บทที่ 22
เหตุเกิดเพราะ...ไปค่าย (2)
เต้นท์คู่...เหรอวะ
หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จพวกเราก็เดินทางมาจนถึงอุทยานแห่งชาติในส่วนของที่พักค้างแรม ยืนฟังอาจารย์อธิบายกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงพาไปยังบริเวณลานกว้าง สถานที่ที่เราจะพักกันคืนนี้ อาจารย์ให้พวกเราจับคู่กันแล้วไปรับเต้นท์จากเจ้าหน้าที่
จากที่ตั้งใจจะนอนกับไอ้เผือก กลับต้องมองตามเพื่อนสนิทที่เพิ่งถูกลากคอไปอีกทางโดยแฟนหนุ่ม(?)ของมัน ดูท่าแล้วคืนนี้ผมคงต้องนอนกับคนอื่น
กวาดตามองไปรอบๆ เพื่อนร่วมชมรมก็ทยอยจับคู่กันจนเกือบครบ ผมเลยขอเต้นท์จากเจ้าหน้าที่มาไว้ก่อน ถ้าเหลือเศษใครผมค่อยพักกับคนนั้น
“กางยังไงวะเนี่ย” งมอยู่กับการตั้งเต้นท์สักพักก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาช่วยจัดการให้จนเสร็จสรรพ แต่พอจะหันไปต้อนรับเพื่อนใหม่กลับกลายเป็นชะงักแทน
“อะไร เจอพี่ทำไมต้องตกใจตลอด” พูดจบร่างสูงก็สอดกระเป๋าเข้าไปวางในเต้นท์ รวมถึงกระเป๋าของผมด้วย
“ทำไมพี่ไม่ไปนอนกับเพื่อนพี่ล่ะ” ผมเพยิดหน้าไปทางเพื่อนของพี่เจตที่ยืนชะเง้อคอมองหาเพื่อนร่วมเต้นท์ ดูเหมือนจะเหลือเขาเป็นเศษอยู่คนเดียว
แล้วทำไมเศษนั้นไม่เป็นกู
พี่เจตยิ้มนิดๆ ชูกล้องในมือ แค่นั้นผมก็ตาวาวเดินตามร่างสูงไปติดๆ ไม่สนใจแล้วว่าคืนนี้เราจะต้องนอนด้วยกัน
พี่เจตสอนวิธีถ่ายภาพเบื้องต้นให้ผม อย่างการปรับแสงและปรับโฟกัส ผมก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาคนเล่นกล้องไม่เป็น
“มา พี่ช่วย รอเราเป็นงาน วันนี้คงไม่ได้ถ่ายภาพอะไรแน่” เขาเดินมายืนซ้อนหลังผมมืออุ่นวางทับมือผม ทำเอาหน้าร้อนวูบไปนิด แต่ผมก็เรียกสติกลับมาแล้วพยายามจดจ่อกับสิ่งที่เขาสอน
แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน
“แค่นี้เอง ง่ายใช่ไหมล่ะ” ร่างสูงผละออกจากผม ส่งรอยยิ้มประจำตัวมาให้อย่างเคย มือข้างหนึ่งยีหัวของผมจนยุ่งไปหมด
ผมมองเขานิ่งๆ ไม่โวยวายเหมือนแต่ก่อนจนเขาเองก็คงแปลกใจ พี่เจตละมือออก เปลี่ยนมาแตะหน้าผากผมแทน
“เราไม่สบายหรือเปล่า ดูเหม่อๆ นะวันนี้”
ผมส่ายหน้า เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
ความรู้สึกมันอยู่ระหว่างกลัวกับรู้สึกดีเพียงเพราะมือนั้นลูบหัวผม คนเราจะรู้สึกสองอย่างได้พร้อมกันเหรอ ผมไม่เคยเจอแบบนี้เลย
“พักหน่อยไหม เดี๋ยวค่อยไปวาดรูปก็ได้ เรามีเวลาทั้งวัน อ้อ พรุ่งนี้อีกวัน”
“ผมสบายดี” ผมเดินไปรับกระดานและดาษจากอาจารย์แล้วเดินไปตามทิศทางเดียวกับที่เพื่อนๆ ผมไป พี่เจตเดินตามมาอยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้าใกล้ให้ผมอึดอัดจนเกินไป ระหว่างนั้นเพื่อนร่วมชมรมผมก็เข้ามาคุยกับพี่เจตไม่ขาดสาย ก็สาวๆ นั่นแหละครับ ส่วนใหญ่พวกเธอก็เข้ามาพูดคุยเรื่องเรียน เพราะอย่างที่บอก พี่เจตได้เกรดสี่ทุกวิชามาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว
นอกจากหน้าตาดีแล้วยังหัวดีอีก ไม่รู้เขาจะเครียดทำไมเรื่องสอบเข้าคณะแพทย์ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าผ่านฉลุย
พี่เจตก็ตอบบ้างเงียบบ้างด้วยท่าทีที่ผมเคยคิดว่าหยิ่ง แต่พอได้รู้จักกันจริงๆ ได้มองเขาอยู่ในมุมของผม ผมก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่เจตไม่ใช่คนชอบพูด ผมยังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมตัวตนในจดหมายกับตอนที่เราคุยกันถึงเหมือนเป็นคนละคนได้ขนาดนั้น
แบงค์เคยบอกผมว่าเวลาที่คนเรามีความรัก เราจะพูดมากขึ้นเพราะอยากให้เขาสนใจเรา แต่ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไรเพราะตอนที่ชอบแอลผมแทบไม่กล้าพูด คืออยากพูดนะ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร กลัวพูดไปแล้วอีกฝ่ายไม่ชอบก็เลยเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า
แต่กับพี่เจต เราพูดกันตลอดเวลา ทุกคืนก่อนนอนเขาจะโทรหาผมเพื่อบอกให้หยุดเล่นเกม ถ้าไม่หยุดเขาจะโพสเตือนในเฟซผม ซึ่งช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร มีแต่คนเข้ามากดไลค์มาขอเป็นเพื่อนผมมากมาย อย่างล่าสุดพี่เจตแต่โพสแท็กผมว่าฝันดี ไม่รู้ยอดไลค์ยอดแชร์มาจากไหนเกือบพัน
หรืออย่างตอนเช้า เขาจะโทรมาปลุกผม แต่ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์จะโทรมาสายหน่อยเพื่อถามว่าผมกินข้าวกับอะไร แล้วบอกว่าจะไปซื้อมากินตาม ช่วงนั้นผมขนลุกไปพักหนึ่งเลยครับ เขาเหมือนสตอกเกอร์ และไม่มีใครชอบให้คนตามติดชีวิตตัวเองขนาดนั้นหรอก ผมจึงต้องพูดกับเขาไปตามตรงว่าผมไม่โอเคกับเรื่องแบบนี้ พี่เจตก็ตกลงและพยายามละไปทีละอย่าง
ผมอยากให้เขาตามใจตัวเองมากกว่าจะมายึดติดอยู่กับผม ผมเพิ่งรู้ว่าเขากินข้าวแกงแบบเดียวกันเพียงเพราะคิดว่าถ้าเรากินเหมือนกันเปรียบเหมือนว่าเราได้อยู่ใกล้กัน นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมช็อคและตีตัวออกห่างจากเขา ซึ่งท่าทางที่ผมแสดงออกคงมากพอที่จะทำให้เขาหยุดการกระทำนั้นลง พี่เจตจึงเปลี่ยนเมนูอาหารเป็นอย่างอื่นบ้าง แต่เขาก็พบว่าตัวเองชอบพะแนงหมูกับผัดฟักทองเข้าจริงๆ
เอาเถอะกินเพราะชอบก็ไม่อยากว่าอะไรหรอก ผมแค่ไม่อยากให้เขาต้องฝืนกินเพราะผมชอบ
“เจต ฟางเห็นติดหนังสือเตรียมสอบมา ขอฟางยืมอ่านหน่อยสิ”
สาวแว่นหน้าใสคนหนึ่งเดินแหวกทางสาวๆ เข้ามาเพื่อขอหนังสือสอบ ยอมใจเธอจริงๆ ครับ วัตถุประสงค์ในการเข้าหาต่างจากคนอื่นมากจริงๆ
“เอาสิ ว่าแต่น้องเธอน่ะ จะเอายังไงต่อ จะไปวิทย์กีฬาหรือจะเข้าแพทย์เหมือนกัน”
“ช่างหัวมันเถอะ ตามก้นผู้ชายต้อยๆ น่าจะเข้าเพศศึกษามากกว่า” เอ่อ สาบานได้ว่าผมได้ยินเธอพูดประโยคนั้น และน้องชายของเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
“เจ้ เดี๋ยวผมพาไอ้เผือกไปเล่นน้ำตกก่อนนะ เจ้จะวาดรูปก็ไปกับพี่เจตละกัน” พอเห็นพี่สาวพยักหน้า พ่อนักบาสของโรงเรียนก็วิ่งเริงร่าตามเพื่อนเผือกของผมไป
“เฮ้อ ถ้าไม่ติดว่าลงประกวด ได้รางวัล แล้วยังได้เกรดสี่ด้วยนะ ฉันจะอยู่บ้านอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนไปเลย”
“แล้วทำไมไม่เลือกชมรมวิทย์ล่ะ ระดับเธอเกรดสี่ไม่น่ายากนะ”
“ชีวิตเครียดมาเยอะแล้ว ขอสักอย่างละกันที่ไม่เครียด” เธอยิ้มนิดๆ
พี่ฟางจัดว่าเป็นหนึ่งในสิบของเด็กหัวกระทิที่กวาดรางวัลทั้งด้านวิทย์และศิลป์นับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ไม่รู้พี่เขาเอาเวลาที่ไหนไปล่ารางวัล เห็นขึ้นรับรางวัลหน้าเสาธงแทบทุกอาทิตย์ น้องชายเธอก็เหมือนกัน เรียนเก่งไม่พอยังเอาดีด้านกีฬาอีกต่างหาก
ดูๆ ไป ก็เหมาะสมกับพี่เจตดีนะ...
ผมควรหายไปจากตรงนี้ไหม ดูท่าพวกเขาน่าจะคุยกันถูกคอทีเดียว มีแต่คำศัพท์ยากๆ ที่ผมไม่เข้าใจ
รู้สึก...เป็นส่วนเกินอย่างไรบอกไม่ถูก
.
.
.
.
.
เราเดินมาจนถึงน้ำตก หลายคนหามุมวาดภาพลงสีตามที่ชอบ ส่วนบางคนก็เล่นสนุกอยู่ริมน้ำตก อย่างเช่นไอ้เผือกเพื่อนผมเอง
“สัดพู ลงมาเล่นน้ำกับกูเลย” ผมส่ายหน้าพลางชูกระดาษที่เตรียมมาวาด บ่งบอกชัดเจนว่ากูไม่เล่น อย่าสะเออะมาทำกระดาษกูเปียกเด็ดขาด เผือกทำหน้าบึ้งใส่ผม แต่ไม่นานมันก็ไปทำหน้าบึ้งใส่อีกคนเพราะโดนวักน้ำใส่
“ไอ้เชี่ยนี่ แค่ก มึงไม่หยุดใช่ไหม ได้ อย่าอยู่เลย” แล้วไอ้เผือกก็พุ่งตัวเข้าใส่หนุ่มห้องคิงอย่างแรงจนทั้งคู่จมลงไปในน้ำ แต่ไม่นานก็ผุดขึ้นมาวักน้ำใส่กันดูน่าสนุกดี
“ไปเล่นกับเพื่อนไหม เดี๋ยวพี่เฝ้าของให้ ยังไงฟางก็คงวาดรูปอีกนาน” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างใจดี แต่ผมกลับรู้สึกไม่ดีแปลกๆ กับประโยคนั้นของพี่เจต
พี่ฟางพยักหน้าให้ผมตามสบายได้เลย เดี๋ยวเธอจะเฝ้าของให้ ส่วนพี่เจตก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นแต่อย่างใด ผมจึงลุกออกมาจากตรงนั้น ถอดเสื้อกันหนาวและเสื้อยืดคอกลมของตัวเองก่อนจะกระโจนลงน้ำทันที
อยากทำหัวให้เย็นลง เผื่อใจจะได้เย็นลงตามบ้าง
..............................................
[เจต]
ผมไม่รู้ว่าทำอะไรให้พูไม่พอใจหรือเปล่า สีหน้าของเขาถึงดูไม่ดี แต่นั่นไม่ทำให้ผมรู้สึกนั่งไม่ติดที่เท่าพูถอดเสื้อแล้วกระโจนลงน้ำ หลายคนมองมาที่พูอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เล่นน้ำอยู่ก่อน ผมเห็นเขามองพูเหมือนจะกลืนกิน และท่าทางที่ว่ายเข้าไปหาพูตอนนี้ก็ทำผมหงุดหงิด แต่จะเข้าไปห้ามก็ไม่ได้เพราะสถานะของเรายังไม่ชัดเจน
และพูเองก็คงไม่อยากให้มันมากไปกว่านี้
ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้วนะเจต...
“ดูท่าแฟนนายจะไม่ชอบนะที่นายมาอยู่ใกล้ฉัน” ฟางพูดเสียงเรียบ มือเล็กตวัดพู่กันลงบนผืนผ้าใบด้วยลวดลายเฉพาะตัว
“แฟน?”
“ก็น้องพูไง เห็นมองมาหลายครั้งทั้งๆ ที่บอกตรงๆ ก็ได้ว่าไม่โอเค ฉันพร้อมจะลุกไปหาทำเลใหม่ เห็นนายไม่พูอะไร ฉันก็คิดว่าอยากยั่วให้หึง”
“ยั่วให้หึง?” ผมงงหนักกว่าเก่า “ฉันจะทำไปทำไม แค่หน้าฉันเขาคงไม่อยากจะมองด้วยซ้ำมั้ง”
“นี่นายโง่หรือโง่มาก... เหอะ เสียแรงที่อุตส่าห์เรียนเก่ง แค่นี้ก็คิดไม่ได้” เธอพึมพำเสียงเบา วางพู่กันก่อนจะหันหน้ามาหาผม
“ฟังนะ ไม่มีใครชอบที่คนของตัวเองไปอยู่ใกล้คนอื่นหรอก” เธอสบตาผมก่อนจะเหล่ไปทางน้ำตก ซึ่งผมก็มองตามไปและเห็นว่าพูขมวดคิ้วจ้องเราทั้งคู่ตาไม่กระพริบ ก่อนที่เขาจะละสายตากลับไปพูดคุยกับชาวต่างชาติคนนั้นอย่างออกรส ชวนให้ผมหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
ทำไมต้องไปใกล้ไอ้ฝรั่งตาฟ้านั่นด้วย
“เหอะ ไม่ได้ต่างกันเลย” ฟางไม่ได้ไขความกระจ่างให้กับผม เธอหันกลับไปวาดรูปเหมือนเดิม แต่ประโยคท้ายก็บอกใบ้ให้ผมได้รู้ตัวแล้วรีบถอดเสื้อตามพูลงไป
“ถ้าชอบขนาดนั้นก็ไม่ควรเสียเวลานะ”
.
.
.
ซ่า
น้ำเย็นเปียกชุ่มไปทั้งตัวแต่ไม่อาจดับความร้อนในใจผมได้ พูยังคงพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยภาษาอังกฤษคล่องอย่างกับเป็นเจ้าของภาษา อีกฝ่ายก็เอาแต่ยิ้มกรุ่มกริ่ม ไม่รู้ในใจมันคิดอกุศลอะไรกับพูบ้าง
“ไอพักที่เดียวกับยู ไว้เรามาจอยอาหารค่ำกันนะ”
“ได้สิ ผมอยากรู้เรื่องต่อจากที่คุณพูดเมื่อกี้มากเลย น่าเสียดายที่คุณต้องไปที่อื่นต่อ”
“ไม่ต้องห่วง เรามีเวลาคุยกันทั้งคืน หลังจากวันนี้ไปเจอกันที่อื่นก็ได้นะ” เขาเหล่มองผมแล้วยิ้มกว้าง เหอะ พูไม่ไปกับแกหรอก
“เอาสิ” ผมหันควับไปมองร่างโปร่งที่เอ่ยตอบรับด้วยท่าทีดีใจ เพียงเพราะจะได้สานต่อเรื่องที่คุยค้างไว้ ทำไมพูไปกับเขาง่ายๆ อย่างนั้นล่ะ
“โอเค งั้นไอไปก่อน เจอกันตอนค่ำ” ไอ้ฝรั่งหัวทองส่งรอยยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะขึ้นจากน้ำแล้วเดินตามครอบครัวไป ผมหันกลับมาหาพู รายนั้นก็ว่ายน้ำไปหาเพื่อนเสียแล้ว ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่ในน้ำด้วยความหนาวสั่น จากทั้งน้ำเย็นเฉียบและหัวใจที่เย็นชืด เขาไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะแคร์ผมบ้างเลยเหรอ
“เห้ยพี่เจต!” ไม่รู้ว่าผมยืนแช่น้ำอยู่ท่านั้นนานเท่าไร รู้ตัวอีกทีแขนผมก็ถูกฉุดโดยคนที่ผมคิดว่าเขาไม่เหลียวแลกันแล้ว สีหน้าพูตื่นตระหนก เขาพยายามลูบเนื้อตัวผมเพื่อคลายหนาวให้
“พี่หน้าซีดมากเลยอะ ผมพาขึ้นดีกว่า” พูประคองผมขึ้นจากน้ำ เมื่ออากาศปะทะผิวผมก็ยืนตัวสั่น ฟันก็กระทบกันกึกๆ พูรีบคว้าเสื้อของผมที่ถอดไว้ยื่นส่งให้ รวมถึงเสื้อกันหนาวตัวหลวมโพลกของเขาที่สวมทับให้โดยไม่ยอมให้ผมปฏิเสธ
“จะป่วยอยู่แล้วยังมาทำเก่งอีก!” พูดุ น่าแปลกที่ผมรู้สึกดีมากจนหุบยิ้มไม่ลง ปล่อยให้พูบ่นเรื่องที่ผมไม่ดูแลตัวเอง
อย่างน้อยแค่เขาห่วงผมบ้างก็ดีมากแล้ว
“อะ นี่ยา ผมไปขอจากสตีฟมา” ทันทีที่ได้ยินชื่อสัญชาติอื่นผมก็ปฏิเสธที่จะรับความหวังดีจากเขา ยอมป่วยให้พูดูแลดีกว่ารับยาจากไอ้ฝรั่งนั่น
“อย่าดื้อนะพี่เจต กินๆ เข้าไปจะได้หายไวๆ” พูเร่ง
“ไม่อยากหาย... อยากให้นายดูแล” พูชะงักไปนิด ก่อนจะหาข้อต่อรองที่ทำเอาผมหมดทางเลือก
“ถ้าไม่กิน คืนนี้ผมจะไปนอนกับสตีฟ...” ผมตบยาเข้าปากตามด้วยน้ำที่พูยื่นให้ทันทีไม่มีอิดออดอีกต่อไป เรื่องอะไรจะยอมให้พูไปนอนกับคนแปลกหน้า
“ดีมาก ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน เสร็จแล้วจะได้ไปหาทำเลวาดรูป” พูดจบพูก็หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ในกระเป๋า ผมเองก็หยิบบ้างแล้วเดินตามพูไปอย่างง่ายดาย เขาอยากให้ผมทำอะไรผมก็จะทำ
อาจดูเหมือนคนโง่ที่ทำตามคนอื่น งมงายในรักที่ไม่มีท่าทีจะสมหวัง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมเลือกและพอใจที่จะทำ พูคือความสุขของผม ถ้าเขามีความสุข ผมเองก็สุขด้วย
“ผมจะวาดรูปตรงนี้ ตอนเสร็จน่าจะทันพระอาทิตย์ตกพอดี” พูเลือกมุมริมหน้าผาเพื่อถ่ายทอดภาพแม่น้ำสายหลักด้านล่าง ส่วนผมนั่งอยู่ด้านหลังเขา มองหามุมสวยๆ แล้วลงมือวาดทันที เราต่างคนต่างเงียบ จดจ่อกับการลากเส้นบนกระดาษ
นานเข้าแสงตะวันก็เริ่มหม่นลง ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจ มองร่างโปร่งที่ยังคงจดจ่อกับการวาดภาพจนถึงวินาทีสุดท้าย
“กลับกันเลยไหม” ผมเดินเข้าไปใกล้พู ซึ่งเจ้าตัวก็รีบซ่อนภาพของตัวเองทันที แต่ปิดไปก็เท่านั้นเพราะผมนั่งมองภาพที่เขาวาดได้สักพักแล้ว เห็นรายละเอียดและเทคนิคที่เขาใช้ทุกอย่าง เป็นภาพที่สวยมากทีเดียว
“กลับสิ อ้ะ เดี๋ยวนะ” พูปิดกระเป๋าใบเล็กที่เขาพกติดตัวมา “ไหนๆ ก็ซื้อกล้องมาแล้ว เอามาใช้ก็เป็นเรื่องสมควรใช่ไหมล่ะ”
พูหยิบกล้องพารารอยด์ที่ผมซื้อให้เขาออกมาถือไว้ แต่กลับไม่ยอมถ่ายสักที
“พี่ถ่ายให้ก็ได้” ผมยื่นมืออกไปขอกล้องเพื่อจะได้รีบถ่ายและรีบกลับที่พักเพราะเย็นมากแล้ว แต่พูไม่ยอมยื่นให้ เขาจับกล้องแน่นและกัดปากด้วยท่าทีลังเล เหลือบมองผมนิดๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นๆ
“ในเมื่อพี่ซื้อมา ก็น่าจะมีรูปถ่ายกับที่นี่สักภาพนะ” ห้ะ ผมไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเขานัก
แชะ
ไม่ทันให้สมองผมประมวลผม พูก็ยกกล้องถ่ายรูปผมเสียอย่างนั้น
“ภาพห่วยมากเลยพี่ ทิ้งๆ ไปโน๊ะ ปะๆ กลับกันๆ แสงเริ่มน้อยแล้ว” พอได้ภาพจากกล้องพูก็ดันหลังผมให้เริ่มออกเดิน ทั้งๆ ที่ภาพไม่น่าจะปรากฏเร็วขนาดนั้น
ผมแอบยิ้มน้อยๆ เมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาทำ ถึงไม่รู้ว่าทำไปทำไมก็ตาม
“ทีหลังขอกันดีๆ ก็ได้ พี่ยอมให้นายถ่ายได้ทั้งวันเลย”
พูเงียบไปนิด ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“พูดมากน่า...”
[จบพาร์เจต]
Tbc.
⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
มาต่อแล้ววววววววววว มาเร็วเพราะวันหยุดนี้เราไม่ว่างอัพค่า เคลียร์งานยาวและต้องเดินทางอีก เลื่อนมาอัพเร็วขึ้นแทน ดีหรือไม่ดีหว่า 5555
ตอนนี้ยังไม่จบพาร์ทนะคะ เหลืออีกนิด ขอยกยอดไปต่อตอนหน้าค่ะ พาร์ทนี้ยาวจริงๆ เพราะหลังจากนี้... ไม่เอาไม่บอก ไม่อยากสปอย 5555555
เจอกันตอนหน้าค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ดีใจที่ยังมีคนอ่านกัน และยินดีต้อนรับคนอ่านหน้าใหม่นะคะ
เราเปิดเรื่องสั้นเรื่องใหม่ ลองเข้าไปอ่านกันนะคะ ║.♪.เสียงของคุณ.♪.║