สาปรัก ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 36
นานโขแล้วที่สภาเทวาไร้ซึ่งเสียงดนตรีจากวงมโหรีที่มีเหล่าคนธรรพ์คอยขับกล่อมบทเพลง เสียงกระจับปี่แสนไพเราะเคล้าเสียงซอ และเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ แต่เทพทวยเทพกำลังให้ความสนใจสิ่งที่อยู่กลางโถงสภาเทวาเสียมากกว่า ด้วยอัปสรยอดเยาวมาลย์ร่ายรำระบำตามจังหวะคีตะบรรเลงให้สวรรค์ได้ครื้นเครงไม่เงียบเหงา ทว่าบัดนี้งานฉลองครั้งยิ่งใหญ่ได้จัดขึ้น เทวาชั้นสูงจนถึงชั้นรองลงมาต่างมาร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขพยานในพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์นี้
กลีบผกาหลากสีนานาพันธุ์โปรยปรายคล้ายพรมทอดทางยาว ถูกเหยียบย่ำด้วยเบื้องบาทของเทวารูปงาม เทพผู้มีพักตราหวานแสนหล่อเหล่า ฉวีงามขาวผ่องดั่งไข่มุกอาบแสงโสม อาภรณ์สีฟ้าอ่อนซ่อนไว้ในผ้าคลุมสีฝานคราม ตรงชายผ้าปักดิ้นเงินเป็นแถบยาว จากที่ทั้งสภาทั้งสองฝั่งข้างทางเทวาเคยให้ความสนใจเหล่านางอัปสรผู้ร่ายระบำนั้น มิอาจละสายตาจากเทวารูปงามที่กำลังเดินตรงเข้าหาผู้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ทองได้
“ชลันธร” เจ้าของนามสาวเท้าก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้วย่อกายลงนั่งคุกเข่ารอฟังเทวาราชโองการ
“ข้าพระผู้สร้าง… ขอประกาศเทวาราชโองการให้เทพชลันธรหวนคืนสู่ตำแหน่งพระสมุทร เป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครในห้วงมหานทีอีกครั้ง จากนี้สืบไปเบื้องหน้าจนกว่าจะครบวาระ...” พระพริษฐ์ประกาศเทวราชโองการดังกึกก้องไปทั่วทั้งสภาเทพ พระหัตถ์นั้นหยิบฉวยมงกุฎพลอยไพลินล้อมไข่มุกสวมลงบนศีรษะของชลันธร จากนั้นจึงมอบตรีศูลอาวุธคู่กาย คู่บัลลังก์แห่งสมุทรเทวา
“ข้าชลันธรขอให้คำสัตย์ปฏิญาณ ให้เหล่าเทวาในที่นี้เป็นสักขีพยาน ข้าจักปกครองอาณาจักรมหาสมุทรด้วยความเป็นธรรมให้เกิดความสงบสุขแก่ทุกสรรพสิ่ง” สิ้นคำสาบานตน คลื่นทะเลบิดเกลียวสูงราวกับรับรู้สิ่งที่ชลันธรได้เอื้อนเอ่ย หากไม่ใช่เพียงแค่นั้นเกิดเหตุอัศจรรย์วารีที่เคยสีเข้มแปรเปลี่ยนน้ำใสเสียจนเห็นเหล่ามัจฉาตลอดจนพื้นทรายใต้ท้องสมุทร เหล่าเงือกงามในมหานทีสีทันดรต่างว่ายขึ้นพ้นเหนือน้ำแล้วส่งเสียงขับขานเพลงไพเราะขับกล่อมฝูงปลา นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพเหล่านี้
…ท่านพี่...แม้วันนี้จะเป็นวันที่ข้าอยากให้ท่านพี่อยู่ด้วยมากที่สุดแต่ก็มิเป็นเช่นที่ข้าหวัง...ทำไมกันโชคชะตาจึงเล่นตลกให้สองเราต้องพลัดพรากกันตลอด...แต่ข้ามิกลัวโชคชะตาอะไรที่จะผ่านเข้ามาอีกแล้ว...ข้าเข้มแข็งและอยู่คนเดียวได้ขอท่านพี่จะอย่าได้เป็นห่วง เพราะข้ามีท่านพี่อยู่ด้วยในใจเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจงโปรดรู้ว่าตัวข้าหัวใจของข้า ยังคงเป็นของท่านพี่และรอคอยเสมอมิมีเปลี่ยนผัน...
ชลันธรหลังจากกล่าวสัตย์ปฏิญาณก็นึกถึงแต่นภนต์ เทพรูปงามพยายามเข้มแข็งไม่ให้ใครต่อว่าได้ หากนภนต์รับรู้ได้คงภูมิใจมิใช่น้อย ...แต่การทำใจในเร็ววันนี้เป็นเรื่องที่หนักหนาของชลันธรเช่นกัน
พิธีการดำเนินจนเสร็จสิ้น เหล่าเทวาตลอดจนเทพีทั้งหลายต่างเข้ามาร่วมยินดีกับผู้หวนคืนตำแหน่งพระสมุทร แม้จะมีเทพนพเคราะห์หลายองค์ที่ไม่มาปรากฏกายร่วมเทวราชพิธีนี้ ได้แก่ พระอังคาร และ พระศุกร์ ผู้ยังถูกจองจำ ส่วนพระเสาร์นั้นสำหรับชลันธรแล้วมิได้แปลกใจเท่าใดนัก ด้วยอุปนิสัยของเทพผู้นี้ที่ไม่ชอบพบปะสังสรรค์หรือเข้าร่วมเทวราชพิธีแม้จะเป็นงานสำคัญ รวมถึงพระเสาร์อาจจะยังโกรธเคืองเรื่องที่นาคินทร์ต้องมาตายจาก ด้วยเพราะเดินทางช่วยเหลือตน ชลันธรจึงคิดหาโอกาสสักคราเข้าขอขมาเหตุนี้กับพระเสาร์ น่าแปลกพระพุธ พระราหู ก็ไม่ปรากฏกายด้วยเช่นกัน มีเพียงพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระพฤหัสบดีและพระเกตุที่เข้าร่วม แต่สิ่งที่ชลันธรแปลกใจที่สุดที่ไร้เงาของรพีพงศ์ อันที่จริงใครต่างก็ทราบดีว่ารพีพงศ์คือรัชทายาทบัลลังก์พระอาทิตย์ หากวันนี้ผู้ที่นั่งด้านหลังเทพพระอาทิตย์กลับเป็นอรุณเทพผู้เป็นน้องชายฝาแฝดแทน ถึงจักมีข้อสงสัยแต่ชลันธรไม่คิดจะถามถึงเรื่องภายในวงศาทินกร สิ่งตนอยากรู้นั้นกลับเป็นเพียง…
“พระอรุณเทพ” ชลันธรเรียกขานบุรุษเทพตรงหน้า
“เจริญสุขเถิดพระสมุทรชลันธร” พระอรุณขานรับ
“เจริญสุขเช่นกันเถิด พระอรุณเทพ” ชลันธรตอบกลับ
“…จริงสิข้ายังไม่ได้อวยพรท่านเลย ข้าขอถือโอกาสนี้ขอให้ท่านนั้นพบพานแต่ความสุขความเจริญตลอดไป” พระอรุณเทพกล่าวอย่างเป็นมิตร
“เราเองก็ขอให้ท่านนั้นมีความสุขตลอดไปเช่นกัน”
“ขอบน้ำใจท่านมาก”
“พระอรุณเทพ…เรามีเรื่องอยากจักถามท่านถึงพระรพีพงศ์เทพสหายเราสักหน่อย มิทราบว่าเพลานี้เป็นเช่นไรบ้าง” ชลันธรพูดเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม
“ท่านพี่รพีพงศ์เอาแต่ขังกายตนอยู่ในวิมานมิยอมออกมาเลย ทั้งยังดื่มเครื่องดองของเมาเสียจนเมามายร่างกายทรุดโทรม…ตัวข้าเองนั้นจนอับจนปัญญายิ่งนัก พระบิดาก็หาได้สนใจไม่ ด้วยมองว่าเรื่องที่ท่านพี่โศกเศร้านั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ด้วยเสียใจเพราะนาคาเกล็ดนิลตนหนึ่งเท่านั้น” อรุณเทพเล่าเรื่องราวของรพีพงศ์ด้วยความเป็นห่วง ด้วยรพีพงศ์แฝดผู้พี่มิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เมื่อก่อนนั้นเข้มแข็งไม่ว่าจะเผชิญเรื่องร้ายแรงขนาดไหน หรือจะเศร้าโศกาเพียงใด รพีพงศ์ก็ไม่เคยทำตัวเหลวแหลกเสียผู้เสียคนขนาดนี้ เพราะเหตุนี้พระอาทิตย์ผู้เป็นพระบิดาจึงไม่พอใจที่รพีพงศ์ไม่ทำตัวสมกับเป็นรัชทายาทผู้สืบทอดครองบัลลังก์พระอาทิตย์
จากที่ชลันธรได้รับฟังความนี้หากรพีพงศ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไปคงมิพ้นถูกปลดจากการเป็นรัชทายาทแน่แท้ ความโศกเศร้าของรพีพงศ์ที่ได้รับฟังนั้น ชลันธรมิได้แปลกใจเลยเพราะตนเองตกในสถานะเดียวกันคือการที่ต้องจากลาคนรักหากแต่ตนเลือกที่จะเข้มแข็งมากกว่า
“พระอรุณอย่าได้ร้อนใจ เรื่องนี้เราเองก็มิได้นิ่งนอนใจไว้เรานั้นจักช่วยเหลือท่าน ในมิช้าที เราจักเข้าไปพูดคุยกับรพีพงศ์เอง” ชลันธรเอ่ยด้วยนึกเป็นห่วงรพีพงศ์ คราแรกคิดว่านภนต์จักสามารถขอร้องพระผู้สร้างได้สำเร็จแต่ดูจากรูปการแล้วคงจะมิเป็นผล
“ข้าขอบน้ำใจพระสมุทรเหลือเกิน...” พระอรุณเทพซาบซึ้งในตัวพระสมุทรผู้เมตตา จากนั้นทั้งสองต่างพูดคุยกันเล็กน้อยแล้วจึงแยกย้ายออกไป
บางครั้งความรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนมากมายเกิดขึ้นกลางดวงใจของชลันธร แม้จะสามารถล้างมลทินให้กับตนเองได้แต่การที่ไร้คนเคียงข้าง ชลันธรหาได้ดีใจเลยสักนิด…‘ท่านพี่นภนต์ ท่านพี่ไปอยู่แห่งหนใดกัน’... ชลันธรตั้งคำถาม ตั้งแต่วันตัดสินโทษชลันธรก็มิได้พบหน้านภนต์อีกเลย พอทูลถามพระผู้สร้าง พระผู้เป็นใหญ่นั้นกลับไม่ตอบสิ่งใดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ชลันธร…” เสียงหนึ่งเรียกขานนามชลันธรอย่างสนิทสนม เจ้าของเสียงหวานวิ่งตรงเข้าหาจนเกินงามไม่สำรวมกิริยาแม้แต่น้อย
“บุษยะเจ้าวิ่งหาข้าเช่นนี้ ประเดี๋ยวจักถูกพระผู้สร้างเอ็ดเอาได้” ชลันธรตักเตือนพลางระบายยิ้ม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ขวบรอบบุษยะยังคงทำตัวราวกับเด็กน้อยมิเคยเปลี่ยน
“พี่พริษฐ์ อ๊ะ!...พระผู้สร้างมิเอ็ดข้าดอก เพลานี้พระองค์กำลังถูกเหล่านางระบำอัปสรรายล้อมอยู่เช่นนั้น” บุษยะเอ่ย ดวงตาเหลือบมองไปยังผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่มีทั้งมหาเทวีทั้งสาม เทพีชั้นสูงตลอดนางอัปสรรับใช้ที่คอยเอาอกเอาใจ…‘เห็นแล้วมันช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก’...
“อย่าเพิ่งโมโหไปเลยบุษยะ…ถือว่าเป็นโชคของเราก็แล้วกันที่เจ้าปลีกตัวออกมา”
“โชคดีหรือโชคร้ายกันเล่า และข้านั้นเป็นโชคของท่านเสียแล้วหรือ” บุษยะเกิดความสงสัยในคำพูดของพระสมุทรรูปงาม
“โชคดีเพราะว่าเรานั้นอยากจะถามเจ้าว่าพอจะรู้เรื่องราวของท่านพี่นภนต์หรือไม่ว่ารับโทษเช่นไร ตลอดจนเรื่องราวของรพีพงศ์…พระผู้สร้างจักช่วยเหลือหรือไม่” ชลันธรซักถาม คิดว่าบุษยะนั้นเป็นคนสนิทของพระผู้สร้างอาจจะรู้เรื่องในสิ่งที่อยากรู้ก็เป็นไปได้
“ข้าซักถามแล้วแต่พระผู้สร้างมิยอมตอบข้า ตรัสเพียงว่า…”
…‘พี่พริษฐ์ พระองค์ทรงพอที่จะบอกน้องได้หรือไม่ว่าท่านนภนต์นั้นถูกกักขังอยู่ที่ไหนหรือรับโทษทัณฑ์สถานใด รวมถึงพระองค์จะช่วยชุบชีวิตให้กับคนรักของท่านรพีพงศ์หรือไม่’… บุษยะซักถามทั้งเรื่องคนรักของสหาย ทั้งเรื่องโอกาสที่สหายอีกคนของชลันธรจักคืนชีพเพราะจากที่ชลันธรได้ระบายทุกข์ในก่อนหน้านี้ บุษยะรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย
…‘ความรักจะเป็นลูกกุญแจนำไขสิ่งที่อยากรู้ให้พานพบสิ่งที่อยากได้’…
“พระผู้สร้างตรัสกับข้าเพียงเท่านี้ ข้าขอโทษท่านด้วยที่ไม่สามารถช่วยอะไรเหลือท่านได้เลย..ข้านั้นไร้ซึ่งสามารถจริงๆ” บุษยะเอ่ยเสียงเรียบด้วยรู้สึกผิด และเสียดายที่ไม่อาจจะช่วยเหลือการของชลันธรได้
“เจ้าทำดีที่สุดแล้วบุษยะ อย่านึกโกรธโทษตัวเองเลย”
“ข้า…ข้าช่วยอันใดท่านมิได้เลย ข้ามันเป็นสหายที่แย่”
“ใครว่า…บุษยะเป็นสหายที่ดีต่างหากเล่า จะมีผู้ใดที่ไหนอีกที่จะสามารถทำให้พระผู้สร้างนั้นตรัสตอบกลับได้” รอยยิ้มหวานฉาบบนใบหน้างาม ชลันธรรู้แล้วว่าต่อจากนี้ตนนั้นจักทำเช่นไร
“ชลันธร...เจ้ารู้แล้วหรือ บอกข้าได้หรือว่าไม่ว่าพระผู้สร้างหมายความเช่นไร” บุษยะอดตื่นเต้นกับคำพูดของชลันธรมิได้
“เรายังไม่แน่ใจนักดอก ไว้เสร็จสิ้นจากงานสถาปนานี้ข้าจะไปตามหาท่านพี่นภนต์ด้วยตัวเราเอง” ชลันธรไม่ตอบคำถาม ทำให้บุษยะหน้าเง้าหน้างอเล็กน้อย จึงสวมกอดเชิงหยอกล้อให้หายงอน
“ทำการอันใดกันอยู่เล่าชลันธร...บุษยะ” พระพริษฐ์ที่เพิ่งจะปลีกตนจากวงล้อมของอิสตรีได้เพื่อมาตามบุษยะคนสนิท
“กระหม่อมเพียงกอดบุษยะให้หายคิดถึงเพียงในฐานะสหายเท่านั้น มิได้ทำการอื่น ว่าแต่พระองค์ทรงมีอันใดหรือไม่” ชลันธรตอบน้ำเสียงเย้าแหย่ผู้ที่มีศักดิ์เป็นพระเชษฐา ใครก็ดูออกว่าพระผู้สร้างนั้นถูกลมพัดหึงหอบมา
“พระจันทร์เทพกำลังจะพาดวงจันทราขึ้นสู้ฟากฟ้าแล้วบ่งบอกว่างานมงคลนี้กำลังเลิกรา ข้าจึงมาตามบุษยะกลับวิมาน”
“ข้ามิอยากกลับวิมานดอก พระองค์ทรงพาเหล่าเทพี เหล่านางอัปสรไปเถอะ ข้าจะอยู่กับชลันธร” คำกล่าวบุษยะเชิงประชดน้อยใจ คงมิใช่เพียงพระผู้สร้างบุษยะเองก็หึงหวงพระผู้สร้างไม่แพ้กัน
“ไยเจ้าถึงดื้อรั้นกับข้า…บุษยะ กลับวิมานกับข้าเถิด...พระสมุทรเองก็ต้องกลับแล้วเช่นกัน...” ในเมื่อพูดดีๆแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมฟัง พระผู้สร้างจึงต้องแกมบังคับให้บุษยะนั้นยอม
“ข้าคงต้องขอตัวก่อนนะชลันธร…ขอให้ท่านตามหาเทพนภนต์ให้เจอและจากนี้ขอให้ชีวิตท่านมีแต่ความสุขตลอดไป” บุษยะอวยพรให้สหายรักเพียงผู้เดียว ก่อนจะตามพระผู้สร้างกลับวิมานแก้ว
. . .
ดวงจันทร์ส่องสว่างเป็นสัญญาณให้เหล่าเทวาทั้งหลายกลับไปยังวิมานของตน ทว่าระหว่างทางที่ชลันธรนั้นนั่งราชรถเทียมกุญชรมัจฉาโดยมีเหล่าข้าราชบริวารรายล้อมอย่างสมเกียรติ พระสมุทรเทวากลับให้ราชรถลงไปยังผืนป่าหิมพานต์
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด…เรานั้นมีสิ่งต้องทำ ณ ผืนพนาหิมพานต์นี้” ชลันธรบอกกับเหล่าผู้ติดตาม
“หามิได้พระสมุทร พวกข้าน้อยทั้งหมดจะปักหลักอยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าธุระของพระสมุทรจะแล้วเสร็จ แล้วข้าน้อยกับองครักษ์อีกสามนายจะติดตามพระสมุทรเพื่ออารักขามิให้เกิดภยันตรายใดๆ” หัวหน้าองครักษ์นายหนึ่งเอ่ย
“มิต้อง…เราอยากอยู่ตามลำพังได้ พวกเจ้าอย่าได้ห่วงเราเลย ณ ตอนนี้คงไม่มีใครสามารถทำอันตรายใดๆ เราได้อย่างเช่นตอนเป็นมนุษย์อีกแล้ว...พวกเจ้าคงเหนื่อยมากแล้วรีบกลับไปพักผ่อนเสียเถิดอย่ากังวล...” ชลันธรยืนยันที่จะเดินทางเพียงผู้เดียวไร้คนติดตาม
“แต่…ข้าน้อย...”
“ไม่มีแต่…พวกเจ้ากลับไปเถิดมิเช่นนั้นข้าจักลงโทษพวกเจ้า โทษฐานขัดคำสั่งพระสมุทร พวกเจ้ากล้าหรือ” ชลันธรขู่ ใครก็รู้ว่าขัดขืน ฝ่าฝืนคำสั่งพระสมุทรนั้นมีโทษสถานหนัก
“พวกเรามิกล้าขัดคำสั่ง” หัวหน้าองครักกล่าว
“ดี เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปได้แล้ว” ชลันธรไม่อยากจะใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวเสียเท่าใดนัก แต่การครั้งนี้มันจำเป็น…‘เราต้องตามหาท่านพี่นภนต์ พวกเจ้าอย่าได้ไม่พอใจเราเลย’... ชลันธรคิดในใจ ขณะที่ขบวนราชรถเหาะกลับไป
ร่างบางเดินทางลัดเลาะในป่าหิมพานต์ ยามรัติกาลทำให้บรรยากาศน่ากลัว ชวนให้คิดว่าอาจจะมีนักล่าฟ้ามืดที่ออกหาอาหาร โผล่พรวดพราดเข้ามาหมายจะทำร้ายได้ แต่ชลันธรมิได้นึกกลัวเพราะตนนั้นกลับคืนเป็นเทวาที่พร้อมด้วยพลังอำนาจ
ขาเรียวก้าวย่างไปไม่นาน กิ่งไม้บริเวณนั้นกระทบกันจนเกิดเสียง ทำให้ชลันธรชะงักและแหงนมองดูหาต้นกำเนิดเสียง…‘ประเดี๋ยวต้องมีตัวอะไรโผล่มาเป็นแน่’... ชลันธรไม่เพียงแค่คิด มือที่ว่างเปล่ายกขึ้นมาและได้มีลูกไฟสีฟ้าปรากฏในมือพร้อมที่จะจู่โจมสิ่งที่พุ่งตรงเข้ามา
“พึ่บ..พั่บ” เสียงปีกที่กระพือออกทำให้ขนสีทองร่วงหล่นมาประจักษ์ต่อสายตาของชลันธร คนงามลดมือลงลูกไฟสีฟ้าหายวับดับไปแล้วจับขนสีทองนั้นแทน
“ท่านพี่นภนต์!!! ท่านพี่นภนต์ใช่หรือไม่!!!” ชลันธรเรียกหาแต่แล้วเจ้าของขนนกสีทองกลับเป็น ‘ทิชากร’ สัตว์พาหนะของนภนต์ กระนั้นไฟแห่งความหวังของชลันธรมิได้มอดดับไป
“ทิชากร...เจ้ารู้ไหมว่านายของเจ้าอยู่แห่งหนใด” ชลันธรไม่รีรอถามวิหกสีทองทันที ทว่าทิชากรกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เราคิดว่าเจ้าจะรู้เสียอีกแต่ช่างเถิด เจ้าช่วยพาเราไปยังถ้ำแก้วจะได้หรือไม่” ทิชากรกระพือปีกเป็นตำตอบ ชลันธรจึงขึ้นไปนั่งบนหลังของทิชากรแล้วปล่อยให้วิหกพาหนะประจำกายของเทพแห่งท้องนภาโบยบินไปยังจุดหมาย
เรื่องราวเก่าๆค่อยๆ ไหลย้อนออกมาจากขวดแห่งความทรงจำของชลันธร นึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอกับนภนต์ ตนนั้นก็แยกตัวจากเหล่าข้าราชบริวารและมาพบกับทิชากรที่อุ้มสมพาไปยังถ้ำแก้วเช่นกัน บางทีนี่อาจจะเป็นนิมิตหมายอันดีที่ตนจักได้เจอกับคนรักก็เป็นได้
ไม่นานทิชากรนั้นก็พาเทวาแห่งมหาสมุทรมาถึงถ้ำรัตนาที่แสงจันทราสาดส่องจนเกิดแสงเป็นประกาย สว่างโดดเด่นท่ามกลางความมืดมิด ชลันธรได้ลงจากกายของทิชากร พลันนกยักษ์ก็ย่อกายให้กลายเป็นนกน้อยตัวเล็กๆ แล้วโบยบินหนีหายไป
“ทิชากร!!! ทิชากร!!!” ชลันธรร้องเรียกแต่ทิชากรก็ไม่ยอมบินย้อนกลับมา…เมื่อรู้ว่าตนนั้นถูกทิ้งชลันธรจึงเดินหน้าเข้าไปในถ้ำแต่เพียงผู้เดียว…‘เห็นทีเราต้องเข้าไปในถ้ำเพียงผู้เดียวเสียแล้ว มาถึงที่นี่แล้ว...ด้วยความรักที่มีต่อท่านพี่นำพาข้ามา...บางทีเราสองอาจจะได้กลับมาพบกันในที่แห่งนี้ก็เป็นได้...’
ขาเรียวก้าวเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย ภายในถ้ำช่างเงียบสงบชวนวังเวงยิ่งนัก เมื่อเบือนใบหน้าสบมองคบเพลิงที่ไร้ผู้จุด บ่งบอกได้ดีว่าเวลานี้ไม่มีผู้ใดอยู่ในถ้ำ ชลันธรผิดหวังที่ข้อสันนิษฐานของตนผิดพลาด ทั้งที่คิดว่าตนตีความหมายของพระผู้สร้างถูกแต่ไหนเลยสิ่งที่ตนหวังไว้กลับพังทลาย
...‘อาจเป็นเพราะความรักของเรามันไม่มากพอที่จะสร้างเป็นกุญแจไขประตูที่ขวางกั้นสองหัวใจให้พานพบกันอีกครั้ง...เวรกรรมอันใดกันเราถึงได้พลัดพรากจากคนรักเช่นนี้’…
..........................................
อ้าวเฮ้ย!!! ไหนบอกว่าจบ แต่ดันไม่จบ สัญญาตอนหน้าจะจบแล้วจบจริงๆแล้ว 555555
ขอโทษที่หายไปนานขอโทษจริงๆค่ะ น้ำท่วมซ้ำซาก งานประจำก็ทำจนไม่ค่อยมีเวลา ท่านยุ่งเลยยุ่งสมชื่อค่ะ ฮือออออ
ตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ชิชิ ใส อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ตอนหน้าตอนจบจะจัดเต็มรูปแบบ (จัดอะไร) ให้กับผู้อ่านที่น่ารักทุกคนนะคะ 555 ม๊วก
ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเมนท์ มาเป็นกำลังใจให้กัน อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะคะ กลัวไม่มีคนอ่านเพราะหายไปนานแสนนาน