[End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61  (อ่าน 106860 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ pattapong200320

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เรื่องในอดีต รอเฉลยปมค่า
^^

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ไม่เข้าใจราชัน ดูเหมือนจะรักเปลวนะ เป็นไรกันแน่วะ ไม่อยากเดา คือ ถ้าความแตก อันผิด แต่ อันก็รักเปลว แถมไม่ได้หลอกลวงด้วย ทำทุกอย่างชัดเจนมาก ถ้าเปลวจะมีมันสมองสักนิด แต่ดูแล้วคงโง่เชื่อคำยุ ราชันเชื่อคำพูดราชันย์แน่ ๆ สงสารอันล่วงหน้า

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
เปลวกับราชัน น่าจะเป็นคนที่ดูๆกันอยู่รึเปล่า แล้วก็เป็นคนที่เปลวเคยขอความช่วยเหลือใช่มั้ย

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 21



               ความโกลาหลขนาดย่อมเกินขึ้นเมื่อลูกตาลเดินกลับมาจากเข้าห้องน้ำแล้วไม่พบคนที่ควรจะนั่งรออยู่ตรงที่นั้นและยิ่งร้อนรนมากขึ้นไปอีกเมื่อคนที่เดินไปรับยาเดินกลับมาแค่เพียงคนเดียว

              “แล้วเปลวละ” อัมรินทร์เสียงห้วนเมื่อที่ที่ควรจะมีใครบางคนนั่งอยู่กลับว่างเปล่า

              “ผมไม่รู้ ก่อนผมไปเข้าห้องน้ำแม่ยังนั่งอยู่ตรงนี้เลย” ลูกตาลตอบกลับด้วยเสียงที่ดูรนรานไม่ต่างกัน

              “โทรหาหรือยัง” อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวออกมา

              “โทรแล้วแต่แม่ไม่รับ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมโชว์หน้าจอที่กำลังแสดงผลการโทรออกให้อีกคนดู

                ในมือของลูกตาลก็พยายามต่อสายหาคนไม่แม้จะยอมรับสายสักครั้งส่วนอัมรินทร์ก็กวาดตามองฝ่ากลุ่มคนจำนวนมากในบริเวณนี้รอบๆ

              แต่ก็ไม่เจอ...

            ความว้าวุ่นใจโถมใส่ใจของเขาเหมือนพายุลูกใหญ่อัมรินทร์สบถด่าในลำคออย่างหัวเสียนัยน์ตาเข้มฉายชัดถึงความเป็นห่วงและไม่พอใจ เปลวอรุณยังไม่หายดีถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไงถึงที่นี้จะเป็นโรงพยาบาลแต่เขาก็ไม่ไว้ใจขนาดนั้น

              อัมรินทร์สาวเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่เดินไล่หาทุกที่ภายในชั้นที่พวกอยู่เป็นอันดับแรงโดยมีลูกตาลคอยสอดส่องช่วยมองหาอยู่ข้างหลัง

            โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่พื้นที่ใช้สอยในแต่ละชั้นจึงมีมาก แต่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเสียงเวลาคิดอัมรินทร์ก้าวเดินฝ่ากลุ่มคนจำนวนมากภายในชั้นไปตามเส้นทางที่ทอดยาว

              แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขากลับไม่เห็นคนตัวขาวอย่างที่ต้องการ

              จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเปลวอรุณจะอะไรไปจนต้องถูกหามส่งเข้าห้องตรวจ  อัมรินทร์สะบัดหัวไล่ความคิดเลวร้ายนั้นออกจากหัวแต่ก่อนที่จิตใจของเขาจะจินตนาการถึงเรื่องราวในทางลบไปมากกว่านี้เสียงตะโกนแม้จะไม่ดังมากจนรบกวนผู้ป่วยคนอื่นในบริเวณนั้นของลูกตาลก็ดังขึ้น

            “แม่เปลว!”

              อัมรินทร์ชะงักฝีเท้าที่กำลังจ้ำก้าวยาวๆของตนเอาไว้แล้วหันกลับไปมองเด็กหนุ่ม

              คนหายที่พวกเขากำลังตามหานั่งอยู่เพียงคนเดียวในบริเวณที่นั่งพักผ่อนที่ทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้ให้ เจ้าตัวนั่งหันหลังให้ทางเดินเหม่อออกไปทางกระจกบานใหญ่ที่ถูกใช้แทนผนังทำให้เมื่อครู่นี้อัมรินทร์ไม่ทันสังเกต

 ไม่สิ เขาไม่ได้มองเลยต่างหาก...

              เพราะความว้าวุ่น ความเป็นห่วง ความกลัว ทำให้เขาแทบไม่มองสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้างเลยนอกเสียจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและนั้นก็ทำให้เขามองไม่เห็นเปลวอรุณ

              อัมรินทร์หมุนกายกลับแล้ววิ่งตรงไปหาคนที่หายไปแล้วคว้าอีกคนเข้ามมากอดอย่างโล่งอก

               “หายไปไหนมาเปลว” เขาถามเสียงสั่นโดยไม่คลายอ้อมกอด

              เปลวอรุณไม่ตอบหากแต่ยกมือขึ้นตบที่แผ่นหลังของอีกคนเบาๆ ยืนยันให้รับรู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร

              “ไปไหนทำไมไม่บอกกันก่อนครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่”  ลูกตาลเดินเข้ามาสีหน้าของเด็กหนุ่มยังไม่คลายความกังวล ตบเบาๆที่ไหล่ของอัมรินทร์เป็นเชิงว่าให้ปล่อยคนป่วยออกมาก่อนที่จะขาดอากาศหายใจตาย

              “เปลวมาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่รอฉันกับลูกตรงที่เดิม” อัมรินทร์ผละออกแต่ยังไม่ละมืออกตากตนแขนอีกคน

              น้ำเสียงและแววตาที่ฉายความเป็นห่วงกังวลจากการหายตัวไปของเขาทำให้เปลวอรุณหลุบตามองต่ำ

              “ผมแค่รู้สึกไม่ค่อยดีเลยเดินออกมานั่งที่โล่งๆ ขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณกับลูกก่อน” ต้องขอบคุณหน้ากากอนามัยที่อัมรินทร์บังคับให้เขาใส่ออกมาตั้งแต่อยู่ที่บ้านทำให้สองคนที่กำลังเป็นห่วงเขาอยู่มองไม่เห็นว่าตอนนี้เขาพยายามยิ้มออกมาได้แหยเกขนาดไหน

              “อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” เด็กหนุ่มว่า “แม่ยังไม่หายดีถ้าเกินไปล้มหรือเป็นลมที่ไหนจะทำยังไง” แต่ทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วง

              “ที่นี้โรงพยาบาลนะตาล หมอก็มีพยาบาลก็เยอะไม่เป็นอะไรหรอก” เปลวอรุณลูบต้นแขนเด็กหนุ่มหวังให้คลายความเป็นห่วงลง

              “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เป็นห่วงอยู่ดีนั้นแหละ” อัมรินทร์ส่วนขึ้น

              “ไม่เอาแล้วนะเปลว ห้ามหายไปไหนแบบนี้อีกถ้าจะไปอย่างน้อยเอาลูกไปด้วย” ไม่ใช่คำสั่งบังคับทำแต่เป็นการขอร้องและร้องขอให้อีกคนทำตาม

              เปลวอรุณยิ้มบาง “กลับบ้านกันเถอะครับ”

              พออีกคนพูดออกมาอย่างนั้นอัมรินทร์ที่กำลังจะเปิดปากถามเรื่องขอบตาแดงๆของอีกคนก็ต้องเงียบไปแล้วพาอีกคนกลับบ้านตามคำขอนั้นแทน

              แค่เปลวอรุณไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว...

 

              หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลอัมรินทร์กลับสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างจากคนตัวขาว หลายวันมานี้แม้อาการป่วยไข้ของอีกคนจะหายดี นัดตรวจติดตามอาการที่หมอนัดเอาไว้ครั้งสุดท้ายก็ไม่พบโรคอะไรแทรกซ้อนแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่อัมรินทร์มองว่ามันไม่ปกติ

              “ไม่กินต่ออีกหน่อยหรอเปลว” ข้าวสวยที่พร่องไปเพียงแค่ครึ่งเดียวในจานข้าวของเปลวอรุณที่รวบช้อนแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทำให้อัมรินทร์อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วถาม

              “ผมอิ่มแล้ว” เจ้าตัวตอบออกมาเนื่องๆ

              “เปลวน่าจะกินเข้าไปอีกหน่อยนะ ตอนป่วยน้ำลงมาตั้งเยอะ” เขาบ่น

              “กิโลเดียวเขาไม่เรียกว่าเยอะหรอกนะครับ” เปลวอรุณคลี่ยิ้มบาง

              “งานที่ทำงานมีปัญหาหรือไง” อนิรุทธิ์เอ่ยถามขึ้น ไม่ใช่แค่อัมรินทร์หรอกที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่ว่านั้น

              “ไม่ครับ ทุกอย่างปกติดี”

              อนิรุทธิ์รับคำในลำคอ “แล้วทำไมช่วงนี้ถึงดูเครียดๆละ เพิ่งหายป่วยไม่ควรเครียดนะ”

              เปลวอรุณไม่ตอบนอกจากส่งยิ้มขอบคุณในความเป็นห่วงของคนตรงหน้าก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไป

              ตอนแรกอัมรินทร์ตั้งใจว่าจะลุกตามอีกคนไปด้วยความเป็นห่วงแต่อนิรุทธิ์กลับเอ่ยเรียกตัวน้องชายเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มนั่งลงตามเดิมแม้ในใจจะอยากตามขึ้นไปดูอีกคนก็ตาม

              “มึงกับเปลวมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า” อนิรุทธิ์เปิดประเด็นถามถึงความสงสัยที่เก็บมานานหลายวัน

              “ไม่นะ กูกับเปลวเราไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน” เขามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรให้เปลวอรุณผิดใจแน่นอน

              “แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

              “กูก็ไม่รู้”

              ชายหนุ่มตีหน้านิ่งยามคิดถึงช่วงเวลานั้นที่คล้ายกับตอนนี้ อาการเหม่อลอยคล้ายว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่อยากอาหาร กลางคืนก็ไม่ยอมนอน  อาการแบบนี้ของเปลวอรุณอัมรินทร์เคยประสบพบเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง

                ตอนที่เขาทำให้เปลวอรุณเป็นหนี้ก้อนโต..

               “กูจะขึ้นไปดูเปลว” อัมรินทร์ว่าทิ้งท้ายก่อนจะรวบช้อนแล้วลุกขึ้นตามอีกคนไปตามประสงค์เดิมของตน

              ความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่กวาดมองรอบๆห้องไร้การมีอยู่ของคนที่คาดว่าน่าจะขึ้นมาก่อน อัมรินทร์ขมวดคิดอย่างสงสัย ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาในห้องเสียงน้ำกระทบพื้นที่ได้ยินลางผ่านบานประตูสีน้ำตาลบอกให้เขารับรู้ว่าคนที่หายไปกำลังอาบน้ำอยู่ข้างใน

              อัมรินทร์มองบางประตูที่กั้นเขากับเปลวอรุณด้วยความคิดที่หลากหลาย เขามองอยู่อย่างนั้นฟังเสียงกระทบพื้นอยู่อย่างนั้นก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานแล้วหลับตาลง



เก๊ก

              เสียงประตูห้องน้ำดังขึ้นเมื่อคนที่อยู่ด้านในเป็นคนบิดมันเพื่อเปิดออกมา อัมรินทร์เปิดเปลือกตามองเปลวอรุณที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดสำหรับนอนเรียกร้อยแล้วเดินออกมา

              “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณเอ่ยถามขณะพาดผ้าขนหนูลงกับราวตากขนาดเล็กหน้าห้องน้ำ

              อัมรินทร์ไม่พูดตอบแต่ใช้การกวักมือเรียกให้อีกคนเข้ามาใกล้แทน

              คนถูกเรียกด้วยอาการภาษาเอียงคอเล็กน้องแต่ก็ยินยอมที่จะเดินเข้าไปหา พอเดินเข้ามาใกล้ในระยะที่สามารถสัมผัสถึงกันได้อัมรินทร์ก็ฉุดแขนของอีกคนที่ยังไม่ทันตั้งตัว

              เปลวอรุณที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเบิกตาเล็กน้อยด้วยความตกใจเมื่อร่างกายของตนเซถลาลงนั่งที่ตักของอีกคน ครั้นพอจะขยับตัวลุกอัมรินทร์กลับบโอบรอบเอวเขาเอาไว้ไม่ให้หนีซบหน้าลงที่ไหล่ของเขาอยากที่เจ้าตัวขอบทำเวลาอยู่ด้วยกัน

              “อย่าเพิ่งลุกนะ” อัมรินทร์พูดเสียงเบา

              “มีอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณถามอย่างสงสัย หากสังเกตดีๆในระดับความใกล้เพียงแค่นี้ทำให้รู้ว่าใบหน้าหล่อเหลานี้มีความอ่อนล้าแสดงออกมาให้เห็นอยู่เล็กน้อยเช่นกัน

            จริงสินะ ช่วงนี้งานของอัมรินทร์ก็เยอะด้วยเครื่องประดับคอลเลคชั่นใหม่ที่อยู่ในระหว่างการผลิตก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วไหนจะเรื่องงานการกุศลที่ว่านั้นอีก เปลวอรุณเรียบเรียงความคิด

              “เปลวนั้นแหละเป็นอะไร” แต่ก็ต้องแปลกใจกับคำตอบกึ่งคำถามที่ได้กลับมา

              “ผมหรอ”

               “ใช่” ใบหน้าคมผละออกแล้วมองตรงมายังใบหน้าสวย “หลายวันมานี้เปลวดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ มีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่า” เขาถาม

              “ผม” เปลวอรุณเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงพร้อมหลบสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างต้องการคำตอบ

              “มีเรื่องอะไรใช่ไหม” เขาถาม “บอกฉันได้ไหม” เพราะเขาเป็นห่วง

                “คือ..”

               อัมรินทร์ไม่เอ่ยอะไรออกมาเพื่อเป็นการคาดคั้นเอาคำตอบแต่เขานั่งรออย่างใจเย็น รอให้เปลวอรุณพูดมันออกมาเอง

               “เรื่องหนี้ผมจะพยายามหามาคืนคุณ” อัมรินทร์หรี่ตามมองเปลวอรุณเมื่อประโยคที่ว่าหลุดออกมาจากปากของอีกคน

                 “ทำไมอยู่ๆถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”

             “นี้ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว เงินเดือนสำหรับเดือนนี้ผมตั้งใจว่าจะเอามาใช้หนี้คุณ” เปลวอรุณพูดออกมาตามความตั้งใจของตน

             ตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้เขาค่าใช้จ่ายบางส่วนของเขาลดลงไปเกินครึ่ง ซึ่งนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีในความคิดของเขาที่ต้องการจะปลดหนี้ที่มีอยู่ เขาตั้งใจว่าจะแบ่งเงินไว้กึ่งหนึ่งเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวและเก็บเอาไว้เพื่อเป็นค่าเทอมมหาวิทยาลัยของลูกตาล  ถึงจะไม่ตรงกับเรื่องที่ตนเก็บเอามาคิดมากอย่างที่ถูกถามแต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นอีกเรื่องที่เขาคิดอยู่เหมือนกัน

              “เปลวยังคิดเรื่องนี้อยู่อย่างงั้นหรอ” อัมรินทร์ถามเสียงเรียบ

              เปลวอรุณพยักหน้ายอมรับ

              “เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจมันแล้วก็ได้ ที่จริงฉันคืนโฉนดนั้นให้เปลวตอนนี้เลยก็ได้” เขาว่าพร้อมทำท่าเอื้อมมือออกไปหมายจะเปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อเอาโฉนดที่ดินดังกล่าวนั้นให้อีกคนตามที่พูดแต่เปลวอรุณกลับรั้งแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน

              อัมรินทร์หันมามองคนที่นั่งก้มหน้าด้วยความสงสัย

              “ผม..” คนตัวขาวก้มต่ำซ้อนประกายความสั่นไหวในดวงตาไม่ให้ใครเห็น

             “มีอะไรหรือเปล่าเปลว” อัมรินทร์ถาม โฉนดที่ดินบ้านหลังนั้นสำคัญกับเปลวอรุณมากเขารู้ดีแล้วทำไมอีกคนถึงห้ามเขาเอาไว้แบบนี้

               “ผมไม่อยากรู้สึกเหมือนว่าผมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้มันคืนมา”

               !!

              อัมรินทร์นิ่งอึ้ง

              ทั้งตัวเขารู้สึกชาวาบกับคำพูดที่คล้ายจะเหยียดตัวเองของอีกคน ก้อนคำพูดมากมายจุกแน่นค้างอยู่กลางลำคอ

              เรื่องโฉนดเขาตั้งใจจะคืนมันให้เปลวอรุณอยู่แล้วถึงไม่มีเหตุการณ์วันนั้นก็ตาม แต่เขาไม่คิดว่าเปลวอรุณจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดแบบนั้นและไม่เคยคิดด้วยเช่นกันว่าเปลวอรุณจะมีความคิดเหตุเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาในทางนี้

             “เปลวก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น” หลังจากควานหาเสียงที่หายไปในลำคอเจอเขาก็รีบพูดแก้ต่างนั่นออกมา

            “แต่ถึงอย่างนั้น” เปลวอรุณเพิ่มแรงบีบเข้าที่แขนของอัมรินทร์มากขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

            “ผมเป็นหนี้คุณ ผมมาอยู่กับคุณที่นี้แถมยังเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกถ้ามีใครรู้ว่าคุณคืนโฉนดและยกหนี้ให้ผมมันต้องมีคนคิดว่าผมเอาตัวเขาแลกแน่” เพราะเขาเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันในวินาทีแรกที่อัมรินทร์พูดว่าจะคืนทุกอย่างให้

             ช่วงไหล่ของเปลวอรุณเริ่มสั่นไหวขอบตาหลังกรอบแว่นเองก็คลอไปด้วยน้ำใสๆที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไม่ให้ไหล

             “เปลวอย่างคิดอย่างนั้น เปลวไม่ได้เอาตัวเข้าแลกอะไรทั้งนั้นใครจะพูดอะไรก็ช่างมันสิมันไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย” อัมรินทร์พูดออกมาอย่างร้อนรน มือหนาถอดแว่นสายตากรอบบางของอีกคนออกมาว่างบนโต๊ะ

             “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นเพราะความต้องการของเราตรงกัน” ความอุ่นจากฝ่ามือที่เปลี่ยนมาเป็นประคองใบหน้าของเขายิ่งประโยคต่อมาก็ทำให้อยากร้องไห้มากขึ้นไปอีก

               “ฉันรักเปลว เหตุผลนี้เพียงพอไหมที่จะทำให้เปลวไม่ร้องไห้”

               “ผมเชื่อคุณได้จริงใช่ไหม ไม่ใช่แค่คุณได้สิ่งที่คุณต้องการแล้วก็ทำเหมือนอย่างที่ผ่านมา” เปลวอรุณถามเสียงสั่น

                สิ่งที่อัมรินทร์ต้องการคืออะไรเปลวอรุณรู้ดี เขาไม่เคยคิดถึงมันเลยจนกระทั้งวันนั้นที่ราชันพูดมันออกและมันทำให้เขาอดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ ไหนจะเรื่องหนี้ที่อีกคนจ่ายแทนเขาไปก่อนหน้านี้อีก

               “ฉันไม่รู้ว่ามีใครพูดอะไรให้เปลวฟังหรือมีอะไรที่ทำให้เปลวคิดแบบนั้น แต่ฉันรักเปลวคือเรื่องจริง” เขามั่นใจว่ามันต้องมีใครพูดอะไรออกมาให้เปลวอรุณคิดแบบนี้แน่ และใครที่ว่านั้นมันต้องไม่หวังดีต่อเขาแน่...

               “ฉันยกหนี้นั้นพร้อมคืนโฉนดให้เปลวก็ได้ แต่ถ้าเปลวต้องการที่จะคืนเงินฉันตามที่คิดฉันก็จะไม่ขัดถ้ามันเป็นความสบายใจของเปลว” อัมรินทร์เกลี่ยปลายนิ้วหัวแม่มือลงข้างแก้มขาว

              “แต่ขออย่างเดียว อย่าคิดว่าเรื่องที่เกิดวันนั้นเพราะเปลวเอาตัวเข้าแลกเพราะฉันอยากให้มันเกิดขึ้นเพราะใจเปลวยอมรับฉัน” เขาบีบบังคับเปลวอรุณเรื่องหนี้เพื่อให้อีกคนยอมมาอยู่กับเขานั้นคือเรื่องจริง แต่เขาไม่เคยคิดฝืนใจเปลวอรุณ หากเจ้าตัวไม่ยืนยอมเขาเองก็พร้อมที่จะถอดใจกลับไปนั่งรอข้างสนาม

             เพราะสำหรับเขาเปลวอรุณพิเศษกว่าใครๆ...

             “คุณจะไม่ทิ้งผมเหมือนที่คุณทำกับคนอื่นๆใช่ไหม” อัมรินทร์ได้ในสิ่งที่ตนต้องการแล้วถ้าเกิดว่าอีกคนจะทิ้งเขาไปเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเขาคงทนรับไม่ไหวหรอก

             “ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะไม่มีวันทิ้งเปลว” เขามองคนขี้แงตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ

             “ฉันไม่ใช่คนดีฉันรู้ มีหลายเรื่องที่ฉันทำไม่ดีเปลวก็รู้ แต่ที่เรารู้ก็คือฉันรักเปลวมากกว่าใครที่ผ่านมาถึงตอนนี้เปลวจะไม่เคยพูดว่ารักฉันหรือไม่ก็ไม่เป็นไรฉันรอได้” รอยยิ้มเรียบๆกับสัมผัสอุ่นที่รอยยิ้มนั้นประทับแนบที่หางตามันก็มากพอที่จะทำให้หัวใจของคนฟังรู้สึกอุ่นขึ้นมากจนเผลอยิ้มรับ

            นั้นสินะ...

           ถึงอัมรินทร์จะมีเรื่องอะไรที่หลอกลวงหรือปิดบังเขาอยู่แต่อีกไม่นานมันก็ต้องปรากฏออกมาให้เขาได้รู้อยู่แล้ว เขาก็แค่รอเวลานั้น รอให้ราชันเอาหลักฐานที่ว่ามาให้เขาหรือไม่ก็รอให้ผู้ร้ายตรงหน้าสารภาพมันออกมาเอง แล้วถึงตอนนั้นเขาจะตัดสินใจอีกทีว่าควรจะทำอะไรกับเรื่องที่ว่า

          “ตอบฉันตรงๆได้ไหมว่าเปลวกังวลเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องหนี้หรือเรื่องของฉัน”

            “ก็ ทั้งสองอย่าง” เปลวอรุณตอบ เอียงคอเล็กน้อยยามที่อัมรินทร์ไล่จูบลงมาตามลำคอ

              “แล้วเรื่องไหนมากกว่ากัน” เขาถามต่อพลางไล่ฝ่ามาที่โอนเอวอยู่ไปตามผิวเนื้ออุ่นใต้ร่มผ้า

              “พอกัน”

              “จริงหรอ” อัมรินทร์ช้อนสายตามองสบอีกคนกรุ้มกริ่ม

              เปลวอรุณไม่ตอบซ้ำยังเบี่ยงหน้าหนี

              เขาไม่กล้าพูดออกไปหรอกว่าเรื่องที่ทำให้เขาเป็นกังวลมากกว่าเรื่องหนี้ก้อนโตร้อยล้านก็คือเรื่องหมาป่ามือปลาหมึกตรงหน้าที่กำลังบีบนวดบั้นเอวเขาอยู่

              อัมรินทร์เป็นผู้ชายและเขาเองก็เป็นผู้ชายทำไมเขาจะไม่รู้ละว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับอัมรินทร์คืออะไร..

            อะไรที่ทำให้อัมรินทร์มาสนใจในตัวเขานั้นเขารู้ดีว่าเพราะอะไร เพราะเขาแตกต่างจากคนอื่นๆที่อีกคนเคยพบเจอ และนั้นแหละคือสิ่งที่เขากลัว

              กลัวว่าวันหนึ่งมันจะไม่เหมือนเดิม..

              ตอนนี้เขาอ่อนไหวไปกับหลายๆสิ่งที่อัมรินทร์แสดงออกให้เขาเห็น การกระทำหลายๆอย่างที่อีกคนทำมันให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญไม่มีใครหรอกที่จะไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านั้นเขาเองก็ไม่พระอิฐพระปูนที่ไหนจะไม่โอนอ่อนตาม

              ความพลั้งเผลอทำให้เขาโอนเอนไปตามรสสัมผัส อัมรินทร์ได้ในสิ่งที่ต้องการจากเขามานาน มันทำให้เขากลัว..

              กลัวว่าสักวันเขาจะกลายมาเป็นเหมือนคนเหล่านั้น ...

             และความกลัวของเขาก็ถูกคำพูดของราชันสะกิดเข้าอย่างจัง

              ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้เอาแต่กลัวว่าเมื่อหมดความสนใจ หมดความท้าทายที่มากระตุ้มความกระหายความต้องการความอยากเอาชนะเขาจะกลายเป็นแค่สิ่งน่าเบื่อหน่ายสำหรับอีกคน

              เขาไม่ต้องการแบบนั้น...

              “วันหลังมีอะไรก็พูดกันออกมาตรงๆนะเปลว” อัมรินทร์กระซิบ “อย่าเก็บเอามาคิดเองเออกเองแบบนี้เข้าใจไหมครับ”

            แต่ตอนนี้ของเขามีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนได้ไหมถึงเบื้องหลังมันจะมีเรื่องโกหกหลอกลวงยังไงก็แล้วแต่ แต่ของอย่างเดียว ขอแค่คำพูดที่อัมรินทร์กระซิบบอกเขามันคือเรื่องจริงก็พอ

              “ฉันรักเปลวนะ”

...........................................................................

 

“ที่ให้ไปหา หาเจอแล้วหรือยัง”  น้ำเสียงราบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆของร่างที่นอนเหยียดขายาวอยู่บนโซฟาหนังสีขาวเอ่ยขึ้นกับผู้ที่เปิดประตูเข้ามาใหม่เสียงดังโดยไม่แม้จะลืมตาขึ้นมามอง

              คนมาใหม่ไม่ตอบหากแต่วางของบางสิ่งที่ได้มาลงบนโต๊ะตรงหน้า ไม่สิ ไม่ได้เรียกวางแต่เป็นการปล่อยมันทิ้งลงจากมือต่างหาก

              เปลือกตาสีขาวซีดลืมขึ้นก่อนจะปรายตามมองโต๊ะเสียงเมื่อครู่ ปึกเอกสารฉบับหนึ่งที่ไม่ถึงกลับหนามากวางนิ่งอยู่กับโต๊ะถัดออกไปเป็นชายชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่เนื้อตัวเต็มไปด้วยหมัดกล้ามแข็งแรงหน้าตาไม่รับแขกยืนกอดอกนิ่ง

              ราชันทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอคลายไม่พอใจก่อนจะพยุงร่างตัวเองขึ้นนั่งใหม่ดีๆ

              “นายคิดว่าคลับนั้นมันเข้าออกง่ายนักหรือไง”  ภาษาไทยสำเนียงแปร่งดังออกจากปากของชายต่างชาติตัวใหญ่ยักษ์

              “ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่หรือไง” ราชัยยิ้มเหยียด มือก็พลางหยิบสิ่งที่ได้มาขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วมุ่ยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ“ทำไมถึงเป็นแบบถ่ายมา”

              ภาพเอกสารที่ได้มาไม่ใช่ฉบับจริงหรือแบบสำรองแต่มันเป็นภาพที่ได้จากการถ่ายเก็บไว้แล้วปริ้นมันออกมาให้ต่างหาก ไม่ใช่แค่แผ่นสองแผ่นแต่มันเป็นทุกแผ่นเลยต่างหาก

              นัยน์ตาเรียวเล็กตวัดมองชายตรงหน้าอย่างไม่พอใจและต้องการคำตอบที่น่าพอใจ

              “กว่าจะได้ขนาดนี้มานายคิดว่ามันง่ายนักหรือไงราช” อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงอารมณ์ว่าไม่พอใจเช่นเดียวกัน

              บัตเตอร์ฟลายคลับ ไม่ใช่สนามเด็กเล่นหรือสวนสาธารณะที่ใครคิดจะเข้าไปของข้อมูลภายในมาแล้วทางนั้นจะยอมเอาออกมาให้ด้วยความเต็มใจ หนึ่งอาทิตย์กับข้อมูลเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องที่ได้มานี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

            ถึงมันจะเป็นการแอบถ่ายมาก็เถอะ...

              “แต่ฉันต้องการฉบับจริง” ราชันว่าเสียงแข็ง ปึกเอกสารถูกปาใส่หน้าคนเอามาที่ไม่ขยับหนี

              “อย่าเข้าใจอะไรยากได้ไหมราช การที่จะไปมีเรื่องกัน ออแลนโด้ หยวน เองก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนักหรอกนะ”  ชายร่างใหญ่ตะคอกเสียงใส่เด็กเอาแต่ใจตรงหน้า

              “ไหนว่าอิทธิพลใหญ่คับโลกไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมแค่นี้ถึงทำไม่ได้ละ” ราชันกอดอกพูดเหยียด

              “พวกเราจะไม่ทำงานทับรอยกันและพวกเราจะไม่หาเรื่องกันเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้เหมือนกันด้วย มันไม่คุ้มเสีย”  ชายร่างใหญ่พยายามข่มใจให้เย็นขณะอธิบายกฎให้คนดื้อรั้นฟัง

              “นายกลัวงั้นสิ”

              “ราชัน!”  นัยน์ตาที่ฟ้าหม่นฉายประกายกร้าว ตะคอกใส่คนตรงหน้าจนสะดุ้งเฮือก

คนอย่าง วาเลนติโน่ ไม่ชอบให้ใครมาหยาม แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นราชัน

              “ได้แค่นี้ก็แค่นี้” ราชันตัดบทอย่างไม่เต็มใจ ตัวเขาก็เท่านี้จะให้ไปมีเรื่องกับยักษ์ใหญ่ตรงหน้าก็คงใช่เรื่องเหมือนกัน

              “แล้วครบหมดหรือยัง” คนตัวซีดถามยกขาขึ้นไขว่ห้าง

              “ยัง”

              “เหลืออะไร”

              “ผู้หญิงที่ชื่อ พิมพา”



_______________________________________________

     หนูราชันเราไม่ได้มาเล่นๆนะคะ นางมีแบล็คดี แบล็คใหญ่
อีกไม่นานอันอันจะโดนแฉแล้ว ถึงตอนนั้นเรามาลุ้นการตัดสินใจของหนูเปลวกันว่าจะออกหัวหรือก้อย
 :katai1:

ยังมีใครจำพิมพากันได้อยู่อีกหรือไม่?

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ตอนที่เปลวต้องการความช่วยเหลือ ทำไมเหมือนไม่สนใจ จนเวลาเลยผ่านไป แล้วจะกลับมาทวงคืนนี่คืออะไร

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
ราชันจะกลับมาทำไมเนี่ยตอนเปลวต้องการความช่วยเหลือก็ไม่ใยดีกับเปลวเลยแล้วตอนนี้มาสนใจทำไม

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เขามีความหลังอะไรกัน!?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 22[/b]



              เวียนหัว..

              อาการที่เปลวอรุณรู้สึกไม่เคยชอบมันเลยตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่ชอบเพราะมันชอบทำให้เขารู้สึกหนักๆที่หัวแถมหน้าผากยังร้อนอีกด้วย เขาหลับตาแน่นหวังไล่ความรู้สึกที่ว่านั้นให้หายก่อนจะลืมตาแล้วจึงรีบสาวเท้าก้าวยาวๆตามหลังอัมรินทร์ที่กำลังเดินพูดคุยรายละเอียดอยู่กับหัวหน้าแผนกการผลิต

            วันนี้เขากับอัมรินทร์ออกมาตรวจความเป็นไปของการผลิตก่อนเวลาที่นัดกันเอาไว้พร้อมกับกล่องกำมะหยี่สีม่วงที่เจ้าตัวบอกกับเขาว่าจะนำไปเข้าร่วมงานประมูลของราชัน ถึงจะดูไม่พอใจแต่ก็ยอมทำจนทำให้เขารู้สึกอดขำอยู่หน่อยๆไม่ได้เหมือนกันที่ตอนที่เห็นอัมรินทร์เปิดเจ้ากล่องเครื่องเพชรนั้นแล้วทำหน้าตายใส่ทั้งๆที่เจ้าเครื่องเพชรที่อยู่ในมือคือสินค้าระดับท็อปของบริษัทที่ไม่มีการผลิตซ้ำอีก

              จำได้ว่าตอนนี้ผลิตเสร็จครั้งแรงเจ้าตัวนี้ยิ้มแก้มปริไปหลายวัน เห็นการเปรียบเทียบแล้วก็อยากขำ..

              แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเขาเริ่มขำไม่ออก...

            ถึงโถงทางเดินจะเป็นพื้นที่โปร่งเพื่อระบายอากาศบางทีน่าจะเพราะแสงแดดและความร้อนของเวลาที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับพื้นดินในตอนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันทั้งร้อนและอึดอัดจนต้องใช้ปลายนิ้วขยับเนคไทที่คอให้หลวมลงมาก่อนที่เขาจะเป็นลมมันเสียงตรงนี้ และต้องขอบคุณที่หัวหน้าแผนกการผลิตร่างท้วมที่พาพวกเขามายังห้องรับรองแอร์เย็นฉ่ำเป็นที่แรกก่อนการเดินตรวจงาน

            หลังจากที่พูดคุยกันที่ห้องรับรองแล้วก็เดินตรวจสอบกรรมวิธีการผลิต การเจียระไน และการขึ้นรูปของผลิตภัณฑ์มีบ้างที่อัมรินทร์ลงไปพูดคุยกับช่างทำเองบาง ก่อนจะจบลงด้วยการฝากเจ้ากล่องกำมะหยี่ที่นำติดมาด้วยให้หัวหน้าแผนกซ้อมบำรุงนำไปตรวจสอบหาตำหนิและทำความสะอาดใหม่ให้พร้อมสำหรับการออกงาน

              “เปลวไหวหรือเปล่า”

              เสียงทักของอัมรินทร์ดังขึ้นพร้อมสีหน้าเป็นห่วงของเจ้าตัวที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่เอ่ยถามขึ้นพร้อมกับแก้วน้ำพลาสติกสีแสบตาที่ถูกยืนมาให้

              “ผมไม่เป็นไร” เขาตอบ

              ตอนนี้ตารางงานภายในโรงงานเสร็จครบหมดแล้วและท้องของพวกเขาก็ส่งเสียงร้องหาอาหารแล้วเช่นกัน โรงอาหารของโรงงานคือตัวเลือกที่ดีที่สุดและที่ใกล้ที่สุด

              “แต่หน้าเปลวดูซีดๆไปนะ”

              “แค่อาการมันร้อนเท่านั้นเองครับ” เขายิ้มให้พร้อมรับแก้วน้ำที่อีกคนส่งมาให้ กลิ่นหองอ่อนเย็นๆบอกให้รู้ว่าเจ้าน้ำที่ว่าคือน้ำเก๊กฮวยจากร้านขายน้ำที่อยู่ริมสุด

                ได้น้ำหวานเย็นคลายร้อยหน่อยก็ดีเหมือนกัน เปลวอรุณคิด

               “ อึ้ ”   แต่รสชาติที่หวานเลี่ยนจนแสบคอแบบนี้นอกจากจะไม่ช่วยทำให้ดีขึ้นแล้วยังชวนให้อยากขย้อนน้ำย่อยในกระเพาะออกมาอีกด้วย

              อัมรินทร์เองที่ยังไม่ทันได้สัมผัสพื้นเก้าอี้ดีก็รีบเด้งตัวพุ่งเข้าประคองคนที่ปิดปากทำท่าทีคล้ายจะอาเจียนอย่างตกใจ ร่วมถึงแม่ค้าร้านขายน้ำที่ว่าที่ดูจะหน้าเปลี่ยนสีลงทันตาจนอัมรินทร์ต้องส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไรเพื่อความสบายใจของคนขายก่อนจะหันกลับมาถามไถ่อาการคนที่ยกมือขึ้นปิดปากแน่น

              “เป็นอะไรเปลว”

              “เลี่ยน” เขาพูดแค่นั้น ความหวานเลี่ยนที่ติดอยู่กับลิ้นทำเอาใบหน้าสวยแหยเกอยู่ไม่น้อย

              อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นหยิบเจ้าแก้วน้ำที่ว่าขึ้นลองชิม แต่ไอ้ความหวานเลี่ยนที่คนตัวขาวกล่าวหาดูจะเป็นเรื่องเกินจริงไปหน่อยเพราะเท่าที่ได้ลิ้มรสมามันไม่หวานเลี่ยนจนแสนคอช่วยคลื่นไส้แต่มันเป็นรสหวานกำลังพอดีที่ดื่มแล้วชื้นใจคลายความร้อนได้ดีเลยต่างหาก

              “งั้นดื่มน้ำเปล่าไปแทนละกัน” เขาว่าพร้อมขวดน้ำดื่มที่ซื้อมาพร้อมกันถูกส่งให้แล้วช่วยประคอง

              เปลวอรุณหน้าซีดมาตั้งแต่ตอนที่เดินอยู่ภายในโรงงานแล้วไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ บ่อยครั้งที่เขามักจะหยุดเดินเพื่อให้คนที่ดูเหมือนว่าแค่ก้าวขายังหอบหายใจแรงอย่างเปลวอรุณได้พัก

              “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วกลับกันเลยแล้วกัน” อัมรินทร์บอก ซึ่งเปลวอรุณก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

              ข้าวเที่ยงที่แทบกลืนไม่ลงพร่องไปแค่สองส่วนสี่ของจานข้าว แม้จะรู้สึกผิดต่อป้าคนขายที่ทำอาหารรสมือดีแต่ความเลี่ยนที่ยังติดโคนลิ้นอยู่ทำเอาเปลวอรุณแทบไม่อยากจะกลืนอะไรลงท้องเลยนอกจากน้ำเปล่าขวดนี้จนอัมรินทร์ต้องหาซื้ออะไรอย่างอื่นให้เขากินรองท้องแทน

            บางทีมันอาจรู้สึกดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้มีอาการแบบนี้ต่อไปอีก...

             

             
เก๊ก

              เสียงบิดประตูดังขึ้นคนที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงทำเพียงเหลือบมองร่างชุ่มเหงื่อของอัมรินทร์ร่องระหว่างแขนแล้วหลับตาลงอีกครั้งเมื่อภาพที่เห็นยังคงพร่าเลือน

              คนที่เข้ามาใหม่หัวคิ้วเข้มขมวดแน่นเมื่อเห็นว่าคนที่ปกติจะลุกขึ้นมาอาบน้ำเตรียมเสื้อผ้าสำหรับใส่ทำงานรอเขาขึ้นมายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง

              อัมรินทร์สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ชะเง้อมองคนที่ยกแขนพาดหน้าผากอย่างเป็นห่วงก่อนจะนั่งลงที่ขอบเตียงข้างๆ

              “ออกกำลังกายเสร็จแล้วหรอครับ” น้ำเสียงปกติที่ดังออกมาจากริมฝีปากสีอ่อนที่เจ่อบวมจากการถูกดูดดึงเมื่อคืนไร้อาการงัวเงีย

              “ตื่นนานแล้วทำไมไม่ลุกละครับ” อัมรินทร์ยิ้มถามจับข้อมือข้างนั้นออกแล้วจูบเบาๆที่หน้าผากมน

              “เวียนหัวนิดหน่อยนะครับ”

              “เป็นอะไรไปหื้อ” อัมรินทร์ถามอย่างเป็นห่วง ประคองคนที่สวมเพียงเสื้อนอนตัวใหญ่เพียงตัวเดียวติดกายขึ้นมานั่งอังหลังมือกับผิวกายแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร

              “น่าจะเพราะลุกขึ้นไวไปหน่อยนะครับ” เปลวอรุณตอบตามที่ตนคิด

หรือไม่อีกทีก็เพราะสิ่งที่พวกเขากระทำกับเมื่อคืน อัมรินทร์คิด

              เมื่อมันเคยมีครั้งที่หนึ่งมาแล้ว ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งอื่นๆจะตามมากก็คงไม่ใช่เรื่องที่แปลก แต่บางทีอัมรินทร์ก็อาจลืมไปว่าร่างกายของเปลวอรุณไม่ได้เป็นเหมือนตน

              เปลวอรุณอายุมากกว่าทั้งยังรูปร่างเล็กกว่า บางทีการที่อีกคนหน้ามืดเมื่อครู่ก่อนที่เขาจะกลับมาอาจเพราะการฝืนใช้แรงเมื่อคืนนี้ก็เป็นได้

              “แล้วลุกไหวไหม” เขาถามพร้อมตั้งท่าจะประคองอีกคนเข้าไปอาบน้ำพร้อมกันข้างใน

              “ไหวครับ” แต่ก็โดนปฏิเสธ

                 เปลวอรุณออกปากไล่ให้คนชุ่มเหงื่อเข้าไปอาบน้ำก่อนส่วนตนจะไปเตรียมเสื้อผ้าไว้รอซึ่งตอนแรกอัมรินทร์มีทีท่าอิดออดไม่ยอมทำตามแต่สุดท้ายก็ยอมที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่ายเมื่อโดนเขาตีหน้านิ่งใส่

              ตั้งแต่วันที่ไปโรงงานผลิตก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้วทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย สินค้าคอลเลคชั่นใหม่ก็ดูเหมือนจะทำออกมาได้ถูกใจนักออกแบบอย่างลิลดาอยู่มากดังนั้นเมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายเธอเลยเลือกที่จะขนข้าวขนของไปกินนอนอยู่ที่โรงงานผลิตกันเลยทีเดียว ส่วนเรื่องสถานที่จัดงานเป็นโรงแรมชั้นนำกลางเมืองที่ก่อนหน้าที่เขาได้ติดต่อเอาไว้ล่วงหน้า แต่การไปดูสถานที่จริงเมื่อวานนี้ต่างหากที่ทำให้เขาเหนื่อยแทบขาดใจ ไม่คิดเลยจริงๆว่าตัวเองจะแก่ถึงขนาดที่ว่าเดินไปเดินมาแค่ครึ่งชั่วโมงจะทำให้เข่งขาสั่นจนต้องนั่งเป็นหมาหอบแดดได้ขนาดนี้

              ส่วนสินค้าที่จะนำไปร่วมงานก็อยู่ในขั้นตอนบำรุงรักษาเตรียมพร้อมสำหรับการนำเขาประมูลในอีกสองอาทิตย์ที่จะถึง แต่ถ้าพูดถึงเจ้าของงานแล้วละก็ทั้งเขาและอัมรินทร์ก็ไม่มีใครพบราชันอีกเลยตั้งวันนั้นที่อีกคนมาดักรอเขาที่โรงพยาบาลนอกจากคุณจูนที่เจอกันเมื่อวันก่อนตอนที่อัมรินทร์มาดูสถานที่จัดงานประมูลที่ว่า

               บางที...

              ราชันอาจกำลังตามหาหลักฐานที่ว่าอยู่ก็เป็นได้...

            พอคิดว่าถึงตรงนี้เปลวอรุณก็หลับตาลงแล้วพ่นลมหายใจออกมาแล้วลืมขึ้นใหม่อีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังห้องแต่งตัวเพื่อเตรียมเสื้อผ้าของตนเองและของอัมรินทร์มาวางไว้ให้เหมือนอย่างทุกวัน

            ก็ขอให้หาได้ไวๆแล้วกันเพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่อัมรินทร์ปิดบังเขาอยู่มันคืออะไร...

……………………………….

 

               อาการในช่วงสายๆของวันเป็นอะไรที่แดดร้อนและไร้ซึ่งลมเย็นๆความร้อนความแออัดทำให้แก้วขาวซีกของราชันขึ้นสีไรผมและลำคอเริ่มชื้นเหงื่อ

              ราชันไม่ชอบความร้อนและที่ไม่ชอบยิ่งกว่าคือเสียงของความวุ่นวาย

               และทุกสิ่งที่ว่ามานี้ก็อยู่ตรงหน้าเขาทั้งสิ้น

              “ใช่ที่นี้แน่นะ” ชายหนุ่มหันไปถามคนติดตามชาวต่างชาติที่วาเลนติโนส่งมาดูแลเขาเสียงขุ่น

              “ครับ จากแผนที่ที่คนของเราหามาได้ถ้าเดินไปอีกหน่อยเราก็จะเจอคนที่เรากำลังตามหาแล้วละครับ”  ราชันพยักหน้ารับก่อนจะให้อีกคนเป็นคนนำทาง

              เขตชุมชนเก่าทำจากไม้บ้างทำจากอิฐจากปูนบ้างเรียงรายเกาะกลุ่มกันอยู่หลายหลังคาเรือน ทางเดินเล็กๆแค่พอให้มอเตอร์ไซย์วิ่งส่วนกันได้แต่ไม่มีพื้นที่พอให้นำรถยนต์เข้ามา ดังนั้นรถยนต์ของเขาจึงต้องจอดรออยู่ด้านนอนพร้อมคนขับ

              ราชันกวาดตามองสถานที่แห่งนี้อย่างไม่ค่อยชอบใจเสียเท่าไรโดยเฉพาะสายตาของชาวบ้านในละแวกนี้ที่มองมา ถ้าไม่ติดว่าสิ่งที่กำลังตามหามันอยู่ในนี้รับรองเลยว่าเขาจะไม่มีทางมาเหยียบที่นี้เด็ดขาด

              หลังจากเดินเข้ามาในซอยชุมชนข้ามสะพานไม้เก่าๆมาได้ระยะหนึ่งเสียงของลูกน้องชาวต่างชาติก็เอ่ยขึ้น            “ถึงแล้วครับ”

            ตรงหน้าของพวกเขาคืออาคารไม้กลางเก่ากลางใหม่ข้างหน้าประดับโคมทรงสี่เหลียมผืนผ้าสีเขียวใบตองอ่อน ราชันกระตุกยิ้มมองบานประตูที่ปิดสนิทมันด้วยสายตาเหยียด

ก๊อก ก๊อก

              “มีใครอยู่ไหม” ลูกน้องคนสนิทของชารันยกมือขึ้นเคาะถาม

              แต่ก็ไร้วี่แววของคนข้างในที่จะออกมาเปิดจนชายหนามต้องหันมามองผู้เป็นนาย

              “เคาะไป เคาะจนกว่ามันจะมีคนออกมา” ราชันกอดอกสั่ง

              และได้ผล หลังจากที่ทั้งเคาะทั้งตะคอกส่งเสียงถามหาการมีอยู่ของคนภายในตึกมาได้สักพักพวกเขาก็เริ่มจะที่จะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านในพร้อมเสียงสบถอะไรสักอย่างที่ราชันไม่ได้สนใจฟัง

              “พวกแกเป็นใคร ร้านยังไม่เปิดหรอกนะย่ะ” น้ำเสียงห้วนติดจะใส่อารมณ์ดังขึ้นพร้อมบานประตูไม้ที่เปิดแง้มออกพอให้เห็นหญิงวัยห้าสิบกว่ารูปร่างอ้วนเตี้ยผิวขาวมองมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าติดจะรำคาญไม่พอใจ

              “ฉันมาหาคนที่ชื่อพิมพา” ก่อนที่สีหน้านั้นจะเปลี่ยนเป็นตกใจกับน้ำเสียงนิ่งเรียบของราชันที่อยู่ตรงกลางด้านหลังชายหนุ่มชุดสูทสีดำ

              “โอ๊ย ที่นี้ไม่มีคนชื่อนี้หรอก ไปๆจะไปไหนก็ไป” แม่เล้าอ้วนออกปากไล่พร้อมทำที่จะปิดประตูใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

กึก

              แต่ไม่ทันที่บานประตูจะถูกปิดลงปลายรองเท้าหนังขัดมันของชายหนุ่มผมทองก็ถูกสอดเข้ามาขัดไม่ยอมให้หล่อนได้ทำตามความต้องการพร้อมกับชายเสื้อสูทด้านถูกเลิกออกให้เห็นบางสิ่งที่เหน็บอยู่กับสายคาดเอว

              “ขอเราเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมครับ”  นี้ไม่ใช่คำร้องของที่หล่อนจะมีสิทธิปฏิเสธ นี้คือสิ่งที่หล่อนรับรู้จากดวงตาสีฟ้านั่น

              “ชะ เชิญ” ถ้ารักตัวกลัวตาก็ต้องยอมที่จะเปิดประตูเชื้อเชิญคนกลุ่มนี้เขามา

              ภายในมองดูแล้วก็คล้ายร้าน้ำชาทั่วไปตามเมืองเก่าแต่การตกแต่งที่เน้นผ้าแพรสีฉูดฉาดทำให้ที่นี้ดูต่างจากร้านน้ำขาที่อีกอยู่มาก ก็แน่ละ มันไม่ใช่ร้าน้ำชาจริงๆเสียหน่อย ราชันเค้นยิ้ม

              “พิมพาอยู่ไหน” เขาถามเสียงห้วน

              “พวกคุณมีอะไรกับมันงั้นหรอคะ” แม่เล้าเอ่ยถามเสียงกล้าๆกลัวๆ มือที่อยู่ด้านหลังก็พยายามไล่เด็กในร้านที่ทำตัวอยากรู้อยากเห็นเข้าไปหลบเพื่อความปลอดภัย หากเกิดอะไรขึ้นสินค้าของหล่อนต้องไม่เสียหาย

              “อย่าถามมาก ไปเรียกมาให้ฉันก็พอ” ราชันปลายตามอง “อย่าคิดตุกติกละถ้ายังอยากจะมีชีวิตทำงานเน่าๆนี้ต่อ” แน่นอนว่ามันไม่ใช่คำขู่แน่

              “ฉันรู้หรอก” หล่อนชักสีหน้าพึมพำก่อนจะหันไปตะโกนเรียกให้เด็กที่หลบอยู่ขึ้นไปตามคนที่อยู่ด้านบน

              ราชันมองรอบๆก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟาบุหนังสีอ่อนที่กลางร้านยกขาขึ้นไขว่ห้างเหมือนที่ชอบทำ

              “ระหว่างนี้ฉันของถามอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นหน่อยสิ” และเหมือนรู้ความต้องการของผู้เป็นนายชายหนุ่มสูทดำก็ผายมือเชิญหญิงร่างอวบอ้วนไปข้างหน้าอย่างมีมารยาท

              “เรื่องอะไร” หล่อนถาม

              “คุณเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนั้นหรอ” ราชันถามอย่างใจเย็น

              “ก็แค่คนรู้จัก” หล่อนตอบอย่างไว้ที หาคนหนุ่มตรงหน้าเป็นเจ้าหนี้ของพิมพาจริงอย่างที่คิดหล่อนจะได้มีทางหนีทีไล่ได้ทัน

              “แค่คนรู้จักจริงๆหรอ” เรียวตาหรี่ลงอย่างจ้องจับผิด

              “ก็จริงนะสิ แล้วพวกคุณละเป็นใครทำไมต้องมาตามหายัยนั้นด้วย” ครั้งนี้หล่อนถามกลับบ้าง

              ราชันไม่ตอบอะไรนอกจากระบายยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย

              แม่เล้าวัยห้าสิบมองมายังแขกหนุ่มดูมีฐานะอย่างไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไร ถ้าเป็นเวลาปกติหล่อนอาจยินดีที่มีลูกค้ากระเป๋าหนักหลงเข้ามาแต่ไม่ใช่กับครั้งนี้แน่

            หวังว่าการช่วยคนรู้จักครั้งนี้จะไม่ทำให้ตัวเองลำบากหรอกนะ...

              “เจ้ ให้เด็กไปตามฉันมามีเรื่องอะไร” ความคิดของหล่อนหยุดลงเมื่อน้ำเสียงหวัดห้วนดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินออกมาจากหลังม่ายสีเข้มด้านหลังร้าน

              ราชัยเหลือบมองผู้หญิงมีอายุที่ยังคงสาวและสวยแม้จะดูไร้ราศีไปบ้างแต่อย่างน้อยก็ไม่เสียเปล่ากับสิ่งที่ทั้งฉีดทั้งทำมา ผมเผ้าที่ยังไม่ทันหวีให้เข้าทรงเสื้อผ้าที่ยังคงอยู่ในชุดนอนตัวบางมีแค่เสื้อคุมบอกให้คนมองรู้ได้กลายๆว่าพิมพาคงยังไม่ตื่นและสีหน้าฉุนเฉียวนั้นก็เพราะเขามากวนเวลานอนของเธอ

              แต่ใครสนกันละ...

              “ก็นี้ไง มีคนมาหาแก” แม่เล้าว่าพลางชี้มาที่ชายร่างขาวซีด

              พิมพามองคนที่ว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าเสื้อผ้ายี่ห้อดีที่ไม่ได้มีขายตามท้องตลาดทั่วไปรองเท้าหนังขัดมันราคาแพงทำเธอตาวาว แต่ “ใครอะเจ้”

              “เอ้า ฉันจะรู้กับหล่อนหรือไง เขาบอกว่ามาหาหล่อนหล่อนก็คุยกับเขาเองแล้วกัน” แม่เล้าว่าอย่างตัดช่องน้อย ดันร่างที่ยังไม่สร่างตื่นดีนั่งลงตรงที่หล่อนนั่งเมื่อครู่แล้วรีบเดินหนีมาหลบอยู่กับบรรดาเด็กๆของตัวเองที่หลังร้าน

              “คุณเป็นใคร มีธุระอะไรกับฉัน” พิมพาถามขึ้น  หล่อนไม่รู้จักชายหนุ่มตรงหน้าและมั่นใจด้วยว่าไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน

               แล้วมาหาเธอทำไม...

              “พอดีผมมีเรื่องอยากจะถามอะไรคุณหน่อย”  ราชันยิ้ม

              “ถามอะไร” แน่นอนว่าพิมพาไม่ไว้ใจคนตรงหน้าเท่าไร

              “รู้จักคนที่ชื่อ เปลวอรุณ สินะ”

              “นี้แกรู้จักเด็กนั้นด้วยอย่างนั้นหรอ” สรรพนามที่ออกมาจากปากของพิมพาเริ่มเปลี่ยนเมื่อพูดถึงลูกติดของสามีเก่า

              “รู้สิ ผมยังรู้อีกว่าคุณคือแม่เลี้ยงของเขา” ราชันแย้มยิ้มสร้างภาพลักษณ์ใจดีอย่างที่ชอบทำ “แล้วทำไมแม่เลี้ยงคนดีคนเดียวคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี้ได้กันนะ” เท้าศอกลงกับที่วางแขนเหมือนคนที่กำลังหาคำตอบ

              มือเรียวกำแน่นใบหน้าสวยเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธยามนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในสถานที่น่ารังเกียจอย่างนี้ ที่จริงพิมพากับแม่เล้าอ้วนไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรเป็นการส่วนตัวหากแต่แค่เป็นคนรู้จักที่เจอกันบ่อยๆที่วงการพนันพอเธอลำบากแม่เล้าก็เสนอให้เธอมาช่วยงานที่นี้ทั้งที่จริงหล่อนเองก็ไม่อยากจะทำแต่เพื่อแลกกับที่ซุกหัวนอนยังไงมันก็ต้องยอม ในเมื่อบ้านหลังเก่าของเธอก่อนที่จะมาอยู่กับพ่อของเปลวอรุณก็ถูกขายใช้หนี้ไปแล้ว

              “เอ๋ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ราชันไล่ต้อน หรี่ตามองปฏิกิริยาของคนตรงหน้า

              “แกต้องการอะไร” พิมพาตวัดสายตามองอีกคน น้ำเสียงที่ดังลอดไรฟันออกมาบอกได้ชัดว่าหล่อนไม่สบอารมณ์เท่าที่ควรที่ถูกคนหนุ่มถามซอกแซก

              “งั้นอีกคำถาม คุณรู้จักบัตเตอร์ฟรายคลับกับเจ้าพ่อเงินกู้ที่ชื่ออนิรุทธิ์หรือเปล่า”

              “นี้แก” ม่านตาหล่อนเบิกกว้างอย่างตกใจ

              “รู้จักสินะ งั้นถามต่อเลยแล้วกัน” ราชันไม่ปล่อยให้เสียเวลา เอกสารที่ได้จากวาเลนติโนถูกส่งมาตรงหน้าพิมพา

              หล่อนมองอย่างชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะหยิมมันขึ้นมาอ่าน

              เอกสารที่คุ้นเคยแต่ข้อความในนั้นกลับผิดแปลกไปจากครั้งหนึ่งที่เธอเคยอ่าน มือเรียวที่จับแผ่นกระดาศออกแรงจับจนขอบข้างยับแล้วเปามันลงโต๊ะอย่างไม่พอใจ

              “มันไม่ใช่ของจริง ฉันไม่ได้ทำ” หล่อนตวาดลั่น

              “จริงหรอ”

              “จริงสิ” หล่อนรีบยืนยัน “ดูนี้นะ” พร้อมหยิบเอกสารก็ยืมแผ่นหนึ่งขึ้นมา

              “ฉันกู้ยืมเงินจริง แต่แต่ละครั้งที่ฉันกู้มันไม่เคยเกินแสนเลยสักครั้งแถมฉันก็คืนเกือบทุกงวด” ถึงจะไม่ครบบ้างก็เถอะ

              “แต่เอกสารพวกนี้ฉันได้มาจากห้องทำงานของออแลนโด้ หยวน เจ้าของบัตเตอร์ฟลายคลับเลยนะ อย่างนี้ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้โกหกไม่ได้โกหก”  ราชันแย้งอย่างหยันเชิง อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าทางบัตเตอร์ฟลายคลับกับอนิรุทธิ์มีความเกี่ยวข้องกันยังไง แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้เขาสามารถเอาข้อมูลที่ต้องการกลับมาได้ในครั้งเดียว

            ก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก

              “ฉันพูดความจริง โธ่เว้ย” เธอสบถก่อนจะเปิดหาเอกสารที่ยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

              “นี้ไง” หลังจากหาอยู่สักพักเธอก็ยืนเอกสารที่อยู่ด้านหลังขึ้นมาให้ราชันดู “แกดูนี้ เห็นไหมว่ามันเป็นเอกสารกู้ยืมที่ลงวันที่เดียวกันกับอันนี้” ประกายตาของพิมพาแฝงไปด้วยความหวังพร้อมส่งเอกสารคู่แฝดมาให้ชายหนุ่ม

              นัยน์ตาเรียวไล่มองเอกสารตามที่พิมพาว่า ซึ่งก็จริงอย่างที่หล่อนว่า วันที่เดียวกัน เนื้อหาด้านในเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ตรงจำนวนเงินและน้ำหมึกที่ใช้เขียน เหมือนกับว่าฉบับหนึ่งคือฉบับจริงและอีกฉบับคือฉบับที่ถูกทำขึ้นใหม่

               “แต่ลายเซ็นนี้ก็ลายมือคุณไม่ใช่หรือไง” ราชันถามกลับ

              “มันปลอมกันได้ แกดูดีๆ”

               เมื่อมีโอกาสแก้ต่างความผิดและน่าจะเป็นทางที่พาหล่อนออกไปจากที่นี้ได้พิมพาก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ไม่ว่าราชันจะถามหรือซักอะไรพิมพาก็ยอมตอบออกมาแต่โดยดีไม่มีอิดออด จนได้ความแน่ชัดแล้วว่าเอกสารในมือที่ตนมีอยู่นั้นมันมีทั้งหมดสองชุด

               ของจริงกับของปลอม...

               ราชันกรีดยิ้ม ความพอใจทำให้อารมณ์ของเขาเริ่มดีขึ้น

              “แล้วทำไมคุณไม่บอกความจริงไปละว่าคุณถูกใส่ความ” เขาถามพลางเก็บเอกสารเข้าซอง

             “ก็เปลวมันฟังฉันที่ไหนละ” พูดแล้วก็แค้นใจ หล่อนยังจำได้ดีว่าตัวเองถูกมันไล่ออกมาอย่างหมูอย่างหมายังไง

             อย่าให้ถึงตาฉันบ้างละกัน...

             “ทำไมละ เปลวอรุณไม่น่าจะใช่คนที่ไม่มีเหตุผลนะ” ราชันหรี่ตาถาม เปลวอรุณที่เขารู้จักไม่ใช่คนไร้เหตุผลและเท่าที่เขาเห็นในเอกสารมาก็พอจะรู้ได้อยู่ว่าอะไรที่ทำให้คนใจเย็นแบบนั้นฉุนเฉียวเส้นอารมณ์ขาดได้

             ก็แค่อยากรู้ว่าพิมพาจะตอบเขาว่ายังไง...

             “มันติดผู้ชายไงละ ฉันพูดอะไรไปมันก็ไม่สนใจหรอก เหอะ ปากบอกจะใช้หนี้แทนให้ฉันเดานะมันก็คงเอาตัวเข้าแลกนั้นแหละ แหม่ จับได้ปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น” คำปรามาสที่หาความจริงไม่ได้นั้นพิมพารู้ดีแกใจว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่แล้วจะยังไงละ ไอ้หนุ่มตรงหน้าก็คงไม่แคล้วเป็นผู้ชายที่มาติดพันลูกเลี้ยงของหล่อนแน่ ใส่ไฟเล็กๆน้อยๆให้ชีวิตแสนจืดชืดของเปลวอรุณมีสีสันพอให้หล่อนขบขันสักหน่อยจะเป็นไรไป

               “อย่างนั้นหรอครับ” ราชันจับจ้องผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังเริ่มเปิดปากเล่าความเท็จต่ออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

             “ฉันนั้นทั้งรักและเอ็นดูเปลวมาตั้งนาน เห็นมันเหมือนลูกไอ้เงินที่กู้ยืมมาก็เพื่อช่วยมัน เนี้ยเงินก้อนใหญ่อันสุดท้ายฉันก็เอาซ้อมแซมบ้าน...” คนที่กำลังตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จไม่มีทางรู้หรอกว่าราชันพยายามข่มอารมณ์ตนขนาดไหน

             “อย่างนั้นหรอครับ น่าเห็นใจคุณจริง” ราชันว่าอย่างเห็นใจ กุมมือของพิมพาเหมือนปลอบใจทั้งที่ขยะแขยงมันเต็มทน

              “ผมจะหาทางช่วยให้คุณได้กลับไปเคลียร์ใจกับเปลวอรุณให้ได้เลยนะครับ” ราชันว่า

              พิมพาตาวาวระยับ หาเป็นจริงอย่างที่ชายหนุ่มว่านั้นก็หมายความเธอจะได้ออกไปจากสถานที่อโคจรแบบนี้เสียที

             “จริงๆหรอคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ ฉันละเป็นห่วงเปลวมันจริงๆกลัวมันจะถูกหลอกซ้ำซาก” หล่อนจีบปากจีบคอเรียกความเห็นใจ

            “แน่นอนครับ”

             ราชันตบเบาๆที่หลังมือเหมือนให้คำมั่นก่อนจะขอตัวกลับโดนมีพิมพาเดินออกมาส่งที่หน้าประตูโดยไม่ลืมที่จะย้ำให้ราชันช่วยพูดกับเปลวอรุณให้เธอได้กลับไปอยู่บ้านนั้นอีกครั้งด้วยเช่นกัน

             ราชันยิ้มให้พิมพาอีกครั้งจนบานประตูไม้นั้นถูกปิดลงกลอนรอยยิ้มที่ประดับลงใบหน้าก็เลือนหายกลายเป็นใบหน้านิ่งเรียบและเย็นชาเกินจะคาดเดาอารมณ์

             “แอ็ดเวิร์ด”

             “ครับ”

            “ที่สั่งไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

             “ครับ”

            “ดี” ราชันยกยิ้มพอใจกับงานที่สั่งไว้ ร่างชาวซีดหมุนกายกลับแล้วเริ่มออกเดินไปตามทางที่เดินมาเมื่อครู่พร้อมออกคำสั่งให้ให้หนุ่มต่างชาติรับรู้และจัดการ

            “ทำยังไงก็ได้อย่างให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในชีวิตเปลวอรุณได้อีก เอาให้หายไปเลยก็ยิ่งดี”



____________________________________________________

มีใครคิดถึงพิมพาบ้าง
มาให้พอหายคิดถึงก่อนจะโดนหนูราชันสั่งอุ้ม


มีใครเดาอาการหนูเปลวได้บ้าง หนูเปลวเป็นไรบอกที ???


ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ท้องแล้วววว

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
เปลวท้องแน่ๆๆ

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ราชันดูมีความวอแวววว สมมุติถ้ารักเปลวจริงแล้วทำไมเพิ่งโผล่หัวมาละหื้อออออ??

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ราชันเหมือนหมาหวงก้าง ตั้งนานไม่โผล่มา
พอเปลวตกลงปลงใจกับอัน ก็รีบมาทันที!

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ว้ายยยยยยเปลวท้องซะแล้ว แอบกลัวว่าจะหอบลูกหนี

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :เฮ้อ:


ราชันนน ไปอีกกกกก

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 23


           “โอ๊ย!”

          “คุณเปลวเป็นอะไรไหมคะ ว้าย” เสียงร้องตกใจของแม่บ้านสาวที่อยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งช่วงแขนร้องขึ้นพร้อมปรี่ตรงเข้ามาประคองมือขาวซีดก่อนจะอุทานเสียงหลงเมื่อฝ่ามือขาวนวลนั่นนองไปด้วยเลือดสีเข้ม

           “ไม่เป็นไรแวว” เปลวอรุณยิ้มแห้ง นึกโทษความสะพร้าของตัวเองที่ทำให้คนอื่นพลอยตกอกตกใจไปด้วย

           “แต่เลือดออกเยอะเลยนะคะ” แววตาโตตาลีตาเหลือกดึงมือขาวมาล้างเลือดออกก่อนจะดุนหลังเจ้านายให้ออกจากครัวไปทำแผลให้เรียบร้อย

           “คุณเปลวไปทำแผลก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวในครัวแววจัดการต่อเอง” เธอออกปากไล่เจ้านายอย่างเป็นห่วง จำนวนเลือดที่ออกเองก็ไม่ใช่น้อยขนาดว่าล้างเลือดออกแล้วแต่เลือดใหม่ก็ยังคงออกมาอีก

             แต่เปลวอรุณกลับรั้นบอกว่าไม่เป็นไรดื้อจะทำอาหารต่อจนสาวเจ้าอยากร้องไห้ใส่ให้รู้แล้วรู้รอดโชคดีที่ลุงอุ่นที่เพิ่งเดินเข้ามาหลังจากไปดูคนสวนกับคนขับรถช่วยกันเอาต้นไม้ใหม่ที่เปลวอรุณซื้อมาลงดินเรียบร้อยแล้วมาเจอเข้าจึงพูดแกมบังคับให้คนอิดออดมานั่งทำแผลที่ห้องนั่งเล่นดีๆ

              บาดแผลไม่ลึกแต่เป็นทางยาวรู้สึกเจ็บมากตอนที่ลุงอุ่นเอาสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดบริเวณรอบๆปากแผล ก่อนจะออกไปลุงอุ่นก็ยังไม่วายที่จะกำชับไม่ให้เขาหยิบจับอะไรอีกลุงอุ่นแกเลยกลัวว่าเขาจะไปหยิบนู้นจับนี้แล้วจะทำให้แผลปริแล้วเชื้อโรคจะเข้าเนื่องจากแผลยังใหม่อยู่อีกทั้งยังเป็นมือข้างที่ถนัดด้วย

             ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับคนอยู่ไม่สุขอย่างเขา...

             เปลวอรุณมองฝ่ามือที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวแล้วถอนหายใจออกมา นึกย้อยไปแล้วก็คิดหนักรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเขาเองวูบอยู่บ่อยๆอย่างตอนที่เกิดเรื่องนี้ก็เหมือนกันทั้งๆที่กำลังหันกะหล่ำปลีอยู่ดีอยู่ๆภาพตรงหน้ามันก็เบลอๆจนเกือบทรงตัวไม่อยู่มือเจ้ากรรมก็ดันเผลอปล่อยมืดให้หลุดจากมือแล้วไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ทำไมถึงได้เอามืออกไปรับและรับเอาตรงส่วนแหลมเข้าเสียด้วย

            “คิดอะไรอยู่นะเรา” เปลวอรุณพึมพำ

            แต่พออยู่นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ก็พลอยรู้สึกเหงาแปลกๆ เพราะนอกจากตัวเขาที่ถูกไล่ให้ออกมานั่งคนเดียวอยู่ที่ห้องนั่งเล่นแล้วลุงอุ่นกับแววก็อยู่ในครัวเตรียมกับข้าวสำหรับตอนเย็น ส่วนคนขับรถก็ช่วยคนสวนเอาต้นไม้ลงอยู่ที่สวนหลังบ้าน แม่บ้านอีกสองคนลาหยุดไปต่างจังหวัด ส่วนอัมรินทร์ก็พาลูกตาลไปตะแวนหาสถานที่ติวหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงจะโทรมาบอกว่ากำลังกลับก็เถอะแต่ก็คงอีกสักพักใหญ่ๆเลยละกว่าจะกลับเข้ามา อนิรุทธ์เองก็มีประชุมประจำเดือนที่โรงเรียนตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับก็คงตอนเย็น

                เหงา...

                พอไม่มีเสียงต่อล่อต่อเถียงของอัมรินทร์กับลูกตาลที่ชอบต่อล่อต่อเถียงกันให้ได้ยินแล้วรู้สึกเหงาแปลกๆเหมือนมีบางอย่างขาดๆหายๆไปจากชีวิตประจำวัน

                “หงิง”

               แต่ขณะที่เขากำลังนั่งทำหน้าหง่อยเหงาอยู่นั้นเสียงเรียกจากอีกหนึ่งชีวิตที่ช่วงนี้มักจะชอบเดินตามติดเขาเหมือนเงาตามตัวแทบจะตลอดเวลาอย่างมณีนิลดังขึ้นพร้อมขาหน้าข้างหนึ่งวางลงที่หน้าตักของเขาคล้ายจะถามว่าเขาเจ็บหรือไม่

              เขาคลี่ยิ้มให้มันพร้อมกับตบลงที่พื้นที่ข้างๆที่ยังว่างอยู่เป็นเชิงอนุญาตให้เจ้าตัวแสบที่ทำหูลู่ขึ้นมาได้ พอขึ้นมาได้สิ่งแรงที่มณีนิลทำเลยก็คือการเอาจมูกชื้นๆของมันดมฟุดฟิดไปตามแขนและพยายามที่จะใช้จมูกดุนสี่ข้างของเขาเหมือนกำลังบอกให้เขาเบี่ยงตัวให้มันไปดมที่ข้างหลังบ้าง เขาปล่อยให้เจ้าตัวแสบทำจมูกฟุดฟิดไปตามร่างกายเขาจนพอใจก่อนที่มันจะเปลี่ยนมาเป็นเอาหัวถูไถที่หน้าท้องเขาเบาๆแล้วซบลงที่ตักอย่างที่ชอบทำ ดูเหมือนจะทำเป็นกิจวัตรเสียแล้วด้วยสิที่เวลาอยู่ด้วยกันมณีนิลมักจะชอบทำสองสิ่งนี้ก่อนเสมอ

                 เขานั่งอยู่กับมณีนิลเฉยๆไม่ได้ทำก็เริ่มการกดรีโมทไล่เปลี่ยนช่องรายกายไปเรื่อยๆดูเหมือนจะเป็นการฆ่าเวลาที่แสนน่าเบื่อหน่ายนี้ของเขาได้ เขาไล่ช่องรายการไปเรื่อยๆและหยุดลงที่ช่องหนังช่องหนึ่งที่กำลังฉายหนังเรื่องหนึ่งที่เขาชอบดูแต่เพราะเปิดมาต่อที่หลังฉายมาแล้วครึ่งเรื่องทำเขานั่งดูเพียงไม่นาหลังเรื่องที่ว่าก็จบลง ความเบื่อหน่ายเดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง

            ปลายนิ้วเรียวไล่เปลี่ยนช่องรายกายอีกครั้งก่อนจะมาหยุดที่ช่องรายการข่าวช่องหนึ่ง ทั้งๆที่มันก็เป็นเพียงช่องรายกายข่าวของสำนักข่าวหนึ่งเท่านั้นแต่ไม่รู้เพราะอะไรทำไมเขาถึงหยุดมือลงที่ช่องนี้

             เปลวอรุณนั่งดูการรายงานข่าวของผู้ประกาศข่าวชายหญิงตรงหน้าไปสักพักก็สะดุดเข้ากับข่าวข่าวหนึ่ง

             // เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานจากพนักงานของโรงแรมแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิทว่าได้มีการพบศพชายต่างชาติและหญิงไทยคู่หนึ่งเสียชีวิตคาห้องพัก โดยสภาพศพพบว่าฝ่ายหญิงถูกยิงเสียชีวิตอยู่บนที่เตียงนอนภายในห้องพักของโรงแรม ส่วนฝ่ายชายนั้นยิงปืนเข้าที่ขมับตนเองเสียชีวิตอยู่ที่ปลายเตียง จากการสันนิษฐานขั้นต้นน่าจะเกิดจากการมีปากเสียงกับแล้วฝ่ายชายพลั่งมือยิงอีกฝ่ายจนเสียชีวิตและยิงตัวตายเพื่อหนีความผิด เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ระบุได้ว่าผู้ตายชื่อว่า นางสาวพิมพา สหวิมาน กับ ..... //

              พิมพา !!

              เปลวอรุณลุกพรวดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยดวงตาหลังกรอบแว่นเบิกกว้างอย่างตกใจจนมณีนิลที่นอนอยู่ที่ตักสะดุ้งตกใจ  มือเรียวขาวซีดสั่นเทาอย่างคุมไม่อยู่ถึงแม้ตนกับแม่เลี้ยงจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสียเท่าไร แต่ความผูกพันในฐานะคนรู้จักกันมาย่อมมีอยู่และการมาเจอข่าวการเสียชีวิตที่น่าอนาถใจของอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องที่ตัวเขาเองไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน

               “อุ”

              อยู่ๆอาหารที่เพิ่งกินไปเมื่อพักใหญ่เหมือนจะตีตื้นขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เปลวอรุณยกมือขึ้นปิดปากแล้วรีบวิ่งออกจากห้องนั่งเล่นไม่สนใจอัมรินทร์กับลูกตาลที่เพิ่งกลับเข้ามา

              อาการพะอืดพะอมทำให้เปลวอรุณแทบไม่สนใจสิ่งรอบๆตัวก้าวขาวิ่งตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับห้องครัวแล้วโก่งคอเอาสิ่งที่เขาอยู่ในท้องออกมาทันทีที่ถึงโถสุขภัณฑ์

             “อ้วกก”

              “เปลว / แม่”

              เสียงของอัมรินทร์กับลูกตาลดังตามไล่หลังอีกคนมาอย่างตื่นตระหนก  ไม่รอช้าอัมรินทร์รีบตรงเข้ามาลูบหลังหวังให้คนที่โก่งคออาเจียนขับของเก่าออกมาได้สะดวกส่วนลูกตาลวิ่งกลับเข้าไปในครัวหาน้ำมาให้ดื่มล้างคอรวมถึงนำผ้าเย็นที่แช่อยู่ติดมาด้วย

              “เปลวเป็นอะไร” อัมรินทร์ถามอย่างร้อนรน ใบหน้าของเปลวอรุณซีดลงเรื่อยๆจนน่ากลัว

              “ผมไม่ อึก เป็นไร” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่ตอนนี้เขาแสบลำคอไปหมดแล้ว

              “น้ำหน่อยครับแม่” เปลวอรุณรับแก้วน้ำที่ถูกส่งมาให้บ้วนปากไปครั้งหนึ่งไล่ความคาวขมในช่องปากก่อนจะรับอีกแก้วมาดื่ม

                “ทำไมอยู่ๆถึงอ้วกออกมาอย่างนี้” อัมรินทร์ถามเสียงเครียดลูบหน้าลูกตาให้อีกคน ลูกตาลเองก็รีบแกะผ้าเย็นออกมามาเช็ดหน้าให้เพื่อให้เปลวอรุณรู้สึกสดชื้นขึ้น

                “ผมไม่เป็นไร อึก อ้วกก”  เปลวอรุณอาเจียนออกมาอีกครั้งจากกลิ่นน้ำหอมที่อยู่ในผ้าเย็นจนเผลอปัดมันออกจากมือของลูกตาลอย่างแรงจนเด็กหนุ่มตกใจ

               หลังจากอาเจียนขย้อนเอาทั้งของเดินและน้ำย้อยในกระเพาะออกมาจนหมดร่างกายมันก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมดร้อนถึงอัมรินทร์ต้องเป็นช้อนตัวอีกคนขึ้นอุ้มแล้วพามานั่งที่ห้องนั่งเล่น  ลุงอุ่นกับแววเองที่วิ่งตามลูกตาลมาก็รีบเอายาดมมาให้พลางช่วยพัดระบายอากาศให้อยู่ข้างๆ

                   “เกิดอะไรขึ้นเปลว แล้วมือนี้” อัมรินทร์ที่ใช้ตัวต่างหมอนรองหลังให้อีกคนพิงถามขึ้นก่อนจะสังเกตเห็นบางสิ่งที่มือข้างขวา

                  “ผมซุ่มซ่ามนิดหน่อยนะครับ” เจ้าตัวพูดโดยไม่ลืมตา

                 “มันไม่นิดแล้วเปลว”  อัมรินทร์ขึ้นเสียงเล็กน้อย ผ้าพันแผลที่ฝ่ามือมีเลือดซึมออกมาจนเกือบชุ่ม เขาไม่เข้าใจว่าอีกคนทำไมยังใจเย็นได้ขนาดนี้แล้วนี้เป็นมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้

                “เอ๊ะ ทำไมเลือดยังไหลออกมาอีกละ” ลุงอุ่นที่เป็นคนทำแผลให้เอ่ยขึ้นอย่างสงสัยในเมื่อตอนที่ทำแผลตนจำได้ดีว่าเลือดมันหยุดไหลไปแล้ว แถมมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย...

                “หรือแผลมันจะลึกกว่าที่เราเห็นจ๊ะลุง” แววตั้งข้อสงสัยตามสิ่งที่เห็น มืดที่เปลวอรุณใช้เธอเองเป็นคนรับคมมันใหม่เมื่อเช้าเป็นไปได้ไหมว่ามันจะคมจนบาดลึกกว่าที่เห็น

                “แล้วไปทำยังไงให้มันบาดได้” ลูกตาลขมวดคิ้วแน่นถามเสียงเครียดพลางมองมือเปื้อนเลือด

                “หน้ามืดนิดหน่อยนะ ไม่เป็นอะไรหรอก” เปลวอรุณยิ้มแห้ง

                 “ไปหาหมอเถอะเปลว” อัมรินทร์พูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “อาทิตย์นี้เปลววูบไปหลายรอบแล้วนะ ไปหาหมอเถอะเพื่อเป็นอะไรมากกว่านี้”

                  “แต่-“

                  “ไปเถอะค่ะคุณเปลว วูบบ่อยๆแบบนี้มันอันตรายนะคะ” แววเสริมขึ้น

                 เพื่อความสบายใจของทุกคนเปลวอรุณจึงยอมที่จะให้อัมรินทร์ขับรถพาตนไปยังโรงพยาบาลที่อย่างว่าง่าย โดยไม่ลืมที่จะถือยาดมที่ลุงอุ่นให้มาติดมือตามด้วย

                 ระหว่างทางเปลวอรุณก็เล่าเรื่องข่าวที่ตนเพิ่งได้ดูไปก่อนหน้าให้อีกคนฟัง อัมรินทร์เองก็ถึงกลับนิ่งเงียบคล้ายไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่ได้รับฟังมาเหมือนกัน แต่เพราะไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันอีกทั้งความสัมพันธ์ก็ไม่ใช่เชิงบวกเสียเท่าไรอาการเศร้าโศกจึงไม่มีปรากฏออกมาให้เห็น

 

                 ผิดกลับใครบางคน...

 

                 “ยิ้มร่าเลยนะ” เสียงทุ้มที่ออกแนวจิกกัดดังขึ้นยามมองคนที่ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในห้องชุดขอคอนโดหรู

                 ราชันปรายตามองคนตัวใหญ่ที่กอดอกพิงกรอบประตู แม้จะไม่ชอบใจกับน้ำเสียงกระแนะกระแหนน้ำเท่าไรแต่ก็ไม่ทำให้รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปแต่อย่างใด

                ก็คนมันมีความสุขหนิเนอะ...

               “คนมีความสุขจะให้ร้องไห้หรือไง”

               วาเลนติโนส่งเสียง ‘เหอะ’ ออกมาให้กับคำพูดยอกย้อนนั้นก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นของคอนโดหรูขนาดใหญ่ ทรุดตัวนั่งลงข้างคนที่เปิดหน้านิตยาสารต่างชาติไปมาอย่างมีความสุข

              “ใช้ลูกน้องฉันอย่างกับเป็นของตัวเองแบบนี้มันน่าเก็บค่าใช้จ่ายนัก” ชายตัวใหญ่พูดพลางกดเปลี่ยนโหมดโทรทัศน์จากโหมดเครื่องเล่นเพลงเป็นรายการธรรมดา

               “ก็นายเป็นคนเคยบอกเองนี่น่าว่าใช้ได้ตามใจชอบ” ราชันย้อน

                “ก็ใช้”

              ดวงตาสีอ่อนจ้องมองรายการข่าวตรงหน้าที่กำลังเสนอข่าวข่าวหนึ่งเกี่ยวกับการฆ่ากันอันมีเหตุสันนิษฐานมาจากการมีปากเสียงกันชองชายหญิงคู่หนึ่ง

              ราชัยเปรยตาขึ้นมองก่อนยกยิ้มมุมปากชอบใจ

              “เลือดเย็นใช่เล่นนะ” คล้ายกับคำชมแต่ราชันรู้ดีว่ามันออกจะห่างไกลจากคำว่าชมเชยเป็นอย่างมาก

               แต่เขาก็ขอน้อมรับไว้แล้วกัน...

               “ ไม่ดีหรือไงที่อย่างน้อยฉันก็ช่วยจัดการไอ้ตัวหนอนอ้วนให้นายไปด้วย” วานเลนติโนกระตุกยิ้ม

               จริงอยู่ที่ผู้ชายคนที่กลายเป็นศพอยู่คู่กับพิมพาจะเป็นหนึ่งในคนที่เขาเองก็นึกสงสัยว่ามันจะเป็นคนที่คิดไม่ซื่อต่อธุรกิจของเขาแต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวร้ายข้างๆเขามันจะจัดการเก็บเรียบแบบนี้

               น่าชื้นชมเสียจริง...

               “แล้วจะเอายังไงต่อ”

               “อะไร”

               “ก็เรื่องที่ทำอยู่นี้ไง”  วาเลนติโนหยิบเอานิตยาสารในมือของราชันออกแล้วจับอีกคนให้หันหน้ามามองเขาตรงๆ

               “นายมีแผนอะไรต่อจากนี้”

                “ก็ไม่มี”

                 “แล้วนายจะบอกเรื่องที่เสี่ยงไปหามานี้กับคนที่ชื่อเปลวอรุณเมื่อไร”

                  “อีกไม่นานนี้หรอก”

                 “แล้วหลังจากนั้นละ”

                 “หลังจากนั้นทำไม” ราชันย้อนถามพร้อมหลบสาบตาที่คล้ายจะแฝงความนัยบางอย่างจากดวงตาสีอ่อนแสนดุดันคู่นั้น

                  “หลังจากที่นายเปิดโปงอัมรินทร์แล้วนายจะทำยังไงต่อ” เขาอยากรู้

                   ตั้งแต่รู้จักกับราชันมา ‘เปลวอรุณ’ ก็เหมือนเป็นชื่อที่อยู่คู่กับอีกฝ่ายมาตลอดไม่ว่าจะทำอะไรหรือคิดอะไรก็มันจะมีชื่อของคนคนนี้ออกมาเสมอ

                   เขาไม่รู้จัก ไม่เคยเจอหน้า เหมือนกับว่ามีตัวตนอยู่แค่ในความนึกคิดของอีกคนเท่านั้น...

                ความนึกคิดที่มีตัวตนอยู่จริง...

               “นายจะอยากรู้ไปทำไม” ราชันเหลือบมองคนถามด้วยหางตา

               “ก็นายเอาคนของฉันไปใช้ ฉันก็น่าจะมีสิทธิที่จะได้รู้”

                ราชันเค้นยิ้ม “แล้วไม่ใช่เพราะนายเองหรอ”

              “หมายความว่าไง”

              “อย่าลืมสิว่านายเองก็มีส่วนที่ทำให้เขาไปจากฉัน ถ้าไม่เพราะนายเปลวอรุณของฉันคงไม่ต้องไปหวังพึ่งไอ้หมอนั้น” ราชันหันกลับมาเหยียดยิ้ม ไม่สนใจมองมือหนาที่พาดยาวทางขอบโซฟาว่าจะกำกันแน่นขนาดไหน

              “แล้วถ้านายบอกไปแล้วแล้วเปลวอรุณยังเลือกที่จะอยู่กับอัมรินทร์ต่อนายจะทำยังไง” ความเป็นไปได้ข้อนี้ราชันเองก็คิดเอาไว้เช่นกัน

              “ฉันเคารพการตัดสินใจของเขาเสมอ” ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ไม่ว่าเปลวอรุณจะตัดสินใจอะไรเขาก็ไม่เคยก้าวก่ายมีแต่คอยซัพพอร์ตอยู่ห่างๆ เพราะทุกการตัดสินใจของเปลวอรุณย่อมมีเหตุผลเสมอ

              “ถ้าเขาเลือกที่จะกลับมาหาฉันมันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ฉันกับเขาจะได้เคลียร์ใจกันให้จบไม่ต้องมาค้างคาแบบนี้” เขาไม่ชอบเลยที่ถูกอีกคนทำตัวห่างเหินใส่แบบนี้ และเขาก็ไม่รู้หรอกว่าความหม่นหมองในแววตาของเขาจะถูกใครจับจ้องอยู่

              แต่..

              “แต่ถ้าเขาเลือกที่จะยังอยู่กับหมอนั้นต่อ ฉันก็คงต้องยอมรับ”

              “ง่ายอย่างนั้นเลยหรอ” วาเลนติโนถามอย่างแคลงใจ เขาไม่เชื่อว่าราชันจะยอมง่ายๆ กว่าที่หาข้อมูลมาได้แต่ละขั้นแต่ละตอนไม่ใช่เรื่องง่ายถึงจะไม่ได้เป็นคนลงไปหาเองก็ตามที

              เขาไม่เชื่อ...

              วาเลนติโนหรี่ตามองอย่างจับผิด

              ราชันทำเพียงแค่คลี่ยิ้มอ่อนพลางหัวเราะเบาๆในลำคอของตนเองเหมือนอย่างที่ชอบทำเวลาโดนจับไต๋ได้

              “นั้นสินะ มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรอ”

              “นายคิดจะทำอะไร” วานเลนติโนถาม “บอกฉันได้ไหม” ประโยคหลังนั้นเสียงอ่อนเบาเหมือนคำร้องขอ

              คนเจ้าแผนการเปรยตามองก่อนจะตอบ

              “ถ้าเปลวอรุณเลือกกลับไปหาอัมรินทร์จริง ฉันก็ขอใช้เขาทำอะไรนิดๆหน่อยๆให้อัมรินทร์ตกใจเล่นสักหน่อยละมั่ง”

…………………………………..

             

              “แผลที่มือเท่าที่ดูก็ไม่ได้ลึกมาจนถึงต้องเย็บอะไร แต่เพราะเลือดออกเป็นจำนวนมากบอกกับอาการตามที่คุณพูดมาหมอต้องขออนุญาตนำเลือดกับปัสสาสะของคุณไปตรวจเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรนะครับ”  เสียงของหมอหนุ่มหน้ายิ้มคนเดิมที่เคยตรวจอาการให้กับเปลวอรุณก่อนหน้าเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มประจำบนใบหน้า

              บาดแผลที่มีของเปลวอรุณได้รับการตรวจและทำแผลใหม่เรียบร้อยแล้วบาดแผลไม่ลึกแต่เลือดกลับไหลออกมาเยอะไปจนผิดวิสัยผนวกกับอาการตามที่เจ้าตัวและอัมรินทร์เล่าออกมาทำให้หมอหนุ่มเลือกที่จะขอนำของเหลวในร่างกายของคนไข้ไปตรวจใหม่อีกรอบเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

            แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตรวจปัสสาวะร่วมด้วย....

              “ไม่มีครับ” อัมรินทร์ตอบขึ้นแทน ถ้าเพื่อเป็นการตรวจแล้วละก็เขาไม่ขัดอะไรทั้งนั้น

              ขอแค่เปลวอรุณหาย....ก็พอแล้ว

              “ถ้ายังเดี๋ยวเชิญพวกคุณออกไปรอที่ด้านนอกก่อนนะครับเดี๋ยวพอผลตรวจได้แล้วผมจะให้พยาบาลเรียกอีกทีนะครับ”

              เปลวอรุณกับอัมรินทร์พยักหน้ารับก่อนจะพากันเดินออกมานั่งที่โซฟารับแขกด้านอกห้องตรวจ

              “อยากกินอะไรหน่อยไหม” อัมรินทร์หันมาถามไถ่หลัจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เมื่อกี้อีกคนอาเจียนออกมาหมดเขามั่นใจว่าเปลวอรุณต้องหิวอยู่หน่อยๆแน่

              “ก็ดีเหมือนกันครับ”

              “ถ้าอย่างนั้นเปลวรอฉันตรงนี้ก่อนเดี๋ยวฉันลงไปซื้ออะไรมาให้”

              เปลวอรุณอิดออดคล้ายไม่อย่างให้อีกคนไป แต่เพราะความหิวหน่อยๆทำให้เจ้าตัวเลือกที่จะพยักหน้าตอบกลับ

              อัมรินทร์ลุกขึ้นไปหยิบน้ำดื่มที่ทางโรงพยาบาลจัดวางไว้บริการมาให้อีกคนดื่มรองท้องก่องจะเดินออกจากแผนกตรวจไปยังโซนขายของ

              ช่วงนี้เปลวอรุณกินน้ำเยอะขึ้นกว่าปกติของที่เขาเลือกส่วนใหญ่จึงเป็นพวกน้ำผลไม้เย็นๆสองสามอย่างกับน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด ขนมปังไส้กรอกอีกหนึ่งถุงเพราะเปลวอรุณแทบไม่แตะของหวานเลยแถมอย่างอื่นก็ดูจะหวานไปหน่อยด้วย

              อัมรินทร์เดินเลือกของอยู่สักพักก็ได้ของครบตามที่ตัวเองต้อง เขาเอาของทุกอย่างไปชำระเงินที่เคาร์เตอร์ก่อนจะเดินกลับมาหาเปลวอรุณที่นั่งอยู่ที่เดิมไปหาไปไหนเหมือนครั้งก่อน

              เขาคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา

              “หมอยังไม่เรียกอีกหรอ”

             ใบหน้าขาวที่ยังติดซีดเซียวอยู่บ้างเงยขึ้นมามองคนที่เดินกลับมาแล้วส่ายหัว

               “เอานี้ กินรองท้องหน่อย” อัมรินทร์ว่าพลางแกะถุงใส่ขนมปังออกแล้วส่งให้

               “ทำไมนานจัง” เขาบ่นพึมพำ มือก็เปิดขวดน้ำผมไม้ออกเอาหลอนใส่แล้วประคองป้อนคนที่เคี้ยวขนมปังจนแก้มตุ่ย

               ของกินหมดแล้ว แต่หมอก็ยังไม่เรียกอัมรินทร์ขมวดคิ้วคล้ายไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่ต้องมานั่งรออะไรนานๆแบบนี้

               ระหว่างที่นั่งรอเขาเองก็พยายามชะเง้อมองไปยังห้องตรวจอยู่บ่อยๆ พยาบาลเองก็เดินเข้าออกห้องตรวจห้องนั้นอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ

                “คุณอัน”

                 “ครับ” เขาหันกลับมาขานรับคนเรียก

                 “ผมหิว” เปลวอรุณก้มหน้าน้อยๆเหมือนเด็ก

                 “แต่เพิ่งกินไปเองนะ” อัมรินทร์เลิกคิ้วมองคนที่บอกว่า‘หิว’ทั้งๆที่เพิ่งกินของทุกอย่างที่เขาซื้อมาคนเดียวหมดไป

                  “ก็มันหิว” เปลวอรุณตอบกลับเสียงแผ่วบีบมือข้างที่กุมมืออีกคนเบาๆคล้ายจะข้อร้องอยู่ในใจ

                  “แต่เดี๋ยวจะกลับไปกินข้าวเย็นไม่ไหวเอานะ” อัมรินทร์ตะลอม

                   “น้ำผลไม้หรือนมก็ได้ครับ” ของหนักคงไม่ได้งั้นของเป็นของเบาๆอย่างพวกน้ำแล้วกัน

                    “อ่าๆ เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้แล้วกัน” บางทีอัมรินทร์ก็รู้สึกเหมือนว่าช่วงนี้เปลวอรุณจะอ้อนเก่งเกินไปหรือเป็นเขาเองที่ตามใจอีกคนเสียเคยตัว ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เป็นอันต้องเออออตามน้ำกันไปตลอด

                   “นั่งรออยู่นี้นะ แต่ถ้าหมอเรียกก็เข้าไปก่อนได้เลย”

                     เปลวอรุณอมยิ้มพยักหน้า

                    เปลวอรุณมองตามแผ่นหลังกว้างของอัมรินทร์ไปก็อมยิ้มไปก่อนจะหยิบเอาลูกอมรสเปรี้ยวที่แววนำมาให้ก่อนขึ้นรถมาโรงพยาบาลมาด้วยเข้าปาก

                   รสชาติเปรี้ยวทำให้เขารู้สึกตื่นและกระปรี่กระเป่าขึ้นจากเดิม

                  หลังจากนั่งไปได้สักพักหนึ่งพยาบาลสาวที่อยู่ประจำห้องตรวจนั้นก็เรียกชื่อของเขา เขาขานรับหากแต่อัมรินทร์ยังไม่กลับมาใบหน้าขาวก็ดูจะหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะขยับลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องตรวจอีกครั้ง

                 “ผลตรวจมาแล้วนะครับ” ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มเมื่อก่อนหน้าที่เพิ่งเจอไปหายไปจนเปลวอรุณนึกหวั่นใจในผลตรวจในมือของคนเป็นหมอ

                 “ผลไม่ค่อยดีหรอครับ” เปลวอรุณถามเสียงติดสั่น  อยู่ๆก็เหมือนจะอยากร้องไห้

                 “ก็ไม่เชิงว่าไม่ดีหรอกครับ” หมอหนุ่มยิ้มแกรน 

                 “แล้วมันเป็นอะไรหรอครับ”

                หมอหนุ่มสูดหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ

                 “จากอาการที่คุณเล่าให้ฟังก่อนหน้า วิ่งเวียนศีรษะบ่อยๆ อาเจียนบ่อยครั้งเมื่อได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ แถมอาหารบางชนิดที่ก่อนหน้าเคยกินได้ปกติแต่ตอนนี้กลับกินไม่ได้ ใช่ไหมครับ”

                   “ครับ”

                 “มันเป็นอาหารขั้นต้นของการตั้งครรภ์ ที่แต่ละคนอาจมีแตกต่างกัน”

                “เดี๋ยวนะครับ เมื่อกี้คุณหมอว่าอะไรนะครับ” เปลวอรุณแทรกขึ้น

                 “ยินดีด้วยนะครับ คุณกำลังตั้งครรภ์ได้สามสัปดาห์แล้วครับ” หมอหนุ่มยิ้มยินดี

                คล้ายๆโลกของเขามันหยุดหมุนไปชั่วขณะหนึ่ง มือเรียวขาวยกแนบหน้าท้องแบนราบของตน ยินดีที่ได้รู้ว่าตอนนี้มีใครอีกคนกำลังอาศัยอยู่ร่วมกับเขาในร่างกายร่างนี้ ริมฝีปากที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะเม้มแน่นก็ไม่เชิงขยับไปมาคล้ายทำอะไรไม่ถูก

               อยากจะยิ้มแต่ก็อยากจะร้องไห้ด้วย...

               ยินดี แต่ก็ อธิบายไม่ถูกว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกอีกอย่างในใจ...

               “ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีนะครับสำหรับเรื่องนี้” หมอหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม หากแต่มุมปากที่ยกโค้งก็หุบลงเงียบๆเมื่อมองผลตรวจอีกอย่างในมือ

                 “แต่...”

________________________________________________________
สรุปว่าท้องเนอะ ไม่ได้เครียดหรือเป็นโรคกระเพาะแต่อย่างใด
ตัดฉับเอาตรงนี้หวังว่าคงไม่มีใครค้างคาใจจอะไรเนอะ

ส่วนเรื่องพิมพาก็ไม่ต้องห่วงเนอะ ต่อจากนี้นางจะไม่โผล่มารบกวนทุกคนแล้ว ต้องยกความดีความชอบนี้ให้หนูราชจริงๆ
ตอนหน้าเรามาเจอคนเห่อลูกเห่อมเมียกันอีกสักเล็นน้อยก่อนจะเข้าโค้งมาม่าน้ำข้นชามสุดท้าย

 เพิ่งได้องค์ชายอัปลักษณ์มา เลยมีความตั้งใจตั้งมั่นว่าสิไปเข้าเฝ้าองค์ชาย&เมียองค์ชายสักวันสองวัน
ถ้าหายไปเกินกว่านั้นสามารถตามไปจิดหัวได้ที่หน้าเพจเด้อ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
เปลวท้องแล้วก็เป็นเรื่องดีสิ แล้วจะมีแต่อะไรอีกอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เปลวได้รู้ชัดเจนแล้ว แต่คุณอัมยังไม่รู้ :katai1: :katai1:
หวังว่าจะไม่มีเซอร์ไพรส์อะไรนะ :ling3:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

เป็นหนี้ ครั้งที่ 24



            “แต่”

            ใบหน้าเปรี่ยมยิ้มมีความสุขของผู้ที่กำลังจะเป็นแม่ชะงักรอยยิ้มนิ่งค้าง ดวงหน้าขาวซีดที่ก้มมองหน้าท้องเงยขึ้นมองหมอเจ้าของไข้หนุ่มอย่างงุนงง นัยน์ตาที่ฉายแววทะลึ่งทะเล้นตามประสาหมออารมณ์อย่างที่เขาคุ้นเคยกลับกลายเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยเรื่องกังวลเคร่งเครียด  เปลวอรุณเผลอกลั่นลมหายใจมือบางที่แนบนิ่งอยู่ที่หน้าท้องเผลอกำสาบเสื้อบริเวณนั้นแน่นด้วยความรู้สึกหวั่นใจ

              สังหรณ์ไม่ดี...

              “มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาพยายามที่จะไม่ให้เสียงที่ถามนั่นสั่น

              หมอหนุ่มเองก็เหมือนจะมีสีหน้าที่ลำบากใจอยู่อย่างเห็นได้ชัดก่อนจะตอบคำถามของคนไข้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จากการตรวจเช็คผลเลือดของคุณมาจากทั้งสองครั้งหมอพบความผิดปกติบางอย่าง”

              “ยังไงครับ”

              “เม็ดเลือดของคุณมีความผิดปกติ ตัวเม็ดเลือดขาวของคุณลดลงกว่าปกติส่วนสาเหตุที่บาดแผลของคุณเลือดไหลไม่อยู่ทั้งๆที่บาดแผลไม่ลึกก็เพราะเกล็ดเลือดของคุณลดต่ำลง” หมอเว้นวรรค “ ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าเวลาป่วยมักจะเป็นอาการป่วยระยะยาวเรื้อรังใช่ไหมครับ”

              เขาพยักหน้ารับ

              “แล้วคุณเคยสังเกตตัวเองบ้างไหมครับว่าตามร่างกายของคุณอยู่ๆก็มีรอยช้ำขึ้นมาเองหรือแค่ชนอะไรนิดๆหน่อยๆก็ช้ำหนักบ้างไหมครับ”

              เปลวอรุณทำหน้านึกตามก็จะยอมรับว่าเป็นจริงอย่างที่ว่ามา

              เมื่อหลายวันก่อนเขาเดินชนขอบโต๊ะทำงานจำได้ว่าต้นขาของเขาเขียวช้ำจนน่ากลัวจนถึงวันนี้ก็ยังไม่หายถึงจะพอยุบลงมาเหลือเท่าลูกมะนาวผลเล็กแล้วก็ตาม

              “ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำใจยอมรับได้โดยเฉพาะตอนนี้ที่คุณเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย” เพราะตัวของหมอเองก็ลำบากใจที่จะพูดออกมาไม่ต่างกัน

              “ผลตรวจออกมาพบว่าตอนนี้คุณเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน.....”

              อะไรนะ...

            เปลือกตาขาวกระพริบถี่ไล่ความความร้อนผ่าวที่ขอบตา ‘หมอพูดอะไร’ เขาอยากจะถามออกไปอย่างนั้นแต่คล้ายกับมันเป็นก้อนคำที่จุกอยู่กลางลำคอสกัดกั้นเสียงของเขาไม่ให้ดังลอดออกมา หูเองก็พลลอยอื้ออึงไปด้วยจนไม่ได้ยินอะไรต่อมิอะไรที่หมอหนุ่มตรงหน้ากำลังพูดออกมาให้เขาฟัง

              มันไม่เข้าหัวเขาเลยสักนิด...

              เปลวอรุณแค่นยิ้มกับตัวเองหลังได้ยินชัดกับผลตรวจที่ออกมา

             เขารู้สึกเหมือนถูกหลอกให้ดีใจในตอนแรกนาทีแรกที่รู้ว่ากำลังจะได้โอบอุ้มความรักของอัมรินทร์ที่มีให้เขา เขาดีใจ มันมีความสุขจนทำอะไรไม่ถูกแต่เพียงแค่เวลาสั้นเท่านั้นที่ความรู้สึกที่เหมือนได้บินอยู่บนที่สูงถูกฉุดลงต่ำด้วยข่าวร้ายที่ทำให้เขาแทบล้มทั้งยืน

             เขาเป็นมะเร็ง...

              เปลวอรุณนั่งนิ่งไม่ไหวติงคำพูดต่างๆที่ออกมาจากปากของคุณหมอหนุ่มไม่เข้าโสตประสาทเขาเลยแม้แต่น้อย เขานั่งอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายพูดจนจบแล้วถึงได้พาร่างที่เหมือนไร้วิญญาณของตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องตรวจท่ามกลางสายตาเป็นห่วงของทั้งสองหมอพยาบาลที่มองตามหลังมา

              บานประตูของห้องตรวจถูกเลื่อนออกภาพแรกที่เปลวอรุณเห็นชัดที่สุดในจักษุที่พร่าเบลอก็คือภาพของผู้ชายตัวโตใบหน้าคมที่ทอดมองมาทางเขาด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยกับสภาพหลุดลอยจนดูไม่ได้ของเขาในตอนนี้ส่วนมือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติกที่เจ้าตัวเพิ่งไปซื้อมาให้ใหม่ตามคำขอร้องแกมออดอ้อนของเขา

             ความร้อนที่ขอบตาของคนมองเพิ่มขึ้นจนไม่อาจกั้นไว้อยู่ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกโผมือออกหาคนที่ลุกขึ้นมาหา “คุณอัน”

             อัมรินทร์ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ด้วยว่าผลตรวจที่ออกมมาเป็นไปในเชิงไหนแต่ภาพของเปลวอรุณที่เดินออกจากห้องตรวจมาในสภาพหลุดลอยขอบตาแดงๆก็พลอยทำเอาใจเขาตกลงพื้นและเขาเองก็ไม่รีรอที่จะลุกขึ้นไปสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น

              ความชื้นที่อดเสื้อบอกชัดให้รู้ว่าเปลวอรุณกำลังร้องไห้ ร้องไห้ที่ไร้เสียงไร้การสะอื้น เขาไม่กล้าถามว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นเขาพาอีกคนมานั่งแล้วกอดเอาไว้แนบอกขนพยาบาลสาวที่เขาจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับคนที่อยู่ประจำในห้องตรวจที่เปลวอรุณเพิ่งเดินออกมาเอาใบนัดกับใบรับยามาให้

             อัมรินทร์ประคอบโอบคนที่ยังตาแดงๆให้เดินไปยังจุดรับยาและชำระเงิน ระหว่างที่รอเขากอดอีกคนเอาไว้แน่นไม่เอ่ยถามเพราะเข้าใจว่าเปลวอรุณยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามนั่น

              “ดื่มน้ำผลไม้หน่อยนะ” เขาพูดขึ้นพลางหยิบเอากล่องน้ำผลไม้รวมยี่ห้อโปรดที่เปลวอรุณชอบดื่มทุกเช้าขึ้นมาเจาะหลอดลงก่อนจะส่งให้อีกคนรับไป “เปลวบอกว่าหิวนิ ดื่มรองท้องไปก่อนนะ” มือหนาลูบแก้มอีกคนหวังปลอบให้สบายใจขึ้น

              อัมรินทร์นั่งมองเปลวอรุณดื่มน้ำผลไม้จนหมดกล่องก่อนจะส่งขวดน้ำเปล่าให้อีกคน อย่างน้อยยังพอกินอะไรได้เขาก็เบาใจคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรมากก่อนจะลุกขึ้นไปชำระเงินที่เคาร์เตอร์เมื่อถึงหมายเลขของตน

              ยาบำรุงร่างกาย วิตามิน ยาปรับฮอร์โมนจำนวนมากถูกอธิบายวิธีการกินให้เขาฟังจากเภสัชประจำห้องยา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นมองยาจำนวนหนึ่งที่อัดแน่นอยู่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลของโรงพยาบาลอย่างแปลกใจ

             ตอนนี้เปลวอรุณหยุดร้องไห้แล้วแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบเจ้าตัวไม่พูดไม่จาอะไรจนถึงบ้าน ลุงอุ่นแววและก็ลูกตาลที่ออกมาชะเง้อคอยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้านรีบตรงเข้ามาถามไถ่ทันทีที่พวกเขาลงจากรถยนต์ แต่พอเห็นว่าเปลวอรุณไม่ยอมพูดอะไรออกมาซ้ำยังก้มหน้าลงต่ำก็ยิ่งพากันวิตกกันมาไปกว่าเดิม

             ลุงอุ่นเหลือบสายตามองมาทางอัมรินทร์อยากต้องการรู้แต่เขาก็ไม่รู้จึงได้ส่ายหน้ากลับแล้วพาขึ้นไปด้านบน

             มณีนิลที่ครางหงิงในลำคอมองทุกคนมาตั้งแต่แรกพอเห็นว่าพ่อของมันกำลังพาแม่ขึ้นไปด้านบนบ้านมันก็รีบวิ่งตามขึ้นมาทันทีหวังจะมาดูคนที่เป็นห่วง แต่พอมาถึงหน้าห้องก็ถูกอัมรินทร์ส่ายหัวห้ามให้ตามเข้ามาด้านในมันจึงทำจมูกฟุดฟิดอยู่ที่หน้าประตูเดินวนอยู่รอบหนึ่งแล้วนอนขดตัวเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องแทน

               อัมรินทร์พาอีกคนมานั่งลงที่เตียงแล้วถามขึ้น “หิวไหม จะกินข้าวเลยหรือเปล่า”

              เปลวอรุณยังคงก้มหน้านิ่ง

             “เปลวบ่นหิวแล้วนี่เนอะ เดี๋ยวฉันลงไปยกขึ้นมาให้เลยแล้วกันเปลวจะได้กินยา” อัมรินทร์ยิ้มบางๆแต่บีบมืออีกคนแน่น

              “ผมยังไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น” ประโยคแรกหลังจากเงียบมานานดังออกมาแม้จะยังสั่นๆอยู่บ้างก็ตาม

              “ทำไมละ เดี๋ยวฉันเอาของฉันขึ้นมาด้วยเรานั่งกินด้วยกันข้างบนนี้ก็ได้นะ” เขาคิดว่าอีกคนคงยังไม่อยากนั่งกินคนเดียว

                แต่พอจะหันกายไปทางประตูชายเสื้อของก็ถูกรั้งเอาไว้ “อยู่กับผมก่อนได้ไหม”

               อัมรินทร์คลี่ยิ้มแล้วคุกเข่านั่งลงนั่งทับลงบนส้นเท้าตัวเองตรงหน้าอีกคน “ได้สิ เปลวอยากให้ฉันทำอะไรฉันทำให้ได้หมดนั้นแหละ” ตบมือเบาๆเหนือหลังมือขาวที่จับมืออีกข้างของเขาแน่น

               “คุณอัน”

               “ครับ”

               “ผม”

                 อัมรินทร์นั่งเงียบรอมองเปลวอรุณที่นั่งก้มหน้าบีบมือเขาแน่น

              “ผมท้อง”

                “...”

               “หมอบอกว่าผมท้องได้สามสัปดาห์ละ-“

หมับ

              ไม่ใช่ว่าตั้งตัวได้แล้วคว้าอีกคนมากอดแต่น่าจะเป็นปฏิกิริยาการแสดงออกเองโดยอัตโนมัติเพราะยังไม่ทันที่เปลวอรุณจะพูดจบดีอัมรินทร์ก็ยกตัวขึ้นกอดอีกคนเอาไว้แน่น ม่านตาของเขาขยายกว้างกับข่าวดีที่ได้รับ รอยยิ้มบนใบหน้าฉีกกว้างและนิ่งค้างคล้ายทำอะไรไม่ถูก

              “มันเป็นข่าวดี ดีมากๆเลยเปลว ฮ่ะฮ่ะ” อัมรินทร์พูดตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะเกรนๆอย่างคนที่ยังทำอะไรไม่ถูกกับความดีใจตรงหน

              เขามีความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาทำอะไรไม่ถูกสิ่งเดียวที่รู้คือความสุขที่ทำให้หัวใจพองโตจนคับอก

              เขากำลังจะได้เป็นพ่อคน...

              อัมรินทร์ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อตะหนักถึงข้อสำคัญข้อนี้ได้ เด็กคนนี้ ลูกของเขากับเปลวอรุณ

              ความดีใจของอัมรินทร์ทำให้เปลวอรุณยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมมือขาวยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นจนตัวสั่นโยก อัมรินทร์กำลังมีความสุขเขาไม่กล้า ไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป เพราะถ้าพูดอัมรินทร์จะเสียใจเหมือนอย่างเขา

              เขาไม่กล้าทำลายความสุขของอีกคนในตอนนี้

              แผ่นอกบางสะท้านขึ้นลงหนักจนผิดสังเกต อัมรินทร์ที่อยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความสุขผละเสี้ยวหน้าด้านข้างของตนที่แนบอยู่กับแผ่นอกนั่นออก

              “เปลวร้องไห้ทำไม” ลูกโปร่งในใจแฟบลงทันตาเมื่อเห็นอีกคนร้องไห้

ความกลัวเริ่มกัดกินใจของเขา สมองพลอยนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลตอนที่คนตัวขาวเดินออกมาจากห้องตรวจ

            หรือเปลวอรุณไม่ยินดีที่มีลูกกับเขา..

              “เปลวไม่ดีใจหรอที่เรากำลังจะมีลูกกัน” เขาแค่นถามเสียงสั่นยกมือประคองสองข้างแก้มแล้วเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย

              เปลวอรุณส่ายหน้าหวือ  ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ แต่ดีใจมากมากเลยต่างหาก..

               “ผมดีใจครับคุณอัน ฮึก ดีใจมาก” เจ้าตัวตอบเสียงสั่นสะอื้น

              “แล้วทำไม” อัมรินทร์ถาม “แล้วเปลวร้องไห้ทำไมครับ” ใจเขาไม่แกร่งกล้า แค่คิดว่าอีกคนไม่ยินดีกับความสุขที่กำลังจะเกิดมันก็เหมือนจะหยุดลงเอาดื้อๆ

              “ผมดีใจครับคุณอัน ฮึก ผมดีใจมากที่เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน” ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นทาบมือคู่หนาของอีกคนด้วยรอยยิ้ม “ เขาเป็นลูกของเราทำไมผมจะไม่ดีใจละ ฮึก แต่.” เปลวอรุณเม้มปากแน่นอย่างกลั้นอารมณ์ “หมอบอกว่าร่างกายของผมไม่แข็งแรง ผมกลัวเจ้าตัวเล็กจะไม่แข็งแรงเท่านั้นแหละครับ” เขาคลี่ยิ้ม

              สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเลี่ยงไม่พูดมันออกไปตรงๆว่าเขาเป็นอะไรกันแน่

              “อย่างนั่นหรอ”

              “ใช่แล้วละ”

              อย่างนี้อาจดีกว่า...

              ถ้าเพื่อลูกกับอัมรินทร์แล้วละก็ตัวเขาเองก็ไม่เป็นอะไรหรอก...

              เปลวอรุณไม่รอให้อัมรินทร์ถามอะไรเขาต่อ ร่างขาวบนเตียงก็โค้งตัวมาข้างหน้าแล้วกอดอีกฝ่ายเอาไว้

              “เรากำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะครับมีคุณมีผมมีลูกเราจะมีกันและกัน ชีวิตของลูกที่กำลังจะเกิดมากับชีวิตของผมที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ขอฝากไว้ที่คุณนะครับ”

                “ได้สิเปลว ฉันจะดูแลเปลวกับลูกให้ดีที่สุดฉันสัญญาเปลว”  อัมรินทร์กอดตอบอีกคนแน่นแทนคำมั่นสัญญา

                ฝากลูกด้วยนะครับ...

 

             
   :o12:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2


:o12:




 แน่นอนว่าข่าวคราวของอีกหนึ่งชีวิตตัวน้อยที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลกในอีกเก้าเดือนข้างหน้าถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของทุกคนในบ้าน

                 ด้านลุงอุ่นกับแววที่ชะเง้อคอรออยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่หน้าบันไดเมื่อเห็นอัมรินทร์เดินทอดน่องลงบันไดมาด้วยใบหน้าเบิกบานมีความสุขก็รีบพุ่งตัวเกาะแขนเจ้านายหนุ่มกันคนข้างทันทีที่เมื่อชายหนุ่มเดินลงมาจากบันได

                 “คุณอันค่ะ คุณเปลวเป็นหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงร้อนรนของแววเรียกรอยยิ้มของคนถูกถามได้ดี

                “นั้นสิครับ แล้วทำไมคุณเปลวถึงไม่ลงมาด้วยละครับ” ลุงอุ่นชะเง้อคอขึ้นไปทางบันได แววตาของคนมีอายุแสดงออกมาว่าเป็นห่วงคนที่พูดถึงอยู่มาก

                  อัมรินทร์ไม่ตอบเอาแต่อมยิ้มไม่พูดไม่จา จนลูกตาลที่เดินออกมาจากห้องนั่งเล่นพร้อมอนิรุทธิ์ต้องกอดอกขมวดคิ้วอย่างคาดคั้น

                “แม่ผมเป็นอะไรลุง” เด็กหนุ่มพูดเสียงกึ่งร้อนใจกึ่งไม่พอใจในท่าทียียวนของคนตรงหน้า

                แต่อัมรินทร์กลับเลือกที่จะไม่ตอบแล้วหันไปถามอีกคนแทน “กลับมาเมื่อไรเนี้ยไอ้รุทธิ์”

                “เพิ่งมาถึงได้สักพัก” อนิรุทธิ์ตอบหน้าเคร่ง

              เขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายแก่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับใครอีกคนที่อยู่ด้านบนแต่เพราะทั้งเปลวอรุณและอัมรินทร์ไม่มีใครปริปากถึงผลลัพธ์ที่ได้จากกว่าตรวจก็พลอยทำให้ทุกคนในบ้านร้อนใจไปตามๆกันร่วมถึงเขาด้วย  แล้วดูไอ้น้องชายของเขาสิ

                อัมรินทร์พยักหน้าเข้าใจ อีกฝ่ายถอดเสื้อสูทตัวนอกออกแล้วทั้งยังพับแขนเสื้อถึงมาถึงศอกพร้อมปลดกระดุมและเนคไทออกระบายความร้อนเดาว่าคงกลับมาไล่เลี่ยกับช่วงที่พวกเขากลับมาจากโรงพยาบาลเป็นแน่

                “แล้วนี้เปลวเป็นยังไงบ้าง เห็นตาลบอกว่าไปโรงพยาบาลกันมา” เมียไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือไงทำไมยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้อีก อนิรุทธิ์บ่นอุบอยู่ในใจ

              แต่ยิ่งมีคนถามถึงเรื่องนี้มากเท่าไรอัมรินทร์ก็ยิ่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจในคำตอบที่กำลังจะประกาศให้ทุกคนในบ้านรับรู้

               “อย่างเอาแต่ยิ้มสิลุง แม่ผมเป็นอะไร” ท่าทียียวนอั้มๆอึ้งๆไม่ยอมตอบให้ตรงคำถามเสียทีดุจะเป็นอะไรที่ขัดอารมณ์เด็กหนุ่มเป็นที่สุด

              เด็กวัยรุ่นมักจะเลือดร้อนใจร้อนเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา อัมรินทร์คิดในใจและไม่ถือโทษเมื่อเด็กหนุ่มเดินมาผลักหัวไหล่เขาอย่างแรง

            “ได้สิ แต่ต่อจากนี้ไปนายต้องเรียกฉันว่า‘พ่ออัน’นะไอ้หนู” อัมรินทร์ยกยิ้มมุมปากพาดท่อนแขนลงรอบคอเด็กหนุ่ม

             “หมายความว่าไง ทำไมผมต้องเรียกด้วย”  ลูกตาลมองตามขวางถามเสียงเขียว

               มันใช่เวลามามัวเล่นอยู่ไหม...

              ไอ้เรื่องที่อัมรินทร์พยายามกรอกหนูโน้มน้าวเด็กหนุ่มวัยสิบแปดให้เรียกตนว่า‘พ่อ’นั่นถือเป็นเรื่องที่ทุกคนในบ้านรู้กันดีอยู่ แต่ที่ไม่เข้าใจเลยคือทำไมอัมรินทร์ถึงพูดเรื่องขึ้นมาในเวลานี้

              “นั้นก็เพราะว่าต่อจากนี้เวลาที่น้องของนายได้ยินนายฉันว่าลุงเนี้ยมันจะเกิดความสับสนเอาได้” อัมรินทร์พูดอย่างใจเย็น แต่กลับสร้างความแปลกใจให้กับคนฟังที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกได้อย่างมาก

             “เดี๋ยวนะ น้องหรอ” ลูกตาลผลักท่อนแขนนั้นออก หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่ย

             “ใช่”

             แต่คนที่ดูเหมือนจะตีความคำพูดของอัมรินทร์ได้ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีอายุมากที่สุด “อย่าบอกนะครับ” ลุงอุ่นมีสีหน้าที่ดูตื่นเต้นผิดกลับคนอื่นที่ยังคงอยู่ในช่วงสับสน

              “ใช่แล้วครับลุง” อัมรินทร์ยิ้มกว้าง “เปลวท้องครับ” และตอบมันออกมาอย่างภูมิใจและเปรี่ยมสุข

               แววยกมือขึ้นปิดปากทำตาโตก่อนจะหันไปยิ้มกับคนมีอายุ อนิรุทธิ์กับลูกตาลมองหน้ากันอย่างตกใจก่อนจะเป็นเด็กหนุ่มที่พรวดพราดวิ่งขึ้นบันไดบ้านไปดื้อๆ

               อัมรินทร์มองตามหลังแล้วก็ยิ้มขัน หน้าตาของลูกตาลตอนรู้เรื่องมันทั้งเหวอทั้งอึ้งจนอยากบกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกรู้เอาไว้ล้อเลียนเล่นวันหลังมาก แต่คงไม่ทันที่น่าจะยังทันอยู่เห็นทีคงจะเป็นอนิรุทธิ์ที่ยังไงยืนนิ่งอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น

              เดี๋ยวลุงอุ่นตักข้าวกับกับมาให้ผมด้วยนะครับเดี๋ยวผมจะยกขึ้นไปให้เปลวที่ด้านบนเอง”

             “แล้วคุณอันจะรับด้วยไหมครับ” ลุงอุ่นถามพร้อมรอยยิ้ม

             “ครับ เดี๋ยวผมขึ้นไปกินเป็นเพื่อนเปลวที่ข้างบน”

             สองลุงกับหญิงสาวรีบพากับเดินไปยังห้องครับด้วยรอยยิ้ม ทีนี้ก็เหลือเพียงสองพี่น้องที่ยังอยู่ที่เดิม อัมรินทร์ยกมือตบไหล่ญาติผู้พี่ของตนที่หนึ่งเพื่อเรียกสติ

             อนิรุทธิ์สะดุ้ง

             “อะไรกันวะแค่จะเป็นลุงแค่นี้ถึงกับเอ๋อเลยหรอ” อัมรินทร์ล้อเลียนขำขัน

             “ไม่ใช่เว้ย” เจ้าตัวปฏิเสธหน้าแดงอายๆ

             อัมรินทร์ยิ้มกรุ่มกริ่ม แล้วเดินไปนั่งรอสำรับอาหารที่ห้องทานอาหารแทน

              อนิรุทธิ์เดินตามญาติผู้น้องของตนเข้ามาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้นั่งของตนเองที่ฝั่งตรงข้างกับอีกคน

              “มีความสุขเชียวนะมึง”

              “แน่นอน” เจ้าตัวตอบเสียงระรื่น

                “แล้วบอกคุณลุงกับคุณป้าแล้วหรือยัง”

              “ยังเลย”

              “ทำไมยัง มึงโทรบอกเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้อัน” อนิรุทธิ์ขึ้นเสียง

               เรื่องใหญ่แบบนี้ไม่บอกคงไม่ได้แล้ว...

               “เออน่า กูรออยู่”

                 “ห๊ะ”

              อนิรุทธิ์ทำหน้าฉงนมองน้องชายที่ห่างกันไม่กี่เดือนอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่จะได้คำตอบจากปากคนเจ้าเล่ห์เสียงโทรศัพท์ของอัมรินทร์ก็ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากอย่างที่เจ้าตัวชอบทำก่อนจะกดรับแล้วเปิดสปริงโฟนให้อีกคนได้ยินพร้อมย้ายที่นั่งมานั่งฝั่งเดี๋ยวกับอนิรุทธิ์เพื่อให้กล้องสามารถจับภาพพวกเขาสองคนให้คนที่อยู่ไกลกว่าอีกซีกโลกได้เห็น

              //หมายความว่ายังไงที่ว่าให้‘รีบกลับมาอุ้มหลาน’นะหะ// เสียงทุ้มทรงอำนาจกับใบหน้าที่คล้ายกับอัมรินทร์อย่างกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันแม้ริ้วรอยแห่งวัยจะปรากฏให้เห็นบนใบหน้ากับเส้นผมสีดอกเลาของคนที่พวกเขาคุ้นเคยที่ปรากฏขึ้นในหน้าจอสีเหลี่ยมโดยไร้คำทักทายอย่างคิดถึง

              “อะไรกันพ่อ นี้ไม่คิดจะทักทายลูกชายตัวเองดีๆหน่อยหรือไง” อัมรินทร์ยิ้มร่า

              // อย่ามาทำเป็นยิ้มไอ้อัน พ่อถามว่าที่แกส่งมาให้มันหมายความว่ายังไง // สุริยะ แค่นเสียงถามลูกชายตัวดีที่ส่งข้อความมาหาเมื่อไม่ถึงสิบนทีที่แล้วอย่างเอาเรื่อง

              // คุณถามลูกดีๆสิค่ะ // น้ำเสียงอ่อนหวานคนใครอีกคนที่ไม่ปรากฏภาพดังขึ้นปรามๆ  // ตาอัน ตารุทธิ์ สบายดีกันไหมจ๊ะ // ภาพตรงหน้าถูกเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงดูมีอายุผมสีอ่อนดัดลอนคลายๆช่วยเสริมให้ใบหน้าหวานดูใจดีมากยิ่งขึ้นไหนจะน้ำเสียงอบอุ่นที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไรก็ทำให้สองหนุ่มที่กำลังโดนแค่นคอยิ้มกว้างได้เสมอ

              “สบายดีครับ” ทั้งคู่พร้อมเสียงกันพูดตอบคุณนายนภานายหญิงของบ้าน

             // คุณอย่างเพิ่งแทรกสิ // สุริยะบ่นงึม แล้วขยับกล้องให้ให้ลูกกับหลานสามารถเห็นพวกเขาทั้งสองได้ถนัด

               // เอา ตอบคำถามฉันมาได้แล้วไอ้อัน // สุริยะถามเค้น

               “ก็หมายความตามนั่นนั้นแหละครับ” อัมรินทร์ยิ้มกว้าง

                // นี้แกไปทำใครที่ไหนท้องหะ // ท่านประธานใหญ่ขึ้นเสียงถลึงตามองลูกชายเขม่ง

              // มันเกิดอะไรขึ้นกันจ๊ะตาอัน //นภาเองก็รีบถาม

              “พ่อกับแม่ฟังนะครับ ตอนนี้เปลวกำลังท้องครับ ท้องลูกของผม”

              สองผู้ใหญ่จากแดนไกลนิ่งเงียบหันมามองหน้ากัน นภายกมือทาบอกด้วยรอยยิ้ม

              สุริยะทำหน้านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกว่าใครก่อนจะถามออกไปเพื่อความแน่ใจ // เปลว เปลวอรุณผู้ช่วยของนิรันดร์ที่ฉันส่งให้ไปเป็นเลขาแกนั่นใช่ไหม //

               “ครับ” อัมรินทร์ก็ยืดอกยอมรับอย่างไม่อาย

               สุริยะอ้าปากค้างก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ

               ให้มันได้อย่างนี้สิ...

               ไม่ใช่ว่าตนดูไม่ออกว่าลูกชายคิดอะไรกับเลขาของตัวเอง ไอ้นิสัยเจ้าชู้ประตูดินของพ่อลูกชายคนเดียวของตนทำไมคนเป็นพ่อจะไม่รู้ แต่ที่คิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ก็เพราะอีกฝ่ายคือเปลวอรุณ เปลวอรุณที่เรียบเฉยไม่สนใจอะไรนอกจากงานตรงหน้าใครจะไปคิดกันละว่าอีกฝ่ายจะตกหลุมพรางของลูกชายตัวดีเข้าจนได้ แถมมันก็ผ่านมาสามปีแล้วด้วยเขาก็คิดว่าอัมรินทร์มันจะลามือจากเปลวอรุณไปแล้วแท้ๆ

              นี้เขาปล่อยข้าวสุกไว้กับหมางั้นหรอ....
               
               แน่นอนว่าหมาที่ว่ามันก็คือลูกชายของเขาเองนี้แหละ

              // เรื่องเป็นไงมาไงกันแน่ไอ้อัน เรื่องของแกกับหนูเปลว // คนเป็นพ่อดึงสติตนเองกลับมาก่อนจะเริ่มถามอย่างจริงจัง
 
             “เรารักกันครับ” สั่นๆแต่ได้ใจความชันเจน

             ถึงเปลวอรุณจะยังไม่เคยพูดว่ารักเขา แต่เขาเชื่อว่าเปลวอรุณเองก็รู้สึกไม่ต่างจากที่ตนรู้สึกเหมือนกัน...

             // ไม่ใช่ว่าแกไปบังคับเขาหรอกนะ // เขาละหวั่นใจเหลือเกิน กลัวลูกชายเขาจะไปรวบหัวรวบหางลูกคนอื่นเขา

              “ไม่ครับ” อัมรินทร์ตอบหนักแน่น “ถ้าผมคิดจะทำอย่างนั้นจริงผมคงไม่รอเปลวมาถึงสามปีหรอกครับ”

             นภายิ้มกว้างกับคำตอบของลูกชาย

            // แล้วตอนนี้หนูเปลวอยู่ไหนจ๊ะตาอัน // คนเป็นแม่ถามขึ้น

            “อยู่ข้างบนครับ คุณนิลกับลูกตาลดูแลอยู่”

             //ใครคือลูกตาล// สุริยะแทรกขึ้นเมื่อสะดุดกับชื่อที่ไม่คุ้นหู

              “ลูกชายบุญธรรมที่เปลวรับมาครับ” เขาเฉย

             คนฟังพยักหน้า

            //นี้แกถึงขั้นมาเขามาอยู่เลยงั้นหรอ// สุริยะหรี่ตามองลูกชายคล้ายจะจับผิด //จริงจังสินะคนนี้//

            “ครับพ่อ”

           สุริยะจ้องมองลูกชายตัวเองนิ่ง น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังนั้นไม่ใช่ว่าไม่เห็น แต่เพราะเห็นนี้ละถึงทำให้เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ // รับผิดชอบลูกเขาให้ดีๆแล้วกัน // คล้ายกับว่าบิดาของเขายอมรับกลายๆทำให้อัมรินทร์ยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวก่อนจะสะดุดลงที่ท้ายประโยค //เดี๋ยวฉันกลับไปค่อยคุยกัน แกด้วยไอ้รุทธิ์ // คนโดนพาดพิงยิ้มแห้ง ก่อนที่ชายร่างภูมิฐานจะลุกออกจากโซฟาที่นั่งอยู่เมื่อครู่ไปพร้อมเสียงบ่นพึมพำที่พอจับใจความได้ว่า ‘ไม่รู้จักเตือนกัน’ให้คนที่โดนหางเร่ได้ด้วยเหงื่อตก

              อีกหนึ่งที่ยังไม่ลุกไปไหนยกมือขึ้นปิดปากยามยิ้มขบขันคู่ชีวิตก่อนจะหันมาหาลูกและหลานชายอีกครั้ง // ตาอัน ตารุทธิ์ //

              “ครับ” ทั้งคู่ขานรับ

              // แม่อยากเห็นหน้าหนูเปลวจังเลย //

              “เปลวอยู่บนห้องครับแม่ เดี๋ยวถ่ายเป็นภาพนิ่งไปให้แทนนะครับ”

              // จ๊ะ // นภาพยักหน้า // แล้วพากันไปโรงพยาบาลมาหรอถึงได้รู้ว่าหนูเปลวท้อง//  เธอถามต่อ

              “ครับ วันนี้เพิ่งพาไปแต่ผมไม่ได้เข้าไปฟังด้วย แต่เปลวบอกว่าตอนนี้ท้องได้สามสัปดาห์แล้ว”

              // อย่างนั้นหรอจ๊ะ แล้วมีอะไรอีกไหม // นภาดูตื่นเต้นกับคำบอกเล่าของลูกอย่างอยู่มากทีเดียว

              รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่ของอัมรินทร์ลดแคบลงจนทั้งอนิรุทธิ์และนภาจับสังเกตได้

              “เกิดอะไรขึ้นวะไอ้อัน” อนิรุทธิ์จับไหล่

              “หมอบอกว่าร่างกายเปลวไม่ค่อยแข็งแรง เปลวเลยเป็นกังวลเรื่องลูกกลัวลูกไม่แข็งแรง” มือที่ประสานกันอยู่บีบกันแน่น อนิรุทธิ์ตบไหล่น้องชายให้กำลังใจ

              // ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษเลยนะจ๊ะ // นภาพูดเสียงอ่อนเข้าใจความกังวลของลูกชายและลูกสะใภ้ //ยิ่งเป็นผู้ชายด้วยแล้วปัจจัยเสี่ยงก็ยิ่งเยอะด้วยนะ// ไม่ใช่ว่าจะพูดให้ลูกชายคิดมาก แต่เพราะคนรู้จักที่เป็นผู้ชายที่สามารถตั้งครรภ์ได้ของเธอก็พอมีอยู่บ้างอย่างเช่นคุณแม่ของเธอเองก็เช่นกัน

              //อันต้องดูแลหนูเปลวดีๆนะ ช่วงนี้พยายามอย่างให้หนูเปลวยกของหนักอย่างเครียดด้วยจะเป็นดี อาหารการกินก็ยิ่งสำคัญแต่มีลุงอุ่นอยู่ด้วยแม่ก็ไม่ค่อยห่วงเท่าไรมีอะไรก็ถามลุงเขาได้เลยนะลูก// เธอว่า

              ลุงอุ่นอยู่บ้านหลังนี้มานาน ตอนที่เธอท้องอัมรินทร์ก็ได้ลุงอุ่นนี้แหละคอยดูแลไม่เคยขาด อาจเพราะอีกคนไม่มีภรรยาไม่มีลูกเป็นของตัวเองนี้แหละจึงทำให้ลุงอุ่นแกเอ็นดูทั้งอัมรินทร์และอนิรุทธิ์เป็นพิเศษจำได้ว่าพอรู้ว่าเธอท้องหนังสือมากมายเกี่ยวกับการดูแลแม่และเด็กก็ได้ลุงอุ่นนี้แหละไปขนมาให้เธอ

               “ครับแม่”

              //แล้วนี้พ่อกับแม่หนูเปลวเขารู้หรือเปล่าว่าเราเอาลูกเอาหลานเขามากกไว้ที่บ้าน//

              “เปลวไม่มีพ่อกับแม่แล้วครับ”

              // ตายจริง ขอโทษทีนะจ๊ะ // เธอทาบอกกล่าวขอโทษ ดีนะที่ไม่ได้พูดต่อหน้าเจ้าตัวให้รู้สึกไม่ดี

              อัมรินทร์ส่ายหน้ายิ้มๆ

              // ว่าแต่เราละตารุทธิ์ เมื่อไรจะมีหลานมาให้ป้าอุ้มบ้าง //

              “อีกนานครับป้าฟ้า” คนถูกถามส่ายหน้าโบกมือปัก

              “ไม่จริงครับแม่ ไอ้รุทธิ์มันตอแหล” อัมรินทร์รีบผลักพี่ชายตัวเองออกแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าจอจนอีกคนร้องเสียงหลงเกือบตกเก้าอี้

              // เอ หมายความว่ายังไงกันแน่จ๊ะ  //

              “ตอนนี้ไอ้รุทธิ์มันคุยกับผู้หญิงอยู่คนครับแม่” ได้ที่ขี้แพะไล่ อัมรินทร์ขยับหัวหนีมือของอนิรุทธิ์ที่พุ่งมาหมายจะปิดปากตน

              // ใครกันเอ๋ย // นภามองภาพเด็กตัวโตสองคนเล่นกันก็พลอยทำให้นึกถึงวันวานเก่าๆสมัยที่หนุ่มๆตรงหน้าของเธอยังเป็นแค่เด็กชายตัวน้อยที่พอมีเรื่องอะไรก็มักจะชอบแยกกันพูดแย่งกันเล่าให้เธอฟัง บางครั้งคนหนึ่งก็วิ่งมาฟ้องส่วนอีกคนก็วิ่งมาห้ามเหมือนอย่างตอนนี้

              “ลิลดาครับแม่”

              “ไอ้อัน! มันไม่ใช่เว้ย” คนปฏิเสธหน้าแดงก่ำอย่างเขินอาย

              // ลิลดา ?//

              “เพื่อนสมัยเรียกที่วิทยาลัยของผมไงครับตอนนี้เธอเป็นนักออกแบบเครื่องประดับอยู่ พอดีโปรเจคใหม่ที่บริษัทกำลังทำทำร่วมกับเธอพอดี”  อัมรินทร์รีบยืนหน้าออกมาพูดทันทีเมื่อเบี่ยงหลบมือของอีกคนที่ยกมาปิดปากตัวเองได้

              // อย่างนั้นเองหรอ ทำไมรุทธิ์ไม่เห็นบอกป้าเลยละจ๊ะว่ามีแฟนแล้ว //

              “ยังไม่ใช่แฟนครับป้าฟ้า แค่คุยกันเฉยๆ”  อนิรุทธิ์ปฏิเสธก่อนจะพูดเสียงเบาที่ท้ายประโยคเรียกเสียงหัวเราะจากสองแม่ลูกนี้ได้ดี

              // ถ้างั้นรุทธิ์เล่าให้ป้าฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ //

              น้ำเสียงหวานอ่อนโยนที่ไม่ว่าจะได้ยินเหมือนไรก็พลอยทำให้สองพี่น้องรู้สึกเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆอีกครั้ง และเพราะนานๆจะได้คุยกันทีเรื่องเล่ามันก็เลยเยอะตามไปด้วยกว่าจะคุยกันเสร็จลุงอุ่นก็ต้องให้แววเอาอาหารเย็นไปอุ่นใหม่อีกรอบนั่นแหละครอบครัวของเจ้านายจึงจะเอ่ยปากล่ำลากันได้



____________________________________________


ความซีรี่ย์เกาหลีก็มา 555
ถ้าใครสังเกตดีๆจะพบว่าเปลวของเรามีอาการมาสักระยะแล้ว แต่เพราะไม่ได้ตรวจจริงๆจังๆเลยไม่เจอ

เอาละสิทีนี้ ไหนจะเรื่องของราชัน ไหนจะเรื่องของอันอันที่กำลังจะโดนแฉ ไหนจะเบบี้น้อยกับโรคร้ายของเปลว
จะเคลียร์อันไหนก่อนดีเนี้ย
 :serius2:


นิยายเรื่องนี้จบแฮปปี้นะเธอ
ขอขอบคุณ http://haamor.com/th ที่ช่วยในเรื่องข้อมูลนะคะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
สงสารเปลวจังเลย ร่างกายก็อ่อนแอ แถวเดียวราชันต้องก่อเรื่องอีกแน่ๆ เปลวจะไหวไหม? :ling3:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ขอให้ อาการของเปลว รักษาได้ด้วยเถอะ

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
สงสารเปลวมีแต่เรื่องหนักๆทั้งนั้นเลย

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
จะมีมาม่าไหมเนี้ยะ  :serius2: ไม่อยากกินมาม่า...... :ling3:

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เดี๋ยวนะ เดี๋ยวววววววว พอเดาได่ว่าเปลวน่าจะป่วย แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ฮือออออออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด