HEAVY WEIGHT รัก ▪️ หนัก ▪️ มาก [Story by ARPO]
บทที่ 13.1
HEAVY WEIGHT: 13.1 KG.
...สองวันแล้ว…
สองวันที่ผมไม่ได้เจอไม่ได้คุยกับโรห์เลย ไลน์ไปก็ไม่ตอบเลย โทรไปก็ไม่ติด ในเมื่อติดต่อคนไม่ได้ เลยไปหามันที่คอนโด พนักงานต้อนรับยังจำผมได้เหมือนเดิม
ยิ้มให้เขาแล้วกดลิฟท์ชั้นประจำ หน้าประตูห้องที่คุ้นเคยพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม ผมยืนช่างใจอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เอาบัตรคีการ์ดอีกใบที่โรห์เคยให้เอาไว้เปิดประตูเข้าไป
ทุกครั้งที่มาบางครั้งฟาโรห์ไม่อยู่ห้อง ผมก็จะเข้ามานั่งในห้องรอตามปกติ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะไขเข้ามาด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
ใจห่อเหี่ยวยับเยินในขณะที่กำลังคิดว่า…
...ผมยังมีสิทธิ์ที่จะใช้คีการ์ดใบนี้อยู่หรือเปล่า…
ห้องมืดมิดเพราะเจ้าของรูดผ้าม่านปิด แสงอาทิตย์อ่อนๆลอดเข้ามาไม่ได้ กลิ่นห้องที่ผมคุ้นจมูกจนรู้สึกสงบลงเล็กน้อย เดินไปรูดผ้าม่านให้แสงเข้ามา
ตอนกำลังเดินสำรวจรอบห้อง เสียงติ๊ดๆของประตูทำให้ผมตื่นตัว หรือว่า?! มันจะกลับมาแล้ว ขาแน่นๆสองข้างรีบวิ่งไปที่ประตูในความเร็วที่ผมคิดว่าเร็วที่สุดเท่าที่เคยวิ่งมา
ปึก!
“โรห์!” ประตูเปิดเข้ามาก่อน ตะโนเรียกชื่อเจ้าของห้อง ใจมันร่ำร้องเต้นตุบๆอน่างบ้าคลั่ง ตาฉายแววดีใจแต่ก็ต้องหม่นลง
“อ้าว น้องพุก…” ไม่ใช่โรห์...ที่กลับมา
“ป้าแช่มสวัสดีครับ” ป้าแช่มคนเดิมที่เข้ามาห้องนี้เป็นปกติเพื่อทำอาหารและทำความสะอาด
“น้องพุกมารอชะรีฟหรอจ๊ะ?” ผมเบี่ยงตัวให้ป้าเข้ามา
“ครับ…” มารอแบบไม่รู้ว่าเจ้าของห้องจะกลับมาเมื่อไรด้วยซ้ำ
ป้าแช่มทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“ชะรีฟเขาไม่อยู่ห้องสองสามวันจ่ะ เขาให้ป้าแค่มาทำความสะอาดไม่ต้องทำกับข้าวไว้”
ไม่อยู่?!
ฟาโรห์ไปไหน?
“อ่าหรอครับ…”
“เขาไม่ได้บอกน้องพุกไว้หรอคะ?”
มันบอกผมทุกครั้ง...เวลามันไปไหนมันจะไลน์บอกโทรบอกทุกครั้ง
ครั้งนี้คือครั้งแรกที่ผมไม่รู้เลยว่ามันหายไปไหน
หรือว่า…
มันอาจจะไปเก็บตัวซ้อมแข่งคาราเต้
บางครั้งมันก็จะต้องไปค่ายเก็บตัวซ้อมแข่งคาราเต้บ้างเป็นบางครั้ง แต่ทุกครั้งมันจะบอกผมเสมอ
ผมปล่อยให้ป้าแช่มทำความสะอาดไปตามปกติ ส่วนตัวเองหลบมาอยู่ริมระเบียง ลมเย็นๆพัดผ่านเบาๆ ชั้นสูงๆของคอนโคใหญ่ไม่มีเสียงรถหรือกลิ่นควันเข้ามารบกวน สายตามองรางรถไฟฟ้าที่อยู่ต่ำลงไปหน่อย มองผู้คนตัวจิ๋วเท่าไม้ขีดรอรถอยู่ที่ชานชะลา
กดคอลไลน์ไปหาพี่เก่งชมรมคาราเต้
[ไร?]
“พี่...ช่วงนี้มีเก็บตัวหรอ?” มันใกล้การแข่งขันเข้ามาทุกที พี่เก่งอาจจะเรียกเก็บตัวกระทันหัน แต่ก็ไม่เคยมีวันไหนที่จะตรงกับวันเรียนนี่!
[เปล่านี่ ช่วงนี้ยังมีเรียนกันกูไม่เรียกเว้ย]
ผมนิ่งงันกับคำตอบ
นั่นสิ...ไม่ได้ไปกับชมรมคาราเต้...แล้ว...ไอ้แขกหายไปไหน สองวันที่ผมติดต่อมันไม่ได้
...เป็นสองวันที่ทำให้ผมรู้สึกแย่เกินไป…
...สองวันที่ทำให้ผมรู้ว่าวันที่โรห์ไม่อยู่ผมเป็นยังไง…
กังวล...และ...อยากเจอมันที่สุด
แค่อยากรู้ว่าอยู่ที่ไหน อยากได้ยินเสียงมันบอกว่า ‘ฉันอยู่ที่นี่ พุกล่ะทำอะไรอยู่’ อยากได้ยินมันบอกว่า ‘เดี๋ยวจะไปหานะพุก จะกินอะไรไหม เดี๋ยวพาไป’
เป็นสองวันที่ผมกลับอยากได้ยินเสียงคำว่า
‘พุกตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปสายนะ’
‘ซื้อข้าวเช้ามาให้แล้ว’
‘ไปกินข้าวกัน’
‘อย่ากินเยอะ เดี๋ยวพาไปเข้าชมรมนะ’
‘เป็นห่วงนะ สุขภาพต้องดูแล’
เป็นสองวันที่ทำให้ผมรู้แล้วว่า...การที่ไม่มีมันอยู่ดูแลผมมันแย่โคตรๆ ไม่มีเสียงมันบ่นเหมือนพ่อคนที่สองมันกลับทำให้ผมกินข้าวได้น้อยกว่าปกติเสียอีก
...สองวันที่ผ่านมา…
...เป็นวันที่ผมไม่อยากจะให้มันวนมาถึงอีก…
“งั้นป้ากลับก่อนนะคะ” ป้าแช่มใช้เวลาไม่นานก็ทำความสะอาดเสร็จ “จะให้ป้าทำกับข้าวไว้ไหมคะ?”
“ไม่เป็นอะไรครับ?” ผมส่ายหน้า ป้าแช่มเลยขอตัวกลับไปก่อน
ทิ้งร่างเนื้อแน่นของตัวเองบนโซฟาตัวใหญ่ พิงหลังกอดหมอนอิงอยากจะฝังตัวให้จมลงไปกับเบาะจริงๆ
จากที่นั่งนิ่งค่อยๆเอนตัวลงหัวแหมะอยู่บนหมอนนุ่ม สูดกลิ่นหอมเข้าปอด ทำใจให้สบายมากขึ้น
ความเครียดบวกกับความเหนื่อยล้าทำให้ผมเริ่มตาปิด
“กลับมาเร็วๆนะโรห์…” ผมพึมพำ อยากให้ข้อความนี้ส่งไปถึงอีกคน
ว่า…
มีคนรอการกลับมาของเขาอยู่
...แกรก…
ผมขยับตัวอย่างเมื่อยขบ หลังจากได้ยินเสียงกอกแกกเหมือนมีคนเข้ามาในห้อง
คน?!
โรห์?!
รีบกระตุกร่างกายแน่นๆขึ้นมาเท่าที่จะทำได้ มองไปรอบๆห้องแล้วมืดตื้อ มีแค่หน้าต่างที่ผมเปิดเอาไว้ระบายอากาศ รู้สึกเหนียวตัวนิดหน่อยเพราะอากาศอบอ้าว ผมกวาดตามองออกไปตรงโถงหน้าประตูเห็นไฟเปิดอยู่
นั่งนิ่งๆคิดจนคิ้วขมวด โรห์มันจะรู้หรือยังว่าผมมา ผมถอดรองเท้าเอาไว้มันอาจจะสังเกตุเห็นแล้วก็ได้
“หนูพุก?...” ผมสะดุ้งตัวชาวาบเมื่อไฟตรงห้องนั่งเล่นสว่างขึ้น
“อื้อ...ไง…” รู้สึกว่าตัวเองมือไม้เกะกะมากไม่รู้จะไปวางตรงไหน ได้แต่ยกมือยิ้มแหยๆให้มัน
นัยน์ตาคมหวานดูตกตะลึงเมื่อเห็นผม ก่อนจะกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...อืม เห็นรองเท้าอยู่” ว่าแล้วว่าเห็นรองเท้าผมชัวร์ “ไม่คิดว่า...พุกจะมา…” ประโยคสุดท้ายมันพูดเสียงแผ่ว
ใบหน้าคมเข้มหมองลง ซูบตอบ ตาโหลลึก นัยน์ตาที่เคยสดใสเจิดจ้าหม่นแสงลงจนผมเจ็บจี๊ดไม่รู้ทำไม
แค่สองวันความหล่อเหลาคมเข้มของมันหายไปไหนหมด
“มึงหายไปไหนมา?!” ผมโพล่งถามในสิ่งที่อยากรู้
“ฉันหรอ?”
“เออ...กูไลน์ไปโทรไปก็ไม่ตอบ ไปหาที่คณะเขาบอกมึงไม่เข้าเรียน กูเลยตัดสินใจมาที่นี่”
มันดูแปลกใจเล็กน้อย แต่มันก็ยิ้ม ยิ้มที่ผมเกลียดจริงๆ เป็นรอยยิ้มฝืนๆเหมือนไม่อยากจะยิ้มให้
“โทษที ฉันไปธุระ…” คำว่าธุระมันคือคำที่เหมือนไม่อยากบอกกันว่าไปไหนมา
“ไปไหนไม่บอก ให้กูเสียเวลาตามหา” ผมเผลอตะโกนออกไปตามอารมณ์
“โทษที ไม่ได้ตั้งใจทำให้เสียเวลา…”
เป็นอีกครั้งที่นัยน์ตาสวยร้าวลึก เปลือกตาหลุบต่ำ ผมกำมือแน่นจิกนิ้ว ก่นด่าในใจตัวเอง
ปากพล่อยๆของผมกำลังทำมันเสียใจอีกแล้ว
ห่านจิก!
“เอ่อ...กินข้าวยัง?” ผมเฉไฉเปลี่ยนคำถาม แม้จะรู้สึกผิดลึกๆ
“อ่อ...ยัง” มันดูแปลกใจกับความไบโพล่าของผมวันนี้
“ไป...กินไหม?” ผมกลั้นใจถามออกไป
“อ่อ...อืม…”
บรรยากาศแปลกๆที่มันกระดากเหลือเกิน ผมไม่กล้าคุยกับมันเหมือนเดิม ส่วนมันก็เงียบผิดจากปกติ
ที่ผมอยากมาเจอมันมีแค่เรื่องเดียว…
ผมอยากขอโทษที่วันนั้นผมพูดจาทำร้ายจิตใจ
“โรห์…” ผมเรียกชื่อมัน ความเงียบก่อตัวขึ้นมาจนน่าอึดอัด เจ้าของห้องก็ไม่ยอมขยับไปไหน
“วันนั้น…” พุกขอโทษ
“อืม...ไม่เป็นอะไร ช่างมันเถอะ”
“ไม่ได้!” ผมไม่เอาอีกแล้ว ต้องคุยให้รู้เรื่อง
“...”
“พุกขอโทษ...พุก...ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น”
ผมรู้สึกผิดมากจริงๆ คนๆหนึ่งจะต้องมาฟังคนพูดคำว่าเกลียดโดยไม่รู้สึกอะไรมันไม่มีหรอก ถ้าผมโดนผมคงเสียใจ
“ไม่เป็นอะไร” ร่างสูงใหญ่สูดลมหายใจลึกจนได้ยินชัด พูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น “โรห์...ไม่เคยโกรธพุกเลย”
“ฮึก!” ผมตากระตุก มันเริ่มพล่าเบลอจนมองไม่ชัด หัวตาร้อนผ่าว ริมฝีปากสั่นระริก ขามันก้าวออกมาเองโดยไม่รู้ตัว รู้อีกทีก็ตอนที่ผมสวมกอดหมับเข้าที่เอวสอบแข็งแรงแน่น
ผมไม่เคยร้องไห้จนอยากจะหาที่พึ่งขนาดนี้มาก่อน อยากกอดมันแน่นๆ
กอดจนมั่นใจว่า...มันจะไม่หายไปไหนอีก
ถ้าเป็นคนอื่นแค่สองวันอาจจะดูสั้นๆ ใครจะว่าผมบ้าบอที่แค่สองวันที่มันหายไปจะเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ถ้าลองคิดแค่ว่า เพื่อนทั้งคน เพื่อนคนสำคัญ เพื่อนที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อ ทั้งพี่ ทั้งน้องชาย หายไป อย่าว่าแต่สองวันเลย แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็อยากรู้ว่าเขาทำอะไร อยู่ไหน สบายดีอยู่หรือเปล่า
ผมมันบ้าเอง!
มนุษย์เป็นอย่างนี้เสมอ ของสำคัญอยู่ใกล้มือก็ไม่ใส่ใจ วันใดมันหายไปแล้วค่อยมาคิดได้ ถ้าคิดได้เร็วตามหากลับมาทันก็โชคดี ไม่งั้น...ก็เสียมันไปตลอดกาล
“ไม่ร้องนะ” เสียงทุ้มปลอบนุ่มๆ มือใหญ่อุ่นที่ผมคุ้นเคยลูบบนไหล่ไปมา “ฉัน...กอดพุก...ได้ไหม?” มันพูดเสียงแผ่ว
ผมพยักหน้าแรงๆ
…ยอมแล้ว…
ขอแค่โรห์ไม่ไปไหน
รู้สึกอุ่นวาบทันทีที่อ้อมแขนแกร่งสวมหมับ เนื้อแน่นผมโดนรัด
“ขอโทษนะ”
“อืม...ไม่เคยโกรธ”
“จริงหรอ?” ผมถามเสียงอู้อี้ แอบป้ายขี้มูกกับเสื้ออีกฝ่าย
“อืม…” ไมโกรธเลยจริงๆหรอเนี่ย “มีแต่รู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น”
ผมนิ่งไปนิด ที่มันเคยจูบผม ผมยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลยว่าจริงๆผมคิดยังไง
“พุก...ไม่ได้เกลียดโรห์…ไม่เคยเลยสักนิด” อ้อมแขนมันรัดแน่นขึ้นจนหายใจไม่ออก แต่รู้สึกดีจนใจเต้นเป็นจังหวะชัดเจน อบอุ่นอ่อนโยน
ผมจะไม่ยอมให้มันรู้สึกผิดที่จูบผมอีก!
ต่อจากนี้ถ้ามันจะจูบผม มันจะต้องไม่แบกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอะไรนั่นอีกต่อไป!
“อื้อ!” ไอ้แขกร้องเสียงดังเมื่อผมกระโดดเข้าหามัน ยื่นริมฝีปากนิ่มของตัวเองไปแปะกับริมฝีปากแห้งผากของมัน
แต่เสรดเป็ด!
ฟันกระแทกปากมันเฉยเลย
แถมด้วยรูปร่างเยี่ยงรถถังของกูแม้แต่ไอ้โรห์ก็มีเซครับ มันถอยไปด้านหลังจนเสียหลักล้มไปกองกับพื้น ผมที่อยู่ในอ้อมกอดมันเลยล้มลงไปทับมันด้วย
“โอย…” เสียงครางของมันทำผมได้สติ รีบถอนปากออกจากปากมัน ริมฝีปากผมชาดิกเพราะกระแทกแรงเกินไป เห็นมันร้องซี้ด ปากมันแตกใช่ไหมเนี่ย
“เป็นอะไรไหม?!”
“อือ…” ผมจับๆที่หัวมันดูว่ากระแทกหรือเปล่า รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา พลางประคองให้ร่างสูงขึ้นมานั่ง
นัยน์ตาคมหวานมองผม สงสัยโรคหัวใจกำเริบเพราะมันเต้นแรงมาก แต่ผมคิดว่าเป็นโรคหัวใจที่ดีที่สุด โรคหัวใจที่มาพร้อมกับความหวานวาบจนต้องยิ้มเขิน
“หึๆ” มันหัวเราะออกมา
“คิกๆ ฮ่าๆ” อดไม่ได้ที่จะขำออกมาเหมือนกัน
“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?” ผมพยักหน้า ตอนมันล้มมันยังปกป้องผมอย่างดีที่สุด
“อื้อ...โรห์ละ?”
มันยิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระยับแม้จะหน้าโทรมแต่ตามันก็ยิ้มได้ชัดเจนสักที
“เจ็บปาก…” ผมหัวเราะพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง
นั่นสินะ ปากมันดูน่าจะบอบช้ำสุด
ผมเลยยื่นหน้าเข้าไปหามัน เป่าลมเบาๆอย่างที่ชอบทำที่ริมฝีปากมัน
“เพี้ยง! หายไวๆละมึง!”
---------------- 50% --------------
สวัสดีค่ะ วันนี้เอาตอนใหม่เอี่ยมของหนูพุกกับพ่อแขกมาฝากกันค่ะ ตอนที่แล้วเราต้มมาม่ายำยำจัมโบ้ไปแล้ว(หรอ)555 ตอนนี้เรามาฮีลหัวใจกันค่ะ ตอนนี้เขียนยากมากเพราะว่าต้องเอาให้หน่วงใจแต่ไม่อยากให้เสียน้ำตา เลยออกมาเป็นรูปแบบนี้ค่ะ
ถ้าใครไม่ถูกใจที่ทำไมโรห์ยอมง่ายจัง เราก็ต้องขออภัย แต่เราคิดว่าโรห์เขาไม่ได้โกรธนะคะ เค้าเสียใจทั้งเสียใจที่หนูพุกพูดแบบนั้น และรู้สึกผิดเสียใจที่ตัวเองจูบพุก ทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ที่โรห์รู้สึกไม่ใช่โกรธ แต่คือความเสียใจและรู้สึกผิดค่ะ พอหนูพุกมาง้อ โรห์เขาให้อภัยค่ะ
ส่วนหนูพุกนางก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น ใจนาง ตานางมองแต่โรห์ แต่ด้วยความเคยชินเลยไม่ได้มอง แต่พอเขาหายไปถึงค่อยรู้สึก
ถึงจะเป็นพลอตธรรมดา หาอ่านได้ทั่วไป แต่เราคิดว่าในชีวิตทุกคนอาจจะมีเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้าง เราแค่จำลงเหตุการณ์มาเล่าผ่านตัวละคร อย่างที่เราบอกเสมอ เราชอบตัวละครที่มีชีวิต มีความรู้สึกที่จับต้องได้ เราอยากให้ทุกคนจับต้องชะรีฟหนูพุกในรูปแบบที่เป็นคนใช้ชีวิตรอบข้างคนอ่านทุกท่านคนนึงค่ะ
ขอบคุณทุกการติดตามและความเอ็นดูชะรีฟหนูพุก คอมเม้นมาฟี้ดแบ็คคุยกับเราได้เสมอค่ะ
หวีดกันได้ใน #ชะรีฟหนูพุก #รักหนักมาก
ฝากนิยายเรื่องอื่นๆเอาไว้ด้วยค่ะ
วณิพกพเนจร [Re-write]
Second-Class Citizens ผมเป็นแค่พลเมืองชั้นสอง [On Air]
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59805.0รัก ▪️ ตาม ▪️ สั่ง [End]
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55235.1500ปล.สอง. แวะเวียนไปคุยกันได้นะค่า
ขอฝากไปกดไลค์เพจเฟสบุ้คกันได้นะครับบบบ เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะอัพเดทเวลาที่เรา
หายไปนานๆ หรือว่าติดธุระอะไร เราจะไปอัพเดทไว้ในเฟส หรือว่าบางครั้งจะมีเขียนโมเม้นน่ารักของอีพี่กะน้องเอาไว้เล่นๆที่ไม่
ได้เอามาลงหน้านิยายนะครับ เลยอยากให้ไปพูดคุยในเฟสกันเลยยยย ถ้าคนเขียนหายไปตามจิกในเฟสจะเจอเราเร็วมากเพราะ
เราเล่นประจำ
https://www.facebook.com/airin.arpo/?fref=ts