[End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61  (อ่าน 106906 ครั้ง)

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
รักลูกตาล

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ไม่ได้อ่านมาหลายตอน
ตามอ่านทีเดียว สนุกเลย :mew1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 15


              “ไม่เอาด้วยหรอกนะครับ”

              “ทำไมละเปลว”  เสียงกระเง้ากระงอดของลูกเป็นตัวเขื่อนที่เดินตามหลังของเขามาตั้งแต่ลุกจากเตียงพร้อมคำถามเดิมๆที่ทำเอาคนฟังได้แต่นึกละอา

            “ไหนๆก็ไปที่เดียวกันอยู่แล้วทำไมไปพร้อมกันเลยไม่ได้” อัมรินทร์ถามอีกครั้ง ใบหน้าหล่อคมเริ่มบึ้งตึงเมื่อคำตอบที่ได้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

              “ก็ผมไปเองได้”  เปลวอรุณตอบอย่างใจเย็น สายตาจดจ้องกับการกัดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ตของตนแทนเงาดำของอัมรินทร์พาดทับตัวเขาไปสะท้อนกับบานกระจกตรงหน้าแทน

              เสื้อเชิ้ตสีควันบุหรี่เข้มที่เจ้าของไม่แม้จะสนใจกัดกระดุมให้ติดกับเรียบร้อยเหมือนแค่หยิบมาสวมแขนใส่คุมตัวเอาเฉยๆเพื่อที่จะโชว์กล้ามหน้าท้องที่เรียงตัวสวยอันเป็นผลพวงจากการออกกำลังอย่างหนักของอีกคนเท่านั้น  แต่เปลวอรุณไม่ใช่พวกชอบออกกำลังอยู่แล้วและไม่ได้ใฝ่ฝันอยากได้หุ่นอย่างนั่นด้วยเขาเองจึงไม่ได้มีใจพิศวาสในหุ่นของคนชอบโชว์เท่าไร ออกจะขัดใจกับความไม่เรียบร้อยนั้นเสียด้วยซ้ำไป

              “แล้วไปพร้อมฉันมันมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรอเปลว” ครั้งนี้อัมรินทร์เริ่มกระแทรกเสียงกอดอกหน้าตึงใส่

              ก้าวร้าวแบบเด็กๆ...

              ถ้ายังไม่ได้คำตอบที่ต้องการอัมรินทร์เองก็ไม่คิดที่จะทำอะไรให้เรียบร้อยเหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่เปลวอรุณคาดเดาเองในใจ

              ต้องขอบคุณความงี่เง่าเอาแต่ใจของพิมพาที่ทำให้เขาสามารถเดาอารมณ์และเตรียมรับมือกับคนตัวโตที่ยืนปิดท้างเขาอยู่ได้ว่าจะทำอะไรเป็นอย่างต่อไป

              ซึ่งกรณีของอัมรินทร์ก็ ไม่ทำอะไรเลย...

              นาฬิกาสายหนังสีดำเรือนเล็กบอกเวลาหกนาฬิกาสี่สิบห้านาทีถูกหยิบขึ้นมาวางทาบกับข้อมือขาวก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมาเช็คความเรียบร้อยของตัวเองที่หน้ากระจกอีกครั้ง แน่นอนว่ายักษ์ปรักหลักข้างหลังเขาก็ยังอยู่ในสภาพเดิมตั้งแต่แรก

              “ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสักทีสิครับ เดี๋ยวจะไปทำงานกันสาย” เขาทำเสียงเอ็ดใส่มองอัมรินทร์ที่ยืนซ้อนหลังอยู่ผ่านกระจกบางตรงหน้าแทนการหันกลับไปคุย

              อัมรินทร์ไม่ตอบซ้ำยังทำหน้าบึ้งกอดอกแน่นกว่าเดินคล้ายยืนยันคำตอบว่า ไม่

              เปลวอรุณถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับลูกเป็ดเอาแต่ใจ

              ปลายนิ้วเรียวดันแว่นตาที่เลื่อนต่ำลงให้เข้าที่ก่อนจะหันหลังมาเผชิญหน้ากับหมาป่าหนุ่มโตเต็มวัยที่อยู่ดีๆก็กลายร่างเป็นลูกเป็ดตัวเขื่อนจอมดื้อรั้นไม่ฟังเหตุผล

              เปลวอรุณใช้มือดันท่อนแขนหนาที่กอดกันแน่นออกแล้วดึงสาบเสื้อทั้งสองข้างให้ดีก่อนจะติดกระดุมให้เรียบร้อยโดยไม่ปริปากพูดอะไร อัมรินทร์เลิกคิ้วมองคนที่สูงแค่ปลายจมูกอย่างไม่เข้าใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มชอบใจผิดกับเมื่อครู่ปล่อยตัวให้เปลวอรุณจัดการเสื้อผ้าของตัวเอง

              นอกจากจะกัดกระดุมติดกันทุกเม็ดแล้วคนตัวขาวยังบริการผูกเนคไทให้เขาอีกด้วย เนคไทยี่ห้อดังมีดำเรียบๆที่ตัวเขาเองก็มองอยู่ตั้งแต่ตอนที่อีกคนเดินไปเปิดลิ้นชัดไม่คิดว่าเปลวอรุณเองก็คิดตรงกับเขาด้วยเช่นกัน

            ได้อารมณ์เหมือนภรรยาช่วยสามีแต่งตัวยังไงก็ไม่รู้...

              “เอาชายเสื้อเข้ากางเกงเองนะครับ” เปลวอรุณบอกว่าอย่างนั่นแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าทำงานของทั้งเขาและตัวเองเดินออกจากห้องไป

              แต่ไม่หยิบกุญแจรถของตัวเองไปด้วย...

              หมาป่าในคราบลูกเป็ดยกยิ้มคิดเข้าข้างตัวเองโดยตัดเอาเหตุผลที่ว่าเปลวอรุณรำคาญความดื้อของเขาออกเป็นว่าอีกคนใจอ่อนยอมเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้เขาแทน

            อัมรินทร์ไม่รีรอรับจัดแจงทำตามคำพูดที่เปลวอรุณว่าทิ้งท้ายแล้วจัดการความเรียบร้อยส่วนตัวอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องตามอีกคนลงไปข้างล่างด้วยหน้าตาที่ดูจะเบิกบานจนออกนอกหน้า..เกินไปหน่อย..

 

              การติดฟิร์มกรองแสงสำหรับถือเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วทุกประเทศโดนเฉพาะประเทศไทยที่มีแสงแดดส่องตลอดวัน แต่ถึงจะติดทึบอย่างไรแต่มันก็ไม่ได้มืดขนาดที่ว่าคนภายนอกจะมองไม่เห็น

              ช่วงเวลาที่รถยนต์ของรองประธานหนุ่มขับเข้ามาในลานจอดรถแน่นอนว่าต้องมีรถยนต์ของพนักงานขับสวนผ่านแน่และเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเหล่านั้นจะไม่สังเกตเห็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างเปลวอรุณยิ่งเห็นว่าเขาก้มทำเป็นไม่สนใจขนาดไหนก็เหมือนว่าอัมรินทร์ยิ่งสนุกขับรถพาเขาวนทุกชั้นจอดรถเหมือนต้องการให้ทุกคนรับรู้ว่าพวกเขามาด้วยกันและเท่านั้นยังไม่พอ

              ตอนแรกที่อัมรินทร์ปลดเซฟตี้เบลออกแล้วเปิดประตูลงไปพร้อมสั่งยังไม่ลงจากรถเขาก็นึกสงสัยแต่พออีกคนมาปรากฏตัวอยู่ข้างประตูฝั่งที่เขานั่งอยู่นั่นแหละเขาถึงเข้าใจ

              “ลงมาสิเปลว” รอยยิ้มของอัมรินทร์ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดเมื่อต้องเจอกับสายตาเชิงตั้งคำถามและประหลาดใจของพนักงานชายหญิงในละแวกนั้นที่หยุดมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกใจ ครั้นพอเขาหันกลับไปมองตอบคนพวกนั้นก็จะรีบก้มหน้ายิ้มทักทายเขาเหมือนปกติแต่ไม่ใช่กับ สายตา และ ความคิด

              ข่าวลือเรื่องสมพานหนุ่มที่ริอาจอยากจะกินไก่วัดในการปกครองของตนอย่างรองประธานอัมรินทร์กับเลขานุการส่วนตัวเปลวอรุณเป็นเรื่องที่พูดกันปากต่อปากมานานและดูเหมือนมันจะเริ่มฮิตกลับมาติดกระแสอีกครั้งหลังจากที่อัมรินทร์อุ้มเปลวอรุณขึ้นรถฉุกเฉินไปวันนั้น

            แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เปลวอรุณมาทำงานพร้อมอัมรินทร์โดยรองประธานหนุ่มเป็นสารถีให้แบบนี้แต่นี้เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่อัมรินทร์ดูจะออกนอกหน้ากับการมาทำงานพร้อมกันแบบนี้

              เหมือนว่าอัมรินทร์ต้องการเปิดตัวเปลวอรุณในอีกฐานะหนึ่งที่ไม่ใช่ เลขาหน้าห้อง

              ซึ่งนั้นก็ทำให้เปลวอรุณอยากหายตัวไปจากตรงหนีหลบออกจากสายตาผู้คนไปให้ถึงลิฟต์เร็วที่สุดแต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะในความเป็นจริงแล้วเปลวอรุณจอมขี้อายเดินก้มหน้าคางชินอกเหมือนคนเดินก้มหาเศษเหรียญตามพื้นไม่แม้จะเงยหน้ามองทาง ผิดกันกับคนข้างกายอย่างอัมรินทร์ที่โปรยยิ้มให้พนักงานทุกระดับตั้งแต่พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ลานจอดจนถึงพนักงานบริษัทภายในตัวตึก

              และด้วยความเป็นห่วงกลัวคนที่เดินก้มหาเหรียญอยู่จะเผลอเดินชนใครเขาเข้าหรือหนักกว่านั้นคือเดินชนเสาจนหัวแตกหรือขนโต๊ะจนเป็นแผล

              ไวเท่าความคิดมือหนาของเขาก็ฉวยจับเข้าที่มือของเปลวอรุณทันที

คนตัวขาวดูเหมือนจะสะดุ้งตกใจอยู่เหมือนกันที่เขาทำอะไรโต้งๆแบบนี้กลางผู้คน แม้จะไม่มีใครพูดอะไรนอกจากยกมือปิดปากมือทาบอกแต่ลับหลังละใครจะรู้ ต่อให้เจ้านายดีแค่ไหนก็ต้องมีเรื่องให้ลูกน้องแอบเอามานินทาลับหลังได้เหมือนกัน

               “ทำอะไรของคุณเนี้ย” เปลวอรุณถามเสียงตื่นพยายามบิดมือออกจากมือที่ใหญ่กว่า

              “ก็เปลวเดินไม่มองทางเลยนี้ ฉันก็กลัวว่าเปลวจะเดินชนอะไรเข้า” อัมรินทร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างมาก แต่ขอละ หน้านะไม่ต้องยื่นเข้ามาจนจะชิดแบบนี้ก็ได้ เปลวอรุณร้องขอในใจ

              “ผมเดินเองได้” เหมือนแมวตัวน้องที่กำลังฟองตัวขู่ใส่ ไม่ได้น่ากลัวแต่น่ารักจนอยากแกล้งมากกว่าทำตาม

              อัมรินทร์ยิ้มลอยหน้าไม่สนใจเจตนาความต้องการของเปลวอรุณทั้งยังเพิ่มแรงจับมือขาวนุ่มนั่นให้แน่นกว่าเดิมแล้วพาเดินเข้าลิฟต์ไปทามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นนับสิบคู่ที่มองตามมา

            ชายหนุ่มจับมือเปลวอรุณอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อยแม้จะมีพนักงานเข้ามาทักทายพูดคุยด้วยยังไงหรืออีกคนจะพยายามบิดออกมากแค่ไหนจนเปลวอรุณเริ่มปลงและปล่อยเลยตามเลย กว่าอัมรินทร์จะพาเปลวอรุณมาถึงโต๊ะทำงานได้ก็หลังจากที่พาคนตัวขาวเดินทักทายคนทั้งบริษัทครบทุกแผนก

            เปลวอรุณรู้สึกเมื่อยขาเป็นอย่างมากเพราะกว่าจะถึงโต๊ะได้ก็เกือบเก้าโมงครึ่ง ความตั้งใจแรกของเขาคือการนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานพร้อมดื่มน้ำสักแก้วลกความกระหายเหนื่อย

              แต่..

              “เดี๋ยวของกาแฟด้วยนะเปลว”  เปลวอรุณหันมามองหน้าอีกคนอย่างตั้งคำถาม

              “อีกแล้วหรอครับ ก่อนออกจากบ้านมาก็เพิ่งดื่มไป” เขาเอ็ดใส่ กินอะไรบ่อยขนานนี้

              “งั่นเป็นโกโก้ร้อนก็ได้”  อัมรินทร์แกว่งมือเปลวอรุณเบาๆเหมือนอ้อน

               ตอนแรกอัมรินทร์ก็ว่าจะเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไปเลยเพื่อให้เปลวอรุณได้นั่งพักถ้าไม่เพราะเขาเหลือบไปเห็นซองจดหมายสีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะของอีกคนเสียก่อน

              ของใคร..

            โชคดีที่เปลวอรุณหันหลังให้โต๊ะอยู่เลยทำให้ไม่ทันสังเกตสิ่งแปลกปลอมที่มาวางอยู่ที่โต๊ะ ชายหนุ่มจึงคิดจะให้เปลวอรุณเข้าไปที่ครัวเล็กก่อนแล้วอาศัยจังหวะที่อีกคนไม่อยู่โต๊ะแอบหยิบจดหมายน้อยสีหวานนั้นออกมาก่อนที่เจ้าของตัวจริงจะมาเห็นมัน

              ถึงเรื่อชู้สาวพนักงานรักกันเองจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดระเบียบของบริษัทแต่อย่างใด แต่จะมาชู้สาวกับเลขาของเขาไม่ได้ เขาไม่ยอม

              “ถ้างั้นคุณอัมรินทร์เข้าไปรอในห้องก่อนแล้วกันนะครับผมของวางของก่อน”

              เปลวอรุณตอบกลับแล้วหันหลังให้อัมรินทร์ที่ยังไม่ทันอ้าปากค้านไปที่เก้าอี้ของตนแล้วทรุดตัวนั่งและนั่นก็ทำให้เปลวอรุณเห็นเจ้าซองจดหมายนั้นพอดี

              หัวคิ้วสวยย่นมองสิ่งวางอยู่กลางโต๊ะทำงานของตนอย่างฉงนก่อนจะหันมามองอัมรินทร์ด้วยสายตาเดียวกัน   อัมรินทร์ยกยิ้มแก้เก้อแล้วเปิดประตูเดินเข้าห้องไปแต่ก็ไม่วายหลบอยู่หลังประตูแง้มบานประตูให้พอที่สายตาของตนจะสามารถมองเห็นเปลวอรุณได้ถนัดตา

              ซองจดหมายสีชมพูหวานเป็นแบบปิดผนึกเปลวอรุณจึงต้องฉีกขอบตามแนวตั้งเพื่อนำกระดาษสีขาวที่อยู่ด้านในออกมา นัยน์ตาดำนิ่งหลังเลนส์แว่นไล่อ่านเนื้อความ

              อัมรินทร์ไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกเขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้นมีเนื้อหาว่าอะไรแต่หัวคิ้วของเปลวอรุณที่ตอนแรกย่นชนกันเพราะความสงสัยถูกกดต่ำลงจนกลายเป็นเหมือนว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังไม่พอใจสิ่งที่ได้อ่านและมือขาวขย้ำกระดาษแผ่นนั้นแทบจะทันทีที่อ่านจบง้างแขนพร้อมเตรียมปาเจ้าก้อนกระดาษนั้นลงถังขยะข้างๆแต่ก็ชะงักกลางอากาศอยู่อย่างนั้นสองสามครั้งก่อนที่เปลวอรุณจะตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ไปพร้อมกระดาษในมือด้วยใบหน้าคล้ายโกรธจัด

              อัมรินทร์ผลักประตูที่บังออกแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของเปลวอรุณ นัยน์ตาคมหรี่มองซองจดหมายที่ถูกฉีกออกหยิบขึ้นมาพิจารณานอกจาก “เลขารองประธาน เปลวอรุณ” ที่ถูกพิมพ์แล้วแปะทับด้วยก๊อตเทปใสแล้วแล้วเขาก็ไม่พบอะไรอื่นอีกที่สามารถระบุตัวคนส่งได้

              ตัดจดหมายรักไปได้เลย เพราะคงไม่มีใครพิมพ์ชื่ออีกฝ่ายที่จะบอกรักแบบนี้แน่ อย่างน้อยก็อัมรินทร์นี่แหละที่จะไม่พิมพ์

              แล้วมันเป็นจดหมายอะไรกันแน่ที่ต้องระวังตัวขนาดนี้แถมยังทำให้ใบหน้าขาวนั้นแดงจัดด้วยความโกรธขนาดนั้น...

 

              เวลาทำงานเปลวอรุณขึ้นชื่อเรื่องระเบียบความถูกต้องและใจความเป็นหลักแต่วันนี้ดูเหมือนมาตรฐานของเปลวอรุณจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณเอกสารทุกอย่างที่ต้องผ่านการพิจารณาถูกตีกลับเป็นว่าเล่นเช่นเดียวกับพนักงานเดินเอกสารที่สลับกันเดินหน้าเสียออกไปกันเป็นแถวเห็นแล้วอัมรินทร์เองก็นึกเห็นใจ

              “เปลวเป็นอะไรหรือเปล่า”  ดูท่าว่าวันนี้อัมรินทร์จะติดการถามคำถามซ้ำๆ

              “ไม่เป็นอะไรครับ” และเปลวอรุณเองก็ติดที่จะตอบแบบปัดๆด้วยคำตอบเดิมที่น้ำเสียงมันดูขัดแย้งกับคำว่า ไม่เป็นอะไร เป็นอย่างมาก

              “แต่วันนี้เปลวดูตึงๆไปนะ” อัมรินทร์พูดต่อตาก็จ้องมองเอกสารในมือสลับกับเหลือบมองคนตัวขาวที่นั่งจัดแต่งกิ่งต้นบอนไซจิ๋วที่ลูกตาลไปกลับขนมาให้เมื่อวานก่อนอยู่ตรงหน้าอ่างหินที่เขาทำไว้ให้

              “แถมดูเหมือนไม่พอใจอะไรด้วย” เปลวอรุณปลายตามองเขม็งเมื่อเจอคำถามจี้ใจ

            “มีอะไรก็บอกกันได้นะเปลว” อัมรินทร์เลือกที่จะวางเอกสารในมือแล้วกันมามองหน้าอีกคนตรงๆแทนอย่างให้ความสำคัญ

              “ไม่มีครับ”

               ผู้ร้ายปากแข็ง อัมรินทร์ปรามาสในใจใส่อีกคน

               เปลวอรุณวางต้นบอนไซจิ๋วในมือลงกับโต๊ะเสริมที่อัมรินทร์ยกมาวางข้างๆโต๊ะวางอ่างหินแล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบชุดสำหรับใส่นอนแล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไปไม่พูดไม่จา

               เปลวอรุณไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังเรื่องนี้เขาก็พอรู้อยู่แต่เรื่องมันก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

              อัมรินทร์ถอนให้ใจยอมแพ้ให้กับความปากแข็งของคนตัวขาว

              ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เปลวอรุณพูดกับเขาแทบนับคำได้ ไม่ถามคือไม่ตอบ ไม่ใช่กับเขาเท่านั้นกับลูกตาลหรืออนิรุทธิ์เองก็เป็นเหมือนกัน

              “จดหมายนั้นมาจากใคร” อัมรินทร์พึมพำปลายนิ้วยกขึ้นมาถูไปมาที่คางอย่างใช้ความคิด

               

              สามวันกับการหาคำตอบที่ผลคือ คว้าน้ำเหลว...

              ไม่มีใครรู้ว่าจดหมายนั้นใครเป็นคนส่งมา

              ไม่มีใครรู้ว่ามันมาว่างอยู่บนโต๊ะของเปลวอรุณได้อย่างไร

              และเศษซากของมันก็ไม่สามารถตอบคำถามของอัมรินทร์ได้เช่นกัน

              ใช่ ‘เศษซาก’ เพราะนอกจากมันจะถูกขย้ำจนยับยู่แล้วเปลวอรุณยังเพิ่มแรงแค้นใส่มันโดยการฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วราดน้ำใส่ก่อนจะปั้นมันเป็นก้อนแล้วโยนลงถังขยะในห้องน้ำ น้ำหมึกที่ใช้เขียนเลอะจนมองไม่ออกว่าแต่ก่อนมันถูกใช้เขียนเป็นคำว่าอะไรอีกทั้งยังเละจนไม่รู้จะหาทางกู้มันคืนกลับมาได้ยังไง และอีกอย่างที่ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกคือ เปลวอรุณร้องไห้ 

              คนที่โกรธจนร้องไห้ได้ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆมันต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงหรือไม่ก็กระทบต่อจิตใจโดยตรง  สิ่งเดียวที่เขาคิดได้คือเจ้าของจดหมายฉบับนั้นอาจเป็นคนเดียวกับเจ้าของเบอร์ล็อคเบอร์นั้น

               คนในความลับของเปลว...

              ความเป็นไปได้ที่อัมรินทร์ อนิรุทธิ์ และลิลดา ลงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด

              “น่าแปลกนะที่คนคนนั้นสามารถเข้ามาถึงหน้าของอันได้โดยที่กล้องวงจรปิดไม่สามารถจับได้เลยสักตัว” ความแปลกใจที่ลิลดาฉุดคิดขึ้นคือสิ่งที่ตัวอัมรินทร์เองคิดอยู่เช่นกัน

              อัมรินทร์สั่งเรียกดูกล้องวงจรปิดย้อนหลังกลับไปตั้งแต่วันศุกร์หลังเลิกงานจนถึงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแต่ก็ไม่พบอะไร กล้องทุกตัวทำงานปกติไม่มีดับแต่กลับจับภาพคนวางไม่ได้เหมือนว่าอยู่ๆมันก็มาเองทั้งโต๊ะทำงานของเปลวอรุณคือจุดที่สามารถเก็บภาพได้ชัดที่สุด

              “แต่นอกจากจดหมายฉบับนั้นแล้วข้าวของอย่างอื่นก็ไม่มีการเคลื่อนที่ แสดงว่าคนทำเจาะจงที่จะมาหาเปลวโดยเฉพาะ” อนิรุทธิ์ลงความเห็น

              “แล้วมันมาเพื่ออะไรอีก มันเป็นคนทอดทิ้งเปลวเองนะ” อัมรินทร์ดูจะหัวเสียเป็นอย่างมาถึงขึ้นกระแทรกเสียงใส่ผู้ร่วมสนทนาจนอนิรุทธิ์ต้องออกปากปรามให้น้องชายสงบลงเพราะเกรงว่าคนที่พูดถึงจะเดินออกจากครัวมาได้ยินเข้า

              “ไม่รู้ละ ตอนนี้เปลวเป็นของกูยังไงกูก็ไม่มีทางให้มันเอาเปลวไปแน่” อัมรินทร์ยื่นคำขาดเสียงหนัก

              “แล้วมึงจะทำอะไรได้ มึงอย่าลืมสิวะว่ามึงเอาเขามาอยู่ด้วยเพราะอะไรอีกอย่างมึงกับเปลวก็ไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากเจ้านายกับลูกน้อง คนที่นอนเตียงเดียวกันเฉยๆเขาไม่เรียกว่าได้กันแล้วหรอกนะไอ้อัน”

              “แต่เปลวเป็นของกู”  อัมรินทร์จ้องตาลูกพี่ลูกน้องหนุ่มอย่างเอาเรื่อง

              “น่าๆ ทั้งสองคนอย่างเสียงดังกันสิค่อยๆพูดค่อยๆจา” หนึ่งหญิงเพียงคนเดียวในห้องยกมือขึ้นปรามสองพี่น้องที่จ้องตากันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ใจเย็น

              “เรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ยิ่งกับคุณเปลวด้วยแล้วลิลว่าคงยากที่เขาจะยอมอันง่ายๆถูกไหม”  เธอหันมาถามอัมรินทร์ที่ท้ายประโยค

              “แถมมึงก็ไม่ได้พาเขาเข้าบ้านด้วยเหตุผลบริสุทธิ์ด้วย” อนิรุทธิ์เสริมคล้ายหาเรื่อง

              อัมรินทร์กัดฟันแน่น

              “อย่าเพิ่งกัดกันจะได้ไหม” ลิลดาขึ้นเสียงบ้างอย่างเหลือทน

              “ลิลรู้ว่าเรื่องแบบนี้สำหรับคุณเปลวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน” เธอพูดพร้อยย้ายฝั่งที่นั่งจากข้างอนิรุทธิ์มาเป็นที่วางข้างอัมรินทร์พร้อมยกมือตบไหล่ของเพื่อนชายคนสนิท

              “แต่อันไม่ต้องห่วงไปนะลิลเชื่อว่าเดี๋ยวคุณเปลวต้องใจอ่อนให้อันเองนั่นแหละ” ลิลดายิ้มหวานปลอบใจเพื่อน

              “แล้วเมื่อไรละ ต้องรอให้มันโผล่หน้าเป็นตัวเป็นตนตรงหน้าก่อนไหมเปลวถึงจะยอม” อัมรินทร์ใจร้อนเรื่องนี้เธอรู้ดี ยิ่งสถานกาณ์แบบนี้ด้วยแล้วไม่แปลกที่อัมรินทร์จะร้อนรน

              “อันต้องพูดคุยกับคุณเปลว เปิดใจอะไรแบบนี้” เธอเสนอ

              “เปิดใจเรื่องอะไร เรื่องที่ฉันโกหกเขานะหรอ”

              “เรื่องทั่วไปสิ ช่วงนี้คุณเปลวกำลังอ่อนไหวอันต้องรีบทำคะแนน” จริงอยู่ที่ว่าตั้งแต่อัมรินทร์เห็นเปลวอรุณร้องไห้ในห้องน้ำวันนี้เปลวอรุณดูซึมลงและเข้าถึงยากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่จะให้เข้าไปพูดอะไรด้วยละเพราะแค่นี้ทุกวันเขาชวนคุยอีกฝ่ายก็หันหลังหนีชิงหลับหนีก่อนเขาทุกที

            “เดี๋ยวเรื่องนี้ลิลจะช่วยอันเอง” ลิลดาคลี่ยิ้มหวาน

              “ช่วยหรอ” อัมรินทร์ทวน

              “ใช่ แต่ลิลมาข้อแลกเปลี่ยน” เธอแบรค

              “อยากได้อะไร” อัมรินทร์หรี่ตาถาม

              เจ้าหล่อนไม่ตอบนอกจากส่งยิ้มกรุมกริมมาให้พร้อมปรายตาไปทางอนิรุทธิ์เป็นเชิงตอบ อัมรินทร์เองก็ไม่ใช่คนซื่อที่จะไม่รู้ว่าหญิงสาวต้องการอะไร

              “ได้”  อัมรินทร์รับคำ หยักคิ้วหลิ่วตามองพี่ชายคล้ายสะใจ

              “เดี๋ยวๆ มึงกับลิลคิดจะแลกเปลี่ยนอะไรแล้วทำไมต้องมองกูแบบนั้น” อนิรุทธิ์รู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆจนแทบนั่งไม่ติดที่เห็นทั้งคู่หันมามองตนด้วยสายตามีนัยยะแบบนี้

              “มึงนะเงียบไปเลยไอ้รุทธิ์ไม่ช่วยอะไรแล้วยังเกทัพกูอีก” คนน้องชี้หน้าสั่ง  “ลิลว่ามาเลยว่าจะให้ทำไรบ้าง” แล้วหันไปพูดเสียงอ่อนกับสาวข้างกาย

              ลิลดายิ้ม

              มื้อนี้เปลวอรุณลงมือทำเองโดยมีลูกตาลกับแม่บ้านช่วยเป็นลูกมือทำให้อาหารดูหลากหลายขึ้นอย่างน้อยก็เพื่อปลอบใจลิลดาที่ครั้งก่อนต้องเป็นหม้ายไม่ได้ฉลองอย่างที่ตนต้องการ และดูเหมือนว่าลิลดาจะชอบรสมือของเปลวอรุณพอควรเพราะนอกจากชมไม่หยุดปากแล้วเธอยังของเพิ่มข้าวเพื่อกินกับที่เปลวอรุณทำจนหมดจนลืมไปเลยว่าตอนที่มาถึงบ้านนี้ตอนแรกเธอตีหน้าเศร้าสะเทือนอารมณ์คนมองขนาดไหนที่จะพลาดงานฉลองครั้งก่อน

              “คุณเปลวไม่ดื่มด้วยกันจริงๆหรอ” ลิลดาเอ่ยถามพลางพยายามเชิญชวนให้เปลวอรุณรับแก้วไวน์ในมือของเธอไป

              “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ชอบดื่มแถมพรุ่งนี้ต้องทำงานด้วย” เปลวอรุณปฏิเสธอย่างนอบน้อมที่สุด

              “ถ้างั้นเอาเป็นน้ำผลไม้แทนนะคะ”

              ครั้งนี้เปลวอรุณพยักหน้ายอมรับน้ำใจ หญิงสาวคลี่ยิ้มก่อนลุกขึ้นไปหลังเคาร์เตอร์หยิบน้ำผลไม้สดที่เธอซื้อติดมือก่อนเข้ามาเทใส่แก้วให้เปลวอรุณพร้อมของขวัญพิเศษที่เธอได้มาลงไปด้วย

              “นี้ค่ะ”  เธอเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำผลไม้สองแก้ว แก้วหนึ่งเธอส่งให้แม่บ้านที่ยืนอยู่เพื่อฝากให้เอาขึ้นไปให้ลูกตาลที่ขอตัวขึ้นบ้านไปก่อนตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จ  ส่วนอีกแล้วนำมาให้เปลวอรุณที่นั่งรออยู่

เปลวอรุณกล่าวขอบคุณพร้อมรับเอาแก้วน้ำผลไม้อีกแก้วที่ถูกส่งมาให้

              “เห็นอันบอกว่าคุณเปลวชอบดื่มน้ำผลไม้ตอนเช้าลิลเลยซื้อมาฝาก อร่อยไหมคะ”

              “ครับ”

                ลิลดายิ้มพอใจ

               รสชาติเปรี้ยวอมหวานของน้ำผลไม้สดที่น่าจะเป็นพวกเบอรี่เย็นฉ่ำช่วยให้เขารู้สึกสดชื้นขึ้นเพราะแบบนี้ไงละเขาถึงชอบดื่มน้ำผลไม้เย็นๆตอนเช้า แต่ก็ไม่รังเกลียดถ้าจะได้ดื่มมันหลังมื้อเย็นอีกเช่นกัน

              หัวข้อสนทนาที่ลิลดาหยิบยกขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไป ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ชวนเปลวอรุณที่เอาแต่นั่งเซื่องซึมคุยเสียเป็นส่วนใหญ่  และดูเหมือนว่าจะได้ผลเปลวอรุณดูจะมีส่วนร่วมมากขึ้น

              อัมรินทร์มองเสี่ยวหน้าคนข้างกายแล้วก็พอคลายกังวลลงบ้างที่เห็นว่าเปลวอรุณเริ่มโต้ตอบตั้งคำถามในบนสนทนาบ้างแบบนี้บางทีอาจเพราะได้เพื่อนคุยเป็นลิลดาที่คุยสนุกด้วยเลยทำให้เปลวอรุณไม่เขินเกร็งเวลาร่วมวงกับพวกเขาเพราะปกติเปลวอรุณจะไม่ค่อยนั่งคุยหลังกินข้าวกับเขาและอนิรุทธิ์เท่าไร น่าจะเพราะยังไม่คุ้ยเคย..

              “รุทธิ์ค่ะ ลิลว่าลิลเริ่มมึนๆแล้วคืนนี้ขอค้างที่นี้จะได้ไหมคะ” ลิลดาฟุบหน้าลงกับโต๊ะพูดขึ้น

              “ก็บอกแล้วว่าอย่าดื่มเยอะ” อนิรุทธิ์เอ็ดใส่เหมือนดุเด็กก่อนจะหันไปหาแม่บ้านให้ขึ้นไปเปิดห้องนอนแขกแล้วเตรียมเสื้อผ้าเปลี่ยนให้หญิงสาว

              “นานๆทีน่า” ใบหน้าหวานที่เกยคางกันขอบโต๊ะขึ้นสีจางๆเพราะแอลกอฮอล์จากการหมักของไวน์แม้จะไม่ถึงกับเมาไปเลยแต่ก็พอมึนให้ทัศนวิสัยไม่ปกติได้

              “เดี๋ยวกูพาลิลขึ้นไปพักก่อน มึงก็พอได้แล้วพรุ่งนี้มึงต้องทำงาน” อนิรุทธิ์หันมาปรามน้องชายที่ยังคงละเลียดจิบไวน์อยู่ ก่อนจะหันไปช้อนตัวลิลดาขึ้นอุ้มแล้วพาขึ้นไปพักที่ด้านบน

              “รู้แล้วๆ เปลวจะขึ้นบ้านเลยไหม”

              เปลวอรุณพยักหน้า อัมรินทร์ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มที่เหลือรวดเดียวจนหมดก่อนจะฝากฝั่งความเรียบร้อยของบ้านไว้ให้ลุงอุ่นจัดการส่วนตนก็เดินตามเปลวอรุณกลับขึ้นห้องนอนของพวกเขา

______________________________________________________________________

นอนกันยัง
มาดึกไปหน่อยยังมีใครอยู่เป็นนกฮูกกับเราบ้างงง



ปมใหม่มาแล้วเรื่องของอันอันกำลังจะแดงแล้วเช่นกัน

Oop

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เปลวโดนมอมยาแน่ๆเลย อิอิ อุ้ย แอบเชียร์ให้เสียตัว 5555555

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 16


        ไฟในห้องนอนถูกดับลงแล้วเมื่อครู่แต่ดวงตาของเปลวอรุณกลับยังสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดที่สายตายังไม่สามารถปรับให้ชินได้ ความพร่าเบลอของสายตายามที่ไม่มีเลนส์คอยช่วยแม้จะไม่มากแต่ก็พอทำให้รู้สึกว่าเงาตะคุ่มสูงใหญ่ของอัมรินทร์ที่กำลังเดินตรงมาที่เตียงนั้นดูน่ากลัว  จนใจสั่น...

   ถึงภาพที่เห็นจะมั่วเบลอไม่ชัดแต่เขากลับมองทุกการกระทำของเงาดำที่เดินเข้ามาใกล้ทุกการกระทำจนร่างสูงใหญ่นั้นทรุดตัวลงตรงที่ว่างด้านข้างจนเกินแรงยวบของที่นอนสปริง รอยยิ้มในความมืดถูกแย้มส่งมาให้แต่เขาเลือกที่จะแสร้งพลิกตัวหนีจากสิ่งตรงหน้า

   “นอนไม่หลับหรอ” เสียงทุ่มอ่อนโยนแม้ไม่ดังมากแต่ก็กังวานชัดในความมืด

   เปลวอุญไม่ยอมตอบคำถามนั้นซ้ำยังกระชับผ้าห่มขึ้นสูงถึงปลายคางเหมือนไม่อยากจะสนทนาแล้ว
ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่คืนนี้หรอกที่เขานอนไม่หลับแต่เป็นตั้งแต่วันที่ได้จดหมายฉบับนั้นแล้วต่างหากที่ทำให้ใต้ตาของเขาหมองคล้ำ ทุกครั้งที่พอเขาจะหลับตาลงเนื้อความในจดหมายในนั้นก็ฉายชัดขึ้นมาในหัวเมื่อว่าเพิ่งอ่านจบไปเมื่อครู่ ใจเขานั้นอยากที่จะปล่อยวางเรื่องพวกนี้ลงหากแต่สมองมันกลับจำเรื่องที่ว่าแทบทั้งหมด ทั้งน้ำเสียง ทั้งคำพูด มันยังชัดอยู่จนยากที่จะข่มตาหลับไม่ลงได้ อัมรินทร์เองก็พลอยเป็นห่วงจนนอนไม่หลับตามไปด้วยอีกคน

   ไม่ใช่เพราะเปลวอรุณนอนพลิกตัวไปมาจนทำให้คนร่วมเตียงอย่างอัมรินทร์ตื่น แต่จริงๆแล้วคืออัมรินทร์นั้นไม่ได้หลับมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก

   เพราะอีกคนเอาแต่เหม่อจนไม่ทันสังเกตว่าในความมืดยังมีดวงตาของเขาส่องสว่างอยู่ข้างๆ อัมรินทร์ไม่ใช่คนดีเต็มร้อยแต่ก็ไม่ได้ใจแข็งพอที่จะทนนอนมองดูเปลวอรุณอับแสงได้เช่นกัน

   เปลวอรุณของเขาต้องส่องสว่างเป็นกุหลาบน้ำแข็งสีสดที่กระทบแสงแล้วเปล่งประกายไม่ใช่กุหลาบบ้านๆไร้ราศีแบบนี้

   “เป็นอะไรหรือเปล่า” ท่อนแขนหนาข้างหนึ่งสอดลองใต้คอ ส่วนอีกข้างรั้งเอวบางเข้ามาจนแผ่นหลังแบนชิดกับแผ่นอกของเขาที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลัง อัมรินทร์ทำเหมือนที่ตนแกล้มหลับแล้วละเมอทำเป็นสวมกอดอีกคนจากด้านหลังเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมา

   “เปล่าครับ” ใบหน้าขาวกระจ่างแลดูเหนียมอายใบหูเริ่มระเรือขึ้นสีกลางความมืด

   “เปลวโกหกไม่เก่งหรอกนะ” ยิ่งอัมรินทร์กระซิบที่ข้างหูใจดวงน้อยก็เต้นแรงขึ้นอีกครั้งเหมือนตื่นเต้น

   “มีเรื่องอะไรกวนใจอยู่บอกฉันได้นะ” เขาอยากเป็นคนที่เปลวอรุณจะสามารถแบ่งความกังวลให้ได้บ้าง
 
   แต่เปลวอรุณก็ยังคงเม้มปากแน่นไม่ยอมพูด

   อย่างที่ลิลดาว่าเอาไว้ว่าตอนนี้เปลวอรุณกำลังอ่อนไหวอยู่และเขาก็ควรที่จะรีบทำคะแนนเอาใจอีกคน

   “บอกฉัน ให้ฉันได้ช่วยเปลวเถอะ” อัมรินทร์กดจูบลงที่ข้างขมับกระชับแรงกอดให้แน่นสร้างห่วงรัดแสนอบอุ่นให้อีกคนวางใจ

   นัยน์ตากลมฉายความลังเลออกมาอย่างแจ่มชัดแต่ก็ยังพลิกกายหับกลับมาสบตาอีกฝ่ายในความมืด ตอนนี้ดวงตาของเขาสามารถปรับเข้ากับความมืดยามไร้แสงไฟได้แล้วใบหน้าคมคายที่อยู่ใกล้ก็ชัดพอที่ทำให้คนสายตาสั้นอย่างเขามองชัดเก็บรายละเอียดได้

   “คุณไม่ได้มีอะไรปิดบังผมอยู่ใช่ไหมครับ”

   น้ำเสียงที่ไม่ได้เน้นหนักอย่างคาดคั้นเอาคำตอบออกจะเป็นน้ำเสียงขาดความมั่นใจเสียด้วยซ้ำไปแต่กลับกระตุกหัวใจอัมรินทร์ให้หายวาบได้เป็นอย่างดี

   “อะไรทำให้เปลวคิดอย่างนั้น” เขาถาม ไล่เกลี่ยลอยผมที่หล่นปกหน้าปกตาอีกคนเล่น

    “ผมแค่อยากรู้” คำลงท้ายจดหมายที่ว่า ‘มั่นใจหรอว่าคนที่เขาช่วยเขาไม่ได้ปิดบังอะไรอยู่’ ถึงจะไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไรให้เขารู้

   “ก็เยอะอยู่นะ” อัมรินทร์ตอบน้ำเสียงทีเล่นทีจริงคล้ายไม่สนใจ

   “เรื่องที่ผมมาอยู่ที่นี้ด้วยหรือเปล่า” เขาถาม

   “ถ้าฉันตอบว่า ใช่ เปลวจะยังนอนอยู่ตรงนี้อีกไหม แล้วถ้าฉันตอบว่า ไม่ เปลวจะยอมอยู่กับฉันต่อไหม” คนตอบลูบแก้มเนียนอย่างเบามือ

   ถึงจะรู้ว่าอัมรินทร์ฉวยโอกาสเรื่องหนี้สินไล่ต้อนเขาจนเขาต้องยอมมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้แล้วยังจะมีเรื่องอะไรอีกคนคนตรงหน้าเขากำลังปิดบัง

   “ฉันอยากให้เปลวมาอยู่กับฉันที่นี้ ฉันได้เปลวมาเป็นของฉันฉันถึงได้ควักเงินก้อนโตจ่ายหนี้ให้บีบบังคับแม้จะรู้ว่าจะทำให้เปลวโกรธฉันก็ยอมเพื่อให้เปลวยอมมาอยู่ด้วย” ความจริงกึ่งหนึ่งที่ออกมาจากปากของเขาทำเอาคนฟังรู้สึกร้อนไปทั่วกาย

   “ฉันหลงเปลวมานานมองเปลวมาตั้งแต่วันแรกที่รู้จัก สามปีเลยนะที่ฉันรอเปลวหันมา” อัมรินทร์กรีดยิ้มนึกขำการกระทำตลอดเวลาที่ผ่านมาของตน

   แอบตามไปถึงบ้านได้เห็นแค่หลังคาก็ยังดี แอบมาดูว่าอีกคนชอบอะไรแล้วเอามาทำตาม เหมือนเด็กวัยรุ่นหันมีความรัก...

   รักแรกแสนหวานด้วยสิ...

   “ฉันเป็นพวกความอดทนต่ำแต่ฉันก็รอเปลวมานานพอตัวเลย แค่ไม่อยากรออีกเลยต้องใช้วิธีนี้” น้ำเสียงทุ่มอ่อนที่ดังออกมากับริมฝีปากที่กดค้างไว้ที่ข้างแก้มเหมือนวิงวอนยามสารภาพความผิดขอให้ลดโทษ

   ใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่แน่ใจว่าอุณหภูมิภายในตัวเขาเองที่เพิ่มขึ้นหรือเครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานไม่ปกติเขารู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแต่ถึงจะร้อนแต่เขากลับชอบและดีใจที่อัมรินทร์กอดเขาไว้

        “ผมไว้ใจคุณได้มากแค่ไหนกันคุณอัมรินทร์”

   “...”

   “ผมสามารถเชื่อใจได้ไหมว่าคุณจะไม่ทิ้งผมเหมือนที่ใครทำ”

   อัมรินทร์ไม่กล้าตอบคำถามนั้น ความจริงอีกครึ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดออกไปคือสิ่งที่ทำให้เขาไม่กล้าตอบออกไปอย่างเต็มปากว่าสามารถให้อีกคนเชื่อใจได้เพราะเมื่อเปลวอรุณรู้ความจริงเขาจะไม่ใช่คนที่เปลวอรุณไว้ใจได้อีก แต่

   “ฉันมั่นใจว่าฉันจะไม่ใช่คนที่ทิ้งเปลวให้อยู่คนเดียว” เขามั่นใจเต็มที่และรับคำอย่างหนักแน่น

   “ฉันอาจมีเรื่องที่ปิดบังเปลวอยู่บ้างแต่ฉันบอกได้เลยว่าทุกเรื่องที่อยู่ในหัวฉันคือเรื่องของเปลว” อัมรินทร์ยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่แบบเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างที่เจ้าตัวขอบทำ ไม่ใช่ยกยิ้มมุมปากเหมือนปกติ แต่เป็นรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาเพื่อเปลวอรุณจากใจจริง

   เขาสัมผัสได้แบบนั้น...

   ถ้าเขาจะเสี่ยงยอมเชื่ออัมรินทร์สักครั้งจะได้ไหม..

   ความอ่อนโยนแสนแปลกกับคำพูดหวานหูทำเอาสมองของเปลวอรุณเริ่มเบลอคล้ายจะหยุดการทำงานร่างกายเริ่มขยับไปเองโดยไม่รู้สึกสึก สองมือเรียวขาวยกขึ้นมาประคองใบหน้าคมไว้นิ่งช่วยฉงนแก่คนโดนสัมผัสและยิ่งตกใจกว่าเมื่อใบหน้าขาวเคลื่อนเข้ามาใกล้ประทับริมฝีปากบางแนบชิดกับของเขา

           ทุกอย่างเกิดขึ้นและหยุดนิ่ง...

         อัมรินทร์เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อไม่คิดฝันว่าเปลวอรุณคนนี้จะเริ่มก่อนจนคิดว่าเป็นแค่ฝันที่เขาอุปาทานขึ้นเองถ้าไม่ใช่เพราะสัมผัสอุ่นร้อนของผิวกายที่แทรกผ่านสาบเสื้อของอีกคนที่ยืนยันชัดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง
เปลวอรุณจูบเขา..

   ฝ่ามือหนาสอดเข้าผ่านขอบเสื้อนอนผ้าลื่นลูบเบาๆที่บั้นเอวลากผ่านมายังสี่ข้างไล่ฝ่ามือขึ้นมาจบขอบเสื้อนอนเลิกขึ้นเห็นช่วงเอวขาวก่อนตวัดพลิกตัวขึ้นมาคร่อมอีกคนจนริมฝีปากที่แนบกันอยู่แยกจากกัน

   “รู้ตัวหรือเปล่าเปลวว่ากำลังทำอะไร” อัมรินทร์เสียงเครียด เขาไม่ใช่คนความอดทนสูงอย่างที่เคยบอก เขายั้งมือคุ้มสติตัวเองได้ในครั้งนั้นได้เพราะอีกคนกลัวจนตัวสั่นแต่ใช่ว่าครั้งนี้เขาจะทำได้อีกถ้าอีกคนยังทำแบบนี้อยู่

   “รู้”

         สติของเปลวอรุณมีอยู่ครบถ้วนจำได้ทุกการกระทำว่าตนทำอะไรไปบ้าง แค่ไม่สามารถหักห้ามไม่ให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างใจนึกก็เท่านั้น เหมือนมันออกมาจากความต้องการลึกๆจนยากจะห้ามปราม

   “เรากำลังคุยเรื่องที่เปลวนอนไม่หลับกันอยู่นะ” อัมรินทร์พูดขึ้นเหมือนเตือนสติทั้งตัวเขาเองและคนใต้ล่าง หากแต่มือกลับกำลังปลดกระดุมเสื้อนอนนั้นออกที่ละเม็ดอย่างใจเย็นขัดกับคำพูดที่ออกมาและอีกคนก็ไม่คิดปัดป้อง

   “บอกได้ไหมว่าคิดอะไรอยู่”

   “เรื่องเก่าๆ” เปลวอรุณหันหน้าหนีไม่สบตายามตอบ ขนอ่อนตามร่างกายลุกชันเมื่ออัมรินทร์แยกขอบเสื้อทั้งสองข้างออกจากกันทำให้ผิวกายร้อนผ่าวของเขาออกมาสัมผัสกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ

   “เล่าให้ฉันฟังได้ไหม”  อัมรินทร์ถามขณะก้มลงซุกหน้าลงที่ซอกคอ

   “ผมไม่อยากพูดถึงมันอีก” ไม่อยากคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว

   “ไม่เป็นไร” เขาพึมพำ

   จากซอกคอไล่ขึ้นไปที่ปลายคาง มุมปาก แก้ม และขมับ กดจูบย้ำๆอยู่อย่างนั้นเหมือนให้แน่ใจ รูปร่างของเปลวอรุณไม่ได้บอบบางร่างน้อยก็แค่หุ่นของผู้ชายที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายไม่มีกล้ามเนื้อแข็งๆมีแต่ผิวนุ่มลื่นมือที่สำคัญเปลวอรุณเป็นคนตัวอุ่นทุกคืนเขาชอบที่จะนอนกอดอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขนเหมือนเป็นฮีตเตอร์ทำความร้อนส่วนตัวแต่วันนี้ร่างกายของอีกคนดูจะร้อนกว่าปกติมาเล็กน้อย

   “ถ้าไม่ต้องการก็รีบพูดออกมานะเปลว ฉันไม่บังคับ” แม้ปลายนิ้วจะวาดเกี่ยวอยู่แถวขอบกางเกงนอนอีกฝ่ายหนึ่งแล้วก็ตามที

   ใบหน้าขาวแดงก่ำถึงจะไม่ประสากับเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้อ่อนเดียงสาเกินจะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่มันเหมือนคนน้ำท้วมปากอยากร้องออกปากห้ามแต่สองแขนกลับยกโอบรอบคอรั้งอีกคนลงมาจูบเสียอย่างนั้น

   เหมือนสัญญาณบอกอัมรินทร์ไม่รอช้าสอดแขนรองใต้เอวกระชับตัวอีกคนให้แนบชิดติดกับเขามาขึ้นดูดดึงริมฝีปากบางและลิ้นสีแดงสดภายในโพงปากแล้วกระชากกางเกงนอนขาวยาวกับอันเดอร์แวร์สีขาวของเปลวอรุณออกไปเหวี่ยงไว้ข้างเตียง

   ปลายลิ้นร้อนเริ่มลุกหนักกวาดไล่เพดานช่องปากไรฟันเกี่ยวตวัดปลายลิ้นของเปลวอรุณอย่างไม่ลดละจนอีกคนไม่มีเวลาสนใจกับความเย็นโล่งที่ท่อนล่าง

              เส้นผมของอัมรินทร์ถูกจิกทึ้งอยู่หลายครั้งเมื่อเปลวอรุณเริ่มหายใจตามไม่ทัน เขาไม่โกรธแต่กลับยิ่งพอใจ หัวใจฟองโตจนคับอกของเขาสูบฉีดเลือดอย่างหนักเช่นเดียวกับบางสิ่งใต้ร่มผ้าที่เริ่มเกร็งตัวแน่นคับ

              กำปั้นอ่อนแรงทุบอกเขาคล้ายประท้วงจนต้องยอมปล่อยอีกคนเป็นอิสระแต่กระนั้นอัมรินทร์ก็ยังคงอ้อยอิ่งอยู่แถมริมฝีปากล่างขมดูดเบาๆจนแดงก่อนย้ายไปที่มุมปากและซอกคออีกข้างแล้วกดจูบย้ำซ้ำๆจนขึ้นรอย

             “คุณอัมรินทร์..ผม”

            “เรียกฉันว่า อัน ได้ไหม” อัมรินทร์แล้วเปลี่ยนมาจูบเบาๆบนท่อนแขนที่พาดอยู่ที่ไหล่

             “คุณอัน..อ๊า”

              ความเสี่ยวซ่านเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อจบคำ ฝ่ามือหนาของอัมรินทร์ลูบผิวเนื้อของเขาตั้งแต่ข้อพับขึ้นมาถึงโคนขาอ่อนด้านในจนเปลวอรุณหลุดครางเสียงออกมาหน้าแดงจนรีบชักมือกลับมาปิดปากอย่างตกใจ

              “ไม่ต้องอาย นอกจากฉันแล้วไม่มีใครได้ยินเสียงของเปลวหรอกนะ” ห้องของเขาเก็บเสียงได้ดีต่อให้เปลวอรุณครางจนเสียงหายคออักเสบยังไงก็ไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน เขารับประกันได้

             อัมรินทร์หัวเราะต่ำๆในลำคอมองคนตัวขาวในความมืดใบหน้าขาวที่ซ้อนอยู่หลังท่อนแขนเรียวไม่ต้องยกมือขึ้นมาปิดเขาก็รู้ว่ามันแดงจัดขนาดไหนแผ่นอกบางที่มีเสื้อนอนปิดพอหมิ่นเหม่ยอดอกเล็กเล็กแข็งตัวเป็นไตอดไม่ได้จริงๆที่ไม่ยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ย
              “อืม..”

              คนขี้อายก็ยังคงขี้อายแม้เวลาแบบนี้เปลวอรุณก็ยังจะพยายามกลั้นเสียตัวเองอย่างสุดความสามารถ อัมรินทร์ยกมุมปากเจ้าเล่ห์ดึงปราการสุดท้ายที่ติดกายขาวนั้นออกแม้อีกคนจะยื้อเอาไว้สุดตัวแต่ตัวเขาที่มีแรงมากกว่าย่อมเป็นฝ่ายชนะ

            ไร้สิ่งปกปิดเปลวอรุณก็ยิ่งดูตัวเล็กลงไปอีกในสายตาของเขา...

           ทุกส่วนดูน่าขย้ำทำรอยยิ่งตัวขาวๆอย่างนี้รอยรักที่เขาฝากไว้ตรงลำคอจึงดูเด่นขึ้นมาในความมืด อยากจะทำอีกสักที่สองที่ที่ยอดอกสวยแต่สายตากลับรู้สึกขัดกับบางสิ่ง

             ท่อนขาขาวเบียดตัวเข้าหากันแน่นชั่งดูขัดตา

             อัมรินทร์ยืดหลังตรงจับหัวเข่าทั้งสองหมายจะแยกมันให้ออกจากกัน แต่เปลวอรุณขื่นไว้  ดวงตาสีดำหรี่มองคนที่นอนตัวแดงเป็นลูกหนูอย่างขัดใจ

          เปลวครับ ไม่ดื้นสิ” เขาพูดพร้อมลูบมือไปตามต้นขาอ่อน

         เปลวอรุณขี้อายจอมดื้อไม่ทำตาม อัมรินทร์ไม่ว่าแต่แทรกฝ่ามือลงไปที่ร่องขาแล้วนาบมันกับส่วนลับของเปลวอรุณที่เริ่มปริ่มน้ำใสที่ปลายยอม

         อะไรจะความรู้สึกเร็วขนาดนี้..

         “คุณอัน!” เปลวอรุณร้องเสียงหลงเบียดขาเข้าหากันแน่นกว่าเดิมพร้อมเด้งกายขึ้นจนตัวงอ  กลายเป็นว่าส่วนลับของเปลวอรุณแนบชิดเต็มฝ่ามือร้อนหนาของอัมรินทร์

          “ว่าไงครับ” เจ้าตัวร้ายแสร้งทำเสียงถาม เคลื่อนตัวเขาประชิดโดยที่มือยังไม่ละไปจากส่วนสงวนของอีกคน

          “เอามือออกไป” เปลวอรุณกลั้นใจพูดเสียงแหบกระตุ้นอารมณ์จนอัมรินทร์อดใจจูบลงหัวไหล่มนไม่ได้

          “ก็เปลวหนีบมือฉันเอาไว้เองนี้น่า” ไม่ว่าเปล่าอัมรินทร์ยังโยกมือที่จับส่วนตรงนั้นของเปลวอรุณไปมาจนอีกคนครางอื้อในลำคอ
          “อ้าออกหน่อยได้ไหม ฉันจะได้เอามือออก” เขากระซิบจงใจใช้เสียงในลำคอกระตุ้นอีกคน

         เปลวอรุณยอมทำตามแต่อัมรินทร์กลับไม่ทำตามที่พูดเลื่อนผ่ามือลงผ่านพวงสวรรค์พวงน้อยอ้อมไปหาช่องทางกุหลาบอวบตูบด้านหลังที่ครั้งหนึ่งเคยได้ทักทาย

        “คุณอัน คุณจะทำอะไร”  เปลวอรุณร้องเสียงหลง ครั้งนี้อัมรินทร์ก็ไม่ยอมหยุดกลางคันเหมือนครั้งที่แล้วแน่ เขาโอบไหล่อีกคนเข้าหาตัวแน่น

         “เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วเปลว” ปลายนิ้วหนาแทรกตัวฝ่ากลีบดอกเข้าลงที่ใจกลาง เปลวอรุณเกร็งกายบีบรัดการมาเยือน

          “อย่าเกร็งเปลว”

          “มันเจ็บ” เจ้าตัวว่าเสียงหอบ หัวใจเต้นระรั้วทั้งตื่นกลัวกับสิ่งที่กำลังเกิดและตื่นเต้นกับความแปลกใหม่

          “ทนหน่อยคนดี ฉันไม่อยากให้เปลวเจ็บมากกว่านี้”  อัมรินทร์กระซิบปลอบ

            ทุกอย่างมันเกินขึ้นอย่างไม่คาดคิด อัมรินทร์เองก็ไม่ได้เตรียมการอะไรสำหรับเรื่องแบบนี้ด้วยแม้เขาจะคาวโลกีย์มามากแต่เขาไม่เคยพาใครเข้าบ้านห้องนอนเขาจึงไร้สิ่งจำเป็นสำหรับเรื่องเช่นนี้ สิ่งเดียวที่พอทำได้คือสร้างความคุ้นเคยให้กับกุหลาบน้อยของเปลวอรุณเท่านั้น

   เปลวอรุณกำเสื้อนอนของอัมรินทร์แน่นไม่ยอมปล่อยแม้อีกคนจะบอกให้เขาคลายความเกร็งลงแต่ความความฝืดเสียดที่ไร้การหล่อลื่นไม่ได้ช่วยทำให้เขาอยากทำตามที่อีกคนพูดเลยสักนิด อีกคนหรือก็แสนรั้นเจ้าของไม่ต้องการให้เข้ามาก็ยังจะดันเข้ามาจนสุดก้านนิ้ว

   อัมรินทร์ค้างนิ้วไว้ให้คุ้นชินแม้จะถูกบีบรัดจนแทบขยับไม่ได้ก็ตามแต่เขาก็ไม่ถอดตัวกลับแม้จะต้องอดทนกับสิ่งที่แทบจะอดทนไม่ไหวอยู่แล้วก็ตามที

   อัมรินทร์สูดหายใจเข้าอีกครั้งก่อนค่อยๆถอนปลายนิ้วตัวเองออกมาจนเหลือแค่ปลายข้อนิ้วสุดท้ายที่ยังอยู่ภายในช่องทางกุหลาบหวานเขาไล่ปลายนิ้วที่ค้างอยู่ภายใจลูบวนรอบปากกลีบเป็นวงก่อนสอดปลายนิ้วที่สองเข้ามาด้วย

   “อ๊า คุณอัน”  ครั้งนี้อัมรินทร์ไม่สนใจเสียงร้องกระเส้าหรือแรงบีบรัดใดๆถูไล่ปลายนิ้วทั้งสองไปตามทางอุ่นร้อนสอดเข้าจนสุดแล้วถอนออกเกือบสุดแล้วกลับเข้าไปใหม่สลับกันอยู่อย่างนั้นหลายครั้งก่อนจะกางนิ้วทั้งสองที่ชิดกันอยู่ออกจากกัน

   “อ๊า.. คุณ..อัน ..อ๊ะ” เปลวอรุณครางไม่ได้ศัพท์ นิ้วทั้งสองที่กางแยกจากกันยังอยู่ภายในกุหลายน้อยของเขาและมันกำลังหมุนคว้านปากกลีบตูมให้อ้าออกจากกัน

   อัมรินทร์หันมาประกบปากกับเปลวอรุณอีกครั้งเมื่อเสียงครางของอีกคนเริ่มทำให้ใกล้หมดความอดทน สองนิ้วหมุนคว้านปากกลีบสลับกับการกระทุงเข้าออกจากเบามือเป็นหนักมือแต่แรงต้องการ

   เปลวอรุณเกร็งตัวแน่นกว่าเดิม อัมรินทร์เมามันส์กันกันคว้านเปิดปากทางเล็กแน่นนั้นให้กว้างออก กางแล้วหุบ หุบแล้วกางออกใหม่ ไสเข้าและออก เร็วบ้างช้าบ้าง จงใจเตะมันตรงจุดไวสัมผัสของเปลวอรุณเป็นครั้งคราวแล้วไสตัวเข้าสำรวจช่องทางที่อยู่ภายในต่อแล้วกลับมาใหม่ วนอยู่อย่างนี้หลายครั้งจน

   “อ๊า...”

   ความต้องการของเปลวอรุณถึงของฝันความต้องการ เปลวอรุณผละหน้าออกเปิดปากครางเสียงกระเส้าของตัวออกมาอย่างไม่คิดอาย ปลดปล่อยเกรสน้ำหวานกึ่งเหลวกึ่งหนืดให้ไหลยืดติดสองนิ้วของอัมรินทร์ออกมายามที่ถอดถอนนิ้วทั้งสองออกจากกุหลาบตูบไหลผ่านแก้มก้นกลมหยดลงบนผ้าปูที่นอนเป็นดวง

          หากแต่น้ำหวานจากกลางลำตัวกลับไม่ยอมหลั่งออกมา...


   อัมรินทร์มองครามน้ำหวานที่ติดสองนิ้วแล้วขมวดคิ้วก้มมองคนที่หอบหายใจแรงอยู่ที่อก

   สนามรบบนเตียงเขาผ่านมาแล้วทั้งชายหญิง แต่การร่วมสัมผัสกับชายที่มีสารคัดหลั่งออกมาจากช่องทางด้านหลังเปลวอรุณไม่ใช่คนแรกที่เขาเจอและเพราะไม่ใช่คนแรกนี้แหละที่ทำให้เขาเข้าใจถึงความหมายของมัน

   อัมรินทร์ยิ้มกว้างใจลิงโลดก้มพรมจูบทั่วใบหน้าขาวเจือสีแดงก่ำตามแรงอารมณ์

   ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะตั้งครรภ์ได้ แต่ใช่ว่าไม่มีในหนึ่งร้อยคนจะมีสักคนโผล่มาให้ได้เห็นและเปลวอรุณก็คือหนึ่งในร้อยที่ว่า..

   แต่ตอนนี้เขาให้ความสำคัญกับเนื้ออ่อนกลางลำตัวของเปลวอรุณนี้ก่อน

   “ไม่ปล่อยออกมามันจะยิ่งเจ็บนะเปลว”  อาการเสร็จแต่ไม่ยอมหลั่งออกมาของเปลวอรุณทำให้เนื้ออ่อนสีขาวตรงหน้าสั่นระริกและเริ่มแดงจนน่ากลัว

   “มะ ไม่เอา.. มัน.. น่าอาย”  เปลวอรุณตอบเสียงหอบหลับตาแน่น

   อาการเกร็งตัวแล้วไม่ยอมหลั่งออกมาเป็นเรื่องปกติของพวกที่ชอบอดกลั้น แต่กรณีของเปลงอรุณ อัมรินทร์เดาว่ากุหลาบน้ำแข็งบริสุทธิ์ของเขานอกจากจะไม่เคยต้องมือชายหรือหญิงใดแล้วแม้แต่มือตัวเองก็คงไม่เคยเช่นกัน

   “เปลว” อัมรินทร์กดเสียงต่ำเหมือนดุ

   ในเมื่อเปลวอรุณดื้อ เขาก็ต้องทำโทษ

   อัมรินทร์ปล่อยให้อีกคนนอนลงกับเตียงอีกครั้งจับขาทั้งสองข้างอ้าออกแทรกตัวนั่งลงกลางหว่างขา จงใจอย่างยิ่งที่จะบดเบียดท่อนเนื้อร้อนใต้ร่มผ้าของตนเข้ากับกุหลาบตูบด้านหลัง เปลวอรุณเผลอสะท้านกับสิ่งที่กำลังทักทายปากกลีบกุหลาบของเขาอย่างหน้าอายแต่ที่น่าอายที่สุดคือฝ่ามือร้อนของอัมรินทร์ที่กุมเนื้ออ่อนก่ำแดงของเขาเอาไว้แน่นทั้งที่แค่จับเบาๆเขาก็เจ็บจนสะท้านอยู่แล้ว

   “เดี๋ยวฉันทำให้เอง”

________________________________________________

ดึกแล้วจะทำอะไรก็ได้ จะลงอะไรก็ได้ เด็กๆนอนแล้ว

ต้องกระชับมิตรกันสักหน่อยเพื่อที่ตอนหน้าจะได้เปิดตัวมือที่สามที่แท้ทรู
อิอิ
(มิได้สปรอยอะไรเลยจริงๆ) :laugh:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ว้ายๆ ปมใหม่มา ท่าทางจะยุ่งกว่าเดิม

อัมจะจัดการได้ไหมหน๋อ :z10:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 17


  ไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รสชาติ  ระยะเวลาก่อนออกกฤทธิ์ใช้เวลาไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป ระหว่างออกฤทธิ์ก็ไม่รุนแรงจนถึงขั้นน่าตกใจกับความแปลกไปของร่างกายแต่จะเคลิ้มไปกับสัมผัสที่ได้รับทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่ธรรมชาตินำพาอาจมีมึนเบลอเป็นบางครั้งแต่ไม่เป็นอันตรายและที่สำคัญคือระหว่างที่ยาออกฤทธิ์นั้นคนที่ได้รับยาจะยังสามารถจดจำเหตุการณ์และการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด

            สรรพคุณเด่นดังที่ว่ามานี้แหละที่ทำให้เจ้าของเหลวใสสีชมพูจางอ่อนในขวดแก้วฝาจุกขนาดห้าเซนติเมตรเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าใต้ดินในต่างประเทศเป็นอย่างมาก เรื่องราคานั้นไม่ต้องถามเลยว่าสูงลิบขนาดไหนยิ่งเป็นของใหม่ล่าสุดแบบนี้ด้วยแล้ว กว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน

            แต่ลิลดากลับได้มาง่ายๆและฟรี...

              เธอได้เจ้าของขวัญชิ้นพิเศษชิ้นนี้มาจากเพื่อนสาวประเภทสองเจ้าของไนย์คลับที่ฝรั่งเศส สินค้าใหม่ที่เพิ่งออกจากโรงงานมาไม่ถึงสองเดือนแต่กระแสตอบรับนั้นล้นหลาม

              ไม่มีบังคับระหว่างร่วมรัก มีแต่ความต้องการอย่างยินยอม  หยดเดียวเปลี่ยนม้าพยศให้เป็นลูกม้าแสนว่าง่ายจะควบขี่อย่างไรก็ได้ตามใจปรารถนา  ต่อให้ใจแข็งยังไงกามารสคือเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนมีอยู่ แค่กระตุ้นเล็กๆน้อยๆปลุกสิ่งที่อยู่ลึกภายในออกมาแล้วปล่อยให้ธรรมชาติและความต้องการทำพา

         สรรพคุณที่ได้ฟังแล้วต้องตาโต ...

              และมันก็ทำให้เธอนึกถึงเรื่องของอัมรินทร์กับเปลวอรุณ

              แม้อัมรินทร์จะไม่เคยปริพูดออกมาว่าอยากได้ทางลัดที่จะสามารถกกกอดเปลวอรุณไว้แต่เพียงคนเดียวออกมาให้เธอหรือนิรุทธิ์ได้ยินจะมีก็แต่อยากได้คนแก่กว่านั้นมาอยู่ข้างๆยอมเปลี่ยนตัวเองที่ละนิดเพื่อให้อีกคนหันมาสนใจ แม้ไปพูดออกมาจากใจทั้งหมดแต่คนเคยมีสัมพันธ์แนบชิดกันมาก่อนอีกทั้งยังสนิทสนมเป็นเพื่อนกันมานานอย่างลิลดานะหรือจะมองไม่ออกว่าเนื้อในที่แท้จริงแล้วชายหนุ่มต้องการอะไร และการที่อัมรินทร์ไม่ใช้ทางลัดที่ว่ามายอมที่จะรอให้อีกคนพร้อมแบบนี้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าอัมรินทร์ให้เกียรติ์และรักเปลวอรุณมากขนาดไหน

              น้ำสีชมพูใสถูกหยดลงใส่น้ำสีม่วงเข้มใสอีกส่วนถูกป้ายที่ขอบแก้วก่อนยกมาส่งให้คนแก่วัยกว่า ลิลดารอบคอยเสมอ นี้แหละที่เธอภูมิใจตัวเอง หากน้ำผลไม้กัดกร่อนฤทธิ์ยาในน้ำก็ยังมีตัวยาจากขอบแก้วที่เข้าสู่ร่างกายโดยตรงอยู่ แค่นี้ก็ไม่มีอะไรให้กังวลใจอีก

              อาศัยการพูดคุยยามที่เปลวอรุณอ่อนไหวเธอมั่นใจอย่างสุดตัวว่าคนอย่างอัมรินทร์ไม่นั่งฟังเฉยๆโดยไม่ถูกเนื้อต้องตัวอีกคนแน่ ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้คนสองคนคุยกันสัมผัสเล็กๆน้อยๆที่ต้องตัวกันก็สามารถปลุกความต้องการในใจของเด็กน้อยไร้ประสาได้แล้ว ปล่อยให้ความต้องการทางธรรมชาติชักนำแค่นี้เปลวอรุณก็เหมือนยินยอมพร้อมใจผูกสัมพันธ์กับอัมรินทร์อย่างเต็มใจโดยไม่มีข้ออ้างว่าตนจำอะไรไม่ได้อีก

              แน่นอนที่สุดว่าแม้แต่อัมรินทร์ก็ไม่รู้เรื่องที่เธอทำ..

              เธอทำให้ด้วยใจไร้สิ่งตอบแทน.... หรอ ?

              อนิรุทธิ์ คือสิ่งตอบแทนแสนคุ้มค่า

สามีในอนาคตที่เธอหมายมั่นเอาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่สบตา

จบเรื่องเมื่อไรอัมรินทร์ต้องจับอนิรุทธิ์ขัดสีฉวีวรรณใส่พานมามอบให้เธอถึงห้อง !

แต่มีอยู่อีกอย่างหนึ่งที่เพื่อนสาวคนดีไม่ได้บอกให้ลิลดารู้นั้นก็คือ ยาสีหวานใสไม่ได้มีดีแค่ช่วยเรื่องความสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่มันยังช่วยเรื่องการตั้งครรภ์ของเพศหญิงและเพศชายที่มีบุตรยาก

.................

 

              เสียงหอบหายใจหนักๆมาพร้อมกับความโล่งสบายตัว คาบน้ำสีขาวขุ่นกึ่งเหลวกึ่งหนืดเลอะเปรอะตามหน้าท้องบางบางส่วนเลอะเปรอะเสื้อนอนสีเข้มหลายจุดไม่นับรวมรอยเปื้อนซึมจากภายในร่มผ้าด้านล่างที่ปกปิดเนื้อร้อนที่แข็งตัวเต็มที่แล้วของเขาอยู่ อัมรินทร์ไม่สนใจคราบสกปรกที่ว่าไม่สนว่าการที่เขาถูไล่เนื้อร้อนปริ่มน้ำของตนไปกับกุหลาบน้อยนั้นจะทำให้กลีบดอกแดงช้ำยังไงหรือเกสรน้ำหวานที่ด้านหลังจะติดเนื้อผ้ามาด้วยหรือไม่  แต่ที่เขาสนใจคือรสจูบของเด็กไร้ประสาใต้ร่าง

              ไม่ได้เร่าร้อนถึงใจออกจะเงอะๆงะๆเสียด้วยซ้ำไปแต่กลับทำให้เขาแทบคลั่งตาย

              เขาทาบทับลงบนตัวเปลวอรุณเสียดสีความร้อนแน่นกับต้นอ่อนที่เพิ่งปลดปล่อยความต้องการไป ความเสียวซ่านระรอบใหม่ทำให้เปลวอรุณกำคอเสื้ออีกฝ่ายแน่นจนข้อมือขาว

              อัมรินทร์จูบซับที่ริมฝีปากหนึ่งครั้ง ปลายจมูกอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะไล่ลงมาที่เนินอกบางมือก็สารวนอยู่กับการปลดกระดุมตัวเองแล้วเหวี่ยงมันไปอีกทางอย่างไม่ใยดี

              ขบเบาๆบนไตแข็งสีอ่อนจนอีกคนเผลอครางอื้ออึงออกมาเป็นระยะมือหนาล้วงลงใต้ขอบกางเกงรูดรั้งท่อนซุงหนาร้อนของตนไปพลางเพื่อบรรเทาอาการปวดแน่นพร้อมจะปลดปล่อย พอดูดดึงข้างนี้จนพอใจแล้วก็หันเปลี่ยนไปอีกข้างขนดูดจนขึ้นรอยแดงก่อนจะยืดตัวตรงเลื่อนกางเกงลงจนสุดแล้วเหวี่ยงทิ้งตามเสื้อที่เข้าคู่ของมันไป

              “เปลว” เขาเรียกคนที่มึนเบลออยู่บนเตียงเสียงแหบต่ำเรียกเจ้าของนัยน์ตากลมสกาวใสในที่มืดให้หันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง

              “คุณอัน”  เสียงของเปลวอรุณเองก็แหบแห้งไม่แพ้กัน  แสงจากภายนอกส่องเข้ามาพอให้เห็นรูปร่างที่ซ้อนอยู่ใต้เสื้อผ้า

              ใบหน้าคมคายอยู่ห่างเพียงหนึ่งช่วงแขนรูปร่างกำยำอย่างคนรักสุขภาพออกจะเนื้อแน่นเสียด้วยซ้ำทั้งที่ปกติไม่ได้รู้สึกอะไรกับรูปร่างของอัมรินทร์แต่ทำไมครั้งนี้เขากลับตื่นเต้นใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นมันหนาท้องที่เรียงตัวเป็นลอนสวยไรขนอ่อนตั้งแต่ใต้สะดือลงไปยังส่วนลับที่แข็งขื่นจนไม่กล้ามอง

              แต่ทำเอาใจเต้นแรงแทบหลุดจากอก..

              อัมรินทร์รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมา เขาไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มพอใจวางมือลงที่ต้นขาขาวแล้วลูบไปจนถึงโคนขาอ่อนด้านในของเปลวอรุณอีกครั้งเตะปลายนิ้วเบาๆที่ปากกลีบแดงเปรอะน้ำหวานพอให้อีกคนสะดุ้นเงยคอขึ้นมามองการกระทำของเขาอีกครั้ง

              “จะ..ทำอะไร” เปลวอรุณถามเสียงสั่นแหบกระตุ้นอารมณ์กระสันอยากของเขาได้เป็นอยากดี

              “ทำให้เราเป็นของกันและกัน” อัมรินทร์ยิ้มอ่อนโยน จดจ่อท่อนเนื้อร้อนใหญ่ของตนเข้าที่ปากกลีบดันส่วนปลายเข้าที่ละน้อยโดยมีน้ำหวานที่เปลวอรุณหลั่งออกมาเมื่อครู่เป็นตัวช่วยลดแรงฝืด

              “อ๊า คุณอัน ผมเจ็บ อ๊ะ อ๊า”  เปลวอรุณครางลั่นแอ่นแผ่นหลังขึ้นสูงตาเหลือกโผ

              “ทนหน่อยนะเปลว”  อัมรินทร์บอก

            ท่อนเนื้อหนาใหญ่โตสอดเข้าไปไปเพียงแค่ส่วนปลายก็ได้การตอนรับอย่างอบอุ่น การบีบรัดนั้นแน่นเกร็งกว่าครั้งแรกที่เป็นเพียงนิ้วมือทำให้ยังไปไม่ทันถึงไหนอัมรินทร์ก็คำรามต่ำในลำคออยากปลดปล่อยความอดทนที่มีมาเสียเดียวนั้นไม่สนใจความเจ็บจากปลายเล็บสั้นที่เริ่มยาวแล้วของเปลวอรุณที่จิกเข้าที่ตนแขนจนเป็นรอยลึกแดง

              “อย่างเกร็งสิเปลว” อัมรินทร์คำราม เอ็นคอปูดนูนพอๆกันเส้นเลือดที่ขมับที่นูนชัดยามที่เขาพยายามกดฝั่งตัวตนของเขาเข้าไปในตัวเปลวอรุณแม้อีกคนจะพยายามบีบรัดเหมือนไม่ต้องการแค่ไหนก็ตาม

            เขาไม่อยากทำให้เปลวอรุณเจ็บแต่อีกคนกำลังทำให้เขาคลั่ง เขาถอนลำเนื้ออวบออกก่อนจะตัดสินใจใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เท้ายันพื้นเตียงแหวกปากกลีบกุหลาบตูมนั้นออกให้กว้างกว่าเดิมแล้วกระทันซุงใหญ่ของจนเข้าไปในกุหลาบน้อยที่เดียวจบมิด

              เปลวอรุณอ้าปากเหมือนกรีดร้องหากแต่ไร้เสียงใดๆออกมาลำคอแผ่นหลังโก่งสูงเหนือพื้นเตียงมือกำผ้าปูที่นอนแน่นจนยับยู่ มันเจ็บเหมือนร่างจะฉีกขาดแยกจากกัน รู้สึกแสบคับที่ปากกลีบ และรู้สึกแน่นคับภายในกุหลาบน้อยที่ผลิกว้างจนเต็มที่เมื่อต้องรับสิ่งที่มีขนาดใหญ่เหมือนลำซุง

              แรงบีบรัดทำให้เปลวอรุณรับรู้ถึงชีพจรของสิ่งที่อยู่ภายในร่างความร้อนและความอูมหนาที่นิ้วทั้งสองที่เขามาสำรวจในตอนแรกเทียบไม่ติด

              “ค่อยๆหายใจเปลว” อัมรินทร์ลูบหัวปลอบขวัญจูบซับไรเหงื่อชื้นที่ขมับ ดันขาอ่อนของเปลวอรุณจนแทบชิดหน้าท้องอีกคนแล้วเริ่มขยับ

              เปลวอรุณเชิดหน้าขึ้นสูงไม่สนใจคำพูดนั้น ยิ่งอัมรินทร์ขยับตัวเสียดสีท่อนลำหนากับปากกลีบกุหลาบของเขามากเท่าไรท่อนขาของเขาก็ยิ่งอ้าออกจากกันกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัวและจังหวะช้าๆเนิบๆก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นจนเผลอจิกงอปลายเท้าด้วยความเสี่ยวซ่าน

              อัมรินทร์เหมือนคนอดกลั้นมานานไสตัวโหมแรงใส่เปลวอรุณไม่ยั้งเน้นหนักไปยังช่องทางภายในดอกกุหลาบน้อยช่องทางหนึ่งเหมือนจงใจเน้นอยู่อย่างนั้นย้ำอย่างนั้นโดยมีเสียงครางลั่นเป็นแรงขับ

            การขยับเริ่มเน้นหนักและรุนแรงขึ้นหน้าท้องหนาเสียดสีกับลำต้นอ่อนที่เริ่มยืดตัวปริ่มน้ำอีกครั้งซุกไซร้ซอกคอขอขาวจนแดงเถือกเป็นทางยาว ก่อนจะปลดปล่อยออกมาเมื่อความอดทนของเขาถึงขอบฝั่งความสำเร็จ

              “อืมมม”

เขาครางเสียงต่ำในลำคอสอดนิ้วมือเข้ากับช่องว่างระหว่างนิ้วของอีกคนประสานกันแน่นแล้วยืดแขนตรงคร่อมอีกคนไว้ แช่ท่อนลำหนาที่คลายตัวลงแล้วไว้ในกุหลาบน้อยนั้นไม่ยอมซ้ำยังดันมันให้แน่นปิดปากทางเหมือนต้องการให้ทุกหยาดหยดความอดทนของเขาอยู่ภายในนี้ห้ามหายไปไหนแม้หมดเดียว

              “เปลว” เขาเรียก แต่อีกคนยังพลิกหน้าหันข้างหอบหาบใจไม่สนเสียงเรียก

              อัมรินทร์ยิ้ม แล้วพูดใหม่

              “ฉันรักเปลว”

            ครั้งนี้ได้ผล คำบอกรักทื่อๆที่ดังออกจากปากแม้ไม่ดังมากแต่ก็สามารถเรียกสติที่กระจ่ายหายของคนถูกบอกรักให้กลับมารวมกันใหม่อีกครั้ง ดวงตาใสเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูเท้าศอกพยุงตัวขึ้นแม้ส่วนล่างจะยังคงเชื่อมหากันและเกยอยู่ที่หน้าขาของอีกคน

              อัมรินทร์ประคองสะโพกมนเอาไว้แล้วแย้มยิ้ม

              “คุณพูดอะไรนะ” เปลวอรุณทวนถามคล้ายไม่เชื่อหู แววตาดูเหลือเชื่อกว่าจะบรรยายดูน่าขำในสายตาคนมอง

              “ฉันบอกว่าฉันรักเปลว” เขาย้ำอีกครั้งกดจูบเบาๆที่ข้างแก้ม “แล้วเปลวละ รักฉันไหม” กระซิบถามเบาๆที่ข้างหู

              “ผม..” เปลวอรุณเสียงสั่น กระพริบตาถี่

              “ไม่ต้องรีบตอบก็ได้” อัมรินทร์ไม่เร่งเร้าอยู่แล้ว

              “อยู่กับฉันนะเปลว อยู่ข้างๆฉันอย่างนี้ไปตลอดนะ”  เขาสอดแขนกอดอีกคนจนจมอกอย่างเต็มรัก

              เปลวอรุณคล้ายยังมึนเบลอไม่ทันได้ตอบอะไรกลับส่วนล่างที่เชื่อมกันอยู่ก็ขยับถอนตัวออก ความโล่งไร้การเติมเต็มทำเอาใจหายปากกลีบต้องลมจนรู้สึกแสบคันแต่ไม่นานความใหญ่ร้อนที่หายไปก็กลับมาเติมเต็มอีกครั้ง

              อัมรินทร์มอบครั้งแรกให้เขาอย่างอ่อนโยนดุดัน เสียงครางของพวกเขาสลับกันดังลั่นห้องยามเขาปลดปล่อยเหมือนตัวเองได้ล่องลอยพออีกคนปลดปล่อยมันอุ่นร้อนทั่วท้องเหมือนถูกเติมเต็มจนอิ่มหากแต่ยังโหยหา

              เปลวอรุณไม่ประสีประสาเรื่องแบบนี้ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นว่ามาก่อนพอถูกมอบความแปลกใหม่ก็คล้ายเสพติดทันทียกขาเกาะเกี่ยวเอวหนาไม่ปล่อยภายในเองก็เหนี่ยวรั้งตัวตนอีกคนไว้ข้างในตัวไม่ยอมปล่อยให้ถอยหาย อัมรินทร์เองก็ตามใจเมื่ออีกคนไม่ยอมปล่อยเขาหนีเขาก็แช่ท่อนลำหนาของตนค้างเอาไว้ไม่ยอมถอดถอนตามความต้องการของอีกคนแล้วเริ่มรักกันใหม่อีกครั้งทั้งอย่างนั้น

              แผ่นหลัง ต้นแขน และไหล่ของอัมรินทร์เต็มไปด้วยรอยเล็บทั้งจิกและข่วนรอยฟันบ้างประปรายปนกันไปเช่นเดียวกับเปลวอรุณที่ทั้งคอและแผ่นอกมีแต่รอยจูบฝากรักไว้เต็มทาง กว่าพายุอารมณ์ความต้องการจะสงบลงเปลวอรุณก็ต้องอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงจะขยับนั่งคล่อมทับตักกลืนซุงหนาเอาไว้ในกุหลาบน้อยของตนไม่ปล่อย

              “เปลว” อัมรินทร์เอ่ยกระซิบเรียกคนที่ซบหน้าอยู่ที่ไหล่โอบรอบเอวอีกคนเอาไว้หลวมๆ นั่งหลังพิงหัวเตียงเหยียดขายาว

              เปลวอรุณพลิกหน้ากลับมามองอัมรินทร์ตาปรือ

              “บอกได้ไหมว่ามีเรื่องไม่สบายใจอะไร” เขาวกกลับมาที่คำถามเดิมเมื่อตอนหัวค่ำ ไม่ได้ลืมแต่แค่หาจังหวะถามอยู่เท่านั้นและเวลานี้น่าจะเหมาะ

              “หลายเรื่อง” เปลวอรุณตอบกลับมาเหมือนเพ้อ ขยับบั้นท้ายเล็กน้อยเพื่อให้สิ่งที่อยู่ข้างในแทรกตัวได้ลึกขึ้นพร้อมครางออกมาเสียงต่ำเมื่อได้ที่ที่พอใจ

            “บอกให้รู้สักเรื่องได้ไหม” เขาถามพร้อมกดจูบลงที่ลานไหล่

            “คุณอยากรู้เรื่องไหน” เปลวอรุณปรือตามอง ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

              “เรื่องจดหมายนั้น บอกได้ไหมว่าใครส่งมา” ปากก็ถามมือก็ลูบไปตามสี่ข้าง

              “ใครสักคน” เปลวอรุณตอบอย่างขอไปทีแล้วหันหน้าหนีเหมือนไม่ต้องการจะพูดถึง

              “ใช่คนเดียวกับที่เปลวเคยพยายามโทรหาครั้งก่อนหรือเปล่า” อัมรินทร์ถาม พลิกร่างของเปลวอรุณที่นั่งคร่อมทับที่ตักให้นอนลงกับเตียง จ้องมองลึกเข้าไปในแก้วตาใส

              “ใช่”  เปลวอรุณดูใกล้หลับเต็มที่ถึงได้เปิดปากพูดเรื่องที่ก่อนหน้าไม่ว่าจะพยายามถามเท่าไรก็ทำปากแข็งไม่ยอมพูดออกมาอย่างง่ายดาย

              “เขาเป็นอะไรกับเปลว” อัมรินทร์ถาม ถอนเนื้อร้อนออกจากช่องทางร้อนผ่าวคราบความต้องการของเขาไหลผสมกับสารคัดหลั่งที่ช่องทางด้านหลังหลั่งออกมาเพื่อลดแรงเสียดสีจนแยกไม่ออก

              สามรอบสำหรับความต้องการและความอดทนร่วมสามปีไหลย้อนออกมาจากปากทางบวมแดงที่เคยตูมอวบแต่ตอนนี้กลับอ้าออกจากกันเหมือนดอกไม้ที่ผลิบานเต็มที่แล้ว

              “ว่าไงเปลว” เขาถามซ้ำแตะนิ้วโป้งลงที่ปากทางที่ยังอ้าอยู่ปิดทางไหลของเชื้อพันธ์ที่เขาฝากฝั่งเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาอย่างเสียเปล่า

              “คนสำคัญ”  สติของเปลวอรุณคล้ายจะหลุดออกไปทุกที แต่ไม่ใช่กับอัมรินทร์

              ดวงตาคมกล้าแข็งกร้าวตวัดมองคนที่นอนจมเตียงอยู่ทันทีที่ได้ยินคำตอบ

              “แล้วระหว่างฉันกับ‘มัน’ใครสำคัญกว่ากัน”

              “อ๊า...”

              อัมรินทร์แหวกปากทางนั้นใหม่ด้วยสองแม่โป้งไสตัวเข้าไปสุดลำไม่บอกกล่าวให้คนที่ใกล้เคลิ้มฝันได้หวีดร้องจนเสียงหลงอีกครั้งอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

              “ว่าไงเปลว” แรงกระแทรกรอบใหม่แรงและหนักว่าครั้งก่อนเปลวอรุณขบปากแน่นด้วยความเจ็บ

            “ทั้ง.. คู่” สำคัญกับคนละอย่างแต่ก็ถือว่าเป็นคนสำคัญสำหรับเขาทั้งคู่

              แต่นั้นก็ยังไม่ใช่คำตอบที่อัมรินทร์ต้องการ

              อัมรินทร์กระแทรกสอดตัวเข้าไปลึกกกว่าเดินแรงกว่าเดิมจนปากทางที่ทึ้งตึงเริ่มปริ เปลวอรุณครางลั่นทั้งเสี่ยวทั้งเจ็บคว้าไหล่หนาของอีกคนเป็นที่ยึด

              “แล้วมันเขียนมาว่ายังไง” ชายหนุ่มถามเสียงเหี้ยมกดสะโพกลงจนปากทางเริ่มซึมเลือด

              “เขา..อื๊ม.. บอก..ขอโทษ..อ๊ะ ..และก็..บอกว่าคุณ มีเรื่องปิดบังผมอยู่..อ๊า..”  เสียงกระเส้าตอบปานจะขาดใจของเปลวอรุณดังออกมาปนเสียงคราง  อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม นึกย้อนไปตอนแรกที่เปลวอรุณถามเรื่องนี้

              แสดงว่ามันต้องรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเขาแน่..

              “คุณปิดบังผมอะไรผมอยู่จริงๆใช่ไหม” ถึงสติจะเริ่มเลือนรางจำไม่ได้ว่าคำถามนี้ตนเคยถามไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ถึงจะเริ่มพร่าเบลอเปลวอรุณก็พยายามประคอมมันเอาไว้เพื่อพูดต่อ

              “ผมเชื่อใจคุณได้ใช่ไหม” ครั้งนี้เหมือนเพ้อมากกว่าถาม ขอบตาเริ่มปริ่มน้ำใส

              ไม่รู้เพราะเจ็บจากการกระทำมืดบอดของเขาเมื่อครู่หรือเจ็บจากสิ่งที่เคยเจอมา แต่นั้นก็ทำให้อัมรินทร์ชะงักความโกรธและใจเย็นลงประคองกอดอีกคนไว้แนบอก

            อัมรินทร์แพ้ให้กับน้ำตาหยดใสของเปลวอรุณอย่างหมดรูป...

              “คุณจะไม่ทิ้งผมใช่ไหม ฮึก” คราวนี้ร้องไห้ออกมา             

              “ไม่ทิ้งเปลว ไม่ทิ้ง” ภาพเปลวอรุณในชุดผู้ป่วยร้องไห้ขว้างปาโทรศัพท์มือถือจนแหลกฉายชัดกลับมาในสมองของเขาอีกครั้งรวมถึงความรู้สึกของเขาที่ได้เห็น

              คนสำคัญแล้วยังไง ในเมื่อตอนนี้เขาเองก็เป็น‘คนสำคัญ’ของเปลวอรุณเหมือนกัน...

              “ขอโทษเปลว” ขอโทษที่รุนแรงใส่ ขอโทษที่ทำให้เจ็บ

              “ฮึก ผมเจ็บ”  เปลวอรุณสะอื้นไห้ แสบร้อนตรงส่วนที่ถูกขยายออกจนกว้าง

              “ฉันสัญญาว่าจะไม่ทิ้งเปลวเหมือนที่‘มัน’ทำ ฉันสัญญา” เสียงหนักแน่นดังก้องในความมืด

              เปลวอรุณตวัดแขนโอบรอบคอกอดอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อย อัมรินทร์เองก็เช่นกันกอดอีกคนแน่นแนบชิดจนแทบอยากหลอมรวมร่างเข้าด้วยกัน ไม่ใช่แค่ส่วนที่เชื่อมอยู่แต่เป็นทั้งตัว หลอมเปลวอรุณเข้ากับตัวเขาให้เปลวอรุณเป็นของเขาเพียงคนเดียว

             

              //เลขหมายที่ท่านเรียกยังไม่เปิดให้บริการ....//

              เสียงโอเปอเรเตอร์อัตโนมัติดังขึ้นอีกครั้งเมื่อหมายเลขปลายทางเดิมถูกปัดโทรออก ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง .... และครั้งที่สิบของวันนี้ก็ยังคงเป็นโอเปอเรเตอร์ที่ตอบรับการเรียกหาของเขา

              ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวกายขาวซีดทอดถอนหายใจวางโทรศัพท์มือถือของตนลงที่โต๊ะกระจกตรงหน้าแววตาสะท้อนความรู้สึกผิดเจือความเสียใจยามมองที่เบอร์โทรศัพท์ที่ไร้การบันทึกชื่อ

              ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่สามารถติดต่อหาอีกฝ่ายได้เลย ตัวเขาเองพยายามติดต่ออีกฝ่ายตั้งแต่วันนั้นแต่ก็ไร้การตอบรับกลับและเพื่อแก้ไขความเข้าที่ผิดของอีกคนทันทีที่เขาบินกลับมาประเทศไทยสิ่งแรกที่เขาทำแม้ว่ามันจะเริ่มค่ำแล้วก็ตามนั้นคือการไปที่บ้านสีขาวหลังนั้น

              แต่เขาก็พบกับความว่างเปล่า...

              ความมืดแทบกลืนบ้านสีขาวร่มรื่นนั้นให้กลายเป็นหนึ่งเดียว บ้านมืดไร้แสงสว่างไร้การมีอยู่ของเจ้าของบ้านเขาสั่งคนให้เฝ้าที่หน้าบ้างหลังนี้ทั้งคืนจนถึงเช้า

              “ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยครับนาย”

              ถึงจะไม่พอใจที่ลูกน้องทำเกินคำสั่งแอบปีนเข้าบ้านคนอื่นเยี่ยงโจร แต่คำบอกเล่าที่ว่าไร้การมีอยู่ของเจ้าของบ้านทั้งที่รถยนต์คันโปรดของอีกคนยังอยู่แบบนี้ทำให้เขาเริ่มเครียด

              แดดยามสายยังไม่ทันส่องแสงแรงกล้าเท่าไรเขาก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังนั้นแล้วไล่ลูกน้องกลับไปพักผ่อน นั่งๆนอนๆอยู่ในรถน่าเบื่อแทบขาดใจยังดีที่ยังพอมีคนแถวนั้นทักทายพอให้มีเพื่อนคุยเล่นพอคล้ายความเบื่อหน่ายและได้รู้อะไรมาอีกด้วย

              ช่วงเย็นที่แดดเริ่มหมดตัวเขาเองก็เริ่มเบื่อจึงลองเดินออกไปตามทางชุมชนหาซื้อของรองท้องเมื่อเสบียงที่เตรียมเริ่มหมดและได้พบของดีเข้า

              เด็กหนุ่มร่างสูงผิวเข้มวัยสิบแปดปีรูปประพรรณสัณฐานตรงตามกับรูปที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับมาพร้อมข้อความที่อีกคนบอกให้เขาได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ ‘ลูกชาย’

              ‘อดิศัทน์ หรือ ลูกตาล’ ลูกชายบุญธรรมของ ‘เปลวอรุณ’



____________________________________________



ครั้งเดียวติดเลยดีไหมหรือเราควรมีรอบที่สองสามต่อดี
แต่ครั้งนี้เราต่องยกให้ลิลดาโดยการให้อนิรุทธิ์ต้องเสียตัวให้ลิลดานะคะ

มือที่สามผู้กุมชะตาชีวิตหนูอันนั้นจะออกมาในอีกไม่ช้านี้แน่นอ
ให้คู่ข้าวใหม่ปลามันเขามีเวลารักกันก่อนเนอะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 18


            “ใช่ สองใบ...ของฉันกับคุณเปลว....”

            เสียงทุ่มอ่อนดังมาไกลๆกระทบเข้าโสตประสาทการรับรู้ที่ยังเบลอมึนร่างกายเองรู้ก็สึกร้าวไปทั่วโดยเฉพาะที่กระดูกและช่วงล่างอยากจะเงยคอลืมตาดูเหมือนกันว่าเสียงที่ว่านั้นเป็นเสียงใครแต่ว่าหนังตาเองก็รู้สึกว่าหนักเกินจะปรือขึ้นมามองหัวก็หนักและปวดเกินกว่าจะทำอย่างที่ใจคิดได้

              “เปล่าไม่ได้ไปไหน คุณเปลวไม่สบาย...แค่เป็นไข้สองสามวันน่าจะหาย...”

              ความทรมานของเขาถูกเยียวยาด้วยความอุ่นจากฝ่ามือที่ลูบกลุ่มผมบนศีรษะอย่างเบามือที่ทำให้เขานึกถึง ‘แม่’ เวลาที่ไม่สบายทีไรแม่จะมานั่งเฝ้าใกล้ๆที่ข้างเตียงลูบหัวเขาอยู่อย่างนั้นจนหลับ แต่ฝ่ามือนี้ใหญ่และอุ่นกว่ามาก...

              “บอกแผนกอื่นด้วยว่าถ้ามีเอกสารอะไรให้วางไว้ที่โต๊ะคุณเปลวได้เลยเดี๋ยวตอนเย็นฉันจะให้คนเข้าไปเอา”

              เสียงของอัมรินทร์ดังอยู่เหนือหัวของเขา เปลือกตาหนักคล้ายถูกถ่วงไว้ด้วยหินหลายสิบตันพยายามจะขยับเพื่อปรือเปิด     

                “...”

              “แค่นี้ก่อนนะคุณเปลวตื่นแล้ว.... เปลวเป็นไงบ้าง” อัมรินทร์รีบตัดสายการสนทนาลงแทบจะในทันทีเมื่อบุคคลที่สามในประโยคสนทนาเมื่อครู่เริ่มขยับ พร้อมน้ำเสียงที่แสดงออกชัดว่าเป็นห่วงคนที่นอนอยู่จับใจขนาดไหน

              หลังจากพยายามสู้ฝืนความหนักของเปลือกตามาได้เปลวอรุณก็สามารถที่จะลืมตาขึ้นมาได้แม้จะแค่เล็กน้อยและพร่าเบลอไปสักหน่อยแต่พอลองกระพริบตาสองสามครั้งเขาก็สามารถมองเห็นแววตาโล่งอกของคนตัวโตที่อยู่ไม่ไกล

              ..น้ำ..

            “แค่กๆ..” แค่อ้าปากยังไม่ทันที่เสียงจะออกมาเป็นคำความแสบแห้งของลำคอก็ทำให้ต้องไอออกมาจนมึนหัวไปมากกว่าเดิม

              อัมรินทร์ร้องเสียงหลง ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้แดงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเปลวอรุณไอโคกเขารีบประคองอีกคนให้ลุกขึ้นก่อนจะปรับหัวเตียงให้เอนขึ้นมาพร้อมหาหมอนมาหนุนรองหลังให้ก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วนำมาป้อน

              “เป็นไงบ้าง”  เขาถามพลางเช็ดมุมปากและลูบหลังให้อีกคน

              “ปวดหัว” ที่จริงก็ทั้งตัวนั้นแหละแต่ตอนนี้เขาปวดหัวมากที่สุดแถมตาก็เหมือนจะบวมจนลืมได้แค่นิดเดียว

              “เดี๋ยวเปลวนั่งรอก่อนนะ ฉันจะไปอุ่นโจ๊กมาให้เปลวจะได้กินยา” อัมรินทร์หอมแก้มร้อนนั้นก่อนเอื้อมไปหยิบที่กดฉุกเฉินที่หัวนอนเรียกพยาบาลที่อยู่หน้าห้องให้ทราบว่าคนไข้ตื่นแล้วก่อนจะลุกหายไปที่โซนครัว

              เปลวอรุณนั่งนิ่งตามที่อีกคนบอกมองตามแผ่นหลังกว้างในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขาสามส่วนธรรมดาที่เดินหายไปหลังกรอบประตู ก่อนจะไล่มองรอบห้องใหม่ถึงได้รู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่ห้องนอนของอัมรินทร์แต่เป็นห้องผู้ป่วยวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่หลังมือขวาของเขาเองก็มีเข็มฉีดยาฝั่งตัวอยู่เพื่อให้น้ำเกลือ

              กลิ่นหอมอ่อนของข้าวต้มเริ่มโชยมาพร้อมร่างของบุรุษพยาบาลส่วนตัวที่เดินกลับมาที่ข้างเตียงเข้าพร้อมถาดรองชามข้าวต้มที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ข้างๆมีแก้วใส่ยาขนาดเล็กปิดปากด้วยที่ซีนอาหารสีใส วางถาดลงบนโต๊ะเล็กและเลื่อนมันมาชิดข้างเตียงก่อนตัวเองจะทรุดนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วหันมาส่งยิ้ม

              รอยยิ้มที่แย้มส่งมาให้จากใจ...

              เหมือนเคยเห็นที่ไหน...

              “เมื่อคืนขอโทษนะ” อัมรินทร์กล่าวเสียงอ่อนโอบแขนกอดรอบเอวซบหน้าลงที่อกของเขาสัมผัสความร้อนผ่าวของร่างกายที่แทรกผ่านเส้นใยผ้าออกมา

              “ขอโทษ?” เปลวอรุณทวนคำเสียงฉงนหัวคิ้วขมวดมุ่ย

              “ฉันจะรับผิดชอบเปลวเอง”  ไม่ใช่การพูดเอาใจแต่อัมรินทร์คิดเช่นนั้นจริงตามที่ลั่นคำออกไป

              “รับผิ...” เสียงแหบแห้งสากคอชะงักคำ เปลือกตาบวมตุ่ยเบิกขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อความหมายของคำว่า ‘รับผิดชอบ’ ที่อีกคนพูดลอยเข้ามาในหัว

              ความทรงจำแสนน่าอายไหลเข้ามาในหัวเป็นฉากๆเหมือนกระแสน้ำปาที่โถมเข้าใส่อุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าปกติอยู่มากมาแต่เดิมเริ่มสูงขึ้นอีกโดยเฉพาะที่ใบหน้า เปลวอรุณก้มหน้านิ่งไม่อยากยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนถ้าไม่ติดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเขาสามารถจำได้ทุกอย่างทุกการกระทำแล้วละก็เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าตัวเองจะสามารถทำเรื่องไร้ยางอายผิดศีลธรรมจรรยาแบบนั้นนั้นออกไปได้และที่สำคัญคือเป็นตัวเขาที่เป็นคนเริ่มความสัมพันธ์ช่วงข้ามคืนนั้นเอง

ทั้งๆที่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่แต่เขากลับไม่ขัดขืนยินยอมง่ายๆเหมือนน้ำที่ไหลไปตามรูปทรงของสิ่งบรรจุซ้ำร้ายเขายังเกาะเกี่ยวเอวหนานั้นเอาไว้ไม่ยอมให้ห่างกายอีกด้วย แค่คิดก็แทบไม่อยากจะมองหน้าอีกฝ่ายแล้ว...

ใบหน้าแดงที่ไม่แน่ว่าแดงเพราะพิษไข้แต่เดิมหรือเพราะว่าเรื่องเมื่อคืนกันแน่ทำให้อัมรินทร์อมยิ้มขำกระชับแรงกอดที่ช่วงเอวให้แน่นขึ้นอีกนิด

              “มะ เมื่อกี้คุณคุยกับใคร” เปลวอรุณถามเปลี่ยนเรื่อง

              “คุณรัฐ” รัฐธรรม หัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคล “ฉันโทรไปลางานให้เราไง” อัมรินทร์ตอบ

              “เรา” เหมือนเปลวอรุณจะยังเบลอถึงได้ถามทวนเขาเสียทุกครั้ง แต่อัมรินทร์ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญออกจะมองว่ามันน่ารักเสียด้วยซ้ำไป

            เหมือนเด็กหัดพูด...

              “ใช่ ‘เรา’ เพราะเปลวป่วยฉันก็ต้องดูแล” อัมรินทร์ยิ้ม

              เมื่อคืนเปลวอรุณหลับสนิททันทีหลังความรักของพวกเขาสิ้นสุดลงในรอบที่ห้าเขาทำความสะอาดคราบที่หว่างขาใส่ยาให้เรียบร้อยพร้อมกับเช็ดตัวและใส่เสื้อนอนให้ใหม่เพื่อให้หลับสบาย แต่เมื่อตอนเช้ามืดอีกคนกลับมีไข้ขึ้นสูงทำให้การออกกำลังกายยามเช้าของเขาต้องพับเก็บแล้วหันไปหาอ่างมาใส่น้ำเพื่อเช็ดตัวไล่ความร้อนออกจากร่างกายขาวซีดแทน

              “ที่จริงผมไม่เป็นอะไรคุณไม่น่าต้องลำบากพาผมมาโรงพยาบาลเลย”  เปลวอรุณว่าอย่างรู้สึกเกรงใจ ขยับมือข้างที่ถูกเสียบสายน้ำเกลืออย่างรู้สึกเจ็บ

              “จะไม่เป็นอะไรได้ไง เมื่อเช้าเปลวเกือบชักไปรอบ” อัมรินทร์ดีดตัวออกพร้อมตำหนิอีกฝ่ายเสียงดุ และเขาจะไม่เสี่ยงให้มันเกิดแน่ถึงได้รีบพาอีกคนมาโรงพยาบาลแบบนี้

              “ก็แค่เกือบ” เปลวอรุณพูดเสียงแผ่วก้มหน้าเหมือนเด็กแก้ตัว

              “อย่าดื้อเปลว ถ้าเปลวเป็นอะไรขึ้นมาฉันจะทำยังไง” อัมรินทร์ทำเสียงดุ มือเลื่อนโต๊ะเข้ามาใกล้หยิบชาวข้ามต้นขึ้นถือมืออีกข้างจับช้อนคนเนื้อข้าวต้มกุ๊ยไอควันร้อนสีขาวลอยขึ้นมาในอากาศ ชายหนุ่มตัดเนื้อข้าวขึ้นมาเล็กน้อยแค่ปลายช้อนเป่าเบาๆไล่ความร้อนให้พออุ่นก่อนยื่นมาจ่อที่ปากแดงก่ำที่เจ่ออยู่เล็กน้อยจากเมื่อคืน

              ข้าวต้มกุ๊ยที่ควรจืดกลับขมเฝื่อนฝืดคอแค่คำแรกเปลวอรุณก็แบ้ปากหันหน้าหนีไม่ยอมรับคำที่สองที่อัมรินทร์ตักขึ้นมารอป้อน จนอีกคนต้องทำเสียงดุแกมบังคับเพื่อให้คนป่วยยอมฝืนกินเข้าไปอีก

              แต่จนแล้วจนรอดเปลวอรุณก็กินไปได้เพียงแค่ห้าคำไม่ขาดไม่เกินแล้วก็บ่ายหน้าหนีชิงหยิบยาในแก้วใสมาใส่ปากแล้วกินน้ำตาเพื่อกันไม่ให้อีกคนเอาข้าวต้นขมคอนั้นให้เขากินต่อ

              อัมรินทร์มองการกระทำนั้นแล้วถอนหายใจออกมาแต่ก็ยอมที่จะเลื่อนโต๊ะนั่นออกแล้วถือชามข้าวต้มที่เหลือมานั่งกินเองต่อที่โซฟา ตักกินไปได้แค่สองคำคุณหมอหนุ่มเจ้าของไข้ของเปลวอรุณก็เดินเข้ามา

              คุณหมอหนุ่มที่อายุอานาน่าจะประมาณเดียวกับอัมรินทร์หรืออาจน้อยกว่าเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกล่าวทักทายทั้งคนป่วยบนเตียงและคนเฝ้าก่อนจะเริ่มตรวจ

              “เบื้องต้นหมอคาดว่าน่าจะเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดาแต่หมอจะให้พยาบาลมาเจาะเลือดคุณไปตรวจอีกรอบนะครับ” หมอหนุ่มพูดพลางจดรายงานการตรวจ

              “เจาะเลือดตรวจอีกทำไม” อัมรินทร์ขมวดคิ้วถามเสียงนิ่งคล้ายไม่พอใจเมื่อต้องรู้ว่าร่างกายของเปลวอรุณกำลังจะเป็นรอยเพราะปลายเข็ม

              “ก็เพื่อความมั่นใจนะครับว่าคนไข้จะไม่มีโรคแทรกซ้อนระหว่างที่ร่างกายอ่อนแอ” แต่คุณหมอก็ใจเย็นพอที่จะตอบกลับคนเฝ้าด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่หายไปจากใบหน้า

              “แล้วภรรยาผมจะกลับบ้านได้เมื่อไร” อัมรินทร์กอดอกถาม หรี่ตามองปมเชือกชุดผู้ป่วยสีน้ำเงินเข้มถูกปลดเพื่อทำการวัดชีพจร แน่นอนว่าสรรพนามที่ว่าทำให้เปลวอรุณเรียกอีกคนเสียงดังเท่าที่เสียงแหบๆของตนจะดังได้จนไออกมาจนตัวงอ

              “ก็ถ้าไม่เป็นอะไรมากไข้ลดลงแล้วก็แค่รอให้น้ำเกลือหมดถุงก็กลับได้แล้วละครับ” คุณหมอยิ้ม เก็บที่ตรวจเข้าที่ “เดี๋ยวตอนเย็นผมจะเข้ามาตรวจอีกรอบถ้าไข้ยังไม่ลดอีกหมออาจต้องของเพิ่มน้ำเกลืออีกถุงนะครับ ส่วนเรื่องบนเตียงช่วงนี้หมอของดไว้ก่อนก็จะดีสำหรับคนไข้นะครับ” แล้วก็ก้มหัวลาแล้วเดินออกจากห้อง

              อัมรินทร์เขม็งตามองตามหลังหมอหนุ่มนั้นออกไปก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เปลวอรุณตัวแดงจัดเสื้อคนไข้ที่เมื่อครู่ถูกแหวกออกเพื่อวัดชีพจรการหายใจให้เข้าที่

            ร่องรอยการแสดงความรักของเขาที่ฝากเอาไว้บนผิวกายขาวดูจะเริ่มเด่นชัดขึ้นมากกว่าเมื่อคืน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมตอนท้ายประโยคหมอหนุ่มคนนั้นถึงได้ทิ้งคำพูดแบบนั้นเอาไว้ให้

              “เดี๋ยวเปลวนอนพักอีกสักหน่อยนะตื่นมาอีกรอบจะได้รู้สึกดีขึ้น” เขาว่าพร้อมปรับที่นอนให้ราบลงเช่นเดิม คนป่วยเองทำตามอย่างว่าง่าย อัมรินทร์ละสายตาไปเพียงไม่ถึงห้านาทีหันกลับมาอีกทีคนบนเตียงก็หลับสนิท

              เปลวอรุณตื่นมาอีกทีในช่วงบ่ายพร้อมกับอาการไข้ที่สูงขึ้นกว่าเดิมผิวซีดลงจนอัมรินทร์นั่งไม่ติด เขารีบกดเรียกพยาบาลให้ตามหน้าหมอเข้ามาดูอาการและยิ่งเครียดหนักกว่าเดิมเมื่อผลตรวจเลือดเมื่อเช้าระบุว่าภายในร่างกายของเปลวอรุณมีโรงแทรกซ้อนหลงเข้ามาด้วยทำให้อาการป่วยแย่ลง

              “หมอฉีดยาให้แล้วพร้อมจัดยาเพิ่มให้แล้ว ต่อจากนี้ทุกสี่ชั่วโมงจะมีพยาบาลนำยาเข้ามาให้รบกวนคุณปลุกคนไข้ให้ขึ้นมากินด้วยนะครับ”  คุณหมอกล่าว ใบหน้าแย้มยิ้มอารมณ์ดีที่อัมรินทร์เห็นเมื่อช่วงสายหายไปเหลือแต่ความจริงจังในสายตา และถ้าหากภายในคืนนี้ไข้ของเปลวอรุณยังไม่ลดอีกคนจะต้องให้น้ำเกลือแล้วนอนอยู่ที่โรงพยาบาลต่อ

              ยาฆ่าเชื้อ ยาปฏิชีวนะ  ยาลดไข้ ยาแก้อักเสพ

              อัมรินทร์มองจำนวนยาที่อยู่ในแก้วบรรจุขนาดเล็กหน้าเครียดเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเปลวอรุณจะอ่อนแอได้ขนาดนี้ ไม่สิ ช่วงนี้ต่างหากที่เปลวอรุณป่วยบ่อย

              หรือจะเพราะความเครียดสะสมด้วย... อัมรินทร์คิด

              “แค่ก แค่ก” เสียงไอแห้งๆดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาให้หันไปมองคนป่วยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

              “กินยาหน่อยนะเปลว” ยาเม็ดต่างขนาดถูกส่งมาให้เปลวอรุณรับมาแล้วนำใส่เข้าปากก่อนจะตามด้วยน้ำที่อัมรินทร์คอยช่วยประคองถืออยู่

              “ขอโทษนะเปลว” อัมรินทร์ลูบแก้วขาวก่ำแดงจากพิษไข้อย่างรู้สึกผิดยิ่งไอร้อนที่แผ่ออกมายิ่งทำให้เขาโทษตัวเอง

              “ขอโทษทำไมครับ” อีกคนถามเสียงเหนื่อยอ่อน “เวลาผมป่วยมันก็เป็นแบบนี้ละครับ” เปลวอรุณยิ้มปลอบ

              เขาไม่ใช่คนป่วยง่ายก็จริงแต่อย่างให้ได้ป่วยเชียวเป็นอันต้องนอนโรงพยาบาลเจาะเลือดตรวจกันให้วุ่น เรื่องพวกนี้เขาชินเสียแล้วสิ นานสุดที่ป่วยเรื้อรังคือสามเดือนได้

              “แต่ถ้าเมื่อคืนฉัน..”

              “คุณอัน”

              เปลวอรุณรีบแทรกขึ้นมาเสียงดัง เขาไม่ต้องการให้อัมรินทร์พูดถึงเรื่องน่าอายของเขาเมื่อคืนให้ได้ยินเขายังไม่พร้อมที่จะฟังถึงในใจจะพอทำใจยอมรับได้แล้วส่วนหนึ่งก็เถอะว่าตัวเองเป็นคนเริ่มแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อายเกินกว่าจะกลับไปคิดถึงมันอีก

              “ถึงยังไงฉันก็มีส่วนผิด” อัมรินทร์พูด เปลวอรุณหน้าบางและขี้อายอีกทั้งเจ้าตัวเพิ่งผ่านคืนรักมาจึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะยังรู้สึกอายและกระด้างใจเกินกว่าจะพูดหรือได้ยิน เขาเข้าใจ...

              “แต่ตอนนี้เปลวเป็นเมียฉันแล้ว” ริมฝีปากอุ่นแนบลงสัมผัสความร้อนของริมฝีปากอีกคนเบาๆแล้วผละออกไปคลอเคลียที่ข้างแก้มแดง             

              “ฉันจะรับผิดชอบเปลว ดูแลเปลวเอง”

              ถึงเมื่อเช้าจะโดนเตือนเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงไปแต่เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะห้ามกันได้ยิ่งสภาพของเปลวอรุณโอนอ่อนเป็นต้นไผ่โดนลมแบบนี้ด้วยแล้วอัมรินทร์ก็ยากที่จะอดใจ

              เขาว่าผู้หญิงเมื่อได้ผ่านคืนแรกกับสามีแล้วจะดูสวยขึ้น คำนี้น่าจะใช้กับเปลวอรุณในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี..

              ผิวขาวซีดดูอิ่มไม่เหมือนคนป่วยมีไข้สูง ใบหน้าขาวที่แดงด้วยพิษไข้ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์ ปากอิ่มนั้นที่ไม่ว่าจูบเท่าไรก็คล้ายจะไม่พอสำหรับเขา

              กางเกงนอนผู้ป่วยถูกถอดทิ้งไว้อยู่ปลายเตียงนอนคนเฝ้า สะโพกขาวลอยเด่นขาสองขาสั่นพรั่บยามท่อนซุงหนาสอดตัวเข้ามาในใจกลางกุหลาบน้อยที่ยังช้ำจากการรุกรานเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ปากกลีบแดงดูน่าสงสารแต่ถ้าไม่เข้าไปคนที่น่าสงสารดูจะเป็นตัวของอัมรินทร์

              “อ๊า..”

              เปลวอรุณพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียงออก เจ้าตัวกดหน้าลงกับหมอนหนุนกัดมันเพื่อระบายความเสียวซ่านยามที่ต้องต้อนรับสิ่งอวบหนา เช่นเดียวกับอัมรินทร์ที่ต้องอดกลั้นไม่พลั้งมือทำรุนแรงอีกและพยายามเกาะมือข้างที่ถูกเจาะเสียบน้ำเกลือของเปลวอรุณที่กำเข้ากับเสาน้ำเกลือจนเลือดสีเข้มของอีกคนไหลย้อนออกแล้วให้มากำกับมือของเขาแทน

              ภายในกุหลาบน้อยของเปลวอรุณยามนี้ร้อนกว่าเมื่อคืนหลายเท่าน่าจะเพราะอาการป่วยของเจ้าของที่ทำให้ความร้อนในร่างกายเพิ่มทวีรวมถึงแรงบีบรัดก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเมื่อเจ้าตัวดูจะยังเจ็บจากความรักก่อนหน้าของพวกเขา

              อัมรินทร์สอดตัวเข้าภายในจนสุดแช่ค้าไว้ให้เปลวอรุณชินก่อนจะเริ่มขยับ แรงเสียดสีเป็นไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบด้วยกลัวว่าอีกคนจะเจ็บ

              ครั้งนี้ดูเปลวอรุณตัวสั่นเหมือนกลัวกว่าครั้งแรกจนอัมรินทร์ฉงนเพราะเปลวอรุณทำเหมือนว่าการร่วมรักในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวยินยอม แต่อัมรินททร์ก็ไม่ได้เก็บเอามาคิดอะไรต่อให้ยุ่งยากกดจูบไปตามแผ่นหลังขาวที่โผล่พ้นขอบเสื้อผู้ป่วยที่เขาถกร้นขึ้นไปสูง หัวไหล่ และซอกคอ น้ำหวานจากกุหลาบน้อยเริ่มไหลออกมาหล่อลื่นการเสียดสีทำให้เขาสามารถเพิ่มแรงขับได้มากกว่าเดิมโดยไม่กลัวอีกคนเจ็บ ไสกายเข้าออกเน้นย้ำตรงจุดไว้สัมผัสของอีกคนก่อนจะรั้งคนที่นอนคว่ำก้มหน้าชิดหน้าขึ้นจนแผ่นหลังแนบชิดแผ่นอก

              “อืมม..”

              ไม่ใช่แค่ข้างล่าง แต่ภายในโพงปากของเปลวอรุณก็ร้อนความหวานที่เขาเคยควานเจอเมื่อคืนกลับกลายเป็นรสขมจากยาที่อีกคนเพิ่งทานเข้าไป แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้เขาละริมฝีปากออกซ้ำยังติดใจรสชาติแปลกใหม่อีกด้วยแต่สิ่งที่ทำให้อัมรินทร์ครางต่ำอย่างพอใจดูเหมือนจะเป็นตรงท้องน้อยด้านล่าง

              มือหนาลูบวนตรงนั้นอยู่หลายครั้งโดยมีมือขาวจับทับอยู่ด้านบน ท้องน้อยเหนือส่วนลับเพียงเล็กน้อยนูนและยุบตามจังหวะการเข้าออกของท่อนเนื้อ พยานสำคัญที่แสดงให้เขารู้ว่าตอนนี้เขากับเปลวอรุณเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน   

              เปลวอรุณปลดปล่อยออกมาหลังจากถูกกระหน่ำรักจากอัมรินทร์จนพอใจตัวอ่อนยวบคล้ายลูกโปล่งที่ถูกปล่อยลมออกเอนกายอ่อนแรงพิงอกคนข้างหลังมีท่อนแขนหนาคอยรั้งเอวเอาไว้ไม่ให้ล้ม คราวขาวขุ่นหนืดหยดเปรอะเบาะนอนยางที่อัมรินทร์ถกผ้าปูหนีส่วนเจ้าตัวก็กระแทรกกายเข้าออกอยู่อีกสองครั้งหนนักๆแล้วจึงปลดเชื้อพันธ์เข้าสู่กายคนป่วนส่วนเกินทะลักออกจากปากกลีบที่ถูกปิดแน่นไหลอาบลงที่ต้นขาขาว

              อัมรินทร์จูบซับขมับที่เริ่มชื้นเหงื่อ เพราะเขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกเพียงแค่ปลดซิปกางเกงลงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อถอนกายออกมาแล้วเขาจึงทำเพียงแค่หยิบกระดาษทิชชู่เปียกที่อยู่บนตู้เล็กข้างเตียงมาเช็ดทำความสะอาดความเหนียวหนืดที่ยืดติดส่วนปลายเชื่อมกับช่องทางบวมเป่งนั้นออกลวกๆแล้วดึงซิปขึ้นก่อนช้อนตัวเปลวอรุณที่หอบหายใจขึ้นอุ้มไปที่ห้องน้ำ

              ร่างอ่อนปวกเปียกของเปลวอรุณถูกวางลงที่ชักโครกจับให้อ้าขาออกแม้อีกคนจะอายจนไม่กล้ามองหน้าไม่ว่าอัมรินทร์จะเย้าแหย่ยังไงเปลวอรุณก็เอาแต่หน้าหนีซ้อนความแดงของใบหน้า

              อัมรินทร์ส่ายหน้ายิ้มปลายนิ้วหนาสองนิ้วสอดตัวเข้าทักทายกุหลายน้อยอีกครั้งเพื่อกวาดคว้านเอาสารคัดหลั่งของอีกคนและเชื้อพันธ์ของตนออกมา อัมรินทร์มองส่วนเกินที่ไหลออกมาอย่างคิดเสียดายที่จะต้องทิ้งมันลงโถชักโครกแต่เขาก็ตัดใจจากมันแล้วหันมาทำความสะอาดภายในของเปลวอรุณต่อให้เสร็จเมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสถึงความบวมของปากกลีบที่น่าสงสารก่อนจะล้างมือหาผ้ามาชุบน้ำบิดพอหมาดนำมาเช็ดตามท่อนขาเรียวขาวทั้งสองขาและร่องปากกลีบกุหลาบ สวมกางเกงนอนคนป่วยให้เปลวอรุณเป็นอย่างสุดท้ายก่อนช้อนตัวอุ้มคนป่วยกลับไปยังที่เตียงนอนอีกครั้ง

              พอขึ้นเตียงได้เปลวอรุณก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นคุมหอตัวเป็นดักแด้อีกครั้ง ขี้อายเสมอต้นเสมอปลาย อัมรินทร์อมยิ้มขำก่อนจะจัดการทำความสะอาดสนามรักเฉพาะกิจของพวกเขาให้สะอาดแล้วดึงผ้าปูกลับให้เรียบร้อยเช่นเดิม



         
  :-[

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:-[



 ครั้งนี้เปลวอรุณหลับสนิทและยาวกว่าทุกครั้งมีตื่นขึ้นมากินยาเมื่อครบสี่ชั่วโมงตามหมอสั่ง พูดคุยกับอนิรุทธิ์และลิลดาที่มาเยี่ยมก่อนจะหลับต่อ ตื่นมาอีกครั้งในช่วงใกล้เที่ยงคืน

              “แม่เปลว”  เสียงของลูกตาดังขึ้นพร้อมใบหน้าคมเข้มของเด็กหนุ่มที่ใช้โต๊ะเลื่อนสำหรับกินข้าวบนเตียงต่างโต๊ะทำงาน หนังสือเตรียมสอบสองสามเล่มสมุดจดและปากกาสีวางเกลื่อนเต็มโต๊ะ

              “เป็นยังไงบ้างครับ หิวน้ำไหม” เด็กหนุ่มถามเสียงรนกุลีกุจอหยิบเหยือกมาเทน้ำใส่แก้วแล้วถือประคองรองให้เวลาดื่น “รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ”

              “ดีขึ้นหน่อยแล้วละ” รู้สึกสบายตัวขึ้นด้วย..  เปลวอรุณยิ้มให้แต่ยังคงเสียงแหบและไอแห้งๆอยู่บ้างแต่นอกนั้นก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว

เก๊ก

              เสียงบิดลูกบิดประตูห้องน้ำดังขึ้นพร้อมร่างสูงใหญ่ของอัมรินทร์ในชุดเตรียมนอน “อ้าว ตื่นแล้วหรอเปลว”

              สองขายาวก้าวเข้ามาใกล้อังหลังมือลงใกล้หน้าผากและลำคอเพื่อวัดไข้ เมื่อไม่สัมผัสถึงความร้อนเช่นเมื่อตอนบ่ายแถมสีหน้าของคนป่วยก็ดูดีขึ้นเขาก็ยิ้มออก

              “ไข้ลดลงแล้ว พรุ่งนี้น้ำเกลือหมดน่าจะกลับไปพักต่อที่บ้านได้แล้วละ” อัมรินทร์พูดราวกับตนเป็นหมอ ถึงจะแอบทำหน้าล้อเลียนแต่ลูกตาลเองก็เห็นด้วย

              “แล้วนี้ทำไมยังไม่นอนกันอีก” เปลวอรุณถามพลางมองเวลาที่อีกไม่กี่นาทีจะข้ามพ้นวันเก่า

              “ผมอ่านหนังสืออยู่นะครับ” ลูกตาลจับมืออุ่นร้อนแนบหน้าจนเปลวอรุณต้องเปลี่ยนมาเป็นลูบหัวทุยของเด็กหนุ่มแทน

              “แล้วอ่านถึงไหนแล้ว นอนดึกไม่ดีนะแล้วพรุ่งนี้ไม่ไปทำงานหรือไง” เปลวอรุณก็ยังคงเป็นเปลวอรุณ คุณแม่จอมขี้กังวล...

              “ฉันเตือนลูกแล้วนะเปลว แต่ตาลดื้อไม่ยอมฟัง” ได้ทีขี่แพะไล่ อัมรินทร์กรีดยิ้มร้ายโอบไหล่อีกคนไว้เป็นการฟ้อง

                   “ผมกะว่าจบเรื่องนี้ก็จะนอนแล้วฮะ วันนี้ผมแลกกะกับเพื่อนไปแล้วพรุ่งนี้เลยไม่ต้องไปทำงาน” ลูกตาลมองคนขี้ฟ้องตาขวาง ทั้งที่กะว่าจะอ่านต่ออีกสักหน่อยเป็นอันต้องพับเก็บลงทันใด

                   “ถ้างั้นก็อย่าดึกนักละ” เปลวอรุณลูบหัว “แล้วคุณทำไมยังไม่นอน” ก่อนจะหันมาถามอีกคน

                   “ทำงาน” อัมรินทร์ตอนสั้นๆ  คนป่วยชะโงกหัวออกไปมองแฟ้มเอกสารที่วางอยู่เต็มเตียงข้างๆ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าเมื่อตอนเย็นตอนที่อนิรุทธิ์และลิลดามาเยียมนอกจากถุงขนมของฝากแล้วยังมีแฟ้มเอกสารอีกด้วย

                  “มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” เจ้าตัวพูดพร้อมตั้งท่าลงจากเตียงไปหากองงานตรงหน้าจนอัมรินทร์และลูกตาลต้องส่งเสียงร้องห้าม

                   “แม่เปลวจะทำอะไรครับ” เด็กหนุ่มถามเสียงหลงรั้งแขนอีกคนไว้แน่น

                   “ก็ไปทำงานไง” แต่คนป่วยก็ยังหันกลับมาตอบหน้าซื่อ

                  “ไม่ต้องเปลว เดี๋ยวฉันทำเอง” อีกคนร้องห้ามไม่ต่างกัน

                  “แต่ว่า..”

                  “ไม่มีแต่ งานใกล้จะเสร็จแล้วเปลวนอนพักไปนั้นแหละ” อัมรินทร์บอกก่อนหันไปสบตากับเด็กหนุ่มเป็นอันรู้กัน

                  “แม่เปลวดูนี้กัน” ลูกตาลเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตนมาเปิดคลิปวีดีโออันหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้แทนเพื่อเบี่ยงความสนใจของคนป่วยบ้างาน

                 และได้ผล

                เปลวอรุณหันมาหัวเราะคิดคักกับการกระทำแปลกๆของคนในคลิปพลางพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกตาลอย่างออกรส จบคลิปนี้ต่อคลิปนั้นเสียงพูดคุยของคนสองคนทำเอาคนที่นั่งมองอยู่เผลอยิ้ม

               ตอนเห็นเปลวอรุณไม่สบายจนเกือบชักเขาแทบทำอะไรไม่ถูกมือไม้สั่นอย่างห้ามไม่อยู่ รีบอุ้มอีกคนขึ้นรถแล้วมาส่งโรงพยาบาลและพยายามเช็ดตัวเป็นระยะเพื่อไล่ความร้อนในตัวของอีกคนให้หายไปจนช่วงสายที่อาการไข้ของอีกคนคนที่นั้นแหละเขาถึงได้หายใจหายคอได้สะดวก ข้าวต้มกุ๊ยจืดชืดที่เปลวอรุณกินเหลือคือข้าวเช้าเพียงมื้อเดียวที่เขาได้กินตลอดทั้งวันการเฝ้าไข้คนป่วยมันน่าเบื่อแต่เขาเต็มใจที่จะทำถ้าคนป่วยที่ว่าคือเปลวอรุณ

              ช่วงบ่ายเขาเคลิ้มๆจนใกล้จะหลับอยู่ดีๆคนที่หลับสนิทก็ไอออกมาหนักกว่าเดิมซ้ำร้ายยังขยับพลิกตัวไปมาเหมือนไม่สบายตัวจนเขาต้องกดเรียกหมอให้มาตรวจอีกครั้งและโกรธจนแทบคลั่งเมื่อรู้ว่าอีกคนมีโรคแทรกซ้อนความกลัวเหมือนเงามืดที่เข้าปกคลุมใจของเขาจนชาวาบ

             กลัว กลัวเปลวอรุณจะเป็นอะไรไป...

             หลังทำเรื่องเผลอไผลกับเปลวอรุณไปอีกรอบครั้งนี้เขาได้หลับอย่างเต็มตาจริงๆ เขาตื่นขึ้นมาเพราะพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมยาที่ต้องกินทุกสี่ชั่วโมง

             เขาปลุกเปลวอรุณขึ้นมากินยาเช็ดตัวให้อีกรอบเมื่อเห็นว่าอีกคนยังมีไข้ตัวรุมๆอยู่กลังจากนั้นอนิรุทธิ์และลิลดาก็เข้ามา เมื่อบ่ายเขาฝากให้อนิรุทธิ์เข้าไปนำเอกสารงานที่โต๊ะของเปลวอรุณมาให้เขาที่นี้และโชคดีที่ลิลดาเป็นคนละเอียดอ่อนเธอซื้อข้าวหมูแดงมาให้เขาเป็นข้าวเย็นรวมถึงขนมนมเนยของกินเล่นต่างๆเป็นของแถม ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าแต่สีหน้าของลิลดาวันนี้ดูหง่อยๆเหมือนคนสำนึกผิดกับอะไรสักอย่าง อนิรุทธิ์กับลิลดาอยู่คุยถามไถ่อาการของเปลวอรุณจากเขาเพียงเล็กน้อยแล้วขอตัวกลับเมื่อเห็นว่าคนป่วยหลับสนิทจึงไม่อยากอยู่รบกวน

          เอกสารด่วนที่ได้มาเป็นเรื่องการสั่งซื้อเครื่องประดับทั้งส่วนบุคคลและห้างร้าน เขานั่งตรวจสอบเอกสารสลับกับเช็ดตัวให้เปลวอรุณพอครบเวลาพยาบาลก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาแต่เขาไม่อยากจะขัดจังหวะการนอนจึงเลือกใช่วิธีป้อนด้วยปากแทนแล้วส่งแก้วยาคืนพยาบาลสาวที่ยืนหน้าแดง จนเวลาเกือบห้าทุ่มนั้นแหละลูกตาลถึงเดินเข้ามาพร้อมเป้ใบใหญ่เด็กหนุ่มถามไถ่อาการเปลวอรุณพอประมาณแล้วเข้าไปอาบน้ำแล้วเดินออกมานั่งอ่านหนังสือ

              แรกสะกิดเบาๆที่แขนเรียกให้เปลวอรุณละสายตาจากคลิปสัตว์โลกน่ารักขึ้นมามองลูกชายก่อนจะหันตามใบหน้าที่พยักพเยิดไปอีกทางให้เขามองตาม

              ภาพอัมรินทร์ที่นั่งสัพงกอยู่ที่เตียงนอนสำหรับคนเฝ้าไข้ดูน่าตลกแต่พอได้ฟังจากลูกตาลว่าอัมรินทร์คอยเช็ดตัวให้เขาแทบจะทุกชั่วโมงก็พอเข้าใจความเหนื่อยอ่อนของชายหนุ่ม

              “ตาลพาคุณอันเขาไปนอนดีๆที แม่ลุกไม่ขึ้น” ถึงจะดีขึ้นแล้วแต่ช่วงล่างที่รับกระทำมายังไม่พร้อมที่จะให้เขายืนทรงตัวให้ตรงได้ ลำพังแค่ขยับขาไปมาบนที่นอนเขายังรู้สึกร้าวยันกระดูกขนาดนี้

            เด็กหนุ่มเป็นคนว่าง่ายแม่ไหว้วานอะไรมาเขาเองก็พร้อมที่จะทำตาม ลูกตาลเก็บเอาเอกสารทุกอย่างที่อัมรินทร์อ่านค้างไว้ใส่แฟ้มแล้ววางลงที่ตู้ด้านข้างเตียงประคองคนที่ตัวโตกว่าลงที่นอนช้าๆก่อนจะตามด้วยผ้าห่ม ดูท่าอัมรินทร์คงจะเพลียจริงๆเพราะขนาดว่าเด็กหนุ่มจับตัวอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำไป

              “ตาลก็นอนได้แล้ว หนังสือค่อยอ่านเอายังพอมีเวลาอยู่นะ” เปลวอรุณเตือน

              “งั้นผมนอนเลยแล้วกันนะครับ” บอกแล้วว่าเขาเป็นคนว่าง่าย

              ลูกตาลจัดแจงห่มผ้าให้แม่เปลวจนถึงคอก่อนจะหันมาเห็บอุปกรณ์การอ่านของตนให้เรียบร้อยแล้วเดินไปปิดไปแล้วเดินมาล้มตัวนอนลงที่เตียงนอนข้างๆอัมรินทร์

              เตียงก็ออกจะกว้าง เรื่องอะไรเขาจะต้องทนบนหลังขดหนังแข็งบนโซฟาด้วย...



            เช้านี้ดูสดใสกว่าเช้าเมื่อวานอาการไข้เริ่มลงลงอยู่ในระดับแค่ตัวอุ่นๆแม้จะยังไอแห้งๆอยู่บ้างแต่เปลวอรุณก็พอจะพูดได้เต็มปากเหมือนกันว่าเขา หายแล้ว

              “หน้าตาดูสดชื้นขึ้นมาเลยนะครับ” คุณหมอว่ายิ้มแย้ม วางที่ตรวจชีพจร(stethoscopes)ลงที่หน้าอกฟังการหายใจและตรวจชีพจรของเปลวอรุณ

              “อาการไข้ลดลงแล้วเหลือรอน้ำเหลือหมดไม่เกินช่วงบ่ายก็กลับบ้านได้แล้วละครับ” การรักษาคนไข้ให้หายได้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของคนเป็นหมอ รอยยิ้มที่แย้มออกจึงดูจะกว้างกว่าเมื่อวานเยอะเลย

              “ส่วนยาหมอจะจัดไว้รอให้ ทานให้หมดด้วยนะครับ” ไม่ใช่คำบอกแต่เป็นการบังคับ คนไข้ส่วนใหญ่พอเห็นว่าตัวหายแล้วแข็งแรงแล้วก็ปีกกล้าไม่เชื่อฟังไม่ยอมกินยาต่อให้หมด ผลสุดท้ายก็กลายว่าเป็นดื้อยา

              เปลวอรุณถูกบังคับให้กินข้าวต้นจืดแสนขมคอลงท้องอีกครั้งเพื่อกินยาก่อนจะถูกสั่งให้นอนหลับไปอีกรอ แต่การนอนมาทั้งวันแล้วเมื่อวานทำให้เปลวอรุณออกจะหงุดหงิดและไม่ยอมทำตาม ทางออกที่ดีดูเหมือนจะเป็นภาพยนตร์ที่ลูกตาลเปิดขึ้นมาพอดี

              หนังกลางเก่ากลางใหม่ที่ถูกนำมาฉายในช่องรายการสำหรับภาพยนตร์ดึงดูดความสนใจของทั้งสามคนให้ใช้เวลาที่เหลือก่อนออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอยู่ที่หน้าจอสี่เหลียม

              “ไม่มียาก่อนกินข้าวแต่มีหลังกินข้าวสามตัว” ลูกตาลพูดขึ้นขณะสายตากำลังไล่อ่านชื่อยากับวิธีการกิน   

            “แล้วหมอนัดอีกทีเมื่อไรตาล” อัมรินทร์ถามแทรกขึ้นขณะเข็นรถเข็นสำหรับคนป่วยที่เปลวอรุณนั่งอยู่เสมอคู่มากับเด็กหนุ่ม

              “ศุกร์หน้า แต่มันบอกว่าถ้าหายแล้วไม่ต้องมาก็ได้” เด็กหนุ่มบอกพร้อมส่งใบนัดสีขาวให้อัมรินทร์ดูว่าตนไม่ได้โกหกพร้อมส่งถุงยาคืนให้เปลวอรุณไปดูเองต่อ

              อัมรินทร์พยักหน้าเป็นอันเข้าใจก่อนจะส่งใบนัดคืนให้คนบนรถเข็น พวกเขาเดินกันมาจนถึงโถงด้านหน้าโรงพยาบาลอยู่ดีการเคลื่อนที่ก็หยุดชะงักลงเปลวอรุณที่กำลังพลิกดูซองยาก็หันกลับไปมองคนเข็นก่อนจะพบว่าอัมรินทร์กำลังตีหน้าไม่พอใจหัวคิ้วขมวดชนกันแน่นแววตาฉายแววความไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด

              เปลวอรุณมองอย่างไม่เข้าใจจึงหันไปมองข้างหน้าตามสายตาของอีกคนดูก่อนจะพบว่าตรงหน้าของพวกเขาทั้งสามคนมีร่างสมส่วนของผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอัมรินทร์ยืนส่งยิ้มละไมมาให้

              “ราชัน

              ไม่ใช่เสียงของเขา แต่เป็นเสียงของผู้ชายที่ยืนอยู่เหนือด้านหลังของเขาต่างหาก...

              น้ำเสียงที่กลั่นกรองออกมาจากไรฟันบอกให้คนที่แทบหยุดหายใจรับรู้ว่าอัมรินทร์ไม่มีความยินดีอยู่เลยสักนิดกับการที่ต้องมาพบเจอผู้ชายผิวขาวซีดเหมือนผีไร้เลือดตัวสูงโย่งตรงหน้า

               “ไม่เจอกันนานเลยนะอัน” ชายหนุ่มนามว่า ราชัน ฉีกยิ้มแสดงความเป็นมิตรให้คนที่หน้าบ่อบุญไม่รับบ่อบาปไม่ยินดีอย่างหน้าชื้นตาบานไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าคนที่เจอจะอยากเจอตนด้วยความยินดีด้วยหรือไม่

              “แล้วนี้มาทำอะไรที่โรงพยาบาลหรอ เอ๊ะ หรือมึงไม่สบาย”  หนังตาเรียวขั้นเดียวเบิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายตกใจพร้อมแสดความเป็นห่วงผ่านทางสายตาขณะไล่ตามเนื้อตัวของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มผิวเข้มหน้าคมข้างๆแล้วมาหยุดอยู่ที่คนบนรถเข็นด้วยรอยยิ้มที่กระตุกมุมขึ้น

              “แล้วนี้..” ราชันลากเสียงพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้

              “อย่างยุ่งกับเมียกู” อัมรินทร์พูดเสียงเหี้ยมเลื่อนรถเข็นถอนหลังไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้

              “เมีย?” ราชันทวนคำเหมือนไม่เชื่อ มือสองที่ซ้อนไว้ข้างหลังกำแน่นเข้าหากันระงับอารมณ์

              “อะไรกับไม่เจอกันตั้งนานไม่เห็นบอกกันบ้างเลยว่ามึงมีเมียแล้ว” ชายหนุ่มผิวขาวซีดถามอัมรินทร์แต่สายตากลับก้มมองแปลวอรุณที่นั่งก้มหน้าตาไม่กระพริบเหมือนว่าคำถามนั้นเจ้าตัวไม่ได้ใช้ถามอัมรินทร์

              “เพราะมันไม่ใช่เรื่องของมึงไงราชัน” อัมรินทร์เหยียดยิ้มเยาะ อีกฝ่ายทำหน้าปากแบะใส่ก่อนหันไปฉีกยิ้มให้อีกหนึ่งคน

              “แล้วเด็กน้อยนี้ละ”

              “ลูกกู”  ราชันมองอาการหวงก้างของอัมรินทร์ที่เริ่มทำให้เขายิ้มสนุกตาพราวระยับเหมือนเด็กกำลังเจอของเล่น

              “ลูกมึง โทษนะ จากอายุเด็กกุว่าไม่น่าใช่วะ” เด็กนี้ดูแล้วน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบ อัมรินทร์อายุยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้าถ้าเด็กหนุ่มนี้เป็นลูกของเพื่อนเขาจริงก็แสดงว่าอัมรินทร์ต้องมีลูกตั้งแต่สิบขวบ

              “ลูกของเมียกูก็คือลูกของกูเหมือนกัน มึงจะถามเรื่องที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองทำไม” อัมรินทร์กดเสียงอย่างไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไรกับคำถามที่คล้ายจะเย้ยเยาะเขา

              “อ๋อ” ราชัยทำเสียงสูง ยิ้มเหมือนเข้าใจ

              “ถ้าอย่างนั้นเราค่อยเจอกันใหม่นะ” นัยน์ตาเข้มก้มมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือก่อนจะโบกมือล่ำลาครอบครัวของเพื่อนก่อนจะเดินไปอีกทาง ทิ้งความไปพอใจให้กับอัมรินทร์เป็นอย่างมากที่ต้องมาเจอกับคนที่ไม่อยากเจอ

              สังหรณ์แปลกๆ...



____________________________________________________________

รู้สึกว่าอาทิตย์นี้ลงถี่มากกับสามตอนเสียเลือด

ตอนนี้ได้เวลาเปิดตัว หนูราชัน สมาชิกใหม่แห่งบ้านทรายทอง
ผีดิบน้อยเพื่อนรักของมนุษย์หมาป่าลูกเป็ดอันอัน

ราชันเป็นใครมาจากไหนนั้นรอดูกันต่อไปได้เลย แง้มๆว่าคนนี้ละที่จะทำให้อัมรินทร์กระอักเลือด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2017 21:22:16 โดย wavery »

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
ราชันเป็นใครราชันต้องมีแผนอะไรอยู่แน่ๆ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ราชันคือใครหว่าาา

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
ติดตามจ้า

ออฟไลน์ pamazier24

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
สนุกมากค่ะ แต่งดีมากเลย ติดตามตลอดนะคะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
อัพรัวๆเลยดีจายยยย
ว่าแต่ ราชันจะมาเพิ่มความวุ่ยวายไหมหนอ?! :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ askmes

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
รอติดตาม

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 19



            “คุณเปลว”

              เสียงหวานใสดังออกมาแต่ไกลจากในตัวบ้านก่อนจะตามมาด้วยเสียงลงส้นเท้าหนักๆตรงมายังเจ้าของชื่อที่เพิ่งก้าวเท้าลงมาจากรถยนต์โดยมาอัมรินทร์คอยประคองอยู่ข้างๆไม่ให้ล้ม

              “คุณเปลวของลิล”  ลิลดาพูดเสียงดังไม่ห่วงมารยาทที่เพิ่งโดนมารดาตักเตือนไปเมื่อหลายวันก่อน เธอตรงปรี่เข้ามารวบตัวคนป่วยที่ยังไม่หายดีมากอดเสียเต็มรัก กลิ่นหอมอ่อนๆของเครื่องปรุงเตรียมอาหารลอยออกมาปนกันกลิ่นน้ำหอมที่เจ้าหล่อนใช้ประจำ

              “ลิลอย่าพุ่งมาแบบนั้นสิเดี๋ยวเปลวเขาล้ม” อนิรุทธิ์ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามมาทีหลังเอ็ดเสียงเหมือนผู้ใหญ่วิ่งตามเด็ก

              “คุณเปลวเป็นยังไงบ้างคะ ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่าคะ” เธอถามหน้าจริงจัง จับคนตรงหน้าหมุนซ้ายหมุนขวา

              “ไม่เป็นอะไรแล้วครับ ขอบคุณนะครับที่ไปเยี่ยมเมื่อวาน” เปลวอรุณยิ้มตอบพร้อมค่อยๆผละออกจากหญิงสาวอย่างไม่ให้เสียมารยาทเพราะถ้าเธอยังจับเขาพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่อีกมาหวังเขาได้เวียนหัวแล้วอาเจียนออกมาแน่

            “จริงๆนะคะ แต่ตัวยังร้อนๆอยู่เลย” เธอว่าพร้อมยกมือขึ้นอังลำคออีกฝ่าย “แถมยังไออีกด้วย” เธอพูดเสียงอ่อย

              “แค่ยังเหลือไข้นิดๆหน่อยๆกับไอนี้ละครับนอกนั้นก็ดีขึ้นหมดแล้ว”

              “แน่นะคะ” ใบหน้าสวยเจือความรู้สึกผิด “ถ้าคุณเปลวเป็นอะไรไปลิลต้องรู้สึกผิดมากๆแน่เลยค่ะ” เธอว่า

              “แล้วทำไมต้องรู้สึกผิดด้วยละครับ คุณลิลไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อยอีกอย่างผมก็ป่วยเองด้วย” เปลวอรุณเอียงคอถาม ไม่เข้าใจความหมายที่เธอว่าออกมาว่าทำไมต้อง ‘รู้สึกผิด’ ที่เขาป่วยด้วย

              “เออ ก็..” คนชั่งพูดแทบไปไม่ถูก ด้วยไม่มีใครรู้ว่าเธอแอบทำอะไรกับแก้วน้ำผลไม้ของเปลวอรุณ หากพลั้งปากออกไปดีไม่ดีคนที่จะถูกตำหนิก็คงไม่แคล้วจะเป็นตัวเธอที่คิดเล่นพิเรนทร์มอมยาคนอื่นจนจับไข้

              “เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าไหม แดดเริ่มแรงแล้วเดี๋ยวเปลวจะไข้กลับ” เหมือนเสียงสวรรค์มาช่วย เพราะเมื่ออัมรินทร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆเหมือนคนเพิ่งเจอเรื่องไม่สบอารมณ์มาก็ประคองเปลวอรุณเดินขึ้นขั้นบันไดเข้าไปด้านในไม่สนใจพวกเธออีกเลย

              ลิลดามองตามหลังเพื่อนชายคนสนิทไปอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงต้องดูโกรธใส่อารมณ์ขนาดนั้น ครั้นพอหันมาสบตากับอนิรุทธิ์เป็นเชิงถาม ชายหนุ่มเองก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้เช่นกัน

              ถ้าอย่างนั่นก็คงเหลืออยู่คนเดียวที่พอจะตอบปัญหานี้ได้...

              ทั้งสองหันกลับมามองเด็กหนุ่มที่นั่งยองเล่นอยู่กับสุนัขตรงหน้า ลูกตาลเองเมื่อรู้สึกเหมือนถูกมองก็เงยหน้าขึ้นมองสองชายหญิงนั่นกลับ

              “มีอะไรหรอครับ” เจ้าตัวถามพลางลุกขึ้นปัดฝุ่นตามตัวออก “แล้วทำไมใส่ผ้ากันเปื้อนกันละ” พอถาม

              ผ้ากันเปื้อนสีกาแฟอยู่บนตัวของลิลดาลูกตาลพอเข้าใจได้ว่าเธอเพิ่งตรงมาจากในครัวเมื่อครู่ แต่กลับอนิรุทธิ์เด็กหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนที่เพิ่งได้ศักดิ์เป็นลุงของเขาทำอาหารเข้าครัวเป็น

              “ว้าย!”  คล้ายเพิ่งนึกได้ตอนโดนทัก ลิลดาอุทานขึ้นเสียงดังก่อนจะหันตัวกลับวิ่งเข้าไปในบ้านอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคี่ยวข้าวต้มค้างเอาไว้อยู่ในครัว

              อนิรุทธิ์มองตามหลังเล็กของหญิงสามไปแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา

            พูดไม่เคยฟัง...

              “แล้วมีเรื่องอะไรระหว่างมา ทำไมไอ้อันมันหน้าบูดบึ้งได้ขนาดนั้น” อนิรุทธิ์หันกลับมาถามใหม่

              อัมรินทร์เป็นพวกที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตาชัดแจนทำให้ไม่ว่าจะมีเรื่องพอใจ เสียใจ หรือไม่พอใจอะไรคนรอบข้างก็มักจะจับสังเกตได้ทันที

              ครั้งนี้ก็เหมือนกัน...

              “น่าจะเพราะเจอเพื่อนเก่าละมั่ง” ลูกตาลทำหน้าคิด เพราะตลอดทางที่กลับมาอัมรินทร์ไม่พูดไม่จาคล้ายโมโหเคืองใจกับสิ่งใดอยู่และเท่าที่พอนึกได้ก็มีอยู่เรื่องเดียว

              “เพื่อนเก่า?”

              “อือ ชื่อ ราชัน”

...........................................


              “อะไรนะ เจอราชันที่โรงพยาบาล”

              ลิลดาถามกลับอีกครั้งพลางทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นหลังกลับมาจากเข้าไปในครัวมาเมื่อสักครู่ นัยน์ตาหวานเสมองคู่กรณีที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างอกสั่นขวัญแขวน

              “แล้วราชันมาทำอะไร” เธอถามน้ำเสียงคล้ายเป็นห่วงกังวล

              “ไม่รู้” อัมรินทร์ตอบเสียงห้วนโอบรอบเอวเปลวอรุณที่นั่งอยู่ข้างๆให้เข้าหาตัวแน่น เหมือนกลัวอีกคนจะหายไป

              แม้จะไม่รู้ความสัมพันธ์ฉันระหว่างเพื่อนระหว่างคนทั้งสองว่าเป็นในทิศทางไหนแต่ก็คงไม่ยากเกินที่เปลวอรุณจะคาดเดาว่าราชันคงไม่ใช่เพื่อนรักเพื่อนสนิทที่อัมรินทร์อยากส่งยิ้มทักทายใส่เวลาเจอหน้ากันเสียเท่าไร

            ดูได้จากการแสดงออกที่แทบจะกระโจนกินหัวอีกฝ่ายเมื่อตอนนั้นแล้ว...

              “ว่าแต่คนที่ชื่อราชันอะไรนั่นเป็นใครหรอครับ” ลูกตาลเองก็สงสัยไม่แพ้กัน และเขามันเป็นพวกอยากรู้ก็ต้องถามเสียด้วยสิ

              “ว่าไงดีละ” ลิลดาเกริ่นเมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ไม่มีความสนใจใยดีอันใดในการเอ่ยพูดถึงบุคคลที่สามคนนี้เลยแม้แต่น้อย

              “เพื่อนร่วมคาร์สเรียน ใช้คำนี้น่าจะได้อยู่นะ” นิ้วชี้เรียวยกขึ้นแตะปลายคางเหมือนใช้ความคิด

              “หมอนั่นเป็นเพื่อนนักเรียนไทยที่เรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกับฉันแล้วก็อัน” เธอเริ่มพูด เมื่อเห็นว่าเจ้าของเรื่องไม่มีท่าทีขัดอะไรเธอจึงเริ่มพูดต่อ

              “ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับราชันเท่าไรเพราะฉันเรียนออกแบบไม่ใช่บริหาร แต่เท่าที่รู้คือตั้งแต่ปีแรกที่เข้าเรียนจนปีสุดท้ายที่จบออกมาอันกับราชันเรียกเซคเดียวกันมาตลอด เหมือนว่าถ้าเจออันเซคนี้ก็ต้องเจอราชันอยู่ในเซคนั้นด้วย”  บางวันที่เธอเข้าไปนั่งเรียนกับอัมรินทร์ทีไรเธอเองก็มักจะหันไปเจอรอยยิ้มละไมของชายผิวซีดคนนั่นเป็นประจำ

              “มันคือตัวน่ารำคาญ” อัมรินทร์เปิดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่บอกชัดตรงคำพูดว่าตนไม่พอใจและไม่สบอามรณ์แม้จะเป็นเพียงการเอ่ยถึงเรื่องของอีกฝ่าย

              “เหมือนมันจงใจจะแข่งกับฉันไปทุกเรื่อง” ทั้งเรื่องการเรียน ทั้งเรื่องคู่นอน

              ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไปทำอะไรให้ไอ้ผีเลือดหายนั่นติดใจจนตามติดเขาเป็นขี้ปลาทองแบบนี้ แต่บอกเลยว่านอกจากน่ารำคาญแล้วเขายังเกลียดขี้หน้ามันด้วย

            “ใช่ ถ้าวิชานี้อันได้ท็อปอีกวิชาก็จะเป็นราชันที่ได้ท็อป แต่ลิลว่ามันก็ดีนะที่มีคู่แข่งมันจะได้เป็นการกระตุ้นการเรียนของเราด้วยแถมราชันเองก็เป็นคนอัธยาศัยดีพอตัวเลย” พอได้คุยแล้วราชันก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรเท่าไร

              “แต่ที่ทำให้มีปัญหากับอันจริงๆน่าจะเพราะราชันเคยแย่งคู่เดทของอันด้วยนี้ละ” เธอว่าเมื่อนึกขึ้นได้

              “แย่งหรอ?” อนิรุทธิ์ทวน สีหน้าฉงนหนักยามหันไปมองสีหน้าโกรธจัดของน้องชาย

              เรื่องจริงหรอเนี้ย...

            คนอย่างไอ้อันนี้นะโดนแย่งคู่เดท ไม่น่าเชื่อ...

            “แล้วที่มันโผล่มาที่นี้ คงไม่ใช่ว่า” อนิรุทธิ์เผลอคาดเดากับตัวเอง

              “กูไม่เสียท่ามันซ้ำสองแน่” อัมรินทร์ขบกรามแน่น

              ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดจริงจังด้วยคือสาวสวยชาวอังกฤษ สาวเรียบร้อยที่เขาตามเทียวไล้เทียวขื่ออยู่แรมเดือนจนเธอใจอ่อนยอมออกเดทกับเขา

                 แต่แค่วันเดียวเท่านั้น..

                น้ำต้มผักจืดชืดที่กำลังจะว่าหวาน ยังไม่ทันได้หวานชื้นกินใจก็เป็นอันต้องรู้สึกขมเหมือนฝืนกลืนบอระเพ็ดเขาทั้งต้น

                ความดีใจอยู่ข้างอัมรินทร์ถึงแค่ยามลืมตาตื่น เพราะยังไม่ทันจะก้าวขาออกนอนห้องพัก ข่าวว่าสาวเจ้าไปนอนกกกอดอยู่กับมารชีวิตของเขาอย่างราชันก็ลอยมาตามลมเหมือนสายฟ้าที่ฝ่ากลางใจพาทำให้ตัวเขาชาวาบ และที่ร้ายที่สุดคือสาวเจ้าไม่คิดจะชายตามองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย

               มันจงใจที่จะเหยียบหน้ากันชัดๆ....

              “ฟังนะเปลว ถ้าไอ้หมอนั่นเข้ามาใกล้หรือชวนคุยเปลวรีบเดินหนีมันเลยนะ ออกมาห่างๆอย่าไปอยู่ใกล้ไอ้ตัวเชื้อโรคนั่น” อัมรินทร์หันหน้ามาพูดกับคนข้างกายเสียงจริงจัง

              เขาไม่ยอมนแน่...

              “มันคงไม่มีเรื่องแบบนั้นอีกแล้วละมั่งครับ” เปลวอรุณว่าปลอบ

              “ไม่ได้เปลว เห็นหน้ายิ้มๆแบบนั้นนะเชื่อถืออะไรไม่ได้หรอ” อัมรินทร์บอก

              ยิ่งราชันบอกเองไว้ตอนท้ายว่า ‘ไว้ค่อยเจอกันใหม่’ ด้วยแบบนี้ร้อยทั้งร้อยเขาเองหัวเป็นประกันไอ้ผีหน้ายิ้มนั่นต้องโผล่มาให้เขาเห็นหน้าอีกแน่

              “ลูกตาลเองก็เหมือนกัน อย่าไปยุ่งกับคนพันนั้นเด็ดขาด” ไม่วายส่งแรงแค้นมาให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลให้รับรู้

              ลูกตาลพยักหน้ารับไม่สาวความยาวอะไร

              หลังจากอัมรินทร์กำชับเน้นย้ำทุกคนซ้ำๆอยู่อย่างนั้นให้ทุกคนจำขึ้นใจว่า ราชัน คือสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรเข้าใกล้ เสียงของลุงอุ่นก็ดังขึ้นเพื่อเชิญคุณๆทั้งหลายไปทานข้าวเพื่อที่ว่าเปลวอรุณจะได้กินยาแล้วพักผ่อน

            หลังกินข้าวกันแล้วก็นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องอาหารกันอีกครู่ใหญ่ๆก่อนที่ลิลดาจะเอ่ยปากของตัวกลับก่อน เมื่อสัญญาณเลิกราการพบปะกันดังขึ้นอนิรุทธิ์รับหน้าที่เดินไปส่งหญิงสาวที่รถ อัมรินทร์พาเปลวอรุณขึ้นมาที่ห้องพร้อมลูกตาลเพื่อพักผ่อน

              แต่ดูเหมือนความตั้งใจที่ว่าจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันเปลวอรุณสองคนของอัมรินทร์เป็นอันต้องพับเก็บ

               “โฮ่ง”

               “ก็บอกว่าเข้าไม่ได้ไง”

              อัมรินทร์เท้าสะเอวยืนข้างประตูห้องนอนพร้อมทำเสียงกึ่งดุกึ่งอ่อนใส่ลูกสาวสี่ขาที่ส่งเสียงครางหงิงยกขาหน้าเกลี่ยสะกิดของความเห็นใจจากคนตัวสูงที่ดูแลมันมาตั้งแต่น้อยตาละห้อย

              “หงิง..หงิง”

              เสียงร้องของมณีนิลทำเอาใจของอัมรินทร์อ่อนยวบ แต่เขาต้องกลั้นใจทำใจแข็งสลัดความใจอ่อนนั้นออกไปเมื่อเป้าหมายของเจ้าตัวไม่น้อยนั้นคืออะไร

              “แม่เปลวต้องพักผ่อน คุณนิลเข้าไปไม่ได้”  เหมือนรับรู้ความหมายที่เจ้านายพูดบอกเสียงร้องประท้วงของมณีนิลก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันโวยวายอยู่หน้าประตูทำเอาอัมรินทร์ยกมือกุมขมับไม่รู้ว่าตนเลี้ยงสุนัขตัวนี้ตามใจไปหรือมันรู้มากเกินไปจนเขาปวดหัว

              “ให้คุณนิลเข้ามาก็ได้ครับ คุณนิลเข้ามา” ครั้งนี้มณีนิลไม่สนใจยักษ์ปรักหลักแล้วว่าจะพูดอะไร เมื่อคนด้านในเรียกเจ้าตัวแสบก็วิ่งลอดระหว่างขาของอัมรินทร์เข้ามาทันทีไม่สนใจด้วยว่าคนที่ยืนข้างทางมันจะเซจนแทบล้มเพราะขนาดตัวที่ไม่ได้เล็กเท่าลูกหมาของมันหรือไม่

              สี่เท้าวิ่นโจนทะยานเข้ามาในห้องด้วยความใจดีกระโดดขึ้นเตียงเอาหัวหนุนตักเกลือกกลิ้งหงายท้องเต็มที่นอนอย่างสุขสมยามที่มีมืออุ่นของแม่คอยลูบหัวเกาคอให้มัน

              “ตามใจแบบนี้จะเคยตัว” อัมรินทร์เดินเข้ามาพร้อมตำหนิแต่มือก็ไม่วายที่จะเกาพุงให้เจ้าตัวแสบ

              “แล้วไม่ใช่ว่าลุกก็เอาคุณนิลขึ้นห้องบ่อยๆหรือไง เห็นว่าให้ขึ้นมานอนที่ห้องด้วยนิ” ลูกตาลที่นอนหลัตาซบตักอีกข้างยอกย้อนอีกคนตามที่ตนได้ยินมา

              “แต่นี้เปลวป่วยอยู่” อัมรินทร์ให้เหตุผลที่ไม่ว่าจะยังไงลูกตาลก็มองว่ามันก็แค่ข้ออ้าง

              “เอาน่า ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เปลวอรุณปรามข้างหนึ่งลูบหัวลูกอีกข้างลูบหัวสุนัข

              อัมรินทร์ประท้วงในใจตีหน้างอเป็นเด็ก

              “ให้เวลาอีกสิบนาที เปลวจะได้เช็ดตัวอีกรอบแล้วนอน”  เมื่อหาทางห้ามไม่ได้ก็หาทางไล่ให้ออกไปก็แล้วกัน อัมรินทร์คิด

              “แต่ผมยังไม่ง่วง”  อย่างที่บอกว่าเมื่อวานเขานอนมามากพอแล้ว ขื่นให้เขานอนอีกมีหวังจะเคยตัวติดเป็นนิสัยเสียเอา

              “ถ้างั้นแค่เช็ดตัวเอาอย่างเดียวแล้วกัน”

              เปลวอรุณพยักหน้า

              “แล้วทำไมนายถึงมานอนนี้” ก่อนหันไปเขม็งใส่เด็กหนุ่มที่นอนหลับตานิ่ง

              “ผมก็อยากอยู่กับแม่ผมบ้าง ลุงจะทำไม” ลูกตาลเหลือบตามมองคล้ายเย้าแหย่มากกว่าตั้งแง่หน้าเรื่อง

              “ก็ไม่ทำไมหรอ” ก็แค่มันไม่เหลือพื้นที่ให้เขาขึ้นไปร่วมวงด้วยบนเตียงเลยนะสิ อัมรินทร์กอดอกคิด

              อัมรินทร์มองซ้ายมองขวาก่อนจะปีนขึ้นเตียงอุ้มมณีนิลออกห่างแล้วนอนทับตักของเปลวอรุณแทนที่ลูกสาว

              “โฮ่ง” แน่นอนว่ามณีนิลไม่ยอมง่ายๆ

              สงครามขนาดย่อมจากการแย่งที่นอนกันระหว่างคนกับสุนัขเริ่มหาจุดกึ่งกลางไม่เจอ ลูกตาลเองที่ตอนแรกใกล้เคลิ้มหลับเป็นอันต้องลุกขึ้นนั่งทำหน้ายุ่งมองหนึ่งคนหนึ่งสุนัขตาขวางแล้วเดินออกจากห้องไปไม่พูดไม่จา

              “เล่นอะไรกันไม่รู้เรื่อง” เปลวอรุณส่งสายตาตำหนิ

              จ๋อยทั้งพ่อทั้งลูกกันเลย...

              มณีนิลเริ่มเบี่ยงตัวเข้าหาพยายามเกยหน้าเกยตาเข้าที่ตักหมายจะคิดใช้ความเป็นสัตว์เลี้ยงอ้อนง้อให้อีกคนใจอ่อน และแน่นอนว่าเปลวอรุณไม่สามารถทำใจแข็งต่อสัตว์สี่เท้าตรงหน้าได้

              ส่วนอัมรินทร์เองก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีขนปกตามตัวและขี้อ้อนชั่งเอาใจมีแต่ตัวหนาๆกับร่างโตๆเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทางเสียทีเดียว

              เมื่อลูกตาลเดินออกจากห้องไปก็แสดงว่าพื้นที่บนที่นอนนั้นต้องเพิ่มขึ้นครั้งนี้เขาโถมตัวเข้าหากอดรอบเอวอีกคนแน่นแล้วซบหน้าลงกับแผ่นอกบาง รัดตัวเปลวอรุณไว้แน่นเหมือนงูที่รอจะกินเหยื่อ

              “ไม่โกรธกันสิเปลว” เขาเริ่มอ้อน

              “ผมก็ไม่ได้บอกว่าโกรธเสียหน่อย คุณอันมันอึดอัด” เจ้าตัวว่าพลางยกแขนดัน แต่คนตัวโตมีหรือจะฟัง

              เมื่อไล่แล้วไม่ฟังเปลวอรุณก็ได้แต่ถอนใจยอมนั่งนิ่งให้อีกคนซบกอดตามใจ

              พวกเขานั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้นก่อนเป็นอัมรินทร์ที่เอ่ยปากขึ้นมา “เปลว”

              “ครับ”

              “อย่าไปยุ่งกับหมอนั่นนะ” เหมือนจะยังเป็นกังวลไม่เลิกรา อัมรินทร์ย้ำคำของตนขึ้นมาอีกครั้งเสียงเบา

              “ทำไมถึงคิดว่าเขาจะมายุ่งกับผมละครับ” เปลวอรุณยกมือขึ้นลูบหัวอีกคนพลางถาม

              “เพราะเปลวเป็นเมียฉัน และมันก็เห็นแล้วว่าเปลวอยู่กับฉัน” ยิ่งพูดอัมรินทร์ก็ยิ่งกระชับกอดแน่นซุกหน้าลงกับอกนั้นเหมือนของรักที่ไม่อยากให้ห่างกาย

              ถึงจะไม่ค่อยอยากยอมรับแต่ที่อัมรินทร์พูดมาคือความจริง...

              ตอนนี้เปลวอรุณ เมีย ของอัมรินทร์แล้ว...

              “เขาคงไม่มายุ่งกับผมหรอกครับ” เปลวอรุณมั่นใจเต็มร้อยว่าเรื่องที่อัมรินทร์คิดกลัวมันจะไม่มีทางเกิด

              “แต่ฉันไม่ไว้ใจมัน” ขึ้นชื่อว่าเคยแย่งมาครั้งหนึ่งแล้วการจะมีครั้งที่สองที่สามตามมาอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น

              แต่ดูเหมือนความต้องการของอัมรินทร์จะไม่ใช่สิ่งที่โชคชะตาต้องการให้เกิดตาม...

 

                ตอนนี้อาการไข้ของเปลวอรุณหายเป็นปกติแล้วเหลือเพียงแค่อาการไอแห้งๆที่ยังคงอยู่กับอาการอ่อนเพลียอีกเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วถือว่ากลับมาเป็นปกติดีแล้วหลังจากโดนประคบประงมให้อยู่แต่ภายในห้องมาตลอดสุดสัปดาห์วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปลวอรุณได้ออกมาเจอกับผู้คนและวงจรชีวิตแบบเดิม

                “คุณเปลวหายดีแล้วหรอคะ” เสียงทักทายซ้ำๆที่เขาเจอตั้งแต่เช้าดังขึ้นอีกครั้ง 

                ถึงจะไม่แน่ใจว่าพวกเธอพวกเขาเหล่านั้นรู้เรื่องการป่วยของเขาได้อย่างไรแต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่เพื่อนร่วมงานแสดงออกต่อกันเปลวอรุณจึงยิ้มรับแล้วตอบกลับ

                 “หายแล้วครับ” เขาตอบ รอยยิ้มบางถูกปกปิดเอาไว้ใต้หน้ากากอนามัยที่อัมรินทร์แกมบังคับให้คนเพิ่งสร่างไข้สวมเอาไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค

                “แล้วนี้ท่านรองอยู่ที่ห้องหรือเปล่าคะ พอดีว่าพี่เอาเอกสารรายงานการประชุมย่อยที่แผนกมาให้” หญิงสาววัยสี่สิบกล่าว

               “คุณอันออกไปที่โรงผลิตพร้อมคุณลิลดาตั้งแต่เช้าแล้วครับ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงกลับมาแล้ว” เปลวอรุณตอบพลางมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว

               “งั่นหรอจ้ะ ถ้างั้นพี่ฝากรายงานการประชุมไว้ที่คุณเปลวแล้วกันนะเดี๋ยวสักบ่ายสองพี่จะกลับมาเอา”  เธอว่าพร้อมวางแฟ้มที่วางลงตรงหน้าพร้อมแย้มยิ้มให้ก่อนจะเดินกลับไปที่แผนกของตน

               เปลวอรุณหยิบแฟ้มที่เพิ่งถูกวางส่งมาให้เมื่อครู่มาเปิดอ่าน

               รางงานการประชุมของแผนกสั่งซื้อส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องใบรายการสั่งซื้อจากลูกค้าว่าเดือนนี้สินค้าตัวใดถูกสั่งมากที่สุดและน้อยที่สุด คำติติงของลูกค้าต่อบริษัทเนื่องจากฝ่ายสั่งซื้อจะต้องออกพบลูกค้าเป็นส่วนใหญ่จึงไม่แปลกที่แผนกนี้จะมีใบรายงานตรงจากลูกค้ามากกว่าแผนกอื่น และอีกหลายอย่าง

            เปลวอรุณนั่งอ่านรายงานการประชุมสลับกับเขียนวิเคราะห์ตามความเห็นของตัวเองลงกระดาษโน้ตข้างๆไปพลางจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา

             คนมาใหม่ยืนมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในแฟ้มไปพลางจดอะไรหยุกหยิกไปพลางด้วยสายตาที่ฉายชัดว่าทั้งรักและคิดถึงคนตรงหน้าขนาดไหน

              “สวัสดีครับ”

             มือที่กำลังจับปากการจดโน้ตหยุดชะงักก่อนที่ใบหน้าขาวติดจะซีดเล็กน้อยจะค่อยๆเงยขึ้นมามองเจ้าของเสียง ใบหน้าขาวซีดกับรอยยิ้มที่แสดงออกว่าตนไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งรอบกายของคนที่เพิ่งมีโอกาสได้พบปะไม่เมื่อไม่กี่วันก่อนปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งตรงหน้า

           “ราช”  เปลวอรุณพึมพำพลางหรี่ตามมองคนตรงหน้า

           “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” อีกฝ่ายยังคงแย้มยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึงยามที่ได้พูดคุยกับคนตรงหน้า
 
           “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ คุณราชัน” เปลวอรุณไอแห้งๆออกมาก่อนปรับคำพูดและน้ำเสียงให้เป็นทางการขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืน

           “ทำไมพูดจาห่างเหินกันแบบนี้ละครับ” อีกคนทำหูลู่หางตก นัยน์ตาเรียวตีความเศร้า

           “มีธุระอะไรหรือครับ”  เปลวอรุณถามย้ำมือกำเข้าหากันแน่น

            รู้สึกปวดหัวอีกแล้ว...

             “ที่จริงว่าจะมาหาอัน แต่ในเมื่อเจอคุณผมก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วยเสียหน่อย” ราชัยแย้มยิ้มใหม่ ปรับสีหน้าและท่าทางใหม่อย่างรวดเร็วเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี

            “คุณหายไปไหนมาครับ”

            “ไม่ใช่เรื่องของคุณไม่ใช่หรอครับ” เปลวอรุณพูดเสียงหนัก คล้ายจะย้ำให้คนตรงหน้าจำได้ว่าเคยพูดอะไร

            “เรื่องนั้นคุณกำลังเข้าใจผิด” ราชัยก้าวเข้าใกล้พยายามอธิบาย

            “ฉันไม่อยากฟัง” เปลวอรุณหน้าตึง

            “ก็ได้ครับ” ราชันจนใจ “แต่อีกเรื่องผมว่าคุณต้องฟัง”

              เปลวอรุณหรี่ตามมอง

             ราชันถือว่าการที่คนตรงหน้ายืนนิ่งไม่พูดขัดเป็นการแสดงออกว่ายินยอมที่จะฟังคำพูดนั้นก็ยกยิ้ม

             “เรื่องของอัม-”

              “เปลว!”

               ยังไม่ทันที่ราชันจะได้กล่าวออกมาให้ครบประโยคเสียงตะโกนลั่นของอัมรินทร์ก็แทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาสองคนที่ยืนคุยกันอยู่สะดุ้งโหยง โดยเฉพาะกับราชันที่ตวัดหางตามองคนไร้มารยาทที่เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของเขาตาเขียว

               “มึงมาทำอะไรที่นี้” อัมรินทร์ปรี่เข้าประชิดตัวดันเปลวอรุณให้เข้าไปหลบที่หลังของเขา

               “ก็มาหามึงไง” ความไม่พอใจเมื่อครู่แปลเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอารมณ์ดีเหมือนพลิกฝ่ามือ

               “แต่กูไม่เห็นจำได้ว่าอยากเจอมึง” อัมรินทร์ว่าอย่างไม่ไว้หน้า

                “น่าๆ อย่าพูดอย่างนั้น” เจ้าตัวว่าพร้อมหยิบบางสิ่งที่อยู่ในเสื้อสูทออกมา

                “พอดีว่าเดือนหน้าปู่กูท่านจะจัดงานประมูลการกุศลเลยให้กูเอาการ์ดมาแจก” ราชันพูดพร้อมยื่นการ์ดที่ว่านั้นไปตรงหน้า “เผื่อมึงจะอยากเอาของไปประมูลด้วย”

               อัมรินทร์รับมาแม้จะไม่เต็มใจ พลิกดูไปมาก่อนจะเปิดดูการ์ดที่อยู่ข้างในซองสีขาวมุก

               “ถ้าสนใจก็ติดต่อมาละ เบอร์โทรเลขาฉันอยู่ในซองนั้นแหละ” ราชันทำเป็นชี้ เพราะรู้ดีว่าอัมรินทร์คงไม่แม้แต่จะอยากติดต่อเข้าเบอร์ส่วนตัวของเขาแน่

               “แค่นี้ใช่ไหน” อัมรินทร์ละสายตาจากรายละเอียดบนการ์ดขึ้นมามองคนตรงหน้า

               “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เจ้าตัวยังคงยิ้ม

               “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญ นี้มันเวลาพักกลางวันเมียกูต้องพักผ่อน” อัมรินทร์ออกปากไล่ โดยไม่ลืมเน้นย้ำสถานะของคนตัวขาวข้างหลังให้อีกคนจำให้ขึ้นใจ

               “รู้แล้วๆ มึงนี้ก็ชอบไล่กันจังเลยนะ” ราชันทำเสียงอ่อยคล้ายตัดพ้อน้อยใจใส่

              “ถ้าอย่างนั้นกูไปก่อนนะ มีอะไรก็ติดต่อมาที่เลขากูโดนตรงได้เลย” เจ้าตัวว่าอย่างนั้นก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินออกไป

                อัมรินทร์ขบกรามมองตามหลังเพื่อนแค้นไป รอจนแน่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เสนอหน้าที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาอีกแล้วจึงคว้าข้อมือของเปลวอรุณเข้าไปในห้องทำงาน

              “มันมาพูดอะไรกับเปลวหรือเปล่า” อัมรินทร์ถามขึ้นเสียงเข้ม

              “เขามาถามหาคุณ” เปลวอรุณตอบความจริงตามความตั้งใจแรกที่อีกฝ่ายพูดให้รับรู้

              “แค่นั้นหรอ ไม่มีอะไรอีกแล้วใช่ไหม” อัมรินทร์บีบไหล่พลางคาดคั้น

             “ครับ” เขาโกหก

            สิ้นคำ อัมรินทร์รีบคว้าอีกคนเข้ามากอดแน่น

           ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนที่เดินกลับเข้ามาแล้วเห็นราชันยืนอยู่ตรงหน้าเปลวอรุณหัวใจของเขามันหล่นลงแทบติดดินขนาดไหน หวั่นใจกลัวขนาดไหน

           กลัวว่ามันจะมาเอาเปลวของเขาไป...



______________________________________________________________

จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าเปลวอรุณกับราชันมากันคนละหนึ่งคำตอบ

บอกแล้วว่าราชันมาเพื่อก่อกวนชีวิตรักของอัมรินทร์อย่างจริงจัง
 :katai2-1:

อาทิตย์นี้ลลงนิยายถี่จริงจัง อาทิตย์หน้าเราจะหายไปอย่างจริงจังบ้าง
ดีไหม??

เผื่อใครอยากจะตามไปทวงนิยาย สามารถตามไปหากันได้ที่ พริ้วไหว/Wavery
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2017 21:21:47 โดย wavery »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ราชันนี่ท่าทางจะสร้างปัญหา ห้อันอีกแน่ๆ :katai1:

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
ราชันกับเปลวรู้จักกันราชันใช่คนที่เปลวโทรไปหาใช่มั้ย

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
อ่านแบบยาวๆเลย ชอบๆ

ออฟไลน์ pamazier24

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
สนุกมากครับ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 20


               เคยมีคนเคยพูดให้เขาฟังเหมือนกันว่าเวลาเรารู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าใครขึ้นมาเราก็มักจะเห็นไอ้เจ้าคนที่ว่านั่นวนไปเวียนมาอยู่รอบๆตัวเราทั้งๆที่เมื่อก่อนแทบไม่เคยได้เจอหน้าคาดตากันเสียเท่าไร ตอนแรกอัมรินทร์ก็แค่ยิ้มขำกับคำที่ว่านั้นแล้วก็คิดว่ามันคงเป็นเพียงอุปาทานส่วนตัวของคนที่ว่าก็เท่านั้นแต่ก็เพิ่งมาประจักษ์ด้วยตัวเองเอาก็ตอนนี้เองนี้แหละที่คำกล่าวมานั้นคือเรื่องจริง

              “มึงมาทำไม” น้ำเสียงห้วนออกจากปากของอัมรินทร์อีกครั้งหลังจากจำใจเชื้อเชิญแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาในห้องทำงานของตนในช่วงสายของวัน

              “ไม่เห็นต้องทำหน้าดุอย่างนั้นเลย เพื่อนมาเยี่ยมเพื่อนบ้างไม่ได้หรือไง” รอยยิ้มละไมที่ยังคงประดังอยู่บนใบหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไรของราชันยังคงปรากฏให้เห็นอยู่อย่างนั้นไม่สะท้านต่อท่าทีและน้ำเสียงที่พร้อมจะหิ้วเขาโยนออกจากตึกสูงแห่งนี้ได้ทุกเมื่อเลยสักนิด

              “ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นเลขาเมียงมึงเลย ไปไหนหรอ” ความอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องที่ดี แต่กับราชันแล้วอัมรินทร์มองว่ามันสอดรู้สอดเห็นในเรื่องไม่ใช่ของตัวเอง ไหนจะท่าทีหันรีหันขวางมองหาคนของเขาแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ใช่อะไรที่น่าพอใจเท่าไร

            “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง” อัมรินทร์ตอบกลับ พลางยกเอกสารขึ้นอ่าน

              “ก็แหม่ เห็นวันนั้นทำท่าหวงนักหวงหนาไม่ใช่หรือไง” ราชันยิ้มกริมเปรยตามองคนที่แสร้งอ่านเอกสารเพื่อตัดการสนทนาระหว่างกัน ก่อนจะพูดอะไรที่ทำให้อัมรินทร์แทบอยากสาดกาแฟที่กำลังยกขึ้นจิบใส่หน้าคนพูดเช่นเขา

“โดนทิ้งแล้วหรอ”

              “ราชัน!” อัมรินทร์ตะคอกชื่ออีกฝ่ายลั่น

              แต่อีกคนกลับมองว่าสิ่งที่พูดออกมาเป็นเรื่องเล่นๆคุยกันสนุกปากทั้งยังหัวเราะชอบใจสีหน้ากึ่งดำกึ่งแดงด้วยโทสะของเจ้าของห้อง

              “มึงนี้มันยุง่ายจริง” ราชันยกมือยอมแพ้ “ก็แค่ถามไถ่ตามประสาคนรู้จักเคยเห็นหน้าคาดตากันมาก็เท่านั้น” เจ้าตัวไหวไหล่ไม่ใส่ใจ

              “เปลวลาหยุด” อัมรินทร์สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ข่มอารมณ์

              “หื้อ ลาหยุด? ไปไหน?”

              “แล้วมึงอยากจะรู้ไปทำไม” อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นพลางจ้องอีกคนเขม็งอย่างจับผิด

              “ก็ถามดูไง ตามประสาคนรู้จัก” เจ้าตัวว่าหน้ายิ้ม

              “เปลวไม่สบาย นอนอยู่บ้าน” เขาว่าตัดรำคาญ เพราะรู้ดีว่าคนอย่างราชันจะไม่หยุดก่อกวนปั่นประสาทเขาแน่จนกว่าจะได้คำตอบที่ตนพอใจ   

              “มึงรู้ได้ไง” ใบหน้าเปี่ยมยิ้มมลายหายไปเหลือแต่แววตาจ้องจับผิดยามมองคนที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน

              “มึงคงจะใกล้เป็นอัลไซเมอร์แล้วสินะที่จำไม่ได้ว่าเปลวเป็นเมียกุ” อัมรินทร์ตวัดสายตามองแขกไม่ได้รับเชิญในห้องอย่างไม่ค่อยพอใจก่อนจะกลับไปจดจ่ออยู่กับเอกสารตามเดิม

              “มึงกำลังจะบอกกูว่าตอนนี้คุณเลขาเมียมึงกำลังนอนป่วยอยู่ที่เตียงนอนของมึงที่บ้านมึงสินะ” ราชันว่าดักด้วยใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม

              “แล้วถ้ากูบอกว่าใช่ละ”  ราชันหน้าตึงขบกรามแน่นทันทีเมื่อได้รับคำตอบ

            เป็นอย่างที่คิด...

              “แลดูมึงจริงจังจังเลยนะคนนี้” น้ำเสียงที่ดูจริงจังกลายๆผิดวิสัยคนพูดเรียกความสนใจให้อัมรินทร์หันกลับมามองคนที่นั่งจิบน้ำอยู่ที่โซฟารับแขก

              “แล้วจะทำไม” อัมรินทร์ถามกลับอย่างเริ่มระแวดระวัง

              “ก็เปล่า” เจ้าตัวว่าพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

              “ว่าแต่ เรื่องงานประมูลการกุศลนี้จะเอายังไงดีละ” รอยยิ้มสร้างมิตรปรากฏขึ้นมาอีกครั้งพร้อมท่อนขายาวที่ก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะทำงาน “จะเข้าร่วมด้วยไหม”

              อัมรินทร์ไม่ตอบ แต่หยิบบางสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักโยกลงมาที่โต๊ะมาตรงหน้าราชัน

              ซองการ์ดเชิญที่อีกฝ่ายนำมาให้เมื่อวันก่อนถูกส่งคืน

              ก็คิดเอาไว้แล้วเหมือนกันว่าคนอย่างอัมรินทร์คงไม่คิดไปร่วมงานแน่ แต่เพราะความนูนของซองที่ดูผิดปกติทำให้ราชันย่นคิ้วก่อนจะหยิบซองขึ้นมาเปิดดู

              ‘แบบตอบรับเข้าร่วมการประมูล รายละเอียดสิ่งที่นำเข้าร่วมประมูล’

            ราชันยกยิ้ม มิเสียแรงที่เขาส่งเลขาขาสาวของตนมานั่งกดดันอัมรินทร์ถึงสองวันเต็ม

              “กูเห็นแก่คุณจูนหรอกนะ”  อัมรินทร์พูดขึ้นคล้ายหัวเสีย ตัวเองไม่มาไม่ว่าแต่นี้อะไรตัวเองไม่มาก่อกวนก็เลยส่งตัวแทนมานั่งกดดันเขาทั้งวันถึงสองวันเต็ม

              “คุณก็น่าจะรู้นิสัยของคุณราชันนะคะว่าเป็นคนยังไง ถ้าคุณตกลงดิฉันก็คงจะกลับไปนานแล้วไม่รบกวนคุณอยู่อย่างนี้หรอกค่ะ รีบๆเซ็นตกลงเข้าร่วมงานสักทีดิฉันเองก็มีงานอีกมากที่ต้องทำเช่นกัน”

              น้ำเสียงกึ่งตำหนิคล้ายกับว่าเขาเป็นคนผิดที่ไม่ยอมเซ็นตกลงเสียทีดังออกมาริมฝีปากอวบอิ่มที่เคลือบด้วยสีแดงเลือดนกของลิปสติกแบรนด์ดังขึ้น และดังก้องให้เขาได้ยินอยู่เกือบจะทุกสองชั่วโมงได้

              อัมรินทร์เองก็หัวเสียไม่ต่างกันที่ต้องมาโดนกดดันแบบนี้แต่จะให้เขามีปากมีเสียงกับผู้หญิงก็คงไม่ใช่เรื่องยิ่งกับคุณจูนเลขาหน้าดุของคนที่เขาเกลียดขี้หน้า นัยน์ตาหลังกรอบแว่นที่ดูจะรำคาญทุกสิ่งที่ขว้างหน้าพอไม่ได้ดั่งใจก็เหวี่ยงทุกคนด้วยสายตาและแน่นอนว่าปากเธอเองก็แทบทำเขาอกแตกตายจนอยากวิ่งร้องไห้กลับไปฟ้องเมียที่บ้านแทบขาดใจว่าเขาโดนทำร้าย...

              พูดถึงเมีย..

              อันที่จริงส่วนหนึ่งที่เขายอมเซ็นตกลงร่วมงานการกุศลที่ว่าก็เพราะคำพูดของเปลวอรุณที่พูดขึ้นตอนที่เขาเล่าเรื่องที่ประสบมาทั้งวันให้อีกคนที่นอนป่วยอยู่บ้านฟัง

              “แต่ผมว่าไปก็ดีเหมือนกันนะครับ” น้ำเสียงแหบๆดังขึ้น อาการไอจากการระคายคอทำให้เสียงใสๆของเปลวอรุณแบแห้งลงไปถนัดตา

            “แต่ฉันไม่อยากเจอหน้ามัน” เขาว่าเสียงห้วนพลางก้าวขึ้นมาบนเตียงนอนอ้าแขนโอบรอบเอวสอบของอีกคนเอาไว้หลวมๆ

            “แต่ถ้าไปผมว่าน่าจะเป็นการดีกับบริษัทนะครับ” เปลวอรุณว่าตามที่ตนคิด ถึงตัวเขาเองจะรู้สึกไม่อยากจะไปงานที่ว่านี้ไม่ต่างจากคนที่กอดเอวซบอกเขาอยู่ตอนนี้ก็ตาม

            “งานประมูลการกุศลหารายได้เข้ามูลนิธิแบบนี้ผมว่าน่าจะมีคนในแวดวงสังคมมากันเยอะการที่เราเข้าร่วมงานแบบนี้ก็จะยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ร่วมถึงทำให้ชื่อของบริษัทเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น เราจะได้พรีเซ้นคอลเลคชั่นใหม่ที่จะออกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าให้คนรับรู้ด้วยไปในตัว อีกอย่างคุณเองไปก็ไปในนามของบริษัทถ้าคุณไม่อยากไปก็ให้คุณอนิรุทธิ์ไปแทนก็ได้”

              พอลองตัดอคติที่ว่าลงแล้วคิดตามคำพูดของเปลวอรุณแล้วอัมรินทร์ก็ยอมรับเต็มอกว่าสิ่งที่อีกคนพูดนั้นถือเป็นใบเบิกทางขนาดย่อมให้กับงานแสดงคอลเลคชั่นที่กำลังดำเนินการอยู่ไม่มากไม่น้อยทีเดียว จำยอมจำใจจรดปลายปากกาลงไป

              อย่างน้อยถ้าเขาไม่อยากไปก็แค่ส่งอนิรุทธิ์ไปคู่กับลิลดา...

              “ถ้ายังไงกูจะให้คุณจูนส่งเมล์เรื่องรายละเอียดกลับมาให้อีกรอบแล้วกัน” ราชันเก็บซองตอบรับเข้าเสื้อสูทพร้อมแย้มยิ้ม

              อัมรินทร์พยักหน้ารับส่งๆ

              “กูไปแล้วนะ หวังว่าจะได้เจอมึงกับเมียมึงที่งานนะ”  ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่คำว่า ‘เมีย’ ที่ออกจากปากของราชันดูจะเป็นการกดเสียงให้ต่ำคล้ายคนไม่พอใจและเย้ยหยัน

              แต่เย้ยหยันใคร...

              ตัวเขา หรือ ตัวมัน...

             



              วันศุกร์เวลาเก้านาฬิกาสามสิบนาที คือเวลานัดหมายตรวจอาการที่ระบุเอาไว้ในใบนัดติดตามอาการของเปลวอรุณ ทำให้ตั้งแต่เช้าอัมรินทร์จึงดูวุ่นวายกับคนถูกนัดมากเป็นพิเศษ

              “ใส่นี้ไปด้วยเปลว”  หน้ากากอนามัยถูกสวมครอบปากและจมูกของเจ้าของชื่อก่อนจะตามมาด้วยเจลล้างมืออนามัยขนาดพกพาที่เปลวอรุณเองไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าไปหาซื้อมาตอนไหนถูกส่งให้ลูกตาลรับไป

              “ของครบหรือยังตาล” ชายหนุ่มทวงถามขึ้นพร้อมละสายตาจากคนตัวขาวตรงหน้าไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังวุ่นกับการตรวจเช็คของในกระเป๋า 

             ใบนัดหมอ ยาทานหลังอาหาร และเจลล้างมืออนามัยขวดเล็ก ลูกตาลมองดูของสามอย่างนี้อีกครั้งให้มั่นใจว่าใบนัดที่ว่าใช่ของเปลวอรุณจริงๆและยาสำหรับทานนั้นตนหยิบใส่มาครบแล้วใช่หรือไม่ ก่อนจะตอบกลับอีกคนไป

              “ครบแล้วๆ ไปกันเลยไหม”

              อัมรินทร์พยักหน้าก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้เปลวอรุณขึ้นไปนั่งที่ด้านหน้าก่อนที่ตนจะอ้อมไปขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ รอจนกระทั้งลูกตาลขึ้นมานั่งแล้วปิดประตูรถด้านหลังเรียบร้อยแล้วเขาถึงได้ขับรถออกจากบริเวณบ้านเพื่อไปโรงพยาบาลตามนัดหมาย

              แต่กว่าจะตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายพาคนป่วยมาหาหมอได้ก็เล่นเอาเหนือยเหมือนกันกว่าจะตกลงกันได้

              “พรุ่งนี้ผมไปกับลูกก็ได้ครับ” คำพูดที่เจือไปด้วยความเกรงใจของเปลวอรุณดังขึ้นหลังจากที่อัมรินทร์เอ่ยทักเรื่องการไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น

              “แล้วทำไมฉันไปด้วยไม่ได้” แน่นอนว่าเด็กเอาแต่ใจอย่างอัมรินทร์ที่จ้องเอาไว้แต่แรกเริ่มแล้วว่าจะเป็นคนขับรถพาอีกคนไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ต้องทักท้วงขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

              “พรุ่งคุณต้องทำงานไงครับ ผมไม่อยากรบกวน” พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์วันสุดท้ายของการทำงานในสัปดาห์แต่เพราะมันไม่ใช่วันหยุดพิเศษอะไร การที่จะให้อัมรินทร์พาเขาไปโรงพยาบาลจึงดูเป็นเรื่องเปลวอรุณค่อนข้างจะเกรงใจอยู่ไม่น้อย

              “ฉันพาไปได้” อัมรินทร์ยังยึดคำเดิมของตน

              “ไม่ต้องหรอกน่าลุง ผมขับรถพาแม่ผมไปได้”  ลูกตาลเองที่นั่งอยู่หน้าสวนอ่างหินพูดขึ้น

              “แล้วไม่ต้องทำงานหรือไง” อัมรินทร์หันกลับมาถามเสียงห้วน

              “วันศุกร์กับวันเสาร์เป็นวันหยุดของผมเผื่อลุงจะลืม” ถ้าจำไม่ผิดเขาพูดประโยคนี้มาตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้วนะ ไม่คิดจะใส่ใจคำพูดเขาเลยหรือไง ลูกตาลก้มบ่นใจใน

              “แล้วทำไมไม่อยู่บ้านอ่านหนังสือไปละ” จะบอกว่าเขาไม่ต้องไปก็พูดออกมาตรงๆเลยเถอะ ลูกตาลคิดในใจแต่แสดงออกชัดทางสีหน้าและแววตาที่เบื่อหน่าย

              “ก็ผมจะพาแม่ไปหาหมอ” เด็กหนุ่มละสายตาจากอ่านหินตรงหน้ามามองคนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียงด้วยสีหน้าจริงจัง

              “ฉันก็จะพาเมียฉันไปหาหมอเหมือนกัน”  ดูเหมือนอัมรินทร์เองก็ใช่ย่อย

            เหอะ พูดออกมาสะเต็มปากเต็มคำ...

              ลูกตาลเหน็บแนมในใจ ไม่ใช่ว่าไม่รู้หรอกว่าคนตรงหน้ากับแม่บุญธรรมของเขาตอนนี้มีความสัมพันธ์กันไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่จะให้เขาเชื่อจริงๆหรอว่าแม่เปลวของเขาจะยอมให้คนตรงหน้าสร้างสัมพันธ์ทางกายด้วยกันง่ายๆ

              เขาไม่เชื่อง่ายๆหรอก มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ...

              หรือแม่เขาจะโดนวางยา...

               ตอนแรกก็คิดแบบนั้นนี้แหละ แต่พอไม่เห็นปฏิกิริยาต่อต้านอะไรมันก็เริ่มทำให้เขาเชื่อที่อัมรินทร์พูดมาครึ่งหนึ่งแล้วเหมือนกัน แต่จะให้เรียกอีกคนว่า ‘พ่อ’ เลยมันก็กระไรอยู่

              ขอทดสอบใจ พ่อใหม่ หน่อยก็แล้วกัน...

              ภาพสงครามขนาดย่อมของเด็กตัวโตสองวัยตรงหน้าทำเอาคนกลางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับสงครามน้ำลายที่ดูท่าจะไม่มีใครยอมใคร เปลวอรุณถอนหายใจออกมาเบาๆพลางลูบหัวของมณีนิลที่นอนเกยคางอยู่ที่หน้าตักอย่างสบายใจ

              บางทีเกิดเป็นคุณนิลนี่ก็ดีเหมือนกันไม่ต้องมีเรื่องให้ปวดหัว อย่างมากก็แค่ไม่รู้จะเลือกกินอะไรระหว่างอาหารเปียกกับอาหารเม็ด...

              “แต่-“

              “ก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี้นี้แหละครับ” เปลวอรุณขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ตั้งท่ากันท่าลูกตาลขึ้นมาอีกหน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กัดกันได้ตลอดเวลาทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็ดูรักใคร่ดูสามัคคีกันดีอยู่

              “แต่ฉันไม่อยากให้ลูกเหนื่อย ทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์แล้วก็น่าจะพักผ่อนอยู่บ้านบ้าง” อัมรินร์ตรงปรี่เข้ามาคุกเข่าข้างเตียงออดอ้อนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ามันน่ารักเสียเต็มที จนคนมองดูอยู่ทุกการกระทำอย่างลูกตาลต้องแบ้ปาก

              “ผมไม่เหนื่อยหรอกครับแม่เปลว วันๆเอาแต่ทำงานไม่ได้ไปไหนมาไหนกับแม่เลย” ลูกตาลตอบกลับ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

              “แต่นี้เราไม่ได้ไปเที่ยว”

              “ผมก็ไม่ได้ว่าจะไปเที่ยวเสียหน่อย” เด็กหนุ่มว่าก่อนจะเดินเข้ามานั่งขัดสมาธิเกยคางกับขอบเตียงข้างๆอัมรินทร์ “เขาเรียกว่าอยากใช้เวลาว่างกันครอบครัวต่างหากละครับ พ่ออัน” มุมปากกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์

            คนที่ถูกเรียกว่า พ่อ อย่างไม่ทันตั้งตัวเผลอชะงักค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มภูมิใจยกมือตบไหล่เด็กหนุ่มพลางหัวเราะชอบใจ

              แน่นอนว่าพอได้ยินคำพูดที่เฝ้าเพียนพยายามกรอกหูเด็กมันมาตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าแบบนี้แล้วไอ้ท่าทีแข็งกระด้างกันท่าทุกวิธีทางก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะพูดอะไรก็เห็นดีเห็นงามชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ทั้งๆที่ก่อนหน้าไม่ถึงหน้าที่ยังบอกขวาแล้วไปซ้ายกันอยู่เลย

              บางทีก็ติดกับง่ายดายเกินไป...

             

     
        :hao3:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:hao3:



  “คุณเปลวอรุณ ทิศอัปสร  เชิญที่ห้องตรวจห้าค่ะ”

               เสียงเรียกของนางพยาบาลสาวประจำห้องตรวจดังขึ้นเรียกให้คนที่กำลังนั่งนึกถึงเรื่องขบขันเมื่อคืนเงยหน้าขึ้นมาขานรับก่อนจะลุกเดินไปทางห้องตรวจที่ว่าพร้อมกับเด็กตัวโตสองคนที่เดินตามหลัง

              “สวัสดีครับ”  เสียงทักทายของนายแพทย์หนุ่มคนเดิมที่เคยดูแลเปลวอรุณตอนที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อหลายวันก่อนดังขึ้นพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนอย่างเช่นเคย แต่ดูท่าว่ามันจะไปสะกิดใจทำให้อัมรินทร์นึกถึงใบหน้าของใครบางคนเข้าอย่างไม่ตั้งใจ

              เปลวอรุณทักทายหมอหนุ่มเล็กน้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มถามไถ่ถึงอาการต่างๆในช่วงที่ผ่านมา

 อาการไข้กลับของเปลวอรุณถือเป็นเรื่องปกติที่คนป่วยหลายคนที่พอใกล้จะหายกลับเป็นปกติแล้วอยู่ๆก็กลับมาป่วยใหม่ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรสำหรับคนเป็นหมอ แต่จากคำบอกเล่าจากเจ้าตัวที่บอกว่ามักจะป่วยไข้เรื่อรังอยู่บ่อยครั้งเริ่มไม่ใช่เรื่องที่น่าตลกเท่าไร

              “ยังกินยาอยู่ปกติใช่ไหมครับ” หมอหนุ่มถามขึ้น

               เปลวอรุณรับคำ พร้อมยื่นถุงยาที่ได้รับมาก่อนจากโรงพยาบาลให้คนเป็นหมอดู

               “อาจเพราะช่วงที่คุณป่วยภูมิคุ้มกันร่างกายคุณเลยต่ำลงไปด้วย แถมยังมาภาวะแทรกซ้อนของโรคหวัดด้วยเลยทำให้ร่างกายรับไม่ไหว” หมอหนุ่มพูดขึ้น อัมรินทร์กับลูกตาลเองก็พลอยตีหน้าเครียดตาม

              “ยาตัวเดิมก็กินต่อไปเรื่อยๆจนหมดนะครับ แต่เดี๋ยวหมอจะเพิ่มยากับพวกวิตามินบำรุงร่างกายเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้”

               คุณหมอหนุ่มบอก พร้อมส่งรายงานการตรวจให้กับพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลพร้อมนัดหมายให้เปลวอรุณกลับมาตรวจอีกครั้งในวันเสาร์หน้า

               “เปลวนั่งรอตรงนี้นะเดี๋ยวฉันเข้าไปรอรับยาให้” อัมรินทร์พูดขึ้นขณะประคองอีกคนให้นั่งลงยังโซฟารับรองที่อยู่ห่างจากจุดรับชำระเงินและรับยาที่มีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่ง

                “ให้ผมไปรอด้วยจะดีกว่าไหมครับ” เปลวอรุณคว้ามือของอัมรินทร์เอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหมุนตัวกลับไปยังช่องจ่ายยา

               “ไม่ต้องหรอก ตรงนั้นคนเยอะเปลวจะอึดอัดเปล่าๆนั่งอยู่ตรงนี้กับลูกนี้แหละ” คนพูดระบายยิ้ม

                “รีบๆไปได้แล้วน่าลุง เดี๋ยวก็เลยเลขพอดี”  ลูกตาลดันแขนอีกคนออกก่อนจะเอามือคล้องแขนแม่เอาไว้แทนแสดงความเป็นเจ้าของ

                 อัมรินทร์หรี่ตามองพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอคล้ายไม่ชอบใจ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่นั่งรออยู่รอบข้างและเปลวอรุณได้ไม่น้อยเลยทีเดียวกับอาการเด็กแย่งของของทั้งคู่

                 “เราก็ชอบแกล้งคุณอันเขานักนะ” พอหลับหลังอีกคนไปเปลวอรุณก็หันไปว่าเสียงไม่จริงจังยกมือบีบจมูกรั้นของลูกชายไปทีหนึ่ง

                  “ก็ลุงนั่นจะแย่งแม่ผมนิ” เหตุผลน่ารักน่าชังทำเอาเปลวอรุณอมยิ้มไม่ได้

                  “แล้วตาลว่าคุณอันเขาเป็นคนยังไง” เปลวอรุณเอ่ยถามซบหัวลงทับหัวทุยของเด็กหนุ่ม

                  เด็กหนุ่มเหลือบตามมองคนถามเล็กน้อยก่อนตอบออกมา “ก็น่ารำคาญดี แต่ก็ใช้ได้”

                 “ใช้ได้ยังไง”

                  “ก็เขาดูแลแม่เปลวไงครับ แม่ผมเคยบอกว่าคนเราจะรู้ใจกันก็ตอนป่วยไข้นี้ละ แล้วลุงเขาก็ดูแลแม่ตลอดตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงตอนที่อยู่บ้านดีมาก” ลูกตาลตอบพลางนึกถึงคำพูดแม่บังเกิดเกล้าที่เสียชีวิตไปเคยบอกกับเขาไว้

                  ถ้าตัดเรื่องเจ้าแผนการออกไป ตัดองค์ประกอบหลายๆอย่างไป ในสายตาลูกคนหนึ่งที่มองผู้ชายอีกคนหนึ่งที่กำลังเข้ามาทำความรู้จักกับแม่ของตนแล้ว เขาว่าอัมรินทร์ก็ดูเป็นผู้ชายที่ทุ่มเทให้กับแม่เปลวของเขามากในระดับหนึ่ง

                    “ถ้าแม่เปลวโอเคกับเขา ผมก็ไม่ขัดอะไรอยู่แล้วละครับ” เด็กหนุ่มยิ้มแป้นให้คนที่หน้าขึ้นสี
 
                    จากที่ได้ฟังและจากที่ได้เห็น เขายอมรับในตัวอัมรินทร์ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะเข้ามาเป็นคนในครอบครัว แต่เรื่องแบบนี้มันก็ต้องดูกันต่อไปอีกเช่นกัน

                      “อย่างนั้นหรอ” เปลวอรุณพึมพำคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่าตอบรับคำพูดของเด็กหนุ่ม

                      “แม่เปลว ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ลูกตาลเอ่ยขอเมื่อรู้สึกหน่วงๆที่กระเพาะปัสสาวะ

                     “ไปสิ อย่าอั้นไว้”

                      “แม่อยู่คนเดียวได้หรอ ไปด้วยกันไหม” แต่เด็กหนุ่มลังเล ถ้าเขาไปแล้วใครจะอยู่กับแม่ อัมรินทร์เองก็ต้องรออยู่อีกหลายคิวเหมือนกัน

                       “แม่อยู่ได้ไปเถอะ”

                       ลูกตาลมีสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งจนโดนเปลวอรุณตีเบาๆที่ท่อนแขนเชิงดุนั้นแหละถึงยอมลุกไป แต่ก็ยังไม่วายหันมากำชับให้อีกคนรับคำว่าจะไม่ลุกไปไหนจนกว่าเจ้าตัวหรืออัมรินทร์จะกลับมา

                         “รู้แล้ว” เปลวอรุณยกยิ้ม

                      ทั้งอัมรินทร์และลูกตาลดูจะห่วงเขามากกว่าปกติทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆที่จะเดินตามคนแปลกหน้าไปไหนมาไหนเพราะมีของกินมาหลอกล่ออย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆที่เขาอายุมากกว่าคนที่สองเสียด้วยซ้ำ

                      แต่รอยยิ้มมีว่าก็ประดับอยู่บนใบหน้าสวยได้ไม่นานเมื่อเสียงเสียงหนึ่งของใครคนหนึ่งดังขึ้น

                      “มีความสุขสินะครับ”  เสียงของผู้ที่ถือวิสาสะนั่งลงบนที่นั่งของลูกตาลที่เพิ่งลุกไปเมื่อครู่ทำให้เปลวอรุณรีบหันไปมองอีกคนหน้าตื่น

                     “คุณราชัน” 

                     คนที่เขาไม่อยากเจอและอัมรินทร์ก็คงไม่อยากให้เขาเจอเช่นกัน...

                     “อย่าเรียกแบบนี้สิครับ มันดูห่างเหินกันยังไงไม่รู้” คนหน้ายิ้มทำหน้าเศร้าน้ำเสียงกึ่งตัดพ้อ เปลวอรุณหันหน้าหนี

                    “ไปคุยกันหน่อยไหมครับ” ราชันเสนอขึ้น “เพราะถ้าอันมันเดินกลับมาเจอคุณนั่งคุยกับผมแบบนี้คงไม่ดีแน่”

                     “ฉันไม่ไป” เปลวอรุณเชิดหน้าหนีเสียงห้วน

                     “หรือจะให้ผมบอกอันมันถึง‘เรื่องของเรา’ดีละครับ”

                      “นี้นาย” เปลวอรุณหันกลับมาพร้อมขึ้นเสียงใส่

                   “น่าๆ ไปแปบเดียวเองผมไม่ทำอะไรคุณหรอก” เจ้าตัวยิ้มพร้อมลุกขึ้นยืน

                   สุดท้ายเด็กน้อยเปลวอรุณก็ยินยอมที่จะเดินตามคนแปลกหน้าที่ชื่อราชันไปจนได้

                  สวนรับรองในร่มที่อยู่ถัดออกมาในชั้นเดียวกันคือสถานที่ที่ราชันพาอีกคนมา ปลอดคนรบกวนเหมาะแก่การพูดคุยเรื่องส่วนตัวของพวกเขาเป็นอย่างดี

                   “มีอะไรก็รีบพูดมา” เปลวอรุณเปิดสนทนาขึ้นอย่างไม่เสียเวลา

                   ราชันเค้นยิ้ม

                  “ก็แค่คิดถึง” เขาพูดจริงจากใจเลยละ

                  “อย่างนั้นหรอ” แต่เปลวอรุณกลับพูดราวตัดเยื่อใยจนรู้สึกจุก

                  “ผมแค่จะบอกว่าเรื่องวันนั้นคุณเข้าใจผิด” เขายังพูดเหมือนเดิม

                  “ถ้าจะมาพูดเรื่องนี้อีกฉันจะกลับ” ราชันรีบรั้งแขนอีกคนไว้ทันทีเมื่อเห็นว่าเปลวอรุณทำท่าทางจะหมุนตัวกลับตามคำพูด แต่เปลวอรุณกลับรีบชักแขนกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน

                   “ก็ได้ๆ” ราชันยกมือยอมแพ้

                   “เรื่องที่ผมจะพูดก็คือเรื่องของคุณนั้นแหละ” เปลวอรุณหรี่ตามองคนตัวซีดที่ไร้รอยยิ้มประดับใบหน้า

                  “เรื่องของฉัน”
 
                 “ครับ” ราชันย้ำให้มั่นใจ “ที่ผมส่งจดหมายไปให้คุณวันนั้น ผมต้องการเตือน”

                  จดหมายสีชมพูในวันนั้นคือจดหมายที่ราชันส่งไปให้เปลวอรุณเอง ต้องขอบคุณจูนเลขาสาวมั่นสารพัดประโยชน์ของเขาที่ช่วยตัดต่อกล้องวงจรปิดให้ทำให้ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขาเป็นคนเดินขึ้นมาวางจดหมายที่ว่านั้นเองกับมือ

                 “แต่ดูเหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจที่ผมเตือน”

                “แล้วนายต้องการเตือนอะไรฉัน”

                “อัมรินทร์มันกำลังหลอกคุณอยู่ อย่าลืมสิว่ามันพาคุณเข้ามาอยู่ด้วยเพราะอะไร อย่าให้มันหลอกเอาสิ” ราชันพุ่งตัวเขาไปบีบไหล่อีกคนแน่น ใบหน้าขาวซีดฉายแววคล้ายเจ็บปวดสุดจะบรรยาย

                 “คุณอันหลอกฉันอย่างนั้นหรอ” เปลวอรุณขมวดคิ้วแน่น เขากำลังสับสน

                    หลอก งั้นหรอ...

                 “ใช่ ตอนนี้ผมกำลังหาหลักฐานอยู่อีกไม่นานจะต้องได้ครบแน่น”

                   “หลักฐานอะไร”

                “ถึงเวลาผมจะบอกเอง แต่คุณ คุณอย่าโดนความอ่อนโยนนั้นของมันหลอกเอาสิ” ราชันว่าเสียงสั่นเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ ยกมือทั้งสองข้างของเปลวอรุณแนบแก้มอย่างห่วงหาและคิดถึง

               “มันเอาคุณเข้ามาอยู่ข้างๆในฐานะลูกหนี้ ใช้ความอ่อนโยนทำให้คุณเชื่อใจแล้วลืมเรื่องสำคัญที่ว่าคุณกับมันเป็นอะไรกันแล้วหลังจากที่มันได้สิ่งที่มันต้องการจากคุณคุณก็จะเป็นเหมือนผู้หญิงพวกนั้น”

                เปลวอรุณเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ

              “หรือผมเข้าใจอะไรผิด” ราชันช้อนสายตามองคนที่เริ่มแสดงความสับสนบนใบหน้าอย่างชัดเจน

               “ที่คุณเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นก็เพราะพวกคุณรักกันจริงหรือเพราะมันบีบบังคับคุณ” คำพูดนั้นที่ออกมาปากของราชันทำเอาเปลวอรุณสะอึกก้อนคำที่ลำคอ

              คำพูดที่อัมรินทร์พูดกับเขาในวันนั้นลอยเข้ามาในความคิด เป็นอย่างที่ราชันพูดเพวกเขาไม่ได้รักกันแต่อีกคนบีบให้เขาเข้ามาอยู่ด้วย

              แต่..

              ฉันรักเปลวนะ....

            คำพูดในวันนั้นของอัมรินทร์ยังแจ่มชันอยู่ในความรู้สึก ความรู้สึกที่อีกคนถ่ายทอดออกมาให้เขาได้รับรู้มันไม่ใช่เรื่องโกหก

              “หรือมันได้สิ่งที่มันต้องการแล้ว” อยู่ดีๆน้ำเสียงของราชันก็กลายเป็นแข็งกร้าว ใบหน้าปวดร้าวเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวยามที่คนตรงหน้านิ่งเงียบ  นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยโทสะไล่มองคนที่เขายังจับข้อมือทั้งสองข้างอยู่ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

              “มันไม่จริงใช่ไหม” เสียงนั้นเริ่มสั่น เปลวอรุณพลิกหน้าหันหนีไม่กล้าสบตา

                “ขอโทษ” เปลวอรุณพูดเสียงแผ่ว

                 ราชันปล่อยมือทั้งสองข้างนั้นออกคล้ายผิดหวังแต่ในไม่ช้าเขาก็รั้งตัวอีกคนเข้ามากอดแน่น

               “ผมจะพาคุณออกมาจากผู้ชายคนนั้น ผมจะไม่ให้มันเอาเปรียบคุณ” ราชันหมายมั่น



_______________________________________________

มาละเด้อ  เรากลับมาแล้ว

ฉลองตอนที่ 20 ด้วยชื่อเรื่องใหม่ นั้นคือ ลูกหนี้ที่รัก เพื่อป้องกันความสับสบเราจะใช้ชื่อเดินจนกว่าจะลงตอนที่ 21



จงบอกความต้องการของทุกคนมาค่ะ ว่าจะให้หนูอันโดนแฉในเร็ววันเลยหรือไม่ ?
!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2017 23:27:05 โดย wavery »

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ว้ายๆๆๆ อดีตเปลวเค้ามีอะไรกับราชัน  อยากรู้แล้ววววว
แต่ปล่อยให้เปลวอยู่คนเดียวมาตั้งนาน เพิ่งจะโผล่มาทำไมตอนนี้ห๊ะ? :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด