ตัวร้าย
15
“แต่งเข้าบ้านพวกกูเถอะถ้ามึงจะอยู่บ้านบ่อยกว่าที่กูอยู่ขนาดนี้ซัน”
ให้ทายว่าเสียงใคร ดังตั้งแต่หน้าประตูก่อนหนังหน้ามันจะโผล่เข้ามาในห้องนั่งเล่น สกายเดินนวยนาดสองมือล้วงกระเป๋าเดินเข้ามานั่งตรงโซฟาเดี่ยว
“ถ้าถึงวันนั้นแล้วกูจะไล่มึงให้ไปอยู่บ้านรักยม”
“ร้ายกาจ!”
สกายเตะขาผมอย่างหมั่นไส้ ผมหัวเราะใส่มันนึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่วันนี้สกายกลับบ้าน
“แล้วทำไมวันนี้กลับบ้าน”
บีสท์คิดเหมือนกับผม สกายเดาะลิ้นแล้วเอนตัวนอนบนโซฟา
“เหนื่อย กลับมาชาร์ตพลังหน่อย”
“สอบเป็นไง”
“ก็ผ่านนั่นแหละ แต่อาจารย์หมออะไรกับกูนักหนาก็ไม่รู้ รำคาญเพื่อนด้วยพรุ่งนี้มีเรียนบ่ายเลยกลับมาอยู่กับพวกมึงดีกว่า”
บีสท์สีหน้าจริงจังขึ้นนิดหน่อย เขามองสกายที่หลับตาพักสายตาอยู่อย่างห่วงใย
“ให้กูเรียกพวกที่เหลือมาไหม”
สกายโบกมือปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร กูไม่อยากกวนพวกมันแค่อยากกลับมาบ้านเฉย ๆ”
ปกติแล้วสกายจะกลับมาบ้านนี้วันพุธแล้วก็วันหยุดสุดสัปดาห์ การที่เขามาวันนี้ที่เป็นวันจันทร์พวกผมจึงสงสัย เห็นเมื่อวานเปรย ๆ ว่าวันนี้คะแนนสอบปิดบล็อกออก
“โอะ!”
สกายสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกกอดคอจากด้านหลังแต่เมื่อเห็นว่าคนกอดเป็นใครสีหน้าจากที่เหนื่อย ๆ ก็ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แพรวยิ้มหวานคลายอ้อมกอดออกขยี้หัวเพื่อนเบา ๆ แล้วเดินมานั่งตรงที่พักแขนข้างสกายที่พอเห็นดังนั้นก็กลายร่างเป็นรักยมเอาหัวซบตักอ้อนแพรวใหญ่
“เค้าเหนื่อย”
สกายบอกกับเพื่อนเสียงอ่อน แพรวยกมือลูบหัวเพื่อนเบา ๆ
“เหนื่อยก็กลับมาพัก”
“อือ”
“แหมพอมีมันนี่โลกทั้งใบมองไม่เห็นพวกกูเลยนะไอ้ห่ากาย”
น้ำเสียงเหน็บแนบดังขึ้นด้านหลังสกายยกมือขึ้นมาโบกไปมา เขาไม่แม้แต่จะยกหัวขึ้นจากตักแพรวขึ้นมามองหน้าคนกัดสักนิดเดียว เมเปิ้ลสาวเท้าเข้ามาเหยียบเท้าอีกคนจนร้องโอดโอย
“เจ็บนะเม”
“สมน้ำหน้า”
เมเปิ้ลว่าแล้วเธอก็นั่งตรงที่พักแขนอีกข้างของสกาย สกายยู่ปากแล้วเอาหัวไถตักแพรวต่อ ยูกับเปาเดินถือถาดขนมเข้ามา คนหน้าหล่อยื่นแก้วน้ำผลไม้ส่งให้สกาย
“ใจว่ะ”
สกายยิ้มบางขยับตัวขึ้นนั่งดี ๆ รับแก้วน้ำจากยูไปดื่ม ดูท่าจะเหนื่อยจริง ๆ เพราะหลังจากที่กวนตีนผมไปตอนแรกแล้วเขาก็ไม่กวนใครอีกเลย พวกเพื่อนทยอยเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นวันนี้อยู่กันเยอะหน่อย มียู เปา บีสท์ เมเปิ้ล แพรว แจม แตงกวา ทุกคนเข้ามานั่งกระจัดกระจายอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่มีใครเอ่ยถามว่าสกายเป็นอะไร พวกเขาคุยเล่นกันทั่วไปแต่ผมสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ทุกคนมีให้กับพ่อหนุ่มรอยสัก สกายเองสีหน้าก็เริ่มดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยผมสังเกตเอาเอง สายตาเขาดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าตอนที่เพิ่งกลับมา
“เชนมาละ”
แจมที่เดินไปเปิดม่านเดินกลับมาบอก สกายส่ายหัวเล็กน้อยแต่มุมปากอมยิ้ม
“กูบอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร แห่กันมาทำไม”
ทุกคนยักไหล่ไม่มีใครตอบคำถามของสกายพวกเขาทำเพียงส่งยิ้มให้กัน นั่งดูหนังกันเงียบ ๆ นึกแปลกใจเหมือนกันที่เขาไม่แย่งกันดูทีวีเหมือนปกติ
“วางไว้ตรงในครัวเลยครับพี่เมษ ขอบคุณครับ”
เสียงเชนดังแว่วมาสักครู่เจ้าตัวก็เดินส่ายหัวเข้ามาทิ้งตัวนั่งแผ่บนพรมข้างเปา
“ไอ้พวกห่าไม่มีใครออกไปช่วยกูถือของสักคน”
“ก็มึงไม่เรียก”
เปาตอบเนิบ ๆ คนขี้เล่นส่งเสียงจิ๊จ๊ะแล้วหันไปยักคิ้วให้สกาย
“ไงมึง”
“อือ ขอบคุณว่ะ”
ผมรู้ว่าคำขอบคุณของสกายไม่ได้บอกกับเชนคนเดียวแต่เขาบอกกับทุกคน พวกเขายิ้มให้กันไม่มีใครพูดอะไรออกมาเป็นเวลานานจนหนังใกล้จบ มาร์ค นาฟและเจนก็กลับมาถึงบ้านพอดี นาฟเดินเข้ามากอดคอสกายจากด้านหลังเหมือนที่แพรวทำ มาร์คเดินมาทิ้งตัวนั่งบนพื้นเอาหลังพิงขาสกายส่วนเจนเดินมาผลักหัวเขาเบา ๆ แล้วเดินเลยไปนั่งกับแตงกวาที่โซฟาอีกตัว ผมมองภาพเหล่านั้นแล้วรู้สึกอุ่นไปทั้งใจ
พวกเขาเหมือนครอบครัวที่เวลาใครคนหนึ่งมีปัญหาพวกเขาทุกคนก็พร้อมที่จะมาอยู่เคียงข้าง ไม่มีคำพูดปลอบโยนแต่กระแสความห่วงใยของทุกคนแผ่ออกมาจนผมยังรู้สึกได้
การมีที่ให้กลับมามันดีแบบนี้เองหรือ
แล้วยิ่งที่นั่นมีแต่คนที่เรารักและรักเรารออยู่มันสุขไปทั้งใจแบบนี้นี่เอง
ผมยิ้มกว้างมองพวกเขาทุกคนแล้วเอนตัวซบไหล่บีสท์ คนข้างกายผมขยับตัวเปลี่ยนเป็นโอบไหล่ผมไว้แล้วลูบหัวผมเบา ๆ พวกเขาโชคดีเหลือเกินที่มีกันและกัน ผมเองก็โชคดีที่ได้เจอบีสท์และพวกเขา
“พวกมึงรักกันดีจัง”
ผมกอดหมอนนั่งอยู่บนที่นอนบอกบีสท์ที่เช็ดผมอยู่ หลังจากที่ทุกคนกลับมากันครบพวกเขาก็กินข้าวด้วยกันคุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย สกายกลับมาเป็นคนกวนตีนเหมือนเดิมอีกครั้ง เข้าใจแล้วว่าที่เขาพูดว่ากลับบ้านมาชาร์ตพลังคืออะไร
“ก็ทำได้ดีสุดแค่นี้แหละ”
ผมส่ายหัวซบหน้ากับหมอน
“ดีมาก ๆ ต่างหาก”
เขาเดินมานั่งบนที่นอนเอื้อมมือมาจิ้มหน้าผากผมแบบที่เขาชอบทำแล้วโยกหัวผมเบา ๆ
“พวกกูเป็นแบบนี้แหละ บางทีแค่มานั่งโง่ ๆ อยู่ด้วยกันไม่มีใครพูดอะไรออกมาแค่นั้นก็ดีแล้ว”
“ถึงบอกว่าดูรักกันมาก”
“ก็
เหลือกันแค่นี้นี่นา”
ผมสะดุดกับน้ำเสียงเศร้าของบีสท์ มองหน้าเขาที่ก้มมองมือตัวเองทำให้ผมไม่เห็นว่าแววตาของเขาเป็นเช่นไร แต่ฟังจากน้ำเสียงที่เศร้าจนน่าใจหายแล้วผมเองก็รู้สึกใจไม่ดีไปด้วย ผมเม้มปากอย่างครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจทำเหมือนที่แพรวและนาฟทำกับสกาย
“หืม?”
บีสท์เอียงหน้ามองผมที่อ้อมมากอดคอเขาจากด้านหลัง ซบหน้าตัวเองบนไหล่กว้าง ตัวบีสท์อุ่นดีจัง
“ก็เสียงมึงเศร้า แล้วก็เห็นตอนแพรวกับนาฟทำแบบนี้กับสกาย สีหน้ามันดูดีขึ้น”
ผมบอกเขาเสียงอู้อี้เพราะซุกหน้าร้อน ๆ ของตัวเองไว้กับไหล่เขา เขินอยู่หรอกแต่ไม่อยากให้บีสท์พูดน้ำเสียงแบบเมื่อสักครู่ออกมาอีก เขาหัวเราะเบา ๆ มือนึงจับมือผมไว้อีกมือก็ลูบหัวผม
“ขอบคุณนะ”
ผมส่ายหน้า
“กูสิต้องขอบคุณ”
“มึงขอบคุณกูมากพอแล้ว”
“เทียบไม่ได้กับที่มึงทำให้กูหรอก”
ผมบอกเขาเสียงจริงจัง ผมนึกไม่ออกเลยถ้าวันนั้นไม่ตามเขามาแล้วจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ชีวิตผมก็คงจะเหมือนเดิม ใช้ชีวิตให้มันพ้นไปแต่ละวัน ไม่มีความสุข เจอพวกคริษฐ์ที่มหาลัยแล้วก็กลับมาอยู่คนเดียวที่ห้อง ไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีสิ่งที่หวัง ไม่มีอะไรเลย
“กูทำเพราะกูอยากทำให้ มึงไม่รู้หรอกว่าตัวมึงเป็นไง”
“หืม? กูเป็นไงอ่ะ”
“มึงอยู่ท่ามกลางคนมากมายที่ล้อมหน้าล้อมหลังมึงอยู่ มึงอาจจะจำไม่ได้เราเจอกันครั้งแรกที่ห้องสมุด กูเห็นมึงอยู่กับเพื่อนเยอะแยะแต่สายตามึงว่างเปล่าจนกูแปลกใจ”
“...”
“แปลกใจว่าทั้งที่ปากมึงยิ้มแต่ทำไมดวงตามึงถึงยังว่างเปล่าได้ขนาดนั้น เออ...เวลาเจอมึงก็มักจะเผลอสังเกตพอมองเรื่อย ๆ มึงก็ยังเป็นเหมือนเดิม จนกูละสายตาจากมึงไม่ได้แล้วก็รู้สึกว่าถ้ากูสามารถช่วยมึงได้หยิบยื่นความสุขให้มึงแล้วมึงจะยิ้มทั้งปากทั้งตาได้ไหม”
“...”
“ก็...เท่านั้น”
“
เหมือนถูกบอกรักเลย”
ผมกอดบีสท์แน่นขึ้น หัวใจเต้นดังจนบีสท์เองก็น่าจะรู้สึกได้ เขานิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไรแต่มือของบีสท์บีบเบา ๆ ที่มือของผมแล้วเปลี่ยนเป็นสอดนิ้วประสานเข้ามา
“ขอบคุณที่เข้ามานะ ตอนนี้กูยิ้มได้แบบที่มึงอยากเห็นแล้ว”
“ดีแล้ว มึงยิ้มสวยมากรู้ตัวไหม”
“ไม่รู้สิ ไม่ได้ยิ้มหรือรู้สึกมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว”
“อดีตเก็บไว้ให้คิดถึงได้ แต่อย่าเอามันมาปนกับปัจจุบันเข้าใจไหม”
“อื้อ พวกมึงทำให้กูรู้สึกว่าเวลามีที่ให้กลับมามันดีแค่ไหน กูไม่มีมันมานานแล้ว กูมันก็แค่เด็กมีปัญหาคนนึง แม่กูตายไปเมื่อสามปีก่อน เขา...พ่อกูน่ะตอนงานศพแม่ทำตัวเศร้าจะเป็นจะตายบอกกับกูว่าจะไม่มีใครมาแทนที่แม่กูได้ แล้วมึงรู้อะไรไหมผ่านไปแค่ไม่เท่าไหร่เขาพาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาในบ้านกับลูกติดของเธอแต่ที่เจ็บใจกว่านั้นคือในท้องของผู้หญิงคนนั้นมี
ลูกของพ่อกูอยู่”
“...”
“กูไม่รู้เลยบีสท์ว่าควรจะรู้สึกอะไร มันเหมือนกับว่าคำสัญญาที่เขาเคยพูดไว้มันเป็นแค่คำพูดหลอกเด็ก เป็นแค่คำพูดสวยหรูที่เขาเอาไว้หลอกขายฝันเด็กผู้ชายคนนึงให้อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์สวยงาม สิ่งที่เขาพูดกับการกระทำของเขามันสวนทางกันไปหมด ที่ ๆ เคยเป็นของกูถูกริดรอนไปทีละนิด ไออุ่นของแม่ถูกแทนที่ด้วยคนอื่น บ้าน...อึก...ที่กูเคยเรียกว่าบ้านได้เต็มปากตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว กูไม่มีบ้านให้กลับไปแล้วบีสท์”
“มีสิบ้านนี้ไงซัน ทุกคนต้อนรับมึงเสมอแล้วก็ถ้ามันไม่มากไป...
ให้กูได้เป็นที่ ๆ มึงกลับมาหาได้ไหม”
ผมกอดบีสท์แน่น บ่าของเขาเปียกไปด้วยน้ำตาของผม เสียงทุ้มของบีสท์ทุ้มนุ่มจริงจังและมั่นคง
“ชอบแย่งกูพูดอยู่เรื่อย”
“หืม?”
“กำลังจะขอให้มึงเป็นที่ ๆ กูอยากกลับมาเลย เวลาแค่อาทิตย์กว่ามันสั้นมากสำหรับหลายคนแต่สำหรับกูมันคือสิ่งที่กูขาดหายมาตลอด พอได้เจอกูก็อยากจะยึดไว้เป็นของตัวเองยิ่งอยู่กับพวกมึงกูก็ได้รู้ถึงความห่วงใยที่ทุกคนมีให้กันได้รับรู้ถึงการได้เป็นที่รัก กูอยากอยู่ตรงนี้และยิ่งไปกว่านั้น
กูอยากอยู่กับมึง”
“จะไม่สัญญาว่าจะไม่ทำให้เสียใจแต่กูจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะทำให้ได้”
“ไม่ต้องสัญญาอ่ะดีแล้ว กูเกลียดคำสัญญา กูเองก็เหมือนกันอาจจะแข็งกระด้างไปบ้างแต่กูก็จะทำให้ดีที่สุด”
บีสท์บีบมือผมเบา ๆ แกะแขนของผมออกแล้วขยับตัวหันหน้าเข้าหาผม สองมือใหญ่ประคองแก้มเปรอะน้ำตาของผมขึ้นมา ดวงตาคมดุทอดมองผมด้วยสายตาอ่อนโยนรักใคร่ ริมฝีปากคลี่ยิ้มน่ามอง
“
คบกันนะซัน // คบกันนะบีสท์”
เราสองคนหัวเราะเมื่อพูดประโยคนั้นออกมาพร้อมกัน ผมโถมตัวกอดเขาจนเราทั้งคู่ล้มบนที่นอน
“เสมอกันอีกแล้ว”
บีสท์บอกกลั้วหัวเราะ
“อื้อ ดีนะมึงไม่แย่งกูพูดก่อน”
“หึหึ”
“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอีกแล้ว กูสิต้องขอโทษที่มาหามึงช้าไป”
ผมส่ายหัวกอดเขาแน่น
“แค่เข้ามาในชีวิตกูก็ดีมากแล้ว”
เขากอดลูบหัวผม
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะซัน”
“เหมือนกันนะ อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะบีสท์”
“รับทราบ”
“สรุปมึงแต่งเข้าบ้านพวกกูแล้ว?”
สกายกวนตีนผมในช่วงสายวันถัดมาเมื่อผมและบีสท์บอกกับเพื่อน ๆ ว่าเราคบกันแล้ว ผมขว้างก้อนทิชชู่ใช้แล้วไปทางมัน สกายทำหน้าอี๋แล้วเอามือปัด ๆ ไหล่
“สกปรกมากหมอสกายรับไม่ได้”
“สกปรกกว่าตัวมึงมีด้วยหรอวะกาย”
มาร์คยิ้มแฉ่งยื่นหน้ามากวนเลยโดนสกายเอามือปาดหน้า คนตัวเล็กร้องโวยวายยูหัวเราะแล้วยื่นทิชชู่ให้มาร์คเช็ดหน้า
“นิสัย”
มาร์คค้อนเพื่อนจอมกวน สกายลอยหน้าลอยตาใส่
“ดี”
แถมต่อประโยคให้เสร็จสรรพ มาร์คชูนิ้วกลางใส่ สกายหัวเราะชอบใจแล้วหันกลับมาสนใจผมกับบีสท์
“ฮะแฮ่ม...เออก็ยินดีกับมึงสองคนด้วยนะมีอะไรก็ดูแลกันไป”
“ใช่ ๆ หนักนิดเบาหน่อยก็ผ่านกันไปให้ได้นะ”
มาร์คเสริม
“เห็นหน้าโหดแบบนี้เพื่อนกูอบอุ่นมากนะบอกเลย”
งานขายเพื่อนจากเชนต้องมา
“ดีใจด้วยนะ”
ยูยิ้มบอก
“ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
อันนี้จากเปา ผมว่าเริ่มไปกันใหญ่ละ บีสท์หัวเราะขำ
“พวกมึงนี่มันจริง ๆ เลย”
“นี่ถ้าพวกผู้หญิงรู้นะต้องกรี๊ดกันลั่นบ้านแน่”
เชนบอกมาร์คพยักหน้าเห็นด้วย
“เห็นแตงบอกจะทำเพจบีเอสเลิฟเวอร์โฉมงามกับเจ้าชายอสูร”
เปาพูดขึ้นมาเนิบ ๆ บีสท์ฟังแล้วส่ายหัวอ่อนใจ
“ไปกันใหญ่”
“นั่นสิ”
ผมเสริม สกายจุ๊ปาก
“อย่าไปขัดจินตนาการหญิงสาว เดี๋ยวพวกนางจะกลายร่างเป็นนางมาร”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วบทสนทนาก็จบลงตรงที่ทุกคนรับรู้ว่าผมกับบีสท์คบกันแล้ว เดินออกมานอกบ้านเจอเจนบีสท์ก็บอกกับเธอ เธอยิ้มกว้างและแสดงความยินดีด้วย บีสท์บอกว่าเจนนี่ปกติสุดแล้วถ้าพวกผู้หญิงคนอื่น ๆ รู้คงกรี๊ดกร๊าดไม่ต่างกับที่มาร์คบอกไว้ บีสท์บอกว่าพวกเธอชอบให้ผู้ชายได้กัน
เราเดินทางมาถึงมหาลัยตอนสิบโมงเศษ ๆ ผมให้บีสท์จอดรถไว้ที่คณะเขาเลยแล้วผมค่อยขึ้นรถเวียนไปที่คณะตัวเองตอนแรกเขาก็ไม่ยอมจะไปส่งผมก่อนแต่เห็นว่าเพื่อนในคณะไลน์ตามในกรุ๊ปว่าอาจารย์เรียกให้เอางานไปดูด่วนเขาถึงยอมให้ผมลงที่คณะตัวเอง
ลงจากรถเวียนของมหาวิทยาลัยหน้าคณะก็เจอกับคิงพอดี ร่างสูงเลิกคิ้วแปลกใจที่เห็นผมและก็ไม่คิดจะเก็บความสงสัยไว้นาน
“ทำไมนั่งรถเวียน”
ผมยักไหล่
“อยากนั่ง”
“จอดรถไว้ที่ไหน”
“ไม่ได้เอารถมา”
“อ่อ”
คิงเลิกถามไป คงคิดว่าผมนั่งรถไฟฟ้ามา เราทั้งคู่เดินเข้ามาใต้โถงคณะมีคริษฐ์กับซานนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมมาด้วยกันได้วะ”
ซานถาม ผมเลยบุ้ยปากให้คิงตอบ
“เจอกันหน้าคณะ”
“อ่อ เดี๋ยวพี่อินมาหานะ”
ซานบอก เขาทำหน้าแปลกใจเมื่อผมไม่ยินดียินร้ายอะไรเหมือนปกติที่จะทำหน้ายุ่งหงุดหงิด
“ไม่หงุดหงิด?”
เมื่อผมยังก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์ส่งข้อความบอกบีสท์ว่าถึงคณะแล้ว ซานก็เอื้อมมือมาสะกิด
“ว่าไงนะ”
ผมถามมัน มันถอนหายใจแล้วทวนคำถามให้
“กูถามมึงว่าไม่หงุดหงิดหรือไง”
“เขามาหากูหรือ”
“มาหากูมั้ง ไอ้สัดกวนตีน”
ผมยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป หันมาอ่านข้อความบีสท์ต่อ เขาบอกว่าตรวจงานเสร็จน่าจะเย็นเพราะต้องรอคิวนาน ให้ผมหาที่นั่งรอก่อน ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปอ่านหนังสือรอเขาที่หอสมุด สักครู่อินก็มาถึงเขานั่งลงตรงข้ามกับผมยิ้มให้เหมือนเคย ผมมองหน้าเขานิ่งแล้วก้มหัวทักทาย
“สวัสดีครับ”
ทุกคนดูแปลกใจกับอากัปกิริยาของผมที่ไม่ได้ทำท่ารำคาญเขาเช่นทุกครั้ง ไม่รู้สิผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันนะที่ไม่รู้สึกรำคาญเขาอย่างเก่า ผมสามารถมองหน้าเขาได้ทักทายแบบปกติเพราะผม
ไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลย เพราะไม่มีความรู้สึกให้จึงไม่รู้สึกรำคาญ
“คุณคนเล็ก”
เสียงอินดูเป็นกังวล ผมเอียงคอเลิกคิ้ว
“ครับ?”
“เปล่าครับไม่มีอะไร กินอะไรมาหรือยังครับพี่ซื้อขนมมาให้ ทุกคนด้วยนะ”
เขายื่นขนมถุงใหญ่มาด้านหน้า พวกซานกล่าวขอบคุณแล้วหยิบกันไปคนละอย่างสองอย่าง อินเลื่อนถุงเล็กกว่าถุงแรกมาให้ผม เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไปและยิ้มให้ผมแทน
“ไม่รบกวนดีกว่าครับผมกินข้าวมาเรียบร้อยแล้ว”
มือเขาชะงัก สายตาของอินเต็มไปด้วยคำถาม ผมมองหน้าเขาตรง ๆ สีหน้าของเขาดูโทรมคงเพราะเรียนหนัก ผมไม่ได้สนใจอะไรก้มหน้าล้วงหนังสือที่ยืมยูมาอ่านต่อ คริษฐ์ชะโงกหน้ามาดูจับปกพลิกดูแล้วตาโต
“ไปเอามาจากไหนที่ไทยยังไม่มีขายเลยนะ”
คริษฐ์ก็เป็นหนอนหนังสือเหมือนกับผมนี่แหละ
“ของยู”
“อ้อ แม่งเจ๋ง”
คริษฐ์รู้ว่ายูเป็นใคร ผมบอกมันเท่าที่บอกได้เพราะคริษฐ์ไม่ใช่คนปากโป้งเวลามีอะไรผมมักจะคุยกับเขาเสมอและเขาก็จะให้คำแนะนำกลับมาทำให้ผมไว้ใจเขา จะว่าไปยังไม่ได้บอกคริษฐ์เลยว่าคบกับบีสท์แล้วไว้ค่อยบอกตอนอยู่กันสองคนดีกว่า
“ยู? ใครวะ”
ซานกลืนก้อนขนมปังลงคอแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย สีหน้าอยากรู้ไม่ต่างจากคิงและคนที่นั่งตรงข้ามกับผม
“เพื่อน”
ผมตอบมันสั้น ๆ แต่ซานยังไม่พอใจ
“เพื่อนที่ไหน”
“ที่เคยเล่าให้ฟัง”
ซานชะงักไปเขามองหน้าอินก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วถามผมต่อด้วยเสียงที่เบาลง
“เพื่อนใหม่นั่นน่ะหรือ”
“อือ”
“คนที่พี่เจอที่ร้านกาแฟหรือครับ”
ถ้าหูผมไม่ได้ฝาดไปเสียงของอินแข็งกร้าวกว่าปกติ ผมตอบเขาทั้งที่ตายังไล่อ่านตัวหนังสืออยู่จึงไม่ได้เห็นว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน
“ครับ”
And I'm a make it home ทุกครั้งที่ออกจากบ้านนั่นคือคำพูดที่บอกตัวเอง
ความรักที่มีให้ you เป็นเหตุผล why my life has change
ใช้เวลากับมัน สำหรับ The decisions that I make
ความรักของคุณมันจริง ไม่มัวมาเสียเวลา with what is fake
เคยคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตมาคุ้มมาก จะอยู่ไม่อยู่ คือใช้ชีวิตมาคุ้มมาก
แต่ตอนนี้เรามีคุณ so I could never go
จะอยู่ตรงไหนของโลก you know I'm coming home
Comin’ Home – DaboyWay
Tbc.
Talk. ทำไมกลายเป็นวันอาทิตย์สีชมพูอ่ะ เขินจุงกะเบย อิอิ เป็นหนึ่งตอนที่แต่งแล้วชอบมากเพราะความสัมพันธ์ของพวกนี้มันช่างน่าประทับใจ เราชอบแต่งเวลาที่พวกนางอยู่ด้วยกันนะบ้าบอมีความสุขดี เพื่อนก็คือเพื่อนช่วงเวลาที่ท้อหรือต้องการที่พักพิงก็มีเพื่อนนี่แหละนอกจากครอบครัวที่คอยอยู่ข้าง ๆ เสมอ
พระเอกของเราทำไมอบอุ่นได้ขนาดนี้ ขอได้มั้ย อิจฉาซันขึ้นมาตงิด ๆ ทำบุญมาดีได้หลัวดี 5555 หลายคนที่อ่านมาก็จะได้รู้ว่าซันเป็นเด็กมีปัญหาและหลาย ๆ คนก็ออกอาการรำคาญเพื่อนของซัน แต่เราอยากให้เข้าใจซันนิดนึงเพราะเขาไม่เหลือใครและคนที่อยู่ข้าง ๆ ตอนที่มีปัญหาในชีวิตก็คือสามคนนั้น คริษฐ์ คิง ซาน มันเลยทำให้ซานค่อนข้างเกรงใจสามคนนี้อยู่พอสมควร ส่วนเรื่องอิพี่อินจะยังไม่พูดถึงแต่เขาคบกันแล้วไม่ต้องห่วงนะ ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้า ฝากแท็กในทวิต #นิยายตัวร้าย ด้วยนะจ๊ะ