21.หัวหน้าเก่า
—พาโชค--
“แว่น ตื่น ถึงแล้ว”
ผมลืมตาขึ้นก่อนจะหยิบแว่นที่เสียบไว้ตรงคอเสื้อตัวเองขึ้นมาสวม เมื่อมองไปรอบตัวก็เห็นว่าเครื่องบินที่นั่งมาเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาแลนดิ้งลงที่สนามบินเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว
“บินไม่ถึงชั่วโมงก็หลับได้เหรอ”
คนข้างตัวผมถามพร้อมลุกขึ้นบิดตัวเมื่อนั่งอยู่ในเก้าอี้คับแคบมาชั่วเวลาหนึ่ง
“ตื่นยังเนี่ย”
เขายื่นมือมาเพื่อฉุดให้ผมลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าตัวผมเองยังนั่งเหมือนคนไม่มีสติ
เมื่อคืนผมคอมมิทโค้ดชุดสุดท้ายเข้าไปที่โปรเจคที่ทำร่วมกับพี่เดี่ยวและพี่ยูในตอนตี 3 ก่อนจะงีบประมาณชั่วโมงนึง รู้ตัวอีกทีรถคันใหญ่ก็บีบแตรอยู่หน้าบ้านแล้ว บ้านหลังที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กถูกเช่าในราคาเดือนละหมื่นต้นๆโดยคนที่ย้ายไปทำงานแถวนั้น พวกเขาจะเข้ามาในอาทิตย์หน้าตามสัญญา ก่อนหน้านี้ผมจ้างคนทำความสะอาดครั้งใหญ่พร้อมกับขนของที่ไม่ได้ใช้ทิ้งเสีย บ้านที่เสมือนคอมฟอร์ทโซนของผมเมื่อก่อนไม่มีอีกแล้ว แต่ก็แปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์เท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะพ่อกับแม่ผมเป็นคนบอกเองว่าท่านเองคิดจะขายและออกไปซื้อบ้านต่างจังหวัดอยู่แล้ว แม่โอนเงินให้ผมก้อนนึงเพื่อให้ผมไปหาที่อยู่ในเมืองหลังจากที่ทราบข่าวว่าผมขับรถล้มตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่กล้าใช้มันจนถึงตอนนี้
“แว่น ลืมสติไว้ที่กรุงเทพเหรอ”
มือใหญ่บีบท้ายทอยผมเบาๆ ผมอ้าปากหาวหวอดใหญ่ก่อนจะเดินตามเจ้าถิ่นออกไปนอกเครื่องบินลำยาว
-- สวัสดีเชียงใหม่ --
“ทำไมเจ็ดโมงเช้าแต่แดดแรงจัง”
ผมขยับแว่นพร้อมกับกระพริบตาถี่ๆเพื่อให้ชินกับแสง พี่ยูหันมามองก่อนจะถอดหมวกแก๊บที่ใส่อยู่มาสวมให้ส่วนตัวเขาหยิบแว่นกันแดดออกมาสวม
“ก็เคยบอกแล้วว่าตอนกลางวันร้อน”
พี่บอกก่อนจะโทรศัพท์หาใครสักคนได้ใจความว่าคนที่มารับรออยู่ในอาคารผู้โดยสารแล้ว ผมมองบรรยากาศรอบตัวที่ไม่คุ้นชิน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองมาเที่ยวไม่ได้จะมาทำงาน บางทีสี่เดือนต่อจากนี้คงเป็นความทรงจำที่แปลกใหม่สำหรับคนติดบ้านแบบผม
“อีกใบล่ะ”
เจ้าของร่างสูงใหญ่หันมาถามเมื่อเห็นผมยกกระเป๋าออกมาแค่ใบเดียว เขามองตามสายพานก่อนจะเดินไปดึงกระเป๋าลากใบใหญ่อีกใบออกมา
“เอาของครบมาหรือเปล่า”
“น่าจะครับ”
ผมตอบก่อนจะลากกระเป๋าเดินตามเจ้าถิ่นออกไปข้างนอก ผมมองแผ่นหลังที่คุ้นเคยก่อนจะพึ่งนึกได้ว่าเราสองคนไม่เคยไปไหนด้วยกันไกลๆเลย
“เดี๋ยวไปไร่ก่อน บ่ายๆค่อยเอาของไปเก็บนะ”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะยกมือไหว้คนที่มารับเรา
“นี่ลุงหนาน ลุงที่ไร่ ลุงครับนี่น้องพัช”
ผมยิ้มแหยให้กับคำว่าน้องพัชที่พี่มันพูด เพราะเคยชินกับการเรียกไอ้ซวยมากกว่า
“แล้วแฟนคุณยูที่ว่าจะมาด้วย ไปไหนครับ”
ผมยืนเงียบเพราะไม่รู้จะทำตัวยังไงส่วนคุณยูที่ลุงถามกลั้นหัวเราะก่อนจะเอามือวางแปะไว้ที่หมวกบนหัวผม
“มาแล้วครับลุง”
คุณลุงที่ดูยังงงกับสถานการณ์ตรงหน้ายิ้มเขินๆก่อนจะช่วยลากกระเป๋าและเดินนำไปยังลานจอดรถ พี่ยูคุยกับลุงหนานไปเรื่อยๆส่วนผมเองมองบรรยากาศรอบข้าง ผมเคยมาเที่ยวเชียงใหม่กับครอบครัวเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นเราขับรถกันมาจากกรุงเทพก่อนจะเที่ยวจากเชียงใหม่ขึ้นไปจนถึงแม่ฮ่องสอน ทริปนั้นทำให้ผมก็ติดใจภาคเหนือของไทย ตอนที่ได้ยินว่าจะมีการขยายงานมาที่เชียงใหม่ในที่ประชุมเมื่อเกือบปีที่แล้วผมเองก็ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้มาจริงๆ
“หิวกันหรือยังครับ ให้ลุงแวะกินข้าวก่อนไหม”
ลุงหนานที่พูดภาษากลางติดเหน่อนิดหน่อยหันมาถามพวกเรา
“หิวยังแว่น”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะอย่างนั้นพวกเราเลยตกลงกันว่าจะไปที่กินข้าวที่ไร่ทีเดียว
“ที่ไร่เป็นไงบ้างลุง”
ผมยัดตัวเข้ามาที่เบาะหลังของรถกระบะสี่ประตูก่อนจะนั่งฟังพวกเขาคุยกันพร้อมกับมองวิวเชียงใหม่จากกระจกรถที่กำลังขับมุ่งหน้าไปที่ไร่
“ปีนี้ผลดีครับ ฝนพอดี เย็นพอดี เมื่อไหร่คุณยูจะกลับมาช่วยที่ไร่”
“ผมยังงานยุ่งอยู่เลย”
คนถูกชวนกลับมาทำงานที่บ้านหาข้ออ้างปฏิเสธ ก่อนจะถามต่อ
"น้องหนูลูกลุงเป็นไงบ้าง”
คุณลุงที่กำลังขับรถอยู่หัวเราะร่วน
"คุณยูเรียกชื่อมันไม่ถูก มันชื่อนนท์ ตอนปิดเทอมก็มาเล่นที่ไร่นี่แหละพอเปิดเทอมก็กลับไปเรียนกับย่ามันที่กาญ ตอนนี้ก็ม.2แล้ว”
เพราะนั่งเบาะหลังผมถึงไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของคนเล่าแต่ฟังจากน้ำเสียงก็พอรู้ว่ามีความสุขที่ที่เล่าถึงลูกชาย
“ไอ้นนท์มันเป็นลูกหลง มันหล่อเหมือนพ่อมันนะคุณพัช สาวติดตรึม”
ผมหัวเราะเมื่อลุงพูดคุยกับผม
"เมื่อวานผมพึ่งเข้าไปทำความสะอาดบ้านมา ตรงห้องครัวที่ต่อเติมมีปลวกเยอะนะคุณ”
ลุงบอกพี่ยูที่พยักหน้ารับก่อนจะบอก
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจ้างบริษัทกำจัดปลวกมาดู”
พวกเขาคุยกันสัพเพเหระ มีแค่ผมที่มองต้นไม้สีเขียวนอกหน้าต่างอย่างเพลินตาจนรู้สึกเหมือนตาจะปิด
“ตื่นเช้ากันเหรอครับ”
คุณลุงที่ขับรถอยู่ถามพี่ยู
“พัชพึ่งได้นอนตอนตี 3 ครับ ทำงานทั้งคืน ตี 5 ก็มาขึ้นเครื่องเลยน่าจะเพลีย”
ผมได้ยินเสียงพี่ยูตอบลุงหนานก่อนจะวูบหลับไป
จนเมื่อรถเริ่มเลี้ยวเข้าถนนหินขรุขระผมถึงตื่น ภาพข้างหน้าเป็นภูเขาใหญ่ ผมที่ตอนแรกไม่ตื่นเต้นเริ่มตื่นเต้นเมื่อมองเห็นไร่กว้างข้างหน้าตัวเอง ในระหว่างที่ยังตื่นไม่เต็มตาทั้งกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี หนีไปทันไหม รถกระบะคันใหญ่ก็จอดลงตรงบริเวณหน้าบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ ผมเปิดประตูรถตามผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่เบาะหน้า ก่อนจะเริ่มทำตัวไม่ถูก
“พี่ยู”
ผมเรียกคนที่กำลังจะเดินนำหน้าเข้าไปในบ้าน ลูกพี่หันมามองผมก็จะยิ้มล้อเลียนแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นการปลอบที่ดีที่สุดแล้ว
“เดินเร็วแว่น ข้างนอกร้อน”
“พ่อล่ะครับ”
พี่ยูถามลุงหนานที่เดินไปอีกทาง
“น่าจะเข้าไร่ครับเดี๋ยวผมไปตาม แม่เลี้ยงอยู่ในบ้าน”
ผมเดินตามพี่เข้ามาในบ้านไม้หลังใหญ่ ดูแค่ตาเปล่าก็รู้ว่าบ้านหลังนี้น่าจะมีฐานะประมาณนึง ผมมองเข้าไปยังห้องกินข้าวที่มีผู้หญิงท้วมอายุน่าจะประมาณ 50 กว่าปีท่าทางยังแข็งแรงและใจดีกำลังยกจานผลไม้วางลงบนโต๊ะ พี่ยูสะกิดให้ผมดูก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดใครคนนั้น
“แม่!!”
“ยู!! ตกใจหมด!!”
ผมหัวเราะเมื่อพี่มันโดนแม่ฟาดไปหลายที่ ผิดคาดเหมือนกันที่ผมไม่ได้ยินใครที่บ้านนี้พูดภาษาเหนือเลย พี่ยูเคยบอกมาเหมือนกันว่าที่บ้านแต่เดิมตั้งแต่รุ่นปู่ย่าเป็นคนภาคกลางแต่ย้ายมาเชียงใหม่เลยไม่มีใครสอนพูด ประกอบกับพี่มันเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้
“สวัสดีครับ”
ผมยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มให้ผู้ใหญ่ท่าทางใจดีข้างหน้า
“สวัสดีจ้ะ น่ารักนะนี่”
ท่านบอกก่อนจะหันไปหาลูกชายตัวเองที่ยังกอดเอวแน่นอยู่ พี่ยูยักคิ้วให้แม่ก่อนจะตอบ
“แน่นอน”
ผมยิ้มให้กับท่าทางสนิทกันของแม่กับลูก ต่างจากผมที่สนิทกับพ่อมากกว่า
“กินข้าวกันลูก พ่อกับแม่กินกันไปก่อนแล้ว”
ท่านเอ่ยชวนพลางกวักมือเรียกผม ผมค่อยเดินเข้าไปหาแต่คงเพราะทำตัวไม่ถูกพี่ยูถึงได้แซว
“เกร็งอะไรขนาดนั้น”
แม่พี่ยูขำ ก่อนจะหันมาบอกผมด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“เกร็งอะไรลูก กินข้าวๆ”
ผมยิ้มแก้เขินก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างๆพี่ยู ก่อนจะเริ่มกินข้าวเช้ากันในตอนเกือบเก้าโมงแม้ผมจะไม่ค่อยหิวก็ตาม แค่พักเดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ผมหันไปมองก่อนจะวางช้อนแล้วยกมือไหว้คนที่น่าจะเป็นเจ้าของที่นี่
“กินข้าวกินปลากันก่อน”
เขายกมือรับไหว้ก่อนจะหันไปบอกแม่ของพี่ยู
“ผมขอกาแฟแก้วสิ”
แล้วเดินออกจากห้องกินข้าวไป ผมที่ไม่รู้สึกหิวอยู่แล้วมองข้าวในจานก่อนจะทบทวนว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่กันแน่ กลับบ้านทันไหม
“ร้องไห้เลยไหมแว่น”
ผมหันไปมองคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆก่อนจะบอก
“เดี๋ยวทิ่มด้วยส้อม”
พี่มันขำพาลทำให้แม่ที่กำลังชงกาแฟอยู่หันมาหัวเราะด้วย
หลังจากกินข้าวเสร็จผมที่ยืนเก้ๆกังไม่รู้จะทำอะไรดีก็ถูกเจ้าของไร่ชวนคุยพร้อมกับชวนไปเดินชมไร่กว้าง ผมหันไปหาพี่มันเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ก็ได้แค่ยิ้มกว้างๆกับหน้ามึนๆมาให้
“ที่กรุงเทพ งานหนักไหม”
เพราะผมอยู่กับงานเกือบ 24 ชม. เลยไม่รู้ว่าที่ทำอยู่หนักรึเปล่า ที่สุดแล้วก็ได้แต่ยิ้มแล้วตอบแบ่งรับแบ่งสู้ไป
“เรื่อยๆครับ”
เราเดินผ่านหน้าบ้านที่เป็นสวนผักสวนครัวเล็กๆก่อนจะเดินเข้าไปที่แปลงปลูกผักในร่มที่มีเนื้อที่มากกว่าไร่
“อันนี้ปลอดสารนะ ลูกไม่ใหญ่แต่หวานอร่อย”
ผมมองลูกมะเขือเทศสีส้มอมแดงก่อนจะหยิบเข้าปากเมื่อเจ้าของไร่ยื่นให้
“เป็นไง”
ผมยิ้มก่อนจะตอบตามความจริง
“อร่อยครับ”
“ของพวกนี้ ยิ่งสดยิ่งอร่อย”
ท่านบอกก่อนจะเดินตัดออกไปที่พื้นที่ปลูกสตรอว์เบอร์รีข้างนอก
“จริงๆแล้วที่ไร่ไม่ปลูกนะ เห็นคนปลูกเยอะแล้วแต่เห็นว่าราคาดีเลยลองทำปีนี้ปีแรก”
“ครับ”
ผมที่ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรได้แค่ตอบรับแล้วเดินมองบรรยากาศรอบตัวแทน ที่นี่อากาศดีอย่างน่าอิจฉา บอกเลยว่าถ้าผมเป็นพี่ยูผมไม่มีทางไปทำงานที่กรุงเทพหรอก
“แล้วอยู่กับใคร ได้ยินว่าอยู่บ้านคนเดียวเหรอ”
ในขณะที่บ้านพี่ยูรู้เรื่องตัวผมแทบทุกอย่าง ผมเองกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากนัก
“ครับ พ่อกับแม่อยู่ที่อเมริกา”
“แล้วทำไมไม่ไปอยู่กับเขาล่ะ”
พ่อของพี่ยูค่อยๆนั่งยองๆลงก่อนจะเก็บผลไม้ลูกแดงๆใส่ถุงผ้าเล็กที่ติดมาด้วย ผมนั่งลงเพื่อช่วยท่านบ้าง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากนั่งดูเพราะเห็นท่านค่อยๆใช้กรรไกรเล็กๆตัดออกมา
“ตอนแรกก็ย้ายไปด้วยครับ แต่อยากเรียนที่ไทยมากกว่า”
“ดีกว่ายังไง”
“ตอนนั้นยังเด็กด้วยครับ น่าจะเพราะปรับตัวไม่ได้ด้วยเลยไม่อยากอยู่”
พ่อพี่ยูเลิกคิ้วก่อนจะหันมามองผม
“แล้วเสียใจไหมตอนนี้”
“ก็เสียดายครับ แต่ก็ตัดสินใจเองแล้ว”
ท่านยิ้มน้อยๆก่อนจะลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าตรงนี้ไม่มีอะไรให้เก็บแล้ว แดดตอนเกือบเที่ยงร้อนพอสมควรแต่อากาศกลับเย็นสบายเพราะลมบนเขา
“กับยูทำงานด้วยกันมานานยัง”
ผมหัวเราะกับคำถามที่เริ่มเหมือนการสอบสวนเข้าทุกที พ่อพี่ยูที่เมื่อกี้ดูดุยิ้มตามผมก่อนจะเดินลัดออกไปยังสวนส้มข้างๆกัน
“ทำงานด้วยกันมาสามปีครับ”
“แล้วเป็นไงมาไง”
น่านะเป็นเพราะเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลท่านถึงดูตรงไปตรงมาและผมก็เลือกที่จะตอบทุกอย่างตามความจริงเช่นกัน
“ก็งงๆครับ”
ท่านหัวเราะก่อนจะถามผม
“รักมันเท่าที่คนที่นี่รักหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักของผมมันเทียบกับรักที่พ่อพี่ยูบอกได้ไหม เพราะมันเหมือนความสัมพันธ์ที่ตกกระไดพลอยโจรและอยู่ใกล้กัน รักสำหรับผมตอนนี้ก็แค่อยากซับพอร์ตตอนที่เขาเหนื่อย อยากอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ
“ไม่รู้ได้ไง”
ท่านหันมาดุ ผมยิ้มก่อนจะบอกอีกที
“เพราะไม่รู้ว่าคนที่นี่รักพี่ยูมากเท่าผมหรือเปล่า”
เจ้าของไร่หัวเราะชอบใจ เขาเดินลัดตามคันดินที่ถูกขุดขึ้นมาไว้กั้นน้ำของลำธารใกล้ๆ ท่านชี้ให้ผมดูอุทยานแห่งชาติที่อยู่ไม่ไกลกันนักก่อนจะเริ่มสอบสวนผมอีกครั้ง
“แล้วถ้าพ่ออยากให้เลิกล่ะ”
ผมมองดูต้นส้มที่เริ่มติดดอกก่อนจะตอบ
“ก็คงเลิกครับ”
“ทำไมวัยรุ่นไม่หนักแน่นเลย”
ผมยิ้ม ผมใช้ชีวิตมาด้วยความเรียบง่ายมาตลอดและผมเชื่อว่ารักที่ดีมันต้องไม่ยาก แต่ก่อนที่พี่ยูกับผมแค่เป็นเพื่อนร่วมงาน ตอนที่เรายังงงว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แค่ตอนนั้นผมก็ว่ามันยากแล้ว ถ้ามันจะยากไปมากกว่านั้นคงถอยไปอยู่ในที่ของผมแบบนั้นเหมือนเดิมและผมคงไม่ได้คิดมากจนหัวแตกอีก ผมคงแค่เสียใจและเสียดายที่ในที่สุดแล้วมันมาได้แค่นี้
“ผมไม่อยากทำให้ใครผิดหวังครับ”
ผมตอบตามตรง เขามองผมก่อนที่จะถาม
“แล้วพ่อแม่เรารู้เรื่องนี้ไหม”
ผมยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ
“ยังครับ ถ้ารู้ก็คงอาจจะแค่บ่นๆแต่คงไม่ว่าอะไร”
ครั้งนี้ท่านมองผมอยู่นานก่อนจะเดินนำไปอีกครั้ง
“ไปคุยมาให้เรียบร้อย ไม่ใช่สุดท้ายแล้วถือปืนมายิงไอ้ยูมัน”
ผมหัวเราะ สงสัยพ่อพี่ยูจะปากร้ายแต่ใจดีแบบลูกชายไม่มีผิด
“ชอบงานไร่ไหม”
ผมรีบตอบ
“งานในฝันผมเลยครับ”
“ดีๆ ไอ้ยูมันไม่ชอบงานไร่”
พวกเราคุยสัพเพเหระ ผมพึ่งรู้เหมือนว่าแต่ก่อนที่ตรงนี้เคยปลูกเป็นไร่ชามาก่อนแต่เพราะไม่มีความรู้ที่จะต่อยอดเลยเปลี่ยนมาปลูกผลไม้แทน เพราะได้ผลดีกว่าขายง่ายกว่า
“ไปฟิตหุ่นมานะ อีกแปดเดือนมาเก็บส้มพอดี”
ผมหัวเราะก่อนจะตอบรับ เราเดินกันได้ไม่นานเจ้าของไร่ก็ชวนผมกลับเพราะแดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมไหว้ทักทายพี่ๆที่กำลังทำงานเพื่อฝากเนื้อฝากตัวในการเก็บส้มในโอกาสต่อท่ามกลางเสียงหัวเราะ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไม้หลังใหญ่ดังเดิม อาจจะเพราะว่าไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนแถมไปเจอแดดมาพอเข้ามานั่งดูทีวีในบ้านที่เย็นสบายถึงได้ง่วงมากแบบตาแทบจะปิด ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทิ้งตัวลงบนพรมในห้องนั่งเล่นบ้านคนอื่นจะดูน่าเกลียดหรือเปล่าคนที่ผมรออยู่ก็โผล่มา
“ไปบ้านในเมืองกัน”
ผมที่ง่วงมากถอดแว่นก่อนจะขยี้ตาพร้อมกับพยักหน้ารับ
“น้องพัชง่วงเหรอลูก”
แม่พี่ยูถามผมก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเย็นมาให้ ผมที่ทั้งเกร็งทั้งเกร็งใจรับมาไว้ในมือก่อนจะไหว้ขอบคุณแม่พี่มันไปหลายที
“น้องพัชเอาของมาครบไหมคะ”
แม่ของพี่ยูที่เดินมาส่งถึงลานจอดรถมองหลังกระบะที่มีกระเป๋าเดินทางสองใบใหญ่
“ไม่ครบหรอกแม่ พัชมันเอ๋อ หลงๆลืมๆ”
“ไปว่าน้องทำไม”
ผมหัวเราะที่พี่มันโดนหยิกอีรอบ ผมนับถือน้ำใจพวกเขามาก ถึงผมจะดูเหมือนเป็นคนไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่แต่ผมรู้นะว่าการที่ต้องมายอมรับว่าแฟนลูกชายเป็นผู้ชายนี่มันไม่ได้ง่ายนักหรอก
“ถึงแล้วโทรมาบอกแม่นะ”
“ครับ”
“ขับรถดีๆ เดี๋ยวว่างๆแม่จะเข้าไปเล่นกับน้องพัช”
“น้องพัชคงไม่ว่างให้แม่เล่นด้วยหรอก”
พวกเราคุยกันแค่พักเดียวผมก็ต้องบอกลาไร่อันกว้างในตอนเกือบบ่าย เพราะแม่ให้เหตุผลว่าเดี๋ยวอีกสักพักฝนจะตกเดี๋ยวจะขับรถลำบาก พี่ยูขับรถกระบะคันใหญ่ออกมาจากไร่ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนสายหลัก ใช้เวลาเกือบชั่วโมงถึงเข้ามาในเมือง
เชียงใหม่ในความคิดของผมค่อนข้างเพอร์เฟค เพราะเป็นเมืองที่รวมทั้งความเก่าและความใหม่เข้าด้วยกันได้อย่างไม่ขัดตา ผมชอบร้านกาแฟในบรรยากาศของเมืองเก่า ชอบภาษา ชอบอากาศ ชอบความเจริญที่พอดี
“อยากไปไหนไหม”
พี่ยูถาม
“อยากนอน”
มือใหญ่ที่จับพวงมาลัยอยู่เอื้อมมาวางที่หัวผมก่อนจะผละออกไปเมื่อแยกข้างหน้าเปิดไฟเขียว
“งั้นเข้าไปงีบก่อน เดี๋ยวเย็นพี่พาไปนิมมาน”
ผมตาโตเมื่อได้ยินชื่อถนนที่อยากไปมานาน
“อยากกินเบียร์”
“นั่นไง เมื่อกี้ยังบอกว่าอยากนอนอยู่เลย”
พอพี่มันพูดจบรถก็เลี้ยวเข้ามาถึงบ้านสองชั้นหลังนึงในซอยแคบๆในเมือง บ้านหลังนี้ดูใหม่เหมือนไม่เคยมีใครอยู่มาก่อน พวกเราขนกระเป๋าคนละใบก่อนจะเดินสำรวจบ้านสามห้องนอนสองห้องน้ำที่กว้างมากถ้าเทียบกับคอนโดของพี่ยูที่กรุงเทพ ผมเปิดประตูเข้าไปที่ห้องนอนใหญ่ที่น่าจะเป็นห้องที่ผมต้องใช้ก่อนจะพบว่าทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งผ้าปูเตียงหรือผ้าห่ม
“ขอบคุณครับ”
ผมหันมาขอบคุณคนที่เดินตามขึ้นมาก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงขนาดคิงไซส์
“ที่นี่บ้านพี่จะให้พี่นอนโซฟาแบบเดิมไม่ได้นะ”
เจ้าของบ้านว่าก่อนจะนอนลงบ้าง
“นอนไม่ได้สิ ก็มันไม่มีโซฟา”
ผมบอกก่อนจะค่อยๆหลับตาลง
“นอนพื้นแทนนะ”
ผมบอกทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะใกล้ๆกัน
“พี่ยู ผมถามได้ไหม”
“หืม?”
“ทำไมถึงซื้อบ้านไว้ที่นี่”
ผมว่ามันขัดแย้ง เพราะทั้งที่ความทรงจำของเขากับเชียงใหม่ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่เขายังเลือกที่จะยังอยู่ที่นี่ เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรพี่มันถึงได้ตอบ
“พี่ก็แค่หวังว่าอนาคตมันจะดี แต่จริงๆตอนนั้นก็นึกไม่ออกว่าต้องทำยังไงมันถึงจะดี ทีมโปรเจคเชียงใหม่ในตอนแรกถูกวางตัวเป็นพี่ด้วยซ้ำแต่พี่กลับบอกปัดเพราะตอนนั้นพี่ไม่อยากกลับมา”
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
ผมแปลกใจที่ไม่รู้ว่าตัวผมเองแคร์พี่ยูแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“หลายอย่าง พอโตๆแล้วก็อยากจะเลิกหนี”
“แล้วถ้าวันนึงพี่เจอทั้งพี่เนสกับพี่ชายเขาล่ะ แล้วถ้าเขารู้ว่าพี่อยู่ที่นี่ล่ะ”
“แล้วพัชจะไปไหนไหม”
คนที่อยู่ข้างตัวขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนจะยกตัวขึ้นมาคล่อมไว้ ผมง่วงเกินกว่าที่จะผลักออกเลยได้แค่สงสัยกับคำถาม
“ผมจะไปไหน?”
“ไม่ไปไหนก็ดีแล้ว”
ในตอนที่ผมกำลังงงกับบทสนทนาพี่ยูก็โน้มตัวลงมาก่อนจะกดจูบที่ปากเบาๆ ก่อนหน้านี้เราแทบจะไม่ได้ทำอะไรกันแบบนี้ มันเลยดูเก้ๆกังไปหมด
“จะอยู่บ้านนี้คนเดียวได้ไหมเนี่ย”
“ได้สิ”
ผมตอบเพราะเคยชินกับการอยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเริ่มจัดของหรือนอนพักก่อนดีเจ้าของบ้านตัวจริงก็โน้มตัวลงมาอีกครั้งแล้วกดจูบก่อนจะสอดลิ้นเข้ามา ผมเอียงคอและเปิดมากให้พี่มัน มือของผมป่ายแปะไปทั่วร่างกายของเขา ผมชอบแผ่นหลังกว้างๆ ชอบหน้าท้องแข็งแรง ผมเคยคิดเหมือนกันว่าตัวผมชอบเขาเพราะอะไร แต่พอคิดย้อนกลับมาก็ได้แต่ถามตัวเองว่าแล้วเขาชอบอะไรในตัวผม
“พี่ยู”
“หือ”
เจ้าของชื่อถอนปากออกก่อนจะใช้จมูกโด่งไซร้อยู่ที่ต้นคอผม ผมพยามดันออกแต่ก็ไม่ได้ผล
“ผมถามได้ไหม”
“ทำก่อนค่อยถามได้ไหมเนี่ยแว่น”
ผมหัวเราะคนหัวเสียที่ดูอารมณ์จะไปไกลแล้ว เพราะเห็นกับตาว่าที่เข้าร้านสะดวกซื้อตอนเติมน้ำมันพี่ยูไม่ได้ซื้อแค่บุหรี่เหมือนที่บอกแต่ซื้อถุงยางมาด้วย
“จริงๆแล้วพี่ชอบผมรึเปล่า”
พี่มันทำหน้าเหมือน รู้แล้วยังจะถามอีก แต่ก็คงรู้ว่าแค่การกระทำบางทีก็ไม่พอเสมอไป การที่เราจูบกันอยู่แบบนี้บางทีก็ไม่ได้ดีไปมากกว่าการพูดและอธิบายให้เข้าใจ
“ตอนแรกพี่ใม่ได้ชอบพัชแบบนี้ พี่ปลื้มที่แว่นเป็นเด็กเก่ง"
ผมพยักหน้ารับ
“แต่หลังจากมีอะไรกันพี่ถึงเริ่มคิด เพราะตอนนั้นพี่ลองคุยกับคนอื่นแต่มันก็ไม่เวิร์คทั้งๆที่ตอนนั้นพี่กับพัชเราแทบไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ”
ผมมองคนที่เมื่อวานยังเป็นหัวหน้าอยู่แต่วันนี้เหมือนเราจะเริ่มรู้จักกันมากขึ้น
“แล้วเราจะเวิร์คเหรอ”
พี่ยูแนบตัวลงมาชิดกันก่อนจะตอบ
“ไม่รู้ดิ แต่พี่รู้ว่าพี่ไม่ได้อยากไปไหนหรือไปคุยกับใครแล้ว ไปรับส่งแว่น กินข้าวด้วยกัน แบ่งกันฟังเวลาบ่นเรื่องงาน ช่วยกันแก้บัค”
เขาเว้นไปก่อนจะบอก
“อันนี้ไม่เวิร์คเท่าไหร่”
ผมขำ
“พี่รู้สึกว่าอยู่กับพัชแล้วพี่สงบ พี่อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากอยู่กับใครแล้ว”
ผมยกมือขึ้นกอดตอบ พึ่งจะรู้ว่าถึงพี่แกไม่ได้เข้ายิมมานานแล้วแต่ลำตัวก็ยังดูเฟริมต่างจากผมอยู่ดี
“แล้วถ้าวันนึงผมไม่สงบล่ะ”
“ถ้าแว่นอยากไปก็บอกพี่ พี่ไม่รั้งเราหรอก”
ผมเลิกคิ้วมองข้างแก้มเขาก่อนจะบอก
“ตอนนั้นยังรั้งอยู่เลย คนขี้บังคับแบบพี่ทำไม่ได้หรอก”
“เออ ก็รู้แล้วจะพูดทำไม”
ผมหัวเราะก่อนจะโดนซุกมือเข้ามาในเสื้อ และแล้วเสื้อยืดสีขาวก็ถูกดึงออกไปพร้อมๆกับเสื้อยืดของอีกคน
“แล้วพัชล่ะ”
ผมทำท่าคิดพร้อมกับมองร่างกายของอีกคนก่อนจะตอบ
“ผมชอบคนที่หน้าตากับหุ่น”
พี่มันขำ
“พี่หล่อพี่รู้”
คนหล่อว่าก่อนจะเริ่มขมวดคิ้ว
“แค่นี้จริงเหรอวะ”
ผมทุบหลังคนที่พยายามจี้ผมเพื่อเค้นความลับ
“ตอบมาแว่น ทำไมแค่นี้”
ผมหัวเราะจนหายง่วงก่อนจะยกมือขึ้นยอมแพ้ แล้วค่อยๆตอบทั้งๆที่หอบ
“ถึงดูผมไม่ได้พยายามอะไร แต่ผมก็ไม่ได้อยากไปไหนนะ อยากกินข้าวด้วยกันคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยๆ สวนส้มกับไร่สตรอเบอร์รี่พี่ใหญ่ด้วย ไม่ไปไหนหรอก”
เจ้าของบ้านคลี่ยิ้มก่อนจะบอกด้วยท่าทางพอใจ
“เออ นิสัยรวยแบบนี้หาง่ายที่ไหน”
“อือ ภูมิใจไว้”
ผมบอกก่อนจะเอื้อมมือขึ้นไปกอดอีกคนไว้อีกครั้ง พี่มันก้มลงมาจูบ เราจูบกันอยู่นานอาจจะเป็นเพราะไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้กันมานานมากแล้วถึงได้รู้สึกคิดถึง มันต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่มีอะไรกันอย่างเห็นได้ชัดเพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่ากำลังจูบกับคนที่รัก ไม่ใช่หัวหน้าบ้างานคนเดิม
“ร้อนไหม”
ผมพยักหน้ารับก่อนที่อีกคนจะลุกขึ้นไปปิดประห้องให้เรียบร้อยพร้อมก่อนจะหยิบรีโมทแอร์ขึ้นมาเปิด ผมที่หายง่วงแล้วดึงมือถืออกมาจากกางเกงก่อนจะเห็นว่ามีอีเมลส่งมาจากบริษัท
“อะไรแว่น”
เจ้าของบ้านถามเมื่อเห็นผมทำหน้ายุ่ง
“บัค พี่ธามรีพอร์ทมา”
“ทิ้งไป”
พี่มันบอกพร้อมกับพยายามดึงมือถืออกจากมือผม ผมแกล้งลุกจากเตียงทำหน้าตาซื่อ
“เดี๋ยวไปเอาคอมมาทำงานแป้ป เดี๋ยวหัวหน้าเก่าด่าว่าทำงานไม่เรียบร้อย”
หัวหน้าเก่าที่ว่าจับขาผมไว้ก่อนจะกดตัวผมไว้บนเตียงเหมือนเดิม ผมหัวเราะจนตัวโยน
“ตลกเหรอแว่น พอโว้ยยยย”