ตัวร้าย
05
“ทำไมวันนี้ดูอารมณ์ดีพิลึก”
คริษฐ์ก็เป็นอีกคนที่ถามหรือเนี่ย ผมละสายตาออกจากโทรศัพท์มามองมันก็พบว่าแทบจะทั้งโต๊ะจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนมองผมด้วยความสงสัยยกเว้นแพรวที่อมยิ้มแล้วหันไปสนใจมือถือต่อ ตอนนี้พวกผมสี่คนมานั่งกินข้าวที่เดิม คือโรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์พร้อมกับพวกของภาณินแต่ผมไม่ได้กินหรอกมานั่งกับพวกมันเฉย ๆ อิ่มมาจากบ้านบีสท์แล้วยัดเข้าไปอีกคงท้องแตกตาย
“นั่นสิวันนี้น้องซันของพี่ณินดูอารมณ์ดีนะ”
กระทั่งณินยังพูดออกมาสงสัยว่าสีหน้าผมคงออกชัดจริง ๆ นั่นแหละ ผมยักไหล่เลิกคิ้วโคลงหัว
“ก็ไม่มีอะไรทำให้อารมณ์เสียนี่”
“ไม่เลย ๆ ปกติของน้องซันไม่ใช่แบบนี้อย่าเถียงพี่ณินสิ”
แล้วณินมันก็บีบแก้มผมไปมา ผมยิ้มแล้วส่ายหัวเป็นคำตอบ ยังไม่อยากพูดเรื่องบีสท์ให้ใครรู้เพราะชื่อเสียงในมหาลัยเขาค่อนข้างจะไปในทางไม่ดีถึงตัวจริงจะไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนพูดมาแต่บีสท์ก็ไม่เคยแก้ตัวกับใครเลยสักครั้ง ตัวแพรวเองถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสองคนพูดเพียงแค่ว่า เรารู้ว่าพวกเราเป็นอย่างไรก็พอ คนอื่นจะมองอย่างไรก็ช่างเขาไม่ได้มามีส่วนอะไรในชีวิตพวกเราอยู่แล้ว
นั่นล่ะ ผมเลยไม่ได้พูดเรื่องบีสท์ให้เพื่อนฟังเพราะซานกับคิงไม่ค่อยจะปลื้มเขาเท่าไหร่ มันสองคนก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่มองบีสท์จากสิ่งที่เห็นภายนอกและคำบอกเล่าจากคนอื่น พนันได้เลยว่าถ้าผมบอกไปว่ารู้จักกับอีกคนนะ ถูกจับแยกออกจากกันแน่และไม่วายคงถูกคุมเป็นเงาตามตัว ไม่เอาด้วยหรอกอย่างนั้น ผมรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วงเพราะ...เอ่อ ก็นะ ผมมีปัญหากับทางบ้านไม่ได้กลับบ้านนั้นมาจะสามปีแล้วและก็คิดว่าตัวเองจะไม่กลับไปอีกตลอดไป
เรื่องของผมเป็นปัญหากันใหญ่โตถึงขั้นฟ้องร้องกันเลยล่ะ สุดท้ายฝั่งคุณตาคุณยายก็ได้สิทธ์เลี้ยงดูผมไป ผมดีใจมากที่ไม่ต้องกลับไปอยู่บ้านหลังนั้นอีกแม้ว่าเขา...อืม พ่อของผมน่ะจะทำทุกวิถีทางเพื่อหว่านล้อมให้ผมอยู่กับเขา แต่บ้านที่ไออุ่นของแม่ ความรักของพวกเรามันจางลงไปแล้ว ยิ่งอยู่ยิ่งเห็นว่าเขามีความสุขกับครอบครัวใหม่ของเขามากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งปวดใจ คำสุดท้ายที่ผมพูดกับเขาผู้ให้กำเนิดของผมคือคำว่า ลาก่อน
ผมหันหลังให้กับบ้านหลังนั้น ละทิ้งสกุลที่ใช้มาตั้งแต่เกิดกลับไปใช้นามสกุลของแม่ ผมออกมาใช้ชีวิตคนเดียวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตจึงทำให้ทุกคนดูจะเป็นห่วงผมมากเกินไปแต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็รู้ว่าผมสามารถอยู่ได้ คุณตาคุณยายจึงวางใจผมได้ในระดับหนึ่งแต่ผมรู้นะว่าพวกเขาก็คอยให้ไอ้พวกเพื่อนที่เคารพสอดส่องดูแลผมอยู่ตลอด พวกมันก็ทำหน้าที่ดีเกินโดยเฉพาะคิงกับซานทำอย่างกับผมเป็นลูกในไส้จนคริษฐ์ยังเตือนให้เพลา ๆ ลงหน่อย
“มันแอบซุกกิ๊กไว้ล่ะณิน”
ไอ้ซานเพื่อนชั่วรีบยื่นหน้ามาฟ้องณิน คนถูกฟ้องนิ่วหน้าเหมือนคนถ่ายไม่ออกขมวดคิ้วจ้องหน้าผม
“จริงรึเปล่าน้องซัน”
“เอาตรงไหนมาซุกล่ะณิน ซานมันก็มั่วไปเรื่อย”
“ไอ้ซานหน้าปลวกกล้าใส่ร้ายน้องซันของกูรึ!”
คราวนี้ความซวยไปตกอยู่ที่ซาน โดนมือแม่นาคของณินเอื้อมไปตบหัวเน้น ๆ มันบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรณินคืน ผมยิ้มเย้ยมันไปทีหนึ่งสมน้ำหน้าอยากหาเหาใส่หัวกูดีนัก
“แล้วเย็นนี้เข้าห้องเชียร์กับพวกกูมั้ย”
ผมส่ายหน้าให้กับคำถามของคริษฐ์
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจ”
โกหกออกไปคำโตแต่ดูท่าพวกที่เหลือจะเชื่อหมดใจ พวกเพื่อนผมพยักหน้าเป็นอันเข้าใจจะมีก็แต่แพรวที่เงยหน้าขึ้นมายิ้มล้อแล้วพูดกลับมาแบบไม่มีเสียงว่า
‘รู้นะว่าไปไหน’
ผมยักไหล่ยิ้มรับ เฮ้อ...เมื่อไหร่จะเลิกเรียนซักทีเบื่อแล้ว อยากกลับเร็ว ๆ ด้วย
“ตั้งแต่เมื่อกี้ละ แอบกิ๊กกับแฟนกูหรอซัน”
โฟล์คเพื่อนณินเอ่ยขึ้น แขนแกร่งพาดไหล่แพรวแฟนสาวของเจ้าตัวดึงให้เข้าใกล้ตัวเองตาเรียวหรี่มองผมอย่างระแวดระวัง ผมกับแพรวหลุดหัวเราะ หญิงสาวใช้ศอกกระทุ้งท้องของแฟนตัวเองไม่เบานัก คนโดนถึงกับตัวงอเป็นกุ้ง
“กิ๊กบ้าไรล่ะ”
“ก็เห็นส่งสายตาให้กันนี่!”
โฟล์คเถียงเลยโดนแฟนมันตบหัวอีกป้าบใหญ่
“ปัญญาอ่อน”
คนถูกว่าย่นจมูกสะบัดหน้างอน แพรวเองก็ไม่ได้สนใจจะตามง้อสักเท่าไหร่
“ส่งสายตาอะไรอ่ะ สองคนนี้แอบมีเบื้องลึกเบื้องหลังกันหรอ”
ณินรีบขยับชิดกอดเอวผมไว้เหมือนเด็กหวงแม่ แพรวถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
“กูมองกันไม่ได้รึไงณิน”
“น่ะ! เห็นมั้ยร้อยวันพันปีมึงเคยสนใจใครที่ไหน มันต้องมีอะไรแน่ ๆ”
ณินโวยวายขึ้นมาโดยมีลูกคู่เป็นโฟล์คที่คราวนี้หลบทั้งศอกทั้งฝ่ามือแพรวได้ มือใหญ่รีบคว้าข้อมือทั้งสองข้างของแฟนตัวเองไว้
“ใจเย็น ๆ กันก่อน ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละเมื่อวานแค่บังเอิญเจอกันเฉย ๆ”
“ที่ไหน!!//ที่ไหน!!”
พอผมตอบสองเสียงประสานก็ถามกลับดังลั่นจนคนในโต๊ะส่ายหน้าระอา ผมกับแพรวมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ห้าง”
ผมตอบสั้น ๆ ไม่ได้โกหกเสียทั้งหมด เราบังเอิญเจอกันจริง ๆ เพียงแต่ไม่ได้เจอกันเมื่อวานที่ห้างแต่เป็นเมื่อเช้าที่บ้านเท่านั้นเอง
“ตอนไหน ไหนบอกว่าเมื่อวานกลับบ้านนั้นไง”
โฟล์คหันมาซักแฟนตัวเอง แพรวกลอกตาแล้วสะบัดตัวออกห่างนิดหน่อย
“ตอนเย็นที่เซ็นทรัลก็บอกแล้วนี่ว่านัดกับแจมไว้ที่นั่นรอกลับพร้อมกัน”
“อ่อ ก็แล้วไป”
“แล้วมึงเห็นน้องซันของกูไปกับใครมั้ยแพรวเจอกันทำไมไม่บอกกู”
“โอ่ยณินมึงก็อย่าบ้าตามโฟล์คมันได้มั้ยกูขอ ไม่เจอใครซันไปคนเดียว บังเอิญเจอในร้านหนังสือตอนสองทุ่มพอใจยัง! นี่ก็ถอยเกาะเป็นปลิงอยู่นั่นจะไปเรียนแล้ว”
แพรวตอบน้ำเสียงติดจะรำคาญ ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวลุกขึ้นคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินออกไปโดยมีแฟนตัวดีรีบวิ่งตามไปด้วย ผมหันมามองณินแล้วพยักหน้าเพื่อย้ำว่าที่แพรวพูดมาเป็นความจริง โชคดีตรงที่ว่าเมื่อวานผมแยกจากเพื่อนประมาณทุ่มกว่า ๆ ทำให้ช่วงเวลาที่แพรวบอกนั้นปลอดภัยไม่มีใครมาจับผิด
“ไม่ได้แอบกิ๊กกันจริง ๆ นะ”
ณินถามย้ำอีกรอบ ซานกับคิงก็จ้องผมด้วยแววตากดดันจะมีก็แต่คริษฐ์นี่แหละที่ช่วยกู้สภานการณ์ไว้
“อย่ามาบ้าณิน เห็นเพื่อนมึงเป็นคนยังไงแล้วพูดแบบนี้เขาเป็นผู้หญิงเขาเสียหายไหม”
คริษฐ์บอกเสียงดุ ภาณินมีท่าทีอ่อนลงจนหงอย ผมยิ้มบางให้คนขี้หวงเห็นท่าทางแบบนี้แล้วอดสงสารไม่ได้ทุกที
“ไม่มีอะไรจริง ๆ ณินแค่บังเอิญเจอกันเฉย ๆ พวกมึงสองคนก็ไม่ต้องมามองกูแบบนี้เลย”
ผมบอกกับทุกคนท้ายประโยคกดเสียงต่ำให้กับพ่อทูลหัวทั้งสองคน ซานมันหรี่ตามองผมคิงเองก็มองมานิ่ง ๆ รู้หรอกว่าพวกมันไม่เชื่อแต่ถ้าผมไม่บอกซะอย่างมันก็ทวงหาความจริงไม่ได้หรอก พวกเพื่อนกินข้าวกันต่ออีกสักพักแล้วจึงแยกย้ายกันกลับไปเรียน คาบบ่ายพวกผมเรียนวิชาเลือกรวมในห้องสโลปใหญ่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเรียนวิชาเดียวกับบีสท์ เราสองคนหันมองกันชั่วครู่ ร่างสูงใหญ่ยักคิ้วให้ผมนิด ๆ แล้วฟุบหน้ากับแขนเพื่อนอน
ผมมองการกระทำนั้นแล้วยิ้มออกมา คงจะนอนเอาแรงทำงานล่ะสิถึงวิชานี้จะเป็นวิชาเลือกแต่อาจารย์ก็เช็คชื่อทุกคาบเป็นการเก็บคะแนนไปในตัวซึ่งทำให้อยากจะโดดแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เหล่านิสิตส่วนมากจึงมักจะใช้คาบนี้ทำงานวิชาอื่นหรือไม่ก็นอนหลับแบบนี้แหละ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับน้อง ๆ เลยจริง ๆ แต่จะว่าไม่ได้หรอกเพราะผมเองก็ทำ แหะ ๆ
ครืด...
โทรศัพท์ของผมสั่นหยิบขึ้นมาดูก็เห็นชื่อของคนที่ฟุบหลับส่งข้อความผ่านทางโปรแกรมแชทมาหา
Breath : เพิ่งรู้ว่ามึงก็เรียนวิชานี้
Sun : กูก็เพิ่งเห็นมึงเหมือนกัน
Breath : โลกกลม
Sun : พรหมลิขิตต่างหาก
Breath : เพ้อเจ้อแล้วไอ้มึนเอ๊ย มึงเลิกกี่โมงกูมีเรียนวิชาภาคอีกตัวเลิกห้าโมงเย็น
Sun : หมดแล้ว
Breath : ?? วันนี้มึงมาเพื่อเรียนวิชาเดียว? ขยันชิบ
Sun : แหม่ทำอย่างกับวิชานี้โดดได้อย่างนั้นล่ะ คะแนนเข้าห้องเยอะจะตายครึ่งครึ่งเลยนะ จริง ๆ แล้วมาคุยโปรเจคปีสี่กับอาจารย์ที่ปรึกษาด้วย
Breath : อ่อ โอเค กูนอนละถ้าเสร็จก่อนก็หาอะไรทำไปก่อนนะ กูเลิกแล้วเดี๋ยวโทรหา
Sun : (สติ๊กเกอร์สติชทำท่าตะเบ๊ะ)
เราหยุดบทสนทนากันแค่นั้นหลังจากที่ผมส่งสติ๊กเกอร์ไปแล้วขึ้นว่าอ่าน ถือว่ารับรู้กันทั้งสองฝ่ายเพราะถ้ามัวส่งคืนกันไปคืนกันมาคงไม่เป็นอันทำอะไร ผมมองชื่อไลน์กับรูปโปรไฟล์อีกคนอยู่ ๆ มุมปากก็กระตุกยกขึ้นกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่คริษฐ์สะกิดนี่แหละ
“คุยกับใครทำไมอารมณ์ดี”
เดือนคณะโน้มตัวมากระซิบถามพยายามเหลือบมองจอโทรศัพท์ของผมแต่ดีที่ผมไหวตัวทันกดออกจากโปรแกรมได้ทัน ผมเลิกคิ้วมองคริษฐ์แล้วส่ายหัว
“เปิดเจอรูปตลก”
“หรอ? อืม”
มันหันกลับไปสนใจสิ่งที่อาจารย์พูดหน้าห้อง ผมเองก็เก็บโทรศัพท์แล้วหันไปสนใจเนื้อหาของบทเรียนบ้าง รู้อยู่หรอกว่าคริษฐ์ไม่เชื่อ แต่หมอนี่เป็นพวกใจเย็นถ้าบอกว่าไม่มีอะไรก็จะไม่เอ่ยถาม เขาจะรอจนกว่าผมจะเป็นคนพูดออกไปเองซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่คริษฐ์ต่างจากเพื่อนอีกสองคนและมันทำให้ผมชอบที่จะคุยกับมันมากกว่า
สบายใจดี...เหมือนตอนอยู่กับบีสท์
ผมสะดุดความคิดไปครู่หนึ่งเมื่อจู่ ๆ ชื่ออีกคนก็ผุดขึ้นมาในหัวแล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมยิ้มออกมา จริง ๆ แล้วชื่อเล่นของเขาคือ breath(เบรท) ต่างหากล่ะแต่ด้วยความที่มันออกเสียงยากแล้วเขาก็ตัวโตกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ แต่เด็ก ชื่อเล่นของเขาเลยเพี้ยนมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นบีสท์อยู่ทุกวันนี้ซึ่งผมว่าชื่อที่เพี้ยนมาเนี่ยมันเหมาะกับเขาที่สุดแล้ว
อสูรที่อาศัยอยู่ในปราสาทหลังโต ต่างจากในนิทานคือภายในปราสาทเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่มีเหล่าสหายมากมายที่อยู่รวมกันอย่างมีความสุข
“กูชักจะสงสัยเหมือนไอ้สองตัวนั้นแล้วนะ”
“หึหึ ไว้มั่นใจเมื่อไหร่แล้วจะบอก”
“อ่าฮะ”
คริษฐ์ตอบรับเสียงเบาไม่ให้อีกสองคนที่นั่งถัดจากมันได้ยิน
“อะไรที่มึงทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ”
“อื้อ ไม่ต้องห่วงไม่ใช่อะไรที่ไม่ดีหรอก เขาเป็นคนดี”
ผมย้ำให้มันมั่นใจ คริษฐ์พยักหน้าขึ้นลงตายังคงจ้องสไลด์หน้าห้อง กำลังเคลิ้ม ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นอีกครั้งหยิบขึ้นมาดูก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง
Inn : เย็นนี้เลิกกี่โมงครับผมมองข้อความนั้นด้วยความเฉยเมยแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเช่นเดิมไม่มีการเปิดอ่าน ไม่มีการตอบกลับ เดี๋ยวเขาก็คงหาคำตอบจากเพื่อนของผมเองเป็นแบบนี้ประจำ รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่เคยเปิดอ่านไม่คิดจะส่งกลับไปแต่เขาก็ยังเพียรพยายามส่งมันมา
น่ารำคาญที่สุด
ครืด....
Breath : เจอกันที่ร้านกาแฟสีน้ำตาล ๆ หน้าม.นะรู้จักป่ะ แพรวมันรออยู่ที่นั่นถ้าเลิกเร็วก็นั่งรอที่นั่นไปก่อน กาแฟกินได้ มัฟฟินอร่อย
Sun : OK
Breath : อย่ากินเยอะนะวันนี้พวกนั้นจัดมื้อใหญ่ วันศุกร์กลับบ้านกันครบ
Sun : งั้นวันอื่นก็ได้ กูไม่อยากรบกวนเวลาของพวกมึง
Breath : เสียใจด้วยทุกคนรู้แล้วว่ามึงจะไป
ผมอมยิ้มกับโทรศัพท์เหมือนคนบ้าระหว่างที่ทยอยเดินออกจากห้องเรียน โชคดีที่ซานกับคิงขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนหน้านั้น ใจจริงก็อยากไปบ้านนั้นแหละอยากไปมากเลยแต่อีกใจก็เกรงใจบีสท์และเพื่อน ๆ ด้วยเหมือนกันที่ผมไปรบกวน แต่ในเมื่อพวกเขาไม่ว่าอะไรผมก็ขอกอบโกยหน่อยแล้วกัน
ผมแค่พยายามแสวงหาที่ ๆ เป็นของผมก็แค่นั้นเอง
Sun : ขอบคุณมากนะบีสท์
Breath : อือ
ผมเงยหน้าขึ้นสายตาสบเข้าพอดีกับดวงตาคู่คมตรงลิฟท์ บีสท์มองตรงมาที่ผมเช่นกันมุมปากเขายกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของเขาจะหายเข้าไปในตัวลิฟท์
“ถ้าพวกมันสองคนรู้กูว่าเรื่องใหญ่นะ”
เสียงทุ้มข้างกายดึงสติผมกลับมา คริษฐ์มองตามสายตาของผมไป อดหงุดหงิดในใจไม่ได้ลืมไปได้อย่างไรว่าเซนส์ของหมอนี่เร็วจะตาย มันวกสายตากลับมามองผมแล้วยักไหล่
“อย่างที่กูบอกไปว่าอะไรที่มีความสุขก็จะทำไป กูไม่ห้ามแต่ถ้าวันไหนมึงเสียใจเพราะมันเมื่อไหร่เตรียมตัวตอบคำถามพ่อมึงทั้งสองคนไว้ได้เลย”
“มึงก็เกินไป กูไม่ได้คิดแบบนั้นเสียหน่อย”
“เรอะ”
“ไอ้คริษฐ์!”
“หึหึ”
ผมเกลียดไอ้หัวเราะหึหึของมันมากเลยแถมยังสายตารู้ทันที่เหมือนมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งนั่นอีก ฮึ่ย! น่าขัดใจชะมัด ผมที่ทำอะไรมันไม่ได้จึงได้แต่เดินกระทืบเท้านำหน้ามันไปเมื่อคิงกับซานเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“มันเป็นไรอ่ะ”
“เมนส์ไม่มามั้ง”
“ไอ้คริษฐ์! กูได้ยินนะแล้วมึงจะทำหน้าหมางงอยู่อีกนานไหมซาน”
“อ่าวทำไมกูโดนด่าเฉยเลยวะ”
ซานมันเกาหัวงงอยู่ข้างคริษฐ์เดินตามหลังผมกับคิงมา ไอ้คิงก็อมยิ้มส่ายหัวผมเลยหันไปแยกเขี้ยวใส่มัน มันเลยยกมือสองข้างเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้นั่นแหละผมถึงลดอาการประหม่าลง ไม่ใช่ว่าหงุดหงิดอาการรู้ทันของคริษฐ์มันหรอกแต่ผมแค่ยังไม่อยากจะยอมรับ
ว่าสิ่งที่คริษฐ์พูดมามันตรงกับที่ใจผมหวัง
“เออมึงพี่อินไลน์มาหากูอ่ะถามว่าเลิกกี่โมงเขาจะมาหา”
ซานเอ่ยบอกเมื่อผมออกมาจากห้องอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือสี่โมงครึ่งแล้วบีสท์เลิกห้าโมงไปนั่งกินกาแฟรอมันดีกว่าเผื่อแพรวไปรออยู่แล้วด้วย
“ซัน เฮ้ซันมึงฟังกูอยู่หรือเปล่า”
“หือ? มึงว่าอะไรนะ”
ซานมันส่ายหัวระอาก่อนจะทวนบทสนทนาก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง
“พี่อินบอกว่าจะมาหา”
“แต่กูไม่ว่าง”
“บอกเขาเองสิ รออยู่ข้างล่างกับไอ้คิงน่ะ”
ผมถอนหายใจเบื่อหน่ายสิ่งที่พูดไปวันนั้นคงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่เข้าใจว่าเขาจะดึงดันไปเพื่ออะไรแต่ก็ไม่ได้อยากจะรู้คำตอบสักเท่าไหร่เพราะคิดว่าตัวเองสามารถเดาได้ อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เดินลงมาข้างล่างพร้อมกับซานที่มันคงกลัวว่าผมจะหนีเขาจึงเดินประกบตามมาด้วย เห็นเขาคุยอยู่กับคิงพอเห็นผมก็ยิ้มแล้วรีบลุกขึ้นมาหา
“คุณคนเล็ก”
ผมถอนหายใจอีกครั้ง ไม่ตอบรับเขาด้วยคำพูดแต่เลิกคิ้วถามแทน เขายื่นถุงน้ำหอมแบรนด์ดังมาให้
“คุณย่าฝากมาให้ครับ ท่านไปเที่ยวฝรั่งเศสมาแล้วก็ฝากความคิดถึงมาให้คุณคนเล็กด้วยบอกว่าถ้าว่าง ๆ ให้ไปหาหน่อยคนแก่อยู่คนเดียวแล้วเหงา”
“ขอบคุณครับ ฝากบอกท่านด้วยว่าถ้าว่าง ๆ เดี๋ยวผมแวะเข้าไป”
ผมยกมือไหว้กล่าวขอบคุณแล้วยื่นมือไปรับถุงที่ย่าของผมฝากมาให้ ย่าไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นแต่เดาได้ไม่ยากหรอกว่าเขาคงแวะเวียนไปหาท่านบ่อย เป็นนิสัยปกติของอินอยู่แล้วที่เขามักจะใส่ใจคนรอบข้างอยู่เสมอ
“ได้อยู่แล้วครับ เอ่อ...วันนี้ว่างไหมถ้าว่างไปทานข้าวเย็นกันไหมครับ”
“ไม่ว่างครับ ขอบคุณที่สละเวลาเอาของมาให้นะครับ ผมขอตัวก่อน”
ผมก้มหัวกล่าวลาเขาแล้วเดินจ้ำออกมาด้วยความว่องไวไม่สนเสียงร้องท้วงของซาน สายตาตำหนิที่ผมเสียมารยาทกับรุ่นพี่จากคิงหรือแม้กระทั่งสายตาตัดพ้อของเขา ผมส่ายหัวสะบัดความว้าวุ่นใจออกไปก่อนจะส่งข้อความบอกบีสท์ว่าผมเลิกแล้ว อีกฝั่งไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเดาว่าคงเรียนอยู่ไม่ก็นอนหลับ เดินออกจากประตูมหาลัยข้ามสะพานลอยมาจนถึงร้านกาแฟสีน้ำตาลที่บีสท์บอกไว้คนค่อนข้างเยอะแต่ไม่ถึงกับล้นยังพอมีที่ว่างอยู่จึงเดินเอากระเป๋าไปวางแล้วเดินไปสั่งกาแฟที่เคาท์เตอร์
ได้กาแฟกับมัฟฟินมากินรองท้องเดินกลับมานั่งที่โต๊ะแพรวก็เดินเข้ามาในร้านพอดีพร้อมกับผู้หญิงและผู้ชายที่ใส่ชุดนิสิตต่างมหาวิทยาลัย เธอเห็นผมแล้วก็โบกมือยิ้มกว้างเดินเข้ามาหาพร้อมกับสองคนนั้น
“มานานแล้วหรอซัน”
แพรวทักผมแล้วนั่งตรงที่นั่งว่างข้าง ๆ ส่วนอีกสองคนนั่งอยู่ตรงข้าม ผมยิ้มให้เธอก่อนจะตอบ
“เพิ่งมาถึงน่ะ สั่งขนมเสร็จแพรวก็เข้ามาพอดี”
“ดี ๆ นึกว่าจะรอนานเราไปรอรับไอ้พวกนี้มาอ่ะ อีหมากระเป๋านี่ชื่อนาฟ ไอ้หัวสีนี่ชื่อมาร์ค”
แพรวผายมือแนะนำเพื่อนของเขาทีละคน เธออธิบายลักษณะของเพื่อนได้ตรงไปตรงมามากเพราะผู้หญิงที่ชื่อนาฟตัวเล็กจริง ๆ อืมจะเรียกว่าเตี้ยก็ได้ตัวเล็กกะทัดรัดพกพาได้สะดวกส่วนผู้ชายที่ชื่อมาร์คก็ทำผมสีแสบตาที่ผมไม่สามารถระบุได้ว่าบนหัวของเขามีสีอยู่ทั้งหมดกี่สี ทั้งสองคนยิ้มทักทายผมด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“สวัสดีซันใช่ไหม แพรวเล่าให้ฟังแล้วล่ะยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ครับยินดีที่ได้รู้จักนะนาฟ”
“จ้ะ”
“หวัดดีพูดมึงกูด้วยได้ใช่ไหม”
มาร์คยกมือทักทายพร้อมกับเอ่ยถามพอผมยิ้มทักทายกลับและพยักหน้าเขาก็ยิ้มกว้างแล้วยกนิ้วโป้งมาให้
“ต้องแบบนี้ ดี ๆ”
“เดี๋ยวกูไปซื้อกาแฟก่อนพวกมึงเอาอะไรป่าว”
“กูไปด้วยจะไปหาขนมแดก”
แพรวถามขึ้น ส่วนประโยคถัดมาเป็นของนาฟ หญิงสาวทั้งสองคนลุกขึ้นก่อนจะหันไปถามเพื่อนหัวสีของพวกเขา
“มึงเอาไร”
“อเมกาโน่เย็นแล้วกัน ใจมาก”
“เค”
มาร์คยิ้มตาหยีโบกมือให้เพื่อนทั้งสองแล้วหันกลับมาหา พูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ตอนแรกที่ไอ้พวกนั้นบอกว่าบีสท์พาคนเข้าบ้านพวกกูที่เหลือแปลกใจมากเลยนะ มันไม่เคยพาใครมาเลย”
“ขอโทษนะ กูทำพวกมึงอึดอัดหรือเปล่า”
ผมเอ่ยขอโทษแต่มาร์คโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ ๆ พวกกูแค่แปลกใจเฉย ๆ ไม่ได้อึดอัดหรือต่อต้านอะไรแค่นาน ๆ ครั้งจะมีเพื่อนมาเที่ยวบ้านแบบน๊านนานอ่ะเข้าใจใช่ป่ะ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ
“บีสท์ก็บอก”
“อือนั่นแหละคนรู้ไม่ค่อยเยอะหรอกว่าพวกกูอยู่ด้วยกัน”
“อื้อ”
“อย่าว่างั้นงี้เลย แต่เพื่อนกูเป็นคนดีนะ”
มาร์คพูดยิ้ม ๆ ผมเลิกคิ้วแล้วหลบสายตาของเขา รู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อนวูบ
“อะไร”
“เปล๊า แค่พูดลอย ๆ มันเป็นคนเก็บตัวกับคนอื่นน่ะถ้ารู้จักกันจริง ๆ แบบพวกกูมันก็เป็นคนเฮฮาคนนึง อืม...เป็นแฟนที่ดีไหมนะ ไม่รู้สิมันไม่เคยคบใคร เอาจริงไม่เห็นมันเคยสนใจใครเลยนะ จนวันที่มันพามึงเข้าบ้านนั่นแหละ”
“เฮ้ย ไม่ใช่แบบที่พวกมึงคิดนะวันนั้นกูไปกินเหล้ากันแล้วเมามาก กูหลับไปบีสท์คงไม่รู้ว่าจะไปส่งกูที่ไหนถึงพากลับบ้านอ่ะ”
มาร์คส่งเสียงจุ๊ ๆ แล้วส่ายหัว
“แล้วไปกินเหล้ากันได้ไง”
“ก็บังเอิญเจอกันแล้วก็ชวน ๆ กันไป”
“สองคน?”
“อื้อ”
“บีสท์ทักมึงก่อน?”
“อืม”
“หึหึซัน
เพื่อนกูไม่เคยเสือกเรื่องของใครก่อนนะ”
ผมเม้มปากใช้ความคิด ก็รู้อยู่หรอกว่ามันแปลกที่คนเพิ่งรู้จักกันจะให้ความสนิทสนมกับอีกฝ่ายถึงขั้นไปบ้านให้เข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวได้มากขนาดนั้น ผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะคล้อยตามใครได้ง่ายแต่ก็ยอมตามเขาไปถึงแม้ว่าเราจะเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว
ถ้าจะแปลกก็ไม่ใช่แค่เขาหรอก
แต่เป็นเราทั้งสองคนมากกว่าI wanna heal, I wanna feel what I thought was never real
I wanna let go of the pain I’ve felt so long
(Erase all the pain till it’s gone)
I wanna heal, I wanna feel like I’m close to something real
I wanna find something I’ve wanted all along
Somewhere I belong
Somewhere I Belong - Linkin Park
Tbc.