20th Diagnosis(1st Rx):Sertaline || ก้าวผ่าน
“มึง!!!!”
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กวินภพกระโจนใส่ลูกพี่ลูกน้องที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้ารถเช่นเดียวกับแว่น รัวหมัดใส่กรวิชญ์ไม่ยั้งโดยไม่คิดถึงความเป็นพี่น้องหรือคำสอนที่ไม่ให้ใช้วิชายูโดรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ความคิดของกวินภพในตอนนี้มีเพียงให้คนที่อยู่ใต้ร่างเจ็บปวดให้ได้กึ่งหนึ่งของที่มันทำไว้กับคนรักของเขา
“ว้าย น้องต้น! หยุดลูก!” ผู้เป็นมารดาหวีดร้องอย่างตกใจ เธอไม่เคยเห็นลูกชายคุมสติไม่อยู่ขนาดนี้มาก่อน เหนือฟ้าพยายามเข้าไปล็อคตัวเพื่อนสนิทไว้ แต่ด้วยรูปร่างที่บางกว่าอีกฝ่ายเกือบเท่าตัวทำให้ถูกผลักกระเด็นออกมา ประมุขของบ้านและคนสวนสองคนช่วยกันแยกทั้งสองออกจากกัน กวินภพที่เลือดขึ้นตาตะโกนลั่น
“ปล่อย!!ผมจะฆ่ามัน!!”
“ไอ้ต้น! เลิกบ้าซะที!” หมัดหนักๆของบิดากระแทกที่มุมปากกวินภพจังๆ ชายหนุ่มหน้าหงายลงไปนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับเสียงร้องของมารดา ประมุขของบ้านสะบัดมือ เรียกให้คนรับใช้พยุงร่างของกรวิชญ์และกวินภพเข้าไปในบ้าน
“แล้วนั่นใคร” ร่างสูงหันไปเห็นแว่นที่สลบไปแล้ว
“แฟนน้องต้นค่ะคุณ” เดือนดาราตอบเสียงสั่น ยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“ติณณ์ พาน้องขึ้นไปพักที่ห้องไอ้ต้นมันก่อน เดี๋ยวพ่อเคลียร์กับไอ้สองตัวข้างล่างก่อน”
ลูกชายคนโตพยักหน้า ช้อนตัวอุ้มคนในอ้อมกอดเดินเข้าไปในบ้านโดยมีเหนือฟ้าเดินตามไม่ห่าง คุณวรภพ ประมุขของบ้านหันกลับมาหาลูกชายคนเล็กที่นั่งก้มหน้าอยู่บนพื้นและหลานชายที่ยังคงนอนโอดโอยอยู่บนโซฟา
“บอกพ่อได้รึยังว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร”
ถึงแม้จะอยากเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของคนรัก แต่กวินภพก็ยอมเล่าทุกอย่างให้บิดาและมารดาฟัง อยากให้ทั้งสองได้รับรู้ถึงวีกรรมที่กรวิชญ์ได้ทำไว้กับคนรักของตน
คุณเดือนดารายกมือทาบอก ไม่คิดว่าหลานชายที่เห็นมาแต่อ้อนแต่ออดจะทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้กับเด็กหนุ่ม ตลอดเวลากรวิชญ์เพียงแต่นอนใช้ผ้ากดหางคิ้วที่มีเลือดไหลไม่หยุด ไม่คิดจะปฎิเสธข้อกล่าวหา
“พี่วิชญ์ ทำไมถึงได้ทำแบบนั้นล่ะจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
กรวิชญ์หลับตา ภาพในอดีตที่หลอกหลอนตัวเองไม่แพ้คนถูกกระทำหวนกลับคืนมาทีละฉาก
“ถ้ามึงจีบไอ้เด็กคนนั้นติด กูให้เลยสามพัน”
โจ๊กท้า การพนันขันต่อโดยมีเด็กในโรงเรียนเป็นเป้าหมายเป็นหนึ่งในกิจกรรมยามว่างของพวกเขานอกจากสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เปลี่ยนผู้หญิงไปวันๆ กรวิชญ์หันไปตามที่เพื่อนสนิทชี้ เด็กชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามสวมแว่นหนาเตอะร่างแคระแกร็นในชุดนักเรียนถูกระเบียบกับผมทรงกะลาครอบสุดเห่ยกอดหนังสือกองโตเดินไปตามทางเชื่อมเพื่อไปยังห้องสมุดในเวลาพักเที่ยงเช่นทุกวัน เนื่องจากที่ตรงนี้เป็นที่ประจำของพวกเขา ทำให้เด็กหนุ่มได้เห็นร่างเล็กเดินผ่านทางนี้เป็นประจำเช่นกัน
“โห ไม่ท้าทายเลยว่า เด็กแบบนั้นแค่ไอ้กรกระดิกนิ้วดีไม่ดีจะกระโจนมานั่งตักซะด้วยซ้ำ” ไอ้กอง เพื่อนอีกคนในกลุ่มของเขาหัวเราะ ถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกัน แต่กรวิชญ์ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเด็กชายดูไม่ใช่พวกหัวอ่อนแบบที่เพื่อนๆคิด
แต่งานหินแบบนี้เขาชอบนักล่ะ
“ยังไม่จบ” โจ๊กดัก “มึงต้องคบกับน้องมันให้ได้อย่างน้อยสามเดือน แล้วหลังจากนั้นมึงค่อยเฉลย ว่ามึงคบกับมันเพราะอะไร”
“เชี่ยโจ๊ก จังไรมากอ่ะ กูชอบ ฮ่าๆๆๆๆ” คนในกลุ่มหัวเราะ ผิดกับกรวิชญ์ที่นิ่งไป สามเดือนเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร นานพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บลึกหากรู้ความจริงเข้า ถึงแม้ใจนึงจะคึกคะนองไปกับการบิวท์ของเพื่อน แต่อีกใจก็รู้สึกว่าไม่ควรทำอะไรแบบนี้
แน่นอน จิตใจด้านเลวของเขามักจะชนะทุกครั้งไป
“ได้ มึงคอยดูเลย ไม่เกินสามวัน มานั่งบนตักกูแน่”
สามวันผ่านไป ยังไม่มีแม้แต่วี่แววความคืบหน้า
อย่าว่าแต่นั่งตักเลย แค่ทักเด็กน้อยยังเดินฉิวผ่านไปอย่างไม่ใยดี กรวิชญ์พยายามทำทุกวิถีทางที่จะได้ใกล้ชิดแว่น ทั้งอาสายกของไปให้อาจารย์ ดักรอหน้าห้องสมุด แม้กระทั่งดักรอหน้าห้องเรียน แต่อีกฝ่ายก้ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน
จนสุดท้าย ฟางเส้นสุดท้ายของเด็กหนุ่มก็ขาดลง
“น้องแว่น พี่ชอบน้องครับ” ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีคำหยอดหวาน มีเพียงคำสารภาพรักห้วนๆจอมปลอมที่กระตุกหัวใจกรวิชญ์อย่างน่าประหลาด
เด็กชายมีสีหน้าเลิ่กลั่ก แก้มเนียนแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู เด็กชายยื่นหน้าเข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เสียจนเขายังตกใจ ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างไม่มั่นใจ
“พี่…กร?”
“ครับ จำพี่ได้แล้วเหรอ พี่ทักเราตั้งหลายวันก็ไม่ยอมตอบ” แม้จะตกใจกับเหุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กรวิชญ์ยังคงเต๊ะท่าส่งยิ้มละลายใจให้คนตรงหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น
“ขอ…ขอโทษครับ” แว่นรีบขอโทษของโพยด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ผม..มองไม่เห็น”
“หืม? แว่นไม่ชัดเหรอ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ครับ ยังไม่มีเวลาตัดใหม่...อ๊ะ”
มือใหญ่ดึงแว่นออกจากกรอบใบหน้าของคนตัวเล็ก ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ แนบหน้าผากชิดกับหน้าผากของคนตัวเล็ก ลมหายใจอุ่นรินรดพวงแก้มนิ่มจนแว่นย่นคอหนีอย่างตกใจกับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย
“แบบนี้ ชัดพอไหมครับ?”
หลังจากที่หมดปัญหาทางด้านสายตา น้องแว่นก็ตกลงคบกับเขาด้วยท่าทีเขินอาย
หลอกง่ายกว่าที่คิดแฮะร่างสูงอดคิดไม่ได้
เขาดูแลเอาใจใส่แว่นทุกอย่างอย่างที่คนรักพึงกระทำต่อกัน ซึ่งเด็กชายไม่เคยเรียกร้องอะไร ได้แต่เออออกับทุกอย่างที่เขาถาม จนไม่รู้เมื่อไหร่ที่กรวิชญ์เสียเองที่เป็นฝ่ายประเคนทุกสิ่งทุกอย่างให้ร่างเล็ก
เหมือนกับทุกทุกวัน เขาตกหลุมรักแว่นเพิ่มขึ้นอีกทีละนิด
พวกเพื่อนๆ มักจะล้อว่าในที่สุดเขาก็ตกหลุมที่ขุดล่อเหยื่อไว้เสียเอง ถึงแม้จะอยากยอมรับ ยกเลิกเรื่องบ้าๆนี่แค่ไหน แต่ศักดิ์ศรีโง่ๆที่ค้ำคอเขาอยู่ในตอนนั้นทำให้ร่างสูงต้องจำใจหลอกเพื่อนไปว่าเขาไม่เคยคิดอะไรกับอีกฝ่าย
“พี่กร วันนี้ไปกินข้าวบ้านผมมั้ยครับ” แว่นถาม น้ำเสียงลังเลเหมือนไม่มั่นใจว่าตัวเองมีสิทธิ์จะถามอะไรแบบนี้หรือไม่ยิ่งทำให้กรวิชญ์รู้สึกเลวยิ่งขึ้นไปอีก
“ได้สิครับ จะได้ฝากเนื้อฝากตัวกับคุณแม่ไปเลย”
คนฟังมีสีหน้าขัดเขิน ก่อนจะค่อยๆระบายยิ้มน้อยๆออกมา สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับคนหน้านิ่งอย่างแว่น นี่ถือเป็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดดมาก
เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนั้น ร่างสูงก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมรอยยิ้มนั้นถึงไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาหยุดทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้
“แม่ครับ นี่พี่กร รุ่นพี่ที่โรงเรียนแว่นครับ” เด็กชายแนะนำให้เขารู้จักกับหญิงสาวร่างเล็กเช่นเดียวกับลูกชาย เจ้าของใบหน้าอ่อนโยนและรอยยิ้มใจดี ‘น้าน้อย’ ต้อนรับเขาอย่างเป็นกันเอง บอกให้แว่นพาเขาไปรอบนห้องระหว่างที่เธอเตรียมอาหาร แม้เด็กชายจะยืนกรานที่จะช่วย แต่หญิงสาวยังคงยืนยันว่าตัวเองทำคนเดียวได้
“ดูแลน้องเลนส์ให้แม่หน่อยละกันถ้าอย่างนั้น”
น้องเลนส์เป็นเด็กชายวัยสิบขวบที่อย่างไรก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ ขนาดคนตัวเล็กอย่างแว่นยังสามารถอุ้มน้องชายได้อย่างสบายๆ กรวิชญ์ไม่ค่อยถูกกับเด็ก แต่เขาต้องยอมรับว่าเด็กน้อยที่มีโครงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับพี่ชายนั้นน่ารักน่าเอ็นดูมากเลยทีเดียว
“พี่ชายเป็นแฟนพี่แว่นเหรอฮะ” เด็กน้อยถามตาแป๋ว แก้มป่องๆตามประสาเด็กยังไม่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นน่าฟัดน่ากัดเสียเหลือเกิน
เฮ้ย! เมื่อกี้กูคิดอะไรอยู่
กรวิชญ์ลบความคิดนั้นออกจากหัวอย่างรวดเร็ว ไม่อยากเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางตั้งแต่เด็ก
“เอ่อ..ครับ” ร่างสูงพยักหน้า
“ดีจัง พี่แว่นจะได้ไม่เหงา”
รอยยิ้มจริงใจที่ได้รับยิ่งทำให้กรวิชญ์รู้สึกอยากเอาหัวโหม่งกำแพงตายให้รู้แล้วรู้รอด
“น้ำมาแล้วครับ” พี่คนโตของบ้านนั่งลงบนพื้นข้างๆเขา ยกแก้วน้ำบนถาดรองวางบนโต๊ะญี่ปุ่น แล้วนั่งเงียบตามประสาคนไม่ค่อยพูด
“นี่ พี่ชายฮะ น้องเลนส์นั่งตักพี่ชายได้มั้ยฮะ” ผิดกับน้องชายที่ซักถามเขาไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้
“เลนส์ ไปถามอะไรแบบนั้น” แว่นดุน้องชายด้วยสีหน้าไม่พอใจ นี่เป็นครั้งแรกที่กรวิชญ์เห็นเด็กชายทำสีหน้าแบบนัั้น
“ก็น้องเลนส์เจ็บก้นอ่ะ พื้นมันแข็ง” เด็กน้อยงอแง แว่นทำท่าจะดุอีกแต่กรวิชญ์ส่ายหน้า อุ้มน้องชายของคนรัก(?)ขึ้นมานั่งตักแต่โดยดี
“ข้าวเสร็จแล้วจ้า” เสียงของน้าน้อยดังขึ้นจากด้านล่าง
“พี่ชาย อุ้มๆ” น้องเลนส์งอแง กอดคออีกฝ่ายไว้แน่นราวกับเด็กเล็กๆ
“เลนส์!”
“ไม่เอาน่าแว่น อย่าดุน้องสิ เด็กตัวแค่นี้พี่อุ้มได้ ลงไปกันเถอะ” ร่างสูงไกล่เกลี่ยก่อนที่พี่น้องจะตีกัน ประคองใต้ข้อพับขาเจ้าเด็กตัวแสบที่กอดคอเขาแน่นแล้วลุกขึ้น ในหัวคิดจินตนาการไปถึงภาพแว่นในสภาพคล้ายคลึงกัน แต่เสื้อผ้าน้อยชิ้นกว่ามาก
“พี่กร คิดอะไรอยู่เหรอครับ” แว่นที่เดินตามเขาลงมาถามอย่างสงสัย
“เปล่าหรอก พี่แค่มีความสุขน่ะ” ร่างสูงตอบพร้อมรอยยิ้ม
แต่ความสุขนั้นมักไม่ยั่งยืนในที่สุดเวลาสามเดือนก็สิ้นสุดลง วันที่เพื่อนๆของกรวิชญ์รอคอยก็มาถึง ในขณะที่เขาบอกเลิก ควงเด็กสาวที่เป็นเป้าหมายใหม่ของตัวเองมาเฉลยความจริงทั้งหมดให้แว่นรู้ เด็กชายไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเลยซักนิด ไม่มีการโวยวาย ไม่มีคำด่าทอ ไม่มีน้ำตา
ไม่มีแม้แต่ประกายในแววตาที่ว่างเปล่า
“พูดจบแล้วใช่มั้ยครับ?”
นั่นคือสิ่งที่แว่นพูดกับเขาและเพื่อนในกลุ่มที่ยืนหัวเราะอยู่ด้านหลัง เสียงหัวเราะของเหล่าเด็กหนุ่มหยุดลงเมื่อได้ยินดังนั้น
“ถ้าพูดจบแล้วผมจะได้คืนหนังสือ จะหมดพักเที่ยงแล้ว”
และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แว่นพูดกับเขา
“แม่ง น่าหมั่นไส้ชิบหาย ไอ้เด็กแบบนั้นมันน่าจัดตีนให้ซักยก” โจ๊กโวยวาย รู้สึกหงุดหงิดที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
“แต่กูยอมใจว่ะ เป็นคนอื่นคบกับไอ้กรมาตั้งสามเดือน ดีไม่ดีคงโดดตึกตายไปแล้ว” ไอ้กองหัวเราะ บทสนาทนาดำเนินไปเรื่อยๆ โดยที่กรวิชญ์ไม่มีส่วนร่วมใดๆกับมันทั้งสิ้น เด็กหนุ่มได้แต่เหม่อมองไปยังทางเชื่อมอาคารที่เด็กชายใช้เดินไปห้องสมุดทุกวัน แต่ไม่มีวี่แววของแว่น
เด็กชายไม่เคยโผล่หน้ามาให้เขาเห็นอีกเลยหลังจากวันนั้น
จนกระทั่งวันจบการศึกษา พวกไอ้โจ๊กที่เขาคิดว่าจะเลิกราจากแว่นไปแล้วกลับเสนอแผนการบางอย่างขึ้น
“ไหนๆก็จะจบแล้ว จัดการไอ้น้องแว่นสองท้ายซักหน่อย ดีมั้ยวะ ไอ้กร”
“มึงจะทำอะไร?”กรวิชญ์ถามอย่างไม่ไว้ใจ
“แค่จะเอามันไปขังไว้ที่โรงยิมร้างซักคืน ให้มันหลอนซะหน่อย” โจ๊กหัวเราะ “กูอยากเห็นไอ้เด็กเวรนั่นทำสีหน้ากลัวบ้างว่ะ”
กรวิชญ์รู้ ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด
เขายังคงไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงยอมให้เพื่อนจูงจมูกได้ง่ายขนาดนี้
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ต่อให้ไม่เหลือเพื่อนแม้แต่คนเดียว กรวิชญ์ก็จะไม่ทำแบบนี้
“เออ เอาดิ กูก็อยากเห็นเหมือนกัน”
“แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ” คุณเดือนดารายังคงตัวสั่นจากเรื่องทั้งหมด คุณวรภพโอบร่างของภรรยาไว้ ก่อนจะหันไปหาลูกชาย
“ขึ้นไปดูแลน้องไป”
“ครับพ่อ”
แม้จะอยากตั๊นหน้ากรวิชญ์อีกซักที แต่ชายหนุ่มก็เป็นห่วงคนรักที่นอนอยู่บนห้องเช่นเดียวกัน กวินภพกำลังจะเคาะประตูห้อง จังหวะเดียวกับที่ติณณ์ภพและเหนือฟ้าเปิดประตูออกมา
“น้องไม่เป็นไร แค่หลับอยู่” พี่ชายบังเกิดเกล้าของเขาปลอบ “มึงก็นั่งเฝ้าไปนั่นแหละ ถ้าตื่นแล้วมีอะไรผิดปกิก็มาบอกกู”
“ครับ” กวินภพพยักหน้าขอบคุณ เดินเข้าไปในห้องนอนของเขาที่มีร่างของคนรักนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือ
“พี่จะไม่ยอมให้มันมาทำร้ายแว่นอีก พี่สัญญา”
--------(ครึ่งแรก)________
ความสม่ำเสมอกำลังจะกลับมา
เพราะช่วงปลายเดือนอาจจะวาร์ปไปอีก55555
![:pig4:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/kapook_36568.1.gif)