23.บัคก็ต้องแก้แผลใจก็ต้องรักษา
“กลับกี่โมง เดี๋ยวผมไปส่ง”
พาโชคถามลูกพี่ผู้มาเชียงใหม่เหมือนเปลี่ยนสถานที่ทำงานเพราะเห็นนั่งทำงานมาตั้งแต่เมื่อคืนจนหกโมงเช้าวันนี้ก็ยังไม่ได้นอน พัชวางน้ำเย็นให้คนที่พึ่งจะปิดแล็บท็อปลง
“วันศุกร์นู่น”
พี่ตอบพร้อมกับบิดขี้เกียจแล้วเดินไปล้มตัวนอนลงบนเตียงกว้าง พัชมองคนที่ถอดแว่นแล้วหลับตาลงเงียบๆ
“ลาเหรอครับ”
“เปล่า remote work”
พาโชคแปลกใจกับคำตอบอยู่พอสมควร
“อนุมัติแล้วเหรอ”
พัชถามเพราะการทำงานรีโมทหรือทำงานที่บ้านของดีเวลลอปเปอร์ในไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลายหรือยอมรับ เพราะด้วยลักษณะคนไทยเองที่ค่อนข้างขาดความรับผิดชอบเลยทำให้มีคนใช้โมเดลแบบนี้น้อย ที่พัชแปลกใจคือได้ยินในที่ประชุมพูดเรื่องนี้กันอยู่หลายครั้งแต่ไม่เห็นว่าจะได้ใช้สักที
“ยังไม่อนุมัติหรอกพี่เป็นตัวทดลองให้บริษัท”
งั้นโมเดลนี้ก็คงสำเสร็จเพราะต่อให้จะอยู่ไหนพี่ยูก็บ้างานอยู่แล้ว
“พรุ่งนี้เข้าออฟฟิศกับผมไหม”
พาโชคถามคนที่ขดตัวเป็นดักแด้กับผ้าห่มเตรียมจะนอนเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวเข้าไปบ่ายๆ ตอนเช้าพี่ให้คนมาดูสวนข้างบ้าน”
เจ้าของบ้านตอบ
“จะปลูกอะไร”
“พัชอยากปลูกอะไร”
“ผมอยากปลูกลำไย”
พี่ยูลืมตาก่อนจะพลิกตัวหันมามองอีกคน
“ซื้อกินง่ายกว่าไหมแว่น”
พาโชคเบ้หน้า
“งั้นจะถามทำไมวะ”
เจ้าของบ้านที่ตาล้าเต็มทนหัวเราะน้องมัน
“คุณเนมชวนไปบาร์ตอนเย็น พัชอยากไปไหม แต่เมื่อวานเราก็พึ่งเจอคุณเนม”
พัชผู้ตื่นมาตั้งแต่หกโมงเช้าเพราะเสียงพี่ยูทำเสียงดังทั้งๆที่เมื่อคืนนอนตั้งตี 3 กระโดดขึ้นเตียงบ้าง
“ผมจะฟ้องคุณเนมว่าพี่ยูเบื่อหน้า”
“เอาสิแว่น มาดูกันว่าใครจะอยู่หรือไป”
พัชขำเสียงดัง
“หัวเราะเก่งนะแว่น”
คนเป็นพี่ยิ้มตาม ก่อนจะตอบ
“ไปสิ พี่ไม่ได้ไปไหนในเชียงใหม่นานแล้ว ไม่อยู่สิบกว่าปีเปลี่ยนไปตั้งเยอะ”
“กลายเป็น smartcity ไปแล้ว”
พาโชคพูดถึงเมืองที่ต่างชาติกำลังไหลเข้ามาลงทุน อย่าซอฟท์แวร์เฮาส์แต่ก่อนจะกระจุกอยู่แค่ตามไลน์รถไฟฟ้าสายสุขุมวิท แต่ตอนนี้เริ่มขยายออกมาชานเมืองบ้างแล้ว รวมถึงเชียงใหม่กับขอนแก่นที่เริ่มมีงานสายซอฟท์แวร์เพิ่มขึ้นจากแต่ก่อน
“งั้นเราออกสักบ่าย ไปหาข้าวกิน ไปรับพี่เอกแล้วรวดไปหาคุณเนมทีเดียว”
“หมายถึงเลยไปหาคุณเนมเหรอ”
พาโชคผู้งงกับคำบอกเล่าของหัวหน้าถามก่อนจะนึกได้ว่าพี่ยูกำลังหมายถึงอะไร
“อู้คำเมืองอ่อ”
พอพูดเสร็จก็หัวเราะคิกคักที่แซวพี่มันได้
“ไอ้แว่น ล้อเก่ง”
พี่ยูว่าก่อนจะดึงอีกคนเข้ามาใกล้แล้วแกล้งเอาขาพาดไว้ พาโชคร้องว่าหนักแล้วโวยวายอยู่พักเดียว สุดท้ายก็หลับลงไปเพราความง่วงทั้งคู่
***
ประมาณเกือบห้าโมงเย็นของวันอาทิตย์ที่แดดเปรี้ยงแบบไม่น่าออกนอกบ้าน พี่ยูพาเด็กแว่นออกมากินข้าวแถวสนามบินก่อนจะเลยมารับพี่เอก เพราะทางออฟฟิศเชียงใหม่นัดสัมภาษณ์ application developer ทั้งไทยและต่างชาติในวันรุ่งขึ้นเกือบสิบคน พี่เอกที่มีหน้าที่เป็น Senior IOS Application Developer จึงต้องถ่อมาถึงเชียงใหม่เพื่อเป็นคนสัมภาษณ์เอง โดนมีคุณเนมเป็นหัวเรือเบิกค่าใช้จ่ายทุกอย่างจากบริษัทให้ และเป็นพี่เอกที่อาสาขอนอนบ้านพี่ยูเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและอีกประเด็นคือจะมาแอบส่องชีวิตของพาโชคให้เจนมัน
“ไปบาร์หาคุณเนมก่อนนะพี่ ค่อยกลับบ้าน”
“อืม เอางั้นแหละ”
พี่เอกที่ดูเหมือนช่วงนี้งานเยอะมากตอบรับ ก่อนจะเอนตัวลงพิงเบาะหนังของรถเก๋งคันสวย
“อะไรโชค มาแป้ปเดียวมีรถหรูใช้แล้ว”
พี่เอกทักทายเด็กแว่นที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน ออฟฟิศที่กรุงเทพในตอนที่ไม่มีพาโชคดูเหงาขึ้นถนัดตา
“ยืมเขามาพี่”
พาโชคตอบมาจากเบาะหลังเพราะกะจะปล่อยให้ผู้อาวุโสเขาคุยกันเรื่องงานที่เบาะหน้า
“ไม่ได้มีแค่รถหรอกพี่เอก”
พี่ยูชง
“เอ้า มีอะไรอีก”
พี่เอกชงกลับ
“บ้านก็ยึดผมไป ไหนจะไร่จะสวน”
หัวหน้าตบมุขอย่างพอดิบพอดี
“โอโห พาโชคมึงอายุน้อยร้อยล้านที่แท้ทรู”
พี่เอกบอกพร้อมกับขำ ดูก็รู้ว่าเข้าขากับหัวหน้าดีเหลือเกิน
“หัวหน้ามึงหลังๆก็ออกตัวแรง กูล่ะเพลีย”
พี่เอกว่าเพราะตั้งแต่ที่พาโชคไม่อยู่ที่กรุงเทพหัวหน้าทีมเดฟก็เปิดตัว ใครมาขอคุยก็บอกเขาไปหมดว่าแฟนอยู่เชียงใหม่ จนเขาลือกันทั้งตึกแล้วว่าที่พาโชคหนีมาเชียงใหม่เพราะทะเลาะกับหัวหน้าศศิน พัชที่ไม่รู้จะเพลียตามพี่เอกหรือเขินดีรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ได้ยินว่าพี่เอกงานยุ่งเหรอ”
พาโชคที่คุยกับพี่เจนและพี่บอลเกือบทุกวันพอได้ยินข่าวมาบ้าง
“โดนคุณเนมเล่นดิพี่”
พี่ยูที่กำลังขับรถพูดไปขำไป
“อ้าว คุณเนมโกรธอะไรพี่เอก”
พาโชคที่เห็นสองคนตีกันบ่อยๆถาม พี่เอกที่ปวดหัวทั้งเรื่องคนทั้งเรื่องงานถอนหายใจ
“เป็นเด็กเป็นเล็ก มึงอย่ารู้เลยโชค”
“เอ้า คนมันอยากรู้”
พาโชคบ่นหงุงหงิงตามสไตล์ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมส์เพราะพี่สองคนเริ่มคุยเรื่องงานที่พัชคุยด้วยไม่ได้แล้ว
ไม่ถึงชั่วโมงพี่ยูก็วนรถเข้ามาจอดใกล้กับรถคุณเนมในร้านอาหารกึ่งบาร์ที่ตกแต่งด้วยไม้และกระจกเป็นหลักเหมือนที่ออฟฟิศทำ ก่อนจะเดินเข้าร้านกันแล้วเจอว่าพี่ธามกับคุณเนมนั่งรออยู่แล้ว
“พาโชคมานั่งนี่”
คุณเนมกวักเรียกพาโชคให้ไปนั่งข้างๆแต่พี่ยูกลับดึงแขนน้องให้ไปนั่งฝั่งตัวเองแทน สุดท้ายก็เป็นพี่เอกที่นั่งข้างคุณเนมด้วยหน้าตาเรียบเฉยผิดปกติ ทั้งๆที่แต่ก่อนคงกัดกันสนุกสนานไปแล้ว พาโชคมองคนนั้นสลับกับคนนี้แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามานั่งทำอะไรเพราะพวกพี่ๆเขาคุยงานกันค่อนข้างซีเรียส มีตั้งแต่เรื่องคน เรื่องงานจนไปถึงเรื่องรายรับรายจ่ายของบริษัท พัชผู้ไม่อยากฟังเรื่องเงินหลายร้อยล้านเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมส์ฆ่าเวลาแทน
“รายรับเยอะมากเลยนะแต่เก็บเงินลูกค้าไม่ได้ว่ะพี่”
พี่ยูบอกพี่เอกที่ถามถึงโปรเจคที่ฮั๊วะกับบริษัทอีกหลายเจ้า
“อือ ส่งเมลมาเลื่อนงวดเช็คกันหลายเจ้าเลย เหมือนเขาไปคุยกันข้างหลังเรา”
พาโชคเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการและไม่อยากขึ้นเป็นใหญ่เพราะเหตุผลแบบนี้เอง คุยกับคนว่ายากแล้วเรื่องเงินดูเหมือนจะยากกว่า
“ทำไงดีโชค”
คุณเนมที่ดูหาทางออกไม่ได้หันมาเล่นกับพาโชค ซึ่งพัชก็ไม่ตอบอะไรนอกจากขำ พวกเขาเริ่มสั่งอาหารและเบียร์จำนวนมาก พาโชคเห็นว่าสั่งไปเกินจำนวนคนอยู่เยอะแต่ก็ไม่ได้ทักอะไรออกไป เพราะว่ารู้ว่าพี่เขาน่าจะคุยกันไปเรื่อยๆอีกยาว ตัวพัชเองก็ไม่ได้เบื่ออะไร เพราะนั่งฟังเรื่องที่พี่ๆเขาคุยกันไปเรื่อยๆก็เพลินดีเหมือนกัน
“ที่ดูดบุหรี่อยู่ไหนวะ”
พี่ธามที่ดูเปรี้ยวปากถามพี่ยูคู่หูมะเร็ง
“กูไปด้วย”
ซึ่งทั้งคู่ก็ขอออกไปดูดบุหรี่เพราะเครียดกับเรื่องที่คุณเนมบ่นมากจริงๆ
***
“อะไรวะ”
ศศินมองดูการ์ดอะไรสักอย่างที่เพื่อนตัวเองยื่นให้ในระหว่างที่กำลังสูดนิโคตินเข้าปอด ก่อนจะรับมาแล้วอ่านรายละเอียดบนบัตร
“บัตรฟิตเนส?”
“อือ กูคงไม่ได้ใช้ละ”
ธามพูดถึงบัตรฟิตเนสตรงใต้ตึกของออฟฟิศที่กรุงเทพ หัวหน้าทีมเดฟพยักหน้ารับก่อนจะถามต่อ
“ทำไมมีสองใบวะ”
เขาพลิกไปมาเพื่อหาความแตกต่างระหว่างบัตรสองใบก่อนจะเห็นว่าอีกใบมีชื่อจริงของพาโชคอยู่
“พาโชค?”
พี่ยูถามพร้อมกับมองหน้าหัวหน้าทีมเทสเตอร์ที่ตอนนี้ผันตัวมาทำงานฝั่งบริหารที่เชียงใหม่ พี่ธามยิ้มก่อนจะตอบ
“กูเคยคุยกับน้องไว้ว่าถ้าแขนหายดีจะพาไปเข้ายิม”
“แขนหาย?”
“ก็ตั้งแต่ที่รถล้ม”
พี่ยูพยักหน้าเข้าใจ เขาจำตอนที่พาโชคขับบิ๊กไบค์คันใหญ่แล้วแฉลบล้มตรงสี่แยกแถวออฟฟิศได้ ผ่านมาเกือบปีแล้วก็จริงแต่ยังจำความรู้สึกใจหายตอนนั้นได้ดี
“แขนน้องยังเจ็บอยู่ไหมวะ”
ยูรู้จักกับธามมาตั้งแต่สมัยเรียนป.ตรีเพราะเรียนสาขาเดียวกัน แม้จะไม่ได้สนิทกันแต่ก็เจอหน้ากันเกือบทุกวัน พอรู้ข่าวคราวของกันและกันบ้างเพราะคนในสาขาก็ไม่ได้เยอะสักเท่าไหร่ ในขณะที่ในสายตาพี่ธาม ยูริ ศศินคือหนุ่มฮ็อตที่คั่วสาวไปทั่ว ในสายตาของพี่ยู ธามคือประธานสโมสรคณะผู้เป็นที่นับหน้าถือตา
“ไม่เจ็บแล้ว”
พี่ยูตอบก่อนจะพลิกบัตรในมือไปมาแล้วถามคำถามใหม่
“บัตรหมดเขตเมื่อไหร่”
“ปีหน้านู่น”
พี่ธามตอบก่อนจะดูดควันบุหรี่เข้าปอดอึกใหญ่
“ธาม”
“หืม?”
“กูขอโทษ”
คนอยู่ดีๆก็ถูกขอโทษเลิกคิ้วมองเพื่อผู้ร่วมงานกันมาหลายปี
“เรื่องอะไรวะ”
“กูรู้มาตั้งแต่แรก ว่ามึงอาจจะชอบน้อง”
ไม่ใช่แค่พี่ยูที่รู้เพราะใครๆก็ต่างรู้กันว่าทำไมหัวหน้าเทสเตอร์ถึงเดินเข้าออกห้องเดฟบ่อยขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ไปหาพาโชคคงนึกเหตุผลอื่นไม่ออก คนฟังขมวดคิ้ว
“มันก็ไม่ใช่ชอบแบบนั้นตั้งแต่แรกหรอก”
พี่ธามบอกก่อนจะพูดต่อ
“แต่เรื่องมึงกับพัชกูว่ากูรู้มาตั้งแต่แรกแล้ว ใครบอกกูนะว่าอย่ายุ่งกับคนใกล้ตัว”
พี่ยักษ์ขำ
“ตอนนั้นกูแม่งก็งงตัวเอง”
“กูก็งง งงกับตัวเองด้วย จะไปลองคุยกับพัชมึงก็หวงอีก”
พวกเขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะหัวเราะแม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าขำแต่จนถึงตอนนี้มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกเสียจากยินดีกับเรื่องที่เป็นอยู่
“มึงอย่าไปหลอกเด็กนะ”
พี่ธามบอก ดูก็รู้ว่ายังเป็นห่วงพาโชคมาก ห่วงทั้งในฐานะน้องและในฐานะคนที่แคร์ พี่ยูอมยิ้มก่อนจะตอบ
“กูเนี่ยโดนเด็กมันหลอก สุดท้ายก็มาตายกับเด็กที่อ่อนกว่าเป็นสิบปี”
“เออ เด็กมันร้าย”
พวกเขาหัวเราะกันอีกครั้ง หัวหน้าทีมเดฟมองบัตรฟิตเนสที่เขียนชื่อและนามสกุลจริงของพาโชคไว้และพอจะรู้ว่าธามคงไม่ได้ทำใจง่ายๆเหมือนที่บอก
“มานู่นแล้ว”
ธามสะกิดเพื่อนให้ดูเด็กแว่นที่วันนี้ไม่ได้สวมแว่นเดินออกมาที่บริเวณห้องน้ำข้างนอกที่พวกเขาดูดบุหรี่อยู่
“เข้าห้องน้ำเหรอ”
ลูกพี่ถามลูกน้องเก่าที่ดื่มจนหน้าแดง
“ครับ”
เจ้าตัวบอกพร้อมกับจะเลี้ยวไปอีกทาง พี่ยูเห็นน้องเดินงงๆเลยไปคว้าแขนมา
“เมามั้ยเนี่ย”
พี่ถามเด็กที่ยังดูมีสติดี
“ไม่เมา”
“งั้นเดินดีๆ”
คนเป็นพี่ว่าก่อนจะติดกระดุมเสื้อฮาวายย้วยๆที่พาโชคชอบนักหนาช่วงนี้ เห็นบอกมันใส่สบายแต่ก็ไม่ยอมติดกระดุมดีๆ
“ไม่ถอดเลยล่ะแว่น”
พี่ยักษ์บ่น
“ก็มันร้อน”
พอติดเสร็จก็ดึงมือออกปล่อยให้น้องไปเข้าห้องน้ำ พี่ธามที่ยืนมองอยู่ตั้งแต่ต้นกระแอมแก้เก้อ
“เหมือนกูไม่มีตัวตน”
คนที่ลืมเพื่อนไปชั่วครู่ขำพร้อมกับบ่น
“มึงดูเสื้อมันดิ อีกนิดกูว่าถ้ากูไม่อยู่คงไม่ติดหรอกกระดุม”
พี่ธามขำพรืด เพราะไม่คิดว่าเพื่อนตัวเองจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ แต่อีกใจนึงก็เข้าใจหัวหน้าศศินเพราะพาโชคบางทีก็ไม่ระวังตัวเอาเสียเลย
“ขำเหี้ยอะไร”
พี่ยูที่กำลังเขินหันมาถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจ แต่ในตอนนั้นก็กวาดสายตาเข้าไปในร้านซึ่งเป็นกระจกแล้วเจอคนที่รู้จักนั่งลงที่โต๊ะเดียวกับคุณเนม ไม่ทันไรเขาก็หันมาสบตา ฝั่งนั้นเหยียดยิ้มให้มีแค่เขาที่ตัวชาไปหมด
...พี่ชายของเนสมาที่นี่ทำไม...
“ธาม”
ศศินเรียกเพื่อนพร้อมกับจับไหล่ใหญ่ไว้แน่น
“มึงพาพัชกลับบ้านเลยนะ”
“อะไรวะ”
คนที่กำลังงงแบบพี่ธามปรับโหมดไม่ทันเมื่อเพื่อนเดี๋ยวก็เล่นเดี๋ยวก็จริงจัง
“พาน้องกลับบ้านให้กูหน่อย”
ยูย้ำอีกรอบก่อนจะรีบเดินเข้าไปในร้าน
“เหี้ยอะไรวะยู มึงจะไปไหน”
***
“ยูริมีเรื่องอะไร ใช่เรื่องตำรวจกับเรื่องที่ไม่กลับมาเชียงใหม่ใช่ไหม”
คุณเนมถามพี่เอกที่อาสาเป็นคนขับรถไปส่งถึงบ้านในเมืองเชียงใหม่เพราะเจ้าตัวดื่มเยอะและไม่ชินทาง
“อืม”
พี่เอกตอบสั้นๆเพราะไม่อยากพูดอะไรมาก
“พี่เอกรู้เรื่องใช่ไหม”
“ก็พอรู้”
“เล่าให้ฟังได้ไหม”
เจ้านายถามแต่คนเป็นลูกน้องปฏิเสธ
“ไม่ดีกว่า บ้านคุณเนมอยู่ไหนนะเดี๋ยวผมไปส่ง”
คุณเนมเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อ เพราะบางครั้งเรื่องส่วนตัวเจ้าตัวคงไม่อยากให้ก้าวก่าย
“แล้วพี่เอกจะกลับยังไง”
“เดี๋ยวให้หัวหน้ามารับ ไม่งั้นก็นั่งแท็กซี่กลับ”
พี่เอกพูดถึงหัวหน้าทีมเดฟที่ไล่พวกเขาให้กลับมาก่อนเพราะอ้างว่าจะเคลียร์กับเพื่อนเก่า
“อันตราย ให้ยูริจัดการธุระเถอะ นอนบ้านเนมก็ได้นี่ ไม่ต้องกลัวเนมทำอะไร เนมไม่ทำเรื่องงี่เง่าแบบนั้นแล้ว”
เจ้านายว่าพร้อมกับยิ้มให้ตัวเองโดยที่ไม่ได้สนใจมองหน้าคนขับรถเลยว่ารู้สึกยังไง
3 อาทิตที่แล้ว...
— เนม —
ตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าจะไปๆกลับๆเชียงใหม่กับกรุงเทพหรือควรทำยังไงกับชีวิตดี ผมทำงานเป็ ceo ในบริษัทที่พึ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ไม่ถึง 5 ปี งานของผมดูท่าทางจะยุ่งและยากมากกว่าคนอื่นในวัย 30 ปี ผมเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่วันๆคุยแต่เรื่อง passion and incomes ผมรักงาน รักการบริหารเงิน แต่สิ่งที่ผมลืมมาตลอดชั่วชีวิตคือการรักตัวเอง ผมวิ่งตามเขาจนลืมว่าผมควรจะมีความสุขเองเสียที
“อ้าว abc มาทำอะไรตรงนี้"
คนที่ผมกำลังรออยู่เอ่ยทัก ผมดับบุหรี่ก่อนจะสวนกลับไป
“ceoไหมพี่เอก”
คนทางนั้นหัวเราะจนตาปิดเพราะสนุกที่ได้แกล้ง จริงๆวันนั้นผมเมามาจากการไปกินเลี้ยงกับลูกค้าที่โรงแรมหรูและอาจจะเป็นเพราะความเมานี่เองที่ทำให้ผมขับรถกลับมาที่บริษัทไม่ใช่ที่คอนโดอย่างเคย เราคุยกันอยู่หลายประโยคและสุดท้ายแล้วก็ลงท้ายที่ทะเลาะกันรุนแรงเหมือนเคย แต่แปลกไปที่ครั้งนี้ผมโดนลากขึ้นรถญี่ปุ่นคันเก่าแทนที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหมือนเคย
“นั่งนิ่งๆ สงบสติอารมณ์ไปซะ"
ถ้าเป็นพี่เอกในห้องทำงานคงไม่มีสิทธิมาสั่งผมแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมอยู่บนรถของเขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากเงียบแบบที่บอก เพราะผมเมามากจริงๆ
“แล้วเมาแบบนี้ขับรถกลับมา สมองหายเหรอเนม"
ผมยิ้ม ไม่ได้ยิ้มที่ถูกด่า แต่ยิ้มเพราะเขาไม่ได้เรียกว่าคุณเนมอย่างเคย
“ถ้าพ่อแม่รู้จะทำไง"
ผมที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นหุบยิ้มแทบจะทันทีเมื่อสุดท้ายแล้วเขาก็อ้างพ่อแม่ขึ้นมาเหมือนเดิม ผมเลือกที่จะหลับตาเพื่อเก็บความรู้สึกที่ได้นั่งข้างเขาไว้ แต่เพราะคอนโดผมอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานสักเท่าไหร่ ไม่ทันไรรถเต่าคันสวยก็จอดลง
“ลุก ผมแบกไม่ไหวนะ อ้วนจะตายห่า"
ผมไม่ได้อ้วน ผมน้ำหนักไม่ได้เกินเกณฑ์ด้วยซ้ำแต่พี่เอกก็ยังยืนยันว่าผมอ้วน บางทีอาจจะเป็นเพราะผมมีแก้มตั้งแต่เด็ก
“มึนหัว"
ผมบอกออกไปตามความเป็นจริง
“เหอะ ไม่มึนก็แปลก”
ทางนั้นว่าก่อนจะดับเครื่องแล้วเปิดประตูออกไป ปล่อยให้ผมนอนคอพับ แต่ไม่ทันไรพี่รปภ.ที่รู้จักกันดีก็เดินเข้ามาถาม
“มีอะไรไหมครับ"
พี่เอกเปิดประตูรถออกพร้อมกับบอก
“มีคนเมาครับ"
“อ้าว คุณเนม"
พี่รปภ.ที่รู้จักกันดีเพราะตึกนี้มีอยู่ไม่กี่ห้อง ช่วยหิ้วปีกผมขึ้นอีกข้างแต่พี่มันกลับบอกปัด
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง รบกวนพี่เปิดประตูกับลิฟท์ให้หน่อย"
คนที่อาสาจะจัดการเองแบกผมขึ้นหลังอย่างทุลักทุเล แต่ก็ตามนิสัยขี้หวงของพี่มันถึงทำให้ร่างสูงผอมแบกผมที่ดูมีเนื้อมีหนังมากกว่ามาส่งถึงห้องได้
ผมเอนหัวซบลงกับแผ่นหลังกว้างก่อนที่จะถูกวางลงบนเตียงในห้องนอน
“จะอ้วกไหมหรือจะอาบน้ำ"
แขกของคอนโดห้องหรูถามผมก่อนจะผละออกไป ผมที่สร่างเมาแล้วเริ่มทำตัวงี่เง่าอีกครั้ง ผมรู้ตัวดีแต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะหยุดมัน
“เนมทำอะไรผิดวะ"
ผมร้องไห้ง่ายๆ กับเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาสิบกว่าปี จมอยู่กับเรื่องเดิมๆ ตอนนี้ยังถือว่าดีขึ้นเพราะยุ่งกับงาน แต่เมื่อไหร่ที่เหนื่อยก็ยังคิดถึงเรื่องของเรามากอยู่ดี
“คุณเนมนอนไปเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเอารถมาคืน”
พี่เอกถอนหายใจอีกครั้งกับความเอาแต่ใจของผม
“พี่แม่งก็เอาแต่หนี พี่เห็นผมเป็นอะไรวะ"
“เนม"
ทุกครั้งที่พี่เอกเรียกชื่อผมจะเป็นทุกครั้งที่พี่มันไม่สบอารมณ์
“พี่ไม่อยากทะเลาะ"
แต่ผมอยากทะเลาะกับเขานะ เพราะถ้าเราไม่ทะเลาะกันเราก็ไม่เคยได้คุยกันดีๆเลย
“เกลียดเนมมากเลยเหรอ"
“เนม!”
“ทำไมวะ!”
ผมขึ้นเสียงใช่เขาที่เรียกชื่อผมเสียงดัง
“เลิกถามว่าทำไมได้แล้ว เนมไม่ใช่เด็กอายุ17แล้วนะ เนมควรรู้ได้แล้วว่าอะไรควรไม่ควร"
สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือพี่เอกตัวสูงไม่ใช่พี่เอกที่ตัวพอๆกันอย่างเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผมมองพี่เอกคนปัจจุบันผ่านน้ำตาและความทรงจำดีๆเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ถึงจะเป็นคนไหนผมก็แค่รักพี่มัน ผมเป็นไอ้โง่ที่ขอให้เขารักตัวเองกลับทั้งๆที่เขาอาจจะเกลียดผมไปแล้ว
“พี่นั่นแหละที่พูดแต่คำนั้นมาเป็นสิบปี พี่แม่งขี้แพ้"
เอาจริงๆแล้วผมไม่ได้อยากทะเลาะกับเขาเลย ผมอยากคุยกับเขาดีๆอยากยิ้มให้กันเหมือนเคย
“แล้วต้องทำยังไงวะ! บอกสิ!”
ผมนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบที่ไม่เคยได้ทำ ผมเคยคิดมาตลอดว่าผมจะไม่มีทางปล่อยเขาไป แต่เร็วๆนี้ผมพึ่งฉุกคิดได้ว่าความรักของผมมันไม่ได้แค่ทำร้ายแค่ผมคนเดียว มันทำร้ายเขาด้วย ผมหลอกตัวเองมาตลอดว่าที่พี่เอกปฏิเสธผมเพราะเราเป็นพี่น้องกัน โดยลืมคิดไปว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่รักผมแล้วก็ได้
“เนมรักพี่นะ"
เขาไม่ได้ตอบ เพราะเขาอาจจะเคยชินและเบื่อหน่ายที่ผมพร่ำเพ้อแบบนี้มาตลอดหลายปี แต่ผมไม่ใช่คนขี้โกหกแบบพี่เอกหรอก ผมตัดสินใจแล้วว่าผมเองจะย้ายตัวเองไปเชียงใหม่ ท้ายที่สุดแล้วไม่ใช่พาโชคหรอกที่คิดจะหนียูริไปแต่เป็นผมต่างหากที่กำลังหนีหัวใจตัวเองไป
“หยุดร้อง โตจนเป็นเจ้านายคนแล้ว"
บางทีคำขอสุดท้ายในชีวิตผมที่มีต่อเขาคงสำเร็จเมื่อพี่มันค่อยๆสวมกอดผม บางทีเขาคงจะสมเพชผู้ชายอายุ 30 ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนคนบ้า ผมที่ไม่ได้แตะตัวพี่เอกมานานจนจำไม่ได้ว่าครั้งล่าสุดพี่มันผอมขนาดนี้ไหม ผมยกมือขึ้นกอดไหล่กว้างนั้นไว้ และไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
***
— พี่เอก —
ไอ้ตัวแสบหลับไปแล้ว ผมยืนมองหน้ามึนๆของมันอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเดินเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่มเพื่อพบว่าในตู้เย็นส่วนใหญ่แล้วเป็นไวน์กับเบียร์ผลไม้ ผมเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียวคือตอนที่เนมซื้อห้องนี้แล้วต้องบินไปต่างประเทศ ผมจึงถูกพ่อวานให้มาดูช่างให้ ผมฉกเบียร์เย็นเฉียบมาขวดนึงแทนที่จะเป็นน้ำเปล่าก่อนจะเดินออกมานอกระเบียงเพื่อรับลมเย็นพร้อมกับนั่งมองแม่น้ำเจ้าพระยาในเวลาดึก ก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบตีหนึ่ง ผมทิ้งกระป๋องเบียร์ลงในถังก่อนจะเดินวนเข้าไปในห้องนอนอีกรอบ แล้วพบว่าคนที่กำลังนอนหลับอุตุสะดุ้งตื่นเพราะแค่เสียงฝีเท้า
“พี่เอก"
เนมเรียกผมพร้อมกับลุกขึ้นมาจากเตียง เพราะเจ้าตัวเมาหรือรีบก็ไม่รู้ถึงทำให้สะดุดผ้าห่มลงมานั่งกองอยู่บนพื้น ผมรีบดึงแขนเนมขึ้นแต่ก็ไม่ทัน
“ยังไม่หยุดร้องอีก"
ผมบอกพร้อมกับนั่งลงมองเจ้านายที่ตอนนี้ร้องไห้จนน่าสงสาร ผมไม่อยากให้เนมเป็นแบบนี้เลย
“โตแล้วนะเนม"
ผมให้ข้ออ้างตัวเองว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะเบียร์ขวดนึงที่พึ่งดื่มไปถึงทำให้ผมดึงเนมมากอดไว้อีกครั้ง แต่จริงๆแล้วผมก็รู้ดีว่าเบียร์ขวดเล็กทำอะไรผมไม่ได้หรอกถ้าเทียบกับแอลกอฮอลปริมาณมหาศาลที่เนมมันขนเข้ามาในออฟฟิศประจำ
“ขี้เมา"
ผมบอกคนที่ไม่เลิกร้องไห้สักที พร้อมกับโยกตัวไปมาเหมือนเวลาโอ๋เด็ก เนมอาจจะเป็นผู้ใหญ่ในสายตาคนอื่นแต่จริงๆแล้วก็ ceo ของทุกคนก็ยังเป็นเด็กแก้มบวมในสายตาผมอยู่ดี
“อ้วนขึ้นนะ ไอ้อ้วน"
“เนมไม่ได้อ้วน"
เจ้าตัวบอกเสียงแหบแห้ง
“เพราะกินเบียร์เยอะไง"
ผมจับตรงเอวเล็กแต่นุ่มนิ่มของเจ้าตัวพร้อมกับมองหน้าคนที่รองไห้ไปด้วยหน้าแดงไปด้วย
“ตาปรือแล้ว ไปนอนไป"
คนที่ถูกกอดไว้เอื้อมมือขึ้นมากอดผมแน่นอย่างกลัวว่าผมจะหายไป
“ถ้าหลับพี่เอกจะกลับไป"
ผมถอนหายใจหนักพร้อมกับถามตัวเองอีกครั้งว่าหรือผมควรจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปแบบที่อยากให้เป็น ผมเป็นคนที่หนีปัญหามาตลอดแบบที่เนมบอก เป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา เป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง ...และเป็นพี่ชายที่เหี้ย...
“เอ้า เบะอีกแล้วอ้วน"
ผมบอกพร้อมกับลูบหลังคุณ ceo
บางทีตอนนี้ต้องขอบคุณน้ำตาของน้องมันและพาโชคที่ทำให้ผมพึ่งจะลดทิฐิตัวเองลงมา ผมกับพาโชคไม่เคยคุยเรื่องส่วนตัวกันเลยจนวันที่พาโชคตัดสินใจเดินมาบอกผมว่าจะไปเชียงใหม่ ผมค่อนข้างแปลกใจกับการตัดสินใจเด็ดขาดของเด็กอายุ 24 ปี เราคุยกันทั้งเรื่องงาน เรื่องอนาคตและเรื่องส่วนตัวของพาโชคกับหัวหน้าและคำตอบที่ได้มาจากน้องเล็กสุดในทีมทำให้ผมหันมามองคนที่อยู่เป็นครอบครัวเดียวกันมาหลายสิบปี พาโชคบอกผมไว้ว่า
...ถ้าตัดสินใจแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำของตัวเองให้ได้ และจะไม่เสียใจในเรื่องที่ทำไปแล้ว…
ผมไม่เคยมองความรักในมุมมองแบบนี้มาก่อนในขณะที่เนมอาจจะคิดแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 16 แล้วก็ได้ เป็นผมเองที่มองว่าน้องมันยังเด็ก ขาดความยับยั้งชั่งใจ คิดจะทำอะไรก็ทำ แต่คงไม่มีเด็กที่ไหนที่ซื่อตรงกับตัวเองมานานขนาดนี้
ผมก้มหน้าลงไปชิดกับใบหน้าของอีกคน จมูกของเราจรดกัน ผมได้กลิ่นไวน์จางๆ อีกคนเหมือนกับกำลังสงสัยอะไร เนมตกใจจนเหมือนจะถอยห่าง ผมดึงท้ายทอยอีกคนเข้ามาใกล้ก่อนจะบอกเสียงเบา
“อย่าพึ่งถามอะไร”
ผมว่า ก่อนจะก้มลงเอาปากแตะริมฝีปากนุ่มของอีกคน
...ผมอยากจะลองตัดสินใจและรับผิดชอบเองดูเหมือนกัน...