ตัวร้าย
20
วันนี้ผมมานั่งอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟแถวบ้านกับยู เชน เมเปิ้ลส่วนบีสท์นั้นยังหมกตัวอยู่ที่สตูอยู่เลย เขาบอกว่าเหลือเก็บรายละเอียดงานอีกเล็กน้อยแล้วจะกลับไปนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องพรีเซนต์
“โอ่ยมึน”
เชนเอาชีทเรียนขึ้นมาตีหัวตัวเองประหนึ่งว่ามันสามารถออสโมซิสเข้าไปในสมองได้อย่างนั้นแหละ ยูเหลือบตาขึ้นมามองเพื่อนแล้วกลับไปสนใจอ่านของตัวเองต่อ เมเปิ้ลใส่หูฟังตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกไปนานแล้ว
ปกติพวกเราจะนั่งอ่านกันที่บ้านมากกว่า ผมเองก็ไปนั่งอ่านกับพวกเขาด้วยแต่วันนี้เชนบ่นอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างพวกที่เหลือที่บ้านจึงหอบเอาหนังสือออกมาอ่านเป็นเพื่อน
“กูลุกไปซื้อกาแฟเพิ่มนะ มีใครเอาอะไรไหม”
ผมกับยูส่ายหน้า เชนหันไปสะกิดเมเปิ้ล หญิงสาวเลิกคิ้วดึงหูฟังออกข้างหนึ่ง
“ว่า?”
“เค้าจะลงไปซื้อกาแฟเพิ่มแกจะเอาอะไรไหม”
“ไม่เอาแต่เดี๋ยวลงไปด้วยจะเดินเลยไปซื้อปากกา”
เชนพยักหน้ารับแล้วทั้งคู่ก็เดินลงไปชั้นหนึ่ง ร้านกาแฟที่นี่มีสองชั้น ชั้นสองตอนนี้ค่อนข้างเงียบสงบพอสมควรเพราะสาขานี้ตั้งอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยคนที่มาใช้บริการส่วนมากจะเป็นคนทำงานเสียมากกว่า
“ยู”
“หือ?”
ผมเรียกยู เจ้าของชื่อตอบรับแต่สายตายังคงมองตัวหนังสือในกระดาษอยู่ ผมเม้มปากชั่วครู่ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ
“
เขาทำอะไรมึงบ้างหรือเปล่า”
ยูชะงักเล็กน้อย เขาหยุดอ่านหนังสือวางมันลงบนตักแล้วเงยหน้ามองผมตรง ๆ
“เขานี่หมายถึงใคร”
“พี่ฉายบอกกูว่า
รถมึงถูกตัดสายเบรก”
ยูขมวดคิ้วจนหัวคิ้วเข้มของเขาแทบชนกัน สักครู่เขาก็ถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับ
“เขาเล่นแรงแบบนี้กับทุกคนเลยไหม”
คราวนี้ยูเอ่ยถามผมกลับ ผมส่ายหน้าเพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอินจัดการกับคนอื่นที่เข้ามายุ่งกับผมอย่างไรแต่ถ้ามันแรงอย่างที่ทำกับยูผมว่าเขาทำเกินไปแล้ว
“ให้กูเอาเรื่องไหม กูรู้จากพี่ฉายเมื่อวานจะไปเอาเรื่องเขาแต่พี่ฉายบอกให้กูมาคุยกับมึงก่อน”
ใจจริงผมอยากคุยกับเขาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่พอดีบีสท์อยู่บ้านกว่าจะออกไปยูก็ออกไปไหนไม่รู้ ยูยักไหล่คุณชายรูปหล่อยิ้มบางตามสไตล์ของเขา
“ไม่ต้องหรอกกูไม่ได้เป็นอะไร”
“ยูเรื่องนี้มันใหญ่นะ ต้องรอให้เขาทำแรงกว่านี้หรือไงมึงถึงจะเอาเรื่อง”
เขาส่ายหน้าแล้วเอาชีทเคาะหัวผมเบา ๆ
“อย่าใจร้อนสิ พวกกูกำลังหาวิธีจัดการกับหมอนั่นอยู่แต่ถ้ากระโตกกระตากไปเดี๋ยวบีสท์มันจะรู้เรื่องซะก่อนแล้วคราวนี้ก็จะเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ เลยล่ะ”
ผมขมวดคิ้วไม่ชอบใจ ผมว่ามันอันตรายไปแล้ว เพราะผมเข้ามาในชีวิตพวกเขาแทนที่ทุกคนจะอยู่กันอย่างมีความสุขกลับต้องมาวุ่นวายเพราะเรื่องที่มีผมเป็นต้นเหตุ เหมือนยูจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่เขาเคาะหัวผมอีกรอบ
“ทำไมชอบคิดมาก”
“ขอโทษนะเพราะกู...”
“ไม่ใช่เพราะมึงหรอกและกูก็ไม่ได้โกรธที่หลายคนเข้าใจผิดเรื่องกูกับมึงด้วยดีเสียอีกที่คน ๆ นั้นเป็นกู”
ผมเบิกตากว้าง นี่เขารู้เรื่องทั้งหมดเลยใช่ไหม ผมหรี่ตามองเขาอย่างประเมิน
“มึงตั้งใจให้คนอื่นเข้าใจผิดใช่ไหม”
ใบหน้าหล่อยิ้มตาหยีพยักหน้าขึ้นลง
“ไม่ขำแล้วนะเว่ย กูไม่เคยรู้เลยว่าอินจะทำอะไรรุนแรงแบบนี้”
“เป็นกูน่ะดีแล้ว ไม่ได้หลงตัวเองหรอกนะแต่ในกลุ่มน่ะกูเป็นคนรอบคอบที่สุดแล้วกลับกันถ้าคนที่โดนเป็นบีสท์บางทีตอนนี้มึงอาจจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้หรอกนะซัน”
ผมก้มหน้ากำมือแน่น สิ่งที่อินทำผมไม่มีวันให้อภัยเขาแน่นอนนี่มันเจตนาฆ่าชัด ๆ
“แล้วมึงจะจัดการเขายังไง”
“ต้องรอดูก่อน ระหว่างนี้ก็หาหลักฐานไปด้วย”
ผมทิ้งตัวพิงโซฟาอย่างอ่อนแรง
“ยูกูรู้ว่ามึงรอบคอบนะ แต่ถ้าสักวันนึงมึงพลาดล่ะจะเกิดอะไรขึ้นแล้วเรื่องนี้มีใครรู้บ้าง”
ผมเอ่ยเตือนและถามถึงคนที่รู้เรื่องนี้เพราะยูใช้คำว่า พวก ซึ่งก็หมายความว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้ ร่างสูงเลิกคิ้วมองผมแล้วส่ายหัวถอนหายใจ
“กู นาฟ สกาย เปาแต่เรื่องถูกตัดสายเบรคนี่ยังไม่ได้บอกใครมีแค่พี่ฉายกับมึงที่รู้”
“บอกบีสท์ดีไหม”
“ไม่ดี”
ยูตอบกลับแทบจะในทันที
“รู้จักแฟนตัวเองน้อยเกินไปสิ นอกจากมันจะห่วงแบบสุด ๆ แล้วนะ เรื่องก็จะไม่จบเพราะบีสท์มันจะไปเอาคืนจะว่าไงดีล่ะ อารมณ์ตาต่อตา ฟันต่อฟันล่ะมั้ง เห็นแบบนั้นใจร้อนจะตาย”
“ก็พอจะรู้ว่าเขาขี้เป็นห่วงแต่เรื่องใจร้อนยังไม่เคยเจอ”
ยูโบกมือส่ายหน้า ใบหน้าหล่อนิ่วลง
“อย่าเจอเลย ช้างก็ฉุดไม่อยู่”
“แต่กูไม่สบายใจเลยนะ เหมือนกูทำให้มึงมารับเคราะห์แทนบีสท์เลย...”
“แล้วถ้าคนที่โดนเป็นบีสท์มึงจะทนได้หรือ”
ผมเงียบกริบไร้การตอบรับ นั่นสิถ้าคนที่ถูกอินเล่นงานคือบีสท์ผมต้องเป็นบ้าแน่ ๆ
“เห็นไหมเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว”
“
ไม่ดีเลยยู”
ผมกับยูชะงักเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นเราสองคนหันไปมองทางต้นเสียงบีสท์ยืนหน้าเครียดอยู่ตรงประตู ผมผุดลุกยืนขึ้นด้วยความรวดเร็วเดินกึ่งวิ่งไปหาเขา ยูถอนหายใจ
“บีสท์...”
ผมเรียกชื่อคนตัวสูงตรงหน้า คิ้วบีสท์ยังขมวดแน่นแต่สายตาไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนทีแรก เขามองมาที่ผมแล้วยกมือลูบหัวผมเบา ๆ
“ไปนั่งคุยกันเถอะ”
เขาบอกเสียงนุ่มแล้วโอบไหล่ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ ดีที่เรานั่งอยู่ในห้องแยกคล้ายห้องประชุมเลยเป็นส่วนตัวขึ้นบีสท์นั่งลงข้าง ๆ ผมตรงข้ามกับยูที่นั่งนิ่งไปตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว
“มีอะไรที่กูยังไม่รู้อีกไหม”
บีสท์พูดกับยูด้วยน้ำเสียงกดดันแต่คนฝั่งตรงข้ามกลับยักไหล่ด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“ก็ได้ยินหมดแล้วไม่ใช่หรือไง”
บีสท์ไม่ได้ตอบรับด้วยน้ำเสียงแต่พยักหน้าขึ้นลงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่แผ่นหลังกว้างทิ้งตัวกับพนักพิงหลับตาเงยหน้า
“กูรู้ว่ามึงทำเพราะห่วงกูแต่ทำไมกูไม่ดีใจสักนิดเลยวะยู”
“...”
“
กูไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว”
แล้วเรื่องก็จบลงโดยที่พวกเขาเงียบใส่กันแต่ผมรู้ว่าคงจะมีนอกรอบคุยกันทีหลังอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ผมรู้ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมนั่งรถกลับมาพร้อมบีสท์เพื่อนเขายังปักหลักอยู่ที่ร้านกาแฟ
คนข้างกายผมเงียบตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงบ้านมือใหญ่บังคับพวงมาลัยด้วยมือเดียวส่วนอีกมือนึงกุมมือของผมอยู่ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต้นเหตุมันมาจากตัวผมเอง
ผมกลัว
กลัวว่าเขาจะปล่อยมือผม
“หิวไหม”
ผมส่ายหน้า บีสท์ดับเครื่องยนต์ปลดล็อคประตูแล้วเดินไปเอางานด้านหลังรถ ผมลงมายืนรอเขาช่วยถือของบางส่วนแล้วเดินเข้าบ้านด้วยกัน
“แล้วมึงกินอะไรมาหรือยัง”
“ยังเลย”
ผมวางของเขาไว้ที่โซฟาแล้วเดินตรงเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นดูมีผักกับเนื้อสัตว์เหลืออยู่นิดหน่อยน่าจะพอทำแกงจืดได้ บีสท์เดินตามเข้ามากอดผมจากด้านหลังขณะที่ผมล้างผักอยู่ เขาฝังหน้าบนบ่าของผม
“กินแกงจืดกับข้าวนะ”
เขาตอบรับผมด้วยการพยักหน้าก่อนที่เสียงทุ้มอู้อี้จะตามมา
“ไข่เจียวด้วย”
“อื้อ ไปนอนรอก่อนก็ได้”
คนตัวโตส่ายหน้าก่อนริมฝีปากร้อนจะกดจูบหนัก ๆ ที่หลังคอของผมจนผมสะดุ้งเล็กน้อย
“ซัน”
ผมหยุดมือที่กำลังล้างผักเม้มริมฝีปากแน่น กลัวเหลือเกิน
“หะ...หืม”
ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น บีสท์คลายอ้อมกอดแล้วจับตัวผมให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา มือใหญ่ดันปลายคางของผมขึ้นเพื่อให้มองหน้าเขาแล้วลูบแก้มของผมเบา ๆ
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อย่าปล่อยมือกูไปได้ไหม”
เพียงเท่านั้นผมก็โผกอดบีสท์แน่น ไหล่ตัวเองสั่นสะท้านรู้ตัวอีกทีน้ำตามากมายก็ทะลักออกมาเสียแล้ว บีสท์กอดตอบมือใหญ่ลูบหัวผมอย่างปลอบประโลม อ้อมกอดของบีสท์อบอุ่นเสมอ
“ไม่...มีวัน อึก...มึงนั่น..หะ...แหละ อย่า...ปล่อย ฮึก มือ...กูนะ”
ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดตอบบีสท์แต่มันยากเหลือเกิน หัวสมองผมตีรวนอาการสะอื้นทำให้การพูดออกไปแต่ละคำยากขึ้นไปอีก
“ชู่ว ใจเย็น ๆ นะซัน กูไม่ได้ไปไหนกูจะอยู่กับมึง เราจะอยู่ด้วยกัน
พวกเราทั้งหมดจะอยู่ด้วยกัน”
ผมพยักหน้าตอบเขาแรง ๆ กอดเขาให้แน่นที่สุดเท่าที่ความรู้สึกของผมมี ผมอยากให้เขารู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะอยู่กับเขาจะไม่ไปไหน
เขาคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผม เสียเขาไปผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร เรากอดกันอยู่นานจนผมหยุดร้องไห้บีสท์ขยับตัวพิงสะโพกกับซิงค์แทนที่ผมแล้วดึงตัวผมไปยืนระหว่างขากอดผมอยู่แบบนั้น
“แล้วเรื่องอิน...”
“ให้ผ่านช่วงสอบไปก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกันอีกที โอเคไหม”
“แล้วถ้ามันเกิดอะไรขึ้นช่วงนี้ล่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก พวกพี่ฉายจะเป็นคนไปรับไปส่งพวกเราในช่วงนี้เอง”
ผมพยักหน้าตอบรับ
“ขอโทษนะเพราะกู ถึงเกิดเรื่องกับพวกมึงแบบนี้”
“แล้วก็พาลคิดมากว่ากูจะขอเลิกกับมึงใช่ไหม”
ผมซบหน้าลงตรงซอกคอของบีสท์ กอดคอของเขาไว้หลวม ๆ เขาเองก็คล้องเอวของผมไว้เช่นกัน
“อือ ก็กูทำให้เพื่อนมึงเดือดร้อน”
บีสท์จูบหน้าผากผมแล้วเชยคางขึ้นมาให้มองหน้าเขา
“ถ้าแค่คนรักกับเพื่อนกูยังปกป้องไม่ได้กูจะไปทำอะไรกินได้วะ ไม่คิดมากสิทุกปัญหามีทางออกหมดนั่นแหละ แล้วอีกอย่างคนผิดก็ไม่ใช่มึงแต่เป็น
มันต่างหาก”
คำว่า มัน ที่บีสท์เปล่งออกมากดต่ำและเย็นชาจนผมขนลุก แววตาของเขาแข็งกร้าวชั่วครู่ก็กลับมาเป็นคนเดิม เขาถอนหายแล้วแล้วขยี้หัวผมเบา ๆ
“หิว”
พร้อมกับเสียงท้องร้อง ผมหัวเราะ บีสท์เกาแก้มเขินเห็นแล้วน่ารักดีจึงยื่นหน้าไปจูบเขาเบา ๆ แล้วผละออก
“หิวก็ปล่อยสิ”
เขานิ่วหน้าเหมือนเด็กถูกขัดใจแถมยังไม่ยอมปล่อยมือที่กอดเอวของผมอยู่อีกต่างหาก ผมเอียงคอเลิกคิ้วถาม เขารั้งคอผมเข้าไปกัดปากเบา ๆ แล้วหอมอีกที
“หมั่นเขี้ยวจังวะ”
“อะไรเล่า”
ผมหัวเราะ สองมือประคองแก้มของบีสท์ไว้ บอกไปหรือยังว่าผมชอบมองหน้าเขา ชอบมองเข้าไปในสายตาคู่นี้ที่สะท้อนความจริงใจและความรู้สึกทั้งหมดออกมา
“ทำตัวน่าฟัดตลอด”
เขาส่ายหัวบ่น ปากว่าแต่มือนี่กอดเอวผมไม่ปล่อยเลย ผมอมยิ้มยื่นหน้าเข้าไปกระซิบชิดใบหูเขา
“
ก็รอให้ฟัดอยู่เนี่ย”
ผละออกมายิ้มให้เขาจะตาหยีแล้วเดินผิวปากไปทำอาหารต่อ ปล่อยให้บีสท์ส่งเสียงคาดโทษแล้วเดินตามมาฟัดแก้มผมอีกสองสามทีจนความหิวของเขาร้องประท้วงอีกรอบบีสท์ถึงยอมไปนั่งเฉย ๆ
กินข้าวเสร็จผมก็ไล่ให้เขาไปอาบน้ำนอน โดยที่ตัวเองไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือแทน อ่านไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเงยหน้าขึ้นไปดูก็พบว่าแฟนผมยืนหน้ามุ่ยหัวฟูอยู่ตรงนั้น บีสท์ใส่บ็อกเซอร์กับเสื้อกล้ามในอ้อมแขนมีผ้านวมผืนยักษ์กับหมอนที่เขาใช้หนุนประจำ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ผมอมยิ้มถาม บีสท์ส่ายหน้าคนตัวโตเดินลากเท้าเข้ามาทิ้งตัวนอนยาวกับโซฟาเบดที่ผมนั่งอยู่ขยับยุกยิกอยู่สักครู่ผมก็สัมผัสถึงความหนักตรงตัก
“นอนด้วย”
“ไม่นอนในห้องดี ๆ ล่ะ นอนตรงนี้เดี๋ยวปวดตัวนะ”
ผมวางมือจากชีทมาลูบหัวคนตัวใหญ่ขี้อ้อน บีสท์ส่ายหน้าเปลี่ยนท่านอนตะแคงหันหน้าเข้าหาโซฟา ผมจะไม่อะไรเลยถ้าเขาไม่ซนกัดหน้าท้องผมเล่น
“จะนอนก็นอนดี ๆ อย่าซน”
“ไม่ได้ซนสักหน่อย”
ยังจะเถียงอีก ผมได้แต่ส่ายหน้าอมยิ้มเอื้อมมือไปห่มผ้าห่มให้เขาดี ๆ ดึงหมอนมารองบนตักให้เขาหนุนอีกชั้น เด็กชายทศกัณฑ์ทำตามอย่างว่าง่ายสงสัยจะง่วงจริง ๆ
“ยังไม่ได้ตอบเลยว่าทำไมมานอนที่นี่”
“อยากอยู่ใกล้ ๆ มึง”
“จะหลับหรือไงมันดูไม่ค่อยสบายตัวเลยนะ”
ผมบอกเพราะว่าถึงจะเป็นโซฟาเบดแต่บีสท์ที่ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์เท้าของเขาจึงเลยโซฟาออกไปเกือบครึ่งแข้ง ผมจึงขยับตัวชิดอีกด้านแล้วเขาขยับเข้ามาอีก
“นอนได้แค่มีมึงอยู่กูนอนที่ไหนก็ได้”
คนตัวใหญ่บอกเสียงอู้อี้ตาปรือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับมือนึงลูบหัวเขาอีกมือก็ถือชีทเรียนอ่านไปด้วย ผมเองก็เหมือนกันแค่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งใจ
ฤดูกาลสอบเริ่มขึ้นจวบจนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบ ผมออกจากห้องสอบเป็นคนแรก ๆ เดินโซซัดโซเซลงมานั่งรอพวกที่เหลือด้านล่าง ง่วงไม่ไหวแล้วแต่บีสท์สอบเสร็จหลังผม ก้มมองดูนาฬิกาอีกตั้งเกือบ ๆ สองชั่วโมงกว่าบีสท์จะสอบเสร็จผมเลยกะจะไปหาที่นอนที่หอสมุดเสียหน่อย
“ทำได้ล่ะสิมึงออกเร็วเชียว”
คริษฐ์เดินลงมาสมทบในอีกสิบนาทีถัดมาผมเงยหน้าขึ้นมาจากการฟุบหลับหันไปมองมัน
“มึงก็ออกเร็วเถอะ”
อีกฝ่ายยักไหล่นั่งลงตรงข้ามล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดสักครู่ก็หันมามองหน้าผม
“อะไร”
“เปล่าแค่จะถามว่ามึงไปไหนต่อหรือเปล่า”
“ว่าจะไปนอนรอบีสท์ที่ห้องสมุด”
“กูว่าจะถามหลายทีแล้ว ช่วงนี้มึงไม่ได้ขับรถมากันหรือวะ”
ผมมองคริษฐ์นิ่ง ๆ กำลังชั่งใจว่าควรจะบอกเพื่อนเรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าบอกมันจะยิ่งห่วงผมกว่านี้ไหมและถ้าไม่บอกแต่มันมารู้ทีหลังมันจะโกรธผมหรือเปล่า ผมเม้มปากเวลาต้องการใช้ความคิดสุดท้ายก็พรูลมหายใจออกมา
“ช่วงนี้คนที่บ้านขับรถมาส่งน่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าซัน”
เคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าคริษฐ์เซนส์มันดี ผมพยักหน้าแทนคำตอบแล้วพูดต่อ
“อินให้คนไปตัดสายเบรกรถยู”
“อะไรนะ!”
คริษฐ์หลุดถามเสียงดังด้วยความตกใจ เขากระแอมไอมองซ้ายมองขวาแล้วลดเสียงให้เบาลง
“แล้วเพื่อนแฟนมึงเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปลอดภัยดี เขารู้ตัวก่อน”
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าเป็นฝีมือพี่อิน หมอนั่นอาจจะมีศัตรูที่อื่นก็ได้”
คริษฐ์ถามอย่างเป็นกลาง ผมถอนหายใจก่อนจะตอบคำถามของเขา
“คนของอินเป็นคนทำ ตอนนี้พวกพี่ฉายกำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ มึงเคยรู้มาก่อนไหมว่าเขาทำอะไรร้ายแรงแบบนี้”
ผมถามกลับเพราะคริษฐ์นั้นก็ค่อนข้างรู้จักอีกฝ่ายพอสมควร เพราะอินเป็นเพื่อนสนิทของพี่มินพี่ชายของภาณิน คนตรงข้ามขมวดคิ้วเครียด
“กูรู้แค่ว่าเขากันทุกคนที่คิดจะเข้าหามึงแต่วิธีการกูไม่เคยรู้ เชี่ยแม่งแรงไปเปล่าวะนี่มันเจตนาฆ่าชัด ๆ เลยนะเว่ย ต้องเกลียดกันเบอร์ไหนวะ แล้วแฟนมึงว่าไงมันไม่ไปกระทืบพี่อินถึงคณะเลยหรือนั่น”
“บีสท์บอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันหลังสอบเสร็จ”
“อ่าฮะ แล้วมึงล่ะ คิดไงกับเรื่องนี้”
“กูอยากแจ้งความเลยด้วยซ้ำแต่พวกบีสท์บอกให้เงียบไว้ กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าต้องรอให้ใครเป็นอะไรก่อนหรือไงถึงจะยอมไปแจ้งความ แม่ง!”
ผมบอกคริษฐ์อย่างหัวเสีย รู้สึกโมโหขึ้นมาอีกแล้ว คริษฐ์เลิกคิ้วมองผมแปลก ๆ ก่อนมุมปากจะยกยิ้ม
“ทำไมมึงถึงอยากแจ้งความ”
“มึงคิดว่าการไปตัดสายเบรกรถคนอื่นนี่คือการแกล้งกันเล่นหรือไงคริษฐ์!”
“
มึงห่วงพวกนั้นจนไม่สนใจเลยนะว่าพี่อินจะเป็นยังไง”
ผมชะงักแล้วนั่งเงียบ ผมเองก็ลืมไปว่าถ้าเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วผลที่ตามมาอีกมากมายนั้นจะเป็นเช่นไร
“แน่นอนว่าถ้าพี่อินเป็นผู้บงการจริง ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเขาแหลกเหลวแน่ ๆ ดีไม่ดีติดคุกอีกต่างหากมึงต้องการให้เป็นแบบนั้นหรือไง”
ผมเม้มปากแน่น ยอมรับว่าโมโหอินจนไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา พอคริษฐ์มาพูดเตือนสติผมจึงฉุกคิดได้ หรือว่าที่พวกเขาบอกว่าให้เงียบไว้คือ...
“
กูว่าพวกนั้นห่วงความรู้สึกมึงนะซัน ในความคิดกูนะพวกนั้นคงไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่เพราะแน่นอนว่ามึงต้องลำบากใจแต่เท่าที่กูฟังมึงพูดมาก็รู้แล้วล่ะ”
“รู้อะไร”
ผมขมวดคิ้วแน่น คริษฐ์ยักไหล่ก่อนจะตอบ
“
มึงโคตรหมดใจกับพี่อินแล้วว่ะ”
“...”
เพราะว่าใจกลัว กลัวว่าเธอจะทิ้งกัน จากไป
ลืมคนที่เคยบอกรักกัน
ลืมทุกๆอย่าง มันอ่อนล้าและสับสน
กลัว - ปาล์มมี่
tbc
talk. OMG!! คนอ่านจากที่เกลียดพี่อินอยู่แล้วคงจะไม่ต้องพูดถึง เราขอโทษจริง ๆ เหล่าแฟนคลับพี่อิน แต่ก็นะคนมันรักมากอารมณ์เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสีย...ซันให้ใครอะไรประมาณนั้น เรามาดูกันว่าตอนหน้าจะเป็นยังไง ปลื้มใจมากเลยมีคนอ่านเพิ่มขึ้น ขอบคุณที่ชอบค่าแล้วเจอกันตอนหน้า ฝากเพจนิยายและทวิตเตอร์เจ้าค่า #นิยายตัวร้าย แท็กได้ในทวิตนะจ๊ะ