สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 30
ความฝันที่แสนงดงามมักทำให้คนที่หลับใหลอยู่นั้น มิอยากที่จะลืมตื่นฟื้นจากความฝัน หากจำต้องตื่นขึ้นมาพบเจอกับความจริงที่แสนโหดร้ายจากการถูกลวงหลอกและผู้กระทำนั้นมิใช่ใครอื่นเลย กลับเป็นคนใกล้ตัว เป็นผู้ใกล้ชิด เป็นผู้ที่รักเราและเรารักโดยไร้เงื่อนไข
เปลือกตาค่อยๆ ขยับขึ้นมา นัยน์ตาดำเข้มมองเพดานสีไพฑูรก่อนจะลุกขึ้นนั่ง…‘ข้าอยากจะให้เรื่องที่ข้าได้รับรู้เป็นเพียงความฝันเสียจริง’... นภนต์นึกเย้ยหยันให้กับความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ แทบทำให้หัวใจของเทพแห่งท้องนภาหยุดเต้น ทั้งความเสียใจ ทั้งความผิดหวังประเดประดังเข้ามาแล้วหลอหลอมเป็นความเจ็บปวดที่แสนทรมาน แต่เทพหนุ่มก็ยังคงนิ่งเงียบ ด้านชลันธรที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกันจากการย้อนเวลานั้น เพียงหันเหลือบมองใบหน้าคนรักที่นอนเคียงกายยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของนภนต์ผ่านร่างกายกำยำที่สั่นเทิ้มจากการควบคุมอารมณ์โดยที่นภนต์ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
“ท่านพี่นภนต์…” ชลันธรเอี้ยวกายเข้าพาดก่ายกอดคนรักที่ยังนอนมิไหวติง หวังว่าอ้อมกอดนี้จะช่วยบรรเทาบาดแผลในใจของนภนต์ได้
“พี่ขอโทษชลันธร…เพราะความหน้ามืดตามัว ความโง่เขลาหูเบาของพี่ที่เชื่อสิ่งเล่าอ้างว่าเหล่าเทวาพระสมุทรนั้นคบหาไม่ได้มาตัดสินเจ้าโดยมิไตร่ตรอง” นภนต์เอ่ยออกมาน้ำเสียงเจือสั่นเล็กน้อย ใบหน้าคมมองตรงไปข้างหน้ามิเหลือบมองชลันธรแม้แต่น้อย คล้ายกับว่ารู้สึกผิดจนมิกล้าสู้หน้าคนรัก
“ท่านพี่อย่าโทษตัวเองเลย…ข้ารู้ว่าเพลานี้ท่านพี่รู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใด” ชลันธรกระชับกอดแน่นขึ้น
“ใช่พี่เจ็บปวดยิ่งนัก ทั้งที่จริงควรจะดีใจที่เราสองต่างรู้ตัวผู้กระทำผิด ทว่า…ผู้ที่วางยาพิษกลับเป็นท่านแม่ของพี่เสียเอง…พี่…พี่..”
“ท่านพี่ไม่ต้องเอ่ยอันใดแล้ว หากสิ่งที่พูดมันจักทำให้ท่านพี่เจ็บปวด…” ชลันธรเสียใจไม่แพ้กัน ไม่คาดคิดว่าพระเทวีกวินตาจะวางแผนวางยาพิษตัวเองเพื่อใส่ร้ายตน เกลียดชังตนที่เป็นคนรักของบุตราตนเองมากมายขนาดนี้
“ชลันธร…พี่ขอให้คำมั่นกับเจ้าเมื่อเรานั้นได้ออกจากป่ากันติทัตนี้ พี่จักพาท่านแม่ของพี่ไปรับโทษทัณฑ์ที่กระทำผิดไว้กับผู้บริสุทธิ์เช่นเจ้า” จักต้องใจแข็งขนาดไหนกันเล่า ถึงสามารถเอื้อนเอ่ยคำมั่นนี้มาได้…จักต้องข่มความเจ็บปวดไว้ลึกเท่าใดจึงจะจับกุมผู้ให้กำเนิดได้
“ทะ…ท่านพี่!!...” ชลันธรเงยหน้าขึ้นมา มือเรียวจับคางคนรักให้มองมาที่ตน ชลันธรเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของนภนต์… ‘ท่านพี่เอาจริงแล้วสินะ’...
“เจ้ามิต้องเอ่ยห้ามพี่ ในเมื่อพี่เป็นผู้จับกุมเจ้ามาลงทัณฑ์ในความผิดที่ไม่ได้ก่อ ครั้งนี้ถือว่าพี่จักขอไถ่โทษให้กับเจ้า จับผู้กระทำผิดตัวจริงไปรับโทษกับพระผู้สร้าง” นภนต์เอ่ยแล้วผละกอดจากชลันธร
“และพี่เองจักต้องรับโทษด้วยเช่นกัน…” นภนต์ยืนขึ้นหันหลังให้อดีตเทพสมุทรก่อนจะพูดต่อ
“ท่านพี่นภนต์อย่าทำเช่นนี้ อย่าโทษตัวเองเช่นนี้เลย ท่านพี่จับน้องในครานั้นก็ทำไปเพราะหน้าที่…” ชลันธรสวมกอดนภนต์อีกครั้ง ด้วยรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่าจักต้องขอรับโทษเป็นแน่
“อย่ามัวเถียงกันเลย ใครจะรับโทษหรือไม่นั้นพระผู้สร้างเป็นผู้ตัดสินเอง” เสียงดังลอดผ่านประตูปรากฎกายเทพกาลเวลาที่บัดนี้ร่างกายเติบใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
“ข้าต้องขออภัยที่ได้ยินพวกท่านทั้งสองสนทนากันจึงได้พูดสอดขึ้นมา ข้าออกไปนำน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์มาให้ เพื่อฟื้นฟูกำลังหลังจากย้อนเวลากลับไป” เทพณิชนิรันดร์ยื่นจอกน้ำให้ทั้งสอง เนื่องจากการย้อนเวลาแต่ละครั้ง พละกำลังของผู้ที่ย้อนเวลาไปจะลดลงกึ่งนึง เมื่อตื่นขึ้นมาจึงต้องดื่มน้ำสีเงินยวงนี้เพื่อให้พลังกลับคืนมา
“เราขอบน้ำใจท่านมาก…ท่านณิชนิรันดร์” ชลันธรและนภนต์รับจอกมาแล้วดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปตามคำแนะนำของเทพกาลเวลา
“เหตุใดร่างกายของท่านถึงเติบใหญ่เร็วไวเช่นนี้” ชลันธรถาม
“มนต์ที่ข้าได้สะกดให้ตัวข้านั้นเป็นเด็กในยามต้องนิทราเป็นเวลา ๓,๐๐๐ ปี นั้นเริ่มเสื่อมคลาย ไม่นานข้าจักกลับสู่ร่างที่แท้จริง” เทพกาลเวลาตอบ ก่อนจะหันไปจ้องหน้าเทพแห่งท้องนภาที่ใบหน้ามิสู้ดีนัก
“ท่านอย่ากังวลเลยเทพนภนต์ ทั้งบนสวรรค์ชั้นฟ้า โลกมนุษย์ มหาสมุทรแสนลึกล้ำหรือจะเป็นยมโลก ไม่ว่าที่ใดล้วนมีเรื่องราวมากมายเหลือนับคณาที่เรานั้นสามารถจะแก้ไขหรือทำอันใดได้บ้าง กระนั้นยังมีเรื่องอีกมากโขที่เราไม่สามารถทำอันใดได้เลย…มากสุดได้แต่เพียงยอมรับมัน”
“ข้ารู้…” นภนต์เอ่ยเสียงแผ่ว
“ใช่ท่านรู้ เพียงท่านมิสามารถทำได้ใช่หรือไม่ ลำพังท่านรับโทษท่านคงมิเกรงกลัวอะไร หากท่านต้องใจแข็งนำมารดาท่านไปรับโทษ ข้าว่าท่านให้ผู้อื่นทำหน้าที่นี้จะดีกว่า ส่วนคำตัดสินข้ามั่นใจว่าพระผู้สร้างนั้นจะให้ความยุติธรรมพอ” เทพกาลเวลารู้สึกเห็นใจเทพหนุ่มตรงหน้า คราก่อนจับคนรัก มาครานี้จับแม่ ดวงใจของเทวาผู้นี้จะต้องแข็งเพียงใดถึงจะไม่สลายเป็นผุยผง...
“ข้าขอบน้ำใจสำหรับคำแนะนำของท่านที่มีให้ข้า แต่ตัวข้านั้นตั้งใจไว้แล้วว่าจะนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ ฉะนั้นข้าจักต้องทำด้วย…ตนเอง” นภนต์ยังคงยืนยันในคำตอบด้วยสุรเสียงที่หนักแน่น
“หากท่านพี่ประสงค์เช่นนั้น ข้าจักขอตามไปด้วย...” ชลันธรเอ่ยขอ นภนต์พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตกลง
“เอาเถิด…ถ้าท่านไม่เปลี่ยนใจก็สุดแล้วแต่ใจท่าน เอาเป็นว่าข้าขออวยพรให้พวกท่านทั้งสองโชคดี” เทพแห่งกาลเวลาเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มอ่อน
“ท่านณิชนิรันดร์…เราขอขอบน้ำใจท่านมากที่ท่านช่วยเราจนประจักษ์แก่ความจริง” ชลันธรพนมมือสองไว้กลางอกแล้วก้มใบหน้าลงด้วยความเคารพเทพผู้มีพระคุณตรงหน้า
“ข้าเองก็เช่นกัน ขอบน้ำใจท่านที่ช่วยชลันธรและให้คำแนะนำแก่พวกเรา” นภนต์เอ่ย
“มิเป็นไร…ข้าว่าพวกท่านอย่าเสียเวลาอยู่ที่วิมานนี้เลย รีบเดินทางไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์แก่อดีตเทพพระสมุทรชลันธรเถิด”
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้า...ขอลา...”
เมื่อนภนต์และชลันธรกล่าวลาเทพแห่งกาลเวลาแล้ว จึงรุดหน้าออกจากวิมานอย่างเร็วไว ทันทีที่เปิดประตูวิมานออกทั้งสองนั้นก็พบกับความว่างเปล่า ไร้เงาของสหายร่วมเดินทางทั้งรพีพงศ์และนาคินทร์
“รพีพงศ์!!! นาคินทร์!!! พวกเจ้าอยู่ไหน!!!” นภนต์ร้องตะโกนออกมาในใจคิดว่าทั้งสองคงจะปรับความเข้าใจอยู่แถวนี้
“ทั้งสองหายไปไหนกันนะ” ชลันธรพึมพำพร้อมกวาดสายตาสอดส่องทั่วบริเวณ
‘ตูม!!!’ เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทดังสนั่น เกิดขึ้นอยู่ไม่ไกลจากวิมานมากนัก กลุ่มควันลอยฟุ้งทำให้นภนต์รู้โดยทันทีว่าต้นกำเนิดเสียงเมื่อครู่มาจากแห่งหนใด ชลันธรเองพอได้ยินเสียงดังราวฟ้าฟาดกลับรู้สึกหวั่นใจกลัวว่าเกิดเหตุร้ายกับรพีพงศ์และนาคินทร์
“ท่านพี่ข้าคิดว่า…”
“พี่รู้ว่าเจ้าจะพูดอันใด พี่ว่าเราสองรีบตามไปดูเถิด หากใช่รพีพงศ์กับนาคินทร์และมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเราจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที” นภนต์รู้ใจคนรักเป็นนักหนา ไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาเทพเวหานี้รู้ว่าชลันธรคิดเช่นไร ร่างบางเองพยักหน้ารับรู้ มือเรียวคว้าจับหัตถาใหญ่เอาไว้แล้วเร่งเดินหน้าไปยังที่เกิดเหตุ
. . .
ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในระหว่างที่นภนต์และชลันธรเข้าไปในวิมาน รพีพงศ์กับนาคินทร์ได้อยู่เฝ้ารออยู่ด้านนอก ทั้งสองได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในขณะเมล็ดพันธุ์แห่งต้นรักที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ภายในใจของเทวาและนาคาคู่นี้ กลับมีบุรุษผู้หนึ่งปรากฎกายขึ้นมา…
“พระสมุทร…กนธี”
รพีพงศ์เอ่ยนามผู้ที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะพนมมือขึ้นไหว้ผู้มีศักดิ์ที่สูงกว่า ผิดกับนาคินทร์ที่พอได้เผชิญหน้าแล้วก็รีบหลบหนีโดยมีแผ่นหลังกว้างของรพีพงศ์เป็นที่กำบัง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว…‘ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้พบกับท่านอีก…ท่านกนธี’
“ข้ามาตามหาชลันธรหลานข้า มิทราบว่าหลานรักของข้านั้นอยู่ในวิมานนี้ใช่หรือไม่” กนธีถามรพีพงศ์ ทว่าสายตากลับจ้องมองร่างบางที่ยืนสั่นเทา
“ชลันธรอยู่ด้านใน เชิญท่านเข้าไปเถิด…”
“ไม่ได้!!! อย่าให้ท่านกนธีเข้าไปนะท่านรพีพงศ์!!!” นาคินทร์รีบพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะออกมายืนขวางทางเอาไว้ ถึงแม้จะกลัวอีกฝ่ายมากมายเพียงใดแต่ตนตั้งใจไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือชลันธร
“นาคินทร์…ไยเจ้าจึงห้ามทั้งยังแสดงกริยาไม่งามต่อหน้าพระสมุทรอีก” รพีพงศ์หันไปเอ็ดนาคินทร์ที่ทำกริยาไม่เหมาะสมกับกนธี
“หาได้ต้องมีพิธีรีตรองอันใดดอก ข้านั้นมิถือสาเอาความกับนาคินทร์” กนธีเอ่ยออกมา มุมปากยกขึ้นปรากฏรอยยิ้มร้ายขึ้นมา
“ท่านกนธีรู้จักนาคินทร์ด้วยหรือ” รพีพงศ์เอะใจที่พระสมุทรรู้จักชื่อของนาคน้อยและยิ่งรอยยิ้มที่ตนได้เห็นมันทำให้รพีพงศ์รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก…ในเมื่อครั้งหนึ่งนาคินทร์นั้นเคยนอนครางอยู่ใต้ร่างข้า และตอนนี้ข้าก็จะมานำตัวนาคินทร์กลับไป รวมทั้งมาพาตัวชลันธรหลานรักของข้าด้วย…ส่วนเจ้านั้นก็หลีกทางไปเสีย” กนธีเอ่ยเจตนารมณ์แล้วผลักรพีพงศ์ให้พ้นทาง โชคดีที่รพีพงศ์หลบทันจึงรีบเข้าขวางทางประตู
“ที่แท้คนชั่วช้าที่ทำร้ายนาคินทร์และชลันธรก็คือท่านนี่เอง!!!” รพีพงศ์ไม่พูดเปล่าเสกพระขรรค์คู่กายออกมาพร้อมสู้รบกับกนธี
“บุตรพระอาทิตย์...เจ้าคิดจะขวางข้าหรืออย่างไร…หากว่าคิดผิดก็คิดเสียใหม่ได้ ข้าจักให้เจ้าทบทวน”
“ข้าหาได้คิดผิดไม่…นาคินทร์...เจ้ารีบเข้าไปหลบในวิมานเทพกาลเวลาเสียก่อน” รพีพงศ์เอ่ยย้ำว่าไม่ได้ผิดความคิดที่จะต่อกรกับกนธี ก่อนจะบอกนาคินทร์ให้หลบหนีแต่กลับช้ากว่ากนธี ที่คว้าแขนเรียวฉุดกระชากมาหาตน
“ท่านกนธีปล่อย!!!...ปล่อยข้า!!!” นาคินทร์ขืนตัวพยายามดึงแขนออกมาจากหัตถาแกร่งที่บีบแน่นจนเจ็บเนื้อเข้าถึงกระดูก
“ปล่อยนาคินทร์บัดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นจะหาว่าข้าล่วงเกินท่านมิได้” รพีพงศ์คว้าแขนเรียวอีกข้างไว้ยื้อยุดไม่ให้นาคินทร์ไปกับกนธี
“ไม่มีทาง!!!” กนธีถีบเข้าที่ท้องของรพีพงศ์จนล้มลงกับพื้นก่อนจะพานาคินทร์เข้าไปในวิมานหากมิสำเร็จ นาคีรูปงามกลับแปลงกายเป็นนาคเกล็ดสีนิลรัดกายกนธีแล้วเลื้อยหนีไปอีกทาง
“นาคินทร์!!!” รพีพงศ์รีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งตามนาคน้อยไป ถึงนาคินทร์จะแปลงกายเป็นนาคก็จริง แต่กนธีเป็นถึงพระสมุทรมินานคงจะแก้ไขเหตุการณ์จนนาคินทร์เพลี่ยงพล้ำได้
“นาคินทร์เจ้าคิดจะลองดีกับข้าใช่ไหม!!!” กนธีพิโรธโกรธเคืองที่นาคินทร์กลับดื้อรั้นไม่โอนอ่อนตามตนเช่นเดิม แววตาที่เคยมองตนด้วยความรัก ความเทิดทูน กลับสูญหายไปเหลือเพียงความหวาดกลัว…‘ดวงใจของเจ้าคงมอบให้กับรพีพงศ์... ก็ดีเหมือนกันข้าจะได้มิต้องเมตตาเจ้าอีก’...
กนธีแปลงกายหยาบให้ค่อยๆ ละลายกลายเป็นสายน้ำไหลซึมออกมาผ่านผิวกายลงมายังพื้นพสุธาก่อนสายน้ำนี้จะก่อร่างขึ้นกลับคืนเป็นพระสมุทรกนธียืนประจัญหน้ากับนาคินทร์ จากนั้นจึงเป่ามนต์ใส่นาคสีรัตติกาลบังเกิดฟองอากาศขนาดใหญ่ห่อหุ้มกายาของนาคินทร์ไว้
“ท่านกนธี…ปล่อยข้า!!!!” นาคินทร์กลายร่างกลับเป็นมนุษย์ทันที สองมือทุบผนังฟองอากาศที่บางใสนี้แต่มันกลับเหนียวไม่ยอมแตกออกเลยสักนิด นาคินทร์ถูกกักขังไว้ในฟองอากาศเสียแล้ว
“ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้า ข้าจะให้เจ้าอยู่ทนทุกข์ทรมานไปกับข้า” กนธีเอ่ย พระสมุทรยอมรับว่าตนนั้นมิพอใจที่นาคินทร์มีชายอื่น แม้ตนมิได้รักนาคินทร์ไปมากกว่าชายาแต่ตนนั้นให้ความสำคัญกับนาคินทร์เหนือสนมหรือนางบำเรออื่น ถึงจะไล่นาคินทร์ไปก็จริงแต่นาคินทร์ต้องซมซานกลับมาหาตนเองมิใช่ไปอยู่กับชายอื่น…ใช่แล้ว กนธีกำลังหึงหวงนาคินทร์
“ถ้าท่านไม่ยอมปล่อยดีๆ ข้านี้จะเป็นผู้ทำให้ท่านปล่อยนาคินทร์เอง!!” รพีพงศ์ที่วิ่งตามมาทีหลัง ยืนชี้พักตราคนตรงหน้าอย่างมิเกรงกลัว…‘เทพชัวช้าเยี่ยงนี้ ข้ามิเคารพให้เสียแรงดอก’...
“ข้าไม่อยากจะสู้กับเจ้าให้เสียแรงเพราะเกรงว่าเจ้าจักตายไปเสียก่อนจะได้ร่ำลานาคินทร์…ข้าจะอ่อนข้อผ่อนปรนให้เจ้าสู้กับเหล่าสมุนของข้า” กนธีคว้าไข่มุก ๕ สีจากชายพกแล้วโยนมันลงพื้น บังเกิดกลุ่มควันทั้ง ๕ สีลอยฟุ้งขึ้นมาก่อนจะจางหายเหลือไว้เพียงบุรุษร่างกำยำนุ่งผ้าตามสีของไข่มุกในมือถือดาบเอาไว้พร้อมฟาดฟันศัตรู
“ธีร์ ธัญ ธัช ธร ธาม จงจัดการศัตรูของข้าเสีย” กนธีสั่งการนักรบทั้งห้าผู้มีฝีมือฉกาจ เมื่อรับคำสั่งทั้งห้าคนจึงเดินล้อมรพีพงศ์เป็นวงกลม ผู้ถูกล้อมควงพระขรรค์คู่กายในมือมั่นพร้อมตั้งรับการจู่โจม
“ท่านกนธี…ถ้าอยากได้ตัวข้าก็จับข้าเพียงผู้เดียวเถิด อย่าได้ทำอันตรายท่านรพีพงศ์เลย” นาคินทร์วอนขอ แม้ว่าจะยากที่จะเปลี่ยนใจกนธี
“นาคินทร์!!! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น…เจ้าเป็นของข้าแล้ว ต้องอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว” รพีพงศ์เอ่ย ถึงตายก็ไม่ยอมให้นาคินทร์ตกนรกทั้งเป็นไปกับกนธี นาคินทร์สดับฟังน้ำตาร่วงซาบซึ้งใจในตัวของรพีพงศ์
“พวกเจ้าจงจัดการรัชทายาทบัลลังพระอาทิตย์ให้สิ้นชีพเสียที่นี่ ให้ร่างมันแหลกสลาย กระดูกกลายเป็นเถ้าธุลี…” กนธีสัมผัสได้ถึงความรักของคนทั้งคู่ คำมั่นแสนหวานไม่ต่างจากน้ำมันที่สาดเข้ากองไฟพิโรธ คราแรกพระสมุทรที่คิดจะสั่งสอนให้ศัตรูเพียงสาหัสหลาบจำ แต่กลับเปลี่ยนใจให้เหล่าสมุนร้ายของตนปลิดชีพแทน
‘ย้าก!!!!!’
‘เคร้ง!!!’
อาวุธทั้งห้าเข้าฟาดฟันพร้อมกันเหนือศีรษะหมายมั่นจะให้รพีพงศ์เสียท่า หากผู้เสียเปรียบกลับใช้พระขรรค์ตั้งรับคนเกิดเสียง ขายกขึ้นมาส่งแรงถีบเข้าท้องแกร่งของธีร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อหนึ่งนักรบเสียทีอีกสี่ตนที่เหลือจึงเหลือบไปดูเพื่อน รพีพงศ์จึงใช้โอกาสนี้ผลักดาบด้วยพระขรรค์ให้ออกไป ก่อนจะยืนตั้งรับทั้งห้าที่เข้ามาต่อสู้
ธามและธัญยกดาบขึ้นมาเหนือหัวเข้าจู่โจมรพีพงศ์พร้อมกัน เทพหนุ่มหลบหลีกโดยไวมือจับพระขรรค์หมายจะแทง หากธรใช้ดาบสกัดกั้นไว้ได้ทันขณะนั้นเองธัชก็เข้าเตะรพีพงศ์ตรงขาจนล้มลงไปนอนกับพื้น
“ท่านรพีพงศ์!!!”
‘ฉึก’
ปลายดาบของธีร์ปักเข้าสู่พื้นดินจนเกิดรอยแยกแทนกายร่างสูงที่กลิ้งหลบเพราะได้เสียงร้องของนาคินทร์ร้องเตือนไว้ ธีร์ไม่หยุดเพียงครั้งเดียวนักรบกล้าคอยจะเสียบดาบเข้ากายรพีพงศ์อยู่เรื่อยๆไม่เว้นระยะ ยิ่งรพีพงศ์กลิ้งหลบก็ยิ่งชะล่าใจที่เห็นสุริยะบุตรนั้นอ่อนหัด คนเดียวหรือจะสู้ฝูงฉลามร้ายที่รุมกัดทึ้งได้ เห็นได้ชัดว่ารพีพงศ์เสียเปรียบมากขนาดไหน
“ไอ้พวกหมาหมู่!!!...ฮึก..รุมทำร้ายคนๆเดียว” นาคินทร์พ่นคำด่าปนสะอื้นกำปั้นน้อยๆคอยทุบผนังฟองอากาศอยู่ไม่หยุด ยิ่งเห็นรพีพงศ์ที่คอยหลบและตั้งรับมากกว่าที่จะสู้ขืนปล่อยไว้เช่นนี้รพีพงศ์อาจพลาดท่าเสียทีคงสิ้นชีวาเป็นแน่แท้
“หุบปากของเจ้าและใช้ดวงตาทั้งสองมองไปที่รพีพงศ์…ดูให้เต็มตา…ดูวาระสุดท้ายของมันให้เต็มตา!!!” กนธีเอ่ย นาคินทร์หันมามองอดีตเทพที่ตนรักด้วยแววตาเกลียดชัง…‘ข้าหลงรักคนชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน’...
‘ต้องจัดการพวกนี้ให้เร็วที่สุด…ขืนชักช้าเรี่ยวแรงเราคงหมดแน่’
รพีพงศ์คิดก่อนจะฮึดสู้ลุกขึ้นมาประชิดตัวธีร์ที่ยืนอยู่ใกล้มากที่สุด แล้วใช้อาวุธในมือแทงเข้าไปกลางลำตัวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ดึงพระขรรค์ออกมาเลือดของธีร์กระเซ็นจนเปื้อนกาย ธีร์ทรุดลงไปกับพื้นร่างกายกลายเป็นควันก่อนเหลือไว้เพียงเศษไข่มุกที่แตกกระจาย
‘เสร็จไปหนึ่ง…ข้าต้องขอโทษที่เล่นเจ้าที่เผลอ’
หายไปหนึ่งจนเหลือสี่กนธีหาได้กังวลไม่ สำหรับเมื่อครู่กนธีคิดว่ารพีพงศ์คงอาศัยโชคช่วยแต่หลังจากนี้ต่างหากที่เป็นของจริง ของจริงที่ว่านั่นก็คือธาม ธร ธัญ ธัช แปลงกายกลายเป็นพรายน้ำกายสีน้ำเงินเข้ม ทั่วร่างเต็มไปด้วยอักขระ ล่องลอยโฉบกายาหนา มือข้างหนึ่งถือดาบ มืออีกข้างกางออกเผยพังผืดคมไม่ต่างจากใบมีดคอยเข้ากรีดผิวของรพีพงศ์
‘ฉึก!’
“โอ๊ย!!!”
รพีพงศ์ยกแขนป้องกันพรายน้ำจำแลงที่เข้ามาสร้างบาดแผล พอตั้งสติได้จึงใช้มือที่กำพระขรรค์เหวี่ยงตวัดไปมา หากมันไม่ได้ทำให้พรายน้ำระคายผิวแต่อย่างใดด้วยอักขระบนร่างกายช่วยคุ้มกันอันตราย ทั้งยังอ้าปากพ่นน้ำกรดออกมา เวลานี้รพีพงศ์ทำได้เพียงปัดป้องและหลบหลีกเท่านั้น…‘ใช้พระขรรค์ฆ่าพวกมันในร่างพรายน้ำคงไม่ตาย จะหลบหนีไปคงไร้ประโยชน์แต่ถ้าหากสู้ซึ่งหน้าธาตุไฟอย่างเราคงแพ้น้ำ…จริงสิ’…
รพีพงศ์ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ คราวนี้เทวาทายาทพระอาทิตย์มิคิดหลบหนีหรือปัดป้องดังเก่ากลับยกหัตถาทั้งสองขึ้นมาพนมมือไหว ริมฝีปากขมุบขมิบท่องคาถา สะเก็ดไฟค่อยๆ ปะทุออกมาจากกายของรพีพงศ์คล้ายถ่านไม้ที่เพิ่งติดไฟ ไม่นานอัคคีก็ค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าไล่ขึ้นมาท่วมกายอย่างรวดเร็ว ตอนนี้รพีพงศ์ไม่ต่างจากดวงไฟขนาดใหญ่ที่สามารถเผาผลาญทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้
“เข้ามาสิ!!...เข้ามาทำร้ายข้าเฉกเช่นเมื่อครู่” รพีพงศ์ท้าทาย ธาม ธร ธัช ธัญ ที่ถอยออกห่างเหมือนกำลังดูเชิงผิดกับรพีพงศ์ที่เดินเข้าไปใกล้ ทุกย่างก้าวที่ขยับเชื่องช้าไม่รีบร้อน รพีพงศ์เป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมาทันที สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไป พรายน้ำจำแจงจะพ่นน้ำกรดออกมาก็มิเป็นผลอีกต่อไปเพราะไม่ทันจะถึงตัวก็ระเหยกลายเป็นไอไปเสียก่อน ดังคำที่ว่า…‘น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ’...
“ย๊า!!!!!” ธามตัดสินใจลอยเข้ามาใช้ดาบพุ่งเข้าใส่ รพีพงศ์จึงหยุดเดิยยืนเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตี ปลายดาบสัมผัสกับรัศมีความร้อนค่อยๆหลอมละลายไล่ไปตั้งแต่ขอบโค้งจนถึงด้ามดาบและไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังเกิดสิขานลลุกลามเผาคู่ต่อสู้…‘อาวุธตีรันฟันแทงมิได้ก็จงโดนไฟเผาให้ดับสูญไปเสียเถิด’....
“อ้าก!!!!!!!!!!!” ธามร้องออกมาอย่างเจ็บปวดแต่อัคคีที่เผาไหม้หาได้สนใจไม่ ยังคงเผาผลาญไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงร้องเงียบหายไปพร้อมกับกองเถ้าถ่าน
ธร ธัช ธัญ ที่เห็นเหตุการณ์การจากไปของสหายรู้ดีว่าการสู้ซึ่งๆหน้าเยี่ยงนี้ต้องพ่ายแพ้ต่อรพีพงศ์เป็นแน่ ทั้งสามจึงร่ายมนต์ให้กลายเป็นสายน้ำแล้วรวมกายกันเป็นอสูรกายยักษ์กำยำผิวกายสีน้ำเงินเข้ม พักตราดุดันมุมปากมีเขี้ยวแก้ว ตามขาและแขนมีเกล็ดสีขาวนวลประดับตามผิว กระดูกสันหลังมีครีบขนาดใหญ่ไล่ลงมาถึงสะโพกซึ่งมีหางมัจฉา มือถือกระบองตุ้มใหญ่แสนน่ากลัว
“ไม่คิดว่าท่านกนธีจะมอบปลายักษ์ให้ข้าเผาเล่นเป็นอาหาร” รพีพงศ์เอ่ยออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน หาได้เกรงกลัวอสูรกายยักษ์ใหญ่ตรงหน้าไม่...
“ฮึ!!...เจ้าคงลืมไปสิว่าปลาบางตัวมันก็คิดว่าพวกกระจ้อยร่อยอย่างเทพที่อวดดีก็สมควร เป็นเหยื่อมันเช่นกัน” กนธีเองตอบสนกลับไปไม่ทุกข์ร้อนด้วยมั่นใจในฝีมือของอสูรกายยักษ์วารีตนนี้ที่ถึงจะรวมร่างจากสามก็มีพลังมากพอจะกำราบบุรุษที่มาจากแดนทินกรได้
“ย้าก!!!!” ทั้งสองต่างวิ่งเข้าหา หนึ่งกระบอง หนึ่งดาบปะทะกันจนเกิดเสียงดัง กระบองของอสูรกายยักษ์ใหญ่ตนนี้ทนความไฟจากรพีพงศ์ได้ดีไม่มีบุบสลาย ศึกครั้งนี้จึงกลับมาเสมออีกครั้งต่างฝ่ายต่างผลัดกันรับผลัดกันบุกอย่างไม่มีใครยอมใคร
‘ฉึก’ เป็นทีของรพีพงศ์ พระขรรค์แทงเข้ากลางอกของยักษา พอดึงพระขรรค์ออกมาบาดแผลก็สมานคืนกันราวกับมิเคยต้องอาวุธมาก่อน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แทงข้าอีกสิท่านรพีพงศ์ พระขรรค์ของท่านหรือแม้แต่ไฟที่ลุกท่วมกายท่านก็มิอาจทำร้ายข้าได้” อสูรกายยักษ์วารีเป็นฝ่ายท้าทาย
“เจ้าอย่าเหิมเกริมไปเลย…ทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อนและมิช้าข้าจักหาจุดอ่อนของเจ้าเจอเป็นแน่”
“ข้าเกรงว่าพอถึงเวลานั้นท่านจักนอนจมกองไฟตายไปเสียก่อน”
เมื่อปะทะคารมกันแล้วก็เริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเหมือนอสูรกายยักษ์ใหญ่จักออมมือคล้ายเย้าแหย่รพีพงศ์ ด้วยความทนงตัวว่ารพีพงศ์มิอาจหาจุดอ่อนของตนเจอได้ จึงคอยยืนนิ่งให้ปลายขรรค์ทิ่มแทงบ้าง แสร้งเบี่ยงตัวหลบแต่มิโต้ตอบบ้าง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการดูหมิ่นผู้สืบบัลลังก์ทินกรเลยสักนิด
“ตายเสียเถอะ!!!” เทวาร่างอัคคีพุ่งตัวเข้าใส่พร้อมพระขรรค์ ทว่าครั้งนี้ปลายพระขรรค์อยู่ห่างจากผิวกายยักษาเพียงคืบเดียว รพีพงศ์ไม่ได้คิดจะใช้พระขรรค์สู้แต่กลับจับเข้าที่หางที่เป็นหางมัจฉาแทน อสูรกายยักษ์วารีดินรนขัดขืนหากรพีพงศ์กลับเสียบพระขรรค์เข้ากายอสูรกายยักษ์ใหญ่จนมิดด้ามตรึงกับต้นไม้ใหญ่มิให้ไปไหน
“ความประมาทนำพาสู่ความฉิบหาย ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไป เจ้ามิรู้หรือไรว่าเหตุใดข้าจึงพุ่งกายใช้พระขรรค์ทำร้ายเจ้าทั้งที่ทำไปเจ้าก็มิมีบาดแผล คำตอบเพราะข้าลอบสังเกตพฤติกรรมเจ้าที่ทุกครั้งที่ข้าเข้าหาเจ้าจะพยายามเบี่ยงตัวหนีให้แผ่นหลังของเจ้า หางของเจ้าอยู่ชิดตนเพราะเจ้านั้นระวังมิให้ข้าโดนหาง” หากใครสามารถมองเห็นทะลุผ่านเปลวไฟได้จะมองเห็นรอยยิ้มที่แสนจะน่ากลัวของรพีพงศ์ รอยยิ้มที่ไร้ความปรานี ไร้ความเมตตา
“ท่าน…อ้าก!!!!!!!!” อสูรกายยักษ์วารีมิอาจเอื้อนเอ่ยอันใดได้อีกต่อไป เมื่อไฟนั้นลุกลามกัดกินส่วนหาง จึงสิ้นฤทธิ์คืนสู่ร่างของ ธร ธัช ธัญ ที่ยืนซ้อนกัน อัคคีเผาไหม้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายทั้งสามก็กลายเป็นกองเถ้าถ่านขนาดใหญ่ มิต่างจาก ธีร์ ธาม
รพีพงศ์เดินกลับมาทางกนธีและนาคินทร์ที่ยังถูกคุมขัง เปลวไฟที่ห่อหุ้มกายค่อยๆ มอดดับลงเหลือไว้เพียงเถ้าถ่านที่กลายเป็นอาภรณ์ปกปิดกายรพีพงศ์ดังเดิม เทพหนุ่มหันมองนาคินทร์ที่จ้องมองตนมาเช่นกัน ก่อนจะหันมามองกนธีที่ยืนยกยิ้มมุมปากอยู่ตรงหน้า
“ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก สามารถสู้กับทหารของข้าได้” กนธีชมเปาะดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“แต่ยังด้อยกว่าข้ายิ่งนัก” กนธีจับบ่าของรพีพงศ์กระชากเข้ามาหาตน เสียงกระซิบดูถูกที่เปล่งออกมาดังก้องในหูของรพีพงศ์ ก่อนจะถูกกนธีผลักจนเกือบเซล้ม
“เจ้ากับข้ามาตัดสินกันโดยมีนาคินทร์เป็นเดิมพัน ใครชนะ..ไม่สิ ใครมีชีวิตรอดก็จักได้นาคินทร์ไป” กนธีเอ่ย มือกำตรีศูลศาสตรวุธประจำพระสมุทรไว้แน่น
“ข้าขอบอกอะไรท่านไว้สักอย่าง นาคินทร์มิใช้ของเดิมพันระหว่างท่านกับข้า แต่นาคินทร์เป็นของข้าเพียงผู้เดียวต่างหากเล่า...”
...........................
ท่อนแรกเราจะเจอความมาม่าของพี่นภนต์ ขอกำลังใจจากทุกคนส่งไปให้ถึงเทพแห่งท้องนภาด้วยนะคะ
ท่อนสองจัดเต็มกับป๋ากนธีของท่านยุ่งแม้จะไม่ลงมือเองแต่ออกมาเยอะกว่าตอนก่อน ใครจะปาหินใส่กระท่อมท่านยุ่ง ตอนนี้ทำไม่ได้นะคะ ท่านยุ่งขายแล้วค่ะ เอามาจ่ายค่าตัวป๋า
ยังไงติดตามอ่าน เม้น ติชม กันตามสบายนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งกันแม้จะอัพช้าก็ตามที ใกล้จบแล้ว มาสนุกกับนิยายท่านยุ่งเยอะๆเนอะ