5.How to ใช้เทคโนโลยีให้ผิดวิธี
“สแกมเมอร์ระบาดในไทย ติดแผงวงจรปล้นตู้ atm”
พี่เอกหน่วยข่าวไม่กรองประจำห้องพูดออกมาพร้อมซดกาแฟในยามเช้าของวัน
“ก็เท่ไป ผมนี่อยากลองแฮ็คดูบ้าง”
พี่เดี่ยวว่าพลางเคี้ยวปลาท่องโก๋ไปด้วย
“ผมว่าเก่งอย่างหัวหน้านี่ไม่ยาก”
พี่บอลออกความคิดเห็น
“ถ้ามันง่ายแบบนั้นกูจะมานั่งบ่นพวกมึงทุกวันทำไม สู้ไปแฮ็คระบบแล้วฟอกเงินดีกว่า”
ว่ากันว่านอกจากหัวหน้าจะมีความรู้รอบด้านแล้วนั้น เรื่อง network security* ก็ไม่เป็นรองใคร
“ทำไมพี่ยักษ์มาทำงานแบบนี้คะ ตอนเรียนน่าจะป๊อปไปเป็นนายแบบเงินน่าจะดีกว่า”
พี่ยูหันมามองสาวคนเดียวในห้องที่ช่วงหลังนี่รู้สึกว่าเจนมันแอบจิกกัดหัวหน้าไม่ปล่อย แต่เชื่อเถอะว่าเขากับทุกๆคนในห้องนี้ก็เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันไม่มีใครมานั่งคิดเรื่องเล็กน้อยให้เป็นเรื่องใหญ่
“นายแบบนี่แบบไหนเจน”
“นายแบบนู้ด”
พอเจนบอกพวกพี่ๆในห้องก็ขำกัน
“คลิปไฟไหม้นี่คนถ่ายคลิปแม่งโหดว่ะ แทนที่จะเอาเวลาไปช่วยดับเพลิง” พี่เอกที่กำลังอ่านข่าวอยู่เปลี่ยนเรื่อง
“มองต่างมุมนะพี่ ผมว่าถ้าเป็นคนธรรมดาไม่เข้าไปช่วยจะดีกว่า”
“เออจริง กูเคยเห็นคลิปแบบคนรถล้มแล้วไม่ช่วยแต่แม่งถ่ายคลิปเฉย อันนั้นแย่จริง”
พี่เอกบอกพี่เดี่ยวก่อนจะพูดต่อ
“แต่ที่กูไม่เข้าใจจริงๆก็พวกถ่ายคลิปโป๊ตัวเองนี่แหละ”
“แล้วชอบดูไหม”
หัวหน้าถาม
“ไม่”
“ไม่ดูเหรอพี่เอก”
น้องเจนถาม ซึ่งพี่เอกส่ายหน้าก่อนจะตอบ
“ไม่เหลือ”
สุดท้ายก็ไม่พ้นเล่นมุขไร้สาระ
“ว่าแต่ไอ้พัชมันไปไหน”
นั่นเป็นสิ่งที่ลูกพี่อยากจะถามทุกคนเหมือนกันแต่เจนชิงถามก่อน เพราะตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงซึ่งเป็นเวลาเข้างานแล้วและปกติพัชมักจะมาก่อนเวลาเสมอ
“เดี๋ยวกูโทรเอง”
ลูกพี่บอกทุกคนก่อนจะต่อสายถึงน้องเล็กของทุกคนผู้ซึ่งตลอดสองปีมานี่ไม่เคยเห็นขาดงานสักวันเดียว เสียงสัญญาณรอสายดังแค่สองถึงสามครั้งคนปลายสายก็กดรับ
“พี่ยูว่าจะโทรไปพอดี ผมรถชน”
ได้ยินแค่นั้นหัวใจลูกพี่ก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทุกคนเห็นหน้าซีดๆของพี่ยักษ์แล้วก็เริ่มใจไม่ดีตามหัวหน้าไป
“เจ็บตรงไหนบ้าง”
“ถลอกเฉยๆครับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
พาซวยที่ไม่รู้ขับมอไซค์คันงามไปซวยอีท่าไหนถึงได้เจ็บตัวน้ำเสียงดูไม่ได้เป็นอะไรมากเหมือนที่บอก
“ตอนนี้อยู่ไหน”
“โรงพยาบาลครับพี่”
พี่ยักษ์ขมวดคิ้วกับการตอบคำถามที่ไม่ได้ประโยชน์ของน้องมัน
“โรงบาลไหน”
พอถามไปแบบนั้นปลายสายก็หัวเราะน้อยๆก่อนจะตอบมาใหม่
“รอ เดี๋ยวพี่ไปหา”
พอได้ฟังคำตอบแล้วลูกพี่ก็ลอบถอนหายใจก่อนจะบอกน้องมันพร้อมกับหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจรถของตน
“ไอ้พัชเป็นอะไร”
พี่เอกที่ฟังมานานถามลูกพี่
“รถล้ม ไม่เจ็บมากหรอกอยู่โรงบาลแล้ว เดี๋ยวผมไปดู”
แม้จะบอกว่าน้องมันไม่เจ็บมากแต่ท่าทางรีบร้อนลนลานของลูกพี่ทำเอาทุกคนกังวลไปด้วย น้องเจนมองหน้าพี่ๆซึ่งแต่ละคนก็ทำได้แค่รอฟังข่าวเท่านั้น เพราะถึงแห่กันไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้นอกจากไปเกะกะ
***
โรงพยาบาลที่พาโชคบอกไม่ได้ไกลจากบริษัทมากนัก พี่ยูใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงและก็พบว่าลูกน้องตัวเองที่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากถูกเข้าเฝือกแขนขวาข้างที่ถนัด
“กระดูกร้าวครับ ดีไม่หัก”
เจ้าตัวว่าก่อนจะหัวเราะแหะ ลูกพี่ที่หน้าตาเหมือนหมีกินผึ้งถอนหายใจก่อนจะลูบหัวคนที่นั่งอยู่ก่อน
“ญาติคุณพาโชคใช่ไหมคะ เชิญทางนี้ด้วยค่ะ”
ลูกพี่หันไปหาคุณพยาบาลก่อนจะเดินตามเขาไป เรื่องที่ไปทำคงไม่พ้นเคลมประกันอุบัติเหตุ รับยาและอะไรมากมายที่คนป่วยจัดการเองไม่ได้ตอนนี้ เพราะดูท่าทางกำลังมึนยาแก้ปวดอยู่ กว่าจะจัดการเรื่องเสร็จก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ถือว่ายังดีที่เป็นโรงพยาบาลเอกชน ถ้าเป็นโรงพยาบาลรัฐถึงตอนเย็นก็คงไม่เสร็จ
“ป่ะ กลับบ้าน”
ยูเดินมาเรียกเด็กที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์ พอมองข้างๆถึงได้รู้ว่าแว่นหนาๆของพัชมันร้าวไปข้างนึง
“ขอบคุณครับพี่”
พัชบอกคนที่หิ้วของพะรุงพะรังไปพลางเข็นรถเข็นมันเดินตามทางออกมายันลานจอดรถ
“รอนี่ เดี๋ยวพี่ไปเอารถมา”
มันส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้น แม้จะเจ็บขาข้างขวาที่กระแทกพื้นอยู่บ้าง
“ผมพอเดินได้”
ว่าแล้วก็ค่อยๆเดินตามพี่เขาขึ้นมานั่งบนรถ 7 ที่นั่งที่นานๆทีถึงจะได้ขึ้น โดยมีเจ้าของรถเดินตามหลังคอยประคองหลังให้
“พี่ยูไม่ทำงานเหรอ”
“ถ้าทำแล้วพัชจะกลับยังไง”
เจ้าของรถตอบพร้อมกับเอื้อมมือมาคาดเข็มขัดให้คนป่วย ดูเป็นกริยาที่ธรรมดาแต่ก็รู้ว่ามันแฝงความใส่ใจไว้
“คงกลับแท็กซี่”
เพราะทำงานด้วยกันมาสักพักจึงพอจะรู้ว่าพื้นฐานครอบครัวของลูกน้องแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง อย่างพาโชคนี่คือรู้กันว่าไม่มีใครอยู่บ้านอย่างแน่นอน
“บอกพ่อแม่ยัง”
“กะว่ากลับไปถึงบ้านค่อยโทรบอก”
พาโชคที่กลายเป็นพาซวยในตอนนี้บอกพร้อมกับถอนหายใจ เพราะถ้าพ่อแม่รู้คงได้มีหอบสังขารกลับมาไทยทั้งๆที่เดือนที่แล้วพึ่งกลับมาแน่นอน
“แล้วรถเอาไปอู่ยัง”
“กู้ภัยเอาไปส่งให้แล้วครับ”
เจ้าของบิ๊กไบค์คันหลายแสนบอกลูกพี่
“ดีนะหมวกกันน็อคแพง ไม่งั้นหัวผมแตกแน่ สมองยิ่งไม่ค่อยมีอยู่”
คนเจ็บว่าตัวเองพลางหัวเราะ
“เออ ทีหลังพี่จะได้เลิกบ่นเรื่องหมวกกันน็อคราคาเท่าไอโฟนของมึง”
หัวหน้าที่คอยแขวะเรื่องอุปกรณ์แต่งรถกับชุดเซฟตี้เรือนแสนของน้องว่าอย่างยอมจำนน เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าของเล่นของผู้ชายมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกไม่รถก็โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์หรือฟิกเกอร์การ์ตูนไปนู่น
***
พี่ยักษ์จอดรถหน้าบ้านที่พึ่งเคยมาเป็นครั้งที่สอง เขาเดินอ้อมมาอีกฝั่งเพื่อช่วยถือสัมภาระทั้งหมดของคนเจ็บแล้วเดินนำเข้าบ้านทั้งที่ไขกุญแจอย่างทุลักทุเล
“รกหน่อยนะพี่”
เจ้าของบ้านขนาด 100 ตารางวา สี่ห้องนอนสามห้องน้ำแต่มีคนอยู่เพียงคนเดียวบอกพลางเดินกระเผลกไปเปิดไฟกับพัดลม พี่ยักษ์มองบ้านที่ถึงไม่ได้เนี้ยบแต่ก็ไม่ได้รกอะไรเลย
“เอาน้ำไหม”
พัชถามแขกที่หิ้วของพะรุงพะรังไปวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว
“คนป่วยไปนั่งเฉยๆไป”
พี่บอกก่อนจะเดินเข้าห้องครัวหาน้ำหาท่าออกมาให้ทั้งตัวเองและคนเจ็บ แต่พอเดินออกมาแล้วกลับพบว่าเจ้าของบ้านนอนตาปรือด้วยความเพลียอยู่ตรงโซฟา ยูเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบบ่ายสองพร้อมกับบอกอีกคน
“พี่เข้าออฟฟิศก่อนนะ เดี๋ยวตอนเย็นมาหา”
เจ้าของบ้านอือออในลำคอก่อนที่จะหลับไป
เย็นวันนั้นพัชตื่นมาเพราะเสียงบีบแตรที่ดังอยู่หน้าบ้าน พาโชคอมยิ้มก่อนจะค่อยๆยันตัวแล้วเดินออกไปหน้าประตูรั้วด้วยความลำบากกว่าตอนบ่ายเพราะรู้สึกเหมือนแผลหลายที่เริ่มตึงและแผลที่ช้ำเริ่มปวดมากขึ้น พอมายืนอยู่หน้าบ้านถึงได้รู้ว่าใครคนนั้นไม่ใช่คนที่บอกไว้ว่าจะมา
“พี่ธาม”
“เป็นไรมากไหม พี่นี่โคตรตกใจ”
พัชยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าแล้วเปิดประตูให้เขา
“มาคนเดียวเหรอครับ”
“อือ พวกที่ออฟฟิศบอกจะแห่มาพรุ่งนี้ มีเจนฝากชาเขียวปั่นมาให้”
พาโชคยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือไปรับแก้วชาเขียวที่ชอบอ้อนพี่เจนซื้อให้มาถือไว้พร้อมกับเดินเข้าบ้าน
“แล้วพี่ธามมาทำไม”
คนที่พึ่งมาขมวดคิ้วก่อนจะตอบ
“มาดูคนป่วยไง ถามแปลกๆ”
พาโชครู้ว่ามันโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยยังมีเพื่อนดีๆอยู่ด้วยกัน
“กินอะไรยัง”
พัชที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่นมถั่วเหลืองตอนเที่ยงที่โรงพยาบาลส่ายหัว
“พี่มีข้าวจากภัตตาคารหรู”
มันเหลือบมองถุงเซเว่นก่อนจะขำ
“ผมจองเกี๊ยวกุ้งนะ”
“ได้ เดี๋ยวเชฟจัดการให้”
คนเป็นพี่ว่าก่อนจะเดินเข้าครัวไปหาไมโครเวฟ กับข้าวมื้อนี้ประกอบด้วยสปาเกตตี้รสอะไรสักอย่างสองกล่อง เกี๊ยวกุ้งอีกสาม ข้าวไข่เจียว ขนมกรุบกรอบและน้ำอัดลมซึ่งดูยังไงก็ไม่ได้เหมาะกับการเป็นอาหารคนป่วยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณครับพี่”
พัชว่าก่อนจะกินยาหลังอาหารจำนวนเกือบสิบเม็ดที่อ่านๆดูแล้วก็ไม่พ้นยาแก้ปวดและแก้อักเสบ
“หมอให้พักกี่วัน”
“อาทิตย์นึงครับ แต่เฝือกถอดเดือนหน้า ห้ามใช้คอมด้วย”
เจ้าตัวว่าพลางทำหน้าเซ็ง
“ไอ้ยูรู้ยัง”
พัชพยักหน้ารับพร้อมกับตอบ
“เห็นถือใบรับรองแพทย์ไปแล้วครับ”
ธามพยักหน้ารับพร้อมกับมองท่าทางของคนป่วยที่ดูอ่อนล้าแต่ยังฝืนยิ้ม ตรงศอกข้างซ้ายมีรอยถลอกเป็นปื้นดูท่าทางน่าจะแสบ
“แล้วอาบน้ำยังไง”
“เรื่องวิ่งผ่านน้ำผมถนัดพี่”
เจ้าของบ้านพยายามยันตัวลุกขึ้นเพื่อเก็บจานแต่พี่ธามยกมือห้ามไว้ก่อนที่จะจัดการทำความสะอาดโต๊ะบริเวณนั้นด้วยตัวเอง พอเดินออกมาจากครัวก็เห็นว่าเจ้าของบ้านนั่งดูทีวีอยู่แต่ดูหน้าตาอ่อนแรงไม่ได้ตื่นเต้นกับหนังแอคชั่นบนจอแม้แต่น้อย
“เดินขึ้นบันไดไหวไหม”
เขาเดินไปแตะไหล่เด็กที่นั่งอยู่บนโซฟา พาโชคหันมาพยักหน้าให้ แต่พี่ธามไม่ไว้ใจน้องมันเอาเสียเลย
“ลุกขึ้นพัช”
คนเป็นพี่บอกพลางดึงมือซ้ายของน้องขึ้น พาโชคมองมือใหญ่ที่จับมือตัวเองไว้ก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นพร้อมกับสำนึกได้ว่ามันคงเหนื่อยมากกว่าที่ตัวเองคิด พี่ธามเอาแขนซ้ายของน้องพาดไว้กับคอตัวเองก่อนที่จะสอดแขนเข้าไปกับเอวของน้องมันเพื่อฉุดให้ลุก
“แตะเอวนี่คือคบกันแล้วเหรอพี่ธาม”
พาโชคที่จำมุขบ้าๆของพี่ธามได้ล้อพี่เขา แทนที่อีกคนจะหันมายิ้มหรือหัวเราะอย่างเคยกลับเงียบไป พัชแอบเห็นหูแดงๆของพี่ธามด้วย การขึ้นบันไดไม่ได้ทุลักทุเลอย่างที่คิดนัก เพราะพัชมันไม่ได้เป็นง่อยอย่างที่พี่ธามคิด
“มี play4 ด้วย”
สิ่งแรกที่ธามเห็นในห้องสีน้ำตาลอ่อนๆคือหน้าจอทีวีขนาดใหญ่กับเครื่องเล่นเกมส์รุ่นล่าสุด
“ถ้าแขนไม่เจ๊งนี่ชวนเล่นแล้วพี่”
เจ้าของห้องบอก
“รอแขนหายแล้วมาเล่นกัน พี่ว่าพัชถอดแว่นก็ดีนะ”
ปลายประโยคนั้นแขกบอกเจ้าของห้องที่ถอดแว่นหนาออกวางไว้ตรงหัวเตียงพร้อมกับเอนตัวลงบนเตียง
“มองไม่เห็นดิพี่ธาม ต้องคลำๆเอา”
เจ้าตัวว่าทั้งยิ้มให้ ตอนนี้ไอ้พัชเห็นพี่ธามเป็นตัวอะไรสักอย่างเลือนลางยืนอยู่ตรงปลายเตียง และตัวอะไรที่ว่านั้นค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆและโน้มตัวลงมาเหมือนพล็อตหนังผีไม่มีผิด
“นี่กี่นิ้ว”
แต่คงเป็นผีปัญญาอ่อนแน่นอน พัชหัวเราะให้กับนิ้วที่แกว่งไปมาก่อนจะแกล้งยกหัวขึ้นไปจ้องใกล้ๆ
ทำให้จมูกเล็กๆถูกปัดไปสองสามครั้ง พัชได้กลิ่นน้ำยาล้างจานจางๆตรงปลายจมูก
“พี่กำมือใช่ไหม”
พี่ธามที่คิดว่าน้องมองไม่เห็นจริงๆหัวเราะเยาะเย้ยก่อนจะแปะมือบนหน้าผากเจ้าของบ้าน
“นิ้วเดียวพัช”
นิ้วเดียวที่ว่าคือนิ้วกลาง พี่ธามที่กวนตีนอยู่เป็นทุนเดิมหัวเราะเสียงดังเมื่อน้องมันขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจ เขาแอบมองตาสองชั้นสวยที่ไม่เคยได้เห็นเพราะแว่นบังก่อนจะไล่มองลงมายังริมฝีปากที่ดูแห้งผากลงไปกว่าเคยแต่ก็ยังเป็นสีระเรื่อ
“มีอะไรโทรหาพี่นะ”
ธามยันตัวขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าใบหน้าของตัวเองใกล้กับน้องมันมากเกินไป
“ขอบคุณครับพี่ธาม”
เขารับไหว้อีกคนก่อนจะยิ้มให้แม้จะรู้ว่าน้องคงมองไม่เห็น
“อยู่คนเดียวได้นะ”
ธามถามย้ำก่อนจะเดินออกจากห้องไป พาโชคที่เคยชินกับการอยู่คนเดียวมานานมาก ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงจะอยู่คนเดียวไม่ได้หรืออะไรคือความเหงา แต่มันพึ่งรู้ว่าบางทีตอนนี้ถ้ามีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนก็คงดี
***
วันนี้แปลกที่พี่ธามเดินเข้ามาในห้องเดฟแต่เช้าทั้งๆที่พาโชคไม่อยู่ เพราะปกติแล้วถ้าพาโชคไม่เข้าออฟฟิศหรือไปงานที่อื่นแล้วอย่าหวังว่าจะได้เห็นหน้าพี่ธามเลย จะติดต่องานทีต้องแชทไปหาไม่อย่างนั้นก็ปีนบันไดขึ้นไปชั้น 31 เอง พี่ธามรับไหว้น้องๆก่อนจะเดินเข้ามามาเพื่อนตัวเองที่นั่งหน้ายักษ์อยู่ที่โต๊ะ
“ยู อาจารย์ที่ม.ติดต่อมาชวนไปบรรยายหัวข้อการใช้เทคโนโลยีในทางที่ถูกต้อง ชวนกันไปทั้งทีมไหม จัดคล้ายๆทอล์กโชว์”
ลูกพี่ที่ไม่ถนัดงานแนวนี้มองหน้าลูกทีมอย่างขอความคิดเห็นกับงานนอก
“ขอบายว่ะ ใช้ยังไงให้ผิดนี่ง่ายกว่า”
อันนี้พี่เอกบอกซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ผมบายด้วย”
“ไม่ไปค่า”
อีกหนึ่งเหตุผลที่คนพวกนี้ไม่ค่อยออกไปไหนนอกจากหน้าคอมและไม่ค่อยมีสังคมกับเขาก็เพราะคนพวกนี้นั้นมีงานและบัคบานเบอะที่จะต้องแก้ อย่างถ้าสมมุติว่าลางานไปวันนึงพวกเขาจะต้องกลับมารับกรรมพร้อมความทรมานไปทั้งอาทิตย์เพราะฉะนั้นสู้อยู่บริษัทซดกาแฟแล้วทำงานตัวเองดีกว่า
“ไอ้พวกเห็นแก่ตัว”
หัวหน้าเทสเตอร์ว่า
“ไปชวนไอ้พัชดิ มันเก่งนะเรื่องอธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย”
อันนี้พี่เอกพูดจริง แม้ดูพาโชคจะเอ๋อๆแต่สาบานได้ว่าเป็นคนเดียวในทีมที่คุยกับคนธรรมดารู้เรื่องที่สุด
“อย่ากวนคนป่วย”
หัวหน้าทีมบอก ซึ่งนั่นเจนตีความหมายไปว่าห้ามยุ่งกับพาโชคเด็ดขาด
“มันใช้ปากพูดพี่ ไม่ใช่แขน”
พี่เดี่ยวที่สามวันดีสี่วันตีกับพาโชคบอกหัวหน้าซึ่งหัวหน้าไม่สนใจแม้แต่น้อย พี่ธามมองหน้าหน้าทีมเดฟที่ดูหน้าตาไม่รับแขกก่อนจะพูดพร้อมกับขำ
“ไอ้ยู มึงน่าไปพูดจากประสบการณ์ตรง”
พอพูดจบก็ถูกพี่ยักษ์มองตาขวางแล้วลากออกไปดูดบุหรี่ พี่ธามว่าคงได้เป็นมะเร็งปอดเร็วๆนี้
“เมื่อวานมึงไปหาพัชมาเหรอ”
วันนี้ศศินเริ่มต้นคำถามได้แปลกกว่าปกติ ธามมองเพื่อนของตนก่อนจะตอบแล้วค่อยอัดบุหรี่เข้าปอด
“อือ ทำไม”
“สนิทกันเหรอวะ”
ธามแอบเลิกคิ้วอยู่หน่อยก่อนจะตอบตามความเป็นจริง
“อือมั้ง น้องมันน่ารักดี”
“ไอ้ธาม”
และธามก็ได้เสียงคำรามจากยักษ์ตัวใหญ่
“หวงทำไม กูยังไม่ได้จีบเลย”
เพราะเป็นเพื่อนกันมานานและอยู่ในสภาพสังคมเดียวกันถึงได้รู้สันดานกันดี
“มึงก็รู้ว่าอย่ายุ่งกับคนใกล้ตัวถ้าไม่อยากวุ่นวาย”
ธามดับบุหรี่รสเย็นของตนก่อนจะเห็นไปมองเพื่อนให้เต็มตา
“เหมือนมึงเหรอ”
“ไอ้สัด”
เขาขำให้กับการด่าจริงจังของเพื่อนตน
“แล้วเมื่อวานไปดินเนอร์ไหนกัน”
เขาถามเพราะเห็นเพื่อนพาสาวขับรถไปที่ไหนสักแห่งหลังจากเลิกงานซึ่งดูรีบร้อนพอตัว
“โรงพัก”
หน้าพี่ยูเซ็งโดยเห็นได้ชัด
“สวีทเนอะ”
สิ่งที่ยูเกลียดธามอย่างนึงก็คือพี่มันกวนตีน หัวหน้าทีมเดฟยักไหล่พร้อมกับตอบ
“เอาเถอะ กูขี้เกียจอธิบาย”
ธามยักไหล่ตามเพื่อนก่อนจะถามในเรื่องธรรมดา
“แถวนี้มีอะไรอร่อยบ้างไหม ปกติพัชชอบกินอะไร”
“ถามทำไม”
แต่อีกคนกลับไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
“กูว่าจะซื้อไปฝากพัชตอนเย็น”
พอบอกออกไปแบบนั้นลูกพี่ของพาโชคที่หวงลูกน้องยิ่งกว่าลูกในไส้ก็หน้าหงิก
“ฝากกูไปก็ได้”
“มึงจะไป?”
พี่ธามหันไปถามเพื่อนที่วันนี้ดูดบุหรี่อ้อยอิ่งผิดปกติทั้งๆที่ปกติรีบอัดรีบไป
“อือ เมื่อวานว่าจะไปแต่ไม่ได้ไป”
“มิน่า น้องมันถามกูว่ามาคนเดียวเหรอ”
ธามพูดถึงเด็กเมื่อวานที่หน้าตาปิดไม่มิดว่ากำลังผิดหวังกับอะไรบางอย่าง
“มึงไม่ต้องไป”
ใครกันที่บอกว่าอย่ายุ่งกับคนใกล้ตัว นั่นลูกน้องตัวเองชัดๆ ธามกรอกตาก่อนจะบอกเพื่อน
“แล้วทำไมกูต้องฟัง”
พี่แกบอกแล้วก็เดินหนีดื้อๆ ทิ้งให้หัวหน้าทีมเดฟมองตามหัวหน้าเทสเตอร์ด้วยสายตาที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ
***
“ทำตัวเหมือนบ้านเลยพี่ธามเอาที่สบายใจ”
พาโชคพูดเมื่ออีกคนยึดโซฟาเบดแถมลากเครื่อง play 4 ลงมาจากห้องเรียบร้อยโดยซื้อแค่เครปหน้าเซเว่นมาเป็นของเซ่น
“ขอบคุณครับ”
“ผมประชดพี่”
พาโชคเบ้หน้าพร้อมกับกัดเครปหมูหยองน้ำพริกเผาเข้าปาก วันที่สองแล้วแผลก็เริ่มตึงบ้าง เป็นสีเขียวสีม่วงบ้างตามความช้ำของมัน วันนี้พาโชคเอาชีวิตรอดด้วยโจ๊กซองกับไข่ที่หัวหน้าทิ้งไว้ให้เมื่อวาน โดยหวังว่าตอนเย็นพี่ธามจะมีอะไรอร่อยๆมาให้…แต่เปล่าเลย
“ระวังหลังพี่”
พาโชคบอกคนที่กำลังจ้องจอทีวีแต่ไม่ทันสังเกตว่ามีศัตรูโผล่มา
“ตายๆ”
หัวหน้าเทสเตอร์ที่แต่ก่อนตีกันเกือบตายกับพาซวยแต่ตอนนี้มาขลุกอยู่ที่บ้านเขาวางจอยลงบนโซฟาแล้วถอนหายใจเฮือก เพราะเล่นยังไงก็วิ่งมาตายตรงที่เดิม
“พี่ธามมีอะไรมากินอีก”
เขาหันมายักคิ้วให้เจ้าของบ้าน
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวมีเด็กเอาข้าวมาให้”
พอบอกแบบนั้นไม่ถึงห้านาทีรถเจ็ดที่นั่งก็มาจอดที่หน้าบ้าน พาโชคปล่อยให้แขกเดินไปเปิดประตูบ้านให้แขกอีกคนส่วนตัวเองนั่งอ่านการ์ตูนไม่สนใจโลก
“ไอ้เหี้ยธาม”
นี่เป็นคำทักทายของหัวหน้าผู้มาเยี่ยมคนป่วยแต่เจอเพื่อนตัวเองเดินมาเปิดประตูแทนที่จะเป็นเด็กแว่นอย่างที่คาด
“มีไรมากิน กูนี่โคตรหิว”
คนที่ปฏิบัติตัวเหมือนที่นี่เป็นบ้านตัวเองพูดพลางส่องดูของกินในถุงพลาสติกใส
“ผัดไทสองห่อ ของกูกับน้อง”
“น้องเหรอ”
พี่ธามประชดคำสรรพนามของหัวหน้าที่เรียกลูกน้องอย่างสนิทสนม
“อะไรก็เรื่องของกู”
หัวหน้าเทสเตอร์ยิ้มรับก่อนบอกเพื่อนตัวเอง
“มาก็ดีละ กูกำลังจะกลับไปแซยิดอากงต่อ”
“แล้วมึงจะแวะมาทำไม”
พี่ยักษ์รู้จักพี่ธามมานาน
“กูเป็นห่วง ไม่อยากให้พัชอยู่คนเดียว”
นานพอที่จะรู้ว่าคนกวนตีนแบบไอ้ธามอันไหนพูดเล่นหรืออันไหนพูดจริง
“พี่ยูมีของกินมาไหม พี่ธามซื้อแค่เครปมาผมไม่อิ่ม”
คนป่วยที่ดูเหมือนไม่ได้ป่วยอะไรเลยหันมาฟ้องหัวหน้าตัวเองเมื่อเห็นถุงอะไรสักอย่างในมือพี่มัน ธามหัวเราะก่อนจะขอตัวกลับโดยพยายามไม่มองสายตาละห้อยของน้องมัน ธามรู้ว่าพัชอาจจะชินกับการอยู่คนเดียวแต่ไม่มีใครหรอกที่เคยชินกับความเหงา
***
“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง”
คนมาใหม่ถามเจ้าของบ้านที่กำลังก้มหน้าก้มตาเชคอีเมลในมือถือของตัวเองหน้าตาดูเคร่งเครียด
“งานไม่ต้องห่วง พี่ดูให้เอง”
หัวหน้าบอกพาโชคก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขามองใบหน้าด้านข้างของอีกคนที่เห็นมาหลายต่อหลายครั้ง
“ไม่ใช่งาน แต่มีคนส่งอันนี้มาในอีเมลผม”
พัชยื่นโทรศัพท์ตัวเองที่กำลังเล่นวิดีโอชายหญิงคู่นึงกำลังนัวเนียกันบนเตียงให้ลูกพี่ดู ภาพจากมุมกล้องเป็นกล้องวงจรปิดแต่ความคมชัดแบบ fullHD พัชมองหัวหน้าที่ขมวดคิ้วแน่นพลางจ้องจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ
“ใครวะ”
“หน้าตาเหมือนพี่ยู”
คนที่ถูกกล่าวหารีบปฏิเสธ
“จะบ้าเหรอ พี่หุ่นดีกว่านี้พัชก็รู้”
พาโชคขำกับความร้อนใจของลูกพี่ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าประโยคนั้นหมายความว่าอะไรก็นั่งเงียบหน้าแดงหูแดงจนน่าสงสาร แต่คนแกล้งกำลังสนุก
“ซิคแพคใครแน่นกว่ากัน”
“พอพี่”
เจ้าของบ้านบอกเสียงอ่อย
“ใครหล่อกว่า”
“ถ้าพี่จะมากวนแบบนี้กลับไปเลยนะ”
เจ้าของบ้านบอกด้วยท่าทางขอร้องจะเป็นจะตายแต่อีกคนกลับไม่มีท่าทางว่าจะหยุด
“แล้วของใครใหญ่กว่า”
“พอโว้ยยยย”
พาโชคที่รำคาญสุดขีดตะโกนจนคอแทบแตก แต่ลูกพี่กลับขำจนไอโขลก สรุปแล้วแทนที่จะได้นั่งกินข้าวอร่อยๆกลายเป็นว่าต้องมานั่งกินข้าวไปเขินกันไป และเรื่องอีเมลแปลกๆนั่นก็ถูกลืมไปเรียบร้อย