ไม่นานต่างก็วิ่งกันขาขวิด เพื่อนๆคนอื่นๆในคลาสเองก็วิ่งกันไม่ลืมหูลืมตาเช่นกัน ขอบคุณสวรรค์ที่ผมยื้อเพื่อนเอาไว้ว่า วันนี้เรากินข้าวที่คณะก็ได้ ถ้าขืนไปกินที่ตึกวิศวะล่ะก็

            งานหยาบแน่เลยครับ

            “ไงล่ะ กูบอกแล้ว”

            เสียงจากเพื่อนในห้องคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา เขาหันมายิ้มให้ผมและไอ้ตัวแสบข้างๆ

            ใครจะไปนึกล่ะว่าอาจารย์จะหายเร็วขนาดนั้น สรุปป่วยจริงมั้ยเนี่ย

            “เกือบไม่รอดละกู”

            “เฮ้อ” ผมพ่นลมหายใจแล้วเขย่าเสื้อนักศึกษาของตัวเองเล็กน้อยเพื่อระบายความร้อน

            อากาศในประเทศไทยก็ยังคงร้อนระอุเช่นเคยแม้จะเข้าหน้าฝนแล้วก็ยังไม่เห็นฝนซักเม็ดมาเป็นอาทิตย์ ช่วงสองสามวันมานี่ผมก็เลยชั่งใจว่าจะพกร่มออกมาให้หนักกระเป๋าดีหรือเปล่า

            การเรียนในวันนี้เป็นไปอย่างน่าเบื่อหน่าย เพื่อนตัวแสบเข้ามาในห้องไม่ทันไรก็หลับหัวทิ่มโต๊ะไปแล้ว ส่วนผมก็ได้แต่วาดรูปเล่นลงบนกระดาษว่างๆเพื่อคลายความเบื่อ

            วิชาประวัติศาสตร์คืออะไรที่ปราบเซียนจริงๆแหละนะ ใครไม่ง่วงนี่เก่งโคตรๆเลย

            ใช้เวลาสอนไม่นานอาจารย์ก็เปิดภาพยนตร์เป็นภาษาเยอรมันให้ดู ยิ่งเสริมให้จากที่ง่วงอยู่ แล้ว ง่วงมากขึ้นไปอีกเพราะต้องปิดไฟดู หลายๆคนเลยฟุบไปกับโต๊ะ

            “ไม่ง่วงเหรอ” เพื่อนสนิทหันมามองผมที่กำลังนั่งวาดรูปเล่นอยู่

            พยักหน้าตอบเขา

            “ง่วง”

            “นอนมั้ย”

            “ไม่อยากนอนอ่ะ”

            “ไปดูคอนมาเป็นไงมั่ง สนุกป่ะ”

            ผมเอียงตัวเพื่อที่จะหันไปคุยกับเขาได้ง่ายๆหน่อย

            “สนุก”

            ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะไปอีกหลายๆรอบ การได้ฟังผ่านอัลบั้มเพลง มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่พอได้ฟังวงโปรดเราร้องแบบสดๆแล้ว ยิ่งรู้สึกดีมากเข้าไปอีก

            “เรื่องไอ้นั่นเป็นไงบ้างล่ะ” ไอ้นั่นของเขาก็คือพี่กันนั่นแหละครับ แต่เจ้าตัวเลี่ยงไม่ยอมเรียกชื่อเพราะไม่ค่อยชอบหน้าพี่กันสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรขนาดนั้น

            แค่เหม็นหน้านิดนึงอ่ะ

            “ก็ดี”

            “ก็ดีนี่คือ”

            มันมีบางอย่างที่อยู่ในใจผมมาสองสามวันหลังจากแยกจากใครอีกคนหลังคอนเสิร์ตวันนั้น ก็เรื่องแฟนเก่านั่นแหละ ก็แค่คิดว่าถ้าจู่ๆแฟนเก่าของเขาโผล่มา ผมควรจะทำตัวยังไงดีนะ เพราะตั้งแต่รู้จักพี่กันมา ไอ้คำว่าแฟนเก่าเนี่ย ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของผมเลย

            “กอด มีเรื่องอะไรไหนเล่า”

            “เรื่องแฟนเก่าพี่กันอ่ะ”

            “แฟนเก่า?”

            เพื่อนสนิทเลิกคิ้ว ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี มันเป็นแค่ความกังวลเล็กๆในใจก็แค่นั้น

            “อือ เขาโทรมาหาพี่กันวันนั้น”

            “แล้วมันพูดว่าไง”

            “ก็บอกว่าไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรหรอก ตัดแล้วตัดเลย”

            “เออ ถ้ามันไม่ตัด กูเนี่ยจะไปตัดหัวมัน”

            เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆก่อน

            นิสัยหวงผมของเพื่อนตัวแสบนี่ยังไม่หายไปจริงๆครับ ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ เฉกเช่นเดียวกับความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเราสองคน ซึ่งนั่นทำให้ผมสบายใจที่เขายังคุยยังเล่นกับผมอยู่ คนไม่ค่อยมีเพื่อนแบบผม ขอแค่มีใครสักคนคอยฟังเราระบายแค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ

            ไม่นานนักอาจารย์ก็สั่งเลิกคลาส แถมยังมีงานให้กลับไปทำอีกต่างหาก วันนี้ผมที่ไม่มีแพลนจะไปไหนตอนเย็น เลยว่าจะไปเดินเล่นที่สยามแล้วกลับหอเลย

            ‘ครืด’

            โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นครืดๆระหว่างที่กำลังเดินสำรวจร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดภายในสยาม ร้านที่คิดว่าอยากจะพาพี่กันมาเดินด้วย เพราะมีขายหมีสีน้ำตาลหน้าเดียวที่เขาคลั่งไคล้จนมีเต็มหอเต็มรถไปหมด ผมกดรับแล้วกรอกเสียงลงไปเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของพี่หมอสี่

             “ครับ”

            (อยู่ไหนน่ะกอด)

            “สยามอ่ะ”

            มือของผมหยิบสติ๊กเกอร์หมีกับกระต่ายสองแผ่นมาไว้ในมือแล้วเดินดูของอื่นๆไปเรื่อยเปื่อย

            (ได้คุยกับไอ้กันบ้างมั้ย)

            หือ

            ทำไมพี่หมอถึงถามแบบนั้นล่ะ

            “ตั้งแต่กลับจากคอนเสิร์ต ก็มีเมื่อวานซืนที่เขาโทรมาบอกว่าช่วงนี้ยุ่งๆทำโปรเจคกับเพื่อน ผมก็เลยไม่ได้โทรหาเขาอ่ะ”

            (น้องกอดรู้เรื่องแฟนเก่าไอ้กันมั้ย)

            หัวใจของผมกระตุกวูบเมื่อพี่หมอสี่พูดขึ้นมาแบบนั้น

            “ทำไมเหรอ”

            (แฟนเก่ากันมาขอคืนดี แต่ไอ้กันไม่ยอม ฝ่ายนั้นเลยขับรถออกไปแล้วรถคว่ำ)

            (เห็นว่าตอนนี้อาการโคม่าอยู่ ไอ้กันไม่กลับหอมาสองวันแล้วน้องกอด น้องกอดช่วยโทรหามันหน่อยสิ พี่โทรมันก็ไม่รับ พี่เป็นห่วงมัน กลัวว่ามันจะโทษว่าตัวเองเป็นคนทำให้เกิดเรื่องแบบนั้น)

            “ครับ เดี๋ยวผมโทรหาพี่กันให้นะ พี่หมอไม่ต้องห่วง”

            ผมกดวางสายด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ประเดประดังเข้ามา ทั้งตกใจเรื่องที่แฟนเก่ากลับมาขอคืนดีกับพี่กัน ทั้งตกใจเรื่องอุบัติเหตุ รวมไปถึงกังวลเรื่องความรู้สึกของพี่กัน

            ถึงแม้จะเป็นแฟนเก่า แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่เคยผูกพันจริงไหมครับ ดังนั้นไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับคนที่เราเคยรักหรอก

            ขาของผมตรงไปยังเคาน์เตอร์คิดเงิน รีบจ่ายเงินแล้วเดินออกมาพร้อมกับกดโทรออกหาเขา ขอบคุณที่ผมยังมีโชคดีอยู่บ้าง พี่กันไม่ได้ปิดเครื่องโทรศัพท์ เพราะไม่อย่างนั้นผมจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ

            แต่ถึงเปิดเครื่อง ปลายสายก็ไม่รับอยู่ดี

            ทำไมไม่รับล่ะ

            พี่กำลังทำอะไรอยู่

            รับสิไอ้บ้า!

            ผมเป็นห่วงนะ

            จู่ๆคนที่ผมพยายามโทรหาก็โทรกลับมา ผมรีบกดรับด้วยความกังวลใจ

            “พี่กัน”

            (ตัวนิ่ม)

            “พี่หายไปไหน พี่โอเคมั้ย ทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่หมอล่ะ ตอนนี้พี่อยู่ไหนผมไปหานะ”

            (ใจเย็นๆเจ้าหนูจำไม หายใจก่อน)

            น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่โอเคเลย เสียงอู้อี้เหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มา

            เป็นห่วงเขาจัง

            (กูไม่ได้รับโทรศัพท์หมอเพราะโทรศัพท์ตกส้วม นี่เพิ่งไปซื้อเครื่องใหม่มาเมื่อกี้นี่เอง พอใส่ซิมปุ๊บมึงก็โทรเข้ามาเลย)

            โทรศัพท์ตกส้วมเนี่ยนะ?

            “พี่ไปทำอิท่าไหนมันถึงได้ตกลงไปอ่ะ”

            (กูก็นั่งขี้เฉยๆไง)

            ไอ้…

            อยากด่าว่าทุเรศ แต่ก็ดันติดตรงที่ผมดันรักคนทุเรศๆคนนี้เนี่ยสิ

            “พี่โอเคมั้ย”

            (โอเคสิ ทำไมกูจะไม่โอเค)

            เขากำลังโกหก

            “จะไปหาอ่ะ อยู่ไหน”

            (ตอนแรกอยู่บ้าน แต่กำลังจะไปอยู่สะพานพระรามแปด)

            “ไปทำไมสะพานพระรามแปด”

            (หาไรกิน)

            “จะไปหา”

            (มาสิ เดี๋ยวพาไปหาไรกิน)

            ผมไม่ได้ห่วงเรื่องกินเลยสักนิด ห่วงก็แต่ความรู้สึกของเขานั่นแหละ พอรู้สถานที่ผมก็รีบขึ้นรถแท็กซี่เพื่อที่จะตรงไปสะพานพระรามแปด

            ไม่รู้หรอกว่าพี่กันรักแฟนเก่าของเขามากขนาดไหน แต่คนเคยรักกันน่ะครับ ผมคิดว่าก็คงไม่โอเคหรอกที่ได้ยินว่าแฟนของตัวเองรถคว่ำ แถมเพิ่งออกจากหอของตัวเองไปแท้ๆ

            ผมลงจากรถตรงบริเวณเชิงสะพาน ก่อนจะเดินเท้าขึ้นไปแทน สะพานพระรามแปดเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่หลายๆคนชอบมาถ่ายรูปรวมไปถึงรับลมเย็นๆริมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืน ตอนนี้ตะวันใกล้จะลับฟ้า ท้องฟ้าเลยมีสีม่วง สีชมพู สีส้มและสีน้ำเงินสลับแซมกันไป สวยงามราวกับภาพวาดจนไม่อยากจะละสายตาเลยจริงๆ ผมมองไฟถนนสีส้มที่ค่อยๆเปิดขึ้นมาจนสว่างไปทั่วบริเวณ

            แม่น้ำกว้างๆที่นิ่งสงบ แต่หารู้ไม่ว่าคลื่นใต้น้ำนั่นแรงจนสามารถพัดคนหนึ่งคนให้จมหายไปได้ ผมค่อยๆเดินไปตามทางเดินก่อนจะเจอกับผู้ชายตัวสูงที่ยืนเหม่อมองออกไปไกลแสนไกล

            ผู้ชายที่ผมตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ วันนี้พี่กันสวมเสื้อยืดสีดำเช่นเคยกับกางเกงยีนส์ขายาวและรองเท้าคู่ใจของเขา ลมเย็นๆพัดผ่านจนทำให้กลุ่มผมนุ่มนิ่มของเขาเคลื่อนไหวไปมาราวกับเกลียวคลื่น

            ไม่ว่าเมื่อไร ก็ยังดูน่าหลงใหล

            พี่กันก็เป็นแบบนั้นล่ะนะ

            ผมเดินเข้าไปหาคนตัวสูงที่เกาะราวเหล็กอยู่ ก่อนจะสัมผัสแขนของเขาเบาๆ เขาหันมามองพลางคลี่ยิ้มให้ผม ใต้ตาสวยๆนั่นบวมช้ำอย่างที่คิดไว้จริงๆ

            “หมอเล่าให้ฟังแล้วล่ะสิ เรื่องที่แฟนเก่ามาขอคืนดีกับกู”

            พยักหน้าตอบเขาเบาๆ ผมละสายตามองออกไปยังท้องฟ้าสีสวยด้านหน้า

            “โกรธหรือเปล่า”

            “ทำไมต้องโกรธล่ะ พี่ก็มีเหตุผลของพี่ ผมไม่โกรธหรอก”

            ฝ่ามืออบอุ่นของพี่กันวางลงบนหัวผมแล้วขยี้เบาๆ

            “กูปฏิเสธไป เขาเลยไม่พอใจแล้วก็ฟึดฟัดออกจากห้อง รู้ข่าวอีกทีก็ตอนแม่เขาโทรมาบอกว่ารถคว่ำ อาการโคม่า”

            “แล้วพี่เป็นไงบ้าง”

            “กูเหรอ”

            อาการของพี่น่ะ

            โคม่าหรือเปล่า

            น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตาคู่สวยของพี่กันเล่นเอาผมตกใจ เขาพยายามปาดมันออกลวกๆ รู้แหละว่าเขาโทษตัวเอง แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่ใช่คนผิดเลย

            ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ

            “พี่จะร้องไห้ออกมาเยอะๆก็ได้นะ”

            ผมพูดเสียงแผ่ว ที่ผ่านมาเขาคอยปลอบโยน คอยเป็นพลังให้ผมในทุกๆครั้ง ดังนั้นถึงตาผมเป็นพลังงานบวกให้เขาบ้างแล้วล่ะ

            คนตัวสูงซุกหน้าลงกับแขนสองข้างของตัวเองที่วางพาดอยู่บนราวสะพาน ผมทำได้เพียงแค่วางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของเขา ลูบมันเบาๆเพื่อบอกว่า ผมอยู่ข้างๆพี่นะ อยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนแน่นอน

            “ก็เพราะว่าฉันนั้นเป็นคนอ่อนไหว จะผ่านอะไรมากมาย เล็กๆน้อยๆแค่รบกวนจิตใจ คล้ายๆจะมีน้ำตา”

            ผมร้องเพลงออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะของพี่กันดังขึ้น ฝ่ามือของเขาผลักหัวของผม

            “ล้อกูเหรอ”

            “ผมชอบเพลงนี้ต่างหาก”

            เพลงคนอ่อนไหวของวงแทททูคัลเลอร์ ฟังไปฟังมา ก็ดันชอบทุกเพลงไปแล้ว

            สงสัยคงได้เป็นแฟนคลับตามพี่กันไปแน่ๆล่ะคราวนี้

            เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับปาดน้ำตา มือของพี่กันวางอยู่บนศีรษะของผม เขาดึงผมเข้าไปใกล้เล็กน้อยพลางกดจูบลงมาบนหลังมือของตัวเอง

            เอาอีกละ ทำแบบนี้ทีไรใจเต้นไม่เป็นจังหวะทุกที

            “หมั่นเขี้ยวจริงๆ”

            “ดีขึ้นยัง”

            “ดีขึ้นละ”

            พอเห็นเขายิ้มออกก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

            เราสองคนยืนรับลมกันอยู่บนสะพาน ปล่อยให้ความรู้สึกหลายๆอย่างถูกลมพัดผ่านไป บนสะพานนอกจากจะมีผมกับพี่กันแล้ว ยังมีคู่รักหลายๆคู่ มีกลุ่มเพื่อน มีนักท่องเที่ยว และมีคนที่เพิ่งเลิกจากงานที่มารับลมกินบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยากันตอนกลางคืน

            “กูคบกับเขามาสี่ปีได้มั้ง เลิกกันเพราะเขาหันไปชอบคนอื่น ถามว่ายังห่วงอยู่มั้ย ก็ยังห่วงอยู่ แต่ถ้าถามว่ายังรักมั้ย ก็ไม่ได้รักแล้ว”

            “พอได้ยินว่ารถคว่ำเลยตกใจ ใจมันหายๆ”

            ถ้าเป็นผม ผมก็ตกใจเหมือนกันนั่นแหละ

            ผมตบบ่าพี่กันเบาๆ

            “พี่รู้มั้ยว่าหนังสือที่ผมอ่าน สุดท้ายแล้ว พระเอกกับนางเอกก็ต้องจากลากัน”

            พี่กันหันมามองผมเงียบๆ

            “ตลกดีเนอะ ทั้งๆที่เราเจอกันแล้ว ทำไมต้องจากกันล่ะ ผมไม่เข้าใจเลย”

            “โลกมันชอบเล่นตลกกับเรามั้ง”

            อย่างนั้นเหรอ

            “สำหรับกู ก็แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นไงช่างมัน”

            เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ

            นั่นสินะ ไม่เห็นจะต้องไปใส่ใจอนาคตเลย

            แค่ทุกวันนี้ ได้เจอหน้าเขาแบบนี้ ก็มีความสุขที่สุดแล้ว

 

            “กูคุยกับน้องแล้ว โอ๋ๆ ไม่งอนดิไอ้หมอ กูโอเคดี”

            พี่กันคุยโทรศัพท์อยู่กับพี่หมอสี่ระหว่างที่เราค่อยๆเดินลงจากสะพานเพื่อไปหาร้านอาหารอร่อยๆกินกัน ระหว่างทางผมเผลอไปสบตากับแก๊งวัยรุ่นน่ากลัวๆกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงตีนสะพาน หนึ่งในนั้นเอ่ยปากร้องแซวขึ้นมาเล่นเอาผมสะดุ้งตกใจ

            “มองอะไรคนสวย”

            เหมือนคนตัวสูงจะได้ยินแบบนั้น เขาดึงผมไปไว้อีกด้านเพื่อบังผมจากคนเหล่านั้น ขายาวๆก้าวฉับๆเพื่อพาผมหลุดไปจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด

            “ไม่ต้องหันไปมอง เดินเร็วๆ มีเรื่องกับพวกนี้ไม่คุ้มหรอก”

            ผมรีบก้าวขาไวๆตามที่ใครอีกคนบอก

พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็แอบดีใจแฮะ

            ขนาดคุยโทรศัพท์อยู่ ยังทำตัวเป็นบอดี้การ์ดปกป้องผมเลย

            พี่กันสุดยอด!

            คนตัวสูงพาผมมาหยุดที่ร้านอาหารหน้าตาดีริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นเรียบง่ายและสามารถมองเห็นสะพานที่เราเพิ่งเดินลงมาได้อย่างชัดเจน เห็นระหว่างทางเขาพูดคุยโทรศัพท์อยู่กับพ่อของเขา ว่าจะเจอกันหรือนัดกินข้าวอะไรสักอย่าง

            ซึ่งผมไม่นึกว่าจะได้เจอกับพ่อแท้ๆของพี่กันในวันนี้

            ไม่ได้เตรียมใจมาเลยล่ะครับ

            ผมยืนแข็งทื่ออยู่หน้าโต๊ะอาหารติดกับระเบียงริมน้ำ ปู่รหัสโบกมือหยอยๆส่งมาให้ ส่วนพ่อของพี่กัน ผู้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดลำลองแบบสบายๆพร้อมกับหมวกสานสีน้ำตาล ใบหน้าของพี่กันถอดแบบมาจากพ่อของเขาเด๊ะเลย ทั้งโครงหน้าที่ชัด นัยน์ตาสวยๆ จมูกโด่งๆและริมฝีปากเข้ารูป

            “เอ่อ”

            “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า”

            พี่กันฉุดกระชากลากถูผมให้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของเขา ผมรีบยกมือไหว้พ่อของพี่กันรวมไปถึงปู่รหัสจนมือพันกันไปหมด

            อ่า ทำตัวไม่ถูกเลยแฮะ

            “ไหว้พระเถอะลูก”

            “นี่เหลนรหัสที่บอกไง” ปู่รหัสพยักเพยิดหน้ามาทางผมเพื่อจะแนะนำผมให้พ่อของเขารู้จัก คุณพ่อของพี่กันใช้สายตาคบกริบของเขาไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แอบเกร็งเล็กน้อยเพราะใบหน้าดุๆนั่น

            “นี่น่ะเหรอกระต่ายที่บอก” คุณพ่อหันมาถามคนตัวสูงที่นั่งลงข้างๆผม

            “เป็นไง เหมือนมะ” พี่กันหัวเราะ

            “เหมือนมาก”

            กระต่าย? กระต่ายอะไรกัน?

            มื้ออาหารเริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ผมและพ่อพี่กันได้พูดคุยอะไรกันอีกหลายๆอย่าง พอได้เริ่มคุยกันแล้ว ถึงได้รู้ว่าที่เห็นหน้าดุๆเนี่ย จริงๆแล้วคุณพ่อเป็นคนเฮฮาไม่ต่างอะไรจากลูกชายเขาสักนิด เป็นคนที่เปิดรับกับทุกสิ่ง นิสัยของพี่กันเลยได้มาจากคุณพ่อของเขาเต็มๆ

            บรรยากาศการทานอาหารค่ำกลายเป็นเหมือนการพบปะของครอบครัว ซึ่งผมที่เป็นคนแปลกหน้าไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าเลยสักนิด กลับกัน คุณพ่อของพี่กันทำเหมือนกับว่าผมเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของเขา

            อบอุ่นดีแฮะ

            พอพูดคุยไปเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าพ่อของพี่กันทำงานประจำอยู่ที่ญี่ปุ่นและอเมริกา เขาทำเกี่ยวกับเรื่องอากาศ ที่เราเคยเห็นกันในแอพพลิเคชั่น Weather บนโทรศัพท์นั่นแหละครับ เหมือนสำนักงานใหญ่จะอยู่ที่อเมริกา เพิ่งจะโดนโยกย้ายมาทำประจำอยู่ที่ญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่ปีมานี้

            ส่วนอีกข้อหนึ่งที่ผมชอบพ่อพี่กันก็คือ เขาไม่ถามเรื่องส่วนตัวของผมกับพี่กันเลยสักนิด เหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจว่าลูกชายของเขาจะคบกับใคร ขอแค่คนๆนั้นไม่ทำชีวิตลูกของเขาพังก็พอ ผมเลยไม่รู้สึกอึดอัดที่จะต้องมานั่งตอบคำถามว่า จะสามารถดูแลพี่กันได้หรือเปล่า หรือคิดว่าจะคบกันต่อไปได้อีกนานแค่ไหน

            พ่อพี่กันเองก็ สุดยอดไปเลยล่ะ

            “เราอายุเท่าไรน่ะ” คุณพ่อถามออกมาพลางจิบเบียร์ไปด้วย

            “สิบเจ็ดครับ”

            “อ๋อสิบเจ็ด ห๊ะ! ไอ้กัน น้องยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยนะ”

            “รู้แล้วน่า เดี๋ยวก็สิบแปดแล้ว”

            “คุก คุก คุก” คุณพ่อไอออกมาเบาๆ แต่ถ้าได้ยินไม่ผิด เสียงไอนี่ดังคุกคุกคุกเลยครับ

            “สิบแปดแล้วจะทำอะไร” ปู่รหัสส่งสายตาไม่พอใจใส่น้องชายของเขา พี่กันไหวไหล่แบบกวนๆ

            “ไม่บอก ว่าแต่พี่เหอะ ไม่คิดจะมีบ้างหรือไง”

            ปู่รหัสไหวไหล่ตอบกลับมา

            “ไม่บอก”

            ผมหลุดขำเสียงดัง

            เหมือนกันทั้งบ้านเลยจริงๆ

            พอกินข้าวเสร็จ ผมกับพี่กันก็ละออกมานั่งเล่นอยู่ริมตลิ่งมองเรือหลายๆลำที่ขับผ่านไปมาในแม่น้ำ ผมมีคำถามอยู่ในใจบางอย่างที่อยากจะถามออกไป แต่ก็กลัวว่าจะเสียมารยาทถ้าถามออกไปบนโต๊ะอาหาร

            เหมือนพี่กันจะรู้ว่าผมมีคำถาม เขาเลยเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

            “มีอะไรจะถาม มองอยู่นั่นแหละ”

            “แล้วแม่พี่กันล่ะ” ผมรู้เพียงแค่ว่าครอบครัวของเขารับปู่รหัสมาเลี้ยง เพราะปู่รหัสของผมเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทของพ่อพี่กัน แต่พี่กันไม่เคยเล่าให้ฟังเรื่องแม่ของเขาเลย

            “เสียไปแล้ว พร้อมกับแม่มันนั่นแหละ”

            มันที่เขาหมายถึงนี่ คือปู่รหัสสินะ

            “ผมขอโทษนะ”

            “ไม่เป็นไร มึงไม่รู้สักหน่อยนี่”

            ผมยิ้มจางๆออกไป

            ยังมีอีกหลายเรื่องล่ะนะ ที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ รู้เพียงแค่ว่า เขาเป็นคนเข้มแข็งมากๆเลยล่ะครับ

            คนตัวสูงเหม่อมองไปยังตัวสะพานแขวนในเวลากลางคืนที่ดูสวยคนละแบบต่างจากก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน

            “ในบรรดาสะพานในกรุงเทพ ผมชอบสะพานนี้ที่สุดเลย”

            “เพราะอะไรอ่ะ”

            “ได้มาเดินกับพี่ไง”

            ฝ่ามือหนักๆของพี่กันวางลงบนหัวของผมแล้วขยี้กลุ่มผมแรงๆจนมันยุ่งเหยิงไปหมด

            “ชอบจังนะ”

            “ชอบสะพานเหรอ”

            “เปล่า มึงอ่ะ ชอบทอดสะพานจังนะ

            “หือ”

            “ตัวขี้อ่อย”

            ใครกันแน่ขี้อ่อย เขานั่นแหละขี้อ่อย

            พอเห็นผมทำหน้าเบะใส่เขา เจ้าตัวก็หันมาขยำแก้มผม ดึงๆบี้ๆเหมือนกำลังเล่นกับหมา

            “อย่าทอดสะพานบ่อยนะ”

            “ทำไมอ่ะ”

            “ของทอดทำให้ความดันโลหิตสูง”

            “…”

            “ทำให้หัวใจอ่อนแอ”





// หัวใจอ่อนแอก็ไปหาหมอ ไม่ต้องมาอ่อยน้อง อิเวง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 12-09-2017 19:05:39
ตบท้ายด้วยมุขเสี่ยวๆอีกแล้วนะอิพี่กัน :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-09-2017 19:35:23
ไปอ่อยหมอไป๊!
หยอดอะไรเบอร์นี้
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 12-09-2017 19:51:16
เขาหยอดหน้าเน๊ตกันตัลลอดเลยคู่นี้ งือออออ  สุขภาพคนอ่านก็พลอยจะแย่ไปด้วย ทั้งใจเต้นผิดจังหวะ ทั้งเบาหวานขึ้นตา โอ๊ยยยยยย เหม็นความร้ากกกก  :man1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 12-09-2017 19:52:20
ไม่รู้ใครทอดเก่งกว่ากัน
ไขมันจะอุดตันหัวใจ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 12-09-2017 20:54:41
หืมมม..
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 12-09-2017 21:07:45
เจออย่างงี้หัวใจคนอ้านก็อ่อนแอเหมือนกันจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 12-09-2017 21:26:30
โอ้ยยยยย มดกัด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 12-09-2017 21:53:50
ทำไมตอนแรกๆอ่านเหมือนจะดราม่า ไปๆมา อ้อยเต็มครึ่งหลังเลย 555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-09-2017 22:26:42
 :man1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-09-2017 22:29:01
 :110011: :110011: :110011: :z7: :z7: :z7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 12-09-2017 22:57:48
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 13-09-2017 10:46:23
อ่อยกันเถอะชอบดู
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 13-09-2017 14:12:37
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 13-09-2017 14:38:10
โอยยยย หัวใจอ่อนแอ แพ้ความเสี่ยวพี่กันเจงๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 13-09-2017 15:37:31
หัวใจอ่อนแอก็ไปหาหมอ ไม่ต้องมาอ่อยน้อง อิเวง  :m20: ขำอันนี้
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 13-09-2017 16:44:41
โอยยย..หัวใจไม่แข็งแรง  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 13-09-2017 20:54:51
พี่กันนน... น่ารักอะ มีการแนะนำกับครอบครัวด้วย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 14-09-2017 01:49:27
มุขหยอดหวานกลบดราม่ามิด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 14-09-2017 09:17:15
กรี๊ดดดดดด มุขนี้ 3 ผ่านไปเลยค่ะพี่กัน!
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ous_p ที่ 14-09-2017 12:25:20
วุ้ย คู่นี้ใครอ่อยใครกันแน่
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: WHIZZEVIL ที่ 15-09-2017 23:53:09
น่ารักแบบหุบยิ้มไม่ได้.... .  :-[ :-[ :-[
เดินอ่านไปยิ้มไปคนเดียวเป็นคนบ้าแล้วค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 18-09-2017 14:14:30
อ่านเรื่องนี้ต้องยิ้มหน้าบาน


หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 02-10-2017 00:03:20
คิดถึงพี่กอดกับน้องกัน :z2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 19-10-2017 10:06:26
อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ คิดถึง อยากรู้เรืีองราวของพี่กันกับน้องกอด :man1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 23-10-2017 13:32:25
คิดถึงเรื่องนี้จัง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 24-10-2017 22:25:08
เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ แต่ " น่ารักอ่ะ "  :กอด1:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 22 {12.09.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Timtimtim ที่ 27-10-2017 15:52:07
 :z2:มีความอ้อย ระดับสิบ น่ารัก หวานๆละมุนลิ้น
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 23 {17.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 17-11-2017 16:50:16
Chapter 23
ร่ายมนตร์

 

            “ดวงของหนูเนี่ย หน้าตาน่ารัก มีคนรักคนชอบมากมาย แต่ต้องระวังคนคิดร้าย ช่วงนี้จำเป็นต้องเกาะติดกับคนดวงแข็งแล้วจะแคล้วคลาดปลอดภัย”

            ผมมักจะคิดเสมอว่าหมอดูมักจะคู่กับหมอเดา ดังนั้นเลยไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่หมอดูพูดเท่าไร

            เมื่อวานก่อนจะแยกย้ายกับครอบครัวของพี่กัน คุณพ่อแวะดูดวงเล่นๆระหว่างทาง ซึ่งดวงของทุกคนเป็นไปในทางที่ดีหมด พ่อจะมีดวงด้านการงานและการเงิน ปู่รหัสมีแววว่าจะได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศและจะกลายเป็นพ่อคนในเร็วๆวัน ส่วนพี่กันก็มีดวงด้านความรักรวมไปถึงด้านชื่อเสียง จะมีคนรักคนเอ็นดูเพราะความอ่อนน้อมถ่อมตัว

            พอหันมาที่ผม กลายเป็นว่าผมต้องระวังคนคิดร้ายเพราะดวงความปลอดภัยอยู่ในช่วงขาลง ให้เกาะติดกับคนดวงแข็ง ซึ่งหมอดูบอกว่าพี่กันน่ะ ดวงแข็งและจิตแข็งมาก

            ไอ้เรื่องคนคิดร้ายเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งมาเกิดในช่วงนี้หรอกครับ สาเหตุที่แม่หวงผมทั้งๆที่อายุสิบเจ็ดเข้าไปแล้วก็เพราะเรื่องนี้แหละ

            จะว่ายังไงดี

            ตั้งแต่เด็กๆผมเหมือนมีแรงดึงดูดคนประเภทนี้ให้เข้ามาใกล้ อย่างเช่นตอนที่เดินลงจากสะพานกับพี่กัน แล้วนั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรก เคยเจอหนักสุดก็โดนจูงมือไปต่อหน้าต่อตาแม่เลย โชคดีที่มีตำรวจอยู่แถวนั้น แม่เลยขอให้เขาช่วยทัน

            ถ้าหมอดูจะบอกว่าดวงความปลอดภัยของผมอยู่ในช่วงขาลงล่ะก็

            มันก็คงจะลงมาทั้งชีวิตแล้วอ่ะ

            “อันยองค่ะเพื่อน” จำพี่ลำไยเพื่อนของลุงรหัสได้มั้ยครับ วันนี้เขามาร่วมโต๊ะกินข้าวเที่ยงที่คณะวิศวะกับเรา ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมคณะแต่ก็เรียนกันคนละเอก พี่ลำไยเรียนเอกฝรั่งเศสครับ   

            “มึงเรียนเอกฝรั่งเศสไม่ใช่เหรอ”

            “ก็แล้วทำไมคะ ฝรั่งเศสแต่หัวใจเกาหลีอ่ะค่าอปป้า”

            “ไหนพูดฝรั่งเศสดิ๊”

            “เฌอแตมกอมเอิงฟู” พูดเสียงนุ่มๆทุ้มลึกในลำคอตามสไตล์คนฝรั่งเศสแท้ๆ

            “แปลว่า”

            “ฉันรักเธออย่างบ้าคลั่งเลยค่า”

            “กูก็พูดได้นะ ดูเวลังสิกิมง” ทุกคนอึ้งไปเลย

            เมื่อกี้ลุงรหัสพูดว่าอะไรนะ

            “ดูเวลังสิกิมง”

            “ดูเวลาสิกี่โมง” พี่รหัสเป็นฝ่ายตอบให้ ลุงรหัสหันไปยกนิ้วเยี่ยมให้กับพี่รหัส

            ไม่แปลกใจเลยทำไมสนิทกันได้

            “มีอีกๆ” ยังจะมีอีกเหรอ!

            “มงวัวอยู่บงราเบียงค์”

            “มองวัวอยู่บนระเบียง”

            “มึงซงคนปัยกระโดดราเบียงค์ไป อิบ้า!”

            ก่อนที่ผมจะมาเป็นส่วนหนึ่งของสายรหัสสุดขั้วนี่ อยากรู้จังเลยครับว่าปู่รหัสมีคาถาอาคมอะไรในการป้องกันเชื้อบ้าของลุงรหัสและพี่รหัส

            ‘ปั่ก’

            นั่งดูพี่ลำไยทะเลาะกับลุงรหัสอยู่ดีๆ แรงกระแทกจากด้านหลังพร้อมกับน้ำแดงที่หกราดหัวลงมาก็เล่นเอาผมสะดุ้ง ลุงรหัสที่นั่งอยู่ข้างๆกระเด้งตัวออกโดยอัตโนมัติ เขาร้องเสียงหลงเพราะตกใจไม่แพ้ผมนั่นแหละ เพื่อนสนิทที่นั่งเล่นเกมอยู่เงียบๆมานานสองนานถึงกับหันไปจะหาเรื่องคนด้านหลังแต่เจ้าของน้ำแดงแก้วนั้นรีบขอโทษขอโพยก่อน

            “เฮ้ยขอโทษๆ ไม่ได้ตั้งใจ พอดีเพื่อนมันชนอ่ะ”

            “ขอโทษจริงๆครับ แค่จะแกล้งเพื่อนเฉยๆอ่ะ โอเคมั้ย”

            ผมนั่งมองหยดน้ำแดงที่หยดจากปรอยผมลงมาสัมผัสกับแขนเสื้อสีขาวของตัวเอง พลางคิดไปถึงเรื่องที่หมอดูทัก

            ถ้าหมอดูทักว่าช่วงนี้ผมจะโชคร้ายล่ะก็ ก็อาจจะเชื่อนะ

            “วันหลังเล่นกันระวังๆหน่อย คนอื่นเขาเดือดร้อน” ลุงรหัสขึ้นเสียง ผมเลยรีบดึงเขากลับมาก่อนที่จะมีเรื่องไปมากกว่านี้

            “ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค”

            มันก็แค่จะเหนียวๆหน่อย

            “เฮ้ยเราขอโทษจริงๆนะ นายโอเคใช่ป่ะ เดี๋ยวเราไปหาเสื้อมาให้เปลี่ยน” ฝ่ามือของเจ้าของแก้วน้ำแดงที่เหมือนจะมีโซดาผสมอยู่ด้วยแตะลงเบาๆบนไหล่ของผม ผมหันไปสบตาเขาพลางยิ้มให้เขานิดๆ

            “ไม่เป็นไร เราโอเค”

            ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป แต่เขาก็ไม่ยักจะเชื่อว่าผมโอเคจริงๆแฮะ

            สุดท้ายก็เลยต้องมาล้างหัวล้างตัวที่ก๊อกน้ำล้างมือของทางโรงอาหาร เสื้อนักศึกษาสีขาวเปื้อนน้ำแดงเป็นคราบดูน่ากลัว เพราะแบบนี้ผมเลยต้องจำใจรับเสื้อยืดของเด็กคณะวิศวะมาเปลี่ยน

            “เราขอโทษจริงๆนะ ไม่ได้ตั้งใจอ่ะ”

            เขาก้มหัวขอโทษขอโพยผมประมาณรอบที่สิบได้แล้วมั้งครับ

            ผมไม่ได้โกรธอะไรเลย สงสัยอยู่กับปู่รหัสบ่อยไปหน่อยเลยติดเชื้อความใจเย็นมาจากเขา

            “ยังไงก็ ขอบคุณเรื่องเสื้อนะ ไว้เดี๋ยวเราซักมาคืนให้” ดูจากสกรีนบนเสื้อแล้ว น่าจะเป็นเสื้อที่เอาไว้ใช้รับน้องของคณะวิศวะแฮะ อาจจะเป็นของสำคัญก็ได้

            “เฮ้ยไม่เป็นไร เรายังไม่ได้ใช้”

            ยังไม่ได้ใช้กับไม่ใช้แล้วนี่ คนละความหมายกันเลยนะ

            “เออน่า เดี๋ยวเราซักมาคืนให้” ยื้อกันไปยื้อกันมา สุดท้ายเขาก็ยอมแต่โดยดี ถ้าขืนไม่ยอมแล้วไม่มีเสื้อใส่เข้ารับน้องล่ะก็ เดี๋ยวก็ได้โดนรุ่นพี่เฉ่งเอาหรอก

            “อ่าโอเค งั้นเราขอไลน์ไว้ได้ป่ะ จะได้นัดเอาเสื้อคืนอ่ะ”

            “อือ” เขายื่นโทรศัพท์มาให้ผมกดไอดีไลน์ ซึ่งผมก็กดไปให้แบบไม่ได้คิดอะไร

            ผมและนายน้ำแดงแยกจากกันโดยที่ก่อนจะแยกกันเขาก็ยังขอโทษไม่ยอมหยุด เพื่อนสนิทผมหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินเข้ามาพลางดึงเสื้อสีขาวเปื้อนน้ำแดงในมือผมไปกางดู

            “โอ้โห เปื้อนเยอะเลย ไอ้ห่าแกล้งอะไรของมันอย่างกับจงใจ”

            ไม่หรอก ถ้าจงใจเขาจะเอาเสื้อรับน้องตัวเดียวที่มีอยู่มาให้ผมใส่ทำไมล่ะ จริงมั้ย?

            เดินกลับมาที่โต๊ะที่พี่ๆยังนั่งกินข้าวกันอยู่ ผมก็ดันลื่นน้ำแดงที่หกอยู่ที่พื้นจนเกือบหัวทิ่ม ดีที่เพื่อนดันหลังเอาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นก็คงลงไปนอนจมกองน้ำแดงกลางโรงอาหารเนี่ยแหละ

            โอเค เชื่อก็ได้

            สงสัยจะซวยจริงๆนั่นแหละ

           

            “ใส่เสื้ออะไรมา”

            คนตัวสูงยืนสำรวจหน้าหลังของผมไม่หยุดตั้งแต่ลงจากรถไฟฟ้า พี่กันหมุนตัวผมไปรอบๆเหมือนกำลังดูว่าเสื้อเนี่ย มันไม่ได้มาจากคณะผม แต่มาจากคณะเพื่อนบ้านที่ผมและเพื่อนชอบไปกินข้าวกันบ่อยๆเพราะอาหารอร่อย

            “เสื้อเด็กวิศวะนี่”

            พยักหน้าตอบคำถามเขา

            “ได้มายังไง ใครให้มา”

            “มีคนทำน้ำแดงหกใส่อ่ะ” กลัวพี่กันจะไม่เชื่อ เลยดึงเสื้อที่เปื้อนน้ำแดงเป็นคราบออกมาจากกระเป๋าผ้าให้เขาดู “เขาก็เลยเอาเสื้อมาให้เปลี่ยน เสื้อรับน้องของเด็กวิศวะอ่ะ”

            “แล้วก็รับมาเนี่ยนะ”

            “อือฮึ ก็ตอนนั้นมันไม่มีทางเลือกนี่นา”

            “ถอดเลย ถอดๆ” พี่กันทำท่าจะเลิกเสื้อของผมขึ้น ผมรีบตีมือเขาดังเพี๊ยะ

            “พี่กัน!”

            นี่มันกลางสถานีรถไฟฟ้าพี่จะมาถอดอะไรเล่า!

            “เขาให้มาก็ต้องรับไว้สิ เดี๋ยวก็เอาไปคืนแล้ว”

            คนตัวสูงมองตาขวางแบบไม่พอใจ พอเห็นแบบนั้นเลยดึงแก้มเขาเบาๆ

            ก็รู้น่าว่าเขาหวง แต่นี่มันเป็นอุบัติเหตุที่ฝ่ายนั้นเองก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ก็แค่ยืมเสื้อมาวันเดียว เดี๋ยวกลับหอเอาไปซักแล้วตาก แห้งเมื่อไรก็เอาไปคืน แค่นั้นก็จบแล้ว

          “ถ้างั้นไปซื้อเสื้อใหม่ มานี่เลย”

            แล้วเขาก็ลากผมไปซื้อเสื้อใหม่ตามที่ปากพูดจริงๆ เสื้อยืดสีขาวขนาดพอดีตัวมาอยู่ในมือผม เขาเลือกให้เสร็จสรรพ แถมยังบังคับให้เปลี่ยนทันทีเลยด้วย

            เลือกเสื้อแบบไหนไม่เลือก เลือกเสื้อสกรีนที่มีคำว่า GUN ตัวเบ้อเริ่มแปะอยู่ตรงกลางเนี่ย

            “วันหลังห้ามรับของจากคนแปลกหน้ารู้มั้ย”

            “ผมอายุจะสิบแปดแล้วนะ”

            “อายุสิบแปดแล้วโดนหลอกไม่ได้หรือไง อายุสามสิบยังโดนหลอกได้เลย”

            ทำไมพูดแล้วต้องทำหน้าดุด้วยเล่า

            “แล้วก็ห้ามสบตากับใครด้วย”

            “ทำไมถึงสบตาไม่ได้อ่ะ”

            พี่กันหันมาทำตาขวางใส่ผม เขาเดินดุ่มๆเข้ามาใกล้เหมือนจะเข้ามาหาเรื่องเลยครับ

            “ตามึงอ่ะมีเวทมนตร์”

            หือ

            “ยังไงอ่ะ”

            “ใครสบตาก็ตกหลุมรักมึงทุกคน”

            “แล้วจะให้ทำไงอ่ะ หลับตาเดินเหรอ”

            “ใช่ เพราะถ้าคนอื่นสบตามึงล่ะก็ เวทมนตร์ที่มึงสะกดกูไว้ก็จะเสื่อม”

            “คือไรอ่ะ”

            “กูก็จะหมดรักมึง”

            กะพริบตาปริบๆมองคนตัวสูงที่เดินนำออกไป ยังไม่ทันไรโทรศัพท์ในมือก็สั่นครืด ผมเปิดดูข้อความในไลน์ที่มีใครบางคนกดส่งมาเมื่อตะกี้

            นายน้ำแดงนั่นแหละครับ

            เสื้ออ่ะไม่ต้องรีบคืนก็ได้นะ ยังไม่รีบใช้อ่ะ

            ผมกดส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายร้องเสียงดังว่า Sir Yes Sir กลับไป

            น่ารักเนอะ

            *กระต่ายเหรอ

            อือ

            ทั้งกระต่ายทั้งคน


            ถลึงตาใส่ข้อความนั้นด้วยความตกใจ ผมรีบเดินตามไปหาพี่กันพลางดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ คนตัวสูงที่สวมชุดนักศึกษาหันมามองแบบไม่พอใจเท่าไร

            หรือว่าที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง

            เพราะผมสบตากับนายน้ำแดงเข้าไปแล้ว

            “พี่กัน”

            “หือ”

            “จริงเหรอที่พี่บอกว่าตาผมมีเวทมนตร์”

            “อือ” เขาพยักหน้า

            “ทำไม ไปร่ายมนตร์ใส่ใครไว้อีกอ่ะ”

            ยื่นโทรศัพท์ในมือให้เขาดู ถ้าเป็นพี่กันล่ะก็จะต้องดูออกแน่ๆว่าจุดประสงค์ของนายน้ำแดงคืออะไรกันแน่ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นอุบัติเหตุนั่นแหละ แต่พอพิมพ์แบบนั้นมา ก็เริ่มคิดแบบเพื่อนตัวแสบแล้วว่าอาจจะเป็นการจงใจก็ได้

            “ร่ายมนตร์ใส่คนอื่นอีกแล้ว”

            “จริงเหรอ”

            “อือ”

            “แล้วทำไงอ่ะ ทำไงดี เขาจะไม่มาตกหลุมรักผมใช่มั้ย” ผมลนลานอยู่ข้างๆพี่กัน เขาหัวเราะหึหึอยู่ในลำคอ

            “อยากให้ช่วยป่ะ เดี๋ยวคุยให้”

            คนตัวสูงพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในโทรศัพท์ เขายิ้มมุมปากเหมือนมีแผนชั่วร้าย นี่คิดถูกหรือคิดผิดล่ะเนี่ยที่เอาโทรศัพท์ให้เขา กดอยู่สักพักก็คืนโทรศัพท์กลับมาแล้วเดินหนีออกไป

            ผมกดดูข้อความที่พี่กันส่งไป

            *กระต่ายมีเจ้าของแล้ว

            *คนก็มีเจ้าของแล้ว

            *จีบคนมีเจ้าของมันบาปนะครับน้อง

            เท่านั้นไม่พอ พี่กันยังรัวสติ๊กเกอร์กระต่ายที่ผมจ่ายเงินซื้อมาส่งกลับไปอีกด้วย แถมยังเลือกเฉพาะตัวที่กวนประสาทที่สุดอีก

            *สลัดผัก

            *กลาก

            *ไอ้บ้านี่

            *อยากปะทะหรอ

            *อย่าหาว่าสอนเลยนะ

            *…เงิบไปดิ

            ไอ้คนเงิบเนี่ย

            คือผม

            นี่มันไม่ใช่วิธีการคุย แต่เป็นการเกทับต่างหากล่ะ แล้วเขาจะมองผมเป็นคนแบบไหนกันล่ะเนี่ย

            ไอ้พี่กัน! ไอ้พี่บ้า!

            พอเห็นผมทำหน้าบูดใส่ เขาก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว ขาสองข้างของผมเดินดุ่มๆเข้าไปหาเขาพลางดันตัวพี่กันแรงๆจนเขาเซไปชนกับกำแพงด้านหลัง

            ทำไมพี่กันถึงเป็นคนแบบนี้นะ

            คนใจบาป!

            ตบตีกับเขาอยู่ไม่ทันไรโทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง คราวนี้นายน้ำแดงส่งข้อความรัวมาเลย

            อ้าว มีแฟนแล้วเหรอ
           
            ขอโทษๆ

            เสื้ออ่ะถ้าจะคืนฝากไว้ที่ร้านน้ำปั่นก็ได้นะ


            พอเห็นข้อความแบบนั้น ก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย เห็นจากหางตาเหมือนว่าใครอีกคนจะชะโงกหน้ามามอง พอผมเงยหน้าขึ้นไปพี่กันก็ทำเป็นมองไปอีกทางพลางผิวปากไม่รู้ไม่ชี้

            “เป็นไง ได้ผลป่ะ”

            “ไม่ต้องมาพูดเลย” ป่านนี้นายน้ำแดงคงนึกว่าผมเป็นคนพิมพ์ข้อความนั้นแน่ๆ ผมไม่ใช่คนกวนประสาทขนาดนั้นสักหน่อย

            คนตัวสูงยังยืนขำตัวงอไม่หยุด ไอ้คนนิสัยเสีย

            ฝ่ามือของพี่กันวางลงบนกลุ่มผมของผมแล้วขยี้เบาๆ เขาปล่อยท่าไม้ตายของเขาอีกแล้ว

            ใจผมเต้นรัวขึ้นมาจนจับจังหวะไม่ได้เลย

            “ไอ้กระต่ายต๊องเอ้ย” 

            “พี่แกล้งผมอ่ะ”

            “แต่ก็ได้ผลนะ”

            “นิสัยไม่ดี”

            “โอ๋ๆ คุณกระต่ายไม่โกรธสิครับ”

            เขาวางแขนของตัวเองลงบนไหล่ของผมพลางโยกตัวไปมาเหมือนต้องการจะง้อ

            “หายโกรธเร็ว”

            “ไม่”

            “เดี๋ยวก็จับทำแกงกระต่ายเลย”

            คนเลว!

            ที่หมอดูบอกไว้ว่าดวงของผมจะเจอคนรักคนชอบมากมายแต่ต้องระวังคนคิดร้ายเนี่ย มันใช่คนๆเดียวกันหรือเปล่าครับ เพราะพี่กันเนี่ย ทั้งชอบผมแถมยังคิดร้ายกับผมตลอด

            สรุปว่าคนที่ผมต้องระวัง คือคนดวงแข็งที่ผมต้องอยู่ด้วยใช่มั้ยครับหมอดู

 

            พอพ้นออกมาจากบริเวณขายเสื้อผ้า ผมและคนตัวสูงก็เดินไปตามทางเพื่อตรงไปยังห้องสมุดสาธารณะ ถึงแม้ว่ามิดเทอมจะผ่านไปด้วยดี แต่ยังไงก็ต้องติวจนกว่าพี่กันจะสามารถสอบผ่านไฟนอลไปได้อย่างปลอดภัยแหละครับ

            ช่วงหลังๆก็ดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็สามารถแปลออกได้ เขาสามารถจำคำศัพท์ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เรื่องแกรมม่านี่สอนเพียงแค่ครั้งสองครั้งก็เข้าใจแล้ว แต่ถ้าถามถึงความเลวร้ายเรื่องการออกเสียงคำล่ะก็ ยังต้องใช้เวลาแก้อีกนาน

            พี่กันเป็นประเภทที่ว่าไม่สามารถออกเสียงคำได้ครับ ถึงจะจำความหมายได้ แปลออก ก็ออกเสียงไม่เคยถูก อาจจะเป็นเพราะสมองของเขาใช้พื้นที่ส่วนมากไปกับการคำนวณและเรื่องทางวิทยาศาสตร์ อย่างที่เขาเคยบอกว่าเขาเก่งด้านคำนวณอย่างเช่นแคลคูลัสเอามากๆ ผมเคยเห็นเวลาว่างๆเขาอ่านหนังสือพวกแคลคูลัสเล่นด้วย

            ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นอะไรที่สมองเขาไม่เปิดรับ ระบบการสะกดคำก็เลยรวนไปหมด ขนาดนั่งสอนวิธีการไล่เสียงคำ ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่สามารถอ่านออกเสียงได้เหมือนคนทั่วไป อย่างเช่นคำว่า User เขาก็ไม่อ่านว่า ยูสเซอร์ พี่กันจะอ่านเป็น อูซี หรือคำว่า Visual ก็ไม่อ่านเป็น วิชวล แต่อ่านเป็น ไวซูอั้น

            แต่เวลาสอบเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปพูดสะกดคำให้อาจารย์ฟัง ดังนั้นขอแค่แปลออกและตอบได้เท่านั้นก็พอแล้วล่ะ

            “แต่เรื่องตามึงกูไม่ได้โกหกนะ”

            จู่ๆพี่กันก็โพล่งขึ้นมา ผมหันไปสบตากับเขาเพียงแค่แวบเดียวก็ต้องกลับมาจ้องรองเท้าผ้าใบของตัวเอง

            “ทำไมล่ะ”

            “ตามึงอยู่กับยาย”

            ห่ะ

            นี่คือเล่นมุกเหรอ

            “ตลกเหรอ”

            “อ้าวไม่ขำเหรอ”

            “อยากให้ขำเหรอ หัวเราะให้นิดนึงก็ได้ ฮ่าๆ”

            “ไอ้เด็กนี่” เขายกมือทำท่าจะตีผม แต่เปลี่ยนเป็นผลักหัวผมเบาๆ

            “กูไม่เคยบอกใช่ป่ะว่ากูตกหลุมรักมึงครั้งแรก เพราะสบตากับมึง”

            ขาสองข้างของผมหยุดเดินไปโดยอัตโนมัติ ผมหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะตกใจที่ได้ยินแบบนั้น สายตามองจ้องไปยังรองเท้าของตัวเอง ที่จู่ๆรองเท้าอีกคู่ของใครอีกคนก็มายืนอยู่ตรงหน้า

            เหมือนหูฝาดไป เมื่อกี้สิ่งที่ผมได้ยินมันคือความจริงหรือเปล่า

            “จริงเหรอ”

            “อือ แค่สบตา ก็ชอบเลย”

            ริมฝีปากของผมเม้มเข้าหากันแน่น อยากจะยิ้มออกมาแต่ก็ดันทำไม่ได้ ใจเต้นรัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ใบหน้าร้อนผะผ่าวจนไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา ได้แต่ก้มหน้าเหมือนหนีความผิด

            ผมเองก็ยังไม่ได้บอกพี่กันเลยว่าครั้งแรกที่เจอกับเขา ครั้งแรกที่ตกหลุมรักเขา

            ก็เพราะสบตากับเขานั่นแหละ

            “กูถึงบอกไงว่ามึงร่ายมนตร์ใส่คนที่สบตากับมึงหรือเปล่า”

            เปล่า

            ผมไม่ได้มีเวทมนตร์อะไรแบบนั้นหรอก พี่กันต่างหาก…

            “พี่นั่นแหละ ร่ายมนตร์ใส่ผม”

            “หืม”

            ผมน่ะ

            “เพราะแค่สบตากับพี่วันนั้น ก็ชอบพี่เลย”

            ไม่รู้ว่าพี่กันทำหน้าแบบไหนออกมา ไม่รู้ว่าเขาจะเขินจนหลุดยิ้มกว้างออกมาหรือเปล่า หากแต่ผมไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไป ไม่กล้าที่จะสบตากับเขาตอนนี้ ไม่กล้าที่จะจ้องนัยน์ตาสวยๆนั่น เพราะรู้ตัวว่าถ้าสบตากับเขาตอนนี้ล่ะก็ ผมคงโดนเวทมนตร์ของเขาเข้าไปอีกครั้ง

            ครั้งแรกก็ว่าหัวใจมันสาหัสแล้ว ถ้าโดนครั้งที่สองล่ะก็ ตายคาอกสมใจเขาแน่ๆล่ะ

            เวทมนตร์ของพี่กันน่ะ ถ้าโดนแล้ว

            ไปไหนไม่รอดหรอกครับ

            ผมพิสูจน์มาแล้ว เชื่อสิ





// มองตาน้องกอดจะต้องมนตร์ แต่ถ้าพี่กันมองตาเรา จะต้องตกเป็นของเรานะ (โดนน้องกอดตบ)

///// ขอโทษแงงงงงงงงงงงงงงงงไม่มีเวลามาลงให้เลยไม่ว่างพอๆกับนังคนแต่งนั้นแหละ แต่หลังจากนี้จะเอามาลงถี่ๆละ
รอกันเด้อ รักจุบๆ #แอดพี

หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 23 {17.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-11-2017 17:19:12
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 23 {17.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-11-2017 17:23:00
 :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 23 {17.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-11-2017 19:48:41
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 23 {17.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 17-11-2017 23:07:11
กอดกันกลับมาแล้ว :mc4:
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 23 {17.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 17-11-2017 23:53:54
น้องกอดด นานมากเลยกว่าจะมาให้คิดถึง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 23 {17.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 21-11-2017 20:37:03
ฮื่ออออ โคตรคิดถึงพี่กันน้องกอดเลยค่ะ นึกว่าจะไม่มาต่อซะแล้ว :hao5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 22-11-2017 20:22:25
Chapter 24
โค้ดลับเฉพาะ

 

          ผมเดินเข้ามาในห้องสมุดสาธารณะพลางทิ้งตัวนั่งลงข้างๆปู่รหัสที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ ชีวิตของเด็กมหาลัยตัวน้อยๆ วันๆหมกมุ่นอยู่กับการเรียน การอ่านหนังสือ การติวเพื่อให้สอบผ่าน

            อยากไปเที่ยวทะเลจังเลย

            “สวัสดีครับ”

            ผมยกมือไหว้ปู่รหัสเหมือนทุกครั้ง ถึงแม้จะสนิทกับเขาแบบพี่ชายน้องชาย แต่ก็ยังนับถือเขาเป็นปู่รหัสอยู่นั่นแหละ มองไปด้านหน้าเห็นพี่รหัส ลุงรหัส แล้วก็เพื่อนสนิทกำลังทำหน้าตาตลกๆเล่นกันโดยมีพี่รหัสเป็นคนถือโทรศัพท์อยู่

            “ทำอะไรกัน”

            “เล่นไอ้แอพที่เปลี่ยนหน้าอ่ะ”

            อ๋อ

            “น้องกอด มาเล่นกับพี่มา”

            พี่รหัสกวักมือให้ผมเข้าไปร่วมวงด้วย แอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการเปลี่ยนหน้าของเราให้กลายเป็นการ์ตูนน่ารักๆ หรือหน้าตาตลกๆเอาไว้เล่นกับเพื่อน

            “เอาอันนี้ดิๆ เชี่ย โคตรจี้” ลุงรหัสเป็นคนคอยบงการอยู่ข้างหน้าว่าจะเอาหน้าไหนดี แต่ละหน้าที่ลุงเลือกมา ไม่หน้าอูมเหมือนโดนผึ้งต่อย ก็หน้าแหลมเหมือนหัวปลีกล้วยอ่ะ

            พอถ่ายรูปเล่นจนหนำใจ ผมก็โดนเตะส่งกลับมานั่งเจี๋ยมเจี้ยมข้างๆปู่รหัสเช่นเคย

            “กับไอ้กันเป็นไงบ้าง โอเคมั้ย” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของปู่ถามออกมา ผมพยักหน้าเบาๆ

            “ก็เรื่อยๆนะ”

            “เรื่อยๆแล้วชอบมั้ย”

            “ครับ”

            “อือ ไม่ต้องไปเร่งหรอก ให้มันค่อยเป็นค่อยไปนั่นแหละ”

            ฝ่ามือของปู่แตะลงบนกลุ่มผมของผม ถึงเขาทั้งสองคนจะเป็นพี่น้องต่างแม่ แต่ก็ถูกเลี้ยงมาโดยพ่อคนเดียวกัน ดังนั้นลักษณะนิสัยค่อนข้างจะเหมือนกัน แม้บุคลิกจะต่างกันคนละขั้วก็ตาม

            ปู่รหัสจะเป็นน้ำแข็ง ส่วนพี่กันจะเป็นไฟ คิดว่าแบบนั้นล่ะนะ

            “ไอ้กันบอกหรือยังว่าสอบย่อยอิ้งล่าสุดมันได้ท็อปห้อง”

            “จริงเหรอ” ผมหันไปมองปู่ตาเป็นประกาย

            “ขอบคุณเรามากที่อดทนสอนมัน ไม่อย่างนั้นโดนไล่ออกไปแล้ว”

            รู้สึกภูมิใจเลยล่ะครับ การได้ยินว่าคนที่เราสอนสอบได้ท็อปเนี่ย มันสุดยอดเลยจริงๆ

            ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่สักพักก่อนจะปลีกตัวออกไปซื้อชานมธัญพืชร้านตรงข้ามกับห้องสมุด สำหรับพี่กันอาจจะเดินน้อยก้าว แต่สำหรับผมต้องเดินหลายก้าวกว่าจะเดินถึง

            จะว่าไป ผมเองก็ยังไม่ได้ถามเขาเลยว่า วันนั้นที่ตัวเปียกโชกขนาดนั้น เพราะไปซื้อชานมจริงๆเหรอ ดูจากระยะทางแล้ว วิ่งมาก็ไม่น่าจะเปียกขนาดนั้นนี่นา

            “เหม่อคิดถึงกันล่ะสิ”

            ผมสะดุ้งเมื่อใครบางคนกระซิบข้างหู จำน้ำเสียงของเขาได้แม่นถึงได้รู้ว่าเป็นพี่กันที่ยืนยักคิ้วอยู่ด้านหลัง บทจะโผล่ก็โผล่มาเหมือนมีประตูมิติแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ตกใจหมด

            วันนี้เขาสวมชุดแปลกตาจากที่เคย ปกติแล้วเขาจะชอบใส่สีดำเพื่อไม่ให้ดูเด่นท่ามกลางคนหมู่มาก เพราะแค่หน้าตาก็เด่นพออยู่แล้ว วันนี้เลยเปลี่ยนแนวใส่เสื้อสีขาวอยู่ด้านใน ด้านนอกซ้อนทับด้วยแจ็คเก็ตสียีนส์ผ้าเนื้อบาง

            หุ่นนายแบบจริงๆนะเนี่ย

            “อย่ามองนาน”

            “ทำไมอ่ะ”

            “เขิน”

            เขาเบ้ปากแล้วเดินแทรกตัวเข้ามาสั่งชานมธัญพืชเพิ่มอีกแก้ว ผมเลยได้แต่ยืนยิ้มให้แผ่นหลังกว้างๆของเขาเป็นบ้าอยู่คนเดียว

            “ไม่มีเรียนเหรอวันนี้” ถามระหว่างที่เราสองคนเดินห่างออกมาจากร้านชานม

            “ไม่มี วันนี้ไปโรงงานอาหารกระป๋องมา ตัวเหม็นป่ะ” เขาเอนตัวมาให้ผมดมเสื้อ จมูกของผมดมกลิ่นฟุดฟิด ได้กลิ่นแต่กลิ่นน้ำหอมจางๆของเขานั่นแหละ

            “ไม่เหม็น”

            ตอนแรกว่าจะกลับเข้าไปอ่านหนังสือ แต่พี่กันยื้อเอาไว้ไม่ยอมให้กลับ เขาบอกว่าเพื่อนเขาเองก็รออยู่ข้างใน เลยพาผมไปเดินเล่นกินลมตอนเย็นๆก่อน

            ใกล้ๆกันมีงานเทศกาลอาหารเกาหลี และผมคิดว่านั่นแหละคือสาเหตุที่พี่กันไม่ยอมกลับเข้าห้องสมุด ของกินสามารถล่อเขาออกไปทุกที่เลยจริงๆ

            งานเทศกาลอาหารเกาหลีเป็นซุ้มผ้าใบสีขาวเล็กๆหลายๆซุ้ม ผู้คนจำนวนหนึ่งเดินสวนกันไปมาพอสมควร ไฟสีส้มนวลๆถูกเปิดขึ้นเมื่อท้องฟ้าเริ่มจะมืดลง สองข้างทางประดับประดาด้วยไฟกระพริบสวยงามทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย รวมไปถึงเพลงภาษาเกาหลีเบาๆที่มีคนมาร้องสดให้ฟัง

            “อยากกินไรก็บอกนะ”

            “ทาโกยากิ เครป ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ชีส”

            “หมูนิ่มเอ้ย” มือหนักๆของเขาผลักหัวผมเบาๆ

            อากาศเย็นๆที่เหมือนกำลังจะพัดพาเมฆฝนมา ผมสูดไอเย็นๆเข้าเต็มปอด กลิ่นอาหารหอมๆโชยไปทั่วบริเวณกระตุ้นความหิวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เราสองคนเดินอยู่ข้างๆกัน สายตาของพี่กันเป็นประกายเหมือนคนที่หลงใหลอะไรบางอย่าง เขารักของกินเอามากๆเลยล่ะ

            มือของเราชนกันนิดๆเวลาเดินไปแต่ละย่างก้าว นิ้วก้อยของพี่กันอยู่ห่างแค่นิดเดียวเอง ผมอยากจะจับมือเขา แต่ตอนนี้เราอยู่ในที่สาธารณะ และผมคงทำมันไม่ได้

            แค่ที่เป็นอยู่ก็โอเคแล้ว ปู่รหัสเองก็บอกว่าไม่ต้องเร่งรีบอะไร

            แต่บางทีผมก็คิดว่า ถ้าสามารถจับมือเขาในที่สาธารณะแบบนี้ได้โดยไม่ต้องแคร์สายตาใครแบบคู่รักคนอื่นๆ ก็คงจะดีมากๆล่ะเนอะ

            ผมเดินแยกจากพี่กันที่กำลังสั่งทาโกยากิเกือบยี่สิบลูกไปฝากเพื่อนๆของเขาและสายรหัสของผม สายตาของผมหยุดมองอยู่ที่คู่รักชายหญิงคู่หนึ่งด้านหน้าที่เดินจับมือกัน

            พี่กันและผมเอง ก็มีช่วงเวลาแบบนั้น ได้เดินจับมือกัน ได้กอดกัน ได้ยืนข้างๆกัน หากแต่ช่วงเวลาเหล่านั้นคือช่วงที่ไร้ผู้คน ถ้ามีผู้คนมากๆรอบกายแบบนี้ล่ะก็ ผมก็คงไม่กล้า

            เราเคยจับมือกันในคอนเสิร์ต หากแต่ตอนนั้น มันไม่มีใครมาสังเกตว่าเราสองคนกำลังจับมือกันอยู่หรือเปล่า เพราะทุกสายตาก็จับจ้องไปที่นักร้องกันหมด

            พลันคำพูดแย่ๆของพ่อก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว ทั้งคำด่าทอ ดูถูก และเหยียดหยามราวกับผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผิดปกติ ผมพยายามสะบัดไล่ความคิดพวกนั้นออกไปก่อนที่อะไรเย็นๆบางอย่างจะสัมผัสลงที่ท้ายทอยด้านหลังทำให้หลุดจากภวังค์

            “เหม่ออะไร”

            พี่กันถือของกินเต็มไม้เต็มมือไปหมด เลยยื่นมือออกไปตรงหน้าเพื่อจะช่วยเขาถือ หากแต่เขากลับเอาของทั้งหมดไปถือไว้มือเดียว แล้วเอามือข้างที่ว่างมาสัมผัสกับมือของผม มือใหญ่ๆอบอุ่นของเขากุมมือของผมเอาไว้พลางยิ้มออกมา

            รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของผมอ่อนแอเสมอๆ

            เขายังคงเป็นเหมือนกระสุนที่เจาะทะลุหัวใจ ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้

            “อยากจับมือทำไมไม่ขอล่ะ”

            “แต่ว่า…”

            ผมมองไปรอบๆกาย ผู้คนเริ่มจะหันมามองเราสองคนแล้ว มากไปกว่านั้นยังมีเสียงซุบซิบ โดยเฉพาะคำสบถที่ว่า ‘พวกผิดเพศ’ ผมก้มหน้าลงต่ำพลางพยายามดึงฝ่ามือของตัวเองออกจากมือของพี่กัน แต่คนตัวสูงไม่ยอมปล่อยมันออก มิหนำซ้ำเขายังมองตาขวางไปยังบุคคลที่สบถคำนั้นออกมา พอเจอสายตาอำมหิตเข้าไป คนๆนั้นก็รีบเดินออกไปทันที

            “อย่าไปสนใจ”

            “แต่ว่า”

            “กอด มองหน้าพี่”

            ค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นไปสบตากับเขา พี่กันกุมมือของผมแน่น นัยน์ตาสวยๆที่สบกลับมานิ่งสงบราวกับต้องการจะปลอบให้ใจที่กำลังร้อนรนจนแทบจะบ้าของผมนิ่งลง มันแฝงไปด้วยความห่วงใยและความอบอุ่น สายตาของเขาไม่เคยโกหกเลยจริงๆ

            เขาดึงผมให้ออกเดินไปตามทาง โดยไม่สนว่าใครจะมองหรือไม่ ผมทำได้เพียงแค่ก้มหน้างุดๆแล้วเดินตามเขาไป สุดท้ายก็อึดอัดจนแทบระเบิด

            “ผมทำไม่ได้”

            “ไม่เป็นไร จับชายเสื้อไว้”

            ลดจากการจับมือเป็นเพียงแค่การจับชายเสื้อเชิ้ตตัวบางของเขาเอาไว้เพื่อให้เขานำทางเดินฝ่าฝูงชนออกไป พี่กันก็ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้บ่นหรือว่าอะไร

            เหมือนเขาเข้าใจดี ว่าผมไม่มีภูมิต้านทานต่อสายตาพวกนั้น ยิ่งคำพูดแย่ๆพวกนั้นอีก แม้พี่กันจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สุดท้ายสายตาของคนเหล่านั้น ก็ยังเต็มไปด้วยคำพูดที่ว่าผมและเขา คือสิ่งผิดปกติของโลกใบนี้

            “ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ” เขาถามระหว่างที่เรามานั่งเล่นกันอยู่ตรงลานกว้าง ฟ้ามืดแล้ว และในเมืองก็เห็นแสงดาวไม่ชัดเหมือนตอนที่ได้ไปเที่ยวเขาใหญ่

            “ผมก็คิดทุกเรื่องนั่นแหละ”

            นิ้วเรียวๆของพี่กันสัมผัสลงระหว่างคิ้วของผม หมุนวนเบาๆ

            “ไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดทุกเรื่องหรอก มีอะไรก็บอกกูได้”

            พยักหน้าตอบเขา

            “แฟนกันอ่ะ มันมีไว้เพื่อแบ่งเบาความทุกข์ความสุขของกันและกันนะ”

            พอเขาพูดแบบนั้นผมก็เผลอคลี่ยิ้มออกมาจางๆ

            นั่นสินะ

            แต่บางทีเรื่องที่ผมคิดมันก็เล็กน้อยซะจนกลัวว่าเขาจะรู้สึกรำคาญไปซะก่อนนี่สิ

            “ถ้าผมพูดไป พี่จะไม่รำคาญเอาเหรอ”

            “ไม่รำคาญและจะไม่มีวันรำคาญด้วย”

            อย่างนั้นเหรอ

            “มึงตีค่าความรู้สึกของกูเท่าไหนกอด มึงว่ากูรักมึงเท่าไหน”

            บอกตามตรงว่าผมไม่รู้ ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้

            พี่อาจจะรักผมน้อย หรือ มาก ขอแค่พี่รักผม แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ

            “แล้วพี่รักผมเท่าไหนล่ะ”

            “ปลาวาฬชุบแป้งทอด”

            “แล้วพี่ว่าผมรักพี่เท่าไหน”

            “ปลาวาฬชุบแป้งทอดสองตัว”

            ขนาดนั้นเลย

            “ผมรักพี่ประมาณนี้”

            มือข้างซ้ายของผมยืดออกไปจนสุดแขน มือข้างขวาจึงค่อยๆยืดตามออกไป กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกางแขนออกกว้างเพื่อบอกให้เขารู้ว่า ผมรักเขามากๆเลยนะ

            “แขนสั้นละยังมาอวด”

            “พี่กัน!”

            “หึ กูก็รักมึงเท่านี้เลย” เขายิ้มออกมาพลางกางแขนตามผมบ้าง แขนยาวๆของพี่กัน พอกางออกแล้ว มันยาวกว่าแขนของผมเยอะเลยแฮะ

            เราสองคนมองหน้ากันพลางหัวเราะออกมา คนที่เดินไปเดินมาอาจจะสงสัยว่าเราทำอะไรกัน แต่ผมไม่บอกหรอก เพราะเรื่องนี้ มันมีแค่กอดและกันที่รู้ยังไงล่ะ

            “อยากกอดพี่จัง” เผลอหลุดปากพูดออกไป ทั้งๆที่เรายังนั่งอยู่กลางแจ้ง คนตัวสูงส่งสายตาอบอุ่นกลับมาให้ เขาโอบวงแขนสองข้างเข้าหาตัวเอง

            พี่กันกำลังกอดตัวเอง

            “อยากกอดเหมือนกัน”

            พอเห็นแบบนั้นผมเลยโอบแขนสองข้างกอดตัวเองเอาไว้แล้วยิ้มตอบเขา

            “แบบนี้เหมือนเรากำลังกอดกันเลยเนอะ”

            ผมพูดออกมาพลางหัวเราะ

            “ถ้ามึงกลัวสายตาคนอื่น กูก็จะไม่ทำ ดังนั้นถ้าอยากกอดเมื่อไร ก็ทำท่าแบบนี้”

            พยักหน้าตามสิ่งที่เขาพูด

            เขาแคร์ความรู้สึกของผมมากจริงๆ เพราะรู้ว่าผมจะไม่โอเคถ้าโดนสายตาของคนอื่นๆมองมาแบบตั้งคำถามหรือไม่พอใจ ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือสร้างโค้ดลับเฉพาะที่เรารู้กันเพียงแค่สองคน

            ถ้าอยากกอดกัน ให้อ้าแขนแล้วกอดตัวเองเอาไว้

            แค่นั้น ก็เหมือนเราได้กอดกันแล้ว

            จริงมั้ยครับ

           

            หลังจากอ่านหนังสือกันเสร็จ ก็ถึงเวลาต้องแยกย้ายกันกลับไปคนละทาง

            ข้อดีของการอยู่ใกล้กัน มันทำให้คนสองคนได้เจอกันบ่อยๆหรือได้อยู่ด้วยกัน หากแต่ชีวิตของเขาและผม มาจากคนละเส้นทางที่ห่างกัน มหาลัยคนละมหาลัย และการเดินทางคนละสาย

            วันๆหนึ่งเราจึงใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าเพราะต่างคนต่างก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง มีชีวิตของตัวเอง ดังนั้นเวลาแค่นี้ แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว

            เพื่อนๆของพี่กันกลับกันไปก่อนแล้ว มีเพียงผมที่ยังอ่านหนังสืออยู่จนค่ำพร้อมๆกับสายรหัส เลยเดินออกมาส่งเขาก่อนเพราะหอของผมอยู่ใกล้แค่นี้ แต่หอของพี่กันน่ะอยู่ตั้งไกล

            “กลับดีๆนะ”

            คนตัวสูงส่งยิ้มมาให้

            ผู้คนบนสถานีรถไฟฟ้ายังคงเยอะเช่นเคยแม้จะเป็นเวลาดึกมากแล้ว เพราะคนที่ผ่านไปผ่านมา เลยทำให้เราสองคนทำได้เพียงแค่ยืนมองหน้ากัน

            จู่ๆเขาก็ยกมือขึ้นมาทำเป็นรูปหัวใจ แล้วอ้าแขนออกพลางกอดตัวเองเอาไว้

            โค้ดลับของเขา ที่เอาไว้บอกว่า

            ‘รักกอด’

            คนบ้า

            รอยยิ้มของเขาปรากฎอยู่บนใบหน้า ผมเคยบอกหลายๆครั้งว่ารอยยิ้มของพี่กันเหมือนกับกระสุนที่ยิงออกมาจากปลายกระบอกปืน มันทำให้ใจเราสาหัส มันทำให้หัวใจเราเต้นรัว ทำให้หน้าเราร้อนผ่าว

            หลายครั้งที่มักจะเป็นฝ่ายหลบตาเขา หากแต่วันนี้ กลับอยากจะจ้องมันให้นานกว่าที่เคย

            ผมกดจูบเบาๆลงบนหลังมือของตัวเอง พอเห็นแบบนั้นเขาเลยหลุดยิ้มออกมา พี่กันจรดริมฝีปากลงบนหลังมือของตัวเองบ้างพลางยื่นมือมาสัมผัสกลุ่มผมของผมเบาๆแล้วเดินหายเข้าไปในตัวสถานีเพื่อขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปยังที่ของตัวเอง

            จูบเบาๆบนหลังมือ

            หมายความว่า

            ผมอยากจูบเขา

            และเขาอยากจูบผม

            ความรู้สึกมันล้นทะลักจนห้ามไม่อยู่

            ผมใช้ฝ่ามือสองข้างแนบลงบนแก้มของตัวเองพลางหันหลังเพื่อที่จะเดินลงจากสถานี หัวใจเต้นรัวและแรง ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังคงเป็นแบบนี้เสมอๆ

            ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำตลอดเวลาที่ได้อยู่กับเขา

            จากเท้าสองข้างที่วิ่งค่อยๆเปลี่ยนเป็นเดินทีละก้าวก่อนที่ผมจะทรุดลงเมื่อเหยียบถึงขั้นล่างสุดของบันได นั่งเงียบๆกอดตัวเองเอาไว้พลางร้องไห้ออกมา

            ไม่รู้เพราะอะไร

            ก็แค่มีความสุข

            มีความสุขจนล้น

            แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากกอดเขาจริงๆ

            เป็นเพราะผมแท้ๆที่มัวแต่คิดมากเรื่องพ่อ ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะลืมเรื่องบ้าๆเหล่านั้น แต่พอเห็นสายตาของคนอื่นๆที่มองมาแล้ว มันก็กลับลืมไม่ได้ ยิ่งได้ยินคำพูดเหล่านั้น ความทรงจำแย่ๆยิ่งล้นทะลักเข้ามา มันยังฝังอยู่ในหัว มันไม่เคยเลือนลางหายไป

            บาดแผลที่เขาสร้างเอาไว้ มันหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะแก้ไข ผมอยากจะเป็นคนที่ลืมอะไรง่ายๆ แต่กลับทำไม่ได้เลยจริงๆ

            เพราะแบบนี้สินะ เขาถึงบอกว่าคำพูดของคน มันสามารถสร้างบาดแผลในจิตใจให้คนๆหนึ่งได้

            ถ้าเป็นคนที่มีพลังงานด้านบวกอยู่ตลอดเวลา ก็คงจะง่ายต่อการลบคำพูดพวกนั้นออกไป หากแต่ผมไม่ได้มีพลังงานด้านบวกมากมายขนาดนั้น

            เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทางด้านหลังไม่ได้ทำให้ผมเงยหน้าไปมอง ก็คงจะเป็นคนที่วิ่งลงมาจากสถานีเพราะรีบร้อนอะไรบางอย่าง แต่มันไม่ใช่เมื่อมือของใครสักคนจับข้อมือของผมเอาไว้ แรงฉุดกระชากทำให้ผมต้องเงยหน้ามองเขา

            ผู้ชายตัวสูงที่ควรจะขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปยังทิศทางของเขาวิ่งกลับมาเพื่อดึงผมไปที่ไหนสักที่ พี่กันลากผมไปหยุดในซอยแห่งหนึ่งที่ไร้ผู้คน ก่อนเขาจะสวมกอดผมเอาไว้

            แค่นั้นแหละน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุดเลย

            ผมรักเขาจัง

            พ่อหมีของผม

            “ทำไมถึงวิ่งกลับมาล่ะ”

            “เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าจะร้องไห้”

            ฝ่ามือของพี่กันปาดน้ำตาของผมออกไปเบาๆ ยิ่งทำแบบนั้นผมก็ยิ่งร้องไม่หยุด ความอบอุ่นจากร่างกายของเขามันยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น มันโอบอุ้มหัวใจของผมเอาไว้

            “ผมเหงามากเลย”

            “ผมคิดถึงพี่ด้วย”

            “อยากกอดพี่มากๆ”

            “แต่ผมไม่กล้าทำ”

            อ้อมกอดของพี่กันสวมกอดผมไว้หลวมๆ เขาโยกตัวไปมาเพื่อปลอบให้ผมหยุดร้องไห้ เสียงหัวเราะเบาๆของเขา รอยยิ้มของเขา ทุกสิ่งทุกอย่าง

            มันเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของผม

            “ทำไมถึงรู้ว่าผมจะร้องไห้ล่ะ” ผมถามเขาออกไประหว่างที่เขากำลังปาดน้ำตาให้ผมพลางหัวเราะไปด้วย พี่กันน่ะนะ ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังเผื่อแผ่ความสุขออกมาตลอด

            “กูก็ได้ยินเหมือนที่มึงได้ยินนั่นแหละ เลยรู้ว่าคิดมาก”

            “ต่อจากนี้ไม่คิดมากแล้วนะ ถ้ายังลืมคำพูดแย่ๆไม่ได้ ก็คิดถึงเรื่องดีๆไว้เวลาเจอคนพวกนั้น”

            “คิดอะไรอ่ะ”

            “ของกินไง บิงซู เกี๊ยวซ่า หวานเย็น ชานม บะหมี่ปู ข้าวไข่เจียวกุ้ง ลูกชิ้นกุ้ง ขนมเบื้อง วาฟเฟิล แล้วมีอะไรอีกมั้ย”

            “ไอศกรีม”

            “เออ คิดถึงของกิน ใครพูดไรไม่ดีใส่ก็กินมันเข้าไปเลย”

            คำพูดของเขาทำให้ผมหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา

            ความสุขของผมนอกจากแม่แล้ว ก็ยังมีสายรหัสและเพื่อนสนิท นอกจากนั้น คนที่เป็นความสุขให้ผมมาตลอดหลายเดือนนี้ คนที่คอยเป็นพลังให้ผมเสมอๆ

            คือผู้ชายคนนี้เนี่ยแหละ

            ผู้ชายที่ชื่อ ‘กัน’

            เขานี่แหละ คือโค้ดลับของความสุขของผม





// น้องกอดเป็นเด็กที่หวั่นไหวง่ายต่อคำพูดของคน ในทุกๆวันนี้คนประเภทนี้ยังมีอยู่มากมาย ดังนั้นเมื่อเราจะพูดอะไรออกไป หรือจะล้อใครเล่น ให้เราคิดไว้ว่าคำพูดที่ธรรมดาของเรา อาจจะรุนแรงและสร้างบาดแผลให้คนๆหนึ่งไปตลอดชีวิต

รักนะคะ คนอ่านทุกคน



หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-11-2017 20:35:49
งื้อออ น่ารักอบอุ่นเหมือกอดกันตลอดเวลาเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 22-11-2017 20:41:20
 :กอด1: น้องกอดด้วยคน เข้มแข็งนะลูกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-11-2017 21:12:15
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 22-11-2017 21:19:38
ซึ้งประทับใจตรง วิ่งกลับมาหาอ่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-11-2017 21:22:12
จะร้องไห้ตามน้องกอด :mew6:
อยู่กับพี่กันไม่ต้องกลัวอะไรแล้วน้าา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-11-2017 21:33:21
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 22-11-2017 21:38:03
น้องกันเราจะเอาความคิดคนอื่น
มาเครียดไม่ได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-11-2017 21:52:59
เข็มแข็งไวไวนะกอด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 22-11-2017 21:59:12
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 22-11-2017 22:12:09
 :กอด1:
+1  เป็นกำลังใจให้นะครับ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 23-11-2017 15:20:09
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 23-11-2017 19:10:32
น่ารักจังงงงงงง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 23-11-2017 21:55:54
หวานเบอร์แรง เขินแทนทุกตอนเลย  :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 24-11-2017 00:27:43
รู้สึกรักพี่กันจีงเลย...แต่พี่กันเป็นของน้องกอดนี่น่า5555มาต่ออีกนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 25-11-2017 18:46:13
พ่อหมีกอดน้องนานๆ หน่อย เอาก้อนใส่เป๋ากลับบ้านไปด้วยเอากลับไปกอดให้น้องหายเหงา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-11-2017 21:46:27
รู้สึกพลาดมาก เรื่องน่ารักขนาดนี้ เพิ่งเข้ามาอ่าน

แอบสงสัยเล็กๆ ตอนต้นๆเรื่องที่กอดหยอดเหรียญซื้อตั๋วรถไฟฟ้า
กอดน่าจะมีตั๋วรายเดือนนะ ขึ้นรถไฟฟ้าเป็นประจำงี่
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Fanun ที่ 04-12-2017 06:52:22
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากกก เป็นเรื่องที่ feel good จริงๆ อ่านแล้วยิ้มตลอดทั้งเรื่องเลย
เข้ามาต่อบ่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 04-12-2017 10:15:12
เจ็บปวดดว่าคนอื่นด่า ก็คนใกล้ตัว คนของเราด่านี่แหละ

คนอื่นยังรู้สึกช่างเค้าสิ ไม่ได้มีส่วนอะไรกับชีวิตเราเลย

แต่พอคนของเราไม่เข้าใจ นี่โคตรหนอย   



กอดน้องกอด
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-12-2017 20:53:06
พี่กันจำเป็นต้องน่ารักขนาดนี้เลยเหรอ

สงสารใจคนโสดบ้างงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 24 {22.11.60}
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 06-12-2017 18:26:33
พี่กันนนโอ้ยยยยใจน้องบาง :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 16-12-2017 11:18:32
Chapter 25
จิ้งจกทักเขาให้รักกัน

 

            ผมไขกุญแจพลางผลักบานประตูไม้เข้าไปในห้อง เผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กและแคบที่มีไว้สำหรับนอนคนเดียว เดินเข้าไปเปิดไฟ เสียงจิ้งจกก็ดันร้องทักเป็นอันดับแรกเหมือนจะทักทายว่า ‘กลับมาแล้วเหรอ’ สายตามองไปรอบๆห้องแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของมัน อย่าโผล่มาเลย ถ้าโผล่มาล่ะก็ ไม่ได้นอนแน่ๆล่ะคืนนี้

            ผมพยายามไม่สนใจรีบถอดรองเท้าออกแล้วยกไปวางเก็บบนชั้นเสร็จสรรพ คนตัวสูงที่ติดสอยห้อยตามกลับจากห้องสมุดชะเง้อคอมองพื้นที่ขนาดแคบในห้องก่อนจะเดินตามเข้ามา

            เทียบกับห้องที่หอของพี่กันแล้ว ห้องผมกลายเป็นรูหนูไปเลย

            พี่กันไม่ยอมกลับหอครับ เขาบอกว่าไหนๆก็พลาดรถไฟรอบนี้แล้ว เขาเลยตัดสินใจว่าจะนอนหอผมคืนนี้แล้วค่อยกลับพรุ่งนี้เช้า ซึ่งผมเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะเป็นฝ่ายที่ทำให้เขาพลาดรถไฟฟ้า

            ถึงปากจะบอกโอเคๆ แต่หัวใจเนี่ย ไม่โอเคเลย

            หัวใจของผมเต้นรัวจนทำให้หายใจผิดจังหวะบางช่วง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ใครอีกคนมาเหยียบที่ห้อง ผมที่ทำอะไรไม่ถูกแม้จะเป็นเจ้าของห้องเก็บเสื้อผ้าที่ห้อยไว้บนเก้าอี้ไปใส่ตะกร้า พลางเหลือบตาไปมองคนตัวสูงที่ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง

            “เอ่อ ห้องมันแคบหน่อยนะ”

            เอ่ยปากบอกเขาแบบตะกุกตะกัก พี่กันหันซ้ายหันขวาสำรวจบริเวณรอบๆห้องที่ก้าวจากเตียงเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู โต๊ะเขียนหนังสือแบบญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่พื้นข้างเตียงพร้อมกับหญ้าเทียมผืนเล็กๆที่ซื้อมาปูเพื่อความสบายตาเวลาอ่านหนังสือ บนโต๊ะมีหนังสือสารพัดกองเป็นภูเขากับโคมไฟหน้าตาง่อยๆที่ซื้อมาจากร้านหกสิบบาท

            “ไม่เป็นไร มึงตกแต่งเองเหรอ”

            “อือฮึ”

            “ห้องน่ารักเนอะ”

            เกาคิ้วแก้เขิน

            แค่เขาชมก็รู้สึกดีใจแล้ว

            “เหมือนเจ้าของห้องเลย”

            “เอ่อ พี่นั่งเล่นไปก่อนนะ ผมไปอาบน้ำก่อน”

            พี่กันหันมาสบตานิ่งๆเงียบๆจนทำให้ใจกระตุกขึ้นมาเฉยๆ หน้าผมร้อนจนต้องปลีกตัวเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเพื่อสงบจิตสงบใจ ขืนยืนเล่นเกมจ้องตากับเขานานกว่านี้ล่ะก็ คงได้เป็นลมตายคาห้องจริงๆนั่นแหละ

            สายน้ำเย็นๆสัมผัสลงบนกลุ่มผมรวมไปถึงร่างกายของผม แผลเป็นบนแขนและขาบ่งบอกถึงความซุ่มซ่ามของตัวเองได้เป็นอย่างดี ล้มบ่อยๆจนโดนแม่บ่นว่าแม่คลอดออกมาผิวดี๊ดี ไม่รู้ไปเอาแผลเป็นมาจากไหนเยอะแยะ

            พลางคิดไปถึงอ้อมกอดอุ่นๆของพี่กันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก ชอบเก็บเรื่องนู้นเรื่องนี้มาคิด แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆเวลาได้ยินคำร้ายๆจากคนพวกนั้น ถึงแม้ว่าคนส่วนมากจะไม่ใช่แบบนั้นก็เถอะ

            ผมอยากขอโทษพี่กัน ที่ทำให้เขาต้องมากังวลและเป็นห่วง

            จะทำยังไงให้เข้มแข็งมากขึ้นกว่านี้ดีนะ

            อยากมองโลกในแง่บวกให้ได้แบบพี่กันจังเลยครับ

            ผมออกจากห้องน้ำแล้วไปหยุดอยู่ตรงตู้เก็บเสื้อผ้าที่เป็นแบบผ้าใบสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับตัวห้อง เพราะตู้เสื้อผ้าแบบไม้หรือเหล็กมันใหญ่เกินไปและคิดว่ามันจะกินบริเวณห้องจนทำให้ดูแคบ ผมกับแม่เลยตัดสินใจซื้ออะไรที่ใช้สอยสะดวกมากกว่าความหรูหรา

            “พี่กัน อาบน้ำมั้ย ผมมีเสื้อกับกางเกงของเพื่อนทิ้งเอาไว้อ่ะ ตัวมันใหญ่พอๆกับพี่ ถ้าพี่ใส่ดะ…” ยังไม่ทันจะพูดจบจมูกโด่งๆก็กดลงมาบนแก้มของผม พี่กันที่โผล่มาอยู่ด้านหลังตอนไหนไม่รู้หัวเราะเบาๆในลำคอ

            “ชานมที่ว่าหอม ยังสู้หอมแก้มกอดไม่ได้เลย” พูดพลางยิ้มเผล่

            “ไปอาบน้ำเลยไป!”

            โยนเสื้อกับกางเกงของเพื่อนให้กับเขาแล้วรีบดันพี่กันเข้าห้องน้ำไปด้วยความรวดเร็ว พอประตูปิดลง ผมก็ทิ้งหัวลงบนบานประตูห้องน้ำอย่างอ่อนแรง หัวใจที่เต้นรัว หน้าที่ร้อนผะผ่าว

            ทำไมพี่ถึงได้มีพลังทำลายล้างสูงแบบนี้นะ

            เป็นซุปเปอร์แมนเหรอ

ไอ้คนใจบาปนี่

            ผมปล่อยให้พี่กันอาบน้ำอย่างสบายใจ ส่วนตัวเองก็ทิ้งตัวลงบนที่นอน หยิบกีต้าร์ที่ไม่ค่อยได้เล่นขึ้นมาวางไว้บนตัก กีต้าร์โปร่งตัวเล็กสำหรับเด็กเล่น แต่ผมชอบมันเพราะความกะทัดรัด

            ค่อยๆเกากีต้าร์ไปเบาๆตามเพลงที่อยู่ในหัว นั่งมองโคมไฟง่อยๆที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นที่จู่ๆก็ดับไปเหมือนหมดสภาพแล้ว

            ต้องซื้อใหม่แล้วสินะ

            ทำนองเพลงโปรดของผมที่เคยเปิดให้พี่กันฟังเมื่อครั้งไปเขาใหญ่ เพลง Aiokuri ที่ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังเพราะเสมอ

            ริมฝีปากของผมพึมพำเนื้อเพลงออกมาเบาๆ

“Ima kono shunkan Jikan ga tomaru nara”

           “Dakishimete Gyutto Gyutto Hanasanaide”

           ในตอนนี้ ถ้าเวลามันหยุดลง ช่วยกอดฉันไว้แน่นๆ อย่าปล่อยเด็ดขาดเลยนะ

            ผมเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่นก่อนจะซุกหน้าลงบนตุ๊กตาหมีบราวน์ที่พี่กันให้มาเมื่อตอนไปเขาใหญ่ เพลงนี้คงจะกลายเป็นเพลงโปรดของผมไปอีกนาน ยังจำสัมผัสได้อยู่เลย จูบแรกที่เขาค่อยๆแตะริมฝีปากของเขาลงมา มันเป็นอาการเหมือนขาดอากาศหายใจ เหมือนจู่ๆโลกก็หยุดหมุน เหมือนโดนดูดพลังไปหมด

            คนๆหนึ่งสามารถมีอิทธิพลต่อหัวใจของเราได้มากขนาดนี้เลยเหรอ

            ‘แกร๊ก’

            เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ผมกระเด้งตัวขึ้นมานั่งทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกากีต้าร์ไปเรื่อยเปื่อยทั้งๆที่ใจเต้นรัวจะบ้าตายอยู่แล้ว

            กลิ่นแชมพูหอมๆที่ผมใช้ประจำ แต่ทำไมพอใครอีกคนมาใช้แล้ว ดันรู้สึกว่ามันหอมกว่าที่เคย พี่กันเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆผม

            “เล่นกีต้าร์เหรอ”

            ผมพยักหน้าตอบ

            “พี่เล่นเป็นป่ะ”

            “เป็นดิ ระดับนี้แล้ว มีไรที่กูทำไม่เป็นเหรอ”

            จริงเหรอ?

            แล้วเขาก็ดึงกีต้าร์ไปจากมือผม ตอนแรกก็นึกว่าเขาล้อเล่น แต่พอนิ้วเรียวๆไล่ไปตามสายกีต้าร์ ทำนองเพลงเพราะๆก็ดังออกมา

ความลับอีกอย่างหนึ่งของเขาที่ผมเพิ่งจะรู้ พี่กันเล่นกีต้าร์อย่างเซียนเลยครับ เขาเล่นเพลงโปรดของเขาที่ยังคงเป็นเพลงของแทททูคัลเลอร์อีกตามเคย แล้วก็ร้องออกมาเบาๆ

            “ทุกทีที่พบกัน ฉันเป็นอะไร แว้บเดียวเธอหันมา ทุกอย่างล่องลอยและเคลิ้มไปไกล … จนหยุดห้ามใจไม่รักไม่ได้ … เหมือนเธอไม่รู้ตัวว่าฉันคิดอะไร เห็นใครก็หลายคน ก็แอบมองเธออยู่ทุกวัน แต่จะเป็นคนไหนกัน”

            ทำนองเพลงสนุกๆกับเสียงทุ้มๆออกแหบเล็กน้อย เพิ่งเคยฟังเขาร้องเพลงเป็นครั้งแรก และพี่กันร้องเพลงเพราะมากจริงๆ

            บอกเลยว่าถ้าไปเล่นตามงานล่ะก็ สาวรักสาวหลงแน่ๆ เพราะนอกจากจะเล่นเก่งแล้ว ยังเล่นหูเล่นตาเก่งอีกต่างหาก ไอ้คนฟังคนนี้หัวใจมันจะวายวันละสามรอบ

            “ฉันไม่รู้ว่าใครจะดีกับเธอแค่ไหน ฉันไม่รู้ว่าใครจริงใจกับเธอเท่าฉันได้หรือเปล่า … หรือเปล่า … ไม่เอาอย่าให้ฉันคอยอีกต่อไป”

       “อยากให้เธอได้รู้จัก ได้รู้ว่าฉันเป็นใคร หากว่าเธอจะสัมผัส ว่ารักคืออะไร พาเธอออกไปมองที่สวยกว่า มองท้องฟ้างดงามขึ้นใหม่ เธอต้องมีฉัน คนที่รักกัน ไม่ใช่ฉัน แล้วมันจะเป็นใคร”

            ร้องจบก็หันมาจ้องตาผมแล้วยักคิ้วใส่ให้

            ไอ้คนขี้เก๊กนี่

            “ทำไมไม่เห็นบอกเลยว่าเล่นได้” เขาคืนกีต้าร์มาให้ผมแล้วหันไปสนใจการเช็ดหัวเปียกๆที่เพิ่งผ่านการสระผมมาแทน

            “ก็ไม่ถามอ่ะ”

            โว๊ะ

            ใจบาปแท้

            “กูเล่นสมัยอยู่มัธยมกับเพื่อน ฟอร์มวงเอา แต่พอขึ้นมหาลัยก็ไม่ค่อยได้เล่นละ”

            “ทำไมอ่ะ พี่เล่นเก่งออก”

            “ขี้เกียจ”

            สั้นๆง่ายๆกระชับได้ใจความเข้ากับน้ำเสียงโมโนโทนนั่นเป็นอย่างดี

            ผมกำลังจะวางกีต้าร์กลับลงไปที่ซอกระหว่างเตียง แต่พี่กันดึงแขนเอาไว้ก่อน

            “เล่นให้ฟังเพลงนึง ร้องให้ฟังด้วย”

            “เพลงไรอ่ะ”

            เขากระดิกนิ้วขอมือถือของผมไปเปิดคอร์ดเพลงให้ดู เพราะมือถือของเจ้าตัว แม้ว่าจะเปลี่ยนเครื่องใหม่เพราะเครื่องเก่าตกชักโครกไป ก็ยังไม่คิดจะใช้เน็ตอยู่ดีนั่นแหละ

            นิ้วเรียวๆส่งมือถือกลับมาให้ผม บนหน้าจอโชว์ชีทเพลงที่ชื่อว่า

            “Like”

            คอร์ดยากมาก!

            “เยป” พี่กันยิ้มหวาน ผิดกับผมที่เขินจนต้องหลบตาเขา

            ให้เล่นเพลงอะไรไม่เล่น ดันให้เล่นเพลงนี้อีก

            “ไม่รู้จะเล่นได้มั้ยนะ เล่นไม่เก่งอ่ะ”

            “ไม่เป็นไร อยากฟัง”

            ผมค่อยๆทาบคอร์ดทีละคอร์ดไปเรื่อยๆเพื่อจดจำ ถามว่าเคยฟังเพลงนี้มั้ย บอกเลยว่าตั้งแต่รู้จักกับเขามา เพลงของแทททูคัลเลอร์ผมก็ฟังมาหมดทุกเพลงแล้วล่ะ

            ค่อยๆเกากีต้าร์เบาๆไปตามจังหวะ 

            “จากวันนั้นที่เราพบกัน แม้ว่ามันจะดูไม่นาน แต่ตัวฉันในทุกๆวันมันยังร้อนใจ”

            นัยน์ตาสวยๆที่จ้องหน้าผมนิ่งๆทำให้ใจผมสั่น ใจสั่นอย่างเดียวไม่พอ

            มือสั่นด้วย

            “เก็บไปเพ้อให้ใครเขาฟัง คิดแต่เรื่องเดิมๆทั้งวัน อยู่อย่างนี้ จนใจฉันเก็บมันไม่ไหว … เอี๊ยด”

            “บอด”

            พี่กันบ่นเสียงแข็ง ผมยื่นกีต้าร์ให้เขาพลางทิ้งหน้าลงบนหมอนแล้วพูดเสียงอู้อี้ใส่
           
            “เล่นเองเลยไป!”

            เขาหัวเราะเสียงดัง สักพักเสียงเกากีต้าร์เบาสบายนุ่มหูก็ดังขึ้นข้างๆ พร้อมกับเสียงทุ้มๆของพี่กันที่ร้องออกมาแผ่วเบา ราวกับว่าอยากให้ผมได้ยินเพียงแค่คนเดียว

            “มีคำๆหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วข้างในใจ ฟังเพียงเธอฟัง แค่เท่านั้นก็พอใจ”

            “ถ้าฉันชอบเธอ ให้ฉันบอกเธอได้ไหม ว่าฉันชอบเธอ ให้ฉันบอกเธอวันนี้ จากนี้ที่เธอฟัง จะคิดเป็นเช่นไร ก็คงไม่สนใจ แค่เพียงได้บอกฉันพอใจ”

            พอร้องจบ ผมก็เงยหน้าไปมองเขา เราสบตากันไม่ถึงห้าวินาทีก่อนจะหันหน้ากันไปคนละทาง ผมหันไปซุกกำแพงจนแทบจะรวมร่างกลายเป็นผนังคอนกรีต ส่วนพี่กันน่ะผมไม่รู้ว่าเขาจะทำสีหน้าแบบไหนออกมา แต่ที่รู้ๆกลิ้งไปอยู่ปลายเตียงแล้ว

            พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง

            ฮือๆ

            ไอ้บ้าไอ้บอแท้ๆ

            กว่าจะตั้งสติได้ก็ตอนที่โทรศัพท์ของพี่กันดังขึ้นนั่นแหละ เขาปลีกตัวออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียง ส่วนผมก็ลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ตบหน้าตัวเองเบาๆสองสามทีแล้วหันไปมองรอบๆตัว

            เตียงที่นอนได้แค่คนเดียว เวลาเพื่อนสนิทมานอนที่ห้องเขาก็มักจะนอนที่พื้นตลอด
           
            พี่กันจะนอนพื้นได้มั้ยนะ

            “ไอ้เชี่ยหมอ!!!” เสียงตะโกนดังมาจากตรงระเบียงห้อง เหมือนพี่กันจะคุยกับพี่หมอสี่อยู่ ผมเลยลุกไปแปรงฟันเพื่อเตรียมเข้านอน

            กลุ่มผมที่ปิดหน้าผากอยู่ถูกรวบขึ้นไปลวกๆด้วยหนังยางมัดกับข้าวจนกลายเป็นน้ำพุขนาดย่อมๆอยู่บนหัว จัดการทาครีมและแปรงฟันด้วยเวลาอันรวดเร็ว 

            พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าพี่กันกลับมานั่งคุยโทรศัพท์ในห้องแล้ว เขาโยนหมอนที่ผมเตรียมไว้ให้ลงบนพื้นโดยไม่เอ่ยปากถามผมสักคำว่าจะให้เขานอนตรงไหน แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงไปนั่งที่พื้นแคบๆทันที ผมกะพริบตาปริบๆมองพี่กันแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียง

            พี่เป็นคนดีเกินไปหรือเปล่าเนี่ย

            “พี่กัน” เรียกเขาเสียงแผ่ว แต่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลย คุยโทรศัพท์ไปมือก็เอื้อมไปหยิบโคมไฟที่ตายอย่างอนาถมากดๆเล่น

            “กูคุยกับมันแล้ว มึงก็ไปถามมันดิ เออ ก็เดี๋ยวดูอีกที อาทิตย์นี้ไปไหน อ่อ อัมพวาอ่ะนะ”

            อาทิตย์นี้เขาจะไปเที่ยวเหรอ

            “หือ อ้าวเหรอ งานบอลมีตอนไหนวะ … ไม่รู้เดี๋ยวถามน้องก่อน”

            คนตัวสูงละสายตาจากโคมไฟมาสนใจผมแทน พอเขาหันมาเห็นหน้าผม ก็ทำตาโตใส่เหมือนตกใจอะไรบางอย่าง ผมเอียงคอมองเขาเล็กน้อย

            เป็นไรอ่ะ

            “แค่นี้ก่อนนะ … ตัวขี้เหงามันทำหน้าอ้อนแล้ว”

            พี่กันวางโทรศัพท์ลงที่พื้นข้างหมอนของเขาพลางถอนหายใจออกมา

            “กอด”

            “หือ” ทำไมทำหน้าดุล่ะ ผมทำไรผิดเหรอ

            “เมื่อตอนเกิด แม่กินมายเมโลดี้เข้าไปเหรอ”

            หา

            “มายเมโลดี้อะไรอ่ะ”

            “กระต่ายที่หน้าตากุ๊งกิ๊งๆอ่ะ”

            “กุ๊งกิ๊ง?”

            “หน้ามึงอ่ะ โอ้ยใจพี่” คนตัวสูงพูดพลางกุมอก “มายเมโลดี้ๆ แต่กูเนี่ยคิดไม่ดี้”

            พี่กันบ่นพึมพำแล้วนั่งสั่นขาดิ๊กๆเหมือนคนผีเข้า บ่นไปก็มองหน้าผมไป

            “หายใจเข้าลึกๆ ท่องนะโมสามจบ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุท…โถ่เว้ยทนไม่ไหวแล้ว!” ดวงตาเรียวสวยหันมาสบกับผม หรี่ลงเหมือนกำลังพินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง

            “ปล่อยไปตอนนี้เสียดายตายห่าแน่ๆ”

            ท่าไม่ดีแล้ว ชิงหนีก่อนดีกว่า

            “ผมนอนละ”

            “ช้าไป”

            แขนยาวๆเอื้อมมาดึงแขนของผม พูดง่ายๆว่ากระชากมากกว่า คนตัวสูงกระชากผมจากเตียงร่วงลงไปหาเขา ผมรีบตะเกียกตะกายจะกลับขึ้นเตียงแต่แขนสองข้างของใครอีกคนกั้นเอาไว้เพื่อขังผม พอไปไหนไม่ได้ก็เลยต้องหันไปเผชิญหน้า แผ่นหลังของผมสัมผัสกับฟูกนุ่มๆของเตียง สบตาเข้ากับนัยน์ตาสีสวยของเขาจนใจเต้นรัว

            “ห้ามไปทำหน้าตาแบบนี้ใส่ใครเด็ดขาด” พี่กันดึงหนังยางที่มัดน้ำพุบนหัวของผมออก ปรอยผมที่ถูกมัดเลยตกลงมาปรกหน้าเช่นเคย

            “กูไม่อนุญาต”

            เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาริมฝีปากของพี่กันก็บดเบียดลงบนริมฝีปากของผม ผมสะดุ้งพลางขืนตัวออกจากแผ่นอกกว้างๆนั่น จูบเบาๆครั้งแรก หรือจูบละเมียดละไมครั้งที่สอง เทียบไม่ติดเลยกับจูบครั้งนี้

            จูบครั้งที่สาม ผมตั้งชื่อให้เลยว่า จูบกระชากวิญญาณ

            จูบเบาๆละเมียดละไมค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เสียงหอบหายใจของผมและเขาตอกย้ำถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ อุณหภูมิร่างกายพุ่งขึ้นสูงจนเหมือนจะเป็นไข้ มากไปกว่านั้นใจของผมเต้นรัวเพราะความรู้สึกที่กลั้นไว้ไม่อยู่

            ไม่ไหวแล้ว

            จะตายอยู่แล้ว

            ริมฝีปากของคนตรงหน้ากดย้ำๆซ้ำๆลงมาหนักๆแบบไม่ปล่อยให้ผมได้หายใจเลยสักนิด

            “อื้อ”

            มือของผมทุบแขนของพี่กันเบาๆเมื่อกำลังจะขาดอากาศหายใจ พอเห็นแบบนั้นเขาก็ถอนริมฝีปากออกไปแค่เพียงช่วงเดียว ผมรีบโกยอากาศเข้าปอด ยังไม่ทันจะได้หายใจเต็มที่เขาก็กดริมฝีปากลงมาใหม่ มือข้างหนึ่งของพี่กันจับแขนของผมเอาไว้ ในขณะที่อีกข้างค่อยๆเลื่อนเข้ามาภายใต้เสื้อนอน ฝ่ามืออุ่นๆสัมผัสลงบนแผ่นหลังเล่นเอาผมสะดุ้งตัวโยน

            ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัว กลัวว่ามันจะไปไกลกว่านี้

            ถ้าไปไกลกว่านี้ล่ะก็

            ตายแน่

            นิ้วเรียวๆของพี่กันไล่ไปตามเส้นกระดูกสันหลัง เหมือนเขารู้ว่าส่วนไหนเป็นจุดอ่อนของผม ปลายนิ้วกดลงไปบนเส้นกระดูกจากนั้นเขาก็ลากมันไล่ลงมา ผมร้องเสียงหลง

            ไม่ดีเลยแบบนี้ ไม่โอเคต่อหัวใจเลย

            ผมเคยสงสัยว่าคนที่เขินจนลมออกหูมันเป็นยังไง ตอนนี้ได้คำตอบเรียบร้อยแล้วครับ

            “ฮึก” 

            อาการสะอึกที่แทรกขึ้นมาทำให้การกระทำทั้งหมดของคนตัวสูงหยุดชะงัก ริมฝีปากของคนตรงหน้าถอนออกไปอย่างอ้อยอิ่ง ส่วนผมก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองที่สะอึกไม่ยอมหยุด

            “อึ๊ก”

            ‘พรืด’

            พี่กันขำพรืดออกมาแบบไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด ผมมองเขาตาขวาง

            “ถึงกับสะอึกเลย”

            “อึก”

            “ตัวนิ่มเอ้ย” ฝ่ามืออบอุ่นขยี้เบาๆลงบนกลุ่มผมของผม มันยุ่งอยู่แล้วเขาก็ยังจะทำให้มันยุ่งมากเข้าไปอีก เหมือนพี่กันจะยังไม่พอใจ เขาขยี้หัวผมสนุกมือจนผมต้องปัดมือเขาออก

            “ฮึก อย่าเล่น หัวยุ่ง”

            มือหนักๆผลักหัวผมเบาๆ

            “มึงนั่นแหละตัวยุ่ง”

            “เกลียดพี่แล้ว อึก”

            “เถียงเหรอ ปล้ำสักทีมะ”

            “ไม่”

            ผมยกเท้าถีบเอวเขาเบาๆจนเขาเซ รีบปีนกลับขึ้นไปบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนทั้งๆที่ใจยังเต้นรัวไม่หาย สะอึกไม่ยอมหยุดสักทีจนต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากัน รสชาติของยาสีฟันรสมิ้นท์ยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นอยู่เลย

            อยากขอบคุณที่ตัวเองสะอึกออกมา ถ้าขืนไปไกลกว่านี้ล่ะก็

            แย่แน่ๆ

            ผมนอนสะอึกอยู่สักพักก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังโดนจ้องอยู่ สายตามองเลยขึ้นไปยังผนังสีขาวข้างเตียงก่อนจะสบตาเข้ากับเจ้าของเสียงที่ทักกันตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาในห้อง จิ้งจกวัยรุ่นสบตากลับมา ตาแป๋วดำๆกลมๆจ้องมาที่ผม หางของมันสะบัดซ้ายขวาดุ๊กดิ๊ก…

            “เฮ้ย!!!”

            ผ้าห่มถูกถีบลงจากเตียง ผมรีบพุ่งลงไปหาคนที่นอนอยู่ด้านล่างจนเขาจุก พี่กันร้องเสียงหลง

            “เชี่ยกอด!”

            “จิ้งจก! อึ้ก”

            “จิ้งจกก็จิ้งจก แต่กูเนี่ย จุก!”

            คนตัวสูงกุมท้องแล้วดันผมลงไปนอนข้างๆ พี่กันลุกไปหยุดอยู่ข้างกำแพงพลางใช้มือเปล่าๆนั่นแหละจับจิ้งจกมาถือเอาไว้ เขาหันมามองผมแล้วยิ้มมุมปาก

            “ห้ามแกล้งนะ ฮึก เอามันออกไปข้างนอกเลย!” ผมตะเบ็งเสียงใส่เขาทั้งๆที่ยังสะอึกไม่หยุด

            ไม่เล่นนะโว้ยย ตัวนี้ไม่เล่น!

            แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะนอกจากพี่กันจะไม่ขยับตัวแล้ว ยังเอาจิ้งจกไปวางลงบนไหล่ของเขาแล้วคุยกับมันเป็นเรื่องเป็นราว

            “เขารังเกียจเราทำไมอ่ะคริสโตเฟอร์ พี่ล่ะไม่เข้าใจจริงๆ เราออกจะหน้าตาน่ารัก จริงมั้ย” คริสโตเฟอร์ของเขากำลังจะกระโดดไปที่แขน แต่พี่กันจับมันเอาไว้แล้วยื่นมาตรงหน้าผม

            เชี่ย!

            “พี่กัน!!”

            ผมทำหน้าจะร้องไห้

            “ถ้าพี่ไม่เอามันออกไป อึ้ก พี่ก็ต้องออกไปจากห้อง!!”

            “อูย โดนดุแล้วอ่ะ”

            “เอาออกไปเดี๋ยวนี้!”

            “คร้าบๆ” คนตัวสูงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตูห้องพลางเปิดออก ยังไม่วายกล่าวลากับเพื่อนรักสัตว์โลกของเขา “ลาก่อนนะคริสโตเฟอร์ แฟนพี่ไม่ชอบนาย เราก็ไปกันไม่รอดอ่ะ”

            เขากลับเข้ามาพลางยิ้มหวานให้ผม

            “โกรธจริงๆนะ”

            “โอ๋ๆ”

            พี่กันเดินเข้ามาหยิกแก้มผม เขาทำท่าจะลงไปนอนที่พื้นแต่ผมยื้อเสื้อของเขาเอาไว้ คนตัวสูงหันมาทำหน้างงๆใส่ ถ้าเจอหนึ่งตัวในห้อง แสดงว่ามันอาจจะมีพ่อแม่ลูกและเพื่อนอาศัยอยู่ด้วย ดังนั้นสัญชาตญาณบอกว่า อย่าวางใจเด็ดขาดว่ามันจะไม่มีอีกตัว

            “พี่นอนข้างกำแพงได้ป่ะ กลัวมันมีอีกตัวอ่ะ อึ้ก” ผมทำหน้าขอร้องเขา กับจิ้งจกนี่สู้ไม่ไหวจริงๆ ผมเองก็กลัวไม่แพ้พี่หมอสี่เลย พอเห็นแบบนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆแล้วเป็นฝ่ายเข้าไปนอนชิดริมกำแพงแทน

            “ยังไม่หายสะอึกอีก”

            “ก็เพราะใครล่ะ”

            เตียงแคบๆที่มีไว้นอนคนเดียว แต่วันนี้กลับมีใครอีกคนมานอนอยู่ข้างๆ ผมซุกหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างๆของพี่กัน สะอึกอยู่ข้างๆเขาแบบนั้นก่อนจะค่อยๆหลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้า

            จะว่าไป นอนด้วยกันแบบนี้ ก็อบอุ่นดีเหมือนกันแฮะ

            “ฝันดีตัวนิ่ม”

            “ฝันดีพี่หมี”






// TALK

Jw : ผู้ชายรักสัตว์เขาว่าน่ารัก แล้วผู้ชายรักจิ้งจกล่ะน่ารักป่ะ

กอด : หน้า*ปี๊บ* (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)

กัน : ทำไมต้องรังเกียจคริสโตเฟอร์ของพี่ด้วยอ่ะ ไม่เข้าใจ

Jw : บาย

หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-12-2017 11:41:57
 :m20: น่ารัก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-12-2017 12:34:29
เพราะจิ้งจกเชียวที่ทำให้พี่กันได้นอนบนเตียงกับน้อง :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 16-12-2017 14:52:17
น้องงงง อยากเห็นตอนมัดผมจุกน้ำพุ :katai2-1: :fox2: :angellaugh2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 16-12-2017 15:00:43
คริสโตเฟอร์และปองเพื่อนเลยอดเป็นพยานรักของทั่งสองเลยอ่า555
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 16-12-2017 17:10:39
คุยกับจิ้งจกด้วยอะ 55555555

รอติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 16-12-2017 21:32:00
วรั้ย เขินเลย :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-12-2017 21:49:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 17-12-2017 02:04:21
พี่กันน่ารักมากๆเลยน้องกอดก็น่าฟัด55555มาต่ออีกนะคะ :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 17-12-2017 06:55:18
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 25 {16.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 17-12-2017 08:04:01
พี่กันอดไปนะคร้าาาา
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 17-12-2017 13:29:34
Chapter 26
อัมพวาอมพะนำ
(ลุงรหัส x หมอสี่)

 

            อากาศร้อนๆของประเทศไทยทำให้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวได้ตลอดเวลา แต่ใครก็ไม่น่าหงุดหงิดเท่ากับไอ้คนที่ยืนหน้ามึนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ท้ายรถฟอร์จูนเนอร์คันใหญ่ที่ขนเพื่อนมาเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาในวันอาทิตย์แบบนี้

            “ทะเลาะกับมันอีกแล้วเหรอ”

            ไอ้หล่อเดินเข้ามาหา ผมพยักหน้าเบาๆ

            วันนี้ไอ้กันแต่งตัวดีเหมือนเคย เสื้อผ้าเนื้อบางระบายความร้อนกับกางเกงผ้าสีดำขายาวเลยตาตุ่มขึ้นมาเล็กน้อยและรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของมัน เซ้นส์ด้านแฟชั่นดีกว่าพวกนายแบบอีกครับ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก ด้วยความที่หุ่นมันดี ขาแขนยาวแต่ไม่ดูเก้งก้าง รับกับช่วงตัวได้เหมาะเจาะ เวลาหยิบจับอะไรมาใส่ก็เลยดูดีไปหมด

            เพราะแบบนี้ไงแมวมองถึงได้มาทักบ่อย แต่กันมันก็ปฏิเสธไปทุกรอบเพราะความตั้งใจจริงๆของมันคือการเปิดร้านโดนัทเป็นของตัวเอง

            “เรื่องอะไรอีกวะ”

            “แมว”

            “เอ้า ทำไมอีก ไอ้แมวมันทำไร”

            “เตะกันดั้มตก”

            “เชี่ย” ไอ้กันสบถ

            “เออกูรู้ว่าแมวมันผิด แต่มันก็แค่แมวป่ะวะ ถ้ามันฉลาดมันจะเกิดเป็นแมวเหรอ” ผมบ่น แมวมันจะไปรู้มั้ยว่ากันดั้มมันแพง ก็รู้ว่าเลี้ยงแมวมันซน ทำไมไม่เอากันดั้มไปเก็บไว้ในตู้ ทำไมถึงเอามาตั้งไว้บนโต๊ะ

            ทำอะไรไม่เข้าท่า

            แล้วมาลงกับแมว ไอ้บ้าเอ้ย

            “พี่หมอ สวัสดีครับ” น้องกอดที่เพิ่งลงมาจากรถเดินมายกมือไหว้ผม ผมรับไหว้พลางส่งยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง

            พอเห็นการแต่งตัวของน้องวันนี้แล้ว ก็อดหันไปกระทุ้งแขนใส่เพื่อนไม่ได้

            เสื้อยืดสีขาวใหญ่กว่าช่วงตัวเล็กน้อย กางเกงยีนส์สีซีดตัวโปรดที่เจ้าตัวชอบใส่ พับขากางเกงขึ้นมานิดๆกับรองเท้าผ้าใบสีขาว กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ดูนุ่มนิ่มเหมือนสายไหม

            ไม่แปลกใจที่ทำไมไอ้กันถึงรักหลงน้องได้ขนาดนี้ มันเป็นคนชอบอะไรน่ารักๆ ซึ่งน้องเนี่ยน่ารักเหมือนกระต่ายในไลน์ที่ไอ้กันมันชอบนั่นแหละ แต่ความน่าเอ็นดูไม่ใช่เพราะกอดมันตัวเล็กหรืออะไรนะครับ ตัวน้องก็ระดับผู้ชายทั่วๆไป ไม่ผอมไม่อ้วน ตากลมจมูกรั้นๆ

            ถ้าไม่รู้จักอาจจะคิดว่าน้องเป็นคนค่อนข้างจะโลกส่วนตัวสูง แต่พอได้รู้จักแล้ว น้องก็โลกส่วนตัวสูงนั่นแหละครับ แค่ไม่สูงเวลาอยู่กับไอ้กัน

            พอลงจากรถกันครบ พวกเราก็ค่อยๆทยอยเดินเข้าไปในตัวตลาดน้ำอัมพวาตอนบ่ายแก่ๆที่แดดร้อนจัดไม่ต่างอะไรกับตอนเที่ยงตรง ทริปครั้งนี้เป็นเพียงแค่ทริปไปกลับ พรุ่งนี้ผมเองก็มีสอบเลยไม่สามารถค้างกับเจ้าของบ้านได้ น้องกอดก็มีสอบ ไอ้กันก็ติดทำเปเปอร์

            ที่มานี่เพราะไอ้เพ้อเจ้าของบ้านมันจะพาทัวร์ดูหิ่งห้อย เห็นบอกว่าช่วงนี้หิ่งห้อยออกมาเยอะ อยากให้เพื่อนๆได้มาเห็นเป็นบุญตา ถ้าเลยอาทิตย์นี้ไปก็จะไม่เยอะเหมือนตอนนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจมากัน

            ผมเลือกที่จะเดินไปกับไอ้เพ้อและไอ้เจ้อ หลายคนคงสงสัยว่านี่ชื่อคนจริงๆมั้ย ไม่ใช่ครับ มันคือฉายาที่ผมและไอ้กันเรียกไอ้สองนรกนี่เพราะความเข้ากันดีเหมือนแฝด ก็เลยเรียกคนนึงว่าไอ้เพ้อ และเรียกอีกคนว่าไอ้เจ้อ เรียกรวมๆกันก็เป็นไอ้พวกเพ้อเจ้อนั่นเอง

            “ทำไมมึงไม่เดินกับหนวดวะ” ไอ้เจ้อหันมาถามผมที่ปกติจะเดินตัวติดกับแฟน

            แต่วันนี้แฟนเป็นบ้า เลยไม่อยากเดินด้วย

            “มันเตะแมวกู”

            “หุ๊ ทาสแมวอย่างกูของขึ้นเลย!”

            “ลบหลู่แมวเหรอไอ้ฉัด” ไอ้เพ้อมันเสริม

            “แล้วทำอิท่าไหนเตะแมววะ ไอ้แมวมันทำไร”

            “เตะกันดั้มตก”

            “เช้ด!!! ถ้าเป็นกูกูก็เตะ”

            “เชี่ยเจ้อ”

            เห็นด้วยหางตาแหละครับว่าไอ้หนวดมันพยายามจะเข้ามาชวนคุย แต่เพราะผมไม่อยากคุยด้วย มันก็เลยถอยๆห่างไปเดินกับน้องกอดลูกรักของมันแทน

            ไอ้เพ้อพาพวกผมมากินก๋วยเตี๋ยวต้มยำก่อนจะแวะซื้อของกินติดไม้ติดมือกันเล็กน้อย
           
            “กอด”

            กันเรียกกระต่ายน้อยของมันเข้าไปหาพลางเอาหูกระต่ายมาสวมให้ ผมหัวเราะเมื่อเห็นหน้าบูดๆของน้อง ไอ้กันก็ขำจนตัวงอ

            ไม่ต้องมีแหละดีแล้ว น้องก็น่ารักอยู่แล้ว

            “อ่ะ” ถุงทอดมันถูกยื่นมาตรงหน้าผมระหว่างที่กำลังยืนเลือกของฝากให้กับเพื่อนแก๊งหมออยากติว ผมหันไปมองผู้ชายหน้าตาดีไม่แพ้ไอ้กัน ยิ่งมันโกนหนวดโกนเคราตัดผมทำตัวเหมือนคนปกติแล้ว สาวๆนี่มองเหลียวหลังกันเลยทีเดียว

            ตลกดีที่เวอร์ชั่นนี้ไม่ใช่เวอร์ชั่นที่ผมตกหลุมรัก ผมตกหลุมรักอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่น้องกอดเคยทักว่าเหมือนช่างแอร์ พอเห็นมันตัดผมโกนหนวดออกแล้ว ถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาโดนตบตามาตลอด

            แต่ตอนนี้ผมงอนมันอยู่ครับ

            ดังนั้นจะไม่คุยด้วย

            ผมหันกลับมาสนใจแม่เหล็กติดตู้เย็นต่อ เลือกไปเกือบสิบอันแล้วเดินดุ่มๆหนีออกมา

            “พี่หมอ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของน้องกอดดังขึ้นใกล้ๆ ผมมองคนที่เดินมาเทียบด้านข้าง ในมือน้องกอดของกินเต็มไปหมด สายกินไม่แพ้ไอ้กันถึงว่าอยู่ด้วยกันได้

            “หือ”

            “ลุงฝากมาถามว่ายังไม่หายโกรธเหรอ” เจ้าหนูจำไมทำหน้าสงสัย

            “มันเตะแมวพี่อ่ะ”

            “โห ใจบาปอ่ะ”

            เห็นมะ กอดยังเข้าข้างผมเลย

            “ใช่มะ คนเตะแมวไม่น่าคุยด้วยอ่ะ”

            “ผมก็ไม่อยากคุยกับพี่กันเหมือนกัน” อ้าว

            “ทำไมอ่ะ”

            “ไม่กี่วันก่อนพี่กันจับจิ้งจกมาเล่นแล้วเรียกชื่อมันว่าคริสโตเฟอร์”

            ผมหัวเราะจนท้องแข็ง

            เมื่อตอนเรียนม.ปลายกับไอ้กัน ตอนคาบชีววิทยา ก็ได้มันเนี่ยแหละเป็นคนผ่าจิ้งจกให้ครับ ผมเป็นคนกลัวจิ้งจกมาก กลัวจนแบบถ้ามีมันอยู่ในบ้านหรือในห้องนอนล่ะก็จะทำอะไรไม่ได้เลย จะระแวงไปหมด ซึ่งไอ้กันอ่ะมันรักจิ้งจกมาก ผ่าไปก็บ่นไปบอกขอให้ไปสู่สุขคตินะ ตลกตรงที่เมื่อหลายปีที่แล้วมันก็เรียกจิ้งจกว่าคริสโตเฟอร์

            แล้วตอนนี้มันก็มาเรียกจิ้งจกตัวใหม่ว่าคริสโตเฟอร์อีก

            ตกลงมีคริสโตเฟอร์กี่ตัวบนโลกวะเนี่ย

            “อย่าไปสนใจมันเลย เรียนหนักก็งี้”

            เดินเล่นกันอยู่เกือบชั่วโมง ไอ้เพ้อก็ไลน์มาบอกว่าให้ไปเจอกันที่ท่าเรือ

            ไอ้เพ้อมันจองเรือแบบเหมาลำครับ มันบอกว่าไกด์ไม่ต้อง เดี๋ยวมันบรรยายเอง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กผู้ซึ่งโตมากับน่านน้ำแห่งนี้เถอะ มันว่างั้น

            ผมมองไอ้กันที่ประคองน้องกอดลงไปในเรือ คือน้องอ่ะดูแลตัวเองได้ แต่เพื่อนผมอ่ะมันขี้เวอร์

            ทุกคนทยอยลงเรือกันหมดแล้วเหลือผมคนสุดท้าย ไอ้หนวดยื่นมือมาเพื่อจะประคองผมลงเรือบ้าง แต่ผมโกรธมันอยู่ไง ดังนั้นแตะตัวก็อย่าหวัง

            ขาของผมก้าวลงไปด้านท้ายของเรือ แต่พลาดไปเล็กน้อยเลยสะดุดหัวจะทิ่ม ไอ้หนวดมันรีบดึงตัวผมให้กลับมายืนตัวตรง สายตาเงียบๆปนน่าสงสารถูกส่งมาให้

            เหมือนจะบอกในใจว่า ขอโทษนะที่เตะลูก ไม่ได้ตั้งใจ

            หึ

            ฝันเถอะ

            ต่อให้ทำหน้าหงอยก็ไม่ใจอ่อนหรอกนะ

            “ขอบใจ” ผมพูดก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงด้านหลังไอ้กัน ผู้ชายใจทรามทิ้งตัวลงนั่งด้านหลังของผม พร้อมกับเรือที่ค่อยๆแล่นออกไปจากฝั่ง

            ลมเย็นๆที่พัดผ่านเข้าหน้าทำให้ผมหลับตาลงแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด การเรียนหมอมันหนักครับ ยิ่งหมอปีสามอย่างผมเนี่ย แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งจะสอบ อาทิตย์นี้สอบเพิ่มอีกแล้ว จากที่เป็นคนขี้เกียจๆสมัยมัธยม การอยู่มหาลัยบังคับให้ผมกลายเป็นคนขยันขึ้นมาโดยปริยาย

            ไกด์เถื่อนที่นั่งอยู่หัวเรือไอกระแอมเล็กน้อย

            “สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวก่อน กระผมไกด์ยุงบินชุม มาจากเกาหลี ยินดีที่ได้นำท่านเข้าสู่น่านน้ำอัมพวาเพื่อทัวร์ชมห้อยหิ่งในวันนี้”

            “หิ่งห้อย!!” ทุกคนตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน ไอ้เพ้อยิ้มเผล่ พี่คนขับเรือหลุดขำออกมา

            “ครับ หิ่งห้อย ขอให้ท่านผู้โดยสารตั้งใจฟัง เนื่องจากตอนนี้เป็นหน้าฝน ขอให้ทุกท่านโปรดระมัดระวังยุงบินชุม ใต้ที่นั่งของท่านจะมียากันยุงชนิดโลชั่นกลิ่นมาดามหอมชื่นใจ ขอให้ทุกท่านที่สวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นชะโลมยากันยุงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

            เห็นหรือยังครับ ว่าชื่อเพ้อเนี่ย ไม่ได้มาเล่นๆ

            “ส่วนท่านที่สวมกางเกงยีนส์หรือกางเกงขายาว ไม่ต้องเป็นห่วง ยุงที่นี่เป็นยุงสายพันธุ์ไดโนเสาร์ อายุประมาณสามร้อยล้านปี พัฒนามาจากทีเร็กซ์ ปากแหลมยิ่งกว่าเข็มเย็บผ้า ต่อให้มึงใส่กางเกงทับสามชั้น มึงก็ไม่รอดหรอกไอ้สัส!”

            “ไกด์ๆ” ไอ้เจ้อโบกไม้โบกมือจะถามคำถาม

            “ว่าไงครับท่านผู้โดยสาร”

            “แล้วถ้าไม่ใส่กางเกงอ่ะ”

            “ไม่ใส่กางเกงมึงก็โป๊ไง!!”

            เกลียดพวกมันจริงๆ ความเข้ากันแบบเลวๆนี้

            ระหว่างที่เรือกำลังแล่น แรงสะกิดเบาๆด้านหลังผมพร้อมกับถุงทอดมันถุงเดิมถูกยื่นมาให้เช่นเคย ผมเมินมันไปอีกครั้ง เท่านั้นแหละ นิ้วเรียวๆของคนข้างหลังเลยสัมผัสกับต้นคอที่เป็นจุดอ่อนเล่นเอาผมสะดุ้ง หันไปจะอ้าปากด่า แต่พอเจอสายตาเรียบๆนิ่งๆที่ส่งกลับมาให้แล้ว สุดท้ายก็ต้องยอมรับถุงทอดมันมาแต่โดยดี

            ผมชอบกินทอดมันมากๆ ซึ่งไอ้หนวดมันรู้อยู่แล้ว

            ที่รับมานี่ไม่ใช่ว่าใจอ่อนหรอกนะ … รำคาญ

            เรือแล่นไปตามแม่น้ำที่ผมไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไร รอบๆบริเวณเริ่มมืดลงไปจนพี่คนขับเรือต้องเปิดไฟเพื่อระบุตัวตนว่ามีเรืออยู่ตรงนี้นะ ไม่อย่างนั้นชนกันตายแน่ๆครับ

            “ขออภัยที่ขัดจังหวะการพักผ่อนของทุกท่าน ขณะนี้เราล่องเรืออยู่บนแม่น้ำแม่กลอง”

            “ไม่ค่อยมันเลยว่ะ” ไอ้กันตะโกนใส่เพื่อนมัน
           
            “ไม่ค่อยมันมึงก็ไปหยิบปิ๊ก แล้วมันก็จะเป็นแม่น้ำแม่กีต้าร์ แล้วถ้ามึงยังมันไม่พอ ก็ไปหาเบสมาแล้วตั้งวงซะ ถุ๊ย มุกควายแบบนี้เล่นไปได้ยังไง”

            “เออ!!!”

            เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในตัวเรือ ผมนั่งมองไอ้กันที่คอยดูแลน้องกอดเป็นระยะๆ พอเห็นว่าน้องหนาวมันก็เอาเสื้อมาคลุมให้ เห็นว่าน้องหิวก็เอาขนมมาป้อน พอเห็นภาพตรงหน้าก็เผลอยิ้มออกมา

            ผมไม่รู้สึกอิจฉาอะไรเลย แต่รู้สึกดีใจแทนน้องกอดที่ได้เจอคนอย่างไอ้กัน และดีใจที่กันได้เจอคนที่รักมันมากๆแบบน้องกอด กันมันเป็นผู้ชายที่ปากร้ายแต่ใจดีอ่ะครับ ถึงจะดูเหมือนเล่นๆไปแบบนั้น แต่จริงๆมันแคร์คนรอบตัวมากๆ  แต่ถ้าถามว่ามันดีขนาดพ่อพระอย่างพี่ชายของมันมั้ย ก็ขอตอบว่าไม่

            เวลามันอยู่กับเพื่อน กันมันเป็นคนอารมณ์ร้าย โมโหง่าย แต่กับน้องกอดของมันเนี่ย ไม่เคยแสดงด้านนั้นออกมาเลย เหมือนคนละคนกับไอ้กันที่ผมรู้จักตอนสมัยมัธยมที่เป็นหัวโจกแก๊งป๊อกกี้ คุมร้านเกมอยู่แถวหน้าโรงเรียน

            เป็นผู้ชายที่เถื่อนตามชื่อนั่นแหละ แต่ชอบของน่ารักๆอย่างเช่นหมีบราวน์ ถวายตัวเป็นสาวกมาตั้งแต่ม.สี่จนตอนนี้ปีสามก็ยังเสียเงินซื้ออยู่ตลอด

            ถ้าอยากรู้ว่านิสัยจริงๆของเพื่อนผมคนนี้เป็นยังไง ขอแนะนำให้เล่นเกมกับมันซักตาครับแล้วมันจะเผยธาตุแท้ออกมา

            กลิ่นฝนที่ลอยมาแตะจมูกบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงตก เรือค่อยๆแล่นไปเอื่อยๆขณะที่ผ่านต้นลำพู ตอนแรกๆเราเห็นหิ่งห้อยไม่กี่ตัว ต้องเพ่งนานอยู่กว่าจะเห็น แต่พอล่องมาสักพัก คราวนี้แหละอย่างกับต้นคริสต์มาสเลยครับ

            วิบวับมาก

            เสียงไกด์เถื่อนดังขึ้นแผ่วๆ

            “ขอให้ทุกท่านมองไปทางขวาของตัวเรือนะครับ ชุดใหญ่ไฟกะพริบมากๆ”

            “เหมือนต้นคริสต์มาสเลย” น้องกอดโพล่งออกมา

            ทุกคนบนเรือพร้อมใจกันเงียบเพราะไม่ต้องการให้หิ่งห้อยตกใจ ผมที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ได้แต่นั่งอึ้งในความสวยของธรรมชาติ ล่าสุดที่ได้ไปเที่ยวก็ตอนไปเขาใหญ่ หลังจากนั้นก็มัวแต่ขลุกอยู่กับหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง พอได้มาเห็นอะไรสวยๆแบบนี้ ก็เลยปริ่มใจไปเลยครับ

            นั่งเงียบๆอยู่คนเดียวสักพัก มือของหนวดที่แตะลงเบาๆบนไหล่ของผมทำให้ผมต้องหันไปมองหน้ามัน ใบหน้าซึมๆเหมือนหมาหงอยนั่นทำให้ผมถอนหายใจออกมา

            สุดท้ายก็ใจอ่อนจนได้นั่นแหละ

            ผมวางมือของตัวเองลงบนฝ่ามือของหนวดก่อนเจ้าตัวจะกุมมันไว้แน่น ไม่รู้ว่ามันทำหน้าแบบไหน แต่คงจะคลี่ยิ้มออกมานั่นแหละ เราสองคนมองหิ่งห้อยที่ส่องแสงกะพริบสวยบนต้นไม้ด้านหน้า

            สวยจนพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ

            เรือค่อยๆแล่นออกไปตามทางหลังจากที่เราเก็บภาพเก็บรรยากาศกันจนหนำใจ พอออกห่างจากบริเวณที่มีหิ่งห้อย ไอ้เพ้อกับไอ้เจ้อก็หันมาเล่นมุกกันอีกครั้ง

            “เมื่อกี้ที่เห็นห้อยอยู่บนต้นไม้นะครับ เราเรียกว่าหิ่งห้อย”

            “แต่ถ้าห้อยนานๆก็จะเมื่อยนะครับ ก็เลยขอแนะนำว่าให้วาง”

            “ก็จะเป็นหิ่งวางนะครับ”   

            “ตึ่งโป๊ะ!”

            พวกมึงไปเปิดคณะตลกเห๊อะ

            จริงๆถ้ามีแฟนผมอีกคนล่ะก็ ทริปนี้คงจะเป็นทริปไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยร่วมเลยครับ ติดที่ว่าไอ้หนวดมันกำลังง้อผมอยู่ มันก็เลยไม่กล้าไปเฮฮากับไอ้สามหน่อนั่น

            เรือยังคงแล่นไปเรื่อยๆท่ามกลางความมืด พอเห็นว่าผมยอมลงให้แล้ว ไอ้หนวดมันก็กระเถิบลงมานั่งข้างๆแล้วโอบเอวผมเอาไว้ ผมตีมือมันแล้วชี้ไปข้างหลัง

            พี่คนขับเรือนั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้น มองไม่เห็นหรือไง

            “คิดถึงคุณนี่”

            “กลับบ้านไปขอโทษลูกด้วย”

            ไอ้หนวดทำหน้าบูด

            “ก็แมวคุณมัน…” ผมยกนิ้วชี้หน้าไอ้หนวด เรื่องอื่นยอมได้ แต่เรื่องลูกนี่พูดให้มันดีๆนะมึง

            “โอเคๆ จะกลับไปจูบตีนจูบไข่ลูกเลยอ่ะ”

            “เออ แล้ววันหลังกันดั้มอ่ะเก็บเข้าตู้ซะ ถ้าลูกเปิดตู้แล้วเอากันดั้มออกมาพัง กูจะยอมให้เตะลูกเลย”

            “จริงเหรอ”

            “ไม่จริง” คนเตะแมวมันคือคนชั่วครับ บอกเลย

            เสียงหัวเราะด้านหน้าเรือยังคงดังเป็นระยะๆ นานๆทีจะได้มาอยู่กับพวกไอ้เพ้อเจ้อ อยู่คนละมหาลัยว่าไกลแล้ว ยิ่งเรียนปีสูงขึ้นก็ยิ่งหาเวลามาเจอกันยากเข้าไปอีก

            “เหงาเหรอ” ผู้ชายตาคมข้างๆถามขึ้น ผมส่ายหน้าเบาๆ ทุกวันนี้อยู่กับพวกไอ้หมออยากติวก็ไม่เหงาแล้วครับ วันๆไร้สาระพอๆกับไอ้สามตัวข้างหน้าเนี่ยแหละ

            “ไม่อ่ะ”

            “ถ้าคุณเหงาก็ไปหาพวกมันบ้างดิ ไปดูพวกมันเตะบอลไรงี้”

            “ก็บอกว่าไม่เหงา”

            “แต่ผมเหงานะ” ดูมัน ดูหนวดมันอ้อน

            ถามว่าสำเร็จมั้ย

            เจอสายตาหมาจ๋อยเข้าไป เสร็จทุกรายนั่นแหละ

            “เออน้องกอดจะเรียนเอกอะไรนะ” ไอ้เจ้อมันถามเด็กที่นั่งเงียบมานานสองนาน อยู่กับผมและไอ้กันน้องกอดพูดเป็นต่อยหอยเลยครับ แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆน้องจะเงียบเหมือนเป่าสากเลยอ่ะ

            “อิ้งครับ”

            “อิ้งเหรอ ว้าเสียดายจัง พี่อยากเรียนเกาหลีมากเลยอ่ะ” ไกด์เถื่อนยุงบินชุมมันว่างั้น

            “ทำไมอ่ะ” น้องถาม อยากจะจับน้องกอดยัดใส่กระเป๋าแล้วพากลับบ้านจริงๆอ่ะ ปล่อยให้คุยกับพวกเวรนี่ เดี๋ยวจะโดนล้างสมองเอาซะเปล่าๆ

            “พี่ชอบเกาหลี อยากร้องเพลงเกาหลีได้ รู้จักเพลง pick me ป่ะ”

            น้องกอดส่ายหน้า
           
            “รายการเด็กร้อยเอ็ดอ่ะ” นั่นชื่อรายการจริงๆเหรอ…

            “ไอ้เถื่อนมันชอบคนนึง ตาหวานๆหน่อย ลูกครึ่งๆ”

            “จริงเหรอ”

            ไอ้กันหน้าเหวอไปเลยครับ มันรีบหันไปแก้ตัวกับน้อง

            “ก็ทีวีที่หอมันมีช่องเกาหลี พอเปิดเจอบ่อยๆก็คิดว่าน่ารักดี”

            “ชื่อไรนะเถื่อน โซๆ”

            “โซมี”

            “ไหนร้องเพลงดิ๊ pick me pick me pick me up”

            พอคนหนึ่งร้อง อีกคนหนึ่งก็เต้น ซึ่งน่าประหลาดใจตรงที่

            ไอ้กันมันเต้นได้ด้วยครับ

            ขอไปฟ้องพี่ดิมของมันแปปนะ ปกติมันไม่เคยฟังเพลงของใครเลยนอกจากเพลงแทททูคัลเลอร์สุดที่รักของมัน

 

            เรือค่อยๆเทียบท่าลงพร้อมกับพวกเราที่ทยอยกันขึ้นจากเรือ ไอ้เพ้อกับไอ้เจ้อมันคงไม่กลับหอ ไอ้เพ้อน่ะผมเข้าใจเพราะมันตั้งใจจะกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อแม่ แต่ไอ้เจ้อเนี่ย ไม่ว่าไอ้เพ้อจะไปไหน มันก็จะตัวติดกันเป็นแพคคู่น่ะครับ ดังนั้นขาดใครไปไม่ได้ เพ้อเจ้อต้องไปด้วยกัน

            ส่วนผมกับแฟน ไอ้กันและน้องกอด ก็ต้องกลับไปใช้กรรมกันต่อ

            ดูเหมือนน้องกอดจะเพลียๆ เลยหลับหัวทิ่มตั้งแต่ขึ้นรถ ไอ้กันก็หลับเหมือนกัน เหลือแต่ผมที่นั่งด้านข้างคนขับ กับไอ้คนขับรถ            จำเป็น

            เพลงคลอเบาๆทำให้ผมง่วงนิดๆ แต่เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนคนขับก็เลยพยายามฝืนให้ไม่หลับ

            “ง่วงก็นอนดิคุณ” หนวดมันดันหัวผมให้พิงกับเบาะ ซึ่งตอนนี้หัวผมวางอยู่ตรงคอนโซลรถ แว่นที่ใส่อยู่ถูกถอดออกเพราะรู้สึกปวดตาเล็กน้อย

            แหงล่ะ อ่านหนังสือมากๆพอได้พักหน่อยก็รู้สึกไม่ค่อยชิน

            “ปวดตาเหรอ” ผมพยักหน้าตอบ

            หนวดมันชอบเรียกผมว่าคุณมาตั้งแต่ตอนจีบกันแรกๆแล้วครับ ซึ่งตอนแรกๆบอกเลยว่าไม่ค่อยชิน มันเหมือนไม่ค่อยสนิททั้งๆที่มันเป็นน้องรหัสของพี่ชายไอ้กันแท้ๆ แต่พอโดนเรียกไปเรียกมาก็คิดว่า เออมันก็น่ารักดี

            “เรื่องงานบอลปีนี้เอาไง เห็นไอ้กันบอกจะไปแต่คงไม่ขึ้นแสตนด์” ถามออกไประหว่างหยิบกาแฟที่แวะซื้อระหว่างทางขึ้นมาจิบพลางยื่นให้คนขับรถจิบด้วยเพราะกลัวมันจะง่วง

            “ไม่รู้ว่ะ กลัวไม่ว่าง คุณจะไปป่ะ”

            “ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ไอ้กันน่าจะไปเพราะน้องกอดยังไม่เคยไป”

            “เสื้อปีนี้สวยป่ะวะ อยากได้”

            “สีชมพูไม่เหมาะกับมึงอ่ะ ไปซื้อของมอไอ้กันแล้วกัน”

            “มอไอ้กันก็เหมือนแมคโดนัลด์อ่ะหมอ” หนวดมันบ่นอุบ ผมหลุดขำ เออก็จริงของมัน

            แต่ผู้ชายสมัยนี้ทำไมชอบสีชมพูกันนักล่ะครับ อย่างไอ้หนวดเนี่ยไม่เข้าเลย ใส่สีชมพูออกมาทีเหมือนแม่บ้านมีหนวดอ่ะ

            “แต่คุณใส่สีอะไรก็น่ารักนะ”

            ไอ้คนข้างๆมันหยอดซะจนมดแทบขึ้นแก้วกาแฟ ผมยกมือผลักหัวมันเบาๆ

            “แต่กูชอบสีครีม”

            “หวานเหมือนหมอเลยเนอะ”

            “จะหยอดจนถึงกรุงเทพเลยมะ”

            “ก็หยอดจนกว่าจะได้คุณนั่นแหละ”

            เสียงไอกระแอมจากทางหลังรถดังขึ้น ไอ้กันที่เมื่อกี้หลับอยู่ลุกขึ้นมามองตาขวาง เหมือนจะคุยเสียงดังไป มันเลยกลัวว่าน้องกอดของมันจะตื่น

            จ้าๆพ่อคนรักคนหลงแฟน

            มือข้างซ้ายของหนวดยื่นมาจับมือของผมพลางกุมไว้แบบนั้น

            ปากว่าเขา

            ผมเองก็เหมือนกันนั่นแหละครับ

            หลงมาสองปีกว่าแล้ว จนป่านนี้ยังหาทางออกไม่เจอเลย





// หลงทาง เขาให้ใช้แผนที่ แล้วถ้าหลงเธอล่ะ ต้องทำยังไง
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-12-2017 18:28:42
นี่ก็หลงรักเรื่องนี้ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-12-2017 18:47:49
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-12-2017 20:25:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 18-12-2017 14:16:43
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: FaiiFay_Elle ที่ 20-12-2017 13:08:03
งุ้ยยยย เขิน  :impress2: :impress2:
ส่วนคู่หูเพ้อเจ้อนี่มาทีไรแย่งซีนเลย สายฮาตลอดด  :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wichta ที่ 22-12-2017 11:29:48
เอาอีกเอาอีกเอาอีก อยากอ่านทั้งวันเลยละมุนต่อใจมาก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 25-12-2017 15:57:33
รอบๆ สนุกมากกกก ชอบบ :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 26 {17.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: awfsp ที่ 28-12-2017 12:30:11
โอ้ยละมุนละมัย
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 30-12-2017 19:35:10
Chapter 27
สายด่วนจีบน้อง

 

            “กอด กอดเอ้ย”

            แรงเขย่าเบาๆทำให้ผมค่อยๆสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา แสงจ้าๆจากนอกตัวรถทำให้ต้องหยีตาลงเล็กน้อย ภาพที่เห็นเป็นอย่างแรกคือใบหน้าของพี่หมอสี่ที่ชะโงกเข้ามาใกล้

            “ถึงแล้วเหรอ”

            “ยังๆ พอดีลุงมันขับผิดทาง จีพีเอสพาหลง”

            อ่า

            “กินอะไรมั้ย พี่จะเข้าเซเว่น”

            สติที่ยังกลับมาไม่ครบทำให้ผมส่ายหน้าเบาๆ ฝ่ามือนุ่มนิ่มของพี่เต้าหู้ไข่วางแนบลงบนหน้าผากของผมก่อนจะละออกไปแล้วปิดประตูรถลง ภาพที่แทรกเข้ามาแทนที่คือใบหน้าของใครอีกคนที่ก้มหน้าลงมา เขาหลับตาพริ้ม

            หือ

            ทำไมพี่กันถึง…

            ผมสะดุ้งแล้วหันมองรอบๆตัว พลางเงยขึ้นไปมองคนที่กำลังหลับหัวทิ่ม ตั้งสติอยู่สักพักถึงได้รู้ว่าตัวเองนอนทับตักของพี่กันอยู่

            ตื่นเต็มตาเลยครับ

            ค่อยๆเคลื่อนตัวออกช้าๆ แต่ดูเหมือนคนที่หลับลึกจะไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ผมมองออกไปนอกกระจกรถ ปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีรถจอดเต็มไปหมดบ่งบอกว่าเรายังไม่ถึงบ้าน

            ภายในรถไม่มีใครอยู่นอกจากผมและพี่กัน ลุงรหัสและพี่หมอสี่น่าจะไปเซเว่น ความเงียบในตัวรถทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นแรง

            หลังจากกลับจากอัมพวา พอขึ้นรถผมก็หมดแรงหลับหัวทิ่มไปเลย ผมหันไปมองผู้ชายคนข้างๆที่หลับสนิท พลางคลี่ยิ้มออกมาจางๆ

            นอนแบบนี้ไม่ปวดคอหรือไงนะ

            ฝ่ามือของผมดันตัวของพี่กันให้นั่งตรงๆ ค่อยๆผลักเขาเบาๆ แต่ดันพลาดไปเพราะใครอีกคนพอโดนดันตัวไปด้านหลัง หัวก็ดันเอนไปฟาดกับกระจกรถดังตึง ผมกระเด้งตัวออกห่างพี่กันที่ร้องโอ้ยขึ้นมาพลางหันออกไปมองนอกรถแบบไม่รู้ไม่ชี้

            เปล่านะ ผมไม่ได้ทำ

            “ยังไม่ถึงเหรอ” พี่กันโพล่งขึ้นมา เสียงหาวดังๆของเขาบ่งบอกถึงความง่วงไม่ต่างจากผมเลย

            “ยังอ่ะ ลุงขับผิดทาง”

            “เอ้า ไอ้หนวดนี่”

            เขาบ่นพึมพำ

            “ตัวนิ่ม”

            “หือ” ผมหันไปมองพี่กัน ใบหน้าง่วงๆของเขาดูตลก แต่ก็น่ารักไปพร้อมๆกัน

            “ลงไปซื้อกาแฟเป็นเพื่อนหน่อย”

            “เป็นเพื่อนเหรอ”

            “เป็นแฟน”

            ผมคลี่ยิ้มออกมา มุกนี้เล่นได้เรื่อยๆสินะ

            “ยิ้มไร หรือไม่อยากเป็นแฟน เป็นเมียแทนก็ได้นะ”

            พี่กัน!

            ก่อนจะเล่นมุกอะไรกับผู้ชายคนนี้ล่ะก็ ต้องระวังหน่อยนะครับ เขาเป็นประเภทที่แม้เรื่องอื่นจะเอาชนะไม่ได้ แต่เรื่องมุกควายเนี่ย ยังไงเขาก็ต้องชนะ

            ขาของผมสัมผัสกับพื้นคอนกรีตของตัวปั๊ม ยืนบิดขี้เกียจสองสามทีพลางเงยหน้ามองฟ้า ดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้าชี้ให้เห็นได้ชัดเลยว่าเรายังคงอยู่ต่างจังหวัด เพราะปกติแล้วเวลาอยู่ในกรุงเทพผมไม่ค่อยเห็นแสงดาวเยอะขนาดนี้

            พี่กันเดินไปดึงกุญแจรถที่ถูกเสียบค้างเอาไว้ออกมา เขากดล็อครถแล้วเดินนำไปที่ร้านกาแฟที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงภายในปั๊ม โดยไม่ลืมที่จะโทรบอกพี่หมอสี่ก่อน

            “กูรอร้านแฟนะ อยู่ตรงหัวมุมอ่ะ”

            เขากดวางสายไปแล้วผลักประตูเข้าไปในร้านกาแฟชื่อดัง พอเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่สัมผัสกับจมูกของผมคือกลิ่นกาแฟหอมๆที่มักจะเป็นเอกลักษณ์ของร้านกาแฟเกือบทุกร้าน เสียงเพลงคลาสสิคคลอเบาๆกับแอร์เย็นๆขัดกับอากาศอบๆด้านนอก

            ไม่ได้เข้าร้านกาแฟนานขนาดไหนแล้วนะ กินแต่ชานมธัญพืชจนไม่ได้กินอย่างอื่นเลย

            “กินไรมั้ย” คนตัวสูงหันมาถาม

            “สตอเบอร์รี่ชีสเค้กปั่นหวานน้อย”

            เมนูประจำที่ผมชอบกิน พี่กันเลิกคิ้วนิดๆ ทำหน้าเหมือนตอนที่ผมรู้ว่าเขาชอบกินอะไรในแต่ละครั้งนั่นแหละ

            “ชอบกินสตอเบอร์รี่เหรอเรา”

            ผมพยักหน้าตอบเขา

            เมื่อก่อนเวลาไปอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟ ก็มีอยู่สองเมนูที่ผมชอบสั่งกินบ่อยๆคือชาเขียวลาเต้และสตอเบอร์รี่ชีสเค้ก ถึงแม้จะเป็นคนชอบกินของหวาน แต่ถ้าหวานมากๆยิ่งกินก็ยิ่งจะเลี่ยนเอา เลยพยายามลดความหวานโดยการสั่งหวานน้อยตลอด

            ผมเลือกที่นั่งริมหน้าต่างพลางเหม่อมองออกไปด้านนอกระหว่างที่พี่กันเป็นฝ่ายรอเครื่องดื่ม ทริปอัมพวาวันนี้สนุกมากครับ เป็นการออกต่างจังหวัดครั้งที่สองกับพี่กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในลิสต์ที่อยากทำด้วยกันกับเขา

            ฮาสุดก็เพื่อนซี้ของพี่กันที่คอยสลับกันปล่อยมุกจนทำให้การล่องเรือชมหิ่งห้อยกลายเป็นทัวร์ของคณะตลกไปซะได้

            จะว่าไป ความลับอีกอย่างของพี่กันที่เพิ่งรู้วันนี้ก็คงจะเป็น

            เขาฟังเพลงเกาหลีและร้องได้ด้วย เต้นได้อีกต่างหากอ่ะ

            เป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ

            หนังสือเล่มที่ชื่อกันนี่ มีอะไรให้ตกใจเล่นเสมอๆเลยครับ

            ผมเคยคิดเล่นๆหลายๆครั้งว่าถ้าวันหนึ่ง หนังสือที่ชื่อกันมีตอนจบ ผมเองก็ไม่รู้ว่าตอนจบนั้นจะเป็นแบบไหน เป็นการจบที่สิ้นสุด หรือเป็นการจบเพื่อเริ่มต้น

            แต่สุดท้ายแล้ว หนังสือที่ชื่อกันเนี่ย มันมีแต่จะเพิ่มหน้าขึ้นเรื่อยๆ มีสิ่งใหม่ๆให้ได้เรียนรู้และทำความรู้จักอยู่เสมอๆนั่นล่ะนะ

            แก้วสตอเบอร์รี่ชีสเค้กถูกตั้งลงตรงหน้าของผม ส่วนในมือของใครอีกคนมีกาแฟหน้าตาดูท่าทางจะขม พี่กันทิ้งตัวนั่งลงตรงกันข้ามกับผม

            “อะไรอ่ะ”

            “อเมริกาโน่ ชิมมะ” พูดจบก็ยื่นแก้วมาตรงหน้าผม ผมจรดริมฝีปากแตะลงบนหลอดเบาๆแล้วดูดน้ำกาแฟขึ้นมา รสสัมผัสแรกคือขมปี๋จนต้องหยีตาลง

            “ขมปี๋เลยอ่ะ”

            “มะระที่ว่าขม ยังขมไม่สู้หัวใจเธอ”

            ผมขมวดคิ้วมองพี่กัน

            “เป็นไรอ่ะ”

            “ทำไมต้องขัดล่ะครับตัวเล็ก”

            ก็พี่ดูเหมือนจะเป็นบ้าอ่ะ

            “ชิมของผมป่ะ” ยื่นแก้วสตอเบอร์รี่ชีสเค้กที่ดูดแล้วไปตรงหน้าเขา หลายๆครั้งเวลากินอะไรที่ชอบ ถ้าใครอีกคนยังไม่เคยกินก็จะชวนเขากินตลอดจนกลายเป็นเรื่องชิน ยิ่งถ้าเขามีวี่แววว่าจะชอบเหมือนๆกันแล้วล่ะก็ ยิ่งรู้สึกดีเป็นเท่าตัวเลยล่ะครับ

            ริมฝีปากของพี่กันแตะลงบนหลอดสีเขียวแล้วดูดน้ำในแก้วโดยไม่ปฏิเสธ

            จู่ๆอะไรบางอย่างก็แล่นขึ้นมาบนหน้าของผม

            ความร้อนจำนวนมากเกาะกลุ่มกันอยู่บริเวณแก้มสองข้าง

            เดี๋ยวนะ นี่มัน …

            จูบทางอ้อมนี่นา

            “เป็นอะไร หน้าแดงๆ กินสตอเบอร์รี่แล้วต้องกลายเป็นสตอเบอร์รี่ด้วยเหรอ” พี่กันถอนริมฝีปากออกจากหลอดแล้วหันไปดูดกาแฟของเขาแทน นัยน์ตาสวยๆนั่นส่งกลับมาราวกับว่ารู้ถึงสาเหตุของใบหน้าแดงๆของผม

            ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ก้มหน้างุดๆเหมือนหาเศษเหรียญ

            ภาพเก่าๆย้อนกลับเข้ามาในหัว ครั้งนั้นที่ไปดูหนังด้วยกัน เขาบังคับให้ผมกินน้ำอัดลมแก้วเดียวกับเขา ริมฝีปากของเขาที่สัมผัสกับหลอดสีแดงมาตลอดการดูหนังและสุดท้ายหลอดสีแดงนั่นก็สัมผัสลงบนริมฝีปากของผม

            จะว่าไป วันนั้นพี่กันพูดว่าอะไรนะ ผมลืมไปแล้ว

            “กอด”

            “หือ” ผมที่กำลังคิดถึงคำพูดวันนั้นของเขาครางฮือขึ้นมาเบาๆ

            “หมูนี่มันโง่จริงๆ ใช้เวลาคิดมาทั้งชีวิตแล้วเนี่ย”

            เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา พอพูดถึงหมู น้ำเสียงโมโนโทนก็แทรกเข้ามาในหัวเลย

            “หมูมันโง่ วางน้ำให้ก็ไม่กินซักที”

            “ก็เลยต้องยัดเยียดให้มันกิน”

            “อย่างที่คิด หวานมาก”

            “พี่ไม่ได้เลี้ยงหมูนี่” ผมถามออกไป คนตรงหน้าไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงแค่จ้องหน้ากลับมานิ่งๆ แต่ริมฝีปากของพี่กันคลี่ยิ้มออกมา เขายกยิ้มมุมปาก

            ท่าไม้ตายของเขา
           
            “ไม่ได้เลี้ยง”

            อ่า

            เข้าใจแจ่มแจ้งเลย

            เขาว่ากันว่างองูมาก่อนฉอฉิ่งครับ โง่มาก่อนฉลาดนั่นเอง ผมไม่รู้เลยว่าวันนั้นเขาต้องการให้ผมกินน้ำแก้วเดียวกับเขาเพราะว่าอยากจูบทางอ้อม ซึ่งหมูโง่ๆอย่างผมดันคิดไม่ทัน ตอนนั้นคิดแค่ว่าการได้มาดูหนังกับเขา แค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว

            “พี่นี่มันจริงๆเลย”

            “ทำไม”

            เขาหัวเราะเบาๆ

            “นี่ขนาดผ่านมานานละนะ” คนตัวสูงโพล่งออกมา ผมสบตากับเขา

            “ยังหวานเหมือนเดิมเลย”

            ผมรีบดูดสตอเบอร์รี่ชีสเค้กเข้าปากแก้เขิน รสหวานๆที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้น กับรสขมๆของกาแฟอเมริกาโน่ที่ยังคงไม่จางหายไป ทั้งๆที่หวานสุดขั้วกับขมสุดขั้วแบบนี้ แต่กลับเข้ากันได้ดี

           

            เรากลับขึ้นรถกันอีกครั้งหลังจากทำธุระเสร็จ พี่หมอสี่นั่งเคี้ยวซาลาเปาหงับๆอยู่ที่เบาะข้างคนขับ ส่วนลุงรหัสก็พยายามเลือกเพลงเพราะๆมาเปิดให้ฟังระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน ซึ่งไม่รู้ว่าวันนี้จะถึงบ้านมั้ย จากที่จะเข้ากรุงเทพ ทำไมถึงมาออกจังหวัดอื่นได้ล่ะ

            ถามว่าตอนมาทำไมถึงไม่หลงทั้งๆที่ไม่ใช้จีพีเอส ก็มีเจ้าบ้านที่เกิดที่อัมพวาคอยชี้ทางอยู่ทั้งคน จะหลงได้ยังไงล่ะครับ

            “มึงกดตรงนี้ดิ” พี่กันแทรกตัวไปสอนลุงรหัสกดจีพีเอส พี่หมอสี่หันมามองหน้าผม เราสองคนหลุดหัวเราะออกมา ทุกครั้งที่เห็นจีพีเอสมันจะขำโดยอัตโนมัติเหมือนได้ยินเสียงอันนาเหมดแทรกออกมาตลอดๆ

            “สภาพมึงนี่ไม่น่าสอนคนอื่นได้นะกัน”

            “ทำไม”

            “อันนาเหมดของมึงเนี่ย”

            “ไอ้เชี่ยหมอ”

            คนตัวสูงเบ้ปากแล้วยอมแพ้กลับมานั่งที่เบาะแต่โดยดี ผมเองก็ยังขำไม่หยุดจนโดนพี่กันบิดหูไปหนึ่งที

            ก็มันตลกนี่นา

            “จะกลับถึงบ้านมั้ยเนี่ย” พี่หมอสี่บ่นเสียงดัง

            “ก็ค่อยๆขับไป”

            “จะถึงพรุ่งนี้เลยมะ”

            “ถ้าคุณง่วงก็นอนไปเลย ฝืนไปมันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”

            “ไม่เอา เดี๋ยวมึงเผลอหลับ”

            “ไม่หลับหรอกคุณ ยังไงผมพาคุณถึงหออย่างปลอดภัย ไร้รอยขีดข่วนแน่นอน” ลุงรหัสทำเสียงเข้ม

            “หรือถ้าอยากจะโดนข่วนก็จัดให้นะ” พูดพลางเขี่ยแขนคนข้างตัว เลยโดนตบหัวทิ่มไปเลย

            “ตั้งใจขับ มีอีกสองชีวิตข้างหลังต้องดูแล”

            “ไม่ต้องกังวลน่า ปลอดภัยอยู่แล้ว”

            เวลาลุงรหัสอยู่กับพี่หมอสี่นี่อย่างกับคนละคนที่ผมเคยรู้จักเลยครับ เวลาอยู่ในกลุ่มสายรหัสสุดขั้วเขาจะดูเหมือนพึ่งพาไม่ค่อยได้เท่าไร เป็นขี้เมา เป็นลุงแก่ๆ เป็นคนบ้าๆบอๆ แต่ตอนนี้เขาดูเป็นผู้ใหญ่สมตัว อาจจะเป็นเพราะว่าต้องดูแลใครอีกคนเลยจะมาทำตัวกากๆเหมือนตอนอยู่กับพวกผมไม่ได้ ซึ่งพอเห็นแบบนั้น ก็ดันหลุดยิ้มออกมา

            คนรักกัน พอมาถึงจุดๆหนึ่งมันก็ต้องมีเรื่องให้คิดมากกว่าเรื่องความรัก ทั้งเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย เป็นห่วงว่าเขาจะเหนื่อย จะเพลียเวลาขับรถไกลๆ

            ก็แหงล่ะ คนเราเห็นกันอยู่ทุกวัน ผูกพันกันขนาดนี้ เราก็อยากจะเห็นกันต่อไปอีกนานๆจริงมั้ยล่ะครับ

            “ยิ้มทำไม” พี่กันกระซิบถาม

            “ตั้งแต่รู้จักลุงมา ผมเพิ่งรู้เนี่ยแหละว่าลุงเองก็มีด้านเท่ๆกับเขาเหมือนกัน”

            “กูก็เท่นะ”

            “เหรอ”

            “ให้มึงนอนตักด้วย” เขาพูดพลางยักคิ้ว

            เห็นผมชมใครไม่ได้เลยครับ เพราะเจ้าตัวถือคติว่า คนอื่นจะว่าอะไรเขาไม่สน แต่ถ้าเป็นผมล่ะก็ เขาจะต้องเป็นที่หนึ่งทุกเรื่องให้ได้ ประมาณนั้นเลยอ่ะ

            รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากปั๊มน้ำมัน เสียงเพลงสากลในรถคลอเบาๆ พอได้กินอะไรหวานๆเข้าไปแล้ว ก็ไม่รู้สึกง่วงแล้วครับ พี่กันเองก็ไม่ง่วงแล้วล่ะ ซัดกาแฟขมปี๋เข้าไปทั้งแก้วขนาดนั้น และก็คงไม่ง่วงจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้นั่นแหละ

            “ถ้าพี่บอกว่าไม่ได้เลี้ยงหมู แล้วตอนนั้นคุยโทรศัพท์กับใครอ่ะ ทำไมถึงดูเหมือนเปิดฟาร์มหมูอะไรแบบนั้นเลย” ผมถามคำถามออกไประหว่างนั่งเขี่ยวิปครีมขึ้นมากิน

            “คุยคนเดียว”

            ห่ะ

            หันไปมองใบหน้ากวนๆของพี่กันนิ่งๆ

            “คุยคนเดียวอ่ะนะ”

            “อือ เดี๋ยวมีคนรู้ว่าอ่อยอยู่”

            ใจผมกระตุกไปวูบหนึ่ง

            ไอ้คนบ้า

            “แล้วตอนอื่นอ่ะ คุยคนเดียวป่ะ” อย่างเช่นตอนกินข้าวครั้งแรก หรือตอนที่เขาเรียกผมว่าตัวขี้เหงา

            “ไม่ คุยกับไอ้หมอ”

            พี่หมอสี่หันขวับมามองพี่กันตาขวางเลยครับ

            “ไหนมึงบอกจะไม่เปิดเผยข้อมูลลับไงไอ้ห่ากัน กอดจะมองกูเป็นคนยังไง”

            “ก็น้องมันถาม”

            “งั้นกูก็บอกน้องได้ใช่ป่ะ”

            “เฮ้ยๆหมอ!”

            “ทำไม มาถึงขนาดนี้แล้วไม่ต้องกลัวหรอกว่าน้องจะด่ามึงว่าเป็นไอ้โรคจิตอ่ะ”

            “เชี่ยหมอ อย่า!” พี่กันพยายามห้ามพี่หมอสี่ที่กำลังจะพูดความลับอะไรออกมา แต่พี่หมอสี่ไม่สนใจเลยครับ ถ้าจะพูดแล้ว ยังไงก็ต้องพูดออกมาให้ได้ หน้าเขาบอกว่าอย่างนั้นนะ

            “ไอ้กันอ่ะนะน้องกอด มันบังคับพวกพี่ให้ตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมา แล้วให้พวกพี่รายงานความเคลื่อนไหวทุกอย่างของน้องกอดให้มันฟัง ทั้งๆที่แม่งไม่เล่นไลน์”

            “เออ! ลำบากพวกกูต้องโทรประชุมสายหามึงตลอด” ลุงรหัสบ่นเสริม

            ผมงงเป็นไก่ตาแตกเลย

            “ไม่เข้าใจอ่ะ”

            “ไม่เข้าใจก็ดีแล้ว อย่าไปสนใจปากหอยปากปูเลยที่รัก” คนตัวสูงกอดเอวผมไว้หลวมๆ แต่ผมดันหัวพี่กันออกห่างตัว

            ร้อนรนขนาดนี้ ต้องเป็นความลับขั้นสุดยอดแน่ๆ

            พี่หมอสี่ทำหน้าไม่พอใจเพื่อนของเขา ก้มลงไปกดอะไรสักอย่างในมือถือของตัวเองพลางยื่นมาให้ผม พี่กันทำท่าจะคว้าไปซะก่อนแต่ช้ากว่าผมที่กระเถิบไปด้านหน้า เอาตัวแทรกเข้าไประหว่างช่องกลางของเบาะหน้าแล้วดูมือถือของพี่หมอสี่

            “กอดดด” เสียงอ้อนๆของเขาไม่ได้ทำให้ผมสนใจเลยสักนิด

            ความลับอีกอย่างของพี่กัน คืออะไรที่อยากจะรู้มากกว่า

            “เนี่ย กลุ่มไลน์ที่มันให้ตั้ง” นิ้วเรียวๆของพี่หมอสี่ชี้ลงบนกลุ่มไลน์ที่ถูกตั้งภาพโปรไฟล์เป็นสีดำ ชื่อกลุ่มไลน์เขียนเป็นภาษาไทยเป็นคำว่า

            ‘สายด่วนจีบน้อง’

            โอ้โห

            รู้เลยใครตั้งชื่อ

            ไม่พี่กันก็ลุงรหัสเนี่ยแหละ

            นิ้วของผมเลื่อนกดดูสมาชิกภายในกลุ่มที่ประกอบไปด้วยพี่หมอสี่ ลุงรหัส และปู่รหัสเพียงแค่สามคน ไม่มีพี่กันเพราะว่าเจ้าตัวไม่ได้เล่นไลน์ ไม่แปลกใจเลยที่มีสมาชิกเพียงแค่นี้เพราะแต่ละคนล้วนเป็นคนในความลับของพี่กันทั้งสิ้น

            ภายในกลุ่มมีข้อความที่คุยกันค้างไว้ ซึ่งพี่หมอไม่ยอมให้ผมอ่าน เขาดึงมือถือกลับไป

            “ไม่ต้องอ่านหรอก แค่นี้ไอ้กันก็จะบ้าตายละ”

            พี่หมอสี่พยักพเยิดหน้าไปยังด้านหลัง ผู้ชายตัวสูงนั่งกุมขมับหัวชิดหน้าต่างพลางมองผมตาละห้อย พอเห็นแบบนั้นก็ดันใจอ่อน

            ถ้าไม่อยากให้อ่าน ก็ไม่อ่านก็ได้

            “รู้แค่ว่าพอน้องกอดสอบติด กันมันก็สั่งให้พวกพี่ตามติดน้องกอดเลย ที่น้องกอดมาอยู่สายรหัสกับพี่ชายของมันก็เพราะว่าปู่รหัสนั่นแหละ”

            อ่า พอได้ยินแบบนี้แล้ว

            หัวใจมันเต้นรัวเลยครับ

            “งั้นรูปหลุดๆที่พี่กันมี ก็แสดงว่ามาจากกลุ่มนี้ใช่ป่ะ” ผมเอ่ยปากถามข้อสงสัยที่มีอยู่ในใจว่าพี่กันได้รูปหลุดของผมมาจากไหนเยอะแยะ เยอะจนเอาไปทำโพลารอยด์ได้เป็นปึกๆ คนตรงหน้าพยักหน้าเป็นคำตอบ

            “เจ้าตัวมันไม่ยอมเล่นไลน์ ตุ๊กตาตัวละพันซื้อได้ แต่ไม่เติมค่าเน็ต น้องกอดก็ลองไปถามมันเองว่าทำไมมันถึงไม่ยอมเล่น”

            หันไปเผชิญหน้ากับคนที่มองเพื่อนตัวเองตาขวาง พี่หมอสี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันไปคุยงุ๊งงิ๊งกับลุงรหัสต่อ ผมเอนตัวกลับมานั่งพิงเบาะรถตามเดิม

            “ทำไมอ่ะ”

            คำตอบครั้งแรกเขาบอกว่า ไม่เล่นไลน์เพราะกลัวติดผม

            แต่คำตอบครั้งนี้ เขาจะบอกว่าอะไรกันนะ

            “กลัวตัวเองไง”

            หือ

            “กลัวทำไมอ่ะ”

            “กลัวว่าจะทำให้มึงรำคาญ ที่กูทำนี่ไม่ต่างจากพวกโรคจิตอย่างที่ไอ้หมอว่านั่นแหละ”

            “ทำไมถึงคิดว่าผมจะรำคาญล่ะ”

            “ก็ลองคิดดูว่าถ้ากอดไม่ชอบไอ้กัน แล้วโดนตามตลอดแบบนั้น น้องกอดจะรู้สึกยังไง”

            คำพูดของลุงรหัสทำให้ผมนึกคิด

            ถ้าผมไม่ชอบพี่กันแล้วโดนตามน่ะเหรอ…

            อ่า มันก็คงไม่ต่างอะไรกับโดนโรคจิตตามจริงๆนั่นแหละ คงจะดูน่ากลัวไปเลย เพราะเวลาพี่กันตามน่ะ คือตามถึงที่จริงๆครับ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเขาเขาก็จะโผล่มาอยู่ข้างๆโดยไม่มีบอกกล่าวเลยว่าเขาจะมา แค่อยากโผล่ก็โผล่มาเหมือนผีเลยอ่ะ

            แต่ติดที่ว่า ผมชอบเขา ทุกอย่างที่เขาทำเลยดูเหมือนเป็นสิ่งพิเศษ

            “มึงควรขอโทษน้องด้วยที่ละเมิดสิทธิส่วนตัวเยอะขนาดนั้น” พี่หมอสี่ตะโกนแทรก

            “กูก็ไม่ได้อยากทำนะโว้ย!”

            “แล้วทำทำไมอ่ะ” ผมส่งสายตาขอคำตอบไปที่เขา

            “กูคลั่งมึงไงน้องกอด”

            เสียงภายในรถเงียบลง มีเพียงเสียงเพลงที่ยังดังคลอเบาๆเป็นระยะๆ ใบหน้าของผมร้อนขึ้นมาทั้งๆที่อากาศภายในรถเย็นจนต้องหยิบเสื้อคลุมไหมพรมมาสวม

            “ถ้ากูรู้ว่ามึงอยู่ไหน กูจะไปหาตลอด ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้าพวกมันส่งข่าวมาให้ ถ้าไม่อย่างนั้นกูทำตัวเป็นวิญญาณตามติดมึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่ๆ”

            คำตอบของพี่กัน ทำให้ผมต้องฟุบหน้าลงบนตักของตัวเอง ใบหน้าที่ร้อนผะผ่าว เสียงหัวใจที่เต้นรัวแข่งกับเสียงเพลง ฝ่ามืออบอุ่นของพี่กันวางลงบนศีระษะของผม ไม่ต่างจากครั้งแรก

            มันยังคงอบอุ่นเหมือนอย่างเคย

            “เพราะแบบนี้ไง ถึงไม่อยากให้มึงรู้ ให้มึงคิดว่ามันเป็นความบังเอิญที่ได้เจอกัน คงจะดีมากกว่า”

            ไม่หรอก

            ไม่จริงเลย

            ผมดีใจนะที่รู้ว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่พยายามเข้าหาพี่ แต่พี่เองก็พยายามไม่ต่างจากผมเลย

            “แล้วอีกอย่าง”

            “ถ้ามีไลน์ ก็ไม่มีข้ออ้างในการไปหามึงไง จริงมั้ย”

            ผมยิ้มกว้างออกมาโดยที่ไม่ยอมให้ใครอีกคนเห็น ความลับอีกอย่างของพี่กันถูกเปิดเผยออกมา แม้จะเป็นความลับที่เปิดเผยออกมาโดยบังเอิญ หากแต่เป็นความลับที่ทำให้รู้จักกับเขามากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ผมไม่รู้ว่ายังมีความลับอะไรที่เขาปิดบังอยู่อีกมั้ย

            แต่บางทีก็คิดนะ ว่าถ้ามีอีกล่ะก็ ผมคงไม่เซ้าซี้ให้เขาบอกแล้วล่ะ

            ความลับบางอย่างน่ะ ถ้าเก็บให้มันเป็นความลับ ก็คงจะดีกว่า

            เพราะพอรู้เข้าแล้ว หัวใจก็เต้นรัวไม่ยอมหยุดจนอยากจะร้องไห้ออกมา คิดอยู่แค่ว่า

            เขาน่ะ คงจะรักผมมากๆ

            ถ้าอนาคตเผลอทำให้เขาเสียใจล่ะก็ ผมคงเสียใจไปตลอดแน่ๆเลยล่ะครับ

 

 



// ความลับบางอย่าง ปล่อยให้มันเป็นความลับอ่ะดีแล้ว

อย่างเช่นที่คนอ่านอยากได้พี่กัน แต่พี่กันเป็นของเราอะไรแบบนี้ (หลบตีน)



หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-12-2017 22:37:21
โอ้โห  o13
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-12-2017 22:46:43
น่ารักมากกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-12-2017 09:18:34
  :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 31-12-2017 12:33:42
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 31-12-2017 13:29:22
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-12-2017 15:55:58
น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 31-12-2017 21:57:27
หลงน้องหัวปักหัวปำเลยพี่กัน // แต่แอบปันใจให้คู่ลุงหนวดกับหมอสี่อ่ะ เอ็นดูว์ ทะเลาะกันเอาซะมุ้งมิ้งหมดมาดช่างแอร์เลย 5555

HNY 2018 นะคะ มีความสุขทั้งคนเขียนและคนอ่าน สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไม่จนทุกท่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-12-2017 22:05:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 31-12-2017 23:34:27
อ้อยยยจ้า อ้อยย !!
รอติดตามตอนต่อไป  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 01-01-2018 12:40:57
สุดยอดของความกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 01-01-2018 18:58:27
ความลับเยอะจังนะอิพี่กัน แค่นี้น้องกอดก็ไปไหนไม่รอดแล้ววว :o8:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-01-2018 21:57:09
เพิ่งๆด้เข่ามาอ่านเรื่องนี้ อ่านรวดเดียวเลย บอกได้คำเดียวเลยชอบมากกก
คนอย่างพี่กันหาได้ที่ไหน อยากได้
หลังจากนี้คงมองโคนี่กับหมีบราวน์เปลี่ยนไป เห็นแล้วคงยิ้มได้ทั้งวัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 01-01-2018 22:52:40
ตามติด และติดตามทุกฝีก้าว  :z2:
+1 ให้กับความน่ารักของทั้งคู่ ก็ กอดกับกันไง 555.... :mew1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 01-01-2018 23:03:25
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: awfsp ที่ 04-01-2018 12:44:41
คุ้มกับการลงทุนนะเนี่ยพี่กัน
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 08-01-2018 19:46:15
มาต่อเร็วๆน้า เค้ารอนานแล้ว :ling1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Jooheon ที่ 13-01-2018 11:36:58
น่ารักมากกกกกกกก :mew2: :mew2: :mew3: :mew2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Jooheon ที่ 13-01-2018 11:37:43
น่ารักมากกกกกกกก :mew2: :mew2: :mew3: :mew2:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 13-01-2018 13:31:06
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 19-02-2018 13:17:44
รอ รอ รอ และ รอ!!!
ชอบๆๆ หลงจนถอนตัวไม่ขึ้น  o13
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: nippy ที่ 20-02-2018 13:27:46
รออ่านตอนต่อไปนะคะ ✌✌✌✌
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: TeuyHom ที่ 28-04-2018 20:02:38
โอ้ยยยย....พี่กันนี่ร้ายใช่เล่นเลยนะ  555
อ่านไปเขินไป น่ารักอ่ะ พี่กันน้องกอด  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 28-04-2018 22:42:43
เป็นนิยายที่ฮีลลิ่งดีต่อใจมากๆค่าาาา โฮกกกกกกก อยากได้พี่กัน น้องกอดก็น่ารักกก
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 15-07-2018 01:16:35
กด fav เรื่องนี้ไว้นานมากเพิ่งมีโอกาสได้อ่าน น้องกอดน่ารักน่าฟัดมากๆส่วนพี่กันก็ทำใจบางมากเช่นกัน เป็นเรื่องความรักที่ไม่หวือหวาเน้นชีวิตในแต่ละวันของทั้งคู่ เราว่ามันก็อบอุ่นชวนเขินดีนะ รอนักเขียรมาต่อไวๆนะคะ อย่างทิ้งเรื่องนี้เลยนะ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 16-07-2018 20:19:17
คิดถึงเรื่องนี้มากๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 13-08-2018 16:13:45
คิดถึงแล้ว :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: BooJiRa_ ที่ 15-08-2018 17:37:42
ชอบมากเลย ขอบคุณนะคะ ไม่จบไม่เป็นไร แต่ได้อ่านแล้วมีความสุขมากๆค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Pakeleiei ที่ 19-08-2018 13:33:11
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน สนุกมากกกกกกกกก
พี่กันก็น่ารัก น้องก็น่ารักกว่า ชอบบบบบบ
 :L1:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 27 {30.12.60}
เริ่มหัวข้อโดย: Pthassa ที่ 23-01-2019 21:57:32
ในเด็กดีจบแล้วนะค่ะ ลองเข้าไปติดตามดูมีตอนพิเศษด้วย พี่กันคนหื่นกับน้องกอดคนน่ารัก
หัวข้อ: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
เริ่มหัวข้อโดย: leenanhyun ที่ 27-02-2019 12:52:35
Chapter 28
อยากให้มั่นใจ

 

            ผมลงจากรถไฟฟ้าในยามค่ำคืนเพื่อที่จะไปเชียร์ใครอีกคนเตะฟุตบอลเป็นวันสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่สัปดาห์ไฟนอลอย่างเต็มรูปแบบ

            พอใกล้สอบไฟนอลทีไร ผมเป็นโรคกังวลขึ้นมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงสมัยมัธยมหรือมหาวิทยาลัยเพราะผมไม่ใช่คนเก่ง ทั้งหมดที่ได้มาล้วนเป็นผลพวงจากความขยันทั้งสิ้น ขนาดที่ว่าจะมาดูเขาเตะบอลผมยังต้องแบกหนังสือมาอ่านเลยอ่ะ

            ไอ้ที่เขาพูดๆกันว่า นักปราชญ์ที่แท้จริงจะต้องไม่ไหวหวั่นเนี่ย มันใช้ไม่ได้กับการเรียนมหาลัยเลยครับ นอกซะจากว่าบุคคลผู้นั้นเกิดมาเพื่อเป็นอัจฉริยะจริงๆอย่างเช่นแฟนของผม ที่เข้าคลาสก็หลับหัวทิ่ม แต่ดันสอบออกมาได้เอ พี่หมอสี่เล่าให้ผมฟังน่ะนะ

            ตลกดีครับที่จู่ๆก็ดันนึกถึงช่วงสอบเข้าขึ้นมา ตอนนั้นอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังชนิดที่เรียกว่าแม่เรียกออกไปนอกบ้านผมก็ไม่ไป ถึงจะออกก็ต้องรีบกลับให้ตรงเวลา เพราะผมกลัวจะสอบไม่ติด ถ้าสอบไม่ติด เป้าหมายถัดไปก็คือการไปอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละ

            เท้าของผมก้าวเดินไปตามพื้นคอนกรีตของตัวสถานี ว่าจะแวะซื้อชานมธัญพืชไปฝากพี่กันเหมือนทุกๆครั้ง แต่วันนี้ร้านดันปิด ก็เลยเบนเข็มตรงไปซื้อเครื่องดื่มผสมโซดาแทน

            ตาขวาผมกระตุกตั้งแต่ออกมาจากมหาลัยแล้ว และก็ดูเหมือนว่าลางสังหรณ์จะถูกต้องจริงๆ เพราะพอเดินออกจากช่องคืนตั๋วปุ๊บ ผมก็ดันเจอกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง

            ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าโลกมันกลม ยิ่งกับคนที่เราไม่อยากจะเจอเนี่ย ยิ่งกลม

            พ่อคลี่ยิ้มให้ผมจางๆ แต่ผมกลับทำเพียงแค่ก้มหน้ามองพื้นแล้วเดินดุ่มๆไม่สนใจเขา ทำเหมือนว่าเขาเป็นอากาศ พยายามเลี่ยงออกห่างจากตัวเขาให้มากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เดินมาขวางเอาไว้ ผมไม่ได้เงยหน้ามองผู้ชายที่ยังเป็นฝันร้ายของตัวเอง หากแต่ใช้คำพูดสุภาพเพื่อขอให้เขาหลีกทาง

            “ขอโทษครับ ผมมีธุระ”

            “พ่อขอเวลาซักห้านาทีได้มั้ย”

            “ไม่ได้ครับ”

            “กอด”

            “ผมรีบไป”

            “พ่อขอโทษ” คำพูดของเขาทำให้ผมนิ่งไป

            “พ่อขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่ลูกวันนั้น พ่อคุยกับแม่แล้ว และก็สัญญากับแม่ไปแล้วว่าจะไม่มายุ่งกับกอดและแม่อีก นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อจะมาบอกลาลูก”

            ลำคอที่ฝืด ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

            ไม่ว่าจะเจอกับเขากี่ครั้ง มันก็ยังเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดราวกับจมน้ำทุกครั้งไป

            “ก็ดีแล้วครับ”

            “กอด”

            ริมฝีปากของผมเม้มเข้าหากันแน่น ความโกรธเคืองที่ยังอยู่ในใจมันมากเกินกว่าจะให้อภัย

            ผมไม่เข้าใจหรอกว่าพ่อของตัวเองต้องการอะไร ต้องการจะเป่าหูให้ผมเกลียดแม่ที่เลี้ยงดูผมมา หรือต้องการจะดึงผมไปอยู่กับเขา แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงออกของเขาก็ยังหยาบคายไม่ต่างจากหลายๆครั้งที่เขาชอบทำร้ายแม่ด้วยคำพูด

            ดังนั้นผมจะคิดซะว่าการที่เขามาขอโทษแบบนี้

            จะได้จบๆไปซักที

            “ถือว่าจบแล้วกันครับ ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก”

            ผมเงยหน้าสบตากับคนเป็นพ่อ แววตาเจ็บปวดที่ถูกส่งมานั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกใจอ่อนเลยสักนิด ก้มหัวให้เขาเล็กน้อยเพื่อเป็นการเคารพเขาครั้งสุดท้าย และหลังจากนี้ถ้าเราเจอกันโดยบังเอิญอีก ผมจะถือว่าเราไม่รู้จักกัน

            ขาสองข้างของผมเดินไวๆออกจากตัวสถานีก่อนจะนั่งรถไปยังมหาลัยของพี่กัน

            คำพูดร้ายๆของพ่อแทรกเข้ามาในหัวอีกครั้ง ผมหลับตาลงพลางผ่อนลมหายใจเบาๆ

มีใครบางคนบอกกับผมไว้ว่า อย่าไปแคร์คำพูดที่ไม่ดีของคนพวกนั้น ถ้ายังลืมคำพูดแย่ๆไม่ได้ ก็คิดถึงเรื่องดีๆไว้ อย่างเช่นเรื่องของกิน

เท่านั้นแหละในหัวสมองก็มีแต่เรื่องของกินไหลพรั่งพรูเข้ามาเหมือนสั่งได้ ผมหลุดยิ้มให้กับตัวเองนิดๆ

ยังมีอิทธิพลกับผมเสมอแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน นั่นแหละพี่กันล่ะ

ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รักเขามากขนาดนี้ มีหลายๆคนพูดว่ารักเพียงแค่สบตาหรือรักครั้งแรกมันไม่มีจริงหรอก ผมเองก็เคยเชื่อแบบนั้น แต่พอมาเจอเข้ากับตัว ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารักแรกพบนั้นมีจริงๆ พอรู้สึกแบบนั้น มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นในการทำความรู้จักกับเขา อยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ อยากเข้าไปทักทาย พอได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่ารักเขาเข้าจริงๆ

            รถจอดลงหน้าสนามบอลขนาดใหญ่ การแข่งขันเริ่มขึ้นไปแล้ว ผมสอดสายตาหาที่นั่งที่ลมเย็นๆก่อนจะทิ้งตัวลงบนอัฒจันทร์แล้วหลับตาพลางสูดอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอด

            ลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเขาพอดี คนที่สายตาโฟกัสอยู่กับลูกหนังกลมๆอยู่ในสนาม

            ผู้ชายตัวสูงแขนขายาว สวมชุดนักบอลสีน้ำเงินไม่ต่างจากครั้งแรกที่ไปดูเขาเตะฟุตบอล บนด้านหลังเสื้อยังคงเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ที่เขียนไว้ว่า GUN รวมไปถึงเลขประจำตัวของเขา เบอร์หก

            ในร่างนักกีฬา เขาดูเท่มากๆเลยครับ

            จากที่จะอ่านหนังสือ กลายเป็นว่านั่งดูเขาเตะฟุตบอลไปจนจบเกมนั่นแหละ ฝ่ายพี่กันชนะไปด้วยคะแนนสองต่อศูนย์ ปิดบอลลีกไปอย่างสวยงาม เขาและเพื่อนๆกรูกันไปนั่งข้างสนามพลางพูดคุยกันเหมือนวันแรกที่ผมมาเชียร์เขา เวลาเขาอยู่กับเพื่อน พี่กันจะเหมือนเป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดเพื่อนๆเข้ามาหา คงเพราะพลังงานบวกของเขานั่นแหละ

            แล้วหลังจากนั้น สายตาของเขาก็ควานหาอะไรบางอย่าง

            ผมคลี่ยิ้มกว้างออกมาเพราะความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ สายตาของคนตัวสูงหยุดลงเมื่อหาผมเจอ ราวกับเขาคอยค้นหาผมอยู่ตลอด พอสายตาของเราสองคนสบเข้าหากัน เขาก็ส่งยิ้มหวานมาให้ทั้งๆที่ยังมีเพื่อนๆรายล้อม

            เหมือนพูดผ่านสายตาคู่สวยนั่นว่า

            ‘หาเจอแล้วนะ’

            ผมไม่ได้แอบพี่สักหน่อย

            คนบ้าเอ้ย

 

            “อ่ะ”

            ฝ่ามือของผมยื่นขวดที่บรรจุน้ำหวานผสมโซดาให้กับพี่กัน เขารับไปแล้วเปิดดื่มโดยไม่ถามอะไรสักคำ เจ้าตัวเปลี่ยนชุดเตะฟุตบอลเป็นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นพอดีเข่าเรียบร้อยแล้ว สะพายกระเป๋าสีดำใบโตพาดตัว แปลกตาไปหนึ่งอย่างก็รองเท้าแตะที่เขาหนีบอยู่นั่นแหละ

            ไม่ค่อยได้เห็นเขาใส่รองเท้าแตะเท่าไร พอมาเห็นแบบนี้แล้วก็คิดว่า

            ผมรู้แล้วเขาไม่หล่อเวลาไหน

            เวลาคีบแตะนี่แหละครับ

            หัวยุ่งๆเปียกไปเพราะเหงื่อ หน้ามันๆ แต่งตัวเหมือนจะไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย

            “วันนี้ไม่หล่อเลยอ่ะ” เอ่ยปากแซวคนที่กำลังกระดกน้ำเข้าปาก เขามองผมด้วยหางตา

            “กูก็คนนะตัวนิ่ม มันต้องมีวันที่ไม่หล่อบ้างแหละ”

            ผมยิ้มออกมา แซวเล่นเฉยๆน่า หล่อไม่หล่อก็หลงไปแล้วนี่นา

            “ขอยืมน้ำมันบนหน้าไปทอดไข่หน่อย”

            เขาผลักหัวผมจนเซแล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้ามันๆนั่น

            “กวนนะมึงอ่ะ คิดว่าตัวเองหน้าใสละจะพูดไรก็ได้เหรอ”

            “ช่ายย”

            “เดี๋ยวกูก็กัดแก้มขาด”

            ใจบาป!

            เราสองคนเดินไปตามพื้นคอนกรีตเรียบๆ พี่กันบ่นหิวตั้งแต่เตะบอลเสร็จเหมือนอย่างเคย แต่เขาบอกว่าวันนี้จะพาผมไปเดินเล่นก่อนที่จะไปกินข้าว เพราะวันนี้อากาศดีมีลมเย็นๆพัดผ่านตลอด

            ใช้เวลาเดินอยู่ค่อนข้างนานกว่าจะถึงจุดที่เขาบอกว่าอยากให้ผมมาเห็นสักครั้ง เขาไม่ได้บอกผมว่าสถานที่นี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แต่มันเป็นสะพานปูนที่พาดอยู่บนสระน้ำ ทางเดินยาวๆที่ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ยังมีนักศึกษาเดินผ่านไปมาบ้างประปราย

            พี่กันเดินนำไปที่สะพาน พอเห็นแบบนั้นผมเลยเดินตามเขาไป เราสองคนเดินอยู่ข้างๆกันเงียบๆ แอบเห็นว่าส่วนมากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะมากันเป็นคู่ๆ ซึ่งผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไร เพราะคนที่มาเดินคนเดียวหรือเดินกันเป็นกลุ่มๆก็มีบ้าง อาจจะตั้งใจออกมารับอากาศดีๆแบบเราสองคนนั่นแหละ

ผมมองไปยังเงาที่สะท้อนอยู่ในสระน้ำ เงาพระจันทร์และดวงดาวในยามค่ำคืน เลยอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดยืนแล้วเงยหน้ามองบนท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับเต็มไปหมด

            วันนี้อากาศดีจริงๆครับ ท้องฟ้าปลอดโปร่งเชียว

            “ชอบมั้ย”

            น้ำเสียงทุ้มๆถามขึ้นขัดความเงียบรอบๆกาย ผมพยักหน้าเบาๆ ชอบมาก มันอาจจะเป็นเพียงสะพานธรรมดา แต่การได้มาเดินกับใครอีกคน มันทำให้สะพานธรรมดาๆกลายเป็นสะพานพิเศษสำหรับผม ไม่ใช่แค่เพียงสะพาน แต่รวมไปถึงเรื่องอื่นๆอย่างเช่นการขึ้นรถไฟฟ้าในวันธรรมดาๆ ก็กลายเป็นวันพิเศษสำหรับผมไปแล้ว

            ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวไปไหน  เสียงตะโกนของใครสักคนก็ดังขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่งของสะพาน

            “หยี”

            หือ

            หยีอะไร?

            “หยี”

            “หยี”

            “หยี”

            เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ผมหันไปมองหน้าพี่กันที่หลุดหัวเราะออกมา พอเห็นเขาหัวเราะมันก็เหมือนเป็นปฏิกิริยาเคมีที่ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาหัวเราะอะไร แต่ก็ดันขำตามไปกับเขาด้วย จนกระทั่งเราเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ผู้ชายสวมแว่นคนหนึ่งเดินข้ามสะพานมา เขายังตะโกนคำว่า ‘หยี’ เสียงดังแม้ว่าจะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาบนสะพาน พอถึงฝั่งปุ๊บเขาก็เงียบลงไป ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ฝั่งนี้ระดมฟาดแขนผู้ชายคนนั้นอย่างแรง

            “โอ้ยลูกหยีอย่าฟาดเรา”

            “น่าเกลียด อายชาวบ้านเขา”

            แล้วทั้งสองคนก็เดินหนีออกไปท่ามกลางเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเอ็นดูของใครหลายๆคน

            “พี่ขำอะไร” หันไปถามคนที่กุมท้องขำตัวงอไม่ยอมหยุด เขาหัวเราะจนต้องสูดอากาศหายเข้าใจลึกๆ เหมือนถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วล่ะก็ จะหยุดหัวเราะไม่ได้อ่ะ

            “สะพานนี้มีเรื่องเล่ารู้ป่ะ เขาเชื่อกันว่าถ้าเดินบนสะพานแล้วตะโกนชื่อคนที่เราชอบจนสุดสะพานจะสมหวังในความรัก”

            อ่อ ถึงบางอ้อแล้วล่ะครับ

            “ก็เลยมีคนชอบมาตะโกนชื่อคนที่ชอบบนสะพานแบบหยีเมื่อกี้ไง”

            ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ

            “แล้วพี่เคยตะโกนป่ะ”

            “ไม่เคย เพราะกูไม่ค่อยเชื่อ”

            “เหรอ” ผมหลุบตาต่ำลง

            ในมหาลัยของผมเองก็มีความเชื่อหลายๆอย่างอย่างเช่นการเดินสะดุดในที่ต่างๆ ถามว่าตัวผมเองเชื่อมั้ย ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกครับ แต่มาคิดดูอีกที ถ้าเชื่อแล้วมีความสุข ก็เชื่อๆไปเถอะจริงมั้ย เป็นสีสันใหม่ๆของชีวิตดี

            “อยากให้ตะโกนป่ะ อยากลองมานานแล้วเหมือนกัน”

            หา

            “กอด!” แล้วเขาก็ตะโกนออกมาจนคนเดินผ่านไปผ่านมาสะดุ้งเลยครับ ผมรีบปิดปากคนตัวสูงที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง พี่กันหัวเราะเสียงดังออกมาทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด ไม่รู้จะหันไปทางไหนเลยได้แต่ก้มหน้างุดๆแล้วออกเดินตรงไปเรื่อยๆ

            “กอด”

            เสียงทุ้มๆของเขาดังขึ้น ผมหันกลับไปมองคนที่เดินตามมาด้านหลัง

            “อะไร”

            “เปล่านี่” เจ้าตัวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จนผมต้องยกนิ้วชี้ชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ

            อย่าคิดจะตะโกนเชียวนะไอ้บ้า

            เดินยังไม่ถึงสามก้าวเขาก็โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง

            “กอด”

            “พี่กัน”

            รอยยิ้มเล็กๆบนมุมปากถูกส่งมาให้

            อาวุธลับของเขา ผมต่อสู้ไม่ได้เลยจริงๆ

            “กอด”

            ทุกย่างก้าวของผม มีผู้ชายหนึ่งคนเดินตามมาข้างหลัง ปากเขาบอกว่าไม่เชื่อ แต่เขาก็ส่งเสียงเรียกชื่อผมตั้งแต่ต้นสะพานยันปลายสะพานนั่นแหละ

            เป็นคนที่อยากทำไรก็ทำจริงๆอ่ะ

            “สะพานไม่มีชื่อเหรอ” ผมเอ่ยปากถามระหว่างที่เราเดินห่างออกจากสะพานเรื่อยๆเพื่อตรงไปหาอะไรกินหน้ามหาลัยของเขา

            “มีแต่ไม่บอก”

            ไอ้พี่กัน!

            นี่ถ้าเล็บผมยาว สาบานได้เลยว่าจะหันไปข่วนเขาจนหน้าเยินเลยจริงๆ

            “เมื่อก่อนไอ้หนวดมันก็เคยมาตะโกน” พี่กันพูดไปหัวเราะไป

            ลุงรหัสเนี่ยนะ? ตะโกนชื่อพี่หมอเหรอ?

“แล้วได้ผลมั้ย”

            “ได้”

            “จริงเหรอ”

            “ได้แผล เพราะกูอัดคลิปไปให้ไอ้หมอดู” แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเป็นบ้าอยู่คนเดียว

            พี่นี่มัน … ตัวแสบอ่ะ

            “แล้วมึงอ่ะ เชื่อป่ะ” พี่กันตั้งสติแล้วหันมาถามผม

            “ครึ่งๆ”

            “เหรอ แต่เชื่อเรื่องสะดุดนี่” ผมยกมือฟาดแขนคนที่ปากกวนประสาทได้ตลอดเวลา เขาเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย

            “พี่นั่นแหละ บอกไม่เชื่อๆ พูดชื่อผมไม่หยุดเลย”

            “ทำไมอ่ะ ไม่ชอบเหรอ กอดจะได้รักได้หลงพี่คนเดียวไง”

            คำพูดของเขาทำให้ผมหน้าร้อนจนแทบบ้า ผมยกแขนขึ้นมาปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้พลางยกขาเตะเขา พี่กันวิ่งไปรอบๆแล้วล้อผมไม่หยุด

            “เขิน ทำเขิน”

            “พี่กัน!”

            “มีตัวนิ่มเขินอยู่หนึ่งหน่วยครับ”

            “พี่กัน! ไอ้บ้า!”

            “ฮ่าๆ”

            เสียงหัวเราะของเราสองคนดังก้องไปทั่วบริเวณ แม้รอบๆกายจะมืด มีเพียงแค่แสงไฟถนน แต่ทำไมมันกลับทำให้รู้สึกมีความสุขมากมายขนาดนี้

            คงเป็นเพราะผู้ชายตรงหน้านั่นแหละ

            ต่อให้พี่ไม่ตะโกนชื่อผมบนสะพานนั่น ยังไงผมก็ทำความเชื่อนั้นให้เป็นจริงอยู่แล้ว


 

            “ผมเจอพ่อด้วย”

            ผมโพล่งออกมาระหว่างที่เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ที่ร้านข้าวต้มข้างทาง พี่กันที่กำลังคีบกุ้งออกจากจานกุ้งผัดน้ำพริกเผามองหน้าผมเงียบๆ เหมือนในการ์ตูนที่เวลาพูดเรื่องน่าตกใจออกมาแล้วใครอีกคนจะอ้าปากค้างจนกุ้งตกจากปาก แต่เขาไม่ทิ้งกุ้งหรอก รักยิ่งกว่าชีวิต

            “เขาพูดจาอะไรไม่ดีหรือเปล่า”

            ส่ายหน้าเบาๆ

            “เขาแค่มาขอโทษอ่ะ แล้วก็บอกว่าคุยกับแม่แล้วว่าจะไม่มายุ่งกับแม่และผมอีก”

            เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้น

            “ก็ดีแล้ว”

            เงยหน้าไปมองคนที่กำลังสนใจอยู่กับการแกะกุ้งอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้านหน้าของพี่กันมีข้าวต้มสามถ้วยตั้งเรียงกันอยู่ เขาบอกว่าไม่ชอบกินของที่ร้อนมากๆเพราะมันกินไม่สะดวก ลวกปาก รถสูบส้วมอย่างเขาก็เลยสั่งมาตั้งไว้ให้เย็นก่อน จะได้กรอกปากง่ายๆรวดเดียว ... แซวเล่นน่ะแซวเล่น

            คนเราน่ะนะ อยากกินข้าวต้มแต่ชอบข้าวต้มแบบไม่ร้อน งงกับเขาจริงๆ

            “ต้องขอบคุณพี่นะ”

            “หือ” คาบกุ้งอยู่ในปาก อีกมือก็ถือหางกุ้งเอาไว้ ผมหลุดยิ้มออกมา

            “พี่ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น จริงๆผมเป็นคนกลัวพ่อมาก แค่เห็นก็จะสั่นไปทั้งตัวแล้ว แต่วันนี้ผมกลั้นหายใจแล้วเดินหนีออกมาได้โดยไม่ร้องไห้ เพราะคิดถึงสิ่งที่พี่พูดว่าถ้าเจอเรื่องแย่ๆก็ให้คิดถึงของอร่อยๆ”

            “เห็นมะ หมอไหนก็ไม่สู้หมอกันนะเว้ย”

            นั่นสินะ

            หมอกันน่ะ เก่งที่สุดในโลกแล้ว

            “จริงๆกูก็มีเรื่องหนึ่งจะบอก” ผมละสายตาจากชามข้าวต้มไปสนใจพี่กันแทน สีหน้าเล่นๆเมื่อกี้ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมากะทันหัน

            “แฟนเก่ากูออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ”

            อ่า…

            ก็ดีแล้วนี่

            ใจผมเต้นรัวเพื่อที่จะรอฟังประโยคถัดไปจากเขา ฝ่ามือหนักๆของพี่กันสัมผัสลงบนหัวของผม ขยี้เบาๆ

            “เขาไปอยู่จีนแล้ว ไปกับพี่ชายคนสนิท”

            “ตอนนี้ก็เหลือเราแค่สองคนละ ไร้ก้างขวางคอ”

            “ก็ลองมีก้างสิ ผมจะยิงพี่ทิ้งจริงๆด้วย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง คนตรงหน้าสะอึกไปเล็กน้อย

            พี่มาทำให้ผมรักขนาดนี้ พี่ดูแลผมดีขนาดนี้ พี่ทำเรื่องธรรมดาๆในทุกๆวันของผมให้มันกลายเป็นวันพิเศษ พี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในชีวิตผมแล้ว

            ดังนั้นถ้าใครเข้ามาแทรกหรือมาทำให้เราผิดใจกันล่ะก็ ผมไม่ยอมจริงๆด้วย

            “จะเอาแครอทมายิงพี่อ่ะเหรอ”

            “ปืนจริงๆเนี่ยแหละ!”

            พี่กันขยี้หัวผมอีกรอบ

            “ไม่ทำหรอก เดี๋ยวคนแถวนี้ร้องไห้ ไม่ชอบอ่ะ”

            จะว่าไป มือของเขานี่มัน…

            “พี่เพิ่งแกะกุ้งมาไม่ใช่เหรอ”

            “อุ่ย” เขารีบถอนฝ่ามือออกไป ผมยกส้อมชี้หน้าเขา

            “พี่กัน!”

            “อย่าดุโผมมม”

            อะไรหลายๆอย่างที่เคยเกาะกุมในหัวใจ ตอนนี้เหมือนทุกอย่างมันถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว ทั้งเรื่องพ่อของผม เรื่องแฟนเก่าของพี่กัน

            ผมคิดว่า … ทุกอย่างมันกำลังเข้าสู่สมดุล

            เราทั้งสองคนกำลังเริ่มต้นเดินไปบนสะพาน ถ้าขาดสมดุลไป ก็อาจจะทำให้สะพานขาดลง ดังนั้นสำหรับผม การที่ผมต้องการให้เขารับรู้ว่าเรื่องราวของผมกับพ่อจบลงด้วยดี คือการสร้างความมั่นใจให้กับเขา และการที่พี่กันเอ่ยปากบอกว่าเขาจบกับแฟนเก่าของเขาเรียบร้อยแล้ว นั่นเองก็สร้างความมั่นใจให้กับผม ว่าเราสองคนจะสามารถรักษาสมดุลและพากันไปตลอดรอดฝั่งได้

            และผมหวังว่ามันจะดีขึ้นในทุกๆวัน

            ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความรัก แต่ในทุกๆเรื่อง

            “สงสัยตะโกนบนสะพานจะไม่ได้ผล” เขาพึมพำขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังเคี้ยวปลากรอบอยู่ในปากอย่างเอร็ดอร่อย

            ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย

            “บอกต่อหน้าได้ผลกว่าเยอะ”

            หือ

            “พี่รักกอดนะ”

            ‘แค่ก’

            “รักตั้งแต่วันแรกจนวันนี้”

            “และจะรักไปเรื่อยๆ”

            “รักจนกว่าจะเบื่อไปข้าง”

            “แต่รักน้อยกว่าบราวน์”

            ผมสำลักปลากรอบแล้วไอค่อกแค่ก ส่วนพี่กันก็นั่งซดข้าวต้มต่อไปแบบไม่ได้สนใจอะไร เห็นเพียงแค่รอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของเขาแล้ว ก็ดันหน้าร้อนออกมาซะได้ จากที่จะกินข้าวต้มดีๆ กลายเป็นผมต้องฟุบหน้าลงบนโต๊ะด้วยความอ่อนล้าของหัวใจ

            ร้านข้าวต้มชื่อว่าข้าวต้มประตูผีแท้ๆ

            พี่จะมาทำผีๆเปลี่ยนชื่อร้านเขาเป็นข้าวต้มประตูรักไม่ได้นะ

            คนใจบาปนี่…





หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 27-02-2019 15:09:34
เราจะหาคนแบบพี่กันได้ที่ไหนคะเนี่ยยย  ฮื่อออ เขินมาก ตามอ่านทันแล้ว เขินทุกประโยคทุกการกระทำ มันหวิวๆ ในท้องตลอด มโนว่าตัวเองเป็นน้องกอดตลอด555

ฟิลกู้ดจริงๆค่ะเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้นะคะ  :mew1: จุ้บบบ
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 27-02-2019 20:32:22
พี่กันนนนน  :-[
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 28-02-2019 21:26:34
หวานเว่อแต่ขอสารภาพจำเรื่องราวไม่ได้แล้วง่ะ
สงสัยต้องไปอ่านใหม่ :jul3:
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-03-2019 10:18:00
+1  :impress3: ขอบคุณครับ o13
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 02-03-2019 00:04:16
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-05-2020 23:42:27
 :pig4:
 o13