สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา จบแล้ว P.14(28/04/2562) มีเรื่องแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับe-bookค่ะ  (อ่าน 96435 ครั้ง)

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.10 (12/10/2560)
«ตอบ #300 เมื่อ12-10-2017 20:36:28 »



สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 30













ความฝันที่แสนงดงามมักทำให้คนที่หลับใหลอยู่นั้น มิอยากที่จะลืมตื่นฟื้นจากความฝัน หากจำต้องตื่นขึ้นมาพบเจอกับความจริงที่แสนโหดร้ายจากการถูกลวงหลอกและผู้กระทำนั้นมิใช่ใครอื่นเลย กลับเป็นคนใกล้ตัว เป็นผู้ใกล้ชิด เป็นผู้ที่รักเราและเรารักโดยไร้เงื่อนไข

เปลือกตาค่อยๆ ขยับขึ้นมา นัยน์ตาดำเข้มมองเพดานสีไพฑูรก่อนจะลุกขึ้นนั่ง…‘ข้าอยากจะให้เรื่องที่ข้าได้รับรู้เป็นเพียงความฝันเสียจริง’... นภนต์นึกเย้ยหยันให้กับความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ แทบทำให้หัวใจของเทพแห่งท้องนภาหยุดเต้น ทั้งความเสียใจ ทั้งความผิดหวังประเดประดังเข้ามาแล้วหลอหลอมเป็นความเจ็บปวดที่แสนทรมาน แต่เทพหนุ่มก็ยังคงนิ่งเงียบ ด้านชลันธรที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกันจากการย้อนเวลานั้น เพียงหันเหลือบมองใบหน้าคนรักที่นอนเคียงกายยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของนภนต์ผ่านร่างกายกำยำที่สั่นเทิ้มจากการควบคุมอารมณ์โดยที่นภนต์ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

“ท่านพี่นภนต์…” ชลันธรเอี้ยวกายเข้าพาดก่ายกอดคนรักที่ยังนอนมิไหวติง หวังว่าอ้อมกอดนี้จะช่วยบรรเทาบาดแผลในใจของนภนต์ได้

“พี่ขอโทษชลันธร…เพราะความหน้ามืดตามัว ความโง่เขลาหูเบาของพี่ที่เชื่อสิ่งเล่าอ้างว่าเหล่าเทวาพระสมุทรนั้นคบหาไม่ได้มาตัดสินเจ้าโดยมิไตร่ตรอง” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงเจือสั่นเล็กน้อย ใบหน้าคมมองตรงไปข้างหน้ามิเหลือบมองชลันธรแม้แต่น้อย คล้ายกับว่ารู้สึกผิดจนมิกล้าสู้หน้าคนรัก

“ท่านพี่อย่าโทษตัวเองเลย…ข้ารู้ว่าเพลานี้ท่านพี่รู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใด” ชลันธรกระชับกอดแน่นขึ้น

“ใช่พี่เจ็บปวดยิ่งนัก ทั้งที่จริงควรจะดีใจที่เราสองต่างรู้ตัวผู้กระทำผิด ทว่า…ผู้ที่วางยาพิษกลับเป็นท่านแม่ของพี่เสียเอง…พี่…พี่..”

“ท่านพี่ไม่ต้องเอ่ยอันใดแล้ว หากสิ่งที่พูดมันจักทำให้ท่านพี่เจ็บปวด…” ชลันธรเสียใจไม่แพ้กัน ไม่คาดคิดว่าพระเทวีกวินตาจะวางแผนวางยาพิษตัวเองเพื่อใส่ร้ายตน เกลียดชังตนที่เป็นคนรักของบุตราตนเองมากมายขนาดนี้

“ชลันธร…พี่ขอให้คำมั่นกับเจ้าเมื่อเรานั้นได้ออกจากป่ากันติทัตนี้ พี่จักพาท่านแม่ของพี่ไปรับโทษทัณฑ์ที่กระทำผิดไว้กับผู้บริสุทธิ์เช่นเจ้า” จักต้องใจแข็งขนาดไหนกันเล่า ถึงสามารถเอื้อนเอ่ยคำมั่นนี้มาได้…จักต้องข่มความเจ็บปวดไว้ลึกเท่าใดจึงจะจับกุมผู้ให้กำเนิดได้

“ทะ…ท่านพี่!!...” ชลันธรเงยหน้าขึ้นมา มือเรียวจับคางคนรักให้มองมาที่ตน ชลันธรเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของนภนต์… ‘ท่านพี่เอาจริงแล้วสินะ’...

“เจ้ามิต้องเอ่ยห้ามพี่ ในเมื่อพี่เป็นผู้จับกุมเจ้ามาลงทัณฑ์ในความผิดที่ไม่ได้ก่อ ครั้งนี้ถือว่าพี่จักขอไถ่โทษให้กับเจ้า จับผู้กระทำผิดตัวจริงไปรับโทษกับพระผู้สร้าง” นภนต์เอ่ยแล้วผละกอดจากชลันธร

“และพี่เองจักต้องรับโทษด้วยเช่นกัน…” นภนต์ยืนขึ้นหันหลังให้อดีตเทพสมุทรก่อนจะพูดต่อ

“ท่านพี่นภนต์อย่าทำเช่นนี้ อย่าโทษตัวเองเช่นนี้เลย ท่านพี่จับน้องในครานั้นก็ทำไปเพราะหน้าที่…” ชลันธรสวมกอดนภนต์อีกครั้ง ด้วยรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่าจักต้องขอรับโทษเป็นแน่

“อย่ามัวเถียงกันเลย ใครจะรับโทษหรือไม่นั้นพระผู้สร้างเป็นผู้ตัดสินเอง” เสียงดังลอดผ่านประตูปรากฎกายเทพกาลเวลาที่บัดนี้ร่างกายเติบใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

“ข้าต้องขออภัยที่ได้ยินพวกท่านทั้งสองสนทนากันจึงได้พูดสอดขึ้นมา ข้าออกไปนำน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์มาให้ เพื่อฟื้นฟูกำลังหลังจากย้อนเวลากลับไป” เทพณิชนิรันดร์ยื่นจอกน้ำให้ทั้งสอง เนื่องจากการย้อนเวลาแต่ละครั้ง พละกำลังของผู้ที่ย้อนเวลาไปจะลดลงกึ่งนึง เมื่อตื่นขึ้นมาจึงต้องดื่มน้ำสีเงินยวงนี้เพื่อให้พลังกลับคืนมา

“เราขอบน้ำใจท่านมาก…ท่านณิชนิรันดร์” ชลันธรและนภนต์รับจอกมาแล้วดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปตามคำแนะนำของเทพกาลเวลา

“เหตุใดร่างกายของท่านถึงเติบใหญ่เร็วไวเช่นนี้” ชลันธรถาม

“มนต์ที่ข้าได้สะกดให้ตัวข้านั้นเป็นเด็กในยามต้องนิทราเป็นเวลา ๓,๐๐๐ ปี นั้นเริ่มเสื่อมคลาย ไม่นานข้าจักกลับสู่ร่างที่แท้จริง” เทพกาลเวลาตอบ ก่อนจะหันไปจ้องหน้าเทพแห่งท้องนภาที่ใบหน้ามิสู้ดีนัก

“ท่านอย่ากังวลเลยเทพนภนต์ ทั้งบนสวรรค์ชั้นฟ้า โลกมนุษย์ มหาสมุทรแสนลึกล้ำหรือจะเป็นยมโลก ไม่ว่าที่ใดล้วนมีเรื่องราวมากมายเหลือนับคณาที่เรานั้นสามารถจะแก้ไขหรือทำอันใดได้บ้าง กระนั้นยังมีเรื่องอีกมากโขที่เราไม่สามารถทำอันใดได้เลย…มากสุดได้แต่เพียงยอมรับมัน”

“ข้ารู้…” นภนต์เอ่ยเสียงแผ่ว

“ใช่ท่านรู้ เพียงท่านมิสามารถทำได้ใช่หรือไม่ ลำพังท่านรับโทษท่านคงมิเกรงกลัวอะไร หากท่านต้องใจแข็งนำมารดาท่านไปรับโทษ ข้าว่าท่านให้ผู้อื่นทำหน้าที่นี้จะดีกว่า ส่วนคำตัดสินข้ามั่นใจว่าพระผู้สร้างนั้นจะให้ความยุติธรรมพอ” เทพกาลเวลารู้สึกเห็นใจเทพหนุ่มตรงหน้า คราก่อนจับคนรัก มาครานี้จับแม่ ดวงใจของเทวาผู้นี้จะต้องแข็งเพียงใดถึงจะไม่สลายเป็นผุยผง...

“ข้าขอบน้ำใจสำหรับคำแนะนำของท่านที่มีให้ข้า แต่ตัวข้านั้นตั้งใจไว้แล้วว่าจะนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ ฉะนั้นข้าจักต้องทำด้วย…ตนเอง” นภนต์ยังคงยืนยันในคำตอบด้วยสุรเสียงที่หนักแน่น

“หากท่านพี่ประสงค์เช่นนั้น ข้าจักขอตามไปด้วย...” ชลันธรเอ่ยขอ นภนต์พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตกลง

“เอาเถิด…ถ้าท่านไม่เปลี่ยนใจก็สุดแล้วแต่ใจท่าน เอาเป็นว่าข้าขออวยพรให้พวกท่านทั้งสองโชคดี” เทพแห่งกาลเวลาเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มอ่อน

“ท่านณิชนิรันดร์…เราขอขอบน้ำใจท่านมากที่ท่านช่วยเราจนประจักษ์แก่ความจริง” ชลันธรพนมมือสองไว้กลางอกแล้วก้มใบหน้าลงด้วยความเคารพเทพผู้มีพระคุณตรงหน้า

“ข้าเองก็เช่นกัน ขอบน้ำใจท่านที่ช่วยชลันธรและให้คำแนะนำแก่พวกเรา” นภนต์เอ่ย

“มิเป็นไร…ข้าว่าพวกท่านอย่าเสียเวลาอยู่ที่วิมานนี้เลย รีบเดินทางไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์แก่อดีตเทพพระสมุทรชลันธรเถิด”

“ถ้าอย่างนั้นพวกข้า...ขอลา...”

เมื่อนภนต์และชลันธรกล่าวลาเทพแห่งกาลเวลาแล้ว จึงรุดหน้าออกจากวิมานอย่างเร็วไว ทันทีที่เปิดประตูวิมานออกทั้งสองนั้นก็พบกับความว่างเปล่า ไร้เงาของสหายร่วมเดินทางทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์

“รพีพงศ์!!! นาคินทร์!!! พวกเจ้าอยู่ไหน!!!” นภนต์ร้องตะโกนออกมาในใจคิดว่าทั้งสองคงจะปรับความเข้าใจอยู่แถวนี้

“ทั้งสองหายไปไหนกันนะ” ชลันธรพึมพำพร้อมกวาดสายตาสอดส่องทั่วบริเวณ

‘ตูม!!!’ เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทดังสนั่น เกิดขึ้นอยู่ไม่ไกลจากวิมานมากนัก กลุ่มควันลอยฟุ้งทำให้นภนต์รู้โดยทันทีว่าต้นกำเนิดเสียงเมื่อครู่มาจากแห่งหนใด ชลันธรเองพอได้ยินเสียงดังราวฟ้าฟาดกลับรู้สึกหวั่นใจกลัวว่าเกิดเหตุร้ายกับรพีพงศ์และนาคินทร์

“ท่านพี่ข้าคิดว่า…”

“พี่รู้ว่าเจ้าจะพูดอันใด พี่ว่าเราสองรีบตามไปดูเถิด หากใช่รพีพงศ์กับนาคินทร์และมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเราจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที” นภนต์รู้ใจคนรักเป็นนักหนา ไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาเทพเวหานี้รู้ว่าชลันธรคิดเช่นไร ร่างบางเองพยักหน้ารับรู้ มือเรียวคว้าจับหัตถาใหญ่เอาไว้แล้วเร่งเดินหน้าไปยังที่เกิดเหตุ

. . .

ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในระหว่างที่นภนต์และชลันธรเข้าไปในวิมาน รพีพงศ์กับนาคินทร์ได้อยู่เฝ้ารออยู่ด้านนอก ทั้งสองได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในขณะเมล็ดพันธุ์แห่งต้นรักที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ภายในใจของเทวาและนาคาคู่นี้ กลับมีบุรุษผู้หนึ่งปรากฎกายขึ้นมา…

“พระสมุทร…กนธี”

รพีพงศ์เอ่ยนามผู้ที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะพนมมือขึ้นไหว้ผู้มีศักดิ์ที่สูงกว่า ผิดกับนาคินทร์ที่พอได้เผชิญหน้าแล้วก็รีบหลบหนีโดยมีแผ่นหลังกว้างของรพีพงศ์เป็นที่กำบัง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว…‘ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบกับท่านอีก…ท่านกนธี’

“ข้ามาตามหาชลันธรหลานข้า มิทราบว่าหลานรักของข้านั้นอยู่ในวิมานนี้ใช่หรือไม่” กนธีถามรพีพงศ์ ทว่าสายตากลับจ้องมองร่างบางที่ยืนสั่นเทา

“ชลันธรอยู่ด้านใน เชิญท่านเข้าไปเถิด…”

“ไม่ได้!!! อย่าให้ท่านกนธีเข้าไปนะท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์รีบพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะออกมายืนขวางทางเอาไว้ ถึงแม้จะกลัวอีกฝ่ายมากมายเพียงใดแต่ตนตั้งใจไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือชลันธร

“นาคินทร์…ไยเจ้าจึงห้ามทั้งยังแสดงกริยาไม่งามต่อหน้าพระสมุทรอีก” รพีพงศ์หันไปเอ็ดนาคินทร์ที่ทำกริยาไม่เหมาะสมกับกนธี

“หาได้ต้องมีพิธีรีตรองอันใดดอก ข้านั้นมิถือสาเอาความกับนาคินทร์” กนธีเอ่ยออกมา มุมปากยกขึ้นปรากฏรอยยิ้มร้ายขึ้นมา

“ท่านกนธีรู้จักนาคินทร์ด้วยหรือ” รพีพงศ์เอะใจที่พระสมุทรรู้จักชื่อของนาคน้อยและยิ่งรอยยิ้มที่ตนได้เห็นมันทำให้รพีพงศ์รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

“ยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก…ในเมื่อครั้งหนึ่งนาคินทร์นั้นเคยนอนครางอยู่ใต้ร่างข้า และตอนนี้ข้าก็จะมานำตัวนาคินทร์กลับไป รวมทั้งมาพาตัวชลันธรหลานรักของข้าด้วย…ส่วนเจ้านั้นก็หลีกทางไปเสีย” กนธีเอ่ยเจตนารมณ์แล้วผลักรพีพงศ์ให้พ้นทาง โชคดีที่รพีพงศ์หลบทันจึงรีบเข้าขวางทางประตู

“ที่แท้คนชั่วช้าที่ทำร้ายนาคินทร์และชลันธรก็คือท่านนี่เอง!!!” รพีพงศ์ไม่พูดเปล่าเสกพระขรรค์คู่กายออกมาพร้อมสู้รบกับกนธี

“บุตรพระอาทิตย์...เจ้าคิดจะขวางข้าหรืออย่างไร…หากว่าคิดผิดก็คิดเสียใหม่ได้ ข้าจักให้เจ้าทบทวน”

“ข้าหาได้คิดผิดไม่…นาคินทร์...เจ้ารีบเข้าไปหลบในวิมานเทพกาลเวลาเสียก่อน” รพีพงศ์เอ่ยย้ำว่าไม่ได้ผิดความคิดที่จะต่อกรกับกนธี ก่อนจะบอกนาคินทร์ให้หลบหนีแต่กลับช้ากว่ากนธี ที่คว้าแขนเรียวฉุดกระชากมาหาตน

“ท่านกนธีปล่อย!!!...ปล่อยข้า!!!” นาคินทร์ขืนตัวพยายามดึงแขนออกมาจากหัตถาแกร่งที่บีบแน่นจนเจ็บเนื้อเข้าถึงกระดูก

“ปล่อยนาคินทร์บัดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นจะหาว่าข้าล่วงเกินท่านมิได้” รพีพงศ์คว้าแขนเรียวอีกข้างไว้ยื้อยุดไม่ให้นาคินทร์ไปกับกนธี

“ไม่มีทาง!!!” กนธีถีบเข้าที่ท้องของรพีพงศ์จนล้มลงกับพื้นก่อนจะพานาคินทร์เข้าไปในวิมานหากมิสำเร็จ นาคีรูปงามกลับแปลงกายเป็นนาคเกล็ดสีนิลรัดกายกนธีแล้วเลื้อยหนีไปอีกทาง

“นาคินทร์!!!” รพีพงศ์รีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งตามนาคน้อยไป ถึงนาคินทร์จะแปลงกายเป็นนาคก็จริง แต่กนธีเป็นถึงพระสมุทรมินานคงจะแก้ไขเหตุการณ์จนนาคินทร์เพลี่ยงพล้ำได้

“นาคินทร์เจ้าคิดจะลองดีกับข้าใช่ไหม!!!” กนธีพิโรธโกรธเคืองที่นาคินทร์กลับดื้อรั้นไม่โอนอ่อนตามตนเช่นเดิม แววตาที่เคยมองตนด้วยความรัก ความเทิดทูน กลับสูญหายไปเหลือเพียงความหวาดกลัว…‘ดวงใจของเจ้าคงมอบให้กับรพีพงศ์... ก็ดีเหมือนกันข้าจะได้มิต้องเมตตาเจ้าอีก’...

กนธีแปลงกายหยาบให้ค่อยๆ ละลายกลายเป็นสายน้ำไหลซึมออกมาผ่านผิวกายลงมายังพื้นพสุธาก่อนสายน้ำนี้จะก่อร่างขึ้นกลับคืนเป็นพระสมุทรกนธียืนประจัญหน้ากับนาคินทร์ จากนั้นจึงเป่ามนต์ใส่นาคสีรัตติกาลบังเกิดฟองอากาศขนาดใหญ่ห่อหุ้มกายาของนาคินทร์ไว้

“ท่านกนธี…ปล่อยข้า!!!!” นาคินทร์กลายร่างกลับเป็นมนุษย์ทันที สองมือทุบผนังฟองอากาศที่บางใสนี้แต่มันกลับเหนียวไม่ยอมแตกออกเลยสักนิด นาคินทร์ถูกกักขังไว้ในฟองอากาศเสียแล้ว

“ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้า ข้าจะให้เจ้าอยู่ทนทุกข์ทรมานไปกับข้า” กนธีเอ่ย พระสมุทรยอมรับว่าตนนั้นมิพอใจที่นาคินทร์มีชายอื่น แม้ตนมิได้รักนาคินทร์ไปมากกว่าชายาแต่ตนนั้นให้ความสำคัญกับนาคินทร์เหนือสนมหรือนางบำเรออื่น ถึงจะไล่นาคินทร์ไปก็จริงแต่นาคินทร์ต้องซมซานกลับมาหาตนเองมิใช่ไปอยู่กับชายอื่น…ใช่แล้ว กนธีกำลังหึงหวงนาคินทร์

“ถ้าท่านไม่ยอมปล่อยดีๆ ข้านี้จะเป็นผู้ทำให้ท่านปล่อยนาคินทร์เอง!!” รพีพงศ์ที่วิ่งตามมาทีหลัง ยืนชี้พักตราคนตรงหน้าอย่างมิเกรงกลัว…‘เทพชัวช้าเยี่ยงนี้ ข้ามิเคารพให้เสียแรงดอก’...

“ข้าไม่อยากจะสู้กับเจ้าให้เสียแรงเพราะเกรงว่าเจ้าจักตายไปเสียก่อนจะได้ร่ำลานาคินทร์…ข้าจะอ่อนข้อผ่อนปรนให้เจ้าสู้กับเหล่าสมุนของข้า” กนธีคว้าไข่มุก ๕ สีจากชายพกแล้วโยนมันลงพื้น บังเกิดกลุ่มควันทั้ง ๕ สีลอยฟุ้งขึ้นมาก่อนจะจางหายเหลือไว้เพียงบุรุษร่างกำยำนุ่งผ้าตามสีของไข่มุกในมือถือดาบเอาไว้พร้อมฟาดฟันศัตรู

“ธีร์ ธัญ ธัช ธร ธาม จงจัดการศัตรูของข้าเสีย” กนธีสั่งการนักรบทั้งห้าผู้มีฝีมือฉกาจ เมื่อรับคำสั่งทั้งห้าคนจึงเดินล้อมรพีพงศ์เป็นวงกลม ผู้ถูกล้อมควงพระขรรค์คู่กายในมือมั่นพร้อมตั้งรับการจู่โจม

“ท่านกนธี…ถ้าอยากได้ตัวข้าก็จับข้าเพียงผู้เดียวเถิด อย่าได้ทำอันตรายท่านรพีพงศ์เลย” นาคินทร์วอนขอ แม้ว่าจะยากที่จะเปลี่ยนใจกนธี

“นาคินทร์!!! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น…เจ้าเป็นของข้าแล้ว ต้องอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว” รพีพงศ์เอ่ย ถึงตายก็ไม่ยอมให้นาคินทร์ตกนรกทั้งเป็นไปกับกนธี นาคินทร์สดับฟังน้ำตาร่วงซาบซึ้งใจในตัวของรพีพงศ์

“พวกเจ้าจงจัดการรัชทายาทบัลลังพระอาทิตย์ให้สิ้นชีพเสียที่นี่ ให้ร่างมันแหลกสลาย กระดูกกลายเป็นเถ้าธุลี…” กนธีสัมผัสได้ถึงความรักของคนทั้งคู่ คำมั่นแสนหวานไม่ต่างจากน้ำมันที่สาดเข้ากองไฟพิโรธ คราแรกพระสมุทรที่คิดจะสั่งสอนให้ศัตรูเพียงสาหัสหลาบจำ แต่กลับเปลี่ยนใจให้เหล่าสมุนร้ายของตนปลิดชีพแทน

‘ย้าก!!!!!’

‘เคร้ง!!!’

อาวุธทั้งห้าเข้าฟาดฟันพร้อมกันเหนือศีรษะหมายมั่นจะให้รพีพงศ์เสียท่า หากผู้เสียเปรียบกลับใช้พระขรรค์ตั้งรับคนเกิดเสียง ขายกขึ้นมาส่งแรงถีบเข้าท้องแกร่งของธีร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อหนึ่งนักรบเสียทีอีกสี่ตนที่เหลือจึงเหลือบไปดูเพื่อน รพีพงศ์จึงใช้โอกาสนี้ผลักดาบด้วยพระขรรค์ให้ออกไป ก่อนจะยืนตั้งรับทั้งห้าที่เข้ามาต่อสู้

ธามและธัญยกดาบขึ้นมาเหนือหัวเข้าจู่โจมรพีพงศ์พร้อมกัน เทพหนุ่มหลบหลีกโดยไวมือจับพระขรรค์หมายจะแทง หากธรใช้ดาบสกัดกั้นไว้ได้ทันขณะนั้นเองธัชก็เข้าเตะรพีพงศ์ตรงขาจนล้มลงไปนอนกับพื้น

“ท่านรพีพงศ์!!!”

‘ฉึก’

ปลายดาบของธีร์ปักเข้าสู่พื้นดินจนเกิดรอยแยกแทนกายร่างสูงที่กลิ้งหลบเพราะได้เสียงร้องของนาคินทร์ร้องเตือนไว้ ธีร์ไม่หยุดเพียงครั้งเดียวนักรบกล้าคอยจะเสียบดาบเข้ากายรพีพงศ์อยู่เรื่อยๆไม่เว้นระยะ ยิ่งรพีพงศ์กลิ้งหลบก็ยิ่งชะล่าใจที่เห็นสุริยะบุตรนั้นอ่อนหัด คนเดียวหรือจะสู้ฝูงฉลามร้ายที่รุมกัดทึ้งได้ เห็นได้ชัดว่ารพีพงศ์เสียเปรียบมากขนาดไหน

“ไอ้พวกหมาหมู่!!!...ฮึก..รุมทำร้ายคนๆเดียว” นาคินทร์พ่นคำด่าปนสะอื้นกำปั้นน้อยๆคอยทุบผนังฟองอากาศอยู่ไม่หยุด ยิ่งเห็นรพีพงศ์ที่คอยหลบและตั้งรับมากกว่าที่จะสู้ขืนปล่อยไว้เช่นนี้รพีพงศ์อาจพลาดท่าเสียทีคงสิ้นชีวาเป็นแน่แท้

“หุบปากของเจ้าและใช้ดวงตาทั้งสองมองไปที่รพีพงศ์…ดูให้เต็มตา…ดูวาระสุดท้ายของมันให้เต็มตา!!!” กนธีเอ่ย นาคินทร์หันมามองอดีตเทพที่ตนรักด้วยแววตาเกลียดชัง…‘ข้าหลงรักคนชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน’...

‘ต้องจัดการพวกนี้ให้เร็วที่สุด…ขืนชักช้าเรี่ยวแรงเราคงหมดแน่’

รพีพงศ์คิดก่อนจะฮึดสู้ลุกขึ้นมาประชิดตัวธีร์ที่ยืนอยู่ใกล้มากที่สุด แล้วใช้อาวุธในมือแทงเข้าไปกลางลำตัวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ดึงพระขรรค์ออกมาเลือดของธีร์กระเซ็นจนเปื้อนกาย ธีร์ทรุดลงไปกับพื้นร่างกายกลายเป็นควันก่อนเหลือไว้เพียงเศษไข่มุกที่แตกกระจาย

‘เสร็จไปหนึ่ง…ข้าต้องขอโทษที่เล่นเจ้าที่เผลอ’

หายไปหนึ่งจนเหลือสี่กนธีหาได้กังวลไม่ สำหรับเมื่อครู่กนธีคิดว่ารพีพงศ์คงอาศัยโชคช่วยแต่หลังจากนี้ต่างหากที่เป็นของจริง ของจริงที่ว่านั่นก็คือธาม ธร ธัญ ธัช แปลงกายกลายเป็นพรายน้ำกายสีน้ำเงินเข้ม ทั่วร่างเต็มไปด้วยอักขระ ล่องลอยโฉบกายาหนา มือข้างหนึ่งถือดาบ มืออีกข้างกางออกเผยพังผืดคมไม่ต่างจากใบมีดคอยเข้ากรีดผิวของรพีพงศ์

‘ฉึก!’

“โอ๊ย!!!”

รพีพงศ์ยกแขนป้องกันพรายน้ำจำแลงที่เข้ามาสร้างบาดแผล พอตั้งสติได้จึงใช้มือที่กำพระขรรค์เหวี่ยงตวัดไปมา หากมันไม่ได้ทำให้พรายน้ำระคายผิวแต่อย่างใดด้วยอักขระบนร่างกายช่วยคุ้มกันอันตราย ทั้งยังอ้าปากพ่นน้ำกรดออกมา เวลานี้รพีพงศ์ทำได้เพียงปัดป้องและหลบหลีกเท่านั้น…‘ใช้พระขรรค์ฆ่าพวกมันในร่างพรายน้ำคงไม่ตาย จะหลบหนีไปคงไร้ประโยชน์แต่ถ้าหากสู้ซึ่งหน้าธาตุไฟอย่างเราคงแพ้น้ำ…จริงสิ’…

รพีพงศ์ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ คราวนี้เทวาทายาทพระอาทิตย์มิคิดหลบหนีหรือปัดป้องดังเก่ากลับยกหัตถาทั้งสองขึ้นมาพนมมือไหว ริมฝีปากขมุบขมิบท่องคาถา สะเก็ดไฟค่อยๆ ปะทุออกมาจากกายของรพีพงศ์คล้ายถ่านไม้ที่เพิ่งติดไฟ ไม่นานอัคคีก็ค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าไล่ขึ้นมาท่วมกายอย่างรวดเร็ว ตอนนี้รพีพงศ์ไม่ต่างจากดวงไฟขนาดใหญ่ที่สามารถเผาผลาญทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้

“เข้ามาสิ!!...เข้ามาทำร้ายข้าเฉกเช่นเมื่อครู่” รพีพงศ์ท้าทาย ธาม ธร ธัช ธัญ ที่ถอยออกห่างเหมือนกำลังดูเชิงผิดกับรพีพงศ์ที่เดินเข้าไปใกล้ ทุกย่างก้าวที่ขยับเชื่องช้าไม่รีบร้อน รพีพงศ์เป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมาทันที สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไป พรายน้ำจำแจงจะพ่นน้ำกรดออกมาก็มิเป็นผลอีกต่อไปเพราะไม่ทันจะถึงตัวก็ระเหยกลายเป็นไอไปเสียก่อน ดังคำที่ว่า…‘น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ’...

“ย๊า!!!!!” ธามตัดสินใจลอยเข้ามาใช้ดาบพุ่งเข้าใส่ รพีพงศ์จึงหยุดเดิยยืนเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตี ปลายดาบสัมผัสกับรัศมีความร้อนค่อยๆหลอมละลายไล่ไปตั้งแต่ขอบโค้งจนถึงด้ามดาบและไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังเกิดสิขานลลุกลามเผาคู่ต่อสู้…‘อาวุธตีรันฟันแทงมิได้ก็จงโดนไฟเผาให้ดับสูญไปเสียเถิด’....

“อ้าก!!!!!!!!!!!” ธามร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่อัคคีที่เผาไหม้หาได้สนใจไม่ ยังคงเผาผลาญไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงร้องเงียบหายไปพร้อมกับกองเถ้าถ่าน

ธร ธัช ธัญ ที่เห็นเหตุการณ์การจากไปของสหายรู้ดีว่าการสู้ซึ่งๆหน้าเยี่ยงนี้ต้องพ่ายแพ้ต่อรพีพงศ์เป็นแน่ ทั้งสามจึงร่ายมนต์ให้กลายเป็นสายน้ำแล้วรวมกายกันเป็นอสูรกายยักษ์กำยำผิวกายสีน้ำเงินเข้ม พักตราดุดันมุมปากมีเขี้ยวแก้ว ตามขาและแขนมีเกล็ดสีขาวนวลประดับตามผิว กระดูกสันหลังมีครีบขนาดใหญ่ไล่ลงมาถึงสะโพกซึ่งมีหางมัจฉา มือถือกระบองตุ้มใหญ่แสนน่ากลัว

“ไม่คิดว่าท่านกนธีจะมอบปลายักษ์ให้ข้าเผาเล่นเป็นอาหาร” รพีพงศ์เอ่ยออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน หาได้เกรงกลัวอสูรกายยักษ์ใหญ่ตรงหน้าไม่...

“ฮึ!!...เจ้าคงลืมไปสิว่าปลาบางตัวมันก็คิดว่าพวกกระจ้อยร่อยอย่างเทพที่อวดดีก็สมควร เป็นเหยื่อมันเช่นกัน” กนธีเองตอบสนกลับไปไม่ทุกข์ร้อนด้วยมั่นใจในฝีมือของอสูรกายยักษ์วารีตนนี้ที่ถึงจะรวมร่างจากสามก็มีพลังมากพอจะกำราบบุรุษที่มาจากแดนทินกรได้

“ย้าก!!!!” ทั้งสองต่างวิ่งเข้าหา หนึ่งกระบอง หนึ่งดาบปะทะกันจนเกิดเสียงดัง กระบองของอสูรกายยักษ์ใหญ่ตนนี้ทนความไฟจากรพีพงศ์ได้ดีไม่มีบุบสลาย ศึกครั้งนี้จึงกลับมาเสมออีกครั้งต่างฝ่ายต่างผลัดกันรับผลัดกันบุกอย่างไม่มีใครยอมใคร

‘ฉึก’ เป็นทีของรพีพงศ์ พระขรรค์แทงเข้ากลางอกของยักษา พอดึงพระขรรค์ออกมาบาดแผลก็สมานคืนกันราวกับมิเคยต้องอาวุธมาก่อน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แทงข้าอีกสิท่านรพีพงศ์ พระขรรค์ของท่านหรือแม้แต่ไฟที่ลุกท่วมกายท่านก็มิอาจทำร้ายข้าได้” อสูรกายยักษ์วารีเป็นฝ่ายท้าทาย

“เจ้าอย่าเหิมเกริมไปเลย…ทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อนและมิช้าข้าจักหาจุดอ่อนของเจ้าเจอเป็นแน่”

“ข้าเกรงว่าพอถึงเวลานั้นท่านจักนอนจมกองไฟตายไปเสียก่อน”

เมื่อปะทะคารมกันแล้วก็เริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเหมือนอสูรกายยักษ์ใหญ่จักออมมือคล้ายเย้าแหย่รพีพงศ์ ด้วยความทนงตัวว่ารพีพงศ์มิอาจหาจุดอ่อนของตนเจอได้ จึงคอยยืนนิ่งให้ปลายขรรค์ทิ่มแทงบ้าง แสร้งเบี่ยงตัวหลบแต่มิโต้ตอบบ้าง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการดูหมิ่นผู้สืบบัลลังก์ทินกรเลยสักนิด

“ตายเสียเถอะ!!!” เทวาร่างอัคคีพุ่งตัวเข้าใส่พร้อมพระขรรค์ ทว่าครั้งนี้ปลายพระขรรค์อยู่ห่างจากผิวกายยักษาเพียงคืบเดียว รพีพงศ์ไม่ได้คิดจะใช้พระขรรค์สู้แต่กลับจับเข้าที่หางที่เป็นหางมัจฉาแทน อสูรกายยักษ์วารีดินรนขัดขืนหากรพีพงศ์กลับเสียบพระขรรค์เข้ากายอสูรกายยักษ์ใหญ่จนมิดด้ามตรึงกับต้นไม้ใหญ่มิให้ไปไหน

“ความประมาทนำพาสู่ความฉิบหาย ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไป เจ้ามิรู้หรือไรว่าเหตุใดข้าจึงพุ่งกายใช้พระขรรค์ทำร้ายเจ้าทั้งที่ทำไปเจ้าก็มิมีบาดแผล คำตอบเพราะข้าลอบสังเกตพฤติกรรมเจ้าที่ทุกครั้งที่ข้าเข้าหาเจ้าจะพยายามเบี่ยงตัวหนีให้แผ่นหลังของเจ้า หางของเจ้าอยู่ชิดตนเพราะเจ้านั้นระวังมิให้ข้าโดนหาง” หากใครสามารถมองเห็นทะลุผ่านเปลวไฟได้จะมองเห็นรอยยิ้มที่แสนจะน่ากลัวของรพีพงศ์ รอยยิ้มที่ไร้ความปรานี ไร้ความเมตตา

“ท่าน…อ้าก!!!!!!!!” อสูรกายยักษ์วารีมิอาจเอื้อนเอ่ยอันใดได้อีกต่อไป เมื่อไฟนั้นลุกลามกัดกินส่วนหาง จึงสิ้นฤทธิ์คืนสู่ร่างของ ธร ธัช ธัญ ที่ยืนซ้อนกัน อัคคีเผาไหม้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายทั้งสามก็กลายเป็นกองเถ้าถ่านขนาดใหญ่ มิต่างจาก ธีร์ ธาม

รพีพงศ์เดินกลับมาทางกนธีและนาคินทร์ที่ยังถูกคุมขัง เปลวไฟที่ห่อหุ้มกายค่อยๆ มอดดับลงเหลือไว้เพียงเถ้าถ่านที่กลายเป็นอาภรณ์ปกปิดกายรพีพงศ์ดังเดิม เทพหนุ่มหันมองนาคินทร์ที่จ้องมองตนมาเช่นกัน ก่อนจะหันมามองกนธีที่ยืนยกยิ้มมุมปากอยู่ตรงหน้า

“ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก สามารถสู้กับทหารของข้าได้” กนธีชมเปาะดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“แต่ยังด้อยกว่าข้ายิ่งนัก” กนธีจับบ่าของรพีพงศ์กระชากเข้ามาหาตน เสียงกระซิบดูถูกที่เปล่งออกมาดังก้องในหูของรพีพงศ์ ก่อนจะถูกกนธีผลักจนเกือบเซล้ม

“เจ้ากับข้ามาตัดสินกันโดยมีนาคินทร์เป็นเดิมพัน ใครชนะ..ไม่สิ ใครมีชีวิตรอดก็จักได้นาคินทร์ไป” กนธีเอ่ย มือกำตรีศูลศาสตรวุธประจำพระสมุทรไว้แน่น

“ข้าขอบอกอะไรท่านไว้สักอย่าง นาคินทร์มิใช้ของเดิมพันระหว่างท่านกับข้า แต่นาคินทร์เป็นของข้าเพียงผู้เดียวต่างหากเล่า...”

















...........................

ท่อนแรกเราจะเจอความมาม่าของพี่นภนต์ ขอกำลังใจจากทุกคนส่งไปให้ถึงเทพแห่งท้องนภาด้วยนะคะ

ท่อนสองจัดเต็มกับป๋ากนธีของท่านยุ่งแม้จะไม่ลงมือเองแต่ออกมาเยอะกว่าตอนก่อน ใครจะปาหินใส่กระท่อมท่านยุ่ง ตอนนี้ทำไม่ได้นะคะ ท่านยุ่งขายแล้วค่ะ เอามาจ่ายค่าตัวป๋า

ยังไงติดตามอ่าน เม้น ติชม กันตามสบายนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งกันแม้จะอัพช้าก็ตามที ใกล้จบแล้ว มาสนุกกับนิยายท่านยุ่งเยอะๆเนอะ





ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
«ตอบ #301 เมื่อ12-10-2017 22:08:18 »

สนุกจ้า...ติดตามอยู่น๊า รอเสมอ :mew1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
«ตอบ #302 เมื่อ12-10-2017 23:25:21 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
«ตอบ #303 เมื่อ13-10-2017 08:08:53 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
«ตอบ #304 เมื่อ13-10-2017 09:15:17 »

รพีพงศ์สู้ๆ :L2:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
«ตอบ #305 เมื่อ13-10-2017 09:21:03 »


คนเลวก็คือคนเลว

ไม่สำนึกเลย

จัดการมันเลยขอรับ

รอขอรับ

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
«ตอบ #306 เมื่อ13-10-2017 12:01:18 »

ลุ้นค่ะเอาใจช่วย  :mew2:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.30 P.11 (12/10/2560)
«ตอบ #307 เมื่อ13-10-2017 15:56:15 »

รพีพงศ์สู้ๆ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #308 เมื่อ15-10-2017 16:55:16 »



สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 31













วรรณกรรมมากมายหลากหลายเรื่อง หลากหลายภาษาบนโลกใบนี้ มีจำนวนหนึ่งที่ได้เขียนถึงการศึกแย่งชิงคนรักจนเกิดเป็นมหาสงคราม หรือจะเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้าต่อสู้กับเหล่าร้ายเพื่อช่วยเจ้าหญิง สิ่งที่เหมือนกันคือฝ่ายธรรมะชนะอธรรม ผู้ร้ายจะถูกปราบจนตายสิ้น…แต่เรื่องราวการสู้รบเพื่อรักของรพีพงศ์นั้นกลับยากที่จะคาดเดาได้

ตรงหน้าของรพีพงศ์หาใช่อสูรร้าย ยักษา หรือเทวดาที่ฝีมืออยู่ชั้นปลายแถว หากเป็นพระสมุทรผู้กุมอำนาจเหนือใครในห้วงมหานที ผู้ที่ทั้งฉลาด เจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการ มีความสามารถรอบด้าน การรบเองมิได้อ่อนด้อยไปกว่าใคร…ยากที่จะโค่นล้มในระยะเวลาอันสั้น

พระสมุทรกนธีเองมิอาจละสายตาไปจากรพีพงศ์ได้ เทพตัวน้อยที่เคยวิ่งซุกซนผ่านตาเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้เติบใหญ่ใกล้รับตำแหน่งพระอาทิตย์เต็มตัวพร้อมกับความสามารถที่มีเพิ่มขึ้น แม้กนธีจักมีพลังเหนือกว่าแต่มิอาจประมาทได้ จากการต่อสู้เมื่อครู่ที่กนธีได้ลองเชิงดูความสามารถและตัดพละกำลังก็พบว่ารพีพงศ์มีความสามารถสูงเลยทีเดียว

‘พรึบ!’ พระขรรค์เนื้อเหมในหัตถาแปรเปลี่ยนเป็นพระขรรค์เพลิงสีชาดราวกับชุ่มไปด้วยโลหิต ในเมื่อต้องสู้กับพระสมุทรผู้ครอบครองหอกสามเล่มหรือตรีศูล พระขรรค์เพลิงนี้ย่อมสมน้ำสมเนื้อกว่าพระขรรค์ก่อนหน้านี้แน่นอน กนธียกยิ้มมิแสดงออกถึงความหวาดหวั่นที่มีต่ออาวุธของรพีพงศ์เพราะมั่นใจในตรีศูลคู่บารมีบัลลังก์มุก

“ย้าก!!!!”

ทั้งสองวิ่งเข้าหากันทั้งพระขรรค์ทั้งตรีศูลกระทบพร้อมประหัตประหารอีกฝ่าย กนธีเตะเข้าสีข้างของรพีพงศ์ที่สวนกำปั้นชกเข้าที่ใบหน้า จนทั้งสองเซถลาออกห่างกัน รพีพงศ์กุมสีข้างตาจ้องมองกนธีที่ยืนเช็ดเลือดตรงมุมปาก ก่อนจะเริ่มใช้ศาสตราวุธในมือห้ำหั่นกันอีกครั้ง

ยามที่ตรีศูลพุ่งเข้าหารพีพงศ์นั้นเบี่ยงกายหลบสลับกับที่พระขรรค์ที่เข้าฟาดฟันแล้วกนธีก้มหลบได้ การต่อสู้ดำเนินต่อไปได้สักพักรพีพงศ์ที่พละกำลังเหลือน้อยเพราะได้ต่อสู้กับสมุนของพระสมุทรกนธีไปก่อนหน้านี้จึกตกเป็นรอง บางครั้งเบี่ยงกายหลบไม่ทันปลายคมของหอกสามเล่มเกี่ยวโดนบาดผิวกายให้มีเลือดซึมออกมา แม้เพียงเล็กน้อยกลับทำให้รพีพงศ์เจ็บแสบที่แผล…‘นี่สินะอานุภาพของตรีศูลแห่งพระสมุทรอันเป็นที่เลื่องลือ’...

“อั่ก!!” กนธีอาศัยจังหวะที่รพีพงศ์อ่อนกำลังใช้ด้ามตรีศูลตีลงที่แผ่นหลังจนบุตรแห่งพระอาทิตย์ล้มลงไปกองกับพื้น

“ตายเสียเถอะ!!” กนธีเอ่ยออกมาหัตถาที่จับตรีศูลยกขึ้นพร้อมสังหารผู้พ่ายแพ้

“ท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์ที่ถูกกักตัวร้องออกมาทั้งน้ำตา รพีพงศ์ไม่ควรสังเวยชีวิตเพราะนาคไร้ค่าอย่างตนเอง

‘เคร้ง!!’ พระขรรค์ตั้งรับตรีศูลได้พอดิบพอดี รพีพงศ์รวบรวมแรงขึ้นมาดันตรีศูลให้พ้นกายได้สำเร็จพร้อมกับร่างของกนธีที่เซถลาไปเช่นกัน

“ยังมีแรงเหลืออยู่อีกหรือ…ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าจงเจอนี่” กนธีชูตรีศูลขึ้นเหนือศีรษะ พลันเกิดลมกระโชกแรง เสียงสะเทือนคล้ายบางสิ่งเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้…สายน้ำทั่วสารทิศไหลบ่าเข้ามาก่อตัวเป็นคลื่นหมุนวนคล้ายลูกแก้วยักษ์อยู่ปลายตรีศูล

รพีพงศ์เห็นท่าไม่ดีจึงชูพระขรรค์อันเป็นอาวุธคู่กายขึ้นมาให้แสงสุริยาสาดส่องจนเกิดแสงสว่างวูบวาบที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเป็นลูกไฟคล้ายกับจำลองดวงอาทิตย์ขึ้นมา

พลังที่แตกต่างถูกปล่อยออกมาพร้อมกันเพื่อห่ำหั่นศัตรู เกิดสายฟ้าฟาดลงมาดังสนั่นจากพลังสองขั้ว ต่างคนต่างยืนหยัดไม่มีถอยพลังมีเท่าใดถูกนำออกมาใช้เสียสิ้น…เพื่อนาคินทร์แล้วไม่ว่าอย่างไรจะแพ้ไม่ได้

‘ตูม!!!!’

ม่านพลังของทั้งสองรุนแรงจนกลายเป็นว่าผู้ใช้เองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เสียงกัมปนาทดังลั่นจนปฐพีสะเทือน ควันฟุ้งกระจาย ร่างของกนธีและรพีพงศ์กระเด็นออกไปคนละทิศคนละทางจนกระแทกกับต้นไม้แล้วลงไปนอนกองกับพื้นทั้งคู่ โดยมีเสียงร้องไห้ของนาคินทร์ดังออกมามิขาดสาย ต่างฝ่ายต่างพยายามลุกหยิบอาวุธของตนเองขึ้นมา เวลาหลังจากนี้จะตัดสินว่าผู้ใดได้รับชัยชนะ

กนธีค่อยตะเกียกตะกายอย่างทุลักทุเล แขนแกร่งยืดออกไปเพื่อให้มือเอื้อมคว้าด้ามตรีศูล ด้านรพีพงศ์นั้นจะขยับนิ้วยังลำบากพยายามดันหลังยันกายให้นั่งพิงกับต้นไม้

“ท่านรพีพงศ์!!!...หนีไป…ฮือ..หนีไป” นาคินทร์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและเห็นว่ากนธีลุกขึ้นมาได้ก่อนพร้อมกับมีตรีศูลอยู่ในมือ นาคินทร์มิอาจให้คนที่ตนรักต้องมาตายจึงได้ร้องให้รพีพงศ์หนี ในใจอธิษฐานให้ตนออกจากที่กุมขังนี้…‘หากข้าพอมีบุญอยู่บ้าง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากคุกฟองน้ำนี้เถิด’...

“รพีพงศ์ถ้าเจ้าจะโทษก็จงโทษตัวเจ้าที่บังอาจหาญมาต่อกรกับข้า” กนธีพูดจบก็ขว้างตรีศูลหมายจะปักยังเป้านิ่งอย่างรพีพงศ์

“ไม่!!!!!!!!”

นาคินทร์หวีดร้อง...รัศมีสีดอกพยับหมอกเรืองรองเปล่งประกายทั่วร่างบาง กายหยาบเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นนาคาเกล็ดสีนิลพุ่งทะยานแหวกฟองน้ำเลื้อยออกมาแผ่พังพานกำบังรพีพงศ์ ตามสัญชาตญาณรัก…สัญชาตญาณหัวใจลิขิต

‘ฉึก!!’ คมตรีศูลปักเข้าที่กลางลำตัวของนาคา สร้างความตกตะลึงให้กับรพีพงศ์และกนธี นาคน้อยถูกฤทธิ์ของตรีศูลก็โงนเงนล้มลง เศียรพาดลงบนตักของรพีพงศ์ก่อนจะกลับสู่ร่างมนุษย์

“นาคินทร์!!!!!....นาคินทร์!!!” รพีพงศ์ประคองกอดเจ้าของนามราวกับคนเสียสติ หัตถาหนารีบถอนตรีศูลให้พ้นกายนาคินทร์แล้วให้ผ้าแฝงห้ามเลือดเอาไว้

“ท่านรพีพงศ์ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” นาคินทร์ยกมือขึ้นมาลูบสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาของรพีพงศ์อย่างแผ่วเบา ทั้งที่เจ็บเจียนตาย…นาคินทร์ยังห่วงผู้อันเป็นที่รักของตน

“อดทนไว้นาคินทร์ เจ้าจักต้องไม่เป็นไร” รพีพงศ์เอ่ยเสียงแผ่ว แขนแกร่งโอบกอดนาคินทร์ไว้แนบอุรา

ฝ่ายพระสมุทรกนธีนั้นยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปหินแกะสลัก ไม่คิดว่ามือที่เคยจับกายอีกคนมากอดจะเป็นมือเดียวที่ส่งนาคินทร์ลงไปยังยมโลก สำหรับกนธีที่คิดเสมอว่านาคินทร์ไม่สำคัญ บัดนี้ดวงใจกลับปวดหนึบยามเห็นโลหิตไหลรินออกมา นั่นบ่งบอกได้ดีว่าที่ผ่านมากนธีคิดผิด นาคินทร์นาคบำเรอกามแสนต้อยต่ำที่ตนใช้เป็นหมากตัวหนึ่งกลับมีอิทธิพลต่อกนธีเป็นอย่างมากมาย ยามเห็นนาคินทร์แสดงความรัก แววตาความห่วงใยที่เคยมอบให้ตนถูกเปลี่ยนเป็นให้รพีพงศ์ กนธีนั้นยิ่งเจ็บลึกขึ้นไปอีก

“ท่านกนธี…ท่านเคยบอกว่าท่านคือผู้ที่ให้ชีวิตและแสงสว่างกับข้า บัดนี้ท่านมอบความตายให้กับข้าแล้ว ถือว่าเราสองไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก” คล้ายดั่งถ้อยคำตัดพ้อ หากไม่ใช่…ทุกๆคำที่เปล่งออกมานาคินทร์ล้วนกลั่นกรองออกมาจากใจจริง

“คินทร์!!!! รพีพงศ์!!!!” ชลันธรและนภนต์ที่วิ่งตามมา พอได้พบกับเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกใจไม่น้อยและพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอันใดขึ้นก่อนหน้านี้

“รพีพงศ์นี่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญ จงพานาคินทร์ออกไปหาเทพโอสถ ไม่สิ!! หรือ ไปหาเทพกาลเวลาเผื่อท่านจะช่วยเจ้าได้” นภนต์ที่ยังครองสติได้เอ่ยกับรพีพงศ์ก่อนจะยืนขวางเอาไว้ให้รพีพงศ์พานาคินทร์ไป รพีพงศ์เมื่อถูกเตือนสติจึงได้อุ้มร่างของนาคน้อยที่หายใจโรยรินเต็มทีเลี่ยงไปอีกทาง

“ส่วนชลันธร…น้องจงสมทบเร่งเดินทางไปกับรพีพงศ์และนาคินทร์เถิด ที่แห่งนี้อันตรายเกินว่าน้องจะอยู่ พระสมุทรกนธีผู้ต่ำช้าผู้นี้พี่จะจัดการเอง...” นภนต์เอ่ยโดยที่ตาจ้องมองกนธีที่สะบักสะบอมจากการต่อสู้กับรพีพงศ์อยู่มิน้อย ชลันธรจึงถอยห่างหากทำวิ่งหนีตามไปสมทบรพีพงศ์และนาคินทร์ แต่ก็มิได้ไปตามดั่งคำสั่งของนภนต์ทำเพียงซุ่มหลบหลังพุ่มไม้ที่ไม่ไกลนักดูเหตุการณ์เท่านั้น ทั้งที่ใจอยากจะจับอาวุธเข้าสู้แต่บัดนี้ตนเป็นเพียงมนุษย์ยังมิได้คืนสู่สถานะเทวา ขืนดื้อดึงอยู่รบคงเป็นลูกตุ้มเหล็กที่ถ่วงแข้งถ่วงขานภนต์ก็เป็นได้

“เป็นเกียรติของข้าที่ได้สู้กับแม่ทัพหลวง” กนธียังคงปากดีมิมีท่าทีอ่อนลงแต่อย่างใด ก่อนจะท่องคาถาเรียกตรีศูลให้กลับคืนสู่มือตน

“เป็นเกียรติของข้าเช่นกันที่ได้สังหารพระสมุทรกนธี” นภนต์เอ่ยแล้วเสกง้าวขึ้นมาเป็นอาวุธสู้รบ

‘เคร้ง!!’ การต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้ง คมง้าวเข้าปะทะตรีศูลจนเกิดเสียง ทั้งสองตอบโต้โดยใช้ทั้งประสบการณ์และกลยุทธการศึกที่มีมาใช้ กนธีฝีมือร้ายกาจแม้จะบาดเจ็บอยู่ มิเสียแรงที่เคยเข้าคัดเลือกเทพสงครามหากพ่ายให้กับพระอังคารเท่านั้น การดวลครั้งนี้จึงมิใช่เรื่องง่ายสำหรับนภนต์

กนธีที่มิอาจยืดเยื้อได้ด้วยกำลังของตนถดถอยจากการต่อสู้กับรพีพงศ์จึงคิดที่จะจบศึกให้เร็วที่สุด ปลายด้ามของตรีศูลถูกเคาะบนพื้นพสุธาสามครั้งในขณะที่กนธีร่ายคาถาบางอย่าง พลันเกิดเหตุอัศจรรย์ด้วยมนตราเกิดรอยแยกล้อมนภนต์ไว้จากนั้นม่านธาราโพยพุ่งขึ้นมาจากรายแยกนั้น นภนต์สังเกตเงาประหลาดที่ใกล้เข้ามาผ่านม่านธารานี้

‘ซ่า!!!’ พญานาคแหวกผนังน้ำออกมาอ้าปากเผยคมเขี้ยวต่อหน้าต่อตาเทพหนุ่ม มิใช่เพียงตนเดียวกลับมีถึงสิบ กนธีตั้งใจใช้เหล่าพญาภุชงค์นี้สังหารเทพแห่งท้องนภา

นภนต์เห็นว่ากนธีใช้เวทย์เรียกนาคมาทำร้าย ตนจึงพนมมือท่องคาถาเรียกภูตครุฑผู้คุมดินแดนทั้ง ๘ ทิศออกมา คาถานี้คล้ายกับคาถาเรียกภูตนาค ๗ มหาสมุทรของพระราหูแต่สิ่งที่เหมือนกันคือเป็นวิชาที่มิใช่ว่าใครจะฝึกสำเร็จได้โดยง่ายทั้งยังมีอานุภาพล้นเหลือ

เทวาแห่งท้องนภามีรัศมีสีทองสว่างสดใส แขนแกร่งที่มีเพียงสองเพิ่มขึ้นเป็นสี่ มือหนึ่งถือธนูทอง มือสองถือง้าว มือสามถือพระขรรค์ มือสี่นั้นว่างเปล่า นภนต์หงายมือขึ้นมาปรากฏภูติครุฑที่โบยบินขึ้นมาที่ละตนจนครบ

“ภูติครุตเอ๋ย…จงปลิดชีพพญานาคนี้เป็นอาหารของพวกท่านเสียเถิด” นภนต์เอ่ยจบ เหล่าภูติครุฑาต่างบินโฉบกายพญานาคขึ้นฟ้าแล้วปล่อยลงมาให้กระแทกหิน บางตนจับได้ก็ใช้กรงเล็บฉีกร่างจนเลือดสาดน่าสยดสยอง ไม่นานพญานาคของกนธีกลายเป็นอาหารจนสิ้น ม่านธาราจึงเสื่อมและหายไป

“เก่งเสียจริงนะท่านนภนต์” กนธีกล่าวชม หากแววตานั้นเผยความแค้นเคืองมากกว่าความยินดีดั่งปากพูด

“ท่านเองก็มีเมตตานำนาคมาเป็นอาหารให้กับภูติครุฑของข้า” นภนต์เยาะเย้ย โชคดีที่มีสติพอ

“ความเมตตาของข้ายังมีอีกเยอะ” กนธีไม่พูดเปล่าควงตรีศูลชี้ไปทางนภนต์ นภนต์สร้างโล่เวทย์ป้องกัน นาคที่พันด้ามตรีศูลเลื้อยออกมาแต่มิได้เลื้อยหาเทพเวหาแต่อย่างใด กลับดำดินล้อมรอบนภนต์เกิดแผ่นดินสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวแยกออกมากลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ นาคาร้ายพ่นน้ำกรดใส่ในหลุมซึ่งล้อมรอบนภนต์ที่ยืนอยู่ตรงกลาง…นภนต์เสียรู้กนธีเสียแล้ว

“อย่าคิดจะใช้ปีกบินหนีเพราะไอน้ำกรดนี้จะทำลายปีกของท่านจนมิสามารถบินไปไหนได้นอกเสียจากท่านจะไม่เชื่อแล้วลองบินดู จะได้ตกลงไปว่ายน้ำเล่นหรือจักเป็นอาหารนาคนั้นย่อมได้”

“ท่านกนธี!!!...ท่านนี่มัน”  นภนต์ที่เสียรู้นั้น  กำลังรู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก...

“หากท่านต้องการผรุสวาทใส่ข้าจงหยุดก่อน…ชลันธร!!! ชลันธรหลานรักของอา ถ้าหลานมิอยากให้คนรักของหลานตาย จงออกมาเสีย อารู้ว่าเจ้าซ่อนกายอยู่ไม่ไกล” กนธีเรียกขานชลันธรด้วยเสียงหวาน แต่กลับหวานดั่งน้ำผึ้งอาบยาพิษ...

“อย่าออกมา!!!...ชลันธรอย่าออกมา!!!!” นภนต์ร้องห้าม ไม่อยากให้คนรักต้องพบเจออันตราย

“คิดให้ดีนะชลันธร หลานอยากให้เทพนภนต์คนรักของเจ้าต้องมาตายกระนั้นหรือ” กนธียกนภนต์ขึ้นมาขู่ มิใช่ชลันธรจักเป็นจุดอ่อนของนภนต์ หากนภนต์เองก็เป็นจุดอ่อนของชลันธรเช่นกัน

“เราอยู่นี่…ปล่อยตัวท่านพี่นภนต์บัดเดี๋ยวนี้” ชลันธรมิอาจซ่อนตัวอีกต่อไป ด้วยตนนั้นมิอยากทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตนอีก ภาพของรพีพงศ์และนาคินทร์เมื่อครู่ยังฉายชัดในความคิด ยิ่งเห็นนภนต์คนรักที่เสียท่าอีก ชลันธรจะไม่ยอมให้ใครเดือดร้อนเพราะตนอีกต่อไป

“อย่าได้แทนตัวเองเหินห่างเช่นนั้น มาใกล้ๆ อาสิหลานรัก นำดวงใจพระสมุทรมาให้อา…อาเดาไม่ผิดอัญมณีล้ำค่านี้คงผนึกอยู่ในกายของเจ้าเป็นแน่…” กนธีเอ่ย อัญมณีสีครามทรงอานุภาพที่ตามหากำลังจะอยู่ในมือตนอีกไม่ช้า

“เราจักแน่ใจได้เช่นไรเล่าว่าท่านนั้นจะปล่อยท่านพี่ของเรา อีกอย่างเรามิมีพลังอำนาจอันใดที่จะนำดวงใจพระสมุทรออกมาจากกายเราได้...” ชลันธรเอ่ย ตนนั้นไม่วางใจกนธีอีกต่อไปหลังขากที่รู้ว่าผู้เป็นพระปิตุลานั้นคิดไม่ซื่อทำร้ายตน ส่วนดวงใจพระสมุทรนั้น พระสมุทรผู้เป็นบิดาของชลันธรเป็นผู้ทำพิธีลับนำเข้าร่างของชลันธรและกำกับคาถาไว้ให้ตัวชลันธรตลอดไปจะนำออกมาได้นั้นมีเพียงชลันธรผู้เดียว หากชลันธรสิ้นชีวาดวงใจพระสมุทรนั้นจะแตกสลายตามไปด้วย นี่เป็นสาเหตุที่กนธียังมิยอมสังหารชลันธร

“เจ้าทำได้ชลันธร ถึงเจ้าเป็นมนุษย์แต่พลังดวงใจพระสมุทรจะทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ…นำออกมาเถิดแล้วข้าจะให้นาคนี้สูบพิษน้ำกรดกลับคืนให้จนสิ้น” ชลันธรช่างใจพลางหันมองนภนต์ที่ส่ายหน้าไม่ยอมให้ชลันธรเสี่ยงกับกนธีผู้มากด้วยเล่ห์เพทุบาย...

“ชลันธรหลานรัก เจ้าว่าอย่างไรเล่า…ชักช้าไอน้ำกรดจะเป็นพิษให้ภัสดาของหลานต้องทุรนทุราย” กนธีเกลี้ยกล่อมชลันธรให้รีบนำดวงใจพระสมุทรออกมา ชลันธรนั้นห่วงแสนห่วงนภนต์จึงพนมมือขึ้นอธิษฐาน

…‘ดวงใจพระสมุทรเอ๋ย…บัดนี้เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจำต้องนำเจ้าออกมาจากกาย เรามิอาจใช้คาถาเรียกได้ หากเจ้านั้นรับรู้โปรดปรากฏในฝ่ามือของข้าเถิด’…

ชั่วอึดใจรัศมีสีครามเข้มส่องสว่างวูบวาบลอดผ่านนิ้ว อดีตพระสมุทรรับรู้ถึงน้ำหนักในอุ้งมือได้ มือเรียวหงายออกมาปรากฏเพชรสีน้ำทะเลงามประกายขนาดเท่ากำปั้นของผู้เจ้าของ…นี่น่ะหรือ...ดวงใจพระสมุทร  ด้านกนธีที่ได้เห็นก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย ใจได้แต่ยิ้มย่องเพราะอีกไม่นานตนนั้นก็จะได้เป็นผู้ครองมหาสมุทรอย่างสมบูรณ์

“นี่ไง...เรานำดวงใจพระสมุทรออกมาได้แล้ว ท่านอาจงเร่งให้นาคของท่านสูบน้ำกรดโดยพลัน” ชลันธรเอ่ยสายตามองไปยังคนรักราวกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง ชลันธรไม่นึกเสียดายที่ต้องมอบดวงใจพระสมุทรให้กนธีแต่จักเสียใจหากนภนต์ต้องเป็นอะไรไป

“นาคกำลังสูบน้ำจนสิ้นแล้ว เพียงพอที่เทพนภนต์จะสยายปีกบินหาหลาน ดังนั้นเจ้าจงนำดวงใจพระสมุทรมาให้ข้าโดยเร็ว” กนธีทวงดวงใจพระสมุทร ในใจนึกหากได้มาตนก็จักสังหารทั้งสองให้สิ้นซาก

“ถ้าอยากได้ก็เอาไป” ชลันธรโยนดวงใจพระสมุทรขึ้นสู่ฟ้าให้สูงที่สุดเพราะได้ถ่วงเวลาให้นภนต์บินหนี...

“ท่านพี่!!!!...บินออกมา!!” ชลันธรใช้จังหวะที่กนธีสนใจดวงใจพระสมุทรบอกให้นภนต์บินหนี นภนต์สยายปีกออกบินมาหาร่างบาง ปีกทองห่อหุ้มกายชลันธรเอาไว้…‘พี่จักปกป้องน้องเอง…ชลันธร’…

“ดวงใจพระสมุทรจักต้องเป็นของข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” กนธีหัวเราะลั่น มือเอื้อมรอรับอัญมณีที่ร่วงตกลงมา

‘ครืน….’

กลุ่มเมฆาเคลื่อนตัวรวมกันปกคลุมท้องฟ้า ความมืดคืบคลานเข้าทั่วบริเวณ ดวงดารานับแสนตกลงมาไม่ต่างจากพิรุณโปรยปรายช่างเป็นภาพที่น่ามอง หากมีหนึ่งดวงที่ส่องแสงสีดั่งดอกพวงครามสุกสกาวสดใสพุ่งดิ่งลงมาตรงหน้าของกนธีและนภนต์ ละอองเพชรละเอียดฟุ้งกระจายก่อนจะหมุนวนก่อตัวขึ้นมาเป็นหัตถาใหญ่ข้างหนึ่งเปล่งรัศมีม่วงรองรับดวงใจพระสมุทรที่ตกลงมาอย่างพอดิบพอดี 

ทั้งสามที่ได้เห็นหัตถาใหญ่ข้างนั้นได้แต่งุนงงว่าเป็นผู้ใดกัน ที่กล้าเข้ามาช่วงชิงดวงใจพระสมุทร เมื่อมือนั้นค่อยลอยต่ำลง ละอองเพชรละเอียดก่อตัวเป็นกายเทวาบุรุษร่างสูงใหญ่ เทวาผู้ที่แถบจะมิเคยออกจากวิมาน เทวาผู้ที่มิใคร่มีผู้ใดอยากกล่าวถึงและเอ่ยชื่อ เทวาผู้ที่มีหน้ากากกำบังดวงเนตรที่ไม่มีใครอยากมอง...และเป็นเทวาผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลนี้ นภนต์และกนธีแทบที่จะเอ่ยชื่อ เทพผู้นี้ออกมาพร้อมกัน...

“พระเสาร์...”















......................

กลัวทุกคนเบื่อมากเลยค่ะ ฉากรบออกมาติดกัน ตอนหน้าไม่ต้องเดามีต่อแน่ แต่เรื่องราวมันต้องดำเนินไปในสายนี้ แฮร่~~~~~ ท่านยุ่งตั้งใจคิดฉากเดินสายว่าจะเอาไงบอกเลยตั้งใจมาก มันท้าทาย เรื่องนี้ถือว่าเขียนฉากต่อสู้หนักมากสุด ดีไม่ดียังไง ติชมได้ค่ะ

มาเข้าเรื่อง ทุกคนคะอย่าค่ะ อย่าตบตีท่านยุ่งค่ะ อย่าเผากระท่อมค่ะ เรื่องที่หนูคินทร์ปกป้องรพีพงศ์จนพลาดท่า อย่าเผา อย่าปากกระท่อมนะ ท่านยุ่งไม่มีกระท่อมแล้ว...ส่วนใครจะตีกนธีจัดการเลยค่ะ เพราะป๋าไม่เคยลืมนาคินทร์ ท่านยุ่งงอนฮือออออ อกหัก

และตอนนี้ขอให้ทุกคนเอาใจช่วยพี่นภนต์และชลันธรไม่ให้ดวงใจพระสมุทรตกไปอยู่กับป๋ากนธี

สุดท้ายนี้...พระเสาร์มาแล้วจ้า หลายคนชื่นชอบวันนี้และตอนหน้าเจอกับพระเสาร์นะคะ


ขอขอบคุณสำหรับทุกคนที่มาอ่าน คอมเม้น เป็นกำลังใจมากนะคะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #309 เมื่อ15-10-2017 17:26:08 »

แผนตัวประกันใช้ได้ผลเสมอสิน่า
รอตอนต่อไปค่ะ
หมั่นไส้กนธีแรง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
« ตอบ #309 เมื่อ: 15-10-2017 17:26:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #310 เมื่อ15-10-2017 18:25:09 »

ป๋ากนช่างตายยากตายเย็น สะบักสะบอมมาจากรพีพงษ์แล้วยังมีแรงมาต่อกรกับนภนต์อีก 

เมื่อไหร่จะตายเสียทีอ่ะป๋า  :hao4:

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #311 เมื่อ15-10-2017 20:00:02 »

นาคินทร์จะเจอพ่อแล้ว   และป๋ากนธีควรได้รับโทษ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #312 เมื่อ15-10-2017 22:38:04 »

มาลุ้นตอนหน้ากันค่ะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #313 เมื่อ16-10-2017 00:34:29 »

รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #314 เมื่อ18-10-2017 21:09:02 »

อิกนธี โดนพระเสาร์กระทิืบแน่

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #315 เมื่อ18-10-2017 22:07:11 »

 :pig4:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.31 P.11 (15/10/2560)
«ตอบ #316 เมื่อ19-10-2017 23:20:23 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #317 เมื่อ22-10-2017 21:26:28 »



สาปรัก…ทัณฑ์เทวา

Writer : Tan-Yung 0209

File : 32













พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกสำหรับนภนต์ไม่ได้เป็นเพียงสุภาษิตอีกต่อไป ดวงใจพระสมุทรถึงจะไม่ตกลงในมือของกนธี แต่ผู้ที่รับได้มิใช่ใครอื่นกลับเป็นพระเสาร์ ซึ่งไม่รู้ว่าการปรากฏกายครั้งนี้จะมาดีหรือมาร้ายกันแน่

“พระเสาร์ส่งดวงใจพระสมุทรมาให้ข้า” กนธีเอ่ยทวงสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ถึงพระเสาร์จะขึ้นชื่อถึงความแข็งแกร่ง ดุดัน แต่กนธีไม่คิดจะเกรงกลัวเลยสักนิดด้วยสนใจเพียงจะครอบครองดวงใจพระสมุทรเท่านั้น

“ส่งมาให้ข้าเถิด ดวงใจพระสมุทรเป็นของชลันธรมิใช่ของพระสมุทรกนธี” นภนต์ใช้โอกาสนี้ทวงคืนดวงใจพระสมุทรให้ชลันธร

“ดูท่ามันจะสำคัญกับพวกเจ้าเสียจริงนะ...ฮึฮึ...ข้าคืนให้แน่…เพียงพวกเจ้า ใครก็ได้บอกมาว่านาคที่ชื่อนาคินทร์อยู่แห่งหนใด” พระเสาร์เอ่ยถามถึงผู้มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้จะห่างไกลกันแต่เพียงได้เห็นพักตรางามที่ถอดแบบจากมุตตานั้นก็รู้สึกสนิทแนบชิดตรึงใจ ครั้นเดิมทีจะโกรธกริ้วที่บุตรามีคู่รักเป็นชายทั้งยังสืบบัลลังก์พระอาทิตย์ที่พระเสาร์มิชอบใจ ทว่าสายใยแห่งพ่อลูกนั้นตัดไม่ขาด แต่กว่าจะสงบจิตสงบใจลงมาช่วยนั้น…กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของนาคินทร์

“ท่านว่ากระไรนะ...นาคินทร์รึ…พระเสาร์...นี่ท่านรู้จักนาคนาคินทร์ด้วยหรือ... หรือว่า...นาคินทร์เคยบำเรอกายปรนเปรอระบายกามใคร่ให้ท่าน…ฮึ!!! เจ้านาคมากราคะ ก็สมควรแล้วที่ต้องคมตรีศูลของข้า” กนธีเข้าใจผิดคิดว่านาคินทร์ทำตัวร่านสวาทจึงสบถด่าโดยมิรู้ว่าผู้ฟังนั้นกำหมัดแน่นสะกดกลั้นอารมณ์แต่ถึงจะสะกดไว้เพียงใด รัศมีแห่งความโกรธลอยคลุ้งรอบกายคล้ายกับควันไฟมิปาน

“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะกนธี  !!! นาคินทร์ต้องตรีศูลของเจ้านะหรือ” พระเสาร์ถามย้ำ ภาวนาให้คำตอบต่างไปจากเดิม

“ข้าขว้างตรีศูลโดนกายนาคินทร์เอง เหตุใดท่านจึงถามหรือว่าท่านรักเจ้านาคแสนต่ำต้อยนั่น...ข้าจะบอกท่านเอาไว้ว่านาคนั่นเคยนอนครางใต้ร่างข้ามานับไม่ถ้วน ไหนเลยยังมีรพีพงศ์อีก ฮึ!...ท่านยินดีที่จะรับของเหลือเดนเช่นนั้นหรือ” ไม่ใช่เพียงปลาหมอที่ตายเพราะปาก เทพพระสมุทรกนธีนี้ก็เช่นกันที่เงาหัวนั้นเลือนลางเต็มทีหลังจากพูดจาเหยียดหยามแก้วตาของพระเสาร์

“ข้าจะรักนาคินทร์หรือไม่มันหาใช่เรื่องของท่าน แต่ในฐานะของความเป็นพ่อ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหรือรังแกลูกของข้าได้ !!!” พระเสาร์ตะคอกเสียงดัง พายุแห่งความพิโรธโหมกระหน่ำเข้ามาแต่สิ่งที่สร้างความตกใจให้ กนธี นภนต์และชลันธรที่ได้ยิน นั่นคือนาคินทร์เป็นนาคากึ่งเทวา และเป็นโอรสของพระเสาร์  มาถึงตรงนี้นภนต์เลยคลายสิ่งที่สงสัยมานานว่าทำไมนาคินทร์ถึงอยู่ในร่างที่เป็นมนุษย์ได้นานมาก  ซึ่งต่างพวกนาคชั้นต่ำทั่วไปที่ไม่สามารถอยู่ในร่างมนุษย์ได้นาน...

“แล้วใครทำร้ายลูกของข้าแม้แต่ปลายเส้นผม มันจักต้องไม่ตายดี” หัตถาใหญ่ตวัดปัดลมเพียงเล็กน้อยแต่กลับส่งผลร้ายต่อกนธีจนกระเด็นติดกับต้นไม้ใหญ่

“อึก!!...” กนธีกระอักเลือดออกมา พอจะขยับขาให้ก้าวเดินก็มิสามารถทำได้เนื่องจากลมที่พระเสาร์สร้างสะกดไว้ มิเพียงแค่กนธีเท่านั้น นภนต์ที่พลอยได้รับแรงปะทะจากวายุมนตราก็มิอาจขยับก้าวขาไปไหนยังดีที่ชลันธรยังคงอยู่ในอ้อมกอด อยู่ในปีกกว้างที่ปกป้องจึงไม่ได้รับอันตราย

“ชลันธรเจ้ามิเป็นอันใดนะ”

“ข้ามิเป็นไรดอก เพียงแต่ข้านั้นอยากจะให้ท่านพี่ลดปีกลงให้ข้านั้นได้รับรู้เหตุการณ์นี้เถิด” ชลันธรร้องขอ นภนต์เองเห็นว่าพระเสาร์มีศัตรูเดียวกันและไม่ได้มารบรากับตนจึงยอมลดปีกลงเล็กน้อย ชลันธรเกาะปีกมองดูพระเสาร์ที่ยืนนิ่งไม่ขยับแต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นกลับแสดงออกถึงความน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

“ในเมื่อเจ้ามอบความเจ็บปวดให้กับบุตรของข้า…ข้าเองจักมอบความตายให้กับเจ้า...กนธี แต่ถ้าเจ้านั้นตายไปง่ายๆ ข้าคิดว่าไม่สนุกจึงเมตตาให้เจ้าขยับมือ ขยับปาก ร่ายคาถา สาดอาวุธใส่ข้า” พระเสาร์เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบปนเยาะเย้ย พระสมุทรตรงหน้าตอนนี้มิต่างอะไรกับพญาราชสีห์ที่ใกล้จะสิ้นลมด้วยน้ำมือนายพรานใหญ่เช่นตน

สุรเสียงดูแคลนผนวกกับถ้อยคำแสนถากถางทำให้กนธีนั้นโมโหขึ้นมา ด้วยนิสัยใจร้อนเป็นทุนเดิมและไม่คิดจะยอมแพ้ให้กับผู้ใด ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาพร้อมกับก้อนน้ำแข็งที่พุ่งเข้าใส่พระเสาร์

“อึก…อ้าก!!!!!” พระสมุทรผู้ชั่วร้ายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก้อนน้ำแข็งของตนกลับถูกวงแหวนตัดทำลาย ทั้งเศษซากน้ำแข็งยังพุ่งเข้าหาบาดฝ่ามือที่ใช้มนตราของกนธีจนโลหิตหลั่งไหลแดงฉาน

‘ควับ…ควับ’ ชลันธรรีบปิดตาซุกอกแกร่งของคนรัก ภาพที่ได้เห็นช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน พระเสาร์ควบคุมวงแหวนให้บาดผิวกนธีคล้ายกับถูกแส้ฟาด วงแหวนกรีดบาดลงบนท่อนแขน แผงอก หน้าท้อง ขา แผ่นหลัง ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า ไม่ใช่เพียงแผลสองแผลหากนับไม่ถ้วนจนเลือดนั้นอาบกายทั้งยังเผื่อแผ่ชโลมดิน

“เป็นอย่างไรเล่า ลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วพอจะตอบได้หรือไม่ว่ามันทรมานเพียงใด…พระสมุทรกนธี!!!” พระเสาร์เอ่ยถามพร้อมก้าวขาเข้าหากนธี โดยลืมไปว่า….

“พระเสาร์!!!!” นภนต์และชลันธรร้องออกมาพร้อมกัน เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า

‘ฉึก’ ปลายตรีศูลแหลมคมถูกแทงเข้าไปที่หน้าท้องของพระเสาร์จนมิดคมปลายหอกสามง่าม พระเสาร์ยืนนิ่งไม่ขยับ พักตราดุดันแสดงอาการเจ็บเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้ามองตรีศูลที่ทิ่มแทงทะลุร่าง หัตถาใหญ่ขยับจับด้ามตรีศูลไว้แน่น

“ฮึ…น่าอนาถยิ่งนักทั้งพ่อทั้งลูกตายด้วยน้ำมือของข้า” กนธียิ้มเยาะให้กับความประมาทเลินเล่อของพระเสาร์

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!” ไม่ใช่เสียงหัวเราะของกนธี หากเป็นของพระเสาร์

“ท่านต้องตรีศูลจนเสียสติไปแล้วหรือไร”

“ข้าขออภัยที่ข้านั้นมิอาจตายสมใจเจ้า อาวุธของเจ้าเป็นหนึ่งในศาสตราวุธวิเศษก็จริง แต่มิอาจทำให้ข้าระคายได้ ไม่ว่าจะทิ่มแทงข้าอีกสักกี่ครั้ง” ไม่พูดเปล่าหัตถาใหญ่ดึงตรีศูลและแทงเข้าร่างตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไร้เสียงร้องแห่งความเจ็บปวด ไร้ซึ่งโลหิตที่ควรจะชุ่มตรีศูล พลันร่างของพระเสาร์ตรงหน้ากนธีแตกกระจายกลายเป็นละอองฝุ่นก่อนจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้งอยู่ข้างกายกนธี

“หรือว่า…” ผู้ที่ประมาทมิใช่พระเสาร์ กลับเป็นกนธีเสียเองที่ไม่สังเกตเลยว่าพระเสาร์ที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นไร้เงาติดกาย...ความคิดที่ว่าตนจะชนะกลับแทนที่ด้วยความกลัวจนใบหน้าซีดเผือด

“ใช่นี่คือกายทิพย์ที่ข้านั้นถอดจิตให้ลงมาตามหาลูก แต่ไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับสิ่งที่เจ้า...นั้นกำลังจะได้พบเจอ” พระเสาร์ยิ้มมือข้างหนึ่งบีบจับปลายคางกนธีให้หันมา ส่วนอีกข้างนั้นถอดหน้ากากที่ปกปิดดวงตามรณะเอาไว้

“อ้าก!!!!!” กนธีกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทันทีที่สบตาสีม่วงเข้มก็เหมือนถูกดูดกลืนเข้าไปในความมืดมิด

“พระสมุทรกนธีเอ๋ย…จงทรมานด้วยบาปเวรที่เจ้าเคยก่อไว้ !!!” หัตถาที่จับปลายคางเลื่อนขึ้นไปจับตรงขมับ ดวงตาที่เคยซ่อนภายใต้หน้ากากคอยสะกดจิต อีกทั้งยังบีบกดประสาท ด้วยภาพหลอนบาปเคราะห์ทั้ง ๗ ประการที่กนธีเคยกระทำไว้

ในภวังค์ของกนธี ความมืดมิดนั้นถูกแทนที่ด้วยแสงสีน้ำเงินที่ฉายภาพ ‘ราคะ’ ของกนธีกำลังข่มขืนฝืนกาย ฝืนใจ ทั้งสตรีแรกรุ่น บุรุษหนุ่มร่างบางนับไม่ถ้วน ก่อนภาพจะหลอมรวมนั้นจะกลายเป็นงูยักษ์เลื้อยพุ่งเข้ามาฉกไม่ว่าจะเป็นแขน เป็นขา รวมถึงแก่นกายเทพพระสมุทรอย่างว่องไว...

“โอ๊ย!!!!...หยุดกัดข้า!!!...อ๊าก!!!” กนธีแหกปากร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากคมเขี้ยวอสรพิษ แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้น นภนต์และชลันธรเห็นกนธียืนร้องโวยวายโดยมีพระเสาร์คอยสะกดจิตอยู่

กลับมาที่มโนภาพของกนธี งูยักษ์ที่ฉกกัดเปล่งแสงสีส้มแทนสัญลักษณ์ ‘ตะกละ’ ไม่รู้จักเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ไหนจะกินทิ้งกินขว้างไม่รู้จักคุณค่าของข้าวปลาอาหาร ภาพบาปในอดีตกระจ่างชัดนัยน์ตาของกนธี ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงฝีเท้านับร้อยนับพันดังอักทึกปรากฎหนูโสโครกนับหมื่นนับพันตัววิ่งเข้าปากกนธี พระสมุทรนี้รู้สึกจุกแน่นด้วยพวกหนูสกปรกลงในท้องจนอัดแน่นล้นอก

‘พรวด!!’ ขยะแขยง…มันน่าขยะแยงเสียเหลือเกิน กนธีมิสามารถอดทนได้จึงสำรอกออกมาจนน้ำเมือกสีคล้ำเปรอะเปื้อนร่างกายของตนเอง เพียงสองบาปกนธีก็ทุกข์ทรมานจวนเจียนจะขาดใจ

หนูโสโครกนับหมื่นนับพันแตกตื่นหนีหาย….แลปรากฏกบยักษ์กระโดดเข้ามาใกล้ ผิวของมันต่างจากกบทั่วไป ผิวกายอาบพิษสีเหลืองดั่งกลีบดอกทานตะวัน ถึงจะดูสวยงามหากมันอ้าปากน้ำเดือดก็พุ่งเข้าสาดใส่กายกนธีจนทรมาน…ทรมานกับ ‘โลภะ’ ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าที่อยากได้ทรัพย์สมบัติ บัลลังก์ อำนาจเหนือใครในมหาสมุทร

“ร้อน…ร้อนเหลือเกิน…อ้าก!!!...พอ!!!!..พอได้แล้ว!!!”

“พระเสาร์พอเถิด…พอได้แล้ว…” ชลันธรมิอาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป ถึงกนธีจะชั่วช้าก็จริง วางแผนแย่งชิงบัลลังก์จากตนก็ตามทีแต่ชลันธรอดสงสารไม่ได้ที่เห็นพระปิตุลาทีเคยสง่างามกลับมีสภาพไม่ต่างจากซากศพเน่าเฟะที่มีลมหายใจ

“ท่านนภนต์จงให้อดีตเทพสมุทรเงียบเสีย มิเช่นนั้นข้าจะไม่ละเว้นพวกท่าน” พระเสาร์เอ่ยปรามเทพผู้มีปีก เลยทำให้ชลันธรมิกล้าเอ่ยอันใดออกมาอีกเพราะนอกจากตนจะเดือดร้อนคนเดียวไม่พอจะลากนภนต์คนรักมาเผชิญกับความน่ากลัวของพระเสาร์อีกไม่มีเว้น

ส่วนกนธีนั้นหลังจากที่รับโทษทัณฑ์จากบาปแห่งโลภะแล้ว ก็ถูกต้อนให้ตกบ่อลึก ก้นบ่อมีอสรพิษร้ายมากมายนับรอย รอฉกกายจนเนื้อตัวมีแต่คมเขี้ยวจากผลแห่งบาป ‘เกียจคร้าน’ ผ่านไปสักพัก ‘โทสะ’ ก็ตามมา กนธีถูกวิญญาณร้าย เจ้ากรรมนายเวรที่ตนเคยสร้างความหมางใจฉีกร่างเป็นชิ้นๆ ก่อนจะผสานคืนและถูกฉีกดังเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังไม่พอ ‘ความริษยา’ ที่มีต่อผู้เป็นพระเชษฐานั้น ได้เป็นเข็มแหลมคมร้อยด้ายเข้ามาแทงเย็บเปลือกหนังตาของกนธีเข้าด้วยกันมิให้ลืมเนตรมองเห็นสิ่งใด

“ดวงตา!!!...โอ๊ย!!!!....ตาของข้า!!!” กนธีกุมตาทั้งสองไว้ มันช่างเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก การที่ถูกพระเสาร์สะกดจิตปั่นป่วนประสาทไม่ต่างอะไรกับการเผชิญทั้งที่มีลมหายใจ…แม้จะเบาบางก็ตามที

“อย่าเพิ่งตายพระสมุทรกนธี…ยังมีบาปสุดท้าย ‘อัตตา’ ให้ท่านได้ลิ้มรส ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เพลานี้ไม่มีใครอยากจะเอาเรือเข้าขวางทางกระแสน้ำเชี่ยว ไม่สิเรียกว่าเกลียวคลื่นคะนองน่าจะเหมาะเสียกว่า มิมีใครสามารถจะหยุดพระเสาร์ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชลันธรหรือนักรบผู้เก่งกล้าอย่างนภนต์

‘อัตตา’ หรือ ‘ความเย่อหยิ่ง’ บทลงโทษนี้เป็นบทสุดท้ายที่จะขยี้กนธีให้แหลกลาน ด้วยมีวิญญาณที่เคียดแค้นกนธีที่เคยฉีกร่างได้กลับมารุมจับพากนธีมัดกับกงล้อและร่วมกันผลักดันกงล้อนี้ให้หมุนวนจนร่างบอบช้ำถูกบดไปกับพื้น

“อ้าก!!!!!....” ถึงจะเป็นภาพลวงตาแต่ความเจ็บปวดนั้นเป็นของจริง กนธีทรุดลงนั่งกับพื้นดินดิ้นทุรนทุราย หากกระนั้นพระเสาร์ไร้ความเมตตา ไม่ยอมปล่อยมือจากศีรษะของกนธีผู้ที่ทำร้ายและเหยียดหยามนาคินทร์ผู้เป็นบุตร การกระทำที่มีความแค้นคอยหนุนนำด้วยใจหมายมั่นจะฆ่าเทพทรลักษณ์นี้ให้สิ้นชีวาคามือตน




ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #318 เมื่อ22-10-2017 21:28:38 »

(ต่อ)



“พระเสาร์!!! หยุดเถิด…เราว่านำตัวท่านอาไปให้พระผู้สร้างตัดสินเสียดีกว่า” ถึงจะโดนขู่แต่ชลันธรก็เสี่ยงร้องห้าม ไม่อยากให้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระปิตุลาต้องมาตายอย่างทรมานเช่นนี้

“พระเสาร์!!! ท่านทำเช่นนี้ไม่เป็นการดีสำหรับท่านเป็นแน่!!!” นภนต์เองคอยห้ามพลางจ้องมองกนธีที่ใบหน้าบูดเบี้ยวทุกข์ทรมานเต็มที ทว่าเสียงของทั้งสองคล้ายจะเป็นเพียงลมพัดผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ณ เชิงเขาไกรลาส สระสัตบงกชแสนงดงามอันเป็นที่ตั้งของวิมานหยกแก้ว อันมีเทพรูปงามนามพระพุธเป็นผู้รั้งวิมาน เพลานี้กายงามกำลังนั่งวิปัสนาอยู่เพียงลำพัง ทว่าระหว่างที่ทำสมาธิอยู่นั้นกลับมีเสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาในห้วงความคิด

…‘พระพุธเอ๋ย…มีเพียงท่านที่ช่วยได้’…

“ท่านเป็นใครแล้วจักให้ข้าช่วยอันใดกัน” เปลือกตาค่อยๆเปิดออก พระพุธมองหาเจ้าของเสียงกลับไม่พบผู้ใด พลันฝุ่นละอองสีขาวบริสุทธิ์พัดวนก่อขึ้นรูปเป็นหน้าของพญาสีหราชกายเผือก

“ข้าพระราหูอย่างไรเล่า...”  พญาสีหราชกายเผือกเอ่ยนาม ทำเอาพระพุธที่ได้ยินนั้นประหลาดใจไม่น้อย ด้วยเทพยักษ์กายครึ่งนาคตนนี้ที่เป็นเหมือนดั่งแฝดคนละฝามาพบตนถึงวิมาน ถึงจะมาด้วยกระแสจิตส่งผ่านสัตว์พาหนะก็ตามที

“พระราหู ท่านมีธุระอะไรกับข้า...”  พระพุธรีบเอ่ยถาม ด้วยการที่พระราหูมาพบเช่นนี้ย่อมมีเรื่องไม่ธรรมดา...คงจักเป็นธุระการใหญ่อยู่มิใช่น้อย...

 “ด้วยบัดนี้ ณ ป่ากันติทัตใกล้วิมานเทพกาลเวลา พระเสาร์กำลังจะสังหารพระสมุทรกนธีที่ทำร้ายนาคินทร์ผู้เป็นบุตร หากพระเสาร์ปลิดชีพพระสมุทรกนธีสำเร็จแล้วไซร้ คงมิพ้นต้องทัณฑ์เทวาสถานหนักเป็นแน่ ซ้ำยังส่งผลให้มหาสมุทรบนโลกมนุษย์ปั่นป่วน ดังนั้นข้าจึงขอให้ท่านไปห้ามศึกนี้ เพราะท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่จักทำให้พระเสาร์หยุดการกระทำได้”…พระราหูส่งกระแสจิตบอกเรื่องร้อนใจผ่านพญาสีหราชกายเผือกกับพระพุธ

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงข้าจักรีบห้ามพระเสาร์เอง…ขอบน้ำใจท่านมากที่มาบอกข้า”

…‘มิเป็นไร’...

สิ้นเสียงพระราหู พระพุธจึงลุกออกจากแท่นศิลาเดินตรงไปยังกระจกเงาบานใหญ่ ริมฝีปากอิ่มพึมพำท่องมนตราเปลี่ยนภาพกระจกเงาที่สะท้อนกายตน กลายเป็นภาพของพระเสาร์ที่กำลังใช้บาป ๗ ประการทรมานพระสมุทรกนธีและยังมีเทพนักรบผู้มีปีกรวมถึงอดีตพระสมุทรอยู่ในเหตุการ์ด้วย

“ไม่ได้การแล้ว…” พระพุธเอ่ย ดัชนีเรียวจรดลงบานกระจกเงาก่อนกายบางจะถูกดูดกลืนเข้าไป พระพุธใช้กระจกวิเศษผ่ามิติเดินทางไปหาพระเสาร์ผู้ที่ตนเคารพไม่ต่างจากพระเชษฐาร่วมอุทร เพื่อยุติสถานการณ์เลวร้ายนี้ไว้ พระพุธย่างก้าวข้ามมิติมายังกันติทัตไพรวัลย์และยืนอยู่ตรงหน้านภนต์และชลันธรพอดิบ พอดี

“เกิดอันใดขึ้น ไยพระสมุทรถึงถูกพี่เสาร์ทำร้ายถึงเพียงนี้”

“พระสมุทรกนธีผู้นี้ช่างชั่วช้ายิ่งนัก ได้ทำร้ายนาคินทร์ด้วยตรีศูล เมื่อพระเสาร์รู้เข้าจึงได้จัดการพระสมุทรกนธีอย่างที่ท่านได้เห็น” นภนต์เล่าต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้น พระพุธได้สดับฟังนึกใจหาย ทั้งห่วงหลานที่บาดเจ็บ แลเวทนาพระสมุทรกนธีที่หาเรื่องตาย

“ข้าพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วว่าแต่พวกท่านเถิด เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ ไยไม่รีบไปเสียที่อื่น”

“จะให้เราสองไปได้เช่นไรเล่า ทั้งเราและท่านพี่นภนต์ต่างถูกลูกหลงโดนเวทย์ของพระเสาร์ตรึงขามิให้ขยับ ไหนจะดวงใจพระสมุทรของเราที่ตกอยู่ในมือพระเสาร์” ชลันธรตอบ พระพุธพยักหน้ารับเมื่อรู้ความจริง

“ถ้าเช่นนั้นอย่าได้กังวลเลย ข้าจะช่วยพวกท่านเอง” พระพุธเอ่ย กายบางแปลงรัศมีแสงสีเขียวอ่อนเดินหน้าหาผู้ที่ตนนับถือเป็นพี่ พอเข้าใกล้ก็พบว่าพระเสาร์ใช้กายทิพย์ หากจะเข้าห้ามให้ได้ผลดีเที่ยงแท้จักต้องเผชิญหน้ากับร่างที่แท้จริง

“ท่านนภนต์ อดีตพระสมุทรชลันธร รอข้าสักครู่”

“ท่านจักไปไหน”

“วิมานของพี่เสาร์”

เมื่อให้คำตอบแล้ว เทวาผู้ทรงคชสารได้กลับเข้าทะลุมิติผ่านกระจกบานใหญ่ของตนไปในวิมานของพระเสาร์ ชั่วพริบตาพระพุธก็มาถึง ภายในวิมาณปกคลุมด้วยหมอกรัตติกาล พระพุธต้องเพ่งเนตรพินิจจึงได้เห็นพระเสาร์กำลังนั่งขัดสมาธิ บนแท่นศิลาแก้ว รอบกายมีรัศมีแห่งความโกรธกริ้วอันเป็นที่มาของหมอกควันฟุ้งกระจาย

‘ไม่ได้การแล้ว หากกมอกควันนี้มีมากจักต้องเป็นอันตรายต่อสรรพสิ่งทั้งปวง’

“พี่เสาร์” พระพุธมอรอช้าเร่งวิ่งเข้าหาพระเสาร์ สองกรรวบกอดกายหนาจากด้านหลัง พระพุธร่ายมนต์ก่อเกิดร่างทิพย์ที่โอบกอดโปร่งแสงขึ้นมาประจักษ์ต่อหน้านภนต์และชลันธร ณ ป่ากันติทัต พระเสาร์ต้องชะงักงั้นด้วยเดินพลังติดขัด เมื่อเหลียวหลังสบมองก็พบว่าเทพกายรัศมีแสงสีเขียวโอบกอดกายตนอยู่...

“เจ้าพุธ นี่เจ้ากำลังทำอะไร...เจ้ามิเห็นหรือว่าข้ากำลังทำอันใดอยู่ ไยถึงได้มากอดรัดข้า ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้” พระเสาร์พอใกล้พระพุธแม้พลังจะอ่อนลงแต่ยังรุนแรงพอที่ทำให้กนธีเจ็บปวด

“พุธต้องทำเพราะพุธรู้ว่าพี่จักสังหารพระสมุทรกนธี พุธมาที่นี่เพื่อห้ามท่านพี่มิให้วู่วามลงมือก่อนที่พระผู้สร้างจะทรงไตร่สวน” พระพุธเอ่ยด้วยวอนขอเทพผู้พี่ให้หยุดการทรมานพระสมุทรเสียและกระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้น

“เจ้าเด็กโง่ เจ้ามิรู้หรือพระพริษฐ์นั้นมิกล้าลงทัณฑ์เทวากับข้าแน่ ถึงจะทำข้ายอมโดนลงอาญา ยอมรับในทัณฑ์เทวา ในเมื่อพระสมุทรผู้นี้ทำร้ายลูกของข้า เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าลูกเพียงผู้เดียวของข้าถูกพระสมุทรผู้นี้ทำร้าย !!!”  อารมณ์เกรี้วกราดพุ่งทะยานถึงขีดสุด ยังเกิดอสุนีบาตมากมายผ่าลงทั่วผื่นป่ากันติทัติ ผืนปฐพีสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว หนึ่งแสงอสุนีบาตผ่าลงใกล้กับนภนต์และชัลนธร แม้มีปีกภัสดาป้องไว้ชลันธรก็อดหวาดผวามิได้ แม้เป็นเพียงกายทิพย์พลังของพระเสาร์ยังมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้

“พุธรู้แล้ว…แต่พี่เสาร์คิดให้ดีเถิดนะ การที่ท่านพี่ทำเช่นนี้มันไม่ดีต่อตัวท่านพี่หรือใครทั้งนั้น  พุธจะไม่ยอมให้พี่เสาร์ต้องทัณฑ์เทวาเด็ดขาด...”

“ปล่อยข้าได้แล้วเจ้าเด็กโง่...นี่มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า...”

“ไม่...หากพี่มิหยุดการนี้...พุธก็จะขอร่วมการนี้ด้วย...เด็กโง่เขลาเช่นพุธจะยอมรับทัณฑ์เทวากับพี่เสาร์ด้วย...”

“ไม่!!! ข้าไม่ยอมเป็นอันขาด...เจ้าจะรับทัณฑ์ร่วมกับข้าได้อย่างไร...” พระเสาร์ยังคงดื้อแพ่งไม่ยอมปล่อยกนธีดังคำที่พระพุธว่า

“หากพี่เสาร์ไม่ยอมให้พุธร่วมในทัณฑ์เทวา พุธเองจำต้องใจร้ายกับพี่ พี่เสาร์อย่าลืมสิว่าถ้าพุธได้ลงมือพี่เสาร์อาจจะนิทรานับแต่นี้ไปถึงสามราตรี ครานี้อย่าว่าแต่จัดการพระสมุทรกนธีเลย แม้แต่แรงจะลืมตาก็หาไม่” น้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่บ่อยนักที่พระเสาร์จะได้ยินพระพุธเอื้อนเอ่ย

“ก็ได้…ข้าจะยอมปล่อย” พระเสาร์มิได้เต็มใจนัก หน้ากากถูกนำกลับมาใส่อีกครั้งเพื่อปกปิดดวงตาพิฆาตไว้ กนธีเองล้มลงไปนั่งนอนหอบกับพื้นอย่างอ่อนแรง จากที่ได้เห็นสภาพของกนธี ก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงหายใจได้อีกไม่นาน

“พี่เสาร์คลายมนต์ให้เทพนภนต์กับอดีตพระสมุทรชลันธรแล้วกลับวิมานก่อนเถิด ทางนี้ปล่อยพระสมุทรกนธีให้พุธ เป็นฝ่ายจัดการเถิด” พระพุธเกลี้ยกล่อม พระเสาร์ได้ฟังก็ทำตามอย่างว่าง่าย กายทิพย์พระเสาร์สลายกลายเป็นฝุ่นละออง เมื่อพระเสาร์จากไปพระพุธในร่างทิพย์ก็รีบเดินไปหานภนต์กับชลันธร

“โปรดจงรับกลับไปเสีย...นี่ของๆ ท่าน” จังหวะที่สวมกอดพระเสาร์พระพุธได้ลักเอาดวงใจพระสมุทรออกมาจากมือ เนื่องจากพระเสาร์โมโหจัดจนไม่สนใจว่าดวงใจพระสมุทรหลุดมือไปอยู่กับพระพุธ ชลันธรรับดวงใจพระสมุทรกลับคืนมาไว้กับตนเอง

“ขอบน้ำใจท่านมากพระพุธ” ชลันธรเอ่ย

“มิเป็นไรดอก ข้าว่าพวกท่านรีบไปเสีย โดยใช้กระจกมิติมายาของข้า ส่วนทางนี้ข้าจะจัดการเอง” พระพุธเอ่ย

“ข้าจะอยู่ช่วยท่านจับพระสมุทรกนธีก่อน” นภนต์บอกกับพระพุธ ด้วยเทวาตรงหน้ามิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวตั้งแต่แรก ซ้ำรูปร่างมิได้กำยำเช่นนี้ นภนต์กลัวพระพุธจักเพลี่ยงพล้ำเสียท่าได้ แม้กนธีจะอ่อนแรงก็ตามทีแต่ก็มิอาจวางใจด้วยเล่ห์เหลี่ยมนั้นแพรวพราวยิ่งนัก

“เจ้าอย่ากังวลข้านั้นถึงจะไม่ได้กรีฑาทัพบ่อยเยี่ยงท่าน หากครั้งใดที่ข้าทำศึกครั้งใด…ข้ามิเคยแพ้พ่ายผู้ใด...หากเจ้าได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์สงครามสวรรค์มาก็ข้านี่ไงเล่าที่มีชัยเหนือพญามารล้านภาคที่ยอดเขาเศียรเศวต และเมื่อครู่ก็ประจักษ์แก่สายตาแล้วมิใช่หรือว่าพี่เสาร์ที่ว่าพวกท่านกลัวนักกลัวหนาข้าก็ยัง...สยบได้... อีกอย่างข้าเองมิรู้ว่าพระเสาร์นั้นจะย้อนกลับลงมาอีกเมื่อไร ถึงเวลานั้นแม้ข้าจะใช้อำนาจสะกดพลังพระเสาร์ได้ หากเกิดการสะท้อนจากแรงปะทะ ทุกสรรพสิ่งในผืนป่ากันติทัติแลอดีตพระสมุทรในร่างมนุษย์น้อยจะกลายเป็นผุยผง” พระพุธเอ่ยออกมา ใบหน้างามหันมองกนธีที่สิ้นฤทธา

“นอกจากพระพุธ ข้านั้นจักร่วมจับกุมพระสมุทรผู้นี้ให้ถูกกักขังในคุกแห่งกาลเวลา…คุกนาฬิกาทรายของข้า” เทพผู้ถือนาฬิกาทรายยักษ์ที่น้อยนักจะมีผู้ใดได้เห็นมัน นาฬิกาทรายยักษ์คือคุกแห่งกาลเวลาที่แสนน่ากลัว บัดนี้เทพกาลเวลาได้ฟื้นฟูพละกำลังจนคืนสู่ร่างชายวัยกลางคนเอื้อนเอ่ย แท้ที่จริงเทพกาลเวลานั้นจักตามมาตั้งแต่แรก หากร่างกายกลับทรยศเจ็บปวดเพราะคืนสภาพ จึงต้องใช้เวลาสักระยะในการปรับตัว ก็เร่งรีบตามมาสมทบจนได้ยินบทสนทนาและภาพตรงหน้าจึงพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้

“ข้าขอขอบน้ำใจท่านทั้งสองมาก ถ้าเช่นนั้นข้ากับอดีตพระสมุทรขอฝากการนี้กับพวกท่านให้ช่วยสานต่อด้วย...” นภนต์เอ่ยแล้วพาชลันธรออกผ่ามิติผ่านกระจกเงาของพระพุธเพื่อออกจากป่าแห่งนี้

“เทพกาลเวลา…ข้ามีเรื่องให้ท่านช่วย” พระพุธเอ่ยวอนขอเรื่องหนึ่ง

“ว่ามาเถิด ถ้าจักให้จับพระสมุทรกนธีข้านี้พร้อมแล้ว” เทพกาลเวลาผู้พร้อมด้วยกำลัง ยามนี้พร้อมแล้วที่จะคุมขังพระสมุทรกนธีเพื่อนำไปให้พระผู้สร้างลงทัณฑ์เทวา

“อย่าเพิ่ง…ได้โปรดรอข้าก่อน ให้ข้านั้นคืนสู่ร่างเดิมเสียก่อน” จบประโยคร่างโปร่งแสงสียอดตองอ่อนก็เลือนสลายเป็นละอองระยิบระยับ

“มาแล้วหรือ เจ้าพุธตัวดี เห็นทีเข้ากับข้าจักต้องเจรจาการนี้กันให้รู้เรื่อง” พระเสาร์ที่คืนสู่ร่างได้ผลักไสกายบางของพระพุธให้ออกห่าง

“ตามที่พุธได้บอกไป พุธมิอยากให้พี่เสาร์ต้องทัณฑ์เทวาอาญาสวรรค์ ถึงพระสมุทรจะทำชั่วช้ากับลูกของพี่เสาร์ กับหลานของพุธ แต่การที่ลงไปสังหารเฉกเช่นพี่เสาร์ทำมันมิควร”

“แล้วเจ้าจักให้ข้าทำอย่างไรเล่า ให้ข้านิ่งเฉยไม่ทุกข์ร้อนหรือ”

“พุธหาได้ให้พี่เสาร์นิ่งเฉย หากแทนที่พี่เสาร์จะจัดการพระสมุทรกนธี สู้พี่เสาร์ไปตามหานาคินทร์และหาวิธีช่วยเหลือไม่ดีกว่าหรือ ส่วนพระสมุทรกนธี...พุธและเทพณิชนิรันดร์จักจัดการเอง” พระเสาร์ได้ฟังพระพุธเกลี้ยกล่อมก็ฉุกคิด ใจเริ่มโอนเอนตามด้วยพลังของพระศนิพ่ายแพ้พระจันทรัช จึงมิอาจขัดคำร่างโปร่งนี้ได้

“ได้…ข้าจะฟังเจ้าอีกสักครั้ง ข้าจักไปตามหาลูกของข้า” พระเสาร์เอ่ย มือยกพนมขึ้นกลางอุราท่องคาถาหายตัวไป

เมื่อพระเสาร์ใจเย็นลงและเลิกราที่จะสังหารกนธี พระพุธจึงข้ามมิติกลับคืนสู่ป่ากันติทัติอีกครา กายบางผู้อาจะหาญยืนเคียงข้างเทพกาลเวลาที่ยืนมองกนธีที่นอนหายใจโรยริน ดูน่าสมเพสเกินกว่าจะบอกใครว่าเป็นผู้ครองบัลลังก์มุกสีคราม พระพุธเองยืนมองกนธีนัยน์ตาไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา…‘เพื่อจัดการผู้ที่ทำร้ายหลานของข้า ถึงจะไม่ใช่หลานแท้ๆ ทางสายโลหิต แต่ข้าจักจับกนธีผู้นี้ไปรับโทษให้ได้’…

“เทพกาลเวลา ข้าว่าเราสองอย่าเสียเวลาเลยรีบจับกุมพระสมุทรผู้นี้เสียก่อนกำลังจะกลับคืน” พระพุธเอ่ยพลางเดินวนรอบกายกนธี

“ถ้าเช่นนั้นท่านจงถอยห่างออกมา” เทพณิชนิรันดร์บอกกับพระพุธ ก่อนจะเสกคาถาเปิดฝาไม้สลักนาฬิกาทรายสีปีกกา

“อึก…คิดจะจับข้าหรือมันไม่ง่ายอย่างที่พวกท่านคิดดอก” ถึงจะอ่อนแรงแทบสิ้นชีพ กนธียังเอื้อมจับด้ามตรีศูลที่อยู่ไม่ไกล ดัชนีเรียวลูบไปยังไพลินสีน้ำทะเลที่ฝังอยู่บนด้าม พลันเกิดดอกไม้ทะเลมากมายมาหุ้มกายกนธี

“ทั้งที่ใกล้ตายยังมีซ้อนกล” เทพกาลเวลาเอ่ย…‘ถึงจะหลบอยู่ในนั้นแต่ก็มิอาจสู้รบได้อยู่ดี’...

“ทรายแห่งกาลเวลา จงดูดกลืนเทวาพระสมุทรชั่วผู้นี้เถิด” ไม้สลักด้านบนของนาฬิกาทรายถูกเปิดออก ทรายสีดำขลับลอยออกมาจะห่อหุ้มกายกนธีเอาไว้แต่ถูกดอกไม้ทะเลป้องกันมิให้เม็ดทรายได้แตะต้องโดนกายกนธี

“ข้าบอกแล้วว่าพวกท่านจับข้ามิได้” กนธีเยาะเย้ย ตนเป็นถึงพระสมุทรผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีหรือจะยอมให้ถูกจับกุมโดยง่าย

“เทพกาลเวลา…ข้าขอจัดการเอง” สุรเสียงไพเราะเอื้อนเอ่ย

“อะไรกัน…ลูกชู้อย่างเจ้าจะมาจับข้าหรือพระพุธ เจ้าลูกชู้ที่ถูกทิ้งในท้องช้าง พอเกิดมาก็เอาแต่นั่งสมาธิจะมีฤทธิ์อันใดมาจับข้า” กนธีเย้ยหยันชาติกำเนิดของพระพุธ

“ข้าขอชื่นชมท่านเป็นอย่างสูง…ท่านกนธี นอกจากท่านเก่งในการรบ การวางแผน เก่งในเรื่องชั่ว ท่านยังเก่งในการเอาตัวเองเข้าใกล้หุบเหวแห่งความตาย” พระพุธเอ่ยและเดินเข้าไปใกล้ดอกไม้ทะเลของกนธี

“ท่านคงจะลืมไปเสียว่าข้านั้นเป็นผู้เดียวที่หยุดพระเสาร์ผู้ที่ต้องการส่งตัวท่านสู่แดนอเวจี ข้าเป็นผู้เดียวที่พระอาทิตย์อ่อนแรง แทบสิ้นกำลังยามเข้าใกล้ ท่านคงไม่รู้ว่าข้านั้นไร้พ่ายในการศึกด้วยพรเทวาประทานจากอดีตพระผู้สร้าง และท่านคงไม่รู้ว่าข้านั้น…ร้ายกาจกว่าที่ท่านคิดไว้มาก...” ยามเย็นพระพุธนี้ก็เย็นเป็นหนักหนา ยามร้อนก็มิต่างจากลาวาที่ปะทุจากภูเขาไฟ ปลายนิ้วงามสัมผัสถูกกลีบดอกไม้ทะเล  ก็บังเกิดอัคคีสีขาวบริสุทธิ์ค่อยๆ เผาผลาญเหล่าดอกไม้ทะเลจนลุกลามมอดไหม้เผยร่างกายของกนธี ทว่าอัคคีนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

“หนาว…หนาวเหลือเกิน” กนธีนอนคุดคู้กอดกายด้วยความหนาวสั่น แสงสุรีสีขาวนี้มิใช่ไฟธรรมดาหากเป็นเพลิงหิมะ…ที่จะเผาผลาญและมอบความเหน็บหนาวกัดกินลึกสุดขั้วหัวใจ เป็นคาถาที่มีเพียงพระพุธเท่านั้นที่สามารถทำได้…เป็นคาถาประจำกายของผู้มีสมญานามว่าเตาไฟแช่แข็ง

“อย่าได้คิดจะมาดูถูกชาติกำเนิดของข้าอีก...” พระพุธเอ่ย ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้เทพณิชนิรันดร์จับตัวกนธีไปคุมขัง

“ทรายแห่งกาลเวลา…ถึงคราแล้วที่เจ้าจะนำพระสมุทรกนธีผู้นี้สู่ดินแดนของเจ้า”

เม็ดทรายนับล้านก่อตัวคล้ายกับคลื่นยักษ์กลบกายกนธีจนมิด จากนั้นจึงดูดกลืนร่างของกนธีเข้าไปในนาฬิกาทราย

“ไม่!!!...อ้าก !!!  ...พวกเจ้าจงจำไว้ให้ดีกาลภายหน้าสืบไป ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้ากนธีจักขอสาปแช่งพวกเจ้าทุกคืนวันให้พวกเจ้าพบเจอหายนะ ชีวิตมีแต่ความวิบัติ!! ประสบแต่ความฉิบหาย!! ธุระสิ่งใดก็พังพินาศล้มเหลวย่อยยับ ไร้ความสุขเช่นเดียวกับสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำกับข้า....!!!... ” นี่อาจจะเป็นเสียงสุดท้ายที่ลั่นออกมาจากปากของกนธี จากนี้ไปพระสมุทรกนธีจะเป็นแค่อดีต จะเหลือเพียงกนธีที่เป็นนักโทษในคุกกาลเวลาที่ไร้แสงสว่าง ทว่า…

…‘ความมืดมิดในคุกกาลเวลา’…

…‘สีของเม็ดทราย’…

…‘เทียบไม่ได้เลยกับความดำมืด ความชั่วร้ายในจิตใจของกนธี’…


















​..............................
สวัสดีค่ะ...เรียกได้ว่าฉากต่อสู้ยืดเยื้อมาถึงสามตอนติด หวังว่าจะไม่เบื่อกันนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2017 22:02:35 โดย TanYung0209 »

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #319 เมื่อ22-10-2017 22:08:06 »

จะอัพอีกครั้งหลังวันที่ 29 ตุลาคม 2560 นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
« ตอบ #319 เมื่อ: 22-10-2017 22:08:06 »





ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #320 เมื่อ22-10-2017 23:01:16 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #321 เมื่อ22-10-2017 23:36:06 »

เข้มข้นมาก รอตอนต่อไปค่ะ o13

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #322 เมื่อ23-10-2017 00:21:27 »

ลุ้นมาก :mew2:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #323 เมื่อ23-10-2017 09:55:41 »



คนชั่วไม่ยอมรับผิด

รอขอรับ


ออฟไลน์ ashbyipcet

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #324 เมื่อ23-10-2017 12:10:36 »

คุกการเวลานี่น่าจะสูบพลังกายไปด้วยน่ะ
ไหนๆจะลงโทษแล้วเอาแบบสุดๆไปเลย  :hao3:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #325 เมื่อ23-10-2017 21:44:17 »

เมื่อไหร่ป๋าจะสิ้นฤทธิ์สักที  :mew5:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #326 เมื่อ23-10-2017 23:59:02 »

กว่าจะจับกนธีได้นะ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.32 P.11 (22/10/2560)
«ตอบ #327 เมื่อ24-10-2017 01:52:16 »

ลูกเล่นอิท่านกนธีเยอะจริงๆ

ออฟไลน์ TanYung0209

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
«ตอบ #328 เมื่อ30-10-2017 06:03:36 »

สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 33





หยดแล้ว…หยดเล่า โลหิตที่ไม่มีทีท่าจะหยุดไหลได้หลั่งรินลงสู่ใบไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมผืนดินผิดกับลมหายใจเพียงแผ่วเบาที่รดอุราคล้ายจะขาดห้วงเสียให้ได้ทำให้ร่างสูงที่กำลังโอบอุ้มร่างอรชรเร่งเดินทาง แม้ทุกย่างก้าวจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสู้รบ ทว่ารพีพงศ์กลั้นความเจ็บดึงความอดทนของตนเพื่อที่จะเร่งพานาคินทร์ไปยังวิมานเทพกาลเวลา

“นาคินทร์…เจ้าห้ามหลับเป็นอันขาด เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าสั่งใช่หรือไม่” รพีพงศ์ถามหากเป็นการบังคับกลายๆ บังคับไม่ให้นาคินทร์เงียบ บังคับเพื่อที่รพีพงศ์จักได้รู้ว่านาคินทร์ไม่ไปไหน

“อึก..ขะ…ข้าได้ยินแล้ว” นาคินทร์ตอบเสียงสั่นพร่า อาการเจ็บทวีคูณขึ้นเรื่อยๆแต่นาคินทร์เลือกที่จะไม่ร้องออกมาเพราะไม่อยากให้รพีพงศ์กังวล โดยไม่รู้ว่ามือเรียวที่คอยยึดจับบ่ากว้างไว้กลับจิกเล็บฝังไปในเนื้อ นาคินทร์ระบายความเจ็บปวดของตนไม่รู้ตัว ด้านรพีพงศ์เองไม่คิดที่จะทักท้วงออกไป หากมันจักทำให้นาคน้อยรู้สึกดี…รพีพงศ์นั้นยินยอม

“พอถึงที่วิมานเทพกาลเวลา ข้าจะขอให้ท่านณิชนิรันดร์ช่วยเหลือเราสองออกจากป่านี้ เวลานี้เจ้าต้องอดทน อดทนเพื่อข้า”

“ข้าจักพยายาม…แค่ก..แค่ก” นาคินทร์กระอักเลือดออกมา ใบหน้าที่เคยมีเลือดฝาด ริมฝีปากที่เคยเอิบอิ่มกลับซีดขาวยิ่งตอนนี้กลับมีเลือดเปรอะเปื้อนจนรพีพงศ์ใจหาย…‘ข้าต้องเร่งฝีเท้าให้ไวที่สุด นาคินทร์เจ้าจักต้องไม่เป็นอะไร’...

ความหนาวคล้ายกับเหมันต์มาเยือน เข้าแผ่ซ่านปกคลุมห้อมล้อมทั้งสองไว้ ไม่ใช่อากาศที่แปรเปลี่ยนไป หากมีหมอกหนาขาวโพลนบดบังทัศนียภาพจนมองไม่เห็นทาง

‘แกร็ก’ กิ่งไม้ที่ตกหล่นตามพื้นถูกเหยียบแตกหักแต่ไม่ใช่รพีพงศ์เป็นผู้เหยียบ สุริยบุตรกระชับอ้อมแขนกอดกายนิ่มแนบชิด ดวงตาคมมองไปรอบๆ หาสิ่งผิดปกติ ลางสังหรณ์นั้นได้บอกว่ามีบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา...เข้ามาใกล้...เข้ามาใกล้ทุกที...ทุกที

เงาตะคุ่มดำทมิฬของสัตว์สี่เท้าขนาดใหญ่เดินตรงมาหา จากที่เห็นเลือนลางด้วยม่านหมอกบังตาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวที่เข้ามามักจะได้ยินเสียงหายใจฮึดฮัดสลับกับเสียงคำรามในลำคอ แม้จะไม่เต็มเสียงแต่รู้ดีว่าเจ้าของเสียงนี้มีพลังอำนาจอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งรพีพงศ์และนาคินทร์ได้เห็นจนเต็มตา…พญาสีหราชปีกทมิฬ

นาคินทร์ซุกหน้าไปที่อกแกร่ง เพียงแค่ได้ยินเสียงคำรามในลำคอความกลัวก็เข้ามากัดกินความรู้สึกอื่นจนสิ้น…‘เวรกรรมอันใดกันหนอ ถึงได้เจอะเจอแต่ความยากลำบาก’…

“พญาสีหราชกายนิลเอ๋ย ข้าไม่อยากจะต่อสู้เจ้าได้โปรดอย่าทำร้ายและเปิดทางให้ข้านั้นพานาคน้อยผู้นี้ไปรักษาเถิด” รพีพงศ์ร้องขอ จักให้ต่อสู้ห้ำหั่นเวลานี้คงมิเป็นการดี ด้วยรพีพงศ์แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้ เรี่ยวแรงที่เหลืออยากจะเร่งพานาคินทร์ไปวิมานเทพกาลเวลามากกว่า นอกจากจะเสียแรง เสียเวลา ทั้งสองอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้กลางป่าแห่งนี้ก็เป็นได้

คำร้องขอดูเหมือนจะถูกส่งไปไม่ถึง พญาสีหราชปีกทมิฬยังคงก้าวเดินเข้าหาประชิดกายทั้งสอง รพีพงศ์ทำใจเย็นเป็นที่สุดถือเสียว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด เทพหนุ่มจองมองดวงตาพญาสีหราชปีกทมิฬมิละเว้น หากจำต้องสู้ก็ต้องสู้ แต่ผิดคาดเมื่อยิ่งพินิจดวงตาของสัตว์ร้ายกายสีรัตติกาลนี้กลับไม่ดุร้าย แต่จ้องมองดวงตาของรพีพงศ์จนเห็นเงาสะท้อนในดวงตาคู่นี้แต่ไม่ใช่เงาของรพีพงศ์กลับเป็นเงาของเทวากึ่งอสุรา

“นี่ข้าพระราหู...โปรดจงอย่าได้กลัว...” พญาสีหราชปีกทมิฬเอ่ยนามแจ้งรพีพงศ์

“พระราหูหรอกหรือ...ทำไมท่านถึง...” รพีพงศ์เอ่ยนาม นาคินทร์ที่หวาดกลัวอยู่พยายามเบี่ยงหน้ามองเมื่อรู้ว่าผู้ใดมา

“นี่คือพญาสีหราชปีกทมิฬอันเป็นสัตว์พาหนะของข้า เจ้าจงรีบพานาคินทร์ขึ้นนั่งบนหลังของมันแล้วออกจากป่ากันติทัตแห่งนี้เสีย มิเช่นนั้นข้าจะไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของพวกเจ้าได้...”

“หะ…เหตุใดเล่าถึงต้องเร่งออกจากป่า เราต้องการไปพบเทพกาลเวลาเพื่อช่วยเหลือนาคินทร์ แล้วทำไมท่านถึงได้ช่วยเราทั้งสองไว้ตั้งสองครั้งสองครา...” รพีพงศ์นึกสงสัยจึงสอบถาม

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะตั้งคำถาม รีบเดินทางจากป่านี้เสียเถิด…เดินทางไปยังที่พวกเจ้านั้นต้องการ” พระราหูเอ่ย ก่อนที่เงาสะท้อนจะเลือนหายไป ไม่ทันที่รพีพงศ์จะได้กล่าวขอบคุณ

พญาสีหราชยอบหมอบอย่างรู้หน้าที่ รพีพงศ์อุ้มนาคินทร์ขึ้นไปนั่งลงบนหลังกว้างส่วนตนรีบขึ้นไปนั่งซ้อนกายทีหลังให้เชลยรักนั้นได้เอนกายพิงและตนจะโอบกอดให้ความอบอุ่น

“จริงสิ…เหนือป่าแห่งนี้มีลมพายุแรงที่แม้แต่พญาครุฑที่ฤทธิ์มากยังเต็มบินมิสามารถบินผ่าน เช่นนี้แล้วเราจะเหาะเหินออกไปได้เช่นไร...” เทพหนุ่มกังวลเมื่อนึกถึงข้อจำกัดนี้

“โฮก!!!!!!!!” พญาสีหราชปีกทมิฬร้องคำรามขึ้นฟ้า เสียงสะท้อนก้องดังช่วยแหวกกระแสพายุให้เปิดทาง สัตว์พาหนะของพระราหูรีบสยายปีกกว้างเหินทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้าออกจากป่ากันติทัติ

“หนาว...ท่านรพีพงศ์ ข้าหนาวเหลือเกิน…” ด้วยอากาศที่เย็นแทรกซึมสู่ผิวกายนาคินทร์ นาคน้อยจึงอดเอ่ยออกมามิได้...

“กอดข้าสินาคินทร์...ข้าอยู่นี่แล้ว…ข้ากอดเจ้าอยู่มินานเจ้าจะหายหนาว” รพีพงศ์ปลอบโยนทั้งที่จริงร่างสูงกอดร่างบางไว้นานพอสมควร นึกหวั่นใจด้วยร่างกายตนนั้นแผ่ด้วยไอร้อนแต่กลับไม่สามารถทำให้นาคินทร์คลายหนาวได้

“พญาราชสีห์เอ๋ย…ช่วยพาเราทั้งสองไปยังวิมานเทพโอสถด้วยเถิด” รพีพงศ์บอกกับพญาสีหราชปีกทมิฬ

“ไม่…ข้าไม่ไป ท่านก็รู้ดีไม่ใช่หรือ ว่า… ไม่ว่าโอสถวิเศษขนานไหนก็หายื้อชีวิตข้าได้...” นาคินทร์เอ่ย ตาสวยจ้องมองคนที่ตนรักไปด้วยจึงได้เห็นใบหน้าที่เคร่งเครียด นัยน์ตาโศกผ่านม่านน้ำตาที่คลอเบ้า หยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นด้วยรู้ชะตาตนต่อจากนี้

“เจ้าไม่ต้องพูดอันใดแล้ว ข้าจะพาเจ้าไป…ข้าจะลองดู เจ้าจะต้องรอด...ต่อให้เทพโอสถใช้เลือดในกายข้าเป็นยาให้เจ้าดื่ม ข้ายินดีที่จะกรีดแขนรินเลือดให้เจ้า”

“มันมิมีทางหรอก...ท่านก็รู้...ถือเสียว่าข้าขอร้องท่านเถิด ให้ข้าได้ไปในที่ที่ข้าอยากไป ท่านพาข้าไปเถิดนะ…ได้โปรด” นาคินทร์อ้อนวอน

เพียงสถานที่เดียวที่นาคินทร์นั้นอยากไป...รพีพงศ์คิดแล้วว่าวันหนึ่งหมายที่จะพานาคน้อยนั้นไปเช่นกัน...เมื่อเป็นความต้องการของนาคินทร์แล้ว แม้รพีพงศ์นั้นอยากจะพากายงามไปพบเทพโอสถใจจะขาด...แต่เมื่อสถานที่แห่งนั้นอาจจะสถานที่เดียวที่ทำให้นาคินทร์มีความสุขได้ในตอนนี้ เทพหนุ่มตันสินใจโดยพลัน มิได้สนว่ากาลข้างหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้น...

“พญาราชสีห์แห่งพระราหู ได้โปรดพาข้าและนาคินทร์ไปยัง...ทางช้างเผือก...ด้วยเถิด...” รพีพงศ์มิอาจต้านทานคำขอร้องของนาคน้อยในอ้อมอกได้ จึงจำยอมเปลี่ยนเส้นทางแม้ใจนั้นมิอยากทำก็ตามที สีหราชปีกทมิฬจึงเร่งโบยบินไปยังจุดหมายแห่งใหม่

โลกาสีน้ำเงินนี้เป็นส่วนหนึ่งของดาราจักรทางช้างเผือก จึงไม่ใช่เรื่องยากที่รพีพงศ์และนาคินทร์จะเดินทางไปยังจุดที่สว่างที่สุดของทางช้างเผือก ห้วงจักรวาลแสนกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่มากมายบ้างส่องประกายแต่งแต้มความมืดให้น่าดูชม พญาสีหราชปีกทมิฬบินเหินผ่านเหล่าดาวนพเคราะห์ ดาวฤกษ์ที่มีลักษณะต่างกัน รพีพงศ์ที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่บ่อยครั้งไม่รู้สึกตื่นเต้นกับหมู่ดารานับล้านนี้เลย เพราะสายตาจ้องมองใบหน้างามที่ยังคงหายใดรวยริน ที่ตอนนี้สนใจสิ่งแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยได้เห็น...หากยังไม่ใช่เป้าหมายที่ทั้งคู่ต้องการจะไป

“ถึงแล้ว...” ชั่วอึดใจพระราหูส่งกระแสจิตผ่านพญาสีหราชจึงเอ่ยว่าถึงที่หมาย สี่เท้าหยุดยืนลงที่อุกกาบาตก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งพร้อมยอบกายลง รพีพงศ์จึงอุ้มนาคินทร์ลงมาก่อนที่พญาราชสีห์ใหญ่จะหันหนีแล้วสลายกลายเป็นกลุ่มฝุ่นละอองสีนิลลอยหายไป

ใกล้ดาวเหนือคือบริเวณที่ทางช้างเผือกส่องสว่างมากที่สุด รพีพงศ์ประคองนาคินทร์ให้ยืนบนละอองสีขาวที่ล่องลอยตามพื้น นาคินทร์กวาดตามองชื่นชมความสวยงาม…‘งดงามยิ่งกว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้าง งดงามเหนือของอัญมณีล้ำค่าหาที่ใดเสมอเหมือน’…

“นาคินทร์เจ้าอยากชมตรงอื่นอีกไหมข้าจะอุ้มเจ้าไปเอง” รพีพงศ์อาสาพาคนเจ็บที่พยุงกายเที่ยวชม

“ไม่ต้องแล้ว...เพียงเท่านี้ข้านั้นรู้สึกดีใจมาก หากท่านเมตตา ข้ามีเรื่องอื่นให้ท่านช่วยเสียมากกว่า”

“เจ้าจะให้ข้าช่วยเรื่องใดเล่า”

“สิ่งที่ข้าขอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าอยากจะนั่งบนตักของท่านให้ท่านกอดกายข้าจักได้หรือไม่”

“ได้สิ” รพีพงศ์รั้งกายบางให้นั่งลงพร้อมกับตน โดยมีตักกว้างให้นาคินทร์ได้นั่งดังที่ปรารถนาไว้ นาคินทร์เอนกายพิงอกแกร่ง มือเรียวหยิบจับละอองเพชรแล้วปล่อยให้ล่องลอยไป

“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่นาคินทร์” รพีพงศ์ลูบผมนุ่มอย่างเบามือ ตาจ้องอิริยาบถของเชลยรักที่กำลังหลงใหลในทางช้างเผือกแสนกว้างใหญ่

“ชอบ...ข้าชอบมาก ข้าดีใจที่ท่านทำตามสัญญา” นาคินทร์เอ่ย เงยหน้าช้อนตามองใบหน้าหล่อเหลาของเทพหนุ่ม

“เจ้ารู้ดีว่าข้านั้นต้องพาเจ้ามาอยู่แล้ว ข้าไม่ผิดสัญญากับเจ้าดอก” รพีพงศ์เอ่ย แขนแกร่งกระชับกอดแน่นขึ้นกว่าเก่า

“ข้าเห็นว่าท่านนั้นทำตามคำพูด หากข้ามีเรื่องจะร้องขอท่านสักสามสี่ข้อ ท่านจะให้ข้าได้หรือไม่...ท่านพี่รพีพงศ์” นาคินทร์รู้สึกได้ว่าพิษบาดแผลนั้นเจ็บปวดลุกลามมากมายเพียงใดและตนคงมิอาจจะรอดพ้น จึงอ้อนวอนขอเจ้าของชีวิตให้ช่วยเหลือ

“เจ้าว่ามาเถิด…แม้ขอดาวขอเดือนยามนี้ข้าก็ยินดีจะเอามาให้”

“ปากบอกว่ายินดี เหตุใดสีหน้าถึงตรงกันข้ามเล่า” มือขาวแสนนิ่มนวลที่เคยประสานมือแสดงรักผ่านร่างกาย บัดนี้ยกขึ้นมาสัมผัสแก้มกร้าน นิ้วโป้งไล้ตามสันกรามคมอย่างทะนุถนอม ดวงตากลมโตมองใบหน้าเศร้าหมองของรพีพงศ์ที่เหมือนจะพยายามปกปิดไม่ให้ตนเห็น กระนั้นปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิดให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ข้า..ข้าขอโทษนาคินทร์ ขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน ข้ามันช่างไร้ความสามารถที่จะปกป้องเจ้าได้” รพีพงศ์รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น สองครั้งสองคราที่นาคินทร์ช่วยชีวิตและครั้งนี้ชีวิตของนาคินทร์กำลังจะดับสิ้นเพราะอาวุธทรงอานุภาพอย่างตรีศูลที่ใครได้ต้องคมจะต้องสังเวยชีวิน เพียงแค่ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

“ท่านอย่าโทษตนเองเลย อย่าได้เสียใจเพราะนาคชั้นต่ำเยี่ยงข้า ข้ายินดีที่จะเจ็บแทนท่าน แม้แลกด้วยชีวิตข้าเพื่อให้ท่านอยู่ต่อข้านั้นก็จะทำ เพราะหากท่านเป็นอันใดไปภายหน้าผู้สืบทอดตำแหน่งพระอาทิตย์จะวุ่นวายและข้าคงทนทุกข์ทรมานเป็นที่สุด...” มีหรือจักไม่รู้ว่ารพีพงศ์คิดเช่นไร ผู้ตระกองกอดตนนั้นแม้จักร้อนแรงดั่งเพลิงพระอาทิตย์แต่เปลวเพลิงนั้นวูบวาบอ่อนไหวดั่งใจของรพีพงศ์ในครานี้

“เจ้าไปห่วงอะไรกับตำแหน่งผู้สืบทอดพระอาทิตย์เล่า…ไยเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าข้านั้นจะเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานในอกแค่ไหนที่จะไม่มีเจ้าคอยเคียงข้าง...จะไม่ได้นอนกอดเจ้าทุกราตรี...จะไม่มีเจ้าเคียงต่างหมอนหนุนแขนข้า”

“ข้าเองก็เสียใจที่มิอาจจะเป็นได้อย่างที่ท่านต้องการ...ว่าแต่ท่านมิได้รังเกียจข้าใช่หรือไม่ที่ข้าเคยเป็น...สนมบำเรอกามของท่านกนธีมาก่อน...” นาคินทร์เอ่ยถามเรื่องหนักอกหนักใจนี้กับรพีพงศ์โดยไม่ได้กังวลคำตอบนั้นจะเป็นเช่นไร...

“ไม่เลยสักนิด...ข้ารู้ตลอดมาว่าในใจเจ้าคงกังวลเรื่องนี้อยู่มากเช่นกัน ถึงแม้คราแรกที่ข้าได้ยินจะตกใจอยู่บ้างก็ตาม...แต่ในเมื่อชะตาลิขิตให้เราสองได้พบกัน เรื่องอื่นๆ ของเจ้า...ข้าก็มิได้สน...ขอให้ใจเจ้ามีเพียงข้าเท่านั้น...” รพีพงศ์มิได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่ผ่านของนาคินทร์

“ข้า…ฮึก..ขะ..ข้า” นาคินทร์พูดไม่ออก ใครจะคิดว่ารพีพงศ์จะเมตตาตนผู้ต่ำต้อยเช่นตนถึงเพียงนี้ นาคินทร์จึงตอบแทนเสี่ยงชีวิตด้วยความรักที่มีปกป้องทั้งที่รู้ฤทธาของตรีศูล แม้จักเสียใจที่มิอาจได้ยืนเคียงข้างคนรักแต่ไม่เสียดายที่ตัดสินใจเข้าช่วย

“เอาเถิด…หากเจ้าไม่รู้จะพูดอะไรก็ไม่ต้องพูด บอกสิ่งที่เจ้าขอมาเถิดข้านี้จะทำตาม” รพีพงศ์เปลี่ยนบทสนทนาด้วยเห็นหยาดน้ำตาที่รินไหลของนาคินทร์บ่งบอกว่าเจ็บปวดไม่ต่างจากตน…‘ข้าไม่ชอบน้ำตาของเจ้าเลย หากน้ำตานี้เกิดขึ้นเพราะข้าด้วยแล้ว’...

“ทะ…ท่านยังจำที่ข้านั้นเคยบอกถึงที่อาศัยของมารดาข้าได้หรือไม่”

“จำได้สิเจ้าเคยบอกว่าแม่ของเจ้าพำนักอยู่ ณ รอยต่อมหาสมุทรระหว่างโลกมนุษย์กับมหาสมุทรสีทันดร” รพีพงศ์หวนนึกถึงคำเล่าที่นาคน้อย ครั้งยังอยู่ในถ้ำม่านน้ำตก

“ฮึก…ดีแล้วท่านจงใช้ไข่มุกมรกตที่ข้ามอบให้ท่านแหวกว่ายสายนทีลงไปที่นั่น...เพราะสิ่งแรกข้านั้นขอให้ท่านช่วยดูแลมารดาของข้าอย่าได้รังเกียจและช่วยบอกว่าข้านั้นรักแม่มาก” นาคินทร์กลั้นสะอื้นเอ่ยสิ่งปรารถนาประการแรก ในห้วงความคิดมีใบหน้าของมุตตาผู้เป็นมารดาคอยส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้…‘ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านแม่เหลือเกิน ข้าขอโทษที่ไม่ได้กลับไปทดแทนคุณ’...

“ข้าจะดูแลแม่ของเจ้าอย่างดี จะทำอย่างที่เจ้าต้องการอย่าได้กังวล” รพีพงศ์ให้คำมั่น มือหนาลูบหลังมือที่เย็นชืดของนาคินทร์อย่างแผ่วเบาหวังให้นาคินทร์รับรู้ถึงความอบอุ่น นาคินทร์ยิ้มออกมาเล็กน้อยที่รพีพงศ์รับปากดูแลมารดาที่ตนรัก ทำให้หายห่วงไปช่วงเปราะหนึ่ง

“เรื่องที่สอง…หากข้าสิ้นลมแล้วขอให้ท่านโปรดโอบกอดข้า แล้วเผาผลาญกายข้าด้วยอัคคีจากกายของท่านจักได้หรือไม่…แค่ก..แค่ก” นาคินทร์กระอักเลือดออกมาจนรพีพงศ์ใจหาย

“นาคินทร์!!!...นาคินทร์!!!...นี่เจ้าพูดอะไรออกมา...” รพีพงศ์แทบทนไม่ไหวดวงใจจะขาดรอน ด้วยคำวอนแสนยากที่จะทำ ซ้ำอาการนาคินทร์นั้นมิค่อยจะสู้ดีรังจะทรุดลงเรื่อยๆ

“ข้า…ข้ามิเป็นไรดอก ท่านรับปากข้ามาก่อน…รับปากข้าสิ” นาคินทร์ไม่สนใจว่าตนเจ็บหนักขนาดไหน สิ่งเดียวที่นาคินทร์สนใจคือคำตอบของรพีพงศ์

“ข้า…ข้า…” เพียงนึกภาพตนเผากายนาคินทร์รพีพงศ์ก็ทำใจไม่ได้…‘ให้ข้าไปตายยังจะง่ายกว่าอีก’...

“รับปากข้าสิ…อึก..สัญญากับข้า” นาคินทร์เร่งเร้าเอาคำตอบ

“ได้ข้ารับปากเจ้า” รพีพงศ์จำใจให้คำสัญญา…สัญญาที่ไม่อยากทำ

“ข้อที่สาม…จะหาว่าข้าหลงตัวเอง คิดว่าตนเองสำคัญกับท่านก็ได้ ข้าขอให้ท่านอย่าโทษตัวเองเรื่องข้าเป็นอันขาดและอย่าได้คิดตายตามข้า” ราวกับล่วงรู้ความคิดของรพีพงศ์ นาคินทร์ชิงให้อีกฝ่ายสัญญากับตน ใจของรพีพงศ์ไม่ต่างจากเปลวเพลิงของพระอาทิตย์เร่าร้อน พร้อมเผลาผลาญทุกสิ่งให้สูญสิ้น หากเปลวเพลิงนั้นบางคราวูบวาบอ่อนไหวเช่นกัน รพีพงศ์ได้ฟังถึงกับส่ายหน้าไม่ยอมสัญญา

“ท่านรพีพงศ์ได้โปรด…ให้นาคใกล้ตายเช่นข้าสบายใจ”

“ข้าจะพยายาม”

“ท่านใจดีที่สุด…ขะ…ข้อสุดท้าย ข้าอยากจะจูบท่าน…ท่านจะ…อื้อ..”

สำหรับรพีพงศ์คำขอนี้ช่างเล็กน้อย ร่างสูงไม่รอช้าโน้มใบหน้าใกล้ใบหน้างาม ลมหายใจรินรดจนสัมผัสไดถึงไออุ่น ริมฝีปากหยักประทับลงบนริมฝีปากนิ่มที่เปิดรับรอคอยความหวานที่ถูกส่งมาแทนที่รสเฝื่อนของเลือดผ่านปลายลิ้นที่เริ่มเกี่ยวตวัดกัน ความวาบหวามถ่ายโอนสู่กันและกัน กายนั้นกอดรัดแนบชิดเนื้อถึงเนื้อ

ความรู้สึกดีๆ ถ่ายทอดออกมาทางภาษากายทั้งอ้อมกอดทั้งบทจูบช่างอบอุ่นดั่งที่เคยได้รับ ณ ถ้ำม่านน้ำตก ไม่สิ…มันอบอุ่นมากกว่านั้น  จูบครั้งสุดท้ายที่นาคินทร์ร้องขอบันดาลความสุขให้ใจได้หวนคิดถึงอดีต แม้มิใช่รักแรกพบที่ประสบพักตร์แล้วต้องศรของกามเทพ หากเริ่มต้นด้วยความชังที่ค่อยๆ แปรผันเปลี่ยนไป จนความรู้สึกดีเข้ามาแทนที่และกลายเป็นความรักในที่สุด

รพีพงศ์ผละปากออกช้าๆ แล้วก้มจูบซ้ำย้ำๆ ก่อนจะประทับรอยจุมพิตตั้งแต่ปลายคาม ไล่ตามสันกรามและทำเรื่อยๆ จนทั่วกรอบหน้า การกระทำของรพีพงศ์ล้วนทำให้นาคินทร์ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

“ข้ารักท่าน…ข้ารัก...ท่านพี่รพีพงศ์” เปลือกตาที่เคยบางเบาหนักอึ้ง นาคินทร์หลับตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม...เอ่ยคำรักและเรียกขานคำว่า...ท่านพี่...คำที่รพีพงศ์เคยอยากให้ตนเรียก...

‘เหตุใดถึงได้มืดมิดขนาดนี้ เหตุใดข้าถึงรู้สึกหนาวจับใจ…เรี่ยวแรงของข้าหายไปไหนกัน…หรือว่าจักถึงเวลาของข้าเสียแล้ว’…

“นาคินทร์!!!...นาคินทร์!!! ตื่นขึ้นมา นาคินทร์ตื่นมาฟังข้าบอกรักเจ้าก่อน ตื่นขึ้นมา!!!..เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าสั่งหรือไรเล่า!!! เจ้ามาบอกรักข้า ทำให้ข้ารักแล้วจากข้าไปเช่นนี้ได้อย่างไร นาคินทร์!!!...ไยเจ้าไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจของข้าบ้าง...เจ้าเป็นของข้า…ฮือ…เป็นของข้า…เจ้าต้องอยู่กับข้าสิ” ในสุรเสียงที่เกรี้ยวกราดหากถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นประโยคนั้นล้วนเป็นคำหวาน รพีพงศ์เรียกปลุกนาคินทร์ ทั้งกอดกายบางโยกไปมาหวังให้ลืมตาขึ้น

‘ข้าได้ยินชัดว่าท่านรักข้า ข้าดีใจยิ่งนักที่เราสองใจตรงกัน หากแต่ข้าต้องไปเสียแล้ว ข้าอยากให้ท่านรับรู้ว่าแม้นกายข้านี้จากไปแต่หัวใจข้าจะไม่ไปไหน หัวใจของข้าจะอยู่กับท่านเป็นของท่าน ข้ายังอยู่ในความทรงจำของท่าน…ท่านรพีพงศ์ผู้เป็นที่รัก โปรดจดจำรักนี้และข้าไว้ในใจของท่านด้วย...ท่านพี่รพีพงศ์...’ นาคินทร์ไม่สามารถโต้ตอบได้ต่อไป ได้แต่ภาวนาให้สายลมนำพาความคิดบอกกับรพีพงศ์ เพียงสักเสี้ยวให้ร่างสูงได้รู้ว่าตนนั้นได้ยินและรับรู้สิ่งที่ตนอยากจะเอ่ยกลับไป…แม้มันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็ตาม

“ฮึก…ฮือ…ข้ารักเจ้านาคินทร์…ข้ารักเจ้า” รพีพงศ์ผู้ไม่เคยเสียน้ำตาให้กับใครกลับมาเสียน้ำตาให้กับนาคตัวเล็กๆ ตนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเชลยที่บังอาจทำให้รพีพงศ์หลงรัก มันเร็วเกินไปสำหรับการที่ทั้งสองนั้นจากลา ถึงรู้ดีว่านาคินทร์จักไม่รอดจากตรีศูล…ใช่รู้ดี…หากใครจะทำใจได้ ต่อให้เป็นผู้ใจแข็งดั่งศิลาแกร่งพอได้สูญเสียคนรักก็เหมือนถูกสิ่วถูกค้อนทุบแทงสกัดให้พังทลายอยู่ดี

‘ข้าไม่อยากให้ท่านพี่กรรแสง น้ำตาไม่เหมาะกับใบหน้าของท่านพี่ ข้าชอบใบหน้าดุๆ ที่แสนกรุ้มกริ่ม ไม่ค่อยยิ้มและหาเรื่องหยอกเย้าข้าเสียมากกว่า’

“ข้ารพีพงศ์ขอให้คำมั่นสัญญากับเจ้าโดยมีหมู่ดาวทั้งจักรวาลนี้เป็นพยาน ชีวิตนี้ข้าจักไม่รักใครอื่นนอกจากนาคินทร์ ข้าจะรักนาคินทร์เพียงผู้เดียว…และไม่ขอมีชายาอื่นเพราะข้ามีชายาแล้ว...ชายาที่เสียสละชีวิตตนเพื่อปกป้องข้า ชายาที่ชื่อว่า...นาคินทร์”

‘ข้าเองก็ขอให้สัญญาว่าข้าจะรักท่านพี่เพียงผู้เดียว ต่อให้ความตายจะพรากข้ากับท่านพี่ ต่อให้ข้านั้นต้องดื่มน้ำให้สูญสิ้นความทรงจำ ข้าขอให้ดวงใจข้านั้นไม่ลืมท่านพี่ รักท่านพี่ไปตลอดกาล…ลาก่อน...ท่านพี่...’ นาคินทร์สิ้นลมหายใจพร้อมคำสัญญาของตนและรพีพงศ์ ที่พันธนาการกันด้วยสายใยแห่งรัก คำมั่นที่จะติดตัวทั้งสองไปไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม เทพหนุ่มบรรจงหอมเส้นผมดำงามด้วยอาลัยรัก...

ในหมู่ดาวที่สว่างไสวและเงียบงัน กลับมีเสียงๆ หนึ่งเข้ามาใกล้ เป็นเสียงกระพือปีกของวิหกตัวหนึ่ง...แต่นกอะไรเล่าถึงได้บินมาได้ไกลถึงทางช้างเผือก และมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางหินอุกกาบาตที่รพีพงศ์กับนาคินทร์นั้นอยู่ เทพหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงลมจากผู้มาใหม่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเห็นชัด ปรากฏกายว่านกนั้นคือนกแสกตัวหนึ่งที่มิน่าจะบินอยู่ในจักรวาล เมื่อมันบินถลาลงมาใกล้กับรพีพงศ์ที่ยังคงกอดร่างไร้ลมหายใจของนาคินทร์นั้น วิหกแห่งความตายกระพือปีกเล็กน้อย ทว่าขนนั้นค่อยๆ ร่วงโรยหล่นลงจนหมดสิ้นพร้อมรูปลักษณ์ที่แปรเปลี่ยนจากนกแสกค่อยๆ กลายเป็น...เจ้าของใบหน้าที่หล่อคมแสนดุดัน ฉวีวรกายนั้นสีแดงแต่งองค์ทรงเครื่องเฉกเช่นกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์

…เจ้าแห่งยมโลก...

“พญายมราช” รพีพงศ์เอ่ยนามของเทพผู้ครองโลกแห่งความตาย ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ รพีพงศ์เองยังแปลกใจว่าทำไมพญายมราชต้องมาปรากฏกายด้วยองค์เอง หาใช่บริวารอย่างพระกาฬชัยศรีที่มีหน้าที่รับวิญญาณ...แม้จะแปลกเพียงได้พบพักตร์มีหรือจะไม่ใจหาย...

อันพญายมราชมิสนใจรพีพงศ์เลยสักนิดเพียงมาเชิญวิญญาณนาคินทร์ไปยังภพภูมิของตนด้วยตนเอง เสียงกระซิบของพญายมราชเรียกขานวิญาณนาคกายนิลให้หลุดลอยโดยมิต้องใช้บ่วงยมบาศจับดังวิญญาณอื่น

“นาคินทร์…นาคินทร์!!!” รพีพงศ์ร้องหา มือก็คว้าจับแขนคนรักรั้งดวงวิญญาณไว้มิให้ไปไหน ทว่ากลับจับต้องไม่ได้

“บุตรพระอาทิตย์...ท่านตัดใจเสียเถิด ถือเสียว่าดวงวิญญาณนี้หมดเวรหมดกรรมแล้ว จำต้องไปอยู่ในภพภูมิที่ควรจะเป็น...ท่านเองก็เป็นเทพ...น่าจะรู้ดีว่าเทพนั้นมิใคร่ควรจะอยู่ในภพภูมิเดียวกับวิญญาณ...” พญายมราชเอ่ย แล้วเสกบ่วงบาศให้กลายเป็นคนโทปรากฏในหัตถาใหญ่ดูดกลืนวิญญาณนาคินทร์ให้เข้าไป

“ไม่!!!...นาคินทร์…นาคินทร์!!!” รพีพงศ์ชอกช้ำใจยิ่งนัก นาคินทร์จากไปแล้ว ร่างสูงร้องไห้ออกมาสวมกอดกายหยาบที่ไร้ชีวิตของนาคินทร์ไว้แน่นราวกับเด็กน้อยหวงของรัก เจ้าผู้ครองดินแดนยมโลกมองนิ่งแล้วกลายร่างกลับเป็นปักษาแห่งความตายอีกครา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พญายมราชได้พบเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายร้องไห้เสียใจของการจากลาหรือเสียของรัก ไม่มีใครอยากจะจากลา พญายมราชเองก็ไม่คิดจะพรากรักของใคร แต่ตนนั้นต้องทำเพราะมันถูกลิขิตไว้แล้ว

“มีพบก็ต้องมีจาก มันเป็นสัจธรรมของชีวิต” พญายมราชกล่าวทิ้งท้ายให้รพีพงศ์คิดแล้วกลายร่างเป็นนกแสกบินจากไปพร้อมดับดวงวิญญาณของนาคินทร์ รพีพงศ์ทำได้เพียงมองตามไปเท่านั้น ก่อนจะก้มมองใบหน้าของนาคินทร์ที่ดูคล้ายจะนิทรามากกว่าสิ้นชีวี

‘นาคินทร์…ข้าจักโอบกอดเจ้าไว้แนบกายให้ไฟข้านี้แผดผลาญร่างเจ้าดั่งคำขอ’ เมื่อพญายมราชจากไปพร้อมดวงใจของตนเองแล้ว รพีพงศ์กลั้นสะอื้น ดวงตาพร่าน้ำตามองใบหน้างามที่ไม่ต่างจากหลับใหล…‘ข้าจะต้องทำตามสัญญาที่มีให้กับเจ้า’...

รพีพงศ์เร่งความร้อนในกาย ให้กายกลายเป็นอัคคีลุกโชนด้วยโชติช่วงชัชวาลไปทั้งทางช้างเผือก ไฟร้อนค่อยๆ แผดเผาร่างบางจนหมดสิ้น....

“นาคินทร์....ข้ารักเจ้า....ข้ารักเจ้า...ข้ารักเจ้า...”

รพีพงศ์เอ่ยคำรักให้กายบางที่กำลังมอดไหม้วนซ้ำไปมา ไม่นานนักไฟร้อนที่ลุกท่วมกายก็ค่อยๆ มอดดับลง เหลือเพียงเถ้าถ่านที่ล่องลอยหมุนวนขึ้นมาก่อตัวเป็นดวงแก้วนาคาส่องประกายแสงเรืองรองแล้วค่อยๆ ตกลงมาสู่ฝ่ามือของสุริยะบุตร แก้วนาคานี้คือสิ่งที่นาคินทร์หลงเหลือไว้นอกเหนือจากความรัก ความทรงจำ รพีพงศ์กุมแก้วนาคานั้นวางทาบไว้แนบอกข้างซ้าย…ให้ได้สัมผัสกับหัวใจที่ยังเต้นเพื่อนาคินทร์ ดวงแก้วนั้นแทรกซึมผ่านร่างกายเข้าไปแล้วหยุดอยู่ที่กลางดวงใจของรพีพงศ์

“เพียงเท่านี้เจ้ากับข้าก็จะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตข้าแล้ว เจ้าจะอยู่กลางใจของข้าตลอดไป…ไม่มีวันลืม...นาคินทร์...”




​...............................................

ตอนนี้เป็นของนาคินทร์เต็มๆ ตามที่ทุกคนเรียกร้องคิดถึงไหมคะ

ด้วยรักอย่าได้สังหารท่านยุ่งเลยนะคะ

ตอนนี้ท่านยุ่งพยายามสุดความสามารถเพื่อให้มาม่า ดราม่ามากที่สุดอินกันไหม?

อย่างน้อยเขาบอกรักกัน ณ สถานที่ที่เขาต้องการจะอยู่ด้วยกันมากที่สุด

สุดท้ายนี้ท่านยุ่งขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นกัน  ติชมได้นะคะ

ป. ล. เรื่องยึดไปอีกสองสามตอน เรื่องราวยังดำเนินต่ออย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ มาเอาใจช่วยหนูลันกับพี่นภนต์กัน


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: สาปรัก...ทัณฑ์เทวา 20+ EP.33 P.11 (30/10/2560)
«ตอบ #329 เมื่อ30-10-2017 07:37:15 »

สงสาร...
รอตอนต่อไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด