ตัวร้าย
13
Inn’ s partถ้าฉันนั้นขอร้องแล้วเธอจะกลับมาไหม...ผมนั่งนิ่งมองน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในน้ำสีอำพันละลายไปทีละนิด ค่อย ๆ จางหายไปเหมือนกับใครบางคนที่ห่างออกจากผมไปทุกทีทุกที เสียงเพลงที่เปิดคลอในร้านดังขึ้นไม่ได้เรียกความสนใจของผมได้เท่ากับบางความหมายในเนื้อเพลง
ใช่
ถ้าผมขอร้องแล้วน้องจะกลับมาไหม ผมเคยคิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว ถอยออกจากน้องมา ทำตามความต้องการของอาม่าแต่พอเอาเข้าจริงผมกลับทำไม่ได้
ผมไม่สามารถปล่อยมือคู่นั้นไปได้
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงยังคงอยู่รอบตัวของน้อง ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย
แต่ผมรักซัน แค่น้องคนเดียวที่ผมอยากจะมอบความรักให้ ไม่ใช่ผู้หญิงคนไหนหรือแม้แต่ผู้ชายคนใด ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้แต่ผมก็หวังว่าน้องจะยังอยู่ในสายตาของผม อยู่ในที่ ๆ ผมสามารถมองเห็น ได้ดูแล ได้อยู่ใกล้ ๆ ถึงจะได้รับสายตารำคาญกลับมาผมก็มีความสุข
ขอแค่น้องยังอยู่ตรงนี้แม้ว่าจะต้องถูกรำคาญใส่อีกกี่ทีผมก็ยินดี
แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเมื่อผมบังเอิญไปเจอน้องที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ในตอนแรกหัวใจของผมลิงโลดด้วยความดีใจที่เจอกับน้องจึงรีบเดินเข้าไปทักโดยไม่รู้เลยว่าน้องอยู่กับ
ใครอีกคนใครคนนั้นที่สามารถทำให้น้องยิ้ม รอยยิ้มที่ผมไม่เคยได้รับอีกเลยหลังจากที่เกิดเรื่องครั้งนั้น ใครคนนั้นที่น้องเต็มใจให้ยืนอยู่ข้าง ๆ และไอ้ใครคนนั้นที่มันกำลังจะ
ขโมยหัวใจของผมไปเห็นท่าทางที่สนิทกันจนเกินพอดีของทั้งคู่มันทำให้หัวใจผมร้อน ความรู้สึกหวงพุ่งขึ้นมาจนผมเกือบเดินเข้าไปกระชากน้องกลับเข้ามาในอกแต่ผมก็ทำได้เพียงแอบมองการหยอกล้อของทั้งคู่อยู่ตรงมุมไกล ๆ เท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่น้องปล่อยให้คนอื่นเข้ามา หลังจากที่น้องออกมาอยู่คนเดียวคุณคนเล็กของผมเหมือนสร้างอีกโลกหนึ่งของตัวเองขึ้นมาใหม่ โลกใบนั้นมีน้องเป็นเจ้าของและเจ้าตัวก็จะเป็นผู้คัดสรรคนเข้าไปในนั้น แน่นอนว่าผมไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก ผมทำได้เพียงวนอยู่รอบ ๆ โลกใบนั้นคอยส่งความห่วงใยผ่านเพื่อน ๆ ของน้องไปเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพอใจ เพราะอย่างน้อยถึงผมไม่ได้เข้าไปก็ไม่มีใครได้เข้าไปเช่นกัน
แล้วมันเป็นใคร
มีสิทธิ์อะไร ทำไมถึงได้เข้าไปในนั้น ทำไมถึงได้รับรอยยิ้มที่มีความสุขของน้อง ผมคุมตัวเองไม่อยู่รู้ตัวเองอีกทีก็ต่อสายหาซานเพื่อนสนิทของน้องไปแล้ว และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ยิ่งทำให้ผมแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายตอบว่าไม่รู้
ผมรู้ว่าซานไม่ได้โกหก จะพูดให้ถูกก็คือเขาเป็นสายของผมที่คอยบอกเล่าความเป็นไปในแต่ละวันของน้องให้ผมรู้ ซานบอกว่าเดี๋ยวจะถามจากน้องให้คงรู้ว่าผมรู้สึกร้อนใจกว่าทุกทีเจ้าตัวจึงบอกให้ผมใจเย็น ๆ ผมเย็นจนกระทั่งความอยากรู้มันทำให้ผมทนไม่ไหวจึงบุกไปหาพวกคริษฐ์เพื่อสอบถามความจริง
และสีหน้ากระอักกระอ่วนปนเห็นใจของซานก็บ่งบอกชัดเจนว่า
โลกของน้องกำลังเปิดรับใครคนใหม่เข้าไป ความรู้สึกเหมือนก้อนเหนียวจุกอยู่ที่คอ ลมหายใจติดขัด กระบอกตาของผมร้อนผ่าวหัวใจบีบจนปวดไปหมด เพราะมั่นใจมาตลอดว่าน้องรักผม ถึงแม้จะไม่ได้เดินไปด้วยกันแต่ผมก็คิดว่าน้องก็น่าจะรับรู้ถึงความรู้สึกของผมได้
ทำไมกันนะ ทั้ง ๆ ที่รักขนาดนี้ หวงขนาดนี้ คอยกีดกันทุกคนแต่ทำไมมันถึงยังหลุดรอดเข้ามาได้ ผมพลาดไปตรงไหนกัน
“เสียดายของ สั่งมาแล้วก็ไม่กิน”
สุ้มเสียงคุ้นหูดังขึ้นทางด้านขวา ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร
“รวย”
อีกฝ่ายร้องหึแล้วนั่งลงข้าง ๆ
“รวยแต่เขือน่ะสิมึงน่ะ”
ผมยิ้มมุมปากมองแก้วเหล้าด้วยสายตาหลากหลาย ผมเป็นคนนัดมันออกมาเองเพื่อนสนิทของผมชูมือเรียกบาร์เทนเดอร์สั่งเมนูประจำของตัวเองแล้วนั่งเท้าคางหันตัวมองผม
“คริษฐ์เล่าให้กูฟังมาบ้างแล้ว”
ผมพยักหน้ารับรู้ คริษฐ์เพื่อนในกลุ่มของน้องเป็นเพื่อนสนิทของณินน้องชายของเพื่อนสนิทผม
“อาการมึงหนักกว่าที่กูคิด”
มินพูดขึ้น ผมยิ้มเยาะตัวเองแล้วส่ายหัว
“ทำอย่างกับไม่เคยรู้สึกอย่างนี้”
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ตอบกลับมา ถ้าจะมีใครสักคนเข้าใจผมก็คงเป็นมันนี่ล่ะ
“ของมึงหนักกว่าของกูเยอะ ระดับความปวดใจมันต่างกัน”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเย้าแหย่ ผมคลี่ยิ้มบาง
“นั่นสินะ”
ผมตอบกลับไปเบา ๆ แต่อีกฝ่ายก็คงได้ยิน มินถอนหายใจก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก
“ทำไมครั้งนี้พลาด”
เขาถาม ผมส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ไม่รู้ ไม่มีเพื่อนเขารู้สักคน”
“ถามคริษฐ์แล้ว?”
“คิดว่าน้องมึงจะพูดไหมล่ะ”
ผมสวน มินหัวเราะถูกใจ คริษฐ์น่ะตัวเก็บความลับชั้นยอดถ้ามันจะไม่บอกต่อให้เป็นณินง้างให้ตายอย่างไรก็ไม่ปริปากพูด
“ก็จริงของมึง แล้วรู้หรือยังว่าเป็นใคร”
ผมส่ายหน้า
“กำลังตามอยู่ ไม่ได้เรียนที่เดียวกับเรา”
“อ่าฮะแล้วรู้อะไรอีกบ้าง”
ผมขมวดคิ้วกับข้อมูลที่ได้มาก่อนจะส่ายหัว
“แทบไม่ได้อะไรเลย”
มินเลิกคิ้วแปลกใจ
“เป็นไปได้ไง”
“เหมือนทางนั้นรู้ตัวว่ะ ระวังตัวแจเลยตามอะไรไม่ได้”
มินผิวปากอย่างสนใจ
“แปลว่าก็ไม่ธรรมดาอ่ะสิ”
ผมพยักหน้า
“อืม ไม่ธรรมดาวันนี้มันก็มารับน้อง”
“แล้ว?”
“คนของกูคลาดกันบนทางด่วน”
ผมทำหน้าครุ่นคิดจนมินแปลกใจ
“มีอะไรวะ”
“คนของกูบอกว่ามีรถคันนึงเหมือนจงใจขับบังตลอดเวลา”
“โอ๊ะโอ เจอของยากแล้วรึเปล่าหนอ”
“ไม่ตลกเลยนะมิน ถ้าขนาดนั้นแสดงว่าคนที่น้องเข้าไปยุ่งด้วยก็ไม่ธรรมดารึเปล่า อาจจะเป็นคนไม่ดี อาจ...”
“
ที่พูดนี่จริง ๆ แล้วหวงหรือห่วง”
ผมชะงักปากที่กำลังจะพูดต่อแล้วถอนหายใจยาว
“ก็คงทั้งสอง”
“มึงดูไม่เย็นเหมือนคุณชายอินคนเดิมนะ”
“ถ้ามึงกำลังจะถูกแย่งของรักไปมึงจะรู้ว่ามันเย็นไม่ได้”
มินโคลงหัวยักไหล่
“ก็พอจะเข้าใจ แล้วจะทำไงต่อไป”
“ยังไม่รู้”
มินมองผมอย่างชั่งใจ สุดท้ายเพื่อนสนิทก็พูดประโยคแทงใจดำออกมา
“รู้ใช่ไหมว่ากำลังเห็นแก่ตัวอยู่”
ผมเม้มปากก้มหน้าเหมือนเด็กทำความผิดแล้วถูกจับได้
“รู้”
“...”
“แต่กูทำใจไม่ได้ ถ้าต้องเห็นน้องรักคนอื่น”
“ถ้าอย่างนั้นมึงก็ทิ้งสัญญาของอาม่ามึงซะ”
ผมส่ายหน้ากระตุกยิ้มเยาะโชคชะตาของตัวเอง ทั้งที่ความรักอยู่ตรงหน้าแล้ว...แต่กลับคว้าไว้ไม่ได้
“บางทีกูก็อยากให้น้องเกิดมาเป็นผู้หญิง”
“หึ แน่สิถ้าแบบนั้นทุกอย่างก็ง่าย เรื่องก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งแต่เผอิญนี่มันชีวิตจริงว่ะเพื่อน ถ้ารักน้องแบบเปิดเผยไม่ได้ก็ปล่อยเขาไปเถอะ”
“ไม่”
“มึงนี่มัน... เออ! แล้วจะเอาไง”
“ยังไม่รู้ คิดก่อนแต่กูไม่ยอมให้น้องกับใครแน่”
“กูล่ะอยากให้แฟนคลับมึงมาได้ยินจริง ๆ ว่าพี่พระเอกของเขาจริง ๆ มึงมันแค่ตัวร้าย”
มินส่ายหัวอ่อนใจกับความดื้อดึงของผมแถมยังพูดจิกกัดมาให้ได้แสบคันเล่น ผมยักไหล่ยกเหล้าขึ้นดื่ม
“คนเราเมื่อเข้าตาจนแล้ว ต่อให้ต้องเลวแค่ไหนถ้าได้คนรักกลับมาก็ยอมทำทั้งนั้นแหละ”
“ได้กลับมาแล้วทำยังไงต่อ ขังน้องไว้บนหอคอยที่มีทหารองครักษ์เฝ้าไว้ไม่ห่างตาเหมือนที่ผ่านมาน่ะหรือ อินมึงก็รู้ว่าน้องเป็นคนไม่ใช่ตุ๊กตาให้มึงเชิดหรือเอาไว้ดูเล่น”
“...”
ผมเงียบเมื่อจนมุมกับคำถามของเพื่อนสนิท ผมรู้ดีว่าการกระทำนี้มันเห็นแก่ตัวและผมไม่เถียง ผมก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่พยายามยื้อความรักของตัวเองเอาไว้แม้ว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดก็ตาม
เพราะผมไม่สามารถทนเห็นน้องไปรักคนอื่นได้
ต่อให้ต้องถูกเกลียดแต่ถ้าเอาน้องกลับมาได้ผมก็ยอม
ปิ๊บ!
นิ้วเรียวยาวกดหยุดเสียงสนทนา ดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้ถูกแต่งแต้มด้วยอายไลน์เนอร์จนคมเฉี่ยวหรี่ลงอย่างใช้ความคิดไม่ต่างจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้าง
“เอาไง”
คนถูกถามยักไหล่เอนตัวพิงเบาะรถยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างคงเป็นท่วงท่าที่เย้ายวนหากผู้อื่นมาเห็นแต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มข้างกายที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต
“หน้าตาไม่น่าร้าย”
“หึ รู้หน้าไม่รู้ใจไง”
“ให้ผมจัดการเลยไหมครับคุณหนู”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากชายผู้นั่งหลังพวงมาลัยรถ
“ยังก่อนค่ะพี่ฉาย เรื่องนี้พวกเราจัดการเอง เขาพูดเองนี่ว่าคนเราถึงเวลาเข้าตาจนแล้วต่อให้เลวแค่ไหนก็ทำ”
“มึงคิดจะทำอะไรนาฟ”
คนถูกถามยักไหล่
“คนเรามีสิ่งที่อยากปกป้องไม่เหมือนกัน ผู้ชายคนนั้นไม่ผิดที่รักซันแต่ผิดที่ซันคือความรักของเพื่อนเรา”
“แล้ว?”
“กูจัดการเอง พี่ฉายคะรบกวนจัดการคนที่ตามสืบเรื่องพวกเราด้วยนะคะอย่าให้เขารู้ว่าพวกเราเป็นใคร เป็นไปได้ก็อย่าให้บีสท์รู้นะคะ”
“ครับคุณหนู”
“แล้วหมอนั่นล่ะ”
“ใจเย็นดิสกายกูกำลังจะบอกนี่ไง หมอนั่นกูจัดการเอง”
“อยากแดกเขาก็บอกมา”
ป้าบ!
“โอ่ย เค้าเจ็บนะ”
สกายลูบขาตัวเองป้อย ๆ ดีนะใส่กางเกงยีนส์แต่ขนาดใส่ยีนส์ตีมายังแสบขนาดนี้...ใจร้ายเกินไปแล้ว สกายเบะปากทำท่าเสียใจ หญิงสาวหนึ่งเดียวในรถกลอกตาหน่าย
“อย่ามาแสดง กูไม่ใช่แพรว”
พอนาฟพูดแบบนั้นอีกคนก็หยุดอาการเรียกร้องความสนใจทันที สกายในชุดกางเกงยีนส์ขาด ๆ ขาดชนิดที่นาฟลงความเห็นว่าเอาไปทำผ้าขี้ริ้วยังคิดแล้วคิดอีกกับเสื้อยืดสีขาวบางคอกว้างเผยให้เห็นรอยสักที่ตามแขนและในร่มผ้าอีกนิดหน่อยขยับนั่งหลังตรง
“เอาตัวเข้าไปเกี่ยวจะดีหรือ”
สกายร้องเตือน ไม่บ่อยหรอกที่พวกเขาจะออกหน้าแบบนี้ แต่เพราะเมื่อวานพี่ฉายต่อสายตรงมาหาสกาย บอกเล่าความไม่ชอบมาพากลบางอย่างเกี่ยวกับคนที่ชื่ออิน
ถึงขั้นให้นักสืบตามหาคนที่เข้ามายุ่งกับซัน สกายคิดว่ามันออกจะแปลกไปเสียหน่อย พี่น้องกันหรือก็ไม่ใช่ จากข้อมูลที่พี่ฉายหามาได้ซันเป็นลูกคนเดียวที่มีปัญหากับทางบ้าน เจ้าคนหน้าสวยนั่นออกมาอยู่คนเดียวได้สามปีแล้ว ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมีเพื่อนสนิทอยู่สามคนแล้วก็มีนายอินอะไรนี่คอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา
แค่น้องชายข้างบ้านทำไมต้องหวงนักหวงหนาถ้าไม่ใช่เพราะคิดเกินเลยกว่านั้น แต่ขอโทษทีเถอะที่ซันมันดันมาเจอกับเพื่อนเขา จะแย่งไอ้หน้านิ่งนั่นกลับไปไม่ง่ายนักหรอก
เพราะพวกเขาจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำลายความรักของเพื่อนคนสำคัญของพวกเขาได้และอีกอย่างซันมันก็เป็นเพื่อนของพวกเขาคนนึงแล้ว
“เออน่ะกูจัดการเอง”
“แหม ๆ”
สกายลอยหน้าลอยตาใส่เกือบโดนตบสวนดีที่หลบทัน นาฟส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจแต่ก็ยอมรับออกมาในที่สุด
“เออ กูอยากแดกจบป่ะ”
“ก็แค่นั้น”
สกายยิ้มมุมปากยักไหล่ตอบ
“แล้วจะไม่บอกคนอื่นหน่อยหรือ”
นาฟส่ายหน้า
“เรื่องนี้เราจัดการกันเองได้น่า รู้เยอะความแตกเข้าหูบีสท์ขึ้นมาทำไงล่ะกูไม่อยากให้มันคิดมาก”
“แกว่ามันจะรู้จักคนชื่ออินนี่ไหม”
นาฟพยักหน้า
“กูว่ามันรู้”
“แล้วแกคิดว่าซันมันจะยังมีเยื่อใยกับไอ้หล่อนี่ป่ะ”
นาฟยักไหล่
“ก็คงจะมีแหละมั้งแต่นั่นก็เป็นเรื่องของบีสท์กับซัน หน้าที่ของเราคือคอยกันหมอนี่ออกจากสองคนนั้นก็พอ”
“ตื่นเต้น ๆ”
สกายทำหน้าระริกระรี้จนน่าหมั่นไส้ นาฟกลอกตาเบื่อหน่าย
“กลับกัน”
“อ้าว! เค้านึกว่าแกจะลงมือเลย”
“ลงเลยบ้าอะไรล่ะ พรุ่งนี้กูมีสอบแลป”
“อ่าวก็เห็นแต่งมาซะเต็ม”
นาฟเงื้อมือทำท่าจะตบสกายเลยรีบยกมือไหว้ขอโทษแถมยิ้มประจบอีกหนึ่งที
“กลับจ่ะกลับ พี่ฉายครับรบกวนไปส่งหมากระเป๋านี่ด้วยนะครับ”
สกายบอกแล้วทำท่าจะลงจากรถ นาฟเลิกคิ้วร้องท้วง
“ไม่ไปด้วยกันอ่ะ เดี๋ยวให้พี่ฉายแวะส่ง”
หนุ่มรอยสักโบกมือปฏิเสธ
“ไม่เอาล่ะ แถวนั้นรถติดเสียเวลาแก เค้านั่งรถไฟฟ้าไปดีกว่า”
“โอเคงั้นเจอกัน”
“บาย”
ถ้าฉันนั้นขอร้องแล้วเธอจะกลับมาไหม
ถ้าฉันเป็นอะไร...เธอจะยังเป็นห่วงกันหรือเปล่า
เธอยังคงสนใจกันบ้างไหม
ฉันไม่ได้ถามเพื่อให้เธอดูเป็นผู้ร้าย
จะเคารพทุกการตัดสินใจ ไม่ว่าจะต้องเจ็บช้ำเท่าไหร่
ก็จะยอมรับความจริงเอาไว้
โปรดอย่ามาสงสาร – ตู่ ภพธร
tbc
แถม**
"โอ๊ยไอ้เชี่ยเหยียบตีนกู!!"
"เบา ๆ สิไอ้ห่ากายเดี๋ยวเขาก็รู้ว่ามึงมุดอยู่ใต้เคาท์เตอร์บาร์หรอกไอ้สัด"
คนถูกด่าจ้องบาร์เทนเดอร์หนุ่มเขม็ง แล้วเบาเสียงลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ
"ก็มึงเหยียบตีนกู"
"เออกูขอโทษ ก็บอกให้รอข้างนอกแล้วเดี๋ยวกูแอบอัดให้ก็เสือกอยากจะเข้ามาเองเป็นภาระกูอีก ถ้าเจ้านายรู้กูถูกไล่ออกขึ้นมานะ จะเกาะมึงกินทั้งชาติเลย"
"พูดมาก ก้มมานานเดี๋ยวโดนสงสัยหรอกมึงแม่งไม่เนียน"
"แหมมมมมมมม มึงเนียนมากสิไอ้เหี้ย"
"ไปทำงานไป๊ ไม่งั้นกูจะฟ้องเจ้านายมึง"
"เกลียดมึง!"
สายลับสกายประสบความสำเร็จในการดักฟังอย่างยวดยิ่ง แหม่ จริง ๆ ก็เก่งเหมือนกันนะเรา หัวเราะคิกคักกับตัวเองอยู่คนเดียวขณะที่ค่อย ๆ คลานออกจากเคาท์เตอร์โดยมีเพื่อนบาร์เทนเดอร์ช่วยดูต้นทาง
"
ซนอะไรฟ้า"
สกายเบิกตากว้างเหมือนเห็นผี
"
พี่คุณ!"
สกายหน้าซีดเงยหน้ามองคนที่กอดอกยืนอยู่ตรงหน้า ร่างสูงมองอีกคนอย่างจับผิดก่อนจะยื่นมือไปให้สกายจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน
"พี่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาวนะ คุยกับนาฟเสร็จแล้วมาหาพี่ที่รถเข้าใจไหม"
"...."
สกายแสร้งมองทางโน้นทีทางนี้ทีจนคนพี่ทนไม่ไหวสองมือตะปบใบหน้ากวนล็อกให้มองมาที่ตนแถมยังใช้สายตาและน้ำเสียงกดดัน
"พี่ถามว่าเข้าใจไหม"
สกายจิ๊ปาก รู้ขนาดว่านาฟรออยู่ข้างนอกก็แปลว่ารู้มาตั้งแต่แรกว่าเขาทำอะไรแล้วจะมาถามทำไม น่ารำคาญชะมัดแต่จะขัดก็ไม่ได้คนบ้าอะไรเผด็จการชิปเป๋ง
"รู้แล้ว"
"ครับด้วยสิ"
"ไม่!"
"ดื้อจริง ๆ"