[End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61  (อ่าน 107146 ครั้ง)

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ลูกตาล ยอมรับคุณอันได้แล้ว

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ตอนนี้ดราม่าสุดๆ

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :hao5:  น้ำตาซึมเลย

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ถ้าเปลวกลับมา แล้วเรื่องทุกอย่างหลอกลวง เราโคตรโกรธ บอกเลย โคตรโกรธ ถ้าเปลวรู้เรื่องแล้วทำตามราชัน สะใจหรอ ถ้าคิดจะแก้แค้นเอาคืนแบบนี้สะใจ เราจะตีความเอาว่า ความรักในเรื่องนี้ คือความรักแบบรักตัวเองมากกว่า ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ทุกคนพอรักย่อมเห็นแก่ตัว แต่มันเป็นรักที่น่ากลัว ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่น่ากลับมาใช้ชีวิตด้วยกันได้หรอกแบบนี้ แต่อันคงให้อภัย เพราะอันักเปลวมากกว่าตัวเอง

ส่วนเปลวกับราชันเราขี้เกียจจะเดา รออ่านอย่างเดียว แต่อ่านแล้วเหนื่อยชะมัด แต่ก็อ่านนะ 5555 ประหลาดคน

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 30


              บาดแผลจากการสูญเสียคนที่รักของแต่ละคนใช้เวลาในการเยี่ยวยากันนานสักแค่ไหนกัน ?

              คำถามนี้อัมรินทร์เฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกครั้งที่หลับตามาตลอดเวลาสามเดือนที่เขาสูญเสียลูกและเปลวอรุณไป สามเดือนที่ผ่านมาสำหรับเขาเหมือนเพิ่งผ่านมาเพียงแค่สามนาทีที่เขารับรู้ข่าวร้ายจากปากของหมอผู้รักษา เหมือนเพิ่งผ่านมาเพียงสามวินาทีสำหรับภาพชีพจรที่ราบนิ่งของเปลวอรุณ การสูญเสียผู้เป็นดั่งดวงใจไปในเวลาไล่เลี่ยกันถึงสองคนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ยังคงเป็นเหมือนแผลสดที่ยังไม่ได้รับการรักษาสำหรับเขา

ภาพห้องนอนที่นอกด้วยกันอยู่ทุกคืน ข้าวของทุกชิ้นของเปลวอรุณยังอยู่เดิมไม่มีการเคลื่อนย้านหรือเก็บหนี สวนถาดต้นไม้ทุกอย่างยังวางอยู่กับที หนังสือคู่มือดูแลคุณแม่ขณะตั้งครรภ์และพัฒนาการของลูกน้อยยังวางอยู่ตรงหน้า ยังวางอยู่เพื่อตอกย้ำความจริงที่มันไม่หวนกลับมาเขาได้อีก

              จะไม่มีใครกลับมา...

              เก้าอี้หน้าโต๊ะวางสวนอ่างหินคือที่ประจำที่เปลวอรุณมักจะมานั่งรับแสงแดดในยาวเช้าและนั่งมองอาณาจักรเล็กๆตรงหน้าด้วยความสุขทุกวันก่อนนอน แต่ในตอนนี้เมื่อเจ้าของที่หายไปคนที่มานั่งแทนที่มันทุกวันแทบจะตลอดเวลาในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานั้นคือ อัมรินทร์...

 

              หนึ่งเดือนแรกสำหรับการสูญเสีย....

              ข้อความที่ถูกส่งเข้ามายังเบอร์โทรศัพท์มือถือของอัมรินทร์ที่เชื้อมต่อกับบัญชีธนาคารทำให้เขารับรู้ถึงเงินก้อนจำนวนหนึ่งที่โอนเข้ามา ‘สามล้านแปดหมื่นบาท’ จำนวนเงินจริงของหนี้ที่เขารับปากว่าจะใช้หนี้แทนให้กับเปลวอรุณในครั้งนั้นถูกโอนคืนกลับเข้ามาในบัญชีของเขา  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใครที่โอนเข้ามา....

              แผลที่ยังคงสดใหม่กัดกินหัวใจของอัมรินทร์จนเหมือนคนที่คลุ้มคลั่งด้วยความเจ็บปวดเป็นทุนเดิมและยิ่งมีข้อความดังกล่าวเข้ามาด้วยแล้วก็เหมือนกับใครสักคนที่เอาแอลกอฮอร์ลาดลดลงบาดแผลใช้ความเจ็บแสบของมันกัดกินบากแผลให้เหวะหวะมากขึ้น

              “ปล่อยฉัน! ฉันจะไปฆ่ามัน” อัมรินทร์ตะคอดเสียงลั่นเหมือนช้างตดมันที่ไม่ฟังใครและพร้อมที่จะฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคนที่เข้าขว้าง

              “มึงจะบ้าหรือไงวะไอ้อัน!” อนิรุทธิ์เข้ามาล็อกตัวอีกฝ่ายไว้

              “กูไม่ได้บ้า ไอ้รุทธิ์มึงปล่อย”

              “พ่อใจเย็นก่อน” เพราะอัมรินทร์เป็นผู้ชายรูปร่างใหญ่หนาอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำทำให้เรื่องพละกำลังถือว่ามีมากกว่าลูกตาลที่ยังอยู่ในช่วงเด็กและหนุ่มจึงต้องเข้ามาช่วยล็อกแขนอีกข้างเอาไว้

              “ปล่อยพ่อ พ่อจะไปเอาเลือดหัวมันออก” อัมรินทร์พยายามสะบัดแขนทั้งสองข้างให้หลุดจากคนทั้งสอง

เพี๊ยะ!

              จนกระทั้งฝ่ามือหนักๆของผู้เป็นบิดาพาดลงที่ข้างแก้มจนหน้าหันนั้นแหละอาการคลั่งของอัมรินทร์จึงหยุดลง

              “หยุดบ้าสักทีไอ้อัน” สุริยะที่ทนมองสภาพของลูกชายไม่ไหวจึงต้องลงไม้ลงมือตบหน้าอัมรินทร์เพื่อเรียกสติ

              อัมรินทร์นิ่งไปจนลูกตาลกับอนิรุทธิ์มองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าจะเอายังไงดีจะปล่อยตัวหรือจะรั้งเอาไว้ก่อน

              “ฉันรู้ว่าแกกำลังเสียใจเรื่องหนูเปลวกับลูก”สุริยะกำมือแน่นในขณะที่นภาปิดปากกลั้นสะอื้น “แต่แกก็ควรจะมีสติให้มันมากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นไอ้บ้าเหมือนที่เป็นอยู่”

              สุริยะพยายามเรียกสติลูกชาย เขารู้ว่าลูกชายกำลังเสียใจแต่ไม่ใช่แค่อัมรินทร์ที่สูญเสียและเสียใจแต่ทุกๆคนที่อยู่ในที่นี้ต่างก็สูญเสียและเศร้าโศกไม่ต่างกัน

              “แต่มันฆ่าเปลว” อัมรินทร์ขบกรามแน่น

              “แล้วยังไง แกเลยจะทำกับไอ้หมอนั้นเหมือนที่มันทำกับลูกกับเมียแกอย่างงั้นหรอ” เขาถามกลับ

              “...”

              “ถ้าแกทำมันอย่างนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับที่มันทำ แกเกลียดมันแล้วแกยังทำตัวเหมือนที่มันทำอีก แกไม่นึกเกลียดตัวเองบ้างหรอไอ้อัน”

              อัมรินทร์ชะงักจนในคำพูด

              ชายหนุ่มเงียบและดูสงบลงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของอนิรุทธิ์และลูกตาลก่อนจะเดินโซซัดโซเซกลับขึ้นไปด้านบน นภามองสภาพลูกชายแล้วทำท่าเหมือนจะเดินตามขึ้นไปแต่สุริยะกับรั้งแขนของภรรยาเอาไว้พร้อมส่ายหน้า เวลานี้เขารู้ดีว่าอัมรินทร์ต้องการเวลาอยู่กับตัวเองและคงจะดีหากปล่อยให้เจ้าตัวได้อยู่กับตัวเองไปก่อน

              แต่ก็ใช่ว่าอัมรินทร์จะดีขึ้น....

              หลังจากวันนั้นอัมรินทร์ก็เอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่บนห้องนอนของตัวเองไม่ยอมออกมาพบเจอผู้คนเหมือนคนที่เหลือแต่ร่างกายที่ไร้วิญญาณจิตใจล่องลอยไปไกลร่ำไห้ถึงจากสูญเสียแทนจะทุกค่ำคืนจนใบหน้าเริ่มอินโรยและร่างกายทรุดโทรม การงานต่างๆก็ไม่สนใจเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากโชคดีที่ว่าบิดาของเขากลับมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมทำให้การงานต่างๆที่ค้างคาได้รับการสานต่อดูแล

               ช่วงปลายเดือนแรกอัมรินทร์เริ่มสงบจิตสงบใจลงได้แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะออกกจากห้องนอนแต่ถึงอัมรินทร์จะเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ภายในห้องนอนแต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็ไม่เคยที่จะลงกรอนปิดล็อคมันตัดขาดจากโลกภายนอกที่ยังมีคนคอยห่วงหาเขาอยู่ ทุกๆวันจะมีอนิรุทธิ์ ลูกตาล ลิลดา แวะเวียนเข้ามาหาเข้ามาคุยเพื่อคล้ายความทุกข์โศก สุริยะเองแม้จะไม่ค่อยพูดตามประสาผู้ชายแต่ก็มักจะเข้ามานั่งเงียบๆบ่นนู้นบ่นนี้ให้ลูกชายฟังบางเป็นครั้งคราวและคนที่ใช้เวลาอยู่กับอัมรินทร์มากที่สุดดูเหมือนจะเป็นมารดาของเขา

               อัมรินทร์ดูสงบใจลงกว่าช่วงแรกๆที่เกิดเรื่องแต่การที่ชายหนุ่มเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยพูดค่อยจาทำหัวใจคนเป็นแม่อย่างนภาหนักอึ้ง เธอทนมองดูลูกชายตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ทุกวันก็ได้แต่น้ำตาตกในหัวอกคนเป็นแม่เจ็บแปร๊ดทุกครั้งที่เปิดประตูห้องเข้ามาเจอร่างกายที่จิตใจกรวงเปล่าของลูกชาย

              “ตาอัน”

              “ครับ” อัมรินทร์ขานรับมารดาหากแต่สายตาที่ควรจับจ้องคนคุยด้วยนั้นกลับเลื่อนลอยเหม่ออกไปนอกหน้าต่าง

              “แม่ไม่สบายใจเอาสะเลยที่เราเป็นแบบนี้” เธอว่าอย่างกลัดกลุ้ม

             “ผมสบายดีครับ”

              ไม่..

             ไม่จริงหรอก เธอรู้ว่าลูกชายเธอไม่ได้สบายดีอย่างที่บอกว่าเลยสักนิด

             “ทุกคนเขาเป็นห่วงลูกมานะอัน” มือเรียวสีนวลเอื้อมออกไปกุมมือลูกชายของตนแน่น “ลูกไม่อยู่คนเดียวนะจ๊ะ” เธอพยายามให้กำลังใจลูกชาย อย่างน้อยในฐานะคนเป็นแม่สิ่งที่เธอพอจะทำให้ลูกชายวัยผู้ใหญ่ตรงหน้าได้ก็คงมีเพียงกำลังใจที่คอยส่งให้อยู่ข้างหลังแบบนี้

             อัมรินทร์ยิ้มบาง

             เขารู้ตัวดีว่ากำลังทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงแต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงที่จะเดินหน้าต่ออกไปได้จริงๆ

            ขอโทษนะครับแม่...
 


              เดือนที่สองสำหรับการสูญเสีย....

              เวลาเริ่มเยี่ยวยาจิตใจที่สูญเสียอัมรินทร์เริ่มที่จะพอทำใจยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้บ้างแม้จะไม่มากแต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็เริ่มที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนในบ้านมากขึ้นกว่าช่วงเดือนแรกแต่เขาก็ยังชอบที่จะปลีกตัวออกจากผู้คนออกมาอยู่คนเดียวอยู่ดี

              “คุณอัน!” เสียงของลุงอุ่นแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่เห็นเจ้านายหนุ่มของตนยอมเดินลงบันไดออกมาจากห้องของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน

              “ผมขอน้ำผลไม้สักแก้วสิครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนล้า       

              ชายมีอายุรีบกุลีกุจอทำตามสิ่งที่ชายหนุ่มขออย่างยินดี

              อัมรินทร์รับแก้วน้ำผมไว้แก้วนั้นมาถือแล้วเดินออกจากบ้านไปทางประตูหลังเดินเรื่อยๆไปจนถึงสวนไทยประยุกค์ที่อยู่ด้านหลังสุดของบ้านวางแก้วน้ำผลไม้แก้วนั่นลงบนโต๊ะทรงเตี้ยแล้วทรุดนั่งลงพิงเสาของศาลาแล้วนั่งเหม่อลอย

              ศาลาที่เปลวอรุณชอบมานั่งในวันหยุด...

              สถานที่ที่เคยกับเปลวอรุณเคยมีความทรงจำที่ดีต่อกัน...

              แก้วน้ำผลไม้เย็นฉ่ำระเหยจนหายเย็นแต่อัมรินทร์ก็ไม่คิดที่จะแตะต้องมันจนเวลาผ่านไปสองสามชั่วโมงชายหนุ่มถึงจะได้หยิบแก้วน้ำแก้วนั้นขึ้นดื่มที่เดียวหมดแก้วก่อนจะลุกเดินกลับเข้าบ้าน

              ถึงมันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่การที่ชายหนุ่มยอมที่จะเปิดประตูห้องออกมาข้างนอกด้วยตัวเองก็ย่อมถือเป็นก้าวแรกที่ดีที่พลอยทำให้เหล่าคนที่แอบเฝ้ามองคลี่ยิ้มออกมาได้

              แต่คงมีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่อัมรินทร์ยังไม่ยอมที่จะทำให้ทุกคน

              “พ่อ ออกไปข้างนอกกันไหม” น้ำเสียงกึ่งตื่นเต้นของลูกตาลดังขึ้นภายในห้องนอนของอัมรินทร์ วันนี้เด็กหนุ่มมีที่สำคัญที่หนึ่งที่อยากจะพาคนตรงหน้าไป

              “ไว้วันหลังนะ” แต่อัมรินทร์กลับปฏิเสธมัน

              ใบหน้าของลูกตาลดูเจือนลงเล็กน้องเมื่อไม่เป็นไปตามที่หวัง

              แต่เด็กหนุ่มก็ใช่ว่าจะลงลาความพยายามที่นั่นเสียทีเดียว ทุกวันลูกตาลจะเดินเข้ามาในห้องของอัมรินทร์แล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้จะโดนปฎิเสธ ไม่ใช่แค่ลูกตาลหรอกที่อัมรินทร์เอ่ยปากปฏิเสธน้ำใจแต่เป็นทุกคนที่เข้ามาร่วมถึงงานวันเปิดตัวสินค้าคอลลเลคชั่นใหม่ที่ได้ฤกษ์เปิดตัวที่อัมรินทร์เลือกที่จะนั่งดูความสำเร็จของสิ่งที่เขาตั้งตารอมันมานานผ่านจอสี่เหลี่ยมขนาดสิบสองจุดเก้านิ้วในห้องแทน

              ภาพการถ่ายทอดสดภายในงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ที่ทางแฟนเพจของบริษัทที่ทางฝ่ายโฆษณาการตลาดทำขึ้น ภาพบรรยาการการเปิดตัวสินค้าเป็นไปตามที่เขาต้องการ ผู้คนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงานมีมากและที่สำคัญเสียงวิจารณ์สำหรับสินค้าชิ้นใหม่เป็นใปในทิศทางที่ดีจนเขาอดภูมิใจอยู่ลึกๆไม่ได้แม้จะฝังเพียงผ่านๆไม่ได้สนใจอะไรมากอย่างที่ควรจะเป็น

                นัยน์ตาที่จ้องมองภาพการถ่ายทอดสดอยู่นั่นดูเลื่อนลอยไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียเท่าไร อัมรินทร์หันมามองที่หน้าจอบ้างเป็นบางครั้งสลับกับการมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มหันกลับมามองที่หน้าจออีกครั้งเมื่อเสียพิธีกรในงานประกาศเปิดตัวเครื่องประดับอัญมณีตัวใหม่ เขานั่งมองมันอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนักและจนกระทั้งภาพของนักออกแบบสาวเพื่อนสนิทอย่างลิลดาเดินออกมาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่ภาพจะตัดไปที่ญาติผู้พี่ของเขาอย่างอนิรุทธิ์เดินถือช่อดอกไม้ช่อโตไปมอบให้แก่นักออกแบบสาว เขามองภาพนั่นด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่แสดงออกมาว่าเขาดีใจกับคนทั้งคู่ที่มุมปากเพียงครู่เดียวแล้วเลื่อนหายไป

                  ภาพการถ่ายทอดสดงานเปิดตัวสินค้าดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั้งมาถึงช่วงท้ายของงานที่นักข่าวต่างเข้ามารุมล้องบิดาของเขาเพื่อถามไถถึงความรู้สึกเกี่ยวกับงานในวันนี้ข้างๆมีมารดาของเขาที่ยืนควรแขนของลูกตาลอยู่

                 คำถามมากมายที่ถูกไตร่ถามออกมาไม่ได้เข้าหูคนที่ฟังมันอยู่ทางไกลเสียเท่าไร จนกระทั้งคำถามหนึ่งถูกถามขึ้นมา

                 “ทำไมงานในวันนี้คุณอัมรินทร์ถึงไม่ได้มาร่วมในงานด้วยละคะ”

                คนที่ถูกพูดถึงยิ้มเจือแล้วกดปิดหน้าจอนั่นเสียดื้อๆ

              คำตอบที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามันคืออะไร เขาไม่อยากที่จะได้ยินมันอีก....

              ฝ่ายทางด้านคนที่ถูกถามอย่างสุริยะดูจะชะงักกึกไม่เล็กน้อยแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่าการที่ลูกชายของตนที่ควรจะมาร่วมในงานวันนี้ในฐานะหัวเรือใหญ่กลับหายเข้ากลีบเมฆไปเช่นนี้ แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับเหมือนคนน้ำท้วมปากเอาเสียดื้อๆ

              “นั้นสิค่ะ แล้วภรรยาของคุณอัมรินทร์ละคะ ได้กำหนดคลอดมาแล้วหรือยัง” เพราะล่าสุดที่พวกเธอได้ข่าวมาคือภรรยาของอัมรินทร์ที่ชื่อว่าเปลวอรุณกำลังตั้งครรภ์อยู่

              สองสามีภรรยาวัยไม่ใกล้ฝั่งมองหน้ากันนิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปว่าเช่นไรเกี่ยวกับลูกสะใภ้ของพวกตน

              “คงไม่มีแล้วละครับ” แต่ความสับสนอึดอัดใจของพวกเขากลับหยุดลงเมื่อเด็กหนุ่มที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จากับใครมาตั้งแต่เริ่มงานเป็นฝ่ายที่เปิดปากตอบ

              “หมายความว่ายังไงกับครับ” ไม่ใช่แค่นักข่าวที่ตีวงล้อมอยู่ตรงหน้า แต่ยังรวมถึงแขกเหรื่อที่มาร่วมในงานวันนี้อีกด้วยที่หันกลับมามองและให้ความสนใจกับตัวของเด็กหนุ่มที่ยืนตีหน้าขรึม

              “เกิดเรื่องที่น่าเศร้าขึ้นตอนนี้พ่อกับแม่ผมยังทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยไม่สามารถมาร่วมในงานวันนี้ได้” เด็กหนุ่มตอบฉะฉานไร้ความเขินอายหรือประหม่าที่จะตอบจนสุริยะนึกพอใจและชมชอบเด็กคนนี้มาขึ้นไปอีก

              “อุ๊ย ต้องขอแสดงความเสียใจนะคะ” นักข่าวสาวคนที่เป็นคนตั้งคำถามหน้าเจือนเสียเล็กน้อยก่อนจะรีบแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของคนที่เธอพลั้งปากถามออกไปด้วยความไม่รู้

              “ไม่เป็นไรครับ แต่สำหรับพ่อแม่ผมแล้วเรื่องนี้มันผลต่อใจของพวกเขามาก ขออย่าได้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาให้สองคนนั้นได้ยินอีกเลยนะครับ” ลูกตาลยิ้มเป็นเชิงข้อร้อง ซึ่งนักข่าวที่อยู่ในงานทุกคนก็บรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ   

               สุริยะกับนภาอดที่จะแปลกใจกับคำตอบของเด็กหนุ่มอยู่บ้างที่ไม่ได้ตอบนักข่าวออกไปว่าผู้เป็นแม่ของจนจากไป ทั้งสองคนจึงลงความเห็นกันเองในใจเอาว่าตัวเด็กหนุ่มเองก็คงจะยังเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แม้จะพยายามเข้มแข็งหากแต่จริงๆแล้วเจ้าตัวก็คงจะยังทำใจยอมรับไม่ได้ที่แม่ของตนจะไม่มีวันกลับมาหา

              ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสาร....

 

              เข้าสู่เดือนที่สามสำหรับการสูญเสีย...

              “ออกไปข้างนอกกันหน่อยไหม” เสียงของลูกตาลดังขึ้นอีกครั้งเหมือนอย่างทุกวัน

              อัมรินทร์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือคู่มือการดูแลคุณแม่ที่เป็นผู้ชายขณะตั้งครรภ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยไหว้วานฝากให้เด็กหนุ่มซื้อมาให้ “ไว้วันหลังนะ”

              คำตอบเดิมๆที่ออกมาจากปากนั่นก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เด็กหนุ่มคากการณ์เอาไว้อยู่แล้ว

              เกือบสองเดือนแล้วที่เขาพยายามชักชวนให้อัมรินทร์ออกจากบ้านแต่ทุกครั้งกลับคว้าน้ำแหลวได้ตลอดทุกครั้ง ลูกตาลพ่นลมหายใจออกจากจมูกกวาดสายตามองสำรวจร่างกายของคนที่เขาเรียกว่าพ่อที่ซูบผอมลงแม้จะไม่มากแต่ก็พอที่จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ว่าไหนจะใบหน้าคมคายที่ครั้งหนึ่มเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเคราให้ลำคาญตาแต่ดูตอนนี้สิกลับกับอย่างเห็นได้ชัด

              “เมื่อไรจะโกนหนวด” ก็มันลำคาญลูกตา

              “ไว้ก่อน” อัมรินทร์ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแม้แต่หนวดเครายังไม่คิดโกนมันออกอย่างมากก็แค่เล็มส่วนที่ยาวเกินออกแน่นอนว่าคนที่ทำก็คือนภาแม่ของเจ้าตัวที่ขึ้นมาดูลูกชายทุกวัน

              “เห้อ เมื่อไรพ่อจะยอมออกจากห้องสักที” เด็กหนุ่มบ่น พลางนั่งลงกับของเตียงลูบหัวมณีนิลที่ย้ายตัวมานั่งเฝ้าอัมรินทร์ตั้งแต่ช่วงเดือนแรก

              “ก็ออกนะ” คล้ายจะเถียงแม้ตาจะยังไม่ละไปจากหนังสือที่ตนอ่านจนขึ้นใจ

              “แค่สวนหลังบ้าน” ลูกตาลว่าดักอย่างเหนื่อยหน่าย

              “แต่อย่างน้อยก็ออกไม่ใช่หรือไง”

              ลูกตาลส่ายหน้าคร้านจะต่อปากต่อคำ

              “แล้วนี่ ไม่ไปทำงานหรือไง” อัมรินทร์ทักท้วงขึ้นเมื่อมองนาฬิกาแล้วพบว่าอีกไม่นานจะถึงเวลาเข้างานของเด็กหนุ่ม

              “วันนี้เข้าสายได้” เด็กหนุ่มตอบอ้อมแอ้มหลบสายตา

              “อยากให้ไปส่งหรือไง” อัมรินทร์ปิดหนังสือจ้องมองลูกชายที่นั่งก้มหน้าก้มตา

              “ได้หรือเปล่าละ” ลูกตาลถามขึ้นคล้ายมีหวังที่จะทำให้อัมรินทร์ยอมก้าวเท้าออกจากบ้านได้

              อัมรินทร์ยิ้มบางแววตาเศร้า แต่ยังไม่ทันที่อัมรินทร์จะตอบรับหรือปฏิเสธเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

              อัมรินทร์และลูกตาลหันไปมองทางบานประตูที่เปิดออกช้าๆอย่างใคร่รู้พอเห็นว่าเป็นแววที่เปิดประตูเข้ามาก่อนจะได้รับอนุญาตก์ตีหน้าฉงนสงสัย

              “คุณอันค่ะ มีคนมาหาค่ะ” เธอกล่าว

              “ใคร”

              อัมรินทร์ขวมดคิ้วสงสัยแต่ก็ยอมที่จะเดินลงบันไดตามหญิงสาวไปจนถึงห้องรับแขกพร้อมกับลูกตาล

              ร่างอ้วนท้วมของของหัวหน้าแผนกการผลิตนั่งทำสีหน้าปั้นยากอยู่ที่โซฟารับแขกมืออวบก่ำประสานกันแน่นเหมือนคนกำลังคิดไม่ตกกับเรื่องบางเรื่อง

              “สวัสดีครับคุณอ้วน” อัมรินทร์เอ่ยทักทายหัวหน้าแผนกร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์

              “ทะ ท่านรองสวัสดีครับ” อ้วนละล้าละลังลุกขึ้นเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาหา แต่สภาพของชายหนุ่มที่เคยดูดีสง่ากับเปลี่ยนไปจนใจสะท้านสงสาร

              “ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะ” ลูกตาลที่เห็นว่าแผนการในวันนี้คงจะล้มเหมือนอย่างทุกครั้งจึงของปลีกตัวออกมาก่อนเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย

              “ไปดีๆละ”

              ลูกตาลยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนในห้องก่อนเดินออกจากห้องรับแขกไป

              เมื่อพออยู่ด้วยกันสองคนแล้วอัมรินทร์จึงทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาตัวหนึ่งก่อนจะผลายมือเชิญแขกผู้น้อยของตนนั่งตามลงมา

              “มีอะไรหรือครับถึงมาหาผมถึงที่บ้านแบบนี้” อัมรินทร์ยิ้มบางถาม

              “ช่วงนี้ไม่เห็นคุณไปทำงานเลยผมก็เลยเป็นห่วงนะครับ”

              “ขอบคุณครับ” อัมรินทร์กล่าวขอบคุณ

              ข่าวการสูญเสียทายาทคนถัดไปของบริษัทพนักงานทุกคนรับรู้เรื่องนี้กันดีและตามรู้สึกเห็นอกเห็นใจทั้งตัวอัมรินทร์และเปลวอรุณเป็นอย่างมาก และต่างเข้าใจว่าคนทั้งคู่ยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้จึงไม่มีใครเห็นทั้งสองคนเข้าทำงานที่บริษัทอีกเลย ทางด้านสุริยะเองก็ไม่แม้จะปริปากเกี่ยวกับลูกชายและลูกสะใภ้ในที่ทำงานเลยสักครั้งจนตัวเขาเองยังคิดหนักอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าเอาของ ‘สิ่งนั่น’ มาที่นี้

              “คือว่า..” อ้วนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก

              อัมรินทร์เหลือบมองสีหน้าหนักใจของแขก

              “คุณยังจำของที่คุณให้ผมทำเมื่อก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ครับ”

              อัมรินทร์ชะงัก

              “จำได้สิ” มุมปากกระตุกยิ้ม “เสร็จแล้วหรอ” เขาถามเสียงแผ่วเบา

              “ครับ” มืออวบอูมหยิบซองกำมะหยี่สีขาวมุกออกมาจากกระเป๋าอย่างถนุถนอมพร้อมส่งให้คนหนุ่มกว่ารับไป

              “ขอบคุณมาครับ” อัมรินทร์รับของที่ครั้งหนึ่งเคยสั่งทำด้วยรอยยิ้มคล้ายสุขใจระทมเศร้าโศกปะปนกันไปก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับขึ้นห้องไปเงียบๆทามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของหัวหน้าแผนกการผลิตที่มองตามหลังเขามา

              “คุณต้องผ่านมันไปให้ได้นะครับ”

              คนมองได้แต่ภาวนาเอาใจช่วยจากใจจริง

 

              อัมรินทร์ถือห่อผ้ากำมะหยี่ถุงนั้นกลับมาที่ห้องปิดประตูและล็อกมันอย่างที่เขาไม่เคยทำมันมานาน สองขาที่คล้ายจะอ่อนแรงก้าวเดินอย่างไม่มั่นคงก้าวมาที่เตียงนอนแล้วทรุดนั่งลง

              ถุงกำมะหยี่หูรูดถูกคลายออกแล้วล้วงหยิบของสิ่งหนึ่งที่อยู่ข้างในออกมา

              กระพวนข้อเท้าสำหรับเด็กแรกเกิดคู่หนึ่งถูกหยิบออกมา กระพวนที่ทำมาจากเงินบริสุทธิ์แท้ชุบด้วยทองคำขาวแท้เกลี่ยงเกลาไร้ลวดลายที่ปลายสองข้างมีกระดิ่งอันเล็กๆสีขาวประดับอยู่ข้างละอัน

              อัมรินทร์กำมือที่ถือกระพวนคู่นั้นแน่นน้ำตาที่ลื่อคลออยู่เริ่มไหลอาบแก้ม กระพวนข้อเท้าที่เขาคิดจะเอามาเป็นของขวัญรับขวัญลูกน้อยที่จะเกิดมาแต่ตอนนี้มันกลับไร้ซึ่งเจ้าของอย่างที่มันควรเป็น ทั้งๆที่วันที่ได้เห็นของสิ่งนี้มันควรจะเป็นวันที่เขาและเปลวอรุณมีความสุขที่สุด มันควรจะเป็นอย่างนั้นแต่ทำไมพอเอาเข้าจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาวาดฝันเอาไว้เพราะมันเหลือเพียงเขาเพียงคนเดียวที่เจ็บปวด

              หากว่ากระพวกคู่นี้ทำให้อัมรินทร์หลั่งน้ำตาออกมาเพียงแรกเห็นของอีกชิ้นที่ยังอยู่ในห่อกลับทำเขาปวดร้าวยิ่งกว่าเดิม

              กระพวนข้อเท้าถูกเก็บลงห่อกำมะหยี่อีกครั้งก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นกล่องกำมะหยี่สีกลีบบัวอ่อนขนาดเล็กที่ถูกหยิบออกมา อัมรินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะกลั่นใจเปิดกล่องนั่นออกมา

              แหวนแต่งงานคู่หนึ่งปรากฏสู่สายตาที่ร้อนผ่าว แหวนคู่ที่เหมือนกับทุกระเบียบนิ้วหากแต่แตกต่างกันที่ขนาดของตัววง อัมรินทร์หยิบแหวนวงที่ใหญ่กว่าขึ้นมาส่วมที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองด้วยมือที่อันสั่นเทาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ส่วนอีกวงเขาดึงมันออกมาแล้วกุมมันเอาไว้แน่นในระดับอกตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจ

              แหวนแต่งงานที่เขาอยากจะมอบมันให้กับคนที่เขารักมากที่สุด...

              “เปลว ฮึก เปลว”

 

................................................

 

             
:o12:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:o12:


 “คุณอัน” 

              เสียงละเม่อเรียกแสนอ่อนแรงดังขึ้นแผ่วเบา เปลือกตาอ่อนกะพริบเบาๆขับไล่น้ำตาที่หางตาให้ไหลลงข้างตาตามแรงโน้มถ่วงของโลก

              เขาฝัน...

              ฝันว่าอัมรินทร์กำลังร้องไห้เรียกหาเขาจากที่ไหนสักที่หนึ่ง ที่ที่เขามองไม่เห็น ที่ที่เขาได้ยินเพียงแค่เสียงร่ำได้เหมือนคนใกล้ขาดใจของคนที่รัก หัวใจของเขาแทบสลายลงเมื่อไม่ว่าจะพยายามมองหาเท่าไรก็ไม่แม้จะพบกับเงาร่างที่ต้องการ

              “อึก”

              อาการเวียนหัวทำเอาคนที่เพิ่งฟื้นคืนจากฝันร้ายนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด มือบางผอมแห้งยกขึ้นประคอบศีรษะที่วิงเวียนของตนจนคนที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างปรี่เข้ามาถามไถ

              “ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่อีกหรอครับ” ชายรู้ร่างกำยำสมส่วนในชุดสูทสีทึบดูน่าอึดอัดเอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างเป็นห่วง

              “ใช่” เปลวอรุณหลับตาลงแน่น

              ผลข้างเคียงจากการรักษาโรคร้ายที่เขาเป็นอยู่ด้วยวิธีการรักษาโดยการใช้ยาเคมีบำบัด เมื่อเข้ารับการรักษาเขาก็ต้องยอมรับต่อผมข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น

                เขาเข้ารับการรักษาเดือนละหนึ่งครั้งและครั้งนี้คือครั้งที่สาม จากการใช้ยาทำให้เขาอาเจียนออกมาอยู่บ่อยครั้งร่างกายของซูบผอมลงมากจากแต่ก่อนจนตอนนี้เหมือนคนที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูก ผิวขาวสุขภาพดีที่ตนเคยชมชอบกลับซีดเผือกไร้สีเลือด ไหนจะเส้นผมสีเข้มที่อัมรินทร์ชอบเขายังตัดใจที่จะโกนมันออกจนโลนเตียนก่อนที่มันจะหลุดร่วงให้ตัวเขาต้องช้ำใจนต้องเอาหมวกไหมพรมสีควันบุหรี่มาสวมทับแทน

              “ให้ผมตามหมอมาดูดีหรือไม่ครับ”

              “ไม่เป็นใคร ขอน้ำที” เขาปฏิเสธแล้วขอเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่ามาดื่มให้ชุ่มคอแทน

              เปลวอรุณคืนแก้วน้ำที่ดื่มจนหมดแก้วกลับคืนก่อนจะพิงกายนอนราบลงกับเตียงนอนอีกครั้งพร้อมหลับตาลง ชายหนุ่มผู้มีหน้าที่เฝ้าดูแลผู้ป่วยมองท่าทีผู้เป็นนายเล็กน้อยก่อนจะเดินจากออกจากห้องไป

              ความเงียบกลับคืนสู่เปลวอรุณอีกครั้งเมื่อผู้เฝ้าดูแลเดินออกจากห้องไปเปลือกตาสีอ่อนซีดปรือลืมขึ้นมาอีกครั้ง เพดานสีขาวลอยสูงอยู่ตรงหน้าทางซ้ายคืนกระจกบานใหญ่ที่กั้นห้องนอนที่เขานอนอยู่ร่วมสามเดือนกับภาพยอดตึกต่างๆกลางเมืองหลวง ภาพทิศทัศน์เดิมๆทำเอาหัวใจเงียบเหงายิ่งเหงาหง่อยลงกว่าเดิม

              เขาคิดถึงอัมรินทร์...

              การที่ตื่นมาแล้วต้องรับรู้ถึงการสูญเสียชีวิตน้อยๆที่แสนล่ำค่าทำเอาเขาร้องไห้แทบขาดใจไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ หากแต่คำพูดคำพูดหนึ่งของคนที่รักเหนี่ยวรั้งตัวเขาให้มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อ

              “....ฉันจะไปรับเปลวเราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน”

              อัมรินทร์สัญญากับเขาว่าจะมารับและเขามั่นใจว่าอัมรินทร์จะต้องมาตามที่รับปาก

              แต่ทำไมถึงได้นานอย่างนี้...

              หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรีบกลับไปหาอัมรินทร์ทันทีที่ลืมตาหาแต่เพราะในตอนนี้ร่างกายของเขาทรุกโทรมลงอย่างรวดเร็วแรงที่จะทรงตัวยืนให้ตรงได้นั่นแทบจะไม่มีดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่รอคอย รอให้อีกครั้งทำตามคำที่พูดออกมา

แก๊ก

              เสียงบิดลูกบิดประตูดังขึ้นเรียกความสดใจของเขาที่เหม่อลอยออกไปนอนหน้าต่างบานใหญ่ความรู้สึกตื่นเต้นระคมดีใจเมื่อเผลอนึกว่าคนที่กำลังก้าวเข้ามาหาเขาคือใครคนหนึ่งที่เขาคะนึงหามานาน

              “คุณอัน”

              หากแต่รอยยิ้มที่คลี่ออกกว้างอย่างคนดีใจนั้นกลับต้องเก้อค้างกลางอากาศเมื่อคนที่เปิดมันออกมาไม่ใช่คนที่เฝ้านับวันรอหาอย่างที่ใจต้องการ

              “เสียใจหรือเปล่าครับที่ไม่ใช่” เป็นราชันที่อยู่ในชุดลำลองเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวแขนยาวกับกางเกงสีเข้มขาสั้นที่เปิดประตูเข้ามา

              เปลวอรุณหน้าม้ายลงเล็กน้อยแล้วเสมองไปอีกทาง

              “เห็นเด็กบอกว่าปวดหัวอีกแล้วหรอครับ” ราชันถามอย่างเป็นห่วงพลางปิดประตูสาวเท้าเข้ามาใกล้

              “ก็เป็นปกติ” เปลวอรุณทำเสียงขึ้นจมูกคล้ายไม่พอใจที่เห็นคนตรงหน้า

              ราชันยิ้มอ่อน นั่งทันขาข้างหนึ่งลงที่ข้างเตียงนอนที่เปลวอรุณนอนอยู่

              “อยากออกไปรับลมที่ข้างนอกหน่อยไหมครับ”  เมื่อคิดว่าคนป่วยอาจรู้สึกอุดอู้อยู่แต่ในห้องราชันจึงเสนอขึ้นมา

              “ไม่เอา” ถ้าหากเขาออกไปแล้วอัมรินทร์มารับเขาละ

              “แล้วอยากได้อะไรละครับ” ราชันถามขึ้นพร้อมจับมือผอมแห้งนั้นมือลูบเกลี่ยเบาๆ

              “อยากเจอคุณอัน” เปลวอรุณพูดความต้องการของตัวเองออกมา “ไหนว่าคุณอันจะมารับไง” ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อนน้อยใจ

              ราชันยิ้มบาน

              “ไอ้อันมันติดธุระสำคัญอยู่นะครับเลยยังมาไม่ได้” ราชันว่าปลอบใจ

              “อีกแล้วหรอ” ทุกครั้งที่เขาถามหาอัมรินทร์ คำตอบที่ได้กลับมาคือ ติดธุระ ไม่สบาย วันนี้ไม่สะดวก คำตอบซ้ำๆที่บั่นทอนหัวใจของเขาทุกวัน

              “ตอนแรกไอ้อันมันก็จะมาอยู่แล้วละครับ แต่เพราะมันเป็นเรื่องด่วนมันจึงมาไม่ได้”

              “เขาบอกว่าจะมา ฮึก แต่เขาก็ไม่มา” เปลวอรุณน้ำตารื่อ

              “เดี๋ยวเขาก็มาครับ” ราชันกุมมือผอมแห้งเอาไว้แน่น

              “แต่เขาก็ไม่มา!” เปลวอรุณใส่อารมณ์ “หรือเพราะว่าพี่เป็นแบบนี้ เพราะเขารู้เขาถึงรับไม่ได้เลยไม่มารับพี่สักที ใช่ไหมราช! ใช่ไหม!” เปลวอรุณเหมือนคนสติแตกถลึงกายลุกขึ้นนั่งน้ำตาหยดใสไหลอาบแก้มเมื่อมองสภาพของตัวเองในตอนนี้เหตุผลเดียวที่พอจะนึกเดาเอาเองออกว่าทำไมอัมรินทร์ถึงยังไม่มาหาเขาสักทีมันคงเป็นเพราะสภาพของเขาในตอนนี้

               สภาพของเขาที่เหมือนกับดอกไม้แห้งๆที่ใกล้ตาย...

              “ไม่หรอครับ อันมันรักพี่มาก ผมเชื่อว่าต่อให้พี่จะอยู่ในสภาพไหนมันก็ไม่นึกรังเกียจพี่อยู่แล้วครับ” ราชันรั้งดับแขนผอมแห้งที่เหลือแต่กระดูกของเปลวอรุณที่พยายามฟาดใส่เขาเขาไว้แน่นและพยายามไม่ให้ตัวเองเผลอใช้แรงมากจนเกินไปจนทำให้อีกคนรู้สึกเจ็บ

              “โกหก!” เขาไม่เชื่อ

              “ผมพูดจริงๆนะครับ” ราชันพยายามหว่านล้อม “ไอ้อันมันคิดถึงพี่ทุกวัน มันเองก็อยากจะเจอพี่เหมือนกัน”

              “จะ จริงหรอ” เปลวอรุณเริ่มที่จะสงบลง แววตาเศร้าเจือความสับสนเล็กน้อย

              “แน่สิครับ” ราชันยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวนอนซุกที่หน้าท้องบางแล้วโอบรอบเอวเอาไว้หลวมๆ

              “ผมไม่เคยโกหกพี่อยู่แล้วครับ พี่เปลว”



 
______________________________________________

เปลวอรุณกลับมาแล้ววววว

ตอนหน้าเรามาเคลียร์ปมสุดท้ายระหว่างหนูเปลวกับหนูราชันกัน

แต่ทุกคนก็คงจะพอเดากันได้แล้วละเนอะ

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านจบแล้วแบบ ตอแหลอะ ตอแหลสุด ๆ ผช นี่เวลาตอแหลน่ากลัวกว่าผญเยอะ เผลอๆลูกตาลร่วมรู้ ดีเนอะ แต่ละคน ไม่ใช่ราชันคือน้องชาย?? ทำแบบนี้ดีจัง ดี๊ดี ไม่รอให้อันตายไปก่อนละ หรือให้เปลวตายจริง ๆ นี่คืออินมากนะ เลยเม้นแบบนี้ จริงจัง แบบ อี้ย เกลียดอะ สงสารเปลวกับอัน

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มาม่าเส้นอืดแล้วอืดอีก  :hao5:
ราชันนี่เป็นคนที่น่ารังเกียจ  สุดๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เอ่อ.....
นี่ราชันเป็นอะไร โรคจิตหรอ อยากให้ทั้งคู่ตายไปพร้อมๆกันเลยไหม? โดยปกติคนเป็นโรคมะเร็ง กำลังใจสำคัญที่สุดในการรักษานะ ทำแบบนี้รักเปลวจริงไหม  เห็นแก่ตัว :angry2: #อินจัด :monkeysad:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ต่างฝ่ายต่างรอกัน...

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ลูกตาลรู้อะไรมา ที่พยายามจะชวนคุณอันออกนอกบ้านเพราะจะพาไปหาเปลวใช่มั้ย เปลวแทนตัวกับราชันว่า พี่ น่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันรึเปล่า

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ราชันน่ารังเกียจมากอ่ะ รู้ทั้งรู้ว่าทั้งคู่สูญเสียอะไรไปบ้างยังทำอีก คือแบบความผิดพลาดในอดีตมันก็ผ่านมาแล้ว มัวแต่จมอยู่กับความแค้นเลยไม่เดินไปข้างหน้าสักที เฮ้อออ  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ทำไมราชันถึงสามารถพาตัวเปลวไปได้? จริงๆทางรพ.ไม่น่ายอมนะ
เหมือนเปลวจะมีอาการจิตนิดๆแล้วอ่ะ 
อันนี่ก่ไม่น่าหลงเชื่อราชันเลย ศพเปลวก็ยังไม่เห็น ไม่คิดจะตามหาศพหน่อยเหรออย่างน้อย :katai1:

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ตกลงเปลวพี่ราชันเหรอ แต่การแยกกันอย่างนี้ไม่ดีกันทั้ง 2 ฝ่ายเลยนะ
ถ้าราชันรักเปลวจริงแล้วทำไมถึงไม่ยอมให้อันพบเปลว เพื่อที่คนป่วยจะได้มีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้าย
อย่าบอกนะว่าตาลรู้ว่าเปลวอยู่ไหน ถ้ารู้เรื่องนี้จริงมันไม่ดีเลยนะ เพราะการที่เห็นพ่อกับแม่ที่เคารพต้องตรอมใจอยู่อย่างนี้จะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ
อินมากไปหน่อย..

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
ขอให้ราชันมีความสุขกายสุขใจ มีชีวิตที่แสนสงบ น่ะ


ขอตรงนี้เลย จะได้ไม่ไประรานคนอื่นๆ

 :katai5:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 31


              “เปลว เปลวเป็นยังไงบ้าง” เสียงเรียกของอัมรินทร์ที่วิ่งเข้ามาถึงตัวเขาเป็นคนแรกประคองตัวเขาขึ้นมาแนบอก

              “ผมเจ็บ” แม้จะสายตาของเขาจะพร่าเบลอจากโรคสายตาที่เป็นมาแต่ใบหน้าแตกตื่นระคมความเป็นห่วงจับจิตของอัมรินทร์กลับเด่นชัดในสายตาของเขา

              “แม่เปลว เลือด!”

              เสียงร้องทักของลูกตาลดังขึ้นเรียกความสนใจให้หัวใจที่อิ่มแอมจากความเป็นห่วงเป็นใยที่ได้รับจากอัมรินทร์ล้วงหายไปกับตา ไหนจะภาพของเลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากร่างกายของเขา

              “ลูก.. ลูก”  เสียของเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่ภาพตรงหน้าของเขาค่อยๆพร่าเลื่อนแล้วดับวูบ

              เขาไม่รู้ตัวอีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นหากแต่เสียงเรียกจากอัมรินทร์กลับเป็นเสียงเดียวที่ส่งมาถึงเขา เปลือกตาที่อ่อนล้าเต็มทีของเขาปรือเปิดมามองใบหน้าของคนรักอีกครั้งก่อนมือของเขาทั้งสองคนจากถูกแยกจาก

              การสูญเสียเกิดขึ้นในตอนที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว...

              “......”

              เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในห้องห้องหนึ่งที่ดูแตกต่างจากห้องที่เขาควรจะอยู่ มันดูเหมือนเป็นห้องนอนในคอนโดหรูมีราคาทางซ้ายมือของเขามีผ้าสีขาวผืนหนาถูกขึงปิดบางสิ่งเอาไว้สูงเทียบเพดานด้านบนเช่นเดียวกับทางช่วงปลายเตียง เสียงพูดคุยของใครคนหนึ่งดึงดูดสายตาของเขาที่กวาดสำรวจอยู่ให้หันไปหยุดที่ชายหนุ่มที่เขาคุ้นเคยมานาน

              ราชัน...

              เขาไม่รู้ว่าทำไมราชันถึงได้พาเขามาที่นี้แทนที่จะให้เขานอนพักอยู่ที่ห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลอย่างที่ควรเป็น เขามองสบดวงตาเรียวเล็กของ ‘ลูกพี่ลูกน้อง’ ของตนที่เหมือนกำลังคุยอะไรสักอย่างอยู่กับใครสักคนโดยที่ดวงตานั่นไม่ละไปจากเขาเลยแม้แต่น้อย

              เสียงคุ้นจัง...

              “กูจะคืนเปลวอรุณให้มึง”

              คุณอัน...

              มุมปากฉีกยิ้มเมื่อรู้ว่าใครคือคนที่อยู่ฝั่งของปลายสายที่สนทนากับราชันอยู่

                “ จริงหรอ” น้ำเสียงดีใจของอัมรินทร์ดังแว่วเข้ามา
 
                “ถ้ามึงหาตัวเขาเจอ”  ราชันพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนขาตั้งกล้องขึ้นมาถือก่อนจะเดินตรงมาที่เขา

               ภาพในหน้าจอโทรศัพท์ที่เขาเห็นคือใบหน้าของอัมรินทร์ที่คล้ายคนที่กำลังสิ้นหวังหมดหนทางที่มืดมิดแล้วได้พบเจอเข้ากับแสงสว่างรอยยิ้มของอัมรินทร์ฉีกกว้างกว่าครั้งไหนที่เขาเคยได้เห็น

                “เปลว เปลวเป็นยังไงบ้าง” เสียงกึ่งตระหนกกึ่งดีใจเรียกรอยยิ้มบางๆจากเขา

                  “คุณอัน” หากแต่เขานั้นไร้เรียวแรง มืออ่อนแรงยกขึ้นให้ปลายนิ้วสัมผัสกรอบหน้าของคนที่รักผ่านหน้าจอสีเหลี่ยมในมือของราชัน น้ำตาหยดใสไหลลงจากขอบตา

                  “ไม่ร้องเปลว ฉันอยู่นี้ ฉันจะไปรับเปลวเราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน” คำว่า ‘มารับ’ แล้ว ‘เราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน’ คือคำที่ฟังแล้วทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาทันตา

              แต่เวลาแห่งความสุขทางใจของเขากลับถูกขัดจังหวะเมื่อมีผู้ชายสองคนที่แต่งตัวคล้ายหมอสวมเสื้อการ์วขาวคาดหน้ากากอนามัยบดบังใบหน้าเดินเข้ามาพร้อมถาดสแตนแลสเดินเข้ามา

              “ขอเจาะเลือดตรวจนะครับ” เสียงของคนแรกดังขึ้นเบาๆพอแค่ให้เขาได้ยินมัน

              ความเย็นของสำลีขาวที่ชุดด้วยเอลกอฮอร์เช็ดบริเวณด้านล่างข้อพับแขนของเขาเพื่อฆ่าเชื่อก่อนที่ความเจ็บจากปลายแหลมของเข็มฉีดยาจะแทงผ่านเข้ามาเขาหลับตาลงซ้อนความเจ็บแต่เขากลับมีความรู้สึกมึนงงผสมโรงเข้ามาด้วย

              เสียงรอบๆตัวดังอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนจะเงียบลงพร้อมกับสติของเขาอีกรอบหนึ่ง...

             

              ครั้งนี้เปลวอรุณตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงที่ท้องฟ้าด้านนอนมืดสนิท ผ้าผืนใหญ่สีขาวทึบที่เคยถูกตึงปิดบานหน้าต่างขนาดใหญ่เมื่อตอนก่อนหน้าถูกปลดออกผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มถูกเปิดกว้างเผยให้เห็นทัศนียภาพมุมสูงของกรุงเทพ แสงสว่างจากนีออนตามตึดสูงและบนท้องถนนดูสวยเหมือนกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่แช่งกันอวดแสงสีของตน

               เขาเผลอยิ้มพอใจให้กับมัน...

              “ตื่นแล้วหรอครับ” เสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้นแผ่วเบา

              เปลวอรุณขยับศีรษะเปลี่ยนทิศทางการมองจากนอกหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาด้านห้อง อาศัยแสงสีส้มสลั่วนวลตามองไปยังทางประตูห้องนอน เขาพยายามหรี่ตาลงเพื่อปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเนื่องจากตอนนี้เขาไม่มีแว่นสายตาคอยช่วยรับภาพให้ชัดเหมือนอย่างที่เคย

              “ราชหรอ?” เขาเอ่ยถาม

              คนมาใหม่ไม่ตอบแต่เดินเข้ามาหาเรื่อยๆก่อนจะทรุดนั่งลงที่ขอบเตียงในระยะที่คิดว่าคนที่นอนอยู่น่าจะมองเห็นเขาได้ชัด

              “รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ” รอยยิ้มละไมปรากฏขึ้นบนใบหน้าแต่ในระยะนี้นอกจากที่เปลวอรุณจะสามารถมองเห็นได้แน่ชัดแล้วว่าเป็นใคร อีกทั้งเขายังรับรู้ได้อีกว่ารอยยิ้มนั่นดูเหมือนมีความผิดปกติบางอย่างยังไง

              “ทำไมทำหน้าแบบนั่นละ” เขาพลั่งปากถามออกไปด้วยความสงสัย

              “แบบไหนกันครับ” เรียวปากบางของราชันสั่นระริก

              เปลวอรุณมองใบหน้าที่อยู่เหนือกว่าเงียบๆ

              และเงียบจนราชันรู้สึกอึดอัด

              ร่างผอมโปร่งของราชันมีอาการละล้าละลังอยู่ไม่สุขเมื่อเจอเข้ากับความเงียบที่ว่า ดวงตาเรียวเล็กวาวเล็กน้อยด้วยน้ำตาคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ฟูมฟายจึงตัดสินใจพูดเรื่องที่มันฝั่งติดอยู่ในใจตนเองขึ้นมา

              “เรื่องวันนั้น ผมขออธิบายได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงของราชันดูขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัดอีกทั้งยังเจือความหวาดกลัวเล็กๆในแววตายามที่จะพูดเรื่องนี้เหมือนเด็กที่ต้องการจะอธิบายเรื่องที่ตนทำผิดให้ผู้ใหญ่ได้ฟัง

              เปลวอรุณเงียบมองใบหน้าที่ก้มต่ำจนคางแทบชินอกกับช่วงไหล่ที่ดูสั่นเล็กน้อยของราชันเล็กน้อยก่อนจะตอบรับความต้องการของชายหนุ่ม

              “อยากจะเล่าก็เล่ามาสิ”  ในเมื่อตัวของราชันเองอยากจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยเขาก็จะขอรับฟังเอาไว้ เพราะถ้าไม่ ราชันก็คงจะตามตื้อร้องขอให้เขารับฟังมันอีกแน่ๆ

              นัยน์ตาที่เคยหม่นหมองอยู่เมื่อครู่ฉายประกายอีกครั้งเมื่อได้รับโอกาสอธิบายแก้ต่าง

              “พี่เปลวจะฟังที่ผมพูดจริงๆใช่ไหม”  ราชันดูกระตือรือร้นขึ้นมาถนัดตาเมื่ออีกคนให้โอกาส

              “เล่ามาสิพี่ฟังอยู่”

              “อันที่จริงตอนนั้นผมอยู่ที่ต่างประเทศเลยต้องใช้เบอร์ของที่นั้นเป็นส่วนใหญ่” ราชันยิ้มเจือคล้ายรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกอีกคนไว้ก่อน “และช่วงนั้นผมกำลังมีปัญหากับวาเลนติโนพอดีเลยปิดเบอร์นั้นหนีแล้วใช้เบอร์ไทยแทน แต่หมอนั้นก็ยังตามโทรมาอีกและด้วยความที่ผมกำลังหงุดหงิดอยุ่ด้วย พอพี่โทรเข้ามาผมเลยไม่ทันดูให้ดีก่อนเพราะคิดว่าเป็นหมอนั่นเลยตะคอกด่าออกไปอย่างนั้นเพื่อให้มันเลิกยุ่งกับผมสักที”

              “จะไปตายที่ไหนก็ไป คนอย่างนายมันน่ารำคาญ คิดว่าตัวนายวิเศษมาจากไหนกันทำไมฉันต้องทนต้องทำตามที่นายขอด้วย”

              คำพูดว่าร้ายในวันนั้นดังขึ้นมาในหัว

              “พี่คงเสียใจมากสินะ ยิ่งคนที่พูดมันออกมาตอนหลังเป็นปู่ด้วย” ราชันแค่นยิ้มแกน

              “ฉันไม่เคยนับแกเป็นหลานหรือเป็นญาติของฉัน อย่างมายุ่งกับหลานฉันอีก”

              คนฟังหลุบตามองต่ำ

              “ตอนที่ผมกับปู่รู้ว่าเป็นพี่ พวกเราตกใจกันใหญ่เลยพยายามรีบโทรหาพี่แต่ก็ไม่ติด” ราชันบีบมือตัวเองแน่น “ผมกับปู่เราไม่ได้ต้องการพูดจาไม่ดีใส่พี่จริงๆนะ ผมกับปู่อยากจะขอโทษพี่มาก วันต่อมาผมรีบกลับมาไทยเลยแต่พี่ก็ไม่อยู่บ้าน ผมร้อนใจมากปู่เองก็เป็นห่วงพี่มากเลยนะครับ”

              เปลวอรุณปรายตามองคนที่ก้มหน้าพูดเนื้อตัวสั่นเทาเป็นลูกนกด้วยความรู้สึกผิด เขาหลับตาลงช้าๆก่อนจะถอนหายใจออกมาครึ่งหนึ่ง เขาปล่อยวางเรื่องนี้ไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้นและไม่คิดผูกใจเจ็บกับมันอีกแต่ที่เขาไม่ยอมฟังความแก้ต่างของราชันตั้งแต่แรกก็เพราะตัวเขาเองยังทำใจไม่ได้ที่จะเห็นหน้าหรือพูดคุยกับเจ้าตัวและเขาก็รู้ดีว่ายิ่งเขาทำแบบนั้นราชันก็จะยังพะวักพะวงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาขึ้นไปอีก เพราะสิ่งเดียวที่ราชันหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตคือการถูกเขาเกลียด

              “พี่ไม่โกรธราชหรอกนะ” เขาคลี่ยิ้มบาง

              “จะ จริงหรอครับ” คนที่ตั้งใจจะมารับคำตำหนิติด่าปรือตาที่ปิดแน่นออกมองคนที่นอนอยู่อย่างไม่เชื่อหู

              “จริงสิ พี่เคยโกหกเราด้วยหรือไงกัน” ฝ่ามือบางแตะเบาๆที่หน้าตักของน้องชายก่อนจะกลับมาวางไว้ที่หน้าท้องเหนือผ้าห่ม

              ราชันยิ้มกริมอย่างมีความสุขตาเป็นประกายเมื่อคำอธิบายของตนเป็นผล เพราะสำหรับเขาแล้วเปลวอรุณคือคนสำคัญเป็นที่หนึ่งสำหรับเขาในทุกๆด้านเป็นคนเพียงคนเดียวที่เขาไม่อยากให้เกลียด และรักมากจึงไม่อยากยกให้ใคร...

              “แล้วพี่ละครับ” อยู่ๆน้ำเสียงดีอกดีใจเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไป

              เปลวอรุณมองความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของราชันอย่างตามไม่ทัน

              เมื่อกี้ยังยิ้มร่าอยู่เลย...

              “...”

              “แล้วพี่ไม่คิดจะบอกอะไรผมเลยหรอครับ” อยู่ดีๆเจ้าตัวก็พูดออกมาอย่างคนน้อยเนื้อต่ำใจ มุมปากทั้งสองข้างหุบแคบลง

              “....”

              “ไม่คิดจะบอกผมทั้งเรื่องของพี่กับมัน ทั้งเรื่องที่พี่กำลังท้อง หรือแม้แต่เรื่องที่พี่เป็นมะเร็ง พี่ไม่คิดจะบอกอะไรผมกับปู่เลยหรอครับ” ราชันกำมือที่หน้าตักตัวเองแน่น

              เปลวอรุณเสหน้าหนี

              “พี่ไม่บอกผมเรื่องระหว่างพี่กับไอ้อันผมไม่ว่าหรอกครับเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่” เจ้าตัวว่าพลางวางทับมือของตนเหนือมือของเปลวอรุณที่วางอยู่ตรงหน้าท้อง “แต่เรื่องเด็กคนนี่ ทำไมพี่ไม่บอกผม ฮึก” ราชันสะอื้น

              “เพราะผม ถ้าผมรู้ว่าพี่กำลังท้องผมจะไม่ทำ ถ้าผมรู้ว่ามันจะทำให้พี่ต้องเสียเด็กคนนี่ไปผมจะไม่มีวันทำ” ราชันสะอื้นหนักจนตัวงอบีบมือข้างนั่นของเปลวอรุณไว้แน่น

              “เขา เขาไม่อยู่แล้วหรอ” มืออีกข้างที่วางไว้เหนือหน้าท้องเช่นกันกำผ้าห่มที่คุมร่างของตัวเองแน่นร่างกายชาวาบไปหมด

              ‘เขา’ ที่ว่าคือใครนั้น สำหรับเปลวอรุณแล้วก็คงจะมีเพียงความหมายเดียวและเพียงคนเดียงที่ถามหา นั่นก็คือ ลูก

              ราชันเม้มปากแน่นขณะพยักหน้าย้ำความจริง

              เปลวอรุณน้ำตาไหล

              บันไดเกือบยี่สิบขั้นไม่ใช่น้อยๆไหนจะจำนวนเลือดที่ไหลออกมาจากร่างของเขาเมื่อตอนนั้นอีก ก็พอทำใจเอาไว้อยู่แล้วบ้างก็เถอะแต่ลึกๆเขาก็ไม่อยากเสียลูกไป แต่เมื่อความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาภาวนาร้องขอหัวใจของเขาก็เหมือนจะสลาย

              “ผมขอโทษพี่เปลว เพราะผม ผมทำให้พี่เสียงลูกไป ผมเอง ผมผิดเอง”  ราชันกอดร่างของพี่ชายที่ตนรักเอาไว้แน่น

              เขาไม่เคยรู้เรื่องนี่มาก่อน ไม่เลย ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่มันเกินกว่าเจ้านายกับลูกน้องของทั้งคู่แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดไปจนถึงที่ว่าเปลวอรุณกำลังตั้งครรภ์ เขาเอาแต่คิดว่าจะไม่ยอมให้เปลวอรุณโดนอัมรินทร์หลอกเลยพยายามที่จะบอกความจริงให้อีกคนได้รู้ แต่เพราะเขาไม่สืบสาวเรื่องของเปลวอรุณให้ดีกว่านี่เรื่องพวกนี้มันถึงได้เกิดขึ้น

              เป็นเพราะเขา เพราะเขาหลานของเขาถึงต้องมาจากไป...

              เขารู้ดีว่าความรู้สึกผิดของเขามันคงไม่เพียงพอที่จะชดใช้ให้กับความผิดที่เขาทำ

              “ช่างมันเถอะ” เปลวอรุณสะอื้นโดนไม่คิดมองหน้าน้องชาย และนั่นก็ยิ่งทำให้ราชันร้องไห้ออกมาหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อคิดว่าพี่ชายจะไม่ให้อภัย

              “เขาจากไปแล้ว เราทำอะไรไม่ได้แล้ว” ถึงจะพูดไปเหมือนคนทำใจได้ แต่เปล่าเลย.. หัวใจข้างในของเปลวอรุณแหลกละเอียดเสียยิ่งกว่าใครจะคาดเดา

              เขาคือแม่ แม่ที่ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าลูกก็ต้องมาร่ำไห้ให้กับการจากไปของลูกตัวเอง

               แม่ที่น่าสงสาร...

              “แต่เขาจากไปเพื่อให้พี่อยู่ต่อนะครับ” ราชันยันกายขึ้นขณะพูด แม้รู้ดีว่ามันจะเหมือนการทิ่มแทงใจอีกคน

               “ถ้าเขายังอยู่พี่เปลวก็จะไม่ยอมบอกใครเรื่องที่พี่กำลังป่วย พี่จะไม่ยอมเข้ารับการรักษาเพื่อที่จะให้เขามีชีวิต” ราชันกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด

                 เปลวอรุณหน้าม้ายลงเมื่อถูกจับความคิดที่คิดเอาไว้ได้

                 “แต่เขาคงอยากจะให้พี่มีชีวิตอยู่ต่อมากกว่า” ราชันยิ้มขื่น ถึงจะฟังดูร้ายกาจไปบ้างในบางทีแต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเด็กคนนี่ยังอยู่เปลวอรุณจะไม่มีวันยอมเข้ารับการรักษาที่อาจมีผลกระทบโดยตรงต่อเด็กในครรภ์และนั่นย่อมหมายถึงชีวิตของคนเป็นแม่ที่อาจไม่ได้อยู่เห็นลูกที่ตัวเองปกป้องมานับปีเติมโต

                  “ผมรู้ว่าพี่เสียใจ ผมเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ต่างกัน”

                   “...”

                   “แต่พี่ต้องอยู่ต่อไป พี่ต้องเข้ารับการรักษาผมติดต่อหมอเอาไว้แล้วเรื่องการรักษา” ราชันกลืนน้ำลายหนืดลงลำคออย่างยากลำบาก “และพี่ต้องหาย พี่ต้องอยู่รอไอ้อันมันมารับพี่กลับไปไม่ใช่หรอ”

                    เปลวอรุณชะงัก

                     ใช่แล้ว..

                     ถึงจะเสียลูกไปแต่เขาก็ยังมีอัมรินทร์ อัมรินทร์สัญญาว่าจะมารับ เขาต้องมีชีวิตอยู่รอวันที่อัมรินทร์จะมาพาเขากลับไป ไหนจะลูกตาลอีก เขาไม่ได้เสียลูกไปทั้งหมดเสียหน่อยแต่เขายังมีลูกชายอีกคนหนึ่งที่รอให้เขากลับไปหา

                     “แล้วราชพาพี่ไปหาคุณอันเขาตอนนี้เลยไม่ได้หรอ” เขาอยากไปหาอัมรินทร์กับลูกตาลแทบขาดใจอยู่แล้ว

                     “ร่างกายพี่ยังไม่พร้อม พี่ต้องรักษาตัว” ราชันขัด “มันบอกเองว่าจะมารับพี่ มันก็ต้องมาพาพี่กลับไปเองผมไม่ยอมยกพี่ชายคนเดียวของผมให้มันง่ายๆหรอกครับ”

                       รอยยิ้มของราชันดูราบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง เปลวอรุณมองน้องชายตัวเองนิ่งด้วยความรู้สึกตื่นกลัว สับสน และหวาดระแวง สลับปนเปกันไปหมด

                        จิตใจของน้องชายคนนี้บิดเบี้ยวยังไงขนาดไหนคนเป็นพี่เช่นเขาย้อมรู้ดี ถึงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหรือโตมาด้วยหันเหมือนอย่างอนิรุทธิ์และอัมรินทร์ แต่ราชันถือเป็นญาติที่เขาสนิทด้วยมากที่สุด พวกเขาสองคนติดต่อหากันออกมาพบปะพูดคุยกันตลอดทำไมเขาจะไม่รู้ละว่าราชันมีนิสัยเป็นยังไง

                         ตั้งแต่เด็กแล้วราชันมักจะทำตัวติดกับเขาเหมือนเงาตามตัวในเวลาที่เจอกัน ไม่ว่าเขาจะอยู่ไหนหรือทำอะไรข้างๆจะต้องมีเด็กชายหน้ายิ้มอย่างราชันเดินตามอยู่ข้างหลังไม่ยอมห่างและยิ่งราชันถือเขาเป็นคนสำคัญเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตที่เจ้าตัวไม่คิดยกให้ใครง่ายๆด้วยแล้ว ยิ่งกับอัมรินทร์ที่เหมือนว่าจะมีเรื่องไม่ลงรอยกันอยู่แต่เดิมด้วยแล้วเขาเชื่อว่าราชันต้องคิดทำอะไรสักอย่างแน่

                          “ผมสัญญาครับ ว่าถ้ามันมาหาพี่ที่นี้ได้ ผมจะยอมให้มันพาพี่กลับไปทันที” ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยปลายเส้นผมอย่างเบามือ

                          “มันรักพี่มาก ผมเชื่อว่ามันจะต้องมารับตัวพี่กลับแน่” ถ้ามันรู้ว่าพี่ยังมีชีวิตอยู่ ราชันแย้มยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อให้พี่ชายที่ตนรักได้พักผ่อน

                           พี่เปลวเป็นของผม...

 
:katai5:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:katai5:


ตึง ตึง ตึง

                      เสียงลงส้นเท้าหลักๆกับเสียงเอ็ดตะโรอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังโวยวายอยู่นอกห้อง เปลวอรุณที่กำลังจับช้อนคนข้ามต้มตรงขึ้นเงยหน้าขึ้นมามองที่บานประตูก่อนจะหันกลับมามองชายชุดดำที่ถูกส่งมาเฝ้าดูคล้ายเป็นเชิงถาม ทางชายชุดดำเองก็เหมือนจะเข้าใจความหมายของผู้เป็นนายเจ้าตัวก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หมายจะเดินไปเปิดประตูดู

ผลั๊วะ!

              แต่ยังไม่ทันที่มือจะสัมผัสถูกลูกบิดประตูบานประตูห้องนอนที่ถูกปิดสนิทอยู่ก่อนหน้าก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนคนที่จะไปเปิดเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทันในขณะที่คนกำลังนั่งกินข้าวอยู่บนเตียงสะดุ้งจนข้าวต้มอุ่นที่อยู่ในช้อนกระฉอกหก

              “แม่เปลว!”

              เปลวอรุณหันมองเจ้าของเสียงโวยวายที่พรวดพราดเข้ามาในห้องของเขา

               “ลูกตาล” เปลวอรุณอุทานเรียกพร้อมเบิกตากว้างมองร่างสูงสมส่วนของเด็กหนุ่มที่ยืนหอบหายใจจนตัวโยกอยู่ที่หน้าประตูที่เปิดอ้ากว้าง

               เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อคลี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเห็นแน่ชัดกับตาตัวเองแล้วว่าคนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่จริงน้ำตาที่เคยไหลออกมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวานก็ไหลออกมาอีกครั้งก่อนตรงปรี่ไปหาคนที่ไม่คิดฝันว่าจะได้เจออีก

              “แม่เปลว” ลูกตาลตรงปรี่เข้ามาทรุดตัวคุกเข่าลงที่ข้างเตียงกอดเอวคนที่นั่งเหยียดขาอยู่ด้านบนแน่น

              “แม่เปลวจริงๆด้วย แม่ยังอยู่” น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้มอย่างไม่คิดอาย ยิ่งฝ่ามืออุ่นที่กำลังลูบลงที่ศีรษะของเขาตอนนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม

              เปลวอรุณเองนิ่งไปสักพักอย่างคนทำอะไรไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าทำไมลูกชายของตนถึงร้องไห้งอแงเหมือนเด็ก

              “ทำไมขี้แยแบบนี้ละตาล” คนพูดอมยิ้มขำ

              ลูกตาลไม่ตอบแต่ยิ่งกระชับกอดให้แน่น ความดีใจของเขาในตอนนี้มันกำลังคับบอกมันเหมือนเขาได้ของที่คิดว่าเคยเสียไปแล้วกลับคืนมา

              ย้อนไปเมื่อวานตอนในที่อัมรินทร์บอกว่าแม่บุญธรรมของเขาเสียไปแล้วนั้นร่างกายของเขาแทบล้มทั้งยืน เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งเขารู้ตัวเองดีถึงจะพอสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้โดยลำแข้งของตัวเองมาได้บ้างแต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น การที่ต้องมีสูญเสียคนในครอบครัวอีกครั้งเลยดูเป็นเรื่องที่ยากที่เขาจะทำใจยอมรับมันได้ การที่เขาต้องมาเสียน้องที่ยังไม่ทันได้ออกมาดูโลกก็นับว่าเขาเป็นทุกข์พอควรแล้วแต่การที่ต้องมาเสียแม่ที่ให้ชีวิตใหม่กกับเขาอีกแบบนี้คือความเจ็บปวดที่เขายากจะทำตัวให้เข้มแข็งเหมือนในตอนแรกได้ ความเศร้าโศกที่ถาโถมเข้ามาในเวลาไล่เลียกันจนเขาแทบไม่มีน้ำตาไหลออกมา เขาทำตัวไม่ถูกในขณะที่อัมรินทร์ได้แต่คลุ้มคลั่ง พอตั้งสติได้เขาก็รีบออกจากห้องเพื่อโทรหาราชันเพื่อถามหาความจริงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก หากแต่เจ้าตัวต้นเรื่องมันเหมือนมีญานทิพย์รู้ทันว่าเขาจะต้องโทรไปหาถึงได้ปิดโทรศัพท์หนีจนเขาละล้าละลังมือไม้สั่นอย่างทำอะไรไม่ถูกด้วยคิดว่าเรื่องที่อัมรินทร์พูดออกมาคือเรื่องจริง คืนนั้นเขาเอาแต่ทุบหมอนนอนร้องไห้อยู่ทั้งคืนจนเผลอหลับ จนกระทั้งเมื่อช่วงสายที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นรูปของเปลวอรุณกำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับโลเคชั่นที่ถูกส่งแนบเข้ามาทำให้เขาตื่นเต็มตารีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านมาที่นี้ทันที

              หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างมีความหวังและความหวังของเขาก็เป็นจริง...

              แม่เปลวยังอยู่กับเขา...

              เรื่องความสัมพันธ์ในเชิงเครื่อญาติของเปลวอรุณกับราชันเขารู้มาจากปากของราชันตั้งแต่เมื่อวันที่เขาถูกอีกฝ่ายดักรออยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อหลายวันก่อน

                 “นายเป็นอะไรกับแม่เปลว” เขาถามอย่างคาดคั้นและตั้งแง่ ในเมื่อเขาถูกอีกฝ่ายลากมาถึงขนาดนี้แล้วอย่างน้อยต้องไม่ใช่แค่ฝ่ายนั้นที่ได้ประโยชน์จากเขาเพียงฝ่ายเดียว

                    “ฉันเป็นคนที่นายไว้ใจได้” รอยยิ้มเป็นมิตรที่อีกคนคิดว่าดูเป็นมิตรมาที่สุดถูกส่งมาให้ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงลูกตาลก็มองไม่เห็นถึงคำว่าเป็นมิตรของมันเอาเสียเลย

                       หรือเพราะเขามีอคติติดมาจากคำพูดของอัมรินทร์กัน...

                     “แล้วผมจะเชื่อได้ยังไง แค่คำพูดมันช่วยให้อะไรดูน่าเชื่อถือขึ้นมาได้หรอกนะ” เขาหรี่ตาจับผิดและไว้ตัวในระดับหนึ่ง

                      แต่ดูเหมือนยิ่งเขาทำแบบนี้คนตรงหน้าจะยิ่งชอบมากว่าเดิม
 
                     ราชันระบายยิ้มบางๆออกมาก่อนจะพูดต่อ “แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นน้องชายของแม่เปลวของนายละ นายจะทำยังไง”

                    ลูกตาลชะงัก

                   ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่เพ่งมองชายคนที่อ้างตัวว่าเป็นน้องชายของแม่บุญธรรมอย่างพิจารณาโดยไม่สนเรื่องมารยาท แต่นอกจากสีผิวที่ดูคล้ายกันแล้วระหว่างราชันกับเปลวอรุณแทบไม่มีส่วนไหนเลยที่บอกถึงความเป็นพี่น้องของทั้งสองคน

                   “แค่พูดนายคงไม่เชื่อใช่ไหมละ” ราชันพูดย้อนขณะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ   “นี้เป็นรู้สมัยที่พวกเราเป็นเด็ก”  รูปถ่ายฟิร์มเก่าถูกยืนส่งมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มของคนพูดที่ดู เออ... พูดยังไงดีละ เหมือนคนเพ้อฝันและคิดถึง

                ลูกตาลเอื้อมมือออกไปรูปถ่ายที่ว่ามาดู

                ภาพเด็กผู้ชายเด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวใส่แว่นสายตาอายุอานาน่าจะอยู่ที่ไม่เกินสิบขวบปีในชุดแขนยาวสีอ่อนที่หันหน้ามายิ้มให้กับกล้องมองแค่แวบเดียวก็เดาได้แล้วว่านี้คือแม่เปลวของเขา ส่วนที่ข้างหลังมีเด็กผู้ชายตัวเล็กอายุน่าจะประมาณสักสามขวบปีได้อยู่ชุดแบบเดียวกันยืนเกาะอยู่ข้างหลังโผล่ออกมาให้เห็นเพียงแค่ครึ่งหน้าด้วยท่าทีเขินอาย

                 อย่าบอกนะว่า...

                 “นั่นคือฉันเอง” เหมือนรู้ความราชันจึงเอ่ยขึ้นมา “พ่อของฉันเป็นลูกชายคนโตของบ้าน ตอนเด็กพ่อเล่าฟังว่าพ่อมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งแต่เธอถูกขับออกจากตระกูลเพราะหนีออกจากบ้านเนื่องจากทนไม่ได้ที่ถูกกีดกันเรื่องความรัก และใช่ ผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ของพี่เปลว”

                  ยิ่งกว่าละครก็คือเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี่นี้แหละ...

                  “ต้องการอะไร” ลูกตาลถามพร้อมส่งภาพที่ว่านั่นคืน

                “ฉันแค่จะมาบอกนายว่า ฉันไม่ใช่คนที่น่าสงสัยอะไร” ราชันฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่างนายก็เป็นลูกของพี่เปลวก็ถือว่าเป็นหลานของฉันเหมือนกัน รู้จักกันเอาไว้ก็คงไม่เสียหายอย่างน้อยก็ครอบครัวเดียวกัน” เจ้าตัวหน้ายิ้มประสามือรองเอาไว้ใต้คาง

                นอกจากเรื่องความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับเบอร์โทรติดต่อที่อีกฝ่ายเป็นคนให้มานั่นลูกตาลก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนตรงหน้าอีกเลยเพราะเขาเลือกที่จะลุกหนีออกมาก่อนโดยอ้างว่าเปลวอรุณโทรตาม

                 “แล้วตาลมาที่นี่ได้ยังไง” เสียงอ่อนโยนที่แม้จะดูอ่อนแรงลงดังขึ้นเรียกสติของเด็กหนุ่งให้เงยหน้าขึ้นมอง

                 “มีคนส่งรูปแม่กับแผนที่มาให้ผม ผมเลยรีบมา” ลูกตาลตอบ ยิ้มรับมืออุ่นที่กำลังเกลี่ยน้ำตาที่สองข้างแก้มของตนให้

                 “แล้วคุณอันละ เขามาด้วยไหม” เปลวอรุณเอยถามอย่างตั้งหวัง

                 “ผมรีบออกมาเลยไม่ได้บอก แต่ไม่ต้องห่วงนะครับผมจะต้องพาพ่อมาหาแม่ให้ได้” เปลวอรุณชะงักกับสรรพนามที่ลูกตาลใช้เรียกอัมรินทร์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผลอยิ้มออกมา

                 “แม่จะรอนะ”

                 ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นก็เถอะ....

                 แต่ปัญหามันกลับยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้...

                  ตอนนี้ลูกตาลตีหน้าตึงกอดอกไม่พอใจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชายของแม่ที่นั่งไขว่ห้างจิบชายามบ่ายอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกของคอนโด

                 “หมายความว่ายังไงที่นายบอกว่าห้ามบอกพ่ออันว่าแม่เปลวยังมีชีวิตอยู่” เด็กหนุ่มรู้สึกหางคิ้วกระตุก ถ้าไม่ให้บอกพ่ออันแล้วเมื่อไรไอ้คนบ้าคลั่งรักที่จมอยู่กับทะเลน้ำตาจะเลิกเศร้าแล้วออกจากห้องมารับแม่เขากันละ

                  “เพราะมันเป็นเงื่อนไขไงละ” ราชันว่าอย่างไม่ยีหระเอนตัวพิงท่อนแขนหนาของวาเลนติโนที่นั่งอยู่ข้างกัน

                  “แล้วถ้าไม่ให้บอกแล้วพ่ออันจะรู้ไหม นายเป็นคนทำให้เขาคิดเองว่าแม่เปลวตายนายรู้ไหมว่าตอนนี้เขามีสภาพเป็นยังไง” ลูกตาลอารมณ์เดือดจัดตะคอกตบโต๊ะถามเสียงดัง

                    “คนอย่างหมอนั่นสมควรโดนบ้างแล้ว” เจ้าตัวว่าพลางยกแก้วชาสีงาช้างขึ้นจิบ

                    “แต่นี้มันมากเกินไป ไหนจะอาการป่วยของแม่เปลวอีกละ”  อาการป่วยของเปลวอรุณเขารู้จากปากเจ้าตัวเมื่อกี้นี่ตอนที่คุยกันและเขาเองก็เคยได้ยินมาว่าผู้ป่วยที่ป่วยเป็นมะเร็งขั้นตอนการรักษานั้นถือเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างรวดเร็วหากแต่เรื่องของกำลังใจก็คือสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการมากที่สุดเหมือนกันเพื่อที่จะฝ่าฟันกับโรคร้ายและการรักษาที่ทรมาร

                   “เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้ให้คนไปตามนายมาไงละ” ราชันยิ้ม “ถ้ามีนายคอยเป็นตัวกลางระหว่างไอ้อันกับพี่เปลว ฉันเชื่อว่าพี่เปลวจะต้องรู้สึกดีกว่าการที่มีแค่ฉันอยู่ตรงนี้” เพราะคนที่พี่ของเขารักคืออัมรินทร์

                   “แต่มันไม่เหมือนกัน” ลูกตาลค้านหัวชนฝา คำบอกเล่าจากปากกับการได้เจอตัวจริงมันไม่เหมือนกัน

                  “งั้นนายก็รีบพาพ่อของนายมาที่นี้เร็วๆสิ” ราชันตีหน้าเรียบนิ่ง “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายพาอัมรินทร์มาที่นี้ได้ฉันยินดีที่จะเปิดทางให้อัศวินมาพาตัวเจ้าหญิงกลับปราสาทได้ทันที” และเขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั่น

                  ลูกตาลขบกรามแน่น

                  “แต่มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่นายก็รู้ว่ามันคืออะไร”

                  “ห้ามบอกพ่ออันว่าแม่เปลวยังมีชีวิตอยู่”

                  "ถูกต้อง” ราชันปรบมือ “และถ้านายบอกจำเอาไว้ด้วยว่าฉันนี้ละจะพาแม่ของนายหนีไปจากที่นี้” รอยยิ้มร้ายปรากฏ

                    ลูกตาลอยากที่จะเข้าไปตันหน้าราชันให้หายแค้นแต่ก็ทำได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองแล้วสะบัดหน้าเดินหนีกลับเข้าไปหาเปลวอรุณในห้องนอนแทน

                     ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะบอกให้อัมรินทร์รู้เรื่องนี้หรอกนะแต่เพราะใจของคนที่ชื่อราชันนั่นต่างหากที่เขาหวั่นกลัว ราชันรักพี่ชายคนนี้ของตนอย่างกับอะไรดีเรียกได้ว่าอาการเข้าขั้นหนักจนถึงขนาดที่ว่าไม่อยากให้ใครได้ตัวเปลวอรุณไปเลยด้วยซ้ำ

                     ‘บราคอน’ สินะ....

                    ลูกตาลคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมายี่ผมสั้นเตียนของตัวเอง เขาแวะเวียนมาหาเปลวอรุณที่คอนโดหรูกลางเมืองนี่ทุกวันหลังเลิกงานโดนอ้างเหตุผลกับคนที่บ้านว่าทำงานเพิ่ม ทุกวันเขาจะมาป้อนข้าวดูแลเปลวอรุณอย่างที่ลูกคนหนึ่งพึ่งจะดูแลแม่ของตนเองยามเจ็บไข้

                      หน้าที่ประจำวันของเขาคือหลังเลิกงานเขาจะมาที่คอนโนแห่งนี้พร้อมกับของฝากมาให้พวกการ์ดที่อยู่เฝ้ากันเต็มห้องเข้ามาดูแลเปลวอรุณป้อนข้าวป้อนยาและพาเข้านอนเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่เขาจะกลับบ้าน

                     ทุกวันที่เขามาเขาจะมาพร้อมเรื่องเล่าเหมือนเด็กที่เวลากลับบ้านมาจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของตรให้ผู้ปกครองฟัง เขาเป็นอย่างนั้นเพียงแต่เรื่องส่วนใหญ่ที่เขาเล่าจะเรื่องของอัมรินทร์และมันก็เป็นจริงอย่างที่ราชันว่าเอาไว้ เมื่อเป็นเรื่องของอัมรินทร์เปลวอรุณจะมีสีหน้าที่ดีขึ้นและดูมีแรงใจที่จะเข้ารัยการรักษามากยิ่งขึ้น

                     “เมื่อไรคุณอันจะมา” คำถามเดิมๆที่เขามักจะได้ยินเป็นคำถามสุดท้ายก่อนจะส่งอีกคนเข้านอนดังขึ้นให้ใจเขาปวดหนัก

                     “ช่วงนี้พ่ออันไม่ค่อยสบายครับ พ่อกลัวว่าถ้ามาแม่จะพลอยติดไปด้วยเลยบอกว่าให้แม่รอก่อน” เพราะช่วงนี้อัมรินทร์ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองทำให้ล้มป่วยไปจริงๆเขาไม่ได้โกหก

                      “ถ้าหายแล้วเขาจะมาให้ไหม”

                       “ครับ แต่อาจยังไม่ใช่เร็วนี้ๆ เพราะคุณปู่บอกว่างานที่บริษัทยุ่งมากๆ” ลูกตาลพูดขณะขยับขอบผ้าห่มให้สูงขึ้น “แต่ผมจะพยายามพาพ่อมาหาแม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ”

                         เด็กหนุ่มยิ้มเศร้ามองแม่บุญธรรมที่ร่างกายเริ่มผายผอมเส้มผมสีดำที่เขาเคยมองว่ามันดูสวยเป็นเงาเพิ่งถูกโกนออกไปเมื่อเย็นเมื่อมันเริ่มล่วงหนักจากการเข้ารักษาอาการป่วยด้วนเคมีบำบัดครั้งที่สอง

                            ลูกตาลนั่งอยู่ข้างเตียงรอจนแน่ใจแล้วว่าเปลวอรุณหลับสนิทจริงจึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเพื่อบอกลาก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อกลับบ้าน

              ที่เหลือก็แค่ไปลากตัวไอ้ผู้ชายช้ำรักในห้องออกจากบ้านให้ได้สินะ...

             

                  แต่มันไม่เคยมีอะไรที่มันง่ายสำหรับชีวิตเขาเลยสักครั้งนี่นะสิ ให้ตายเถอะ!

              “เฮ้อออออ”

              เสียงถอนหายใจลากยาวของเด็กหนุ่มดังขึ้นก่อนทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนอนขนาดห้าฟุตในห้องนอน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหงนมองเพดานสูงเหนือหัวอย่างใช้ความคิด

              “ทำไงดีวะ” ลูกตาลบ่นถามกับตัวเองอย่างจบด้วยทางออก

              “หงิง” เสียงตอบที่มาพร้อมกับแรงทับที่หน้างท้องของมณีนิลที่โดดขึ้นมานอนเกยคางทับ

              “คุณนิลช่วยกันคิดหน่อยสิ นี่ฉันคิดมาจนหัวจะระเบิดอยู่แล้วเนี้ยะ” เจ้าตัวว่าพลางลูบหัวสุนัขไปด้วยอย่างคนคิดไม่ตก

              เงื่อนไขเดียวที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากจนกินเวลานานจนเกือบจะเข้าเดือนที่สามอยู่มาลอมมาล่ออยู่แล้วทำเขาเอาเริ่มวิ่งเป็นหนูติดจักร และมันยิ่งเครียดขึ้นมาอีกเมื่อตอนนี้อัมรินทร์ที่ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นก็กลับมาเซื่องซึมลงอีกเขาไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรแต่คิดว่าน่าจะเพราะเมื่อช่วงสายที่มีคนมาหาพ่อเขาแน่เพราะเขาได้ยินพี่แววบอกว่าทางนั้นเอาอะไรบ้างอย่างมาให้แล้ววหลังจากนั้นพ่อก็เอาแต่ขังตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาอีกเลย ไหนจะแม่เปลวอีกที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ไหวแล้วด้วย กินอะไรไปก็อาเจียนออกมาเกือบหมดจนตอนนี้ผอมจนไม่รู้จะผอมยังไงดีแล้วทั้งๆที่เพิ่งผ่านขั้นตอนการรักษาไปครั้งที่สามเองแต่ร่างกายกลับทรุดลงอย่างรวดเร็วเจาเริ่มกลัวว่าแม่จะเข้ารับการรักษาครั้งที่สี่อีกไม่ไหว

              เขาต้องรีบแล้ว...

              “โอ๊ย! ทำไงดีวะเนี้ยะ แม่งบอกก็ไม่ได้แล้วจะต้องบอกตอนไหนมันถึงจะได้วะ!!” ลูกตาลยกมือขึ้นกุมขมับทั้งสองข้างแล้วกลิ้งพลิกตัวไปมาอย่างคนสับสนจนหนทางแก้     

              มณีนิลนอนมองเด็กหนุ่มนอนกลิ้งไปมาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ดีๆพี่ชายของมันที่ทำตัวเหมือนหนูติดจักรอยู่เมื่อครู่ก็ถลึงตัวขึ้นนั่งเอาดื้อๆ

              “คิดออกแล้ว”

              มณีนิลเอียงคอมองพี่ชายของมันคล้ายสงสัย มันมองใบหน้าคนสันของเด็กหนุ่มที่ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากกับแววตาพราวระยับเหมือนคนที่คิดอะไรได้แล้วจริงๆ แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกตะหงิดๆในใจยังไงบอกไม่ถูก เหมือนว่าพี่ชายของมันกำลังคิดแผนเอาคืนได้อย่างไงอย่างนั้นเลย



__________________________________________________

ขอบคุณทุกเสียงคอบรับที่มีให้กับหนูราชันนะคะ
(ถึงในใจจะอยากบอกหนูราชันว่า แม่ขอโทษษษษษษษษก็เถอะ)

ตอนหน้ามารอดูแผนการพาแม่กลับบ้านของหนูตาลกันดีกว่า

มาค่ะ!!
มาร่วมกันแหกโค้งสุดท้ายนี่ไปด้วยกัน!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านจบขยี้หัวแบบลูกตาล ไอ้โรคจิตราชัน เอามันไปเก็บที คือ ชีวิตขาดความสุขขนาดนั้นเลยหรอราชัน ถามห่อยสิ แกบ้ามาก ประสาทมาก

เห้อ

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ลูกตาลสู้ๆๆๆๆ

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
ราชันแกนี่มันจะเรียกว่าโรคจิตได้มั้ยเอาใจช่วยลูกตาลพาอัมมาหาเปลวให้ได้นะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
หึ


 :m16:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
สู้ๆนะ ลูกตาล

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 32


                “ออกมาทักทายอาพราวเขาสักหน่อยสิราช” น้ำเสียงทรงอำนาจเจือความเหินห่างเอ่ยเรียกเด็กชายวัยสามขวบที่ยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังเก้าอี้ให้ออกมา

              กรอบตาเรียวเล็กหากแต่นัยน์ตาด้านในกลับกลมสกาวเหลือบมอบหน้าบิดาก่อนจะเบี่ยงมองหญิงสาวหน้าตาสะสวยเจ้าของบ้านที่เขาอยู่ในตอนนี้อย่างตื่นเกร็ง

              “ออกมาหาอาหน่อยสิค่ะหนูราช” เจ้าของบ้านกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหวังให้หลานชายคล้ายความตื่นกลัว

              เด็กชายมีท่าทีลังเลอีกทั้งยังมีทำท่าเหมือนเด็กที่กำลังจะร้องไห้จนบิดาต้องถอนใจอย่างเหนือยใจกับอาการขาดกลัวผู้คนของลูกชายอีกทั้งยังเจือกระแสคล้ายคนที่กำลังไม่พอใจออกมาเล็กน้อยจนน้องสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามได้แต่ยิ้มแห้งเอาใจลุ้นให้หลานชายยอมก้าวออกมา

              ราชันในวัยเด็กเป็นเด็กที่ขาดทั้งความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากอีกทั้งยังตื่นกลัวคนแปลกหหน้าและเหนือสิ่งอื่นใดที่เขากลัวก็คือ บิดา

              “ราช” เสียงของบิดากดต่ำลงจนเด็กน้อยกลัวตัวสั่นมือน้อยที่จับขอบเก้าอี้กำแน่นหลับตาปี๋

              แสงธรรม มองลูกชายคนเดียวด้วยความอ่อนใจเขาไม่ได้ต้องการที่จะดุเด็กน้อยอย่างที่เจ้าตัวกลัวเข้าใจ ใบหน้าของผู้เป็นพ่ออ่อนลงพลางนึงละอายใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่แม้ตอนนี้ตนเองจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้เป็นนายตำรวจยศสารวัตรประจำกองปราบปรามตั้งแต่อายุยังน้อยหากแต่ในหน้าที่ของคำว่า ‘พ่อ’ เขากลับประสบความล้มแหลวอาจเพราะไม่รู้วิธีการแสดงออกทั้งในเรื่องการสั่งสอนและความรักสิ่งที่เด็กคนหนึ่งที่เขาเรียกว่า ‘ลูก’ ได้รับคือความเข้มงวนที่เกินพอดี

              ร่างเล็กจ้อยสั่นด้วยความกลัวที่ว่าจะโดนบิดาดุด่าแม้ในความเป็นจริงแล้วเขาจะไม่เคยโดนมันมาก่อนก็ตามที หากแต่ถ้าเมื่อใดที่เขาทำผิดหรือทำในสิ่งที่บิดาไม่พอใจบางสิ่งที่เขารักจะหายไปที่ละอย่าง

              เขากลัว...

หมับ

              สัมผัสเบาๆที่จับลงที่ไหล่เล็กโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เด็กน้อยราชันเผลอสะดุ้งเฮือก ใบหน้ากลมเหมือนก้อนซาลาเปาหันหมอด้านหลังอย่างตื่นกลัว

              “หวัดดี”  เสียงอ่อนโยนของคนมาใหม่ทำให้อาการสั่นกลัวของเด็กชายตัวน้อยบรรเทาลง

              นัยน์ตาวาวด้วยน้ำตามองใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กชายที่โตกว่าตนอย่างสนอกสนใจ

              “ดีขึ้นแล้วหรอจ๊ะเปลว” พราวแสง แย้มยิ้มให้ลูกชายคนเดียวที่เพิ่งเดินลงมาจากด้านบนของบ้าน ตั้งแต่เมื่อวานก่อนลูกชายคนเดียวของเธอไม่สบายมีไข้ขึ้นสูงจนเธอเป็นกันกังวล โชคดีที่ตอนนี่เป็นช่วงปิดเทอมเธอจึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการเรียนมากเท่าไร

“ครับ” ดวงตาหลังกรอบแว่นใสหยี่เล็ก “สวัสดีครับคุณลุง” ก่อนจะยกมือไหว้แขกผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆของตน

              “ลุงได้ข่าวว่าไม่สบายเลยมาเยี่ยม แต่เดินลงมาเองได้แบบนี่แสดงว่าหายแล้วสินะ” แสงธรรมเอี้ยวตัวมามองหลานชายคนเดียวพลางวางมือทาบที่หน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ

              “ดีขึ้นแล้วครับ” เปลวอรุณในวัยสิบขวบปีเป็นเด็กที่ยิ้มง่ายและใจดี รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าขาวอมชมพูคล้ายมีประกายแสงอบอุ่นที่ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ในระยะใกล้เผลอมองอย่างชมชอบไม่รู้ตัว

              “ดีแล้ว” แสงธรรมพึมพำ “จริงสิ เราจำน้องได้ไหม”

              เปลวอรุณละสายตาจากผู้ใหญ่กลับมามองเด็กชายตัวน้อยที่เมื่อเห็นว่าเขามองมาก็รีบหลบตาด้วยความเขินอาย

              “น้องราช” มืออุ่นร้อนทาบลงเหนือศีรษะเล็กเป็นเชิงตอบให้คนถามรับรู้ว่าเขาจำน้องชายคนเดียวคนนี้ได้แม้จะเจอเมื่อครั้งล่าสุดคือตอนที่เด็กชายอายุยังไม่ครบปี

              รอยยิ้มอบอุ่นกับความอ่อนโยนใจดีที่ไม่ค่อยได้สัมผัสถึงมันมานักทำให้ใจดวงน้อยของเด็กชายตัวน้อยเหมือนได้ยืนในทุ่งหญ้ากว้างขนาใหญ่ในวันที่พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างและอบอุ่น

              “พี่เปลว”

               แสงอาทิตย์อันแสนอบอุ่น...

 

                “พี่เปลว” เสียงเรียกชื่อใครคนหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบาคล้ายละเมอเรียกหา

               ฝันหรอ...

              ดวงตาเรียวเล็กกะพริบตาเหม่อมองเพดานสูงเหนือหัวตรงหน้าผ่านความมืดมิดของความมืด รอยยิ้มบางเบาจากใจจริงปรากฏบนใบหน้าขาวซีดยามเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่ก่อนลืมตา

              ครั้งแรกที่ได้เจอกับดวงอาทิตย์ในใจของเขา

              สิ่งที่ได้เขาได้รับจากเปลวอรุณคือสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสได้จากบิดา สำหรับเขาแล้วเปลวอรุณเป็นมากกว่าพี่ชายที่เขารักแต่เป็นคนสำคัญที่เขาไม่อยากให้หายไปจากชีวิต

              ร่างโปร่งผิวกายขาวซีดยันกายลุกขึ้นนั่งมือเตรียมที่จะเลิกผ้าห่มผืนหน้าที่คุมกายอยู่ให้พ้นตัวแต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่ใจหมายท่อนแขนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยหมักกล้ามและรอยสักก็พาดทับช่วงเอวพร้อมกับรั้งร่างของเขาให้ล้มตัวลงกลับมานอนท่อนแขนอีกข้างที่พาดยาวเป็นหมอนให้เขาหนุนนอนอยู่เมื่อครู่

              “จะไปไหน” เสียงติดกึ่งงัวเงียกึ่งไม่พอใจดังขึ้น ราชันมองสบดวงตาสีอ่อนที่ดูสว่างในความมืด

              “จะไปหาพี่เปลว” เขาตอบเรียงเรียบๆพร้อมขยับตัว

              “แต่นายเพิ่งกลับมา” วาเลนติโนทำเสียงฮึกฮักไม่พอใจ ช่วงเกือบสามเดือนที่ผ่านมาเขาได้นอนกอดเจ้าตัวร้ายของเขาแทบนับครั้งได้แถมไม่เคยเต็มคืนอีกด้วย อีกทั้งวันนี่ราชันก็เพิ่งกลับมาจากอีกห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับพี่ชายคนสำคัญของอีกคนได้ไม่ถึงสามชั่วโมงดีด้วยซ้ำไป

              “ฉันจะไปเฝ้าพี่เปลว” ราชันว่าติดรำคาญใจยกท่อนแขนหนาของวาเลนติโนให้ออกจากตัว

              “ก็มีคนเฝ้าอยู่แล้วไง” ชายร่างใหญ่ส่วนกลับอย่างไม่พอใจที่เวลาส่วนตัวของพวกเขากำลังถูกลิดรอน

              “แต่ฉันจะไป” แต่นิสัยของราชันนั้นก็รั้นเอาเรื่องโดยเฉพาะเรื่องเอาแต่ใจนี่ที่หนึ่งเลยเหมือนกัน

              วาเลนติโนรั้งคนตั้งเล็กกว่าเข้ามาบดจูบหนักๆไปทีก่อนจะพลิกกายใหญ่โตคับเตียงของตนหันหน้าหนีเปิดท้างให้เจ้าตัวร้ายของเขาได้ทำตามใจตัวเอง

              ราชันเหลือบมองคนร่วมเตียงที่พลิกกายหันหน้าหนีไม่บอกก็พอรู้อยู่แล้วว่าคนตัวโตกำลังน้อยใจและโกรธดูได้จากจูบเมื่อครู่ที่รุนแรงจนริมฝีปากเขาเจ็บไปหมด มือขาวเอื้อมออกไปลูบเส้นผมยาวสีช็อกโกเลตแล้วกดจูบลงที่ข้างขมับก่อนลุกขึ้นจากเตียงนอนเดินออกจากห้องไป

แก๊ก

              แม้เสียงบิดลูกบิดประตูจะเบาเพียงใดแต่คนที่ผ่านการฝึกฝนเพื่อการรักษาความปลิดภัยมาหลายปีย่อมได้ยินชัดแม้หูข้างหนึ่งจะมีหูฟังโทรศัพท์เสียบค้างเอาไว้ ดวงตาที่ดูหนังออนไลย์จากหน้าจอโทรศัพท์ละขึ้นมามองทางประตูที่เปิดออกอย่างตื่นตัว พอเห็นว่าเป็นใครชายหนุ่มก็รีบกดหยุดหนังที่ว่าแล้วลุกขึ้นยืนตัวตรง

              “ไปพักเถอะ” ราชันเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

              คนที่เพิ่งได้รับคำสั่งมีท่าทีลังเลครู่หนึ่งก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป

              ราชันมองตามหลังของลูกน้องที่ถูกสั่งให้มาเฝ้าเปลวอรุณในช่วงกลางคืนจนอีกฝ่ายปิดประตูลงร่างโปร่งถึงขยับกายเดินเข้าไปที่ข้างเตียง นัยน์ตาฉายความเจ็บปวดยามมองพี่ชายที่ตนรักต้องทนทุกข์กับโรคร้ายและเศ้ราโศกยามเมื่อตระหนักรู้ว่าตนไม่ใช่ที่หนึ่งที่เปลวอรุณรักอีกแล้ว

              ผ้าห่มผืนหน้าถูกเลิกขึ้นพร้อมร่างของเขาที่สอดกายเข้าภายใน

              “อืม” เปลวอรุณครางแผ่วเบาเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรขยับอยู่ข้างตัว

              “คุณอัน” เปลือกตาอ่อนปรือมอง “...ราชหรอ”

              ราชันขยับยิ้มขื่นก่อนจะขานรับ

              “ขอนอนด้วยคนนะครับ”

              เปลวอรุณยิ้มบางอ้าแขนรับเด็กน้อยที่เข้ามาขอนอนด้วยด้วยความเต็มใจ ราชันขยับตัวซุกหน้าลงกับอกเหมือนเด็กที่กำลังซุกหน้าหาไออุ่นจากร่างตรงหน้าก่อนจะหลับตานอนกอดร่างที่ตนรักเอาไว้

              “ฝันดีนะ”

              “เช่นกันครับพี่เปลว”

...................................................


              มีคนเคยบอกว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งอายุจะสั้นลงไปหนึ่งปี..

              ไอ้คนที่พูดประโยคนั่นออกมาลูกตาลไม่รู้หรอกว่ามันเป็นมาจากไหนแล้วเอาอะไรมาอ้างอิงว่าจะตายเร็วขึ้นตั้งหนึ่งปี แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ในตอนนี่ก็คือ ถ้าไอ้คำพูดประโยคที่ว่ามันเป็นเรื่องจริงเขาก็คงจะเป็นคนที่อายุถูกบั่นทอนจนสั้นลงไปเกือบร้อยปีได้ อย่างน้อยวันนี้ชีวิตเขาก็ถูกทอนลงไปเป็นสิบปีได้แล้ว

              เห้อออ

              เสียงถอนหายใจในรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ดังออกมาอีกครั้ง สุริยะ นภา และอนิรุทธิ์หันมองเด็กหนุ่มที่นั่งเอาช้อนคนโจ๊กตรงหน้าจนเละข้นกว่าเดิม

              “เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะตาล” นภาเอ่ยถามหลานชายอย่างเป็นห่วง

              เด็กหนุ่มเองเมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอทำตัวให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงก็รีบเก็บอาการของตนทันที “ไม่เป็นอะไรครับคุณย่า” เจ้าตัวยิ้มแห้งตักโจ๊ะเข้าปาก

              “เป็นห่วงเจ้าอันมันหรือไง” สุริยะทักขึ้นเหมือนรู้ใจ

              “ก็นะครับ” เรื่องของอัมรินทร์ก็ส่วนหนึ่งแต่ที่เขาห่วงจริงๆคือเรื่องแผนการที่คิดเอาไว้เมื่อคืน ถึงจะหมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้ไอ้แผนที่ตนคิดเอาไว้แต่มันก็ยังกลัวอยู่ดีถ้าหากมันเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา

              อนิรุทธิ์ถอนหายใจ ตัวเขาเองแม้จะเป็นห่วงญาติผู้น้องอยู่มากแต่เพราะช่วงนี้ตัวเขาเองก็กำลังยุ่ง ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงใกล้เทศกาลสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไหนจะการสอบวัดผลต่างๆนั้นอีกตัวเขาในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนก็ต้องเตรียมหาติวเตอร์เข้ามาเสริมความรู้ให้นักเรียนของเขา มองหาวันโอเพ่นเฮ้าส์ของแต่มหาวิทยาลัยให้เด็กๆของตนได้ไป ไหนจะต้องเทดซ์ความรู้ความสามารถของคณะครูในโรงเรียนเพื่อเป้าหมายสูงสุดในการส่งความรู้ให้เด็กของตนได้นำมันไปใข้เป็นสะพานสู่คณะที่ใช่มหาวิทยาลัยที่ชอบ

              “นายเองก็อย่าเอาแต่ห่วงพ่อจนลืมไปละว่าใกล้จะสอบเข้าแล้ว” ผู้อำนวยการหนุ่มเตือนความจำหลานชาย

              ลูกตาลชะงักกึก

              เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท...

              ถึงทุกคืนเขาจะหยิบหนังสือมาอ่านเตรียมความพร้อมไหนจะไปเรียนพิเศษตามที่อัมรินทร์พาไปสมัครแต่เพราะช่วงนี้เขามีเรื่องให้คิดจนเผลอลืมวันลืมคืน

              ไม่ได้การณ์แล้ว!!

              เด็กหนุ่มลืมตักข้าวเข้าปากจนหมดจานก่อนจะหันไปบอกให้คนขัยรถเตรียมรถออกมาจอดรอให้ก่อนที่เจ้าตัวจะยกแก้วน้ำขึ้นกระดกดื่มแล้วลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะกินข้าวไปท่ามกลางความสงสัยของผู้ใหญ่ทั้งสามที่ยังคงนั่งกินข้าวกันอยู่

              “เตรียมรถงั้นหรอ” สุริยะขมวดคิ้วแน่นอย่างฉงน ด้วยปกติไม่ว่าจะไปทำงานพิเศษหรือไปเรียนพิเศษเด็กหนุ่มที่ตนนับว่าเป็นหลานชายคนโตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเอารถยนต์ภายในบ้านออกไปใช้เป็นการส่วนตัวแม้แต่รถยนต์ของเปลวอรุณที่จอดอยู่ที่โรงรถเองเจ้าตัวยังไม่ค่อยเอาออกไปใช้เองเสียเท่าไรถ้าไม่ใช่วันที่ต้องกลับไปดูบ้านของเปลวอรุณ

              น่าแปลกใจ...


           
  :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-08-2017 02:48:31 โดย wavery »

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:hao3:


              ลูกตาลกึ่งวิ่งขึ้นบันไดกึ่งเดินเร็วก้าวขาฉับๆไปจนถึงห้องนอนของอัมรินทร์ยกมือขึ้นเคาะบอกคนในห้องถึงการมาของตนก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องไปโดยที่เจ้าของห้องยังไม่ทันอนุญาต

              ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแฝงความรีบรนกวาดมองหาเจ้าของห้องก่อนจะไปสะดุดเข้ากับร่างที่ต้องการหา อัมรินทร์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเก่งของเปลวอรุณอย่างเช่นทุกวันในมือถือถุงห่อผ้ากำมะหยี่สีขาวมุขเอาไว้ขณะหันหน้ามามองคนที่เข้ามาใหม่ เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม

              “ไปเร็วพ่อ” ลูกตาลก้าวฉับไวเข้ามาดึงแขนคนที่ทำตัวซังกะตายให้ลุกตาม

              “ไม่” อัมรินทร์ว่าพลางชักแขนหนีประกาศเจตนาของตนเหมือนทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเข้ามา

              แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนๆหน้าที่ผ่านมา เพราะนอกจากลูกตาลจะไม่ยอมลามือง่ายๆแล้วเด็กหนุ่มยังตีสีหน้าเคร่งไม่พอใจใส่อีกด้วย

              “แต่พ่อต้องไป” ลูกตาลขึ้นเสียง

              “ตาล ขอพ่ออยู่คนเดียว” อัมรินทร์ย่นคิ้วเมื่อไม่พอใจ ความเศร้าที่ผ่านมาทำให้เขากลายเป็นคนขี้หงุดหงิดโมโหง่าย

              “พ่อต้องไป พ่อจะอยู่แต่ในห้องทำตัวเหมือนคนซังกะตายหายใจทิ้งไปวันๆแบบนี้ไม่ได้” คำพูดที่เขาเคยพูดใส่คนตรงหน้าเมื่อช่วงเดือนแรกถูกหยิบออกมาพูดอีกครั้ง

              “อย่าเพิ่งมายุ่งได้ไหม” อัมรินทร์มองเด็กหนุ่มตาขวาง

              “ออกไปกับผม” ลูกตาลพยายามข่มอารมณ์ไม่ต่างกัน

              “ก็บอกว่าไม่ไง” อัมรินทร์ลุกพรวดตวาดเด็กหนุ่มเสียงดังลั่นห้อง

              “แต่พ่อต้องออกไปกับผม” ลูกตาลกำมือแน่นจ้องตาอัมรินทร์นิ่งอย่างไม่ยอมแพ้

              อัมรินทร์สะบัดหน้าเตรียมตัวที่จะเดินหนี

              “พ่อจะเอาแต่หมกตัวจมอยู่แต่กับเรื่องแม่เปลวอยู่ในห้องมันก็ไม่ช่วยให้แม่เปลวกลับมาได้หรอกนะ”

              อัมรินทร์ชะงักหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มตาวาวโรจด้วยความเดือดดาดเมื่อโดนขยี้แผลใจ

              “ลูกตาล!”

              “ทำไม จะต่อยผมหรือไง” ลูกตาลพูดเหมือนท้าทายพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ “เอาสิต่อยผมเลยถ้ามันจะทำให้พ่อยอมออกจากห้องไปพาแม่เปลวกลับมา” แล้วรีบพูดใจความหลักอย่างเร็วเมื่อเห็นว่าอีกคนยกหมักขึ้นเตรียมจะทำตามที่เขาท้า

              อัมรินทร์ชะงักแขนที่กำหมัดกลางอากาศ ดวงตาเบิกโตกับคำพูดของเด็กหนุ่ม

              “อะ อะไรนะ” ก่อนจะลงมือลงแล้วขมวดคิ้วแน่น

              ลูกตาลเผลอพลูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องเอาหน้าตัวเองรับหมัดเมื่อครู่ ถึงเขาจะเคยผ่านเรื่องต่อยตีมาบ้างตามประสาเด็กผู้ชายแต่ใช่ว่ามันจะไม่เจ็บ ไอ้เจ็บตอนโดนต่อยน่ะมันไม่เท่าไรหรอกแต่ไอ้ตอนที่มันเป็นรอยอยู่บนหน้าของเขาที่มาพร้อมความเจ็บที่กว่าจะหายนี่นะสิ ขอละ เลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยงละนะ...

              “หมายความว่ายังไง” อัมรินทร์ถามเสียงติดสั่นน้อยๆ

              “ห๊ะ” ลูกตาลเองที่เผลอเหม่อไปครู่หนึ่งตีหน้าสงสัย

              “ก็ที่บอกว่าไปพาเปลวกลับมานี่ไง มันหมายความว่ายังไง” อัมรินทร์กระชากเสียงกระชากเสื้อของเด็กหนุ่ม

              ลูกตาลร้อง ‘อ่อ’ ออกมาก่อนจะตอบ “ก็อย่างที่พูดไง ไปรับแม่เปลวกลับบ้าน”

              “ก็ใช่ไง” อัมรินทร์ขึ้นเสียงแววตาฉายความสับสนงุนงง “ก็ในเมื่อเปลวตายไปแล้ว แล้วจะให้ฉันไปรับเปลวมันหมายความว่ายังไง”

              “แล้วใครเขาบอกพ่อกันว่าแม่ตาย” ลูกตาลผลักอัมรินทร์ให้ถอยห่าง อยู่ระยะใกล้เขาไม่มั่นใจว่าจะไม่โดนอีกคนเสยหมัดใส่หากพูดไม่เข้าหู

              อัมรินทร์ตัวเซเมื่อถูกผลักออกเหมือนไร้จุดศูนย์ถ่วง

              “มะ หมายความว่ายังไง เปลวยังไม่ตายหรอ” อัมรินทร์มองเด็กหนุ่มคล้ายไม่เชื่อ

              “ก็มีแต่พ่อนั่นแหละที่ตีโพยพีพายไปคนเดียว” เจ้าตัวกอดอกพูด ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ

              “ไม่จริง!” อัมรินทร์ตกอยู่ในห้วงความสับสน

              “มันเป็นเรื่องจริง พ่อต้องเชื่อผม”

              “อย่ามาหลอกพ่อตาล” อัมรินทร์เถียงคอเป็นเอ็นด้วยไม่เชื่อความที่เด็กหนุ่มกล่าว ในเมื่อเขาเห็นมันกับตาและเขาก็ปรักใจเชื่อเช่นนั้นมาตลอด...

              “แล้วพ่อเห็นตอนที่แม่เขาตายไปต่อหน้าจริงๆหรอ”

              อัมรินทร์ชะงัก

              “พ่อเห็นจริงๆหรอ” ลูกตาลถามต้อน ในเองก็นึกกลัว กลัวอัมรินทร์จะไม่คล้อยตามแล้วไล่เขาออกจากห้อง

              “แต่พ่อเห็น.. ภาพชีพจรของเปลวมันหยุด” ใช่ เขาเห็นมันมาแบบนั้น

              “แต่ก็ไม่เห็นไม่ใช่หรอว่าแม่ตายจริงๆต่อหน้า”

              อัมรินทร์นิ่งเงียบ

              “พ่อมั่นใจจริงหรอว่าคนที่ชื่อราชันอะไรนั้นจะกล้าทำร้ายแม่จริงๆ” ลูกตาลอาศัยจังหวะที่อัมรินทร์กำลังสับสนรุกอีกฝ่ายหนักขึ้นให้โอนอ่อนตา

              “แต่..” นัยน์ตาของอัมรินทร์สั่นระริกเมื่อความรู้สึกสับสนตีรวนไปหมด

              “เชื่อผมสิว่าแม่เปลวยังไม่ตาย ผู้ชายคนนั่นไม่กล้วทำอะไรแม่เปลวหรอก” ความหวังถูกหยิบยืนส่งไปให้ในช่วงที่ใจกำลังสับสนและต้องการความหวัง

              “จริงหรอ”

              “จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าพ่อยังมั่วแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในนี่ต่อให้มันเป็นเรื่องจริงพ่อก็จะไม่มีวันได้เจอแม่เปลวแน่ๆ” เด็กหนุ่มยิ้มเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนมอง

              อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นอย่างยังไม่ปรักใจเชื่อสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดหากแต่มือกำถุงกำมะหยี่ที่ถืออยู่แน่น

              ลูกตาลไม่ปล่อยให้เวลาอันมีค่าของตนผ่านไปอย่าเปล่าประโยชน์ เด็กหนุ่มสืบเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าแขนของอัมรินทร์ที่ยังสับสนแล้วลากอีกคนให้รีบเดินตามมา ครั้งนี้อัมรินทร์ดูว่าง่ายกว่าครั้งไหนๆอาจเพราะกำลังดีใจหรือสับสนมึนเบลอจนไม่ทันตั้งตัว

              ภายในใจของอัมรินทร์ในยามนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้วยเพราะเขาเชื่ออย่างสนิทใจมานานว่าคนรักของเขาได้จากไปแล้วจนความเศร้าโศกกัดกินใจของเขาหากแต่ลึกๆเขากลับยังแอบหวังแม้จะได้เห็นภาพนั้นว่าเปลวอรุณจะยังอยู่และสิ่งที่เกิดขึ้นคือมุกตลกร้ายของราชัน เมื่อลูกตาลพูดสิ่งที่เขาแอบหวังเอาไว้ขึ้นมาเขาถึงได้โอนอ่อนโดยง่ายและยอมก้าวเดินตามแรงฉุดดึงของเด็กหนุ่มออกมาจากห้อง

              ภาพของลูกตาลที่ลากแขนอัมรินทร์เดินลงจากบันไดมาสร้างความแปลกใจระคมตกใจให้กับนภาที่กำลังเดินผ่านหน้าบันไดเป็นอย่างมาก

              “จะไปไหนกันจ๊ะ” เธอเอ่ยถามลูกและหลาน

              “ไปรับแม่ครับ” ลูกตาลตอบหน้ายิ้มก่อนจะลากอัมรินทร์ไปที่รถที่ให้คนไปเตรียมมาจอดรอไว้ที่หน้าประตู

              ลูกตาลเปิดประตูด้านข้างคนขับก่อนจะจัดการยัดตัวอัมรินทร์ที่เหมือนสติสตางค์ยังกลับมาไม่ครบเข้าไปด้านในก่อนที่ตัวเองจะรับกุญแจจากลุงคนขับรถแล้วเข้าประจำที่คนขับรถแล้วขับออกไป

              นภามองตามรถยนต์ที่แล่นออกด้วยความไม่เข้าใจในคำพูดของเด็กหนุ่มผู้เป็นหลาน ‘ไปรับแม่’ ที่ว่านี้คือไปรับเปลวอรุณลูกสะใภ้ของเธอที่ตายไปแล้วนะหรอ?

 

              “ที่ว่าเปลวยังไม่ตายนี่คือเรื่องจริงใช่ไหมตาล” อัมรินทร์หันมาถามเด็กหนุ่มที่กำลังมุ่งมั่นจริงจังกลับการขับรถอยู่อย่างมีความหวัง

              “เรื่องนั้นไปถึงแล้วก็รู้เองนั้นแหละ” ลูกตาลตอบปัดก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับสภาพการจราจรในวันหยุดตรงหน้า

              ถึงจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดแต่อย่างน้อยในตอนนี้ในใจของอัมรินทร์ก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้และอิดโรยก้มมองถุงกำมะหยี่ที่ถูกถือติดมือมาด้วยด้วยรอยยิ้ม

              รอยยิ้มในรอบสามเดือน...

 

              ตรงหน้าของอัมรินทร์ในตอนนี้คือคอนโดหรูดีไซย์แปลกตาขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง ลูกตาลเดินนำเขามายังลิฟท์สำหรับเข้าสู่พื้นที่คอนโดที่อยู่อาศัย อัมรินทร์เหลือบมองเด็กหนุ่มอย่างแคลงใจถึงความชำนาญทางเหมือนคนที่เป็นเจ้าของสถานทีเสียเองแต่ก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกไปจนกระทั้งลิฟท์มาหยุดอยู่ที่ชั้นชั้นหนึ่งพอลิฟท์เปิดออกเผยให้เห็นล็อบบี้ส่วนตัวของชั้น

              ลูกตาลใจเต้นโครมครามมือชื้นเหงื่อหวังเป็นอย่างมากว่าไม่ให้แผนที่ตนเตรียมมามีข้อผิดพลาด เขาพูดออกไปแล้วว่าเปลวอรุณยังไม่ตายสิ่งที่จะเกิดในห้องต่อจากนี้เขาต้องวัดดวงและทำเวลา อย่างน้อยก็อยากให้มีโอกาสที่อัมรินทร์จะพรั้งปากพูดกับราชันได้ก่อนเขา

              เอาว่ะ!

              เด็กหนุ่มเรียกกำลังใจของตัวเองก่อนจะกดออดหน้าประตูสีกรมเข้ม รออยู่ครู่หนึ่งก็มีการ์ดที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูให้ การ์ดคนนั้นก้มหัวพร้อมส่งยิ้มเล็กน้อยให้เด็กหนุ่มอย่างสนิทสนมก่อนจะตวัดสายตามองแขกแปลกหน้าอีกคนที่เด็กหนุ่มพามาด้วยอย่างพิจารณาตรวจสอบ

              “พ่อฉันเอง”  ลูกตาลพูดก่อนจะแทรกตัวเดินเข้ามาข้างใน

              อัมรินทร์มองหน้าตอบกลับการ์ดที่มาเปิดประตูก่อนจะเดินตามลูกตาลเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่เขาพบคือโถงทางเดินเล็กที่พาเขาเข้าสู่ห้องรับรองที่มีทั้งโซนรับแขกโซนนั่งเล่นและโซนครัวด้วยขนาดที่กว้างกว่าคอนโดห้องชุดที่เคยเห็นพื้นที่ห้องที่เขาอยู่ในตอนนี้ทำให้อัมรินทร์รู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านเดียวชั้นเดียวและตรงโซฟาสีครีมมีการ์ดต่างชาติที่อยู่ในชุดเชิ้ตสีเข้มลำลองเหมือนคนที่ออกมาเปิดประตูให้พวกเขายืนกอดอกจังก้าอยู่

              “เขาอยู่หรือเปล่า” ลูกตาลเอ่ยขึ้นหลังหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง

              “อยู่ที่ห้องครับ”

              ลูกตาลลอบกลืนน้ำลาย

              “มานี่พ่อ” เด็กหนุ่มฉวยคว้าเข้าที่แขนของอัมรินทร์ตรงไปทางประตูด้านในที่เปิดรออยู่

              อัมรินมร์ยังคงตามสถานการณ์ไม่ทันและไม่รู้ด้วยว่า ‘เขา’ ที่เด็กหนุ่มถามถึงเมื่อครู่นี้คือใคร ลูกตาลกึ่งลากกึ่งพาเขามายังโถงทางเดินด้านในและหยุดลงที่หน้าบานประตูฝั่งซ้ายห้องแรก

              ลูกตาลยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนจะบิดเปิดประตูเข้าไปด้านในก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเป็นเชิงให้อัมรินทร์เป็นฝ่ายเดินเข้าไป

              อยู่ๆหัวใจของอัมรินทร์ก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวมันฉูบฉีดเลือดอย่างหนักเหมือนกับว่าเขากำลังตื่นเต้นและระทึกกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มือของเขาชื้นเหงื่อ ขาสองข้างที่ก้าวตามการชักนำของเด็กหนุ่มสั่นระริก เขาก้าวเข้ามาในห้องนอนขนาดกำลังพอดีผ่านประตูห้องน้ำเข้ามาในส่วนของห้องนอน บนเตียงนอนเดียวที่ตั้งขนานกับหน้าต่างขนาดใหญ่มีใครคนหนึ่งกำลังนอนอยู่

              หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม

              เขาสูดลมหายใขกระชัมมือข้างที่ถือถุงกำมะหยี่แน่นเมื่อเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

              ร่างของใครคนหนึ่งที่ดูขาวซีดลงกว่าเดิมเนื้อหนังนุ่มที่เคยจับแล้วเต็มมือกลับซูบเซียวจนแห้งผอมเปลือกตาสีอ่อนปิดสนิทบ่งบอกว่าคนที่ดูอ่อนล้ากำลังหลับสนิทบริเวณศีรษะมีหมวกถักสีควันบุหรี่สวมทับอยู่ แม้จะดูแปลกตาจากความเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่ทราบที่มาที่ไปและถึงแม้จะไม่ได้เจอหน้ากันมานานเกือบสามเดือนแต่ไม่มีวันที่เขาจะลืมโครงหน้าแบบนี้ไปได้

              เปลวอรุณ..

              อัมรินทร์ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อน้ำตาของตนไหลอาบสองข้างแก้มด้วยความรู้สึกที่ทั้งยินดีและเจ็บปวดสมองของเขามึนเบลอกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า การรับรู้ของเขาเมื่อหลายเดือนก่อนกับสิ่งที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้าแตกต่างกันอย่างลิบลับจนเขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เห็นคือความจริง เขาก้าวขอสองขางที่สั่นเทาพาตัวเขาเดินเข้ามาใกล้ขอบเตียงก่อนจะทรุดนั่งลงก่อนจะเอื้อมมือออกไปตรงหน้าสัมผัสที่ข้างแก้มอย่างเบามือที่สุดเพื่อเผื่อว่าภาพตรงหน้าจะเป็นแค่มายาที่หลอกตาที่พอสัมผัสถูกจะกลายเป็นควันสลายหายไป

              แต่นี่ไม่ใช่ความฝัน!

              แม้จะไม่ใช่สัมผัสอุ่นมืออย่างที่เคยแต่เนื้อหนังที่สัมผัสต้องกันได้คือสิ่งยืนยันให้เขาหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งเมื่อสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริง

              เปลวอรุณยังไม่ตาย เปลวอรุณของเขายังมีชีวิตอยู่...

              อัมรินทร์ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

              เปลือกตาของคนที่รับรู้ถึงแรงสัมผัสกับปลายนิ้วที่เกลี่ยไล่อยู่ที่ข้างแก้มขยับยุกยิกเล็กน้อยเมื่อถูกก่อกวนการพักผ่อน เปลวอรุณปรือตาขึ้นแต่เพราะแสงสว่างของแสงแดดทำให้ตาของเขาพร่าจนต้องกะพริบถี่มองเงาของใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าจนเงาสีดำขมุกขมัวตรงหน้าเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่าง ถึงแม้สายตาจะไม่ดีแต่เมื่อปรับสายตารับแสงได้มากขึ้นเปลือกตาสีอ่อนก็เบิกกว้างขึ้น ท่อนแขนผอมแห้งยันศอกลงกับที่นอนเพื่อพยุงร่างของตนขึ้นนั่งแต่เหมือนคนตรงหน้าจะกลัวว่าเขาจะมีเรี่ยวแรงไม่พอจึงขยับเข้ามาประคองตัวเขาขึ้น

              “คุณอัน” เปลวอรุณเรียกเสียงแผ่วสั่น มือผอมแห้งสั่นระริกยามยกขึ้นมาประกบสองข้าวแก้มที่สากระคายมือจากไรหนวดที่ไร้การจัดแต่งดูแล

              “คุณอันจริงๆด้วย” รอยยิ้มดีใจปรากฏตรงหน้าพร้อมน้ำแห่งความสุขเมื่อการรอคอยของเขาสิ้นสุดลง

              “ใช่ ฉันเอง” อัมรินทร์ประกบมือทันฝ่ามือของเปลวอรุณไว้ “ฉันอยู่นี้เปลว” ภายในใจแอบรู้สึกใจหายอยู่ลึกๆเมื่อมือที่เคยอุ่นของเปลวอรุณในยามนี้กลับเย็นชื้ด

              “ไหนบอกว่าจะมารับ ทำไมถึงปล่อยให้ผมรอตั้งนาน” คนรอตัดพ้อน้อยใจน้ำตาริน

              “ขอโทษเปลว ขอโทษ” ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานขนาดนี้...

              อัมรินทร์รวบร่างตรงหน้าเข้ากอด ความดีใจท่วมท้นในอกใจจริงอยากกอดรัดในแน่นชิดจมอกเอาให้หายคิดถึงแต่ตัวของเปลวอรุณยามนี้ผอมมากจนเกินไป ผอมจนเขากลัวว่าหากเผลอกอดรัดแรงกว่านี้อีกคนจะเจ็บ

              “ฉันมารับแล้วเปลว กลับบ้านกันนะ” เขากระซิบ

              เปลวอรุณพยักหน้าอย่างยินดี

              กลับบ้านกันเถอะ...



___________________________________________

พ่อมารับแม่กลับบ้านแล้ว!!
มาดึกขนาดนี้จะยังมีใครอยู่ไหมเอ๋ย??

แผนการพาแม่กลับบ้านของหนูตาลสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่่งหนึ่งต้องรอต่อในตอนหน้า
อย่าลืมสิว่าหนูราชยังอยู่ในห้องการจะเอาหนูเปลวออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
วาเลนติโน่ มาเอาเมียแกไปเก็บ ไอ้เด็กโรคจิตขาดความอบอุ่น เอาเมียแกไปเก็บให้ไกล ๆ ด้วย รังเกียจราชันมาก ณ จุดนี้ ต่อให้ตอนเด็ก ๆ จะเจออะไรมา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เอามาอ้างว่าผมป่วย หรือผมเจอเรื่องร้ายกาจมา แกไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตเปลวอรุณ แกไ่ม่ใช่เจ้าชีวิตเขา เมื่อไหร่จะเขี่ยราชันไปให้พ้น นี่เบื่อขี้หน้าราชันมาก ดูได้จากเม้นเลยฮ่ะ เบื่อหน้านางมาก บอกเลย โคตรเบื่อ

อินหนักมาก

ปล.เขาจะยังต้องห่างกันอีกไหม สงสารอันกับเปลวเหลือเกิน โว๊ะ จากใจอีกรอบ เอาเมียแกไปเก็บวาเลนติโน่ ให้ไว

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ในที่สุดก็มารับซักทีนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด