[End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61  (อ่าน 107111 ครั้ง)

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
วาแล้วสองคนนั้นต้องมีซัมติงกัน แต่ว่า ราชัน ชั้นก็ยังไม่ชอบแกอยู่ดี 5555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ในที่สุดก็เจอกันซักที

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 33



                ภาพคนสองคนที่กอดกันร้องไห้ด้วยความคิดถึงเรียกรอยยิ้มยินดีจากคนที่ยืนรออยู่อีกฝั่งของบานประตูห้องนอน ลูกตาลมีความเชื่อมาตลอดว่าถ้าแม่ของเขาได้เจอกับอัมรินทร์ทุกๆอย่างมันจะต้องดีขึ้นและมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด

              แม่เปลวยิ้มแล้ว...

              เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

               แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าไอ้ชีวิตของเขาเนี้ยะมันไม่เคยมีอะไรที่งง่ายเลยสักครั้งเลยจริงๆให้ตาย!

               ความสุขตรงหน้าที่เขาเฝ้ามองดูอยู่กำลังจะถูกขัดจังหวะด้วนมารผจญ และไอ้มารผจญที่ว่านั่นก็กำลังเดินเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี

แก๊ก

              ลูกตาลหันมองตามเสียงบิดที่เปิดประตูใบหน้าเปรี่ยมสุขเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นตึงเครียดยืดตัวให้ตรงเพื่อเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

              “ทำไมวันนี้มาเช้าจัง” ราชันที่เปิดประตูออกมาย่นคิ้วถามเด็กหนุ่มอย่างสงสัย ปกติลูกตาลจะมาที่ห้องนี่คือช่วงเย็นประมาณสี่โมงเย็นไม่ใช่เกือบสิบโมงอย่างนี้และที่แปลกออกไปอีกก็คือทำไมเด็กหนุ่มถึงเอาแต่ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องไม่ยอมเข้าไป เหมือนกับว่ากำลังยืนมองใครอยู่อย่างนั้น

              หรือว่า!

              ใบหน้าฉงนสงสัยแปลเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อสมองเริ่มทำการประมวลผลบางอย่างได้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเด็กหนุ่มหัวใจของคนมองก็ยิ่งบีบรัดตัวมันเองแน่น ราชันสาวเท้าของตัวเองอย่างรีบเร่งผ่านหน้าของเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องของเปลวอรุณ

              อัมรินทร์ที่ประคองกอดเปลวอรุณอยู่ได้ยินเสียงพูดของใครบางคนดังแว่วเข้ามาในห้องก็ละสายตาจากเปลวอรุณขึ้นมาขณะเดียวกันเสียงพูดที่ว่าก็เงียบไปก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเสียงวิ่งตึงตังเข้ามาแทน

              !

              อัมรินทร์และราชันที่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกันในสถานที่นี่ต่างชะงักค้างเมื่อได้เจอหน้ากันหากแต่ความรู้สึกที่ได้เจอกันต่างหากที่แตกต่างกัน หลังจากดึงสติกลับมาได้ชายหนุ่มทะมึนตึงพร้อมเพิ่มแรงกอดเปลวอรุณแน่นขึ้นเพื่อแสดงออกให้อีกคนรู้ว่าเขาไม่ยอมปล่อยเปลวอรุณไปแน่ในขณะที่ราชันยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าเผือดสี

              “ราชัน” อัมรินทร์ขบกรามตัวเองแน่น

              “ทะ ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ราชันพยายามคุมสติตัวเองไม่ให้เผลอหลุดเสียงสั่น

              “กูสิต้องถามมึงว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไร!” อัมรินทร์ตะคอกลั่นจนคนในอ้อมแขนสะดุ้งตกใจ

              “คุณอัน” เปลวอรุณเรียกอัมรินทร์อย่างสงสัยเสียงเบาก่อนจะหันไปมองหน้าน้องชายของตน

              “ถ้าละ-“

              “ผมพาพ่ออันมาได้แล้ว ตามที่สัญญากันไว้คุณต้องคืนแม่เปลวให้พวกเรา คุณพูดแล้วนะ” ลูกตาลหน้าตื่นรีบพรวดพราดเข้ามาพร้อมพูดแทรกขึ้น ใจนี้เต้นโครมครามด้วยเผลอกคิดว่าถ้าเข้ามาไม่ทันแล้วอัมรินทร์พูดออกมาว่าเขาบอกว่าแม่ยังไม่ตายตั้งแต่ก่อนออกมามีหวังทุกอย่างที่ทำมาได้เสียเปล่าแน่

              “สัญญา? ตาลสัญญาอะไรกับราชเอาไว้” เป็นเปลวอรุณที่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย

              ลูกตาลเผยยิ้มเมื่อสบโอกาสที่เหมาะเจาะ

             “เขาบอกว่าถ้าผมสามารถพาพ่ออันมาที่นี่ได้เขาจะยอมให้แม่กลับบ้าน” ก่อนจะตวัดสายตามมองคนที่ยังคงหน้าเผือดสีอยู่ที่เดิม “แต่เพราะเขาหลอกพ่ออันมาตลอดว่าแม่ตายไปแล้วทำให้ผมไม่สามารถพาพ่อมาที่นี่ได้สักทีไงละครับ แถมยังขู่ผมอีกว่าถ้าผมเอาเรื่องที่แม่เปลวยังมีชีวิตอยู่ไปบอกพ่อเขาจะพาแม่หนี”

               ก็พูดเองนิว่าห้ามบอกพ่อแต่ไม่ได้บอกว่าห้ามบอกแม่นิเพราะงั้นเขาก็ยังถือว่าทำตามเงื่อนไขอยู่นะ....

                ลูกตาลแสยะยิ้มเมื่อราชันเริ่มหน้าซืดตัวสั่นหนักกว่าเดิม

               “ไอ้ราชัน” อัมรินทร์ที่ได้รับฟังความจึงถึงขั้นเดือดดาดผละตัวออกจากเปลวอรุณทั้งง้างหมัดขึ้นสูงหมายจะบรรดานโทษะที่มีใส่หน้าคนที่ยืนเป็นเป้านิ่ง

               ราชันหลับตาปี๋เตรียมรับความเจ็บที่กำลังใกล้เข้ามา

ผลัวะ

              เสียงหมัดกระทบผิวเนื้อดังขึ้นท่ามกลางความตกใจของเปลวอรุณและลูกตาลหากแต่คนที่ควรจะได้รับความเจ็บปวดจากการกระทำที่ว่ากลับไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เตรียมใจรับ ราชันเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขากลับไม่ใช่อัมรินทร์ที่กำลังโกรธเกรี้ยวหากแต่เป็นเงาสูงใหญ่ของใครบางคนที่เขามาขว้าง ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างสุดตา

              “วาโน่!”

              เมื่อรู้ว่าเป็นใครราชันก็เรียกอีกฝ่ายเสียงดังทั้งยังรุดก้าวออกมาจากด้านหลัง

              “วาโน่” ราชันเรียกชื่ออีกคนเสียงสั่น มุมปากบางที่ถูกล้อมกรอบด้วยหนวดเครามีรอยยข้ำและเลือดซึมออกมาใจของเขาที่เริ่มร้าวกลับร้าวหนักขึ้นเมื่อเห็นสิ่งเกิดขึ้น

              “มึง!”

             อัมรินทร์เองที่ยังไม่คล้ายโทสะแม้จะตกใจที่อยู่ๆก็มีใครที่ไหนไม่รู้เข้ามาขว้างจนเขายั้งแรงไม่ทัน แต่พอเห็นตัวต้นเหตุที่ก้าวออกมาความเดือดดาดของเขาก็กลับมา หมัดหนักๆง้างขึ้นสูงเตรียมที่จะวิวาทหากแต่มันก็ไม่สามารถทำตามใจที่เขาต้องการได้อีกครั้งเมื่อร่างกำยำสูงใหญ่ของชาวต่างชาติที่เขามาขว้างเมื่อครู่ตวัดแขนกอดร่างของราชันเอาไว้แล้วเบี่ยงข้างเอาร่างกายของตนเป็นโล่กำบังและไหนจะเสียงของเปลวอรุณที่ตะโกนขึ้นมาอีก

            “อย่าคุณอัน!”  เปลวอรุณตะโกนป้องน้องชายเสียงแหบ

             “อย่าคุณอัน อย่าทำราช” ลูกตาลที่เห็นท่าทีของเปลวอรุณที่พยายามตะเกียกตะกากตัวเข้าไปห้ามก็รีบเข้าไปประคอง

             “เปลว” คนถูกห้ามหันกลับมามองคนรักด้วยสีหน้าไม่พอใจระคายสงสัย
 
             “ขอร้องคุณอัน ผมขอ อย่าทำราช อย่าทำน้องผม” คำขอของเปลวอรุณทำเอาคนฟังชะงักตกใจ อัมรินทร์หันควับกลับไปมองคนที่ถูกเรียกว่า ‘น้อง’ ที่กำลังสะอื้นหนักอยู่ในอ้อมแขนของคนแปลกหน้า

               “น้อง งั้นหรอ” อัมรินทร์ทวนถามอย่างไม่เชื่อ นัยน์ตาคมจ้องมองเพื่อนแค้นของตัวเองนิ่งก่อนจะสบเข้ากับด้วยตาสีอ่อนดุดันของวาเลนติโนที่มองเขาอยู่ก่อนหน้า

                “ใช่ ราชันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเปลวอรุณ” วาเลนติโนเป็นผู้เฉลยคำตอบนี้ให้

                อัมรินทร์มองใบหน้าของเปลวอรุณกับราชันสลับกันไปมา ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ไม่เห็นถึงเค้าโครงอะไรที่สามารถบ่งบอกได้เลยสักอย่างว่าสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด

               “นายเองก็มีลูกพี่ลูกน้องอยู่ไม่ใช่หรือไง มีส่วนไหนที่พวกนายเหมือนกันบ้าง” วาเลนติโนพูดขึ้นคล้ายหงุดหงิดเมื่อเห็นสายตาจ้องสำรวจของอัมรินทร์ที่มองมายังราชัน

               “นี้มันเรื่องบ้าอะไรกัน” อัมรินทร์หลบสายตาก่อนสบถออกมาเหมือนคนหัวเสียที่ตามอะไรไม่ทันสักอย่าง

                 “คุณอัน” เปลวอรุณหน้าเสียด้วยคิดว่าอัมรินทร์โกรธ ท่อนแขนผอมแห้งยืดออกคว้าแขนหนาของอัมรินทร์มาจับแน่น

                  อัมรินทร์มองหน้าเปลวอรุณครู่หนึ่งก่อนจะทรุดกายลงนั่งที่ขอบเตียงรั้งร่างผอมเข้ามากอดปลอบ แม้จะยังขัดเคืองใจอยู่บ้างแต่เขาก็ทำใจโกรธเปลวอรุณไม่ลงอยู่ดี

                  “ไม่ร้องเปล่า ไม่ร้องฉันไม่ได้โกรธ” เสียงสะอื้นกับคำขอโทษอู้อี้ทำให้อัมรินทร์เลือกที่จะลูบท่อนแขนเล็กนั้นพร้อมตวัดสายตามองราชันที่แอบมองมาทางพวกเขาตาขวาง

                   “ทำไมเปลวถึงอยู่ในสภาพนี้” เมื่อไม่ได้ความจากเรื่องเมื่อครู่อันเป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควรอัมรินทร์จึงเลือกที่จะถามถึงสภาพของเปลวอรุณแทนพร้อมทั้งกวาดตามองทุกคนในห้องโดยเฉพาะกับราชันที่เขาใช้สายตาไม่เป็นมิตรคาดคั้น

                     ราชันบีบท่อนแขนหนาของวาเลนติโนแน่นในขณะที่เปลวอรุณกับลูกตาลหลุบตามองต่ำ

                     ยังมีเรื่องอะไรที่เขายังไม่รู้อีกอย่างนั้นหรอ... อัมรินทร์ขบเขี้ยวในใจ

                    “ผม เป็นมะเร็ง” เปลวอรุณเลือกที่จะเป็นคนตอบเอง หากแต่คำตอบที่เอ่ยออกมาแผ่วเบานั้นอัมรินทร์กลับได้ยินมันก้องเต็มสองหู

                    “อะไรนะ” อัมรินทร์ถามเสียงเครือสั่น มือหนาประคองแก้มตอบซีดขิงเปลวอรุณขึ้น

                     เปลวอรุณไม่ตอบอะไรมากไปการสะอื้นรับความจริงที่ตนจงใจปิดบังอัมรินทร์มาตั้งแต่แรก

                      เมื่อเปลวอรุณไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็เท่ากับเป็นการยืนยันคำตอบได้อย่างแจ่มชัด

                     “ตั้งแต่เมื่อไรกันเปลว” อัมรินทร์ถามออกมาคล้ายคนหมดแรง “เปลวรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไรว่าเป็น”

                      “ตั้งแต่ท้อง” เปลวอรุณกะพริบตาถี่ มือผอมกำเสื้ออัมรินทร์แน่น “ผมกลัว กลัวว่าถ้าบอกมันจะทำให้คุณเป็นกังวล ไหนจะลูกไหนจะเรื่องของผม ผมไม่อยากทำร้ายความสุขของคุณความสุขที่เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน ผมทำไม่ลง”  เปลวอรุณสะอื้นจนตัวงอ

                   หากเปลวอรุณเลือกที่จะรักษาตัวตั้งแต่ตอนแรกที่รู้ตัวว่าเป็นนั้นหมายถึงชีวิตของลูกที่ต้องเสียไปแต่สิ่งที่เปลวอรุณเลือกคือชีวิตของลูกที่จะได้เกิดโดยแลกกับชีวิตของตัวเองที่กว่าจะคลอดลูกออกมาแล้วรักษาตัวแต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงมันคงไม่ทันการณ์และสิ่งที่เขาจะเสียไปก็คือชีวิตของเปลวอรุณ

                  อัมรินทร์ขบกราบกำมือตัวเองแน่น

                  เขาโกรธ โกรธที่เปลวอรุณไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญขนาดนี้กับเขา โกรธที่เปลวอรุณปิดบังเขา และโกรธที่เปลวอรุณคิดจะจากเขาไปโดยไม่ยอมบอกให้เขารู้ล่วงหน้า

                  เปลวอรุณเป็นห่วงความสุขของเขา แต่เขาจะมีความสุขได้อย่างไรหากมันไม่มีเปลวอรุณอยู่กับเขาด้วย...
               
                   “ไม่เป็นไรเปลว ไม่เป็นไร” เขาพยายามปลอบ แต่เหมือนยิ่งพูดออกไปก็มีแต่ทำให้เปลวอรุณร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม

                 “กลับบ้านกันนะเปลว กลับบ้านของเรา กลับไปเริ่มใหม่กลับไปรักษาตัวให้หายแล้วหลังจากนั้นเปลวอยากมีลูกอีกสักกี่คนเรามาพยายามกันใหม่ได้ หากมีแค่ลูกแต่ไม่มีเปลวมันก็ไม่ใช่ครอบครัวหรอกนะ ความสุขของฉันคือการมีเปลวอยู่ด้วย” อัมรินทร์คลี่ยิ้มอ่อนยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่ข้างแก้มสีซีด

                 “ฉันกับลูกมารับเปลวกลับบ้านแล้ว กลับบ้านกันนะ”

                  เปลวอรุณพยักหน้ารั่วก่อนจะคว้าทั้งอัมรินทร์และลูกตาลมากอดเอาไว้แน่น

 

              ภาพบรรยาการครอบครัวที่เคยพลัดพรากจากกันได้กลับมาเจอกันอีกครั้งดูเป็นภาพที่ดูอบอุ่นและน่าตื้นตันใจ ราชันมองภาพตรงหน้าคล้ายคนเจ็บปวดใจเมื่อพี่ชายเพียงคนเดียวของตนกำลังจะถูกแย่งไปจริงๆ ปลายเล็กจิกเกร็งเขาที่ต้นแขนของวาเลนติโนแน่นจนเป็นรอยหากแต่เจ้าตัวกลับไม่ปริปากร้องหรือโวยวายและยอมที่จะอยู่นิ่งๆให้เขาได้ฝังความเจ็บลงบนผิวเนื้อ

              ราชันกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซิบก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมแขนหนาแล้วพรวดพราดก้าวออกจากห้องไปไม่สนสายตาของใครต่อใครที่มองตามหลังเขามา

ปัง!

              วาเลนติโนมองออกไปทางบานประตูห้องนอนที่เขาอยู่แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ราชันรักพี่ชายของตนมากขนาดไหนเขารู้ดีและรู้ว่ามันไม่ใช่แค่รักมากแต่เข้าขั้นคำว่า ‘คลั่ง’ เลยเสียมากกว่า ดวงตาสีอ่อนดุดันหันกลับมามองคนทั้งสามที่นั่งกันอยู่ที่เตียง

              “อัมรินทร์”

              เจ้าของชื่อหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิดกับราชันยังไงเขาก็ไม่ไว้ใจ

              “ผมรู้ว่ามันฟังดูเป็นเรื่องที่ยากนะ แต่ผมขอโทษคุณแทนสิ่งที่เขาทำแล้วผมอยากจะขอให้คุณยกโทษให้เขาด้วยจะได้ไหม”

              “อะไรนะ” อัมรินทร์ย้อนถามเสียงห้วนไม่พอใจ

              ยกโทษให้มันเนี้ยะนะ ไม่มีทาง!...

              “ผมรู้ว่าคุณคงไม่พอใจกับสิ่งที่เขาทำ-“

              “ใช่ไง ใครมันจะไปทนได้” อัมรินทร์สวนแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

              วานเลนติโนผ่อนลงหายใจ

              “ผมรู้”

              ราชันทำเรื่องทำราวเอาไว้เสียใหญ่โต คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อัมรินทร์จะยอมใจอ่อนยกโทษให้อย่างที่ว่ามา เขาเข้าใจแต่เขาก็อยากจะขอร้องขอลองดู แต่เมื่อมันไม่ได้ก็คือไม่ได้...

              “ราชรักคุณมากนะเปลวอรุณ” ก่อนจะหันไปพูดกับเปลวอรุณต่อแทน

              เปลวอรุณก้มหน้าเล็กน้อยในเรื่องที่เขารู้ดีที่สุด

              “เรื่องวันนั้นที่ทำให้คุณผิดใจกับเขามันเป็นเพราะผม ผมขอโทษด้วย” เขาก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเงยกลับขึ้นมาอีกครั้ง “วันนั้นที่เขารู้ว่าคนที่เขาพูดจาไม่ดีด้วยคือคุณไม่ใช่ผม เขาร้อนรนมากเหมือนคนสติแตก” เขายิ้มอ่อน



           
:mew6:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:mew6:


  “พี่เปลว พี่เปลว วาโน่ พาผมกลับไทย กลับไทยเดี๋ยวนี้”

              เสียงร้อนรนพูดย้ำไปย้ำมาเหมือนคนเสียสติของราชันในวันนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในหัวไหนจะเท้าเปลือยเปล่าที่วิ่งฝ่าพื้นหิมะออกมาจนมันแดงไปหมดเพื่อออกมารอเขาใบหน้าท่วมน้ำตาเหมือนคนเสียสตินั้นอีก

               ต่อให้ร้ายแสนร้ายขนาดไหนแต่เขาก็ยังรัก...

               “คุณรู้ไหมว่าเขาไปที่สวิตเซอร์แลนด์ทำไม”

                เปลวอรุณส่ายหน้า “ผมไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่าเขาไปตั้งแต่เมื่อไร”

               พวกเขาสองคนติดต่อหากันตลอดก็จริงแต่เรื่องที่ราชันไปต่างประเทศเขากลับไม่เคยรู้มาก่อน ไม่รู้แม้กระทั้งว่าน้องชายของเขาไปตั้งแต่เมื่อไรและไปเพื่ออะไร

               “ราชันเขามีอาการทางจิตอ่อนๆมาตั้งแต่เด็กเรื่องนี้คุณก็คงจะไม่รู้ด้วยสินะ” วาเลนติโนจับจ้องคู่สนทนานิ่ง

               เปลวอรุณชะงัก

              “อะไรนะ” เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้

               “อาการที่เขาเป็นคือจิตภาวะระแวง”

               “แต่เขาไม่เห็นมีอะไรแตกต่างจากปกติเลยนะ” เปลวอรุณหน้าเครียด หรือเพราะเขาไม่เคยสังเกตน้องของตัวเองเขาถึงไม่รับรู้ถึงอาการป่วยนี้

                “ไม่หรอก สิ่งที่เขาเป็นไม่ได้ทำให้บุคลิกภาพของเขาเปลี่ยนไปแต่สิ่งที่มีผลโดยตรงคือความคิดของเขา” ปลายนิ้วหนาจิ้มลงขมับตัวเอง

               “อาการระแวงของเขาเกิดขึ้นจากความกลัว กลัวที่จะไม่ได้รับความรักจากคุณ ระแวงว่าสักวันจะมีใครมาเอาตัวคุณไปจากเขา เขาไปที่สวิตก็เพื่อพักรักษาตัว” คนพูดยิ้มขื่น

               “ยะ อย่าบอกนะว่า” เปลวอรุณเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาในหัว ใบหน้าซีดเซียวแฝงความเป็นกังวลไว้อย่างปิดไม่มิด

               “ใช่ ตอนที่คุณหายไปเขาคลุ้มคลั่งอย่างหนัก” หัวใจของเขาหนักอึ้ง ไม่มีใครไม่เจ็บหรอกเวลาเห็นคนที่รักเจ็บปวดทรมาร

                “ตอนที่เขาเจอคุณเขาดีใจมากเลยนะ แต่พอคุณทำตัวเหินห่างกับเขาแบบนั้นเขาก็กลับมาเศร้าและเริ่มทำร้ายตัวเอง” เปลวอรุณยกมือขึ้นปิดปากในขณะที่อัมรินทร์กับลูกตาลก้มหน้ากับคำบอกเล่าที่ได้รับฟัง

                “สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็เพราะเขาคิดมาตลอดว่าคุณถูกผู้ชายคนนี่หลอกลวง เขาพยายามหาหลักฐานทุกอย่างเพื่อช่วยคุณ แต่เขาก็ยังเคารพการตัดสินใจของคุณอยู่นะ เขาบอกผมว่าหลังจากที่บอกเรื่องนี้กับคุณแล้วหลังจากนั้นคุณจะตัดสินใจยังไงต่อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกคุณเขาก็จะไม่เข้ามายุ่ง”

                 “แล้วที่พาแม่ผมมาซ้อนแบบนี้ละ” ลูกตาลแทรกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ไหนว่าเคารพการตัดสินใจแล้วยังไงละแล้วทำไมยังทำอะไรแบบนี้อีก..

                 “เพราะเขารู้ไงว่าแม่นายจะเลือกอะไร” วาเลนติโนหันมองเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันกลับมามองเปลวอรุณอีกครั้งก่อนพูดต่อ

                “เพราะเขารู้ว่าคุณจะต้องเลือกกลับไปหาอัมรินทร์ เขาคิดว่าเขาจะไม่ใช่คนที่คุณรักอีกแล้วเขาจึงเอาตัวคุณมาอยู่ที่นี้ เก็บคุณเอาไว้ใกล้ตัวที่สุดให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้มันจะทำให้ทั้งตัวเขาเองทั้งตัวของอัมรินทร์และทั้งตัวคุณต้องเจ็บปวดแต่เขาก็ยังอยากจะให้คุณอยู่กับเขา”

                ทุกคืนที่น้องเข้ามาขอนอนกับเขาเพราะสาเหตุนี้อย่างนั้นหรอ.. เปลวอรุณตระหนักคิด

                “และอย่างที่เขาเคยพูดเอาไว้ ว่าถ้านายสามารถพาอัมรินทร์มาที่นี้ได้เขาก็จะปล่อยเปลวอรุณไป พาแม่นายกลับไปได้แล้วเจ้าหนู” วานเลนติโนทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหมุนกายเตรียมจะเดินออกจากห้องไป

                “เดี๋ยว!” เปลวอรุณเรียกอีกคนเอาไว้

                วาเลนติโนหันกลับมามองพลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

                “ขอฉันไปหาเขาจะได้ไหม”

                “เปลว” อัมรินทร์ร้องประท้วง ถึงจะเป็นน้อง ถึงจะรู้สาเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ไว้ใจ

               “คุณจะมาด้วยกันก็ได้ถ้าไม่ไว้ใจ” วาเลนติโนเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป

               “ฉันไม่อยากให้เปลวไปหามัน” อัมรินทร์ทำเสียงฮึกฮักในลำคอขณะประคองเปลวอรุณให้ยืนขึ้น

               “ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาเชื่อว่าน้องจะไม่ทำร้ายเขา

               “แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่นะครับ” ลูกตาลเสริมขึ้นอีกเสียง

                “เชื่อแม่สิตาล” เปลวอรุณคลี่ยิ้มบาง

                ราชันที่เขารู้จักเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นไม่มีทางกลับคำพูดตัวเองแน่และที่สำคัญราชันคือน้องของเขา...

                เป็นเด็กน้อยที่น่ารักของเขา...

 

                แม้จะไม่พอใจแต่อัมรินทร์ก็ประคองพาเปลวอรุณเดินมายังห้องอีกห้องที่อยู่ถัดออกมาโดยมีลูกตาลเดินตามมาข้างหลัง บานประตูห้องไม่ได้ปิดสนิทเพียงแค่แง้มเอาไว้ อัมรินทร์ผลักบานประตูนั้นเข้าไปด้านในแล้วเดินเข้าไป

                ห้องขนาดใหญ่กว่าห้องที่เปลวอรุณเพียงเล็กน้อย ตรงกลางห้องเป็นเตียงนอนที่ตอนนี้มีร่างใหญ่ของชายที่เพิ่งพูดคุยกับเขาเมื่อครู่นั่งอยู่ที่ขอบเตียงข้างๆเป็นร่างของราชันที่นั่งเกยอยู่ที่ตักในลักษณะที่ถูกโอบเอาไว้แนบอกมือทั้งสองข้างของเจ้าตัวกำเสื้อของอีกคนแน่นตาสอดส่ายไปมาเหมือนกำลังระแวดระวังอะไรสักอย่าง

                 ราชันดูตื่นกลัวกว่าปกติ...

                “ราช”

               เสียงเรียกของเปลวอรุณแผ่วเบาหากแต่กับดูรุนแรงจนทำให้เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกสะดุ้งโหยง ราชันเงยสายตามองอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นว่าเป็นเปลวอรุณเจ้าตัวก็หลับตาปี๋ซุกหน้าเข้าอกของวาเลนติโนมายิ่งขึ้น

                อัมรินทร์พาเปลวอรุณมานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่วางอยู่ตรงมุมห้องโดยที่สายตาของตนไม่ละออกจากท่าทีที่ดูแปลกไปของราชัน เขาไม่เคยเห็นราชันมีสภาพน่าเวทนาขนาดนี้มาก่อน มันเหมือนไม่ใช่ราชันที่เขาเคยรู้จัก...

                “ราช” เปลวอรุณพยายามส่งเสียงเรียกหา แต่ยิ่งเขาเรียกน้องชายมากเท่าไรอีกฝ่ายก็ยิ่งซุกหน้าขยับกายหนีเขาเท่านั้น

                 “ราชไม่อยากเจอพี่แล้วหรอ”

                 “ไม่ๆๆ ไม่ใช่” และได้ผล ราชันยอมที่จะหันกลับมาพูดด้วย

                 เปลวอรุณยิ้ม

                 ราชันชะงักก่อนจะกลับไปซุกอกวาเลนติโนตามเดิม

                 “พี่จะกลับไปอยู่กับคุณอันนะ” เปลวอรุณพูดความต้องการของตัวเองออกมา

                  ราชันเหลือบมองหน้าเปลวอรุณเล็กน้อยก่อนหันหนี “ครับ”

                  “พี่จะย้ายของออกจาบ้านหลังนั้นแล้วไปอยู่ที่บ้านของคุณอัน” เขาตัดสินใจแล้ว “หลังจากนั้นราชอย่าลืมไปหาพี่บ้างนะ พาคุณตาไปด้วยก็ได้”

                   อัมรินทร์กับลูกตาลมีทีท่าว่าจะค้านความต้องการเมื่อครู่แต่ก็ต้องชะงักปากชะงักคำเอาไว้

                    คนที่ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมหาค่อยๆหันหน้ามามองอย่างไม่เชื่อหู

                  “พี่ พี่เปลวพูดจริงหรอ” เสียงของราชันดูสั่นเครือจนน่าสงสาร

                  “พี่ไม่เคยโกหกเรานะ” เปลวอรุณยิ้มบาง

                  “พี่ไม่โกรธผมหรอ พี่ไม่เกลียดผมใช่ไหม”

                  เปลวอรุณส่ายหน้า “ไม่โกรธและไม่เคยเกลียดหรอกนะ”

                  มือบางผอมแห้งแบออกแล้วยืนออกไปข้างหน้า ราชันมองมือข้างนั้นอย่างลังเล ดวงตาเรียวเหลือบมองสีหน้าไม่พอใจของอัมรินทร์กับลูกตาลเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองคนที่ประคองกอดตัวเขาเองเอาไว้

                  วาเลนติโนยิ้มบาง ขณะแขนดันหลังให้ราชันออกไปเผชิญหน้ากับความกลับในใจ

                  ราชันดูลังเลและสับสนมือที่กำเสื้อของวาเลนติโนอยู่นั้นกำแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะยอมปล่อยแล้วขยับตัวช้าๆอย่างกล้าๆกลัวๆเอื้อมมือออกไปจับมือที่แสนอบอุ่นเสมอสำหรับตน

                  เปลวอรุณรอให้ราชันจับมือของตนก่อนจะค่อยๆดึงแขนกลับมาแล้วโอบกอดน้องชายของตัวเองเอาไว้

                  “ราชเป็นน้องของพี่ พี่รักราชเสมอนะ” มือบางลูบหัวอีกคนอย่างเบามือ

                  “ฮึก” ราชันสะอื้นกอดรอบเอวผอมบางเอาไว้แน่น

                   “สิ่งที่ราชทำถึงมันจะไม่ใช่สิ่งที่ดีแต่ที่ราชทำราชทำเพราะรักพี่ พี่ไม่ถือไม่โกรธราช พี่ให้อภัยราชนะ” ยิ่งเปลวอรุณพูดออกมาราชันก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น

                    คำว่า ‘รัก’ ที่เปลวอรุณมีให้มีค่ายิ่งกว่าอะไรในชีวิตของเขา ยิ่งอีกคนให้อภัยกับสิ่งที่เขาทำยิ่งทำให้เขาละอายใจและเกลียดตัวเองที่ทำร้ายพี่ชายที่ตนรัก

                    “อย่าถือโทษโกรธตัวเองเลยนะ คนเราจะเผลอทำเรื่องที่ผิดลงไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อรู้แล้วก็อย่างทำมันอีกเข้าใจไหม”

                    “ครับ” ราชันพยักหน้ารั่ว

                   “พี่ขอโทษนะ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าทำให้ทุกข์ใจขนาดไหน”

                    “ไม่ๆๆ พี่เปลวไม่ผิด พี่เปลวไม่ได้ทำ” ราชันรีบผละตัวออกจากอ้อมกอดพร้อมส่ายหน้าพรืด “ผมต่างหาก ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมขอโทษพี่เปลว ผมขอโทษ”

                      ราชันพร่ำขอโทษออกมาทั้งน้ำตา

                     เปลวอรุณลูบหัวปลอบโยน เขาไม่รู้หรอว่าวิธีรักษาโรคที่ราชันเป็นมันต้องรักษายังไง แต่ถ้าหากราชันเห็นเขาคือคนสำคัญเขาเชื่อว่าคำพูดของเขาย่อมสามารถรักษาประโลงใจของน้องได้ในระดับหนึ่ง

                       อะไรที่พี่คนนี่ทำเพื่อน้องได้ แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยเขาก็พร้อมที่จะทำให้...

.............................................................

 

                  “หลับไปแล้วหรอ” อัมรินทร์เอ่ยถามเสียงเบาพลางชะโงกหน้ามอง

                  “ครับ หลับสนิทเลย” เปลวอรุณยิ้มตอบก่อนจะหันมามองราชันที่นอนขดตัวเขาหาเขาเหมือนเด็ก

                  หลังจากเคลียร์ปัญหาที่คาใจกันได้เสร็จอัมรินทร์กับลูกตาลก็ตั้งท่าจะพาเปลวอรุณท่าเดียว แต่มีหรือที่ราชันจะยอมง่ายๆ ถึงจะเข้าใจกันมากขึ้นระดับหนึ่งแต่ราชันก็ยังคงเป็นราชันนิสัยเอาแต่ใจตัวเองคือข้อเสียที่แก้ไม่หาย

                 “พี่เปลวอยู่กับผมก่อนได้ไหม” ใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ให้ได้ของราชันทำเอาเปลวอรุณใจอ่อนยวบ

                 “แต่เปลวต้องรีบกลับไปพักผ่อน” อัมรินทร์กันท่า แผลใจที่ราชันทำไว้มันลึกจนยากที่อัมรินทร์จะไว้ใจหรือให้อภัยได้โดยง่ายซึ่งอันนี้ทั้งเปลวอรุณและราชันเข้าใจดี

                 
“แค่ตอนผมหลับก็ได้”
ราชันหน้าม่อย

                 เปลวอรุณรู้ความต้องการของราชันดีว่าต้องการที่จะรั้งตัวเขาเอาไว้ให้นานที่สุดแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรทั้งยังยอมที่จะให้ราชันประคองพาไปที่เตียงก่อนจะออกปากไล่ทุกคนออกไปจนหมด

                  ราชันนอนกอดเขาเอาไว้เงียบๆไม่พูดไม่จาอะไร ดวงตาเรียวเล็กแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักปรือจนแทบจะลืมไม่ขึ้นแต่เจ้าตัวก็ยังคงพยายามถ่างมันเอาไว้จนเปลวอรุณยิ้มขำก่อนจะเปลี่ยนมือที่ลูบหัวอีกคนอยู่เป็นตบหลังเบาๆเหมือนอย่างที่เขาทำกับอีกคนเมื่อตอนเด็กยามที่กล่อมพาน้องชายเข้านอน และไม่นานราชันก็หลับไป

                    “รีบไปก่อนที่เขาจะตื่นเถอะ เดี๋ยวได้โวยวายอีก” วานเลนติโนเอ่ยเตือนขณะเดินเข้ามาจัดผ้าห่มให้ราชันพร้อมลูบแก้มคนนอนหลับเบาๆ

                     เปลวอรุณยิ้มบางมองน้องชายที่หลับสนิทอยู่บนเตียงก่อนจะลุกขึ้นโดยมีอัมรินทร์กับลูกตาลคอยพยุงอยู่ไม่ห่าง

                    “ฝากราชด้วยนะครับ” เปลวอรุณเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังเข้ามาในลิฟท์แล้ว

                     “ผมจะดูแลเขาเอง” วาเลนติโนรับคำหนักแน่น “แล้วเจอกันใหม่ครับ” เขาพูดขึ้นก่อนที่บานประตูลิฟท์จะปิดลง

                      ภายใจลิฟท์มีเพียงพวกเขาสามคน ลูกตาลเปลี่ยนจากมือที่คอยพยุงเป็นกอดรัดแม่ของเขาเอาไว้แน่นเช่นเดียวกับอัมรินทร์ที่สวมกอดทับคนทั้งสองเอาไว้แน่น

                       “กลับบ้านเรากันนะ”



_________________________________________________

เปลวได้กลับบ้านแล้ว!!!

นอกจากจะต้องฝ่าฟันกับอุปสรรค์นานาประการโดยเฉพาะความเน็ตหอ ในที่สุดก็สามารถอัพนิยายได้สักที เย้!

ไอ้เราก็ไม่ใช่สายมาม่าต้มยำน้ำข้นเสียด้วย มาได้เท่านี้แหละ อะเฮาะๆ
[/color]

อาการของหนูราชเป็นอาการทางจิตที่คล้ายๆกลับการระแวงหรือกลัวอะไรแบบฝั่งใจ ซึ่งในกรณีของหนูราชคือการกลัวว่าของรักหรือคนที่รักจะหายไปนั้นเอง

ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
ในที่สุดก็อ่านทันน   :katai4:
โอ้ยยย นี่หรือคือมาม่าน้ำน้อย นี่น้ำตาจะท้วมจอแล้ว  :mew6:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ในที่สุดเปลวก็ได้กลับบ้านซักที หวังว่า เปลวจะหายเร็วๆ และมีลูกคนใหม่เร็วๆนะคะ

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ในที่สุดก็เข้าใจกันซักที

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :n1:


มะเร็งอีกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
หายเร็วๆนะเปลว

ออฟไลน์ zysygy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นหนี้ ครั้งที่ 34



                 เสียงประตูปิดลงอย่างเบามือ คนเข้ามาใหม่สอดส่องสายตามองดูให้แน่ชัดว่าคนที่เขาต้องการที่จะเข้ามาหานั้นยังนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอนและเมื่อพอเห็นร่างของคนที่รักนอนหลังอยู่บนเตียงนอนรอยยิ้มเล็กๆก็พลันปรากฏขึ้น

              อัมรินทร์ก้าวเข้ามาในห้องของพวกเขาอย่างไม่รีบร้อน ชายหนุ่มเดินอย่างอารมณ์ดีเข้ามาก่อนจะทรุดตัวอย่างช้าลงที่ข้างเตียงนอนนั่งมองใบหน้าอ่อนล้าของคนที่หลับสนิทอย่างอิ่มแอมใจพลางเผลอนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขากับราชันเคลียร์ใจกันได้ แม้มันจะไม่ได้ช่วยทำให้ตัวเขามองน้องชายของคนรักในแง่ดีขึ้นมาบ้างแต่อย่างน้อยก็ต้องถือว่าเรื่องทุกอย่างถูกคลี่คลายลงได้ด้วยดี แต่เรื่องหลังจากที่เขาพาเปลวอรุณกลับมาถึงบ้านแล้วต่างหากที่ทำให้เขาอารมณ์ดีและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

              “นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันว่ะ” เสียงของอนิรุทธิ์คือเสียงแรกที่เอ่ยต้อนรับการกลับมาของพวกเขา

              “เรื่องดีๆต่างหาก” เขาแย้งขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะประคองกอดคนที่รักเอาไว้ไม่ห่าง

              อนิรุทธิ์มีท่าทางคล้ายคนทำอะไรไม่ถูก ก็รู้อยู่แหละว่าญาติผู้พี่ของตรนกำลังดีใจที่ได้เจอหน้าคนรักของเขาอีกครั้งแต่มันก็ดูจะมีความตกตื่นใจอยู่มากกว่า

              “ก็ไหนมึงบอกว่าเปลวเขา..” เขาอมยิ้มขันกับอาการเหลอหลาของอีกคนที่เขามาจับตัวของเปลวอรุณเบาๆเหมือนยืนยันสิ่งที่เห็นแต่กลับโดนลูกตาลตีเขาที่มือเสียงดัง

เพียะ

              “มือสะอาดหรือเปล่า ไปล้างมาเลยนะเดี๋ยวแม่ผมป่วย” หลังจากที่ออกมาคอนโดของราชันมาในช่วงที่อยู่บนรถลูกตาลเข้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการดูแลผู้ป่วยระหว่างเข้ารับการรักษามาอย่างดี ดังนั้นเรื่องความสะอาดจึงดูเหมือนเป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มให้ความสำคัญมากที่สุด

              “มันเจ็บนะ” อนุนิรุทธิ์บ่นอุบพลางสะบัดมือตัวเองไปมา

              “แล้วเรื่องมันเป็นไงมายังไงกันแน่ตาอัน” เสียงของมารดาดังขึ้นขัดเสียงหัวเราะเบาๆของเปลวอรุณ

              “นั้นสิ ไหนก่อนหน้าแกตีโพยตีพายหาว่าเขาตายไปแล้วไงละ” บิดาของเขากอดอกมองมายังตัวเขาอย่างคาดคั้นเอาความ

              ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดนั่งรวมกันอยู่ในห้องนั่งเล่น การรวมตัวกันของทุกคนที่ต้องการทราบถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเมื่อแรกเจอกับสมาชิกที่ทุกคนต่างคิดว่าจากไปแล้วทำเอาตกอกตกใจกันไปเสียยกใหญ่ไหนจะสภาพร่างกายของเปลวอรุณในยามนี้อีกที่ดูจะสร้างความเป็นห่วงให้คนที่รอฟังคำตอบเป็นอย่างมาก

              เขามองหน้าผู้ให้กำเนิดทั้งสองเล็กน้อยก่อนหันมองคนข้างกาย

              “ตาลพาแม่เขาขึ้นไปพักข้างบนก่อน” เขาเอ่ยกับเด็กหนุ่ม “ไปพักก่อนนะเปลว เดี๋ยวฉันตามขึ้นไป” ก่อนจะหันมาหาพร้อมเกลี่ยใบหน้าขาวซีดอ่อนแรงของเปลววอรุณเบา

              เปลวอรุณเหลือบมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงเล็กน้อยก่อนจะรับคำที่ว่ามาอย่างว่าง่ายให้ลูกตาลช่วยประคองพาขึ้นไปด้านบนโดยมีมณีนิลเดินตามไม่ห่างแม้สุดท้ายตัวมันจะไม่ได้ไปต่อได้แต่นอนร้องขอความเห็นใจอยู่แค่หน้าห้องนอนก็ตามที...

              อัมรินทร์มองตามแผ่นหลังบางของเปลวอรุณไปจนสุดทางตาแล้วจึงหันกลับมามองคนทั้งสามที่นั่งมองมาทางเขาอยู่ก่อนด้วยความต้องการที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

              “อธิบายมาไอ้อัน มึงรู้ไหมตอนกูเห็นเมียมึงเมื่อกี้หัวใจกูเกือบจะวายตายนึกว่าเห็นผี” อนิรุทธิ์เปิดประเด็นขึ้นเป็นคนแรก ภาพของอนิรุทธิ์ที่หน้าซีดปากสั่นทำตัวคล้ายจะเป็นลมในตอนที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วเห็นเปลวอรุณนั่งอยู่นั้นไม่ว่าจะนึกขึ้นมาเมื่อไรก็พลอยทำให้เขาอดขำขึ้นมาไม่ได้

              “ไม่ตลกเจ้าอัน บอกพ่อมาเดี๋ยวนี้เลยว่าเรื่องมันเป็นยังไง” แต่ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะไม่นึกขำตาม  อัมรินทร์ปรับสีหน้าของตนใหม่ให้ดูจริงจังมากยิ่งขึ้นและขยับยืดตัวให้ตรง

              “เรื่องมันก็คือ...”

              อัมรินทร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่วันที่เขาได้รับโทรศัพท์จากราชันที่โรงพยาบาลลากยาวมาจนถึงเรื่องเมื่อช่วงสายในตอนที่ลูกตาลเข้ามาหาเขาที่ห้องแล้วลากเขาออกมาจากบ้านเพื่อไปรับตัวเปลวอรุณกลับมา

              ตลอดช่วงที่อัมรินทร์เล่าเรื่องออกมาเขาไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าสีหน้าของเขาเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ด้วยว่าตอนที่เขาเล่าว่าต้องเสียเปลวอรุณไปนั้นสีหน้าของเขาทั้งหมดหมองและทุกข์ทมขนาดไหน และคงไม่รู้ตัวว่าตอนที่เล่าว่าได้เจอกับเปลวอรุณอีกครั้งสีหน้าของเขาดูเป็นสุขและมีความสุขกับการมีชีวิตอยู่มากมายเพียงใด

              อัมรินทร์ไม่มีทางได้รู้ แต่ทั้งสุริยะ นภา และอนิรุทธิ์ต่างเห็นมันชัดจนลึกเข้าสุดใจของคนพูด

              “แต่ตอนนี้หนูเปลวเขาป่วยหนักไม่รู้ว่าจะรักษาหายเมื่อไรหรือไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับแกได้อีกนานเท่า แกก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีอยู่อีกใช่ไหม” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าตึงเครียดของบิดาด้วยความรู้สึกเหมือนไม่พอใจที่ความรู้สึกของเขาถูกตั้งคำถ่ามเช่นนี้

              “แล้วผมต้องเสียใจหรอ” เขาพูดอย่างเอาเรื่อง “การที่ผมต้องอยู่อย่างเสียเปลวไปมันก็พอทำผมเศร้าจะเป็นจะตายอยู่แล้ว ถึงการได้เปลวกลับมาครั้งนี้มันจะไม่ได้เปลวที่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนกลับมาด้วยแต่ในเมื่อผมได้เขากลับมาแล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาไม่ว่ามันนจะสั้นหรือจะยาวผมก็จะเป็นคนดูแลเขาเอง”

              อัมรินทร์พูดมันออกมาจากสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในใจ ความตั้งใจที่มันเกิดขึ้นตั้งแต่รับรู้เรื่องอาการป่วยของอีกคน เขาไม่เคยนึกรังเกียจและไม่คิดที่จะให้เปลวอรุณต้องทนทุกข์กับโรคร้ายที่เพียงลำพัง เขารักเปลวอรุณเพราะนี้คือเปลวอรุณไม่ใช่เพราะสิ่งที่เห็นเพียงแค่ภายนอกและเขาไม่มีทางรังเกียจคนที่เขารักได้ลงแน่

              สุริยะเผลอยิ้มพอใจกับสิ่งที่ได้ฟังออกมาจากปากของบุตรชายเพียงคนเดียวของตนเช่นเดียวกับนภาที่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวของบุตรชายที่ไม่คิดทิ้งขว้างคนที่ตนเองบอกว่ารักแม้ในยามที่อีกฝ่ายต้องเผชิญกับโรคร้าย

              คนที่มองความรักของอัมรินทร์มานานอย่างอนิรุทธิ์เองก็รู้สึกยินดีกับญาติผู้น้องของตนที่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนได้ แม้ตัวเขาจะไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญหรือรู้จักคำว่ารักดีนักแต่เขามั่นใจว่าสิ่งที่อัมรินทร์กำลังแสดงออกมาอยู่นี่คือ ‘รัก’

รักที่มาจากใจ ไม่ใช่แค่ความหลงใหล่แต่อย่างใด...

              มันเป็นรักที่บริสุทธิ์..

              “แล้วตอนนี้อาการของหนูเปลวเป็นยังบ้างละ เรื่องอาหารการกินมีอะไรที่เป็นของต้องห้ามหรือเปล่าแม่จะได้บอกลุงอุ่นแล้วให้แววเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินของหนูเปลวเขาให้เป็นพิเศษต่างหาก” นภาเอ่นทักขึ้นถาม การดูแลคนป่วยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความสำคัญมาก เธอเองก็อยากจะมีส่วนช่วยในการดูแลหัวใจของลูกชายเธอ

              เขาเผลอนิ่งเงียบให้กับคำถามนั้นของมารดก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข

              “เรื่องนี้ผมว่าให้ลูกตาลมาพูดเองดีกว่า รายนั้นหารายละเอียดเอาไว้ครบหมดแล้ว” เขาว่ายิ้มๆเมื่อนึกถึงท่าทางเอาจริงเอาจังของเด็กหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาหาข้อมูลสำหรับการดูแลเปลวอรุณ

               “งั้นแม่ไปคุยกับตาลเรื่องนี้ก่อนดีกว่า เผื่อต้องซื้ออะไรเพิ่มจะได้ออกไปซื้อเลย” เธอว่าก่อนจะลุกขึ้นเดิน เมื่อเดินผ่านร่างของลูกชายเธอก็วางมือลงบนบ่ากว้างบีบๆด้วยรอยยิ้มแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป

              อัมรินทร์มองตามหลังของมารดาไปก่อนจะกลับมาก้มหน้ายิ้มกับตัวเอง ถ้าหากว่าเขาจะเหมาเอาว่าสิ่งที่แม่ของเขาแสดงออกมาคือการยอมรับในตัวของเปลวอรุณแล้วจะถือว่าผิดเพี้ยนหรือเปล่า...?

              “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะมึง” หากแต่หน้าตาชื้นบานแบบนั้นมันทำให้อนิรุทธิ์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นใส้

              อัมรินทร์ไม่ตอบแต่ยักคิ้วหลิวตามองอย่างเหนือกว่าให้พี่ชายที่นั่งอยู่ไม่ไกลจนอีกคนแบะปาก

              “ดูแลกันให้ดีแล้วกัน” อยู่ๆเสียงของคนมีอายุที่สุดก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนคนหนุ่มทั้งสองหันหน้ามองเลิกเล่นแล้วหันกลับบมามอง

              “แกเองก็ทำเขาเอาไว้ไม่ใช่เล่นเหมือนกันอย่าลืมเสียละ ไม่อย่างนั้นน้องเขาคงไม่มาเอาคืนจนแกจะเป็นจะตายอย่างนี้หรอก” สุริยะเอ่ยเตือนความจำลูกชายพร้อมตำหนิเด็กทั้งสองไปในตัวถึงสิ่งที่ได้ทำไป

              สองหนุ่มยิ้มแหยงให้กับความผิดติดตัว

              “ในเมื่อแกได้โอกาสแก้ตัวมาแล้วแกก็ต้องรู้จังที่จะรักษามันเอาไว้เพราะหนูเปลวเขาคงไม่ตายแล้วฟื้นมาให้โอกาสแกแก้ตัวซ้ำๆอีกหรอกนะ”  สุริยะพูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นท่องขายาวก้าวมาใกล้ลูกชายก่อนจะกล่าวต่ออีกเล็กน้อย

              “ถ้าเป็นหนูเปลวฉันก็ว่างใจว่าเขาจะเอาแกอยู่ไม่ปล่อยให้แกทำตัวแหลวไหลที่ไหนได้อีก” คนเป็นพ่อว่ายิ้มๆก่อนจะก้าวผ่านเลยออกจากห้องไปปอย่างที่จะทำ

              พอคิดว่าถึงตรงนี้อัมรินทร์ก็เผลอยิ้มกว้างออกมาอีก

              การที่พ่อกับแม่ของเขารักและเอ็นดูเปลวอรุณถือเป็นอีกเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเขาและเปลวอรุณ ตอนแรกเขาเองก็แอบหวั่นอยู่ลึกๆว่าตัวเขาจะถูกตำหนิที่เลือกเปลวอรุณมาเป็นคู่ชีวิตอีกทั้งยังกลัวว่าเปลวอรุณจะถูกกล่าวหาว่าร้าย แต่มันคงเป็นตัวเขาที่หวั่นวิตกมากจนเกินไป

              อัมรินทร์ขบขันอยู่กับตัวเองขณะนอนเท้าคางมองเปลวอรุณ อันที่จริงเขาตั้งใจว่าจะขึ้นมาปลุกอีกคนที่ดูเหมือนจะนอนหลับเพลินไปเสียหน่อยให้ตื่นขึ้นมาเพราะตอนนี้ก็จวนจะเย็นแล้วแต่พอได้เห็นใบหน้าอิดโรยดูดีขึ้นมาบ้างยามที่หลับตาพักผ่อนเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดเลยอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น

              “อืม”

              แต่ดูเหมือนว่าคนที่นอนหลับอยู่นั้นจะรับรู้ได้ถึงการจับจ้อมมองของเขาอยู่ก็เป็นได้ถึงได้ขยับตัวเล็กน้อยพร้อมครางออกมาแผ่วเบา

              เขายิ้มบางพลางลูบมือตาส่วนโค้งของศีรษะที่ไร้การปกคลุม ศีรษะของเปลวอรุณกลมทุยสวยได้รูปแม้จะไม่มีเส้นผมนุ่มมือเหมือนแต่ก่อนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองลดลงแต่กลับดูน่าเอ็นดูไปอีกแบบในสายตาของเขา

              ดูเหมือนว่าสิ่งที่อัมรินทร์ทำจะดูขัดกับความตั้งใจภายหลังของตนอยู่กลายๆที่ว่าจะไม่รบกวนการนอนหลับเพราะดูเหมือนว่านอกจากการขยับตัวของคนที่ถูกก่อกวนนอนในตอนแรกแล้วตอนนี้เปลือกตาบางยังขยับยุกยิกเล็กน้อยคล้ายขัดใจก่อนจะค่อยๆปรือเปลือกตาเปิด

              เมื่อเห็นว่าใครคือคนที่ก่อกวนมุมปากของเปลวอรุณก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย

              “คุณอัน” แล้วซุกตัวเข้าใกล้อีกคน หลายคืนที่ห่างกันสิ่งที่เปลวอรุณโหยหามากที่สุดคือความอบอุ่นจากอ้อมกอดของอัมรินทร์ที่โอบตัวเขาเอาไว้และเมื่อตอนนี้ที่เขาได้ตื่นขึ้นมาเห็นอีกคนอยู่ตรงหน้าแล้วเขาจึงขยับตัวเขาซุกหน้าลงกับอกให้คนที่โหยหากอดเขาเอาไว้อย่างที่ใจต้องการแล้วหลับตาลงซึมซับความรู้สึกที่เคยขาดหายไป

              “ฉันทำให้ตื่นหรอ” อัมรินทร์อมยิ้มแล้วโอบเปลวอรุณเข้ามากอดอย่างที่ตัวเขาเองก็ต้องการ เพราะตัวเขาเองก็โหยหาร่างกายอบอุ่นของเปลวอรุณไม่ต่างกัน แม้ตอนนี้มันจะเย็นชื้ดลงก็ตามที

              “คุณขึ้นมาปลุกผมไม่ใช่หรือไงครับ” เปลวอรุณย้อนถามกลับโดยไม่ลืมตามอง

              “ก็ใช้” อัมรินทร์ว่าก่อนจะพลิกตัวนอนหงายจนเปลวอรุณขึ้นมานอนเกยบนตัวของเขา “แต่พอเห็นเปลวนอนสบายแล้วก็เลยไม่อยากจะปลุก”

              เปลวอรุณหัวเราะขำในลำคอก่อนจะลืมตาเกยคางลงกับแผนอกที่ซบอยู่เพื่อมองใบหน้าของอัมรินทร์ให้เต็มตาก่อนจะย่นคิ้ว

              “คุณโกนหนวดออกหรอครับ” ปลายนิ้วผอมลูบไปตามสันกรามแล้ววนรอบตรงกรอบปากอย่างเย้าแหย่จนอัมรินทร์ขยับหัวไล่งับปลายนิ้วซน

              “ก็มันรุงรังฉันไม่ค่อบชอบเท่าไร”

              “แล้วก่อนหน้านี้ไว้มันทำไมละครับ”

              อัมรินทร์ไม่ตอบแต่ขยับหัวขึ้นหอมแก้มอีกคนแทนเอาดื้อๆแล้วเปลี่ยนคำตอบ “ถ้าเปลวชอบเดี๋ยวฉันไว้ใหม่ก็ได้”

              “ฮึฮึ จะแบบไหนผมก็ชอบทั้งนั้นละครับ” คนฟังเลิกคิ้วมองคนบนตัวด้วยไม่คิดว่าเปลวอรุณจะพูดจาอะไรน่ารักแบบนี้ออกมา

อัมรินทร์ยิ้มออกมาพร้อมกระชับกอดคนบนตัวให้แน่นขึ้นแล้วโยกตัวไปมาอย่างมีความสุข

              เปลวอรุณอมยิ้ม “คุณอันผมเวียนหัวนะครับ”

              อัมรินทร์ชะงักก่อนจะรีบปล่อยมือที่กอดเปลวอรุณออกแล้วนอนนิ่งด้วยหลงลืมไปว่าตอนนี้ร่างกายของอีกคนไม่เหมือนแต่ก่อนยิ่งเปลวอรุณมีร่างกายอ่อนแอมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วผลข้างเคียงจากการรับยาเคมีบำบัดจึงดูจะมีมากอยู่แม้ตัวเขาจะไม่รู้เรื่องมากเท่าไรแต่เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงทำอะไรให้เปลวอรุณเจ็บหรือมีอาการที่ไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าเปลวอรุณจะชอบอกชอบใจกับปฏิกิริยาของเขาที่หยุดชะงักเอาดื้อๆอยู่พอตัว เขาได้ยิ้นเสียงหัวเราะเบาๆที่ดังออกมาให้รู้ว่าเขาถูกอีกคนแกล้งก็ตั้งท่าจะเอ่ยปากดุแต่เปลวอรุณรู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่องจริงๆนั้นแหละท่อนแขนผอมถึงสอดเข้าที่แผ่นหลังแล้วกอดเขาเอาไว้จนทำให้เขาโกรธไม่ลง

              ให้ตายสิ...

              อัมรินทร์ยิ้มขบขันกับการออดอ้อนของเปลวอรุณที่เขาไม่เคยได้เห็นแต่ในขณะเดียวกันรอยยิ้มของเปลวอรุณที่สนุกกับการได้กลั่นแกล้งอัมรินทร์ก็หุบแคบลง

              “คุณผอมลงไปหรือเปล่า” ถึงจะไม่ได้สัมผัสตัวกันมาเกือบสามเดือนแต่ก็ไม่ใช่ว่าเปลวอรุณจะลืมความสมบูรณ์ของร่างงกายของอีกฝ่าย แม้ตอนที่เห็นครั้งแรกเขาจะไม่ได้สนใจอะไรเพราะกำลังตื่นตาดีใจกับการได้กลับมาพบกันอีกครั้งแต่ในตอนนี้ที่เขาได้กอดอีกคนเอาไว้ทำให้ใจของเขาหล่นหายเมื่อไม่ใช่มีเพียงแค่เขาที่มีการเปลี่ยนแปลง

              เปลวอรุณถามเคร่งเครียดจนอัมรินทร์ตั้งตัวไม่ทัน

              อัมรินทร์มองนัยน์ตาใสที่จ้องมาทางเขาอย่างเขาความ เขายิ้มบาง

              “เปลวคิดว่าปลาตัวหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ยังไงเมื่อมันขาดน้ำไป” เขาถามขึ้น

              เปลวอรุณขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจสิ่งที่อัมรินทร์ต้องการสื่อ

              “ตอนที่ฉันคิดไปว่าฉันเสียเปลวไปแล้วฉันเหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกจับโยนขึ้นมาบนบก ไร้อาหารที่จะกินไร้อากาศที่จะใช้หายใจ ทรมานแทบขาดใจอยากจะตายแต่ก็ยังตายไม่ได้” ปลายนิ้วลูบเบาๆที่ข้างแก้มซีด “ไม่ว่าอะไรฉันก็รู้สึกกินไม่ลงสักอย่าง” เขาขำในลำคอ

              “แต่เปลวรู้อะไรไหม” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเปลวอรุณดูหม่นลง นิ้วที่ลูบเกลี่ยเปลี่ยนเป็นประคองข้างแก้มนั่นเอาไว้

              “ตอนที่ฉันได้รู้ว่าเปลวยังอยู่มันเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่โถมใส่ฉันเหมือนให้ความหวัง และพอฉันได้เห็นเปลวได้กอดเปลวเอาไว้แบบนี้” เขาว่าพลางกระชับแขนอีกข้างให้กอดอีกคนแน่นขึ้น

              “ปลาที่ใกล้ตายเพราะขาดทั้งอาหารและอากาศก็ถูกคลื่นลูกใหญ่นั้นลากตัวกลับลงไปในท้องทะเลกว้างใหญ่อีกครั้งที่มีทั้งอาหารมากมายให้เลือกกินมีอากาศมากมายให้ได้หายใจ ปลาตัวนี้มันดีใจมากขนาดไหนเปลวรู้ไหมที่มันได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”

              เปลวอรุณจับจ้องอัมรินทร์ไม่วางตา ความหมายที่อัมรินทร์ต้องการจะสื่อนั้นไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมายแต่หากมันซึมซับเข้าไปในหัวใจของเขาให้รู้สึกตื้นตันและอบอุ่น


             
  :กอด1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

:กอด1:


“คุณไม่น่าจะเป็นปลานะ” เปลวอรุณพูดขำแก้เขินซบหน้าลงกับอก

              “แล้วฉันเหมาะกับเป็นอะไรดีละ” อัมรินทร์เลิกคิ้วถามก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งโดนประคองตัวเปลวอรุณเอาไว้ให้นั่งอยู่ที่ตรงกลางหว่างขา

              เปลวอรุณทำหน้านึกก่อนจะตอบ “ลูกตาลชอบพูดว่าคุณมันเป็นหมาป่าจอมวางแผน”

              ช่วงที่เขาอยู่ที่คอนโดของราชันสิ่งที่เขาชอบถามจากเด็กหนุ่มคือเรื่องของอัมรินทร์และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเคยถามถึงเรื่องแผนการอันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดว่าเด็กหนุ่มมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ ลูกชายของเขาหน้าเจือนลงก่อนจะยอมเล่าความจริงให้เขาฟัง ยอมรับเลยว่าตอนนั้นโกรธมากที่ทุกคนต่างรวมหัวกันหลอกลวงเขาแต่พอได้ฟังถึงสาเหตุที่เจ้าตัวยอมตบปากรับคำให้ความช่วยเหลือแล้วก็อดที่จะโกรธไม่ลงไม่ได้ ในเมื่อลูกทำเพื่อเขาเขาก็ไม่รู้จะถือโทษโกรธเอาความไปเพื่ออะไร

              “แล้วตาลคิดยังกับคุณอัน”

            “กับพ่อน่ะหรอ”
ลูกตาลทำหน้าคิด “คงเหมือนหมาป่าตัวโตๆที่โคตรซื่อบื้อแถมยังเจ้าแผนการคิดนู้นคิดนี้แล้วก็ทำอะไรที่มันอ้อมโลกแบบสุดๆ” เด็กหนุ่มว่าพลางทำหน้าเหนื่อยหน่าย ก่อนจะยกยิ้มเยาะ “แต่สุดท้ายก็แค่หมาตัวโตๆตัวหนึ่งที่ต้องการเจ้าของนั้นแหละ”

              แต่ไอ้คำว่าหมาตัวโตๆนี้เขาของละเอาไว้ก็แล้วกัน...

              “ถ้าฉันเป็นหมาป่าจอมวางแผนแล้วถ้างั้นเปลวเป็นอะไรละ” อัมรินทร์เอ่ยถามขญะหยิบแว่นสายตาของอีกคนขึ้นมาสวมใส่ให้

              “ไม่รู้สิครับ”

              อัมรินทร์ยกยิ้มก่อนจะหยิบเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมเหนือศีรษะอีกคนเอาไว้

              “งั้นเปลวก็คงเป็นหนูน้อยหมวกแดง” คนที่ถูกเปรี่ยบว่าเป็นหนูน้อยหมวกแดงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะออกมาเมื่อผ้าห่มที่คลุมอยู่ตอนนี้มันเป็นสีฟ้าอ่อนไม่ได้มีความใกล้เคียงกับสีแดงเลยสักนิดเดียว

              “แต่นี่มันสีฟ้านะครับ” เขาแย้ง

              “หนูน้อยหมวกฟ้าก็ได้” อัมรินทร์ลื่นไหล

              เปลวอรุณหัวเราะขบขันก่อนที่สายตาของตนจะไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่ถูกสวมอยู่ที่นิ้วมือของอัมรินทร์

              “แหวนอะไรหรอครับ” อยู่ๆหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บเมื่อแหวนวงที่วางถูกสวมอยู่ที่นิ้วนาวข้างซ้าย

              อัมรินทร์มองตามสายตา “สวยหรือเปล่า” ก่อนจะถามออกมาอย่างภูมิใจขณะถอดมันออกมาวางใส่มือของเปลวอรุณ

              “ก็ สวยครับ” เปลวอรุณมองแหวนก่อนจะหันมองอัมรินทร์ที่ลุกขึ้นยืนพร้อมหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีขาวออกมาจากกระเป๋ากางเกงมาวางลงที่ตักของเขาแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของตน

               อัมรินทร์เปิดลิ้นชักข้างโต๊ะทำงานแล้วหยิบบางอย่างที่อยู่ในนั้นออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินกลับมานั่งยองๆลงข้างเตียงตรงหน้าเปลวอรุณ

              “เปลวรู้ไหนว่าตอนเด็กฉันเคยมีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง” อัมรินทร์เปรยขึ้นขณะมองดูกล่องเหล็กขนาดเท่าฝามือที่เปลวอรุณอนุมานเอาว่ามันน่าจะเป็นกล่องใส่คุกกี้

              “ฉันเคยฝันว่าโตขึ้นอยากจะเป็นช่างทำเครื่องประดับ”

              เปลวอรุณคลี่ยิ้มกับความฝันวัยเด็กของคนตรงหน้า

              “เมื่อตอนเด็กๆพ่อชอบพาฉันกับไอ้รุทธิ์ไปที่โรงงาผลิตด้วยบ่อยๆเพื่อไปดูกรรมวิธีการเจียระไนและขึ้นรูปเครื่องประดับ ตอนนั้นฉันจำได้ว่าตัวเองตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้ไปที่โรงงานผิดกับไอ้รุทธิ์ลิบลับเลยละ” คนเล่ายิ้มขำ เพราะทุกครั้งที่ตัวเขากับอนิรุทธิ์ไปดูเหมือนจะมีแต่เขาที่สนอกสนใจในตัวแร่หินแวววาวมีราคาที่กำลังถูกรังสรรค์ขึ้นเป็นเครื่องประดับในขณะที่อนิรุทธิ์ไม่ได้สนใจอะไรสิ่งเหล่านี้เท่าไรนอกจากการตั้งคำถามใส่ช่างที่ทำการผลิต

              “แล้วมันก็มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นฉันไปที่โรงงานกับพ่อสองคนจำไม่ค่อยได้เหมือนกันว่าทำไมไอ้รุทธิ์ถึงไม่ได้ไปด้วย สงสัยจะป่วยละมั่ง” เขาเดา “ฉันรบเร้าขอพ่อว่าอยากจะลองทำเครื่องประดับเองสักชิ้น” เขาเอื้อมมืออกไปจับมือข้างซ้ายของเปลวอรุณเอาไว้

              “อาจเพราะว่าเป็นเด็กพอเห็นผู้ใหญ่ทำออกมาเหมือนง่ายเลยอยากทำตาม ฉันรบเร้าพ่ออยู่นานจนพ่อใจอ่อนยอมให้ฉันลงไปลองทำดู ตอนนั้นคุณอ้วนที่เป็นหัวแผนกการผลิตเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ปีกว่าเป็นคนดูแลและคอยสอนให้ลองทำแต่สิ่งที่เห็นว่ามันง่ายมันไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ฉันคิดนี้นะสิ” อัมรินทร์ยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ได้จับเครื่องไม้เครื่องมือ

              “ตอนแรกที่ได้นั่งลงตรงหน้าเครื่องมือฉันนี้ตื่นเต้นมากเลยละ แต่มันก็เท่านั้นละ ไอ้ฉันมันก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนเสียเท่าไรพอเริ่มทำไปได้สักพักก็บ่นว่าร้อนแถมพอทำแล้วมันไม่ออกมาเป็นอย่างที่ต้องการฉันก็หงุดหงิดแล้วทิ้งทุกอย่างไม่ทำต่อ” คนเล่าทำปากยู่เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ตะไบเหล็กเพื่อขัดความมนของตัวขึ้นทรงแหวน

               “คุณนี้เอาแต่ใจตั้งแต่เด็กยันโตเหมือนกันเลยนะครับ” เปลวอรุณค่อนขอดอีกคนอย่างขำๆ

               “ก็นะ” อัมรินทร์ไม่เถียง

              “แล้วเป็นยังไงต่อหรอครับ คุณเลิกทำมันไปกลางคันหรอ” เปลวอรุณถามขึ้นอย่างสนใจ

              “ตอนแรกฉันก็อยากทำแบบนั้น แต่พ่อนะสิกดไหล่ฉันลงกับที่ไม่ให้ลุกพร้อมสั่งเอาไว้ว่าถ้าฉันทำไม่เสร็จห้ามลุกไปไหนแถมไม่ให้คุณอ้วนเข้ามาช่วยฉันทำด้วยนะ เปลวรู้ไหมตอนนั้นฉันร้องไห้ลั่นโรงงานเลยที่โดนพ่อขัดใจ”

              เปลวอรุณหัวเราะเมื่อคำตอบของอัมรินทร์ดูจะไม่ห่างไกลจากสิ่งที่คิดเอาไว้เสียเท่าไร

              “ฉันนั่งทำต่อทั้งน้ำตาเลยละ ปากก็บ่นร้อนบ้างละตัดพ้อพ่อบ้างละแถมยังสะอื้นไปด้วยอีกเป็นสภาพที่ดูไม่ได้เลยจริงๆ แต่สุดท้ายฉันก็นั่งทำมันจนเสร็จ” ครั้งนี้น้ำเสียงและแววตาของอัมรินทร์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

              กล่องเหล็กในมือถูกอัมรินทร์เปิดฝาออกจนได้ยินเสียง ‘ฟอค’ ดังขึ้นเบาๆ เปลวอรุณเผลอชะเง้อมองสิ่งที่อยู่ข้างใน

              “นี้คือแหวนวงแรกและวงเดียวที่ฉันทำเอง” แหวนสีเงินที่ทำมาจากเห็นรูปทรงบิดๆเบี้ยวๆแถมความหนาบางรอบวงยังไม่เท่ากันที่วางนิ่งอยู่บนผ้าสีน้ำเงินด้านในกล่องถูกอัมรินทร์หยิบขึ้นมา

              “ตอนที่ทำเสร็จฉันร้องไห้ออกมาเลยละ เพราะมันเป็นสิ่งของอย่างแรกเลยที่ฉันทำมันขึ้นมาเองกับมือฉันภูมิใจกับมันมากและฉันเองก็รู้ว่าพ่อก็ภูมิใจเหมือนกันที่ฉันสามารถทำมันออกมาได้แม้จะไม่ดีเท่าไร” อัมรินทร์มองแหวนในมือด้วยรอยยิ้ม

              “พ่อถามฉันอีกครั้งหลังทำเสร็จว่าฉันยังอยากจะเป็นช่างทำเครื่องประดับอยู่อีกไหม”

              อัมรินทร์เหลือบมองเปลวอรุณที่มองมาเล็กน้อย

              “ฉันตอบไปว่าไม่”

              “ทำไมละครับ” เปลวอรุณเอียงคอถาม “หรือเพราะมันลำบากคุณเลยไม่อยากทำ” เด็กๆนั้นเปลี่ยนใจง่ายยิ่งคนที่ไม่เคยเจอความลำบากมาก่อนย่อมที่จะเปลี่ยนใจได้ง่ายกว่าปกติ

              “ก็มีส่วน” อัมรินทร์ยอมรับอย่างไม่อาย “แต่เพราะฉันอยากจะให้มันมีแค่ชิ้นเดียว”

              เปลวอรุณย่นคิ้วฉงน

              “ฉันบอกว่าในอนาคตถ้าฉันมีคนที่รักฉันจะมอบแหวนวงนี้ให้กับคนคนนั้น แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นฉันจะเก็บมันเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจเวลาฉันท้อหรือเหนื่อยว่าฉันฉันต้องทำมันได้เหมือนอย่างที่ฉันทำแหวนวงนี้ออกมาได้ยังไงละ”

              เปลวอรุณนิ่งไป

              “ตอนนี้ฉันเจอคนคนนั้นที่ฉันบอกพ่อเอาไว้แล้ว” อัมรินทร์บีบมือเปลวอรุณแน่น “ถึงแหวนวงนี้มันจะไม่มีค่าอะไรเลยแถมรูปทรงก็ไม่น่ามองอีกต่างหากแต่มันก็เต็มไปด้วยความพยายามของฉันเลยนะหวังว่าเปลวจะไม่รังเกียจมันนะ”

              “คุณอัน” เปลวอรุณเสียงสั่น

              อัมรินทร์ค่อยๆบรรจงสวมแหวนรูปร่างประหลาดตาเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเปลวอรุณ ต้องขอบคุณอาการของผลข้างเคียงการรักษาที่ทำให้แปลวอรุณผอมลงจนแหวนของเขาที่น่าจะมีขนาดเท่าขนาดนิ้วของผู้หญิงสามารถสวมเข้าไปได้อย่างพอดีจนน่าพอใจ

              อัมรินทร์มองมือขาวซีดที่มือแหวนสีเงินสวมอยู่คนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมก่อนจะเงยขึ้นมองใบหน้าของเปลวอรุณที่พวงแก้มเริ่มขึ้นสี

              “และผลจากความบากบั่นพยายามของฉันเปลวอรุณไหมฉันได้อะไรตอบแทนมา” เขาลูบนิ้วหัวแม่มือลงบนนิ้วที่สวมแหวนของเปลวอรุณ

              “มะ ไม่รู้ครับ” เปลวอรุณมีท่าทีเคอะเขิน

              “คุณอ้วนบอกว่าในอนาคตถ้าฉันจะแต่งงานให้มาบอกเขา เขาจะทำแหวนแต่งงานให้กับฉัน” อัมรินทร์บีบมือเปลวอรุณอีกครั้งก่อนปล่อยออก

              ถุงหูรูดกำมะหยี่ถูกหยิบขึ้นมาแล้วเปิดออก เปลวอรุณมองการกระทำของอัมรินทร์เงียบๆแต่เมื่อของสิ่งแรกที่ถูกหยิบออกมาทำเอาคนมองรีบหันหน้าหนีเหมือนไม่อยากมอง

              กระพวนของเท้าสำหรับเด็กแรกเกิด

              “ฉันไปทวงสัญญานั่นมา แล้วขอให้คุณอ้วนทำกระพวนของเท้านี้เพิ่มให้เพื่อที่จะได้เอามารับขวัญลูกของเราที่จะเกิดมา” อัมรินทร์ยิ้มเศร้าเมื่อเจ้าของของมันไม่มีวันได้ใส่มันแล้ว “ฉันออกแบบและเลือกวัตถุดิบการทำเองเลยนะ”

              คนฟังเม้มปากแน่นอย่างทำใจไม่ได้

              อัมรินทร์เข้าใจความรู้สึกของเปลวอรุณดีว่ามันเจ็บปวดมากเพียงใดเพราะเขาเองก็เคยผ่านความรู้สึกแบบนั้นมาแล้วเมื่อครั้งเห็นสิ่งนี้ครั้งแรก

              “ถึงตอนนี้จะไม่มีใครใส่มัน แต่ในอนาคตฉันมันเชื่อว่ากระพวนคู่นี้จะต้องถูกสวมเข้าที่ข้อเท้าของลูกเราแน่”

              “คุณอัน” เปลวอรุณหันกลับมามองใบหน้าของอัมรินทร์อีกครั้ง ความรู้สึกหลากหลายโถมเข้าใส่จนตัวเขาเองยังแยกไม่ออกว่ามันคืออะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆเลยคือคำพูดนั้นมันเติมใจของเขาจนเต็ม

              อัมรินทร์ยิ้มให้เปลวอรุณ กระพวนข้อเท้าเด็กถูกเก้บใส่ลงถุงกำมะหยี่อีกครั้งก่อนของอีกสิ่งที่อยู่ข้างในจะถูกหยับออกมา

              “ก่อนที่เขาจะเกิดมา ขอให้ฉันได้เป็นคนดูแลเปลวได้ไหม” กล่องกำมะหยี่สีกลีบบัวถูกเปิดออกเผยให้เห็นแหวนอีกวงที่เหมือนกับแหวนที่อัมรินทร์สวมอยู่ก่อนหน้า

              เปลวอรุณเผลอกำแหวนที่อัมรินทร์ออกมาใส่ในมือเขาเอาไว้แน่นเมื่ออัมรินทร์หยิบแหวนวงนั้นออกมาแล้วชูขึ้นในระดับสายตาของเขา

              แหวนทองคำขาวสลักลวดลายดวงอาทิตย์ตรงกลางฝั่งเพชรสีอัมพันน้ำดีเม็ดเล็กลงไปรอบๆดวงอาทิตย์คือเปลวแสงของมันที่สาดส่องความอบอุ่น

              นอกจากขนาดที่แตกต่างกันระหว่างแหวนของอัมรินทร์แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่แหวนคู่นี้แตกต่างกันก็คือลวดลาย แหวนของเปลวอรุณมีลวดลายของเปลวแสงที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ในขณะที่แหวนของอัมรินทร์มีเพียงแค่ดวงอาทิตย์กับเพชรสีอัมพันเท่านั้น

              แหวนเปลวอรุณ ก็คือ แหวนของเปลวอรุณ

              มันเป็นของที่อัมรินทร์ทำขึ้นให้กับเปลวอรุณเพียงคนเดียวเท่านั้น

              “เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมเปลว” น้ำเสียงของอัมรินทร์เต็มไปด้วยความเว้าวอนร้องขอ

              “ฉันรู้ตัวดีว่าตัวฉันมันก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย ฉันเคยเป็นคนที่เปลวไม่ชอบ ฉันเคยหลอกลวง เคยทำให้เปลวเสียใจและหนักใจอยู่ก็มาก แต่เรามาเริ่มกับใหม่ได้ไหม” อัมรินทร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเปลวอรุณอย่างแน่วแน่และจริงจัง

              “คุณมั่นใจขนาดไหนกันว่าผมจะหาย” เปลวอรุณกลั้นใจพูดออกมา ถึงจะรู้ว่ามีทางที่จะหายแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจถ้าหากมันรุกรามจนยากที่จะรักษาได้

              “ถ้าผมเหลือเวลาที่จะอยู่กับคุณได้อีกไม่นานละ ถ้าผมมีลูกให้คุณไม่ได้อีกแล้วละ คุณยังอยากที่จะเริ่มมันใหม่กับผมอยู่ไหม” เขาดีใจที่อัมรินทร์มองใจให้กับเขา แต่ในความดีใจนั้นย่อมเจือไปด้วยความคลางแคลงใจเหมือนเป็นกลไกอย่างหนึ่งของจิตใจที่ตั้งคำถามขึ้นมาให้กับความรู้สึกดีเพื่อป้องกันความเจ็บจากการผิดหวังพลาดใจ

              เขากำลังกลัว...

              “มีหลายคนที่หายจากโรคนี้ได้และฉันเชื่อว่าเปลวของฉันเก่งพอที่จะฝ่าฟันกับโรคนี้จนหายได้” อัมรินทร์เข้าใจความหวาดกลัวในใจนั้นของเปลวอรุณดี

              “ขอให้ฉันได้ดูแลเปลวได้ไหม ไม่ว่าเปลวจะหายดีหรือไม่หายก็ของให้ฉันได้เป็นคนดูแลเปลวจนกว่าจะถึงเวลาสุดท้ายของเปลวได้ไหม ส่วนเรื่องลูกถ้าเปลวมีไม่ได้อีกฉันก็คงเสียใจแต่เชื่อสิฉันไม่ทิ้งเปลวแน่นอนอีกอย่างใช่ว่าเราจะไม่มีลูกด้วยกันเสียที่ไหนกัน”

              เปลวอรุณนิ่ง

              “ลูกตาลคือลูกของเรา เปลวลืมไปแล้วหรอ” อัมรินทร์ยืดตัวขึ้นจนใบหน้าอยู่ในระดับที่ไม่ห่างจากเปลวอรุณมาก มือหนาเอื้อมออกจับประคองใบหน้าด้านข้างของเปลวอรุณไว้

              “ฉันรักเปลวนะ ฉันรักที่เปลวคือเปลวอรุณไม่ใช่เปลวที่มากจากส่วนประกอบภายนอกอื่นๆ ฉันไม่ขอให้เปลวเชื่อสิ่งที่ฉันพูดมันออกมาหรอก แต่ฉันขอโอกาสได้ไหม ขอโอกาสให้ฉันได้พิสูจน์มันให้เปลวได้เห็นจะได้ไหม”

              น้ำตาที่คลอหน่วงอยู่ที่ขอบตาไหลลงตามข้างแก้มไม่ใช่เพราะโศกเศร้าหากแต่เขารู้สึกเป็นสุข สุขจนล้นอกล้นใจ 

              “คุณจะไม่รู้สึกเสียใจที่หลังใช่ไหมครับ” เปลวอรุณถามออกมาอีกครั้งเหมือนต้องการการยืนยัน

              “ฉันรอเปลวมาสามปีเลยนะ เปลวว่าฉันยังจะรู้สึกเสียใจกับอะไรได้อีกนอกจากจะเสียใจที่เปลวไม่ให้โอกาสผู้ชายคนนี้ได้รักเปลว”

              คำหวานหูทำเอาเปลวอรุณเผลอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

              อัมรินทร์โน้มคอเปลวอรุณลงเล็กน้อยพอให้ริมฝีปากบางซีดสามารถรับสัมผัสจากริมฝีปากของเขาได้ เขาไม่ได้รุกล้ำเข้าไปหากแต่แนบสัมผัสกันแน่นเพื่อสื่อความรู้สึก

              พวกเขาจูบกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่อัมรินทร์จะละริมฝีปากออกแล้วแนบหน้าผากของเขาชิดกับหน้าผากของเปลวอรุณ สัมผัสลมหายใจอุ่นซึ่งกันและกันไม่ยอมห่าง

              “ว่าไงละเปลว” เขาถามเสียงแผ่ว ใจคนถามเริ่มหวั่นเมื่อเปลวอรุณเอาแต่นิ่งเงียบมือที่กำแหวนอยู่กำแน่นขึ้นจนมือสั่นยามที่รอคอยคำตอบที่ตนไม่แน่ใจ

              เปลวอรุณช้อนนัยน์ตามองสบแววตาที่เริ่มสั่นไหวของอัมรินทร์เล็กน้อยแล้วจุดยิ้มขึ้นบางๆก่อนจะละหน้าผากที่แนบกันอยู่ออกไปซบลงที่ไหล่ของอัมรินทร์แทน

              อัมรินทร์มองท่าทีของเปลวอรุณอย่างสงสัย แต่ไม่นานใจที่เต้นสั่นของเขาก็เต้นหนักขึ้นเมื่อมือผอมบางของเปลวอรุณจับมือของเขาขึ้นมาแล้วสวมแหวนที่เขาถอดออกสวมคืนยังตำแหน่งเดิมที่มันเคยอยู่

              “คุณสวมมันเองโดยไม่รอผม ผมโกรธมากนะครับ” เปลวอรุณเอ่ยขึ้นเรียบๆทำเอาอัมรินทร์เลิ่กลั่กขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่

               อัมรินทร์หน้าเจือนผิดกลับเปลวอรุณที่อมยิ้ม
               
                 “แหวนแต่งงานเขาต้องให้อีกฝ่ายสวมให้สิครับ” เจ้าตัวพูดขึ้นพร้อมส่งมือข้างซ้ายมาที่ตรงหน้าอัมรินทร์

อัมรินทร์เหมือนคนมึนเบลอทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นจนเปลวอรุณต้องใช้ปลายนิ้วของมือข้างนั่นจิ้มลงที่กลางอกของคนตรงหน้าอยู่สองสามครั้งเพื่อเรียกสติให้กลับมา

               พอได้สติกลับมาอัมรินทร์ก็ยิ้มกว้างอย่างเข้าใจความหมาย ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นมานั่งที่ขอบเตียงโดยที่ศีรษะของเปลวอรุณยังคงวางค้างที่ที่ไหล่ ท่อนแขนหนาโอบรอบตัวของเปลวอรุณไว้เพื่อจับมือข้างซ้ายเอาไว้ให้มั่นก่อนที่มืออีกข้างจะบรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายซ้อนทันแหวนวงแรกที่ถูกส่วมเข้ามาก่อนหน้านี้

              “ผมรักคุณนะครับ คุณอัน”

              รอยยิ้มที่ประดับเอาไว้อยู่ก่อนหน้าคลี่ยิ้มออกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อคำที่เขาเฝ้ารอมานานดังออกมาจากปากของเปลวอรุณ หัวใจของเขาฟองโตกว่าครั้งไหนที่เคยเป็นมา อัมรินทร์โอบกอดร่างผอมบางของเปลวอรุณเอาไว้แน่นพร้อมพร่ำพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของตนมาตลอดออกมา

               “ฉันก็รักเปลว รักเปลวมากด้วย”



_______________________________

ตอนหน้าคือตอนสุดท้ายแล้ว อยากได้อะไรบอกมาเลย!!!

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ขอแค่เปลวหาย แล้วมีลูกก็พอ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ถ้าตอนหน้าเป็นตอนจบ ก็อยากให้เปลวหายดี และมีน้องให้ลูกตาลซัก 2-3 คนนะคะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :hao5:



นี่กลัว

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
โฮ่~ซึ้งมาก T^T

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ขอให้เปลวหายดี และมีลูกอีกสักคน เย่!!!

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
ขอให้เปลวหายและมีลูก

ออฟไลน์ B_SRIKHUNLA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอให้เปลวหายป่วย มีความสุข และมีลูกไวๆ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ปิดบัญชีหนี้ หนี้สุดท้าย


                “อุ โครก” เสียงโก้งคออาเจียนดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากกินอาหารไปได้เพียงเล็กน้อย

              “เปลวไหวไหม” อัมรินทร์ลูบหลังของเปลวอรุณตามเส้นแนวกระดูกสันหลังที่ปูดนู้นขึ้นมาชัดอย่างวิตกเป็นห่วง

              ยิ่งเปลวอรุณเข้ารับการรักษามากเท่าไรร่างกายของเปลวอรุณก็ยิ่งผ่ายผอมลงมายิ่งขึ้นจากผลข้างเคียงจากการรักยาเคมีบำบัดจนตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกจากการที่ร่างกายปฏิเสธการรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย ยิ่งมากเดือนความเป็นห่วงของอัมรินทร์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

              “ไหวครับ” เสียงหอบสั่นของคนพูดดูไร้เรี่ยวแรงขนาดแรงที่จะทรงตัวลุกขึ้นยังไม่มีแต่ก็ยังคงพยายามจะยิ้มออกมาให้คนที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่างคล้ายกังวล

              อัมรินทร์ประคองร่างกายที่เหลือเพียงแค่เนื้อหนังเพียงเล็กน้อยกลับมาที่เตียงนอนอีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดอ่อนแรงและอิดโรยจนเขาปวดใจ

              “รับยาครบหมดแล้วสินะ” อัมรินทร์พูดขึ้นขณะหยิบเอาใบนัดแต่ละครั้งขึ้นมาดู

              ที่จริงแล้วการให้ยารักษานั้นสามารถนำกลับมาทำด้วยตัวเองที่บ้านได้แต่อัมรินทร์ก็ยังคงเลือกที่จะให้เปลวอรุณเข้าไปให้ยาที่โรงพยาบาลโดยตรงเพื่อว่าจะได้ให้หมอตรวจร่างกายของอีกคนได้ละเอียดรวมถึงตัวเขาจะได้ไตร่ถามได้ทุกข้อสงสัยและเขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะปล่อยเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้ผ่านไปง่ายๆเมื่อหมอบอกว่าเปลวอรุณมีความเสี่ยงที่ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำลงเพราะการรักษาด้วยเคมีบำบัด

              “ครับ ครั้งต่อไปคือดูอาการ แค่กๆ” คนป่วยตอบเสียงเบาหวิวพร้อมกับอาการไอแบบแห้งๆซึ่งถือว่ายังดีที่ไม่ใช่อาการไอแบบมีเสมหะ

              “ฉันอยากให้เปลวหายสักที เห็นเปลวทรมานแบบนี้แล้วปวดใจ” เสียงของอัมรินทร์ดูปวดร้าวในใจเหมือนอย่างที่พูดขณะลงตัวลงนอนตะแคงข้างมองใบหน้าของคนรัก

              “เดี๋ยวก็หายแล้วครับ” ทั้งๆที่ควรเป็นเปลวอรุณที่ต้องเป็นฝ่ายที่ควรได้รับคำปลอบใจจากคนข้างตัวแต่กลับเป็นเขาเสียเองที่ต้องกอดปลอบผู้ชายตัวโตที่ทำหน้าเหมือนคนที่พร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลา

              “ถ้าหายเมื่อไรฉันจะขุนเปลวให้อ้วนกว่าเดิมเป็นสิบเท่าเลยคอยดูสิ” อัมรินทร์ตั้งปณิธานเอาไว้อย่างหมายมั่นแล้วกระชับอ้อมกอดกอดเปลวอรุณให้แน่นกว่าเดิมจนอีกคนเผลอหัวเราะออกมาคิกคัก

            ก็เขาชอบเปลวอรุณที่ดูมีเนื้อมีหนักมากกว่านี่หน่า...

 

              ห้าเดือนหลังจากที่ได้เปลวอรุณกลับมาอยู่ข้างๆ

              ความสุขที่เขาได้รับกลับมาครั้งนี้แฝงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทางกายของเปลวอรุณกับความเจ็บปวดทางใจของอัมรินทร์ อัมรินทร์บอกไม่ได้อย่างเต็มปากหรอกว่ามันคือความสุข เพราะการที่เห็นเปลวอรุณแบกรับการผลข้างเคียงจากการรักษาจนร่างกายทรุดโทรมทรมานมันไม่ใช่สิ่งที่เขาเรียกมันว่าความสุข เคยได้ยินว่าถ้าผู้ป่วยมีกำลังใจดีก็จะสามารถผ่านมันไปได้ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะอยู่ข้างๆเปลวอรุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทางด้านจิตใจนั้นเปลวอรุณมีสุขภาพจิตที่ดีไม่รู้สึกซึมเศร้าหรือตัดพ้อน้องใจตัวเองเหมือนอย่างที่แม่ของเขากลัวในช่วงแรกๆที่พาเปลวอรุณกลับมา

              “หนูเปลว ดื่นนมถั่วเหลือหน่อยนะ” เพราะอาหารหนักๆร่างกายของลูกสะใภ้เธอปฏิเสธเกือบจะทั้งหมด นภาจึงหันมาเลือกของแหลวกับของอ่อนแทน

              “คุณย่าทำเองเลยนะครับ แม่เปลวกินรองท้องเอาไว้หน่อยก็ดีเหมือนกัน” เสียงฉอเลาะของลูกตาลดังเสริมขึ้นขณะเลื่อนแก้วน้ำที่บรรจุนำนมถั่วเหลืองมาตรงหน้า

              “หรือหนูเปลวอยากได้เป็นน้ำผลไม้แทนเดี๋ยวแม่ให้แววไปคั้นน้ำส้มมาให้แทน” เมื่อเห็นว่าเปลวอรุณดูกล้ำกลืนที่จะเอาแก้วน้ำที่ว่าขึ้นดื่มเธอจึงรีบหาอย่างอื่นมาให้แทน

              “ไม่ต้องหรอกครับ” เปลวอรุณรีบปราม ด้วยความเกรงใจนภาที่สู้อุตสาห์ทำมาให้แม้จะไม่ชอบที่พอดื่มเสร็จแล้วชอบแสบตามลำคอแต่เพื่อรักษาน้ำใจคนทำเขาจึงยกแก้วนมขึ้นดื่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยมีลูกตาลคอยช่วยประคองแก้วน้ำเอาไว้ให้

              นภามองแก้วนมถั่วเหลืองที่เหลือเพียงแค่คราบติดก้นแก้วด้วยรอยยิ้มพอใจ ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านทั้งเธอและลูกตาลคือคนที่ดูแลเรื่องการปรุงอาหารต่างๆให้กับเปลวอรุณเธอจำได้ว่าเด็กหนุ่มบอกเธอให้เน้นหนักไปในอาหารจำพวกโปรตีนและพวกผลไม้ที่มีกากใย แต่เพราะอาหารส่วนใหญ่มักจะถูกขย่อยออกมาแทบจะในทันทีหลังกินเสร็จเธอเลยหันมาทำน้ำนมจากถั่วที่มีคุณค่าทางโปรตีนเข้ามาทดแทนให้สลับกับน้ำผลไม้แบบคั้นเองเพื่อไม่ให้ร่างกายของเปลวอรุณขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สำคัญไป

              อย่างน้อยของแหลวก็ได้ผลดีกว่าอาหารแบบหนักๆละนะ

              “ถ้างั้นแม่ไปเตรียมข้าวเย็นก่อนนะ” เธอว่าพร้อมหยิบแก้วนมที่หมดแล้วขึ้นถือ “ตาลก็อยู่เป็นเพื่อนแม่เขานี่ละ เดี๋ยวย่าให้แววกับน้อยช่วย”

              เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะพาเปลวอรุณออกไปนั่งที่สวนแทน

              แดดช่วงบ่ายแก่เริ่มร่มเหมาะแก่การออกมานั่งรับลมที่เก้าอี้ชิงช้าโดยก่อนออกมาลูกตาลก็ไม่ลืมที่จะหยิบเอาผ้าคลุมไหลกับหมวกไหมพรมถักที่ตนถักเองออกมาให้แม่ด้วย

              “คลุมไว้นะครับเดี๋ยวไม่สบาย” เด็กหนุ่มส่งหมวดให้ก่อนจะกางผ้าคลุมไหล่ออกมาสะบัดเล็กน้อยก่อนคลุมลงที่ไหล่ ตอนนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วจะให้แม่ของเขามานั่งตากแดดตากลมโดยไม่มีอะไรป้องกันไม่ได้

              เปลวอรุณยิ้มขอบคุณก่อนจะซบลงที่ไหล่ของลูกชายเมื่อเด็กหนุ่มนั่งลงตรงที่ข้างๆ

              “มหาลัยจะประกาศผลสอบเมื่อไรหรอ”

              “วันนี้ตอนเย็นครับ” ลูกตาลตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น มหาวิทยาลัยที่เขาเลือกเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐขนาดใหญ่อีกทั้งยังมีชื่อเสียงมาช้านานแน่นอนว่าจำนวนคู่แข่งที่เข้าแย่งเก้าอี้ของเขานั้นก็มีมากเช่นเดียวกัน

              “ลูกตาลของแม่เก่งอยู่แล้วยังไงแม่ก็เชื่อว่าตาลสอบได้อยู่แล้ว” มือผอมบางตบลงบนมือที่กุมกันเอาไว้แน่นของเด็กหนุ่ม

              “กินข้าวเสร็จแล้วเรามาลุ้นกันนะครับ”

              เปลวอรุณยิ้ม

              ความเพียรพยายามของลูกตาลที่ทำมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมากำลังจะปรากฏผลหลังจากนี้ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จอนิรุทธิ์ก็ขึ้นไปยกโน๊ตบุ๊คของตนที่อยู่บนห้องลงมาตรงกลางโต๊ะในห้องนั่งเล่น

              “มันประกาศตอนกี่โมง” แม้จะทำเป็นไม่ค่อยสนใจแต่คนที่เอ่ยปากถามขึ้นมาก็คือสุริยะที่เหลือบมองมาทางหลานชายคนโตนอกสายเลือดที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น

              “ตอนหกโมงครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับเสียงติดลุ้น นัยน์ตาสีอ่อนฉายแววตื่นเต้นขณะเข้าเว็บไซย์ของทางมหาวิทยาลัย

              “นี่ก็ทุ่มหนึ่งแล้วเข้าดูได้แล้วละ” อนิรุทธิ์มองนาฬิกา

              “ไม่ต้องตื่นเต้นนะตาล” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ดูท่าคนที่ตื่นเต้นกว้าเจ้าของผลสอบเข้าดูเหมือนจะเป็นคนที่บีบไหล่เจ้าตัวอยู่อย่างลิลดาที่วันนี้ของตามมาร่วมลุ้นผลสอบของเด็กหนุ่มด้วยถึงที่

              ลูกตาลสูดลมหายใจเข้าปอดลึกกว่าเดิมเมื่อเขาเข้ามาถึงหน้ารายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการศึกษา ภายในห้องนั่งเล่นตกอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มไล่รายชื่อลงมา จากหนึ่งไปสิบ จากสิบไปยี่สิบ

            จนถึงร้อย...

            ใจเด็กหนุ่มดิ่งลงพื้นเมื่อคิดว่ามันจะไม่มีชื่อของตัวเองแล้วรอยยิ้มที่กลั้นเอาไว้เริ่มหุบแห้งกลายเป็นความตึงเครียด จนกระทั้ง

            “เดี๋ยวก่อนตาล”  เสียงของเปลวอรุณดังขึ้นรั้งไม่ให้เด็กหนุ่มเลื่อนรายชื่อลงต่อ “กลับขึ้นไปอีกนิด” เขาว่า

             ลูกตาลใจเต้นลุ่มๆดอนๆเลื่อนรายชื่อกลับขึ้นไปที่ละชื่อ ที่ละชื่อ จนมาหยุดอยู่ที่ชื่อ

              ‘อันดับที่ 108 นายอดิทัศน์ โชคมณีกุล’

            “เฮ้ย!!!” เจ้าของชื่อร้องเสียงหลง ในขณะที่คนอื่นๆต่างพากันยิ้มแก้มปริกว่าเดิม

           เจ้าของชื้อยิ้มปากสั่นมองชื่อของตัวเองที่ปรากฏอยู่อย่างทำอะไรไม่ถูกภายในใจนั้นทั้งดีใจและเต็มสุขที่สามารถสองเข้ามหาวิทยาลัยที่ตัวเองต้องการได้ แต่ก็อดที่จะรู้สึกขำตัวเองไม่ได้เหมือนกันที่เมื่อกี้เขาหาชื่อของตัวเองไม่เจอก็เพราะ ‘นามสกุล’ เพราะมัวแต่มองหาชื่อกับนามสกุลเดิมอยู่นานทำให้มองผ่านเลยมาจนเผลอลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้าวันที่จะไปสอบพ่ออัมรินทร์ของเขาเพิ่งพาเขาไปเปลี่ยนนามสกุลมาพร้อมๆกับที่พาแม่ของเขาไปจดทะเบียนสมรสเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ

           เขาลืมไปได้ยังไงกัน...

           “ยินดีด้วยนะตาล” นภาแสดงความยินดีด้วยทั้งน้ำตาคลอก่อนจะสวมกอดเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น

             “ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยิ้มแก้มปริ

            “พรุ่งนี้คุณตาลอยากทานอะไรบอกพี่แววพี่น้อยลุงอุ่นมาเลยนะคะ เดี๋ยวพี่แววจะทำให้สุดฝีมือเลย” แววยิ้มกว้างกำมือทั้งสองข้างแน่นเป็นตัวตั้งตัวตีแทนอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ

             “แล้วเราละ อยากได้ไรเป็นของขวัญหรือเปล่า” สุริยะเอ่ยขึ้นอย่างปิดความดีใจไม่มิด คราวนี้ทุกความสนใจพุ่งกลับไปยังเจ้าของความดีใจของบ้านอย่างสนรู้

             ลูกตาลคล้ายกอดจากหญิงตรงหน้าก่อนจะเดินตรงมาคุกเข่าลงตรงหน้าเก้าอี้ที่เปลวอรุณกับอัมรินทร์นั่งอยู่ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองรอยยิ้มบางๆแสนเหนื่อยอ่อนที่แฝงไปด้วยความปริติของแม่บุญธรรมที่อยู่ในอ้อมแขนของคนรัก

              เขายิ้ม

               ลูกตาลยิ้มให้ก่อนจะพนมมือขึ้นชิดอกแล้วก้มลงกราบลงตรงกลางระหว่างเท้าของคนทั้งสอง

              เปลวอรุณมองอย่างฉงนตกใจแล้วหันมองหน้าของอัมรินทร์ที่แสดงความแปลกใจไม่ต่าง ร่างผอมบางโน้มตัวไปข้างหน้าในจังหวะที่ลูกตาลเงยหน้าขึ้นมาพอดี

              “ขอบคุณแม่เปลวนะครับที่ยืนมือเข้ามาช่วยผมในวันนั้น ถ้าไม่ได้แม่เปลวผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่จะมีโอกาสได้เรียนต่อแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มพูดด้วยจมูกแดงๆ

              เปลวอรุณไม่พูดอะไรนอกจากประคองสองข้างแก้มของเด็กหนุ่มเอาไว้ด้วยความรักความเอ็นดู

              “ผมรักแม่นะครับ”

             ทำนบกั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เมื่อคำพูดนี่ดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม เปลวอรุณอ้าแขนโอบกอดร่างของลูกตาลที่ยืดตัวขึ้นมาสวมกอดรอบเอาของตนแน่น

             “แม่ก็รักตาล”

               ทุกคนมองสองแม่ลูกต่างสายเลือดก่อนกันด้วยความรู้สึกที่หลากหลายในอกหากแต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนกันคือความรักที่ทั้งสองมีให้กันจากใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาเห็นและรับรู้ผ่านการกระทำทั้งหมดของเด็กหนุ่มที่รักและดูแลเปลวอรุณอย่างดีไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่เด็กหนุ่มจะเกี่ยงงอนอ้างว่าตนทำงานกลับมาเหนื่อยแล้วไม่เข้าไปดูแลแม่

               ไม่เคยเลยสักครั้ง...

               และอัมรินทร์ก็เป็นคนที่รับรู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร

                อัมรินทร์มองคนทั้งสองกอดกันด้วยรอยยิ้ม เขารู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใครในบ้าน ทุกเช้าก่อนออกไปทำงานลูกตาลจะเข้ามาหาเปลวอรุณที่ห้องนอนพร้อมน้ำผลไม้ที่เจ้าตัวคั้นเองกับมือหนึ่งแก้วขึ้นมาให้เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ก่อนพาลงมาข้างล่างแล้วจึงค่อยออกไปทำงาน พอกลับมาเด็กหนุ่มจะตรงมาหาเปลวอรุณก่อนเสมอไม่ว่าจะกลับเร็วหรือกลังช้า ถ้าวันไหนกลับมาแล้วเปลวอรุณหลับไปก่อนเด็กหนุ่มจะทำเพียงกระซิบที่ข้างหูแล้วหันมาพูดคุยถามไถ่อาการจากเขาแทนแล้วจึงกลับห้องตัวเองไปหรือถ้ากลับมาแล้วเปลวอรุณยังไม่นอนเจ้าตัวก็จะอยู่คุยด้วยจนกว่าจะหลับแล้วกลับห้องไปและเป็นอยู่อย่างนี้มาตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา

               อัมรินทร์เหม่อมองคนทั้งสองอยู่ก่อนจะสังเกตเห็นว่าหนึ่งในคนที่เขามองอยู่หันมาสบตาของเขา

               ลูกตาลคลายอ้อมกอดจากร่างของเปลวอรุณอย่างเบามือที่สุดด้วยกลัวว่าถ้าตนเผลอใช้แรงมากเกินไปหรือเร็วไปจะทำให้แม่ของตนรู้สึกเจ็บก่อนจะหันมามองอัมรินทร์อีกครั้งเต็มตา

              “พ่ออัน” ลูกตาลเรียก

               อัมรินทร์รอฟัง

              “ขอบคุณพ่ออันนะครับที่ยอมรับผมเป็นลูกคนหนึ่ง ทั้งๆที่ตอนแรกเราสองคนก็ต่างไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไร” เด็กหนุ่มก้มหน้าอมยิ้มขำ

                อัมรินทร์เองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ก็อย่างที่ลูกตาลว่ามานั้นแหละ ตัวเขาเองในตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบหน้าเจ้าเด็กนี่เสียเท่าไรแค่มีเปลวอรุณที่รู้ทันเขาเพียงคนเดียวก็มากพอแล้วแต่นี้ยังมีเจ้าเด็กที่มาจากไหนไม่รู้มารู้ทันเขาอีกคนเป็นใครใครมันจะไปชอบกัน

              “ขอบคุณที่ดูแลแม่ผมนะครับ” เด็กหนุ่มพูดออกมาแผ่วเบาแต่ก็ไม่เบาเกินที่จะทำให้คนอื่นๆไม่สามารถได้ยินมันได้

              “คุณปู่ถามใช่ไหมว่าผมอยากได้อะไร” ครั้งนี้เด็กหนุ่มหันกลับไปถามคนที่ถามคำถามที่ว่านี้กับตน

              สุริยะตอบว่า ‘ใช่’

              เด็กหนุ่มหันกลับมามองหน้าเปลวอรุณอีกครั้ง

              “เมื่อก่อนสิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดคือ ครอบครัว และตอนนี้ผมก็ได้มันมาแล้ว” ครอบครัวใหญ่เสียด้วยละ “แต่ของขวัญที่ผมอยากได้ในตอนนี้คือ ผมอยากให้แม่เปลวหาย” เด็กหนุ่มว่าพร้อมจับมือเปลวอรุณเอาไว่

              “ผมอยากให้แม่เปลวหาย อยากให้แม่เปลวอยู่กับผมไปนานๆ อยู่กับผมอยู่กับพ่ออยู่กับพวกเราทุกคน แม่ต้องหายนะครับ”

              คำขอที่ไม่ว่าจะขออะไรก็ไม่เคยที่จะขอให้ตัวเองสักครั้งเป็นใครใครก็อดไม่ได้หรอกที่จะรักและเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยเฉพาะเปลวอรุณกับอัมรินทร์

              “แม่จะหาย แม่รับปาก”

              สิ่งที่ลูกตาลเอ่ยปากของกับเปลวอรุณไปในวันนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างที่พวกเขาทุกคนวาดหวังเอาไว้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่แม้ไม่ขอแต่ก็เป็นจริงอยู่ตรงหน้า

              เช้าวันถัดมาเป็นวันหยุดของลูกตาล เด็กหนุ่มจึงตื่นสายกว่าปกติได้เล็กน้อยแต่พอขยับตัวบิดขี้เกียจเตรียมจะลุกขึ้นหางตาก็เหมือนเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างวางอยู่ที่ชั้นวางข้างเตียงทำเอาเด็กหนุ่มเด้งตัวขึ้นนั่งแทบจะในมันทีจนเพื่อร่วมห้องอย่างมณีนิลตรงผงกหัวขึ้นมองตามอย่างตกใจ มือหนาคว้าเอาของแปลกปลอมของห้องขึ้นมาถือและยิ่งตาโตกว่าเดิมเมื่อได้อ่านข้อความบนโน้ตที่แนบมา

              ‘มีรถแล้วก็หัดใช้มันบ้าง ซื้อให้ใช้ไม่ใช่ซื้อให้เอาไว้จอดที่โรงรถ’

              รายมือหวัดๆแปลกตาที่เขามั่นใจว่าไม่เคยเห็มันมาก่อน แน่ใจได้เลยว่าไม่ใช่ลายมือของอัมรินทร์กับอนิรุทธิ์แน่เพราะเจ้าตัวเคยเห็นมันมาก่อนและด้วยสังหรณ์บางอย่างบอกให้เด็กหนุ่มรีบลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งลงไปข้างล่างสุดฝีเท้าเพื่อถามหาความจากประมุขของบ้านที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องทางอาหาร แต่เหมือนว่าคำตอบที่ได้จะดูไม่ค่อยต่างจากสิ่งที่แนบมาเสียเท่าไร

              ‘ก็ตามนั้น’

              ถึงจะไม่ได้ความอะไรแต่อย่างนั้นเขาก็ได้คำตอบแล้วว่าใครคือพ่อบุญทุ่มที่ซื้อรถยนต์คันนี้ให้กับเขา ลูกตาลยิ้มกว้างก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณสุริยะและนภาก่อนจะวิ่งออกไปดูโฉมหน้ารถยนต์คันที่ว่าท่ามกลางสายตาเอ็นดูของคนแก่ทั้งสองที่นั่งมอง

             

              หนึ่งอาทิตย์ให้หลังหลังจากความดีใจของลูกตาลผ่านไป

               อีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยมากที่สุดอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือ ผลตรวจหลังการเข้ารับเคมีบำบัดของเปลวอรุณ

              ความตึงเครียดเข้าปกคลุมภายในห้องตรวจระหว่างรอผลตรวจครั้งสุดท้าย อัมรินทร์บีบมือผอมแห้งของเปลวอรุณที่กุมเอาไว้อยู่แน่นและยิ่งแน่นขึ้นไปอีกเมื่อบานประตูเลื่อนของห้องตรวจถูกเปิดออกพร้อมร่างของพยาบาลสาวที่เดินถือผลตรวจเขามา

              นายแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ดูแลเปลวอรุณมาตั้งแต่ที่เปลวอรุณอยู่กับราชันเงยหน้ามองพยาบาลผู้ช่วยก่อนจะเอื้อมมือรับผลตรวจมาอ่านโดยที่สีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนแปลงไปจนคนรอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

              “ผลว่ายังหรอครับ” และเป็นอัมรินทร์ที่ทนต่อความกดดันต่อไปไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาแม้ใจของเขาจะเต้นระรัวสั่น

              นายแพทย์เฉพาะทางเหลือบตามองญาติคนไข้ที่เอ่ยขึ้นมาเล็กน้อยก่อนระบายยิ้มออกมาบางๆ

              “จากผลการตรวจครั้งล่าสุดทางเราไม่ผมเชื้อมะเร็งในตัวของคุณเปลวอรุณแล้วครับ” คนรอฟังผลทั้งสองเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความเครียดความกดดันต่างๆตลอดที่ผ่านมาถูกยกออกไปหมด

              “แต่” ก่อนจะชะงักรอยยิ้มปรีติของพวกตนลงเมื่อเจอคำว่าแต่ของคนตรงหน้า

              “แต่ แต่อะไรอีกหมอ” อัมรินทร์ถามเสียงเครียด เปลวอรุณรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเสียเท่าไรทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า ‘ แต่’ ทีไรมันไม่เคยเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาเลยสักนิด

              “แต่ผมก็อยากจะให้คุณเปลวอรุณเข้ารับการตรวจอย่างต่อเนื้องเพื่อให้แน่ใจว่าคุณหายขาดจากโรคแล้วจริงๆ เพราะมันมีเปอร์เซ็นที่เชื้ออาจยังคงอยู่แล้วกลับมาเป็นซ้ำได้อยู่”

              “แล้วต้องตรวจต่ออีกนานขนาดไหน”

              “ก็สักปีหนึ่งนะครับ” คนเป็นหมอคาดเดา “แต่ถึงจะพ้นระยะหนึ่งปีไปแล้วตัวคุณเองก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดีกว่าคนทั่วไปนะครับ เพราะภูมิต่านท้านโรคในร่างกายคุณอยู่ในระดับที่ค่อยข้างต่ำ”

              แม้จะไม่ถึงขั้นให้ดีใจอะไรมากมายแต่การที่ได้รู้ว่าเชื้อร้ายในตัวหายไปแล้วแค่นั้นก็ทำให้ใจของเปลวอรุณตีตื้นขึ้นมาได้มากขึ้น ข่าวดีเช่นนี้ไม่ว่าใครที่ได้ยินก็ย่อมดีใจ โดยเฉพาะลูกตาลที่ถึงขั้นร้องไห้ออกมา

             

             
:mew3:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:mew3:


 หนึ่งปีสำหรับการดูแลเปลวอรุณในขั้นสุดท้าย

               อาจเป็นเพราะไม่ต้องรับเคมีบำบัดอีกแล้วทำให้ร่างกายของเปลวอรุณเริ่มกลับมากินอาหารได้เหมือนเดิมอีกครั้งโดยเริ่มจากอาหารอ่อนย่อยง่ายก่อนเนื้องจากที่ผ่านมาร่างกายปฏิเสธอาหารมาอย่างต่อเนื้อและเหมือนว่าผลของมันจะกลายเป็นระยะยามเมื่อกระเพาะของเปลวอรุณดูเหมือนจะคุ้นชินกับการย่อยอาหารในจำนวนที่น้อยทำให้เมื่อกินเข้าไปถ้าหากว่ามากเกินก็จะขย่อนขับส่วนเกินที่ร่างกายรับไม่ไหวออกมา ในตอนแรกทุกคนมีสีหน้าแตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่พอถามหมอแล้วก็พอเข้าใจอาหารในส่วนของเปลวอรุณจึงถูกจัดในอยู่ในปริมาณที่พอดีกับกระเพาะมากขึ้นแล้วเสริมเอาในระหว่างวันแทน

              // กินได้มากขึ้นแล้วสินะครับ // เสียดีใจกับใบหน้าที่ก้มต่ำของราชันที่ปรากฏผ่านทางหน้าจอสีเหลี่ยมตรงเรียกรอยยิ้มของคนมองได้อย่างดี

              “ก็ตามที่กินได้นั้นแหละ แล้วเราละเป็นยังไงบ้างอยู่ๆก็หายไปเลยนะ” เปลวอรุณเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

              ตั้งแต่วันที่อัมรินทร์ไปรับเขากลับมาเขามีโอกาสได้เจอกับราชันอีกครั้งคือหนึ่งเดือนให้หลังที่เจ้าตัวมาหาเขาที่บ้านพร้อมกับธรรมภาสผู้ป็นตาของเขาและวาเลนติโน เพื่อที่ว่าจะได้เคลียร์ปัญหาที่มันค้างคาอยู่ในใจให้หมดไปพอเคลียร์เรื่องระหว่างเขากับผู้เป็นตาได้ก็ดูเหมือนความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปกว่าสามสิบห้าปีก็กลับมาผูกกันเอาไว้ได้ใหม่อีกครั้ง เย็นนั้นเป็นเย็นที่บ้านหลังใหญ่คลึกคลืนเป็นอย่างมากด้วยความที่ทุกคนในบ้านอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกรวมถึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีรูปคู่กับคุณตาและภาพถ่ายครอบครัวเป็นครั้งแรก

              ความสุขในวันนั้นเขายังจำมันได้ดี

              อีกครั้งคือ อีกสามเดือนให้หลังในวันที่ราชันกับวาเลนติโนมาหาเขาที่บ้านพร้อมข่าวการจากไปของธรรมภาส ตัวเขาที่กำลังป่วยหลังจึงทำได้เพียงขออโหสิกรรมกับเรื่องที่ผ่านมาผ่านทางรูปภาพดูต่างหน้าของผู้เป็นตาแม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นตาหลานความสัมพันธ์นี้ก็พลอยทำให้เขาเศร้าและทรุดลงได้เช่นกัน

              ขนาดเขายังเป้นขนาดนี้ แล้วราชันละ ?

              ราชันเกิดและโตมาโดยมีปู่กับพ่ออยู่ข้างๆ พอพ่อเสียราชันก็อยู่กับปู่มาตลอดแล้วเวลานี้ที่ต้องเสียปู่ไปอีกคนราชันจะทำยังไง

              // มีหลายอย่างที่ผมต้องปรับตัว ช่วงนี้เลยยุ่งๆไม่ค่อยได้ติดต่อมาขอโทษนะครับ // ราชันก้มหน้าต่ำลงไปอีกเมื่อเผลอคิดว่าตนทำเรื่องที่ผิดต่อพี่ชาย

              “ขอโทษทำไม พี่แค่เป็นห่วงเฉยๆแต่เห็นว่าราชสบายดีพี่ก็ดีใจ” พอได้ยินดังนั้นใบหน้าขาวที่โผล่พ้นเสื้อคอเต่าที่กรมเข้มก็ฉีกยิ้มกว้างดีใจเหมือนเด็กๆ

              หลังจากจัดการงานศพของธรรมภาสรวมถึงการจักการทรัพย์สินภายในต่างๆและอยู่ทำบุญครบรอบร้อยวันเป็นที่เรียบร้อยราชันก็ย้ายมาอยู่ที่อิตาลี่วาเลยติโน ส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาตัวให้หายจากอาการที่เป็นอยู่

              “แล้วเราจะกลับมาไทยอีกทีเมื่อไร” เขาเอ่ยถามขึ้น

              // ไม่รู้เหมือนกันครับ // ราชันมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย // แต่ผมอยากไปหาพี่เปลว // ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการออกมา

              คนฟังระบายยิ้ม “อยากมาก็มาสิ พี่รอเราอยู่ที่นี้เสมอนะ”

              ราชันยิ้มกว้าง

              พวกเขาสองคนคุยกันต่อีกเล็กน้อยก่อนจะเป็นราชันที่ตัดสายก่อนเมื่อเห็นว่านาฬิกาของประเทศไทยล้วงเข้ามาดึกมากแล้ว

              “คุยกันเสร็จแล้วหรอ” อัมรินทร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือขึ้นมาถามเปลวอรุณที่พับปิดโน๊ตบุ๊คตัวเองลง

              “ครับ แล้วคุณอันจะนอนเมื่อไรหรอครับ” เปลวอรุณยิ้มรับก่อนจะเอียงคอถามเพราะเขาเห็นอัมรินทร์นั่งหน้าเครียดอยู่กับเอกสารตรงหน้ามาตั้งแต่เย็น

              “เปลวนอนไปก่อนเลยก็ได้นะ ของฉันคงอีกนาน” อัมรินทร์ยิ้มแห้ง

              เปลวอรุณพยักหน้ารับก่อนจะปิดไฟในส่วนของโซนนอนลงแล้วหลับไป

              อัมรินทร์มองคนรักที่นอนห่มผ้าคลุมตัวเป็นดักแด้บนที่นอนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาสนใจเอกสารในมืออีกครั้งทั้งที่ใจจริงตัวเขาอยากจะไปนอนกอดเปลวอรุณอยู่ใจจะขาดแต่พอนึกถึงหน้าเลขาคนใหม่ที่ราชันพามามอบให้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

              คุณจูนเป็นผู้หญิงที่เก่งเขายอมรับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า แต่การได้เธอมาเป็นเลขาส่วนตัวเข้าจริงๆแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นอกจากจะเป็นสาวมั่นที่เก่งในเรื่องานแล้วเธอยังทำตัวเหมือนเป็นพี่สาวของเขาที่จำตารางเวลาเวลาส่วนตัวของเขาได้อย่างดีเยี่ยมจนขนาดว่าพ่อของเขายังออกปากชม แต่อย่าได้ทำอะไรที่ทำให้คุณเธอไม่พอใจเขาเชียวละเธอจะหาวิธีเอาคืนที่แสบสันเชียว เหมือนอย่างเขาในตอนนี้ที่โดนเธอทำโทษด้วยการอ่านเอกสารของตลอดหนึ่งสัปดาห์ให้หมดภายในคืนนี้เพื่อไปอธิบายให้เธอฟังโทษฐานที่เขาเผลอลืมเซ็นเอกสารสำคัญฉบับหนึ่งที่เธอย้ำเขานักหนา ครั้นจะเลิกอ่านแล้วไปนอนกอดเปลวอรุณให้ชื่นใจแล้วแกล้งหลอกคุณจูนว่าป่วยก็ทำไม่ได้เพราะเขาเคยใช้มุกนี้แล้ว แล้วเจอเธอตลบหลังด้วยการมาเยี่ยมถึงบ้านพร้อมของเยี่ยมที่ทำเอาเขาโดนทั้งพ่อทั้งเมียบ่นจนหูชา

              คิดมาถึงตรงนี้อัมรินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วก้มหน้าก้มตาทำความเข้าใจกับเอกสารในมือต่อไปอย่างจำนน...

              ภายในปีนี้ลูกตาลได้เข้าศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยในฐานะน้องใหม่ปีหนึ่งและสิ่งหนึ่งที่ทำให้อัมรินทร์ยิ้มแก้มปริไปได้อีกหลายวันเอาไปพูดต่อจนคุณจูนละอาเลยก็คือการที่เด็กหนุ่มคว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยมาครองได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆแต่นั้นก็ทำให้อัมรินทร์ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก นี้ยังไม่นับรวมถึงผลการเรียนในภาคการศึกษาแรกที่ลูกตาลทำเอาไว้ในระดับที่สูงเป็นที่น่าพอใจจนงานนี้อนิรุทธิ์เองถึงกับทาบทามตัวหลานชายคนเดียวมาเป็นรุ่นพี่แนะแนวให้กับเด็กในโรงเรียนตัวเองกันเลย

 

              ครบหนึ่งปีสำหรับการเฝ้าระวัง

             ความเสี่ยงที่อาจกลับมาเป็นอีกได้อยู่ในระดับที่ต่ำจนเป็นที่น่าพอใจอีกทั้งร่างกายของเปลวอรุณที่กลับมาเป็นปกติดีอีกครั้งแม้จะยังคงผอมกว่าแต่เดิมอยู่แต่ก็ถือว่าร่างกายของเปลวอรุณดีขึ้นจนสามารถเรียกได้ว่าหายเป็นปกติดีแล้ว เปลวอรุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้งแต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะไม่ใช่เรื่องปกติจนเจ้าตังถึงขึ้นแสดงอาการไม่พอใจเลยก็คือการที่อัมรินทร์สั่งห้ามไม่ให้เขากลับไปทำงาน

              “แต่ผมหายดีแล้ว” เปลวอรุณขึ้นเสียงเล็กน้อยแสดงอาการไม่พอใจ

              “ก็รู้ๆ แต่ฉันอยากให้เปลวอยู่บ้านมากกว่า” อัมรินทร์พยายามโน้มน้าวยกมือสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้

              “แต่ผมไม่ชอบ ผมอยากทำงาน” แต่เปลวอรุณก็คือเปลวอรุณที่ดื้อได้รั้นอย่างที่สุด

              “แล้วเปลวจะกลับไปทำงานในฐานะอะไร ตอนนี้ตำแหน่เดิมของเปลวก็โดนคุณจูนยึดไปแล้ว” เขาอ้าง

              เปลวอรุณทำหน้าขัดใจก่อนจะเดินกอดอกไปนั่งที่เตียง

              “น่าๆเปลว” อัมรินทร์ตรงเข้ามาง้อ “คิดเสียว่าเปลวเออรี่ออกมาก่อนเวลาก็ได้ไง”

              แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าทีควร..

              “คุณอัน!” เปลวอรุณตวัดสายตามองคนรักอย่างเอาเรื่องก่อนจะหันหนีแล้วเดินขึ้นเตียงนอนหันหลังหนีแสดงถึงการตัดการสนทนานี้ลงด้วยความไม่พอ

              อัมรินทร์ตบหน้าผากตัวเองฉากใหญ่

              หลังจากนั้นอัมรินทร์ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการตามง้อเปลวอรุณให้หายโกรธ กว่าที่เขาจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างก็ใช้เวลาเกือบสามวันกว่าที่เปลวอรุณจะยอมรับและกลับมาคุยกับเขาเหมือนเดิม

 

              ครึ่งปีให้หลัง

              ความสัมพันธ์ของอนิรุทธิ์และลิดาดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่เพราะสถานที่ทำงานหลักของลิลดาคือที่ฝรั่งเศสทำให้เธอมักจะไปๆมาๆระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อมันคือความรักแล้วเรื่องระยะทางจริงไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไรในเมื่อสมัยนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถเชื้อมโลกที่ห่างไกลให้ใกล้กันมากขึ้น หากมีวันว่างที่ตรงกันบางทีอนิรุทธิ์ก็เป็นผ่ายบินไปหาลิลดาบ้างหรือบางครั้งก็เป็นลิลดาที่บินกลับมาหาแล้วก็พากันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จนในที่สุดอนิรุทธิ์ก็ตัดสินใจของลิลดาแต่งงานและพาเธอย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้

              งานเลี้ยงเล็กๆที่มีเพียงแค่ญาติและเพื่อนสนิทถูกจัดขึ้นท่ามกลางความยินดีของทุกๆคน

              “เห้ย ไอ้อัน” เสียงของอนิรุทธิ์ดังขึ้นแข่งกับเสียงเพลงคลาสสิคที่เปิดคลอมา อัมรินทร์เปรยตามองเจ้าบ่าวในชุดลำลองสำหรับงานเลี้ยงช่วงเย็นที่ถูกจัดขึ้นที่สวนหลังบ้านของพวกเขาที่เดินตรงเข้ามานั่งข้างๆ

              “ไงมึง” ตอนนี้เป็นงานเลี้ยงสำหรับเพื่อนฝูงทำให้บรรยากาศภายในงานดูเฮฮาเหมือนเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์พบปะกันเสียมากกว่า ส่วนพ่อแม่ของเขาก็ขึ้นบ้านกันไปแล้ว เปลวอรุณเองก็ขึ้นไปพักตั้งแต่ช่วงหัวค่ำพร้อมกับลูกตาล

              “มีความสุขละสิมึง” อัมรินทร์เอ่ยทักขึ้นเมื่อมองตามสายตาของลูกพี่ลูกน้องหนุ่มไปยังร่างเพรียวของเจ้าสาวที่ยืนเด่นอยู่กลางกลุ่มเพื่อนๆที่โบกไม่โบกมือมาทางพวกเขา

              “แน่ละสิ กูกำลังจะมีครอบครัวนะเว้ยมันก็ต้องมีดีใจกันบ้าง” อนิรุทธิ์ว่าพลางกระดกขวดเอลกอฮอร์ขึ้นดื่ม

              ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโลคร้ายกันแน่ที่ฤกษ์เข้าหอของเขากับลิลดาคือตอนตีสองสองนาทีทำให้พวกเขาสามารถจัดงานเลี้ยงปาร์ตี้กันได้ก่อนที่จะเข้าหอ

              “แล้วมึงละ ไม่คิดจะจัดงานแต่งบ้างหรอวะ” อนิรุทธิ์หันกลับมาถามอย่างสงสัย “มึงเองก็ขอเปลวเขาแต่งงานไปแล้วนิ” เขาถามพลางพยักพเยิดหน้าไปทางแหวนแต่งงานที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของอัมรินทร์

              “ก็เปลวเขาบอกว่าไม่อยากจัดนิ” อัมรินทร์ยิ้ม “แต่ถึงมีมันก็คงถูกจัดไปแล้ว”

              “ห๊ะ เมื่อไร” อนิรุทธิ์หันหน้ากลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ

              “ก็วันที่คุณธรรมภาสคุณตาของเปลวมาที่บ้านเราไง” อัมรินทร์พูด

              วันนั้นนอกจากที่เปลวอรุณจะได้เคลียร์ใจกับผู้เป็นตาแล้ว ตัวเขายังทำการสู่ขอเปลวอรุณจะธรรมภาสผู้ที่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เหลืออยู่ของเปลวอรุณไปด้วยวันนั้นพ่อกับแม่เขาเองก็อยู่ด้วย

              สินสอดของมีค่าทางธรรมภาสไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยส่วนของหมั่นก็มีแค่แหวนที่เขาเคยมอบให้เปลวอรุณไปก่อนหน้า แม้จะไม่มีงานเลี้ยงหรือการผูกข้อไม้ข้อมืออะไรแต่พวกเขาก็ได้คำอวยพรจากผู้หลักผู้ใหญ่และคนสนิทที่อยู่รอบๆ เปลวอรุณไม่อยากที่จะจัดงานตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องจัดของเพียงแค่ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมามีเปลวอรุณนอนอยู่ข้างๆแค่นี้เขาก็พอใจแล้วละ

              “ขอให้มึงกับลิลมีความสุขมากๆนะ” เขาว่าพลางตบลงที่ไหล่พี่ชายเบาๆ

              “มึงด้วย มีความสุขกับเปลวไปนานๆนะ” อนิรุทธิ์ยิ้มให้น้องชาย

              ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่พวกเขาสองพี่น้องก็ยังคงอยู่ข้างกันเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนอย่างในตอนนี้ที่พวกเขากำลังมีความสุขกับคำว่าครอบครัวที่กำลังเริ่มต้นขึ้น

 

          หลังจากแต่งงานได้ครึ่งปีลิลดาก็ตั้งครรภ์ ความปรีติยินดีเกิดขึ้นในบ้านอีกครั้งทุกคนต่างพากันหาของขวัญต้อนรับหลานคนใหม่กันอย่างสนุกสนานและยิ่งเมื่อวันที่เด็กหญิงตัวน้องของบ้านออกมาลืมตาดูโลกก็ยิ่งสร้างความดีใจให้กับผู้เป็นปู่กับย่าเป็นอย่างมาก

              “น่ารักน่าชังที่สุดเลยหลานย่า” นภายิ้มแก้มปริขณะอุ้มหลานสาวขึ้นมา ใบหน้าที่ถอดแบบลิลดาออกมาทั้งพิมพ์มองยังไงก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นลูกใคร

              “แล้วนี้ลูกชื่ออะไรหรอครับ ตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง” เปลวอรุณเองก็ดูตื่นเต้นอยู่ไม่ใช่น้อยขณะมองหน้าเด็กน้อย

              “ตั้งแล้วค่ะ” ลิลดายิ้มอย่างภูมิใจ

              “ชื่ออะไรหรอฮะ” ลูกตาลถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นขณะลองอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยโดยมีนภาคอยช่วยประคอง

              “ดาริน ดารินที่แปลวว่า ของขวัญ ” เธอกล่าวขณะเงยหน้ามองสามีของตัวเองด้วยรอยยิ้ม

              ของขวัญของลิลดากับอนิรุทธิ์...

              เด็กน้อยดารินกลายเป็นขวัญใจของบ้านที่ทุกๆคนต่างรักและเอ็นดูยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงด้วยแล้วทั้งสุริยะและนภต่างให้ความเอ็นดูหนักกว่าใครเนื้องจากทั้งบ้านมีแต่ผู้ชายมาตลอด การได้หลานสาวเป็นผู้หญิงจึงดูจะถูกใจคนแก่นักเชียวและอีกหนึ่งที่ดูจะทั้งรักทั้งหลงหนูดารินเลยก็เห็นจะเป็นหลานชายคนโตของบ้านอย่างลูกตาล

              “ค่ะ ว่าไงคะ” เสียงเย้าแหย่ของลูกตาลคือเสียงที่มักจะได้ยินออกมาจากห้องเด็กอ่อนของดารินอยู่บ่อยครั้ง

              “ถามไปหนูขวัญก็ไม่ตอบแกหรอกนะ” คนเป็นพ่อที่แทบจะไม่ค่อยได้อุ้มลูกสาวดังขึ้นห้วนๆเมื่อไม่ว่าจะเข้ามากี่ครั้งก็ต้องเจอหน้าพ่อหลานชายตลอดจนตอนนี้กลายเป็นว่าตอนนี้ดารินติดลูกตาลแจ

              “ก็ถามไปเรื่อยๆเดี๋ยวหนูขวัญก็ตอบผมเองแหละ ใช่ไหมคะ” ลูกตาลทำหน้าหน่ายใส่ผู้เป็นลุงก่อนจะหันไปเล่นหูเล่นตาให้เด็กหญิงต่อ

              “เฮ้อ แกก็ไปบอกพ่อกับแม่ให้รีบทำน้องให้แกสักทีสิวะไอ้ตาล”

              เด็กหนุ่มทำปากยู่ ก่อนจะตั้งท่าอ้าปากเถียง

              “แล้วมันทำกันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง” แต่ยังไม่ทันที่ลูกตาลจะอ้าปากเถียงอย่างที่ใจนึกเสียงของใครอีกคนที่เดินผ่านมาได้ยินก็สวนขึ้น

              “พ่ออัน” เด็กหนุ่มร้องเรียกคนมาใหม่เหมือนหาพวก

              “กลับมาแล้วหรอ” อนิรุทธิ์ทัก

              “เออ กลับมาทันได้ยินมึงเกทัพลูกกูนี้ละ” อัมรินทร์ว่าพลางยกแขนขึ้นคล้องคอลูกชาย

              “กูเปล่า กูแค่เสนอเฉยๆ อีกอย่างนะถ้ามึงมีลูกของขวัญของกูก็จะได้มีเพื่อนเล่นแถมลูกตาลก็จะได้มีน้องเพิ่มด้วย”

              “หรอ ไม่ใช่ว่ามึงจะหาทางแยกลูกตาลออกเพราะตอนนี้หนูดาติดลูกกูมากกว่ามึงหรอวะ” อัมรินทร์ยิ้มเย้ย

              อนิรุทธิ์กัดฟันแน่นไม่กล้าเอ่ยอะไรที่มันไม่ดีไม่งามออกไปต่อหน้าลูกสาวที่มองมาทางเขาตาแบ๊ว

              “เออนั้นแหละ”

              “หึ” อัมรินทร์ส่งเสียพอใจ

              “ก็ไม่ใช่ว่าไม่พยายามหรอกนะ” ก่อนจะตีหน้าหม่นเล็กน้อย

              ตั้งแต่หลังพ้นหนึ่งปีที่เฝ้าระวังและรอจนแน่ใจว่าเปลวอรุณหายดีเป็นปกติแล้วพวกเขาก็พยายามกันมาตลอดแต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าความหวังของพวกเขาจะสำเร็จเลยสักนิดเดียวนี้ก็ผ่านมาปีกว่าๆแล้วด้วย

              “เออน่า ไอ้อันเดี๋ยวมึงก็มีเองละ” พอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปอนิรุทธิ์ก็รีบเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจก่อนจะพากันเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้อัมรินทร์ต้องคิดมาก

              ความคิดที่ว่าเขากับเปลวอรุณจะไม่อาจมีลูกด้วยกันได้อีกมันก็ทำเอาใจของอัมรินทร์โหว่งๆอย่างบอกไม่ถูก แอบรู้สึกเสียใจอยู่หน่อยๆที่คิดว่ากระพวนข้อเท้าที่เขาอุตสาห์ออกแบบเองจะไร้เจ้าของมาสวมใส่อีก เขาเองก็รู้ดีว่าแม้จะไม่มีใครในบ้านเอ่นเร่งเร้าพวกเขาในเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของเปลวอรุณที่เพิ่งจะหายดีและเขาก็พยายามพูดปลอมใจเปลวอรุณอยู่เนื้องๆเพราะรู้ดีว่าคนรักของเขารู้สึกเช่นไรเวลาที่มองหน้าหลานสาว

                แต่เหมือนว่าฟ้ายังคงเห็นใจพวกเขาอยู่บ้างหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเปลวอรุณก็เริ่มที่จะมีอาการที่ผิดแปลกไป เจ้าตัวเริ่มกินเยอะกว่าเดิมทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ต้องอาเจียนออกมา อาการเหนื่อยอ่อนกลับมาเล่นงานเปลวอรุณอีกครั้งจนน่าสงสาร และหนักข้อถึงขั้นที่ว่าอยู่ดีก็อาเจียนออกมาอย่างหนักจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

              “ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณกำลังตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วค่ะ”

              เสียงหวานของแพทย์หญิงที่รายงานการตรวจทำเอาคนที่กำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้งยิ้มแก้มปริถามซ้ำอยู่อย่างนั้นตั้งหลายรอบเพื่อย้ำความเป็นจริงว่าสิ่งที่เขาเฝ้ารอมานานคือเรื่องจริง

              “ค่ะ ภรรยาของคุณตั้งครรภ์จริงๆค่ะ” เธอพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “แต่เพราะอาการแพ้ท้องที่รุนแรงกว่าปกติทำให้ร่างกายอ่อนเพียง่ายๆหมอแนะนำให้อยู่โรงพยาบาลดูอาการไปก่อนจะดีกว่านะคะ”

              นาทีนั้นไม่ว่าหมอจะพูดว่าอะไรอัมรินทร์ก็รีบขานรับอย่างรวดเร็ว

              รอยยิ้มของอัมรินทร์ยังค้างอยู่บนใบหน้า ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยมือข้างที่เจาะสายน้ำเกลือลูบหน้าท้องของตัวเองเบาๆ

              “เปลว” อัมรินทร์เรียกอีกคนเสียงสั่นด้วยความดีใจ สองขายาวก้าวตรงไปฉวยคว้าเปลวอรุณเข้ามากอดแนบอก

              “ขอบคุณเปลว ขอบคุณ” อัมรินทร์สูดหายใจกลั้นเสียงสะอื้น

              “ขอบคุณครับคุณอัน” เปลวอรุณเองก็กอดอัมรินทร์เอาไว้แน่นไม่ต่างกัน

            ชีวิตเล็กๆที่แสนมีค่ากลับมาหาพวกเขาอีกครั้งและครั้งนี้พวกเขาสัญญาว่าจะดูแลเอาไว้อย่างดีที่สุด

             ข่าวดีที่เกิดขึ้นอีกครั้งในระยะเวลาไล่เลี่ยสร้างความดีใจให้กับทุกคนที่บ้านอีกครั้ง โดยเฉพาะกับราชันที่แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกแต่พอทันทีที่รู้ข่าวเจ้าตัวก็ของให้วาเลนติโนพากลับมาเยี่ยมทันที

             “แล้วพี่เปลวเป็นยังไงบ้างครับ กินอะไรได้บ้าง” น้ำเสียงของราชันดูลนลานเหมือนจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อต้องมาเห็นพี่ชายที่ตนรักนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะอาการแพ้ท้องที่หนักเกินกว่าปกติที่ร่างกายจะทนรับได้

              “ก็ได้หมดนั้นแหละ” อันที่จริงคือเป็นตัวของเปลวอรุณเองนั่นแหละที่อยากจะกินมันไปเสียทุกอย่างแต่บางอยากแค่ได้กลิ่นก็แทบอาเจียนออกมาให้ได้

                “พี่เปลวต้องระวังนะครับ จะเดินจะเหินอะไรต้องดูดีๆนะครับ” เหมือนความผิดพลาดในครั้งก่อนจะยังฝั่งใจราชันอยู่เอามาก นอกจากจะกำชับเปลวอรุณอยู่หลายครั้งแล้วก็ยังไม่วายหันมาแว๊ดเสียงในอารมณ์กับอัมรินทร์ด้วย

                  ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ราชันมาอยู่เฝ้าเปลวอรุณที่โรงพยาบาลคนที่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ากับอาการน้องติดพี่ของราชันดูเหมือนจะเป็นอัมรินทร์กับลูกตาลที่แทบจะถูกกันออกให้ห่างจะเตียงผู้ป่วยทุกครั้งเพราะพื้นที่ข้างเตียงนั้นถูกราชันยึดเอาไว้เพียงคนเดียว

                   “ทนๆเอาหน่อยละกันนะ” เสียงปลอบใจของวาเลนติโนดังขึ้นทุกครั้งที่สองพ่อลูกเริ่มตีหน้าหงิกก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปแล้วพาตัวราชันออกมาให้และดีที่ราชันยอมที่จะเชื่อฟังวาเลนติโนอยู่พอควรแม้จะมีงอแงอยู่บ้างก็ตาม

                   หลังจากราชันกับวาเลนติโนกลับอิตาลี่ไปอีกสองวันหลังจากนั้นเปลวอรุณก็ได้กลับบ้าน แต่เพราะผลจากการแพ้ท้องในทำให้ทุกคนแทบไม่บอมให้เปลวอรุณหยิบจัดอะไรเลยนอกจากการปลูกต้นไม้อย่างที่เจ้าตัวชอบแม้ช่วงหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลคนที่แพ้ท้องจริงๆดูเหมือนจะกลายเป็นอัมรินทร์เสียแทน

                 
:mew1:

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:mew1:

 เมื่ออายุครรภ์เข้าเดือนที่หกอาการแพ้ท้องแทนของอัมรินทร์ถึงเริ่มดีขึ้นจนช่วงปลายๆเดือนที่หกถึงหายสนิทและเปลวอรุณยอมที่จะอัลตร้าซาวด์ดูเจ้าตัวเล็กในท้องที่ดูจะใหญ่กว่าปกติ

                  “แฝดหรอ” อัมรินทร์อุทานออกมาเมื่อมองที่จอภาพที่ปรากฏภาพขาวดำของสิ่งมีชีวิตเล็กสองชีวิตที่นอนขดอยู่ภายใน มือที่จับกับมือของเปลวอรุณบีบกันแน่น

                   “ค่ะ ตรงนี้คือหัวใจของเด็กๆนะคะ” คุณหมอว่าพร้อมชี้นิ้วไปบนหน้าจอ

                   ความสุขที่มีมากถึงสองทำให้อัมรินทร์ยิ้มแก้มปริ กระพวนข้อเท้าถูกทำเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคู่เพื่อรอต้อนรับการมาของเจ้าของอีกหนึ่งคนและของอีกหนึ่งชิ้นที่อัมรินทร์ของให้คุณอ้วนช่วยทำขึ้น

                  “ไงครับเจ้าตัวเล็กวันนี้ซนกันหรือเปล่า” อัมรินทร์แทบหูลงกับหน้าท้องกลมนูนอย่างเช่นทุกวันเพื่อถามไถ่เอาความจากเจ้าตัวเล็กในท้องทั้งสอง

                   “ไม่ซนหรอกนะครับ” เปลวอรุณคลี่ยิ้งขณะลูบศีรษะคนรักไป

                   “อย่างงั้นหรอ โอ๊ย!” ชั่วขณะที่อัมรินทร์เงยหน้าขึ้นมองอุ้งเท้าหยาบของมณีนิลที่เข้าตอนไหนไม่รู้ยันเข้าที่ข้างแก้มจนหน้าหัน

                   “คุณนิล!” อัมรินทร์เรียกเจ้าตัวการเสียดังพลางยกมือขึ้นถูแก้มแต่มีหรือที่มณีนิลจะสนใจ ไม่ มันไม่สนใจเสียงร้องของพ่อมันทั้งสิเพราะสิ่งที่มันสนใจในตอนนี้คือแม่กับน้องๆในท้องต่างหาก

                    มณีนิลเมินหน้าหนีจากอัมรินทร์แล้วล้มตัวลงนอนแทรกอยู่ตรงหว่างของเปลวอรุณแล้วเกยคางเอาไว้กับท้องกลมโตซึ่งถ้ามองในมุมของเปลวอรุณแล้วจะเห็นเหมือนว่าเจ้าสี่เท้าหางกุดตัวนี้กำลังนอนยิ้มอย่างพอใจ

                     เปลวอรุณหัวเราะชอบใจยกมือลูบหัวลูกสาวสี่ขาอย่างเอ็นดูผิดกลับอัมรินทร์ที่พอทำอะไรมณีนิลไม่ได้เจ้าตัวก็เบนสายตาไปทางคนเปิดประตูอย่างลูกตาลเพราะตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี่มณีนิลมักจะเข้าไปนอนที่ห้องของลูกตาลเสมอจนกลายเป็นว่าทั้งสองคือเพื่อนร่วมห้องกันไปโดยปริยายและอัมรินทร์จำได้แม่นว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนปิดประตูเองเป็นไปไม่ได้ที่สุนัขอย่างมณีนิลจะเปิดเองได้ถ้าไม่ใช่เพราะลูกตาล

               อัมรินทร์มองเด็กหนุ่มตาขวางอย่างเอาเรื่องแต่ลูกตาลก็ทำเพียงไหวไหล่แล้วก้าวขึ้นเตียงมานอนยาวอ้อนเปลวอรุณแทนทิ้งให้อัมรินทร์ยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียวก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อมองภาพตรงหน้า

                 ครอบครัวของเขา...

 

                เคยได้ยินมาว่า ‘ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ’ เปลวอรุณเชื่อแล้วว่ามันคือเรื่องจริง ตั้งแต่ที่มีพิมพาเข้ามาในชีวิตท้องฟ้าที่สดใสของเขาก็เหมือนมีเมฆสีดำเข้ามาปิดบังแสงอันสดใสและยิ่งมืดสนิทเมื่อแสงสว่างหนึ่งเดียวของเขาอย่างผู้เป็นแม่เสียไป ท้องฟ้าที่มืดมิดหาแสงสว่างไม่เจอคล้ายจะมีปรอยฝนพร่ำๆลงมาและหนักขึ้นมากขึ้นเมื่อเขาถูกอัมรินทร์หลอกลวงด้วยคำโกหกคำโตเรื่องหนี้ก้อนโตแต่ในม่านฝนที่ตกลงมาอย่างหนักท้องฟ้ากลับเริ่มสว่างขึ้นที่ละนิดก่อนจะถูกพายุโถมเข้าใส่ทั้งๆที่ฟ้าสว่างเมื่อต้องมารู้ข่าวอาการป่วยในขณะที่ตัวเขากำลังตั้งท้อง และท้องฟ้าของเขาก็มืดมิดลงอีกครั้งเมื่อต้องแยกจากจากอัมรินทร์ แต่ตอนนี้ท้องฟ้าของเขากลับมาสว่างอีกครั้งแถมยังสดใสและอบอุ่นมากกว่าครั้งไหนๆที่รู้สึก

              และสิ่งที่เขากับอัมรินทร์เฝ้ารอมานานก็มาถึง

              เวลาตีสี่กว่าๆในช่วงฤดูหนาวท้องฟ้าด้านนอกจึงยังดูมืดสนิท อากาศภายนอกที่จัดได้ว่าเย็นสบายกับอากาศภายในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศคอยควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เย็นจนเกินไปหากแต่ตอนนี้มันกลับทำให้เปลวอรุณรู้สึกร้อนจนเหงื่อกาฬไหลออกมาจนเสื้อผ้าเปือกชื้นอีกทั้งอาการกระสับกระส่ายจนคนนอนข้างๆรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ

               อัมรินทร์ชันตัวขึ้นก่อนจะเอื้อมมือออกไปเปิดโครมไฟที่หัวเตียงก่อนจะหันกลับมามองคนท้องแก่ที่นอนไม่สบายตัวอยู่ข้างๆ

               “เปลว” เขาเรียกชื่ออีกคนพร้อมเอามือเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมา

               ใบหน้าของเปลวอรุณดูทรมานลมหายใจของเจ้าตัวดูรัวเร็วจนแผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงผิดจังหวะ อัมรินทร์เริ่มเห็นท่าไม่ดีจริงตบเบาๆที่ข้างแก้มเพื่อเรียกสติของคนรัก

                “เปลว เปลวตื่นก่อน เปลว”

                คนถูกปลุกลืนตาขึ้นโผเมื่อความรู้สึกเจ็บหน่วงที่ช่วงท้องเริ่มรุกรามไปยังอวัยวะเพศและช่องทางด้านหลังจนเผลอทำหน้าแหยเกกับมัน

                “เปลว เปลวเป็นอะไร” อัมรินทร์เริ่มร้อนลน

                 “คุณอัน” ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างหงิกงอ เปลวอรุณสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนพูดต่อ“ผมเจ็บท้อง”

                  “เจ็บท้อง? เวรละ” อัมรินทร์สบถออกมาก่อนจะตระหวัดผ้าห่มของตัวเองออกแล้ววิ่งไปคว้าเอาของจำเป็นออกมาก่อนจะวิ่งเปิดประตูออกจากห้องไปเคาะเรียกลูกตาล

ก๊อก ก๊อก

              เสียงเคาะประตูรัวเร็วขึ้นตามความร้อนใจจนกระทั้งสีหน้าคล้ายดูหงุดหงิดของคนถูกรบกวนเปิดออกมาประจวบเหมาะกับประตูห้องของอนิรุทธิ์ที่อยู่ข้างๆเปิดออกมาพอดี

              “มีอะไรวะไอ้อัน” อนิรุทธิ์เอ่ยถามน้องชายของตนข้างๆมีลิลดาที่อุ้มป้อนนมหนูดารินที่ตื่นขึ้นมาร้องกินนมเหมือนอย่างทุกวัน

              “เอาดีๆนะพ่อ ยังไม่เช้าแล้วมาปลุกกันแบบนี้มีเรื่องกันได้นะ” ลูกตาลว่า

              “มีแน่” อัมรินทร์หอบ “เปลวจะคลอดแล้วไปเอารถออก”  เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง

              คนที่ถูกสั่งให้ไปเอารถออกเหมือนจะตื่นเต็มตาขึ้นกว่าเดิม ลูกตาลทำตาโตก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปเอากุญแจนถยนต์ของตนในห้องขณะที่อนิรุทธิ์สั่งให้ลิลดาพาลูกกลับเข้าไปด้านในก่อนที่ตัวเองจะวิ่งลงไปเปิดไฟแล้วลงเปิดประตูบ้านรอ

              ความโกลาหลเกิดขึ้นทันทีเมื่อเปลวอรุณไม่ได้มีเพียงแค่อาการเจ็บท้องธรรมดาแต่บนที่นอนยังมีน้ำคร่ำเฉอะแฉะออกมาเป็นจำนวนหนึ่งแต่นั้นยังไม่เท่ารอยเลือดที่ซึ่มออกมาจนอัมรินทร์แทบสติแตกกว่าจะตั้งสติแล้วช้อนตัวเปลวอรุณขึ้นแล้วรีบพาลงไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างล่างได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งทีเดียว

              จากตีสี่กว่าๆที่ถุงน้ำคร่ำแตกจนตอนนี้เวลาเลยมาถึงช่วงตีห้ากว่าๆแล้วแต่เจ้าตัวเล็กทั้งสองก็ยังคงไม่ยอมออกมาสักที

              “คุณอัน คุณอัน” เปลวอรุณเรียกหาอัมรินทร์เสียงสั่น ร่างกายของเขาโดยเฉพาะช่วงล่างรู้สึกเจ็บจนชาไปหมด

              “อยู่นี้เปลวฉันอยู่นี้” อัมรินทร์จับมือของเปลวอรุณแน่น ใบหน้าขาวของเปลวอรุณดูซีดลงกว่าเดิมหลายเทาอีกทั้งมือที่ชื้นเหงื่อก็เริ่มเย็นจนน่ากลัว

              “คุณแม่ออกแรงอีกหน่อยค่ะตอนนี้เริ่มเห็นน้องคนแรกแล้วค่ะ” น้ำเสียงของคุณหมอดูตื่นเต้นขึ้นเมื่อเธอเริ่มมองเห็นส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวของเด็ก

              “อื้มมมมมมม” เปลวอรุณหลับตาแน่นพยาบามเบ่ง

              ด้วยความที่ตั้งแต่หายป่วยมาเปลวอรุณมีร่างกายที่ผอมลงกว่าเดิมอยุ่หลายเท่าแม้เรี่ยวแรงจะกลับมาสมบูรณ์แต่เมื่อร่างกายเป็นเช่นนี้แรงจึงมีไม่มากและดูเหมือนเด็กน้อยจะมีร่างกายที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทำให้การคลอดเองดูเป็นเรื่องที่หนักเอาการสำหรับเปลวอรุณ

              “อดทนนะเปลวฉันเชื่อเปลวทำได้” ถึงจะเจ็บปวดที่เห็นเปลวอรุณทรมานแต่เขาต้องอยู่ข้างๆอยู่เป็นกำลังใจให้คนที่รักในเวลาที่สำคัญมากที่สุด

              เปลวอรุณพยายามอย่างหนักในการให้ชีวิต เสียงหอบดังขึ้นและหนักกว่าเดิมเมื่อหนึ่งชีวิตแรกออกมาสู่โลกได้สำเร็จ

              “แว๊ แว๊” เสียงของหนึ่งชีวิตที่เพิ่งเกิดออกมาแผดเสียงร้องออกมา อัมรินทร์ยิ้มกว้างให้กับเสียงร้องแห่งชีวิตและยิ่งยินดีมากขึ้นเมื่อเขาสามารถมองเห็นทารกตัวแรกที่ร้องไห้จ้าในมือของพยาบาลสาวคนหนึ่งกำลังพาเจ้าตัวน้อยไปล้างตัว

              “เด็กผู้หญิง เวลา หกโมงสิบห้า” คุณหมอพูดขึ้นก่อนจะหันมาจดจ่อกับอีกคนหนึ่งชีวิตที่ยังไม่ยอมออกมา

              “มาพยายามกันอีกครั้งนะคะ” เธอพูด

              เปลวอรุณอ้าปากหอบเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะออกแรงเบ่งอีกครั้งจนหน้าแดงก่ำ อัมรินทร์พยายามลูบมือเปลวอรุณอย่างให้กำลังใจอยู่ข้างๆ และภายนอกห้องคลอดก็ยังมีลูกตาลที่นั่งภาวนาเอาใจช่วยแม่ของตนและน้องๆทั้งสองให้ปลอดภัย

              “อีกนิดค่ะ”

              “อื้มมมมมมม”

              “พยายามเข้าเปลว”

              “แว๊ แว๊”

              “เด็กผู้ชาย หกโมงสามสิบ”

 

              ‘เชิญตะวัน’ กับ ‘รับอรุณ’ คือชื่อของเด็กแฝดหญิงชายที่ออกมาลืมตาดูโลกใบนี้พร้อมกับแสงแรกในตอนเช้า ชื่อที่อัมรินทร์กับเปลวอรุณเป็นคนตั้งขึ้นให้กับเด็กทั้งสองเมื่อแรกคลอด แม้จะเจ็บปวดทรมานแต่เมื่อได้อุ้มเด็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขนน้ำตามันก็พลอยไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

              หลังจากความเจ็บปวดอันก่อให้เกิดความสวยงามเสร็จสิ้นลงเปลวอรุณกับเด็กทั้งสองถูกพาไปพักยังห้องพักฟื้นและห้องเด็กอ่อนทันทีที่เปลวอรุณถูกพาออกมาจากห้องคลอดลูกตาลที่ยืนรออยู่ข้างหน้าห้องก็ยิ้มกว้างออกมาทั้งน้ำตาเด็กหนุ่มวิ่งเข้ามากอดแม่ของตนเอาไว้เป็นอย่างแรกก่อนจะเข้ามาดูเจ้าตัวเล็กทั้งสองที่นอนนิ่งที่อยู่ในห่อผ้าสีสะอาดตา

              ลูกตาลได้ลองอุ้มน้องสาวและน้องชายครั้งแรกในช่วงบ่ายหลังจากที่เปลวอรุณฟื้นขึ้นมาอีกครั้งและถึงเวลาพาเด็กน้อยมาพบปะญาติๆในครอบครัวที่รอต้อนรักพวกเขาอยู่

              “จับน้องเบาๆนะคะของขวัญ” ลิลดาเอ่ยกับลูกสาววัยหนึ่งขวบที่ถูกอนิรุทธิ์อุ้มอยู่ที่กำลังพยายามเอื้อมมืออกไปจิ้มแก้มกลมเล็กของเด็กหญิงเชิญตะวันแฝดผู้พี่ที่นอนนิ่งอยู่ในแปรในขณะที่เด็กชายรับอรุณถูกอุ้มโดยผู้เป็นย่า

              “น้อง น้อง” หนูดารินพูดพร้อมยิ้มกว้างให้ผู้เป็นแม่

              ลิลดายิ้มให้ลูกสาว

              “หน้าตาหนูตะวันกับหนูอรุณนี้เหมือนกันจนแยกแทบไม่ออกเลยนะ” นภาพูดขึ้นหลังพิจารณาหลานแฝดทั้งสอง

              “ใช่ครับแม่ ตอนแรกผมก็แยกไม่ค่อยออกเท่าไร” อัมรินทร์เห็นด้วยก่อนจะรับเอาลูกชายมาอุ้มต่อ

              “ตะวันจะผิวเข้มกว่าอรุฌเล็กน้อย ถ้าผมสังเกตไม่ผิดนะ” ลูกตาลพูดขึ้นขณะประคองเปลวอรุณขึ้นนั่ง

              “จริงด้วย” สุริยะกับนภาก้มพิจารณาสองแฝดอีกครั้งก่อนอุทานขึ้นพร้อมกัน

ก๊อก ก๊อก

              เสียงเคาะที่บานประตูห้องพักฟื้นดังขึ้นพอเป็นพิธีก่อนที่จะถูกมือหนาใหญ่ของวาเลนติโนผลักเปิดเข้ามาพร้อมด้วยราชันกับลูกน้องอีกสองคนที่ต่างถือของเยี่ยมสำหรับแม่และเด็กแฝด

              “พี่เปลว” หลังไหว้ทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองในห้องแล้วราชันก็โผเข้ากอดเปลวอรุณไว้แทบจะในทันที

              “มาถึงตั้งแต่เมื่อไรกัน” อัมรินทร์เอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะจากอิตาลี่มาไทยระยะทางไม่ใกล้เวลาเดินทางก็คงไม่ต่ำว่าสิบชั่วโมงแน่ แล้วทำไม..

              “อันที่จริงพวกเรามาถึงกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พอเมื่อสายลูกตาลโทรมาบอกพวกเราก็รีบมาทันที” วาเลนติโนเป็นคนตอบคำถามที่ว่าแทนก่อนจะหยิบเอาข้าวของที่หอบหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลมาส่งให้อัมรินทร์รับเอาไว้

              “ตอนแรกว่าจะมาเซอร์ไพรส์พี่เปลว แต่กลับโดนเซอร์ไพรส์เสียเองสะงั้น” ราชันยิ้มกว้าง

              เปลวอรุณลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดูและถ้าเขาสังเกตไม่ผิดไปสีหน้าของราชันดูแจ่มใสมากกว่าแต่ก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ ?

              “ทุกคน มาถ่ายรูปกันหน่อยไหม” อนิรุทธิ์เอ่ยขึ้นพลางยกกล้องที่นำมาด้วยชูขึ้น

              “งั้นเริ่มจากพ่อแม่ลูกก่อนละกัน” สุริยะว่าก่อนจะดึงภรรยาออกมา

              เปลวอรุณยิ้มรับก่อนจะเอื้อมมือออกไปรับเชิญตะวันจากลิลดามาอุ้มเอาไว้ในขณะที่อัมรินทร์ที่อุ้มรับอรุณอยู่ก่อนก็ก้าวเข้ามาใกล้ชิดเตียงมากขึ้น

              “ตาลเข้าไปสิลูก” นภาดันแขนเด็กหนุ่มที่เดินถอยตามเธอออกมา

              “เอ่อ ไม่ดีกว่ามั่งครับ” ลูกตาลเอ่ยปฏิเสธ นี่มันภาพครอบครัวนะเขาก็อยากให้ครอบครัวจริงๆเขาได้ถ่ายด้วยกันมากกว่า

              “เร็วๆเข้าตาล รูปครอบครัวนะจะขาดแกไปได้ไง” อัมรินทร์เอ็ดเสียงใส่พร้อมกวักมือเรียกเด็กหนุ่มให้เข้ามา

              ลูกตาลดูลังเลแต่ก็ยอมที่จะเข้าไปยืนอีกข้างหนึ่งของเตียง แต่พอจะเริ่มถ่ายขึ้นมาจริงๆกลับเป็นอัมรินทร์ที่ยกมือขึ้นห้ามช่างกล้องขึ้นมาก่อน

              “อะไรวะไอ้อัน” อนิรุทธิ์ถามเสียงห้วน

              “เออน่า รอก่อน” เจ้าตัวว่าก่อนส่งลูกชายคนเล็กมาให้เปลวอรุณแล้วเดินไปหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ที่กลับไปเอามาจากที่บ้าน

              ถุงกำมะหยี่สีขาวถูกหยิบออกมาพร้อมกับถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มอีกอันที่เปลวอรุณไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกคนหันมามองของในมืองของอัมรินทร์ด้วยความสนใจ

              อัมรินทร์คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะเปิดถุงหูรูดออกแล้วหยิบสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาด้วยหัวในลิงโลด

              กระพวนข้อเท้าสีขาวส่งเสียง ‘กิ๊ง กิ๊ง’ ตามจังหวะการเคลื่อนที่ ตอนแรกมีแค่หนึ่งแต่ตอนนี้มันมีถึงสอง

              “กระพวนข้อเท้าอันนี้พ่อออกแบบเองเพื่อเอามารับขวัญพวกหนูนะลูก ตะวัน อรุณ” อัมรินทร์พูดกับดวงอาทิตย์ดวงน้อยทั้งสองของตนด้วยความรักก่อนจะค่อยๆสวมกระพวนข้องเท้าทั้งสองลงที่ข้อเท้าเล็กๆของลูกทั้งสองด้วยหัวใจที่เอ่อล้นโดยมีเปลวอรุณกับลูกตาลคอยช่วยประคอง

              “ส่วนอันนี้ของนาย” ถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มถูกส่งมาตรงหน้าเด็กหนุ่มทันทีเมื่อข้อเท้าเล็กทั้งสองถูกสวมกระพวนที่รอเจ้าของมานาน

              “อะไร” ลูกตาลขวมดคิ้วถาม

              “ก็เปิดสิ”

              ลูกตาลเปรยตามองเล็กน้อยก่อนจะเปิดถุงออกดู

              สายของสร้อยคอสีขาวเรียบๆไม่มีลวดลายอะไรโผล่ออกมาเป็นส่วนแรก ลูกตาลขมวดคิ้วอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจก่อนจะส่วนสุดท้ายที่ห้อยอยู่จะโผล่ออกมาให้เห็น

              “นี้มัน” ลูกตาลร้องอุทานขึ้นก่อนจะมองใบหน้าของอัมรินทร์อีกครั้ง

              จี้อันเล็กที่ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กสีขาว แม้จะดูไม่แตกต่างจากของที่ถูกทำขายทั่วไปแต่ลูกตาลรู้ดีว่ามันต่างออกไป

              “ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนที่นายไปที่บริษัทฉันเห็นนายมองเพชรเม็ดนี้อยู่” อัมรินทร์พูดขึ้นเตือนความจำเด็กหนุ่ม

              “พ่อจำได้หรอ” ลูกตาลพูดขึ้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

              เพชรเม็ดที่เล็กที่สุดในบรรดาเพชรที่ถูกนำมาให้คัดเลือด เพชรเม็ดเล็กๆที่ดูไม่มีค่าอะไรโดดเด่นเหมือนเพชรน้ำดีเม็ดอื่นๆแต่กลับส่องแสงกว่างกว่าใครเมื่อต้องแสงไฟ

              “มันเหมาะกับนายนะ” อัมรินทร์ว่าพขณะหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาจากมือของเด็กหนุ่มก่อนจะคล้องคอสวมให้เด็กหนุ่ม

              “ฉันสั่งทำให้เพื่อนายโดยเฉพาะเลยนะ ไอ้ลูกชาย”

              ลูกตาลชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าหนีซ้อนใบหน้าแดงๆจนเปลวอรุณที่ลอบมองอยู่ถึงกลับหลุกขำออกมาก่อนจะเรียกให้เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตหันกลับมาเพื่อที่พวกเขาจะได้ถ่ายรูปครอบครัวกันเสียที

              “เอาละนะ หนึ่ง สอง สาม”

              ภาพคนในครอบครัวที่ถ่ายรูปร่วมกันด้วยรอยยิ้มดูเป็นอะไรที่น่ามองและดูอบอุ่นเสมอ ราชันมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ดวงตาสวยมองใบหน้ามีความสุขของพี่ชายเพียงคนเดียวที่เขารักมากที่สุดอย่างมีความสุขตามไปด้วย แต่พอมองดูลูกตาลกับเด็กแฝดทั้งสองที่อยู่ในอ้อมแขนของเปลวอรุณในตอนนี้เจ้าตัวกลับยิ้มเศร้า

              “อยากมีหรือเปล่า” วาเลนติโนเอ่ยขึ้นมาลอยๆโดยที่สายตายังไม่ละไปจากภาพครอบครัวขนาดใหญ่ตรงหน้า

              ราชัยยิ้มบางพลางส่ายหน้า “ใครมันจะอยากมาเกิดกับฉันกัน”

              การที่ผู้ชายท้องได้ไม่ใช่เรื่องแปลกก็จริงแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถท้องได้เสียเมื่อไร บางทีตัวของเขาอาจจัดอยู่ในกลุ่มของคนที่ไม่สามารถมีลูกได้ก็เป็นได้

              “บางทีเขาอาจอยากมาแต่เพราะนายไม่เปิดใจหรือเปล่าเขาเลยไม่กล้า” ราชันยิ้มให้กับคำพูดเย้าแหยนั่นก่อนจะซบลงที่ไหล่แข็งแรงของอีกคน

              “ถ้ามีได้ก็ดีสิ” เขาพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

              “ราชมาถ่ายรูปร่วมกันเร็ว” ลิลดายิ้มกว้างขณะเดินเข้ามาดึงแขนของเพื่อนชาย “คุณก็มาด้วยนะคะ” เธอหันไปบอกชายตัวโตข้างๆ

              ภาพครอบครัวขนาดใหญ่ดูอัดแน่นกันล้นมุมกล้องจนหนึ่งในการ์ดของวาเลนติโนที่รับหน้าที่ตากล้องจำเป็นต้องก้าวถอยหลังเพื่อให้มุมมองของกล้องสามารถเก็บภาพของสมาชิกในครอบครัวเอาไว้ได้ครบทุกคน

              ก้าวแรกของคำว่าครอบครัวที่อัมรินทร์กับเปลวอรุณร่วมกันสร้างขึ้น ทั้งสองหันมองหน้ากันในจังหวะที่ช่างภาพจำเป็นกดลั่นชัตเตอร์ เหมือนกำลังจะบอกให้คนที่ได้มาเห็นรับรู้ว่าต่อจากนี้ไปในสายตาของอัมรินทร์จะมีไว้มองเพียงเปลวอรุณแค่คนเดียวจากนี้และตลอดไปในบทละครชีวิตที่อัมรินทร์จะมีเปลวอรุณอยู่เคียงข้างเขาไปจนวันสุดท้าย....



..______________________จบ________________________..

ตอนนี้มันก็จะยาวๆหน่อยเป้็นการส่งท้าย
รู้สึกใจหายแบบแปลกๆที่ต่อไปนี้หนูเปลวกับหนูอันอันจะไม่ได้มาเจอกันทุกคนแล้ว
หลังอ่านจบแล้วเราขอรู้ความรู้สึกของเพื่อนๆหน่อยได้ไหมว่ารู้สึกยังไงกับหนูเปลวหนูอันอันของเราบ้าง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ

 :pig4:
สามารถติดตามนิยายเรื่องใหม่ๆได้ที่หน้าเพจเช่นเดิมนะคะ https://www.facebook.com/Iamwavery/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2017 08:53:07 โดย wavery »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :hao5:


ขอบคุณมากๆๆ จร้า

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แฮปปี้กันถ้วนหน้า ขอบคุณคนแต่ง

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
จบแล้ววววว ย่ๆแฮปปี้เอนดิ้งกันเสียที ขอบคุณค่าา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด